►►►แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ @ดินแดนแห่งรัก อาณาจักรแห่งใจ@ (แฟนตาซี) (19/3/2019) P.23
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ►►►แจ้งข่าวรวมเล่มค่ะ @ดินแดนแห่งรัก อาณาจักรแห่งใจ@ (แฟนตาซี) (19/3/2019) P.23  (อ่าน 126933 ครั้ง)

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
หินน่ารักจริงๆ
สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทที่ 30 ตามหาหัวใจ

   ไซเลอร์!!!

   มือที่กำลังจะยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบชะงักทันทีเมื่อข้ารู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงเรียกของก้อนดิน ข้าละสายตาจากเพื่อนๆ และความสนใจกับบทสนทนาตรงหน้าเพื่อมองหาก้อนดินที่บอกว่าจะเดินไปตักอาหารกับก้อนหินเมื่อครู่ แต่กวาดสายตาหาจนทั่วห้องแล้วก็ไม่พบ

   ข้าจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปหาก้อนดินด้วยความรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก แต่เดินหาจนทั่วห้องแล้วก็ยังไม่พบ คนที่ได้พบและคุยกับก้อนดินต่างก็บอกว่าเพิ่งจะเจอทั้งคู่ แต่ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ก้อนดินหายไปไหน

   ในขณะที่ข้ากำลังจะเดินออกห้องไปตามหาก้อนดินกับก้อนหินข้างนอก ก็เห็นท่านมอลทีสกับท่านลาซาเดินตรงมาหาด้วยท่าทางรีบร้อน ลางสังหรณ์ของข้าก็ยิ่งร้องเตือนลั่น

   “ตามข้ามา” พูดจบท่านมอลทีสก็เดินนำออกไปทันที

   เมื่อไปถึงสวนข้างๆ ห้อง ท่านมอลทีสก็พาไปหยุดตรงจุดๆ หนึ่ง ก่อนที่จะยื่นผ้าผืนหนึ่งมาให้ข้า เมื่อรับมาดูและได้เห็นชัดๆ ก็รู้สึกใจหายวูบ

   “ข้าเห็นมันตกอยู่ตรงนี้”

   ผ้าเช็ดหน้าของก้อนดิน!

   ที่มั่นใจว่าเป็นของก้อนดินแน่ๆ เพราะบริเวณมุมของผ้าเช็ดหน้า คือรอยเท้าของก้อนหินที่ก้อนดินจับไปทาสีแล้วประทับลงไป ก่อนจะประทับรอยนิ้วหัวแม่มือของตัวเองไว้ข้างๆ รอยเท้านั้นกับผ้าเช็ดหน้าทุกผืนของเขา

   ข้าจำได้แม่นเพราะตอนที่ก้อนดินกับก้อนหินช่วยกันทำสัญลักษณ์อย่างสนุกสนานนั้น ข้าก็นั่งอยู่ใกล้ๆ แล้วมองทั้งคู่ทำไปเล่นกันไปด้วยความเอ็นดู

ก้อนดินมักจะพกผ้าติดตัวไว้อย่างน้อยก็สองผืน เพื่อไว้สำหรับใช้เช็ดปากเช็ดมือหรือเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ก้อนหิน ข้าเงยหน้าขึ้นมองท่านมอลทีสนิ่งๆ ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามก่อน เพราะถึงพอจะคาดเดาได้แต่ก็กลัวคำตอบที่จะได้รับ

   “ข้าเห็นในนิมิตว่าก้อนดินจะมีอันตราย แต่ก็มาไม่ทัน ขอโทษนะไซเลอร์”

   ข้าได้แต่หลับตาลงรับความจริงด้วยความเจ็บปวด

   “ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกครับ ถ้าจะมีคนผิด ก็คงเป็นข้าที่ประมาทเอง” เสียงของข้าสั่นพร่าโดยไม่รู้ตัว มือกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น ข้าลืมตาขึ้นมาจ้องผ้าเช็ดหน้าในมือเหมือนว่าจ้องแล้วจะเห็นไปถึงเจ้าของมัน

   “อย่ามัวแต่โทษตัวเองกันอยู่เลย ข้าว่ารีบช่วยกันตามหาก้อนดินดีกว่า ก้อนดินเพิ่งจะหายไม่นาน เราอาจจะตามทันก็ได้” เสียงของมาสทิฟฟ์ที่ตามมาเมื่อไหร่ไม่รู้พูดขึ้น ข้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าเพื่อนในทีมตามออกมาจนครบทุกคน

   “นั่นสิ เราแยกย้ายกันออกตามหาเลยดีไหม” ชเนาเซอร์เสนอความเห็น

   “ไซเลอร์”

   “ครับ ท่านมอลทีส”

   “เจ้าผูกจิตไว้กับก้อนดิน ลองใช้จิตค้นหาดูสิ เผื่อว่าจะพบ”

   “ครับ” นั่นสิ ข้าลืมไปได้ยังไงว่าเคยผูกจิตไว้กับก้อนดินตั้งแต่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว

   ข้าหลับตาลง รวบรวมสมาธิ สำรวมจิต เพื่อค้นหาดวงจิตของก้อนดิน แต่เมื่อหลับตาลงก็พบเพียงความมืดมิด อาจจะเป็นเพราะจิตยังฟุ้งซ่านด้วยความเป็นห่วงทั้งคู่ ต้องใช้เวลาสักพักจิตของข้าถึงได้นิ่งและมีสมาธิมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพบเพียงความมืดมิดก่อนจะพบกำแพงหนาทึบปรากฏขึ้นมากั้นดวงจิตข้าไว้

   ข้าลืมตาขึ้นมาแล้วหันไปบอกท่านมอลทีส

   “มีกำแพงกั้นดวงจิตของข้าไว้ครับ”

   “มนต์บังตา... คนที่จับก้อนดินไปอาจจะเป็นถึงขั้นจอมเวทย์ เพราะถ้าสามารถเข้ามาในเขตพระราชวังโดยที่ทั้งคนของเราไม่รู้ แม้แต่เวทย์คุ้มกันยังทำอะไรไม่ได้ คงไม่ธรรมดาแน่ เดี๋ยวข้าจะไปรายงานคิงก่อนจะได้ส่งทีมอื่นออกไปช่วยตามหาด้วย พวกเจ้าลองออกไปตามหาก้อนดินดูก่อน ถ้าพระอาทิตย์ขึ้นแล้วยังไม่พบให้กลับมาที่นี่ จะได้ช่วยกันวางแผนว่าจะทำยังต่อไป ไปเถอะ”

   “ครับ!” ข้าและเพื่อนๆ รับคำ ก่อนจะรีบออกเดินทางไปหาก้อนดินด้วยความร้อนใจ

   ข้าได้แต่ภาวนา ขอให้ก้อนดินกับก้อนหินปลอดภัยด้วยเถอะ!

***************************************************************************

   ข้าและเพื่อนๆ ตระเวนกระจายตัวกันออกค้นหาก้อนดินโดยใช้นกหวีดเป็นสัญญาณเรียกรวมตัวเพื่อไม่ให้แยกกันไปไกลเกินขอบเขตรัศมีที่ตกลงกันไว้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นจะได้กลับมาช่วยกันได้ทัน

   อันที่จริงข้าก็พอจะรู้ว่าเพื่อนๆ บังคับใช้กับข้าเป็นหลักมากกว่า เพราะกลัวข้าจะแยกตัวออกไปหาก้อนดินกับก้อนหินเพียงลำพัง ข้าไม่อยากให้เพื่อนๆ ต้องเป็นกังวลจึงยอมทำตามเงื่อนไขแต่โดยดี ทั้งๆ ที่ในใจนั้นร้อนรนแทบบ้า

   เราค้นหากันอย่างต่อเนื่องไม่มีใครยอมพักผ่อนจนเมื่อถึงยามรุ่งสาง ข้าก็จำใจต้องกลับไปรวมตัวตามสัญญาณเรียกที่เพื่อนๆ พร้อมใจกันเรียก เพื่อย้อนกลับไปที่พระราชวังตามคำสั่งของท่านมอลทีส

   เมื่อไปถึงพระราชวัง ท่านมอลทีสก็พาข้าแยกไปที่ห้อง ซึ่งมีจอมเวทย์อันดับต้นๆ ของอาณาจักรรออยู่ด้านใน เมื่อข้าหันไปมองท่านมอลทีสก็บอก

   “เราต้องทำลายกำแพงเวทย์ที่กั้นไว้ก่อน จะได้ค้นหาดวงจิตของก้อนดินได้ นั่งลงสิ”

   “ครับ” ข้านั่งลงกับพื้นตามที่ท่านมอลทีสชี้บอก เมื่อข้านั่งลงเรียบร้อยแล้ว จอมเวทย์ทั้งห้ารวมทั้งท่านมอลทีสก็มานั่งล้อมข้าไว้

   “ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าร้อนใจเพราะเป็นห่วงก้อนดินกับก้อนหิน แต่ข้าอยากให้เจ้ารวบรวมสมาธิตั้งจิตให้มั่นแล้วค้นหาดวงจิตของก้อนดินก่อน ถ้าหากไปเจอกำแพงนั่นอีกที พวกเราจะได้ช่วยกันทำลาย ครั้งที่แล้วข้าลองใช้เวทย์ตามจิตเจ้าไป  ข้าลองทำลายดูแล้วแต่ไม่สำเร็จ เพราะกำแพงนั่นมีพลังคุ้มกันมากกว่าที่คิด ครั้งนี้ข้าจึงรวมจอมเวทย์ที่ช่วงนี้ยังอยู่ในใกล้ๆ พระราชวังมาช่วยกันดู”

   “ครับท่านมอลทีส” เมื่อฟังคำอธิบายของท่านมอลทีสจบ ข้าก็รับคำแล้วหลับตาลงรวบรวมสมาธิทันที ด้วยความที่จิตฟุ้งซ่านเพราะความเป็นห่วงทั้งคู่จึงต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจิตของข้าจะนิ่งและเป็นสมาธิได้

   เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วข้าจึงนึกถึงก้อนดินอย่างแน่วแน่ เพียงไม่นานก็ปรากฏกลุ่มเส้นใยสีทองขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ก่อนที่มันจะพุ่งทอดยาวตรงไปด้านหน้า ข้าพยายามตั้งสมาธิให้มั่นแล้วตามเส้นใยกลุ่มนั้นไปเรื่อยๆ จนไปชนกับกำแพงโปร่งใสราวกระจกที่ปรากฏขึ้นมาขวางกลางคัน

   “ถอยมาก่อนไซเลอร์” เมื่อได้ยินเสียงของท่านมอลทีส ข้าก็ถอยออกห่างจากกำแพงตรงหน้า ก่อนจะปลากฎร่างโปร่งแสงของท่านมอลทีสและจอมเวทย์ทั้งสี่ขึ้นที่หน้ากำแพง อันที่จริงจิตไม่มีรูปร่าง แต่ที่เห็นเป็นภาพร่างกายของทั้งห้าท่านนั้น เป็นเพราะจิตของข้าปรุงแต่งภาพขึ้นมาเอง

   “ตั้งสมาธิไว้นะ ข้ากับจอมเวทย์ท่านอื่นจะลองช่วยกันทำลายกำแพงดู”

   “ครับ” ข้ารับคำและพยายามควบคุมจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน ท่านมอลทีสจึงเริ่มร่ายเวทย์ เพียงไม่นานก็มีแสงสีทองออกมาจากมือของท่านมอลทีสพุ่งไปหากำแพงตรงหน้า แต่ยังไม่ทันได้ถึงกำแพงก็มีแสงสีดำที่ผสานกับแสงสีทองอีกเส้นพุ่งออกมาจากกำแพงสกัดไว้ซะก่อน ท่านมอลทีสจึงหยุดร่ายเวทย์

   “จิตแค้น ใครกันที่มีจิตแค้นรุนแรงขนาดนี้  แถมยังมีพลังจากเกล็ดมังกรมรกตด้วย อืม... เรื่องนี้คงต้องพักไว้ก่อน ลองช่วยกันทลายกำแพงก่อนก็แล้วกันนะท่าน” ท่านมอลทีสรำพึงอยู่ลำพัง ก่อนจะหันมาบอกกับจอมเวทย์ทั้งสี่

   “ครับท่านมอลทีส”

   เมื่อรับคำเสร็จทั้งห้าก็เริ่มร่ายเวทย์ขึ้นพร้อมกัน แสงสีทองทั้งห้าสายพุ่งตรงไปกระทบกับกำแพงตรงหน้า เมื่อแสงสีดำทองจากกำแพงออกมาต้านไว้ ทั้งห้าก็เร่งพลังให้แสงจากตัวออกมามากขึ้น

   เมื่อเห็นว่าน่าจะตึงมือเกินไป ท่านมอลทีสก็ละมือออกมาข้างหนึ่งแล้วหลับตาลง เพียงไม่นานก็มีเกล็ดมังกรสีเขียวมรกตปรากฏขึ้นที่ฝ่ามือ เกล็ดมังกรบนฝ่ามือของท่านมอลทีสเปล่งแสงสีทองเจิดจ้าออกมา ก่อนที่จะพุ่งไปหากำแพงแล้วกระจายตัวอาบไล้ไปทั่วกำแพงทั้งซ้ายขวา ก่อนที่กำแพงตรงหน้าจะเริ่มสลายและหายวับไปกับตา

   “พวกท่านกลับกันก่อนเถอะ เหนื่อยมามากแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปกับไซเลอร์เอง เผื่อจะช่วยอะไรได้ ขอบคุณพวกท่านมาก”

   “ด้วยความเต็มใจครับ” จอมเวทย์ทั้งสี่โค้งให้ท่านมอลทีสก่อนจะหายวับจากไป ท่านมอลทีสจึงหันมาบอกกับข้า

   “เราไปกันเถอะ ”

   “ครับ”

   เราทั้งสองตามแสงสีทองต่อไปเรื่อยๆ จนแสงเริ่มมากขึ้น แสดงว่าใกล้จะถึงดวงจิตของก้อนดินแล้ว หัวใจของข้าเต้นกระหน่ำด้วยความยินดี

   “ไซเลอร์รักษาสมาธิ”

   “ครับ” ข้ารับคำ เพราะความดีใจทำให้สมาธิของข้าแกว่ง และท่านมอลทีสคงสัมผัสได้ ข้าจึงระงับอาการเพื่อให้จิตนิ่งเหมือนเดิม จนในที่สุด เราก็มาถึงจุดที่มีดวงจิตสองดวงที่สว่างเจิดจ้าอยู่ ข้าหลับตารวบรวมสมาธิอีกครั้ง เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าร่างของก้อนดินและก้อนหินอยู่ในคุกแห่งหนึ่ง

   “คุก” ข้าเผลอพูดออกมาด้วยความแปลกใจ ก่อนที่จะตรงไปหาร่างของก้อนดินที่นอนหลับอยู่

   “ดิน ก้อนดิน” แต่ร่างนั้นก็นิ่งสนิทจนข้าร้อนใจ

   “ใจเย็นๆ ไซเลอร์ ก้อนดินน่าจะถูกผงนิทรา ยาชนิดนี้ไม่มีอันตรายหรอก คนที่ได้รับยาจะยังไม่ตื่นจนกว่ายาจะหมดฤทธิ์”

   “ก๊าส” ก้อนหินที่นอนอยู่บนร่างของก้อนดินส่งเสียงร้องแล้วหันมามองเหมือนรับรู้ได้ถึงการมาของพวกเรา

   “รอก่อนนะเด็กดี เดี๋ยวข้าจะกลับมาช่วย ดูแลตัวเองด้วย”

   “ก๊าสสส” ก้อนหินร้องเหมือนจะรับคำ ข้าอดจะยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   ท่านมอลทีสมองไปยังแสงจันทร์ที่ส่องผ่านช่องระบายอากาศด้านบนลงมาที่พื้น แล้วหันหน้ามามองข้า

   “คุกแบบนี้น่าจะมีอยู่ไม่กี่แห่ง แต่น่าจะไม่ใช่คุกใต้ดินของของบาอัลแน่ เพราะไม่มีเห็ดเรืองแสง” ข้าผงกศีรษะรับจากที่สังเกตก็น่าจะจริง แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นคุกที่อื่นของบาอัลหรือเปล่า

   “เรากลับกันเถอะ ถึงมีเกล็ดมังกรก็ยังพาก้อนดินกลับไม่ได้ รีบไปหาร่างของก้อนดินที่คุกของอาณาจักรเราก่อนถ้าไม่เจอจะได้วางแผนกันเพื่อไปค้นหาที่อื่นต่อ”

   “ครับ” ข้าหันไปมองร่างของทั้งคู่ก่อนจะหลับตาเพื่อกลับไปยังร่างของตัวเอง

   รอก่อนนะก้อนดิน ก้อนหิน แล้วข้าจะรีบกลับมาช่วย!

   ***************************************************************************

   ข้าลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนล้า เพราะการใช้จิตในแต่ละครั้งต้องใช้พลังมากกว่าใช้ร่างกายตามปกติมาก เมื่อลืมตาตื่นมาได้เต็มที่ก็เห็นร็อตกับชเนาเซอร์นั่งอยู่ข้างๆ มองมาด้วยแววตาห่วงใย

   “ท่านมอลทีสล่ะ แค่กๆ” เสียงแหบๆ ของข้าทำให้ชเนาเซอร์รีบลุกไปรินน้ำมาให้ดื่ม ข้าเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงภายในห้อง ข้าขยับตัวเพื่อจะลุกขึ้นมานั่ง ร็อตจะเข้ามาประคองแต่ข้ายังลุกไหวเลยได้แต่โบกมือห้าม

   “ไปประชุมกับคิงและพวกท่านพ่อแล้ว มาสทิฟฟ์กับพรีซาก็ไปด้วย ข้าสองคนเลยอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” ร็อตเป็นคนตอบคำถามของข้าระหว่างที่ชเนาเซอร์เอาแก้วน้ำไปเก็บ

   “ข้าหลับไปนานแค่ไหน” เมื่อได้ดื่มน้ำแล้วเสียงของข้าก็เริ่มดีขึ้น

   “ก็นานพอควร ท่านมอลทีสตื่นขึ้นมาก่อนหน้าเจ้า พอเห็นเจ้ายังไม่ตื่นก็ตรวจดูอาการ แล้วบอกว่าเจ้าแค่อ่อนเพลียจากการใช้พลังเลยยังไม่ฟื้น ให้เจ้าพักผ่อนเพื่อฟื้นพลังต่อ แล้วก็ให้มาสทิฟฟ์กับพรีซาเป็นตัวแทนทีมเราเข้าประชุม ให้ข้ากับชเนาเซอร์คอยดูแลเจ้าแทน ท่านมอลทีสบอกว่าถ้ามีอะไรก็ให้ไปแจ้งท่านได้ทันที” ร็อตเล่าต่อเมื่อเห็นว่าข้ายังดูมึนๆ เบลออยู่

   “อืม ก้อนดินอยู่ในคุก” ข้าพูดถึงสิ่งที่กังวล นึกถึงภาพที่เห็นก่อนที่จิตจะกลับร่าง

   “ท่านมอลทีสส่งคนไปค้นหาที่คุกทุกแห่งในอาณาจักรเราแล้วแต่ยังไม่พบ ก็เลยเข้าประชุมกันก่อนจะแจ้งและขอความช่วยเหลือไปยังอีกสองอาณาจักรด้วย”

   “แล้วเราล่ะ” ข้าถามต่อเพราะอยากออกไปตามหาก้อนดินเต็มทีแล้ว

   “ใจเย็นๆ ไซเลอร์ ท่านมอลทีสบอกว่าถ้าเจ้าตื่นมาก็ฝากบอกให้เจ้าใจเย็นๆ รอให้ประชุมเสร็จก่อนค่อยออกไป ให้ร่างกายเจ้าได้พักผ่อนและฟื้นตัวก่อน จะได้ตามหาได้เต็มที่ไง เจ้าคงไม่อยากเป็นตัวถ่วงของทีมหรอกใช่ไหม” ชเนาเซอร์หรี่ตาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง ข้ารู้ว่าเขาไม่เคยคิดว่าข้าเป็นตัวถ่วงหรอก หรือต่อให้ข้าจะเป็นตัวถ่วงจริง ข้าเชื่อว่าเพื่อนๆ ข้าทุกคนก็พร้อมจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ แต่ด้วยความที่รู้นิสัยกันดี จึงน่าจะพูดดักคอเพราะเป็นห่วงข้ามากกว่า ข้าได้แต่ถอนหายใจแล้วยิ้มขำคนปากแข็ง

   “ยิ้มอะไร ข้าไม่ใช่น้องดินนะ ยิ้มให้แล้วจะใจอ่อนน่ะ นอนไปเลย พักไปก่อนจะได้มีแรง ประชุมเสร็จเมื่อไหร่ข้าจะเรียก เราจะได้ไปตามหาน้องดินกัน” ชเนาเซอร์โวยวายกลบเกลื่อนความเขิน เมื่อข้ายิ้มให้เหมือนรู้ทัน

   “หึๆ” พอได้ยินเสียงหัวเราะของข้ากับร็อต ก็ถลึงตาใส่เราทั้งคู่ ท่าทางแบบนี้สงสัยจะติดมาจากก้อนดิน เห็นแล้วรู้สึกว่ามันน่าเอ็นดูมากกว่าจะน่ากลัว ทำให้เราสองคนหัวเราะขำยิ่งกว่าเดิม คนถูกล้อเลยถลึงตาใส่เราทั้งคู่อีกรอบ

   ร็อตแกล้งกระแอมแล้วหันไปหยิบยาเม็ดที่ใส่ไว้ในถ้วยที่ตั้งอยู่ข้างๆ มาส่งให้ข้า เราไม่ได้กลัวคนที่กำลังถลึงตาใส่หรอกนะ แค่เป็นห่วงกลัวว่าเพื่อนจะตาหลุดออกมามากกว่า หึๆ

   “ยาบำรุง... ท่านมอลทีสให้คนของสำนักแพทย์เอามาให้ กินแล้วนอนพักผ่อนซะ”

   “อืม” ข้ารับคำก่อนจะกินยาที่ร็อตส่งมาให้แล้วล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย ดันทุรังไปก็กลัวจะมีแต่เสียมากกว่าได้ เชื่อฟังท่านมอลทีสไว้น่าจะดีกว่า ถ้าท่านยังใจเย็นอยู่ได้ แสดงว่าก้อนดินกับก้อนหินยังคงปลอดภัยอยู่ เพียงไม่นานหนังตาข้าก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ตัวยาคงมีส่วนผสมของยานอนหลับด้วยแน่ๆ ข้าครุ่นคิดอยู่ในใจก่อนที่จะหลับไป

***************************************************************************

   “ไซเลอร์” เพียงได้ยินเสียงเรียกชื่อเบาๆ ก็ทำให้ข้าสะดุ้งตื่นผุดลุกขึ้นมานั่งทันที เมื่อได้เห็นร็อตทำท่าจะสะกิดเรียก แต่ยกมือเก้อเพราะข้าตื่นขึ้นมาก่อนจะทันสะกิด เห็นแล้วก็อดจะยิ้มขำไม่ได้

   หลังจากสำรวจตัวเองดูก็รู้สึกว่าหลังจากได้พักและได้ยาบำรุงเข้าไปแล้ว พลังก็กลับมาเต็มเปี่ยมจนดูเหมือนจะแข็งแรงมากกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ

   “เอ่อ...” ร็อตยังคงพูดไม่ออก

   “เป็นยังไงบ้าง เราออกไปตามก้อนดินกับก้อนหินได้หรือยัง” ข้าหันไปถามมาสทิฟฟ์กับพรีซาที่ยืนอยู่ข้างเตียงทันทีที่มองเห็นทั้งคู่ พรีซาส่ายศีรษะเพลียๆ กับอาการของข้า มาสทิฟฟ์จึงเป็นคนตอบแทน

   “อือ ท่านมอลทีสบอกว่าถ้าเจ้าพร้อมแล้วก็ไปได้เลย คิงส่งหนังสือไปแจ้งกับราชาอีกสองอาณาจักรล่วงหน้าแล้ว”

   “งั้นไปกันเถอะ” ข้ารีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“เจ้าดีขึ้นแล้วเหรอ” เพื่อนๆ ประสานเสียงถามขึ้นพร้อมกัน แต่ละคนกวาดสายตาสำรวจดูข้าด้วยสายตาห่วงใย ข้าจึงยิ้มขำกับความเป็นห่วงเกินเหตุของเพื่อนๆ

“ดีขึ้นมากเลย ข้ารู้สึกแข็งแรงมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ยาที่ท่านมอลทีสให้คนนำมาให้ช่วยได้มากจริงๆ” ข้าย้ำเพื่อให้ทุกคนสบายใจ

“ถ้าอย่างนั้นค่อยเบาใจหน่อย งั้นเราก็รีบออกเดินทางกันเถอะ” ชเนาเซอร์พูดขึ้นมาเมื่อเห็นข้าปกติดี เจ้าตัวก็คงห่วงก้อนดินไม่แพ้กัน เพราะเจ้าตัวชอบตามดินไปไหนมาไหนมากกว่าคนอื่น

   “อืม” ทุกคนรับคำ ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกัน

   “เราได้รับคำสั่งให้เดินทางไปบาอัล ทีมพี่ไซรอสไปที่รุค นอกจากคิงจะส่งหนังสือไปแจ้งให้ราชาทั้งสองอาณาทราบแล้ว ยังทรงขอไม่ให้ทางนั้นเคลื่อนไหวโจ่งแจ้ง เพราะคนร้ายอาจจะเป็นคนสำคัญในอาณาจักร ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถนำเกล็ดมังกรมาใช้ได้ แล้วให้เราลอบเข้าไปค้นหาแทน ส่วนเรื่องภายในก็ให้องค์ราชาทรงสืบเอง” พรีซาเล่าเรื่องที่เข้าประชุมมาให้ฟังก่อนที่จะออกนอกห้อง

   ***************************************************************************

   เราทั้งห้าเดินทางด้วยมังกรคู่ใจออกจากพระราชวัง ก่อนที่จะฝากมังกรไว้แถวชายแดนของเคลเบรอส แล้วใช้ร่างแปลงในการเดินทางเข้าไปที่อาณาจักรบาอัลแทน เพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต

   เป้าหมายของเราคือคุกร้างที่อยู่ตรงกลางระหว่างอาณาจักรบาอัลและอาณาจักรรุค ซึ่งเป็นคุกใต้ดินที่ถูกปล่อยร้างไว้ เนื่องจากทั้งสองอาณาจักรต่างก็สร้างคุกใต้ดินไว้ใกล้อาณาจักรของตัวเองแทน เพื่อความสะดวกในการดูแลและควบคุมมากกว่าคุกที่อยู่กลางป่าซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์อันตราย

   ส่วนคนที่ต้องไปค้นหาที่คุกในพระราชวัง ต้องใช้คนหน้าใหม่ๆ เข้าไปในฐานะตัวแทนผู้ร่วมประชุมของทางอาณาจักร เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต แต่ทางนั้นมีท่านมอลทีสเดินทางไปร่วมประชุมด้วย เลยไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง

   ระหว่างการเดินทางเราได้เจอกับสัตว์ร้ายหลายชนิด ลางสังหรณ์บอกชัดถึงความผิดปกติ เพราะโดยปกติแล้วสัตว์พวกนี้จะไม่ค่อยออกมาจากป่าลึกง่ายๆ และไม่โจมตีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยไม่มีเหตุผลแบบนี้ เหมือนกับว่าพวกมันพยายามขวางทางคนที่จะผ่านเข้าไปไว้ แต่เพราะเราอยู่ในร่างแปลงจึงทำให้สามารถต่อสู้กับพวกสัตว์ร้ายได้ไม่ยาก เพราะยาชาที่เขี้ยวช่วยผ่อนแรงให้กับเราได้มาก ซ้ำยังไม่ต้องฆ่าสัตว์หายากบางชนิดอีกด้วย

   “ฝูงลิฟฟ่อน” แต่เราก็ต้องชะงัก เมื่อเจอกับสัตว์ใหญ่ที่เคยปะทะกันเมื่อครั้งที่ไปหาสมุนไพรกับก้อนดินอีกครั้ง

   “อีกแล้วเหรอ” เสียงบ่นเซ็งๆ จากชเนาเซอร์ ทำให้พวกเรายิ้มขำ เพราะร่างแปลงของเจ้าตัวมีขนาดเล็กกว่าคนอื่นๆ มาก ถึงจะว่องไว แต่หากปะทะกันตรงๆ ก็เสี่ยงที่จะเป็นอันตรายมากกว่า เราจึงต้องกันให้อยู่ห่างออกไปเพื่อความปลอดภัยของเจ้าตัว

   “เจ้าหลบไปก่อน เดี๋ยวพวกเราจัดการเอง” พรีซาบอกด้วยน้ำเสียงดุๆ เมื่อเจ้าตัวยุ่งของกลุ่มทำท่าเหมือนจะดื้อ

   “ก็ได้ๆ” เจ้าตัวก็รับคำเซ็งๆ ก่อนจะถอยหลังไปคุมเชิงอยู่ด้านหลัง แล้วปล่อยให้เราทั้งสี่กระโจนออกไปจัดการกับฝูงลิฟฟ่อนตรงหน้า

   “ไปต่อกันเถอะ” เมื่อจัดการจนฝูงลิฟฟ่อนล้มลงไปนอนเรียบร้อยแล้ว เราก็ไล่สำรวจเพื่อป้องกันไม่ให้มันลุกขึ้นมาได้อีก ก่อนจะรีบออกเดินทางต่อ เพราะดูจากสิ่งที่ได้เจอแล้วเราน่าจะมาถูกทาง ก้อนดินกับก้อนหินน่าจะถูกขังไว้ที่นี่แน่!

   “เอ่อ... ข้ารู้สึกว่าเราวนมาทางเดิมเป็นรอบที่สามแล้วนะ” เสียงทักของชเนาเซอร์ทำให้เราต้องหยุด เพื่อสังเกตสองข้างทางชัดๆ

   ไม่ใช่เพียงชเนาเซอร์ที่รู้สึก ทั้งข้าและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกและมองหน้ากันตั้งแต่ผ่านจุดนี้มารอบที่สองแล้ว เพียงแต่ข้าพยายามนึกในแง่ดีว่าป่ามันคงคล้ายๆ กันเลยเดินทางต่อ พอชเนาเซอร์ทนไม่ไหวทักออกมานั่นแหละ ถึงได้หยุดสังเกตกันอย่างจริงจังและต้องยอมรับว่ามันเป็นจุดเดิมที่เราผ่านมาแล้วจริงๆ

   “มนตร์บังตาอย่างนั้นเหรอ” พรีซาพึมพำเบาๆ แต่ด้วยประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยมของเรา ทำให้ได้ยินชัดเจน

   “เอายังไงดีพรีซา” มาสทิฟฟท์ที่วิ่งนำหน้าถอยลงมาถาม

   “มนตร์บังตา ถ้าเจ้าตัวไม่อยู่ก็น่าจะมีจุดกำเนิดอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่ง ถ้าทำลายจุดกำเนิดได้ ก็เป็นการทำลายมนตร์ได้เหมือนกัน” พรีซาในฐานะที่คุ้นเคยกับเวทย์มากกว่าทุกคนเพราะอยู่ในสายตระกูลจอมเวทย์อธิบาย

   “แล้วมันอยู่ตรงไหนล่ะ” ชเนาเซอร์ถามแล้วใช้ขาหน้าเกาหัวด้วยความเคยชิน

   “คงต้องช่วยกันหาแล้วละ จุดกำเนิดน่าจะอยู่ไม่ไกลจากแถวนี้มาก เพราะเราวนซ้ำๆ อยู่แค่แถวๆ นี้ ข้าบอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร ให้สังเกตสิ่งแปลกปลอมที่ไม่น่าจะมีในป่า หรืออะไรก็ตามที่มันดูผิดไปจากปกติ ถ้าเจอแล้วให้ส่งสัญญาณเรียกข้า เดี๋ยวข้าไปดูเอง”

   “ได้” เมื่อรับคำเสร็จ เราต่างก็แยกย้ายกันไปค้นหาของที่ว่าทันที

   ข้าพยายามค้นหาในเขตที่รับผิดชอบแทบจะทั่วทุกจุดไล่ไปตั้งแต่พื้นดินจนถึงบนต้นไม้ สายตาก็กวาดมองด้วยความละเอียดเพื่อตรวจดูสิ่งที่ผิดสังเกต จมูกไล่สูดกลิ่นที่ผิดปกติ หูก็กางฟังความเคลื่อนไหวจากสิ่งรอบตัว ก็ยังไม่พบสิ่งที่ถือว่าผิดปกติในบริเวณนี้เลย แต่จะเรียกว่าไม่พบเบาะแสเลยก็คงไม่ใช่ เพราะจากที่สังเกตได้คือป่าบริเวณนี้เงียบมาก ตั้งแต่เดินสำรวจมา ยังไม่พบสิ่งมีชีวิตเลยสักตัว นี่แหละที่ถือว่าผิดปกติ

   วี้ดดดดด

   ข้ายืดตัวตรงและหูกระดิกทันทีเมื่อได้ยินสัญญาณจากชเนาเซอร์ ข้าเงี่ยหูฟังเพื่อจับทิศทาง ก่อนจะรีบวิ่งไปทางสัญญาณเสียงทันที เพราะมันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวพบสิ่งปกติอะไรสักอย่าง!

   “กรรร” เมื่อไปถึงก็พบว่าชเนาเซอร์ยืนขู่และใช้ขาตะปบตัวตุ่นตัวหนึ่งไว้อยู่ ส่วนขาอีกข้างหนึ่งก็ตะปบปิดที่รูของมันเอาไว้ มีร็อตยืนมองขำๆ อยู่ข้างๆ ไม่นานมาสทิฟฟ์กับพรีซาก็ตามมาถึง

   “นี่เหรอสิ่งผิดปกติของเจ้า ข้าไม่เห็นจะมีอะไรแปลก ก็แค่ตุ่นตัวหนึ่ง” มาสทิฟฟ์บ่นทันทีเมื่อมองเห็นสถานการณ์ตรงหน้า

   “มันจะไม่ผิดปกติได้ยังไง ในเมื่อแค่ข้าเดินมาใกล้ ไอ้ตุ่นบ้านี่มันก็วิ่งออกมาจากรูแล้วไล่กัดข้า พอข้าขู่ มันก็กระโจนใส่ โดนถีบกี่ครั้งก็ไม่ยอมหนี ตุ่นบ้าอะไรวะไม่กลัวหมา ในชีวิตข้าไม่เคยเจอมาก่อน แค่นี้ก็ถือว่ามันผิดปกติแล้ว!” ชเนาเซอร์ร่ายยาวด้วยความโมโห ปิดท้ายด้วยส่งเสียงขู่ตุ่นที่ยังคงพยายามดิ้นหนีอยู่ใต้ฝ่าเท้า

   “อืม ที่ชเนาเซอร์พูดก็ถูกนะ ปกติสัตว์พวกนี้ขี้กลัวจะตายไป นี่กลับไม่กลัวแถมยังสู้ เอ่อ... กับหมาอีก อีกอย่างตั้งแต่ข้าออกสำรวจก็ยังไม่เจอสัตว์สักตัว ตัวตุ่นตัวนี้แหละที่ถือว่าเป็นสัตว์ตัวแรกที่เจอ” ร็อตมองไปที่ตัวตุ่นแล้วทำท่าครุ่นคิด

   “ข้าก็คิดเหมือนกัน ป่าแถวนี้เงียบผิดปกติ ตั้งแต่แยกออกไปสำรวจก็ยังไม่พบสัตว์เลยสักตัวเหมือนกัน” ข้าเสริม แล้วหันไปมองพรีซาที่ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ ก่อนที่พรีซาจะกลายร่างเป็นมนุษย์ หยิบสัญลักษณ์ประจำตระกูลออกมาแล้วเริ่มร่ายเวทย์

   ตัวตุ่นตรงหน้าก็ยิ่งดิ้นใช้เท้าตะกายพื้นดิน มันแรงเยอะจนชเนาเซอร์นิ่วหน้า ร็อตจึงต้องขยับเข้าไปช่วยกดตัวไว้ พรีซาร่ายเวทย์ต่อเพียงไม่นานก็มีแสงปกคลุมร่างตัวตุ่นและรูของมัน เมื่อพรีซาร่ายเวทย์จบ ตัวตุ่นก็กลายเป็นซากแล้วสลายกลายเป็นผุยผง

   “ตายแล้วหรอกเหรอ” เสียงหงอยๆ ของชเนาเซอร์ทำให้ร็อตต้องยกขาหน้าตบขาที่ยังคงเหยียบรูไว้เบาๆ เป็นการปลอบใจ

   “เจ้าอย่าเศร้าไปเลย อย่างน้อยดวงจิตมันก็ถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จะได้ไปเกิดใหม่สักที” เมื่อได้ยินคำพูดของพรีซา ชเนาเซอร์ถึงได้ถอนหายใจและยิ้มออก

   “ไปกันเถอะ” มาสทิฟฟ์บอก ก่อนจะวิ่งนำไปเหมือนเดิม ข้าหันไปมองชเนาเซอร์ที่ก้มลงไปที่ซากตัวตุ่นแล้วพูดเบาๆ

   “ขอให้ไปเกิดในที่ดีๆ นะ” ฟังแล้วก็อดจะยิ้มไม่ได้ ข้ารอให้ชเนาเซอร์วิ่งนำไปก่อน แล้วค่อยวิ่งตาม ช่วงที่เจ้าตัวอ่อนไหวแบบนี้ ข้าคงไม่กล้าให้อยู่ด้านหลัง เพราะกลัวจะเป็นอันตราย ร็อตก็คงคิดเหมือนกัน เพราะเจ้าตัวก็รอให้ข้านำไปก่อนแล้วค่อยปิดท้ายขบวน

   พอมนตร์บังตาหายไป เราก็ไม่ต้องวนกลับมาที่จุดเดิมอีก เมื่อเหนื่อยก็หยุดพัก พอหายเหนื่อยก็เร่งออกเดินทางกันต่อ ไม่มีใครบ่นอะไร เพราะต่างคนต่างก็เป็นห่วงก้อนดินและก้อนหินไม่ต่างกัน ถึงจะไม่พูดออกมาแต่ข้าก็รับรู้ได้ด้วยความรู้สึกและจากแววตาร้อนใจของแต่ละคน

   ถึงแม้จะชอบล้อชอบแกล้งทั้งคู่ แต่ทุกคนก็ทั้งหวงทั้งห่วงและคอยปกป้องคุ้มครองเป็นอย่างดีมาโดยตลอด แต่เมื่อก้อนดินกับก้อนหินหายไปทั้งๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ทั้งข้าและเพื่อนๆ ทุกคนยิ่งรู้สึกผิด แต่ในเมื่อมันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือต้องพยายามเก็บความร้อนรนกระวนกระวายเอาไว้ภายใน และพยายามช่วยกันค้นหาก้อนดินกับก้อนหินให้พบเร็วที่สุด


(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา


ไซเลอร์.... ช่วยเราด้วย!!!

“ก้อนดิน” เสียงเรียกให้ช่วยของก้อนดินในความฝัน ทำให้ข้าผวาตื่นขึ้นมาเรียกชื่อก้อนดินเสียงดัง ข้าลุกขึ้นมาหายใจหอบ เหงื่อซึมทั่วใบหน้า หัวใจเต้นกระหน่ำเหมือนคนที่เพิ่งออกแรงมามากกว่าคนที่เพิ่งจะนอนหลับไป

จากการที่เราเดินทางเร่งรีบจนแทบไม่ได้หยุดพัก ทำให้ร่างกายแต่ละคนอ่อนล้า พรีซาจึงตัดสินใจให้เราได้หยุดพัก โดยสับเปลี่ยนกันนอนเพื่อพักร่างกายบ้าง พอถึงคราวข้ากับร็อต ข้ากลับได้ยินเสียงร้องไห้และเสียงเรียกให้ช่วยของก้อนดิน สีหน้าของข้าจึงเต็มไปด้วยความกังวลอย่างไม่อาจห้ามได้ เพราะการที่ผูกจิตไว้กับก้อนดิน ทำให้รู้ว่าฝันนี้เหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าคงเกิดอะไรขึ้นกับก้อนดินสักอย่าง และคงไม่น่าจะใช่เรื่องดี แต่ทุกคนก็เงียบไม่มีใครพูดอะไรออกมาให้ใจเสีย ได้แต่เร่งเดินทางต่อด้วยความเร่งรีบยิ่งกว่าเดิม

   เมื่อใกล้จะถึงจุดหมาย เราก็ต้องลดฝีเท้าลง เพราะได้กลิ่นมนุษย์ลอยมาตามลมอยู่ไม่ไกล

   “ระวังตัวกันด้วย” พรีซาเอ่ยเตือน ทุกคนผงกศีรษะรับทราบ แล้วเปลี่ยนจากวิ่งมาเป็นเดินด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด เพราะไม่รู้เลยว่าคนพวกนั้นเป็นคนดีหรือคนร้ายกันแน่

   เมื่อย่องไปจนใกล้ตำแหน่งที่น่าจะเป็นคุกร้างแล้ว เราก็พบกับมนุษย์หลายคนที่ยืนกระจายตัวอยู่รอบๆ บริเวณก่อนที่จะถึงคุก เหมือนกับว่าพวกเขากำลังเฝ้าอะไรสักอย่างอยู่ หัวใจของข้าเต้นรัวด้วยกังวลและความคาดหวังว่าคนที่พวกมันเฝ้าจะเป็นก้อนดินและก้อนหิน

   จากที่สังเกตและจากสัญชาติญาณของข้าบอกว่าคนพวกนี้ไม่ใช่คนในมิติของเรา น่าจะเป็นคนที่หลงมาจากมิติอื่นๆ เพราะกลิ่นที่รับได้บ่งบอกว่าไม่ใช่คนของทั้งสามอาณาจักร รวมทั้งไม่ใช่คนจากอาณาจักรใต้น้ำด้วย คาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มคนที่หลุดรอดไปจากการตามล่าเพื่อส่งกลับไปยังมิติเดิม

   ว่าแต่... มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ข้าคิดด้วยความแปลกใจ แต่ดูอาวุธที่แต่ละคนถือไว้ในมือก็ไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่นัก เราทั้งห้าเลยเคลื่อนไหวกันแบบระมัดระวังตัวมากขึ้น

   พรีซาส่งสัญญาณให้เราแยกตัวกันออกไปจัดการคนที่เฝ้ารอบนอกก่อน แล้วค่อยไปรอจัดการพวกที่น่าจะเฝ้าอยู่ด้านหน้าและด้านในอีกที พอรับคำแล้วเราก็แยกตัวออกไปทางทิศที่ได้รับมอบหมายในทันที

   ข้าเปลี่ยนร่างเป็นร่างมนุษย์แล้วย่องไปด้านหลังใช้มือข้างหนึ่งปิดปากเพื่อไม่ให้มันส่งเสียงดังให้คนอื่นๆ ได้ยิน ก่อนจะจัดการทำให้มันสลบไป แล้วย่องไปจัดการกับคนอื่นต่อ จนไปเจอกับร็อตที่จัดการคนสุดท้ายสลบไปพอดี จึงพยักหน้าให้แล้วพากันเดินไปทางประตูทางเข้าคุกใต้ดิน เมื่อไปถึงก็เห็นมาสทิฟฟ์กำลังจัดการกับพวกที่เฝ้าอยู่หน้าคุก เราจึงเข้าไปช่วยอีกแรง เพียงไม่นานพรีซากับชเนาเซอร์ก็ตามมาสมทบ

   “ส่งสัญญาณให้ท่านทราบเร็ว!” หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นมา ก่อนที่อีกคนจะจุดพลุส่งสัญญาณ แม้ว่าชเนาเซอร์จะกระโจนเข้าไปหยุดไว้ก็ไม่ทัน

   “ให้ตายสิ!” มาสทิฟฟ์สบถอย่างหัวเสีย เราจึงรีบเร่งมือจัดการกับพวกที่เหลือให้เร็วที่สุด เพราะกลัวว่าถ้าพวกมันส่งกำลังมาเสริมแล้วจะรับมือไม่ไหว เนื่องจากไม่รู้ว่าพวกมันที่เหลือมีจำนวนเท่าไหร่และอยู่ใกล้หรือไกลแค่ไหน

   “ไซเลอร์ ร็อต กับเชนาเซอร์ลงไปดูข้างล่างเถอะ เดี๋ยวข้ากับมาสทิฟฟ์จะคอยดูตรงนี้ไว้ให้เอง”

   หลังจบคำพูดของพรีซา ข้าก็รีบวิ่งนำลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางก็จัดการกับเจ้าพวกที่เข้ามาขวางทางเป็นระยะ เมื่อลงไปถึงพื้นก็ไล่กวาดสายตาหาก้อนดินและก้อนหินในห้องขังทั้งสองฝั่งด้วยความร้อนรน ข้าวิ่งจนเข้าไปถึงด้านในสุดของคุก ซึ่งเป็นห้องขังห้องสุดท้ายที่ติดกำแพง เมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านใน ข้าก็แทบจะโห่ร้องด้วยความยินดี

   ก้อนดินกับก้อนหิน!

   เมื่อไปถึงหน้าประตูห้องขังก็พบว่าโซ่กับกุญแจที่คล้องไว้ถูกปลดออกและประตูถูกเปิดทิ้งไว้ ข้าใจหายวาบเมื่อเห็นว่าด้านในมีคนนอนคว่ำหน้าอยู่ กลัวเหลือเกินว่าข้าจะมาถึงช้าเกินไป

   ข้าเดินเข้าไปในห้องขังก็ต้องแปลกใจที่ได้พบว่าก้อนหินโตขึ้นจนสูงเกือบจะถึงเอว มันยืนกางเล็บขวางอยู่เหมือนจะทำหน้าที่คอยคุ้มกัน

   “ก๊าส”

   เมื่อเห็นว่าเป็นข้า มันก็ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนจะดีใจ ก่อนจะถอยหลังแล้วรีบวิ่งกลับไปหาก้อนดินที่ถือดาบนั่งหอบอยู่กับพื้น

   “ก้อนดิน” ข้าเร่งฝีเท้าเข้าไปหาก่อนจะย่อตัวลงนั่งแล้วรวบตัวก้อนดินเข้ามากอดด้วยความดีใจ

   “ไซเลอร์” ก้อนดินเรียกข้าด้วยน้ำเสียงโล่งใจ ก่อนจะปล่อยดาบแล้วกอดตอบกลับมาเช่นกัน

   “ขอโทษนะก้อนดิน ขอโทษที่ปล่อยให้เจ้าต้องลำบากอีกแล้ว” เสียงของข้าสั่นพร่าด้วยความรู้สึกผิดเมื่อเห็นสภาพเหนื่อยล้าและอ่อนแรงของก้อนดิน

   “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย” น้ำเสียงแผ่วเบาเจือหอบของก้อนดินทำให้ข้าต้องกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ให้มั่นใจอีกสักนิดว่ามันไม่ใช่เพียงความฝัน ให้มั่นใจอีกสักนิดว่าข้าได้ก้อนดินคืนสู่อ้อมกอดแล้วจริงๆ

   “ก๊าสสส” ก้อนหินเอาหัวโขกแขนข้าเหมือนจะประท้วง ทำให้ข้าต้องผละตัวออกจากก้อนดิน เมื่อหันไปมองแล้วเห็นสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่สบอารมณ์ของก้อนหินก็ทำให้เราทั้งคู่หัวเราะออกมาพร้อมกัน ข้าเลยอดจะดึงมันเข้ามากอดด้วยความเอ็นดูไม่ได้

   “อะแฮ่ม ข้าว่าอย่าเพิ่งรีบซึ้งกันอยู่เลย รีบหนีไปก่อนดีกว่า ค่อยไปซึ้งอีกทีตอนกลับถึงบ้านก็ยังไม่สายนะ” ชเนาเซอร์เอ่ยขัดขึ้นมา ทำให้ข้ารู้ตัวว่าตอนนี้เรายังไม่ปลอดภัยกันจริงๆ

“งั้นเราไปกันเถอะ”

“เอ่อ.... พยุงเฉยๆ ก็ได้ไซเลอร์ ข้าพอมีแรงอยู่บ้าง” เมื่อข้าก้มลงจะอุ้มก้อนดิน เจ้าตัวก็ทักท้วงขึ้นก่อน ข้ายิ้มขำคนที่ยังมีแรงเขินอายจนหน้าซีดๆ เปลี่ยนเป็นมีสีเลือดจางๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสอดใต้รักแร้แล้วพยุงตามที่เจ้าตัวต้องการ

เมื่อเดินผ่านคนที่สลบอยู่ระหว่างทางขึ้นไปจนถึงหน้าคุกก็พบกับกลุ่มคนนับสิบที่เพิ่งจะวิ่งพ้นแนวป่าออกมาพอดี

“ให้ตายสิ” มาสทิฟฟ์สบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะตั้งดาบเตรียมรับ ในขณะที่คนอื่นๆ ก็ชักดาบออกมาแล้วขยับขึ้นไปบังข้ากับก้อนดินไว้

“ก๊าสสสส” แม้แต่ก้อนหินยังร้องเสียงต่ำๆ เหมือนจะขู่แล้วกางเล็บออกมาสะบัดหางไปมาอย่างพร้อมสู้!

“หึๆๆ คิดว่าจะสู้ได้อย่างงั้นเหรอ” เสียงหัวเราะของคนที่เดินมาอยู่ด้านหน้าในชุดผ้าคลุมสีดำสนิททั้งตัว ทำให้เราต้องระแวดระวังมากขึ้น เพราะตั้งแต่คนๆ นี้ปรากฏตัวขึ้นก็ทำให้บรรยากาศรอบๆ ตัวกดดันขึ้นทันที บ่งบอกว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่

“ต้องการอะไร” พรีซาถามหยั่งเชิงออกไป

“ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ ส่งมังกรมรกตกับผู้ร่วมชะตามาซะ แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป”

“คิดว่าจะเอาไปได้ง่ายๆ ก็ลองดู” มาสทิฟฟ์ตอบพร้อมกับยิ้มอย่างยียวน

เคร้งๆๆ

สิ้นคำตอบลุกสมุนของมันก็พุ่งเข้ามาสู้ทันที และต่อให้จำนวนน้อยกว่า แต่ฝีมือและแรงของคนในมิติเรามีมากกว่าถือเป็นข้อได้เปรียบซึ่งทำให้ทั้งสี่สู้ได้ไม่ตึงมือนัก

“รออยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปช่วยเพื่อนๆ ก้อนหินดูแลก้อนดินด้วย ถ้ามีอะไรให้ร้องเรียกดังๆ” ข้าค่อยๆ พยุงก้อนดินให้นั่งพัก ก่อนจะบอกก้อนหิน

“ก๊าส” ก้อนหินรับคำแล้วขยับมาบังก้อนดินไว้อย่างพร้อมจะปกป้อง

“ระวังตัวด้วยนะ”

“อืม” ข้ารับคำก้อนดิน ก่อนจะชักดาบออกมาแล้วตรงไปช่วยเพื่อนๆ เมื่อมีกำลังเพิ่มขึ้น ก็ทำให้เราเอาชนะได้ไม่ยาก เพียงไม่นานคนของพวกมันก็ลงไปกองที่พื้นหมด เราทั้งห้าถอยออกมาบังก้อนดินไว้เหมือนเดิม

“หึ ฝีมือใช้ได้นี่นักสู้แห่งเคลเบรอส ถ้าอย่างนั้นลองเจอคนที่ฝีมือเหมือนกันหน่อยเป็นไง” เมื่อพูดจบ คนตรงหน้าก็โบกมือ ก่อนจะมีกลุ่มคนที่โผล่ออกมาจากแนวป่าเกือบสิบคน

มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงไม่รู้สึกหรือได้กลิ่นเลย!

“เฮ้ย!” เพียงแค่เห็นหน้าคนที่ออกมาชัด ชเนาเซอร์ถึงกับหลุดเสียงอุทาน เพราะคนเหล่านี้เป็นเพื่อนชาวบาอัลที่เคยฝึกร่วมกันมา และทุกคนแววตาดูเลื่อนลอยเหมือนกับถูกสะกด

“ไป”

สิ้นเสียงสัญญาณจากอีกฝั่ง เราก็พุ่งออกไปสู้กันอีกครั้ง ครั้งนี้ถึงแม้ว่าฝีมือและพละกำลังจะสูสีกัน แต่ทางฝั่งเรามีจำนวนน้อยกว่า อีกอย่างเพราะทุกคนถูกควบคุมอยู่จึงไม่มีการยั้งมือสักนิด ไม่เหมือนฝั่งเราที่ไม่สามารถตอบโต้เต็มที่เพราะพวกเขาคือเพื่อนที่รู้จักกันดี จึงทำให้เราเสียเปรียบ เพราะทำได้แค่เพียงหลบเลี่ยง แต่ละคนจึงบาดเจ็บและสะบักสะบอมกันไม่น้อย

“ใช้ร่างแปลงเถอะ ร่างนี้น่าจะสู้ไม่ไหวแน่” เสียงพรีซาที่สื่อมาทางจิต ทำให้ข้าและคนอื่นๆ หาโอกาสเปลี่ยนร่าง แต่เพราะการต่อสู้มันตึงมือไป เลยหาโอกาสไม่ได้สักที

 “ก้อนหิน!!”

“ก๊าสสสสสสส”

เสียงของก้อนดินและเสียงร้องก้อนหินทำให้ข้าใจหายวาบ รีบทำให้คู่ต่อสู้สลบไป พอหันไปดูก็พบว่ามีคนที่หลุดเข้าไปใกล้ทั้งคู่ได้

“ไซเลอร์ระวัง!!” เพราะมัวแต่ห่วงทั้งคู่ ทำให้มีช่องให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาโจมตี ข้าคิดแค่ว่าจะพยายามเลี่ยงให้พ้นคมดาบให้ได้มากที่สุด เพราะระยะกระชั้นขนาดนี้ยังไงก็คงหลบไม่พ้นแน่!

“ก๊าสสสสส”

แต่เพียงแค่เริ่มขยับตัวกลับมีแสงสว่างจ้าออกมาจากก้อนดินและก้อนหิน แสงนั้นสว่างแสบตาจนฝืนลืมตาไม่ไหว พอหลับตาลงความรู้สึกของข้าก็วูบดับไป

ก้อนดิน ก้อนหิน!


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ชื่อตอนมันก็จะเน่าๆ เหมือนคนแต่งหน่อยนะคะ   :m13:
โอ๊ย! ปลายปีนี่เป็นอะไรที่หัวหมุนมากๆ จริงๆ ค่ะ
แถมยังผิดที่ทิ้งประเด็นไว้ซะเยอะ เก็บไม่หวาดไม่ไหว ถถถ วงวารตัวเอง
แต่อย่างที่บอก ถ้าเขียนไม่ออกก็ไม่อยากเร่งตัวเองเลยค่ะ อยากพยายามให้เต็มที่ให้ถึงที่สุดก่อน
ก็ได้ประมาณนี้แหละค่ะ แหะๆ  :m17:
จะพยายามวิวัฒนาการตัวเองขึ้นในเรื่องต่อไปนะคะ  :m18:
ว่าจะเขียนพี่ (เป็ด) แคน กับพี่ (ควาย) แสนต่อ
เอ่อ... ถ้าขยันเขียนต่ออะนะ ถถถ บางทีก็คิดว่าเราอาจจะไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ค่ะ แหะๆ  :m23:

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

   #game6969 กราบบบบบแนบอกค่ะ คิดถึงคนอ่านเหมือนกันนนนนน งื้ออออ  :L1:
   #MayA@TK แล่เนื้อ เอาเกลือทา ราดด้วยน้ำ สับให้เละ โยนให้ก้อนหินกิน โอเคไหมคะ #สายโหด  :laugh:
   #KARMI คิดถึงมากๆ เหมือนกันค่า  :กอด1:
   #ommanymontra กราบแนบอกงามๆ สักสองสามทีค่ะ ปลื้มมมมมมมมม กอดกำลังใจเต็มแขน พร้อมจับก้อนหินฟัดดดด จะได้หัวดี คิดอะไรก็ออกค่ะ  :กอด1:
   #♥►MAGNOLIA◄♥ ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่า กอดดด ก้อนหินใกล้จะโตแล้วค่ะ ใกล้จะจบละ ถถถ ลูกใครหว่า โตช้าจริงๆ แฮ่!  :m23:
   # Billie  :L2: :กอด1: :L2:
   #suikajang มาแล้วค่า หลังจากแวะมารับกำลังใจไปเต็มๆ  งื้ออออออ อ้อนนนนนน จะพยายามพายเรือเทียบท่าไปหาให้ได้ไวๆ ค่ะ  :m1:
   #aiyuki ตันนานมากๆๆๆๆ คิดถึงคนอ่านเหมือนกันค่า  :กอด1:
   #alternative พอไม่โตก็ทำอะไรไม่ได้ค่ะ ก้อนหินเลยโมโห 555555  :laugh:
   #poppycake นี่ขนาดโตแล้วนะคะ ยังติดก้อนดินสุดๆ เลย 555555  :laugh:
   #ซีเนียร์ ขอบคุณค่า  :impress2:
   #เก้าแต้ม คิดถึงคนอ่านเหมือนกันค่า  :impress2:
   #mild-dy  :กอด1: :L2: :กอด1:
   #Yara จะพยายามค่า  :L1:
   #tiew93 กอดดดดด ขอบคุณค่า  :กอด1:
   #takara มาๆ มาลุ้นกันต่อค่า  :L2:
   #•♀NoM!_KunG♀• มาแล้วค่า ขอบคุณค่า  :pig4:
   #HISY คนอ่านก็น่ารักมากๆ เหมือนกันค่ะ ขอบคุณค่า  :pig4:

กอดรวบทุกคนอีกที
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ฮุย เล ฮุยยยยยยยยย กระดึบต่อปายยยยยยยยยยย
[/color]

 
:katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
 :L2: สู้ๆจ้า ในที่สุด็ได้เจอแล้ว ขอให้ช่วยได้สำเร็จค่ะ และรอเป็นกำลังใจตามต่อในเรื่องต่อไปจ้า  :3123:
 :L1:  :pig4:  :L1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จอมขมังเวทย์ เครียดแค้นอะไรนักหนา

ว่าแต่แสงสว่างวาบนั้นช่วยก้อนดิน ก้อนหิน ไว้ใช่ป่ะ
มาจากใคร หรือก้อนหินมีพลังขึ้นเอง แล้วปล่อยแสงเอง

เวลาแบบนี้หิน ยังหวงไซเล่อร์ที่กอดดินอีกรึ หวงสุดๆจริงๆ
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
ลุ้นๆๆใครเป็นตัวร้ายกันนะ  ไซเลอร์จะเป็นไรไหมอ่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ลุ้นทุกตอนเลย เฮียไซจะเป็นไงเนี่ย แล้วทำไมต้องจับก้อนดิน ก้อนหินด้วยยย

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ HISY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-3
โอ๊ยยย ลุ้นค่าาา
เหมือนกำลังดูหนังอยู่เลยอ่ะ สู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ duck-ya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ก้อนหินปลดพลังหรอ หรืออะไรอ่ะ โอ้ยลุ้น
จบครั้งนี้ขอเวลาให้พ่อแม่ลูกเค้าอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขแปบนึงเนอะ
รอตอนต่อไปค่าา

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
บทที่ 31 ต้นสายปลายเหตุ

   ผมค่อยๆ ลืมตา ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกมึนๆ เบลอๆ เอ๋อๆ งงๆ อย่างบอกไม่ถูก เพราะในหัวมีแต่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากมาย เห็นตัวเองผลุบๆ โผล่ๆ ไปๆ มาๆ หลายๆ ที่ จนสับสนว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงหรือเป็นแค่ความฝัน

เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มที่ก็เห็นหลังคามุงจากปรากฏในสายตา เห็นแล้วรู้สึกคุ้นๆ ว่าเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน คุ้นจนต้องขมวดคิ้วนึก

“ก๊าสสสส”

“แอ่ก!” แต่ยังไม่ทันได้นึกอะไรออก ก็ถูกก้อนหินที่ตอนนี้ตัวใหญ่กว่าเดิมมาก พุ่งมากอดจนจุก

“อูยยย จะฆ่ากันเหรอหิน”

“ก๊าส” แน่ะมีเถียง ผมกอดมันแล้วฟัดด้วยความมันเขี้ยว ถึงหูจะได้ยินเสียงร้องตามปกติ แต่ในหัวก็ยังคงได้ยินเสียงพูดของมันอย่างชัดเจน แสดงว่าเรื่องที่สื่อสารกับก้อนหินได้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน

   “อือ” เสียงครางเบาๆ ของใครสักคนทำให้ผมพยายามลุกขึ้นมานั่ง ซึ่งก้อนหินก็ยอมขยับตัวออกให้แต่โดยดี เมื่อลุกขึ้นมาได้แล้วมองไปจากเตียงไม้ที่นั่งอยู่ก็เห็นไซเลอร์กับเพื่อนนอนเรียงรายกันอยู่ด้านล่าง

   “ไซเลอร์” เมื่อผมเรียกชื่อ เจ้าตัวก็ผุดลุกขึ้นมานั่ง ทำท่าจะคว้าดาบ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อไม่เห็นอาวุธของตัวเอง แต่เมื่อสายตามองมาเห็นผมที่นั่งมองขำๆ อยู่ก็ลุกพรวดพราดขึ้นแล้วเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

   “ก้อนดิน เป็นอะไรรึเปล่า” ถามแล้วก็ไม่รอคำตอบ ไซเลอร์กวาดสายตาสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่คงยังไม่พอใจ พี่แกเลยจับและลูบไปตามร่างกายของผมเหมือนจะตรวจดูให้แน่ใจว่าผมไม่ได้เป็นอะไร ส่วนผมได้แต่นั่งตัวแข็งเป็นหินเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

   ไม่ต้องลูบเยอะขนาดนั้นก็ได้มั้ง เดี๋ยวเลขก็ขึ้นหรอก!

   “ก๊าสสสส” ยังไม่ทันได้เอ่ยปากห้าม ก้อนหินก็เอาหัวโขกแขนไซเลอร์ให้แทนซะก่อน

   “หึๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะเหมือนคนโรคจิตที่คุ้นเคยทำให้ผมต้องเบี่ยงตัวหันไปมอง ก็พบกับสายตาอีกสี่คู่ของคนที่เหลือ ที่ตื่นมานั่งจ้องเราสองคนด้วยสีหน้าล้อเลียนตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือผมเนี่ยรู้สึกร้อนตั้งแต่หนังหน้าลามไปทั้งตัวเหมือนกับจะไหม้!

   โว๊ะ! ขนาดไม่เจอกันนาน ก็ยังคงคอนเซ็ปต์แซ็วได้แซ็วดีอยู่เหมือนเดิมนะคนพวกนี้นี่

   “ตื่นกันแล้วเหรอ” เสียงของคนที่ยืนอยู่หน้าประตูกระท่อมทำให้เราหันไปมองพร้อมกัน พี่ๆ แกทำท่าจะคว้าดาบตามความเคยชิน ก่อนที่ทุกคนจะนิ่งเมื่อไม่พบอาวุธคู่กายของตัวเอง มันเป็นภาพที่ดูน่าขำจนผมหายเขิน แต่กลับไม่มีใครโวยวายอะไร เพราะคนที่มามีแค่คนเดียว อีกอย่างถ้าคนตรงหน้าตั้งใจจะทำร้ายก็คงทำไปนานแล้ว ไม่ปล่อยให้เรานอนดีๆ แบบนี้หรอก

   ที่สำคัญหลังจากที่กวาดสายตาดูคร่าวๆ ผมก็รู้ว่าที่นี่น่าจะเป็นกระท่อมกลางป่าของลุงเซเรสที่ผมเคยหลงเข้ามาตั้งแต่มาถึงมิตินี้ในตอนแรกๆ

   ผู้ชายตรงหน้าก็มีรูปร่างหน้าตาและสีผมคล้ายๆ กับลุงเซเรสมาก ต่างกันแค่คนตรงหน้ายังเป็นหนุ่ม อายุไม่น่าจะเกินสามสิบและตาไม่บอด

   เอ่อ... ว่าแต่.... ใครวะ?   

   ลูกลุงเหรอ? เอ... แต่ลุงเคยบอกว่าไม่มีลูกหลานนี่หว่า?

   “เอ่อ ท่านเป็นอะไรกับลุงเซเรสครับ แล้วลุงเซเรสล่ะอยู่ที่ไหน” จบคำถามของผมแทนที่คนตรงหน้าจะตอบ กลับหลุดขำซะอย่างงั้น ผมเลยได้แต่ทำหน้าเหมือนหมางง

    อะไรของเขาวะ!

   “ไม่เจอกันไม่เท่าไหร่ เจ้าลืมข้าแล้วเหรอ” เมื่อหยุดขำได้ คนตรงหน้าก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน

   “หา! เราเคยเจอกันด้วยเหรอครับ” ผมถามแล้วก็ได้แต่เอียงคอทำหน้าเป็นหมางงยิ่งกว่า งงแบบไม่เกรงใจหมาๆ รอบๆ ตัวเลยด้วย แหะๆ ยังจะมีอารมณ์เล่นมุกอีกตัวกู แต่ยิ่งมองรอยยิ้มของคนตรงหน้าแล้วก็ยิ่งรู้สึกคุ้นๆ พิกล เหมือนจะเคยเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่ไหนมาก่อน

   อืม... เคยเห็นที่ไหนหว่า?

   “ก๊าสสส”

   “ห๊ะ! ลุงเซเรส!!!” ผมอุทานลั่นด้วยความตกใจ เมื่อก้อนหินบอกว่าคนตรงหน้าคือลุงเซเรส เมื่อได้ยินชื่อตัวเองจากปากของผม ชายหนุ่มตรงหน้าก็ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม

   “ใช่แล้ว ข้าเอง”

   “...”

   “เอ่อ... มันเกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมลุงถึงได้ดูหนุ่มขนาดนี้” เมื่อตั้งตัวได้ผมก็ถามด้วยความสงสัย ลุงเซเรสที่ไม่เหมือนลุงเซเรสคนเก่าจึงลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ เตียง ดูแววแล้วน่าจะต้องเล่ากันยาว คนอื่นๆ จึงได้ขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งบ้างยืนบ้าง ผู้ชายตัวใหญ่ๆ มาอัดอยู่ในกระท่อมด้วยกันแบบนี้มองแล้วรู้สึกเหมือนกระท่อมจะแคบไปถนัดตา

   “เจ้าจำได้ไหมว่าก่อนจะมาอยู่ที่นี่เกิดอะไรขึ้น” คำถามของลุงทำให้ผมชะงักแล้วครุ่นคิด

   ก่อนที่จะมาที่นี่อย่างงั้นเหรอ...

*********************************************************************

   หลังจากรู้ว่าก้อนหินใช้เลือดในการแก้พิษให้กับผม ถึงแม้จะรู้สึกผิดที่ต้องมาเป็นภาระให้กับมัน แต่ผมก็ต้องยอมให้ก้อนหินป้อนเลือดให้ต่อไป เพื่อที่จะได้หายเร็วๆ จะได้กลับมาปกป้องก้อนหินได้เหมือนเดิม ระหว่างนั้นก็ต้องพยายามทำใจให้เข้มแข็งมากที่สุด เพราะจากที่ได้เรียนมา กำลังใจที่ดีมีผลต่อการรักษาเป็นอย่างมาก

   หลังจากที่กินเลือดของก้อนหินไปหลายวัน พิษในร่างกายของผมก็หมดไปในที่สุด วันรุ่งขึ้นผมก็ฟื้นลืมตาตื่นขึ้นมาได้ ก้อนหินถลาเข้ามากอดด้วยความดีใจ มันร้องไห้ไปเอาหัวถูไปจนเสื้อแทบจะขาด

   “ก๊าสสส”

   “ชู่ แค่กๆ อย่าร้องสิ แฮ่กๆๆ” ผมพยายามกอดและปลอบมันด้วยเสียงแหบๆ แค่ออกแรงพูดนิดเดียวก็หอบอย่างกับหมาหอบแดด พอได้ยินเสียงผมนั่นแหละ ก้อนหินถึงได้ลุกไปเอาน้ำมาป้อน ผมพยายามขยับตัวลุกขึ้นนั่งเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ทำงานบ้าง ถึงจะเหนื่อยแต่ก็ต้องทำ ร่างกายจะได้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

   ระหว่างที่รอให้ร่างกายผมฟื้นตัวและรอคอยโอกาสที่จะหนีออกไป เราทั้งคู่ต้องระวังไม่ให้พวกมันรู้ว่าเราสามารถถอนพิษได้แล้ว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่เดินลงมาเมื่อไหร่ ผมต้องรีบกลับมานอนบนที่นอนแล้วแกล้งหลับ

   ระหว่างนี้ก้อนหินก็โตขึ้นเรื่อยๆ มันโตเร็วยิ่งกว่าเวลาหลายเดือนที่อยู่ด้วยกันซะอีก เพราะตอนนี้มันไม่ต้องให้เลือดกับผมแล้ว พลังที่ท่านอีริคให้มาจึงส่งผลต่อตัวมันอย่างเต็มที่

   แต่แล้วโอกาสหนีของเราก็มาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อมีหนึ่งในพวกมันเข้ามาส่งอาหารแล้วทำท่าจะเข้ามาทำมิดีมิร้ายผมด้วย ผมกับก้อนหินจึงต้องช่วยกันจัดการกับมันจนมันสลบไป ยังดีที่มันเข้ามาแค่คนเดียว เราจึงพอจะจัดการได้ ก้อนหินโมโหมาก ทำท่าจะเข้าไปกัดมัน แต่ผมห้ามไว้ก่อน เพราะไม่อยากให้มันฆ่าใครโดยไม่จำเป็น

   ผมเพิ่งจะมารู้ตอนที่สื่อสารกันได้นี่แหละว่าก้อนหินมีต่อมพิษที่เขี้ยวซึ่งเป็นพิษชนิดร้ายแรงที่สุดอยู่ด้วย ก้อนหินบอกว่าสิ่งมีชีวิตที่ถูกพิษของมันไม่ว่าจะน้อยหรือมากก็ตามจะต้องตายอย่างแน่นอน จะช้าจะเร็วก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของพิษ เนื่องจากไม่มียาชนิดไหนสามารถรักษาพิษของมังกรมรกตได้ นอกจากเลือดของมันเอง ซึ่งถ้ามันไม่ยอมให้ก็ไม่มีใครสามารถเอาไปได้ เพราะไม่มีอาวุธชนิดไหนที่สามารถทำอันตรายมันได้ นอกจากกรงเล็บและฟันของมันเองเท่านั้น

   แต่ก้อนหินบอกไม่ให้ผมต้องกังวล เพราะพิษในร่างกายของก้อนหินจะไม่เป็นอันตรายกับผมแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น ต่อให้ไม่บอก ผมก็เชื่ออย่างเต็มหัวใจว่าก้อนหินจะไม่มีวันทำร้ายผมอย่างแน่นอน

   ผมดึงมันมากอดแน่นๆ ด้วยความเต็มตื้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบดาบของไอ้คนที่สลบไปแล้วมาถือไว้ แต่ร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงเต็มที่ทำให้ผมเหนื่อยจนหอบแฮ่ก จึงต้องนั่งพักเอาแรงก่อนที่จะหนีออกไป ถึงตอนนี้ต่อให้ไม่พร้อมก็คงต้องพร้อม เพราะถ้าพวกมันลงมาเห็นว่าผมฟื้นแล้วคงได้ตายก่อนได้หนีไปแน่ๆ

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่วิ่งลงมา ผมก็กระชับดาบไว้มั่น ส่วนก้อนหินก็กางเล็บแล้วไปยืนขวางเหมือนจะปกป้อง ถึงสภาพร่างกายเหมือนจะไม่ไหว แต่ใจยังสู้ มันก็ต้องลองดูกันสักตั้งสิน่า!

“ก๊าส” เสียงร้องเรียกชื่อคนที่เข้ามาใกล้ของก้อนหินก่อนที่มันจะวิ่งมาหาผม ทำให้หัวใจผมเต้นกระหน่ำด้วยความดีใจ

ในที่สุดก็มาสักที!

   “ก้อนดิน” เมื่อก้อนหินขยับตัวหลีกให้ คนที่ผมอยากเจอก็รีบเดินเข้ามาหาแล้รวบตัวผมไปกอดแน่น

   “ไซเลอร์” ผมเรียกด้วยความรู้สึกโล่งใจ ก่อนจะวางดาบแล้วกอดตอบเช่นกัน

   ไซเลอร์ขอโทษผม เหมือนเจ้าตัวจะรู้สึกผิดที่ผมถูกจับมา แต่มันไม่ใช่ความผิดไซเลอร์ซะหน่อย ถ้าคนมันตั้งใจจะทำ ต่อให้ระวังแค่ไหน มันก็หาโอกาสทำจนได้

   ชเนาเซอร์เตือนให้เรารีบหนีออกไปก่อน ไซเลอร์จึงทำท่าจะอุ้มผมออกไป แต่ผมขอให้ช่วยพยุงจะดีกว่า จะได้ขยับกล้ามเนื้อไปด้วย ไม่อยากจะยอมรับหรอกว่าเหตุผลอีกอย่างคือ... เขิน

พอออกมาข้างนอกก็พบว่ามีคนของพวกมันมาขวางเอาไว้ ก้อนหินบอกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือจอมเวทย์ที่อยู่ใกล้ๆ ในตอนเราถูกจับมา เป็นคนที่คอยช่วยเหลือคนที่จับผมมาโดยไม่แสดงตัว

ส่วนคนที่เหลือเป็นพวกที่มาจากต่างมิติ อย่างที่ท่านมอลทีสเคยบอก คนพวกนี้น่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีจุดประสงค์ไม่ดีที่แต่ละอาณาจักรยังตามหากันอยู่เพื่อส่งกลับมิติเดิมแต่ยังตามหาไม่พบ ที่แท้ก็มารวมกันอยู่ที่นี่เอง

ไซเลอร์กับเพื่อนๆ เข้าไปสู้ ปล่อยให้ผมรออยู่ด้านหลัง มีก้อนหินยืนขวางอยู่ด้านหน้าอีกที การต่อสู้ในครั้งแรกจบลงอย่างรวดเร็ว เพราะฝ่ายเรามีฝีมือและพละกำลังมากกว่า ทำให้สามารถเอาชนะได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

แต่จอมเวทย์คนนั้นกลับใช้เวทย์บังคับนักรบของอาณาจักรรุคมาสู้ด้วยนี่สิ ไซเลอร์กับเพื่อนๆ จึงได้แต่ตั้งรับเป็นหลัก จะตอบโต้เต็มที่ก็ไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนที่ทีมเฮดีสรู้จักกันดีและถูกบังคับโดยไม่รู้สึกตัวว่าทำอะไรอยู่

ขณะที่กำลังยืนลุ้นอยู่นั้นก็มีหนึ่งในพวกมันถือโอกาสหลบหลีกทีมเฮดีสและเข้ามาจนถึงผมกับก้อนหินได้ ผมพยายามจะลุกขึ้นสู้ ก่อนที่ใจจะหายวาบแล้วอุทานด้วยความตกใจ เมื่อมีคนกำลังจะทำร้ายไซเลอร์

ก้อนหินร้องแล้ววิ่งมาหาผม ตอนแรกผมนึกว่ามันจะมากันผมไว้ แต่มันกลับมากัดสร้อยข้อมือถักที่ลุงเซเรสเคยให้ผมมาใส่ไว้จนขาด แล้วก็มีแสงสีทองสว่างจ้าขึ้นมาจนแสบตา ก่อนที่สติของผมจะวูบดับไป

*********************************************************************

แล้วเราก็มาโผล่ที่นี่นี่แหละ

ผมก้มลงมองข้อมือตัวเองก่อนจะเงยมามองหน้าลุงเซเรสอย่างต้องการคำตอบ

“นึกออกแล้วใช่ไหม”

“ครับ”

“ข้าบดเกล็ดมังกรผสมไว้ในสร้อยข้อมือที่ถักเองเส้นนั้นแล้วร่ายเวทย์กำกับไว้ ให้เจ้าเก็บไว้ใช้ในยามคับขัน ก้อนหินรู้วิธีใช้ดี” ลุง เอ่อ... เรียกลุงคงไม่เหมาะแล้วแฮะ ท่านเซเรสยิ้มแล้วหันไปมองก้อนหินที่ขยับมานั่งห้อยขาอยู่ข้างๆ ผม

“แล้วก็อุบเงียบไม่บอกกันเลยนะก้อนหิน”

“ก๊าส” ก้อนหินเอาหัวถูต้นแขนเบาๆ แล้วเงยขึ้นมองอ้อนๆ จนผมอดจะอมยิ้มไม่ได้ เจอแบบนี้ไปใครจะใจแข็งหรือโกรธได้ลงคอกันล่ะ

“จะว่าไป เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดส่วนหนึ่งก็น่าจะมีต้นเหตุมาจากข้า ยังไงก็ต้องขอโทษพวกเจ้าด้วยนะ”

“เฮ้อ! อย่าโทษตัวเองกันสิครับ ถ้าจะผิดก็ผิดที่คนที่คิดชั่วพวกนั้นมากกว่า ข้าไม่รับคำขอโทษจากใครทั้งนั้น เพราะถือว่าไม่มีใครผิด เข้าใจตรงกันนะครับ” ผมสบตากับทุกคนในกระท่อมรวมทั้งก้อนหินด้วย เพราะถึงแม้จะไม่พูดออกมา แต่สายตาแต่ละคนก็บ่งบอกว่ารู้สึกผิดไม่ต่างกันเลย

“ข้าสงสัยว่าพวกมันจับข้ากับก้อนหินไปทำไม ลุง เอ๊ย! ท่านพอจะทราบสาเหตุไหมครับ” ผมหันมาถามท่านเซเรสต่อ เมื่อเห็นว่าทุกคนมีสีหน้าดีขึ้น

“เรียกลุงเหมือนเดิมก็ได้” ท่านเซเรสท้วงขำๆ

“ไม่ดีกว่าครับ” ผมยิ้มแหยๆ เพื่อความสบายใจของผมและเพื่อให้เกียรติหน้าตาหล่อๆ ของท่าน ให้ผมเรียกแบบนี้เถอะ

“ถ้าจะเล่าก็คงต้องเล่ากันยาว เจ้ากินยาบำรุงก่อนก็แล้วกัน ร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วๆ แล้วเราค่อยไปช่วยมอลทีสกัน” คำพูดชวนให้สงสัยว่าท่านมอลทีสน่าจะเจอปัญหาอะไรสักอย่าง แต่ถ้าท่านเซเรสยังใจเย็นอยู่ได้ แสดงว่าท่านมอลทีสคงจะรับมือไหว

ท่านเซเรสยื่นถ้วยยามาให้ผม ระหว่างที่ชวนคุยก็คงตั้งใจรอให้ยาที่ต้มมาหายร้อนไปด้วย เพราะตอนนี้ยาที่ผมดื่มอุ่นกำลังดีเลย พอกินยาหมดแล้วผมก็จ้องหน้าท่านเซเรสเพื่อรอฟังเรื่องราวต่อ

“สาเหตุของเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นมาจากความแค้นของคนสองคน คนหนึ่งแค้นเพราะคิดว่าไม่ได้รับความยุติธรรม ส่วนอีกคนแค้นเพราะสูญเสียคนที่รักยิ่งกว่าชีวิต” ท่านเซเรสถอนหายใจ ก่อนจะหันไปถามๆ ไซเลอร์กับเพื่อนๆ

“พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องของอดีตว่าที่ราชินีแห่งรุคกันบ้างไหม”

“เคยครับ” ทุกคนรับคำพร้อมกันและมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาจนผมเผลอลุ้นไปด้วย

“ก่อนที่องค์ราชาฟอลคอนจะขึ้นครองราชย์ ทรงมีพระคู่หมั้นเป็นหญิงสาวซึ่งมาจากตระกูลสายหลักของตระกูลฟินซ์ แต่ก่อนที่งานอภิเษกจะถูกจัดขึ้น หญิงสาวคนนั้นก็ถูกความแปรปรวนของมิติดึงหายไป” พรีซาเป็นคนเริ่มเล่าก่อน

   “ท่านพ่อเล่าให้ฟังว่าหญิงสาวคนนั้นถูกดึงไปยังมิติอื่น ทุกอาณาจักรต่างก็ร่วมมือกันส่งคนออกตามหา แต่ช่วงนั้นประตูมิติแปรปรวนมาก กว่าจะหาจนพบก็ต้องใช้เวลานานกว่าปกติ แต่เมื่อพบแล้วและพากลับมาที่มิติของเราได้ไม่นาน นางกลับฆ่าตัวตาย” มาสทิฟฟ์ต่อให้

   “เพราะฉะนั้น เมื่อมีเด็กจากตระกูลฟินซ์หายไปยังมิติอื่น ทั้งสามอาณาจักรจึงร่วมมือกันส่งคนออกตามหาให้พบให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม ครั้งนั้นแหละที่ทำให้ข้าเจอกับก้อนดิน” ไซเลอร์เสริมแล้วหันมายิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

   “เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเสียใจให้กับตระกูลฟินซ์เป็นที่สุด เพราะนางเป็นถึงว่าที่ราชินีแห่งรุค เป็นความหวังของตระกูลฟินซ์ โดยเฉพาะบิดาของนางที่ใจสลายกับการจากไปของบุตรสาวคนเดียวมากที่สุด เพราะเขาเฝ้ารักเฝ้าทะนุถนอมนางเป็นอย่างดีแทนภรรยาที่จากไปแล้วของเขา แล้วต่อมาไม่นานเขาก็หายสาบสูญไป” ชเนาเซอร์ต่อให้ด้วยสีหน้าจริงจัง พอชเนาเซอร์พูดจบ ทุกคนต่างมีสีหน้าครุ่นคิด

   “หรือว่า?” เสียงที่ประสานกันของไซเลอร์และเพื่อนๆ ทำให้ผมต้องหันไปมอง หรือว่าอะไร อย่าปล่อยให้ผมงงอยู่คนเดียวสิ

   “ใช่” ยังดีที่ผมไม่ต้องงงนานเมื่อท่านเซเรสพยักหน้าและรับช่วงต่อ    

“เขาก็คือจอมเวทย์ที่พวกเจ้าได้พบมานั่นแหละ”

“แล้วเขาจะจับตัวข้ากับก้อนหินไปทำไมล่ะครับ ต่อให้จับตัวเราไปได้ก็ใช่ว่าจะทำให้ลูกสาวเขาฟื้นขึ้นมาได้นี่นา” ผมถามด้วยความไม่เข้าใจ

“ความแค้นต่างหากที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องทำอย่างนั้น เพียงแต่เจ้าทั้งสองเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะทำให้แผนการแก้แค้นของเขาสำเร็จได้ก็เท่านั้นเอง” ท่านเซเรสถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ

“อันที่จริงมันมีเหตุการณ์นอกเหนือไปจากที่พวกเจ้าได้รู้มาด้วย” ท่านเซเรสหันไปมองทีมเฮดีส สีหน้าลังเลไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเล่าต่อ

“หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นหลงไปที่มิตินั้น นางก็ตกหลุมรักคนที่นั่น แต่นางกลับถูกทำร้ายทั้งร่างกายและหัวใจ ที่คนของเรานำกลับมาได้เพียงแค่ร่างกายเท่านั้น แต่หัวใจของนางแหลกสลายไปนานแล้ว พ่อของนางเป็นจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งจึงมีวิธีที่ทำให้สามารถรู้สาเหตุที่เขาต้องสูญเสียบุตรสาวของตัวเองได้ เขาจึงทั้งเสียใจและแค้นใจ ต้องการเอาคืนจากผู้ชายคนนั้น รวมไปถึงต้องการทำลายมิตินั้นให้สิ้นซากไปด้วย”

ฟังแล้วผมรู้สึกสังหรณ์ใจพิกล

“เอ่อ... อย่าบอกนะว่า... มิติที่ว่าคือ...”

“ใช่ มันคือมิติที่เจ้าจากมานั่นแหละก้อนดิน”

“...”

   ทุกคนเงียบกริบ โดยเฉพาะผมที่รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ท่านเซเรสถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ ถ้าการถอนหายใจทำให้อายุสั้นอย่างที่โบราณว่ากัน ท่านคงอายุสั้นไปอีกหลายปีแน่ๆ ผมได้แต่คิดในใจ

   “ทุกคนในโลกนี้ต่างก็รู้ดีว่า การที่จะทำลายมิติสักมิติให้หายไปอย่างรวดเร็วที่สุดได้นั้น ต้องอาศัยพลังจากมังกรมรกตในการทำลาย เพียงเท่านั้นมิติทั้งมิติก็จะหายไปจากโลกนี้ได้แทบจะทันที ด้วยเหตุนี้เขาจึงจับตัวเจ้าทั้งคู่ไป ควบคุมก้อนดินเอาไว้ แล้วกดดันก้อนหินและรอให้ก้อนหินโตเต็มที่เพื่อจะได้ทำในสิ่งที่ต้องการได้ อันที่จริงแล้วแค่พลังของเขาเพียงลำพัง คงไม่สามารถทำอะไรได้มากขนาดนี้หรอก ถ้าไม่ได้รับพลังช่วยเหลือจากผู้ที่ถูกขังไว้ในความมืดด้วย”

   “ห๊ะ!” ผู้ที่ถูกขังไว้ในความมืด ใครอีกล่ะ?

ท่านเซเรสถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนสายตาจะทอดมองผ่านผมไป เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องที่อยู่ในความทรงจำของตัวเอง

   “ที่จริงแล้ว... ข้าเป็นผู้ร่วมชะตาของมังกรมรกตรุ่นก่อนหน้านี้”

   “ห๊ะ!/อะไรนะ!” เสียงอุทานของผมและทีมเฮดีสทำให้ท่านเซเรสหันมายิ้มให้ แต่เป็นเพียงร้อยยิ้มเศร้าๆ ต่างจากที่เคย


(มีต่อค่ะ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-12-2017 01:49:00 โดย maneethewa »

ออฟไลน์ maneethewa

  • มณีเทวา
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
    • Maneethewa - มณีเทวา
   “พวกเจ้าสงสัยใช่ไหม ว่าทำไมข้าถึงไม่ตายไปพร้อมกับมังกรผู้ร่วมชะตา” ไม่มีใครตอบเพราะต่างคนต่างกำลังอึ้งกับความจริงที่เพิ่งได้รับรู้ และท่านเซเรสก็คงไม่ต้องการคำตอบจึงได้พูดต่อ

“ข้าเป็นลูกครึ่งเคลเบรอสกับบาอัล... ข้าเคยมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งเป็นชาวรุค ชื่อว่าบลิธส์ ด้วยความที่พ่อของเราเป็นเพื่อนรักกัน จึงได้สร้างบ้านอยู่ใกล้กัน และบังเอิญทั้งคู่แต่งงานไล่ๆ กัน ทำให้เราสองคนเกิดมาในปีเดียวกัน เติบโตมาด้วยกัน เราสองคนจึงสนิทกันมาก มากจนเรียกว่าเป็นเพื่อนตายกันเลยก็ว่าได้

เราทั้งคู่มีเป้าหมายชีวิตที่ต่างกัน

ในขณะที่ข้ามุ่งศึกษาเพื่อจะเป็นจอมปราชญ์ บลิธส์ก็มุ่งศึกษาเพื่อจะเป็นจอมเวทย์ของอาณาจักร แต่ถึงเป้าหมายจะต่างกัน แต่เราทั้งสองก็ยังคอยช่วยเหลือกันและกันอยู่เหมือนเดิม

ถึงแม้ว่าวันหนึ่ง ข้าจะได้พบกับมังกรมรกตที่เดินทางมาหา แล้วบอกว่าข้าคือผู้ร่วมชะตาของเขาก็ตาม

แม้ว่าข้าจะต้องไปทำภารกิจในการดูแลประตูมิติร่วมกับอีริคก็ไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับเรา บลิธส์ยังคอยช่วยเหลือข้าทำภารกิจซะด้วยซ้ำ

ในช่วงเวลานั้นถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาที่ข้าต้องเหนื่อยมาก เพราะต้องรับผิดชอบหลายๆ อย่างพร้อมกัน แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ข้ามีความสุขมากเช่นกัน

แต่อยู่มาวันหนึ่ง คนรักของบลิธส์ซึ่งเป็นลูกสาวในสายตรงของตระกูลฟินซ์ก็ถูกทางครอบครัวบังคับให้แต่งงานกับราชาแห่งรุค บลิธส์ขอร้องให้นางหนีไปด้วยกัน

ถึงแม้ว่านางจะรักเขามากไม่ต่างกัน แต่นางก็ไม่สามารถหนีไปด้วยได้ เพราะต้องทำหน้าที่ในฐานะลูกสาวคนเดียวของบ้านที่ต้องรักษาชื่อเสียงของวงษ์ตระกูล

หลังจากคนรักแต่งงานและได้รับตำแหน่งราชินีแห่งรุคไปแล้ว ด้วยความที่ยังรักและยังเป็นห่วง บลิธส์จึงคอยติดตามข่าวคราวของคนรักอยู่เสมอ เขาได้รับรู้ว่าคนรักไม่เคยมีความสุข เพราะราชาแห่งรุคไม่ได้รักนาง แต่รักสนมเอกซึ่งเป็นคนรักของพระองค์เพียงคนเดียว

เมื่อทนเห็นคนรักต้องทนอยู่อย่างไร้ความสุขไม่ไหว บลิธส์จึงแอบไปพบนางอีกครั้ง เพื่อขอร้องให้นางหนีไปด้วยกัน

ครั้งนี้นางติดสินใจยอมหนีไปด้วย เพราะทนอยู่อย่างเจ็บช้ำต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ถึงแม้ว่าต่อให้ไม่มีนาง องค์ราชาแห่งรุคก็ยังมีคนที่รักและสนมคนอื่นๆ อยู่เคียงข้างอีกมากมายอยู่แล้ว

ทั้งคู่จึงวางแผนเพื่อจะหนีไปด้วยกันโดยไม่ได้บอกให้ข้ารู้ ข้าคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขากลัวว่าข้าจะต้องเดือดร้อนไปด้วย เลยจงใจปิดบังข้าไว้

บลิธส์พาคนรักพร้อมทั้งพ่อแม่ของเขาหนีไปด้วยกัน แต่ระหว่างที่หนีอยู่นั้น คนของตระกูลคนรักของเขาก็ตามไปทันและฆ่าพ่อแม่ของบลิธส์ตายหมด ส่วนคนรักของเขาก็ถูกลูกหลงตายจากไปด้วย แต่ก่อนที่นักฆ่ากำลังจะฆ่าบลิธส์ ข้าที่เพิ่งกลับมาจากปฏิบัติภารกิจที่ต่างมิติก็ตามไปช่วยเขาไว้ได้ทัน

บลิธส์เสียใจจนแทบเสียสติ แม้ว่าบาดแผลทางกายจะหายไปแล้ว แต่บาดแผลทางใจที่หนักหนาและมองไม่เห็นก็ยังคงอยู่ ข้าเฝ้าปลอบใจเขาอยู่เป็นนานกว่าเขาจะกลับมาเป็นเหมือนปกติอีกครั้ง

ข้าได้แต่ดีใจโดยที่ไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้ท่าทีที่ปกตินั้น บลิธส์ซ่อนความแค้นไว้มากมายเพียงใด

เขาหลอกให้ข้าตายใจโดยบอกว่าจะพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่ บลิธส์ให้ข้าสอนเรื่องสมุนไพรให้ แม้อีริคจะเตือนข้าให้ระวังอย่างไร ข้าก็ไม่เคยฟัง เพราะเชื่อใจในเพื่อนรักของตัวเองเสมอ

บลิธส์ศึกษาเรื่องสมุนไพรจากข้าด้วยความตั้งใจ ข้ามารู้ในภายหลังว่าเขาตั้งใจศึกษาขนาดนั้น เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปฝึกปรุงยาพิษ ซึ่งในที่สุดเขาก็สามารถปรุง ‘พิษรัก’ ได้สำเร็จ แล้วแอบนำยาพิษนี้ไปให้สนมเอกผู้เป็นที่รักของราชาแห่งรุคกินได้สำเร็จ ก่อนที่เขาจะหลบหนีไป

แม้ว่าข้าจะเสียใจมากที่ถูกเพื่อนรักหลอกใช้ แต่ในเมื่อข้ามีส่วนที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา ข้าจึงพยายามหาทางแก้ไข โดยพยายามทุ่มเทค้นหาวิธีปรุงยาเพื่อถอนพิษรักอย่างสุดความสามารถ แต่ยังไม่ทันปรุงได้สำเร็จ พระสนมที่เดิมร่างกายอ่อนแออยู่แล้วก็จากไปซะก่อน

ข้าจึงต้องพักเรื่องยาถอนพิษไว้ก่อน แล้วออกเดินทางตามหาบลิธส์แทน

แล้วข้าก็ได้ไปพบเขาอยู่กับจอมเวทย์สายดำที่หลงมาจากมิติอื่น ซึ่งในเวลานั้นจิตใจที่เต็มไปด้วยความแค้นของเขาก็ถูกความมืดกลืนกินจนแทบไม่เหลือแล้ว

ข้าพยายามขอร้องให้เขากลับไปกับข้า แต่เขาก็ไม่ยอมกลับ ยิ่งได้รับแรงยุจากจอมเวทย์สายดำ ก็ยิ่งคิดทำเรื่องเลวร้ายไปกันใหญ่ เราทั้งสองจึงต้องต่อสู้กัน

ข้าขอร้องไม่ให้อีริคเข้ามาช่วย เพราะต้องการจะเกลี้ยกล่อมเขาด้วยตัวเอง ที่สำคัญข้ากลัวว่าอีริคจะพลั้งมือทำร้ายเขาด้วย แต่แล้วเขาก็เป็นฝ่ายพลั้งมือทำให้ข้าตาบอด แล้วจอมเวทย์ดำที่อยู่ใกล้ๆ ก็ฉวยโอกาสทำร้ายข้าจนบาดเจ็บสาหัส มันเกือบจะฆ่าข้าได้อยู่แล้ว ถ้าบลิธส์ไม่ปัดดาบที่หมายจะแทงหัวใจข้าออกได้ทันซะก่อน

อีริคโกรธและเสียใจมากที่เข้ามาช่วยข้าไว้ไม่ทัน เขาฆ่าจอมเวทย์สายดำตาย และเกือบจะฆ่าบลิธส์ตายไปด้วย ถ้าข้าห้ามและขอร้องเอาไว้ไม่ทัน

ในฐานะเพื่อน ข้าก็อยากให้เขาได้มีชีวิตอยู่ต่อไป หวังว่าสักวันเขาจะสามารถกลับใจได้ เพราะข้ายังมั่นใจว่าโดยเนื้อแท้แล้วบลิธส์เป็นคนจิตใจดี ถึงจะถูกความแค้นครอบงำ แต่ว่าเขาก็ยังมีด้านดีเหลืออยู่ เห็นได้จากที่เขาช่วยไม่ให้ข้าถูกจอมเวทย์ดำฆ่าตาย อีริคจำใจต้องทำตามคำขอของเข้า จึงได้จับบลิธส์ขังเอาไว้ในมิติที่มีแต่ความมืดมิดและร่ายเวทย์กำกับไว้ เมื่อใดที่เขาสำนึกได้ ถึงจะได้รับการปลดปล่อยออกมา

ส่วนข้ายังรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและยังติดค้างเรื่องยาถอนพิษรักที่ยังทำไม่สำเร็จ ด้วยสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด จึงเผลอขอร้องให้อีริคช่วยให้ข้าสามารถแก้ไขหรืออย่างน้อยก็ป้องกันเรื่องร้ายๆ ที่อาจจะตามมาได้บ้าง

เพราะคำขอของข้า และเพื่อให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป หลังจากถอนเกล็ดตัวเองมอบให้แต่ละอาณาจักรเก็บไว้เพื่อดูแลประตูมิติแทนชั่วคราวแล้ว อีริคจึงตัดสินใจนำร่างที่ใกล้จะสิ้นใจของข้าไปไว้ที่บริเวณรอยต่อระหว่างมิติแห่งการกำเนิดของเผ่าพันธุ์มังกรมรกต ก่อนจะใช้ร่างมังกรเข้าไปวางไข่ไว้ในนั้น อีริคสร้างมิติแห่งนี้ให้ข้าอาศัยอยู่เพื่อรอการกลับมาของเขา แล้วกลับมาควักหัวใจให้ข้ากินก่อนที่จะสละร่างถอนดวงจิตจากไป

ทั้งการที่ต้องจากไปก่อนถึงเวลาอันควร ทั้งการที่ต้องถ่ายทอดพลังไว้ในเกล็ดที่มอบให้แต่ละอาณาจักร และต้องควักหัวใจให้กับข้า ทำให้พลังที่ต้องถ่ายทอดไว้ที่ไข่น้อยกว่าที่ควร ทำให้จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดต้องใช้เวลาในการฟักตัวนานขึ้น เมื่อออกมาจากไข่ก็ทำให้ก้อนหินต้องโตช้าไปด้วย

เพราะมังกรมรกตต้องใช้พลังสะสมจากมังกรรุ่นก่อนเพื่อการเติบโต เมื่อร่างกายโตเต็มที่เมื่อไหร่ ถึงจะสามารถใช้พลังของตัวเองได้ และการที่มังกรที่ต้องทำหน้าที่ดูแลประตูมิติเติบโตช้า เมื่อมิติเกิดการแปรปรวน เกล็ดมังกรเพียงไม่กี่อันจึงไม่สามารถควบคุมได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดเหตุการณ์เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนตามที่พวกเจ้ารู้นั่นแหละ

บลิธส์คงรับรู้ได้ถึงจิตแค้นของจอมเวทย์ผู้สูญเสียบุตรสาวคนนี้ และจิตแค้นของอีกคนที่แทบจะมีชะตากรรมคล้ายกันกับเขา จึงสามารถสื่อถึงกันได้และสามารถส่งพลังมาช่วยอีกฝ่ายได้” ท่านเซเรสมีสีหน้าเจ็บปวด

“ข้าถึงได้บอกยังไงล่ะว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดมาจากข้า” แววตาของท่านเซเรสเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

“...”

“ถ้าเช่นนั้นตำนานที่ว่า ถ้าใครได้กินหัวใจมังกรแล้วจะเป็นอมตะก็เป็นเรื่องจริงสินะ” ร็อตถามขึ้นมาหลังจากที่เราเงียบกันไปสักพัก

ท่านเซเรสไม่ตอบแต่ยิ้มรับแทนคำตอบ

“เมื่อข้าฟื้นขึ้นมาก็ได้รับรู้ว่าอีริคได้จากไปแล้ว เขาทิ้งเกล็ดมังกรไว้ให้ข้า 2 เกล็ดพร้อมพลังที่สะสมอยู่ในนั้นซึ่งเพียงพอที่จะใช้เปิดประตูมิติเล็กๆ ได้ ข้าจึงใช้มันเดินทางเข้าไปอยู่ในมิติที่เขาสร้างไว้ให้นี่แหละ

ระหว่างที่รอคอย ข้าก็ศึกษาศาสตร์ทุกชนิด ที่อาจจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต และใช้เกล็ดมังกรเดินทางไปหาตัวยาเพื่อปรุงยาถอนพิษรักไปด้วย เพราะก่อนที่บลิธส์จะถูกจับขัง เขาบอกกับข้าว่าได้ทำสูตรปรุงยาพิษหายไปแล้ว ข้าจึงต้องพยายามหาวิธีถอนพิษ ก่อนที่จะมีคนต้องตกเป็นเหยื่อของมันอีกครั้ง จนในที่สุดข้าก็สามารถปรุงยาถอนพิษรักได้สำเร็จ

วันเวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนในวันหนึ่งข้าก็ได้พบกับมอลทีสที่หลงเข้ามาที่นี่ ด้วยความที่เขาเป็นคนจิตใจดี มีความสามารถ และในนิมิตข้าได้เห็นว่าเขาจะต้องเข้ามาเกี่ยวพันในเรื่องนี้ด้วย ข้าจึงได้สอนศาสตร์ในการพยากรณ์และศาสตร์แห่งปราชญ์ให้ หลังจากนั้นข้าก็ได้พบกับเจ้านั่นแหละก้อนดิน”

ผมได้แต่มึน เพราะเรื่องราวมันทั้งยาวนานและพัวพันกับคนอีกมากมายเหลือเกิน

“คนที่มีความแค้นก็ได้รู้แล้ว แล้วคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมล่ะครับคือใคร” เมื่อไซเลอร์ถามขึ้น ผมก็เพิ่งนึกได้เหมือนกัน ว่าท่านเซเรสได้บอกไว้ในตอนแรก

“อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะได้รู้เอง ตอนนี้รู้ก่อนก็ไม่มีประโยชน์อะไร” เมื่อทุกคนมีสีหน้ารับรู้และยอมรับ ผมเลยถามเรื่องที่ตัวเองอยากรู้บ้าง

 “แล้วทำไมตอนพบกันครั้งแรกท่านถึงได้อยู่ในสภาพนั้นล่ะครับ” หมายถึงสภาพที่ป่วยจนดูเหมือนจะแย่ขนาดนั้น

“การเป็นอมตะก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเจ็บป่วยได้นะก้อนดิน ข้ารู้สึกเจ็บปวดได้ สามารถป่วยได้เหมือนคนปกติ แม้จะไม่ถึงตาย แต่ก็ต้องใช้เวลาในการรักษาเหมือนกัน”

“แต่ตอนนั้นท่าน.. เอ่อ.. แก่” ไม่อยากจะย้ำหรอกนะ แต่มันค้างคาใจจริงๆ

“ข้าใช้มนต์บังตาน่ะ อีกอย่าง... ข้าปล่อยให้ตัวเองตาบอดเหมือนก่อนที่จะเป็นอมตะ ก็เพื่อลงโทษตัวเอง และจะได้เตือนตัวเองถึงความผิดพลาดที่ข้ามีส่วนร่วมทำให้เกิดขึ้นด้วย”

“คนเรามันก็มีผิดพลาดกันได้นี่ครับ อีกอย่าง... เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ไม่มีใครสามารถแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้หรอกครับ ข้าว่าเราควรเดินต่อไปข้างหน้ามากกว่า หรือไม่ก็หาวิธีป้องกันเรื่องที่จะเกิดในอนาคตกันดีกว่าครับ” ผมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ท่านเซเรสนิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน

“นั่นสินะ ขอบใจนะก้อนดิน”

“ไม่เห็นต้องขอบคุณเลยครับ ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมยิ้มตอบเขินๆ เมื่อได้รับแววตาชื่นชมนั้น

“ส่วนก้อนหิน ลงมานี่สิ” ท่านเซเรสหันไปเรียกก้อนหิน ซึ่งมันก็กระโดดลงไปยืนที่พื้นอย่างว่าง่าย

ท่านเซเรสหยิบเกล็ดมังกรที่อยู่ตรงอกเสื้อออกมายื่นให้ก้อนหิน เมื่อมันยื่นมือมารับ เกล็ดมังกรก็เปล่งแสงจนสว่างจ้าไปทั่วทั้งกระท่อมจนผมต้องหลับตาลง เมื่อรู้สึกว่าแสงนั้นหมดไป ผมก็ลืมตาขึ้นมา แล้วก็ต้องยิ้มกว้างด้วยความดีใจและตื่นเต้น เมื่อเห็นก้อนหินที่ตอนนี้ตัวโตขึ้น สูงขึ้นจนเกือบจะท่วมหัว เขาที่กุดๆ บนหัวของมันดูยาวขึ้นกว่าเดิม ปีกที่เคยสั้นๆ จนแทบจะกลืนกับแผ่นหลังก็ยาวมากขึ้นจนน่าจะสามารถทำให้มันบินได้แล้ว แม้แต่เกล็ดที่กลับมาเป็นสีเขียวมรกตเหมือนเดิมก็เริ่มจะเห็นชัดมากขึ้น มันลองขยับกระพือปีกเบาๆ สีหน้าที่เหมือนจะตื่นเต้นของมัน ทำให้ผมหัวเราะด้วยความเอ็นดู

“ก๊าสสสสส” แม้แต่เสียงร้องยังทุ้มต่ำมากขึ้นเลย

“ครับหินครับ หล่อมากครับ” ผมได้แต่ส่ายหัวเมื่อมันถามว่าหล่อไหม แม้ตัวจะโตขึ้นแต่นิสัยไม่เห็นโตขึ้นตามตัวเลยสักนิด

“ข้าคืนพลังจากเกล็ดมังกรให้ นี่ก้อนหินก็ยังโตไม่เต็มที่หรอกนะ แต่คิดว่าคงใช้เวลาอีกไม่นานหรอก” ท่านเซเรสมองปฏิกิริยามันยิ้มๆ ก่อนจะหันมาบอกผม

“ส่วนเจ้ากินยาแล้วเจ้าก็พักผ่อนเถอะ ยาจะได้ออกฤทธิ์ได้เต็มที่ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง มอลทีสกับคนอื่นๆ รับมือได้สบาย รอให้เจ้าแข็งแรงขึ้นเมื่อไหร่ เราค่อยไปจัดการสะสางเรื่องต่างๆ ด้วยกัน เรื่องทุกอย่างจะได้จบลงซะที”

“ครับ” ผมรับคำแล้วขยับลงนอน ไซเลอร์ขยับมาจับผ้าห่มให้ก่อนที่ท่านเซเรสจะยื่นมือมาถึงตัวผม ท่านเซเรสชะงักก่อนจะยิ้มขำ ส่วนคนอื่นๆ นี่ก็แซ็วกันสิครับ จะเหลือเหรอ!

“พวกเราออกไปข้างนอกกันเถอะ ปล่อยให้ก้อนดินพักผ่อนไปก่อน” ท่านเซเรสขัดก่อนที่ผมจะเขินจนไม่ได้หลับได้นอน

“ครับ” คนอื่นๆ ดูไม่มีปัญหา จะมีก็แต่ก้อนหินนี่แหละที่ทำหน้าไม่พอใจ มันก้มลงมองร่างกายของตัวเอง แล้วก็มองผม แล้วร้องด้วยความขัดใจ

“ก๊าสส”

“ตัวใหญ่ขนาดนี้แล้ว ต่อไปก็นอนกับก้อนดินไม่ได้แล้วนะตัวยุ่ง” ชเนาเซอร์ยังไม่วายแหย่ก้อนหินเล่น

“ก๊าสสส” มันร้องประท้วง

แว้บบบบบ

ก่อนที่มันจะเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นมังกรตัวเล็กๆ เท่าตอนแรกที่ฟักออกจากไข่ แล้วบินพุ่งเข้ามาซบอกแล้วถูเสื้อผมอย่างออดอ้อน

“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” ทุกคนอึ้งไปสักพัก ก่อนจะหลุดขำและหัวเราะลั่นกับกระทำของมัน

ส่วนผมแม้จะหัวเราะด้วยความรู้สึกขำไม่ต่างกัน แต่ก็อดที่จะกอดมันเอาไว้แล้วลูบตัวมันด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ต่อให้ตัวมันจะโตขึ้นแค่ไหน สำหรับผมที่ได้เจอตั้งแต่มันฟักออกมาจากไข่ มันก็เป็นแค่ลูกมังกรตัวเล็กๆ สำหรับผมอยู่เหมือนเดิม ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกนิด รู้สึกอุ่นใจที่เรายังอยู่ด้วยกัน เพียงไม่นานเราทั้งคู่ก็เคลิ้มหลับไป



@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

ดราม่าไหมคะ คิดว่าไม่ดราม่านะ... รึเปล่าหว่า ชักไม่แน่ใจแฮะ
อันที่จริงก็ไม่ถนัดดราม่าค่า เลิฟซีนก็ไม่ถนัด แอคชั่นก็ไม่ถนัด คอเมดี้ก็ไม่ถนัด ไม่ถนัดซ๊ากกกกกอย่าง แฮ่! หลบตรีงแป๊บ แต่ก็กำลังพยายามฝึกหัดอยู่ค่ะ หวังว่าต่อไปเราจะมีวิวัฒนาการยิ่งๆ ขึ้น

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

#ommanymontra   :L1: :pig4: :L2:
#KARMI  :L1: :pig4: :L2:
#about  :L1: :pig4: :L2:
#suikajang ขอบคุณสำหรับกำลังใจทั้งทางนี้และที่แวะไปให้ทางโน้นนนด้วยค่า ในส่วนเรื่องใหม่นั้น.... ขอจบเรื่องนี้ให้ลงก่อนค่ะ แฮ่! ถ้าไม่ตันจะพยายามเข็นออกมาให้อ่านนะคะ กอดดดด  :กอด1:
#♥►MAGNOLIA◄♥ ต้องการเงินสด รถคุณช่วยได้ ผิดๆ ฮ่าๆๆๆๆ แสงสว่างช่วยได้ค่ะ หนีมาที่กระท่อมแล้วววว พักก่อนค่อยไปลุยกันต่อ ก้อนหินหวงดินหนักมากค่ะ หินอนุญาตให้รักได้ แต่ต้องรักหินที่สุด - ก้อนหิน  :m18:
#shoi_toei ขอบคุณมากค่ะ คนสวยเหมือนกัน  :m1:
#MayA@TK เปิดตัวตัวร้ายอย่างเป็นทางการ พี่ไซปลอดภัยดีค่ะ  :m13:
#ซีเนียร์  :L1: :pig4: :L2:
#aiyuki รอดปลอดภัยกันทุกคนค่า ส่วนเหตุผลก็ได้รู้กันแล้วนะคะ  :impress2:
#•♀NoM!_KunG♀• มาแล้วอีก เอ๊ย! มาอีกแล้วววว  :m3:
#Billie ขอบคุณที่คอยติดตามค่า กอดดดด  :กอด1:
#HISY ดีใจที่ชอบค่า ปลื้มมม ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ  :L1:
#duck-ya มาแล้วค่า ทำไมคนอ่านถึงได้รู้ใจจริงๆ ได้พักแล้วนะคะ แป๊บนึง แล้วค่อยไปสู้กันต่อค่ะ  :impress2:


 
:กอด1: ขอบคุณสำหรับกำลังใจจากคนอ่านและคนเม้นท์ทุกคน กอดดดดดดดดดแน่นๆ  :กอด1:

เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกสามเดือน แค่กๆๆๆ เดี๋ยวๆๆ  :m23:

จะพยายามเร่งมือแล้วกันนะคะ ตอนนี้ต้องขึ้นอยู่กับการบัญชาของสมองแล้วค่า ได้แซลมอนสัก 8 - 9 ตัวสมองคงลื่นกว่านี้ แฮ่!  :m3:
[/color][/color]

 :L2: :L2: :pig4: :L2: :L2:
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

ออฟไลน์ duck-ya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านถึงตอนที่ก้อนหินนึกขึ้นได้ว่าตัวใหญ่แล้วคิดถึงก้อนดินแล้วขำหนักมาก
ดินมีความเป็นแม่สูงเช่นกัน ต่อให้หินโตแค่ไหนก็ยังเด็กเหมือนเดิม
น่ารักกกก อยากจะเข้าไปขโมยหินออกมากอด
  o18

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ชอบจังที่ก้อนหินแปลงร่างกลับเป็นมังกรตัวเล็กได้ด้วยย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เรื่องนี้สลับซับซ้อนจ๊นนน งง รออย่างใจจดใจจ่อเลย ^^

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ยังเด็กน้อยไม่เปลี่ยน แม้ตัวจะโต ฮ่า ๆๆ

ชอบความงอแง ที่ตัวโตแล้วจะไม่ได้นอนกะดิน

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
หินน่ารักจิงๆ อยากมีสักตัว

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
เป็นการแก้ปมครั้งสุดท้ายแล้วใช่ป่าวค่ะ ลึก ละเอียด โห้วววว....เข้าใจแระว่าทำไมต้องใช้เวลากว่าจะออกมาแต่ละตอน
ทุกคนต่างมีบทบาทหมดไม่ทิ้งเลยสักอย่าง เก็บละเอียดเลย ยกนิ้วให้เลยค่ะ  o13  o13
แต่สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด ตนที่ชนะเลิศคือนู๋หินสุดดวงใจของป้าจ้า   :man1:  ติดแม่ดินมาก แหมะน่าฟัดจริงๆ  :กอด1:
 :L1:  :pig4:  :L1:

ปล.เดะระดมทุนส่งปลาไปให้นะจ๊ะ จะได้มาส่งความน่ารักของเจ้าหิน แม่ดิน พ่อไซ   :L2:

ออฟไลน์ tiew93

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
หื้อออ ก้อนหินน่ารักจังเลยยยย

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
เรื่องพัวพันกับทุกอาณาจักรเลยนะคะ แต่ตัวเอกก็ยังน่ารักอย่างเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด