[End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [End&Mpreg] หนี้รัก -หนี้พิเศษ : ครอบครัวแสนสุข- 8/4/61  (อ่าน 106919 ครั้ง)

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 620
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อยากอ่านความแสบ ของแฝดจังจะมีไหมหนอ :pig4:

ออฟไลน์ mickeyz.min

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0

ออฟไลน์ full

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ขอตอนพิเศษที่เด็กๆเริ่มโตคะอยากเห็นความแสบความซนเชื่อว่าพี่ตาลของเราต้องเลี้ยงน้องได้แสบซนมากแน่ๆ ขอบคุณที่เขียนนิยายดีๆให้อ่านค่ะ :pig4:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7697
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ครอบครัวแสนสุขจริงๆ

ออฟไลน์ Yara

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2104
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
อบอุ่นมากๆ เลยค่ะ

ออฟไลน์ Timber

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0

ออฟไลน์ armsa2531

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 107
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :ling1:เรื่องเศร้าง่ะ

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ครอบครัวแสนสุข


    “เป็นยังไงบ้างหนูเปลว พอจะกินได้ไหม” ใบหน้าสวยของนภาฉายแววตึงเป็นกังวลขณะมองดูลูกสะใภ้ของตนกำลังตักอาหารเช้าขึ้นลองก่อนตักกินจริง ลูกตาลเองที่นั่งอยู่เก้าอี้ตัวถัดจากเปลวอรุณก็เทน้ำเตรียมใส่แก้วไว้รอพร้อมทั้งยกถังพลาสติกใบเล็กขึ้นมาวางที่ตักเตรียมพร้อมสำหรับอาการที่ร่างกายไม่รับอาหารของแม่ตัวเองด้วยสีหน้าไม่แตกต่างกัน

   เปลวอรุณตักโจ๊กที่ทำจากไข่ขาวเนื้อนุ่มคลุกเคล้าให้เข้ากับตำลึงบดจนเนื้อไข่ขาวสีขาวกลายเป็นสีเขียวจากผักไม้เลื้อยนั้นเข้าปาก

         เนื้อโจ๊กนุ่มลิ้นจนแทบไม่ต้องเขี้ยวก็สามารถที่จะกลืนลงได้เลย อีกทั้งตำลึงบดที่นำมาปรุงอาหารในวันนี้เองก็ไม่มีกลิ่นที่ไม่พึ่งประสงค์ปะปนมา พอได้กลืนแล้วพักรอดูผลแล้ว เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกทั้งยังพอใจในรสชาติของมื้อเช้ารอยยิ้มบางๆก็ปรากฏบนใบหน้าขาวซีด

   “กินได้ครับ” และคำตอบที่ได้ออกมาก็พลอยทำให้อีกสองคนที่รอลุ้นฟังผลอยู่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ

   “งั้นแม่เปลวต้องกินเยอะๆเลยนะครับ” ลูกตาลรีบส่งแก้วน้ำให้เปลวอรุณก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยิบทัพพีขึ้นมาตักโจ๊กแบ่งใส่ถ้วยเล็กให้อย่างกระตือรือร้น

   อาการปฏิเสธอาหารหลังจากผ่านการเข้ารับการรักษาเริ่มปรากฏออกมาให้ได้เห็นบ้างแล้ว แม้จะไม่ใช่กับอาหารทุกประเภทแต่ด้วยความที่เปลวอรุณเริ่มกินได้น้อยลงด้วยแล้วทำให้คนที่อาสารับหน้าที่ดูแลเรื่องอาหารการกินของคนป่วยอย่างนภาและลูกตาลต่างพยายามสรรหาอาหารการกินอย่างอื่นเข้ามาทดแทนเพื่อไม่ให้ร่างกายของคนป่วยขาดสารอาหารที่จำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไป และโชคดีที่นอกจากจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ผู้ดูแลแล้วยังมีราชันอีกคนที่คอยช่วยเหลือสองย่าหลานในเรื่องวิธีการเลือกของกินให้ผ่านสายโทรศัพท์

   และพอพูดถึงราชันแล้ว

   หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นก็ผ่านมาเกือบเดือนหนึ่งได้แล้ว แม้เปลวอรุณกับราชันจะยังคงติดต่อหากันอยู่เสมอทุกวันแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เปลวอรุณจะได้เห็นหน้าของน้องชายคนนี้เลยแม้จะเป็นการเห็นหน้าผ่านการโทรคุยแบบวิดีโอก็ตาม คล้ายกับว่าตัวราชันเองยังรู้สึกกลัวกับการที่จะต้องเจอหน้าของพี่ชายตัวเองอยู่หลังจากเกิดเรื่องเกิดราวในวันนั้น แม้ตัวของเปลวอรุณจะไม่ถือโทษโกรธอะไรทั้งยังเป็นฝ่ายร้องขอให้น้องยอมเปิดกล้องเพื่อที่จะได้เห็นหน้ากันให้หายคิดถึงแต่อีกคนหรือก็ใจแข็งใช้ได้จนเป็นเปลวอรุณเองที่ได้แต่เก็บเอามาแอบน้อยใจอยู่คนเดียว

   “วันนี้มีอะไรดีๆหรือเปล่าครับ ดูเปลวมีอมยิ้มมีความสุขนะวันนี้” จู่ๆคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างอนิรุทธิ์ก็เอ่ยปากทักขึ้นมาคล้ายหยอก หลังลอบมองพฤติกรรมของเปลวอรุณที่ดูจะตื่นเต้นกระตือรือร้นกว่าทุกวันตั้งแต่อีกฝ่ายเข้ามาที่โต๊ะกินข้าวพร้อมอัมรินทร์

   คนถูกทักเองชะงักเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองแล้วก็ยิ้มออกมา

   “วันนี้ราชจะมาเยี่ยมครับ” แน่นอนว่าการที่จะได้พบน้องชายที่ตัวเองรักและเอ็นดูย่อมเป็นเรื่องที่สร้างความดีใจให้กับคนป่วยที่เอาแต่อยู่กับบ้านอย่างเปลวอรุณได้มากทีเดียว

   “แล้วจะมากี่โมงละ” สุริยะทักขึ้นมาบ้างขณะพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่วางลงบนโต๊ะ

   “น่าจะช่วงเที่ยงมั่งครับพ่อ เห็นว่าจะไปธุระก่อนแล้วจะเข้ามา” อัมรินทร์ตอบกลับแทนให้ขณะเอาทิชชูเช็ดมุมปากให้เปลวอรุณ

   “ถ้างั้นก็ให้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันเลยดีไหม หนูเปลวจะได้มีเพื่อนคุยและเราก็จะได้ทำความรู้จักกันด้วย” นภาเสนอขึ้น ซึ่งทุกคนเองก็เห็นด้วย และเมื่อไม่มีใครค้านเธอจึงหันไปบอกกล่าวแกมบังคับให้หลานชายโทรชวนพร้อมให้ไปรับลิลดามากินข้าวที่บ้านด้วยกันเย็นนี้

   บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่ทุกคนในบ้านนั่งรอบวงกินข้าวด้วยกันพูดคุยกันด้วยรอยยิ้มมันให้ความรู้สึกเหมือนอากาศของเช้าวันอาทิตย์ที่แสงแดดไม่แรงมากแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและผ่อนคลาย ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วเหมือนกันที่เปลวอรุณไม่ได้สัมผัสกับบรรยากาศการกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับคนในครอบครัวแบบนี้ อาจสักสิบหรือยี่สิบปีตั้งแต่แม่เขาเสียไป หรืออาจนานกว่านั้น...

       และเพราะไม่รู้ว่านานแค่ไหนนี้ละที่ทำให้เปลวอรุณรับรู้ได้จากเบื้องลึกของจิตใจว่าตัวเขาเองโหยหาความรักของสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ขนาดไหน ยิ่งพอได้ยินนภาเอ่ยบอกอยากให้ราชันอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันแล้วใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงด้วยความยินดีจนไม่อาจเก็บซ้อนรอยยิ้มมีความสุขเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นได้อีกเช่นกัน

   แต่บางสิ่งก็อยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปมากเหมือนกัน...

   
   หลังจากรอคอยการมาเยี่ยมเยือนของราชันจนตะวันคล้อยบ่ายในที่สุดรถยนต์สำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ก็มาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้าน อาการดีใจจนออกนอกหน้าของเปลวอรุณก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนถึงขนาดที่แม้นภากับสุริยะบอกแกมบังคับให้นั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกเดี๋ยวผู้ใหญ่ทั้งสองจะเป็นออกไปรับแขกที่หน้าบ้านให้ เปลวอรุณก็ยังคอยชะเง้อคอมองหาเรียกเสียงหัวเราะขบขันเบาๆจากอัมรินทร์และลูกตาลที่นั่งขนาบข้างอยู่ไม่ได้

        ก็นะ นานๆทีพวกเขาจะได้เห็นมุมเด็กๆของเปลวอรุณบ้างนี่นะ...

   พอเห็นสุริยะกับนภาก้าวเดินนำแขกเข้ามาในห้องรับแขกรอยยิ้มของเปลวอรุณก็ยิ่งกว้างขึ้นก่อนจะนิ่งค้างไปเสียดื้อๆ และที่ทำให้ใบหน้าเปรี่ยมยิ้มของเปลวอรุณกลายเป็นใบหน้าสงสัยขมวดคิ้วชนกันจนมุ่ยคงจะเป็นจำนวนแขกที่มากกว่าที่ตนคาดการณ์เอาไว้

   นอกจากราชันกับวาเลนติโน่ที่มาหาเขาในวันนี้แล้วยังมีชายชราที่เขาไม่คิดว่าจะได้เจอหน้ากันอีกอย่างธรรมภาสที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เลื่อนไฟฟ้าที่ถูกเข็นโดนหญิงวัยห้าสิบกลางๆคนหนึ่งที่เขาจำได้ว่าคือ วรรณา ภรรยาใหม่ของแสงธรรมบิดาของราชันตามด้วย ภูมิแสง กับ แสงรวี ลูกชายทั้งสองของเธอเดินปิดท้าย

   เปลวอรุณมองคนทั้งหมดอย่างไม่เข้าใจถึงการมาก่อนจะแบนสายตาหาคำตอบไปถามราชัน

   “ขอโทษที่มาช้านะครับพี่เปลว” ราชันไม่ตอบความสงสัยนั้นแต่เลือกที่จะเอ่ยคำขอโทษแทน “ที่ช้าเพราะเครื่องบินที่บินมาจากเชียงใหม่ดีเลย์ไปหน่อยกว่าจะได้ออกจากสนามบินก็เลยช้ากว่าที่คิดเอาไว้” ก่อนจะบอกเหตุผลของเรื่องให้พี่ชายได้ฟัง

   “ราชไม่เห็นบอกพี่เลยว่าจะมีใครมาด้วยอีก” เปลวอรุณเอ่ยถามโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของชายชราบนเก้าอี้เลื่อน

   “พอดีพวกเราได้ยินว่าคุณเปลวป่วยอยู่ เลยขอให้คุณราชพามาเยี่ยมค่ะ” วรรณารีบเอ่ยขึ้นโดยไม่ระบุเจาะจงเมื่อเริ่มรู้สึกถึงความอึดอัดของบรรยากาศรอบๆตัวที่แพร่ออกมาจากแววตาของคนป่วยที่ตั้งใจจะมาเยี่ยม

   “ขอบคุณคุณป้านะครับที่อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล ภูมิกับรวีด้วยนะ” เปลวอรุณหันไปยิ้มให้กับคนทั้งสาม

   ดวงตาสีอ่อนมองคนทั้งสามด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริงโดยไม่วายเผลอมองสำรวจน้องชายทั้งสองไปด้วย จากที่ฟังราชันเล่าให้ฟังมา ภูมิแสงเพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจตอนนี้เพิ่งเข้าบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจอยู่ที่สำนักงานตำรวจที่เชียงใหม่ รูปร่างหน้าตาของน้องชายคนนี้ถอดแบบออกมาจากผู้เป็นลุงของเขาได้อย่างไม่มีที่ติโดยเฉพาะสายตาที่ดูเด็ดเดี่ยวนั่น ส่วนน้องชายคนเล็กตอนนี้เรียนอยู่ชั้นปีที่หนึ่งของมหาวิทยาลัยในจังหวัด แต่เห็นว่ากำลังอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ใหม่อีกครั้งหลังจากที่ปีที่แล้วพลาดไป แม้จะดูไม่เหมือนพ่อเท่าไรนักแต่ก็ดูรู้ว่าคล้ายคนแม่อยู่พอควร

   “ถ้ายังไงก็คุยกันไปก่อนนะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ไปดูของในครัวก่อนเผื่อถ้าขาดเหลืออะไรจะได้โทรบอกเจ้ารุทธิ์ให้ซื้อเข้ามาเพิ่ม” นภาขอตัวเมื่อรู้สึกว่าตนเหมือนเป็นคนนอกสำหรับการสนทนาต่อจากนี้ “เดี๋ยวตอนเย็นอยู่ทานข้าวด้วยกันนะคะ” โดยไม่ลืมเอ่ยชักชวนแขกตามความตั้งใจก่อนเดินออกจากห้องรับแขกนี้ไปพร้อมสามี

   คล้อยหลังของสองเจ้าบ้านไปห้องรับแขกก็ตกอยู่ในความเงียบที่แสนจะอึดอัดในความรู้สึกของเปลวอรุณ ด้วยความไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับญาติฝั่งแม่ที่เดียวพร้อมกันหมดแบบนี้ด้วยแล้วเขายิ่งประหม่า

   กับราชันและวาเลนติโน่ถือเป็นเรื่องน่ายินดีเพราะเขาสนิทสนมกับราชันและคนรักของน้องชายคนนี้พอควร กับป้าสะใภ้คนใหม่และน้องทั้งสองเขาก็เคยพูดคุยกันบ้างแม้จะไม่สนิทเท่ากับราชันแต่ก็พอคุยกันได้ แต่กับผู้อาวุโสที่สุดนี่ต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจที่จะพบหน้า

   “นั่นคงจะเป็นลูกตาลสินะ” เสียงของชายชราเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบเรียกสติของเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อให้หันกลับไปมองพร้อมขานรับ

   “มานี้มา มาให้ทวดรับขวัญเหลนคนโตหน่อย” ธรรมภาสยิ้มพลางกวักมือเรียก

   ลูกตาลดูมีท่าทางลังเลหันมองหน้าแม่บุญธรรมของตัวเองเล็กน้อยเป็นเชิงถาม พอแม่พยักหน้าเจ้าตัวถึงได้ขยับลุกขึ้นเดินเข้าไปนั่งพับเพียบอยู่ข้างเก้าอี้เลื่อนของคนที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘ทวด’

   “เห็นเจ้าราชบอกเรามันแสบใช่ย่อยเลยนิ ใช่ไหม” คนแก่ค้อมกายทักถามติดตลกกับเรื่องราวที่หลานชายเล่าให้ฟังก่อนมา
    คนถูกถามยิ้มเก้อเขินด้วยไม่รู้ว่าวีรกรรมที่ถูกคนตัวซีดเล่ากล่าวให้ชายชราฟังเป็นไปในทิศทางไหน ครั้นหันไปหาอีกฝ่ายก็เชิดหน้าหนีไม่ยอมสบตาจนแอบหมั่นไส้กับท่าทางเช่นนั้นอยู่ไม่ใช่น้อย

   คนแก่หัวเราะชอบใจกับสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์ของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ส่งสายตาเอาเรื่องเอาความหลานชายคนโปรดของเขา ก่อนจะหันไปกระซิบบางอย่างกับวรรณาเพื่อให้เธอหยิบของบางอย่างที่เตรียมเอาไว้ออกมาให้

   “เอานี่ ทวดให้”

   ซองผ้ามันแบบหูรูดสีน้ำเงินถูกยื่นส่งมาให้ตรงหน้า ลูกตาลยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะรับมาพร้อมเปิดดูของที่อยู่ข้างในตามคำร้องขอของผู้ให้

   “ข้อมือเงินแท้เลยนะ สวมไว้ละ” ธรรมภาสว่าอย่างภูมิใจพลางหยิบข้อมือแบบวงสวมหัวบัวสีทองสวมให้เด็กหนุ่ม “ถือว่าเป็นของรับขวัญนะ” เขาว่าแล้วตบไหล่หนาสองสามที

   ลูกตาลยกมือไหว้ขอบคุณธรรมภาสอีกครั้งก่อนคลานถอยกลับไปนั่งข้างเปลวอรุณอีกครั้ง

   เปลวอรุณลูบแขนหนาของลูกชายหลังจากที่เด็กหนุ่มกลับมานั่งข้างตนอีกครั้ง

   “เปลว” ก่อนจะชะงักเมื่อเสียงของธรรมภาสเอ่ยเรียกชื่อตน

   “เป็นยังไงบ้าง” เปลวอรุณยิ้มแกนให้กับคำถามนั้น

   “ก็ สบายดีครับ”

   “ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันนี้ ใช่ตอนงานศพของแม่หลานหรือเปล่า” ธรรมภาสหยันเชิงถาม ด้วยความคะนึงหา

   “ครับ” แต่เปลวอรุณกลับตอบคำถามนั้นเสียงแข็งฟังดูห่างเหินจนน่าใจหาย

   “หลานยังโกรธตาอยู่ใช่ไหม” ธรรมภาสเข้าประเด็น จ้องมองหลานชายคนโตอย่างไม่ละสายตาหนี แม้คำตอบที่ได้กลับมาจะเป็นเสียงเย้ยเยาะ

   “ผมมีสิทธิโกรธคุณด้วยหรือครับ”

   “เปลว” อัมรินทร์เอ่ยปรามคนรักเบาๆ

   เปลวอรุณสะบัดหน้าหนี

   “ถึงหลานจะโกรธ ตาก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ” ธรรมภาสยิ้มเศร้า

          วรรณาบีบท่อนแขนผอมแห้งของชายชราอย่างให้กำลังใจ

   “แต่ตาอยากจะขอโทษที่ทิ้งหลานในวันนั้น ตาขอโทษจริงๆเปลว” เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำวันนั้นสร้างบาดแผลหลายๆอย่างให้กับหลานคนนี้เป็นอย่างมาก และเขาเองก็ขี้ขลาดที่หนีปัญหานี่มานานกว่ายี่สิบปี

   “ขอโทษเพื่ออะไรครับ” เปลวอรุณย้อนถาม 

   ธรรมภาสหน้าม่อย

   “คุณทิ้งผม ผมไม่เคยว่าไม่เคยเสียใจ แต่การที่คุณทิ้งผมเอาไว้กับความหวังที่หยิบยื่นให้แล้วหนีหายไปคุณรู้ไหมว่าผมเจ็บขนาดไหน” เปลวอรุณเค้นเสียงสั่น ขอบตาทั้งสองข้างของเขาร้อนผ่าวเมื่อนึกถึงวันนั้น...

   การจากไปของแม่ของเขาคือวันที่เขาได้พบหน้าของผู้เป็นตาครั้งแรก...

   เปลวอรุณจำได้ดีว่าตัวเขาในวัยสิบสามปีที่ต้องสูญเสียแม่อันเป็นที่รักมันเจ็บปวดขนาดไหน แม้จะไร้แม่แต่เขาก็ยังอยากให้พ่ออยู่กับเขาถึงจะแค่สองคนพ่อลูกเขาก็ยังรู้สึกดี เขาจำได้ว่าเขาเคยขอร้องพ่อขอให้พ่ออยู่กับเขาแค่สองคนในบ้านที่แม่มอบไว้ให้กับเขาก่อนที่แม่จะจากไป แต่พ่อกลับเลือกที่จะยืนยันคำเดิมว่าจะให้พิมพาอยู่ที่บ้านหลังนี้ด้วยเพื่อช่วยดูแลเขา

   ซึ่งเขาไม่ต้องการ..

   แต่แล้วก็เหมือนสวรรค์จะเห็นใจ ในวันงานคืนแรกนอกจากผู้เป็นลุงที่เขาคุ้นเคยกันดีจะมาหามาปลอบโยนแล้วเขายังได้พบกับผู้เป็นตาที่ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้พบหน้า

   “ตาจะดูแลบ้านของหลานให้แล้วจะพาหลานไปอยู่ด้วย อดทนหน่อยนะ”

    คำพูดที่เหมือนคำสัญญาที่ได้รับพร้อมกับความอบอุ่นของฝ่ามือที่ทาบลงเหนือศีรษะมันทำให้รู้สึกดีและอุ่นใจ ในเมื่อพ่อไม่คิดจะเลือกเขาเขาก็ขอแค่มีบ้านที่แม่รักยังอยู่กับเขาก็พอ ส่วนพ่อกับผู้หญิงคนนั้นเขาก็จะไม่คิดสนใจ

   แต่แล้วสัญญาที่ออกมาจากปากของญาติผู้ใหญ่ที่เขาให้ความไว้วางใจกลับเป็นเพียงแค่สัญญาลมปากไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้

   ผู้เป็นตาบอกให้เขารอ เขาก็รอ รอว่าสักวันหนึ่งตาจะมารับเขาไป ตาจะไล่พ่อใจร้ายกับผู้หญิงที่เป็นต้นเหตุให้แม่เขาตายออกไปจากบ้านที่แม่รัก เขารอ

   แล้วเขาได้อะไรกลับมา...?

   ไม่

   เขาไม่ได้อะไรกลับมาเลยนอกจากความไว้ใจที่สูญเปล่า

   หลังจากงานศพของแม่ ตาก็หายไปจากชีวิตของเขา คำสัญญาที่เคยให้ไว้ก็จางหายไป ยังดีที่ว่าบ้านหลังนี้อยู่ในความดูแลของผู้เป็นตาตามความประสงค์ของแม่เพราะเขายังเด็กจึงยังไม่สามารถจัดการทรัพย์สินอะไรได้ด้วยตนเองทำให้เขายังพอมั่นใจว่าบ้านจะยังเป็นบ้านของเขาอยู่ แค่ความน่าอยู่ลดลงจนเกือบไม่มี

   ทุกๆวันเขาเฝ้ารอ รอว่าเมื่อไรตาจะมารับจะมาไล่คนที่ทำให้บ้านหลังนี่ไม่น่าอยู่ให้ออกไป ทุกวันที่ได้คุยกับราชันเขามักจะเฝ้าถามหาผู้เป็นตาที่ไม่แม้จะคุยกับเขาอีกเลยตั้งแต่วันนั้น เขาได้แต่เฝ้ารอ รอจนรู้ว่าไม่ต้องรออีกต่อไปและรู้ว่าคนที่ให้ความหวังกับเขากลับกลายเป็นคนที่ทำลายความหวังของเขาจนแทบไม่เหลือชิ้นดี...

   เริ่มแรกเขามี ‘พ่อ’ เป็นความคาดหวังแรกที่เขาคาดหวังว่าจะเลือกเขาที่เป็นลูก สุดท้ายพ่อก็ไม่เลือกความสุขของเขาแต่กลับโลภเลือกเอาความสุขขอตนเองเป็นที่ตั้ง และ ‘ตา’ คืออีกความคาดหวังของเขาที่ถูกทำลายลงไม่ต่างกัน
   แล้วตอนนี้เพิ่งจะกลับมาเพื่ออะไร...?

   “คุณหายไปตั้งยี่สิบกว่าปี แล้วตอนนี้กลับมาทำไมครับ หรือเพิ่งนึกได้ว่าเคยสัญญาอะไรเอาไว้กับผม” ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจที่คิดว่าถูกทอดทิ้งมาหลายปีทำให้เปลวอรุณใช้ถ้อยคำที่เสียดแทงทำร้ายใจทั้งตนเองและผู้ฟัง

   “เปลวใจเย็นก่อน” จนอัมรินทร์ที่นั่งอยู่ข้างๆต้องรั้งอีกคนเข้ามากอดเมื่อร่างทั้งร่างของเปลวอรุณเริ่มสั่น

   “คุณเปลวอย่างพูดอย่างนั้นกับคุณตาสิคะ คุณท่านท่านมีเหตุผลที่ทำไปนะคะ” วรรณารีบแก้ต่างให้กับผู้ที่เธอเคารพ ด้วยตัวเธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่รู้ถึงเหตุผลดังกล่าวดีและไม่ต้องการให้สองตาหลานต้องผิดใจกันไปมากกว่านี้

   “เหตุผลอะไรหรือครับคุณป้า เหตุผลที่ผมเป็นหลานชังที่เกิดจากผู้ชายคนที่เขาชังน้ำหน้าอย่างนั้นหรือครับ” ถึงได้ใจร้ายใจดำกับผมได้ขนาดนี้ เปลวอรุณสะอื้นไห้ในใจ

   วรรณานิ่งเงียบด้วยไม่รู้จะกล่าวยังไง แม้เธอจะรู้เห็นกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ตัวเธอเองก็ถือว่าเป็นคนนอกสำหรับเรื่องนี้จะพูดอะไรออกมามากก็ดูจะเกินงามทำได้แค่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกได้แต่มองหน้าชายชราที่นั่งหลับตาเงียบไม่พูดไม่จา
   ภูมิแสงเองเมื่อเห็นบุพการีของตนมีท่าทีไม่สบายใจก็ทำได้แค่นั่งบีบมือให้กำลังใจไม่ปล่อยเช่นเดียวกับแสงรวีที่แม้จะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยก็พลอยทำหน้าเครียดไม่ต่างกัน

   “ใช่ จริงอย่างที่หลานพูดมาที่ตาชังน้ำหน้าพ่อของหลานมาตั้งแต่แรก” ธรรมภาสยอมรับด้วยอารามสงบนิ่ง เปลือกตาอ่อนลืมขึ้นให้เห็นดวงตาที่แสดงความอ่อนล้าออกมา

   “ครั้งแรกที่พราวแสงแม่ของหลานพาผู้ชายคนนั้นเข้ามาในบ้าน สิ่งแรกที่ตารู้สึกได้คือ ผู้ชายคนนี้เป็นคนมุ่งมั่นดี แต่บางสิ่งบอกกับตาว่าผู้ชายคนนี้จะทำให้ลูกสาวที่รักของตาต้องเสียน้ำตา อีกทั้งตอนนั้นแม่ของหลานก็ยังเด็กดูจะแก่กว่าเจ้ารวีไม่กี่ปีเองด้วยซ้ำไป ตาก็อยากให้เขาได้เจอคนที่ดีกว่านี้ แต่แม่หลานมันดื้อเงียบ มั่นใจในตัวเองเกินไป และก็เดียงสาเรื่องรักนัก” ชายแก่ระบายยิ้มบางๆยามนึกถึงลูกสาวคนเล็กที่ตนถนอมรักและเอ็นดูมาอย่างกับไข่ในหิน

         ลูกสาวคนเล็กที่ทั้งเขาและภรรยารักมาก

   “พอตาคัดค้านไม่เห็นด้วยก็ประท้วงอดข้าวบ้างละ ไม่ออกจากห้องบ้างละ พอหนักข้อขึ้นก็กลายเป็นว่าทะเลาะกันเสียยกใหญ่แถมยังมีหน้ามาบอกว่าจะหนีออกจากบ้านอีกด้วย” ธรรมภาสยิ้มขำ “ตาเองตอนนั้นมันก็หัวร้อนได้ทีด้วย พอยายพราวพูดแบบนั้นก็พลั้งปากไล่แม่เราออกจากบ้านพร้อมบอกจะตัดพ่อตัดลูกกับมันด้วย คราวนี้ละก็กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต แล้วแม่เราก็ไม่รู้ไปเอาความกล้าแบบบ้าๆนั้นมาจากไหนถึงได้หนีออกจากบ้านจริงๆอย่างที่ลั่นปากไว้” คราวนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของธรรมภาสกลายเป็นรอยยิ้มเศร้าๆ

   “ไม่รักพ่อรักแม่รักพี่ตาไม่ว่า แต่นี่แม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นหญิงก็ไม่คิดจะรักษา หนีตามผู้ชายข้ามจังหวัดเพราะคิดว่าที่ทำที่เลือกนะถูก แล้วเป็นไงละ ฮึ” ชายชรายิ้มเยาะ “แต่บางทีอาจเป็นเพราะตานี่ละที่เลี้ยงลูกมาผิด ตามใจเสียจนเคยตัวห่วงมากจนเกินไปพอเขาได้มีสิทธิคิดเองเลือกเองได้ก็เลยทำตัวปีกกล้าแบบนั้น” และเยาะเย้ยตัวเองที่เลือกเลี้ยงลูกมากผิด

   “แต่ก็ยังดีที่ยายพราวมันเลือกจะไปอยู่บ้านหลังนั้นที่แม่เขาสร้างเอาไว้ให้ก่อนหน้า เลยพอที่จะหมดกังวลได้หน่อย ความเป็นอยู่ของแม่เราตาไม่เคยมองข้ามหรอกนะ ตาส่งคนมาคอยดูตลอดแต่ทิฐิมันสูงเลยไม่เคยแม้จะไปหาหรือพูดคุยด้วยจนแม่เราจะคิดว่าตาโกรธตาไล่ทิ้งก็ไม่แปลก”

         อาจเพราะทั้งตัวเขาและลูกสาวเองก็ต่างถือทิฐิไม่หันหน้าคุยกันเสียให้รู้เรื่องจนกลายเป็นเก็บมาคิดเล็กคิดน้อยเอาเองจนสุดท้ายก็ได้แต่มานั่งร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่ผ่านมา

   เปลวอรุณเงียบ

         เรื่องราวมากมายที่ออกมาจากปากของธรรมภาสขยายความมากมายที่แม่ของเขาเคยเล่าให้ฟัง จริงอยู่ที่แม่เขาเคยเล่าให้ฟังว่าถูกตาไล่ออกจากบ้านเพราะแม่เลือกที่จะเลือกพ่อเป็นคู่ชีวิตจนทำให้ตาไม่พอใจ แต่สิ่งหนึ่งที่แม่เขาไม่เคยรู้เลยตั้งแต่ก้าวเท้าออกมาตามทางที่ตัวเองเลือกก็คือ ตาไม่เคยทอดทิ้งแม่อย่างที่แม่เข้าใจ

   “แต่ตาดีใจนะ ที่สุดท้ายแล้วแม่เราเลือกที่จะให้ตาเป็นคนดูแลเรากับบ้านหลังนั้น” รอยยิ้มครั้งนี้ของธรรมภาสดูมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อคิดว่านี้คือสิ่งที่ลูกสาวต้องการจะสื่อถึงว่า ยังคงรักและคิดถึงพ่ออย่างเขาอยู่

   “แต่กับพ่อหลาน ตาบอกแล้วว่าตาดูคนไม่ผิด” คราวนี้เสียงของชายชราดูเข้มขึ้นจนเปลวอรุณต้องเงยหน้าขึ้นมามอง

   “ตาไม่ได้อยากจะพูดให้หลานมองพ่อไม่ดีหรอกนะ” ธรรมภาสพูดให้เข้าใจตรงกันเสียก่อนที่จะกล่าวต่อ “แต่พ่อของหลานนะ นอกจากความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตที่ดีแล้วตามองไม่เห็นเลยว่าเขาจะรักแม่ของหลานจริง จะบอกว่าผู้ชายด้วยกันถึงมองกันออกด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่คำนี้เจ้าแสงพ่อของราชเองก็ยังพูดเหมือนกันกับตา”

   “หมายความว่าไง” คล้ายกันมีสายฟ้าฟาดผ่านกลางใจกับคำที่ได้ยิน “พ่อไม่เคยรักแม่หรอ” เสียงของเปลวอรุณแผ่วเบาและสั่นเครือเมื่อคิดถึงความน่าหวาดหวั่นนี้

   พ่อไม่เคยรักแม่ ในขณะที่แม่เขารักพ่อยิ่งกว่าอะไร...

   “อย่าคิดอย่างนั้นเปลว ถ้าไม่รักกันพวกเขาคงไม่อยู่ด้วยกันจนหลานเกิดมาหรอกนะ” ธรรมภาสปรามความคิด ถึงจะไม่ได้นึกรักแต่ก็ไม่อยากให้หลานต้องมองพ่อของตัวเองไปในทางเลวร้าย

   “ที่ตาจะเล่า ไม่ได้เล่าให้หลานเกลียดพ่อตัวเอง แต่ตาจะเล่าเพื่อให้หลานรู้ถึงความเข้าใจผิดที่เรามีต่อกันมา เข้าใจไหม” เขาพยายามย้ำให้เปลวอรุณเข้าใจถึงข้อเท็จจริงที่เขากำลังจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้

   เปลวอรุณพยักหน้ารับช้าๆแม้ในใจจะรู้สึกปวดหนึบไปหมดแล้วก็ตามที

   “วันนั้นที่ตาให้สัญญากับหลานไป ตาไม่คิดจะผิดคำเลยสักนิด” ธรรมภาสเข้าประเด็น

   “ตาเรียกพ่อเราไปคุย ตาขอให้เขาเลิกกับผู้หญิงคนนั้นโดยให้เขาเห็นแก่หลาน แต่เขาดันบอกว่ากับตาว่า ‘พิมพ์ไม่ดีตรงไหน พิมพ์เองก็รักเปลวเหมือนลูกคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่เสี่ยงชีวิตช่วยเปลวที่กำลังจมน้ำขึ้นมาหรอก’ แถมยังบอกว่าตาคิดจะพรากพ่อพรากลูกจากกันตอนที่ตาขู่ว่าถ้าเขาไม่เลิกตาจะพาหลานไปอยู่ที่เชียงใหม่แล้วฟ้องขับไล่เขากับแม่เมียใหม่นั่นออกจากบ้าน” คิดแล้วก็นึกขำในตัวผู้ชายคนนั้นอยู่ไม่น้อยที่กล้าเอาเรื่องสิทธิเลี้ยงดูเปลวอรุณขึ้นมาเป็นข้ออ้างมันยิ่งทำให้เขานึกถึงหน้าของลูกเขยตัวดีที่เขานึกชังน้ำหน้าตั้งแต่วันแรกที่เจอ

               ผู้ชายเห็นแก่ตัวที่ลูกสาวเขารัก....

          “พ่อเขารักหลานมากนะเปลว แต่เขาก็หลงผู้หญิงคนนั้นมากด้วยเหมือนกัน”

   พอได้ฟังแบบนั้นแล้วเปลวอรุณก็เพิ่งแรงบีบมือของอัมรินทร์ที่เอื้อมมากจับมือของตนเอาไว้แน่นกว่าเดิม

   “ตอนแรกตาตั้งใจจะจ้างทนายเพื่อขอสิทธิ์เลี้ยงดูเราจากศาล แต่พ่อของเรามันร้ายมันขู่ตา ถ้าตาคิดจะเอาเปลวไปมันก็จะพาเปลวไปไว้ที่อื่นถ้าตายังติดต่อเปลวอีกหามันจะพาเปลวหนี ถึงตาจะเชื่อว่าคนอย่างมันจะไม่ทำร้ายลูกแต่ใจคนมันยากแท้ที่จะคาดเดา เปลวเข้าใจตาไหมว่าตาคิดยังไงรู้สึกแบบไหน” ธรรมภาสเล่าความ พร้อมเอ่ยถามไปด้วยแววตาที่เหนื่อยล้าและโศกเศร้า

   “ตาเสียลูกสาวไปคนแล้ว และตาก็ไม่อยากจะเสียหลานไปอีกคน ต่อให้ตามีอำนาจมากขนาดไหนแต่คนมันจนตรอกมันน่ากลัวยิ่งกว่าอะไรดี ตาไม่อยากเสี่ยง” ธรรมภาสพูดด้วยน้ำเสียงปวดใจยามนึกถึงคำพูดของลูกเขยตัวดีที่หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่มีวันยกลูกชายคนเดียวของตัวเองให้ผู้เป็นตาอย่างเขาเลี้ยงดู จนถึงขนาดว่าจะขู่ฆ่าลูกของตัวเองแล้วฆ่าตัวตายตามด้วยซ้ำไปและเขาไม่มีทางที่จะเล่าให้เปลวอรุณรับรู้ถึงเรื่องน่ากลัวที่ออกมาจากปากของผู้ให้กำเนิดแน่

   เขากลัวหลานจะรับไม่ได้...

   เปลวอรุณสูดหายใจเข้าปอดลึกกว่าเก่าหลายเท่าตัวเมื่อได้รับรู้เรื่องราวที่ถูกปกปิดมานาน ความคับข้องใจของเขาถูกคลี่คลายลงแล้วก็จริง ก็มันก็มาพร้อมกับคำถามมากมายที่ว่า ทำไม และ ทำไม เต็มไปหมดจนปวดหัว

   ฝ่ามือขาวยกขึ้นกุมขมับจนหลายคนในห้องมองอย่างนึกเป็นห่วง รวมถึงนภาและสุริยะที่ทำตัวเสียมารยาทแอบฟังบทสนทนาในครอบครัวอยู่ด้านนอก

        “แล้วทำไมถึงเพิ่งมาพูดตอนนี้” เปลวอรุณเปิดปากถามขึ้นหลังจากเงียบไปนานจนหลายคนนึกหวั่นใจ แต่น้ำเสียงที่ราบนิ่งกว่าปกตินี้ต่างหากที่เริ่มทำให้ทุกคนมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ถูก

        “ถ้าคุณบอกว่ากลัวพ่อจะพาผมหนีหรือกลัวว่าเขาจะทำอะไรกับผมก็ตามแต่ แล้วตอนที่พ่อตายแล้วละ ทำไมคุณยังหายเงียบไปอยู่อีก” ถ้าธรรมภาสกลัวคำข่มขู่ของพ่อเขาแล้วในตอนที่พ่อของเขาเสียไปแล้วละ ทำไมถึงยังทิ้งเขาเอาไว้ให้อยู่กับผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกทำไมไม่กลับมาทำตามที่ให้สัญญากับเขาเอาไว้ ทำให้เขารู้ว่าเขายังมีตาเป็นที่พึ่งพิง

   “ตาขอโทษเปลว” ชายชรามีสีหน้าที่ดูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

   ยิ่งธรรมภาสไม่แก้ต่างหรือพูดอะไรออกมาเลยนอกจากคำว่า ขอโทษ ที่แสดงถึงความรู้สึกผิดก็ยิ่งทำให้เปลวอรุณเค้นยิ้มเยาะใส่ตัวเองมากขึ้นจนอัมรินทร์กับลูกตาลที่นั่งอยู่ขนาบข้างได้ยินเสียง ‘ฮึ’ ดังออกมาจากลำคอของเปลวอรุณ

   “แล้วทำไมตอนนี้ถึงออกมาเล่าอะไรต่อมิอะไรให้ผมฟังได้ละครับ” เปลวอรุณประชดประชัน

   “เพราะตาไม่อยากให้เราผิดใจกันไปนานกว่านี้อีกแล้ว ตาเองก็แก่มาแล้-“

   “แล้วผมเองก็ไม่รู้จะตาวันตายพรุ่งด้วยใช่ไหมครับ” เปลวอรุณยิ้มเหยียด

   “พี่เปลว อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ” ราชันรีบโผล่ขึ้นปรามด้วยไม่อยากให้พี่ตัวเองพูดจาเป็นลางร้ายแบบนั้น เพราะแค่นี้ตัวเขาเองก็ใจเสียมากพอแล้วที่ต้องมาเห็นพี่กับตาของตัวเองทะเลาะกัน

   “พี่พูดจริงราช” เปลวอรุณปรายตามามองน้องชายเล็กน้อยก่อนหันกลับไปมองผู้เป็นตาอีกครั้ง

   “ถึงจะมีหลายคนหายจากโรคนี้ได้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ตายเพราะมันอยู่เหมือนกัน”

   “เปลว” อัมรินทร์ท้วงขึ้นอย่างไม่พอใจปนปวดร้าว

   “ถ้าผมไม่ป่วยคุณจะมาหาผมไหม จะมาบอกเรื่องพวกนี้กับผมหรือเปล่า” ความปวดร้าวในดวงตาของเปลวอรุณสื่อชัดถึงความน้อยเนื้อต่ำใจกับสิ่งที่ผู้เป็นตาเลือกที่จะทำให้ ยิ่งความในใจของเปลวอรุณสื่อออกมาชัดผ่านแววตาแบบนี้แล้วธรรมภาสเองก็รู้สึกคล้ายจะมีก้อนหินขนาดใหญ่จุกตันอยู่ที่ลำคอปิดกั้นเสียงพูดของเขาไม่ให้เปล่งออกมาได้อย่างที่ต้องการ

   
:mew3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
:mew3:


“ที่ผ่านมาตารู้หรือเปล่าว่าเปลวต้องเจออะไรบ้าง ตารู้ไหมว่าเปลวเจ็บ” เขาชี้ลงตำแหน่งหัวใจ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกจากดวงตาคู่สวยที่แดงก่ำ

   “เปลวเจ็บที่ต้องเป็นคนถูกทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เปลวรอตามาหาแต่ตาก็ไม่มา ตาไม่คิดถึงเปลวบ้างหรอ ไม่รักเปลวหรอ”

   “ไม่เปลวไม่ใช่อย่างนั้น” ธรรมภาสหน้าเสียรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน

   ร่างชราภาพเท้ายันแขนกับพนักวางแขนของเก้าอี้เลื่อนไฟฟ้าเพื่อพยุงตัวเองหมายจะเข้าไปกอดปลอบหลานชายที่ร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสารโดยไม่ห่วงว่าตนเองจะสามารถยืนด้วยขาของตัวเองไหวหรือไม่ จนซวนเซที่จะล้มกลับลงไปนั่งอีกครั้งจนราชันที่นั่งมองอยู่หน้าถอดสีกว่าตั้งสติดีดตัวขึ้นตามสัญชาตญาณก็คงเข้าไปรับเอาไว้ไม่ทันแน่ โชคยังดีที่แสงรวีไหวตัวทันรีบพุ่งออกไปรับร่างของธรรมภาสไว้ได้ทันก่อนจะเป็นฝ่ายประคองร่างอ่อนแรงของชายชราก้าวเข้าไปหาหลานชายคนโตผู้ที่ร้องไห้ออกมาเหมือนจะขาดใจอยู่กลางระหว่างคนรักและลูกชาย

   “ไม่เอาลูกไม่ร้อง ตาขอโทษ” ธรรมภาสเอื้อมมือออกไปลูบหมวกไหมพรมที่สวมครอบอยู่เหนือศีรษะ ก่อนจะไล่ลงมาที่สองข้างแก้มขาวซีดเปื้อนคราบน้ำตา

   “ถ้าเปลวไม่ป่วย ตาจะมาหาเปลวไหม จะมาพูดถึงเรื่องพวกนี้ให้เปลวฟังไหม” เปลวอรุณยังคงตัดพ้อน้อยใจทั้งน้ำตาแม้จะได้รับไออุ่นจากฝ่ามือที่โหยหามานานก็ตาม

   “มาสิ ถึงเปลวไม่ป่วยตาก็จะมาหา” ธรรมภาสกอดปลอบหลายชายตัวเองแน่น “ตารักเปลว รักไม่น้อยไปกว่าน้องคนไหนเลย หลานทั้งสี่คนตารักเท่ากันหมด”

   เขารู้ว่าเขาทำหลานชายต้องเสียใจ แต่เขาก็รักก็ห่วงหลานคนนี้ไม่ต่างจากหลานอีกสามคนที่เขาเลี้ยงดูมากับมือ ถึงเขาจะไม่ชอบหน้าบิดาของเปลวอรุณแต่เขาก็ไม่เคยนึกชังหลานคนนี้เลยสักครั้ง ไม่เคย...

   “เปลวอยากรู้อะไรถามตามาเลย ตาจะบอกทุกอย่าง แต่อย่าร้องไห้เลยนะลูก”


กว่าสองตาหลานจะเคลียร์ใจกับสิ่งที่ค้างคามานานเท่าอายุเปลวอรุณให้จบลงได้ก็นานพอที่จะเห็นรถยนต์ของอนิรุทธิ์ที่ออกไปรับลิลดาพร้อมซื้อของขับเลี้ยวกลับเข้ามาจอดในโรงจอดรถของบ้าน

   และเพราะจำนวนสมาชิกบนโต๊ะอาหารที่มากกว่าปกติเป็นเท่าตัวทำให้ลุงอุ่นเรียกตัวแววกันน้อยเข้าไปเป็นลูกมือในครัวตั้งแต่บ่ายแก่เพื่อตรวจดูวัตถุดิบและเริ่มปรุงอาหารและปล่อยให้เจ้านายพูดคุยกันต่อในห้องรับแขก

   “ดีจังเลยนะคะที่ปรับความเข้าใจกันได้ดีแล้ว” นภายิ้มแก้มปริ เธอเองก็ใจหายใจคว่ำไปหลายรอบตอนเห็นคนสองรุ่นพูดคุยกันทั้งน้ำตา

   ธรรมภาสยิ้มไม่ต่างกัน แววตาของชายชราเปรี่ยมไปด้วยความสุขยามก้มมองหลายชายคนโตที่นั่งพับเพียบอยู่ที่พื้นข้างกาย คลึงปลายนิ้วหัวแม่มือกับหน้าผากมนของเปลวอรุณอย่างเอ็นดูก่อนสายตาจะสบเข้ากับแหวนวงหนึ่งที่นิ้วนางบนมือของเปลวอรุณที่วางไว้ที่หน้าตักของตนแล้วแบนสายตาจากหลังมือหลานไปที่มือของชายหนุ่มอีกคนที่นั่งประกบข้างหลานของตนไม่ห่างกาย

   อัมรินทร์ที่พอจะรู้สึกถึงสายตาของชายอาวุโสที่มองมาทางตนก็พอจะเข้าใจในความหมายของสายตาที่คล้ายจะเอ่ยถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสอง ชายหนุ่มจึงขยับถอยห่างจากร่างของคนรักที่เอนซบตักของผู้เป็นตาออกมาด้านหน้าของชายชราตรงๆท่างกลางสายตาสงสัยใคร่รู้ของคนที่อยู่ในห้อง

   “มีอะไร” ธรรมภาสเอ่ยเสียงเข้มอย่างจับผิด แววตาพิจารณาอย่างที่ชอบทำเผลอกวาดสำรวจคนหนุ่มตรงหน้าที่จ้องมาทางตนอย่างมุ่งมั่น

   “ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณครับ” อัมรินทร์ตอบเสียงหนัก

   ธรรมภาสนิ่งเงียบรอฟัง

   นภากับสุริยะหันหน้ามองกันอย่างแปลกใจสงสัยกับการกระทำของลูกชายก่อนจะหันไปมองทางอนิรุทธิ์ที่หันมาส่ายหัวให้ผู้ใหญ่ทั้งสองอย่างไม่รู้ไม่ต่างกัน

   “ผมไม่รู้ว่าราชันได้พูดถึงเรื่องของผมให้คุณฟังหรือไม่” อัมรินทร์หันมองทางราชันเล็กน้อย “แต่ผมมีบางสิ่งที่อยากจะบอกกับคุณครับ”

   “นายคงเป็นอัมรินทร์” อัมรินทร์พยักหน้ารับ ธรรมภาสหรี่ตาลงเล็กน้อย

   “ใช่ ราชเคยเล่าเรื่องของนายให้ฉันฟัง เขาบอกว่านายเคยเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยรวมถึงแม่หนูนั่นด้วย” ปลายประโยคธรรมภาสเงยหน้าไปมองลิลดาที่นั่งอยู่ข้างอนิรุทธิ์ที่ส่งยิ้มพร้อมก้มหัวให้เล็กน้อย

   “แล้วมีอะไรที่ฉันควรรู้เอาไว้อีกไหม” จริงอยู่ที่ราชันมักจะเล่าเรื่องต่างๆรอบตัวของเปลวอรุณให้คนแก่อย่างเขาฟังบ่อยๆ และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นก็ต้องมีเรื่องของชายที่อยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ด้วย แต่เขาก็ยังอยากจะรู้ว่าเจ้าตัวเขาจะแนะนำตัวกับเขาว่ายังไงเหมือนกัน

   “ครับ” อัมรินทร์รับคำก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดลึกเฮือกหนึ่ง

   “ผมรู้ว่าเรื่องระหว่างผมกับเปลวมันมาไกลและข้ามขั้นในหลายๆขั้นโดยเฉพาะเรื่องขนบธรรมเนียม” เขาพยายามเรียบเรียงคำให้ดีที่สุด ด้วยไม่นึกว่าจะต้องมาพูดอะไรแบบนี้ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่แถมเป็นในระยะเวลาที่กระชั้นจนแทบไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก่อน

   “แต่ผมรักเปลว ผมพร้อมที่จะดูแลเปลวไม่ว่าจะยามทุกข์หรือสุข ผมพร้อมที่จะจับมือเปลวไปทุกจังหวะของชีวิต ผมอยากจะขอ ขอให้คุณไว้ใจยอมให้ผมได้รักได้ดูแลเปลวจะได้ไหมครับ” อัมรินทร์พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะประคองน้ำเสียงของตนไม่ให้สั่นมากจนเกินไปจากความประหม่า

   คนฟังกระตุกยิ้มพอใจ

   ธรรมภาสหันหน้ามองไปทางลูกสะใภ้ของตนคล้ายถามความคิดเห็น ทางวรรณาเองก็ทำเพียงส่งยิ้มที่บ่งบอกว่าเธอพึงพอใจไม่ต่างกันให้แทนคำตอบ

   แต่ดูเหมือนคนที่จะมีปัญหาจริงๆกลับเป็นภูมิแสง

   “ผมจะเชื่อได้ยังไงว่าคุณไม่ได้ดีจริงแค่ลมปาก” นิสัยห่วงพี่ห่วงน้องของภูมิแสงถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อได้อย่างชัดเจนที่สุด แม้ตนเองจะไม่ได้สนิทกับพี่คนใหญ่มากเท่าไรแต่เมื่อถือว่าเป็นพี่เป็นญาติเป็นคนในครอบครัวแล้วละก็ภูมิแสงจะไม่ปล่อยผ่าน

   “ผมได้ยินเรื่องของคุณจากพี่ราชมาเยอะ ตัวคุณเองเริ่มแรกก็เข้าหาพี่ของผมด้วยใจไม่บริสุทธิ์แล้วผมจะเชื่อได้อย่างไรว่าคุณจะรักพี่ผมจริง” นายตำรวจหนุ่มคาดคั้นเอาความจริงจังจนธรรมภาสอดที่จะภูมิใจในตัวหลานชายคนนี้ไม่ได้ ในขณะที่ราชันยิ้มกริมพอใจกับคำพูดของน้องชายต่างแม่ที่ขัดขึ้นมาจนวาเลนติโน่ต้องส่งสายตาปรามไม่ให้เจ้าตัวร้ายของเขาแสดงออกหน้าออกตามากจนเกินไปถึงความสะใจที่ว่า

   ไม่เสียแรงที่บ่นเรื่องของอัมรินทร์ให้ภูมิแสงฟังบ่อยๆ....

   “แต่คุณเขาก็ดูแลพี่เรามาตลอดไม่ใช่หรอครับ” แสงรวีพยายามที่จะเอ่ยช่วย แต่ก็โดยสายตาดุๆของพี่ชายเข้าไปจนไม่กล้าพูดต่อได้แต่ก้มหน้างุยเรียกเสียงหัวเราะขบขันจากลูกตาลที่นั่งอยู่ด้านหลังเปลวอรุณได้อย่างดี

   “ถึงคุณจะดูแลพี่ของเรามาก็จริง แต่มันก็แค่ช่วงเวลาสั้นๆเราจะรู้ได้ไงว่าระหว่างที่พี่เปลวรักษาตัวเขาจะไม่ถอดใจไปกลางคัน” เหมือนจะเป็นการมองโลกในแง่ร้าย แต่ภูมิแสงก็ต้องพูดออกมาเพราะเขาเห็นมานักแล้วไอ้พวกที่ว่าเริ่มแรกก็ดูแลเอาใจใส่ดีแต่พอนานวันเขาก็เริ่มห่างหายไปเพราะความเบื่อหน่ายไม่ก็รับไม่ได้กับสภาพร่างกายที่ต้องผ่านเคมีและรังสี

   “แต่ฉันไม่ใช่คนอย่างนั้น” อัมรินทร์ขึ้นเสียงตวัดสายตามองภูมิแสงเขม็ง เขาไม่ชอบให้ใครมาสบประมาทหรือดูถูกความจริงจังของตนแม้จะเป็นการทดสอบก็ตาม

   อัมรินทร์หันกลับมามองที่ธรรมภาสอีกครั้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังมากกว่าเดิม

   “ผมไม่ขอให้พวกคุณเชื่อว่าผมจะทำอย่างที่พูดได้หรือไม่ แต่ผมรักเปลวนี่คือความจริงทั้งหมดที่ผมมี” และน้ำเสียงของอัมรินทร์ก็หนักแน่นมากพอที่จะกะเทาะใจของธรรมภาสได้ไม่ยาก

        ชายชรามั่นใจในประสบการณ์ชีวิตที่ยาวนานของตนมากพอว่าดวงตาคู่นี้จะพร่าเลือนไปตามกาลเวลาบ้างแล้วแต่มันจะไม่พร่าบอดมองสิ่งใดผิดไปจากความจริง

       และคำของอัมรินทร์คือสิ่งที่คนแก่อย่างเขาสัมผัสได้ว่ามันคือคำสัตย์จริงจากใจชายคนหนึ่ง

        ภูมิแสงนิ่งเงียบลอบมองท่าทีของผู้เป็นปู่ว่าจะเอ่ยกล่าวสิ่งใด แต่พอได้เห็นรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากนายตำรวจหนุ่มก็เผลอยกยิ้มตามกับคำตัดสินใจที่ออกมา

         ปู่ของเขามีสายตาที่เฉียบคมและมองคนได้อย่างทะลุพรุนใจ และเขาเชื่อว่าเมื่อปู่แสดงสีหน้าและแววตาแบบนี้ออกมาย่อมหมายถึงว่าปู่ยอมรับผู้ชายคนนี้ของพี่คนใหญ่ และตัวเขาเองก็มั่นใจจากสิ่งที่ผู้ชายตรงหน้าแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าผู้ชายตรงหน้ารักพี่ของเขาจริงจากใจ

        “แล้วนายมีอะไรที่จะเอามาหมั้นหลานของฉัน”

         คำพูดธรรมดาๆอย่างการเอ่ยถามหาของบางสิ่งอัมรินทร์ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะดูยิ่งใหญ่และน่ายินดีได้ขนาดนี้ ใบหน้าคมฉีกยิ้มกว้างก่อนหันไปมองเปลวอรุณทีหนึ่งก่อนหันกลับไปมองผู้ให้กำเนิดทั้งสองที่นั่งอยู่บนโซฟาด้านหลัง

      อัมรินทร์รีบขยับตัวคลานกลับไปนั่งข้างกายเปลวอรุณอีกครั้งแทบจะในทันที มือหนาเอื้อมจับมือของเปลวอรุณเอาไว้แน่นมากกว่าครั้งไหนๆ

         “ตัวผมในตอนนี้คงจะมีเพียงแหวนคู่นี้ที่เราสวมกันอยู่เท่านั้นละครับ” อัมรินทร์เกลี่ยแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วของเปลวอรุณไปมาด้วยความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาจนจุกอก นึกโกรธตัวเองที่ไม่มีเวลาที่จะหาของมีค่าอะไรมาหมั้นหมายเปลวอรุณได้มากกว่านี้

   “แหวนวงนั้นที่พวกเขาสวมอยู่เป็นค่าตอบแทนของความพยายามหลายๆอย่างที่ลูกชายของผมทำมาเพื่อให้ได้สวมมันลงบนมือของคนที่เขาอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน หวังว่าคุณธรรมภาสจะไม่รังเกียจของเล็กน้อยแบบนี้นะครับ” แต่ใครจะคิดกันละว่าในระหว่างที่อัมรินทร์นั่งโทษโกรธตัวเองอยู่นั้นคนเป็นพ่ออย่างสุริยะจะช่วยออกหน้าให้กับลูกชาย

   อัมรินทร์หันมองหน้าบิดาของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ด้วยแต่ไหนแต่ไรมาบิดาของตนแทบไม่เคยออกหน้าช่วยเหลือเขาในเรื่องใดๆเลยสักครั้งขนาดว่าเขากับอนิรุทธิ์เคยทะเลาะวิวาทพ่อของเขายังยอมให้ตำรวจพาพวกเขาเข้าไปนอนในห้องขังรวมกับโจทก์ที่เพิ่งมีเรื่องกันไปก่อนหน้าทั้งคืน แต่ครั้งนี้พ่อยอมที่จะเอ่ยปากออกหน้าให้กับเขา

   “ไม่หรอกครับ ใครจะกล้ารังเกียจหยาดเหงื่อความพยายามของคนกัน” ธรรมภาสยิ้มอย่างเข้าใจ

   “ถ้าอย่างนั้นในฐานะผู้ใหญ่ของเจ้าอันมัน ผมขอสู่ขอหนูเปลวให้มาเป็นสะใภ้จะได้หรือไม่ครับ” เมื่อไร้การคัดค้านใดๆสุริยะจึงออกตัวเป็นผู้ใหญ่สู่ขอเปลวอรุณให้ลูกชายของตน

   “ยินดีครับยินดี ฮ่าฮ่าฮ่า”

   “แล้วเรื่องสินสอดละคะ ทางคุณธรรมภาสจะเรียกเสียเท่าไรดี” นภาเอ่ยถาม

   “ทางผมคงไม่กล้าเรียกร้องอะไรขนาดนั้นหรอครับ” ธรรมภาสปฏิเสธที่จะเรียกร้อง

   “เรียกเถอะครับ ถือสะว่าเป็นค่าขอขมาที่ลูกของผมทำเรื่องไม่ควรเอาไว้กับหลานของคุณก่อนจะตบแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว”

   ธรรมภาสทำหน้าคิดตาม ด้วยความที่ใจไม่ใคร่จะขอเรียกร้องอะไรแต่พอถูกทักท้วงแบบนี้ก็ยิ่งคิดหนัก

   “เรื่องไม่ควรไม่งามทางเราเข้าใจเรื่องนี้ดีค่ะ” วรรณาแทรกขึ้น เธอเหลือบตามองธรรมภาสเล็กน้อยเปิดเชิงขออนุญาตเมื่อชายชราไม่ทักหรือขัดอะไรเธอจึงพูดต่อ

   “หาทางคุณอยากจะขอให้เราเรียกร้องเพื่อเป็นค่าขมาลาโทษกับสิ่งที่ลูกของคุณทำกับหลานของเรา ดิฉันขอเรียกร้องให้ลูกของคุณรักและดูแลหลานของเราจะได้หรือไม่คะ” เธอถามด้วยรอยยิ้มบางๆเอื้อนเอ่ยถ้อยคำช้าๆตามประสาคนเมืองเหนือให้สุริยะและนภาได้เข้าใจความต้องการของผู้อาวุโสสูงสุดของฝ่ายตน ก่อนจะหันมาเอาคำตอบจากอัมรินทร์

   “ได้ครับ ผมจะดูแลเปลวอย่างดีเลยครับ”

   “ดีค่ะ”วรรณายิ้ม “เพราะของที่มีค่ามากที่สุดจนยากที่จะอธิบายได้สำหรับคุณท่านแล้วคือความสุขชั่วชีวิตของคุณเปลว เหมือนอย่างที่ความสุขของคุณอัมรินทร์เป็นเหมือนสมบัติที่มีล่ำค่าที่สุดของพวกคุณ”



   งานมงคลที่ถูกจัดขึ้นเงียบๆดำเนินไปอย่างเรียบง่ายไม่มีทรัพย์สินเงินทองเป็นหลักประกันมีเพียงแหวนหนึ่งคู่กับความรักของคนสองคนเป็นหลักประกัน มีคำอวยพรจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเป็นเสมือนคำชี้นำและของขวัญที่มอบให้ แม้ไม่มีงานฉลองใหญ่โตแต่มีคนในครอบครัวของทั้งสองฝ่ายที่นั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเย็นด้วยกันร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดและเรื่องราวให้กันด้วยรอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะ


   ภาพถ่ายครอบครัวขนาดใหญ่ที่ถ่ายรวมสมาชิกครอบครัวทุกคนเอาไว้ในวันสำคัญถูกอัดใส่กรอบรูปขนาดสิบนิ้วตั้งวางอยู่ท่ามกลางกรอบรูปขนาดเล็กกว่าอีกหลายกรอบบนหลังตู้ลิ้นชักใส่ของข้างประตูภายในห้องนอนเพื่อที่ว่าวันไหนที่คิดถึงกันจะได้หยิบขึ้นมาดูแล้วระลึกถึงเรื่องราวดีที่เคยผ่านมา

       เปลวอรุณยิ้มบางๆให้กับกรอบรูปแห่งความทรงจำมากมายที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า ภาพครอบครัวใหญ่ของพวกเขา ภาพคู่ของเขากับผู้เป็นตา ภาพของเขากับอัมรินทร์ ภาพแรกเกิดของเชิญตะวันกับรับอรุณ และภาพครอบครัวของเขา

   ปลายนิ้วเรียวขาวลูบเบาๆตามขอบกรอบสีน้ำตาลเข้มของกรอบรูปใหญ่สุดก่อนเปลี่ยนไปยังกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง ลูบเบาๆบริเวณใบหน้าของชายชราบนเก้าอี้เลื่อนไฟฟ้าที่กำลังหันข้างยิ้มหัวเราะให้กับเขา และถึงแม้ในวันนี้จะไม่มีโอกาสที่จะได้ส่งยิ้มให้กับแบบในรูปได้อีกแล้วแต่เขาเชื่อว่าตาของเขาคงกำลังมองมาที่พวกเขาแล้วยิ้มอยู่ที่ไหนสักที่พร้อมกับแม่ของเขา

   “เอะ”

   เสียงร้องเล็กๆของเจ้าลูกหมูตัวกลมที่นอนซบไหล่ส่งเสียงเรียกให้ผู้เป็นแม่ที่กำลังทอดสายอารมณ์ออกไปไกลถึงเรื่องราวที่ผ่านมานานให้กลับมาหาเมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มสัมผัสไม่ได้ถึงฝ่ามืออุ่นที่กล่อมกอดอยู่

   เปลวอรุณตบหลังเล็กๆของเชิญตะวันเบาๆเป็นเชิงกล่อมให้ลูกสาวตัวน้อยได้หลับให้สนิทกว่าเกิดพร้อมก้าวขาไปเดินเปลี่ยนทิศทางไปมารอบๆห้องอีกครู่หนึ่งก่อนวางร่างเล็กๆของเด็กหญิงตัวน้อยให้นอนลงบนเบาะนอนเสริมข้างเตียงสำหรับเด็กอ่อนข้างๆกับรับอรุณที่นอนหลับสนิทอยู่ก่อนหน้าพร้อมร่างสูงเข้มของลูกตาลที่อาสาช่วยพาน้องชายเข้านอนให้

        ตอนนี้ทั้งเชิญตะวันกับรับอรุณในวัยห้าเดือนเริ่มฉายแววความซุกซนและอยากรู้อยากเห็นสิ่งต่างๆด้วยกันทั้งคู่ กว่าจะปลุกปล้ำให้กินนมแล้วนอนกลางวันกันได้ก็เล่นเอาเด็กหนุ่มหมดแรงไปด้วยอีกคนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ยังดีที่ว่าวันนี้อนิรุทธิ์และลิลดาพาดารินไปเที่ยวข้างนอกไม่เช่นนั้นความวุ่นวายเล็กๆคงเกิดขึ้นจนไม่มีใครได้นอนอย่างเช่นตอนนี้แน่ๆ

       คนเป็นแม่มองลูกๆทั้งสามด้วยรอยยิ้มขบขันเมื่อพิจารณาดูท่านอนของเด็กทั้งสามที่เลือกนอนยกแขนสองข้างเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนจนอดไม่ได้ที่จะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นกดถ่ายรูปเก็บเอาไว้ดูจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครคนหนึ่งแอบย่องเบาทำตัวเป็นตีนแมวใจกล้าบุกเข้ามาในห้องก่อนจะถือวิสาสะรวบเอวบางของคุณแม่ลูกสามเข้ามากอดพร้อมเกยคางลงกับลานไหล่

        “คุณอัน” เปลวอรุณเอ่ยเรียกผู้บุกรุกเสียงเบา

        “ลูกหลับแล้วหรอ” อัมรินทร์ทักถาม นัยน์ตาคมจ้องมองรูปถ่ายในโทรศัพท์มือถือสลับกับภาพจริงตรงหน้าก่อนจะกลั้นหัวเราะเอาไว้สุดแรง

        “หลับสนิททั้งสามคนเลยละครับ” เปลวอรุณตอบกลับขำๆ อัมรินทร์คล้ายกอดรอบเอวของเปลวอรุณออกแล้วเปลี่ยนเป็นโอบเอาไว้กลายๆ

         “ถ้าอย่างนั้นเราปล่อยให้ลูกๆนอนกันไปดีกว่า ส่วนเปลวก็ลงไปกินข้าวได้แล้วเลยเวลามาสักพักแล้วเดี๋ยวจะปวดท้องเอาอีก” ปลายนิ้วชี้ขึ้นกดเบาๆลงที่ปลายจมูกรั้นอย่างเอ็นดู

           เปลวอรุณยิ้มรับให้กับความห่วงใยที่อัมรินทร์มีให้ต่อเขา

           สองขาเรียวก้าวเคียงคู่ไปพร้อมกับอัมรินทร์ออกจากห้องไป ตอนนี้เขาต้องลงไปกินข้าวและใช้เวลาที่สองแฝดจอมซนกำลังหลับสนิทอยู่กับลูกตาล พักผ่อนเก็บแรงเอาไว้เตรียมรับมือกับความวุ่นวายจากลูกแฝดทั้งสองของเขาต่อในยาวที่ทั้งสองตื่นขึ้นมา แต่ต่อให้เหนื่อยยังไงสำหรับเขากับอัมรินทร์แล้วมันเป็นความเหนื่อยที่แสนสุขเป็นความวุ่นวายที่ไม่อยากให้หายไป
การที่มีอัมรินทร์คอยประคองจับมือกันไปในทุกๆที มีลูกตาล เชิญตะวัน และรับอรุณ คอยสร้างเสียงหัวเราะและความสุข แค่นี้ละคือสิ่งที่เปลวอรุณต้องการมากที่สุด

           ครอบครัวแสนสุขของเรา....

_________________________________________

หนึ่งตอนพิเศษตามที่ทุกคนขอมา ไม่รู้ว่าคำว่า'ครอบครัวแสนสุข'ของทุกคนกับของเราจะความหมายเหมือนกันไหมเอ๋ย?

ถ้าใครสนใจสามารถติดตามข่าวสารได้ที่ เพจ https://www.facebook.com/Iamwavery/?ref=bookmarks นะคะ

:mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2018 20:38:30 โดย wavery »

ออฟไลน์ order66

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
      ขอบคุณสำหรับเรื่องครับ ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวครับ เพิ่งอ่านได้ถึงตอนที่ 7 แต่ขอบอกเลยว่าอ่านแล้วปวดหัวมาก

ไม่รู้เป็นเพราะในหนึ่งย่อหน้า ประโยคแต่ละประโยคเว้นวรรคน้อยมาก หรือเพราะมันเป็นเป็นประโยคเดียวกันแต่เขียนขยายยาว

บางทีพรรณนาซ้ำ ย้ำ หรือยืดยาวเกินไป

      หากแก้ไขส่วนนี้ ทำให้อ่านง่ายและสบายตามากขึ้น น่าจะเป็นส่วนดีต่อไปครับ

ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
สนุกดีค่ะ นึกว่าจะม่าไม่มาก แต่พออ่านไปก็เอาเรื่องอยู่

พยายามอ่านเร็วๆ จะได้ไม่อินมาก (ฮา) จะได้ไม่ร้องไห้ 55

แอบขัดใจกับคำผิดนิดหน่อย แต่จะเยอะกับวรรณยุกต์สามัญ

 เอก โท พวกนี้ค่ะ

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
น้ำตานองเลยค่า กว่าจะยิ้มได้

ออฟไลน์ wavery

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 124
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2



           เนื่องจากในครั้งแรกที่เรามีการแจ้งให้เพื่อนๆทราบว่านิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาไปก่อนหน้า เพื่อไม่เป็นการทำให้เพื่อนๆต้องรอกันเราจึงขอแจ้งให้ทราบว่า  ตอนนี้พริ้วได้ยกเลิกสัญญานิยายเรื่อง ลูกหนี้ที่รัก ที่จะมีการออกเล่มกับทางสำนักพิมพ์ Writer Books แล้วนะคะ :hao5:



ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
Re: [Mpreg] หนี้รัก -บัญชีหนี้- 2/3/60
«ตอบ #315 เมื่อ25-09-2020 14:42:52 »



  จนทำให้ขอบชายเสื้อสูทเนื้อดีที่เขาอุตสาห์เก็บเงินมาร่วมแรมปีกว่าจะได้มันมาไว้ครอบครอง

   

          “นายคิดว่านายจะเอาหายเงิน100ล้านมาคืนฉันทันภายในสองเดือนไหม” อัมรินทร์เริ่มคำถาเดิมอีกครั้งโดยที่ใบหน้าหล่อเหลายังไม่ยอมที่จะละห่างออกจากบริเวณซอกคอขาว

           “ผมขอเวลาเพิ่มได้ไหม”

           
คือว่า สงสัยนะ สูทราคาไม่กี่พันยังแทบไม่มีปัญญาซื้อ แล้วไปผัดผ่อนขอยืดเวลาใช้หนี้100ล้าน กี่แสนปีกว่าจะใช้หมดเนี่ย มันไม่สมเหตุผล ถ้าแต่งให้เหลือ5ล้าน10ล้านจะดูเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า

ออฟไลน์ cutelady

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ความรักที่ คุณอัน มีให้กับเปลว เป็นความรักที่มั่นคงและจริงใจ เพียงแต่ ต้องการหาวิธีที่จะครอบครองมาเป็นของตัวเองแบบไม่ถูกต้องเท่านั้นเอง  คนที่น่ารังเกียจ คือ ราชัน ไม่สาควรให้อภัย...

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
 บทบรรยายเยอะ บทพูดคุยละเอียดยิบ แต่เนื้อเรื่องเกือบไม่ไปไหน

ออฟไลน์ Freezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารักมากๆครับ
อยากให้ ตาล ได้กับราชัน  แต่วาเลน คงไม่ยอม 555

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13


    หลังจากนั้นพ่อเขาก็พาตัวต้นเหตุอย่างผู้หญิงคนนั้นเขามาในบ้าน พาเขามาทั้งๆที่ศพของแม่ยังไม่เผา.........

 ตั้งแต่พ่อพามันเข้ามาเย้ยแม่เขาถึงในบ้านยังไม่พอมันยังชูคอทำตัวเหมือนเป็นเข้าของบ้านกดขี่แม่เขาอย่างกับเป็นขี้ข้าทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้อยู่อาศัย 
ยังไงกันแน่
เมียน้อยเข้ามาอยู่หลังแม่ตาย หรือเมียน้อยเข้ามาอยู่ก่อนแม่ตาย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Freezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 272
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารักทั่งเรื่องเลย  อยากอ่านของทีมลูกๆ

ออฟไลน์ Musashi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 494
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-13
    พล็อตเรื่องน่าอ่าน ชอบความสัมพันธ์ของเปลวกับอันมากค่ะ    แต่อ่านแล้วงงๆ หลายจุด  เหตุผลที่เปลวไม่ไล่พิมพาไป และในเมื่อพิมพาไม่ใช่เจ้าของบ้านตัวจริงนี่คะ เจ้าหนี้ยึดไม่ได้นะคะ จบก.ม.มาเลยอินไปหน่อย  (หลักกฎหมาย : การจะนำโฉนดที่ดินไปจดทะเบียนจำนองได้  เจ้าของต้องยินยอมคือลงลายมือชื่อในเอกสารให้ความยินยอม  ไม่ทราบข้อเท็จจริงว่า พิมพาได้นำโฉนดที่ดินไปให้เฉยๆหรือเปล่า อันนี้ยิ่งไม่ถือว่าเป็นการจำนอง เพราะอสังหาริมทรัพย์อย่างบ้านและที่ดินต้องจดทะเบียนจำนอง เพราะฉะนั้นยิ่งยึดไม่ได้)  น่าจะแก้เป็นพ่อของเปลวเป็นเจ้าของบ้านก่อนตายแอบเอาโฉนดไปจำนองเป็นหลักค้ำประกันเงินกู้ให้พิมพาน่าจะสมเหตุสมผลมากกว่านะคะ
ถูกต้องครับ พิมพาไม่ใช่เจ้า ถึงเจ้าหนี้จะยึดโฉนดไปก็ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิเป็นของตัวเองได้ เปลวแค่ไปแจ้งความโฉนดโดนพิมพาโขมยและไปที่สนง.ที่ดินให้เขาปิดประกาศ3เดือนก็สามารถออกโฉนดใหม่ได้แล้ว

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด