บทที่ 28
เหตุเกิดเพราะ...ความทรงจำ
อึดอัด ความรู้สึกอึดอัดนี้มันคืออะไรวะ
ผมลืมตา เหลือบมองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามและท่อนขายาวพาดผ่านลำตัวผม ไล่มาจนถึงใบหน้าหลับพริ้มสบายของพี่ชายตัวโตที่ไม่รู้โผล่มานอนเตียงเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่
“พี่ลัน...หนัก” ผมยกท่อนแขนพี่ชายออก ซึ่งฝ่ายนั้นก็ไม่ให้ความร่วมมือเลย ซ้ำยังดึงผมเข้าไปกอดแน่นเหมือนหมอนข้างประจำตัว ผมก็ดิ้นสิครับ จะดิ้นจนกว่าพี่ลันจะตื่นนี่ล่ะ
“ไอ้พู กูง่วง กูจะนอน อยู่นิ่งๆ สิวะ”
“ทำไมพี่ไม่ไปนอนห้องตัวเองล่ะ แล้วเลิกกอดพูได้แล้ว พูจะไปฉี่” ดิ้นต่อไปครับ จนกว่าพี่ลันจะรำคาญแล้วปล่อยผมออกสักที พี่มันก็คิ้วขมวดนิดๆ ก่อนจะลืมตามองผมแล้วยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มทันที
ฟอด
หอมเสร็จมันก็กลับไปนอนตามเดิม เพิ่มเติมคือปล่อยผมเป็นอิสระแล้ว ผมเลยรีบลุกออกจากเตียงก่อนที่พี่ชายจะดึงกลับไปนอนด้วยกันอีก
เฮ้อ ถึงเนื้อถึงตัวทุกที นี่กูเป็นน้องหรือเมียมันวะเนี่ย
ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จผมก็ลงไปทำอาหารเช้าง่ายๆ ให้พ่อแม่และพี่ชาย ที่วันนี้คงจะตื่นสายกันหน่อยเพราะเป็นวันหยุด พี่ลันเองก็กลับบ้านมาได้สองอาทิตย์แล้ว ไม่ได้มีธุระไปไหนอย่างที่เคยพูดหรอก วันนั้นมันก็แค่ลองใจผมเท่านั้น
ครืด
ผมกดรับสายด้วยรอยยิ้มแล้วเปิดลำโพงวางไว้บนเคาน์เตอร์ เอ่ยทักทายปลายสายพร้อมกับหั่นเนื้อหมูไปด้วย
(อรุณสวัสดิ์ครับพู)
“โห พี่เจต ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้มั้ง” ผมหัวเราะนิดหน่อยกับคำทักทายนั้น ตั้งแต่ที่เราตกลงเป็นแฟนกันพี่เจตก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย โดยเฉพาะคำพูดของเขาที่ดูสุภาพขึ้นจนพ่อกับแม่แซว อ้อ ครอบครัวผมรู้เรื่องที่คบกับพี่เจตแล้วล่ะครับ พี่ชายผมคาบข่าวมาฟ้องหวังให้ทั้งคู่คัดค้านเรื่องของผมกับพี่เจต แต่เปล่าเลย พ่อกับแม่ไม่ได้ต่อต้านอะไรเพราะท่านทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าผมชอบผู้ชาย ผมสารภาพไปตั้งแต่ตอนที่ชอบแอลแล้ว มีเพียงพี่ลันเท่านั้นที่ไม่ได้รู้ เลยตีโพยตีพายหาว่าผมปิดบังเขา ทั้งที่ตัวเขาติดต่อยากยิ่งกว่าอะไร จะปรึกษาเรื่องแอลยังไม่ได้เลย
ส่วนพี่เจตก็แวะเวียนมาหาผมบ้างสลับกับไปดูแลพ่อของเขาที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาได้ไม่กี่วันก่อน มาทีไรก็จะมีขนมมาฝากพ่อกับแม่ของผมเสมอ ทำตัวเป็นลูกอีกคนจนผมกับพี่ลันแทบจะกลายเป็นหมาหัวเน่า ตอนนี้อะไรก็พี่เจตๆ เหอะๆ ส่วนพ่อพี่เจตผมก็มีโอกาสได้ไปเยี่ยมบ้าง แรกๆ ก็มีเกร็งๆ เวลาที่คุยกัน แต่พอผ่านไปได้สักพักผมก็ได้รู้ว่าเนื้อแท้พ่อพี่เจตเป็นคนสบายๆ และคุยสนุกมาก มากจนพี่เจตงอนไปเลยที่ผมสนใจพ่อเขามากกว่าตัวเขาซะอีก
(พี่อยากพูดกับพูแบบนี้นี่) เสียงกระเง้ากระงอดจากปลายสายทำเอาผมยิ้มนิดๆ
“ตามใจครับ แล้ววันนี้จะพาคุณพ่อไปตรวจสุขภาพใช่ปะ”
(อื้ม น่าจะเสร็จบ่ายๆ ให้พี่ไปรับมากินข้าวด้วยกันไหม)
“ไม่ต้องเลย ย้อนไปย้อนมาทำไม พูกินที่บ้านนี่แหละ” พูดไปก็ถึงถึงมื้อกลางวัน ท่าทางวันนี้พี่ชายผมคงจะลากออกไปกินอะไรข้างนอกอีกแน่ๆ พ่อกับแม่ก็คงไม่ปฏิเสธเพราะวันหยุดทั้งทีพวกท่านก็คงอยากพักผ่อน
(เฮ้อ)
“เป็นอะไรอีกล่ะ” ผมถามพลางเทหมูใส่กระทะ วันนี้จะทำหมูกระเทียมครับ ง่ายๆ อร่อยดี
(คิดถึงพู)
ฉ่า
“เชี่ย!” ผมสะดุ้งสุดตัว รีบถอยห่างจากกระทะเล็กน้อย
(พูเป็นอะไร!)
“เปล่าๆ” ยกท่อนแขนขึ้นดูก็เห็นรอยแดงจากน้ำมันกระเด็นเมื่อครู่ รู้สึกแสบนิดๆ แต่ก็พอทนได้ “พูทำกับข้าวอยู่นะ อย่าพูดอะไรแปลกๆ แบบนั้นสิ”
(ฮ่าๆ พี่คิดถึงพูมันแปลกตรงไหน เราไม่ได้เจอหน้ากันตั้ง 1 วันเลยนะ)
“เว่อร์ เมื่อวานก็เพิ่งเจอกันเอง”
(มันไม่พอนี่...) พี่เจตเงียบไปนิด (พู...ไว้พูเรียนจบ เราไปอยู่คอนโดด้วยกันไหม) พี่เจตเอ่ยชวนเสียงเบา
“เอ่อ...” แล้วผมควรตอบยังไงเนี่ย ถ้าบอกว่าไป เขาจะหาว่าผมใจง่ายหรือเปล่า แล้วถ้าไม่ไป พี่เจตจะตีความว่าผมรังเกียจเขาไหม เหมือนพี่เจตจะรู้ว่าผมคิดอะไรเลยอาสาหาทางออกให้
(ยังไม่ต้องรีบตอบพี่ตอนนี้ก็ได้ ยังมีเวลาอีกตั้งหนึ่งปี ไม่ว่าพูจะตอบแบบไหนพี่ก็เคารพการตัดสินใจของพูนะ ไม่ต้องคิดมาก)
“ขอบคุณครับ...ถ้าพูคิดได้ยังไง พูจะบอกพี่เจตละกัน”
(น่ารัก)
“ห้ะ” อารมณ์ไหนวะเนี่ย
(พี่ชอบที่พูแทนตัวเองว่าพูกับพี่ นี่แอบอิจฉาตลอดเลยนะเวลาได้ยินพูแทนตัวเองด้วยชื่อกับพี่ชายแบบนี้ แถมยังใกล้ชิดสนิทสนมเกินไปอีก)
“แล้วไง จำเป็นต้องแคร์มึงเหรอ” ผมไม่ได้ตอบครับ ร่างสูงเปลือยท่อนบนอวดซิกแพ็คเดินเข้ามาคว้าโทรศัพท์ผมไปคุยหน้าตาเฉย จะเอื้อมมือไปคว้าคืนก็ไม่ได้เพราะกำลังผัดหมูกับกระเทียมอยู่
“พี่ลัน เอามาคืนพูเลย”
“ไม่” พี่ลันตอบผมก่อนจะพูดกับคนปลายสายต่อ “อ้อ แล้วอีกอย่างนะ เมื่อคืนพูกับกูแนบแน่นกันมาก ตัวพูโคตรหอมโคตรนุ่มนิ่มเลย” นั่นคนหรือตุ๊กตาวะ ผิวกูก็สากแบบผู้ชายทั่วไปนะโว้ยพี่ลัน
(มึง!)
“อะๆ พูดกับหยาบกับพี่แฟนแบบนี้ได้เหรอ” ที่ลันแสยะยิ้ม ดูท่าคงวางแผนร้ายอยู่แน่ๆ ซึ่งพี่เจตเองก็แสบไม่แพ้กัน
(หึ งั้นมึงก็ยอมรับกูเป็นแฟนพูแล้วสินะ) หนึ่งดอกครับพี่ลัน
“กูไม่มีวันยอมรับมึง!” พูดจบพี่ลันก็ตัดสายทิ้งเลยครับ พอดีกับที่ผมเทหมูใส่จานพอดี วางกระทะเสร็จก็เดินไปขอโทรศัพท์คืน พี่ชายก็เดินหนีไม่ยอมให้ ยึกยือกันอยู่นานจนพ่อกับแม่ลงมาพอดี
“ฉันได้กลิ่นอะไรหอมๆ กับข้าวเสร็จแล้วสินะพู ไปตักข้าวมาซิลัน” คุณนายสมศรีสั่งเสร็จก็จูงมือสามีเดินผ่านหน้าพวกเราไปยังโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้าน เป็นอันยุติสงครามระหว่างผมกับพี่ลันเพราะเราต้องรีบนำอาหารเช้าไปบริการคุณหญิงก่อนเธอจะพิโรธ
“กลับเมื่อไหร่ล่ะลัน” พ่อเอ่ยถามเมื่อพวกเรากินข้าวเรียบร้อยแล้ว พี่ลันเอียงคอนึกก่อนจะตอบ
“อาทิตย์หน้าก็กลับแล้วครับ”
“ปีสามแล้วนี่ จะฝึกงานที่ไหนล่ะ ให้พ่อฝากเพื่อนให้ไหม เขากำลังอยากได้โปรแกรมเมอร์สักคนอยู่พอดี” พี่ลันส่ายหน้าหวือ เดาว่าคงไม่อยากอยู่ใกล้บรรดาเพื่อนพ่อที่อาจคาบข่าวมารายงานตลอดแน่ๆ
“ไม่ดีกว่าครับ ผมมีรุ่นพี่ที่รู้จักฝากงานให้แล้ว”
“เป็นบริษัทเล็กๆ หรือเปล่า พ่อกลัวว่าเขาจะให้ความรู้ลูกได้ไม่เต็มที่” พ่อเอ่ยอย่างกังวล เห็นพ่อให้อิสระลูกๆ อย่างนี้ บางทีผมก็เคยได้ยินพ่อพูดถึงอนาคตพี่ลันเหมือนกันนะครับ เพราะเขาไม่รู้ว่าสายที่พี่ลันเรียนไปต่อยอดอะไรได้บ้าง บางทีก็แอบเห็นพ่อซื้อหนังสือมาศึกษาว่าพี่ลันเรียนอะไรบ้าง จบไปจะไปต่อสายอาชีพไหนได้บ้าง เป็นความใส่ใจเล็กๆ ที่แม้เจอกันน้อยครั้งพ่อแต่ก็ยังให้ความสำคัญไม่ต่างจากเดิม
“ก็ไม่เล็กนะพ่อ ดารารายกรุ๊ปน่ะ”
พ่อ แม่ และผม เปิกตากว้างเท่าไข่ห่านเมื่อได้ยินที่ฝึกงานของพี่ชาย นั่นบริษัทรักษาความปลอดภัยชื่อดังเชียวนะ แม้แต่รัฐมนตรีหลายคนก็เรียกใช้บริการของบริษัทนี้ ซึ่งทุกที่ในประเทศต่างก็รักษาความปลอดภัยข้อมูลและทรัพย์สินด้วยระบบนี้ทั้งนั้น ซึ่งใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าการเป็นหนึ่งในองค์กรนี้ยากยิ่งกว่าอะไร ข้อสอบเข้าตามตำแหน่งก็ว่ายากแล้ว ทดสอบความพร้อมของร่างกายยิ่งหนักกว่าฝึกทหารอีก
“เขาให้เงินแกเท่าไหร่” แม่รีบถามทันที ขณะที่ผมกับพ่อได้แต่นั่งนิ่งๆ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือพี่ลันแต่อย่างใด
“ก็คงตามมาตรฐานเด็กฝึกงานนั่นแหละแม่” พี่ลันหลบตา ซึ่งไม่พ้นสายตาเหยี่ยวของแม่ไปได้หรอกครับ
“ตอบมา...”
“เอ่อ...” นาทีนี้อย่าคิดแหยมคุณนายสมศรีเลยพี่ ตอบๆ ไปเถอะ ผมพยักหน้าให้พี่ชายที่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“สะ...สามหมื่นครับ” พี่ลันพูดเสียงแผ่ว
“จริงดิ!” ผมถลาไปหาพี่ชายเลยครับ โห เรียนจบป.ตรีได้ครึ่งเดียวเองมั้ง นี่ยังเรียนไม่จบได้เท่านี้เลยเหรอ
“เออ ไม่งั้นกูจะเอาเงินที่ไหนมาเปย์มึงห้ะไอ้พู”
“เดี๋ยวๆ นี่หมายความว่าตอนนี้ลูกฝึกงานกับเขาแล้วเหรอ” พ่อเอ่ยถามอย่างงงๆ ซึ่งก็ตรงใจผมกับแม่มาก เราสามคนเลยจ้องพี่ลันคาดคั้นเอาคำตอบ
“อื้ม...อันที่จริงผมทำงานกับเขามาสามปีแล้วล่ะ”
“แล้วเงินที่แกบอกว่าเป็นทุนการศึกษา...”
“ก็...เงินจากงานที่ผมทำนี่แหละ แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่เคยขาดเรียน กิจกรรมครบ งานที่ทำให้บริษัทนั้นก็ไม่ได้ยากอะไร” พี่ลันรีบละล่ำละลักบอกเมื่อเห็นแม่ขมวดคิ้วไม่ชอบใจนักที่พี่ลันทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย คงกลัวว่าจะเสียการเรียน แต่จากผลงานที่ผ่านมาพี่ลันก็ทำให้พวกเรามั่นใจได้ว่าเขาดูแลตัวเองได้ทั้งเรื่องงานและเรื่องเรียนจริงๆ
“เอาเถอะ จะทำอะไรก็เรื่องของแก อย่าให้เสียคนก็พอ พูก็เหมือนกัน ที่พ่อกับแม่ไม่ห้ามให้แกมีความรักกับพ่อทูนหัวเจตของแม่ก็เพราะเขาเป็นคนดีมีสัมมาคารวะแถมพ่อรวยอีกต่างหาก ฉะนั้นอย่าโง่ปล่อยไปล่ะ”
“แม่...” ผมโอดครวญ ขณะที่พี่ลันกอดอกต่อต้านเรื่องนี้อย่างแข็งขัน
“แต่ผมไม่อยากได้มันเป็นน้องเขย...”
แม่หรี่ตามมองพี่ลันเล็กน้อยให้อีกฝ่ายรู้สึกกระสักกระส่าย
“เรื่องของแกสิ ฉันอยากได้เขามาเป็นลูกเขย ถ้าแกไม่พอใจก็ไสหัวไปพร้อมกับเงินเดือนเว่อร์วังของแกเลย” แม่เชิดหน้าใส่พี่ลัน “ไปคุณ ปล่อยเจ้าเด็กชอบเก็บความลับนี่ไปเถอะ มันคงไม่เห็นหัวพ่อแม่ หึ ทำอะไรไม่เคยบอก”
“แม่...” พี่ลันร้องเรียก แต่ผู้ใหญ่ทั้งสองเดินเข้าบ้านไปแล้ว ร่างสูงเลยหันกลับมาหาผม “เพราะมึงเลยพู”
“อ้าว ผมเกี่ยวอะไรวะ”
“ถ้ามึงไม่เป็นแฟนกับมัน ก็จะไม่เป็นประเด็นให้แม่พูดถึง ฮึ่ย!” พี่ลันทึ้งหัวตัวเองอย่างหงุดหงิด
“ถ้าพี่ไม่ทำตัวลึกลับแม่ก็คงไม่งอนหรอก กว่าจะกลับบ้านก็นานเป็นปี เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็หาย ไม่เห็นใจคนรออย่างพวกเราบ้างเลย แถมยังปิดบังตั้งหลายเรื่อง มันน่าน้อยใจไหมล่ะ”
“เฮ้อ ก็มันพูดไม่ได้นี่ แต่ตอนนี้มันจบแล้ว พี่เป็นอิสระจากทุกอย่างแล้ว” พี่ลันคว้าตัวผมไปกอดไว้ “มันจบแล้วพู”
“จบอะไร...”
“จบความลับที่กูปิดมึงมาตลอด 3 ปี” พี่ลันผละออก ก้มลงสบตาผม
“กูจะพามึงไปหามัน...”
.
.
.
.
.
.
.
“โทรตามกูมาทำไมวะไอ้ถั่ว” แบงค์เดินปาดเหงื่อเข้ามาหาเรา ผมเลยส่งผ้าเช็ดหน้าให้มันเช็ดดีๆ พลางปรายตาไปยังที่ลันที่ก้าวมายืนข้างๆ ผม ซึ่งแบงค์เห็นเข้าพอดี
“กูให้โทรตามเอง” พี่ลันพูดเสียงเรียบ แบงค์รีบยกมือไหว้พี่ชายผมพร้อมกับเอ่ยแซ็ว
“หวัดครับพี่ลัน หายหน้าหายตาไปนาน นึกว่าหลุดวงโคจรออกนอกทางช้างเผือกไปแล้วนะเนี่ย”
“ปากหมาศัพท์ยากเหมือนเดิม มึงมาก็ดีแล้ว กูจะได้พาพวกมึงไปทีเดียวเลย” พี่ลันเดินนำไปยังโรงเรียนเขาที่มีนักเรียนเข้าออกประปราย เหมือนว่าโรงเรียนนี้จะสอบช้ากว่าโรงเรียนเรานิดหน่อย
“โห พี่ลัน หลอกพาพวกผมมาให้รุ่นน้องพี่กระทืบปะเนี่ย มาเยือนถิ่นศัตรูกันเลยทีเดียว” แบงค์รีบเกาะแขนผมแน่นเลยครับ เห็นกล้าไปทั่วแบบนี้มันก็กลัวโดนยำตีนเหมือนกันนะ
“มากับกู ไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกมึงหรอก” พี่ลันเดินไปทักทายลุงยามที่ดูดีใจเมื่อได้พบพี่ลัน
“ท่านชูการ์ หายหน้าหายตาไปนานเลยนะ” ท่านชูการ์?
“โถ่ลุง ลืมๆ ฉายาบ้าๆ นั่นไปเถอะ เด็กพวกนั้นมันก็พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย”
“ลุงว่าไม่เพ้อเจ้อนา ฝีมือเราไม่เบาเลย เด็กเกรียนๆ กลายเป็นเด็กเรียบร้อยในพริบตา แต่เฮ้อ...ตั้งแต่ท่านชูการ์ไปเด็กกร่างๆ ก็เพิ่มขึ้นทันตาเลยล่ะ” ลุงส่ายหน้าปลงๆ ขณะที่ผมเอาแต่คิดว่าท่านชูการ์ที่ว่านี่ได้ยินมาจากไหน เหมือนจะสำคัญด้วยสิ
“ฮ่ะๆ ประธานนักเรียนเอาไม่อยู่แล้วเหรอครับ”
“สารวัตรนักเรียนก็ไม่ไหวเหมือนกัน อะ...โน่นไง ตัวร้ายประจำโรงเรียน หาเรื่องชกต่อยไม่เว้นแต่ละวัน น่าเสียดายจริงๆ อุตส่าห์เป็นถึงลูกเจ้าของบริษัทชื่อดังขนาดนั้นแท้ๆ” เราสามคนหันไปตามทิศทางที่ลุงยามมองอยู่
ร่างสูงเจ้าของใบหน้าฟกช้ำ เสียบหูฟังเปิดเพลงดังมาถึงฝั่งที่พวกผมอยู่ เขาเดินเอื่อยๆ กดพิมพ์โทรศัพท์ไปเรื่อยๆ ขณะข้ามถนนโดยไม่ได้สนใจรอบข้างเลยสักนิด
บรื้น!
เสียงเร่งเครื่องยนต์มาพร้อมกับรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่พุ่งเข้ามาใกล้ผู้ชายคนนั้น แต่คนข้างตัวผมเร็วกว่า วิ่งเข้าไปช่วยอีกฝ่ายได้ทันแบบเฉียดฉิว เป็นเหตุให้หูฟังหลุดออกจากหูของฝ่ายนั้น
“มึงมายุ่งอะไรด้วยห้ะ!” ชายคนนั้นตะคอกใส่แบงค์พร้อมกับกระชากคอเสื้อเข้าหาอย่างหงุดหงิด
“จะตายห่าอยู่แล้วยังไม่สำนึกอีก” แบงค์พูดหน้าหงิก ดึงมือหนาออกจากคอเสื้อแสนรักของมัน ซึ่งนอกจากฝ่ายนั้นจะไม่ให้ความร่วมมือแล้วยังถลึงตาใส่อีก
“เรื่องของกูปะวะ!”
ผมเกรงว่าจะเกิดเรื่องจึงรีบลากพี่ลันเข้าไปห้ามสองคนนั้น ซึ่งพอผู้ชายคนนั้นเห็นพี่ลันก็รีบปล่อยมือจากแบงค์ทันที
“พี่มาได้ไง...”
“กูสอนไว้ว่าไง” พี่ลันกอดอกจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ ซึ่งดูเหมือนเขาจะสงบสติลงทันที
“ไม่ให้มีเรื่องมั่วซั่ว...”
“แล้วเมื่อกี้มึงกระชากคอเสื้อมันทำไม” พี่ลันชี้ไปทางแบงค์ที่เลิกคิ้วกวนๆ ชวนให้อีกคนหงุดหงิดใจแต่ไม่กล้าทำอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ลัน
“มันมายุ่งกับผมก่อน!” ฝ่ายนั้นโวยวาย แต่พี่ลันก็ตอบกลับไปนิ่งๆ
“มันช่วยชีวิตมึงต่างหาก มึงเกือบโดนรถชนแล้วนะธาร”
“โดนอีกสักครั้งจะเป็นอะไรวะพี่ บางทีไอ้ความทรงจำพวกนั้นอาจจะกลับคืนมาอีกก็ได้ พี่จะได้รู้ในสิ่งที่พี่ถามผม และผมจะได้ไม่ต้องหงุดหงิดใจอยู่แบบนี้ที่นึกอะไรไม่ออกสักที!”
“เพราะอย่างนั้น กูถึงพาความทรงจำที่ขาดหายมาให้มึงแล้วไง” พี่ลันจับไหล่ผมกับแบงค์ให้เผชิญหน้ากับผู้ชายคนนั้น เขาเหลือบตามองผมแล้วขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ยิ่งหันไปสบตาแบงค์เขายิ่งทำหน้าหงุดหงิดกว่าเดิม
“อะไรของพี่วะ พาไอ้หน้าจืดกับหน้าตี๋นี่มาให้ผมทำไม”
“กูจะถือว่าไม่ได้ยินที่มึงว่าน้องชายกูนะ เอาล่ะสองคนนี้เป็นเพื่อนของมึงไง นี่น้องชายกู...ไอ้พู ส่วนนี่...ไอ้แบงค์” พี่ลันบอกเขาก่อนจะหันมาบอกพวกเรา “ส่วนนั่นก็เพื่อนพวกมึง”
“เพื่อนอะไรวะพี่ลัน ผมไม่เคยมีเพื่อนสันดานแบบนี้” แบงค์ออกตัวก่อน สายตายังเขม่นฝ่ายนั้นไม่เลิก ดูท่าจะไม่ถูกชะตากันซะแล้ว ผมเองก็ได้แต่มองหน้าพี่ชายงงๆ สลับกับมองอีกฝ่ายที่หันมาสบตาผมพอดี
ทั้งที่ใบหน้าหล่อเหลาใต้รอยช้ำนั้นไม่น่าใช่คนในความคิด แต่สายตาอ่อนโยนที่เคยมอบให้กันไม่อาจปิดบังได้
“มันคือไอ้เกลือ...” คำตอบของพี่ชายไขทุกสิ่งที่ผมสงสัยเรียบร้อยแล้ว
“พูดเชี่ยอะไรของพี่วะ!” แบงค์เป็นคนแรกที่พุ่งเข้าใส่พี่ลัน กับเรื่องเกลือแบงค์อ่อนไหวมากครับ มันไม่ยอมให้ใครมาหลอกหรือให้ความหวังอีกแล้วว่าเกลือยังมีชีวิตอยู่ ขณะที่ผมก้าวเข้าไปหาผู้ชายที่ยืนนิ่งให้ผมพิจารณาใบหน้านั้นอย่างไม่เข้าใจ
เพียงแค่สามปี คนเราจะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้เชียวเหรอ
“มันประสบอุบัติเหตุอย่างที่พวกมึงรู้ แต่มันไม่ใช่เด็กกำพร้าอย่างที่บอกพวกมึง มันเป็นทายาทดารารายกรุ๊ปที่หนีออกจากบ้านแล้วไปก่อเรื่องมาเลยโดนล่า พ่อกับพี่มันเลยตัดสินใจแปลงโฉมมันตอนที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล แต่อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้มันความจำเสื่อม มันจำพวกมึงไม่ได้หรอก”
“แล้วพี่มาบอกพวกเราทำไม...” ผมเอ่ยถามพี่ชายเสียงแผ่ว ในเมื่อเลือกปิดบังแล้วจะมาบอกอีกทำไมวะ มาบอกทั้งที่เรากลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
เพื่อนของผม...ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว
“นี่พี่กุเรื่องขึ้นหรือเป็นเรื่องจริง” แบงค์จ้องหน้าพี่ลันเขม็ง เมื่อพี่ลันพยักหน้าแบงค์ก็หันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับร่างสูงขณะที่อีกฝ่ายกอดอกระวังตัวแจเพราะไม่รู้ว่าแบงค์จะทำอะไร คงเพราะเขาไม่มีความทรงจำเหล่านั้นเหมือนกับผมและแบงค์เขาจึงไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของการได้พบกันอีกครั้งของพวกเรา
“เป็นมึงเหรอวะ” แบงค์เอ่ยขึ้น กวาดตาขึ้นลงสำรวจเพื่อนเก่า “แม่งไม่มีเชี่ยอะไรหลงเหลือความเป็นมึงไว้สักอย่างเลยนะ หึ แต่ก็สมกับเป็นมึงดี”
“เออ กูไม่มีความทรงจำอะไรทั้งนั้นแหละ” เขาหันไปหาพี่ลัน “สองคนนี้จะช่วยผมได้เหรอวะพี่”
“กูไม่รู้หรอกนะธาร มึงต้องลองดูเอง เอาล่ะ หมดหน้าที่กูแล้ว กูบอกในสิ่งที่ควรบอกไปแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่พวกมึงว่าจะทำยังไงต่อ จะคบกันเป็นเพื่อน หรือจะเลือกกลบฝังความทรงจำพวกนั้นไว้ก็เป็นเรื่องของพวกมึง”
พี่ลันกล่าวเท่านั้นก่อนจะเดินไปอีกทาง ทิ้งให้เราสามคนอยู่ด้วยความกระอักกระอ่วน จะเรียกเพื่อนก็ทำได้ไม่เต็มปาก ฝ่ายนั้นเห็นว่าเราคงมีเรื่องคุยกันยาวเลยเดินนำไปยังบริเวณเก้าอี้ม้าหินอ่อนข้างสนามฟุตบอล
“เอาล่ะ กูเป็นคนตรงๆ ช่วยเล่าเรื่องของกูที่พวกมึงรู้จักให้ฟังหน่อย” เขาเปิดการสนทนาระหว่างเรา ซึ่งคนเล่าก็มีเพียงผมเพราะแบงค์เอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่ายไม่วางตา จนเขาเริ่มอึดอัดแล้วยกมือเบรกผม
“พอก่อนพู มึงอะ จะจ้องหน้ากูทำไมนักหนาวะ”
“กูอยากรู้ว่ามีอะไรที่มึงเหมือนเดิมบ้าง”
“หึ ทำไมวะ อยากเป็นเพื่อนกับกูขนาดนั้น”
“ไม่เคยอยากเป็นเพื่อน...”
“ห้ะ!”
“เอ่อ...ฟังกูเล่าต่อดีกว่าโน๊ะ เผื่อมึงจะจำอะไรได้บ้าง” ผมรีบหยุดก่อนที่แบงค์จะเผลอเผยอะไรออกไปให้เสียเรื่อง ความรู้สึกมันผมไม่อยากละเลยหรอกครับ แต่สภาพไอ้เกลือตอนนี้แทนที่จะสมหวังอาจจะมีปล่อยหมัดช้ำในกันซะมากกว่า
“กูเริ่มไม่อยากจำล่ะ แค่คิดว่าเป็นเพื่อนกับไอ้หมอนี่ก็ขนลุกขนพองล่ะ”
“อย่างอื่นก็พองได้นะ” แบงค์พูดยิ้มๆ ขณะที่อีกคนหน้าบึ้งไปแล้ว
“มึงเลิกคบมันเถอะพู เพื่อนแบบนี้มีไปก็เสื่อมสมอง”
“โห เล่นศัพท์ยากเหมือนกันนี่เรา” เอาแล้วครับ นิสัยเดิมของไอ้แบงค์เริ่มออกลายล่ะ สมัยที่มีกันสามคนไอ้นิสัยกวนบาทาของแบงค์ไม่เคยแพ้ใครนะครับ ก็เห็นมันกวนอยู่คนเดียวนี่แหละ
“สัดแบงค์ มึงจะไม่หยุดใช่ไหม...อึก” ร่างสูงกุมขมับด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว เราสองคนจึงรีบถลาเข้าไปดูอาการทันที
“ปวดหัวเหรอวะไอ้เกลือ” ผมถามด้วยความเป็นห่วงขณะที่ไอ้แบงค์รีบต่อสายเรียกรถพยาบาลจนร่างสูงต้องคว้าโทรศัพท์มากดตัดสายไป
“กูไม่ได้เป็นอะไรมาก หยุดเลยนะมึงไม่ต้องมาทำปากเบะ น่าเกลียดชิบหาย” เขาชี้หน้าแบงค์ดุๆ ก่อนจะหันมาหาผม “กูชื่อธาร เรียกกูว่าธารเถอะ อย่างน้อยนั่นก็ชื่อที่แท้จริงของกู”
“ยังไงมึงก็คือไอ้เกลือสำหรับพวกกู และกูจะไม่เปลี่ยนชื่อเรียกมึง” แบงค์พูดเสียงหนักแน่น มันสบตาผมอย่างที่เรารู้กัน ธารคือเพื่อนใหม่ที่เราเพิ่งรู้จัก แต่เกลือคือเพื่อนที่เราผูกพันมานาน
อย่างน้อยถ้าจะต้องเปลี่ยนคำเรียก พวกเราจะยอมเปลี่ยนก็ต่อเมื่อมันจำเราทั้งคู่ได้แล้วจริงๆ
Tbc.
⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀⇀
เมื่อไม่มีความคิดเห็นในเรื่องของเกลือ เราเลยตัดสินใจให้เกลือจบในเรื่องนี้ค่ะ 555 เพราะงั้นจึงต้องมาพบกัน และถึงจะจำกันไม่ได้ แต่ความเป็นเพื่อนยังซ่อนอยู่นะเออ ส่วนความรู้สึกลึกไปกว่านั้นยังตอบไม่ได้ค่ะ ต้องรอติดตาม
กลับจากที่ทำงานก็รีบเขียนเลย 555 วันนี้ใครๆ เขาหยุดกัน แต่เราไม่ได้หยุด แต่งนิยายย้อมใจกันไปค่ะ มีตรงไหนติดใจสงสัยเม้นบอกได้นะคะ คนเขียนก็เบลอๆ 5555
ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ค่ะ เจอกันตอนหน้า