พาร์ทหลังของการทำกิจกรรมเริ่มเข้าสู่การซ้อมแอคติ้งจากบทคร่าวๆ โดยไอ้เติร์ด พี่ย้งยี้ และก็ไอ้พี่เชนทร์เป็นคนช่วยดูแลเรื่องรายละเอียดและอารมณ์ของบทให้ในกรณีแอคติ้งโค้ชไม่เคลียร์กับฉากนั้นๆ และนักแสดงยังสื่ออารมณ์ในตอนนั้นไม่ได้
ผมรับกระดาษในมือของเพื่อนรักมา มันเคยแจกให้ผมแบบนี้อยู่หลายครั้ง แต่ซีนที่กำลังลองเล่นในวันนี้แตกต่างออกไป
ตัวคาแร็กเตอร์ของตฤณเรื่องไลค์บรารี่นั้นดูภายนอกเหมือนจะไม่แตกต่างจากพระเอกหนังหรือละครทั่วไป คือหล่อ เท่ แบดบอย และใช้เสน่ห์จีบสาวได้แพรวพราวมาก แต่มีอย่างหนึ่งที่แตกต่างนั่นก็คือนิสัยจำเพาะเจาะจง คือแม่งเป็นคนที่ถ้าชอบใครแล้วมันจะทำตัวปรัชญาด้วยเว้ย
เออฟังไม่ผิด สร้างปรัชญาทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้ และพยายามทำเรื่องนั้นให้ดูดราม่าด้วย ตอนได้บทมาครั้งแรกนี่ถึงกับนอนเอาตีนก่ายหน้าผาก คนคิดคาแร็กเตอร์คือไอ้พี่เชนทร์ คนเขียนพล็อตคือได้เติร์ด ส่วนไดอาล็อกเป็นเจ๊ย้งยี้ นี่แม่งรวมพลคนหายนะทั้งนั้น
ผมถูกเรียกให้ไปซ้อมบทอยู่นาน นับแล้วก็เกือบสองชั่วโมงจนไม่ได้พัก พอปีสี่หันไปโฟกัสคนอื่นบ้างผมเลยเดินมานั่งพิงผนังเคียงข้างกับคนตัวขาวที่อยู่หลังห้องอย่างหมดสภาพแทน
“ไง จะตายแล้วเหรอ”
“นี่คือคำให้กำลังใจกูชะ?”
“ตั้งใจหน่อยดิ ได้เป็นพระเอกทั้งที” นี่จะให้กำลังใจหรือประชดวะ แยกไม่ออกจริงๆ
“ร้อนมาก เหนื่อย” ผมบ่นออกมาอีก มือก็พยายามเสยผมหน้าสุดเท่ขึ้นจนสุดเพราะเหงื่อที่ไหลลงมาสร้างความรำคาญให้ชีวิตค่อนข้างมาก
“ผมยาวมากแล้วมึง รุงรัง” บ่นเหมือนแม่กูเลยครับ
“ถ้ามึงตัดให้กูก็ยอม”
“เออ เดี๋ยวตัดให้”
“ตัดผม?”
“ตัดหัวมึงออกเนี่ย”
“ง่ายขนาดนั้นเลย”
“ก็ไม่ยากเท่าตัดใจอ่ะ”
อาจจะดูเหมือนไอ้เติร์ดพูดเล่น แต่สีหน้าและแววตาที่ส่งออกมากำลังบอกว่าเจ้าตัวกำลังคิดอย่างนั้นจริงๆ นี่ถ้าวันนั้นไม่เข้าไปเสือกวิดีโอของมันในยูทูป ผมคงได้ทำร้ายใจมันต่อไปอีกเรื่อยๆ
คิดแล้วก็ได้แต่ก้มมองปากกาในมือของอีกฝ่ายนิ่ง ลองใส่ความรู้สึกของพระเอกเข้าไปเหมือนเป็นการท่องบทไปพลางๆ
“ทำไมคนเราถึงชอบพรากชีวิตของคนอื่น ขนาดปากกาเรายังค่อยๆ พรากชีวิตของมันลงไปทีละนิด และเมื่อไหร่ที่หมึกหมด เราก็จะสูญเสียมันไปตลอดกาล”
“ดราม่าปากกา?” ไอ้เติร์ดเอียงคอถาม ผมเลยพยักหน้าเศร้าๆ
“ลมที่พัดเอื่อยจากเครื่องปรับอากาศ พัดพาความเย็นเข้ามาให้เรารู้สึกในตอนนี้ และครั้งหนึ่ง...มันก็เคยพัดลมหายใจของเราเอาไว้ด้วยกัน”
ดราม่าแอร์ อิอิ
ผมเลื่อนสายตามองไปรอบตัวของไอ้เติร์ด เห็นโทรศัพท์มือถือนอนแอ้งแม้งอยู่ตรงพื้นก็รู้สึกหนาวจับใจ
“มือถือเครื่องโปรด มันจะรู้สึกสงสารกูมั้ย ทุกครั้งที่สัมผัสหน้าจอทัชสกรีน ทำไมน้ำตาของกูถึงชอบไหลกระทบจออยู่ทุกครั้ง นี่เรียกว่าความเศร้าอย่างนั้นเหรอ”
“มือถือก็มา เก่งแล้วเนี่ย เป็นพระเอกได้ละ”
“จริงดิ”
“แต่ภาษามึงกากเว่อร์ ไปปรับใหม่”
“เอ้าทุกคนพักเบรกได้ค่ะ เดี๋ยวสวัสดิการจะเข้ามาแจกของว่าง” เสียงที่แทรกขึ้นมาทำให้ผมหยุดชะงัก ผลไม้และไอศกรีมถูกเข็นเข้ามาพร้อมกับการมารุมมาตุ้มของมนุษย์ผู้หิวโหย
“ไหนช่วยดราม่าเรื่องส้มหน่อย” คือผลไม้วันนี้มีส้มครับ ส่วนของหวานเป็นไอติม
“นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้กินส้ม นึกกลับไปก็ใจหาย จนทุกวันนี้เกือบจะจำกลิ่นและรสชาติของมันไม่ได้แล้ว จำได้แต่ความสุขที่เคยได้รับจากผลไม้ที่ชื่อว่าส้ม”
ผมรอฟีดแบ็กกลับมา แต่ไอ้เติร์ดไม่ได้บอกนอกจากกุมขมับ กูเลยต้องดราม่าไอศกรีมต่อ
“โธ่...ไอติม เขาไม่น่าพรากมึงมาจากตู้เย็นเลย มึงคงเกิดมาเพื่อกันและกันจริงๆ มิน่า...ถึงได้ตรอมใจละลายไปก่อนที่กูจะได้สัมผัสลิ้นลงไป ไอติมผู้น่าสงสาร...”
ก่อนมันจะเหลวเป๋วกลายเป็นน้ำ ว่าแล้วก็รีบแดกเถอะครับ เรานั่งกินกันเงียบๆ ไอ้เติร์ดไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับมาปล่อยให้ผมได้โชว์สกิลดราม่าบวกปรัชญาพิลึกลั่นของตัวเองไม่หยุดหย่อน
“ความน่ารัก เรานิยามคำนี้จากอะไรกันแน่ ใช่ความรู้สึกที่เกิดจากแต่ละคนมั้ย ตุ๊กตาสำหรับกูมันไม่น่ารัก ผู้หญิงบางคนก็ไม่ หมาบางพันธุ์ก็น่ากลัว อะไรคือนิยามคำว่าน่ารักอย่างจริงจัง”
“...”
“สำหรับกู ชาวีน่ารัก หนังบางเรื่องน่ารัก แมวน่ารัก และ...”
“...”
“มึงน่ารัก”
ผมตลกหน้าไอ้เติร์ดตอนนี้ฉิบหายเลยว่ะ เออ! ทำตาโตๆ แบบนี้ยิ่งเข้าข่ายคำว่าน่ารักเลย แถมหูยังแดงอีกต่างหาก แต่ดูเหมือนเจ้าตัวพยายามจะเก็บอาการไว้ไม่แสดงออกมา ผมเลยปรัชญาต่อแม่งเลย
“นาฬิกา ช่วยลดความห่างของแต่ละวินาทีลงเถอะ กูแทบจะรอต่อไปไม่ไหวละ”
“รออะไรไม่ทราบ” คนเคียงข้างถามขึ้น
“รอไปกินข้าวเย็นห้องมึง”
“เนียนเลยนะ แต่เลิกแล้วใช่ว่าจะกลับเลย กูต้องคุยเรื่องแก้บทกับพี่มันอีกนิดหน่อย”
“รอได้” ผมบอกอย่างสบายใจ
“ไม่บ่นอีกเหรอ ปกติไม่ใช่อย่างงี้”
“ปกติเป็นแบบไหน”
“ไม่ได้ดั่งใจก็โวยวาย”
“กูเป็นคนใจร้อนนะ แต่กับเรื่องบางเรื่องจะใจช้าขึ้นมาทันที”
“...”
“และก็แปลกด้วยที่เรื่องบางเรื่องนั้น...เสือกเป็นมึง” หลังซ้อมการแสดงเสร็จทุกคนก็แยกย้าย ผมปลีกตัวมานั่งรอไอ้เติร์ดกับรุ่นพี่ถกเถียงกันเรื่องแก้บทบางส่วนอยู่ แม่งนานจนเวลาล่วงเลยเกือบสามทุ่ม แถมข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กินกันสักคน ผมไม่เท่าไหร่หรอกเพราะยัดมาหนักแล้ว แต่ไอ้เติร์ดเนี่ยดิ ทำให้ห่วงได้ตลอดเวลา
“เติร์ด มึงใกล้เสร็จยัง” ผมกระเถิบตัวนั่งซ้อนหลังของมัน พร้อมกับกระซิบถามเบาๆ
“ยังเลย เดี๋ยวไปถกกันที่ห้องกูต่อ”
“หา”
“มึงหิวข้าวก็ไปกินก่อนเลย”
“ได้ไง ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไปกินที่ห้องมึง”
“งั้นก็ไปพร้อมกัน” คำพูดแม่งทำเอากูหน้างอเลยสัด นึกว่าจะได้อยู่กันแค่สองคน ไหงกลายเป็นว่าลากไอ้พี่เชนทร์มาเป็นก้างขวางคออีกวะ เสียเวลาได้โบนกับไอ้ทูเคลียร์ทางให้ฉิบหาย
แถมไม่หยุดอยู่แค่นั้นเมื่อเพื่อนสนิทผู้ชายหุ่นหมีอย่างพี่อั้นเสือกแวะมาที่ห้องด้วย ผมเลยกลัวว่าจะได้ยินประโยคที่ไม่อยากฟังหลุดออกมาจากปากของใครบางคน
“เติร์ด เดี๋ยวไปกันเลยมั้ยวะ” พี่เชนทร์ถามขึ้น หลังจากพี่ย้งยี้สละเรือไปแดกข้าวกับเพื่อน
“ได้ๆ ผมขอเก็บของก่อน”
“ให้ซื้ออะไรเข้าไปมั้ย”
“ที่ห้องมีของสดกับของกินตุนไว้เยอะอยู่นะ แต่ถ้าจะซื้ออะไรก็แล้วแต่พี่เลย”
“โอเค...เออนี่ พาไอ้อั้นไปด้วยได้มั้ย พอดีมันมากับกู”
อย่านะไอ้เติร์ด ผมได้แต่ส่งสายตาเป็นเชิงขอร้อง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจเลยหันกลับไปพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตกลง
“เอาดิ”
ม่ายยยยยยยยยยยย แผนการจีบไอ้เติร์ด มีก้างขวางคอเต็มไปหมดเลยว่ะ
ผมมาถึงห้องไล่เลี่ยกับเพื่อนรัก ส่วนไอ้ปีสี่สองคนตามมาหลังจากนั้นไม่นาน ซึ่งผมรำคาญมาก ไลน์หาแก๊งโหดอีกสองคนเพื่อให้มันมาช่วยแก้ปัญหาแต่คำตอบที่ได้คือคุณชายเขากำลังมั่วหญิงอยู่ กูนี่อยากจะตาย แต่ไม่วายต้องทำคะแนนด้วย
“ให้ช่วยอะไรมั้ยวะ” ว่าแล้วก็ปรี่เข้าไปถามเจ้าของห้องที่กำลังง่วนกับการทำอะไรสักอย่างตรงเคาน์เตอร์
“ไม่มีอ่ะ”
“มีดิ ให้ช่วยล้างผักมั้ย”
“งั้นก็เอาไปล้าง” แม้เจ้าตัวจะพยายามผลักไส ผมก็ยังพาตัวเองเข้าไปเสือกจนได้
“ล้างนานมั้ย” จริงๆ ก็อยากคุยกับมันนั่นแหละ จะจีบแล้วได้คุยไม่พอ ต้องได้ใจด้วยสิวะ
“ดูเอง” คนที่กำลังง่วนอยู่กับการหมักหมูในชามเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะถามต่อ “วันนี้ไม่เห็นแพรว ไม่มาซ้อมเหรอ” เอาแล้วววววววว ช่วงนี้ทำไมถามหาแพรวบ่อยจังวะ ส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับเขาหรอก เพราะหลังจากยกเลิกคำขอเราก็ใช้ชีวิตตัวใครตัวมันตลอด
“อาจจะติดเรียนมั้ง ไม่ได้คุยอ่ะ”
“อืม สมมติถ้าแพรวมีคนใหม่แล้วมึงจะโกรธหรือเปล่า”
“โกรธทำไมอ่ะ เราเลิกกันแล้ว จะคบใครใหม่ก็ได้”
“เหรอ” คำถามแปลกๆ แฮะ แปลกจนกลัวว่าไอ้เติร์ดคงไม่เผลอรู้อะไรอีก ส่วนตัวถามจากไอ้โบนกับไอ้ทูมาแล้ว มันยืนยันเสียงแข็งด้วยเกียรติลูกผู้ชายว่าไม่เคยบอกเรื่องนี้กับไอ้เติร์ด ส่วนแพรวเองก็สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ คงไม่เกิดเรื่องซ้ำสองอีกหรอกนะ
อาจเพราะกลัวความผิดของตัวเองหรืออะไรไม่รู้ ผมจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยกันใหม่อย่างรวดเร็ว
“ให้หั่นผักเลยมั้ย”
“อือ” ไอ้เติร์ดตอบมาสั้นๆ ไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมามองผมเลยสักเสี้ยว
“แล้วนี่เหลือแก้บทอีกเยอะเหรอ”
“อือ”
“คงดึกเลยดิวะ”
“อือ”
“นี่มึงไม่คิดจะตอบอย่างอื่นบ้างเหรอ”
“อือ”
“งั้นคืนนี้ขอนอนด้วยนะ”
“อือ เฮ้ย! ไม่ต้อง กลับห้องมึงไป”
“คงอยู่ดึกมาก ขับรถตอนกลางคืนโคตรอันตราย มึงเคยบอกกูอย่างนี้ไม่ใช่เหรอ” คนข้างๆ กรอกตาไปมาราวกับกำลังใช้ความคิด ไม่นานก็ตอบกลับเสียงเรียบ
“ห้องไอ้ทูกับไอ้โบนอยู่ชั้นล่าง ลงไปเคาะดูดิ”
“มันไม่อยู่ ไลน์ไปหาแล้วเห็นบอกว่าเหยื่อกำลังติดเบ็ด”
“กูไม่สะดวกว่ะ ยังไม่ได้เก็บเตียงเลย”
“ปกติกูก็นอนห้องมึงได้ไม่ใช่เหรอ ห้องรกแค่ไหนก็นอนมาแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้วันเสาร์ด้วยไม่ต้องรีบไปเรียน กูขอซุกหัวนอนแค่คืนเดียวเอง”
“...”
“นะไอ้เติร์ด น้า...” เชื่อว่าสกิลตอแหลที่ตัวเองเคยทำกับผู้หญิงมาตลอดชีวิตต้องใช้ได้ผลบ้างล่ะ อย่างน้อยก็ขอให้เราได้ใช้เวลาร่วมกันบ้าง
“เออ ถ้าไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยนก็เอาของกูไปใส่แล้วกัน”
เยส! น่ารักมากครับเตชภณ
ผมช่วยมันทำอาหารง่ายๆ ตามประสาผู้ชายสกิลต่ำ เสร็จสรรพก็เอาออกไปประเคนให้ปีสี่ที่นั่งหน้าสลอนอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวเล็กๆ
“เออเติร์ด อังคารหน้าเขาจะให้สต๊าฟไปประชาสัมพันธ์กับขอรับเงินบริจาคที่ตลาดนัดนิสิตอีกรอบ ไปด้วยกันดิ” ไอ้พี่อั้นที่นั่งแดกเงียบๆ อยู่นานเอ่ยขึ้น ผมชักรู้สึกตงิดกับมันมาสักพักละ เด็กฟิล์มปีสามกับปีสี่สนิทกันน่ะพอรู้ แต่ที่รู้อีกอย่างคือนิสัยเจ้าชู้ของมันด้วย
“วันอังคารเหรอ”
“อังคารไม่ว่าง มึงต้องไปร้านต้นฉบับกับกู” ผมรีบแทรกทันทีเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ร้านต้นฉบับเป็นร้านขายแผ่นหนังตั้งแต่รุ่นเดอะ แต่นิเทศฯ ทุกรุ่นรู้จักกันดีเพราะเจ้าของร้านแกอินดี้มาก แถมอยากหาเรื่องไหนหรือเก่าเท่าไหร่แม่งก็ยังหามาให้ได้
“กูจะไปพรุ่งนี้ เพราะงั้นวันอังคารไปได้ครับพี่”
“งั้นดีเลย อังคารเจอกัน”
หกเด็กฟิล์มในแบล็กลิสต์ที่หลายคนบอกต่อว่าอย่าเอาตัวเข้าไปยุ่ง เพราะความเหลี่ยมจัดทำให้เหยื่อตกหลุมพรางมานักต่อนัก คนแรกกูเอง คนแม่งด่าขรมทั้งคณะแต่ก็ยังรู้สึกปลอดภัยที่ผมเลือกกินแต่คนนอกไม่ลากคนในเข้าไปมีสัมพันธ์ลับ
คนที่สองคือไอ้ทู เชี่ยนี่สายโหดอยู่แล้ว ไม่เว้นเด็กคณะตัวเองด้วย เรียกได้ว่าลากหมดตั้งแต่ปากซอยยันลูกสาวอธิการ เห็นใครหุ่นดีเป็นต้องหยอดทิ้งไว้ให้เขามาถ่ายแบบที่ห้อง สุดท้ายก็ไม่เหลือรอดกลับมาสักราย
คนที่สาม ไอ้โบน เวลาใครเรียกไอ้หัวสกินเฮด คนเดียวที่หมายถึงคือสมาชิกแก๊งโหดอย่างมัน รายนี้ไม่ต่าง ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน เปลี่ยนสาวน้อยกว่าผมสองคนก็จริงแต่ความดิบของการฟันแล้วทิ้งอีกวันกลายเป็นคนแปลกหน้านี่มันโหดกว่าผมหลายเท่า
คนที่สี่เป็นเด็กปีสอง ฮอตมากเพราะครองตำแหน่งเดือน ฟันรุ่นพี่หลีดในคณะมาตั้งแต่ปีหนึ่งจนใครต่างเล่าต่อกันเป็นทอดๆ ส่วนคนที่ห้าอยู่ปีสี่ เพื่อนกลุ่มเดียวกับไอ้พี่เชนทร์หุ่นหมี หน้าตาพอไปวัดไปวาแต่ซิกแพคแน่นมาก ใช้ความตลกพ่วงความคารมดีเข้าสู้ สุดท้ายแดกสาวเยอะสุดในบรรดาทั้งหมด
และคนสุดท้าย...ก็กลุ่มไอ้พี่เชนทร์อีกเหมือนกัน ไอ้พี่อั้น!
นี่ยิ่งกว่าสามทหารเสือเพราะมันคือกลุ่มทหารหมา หมาล่าเหยื่อของจริงแบบไม่มีใครกล้าสู้ ลึกๆ เป็นพวกเจ้าชู้ประตูดิน มองภายนอกสร้างภาพเป็นคนจิตใจดี สนุกสนาน รักเพื่อนฝูง แถมยังร่าเริงกับทุกคนโคตรๆ
เรื่องหน้าตาก็ไม่มีใครอยากเอาไปสู้เพราะเท่แบบผู้ชายด้วยกันต้องร้องโอ้โห ยิ่งเอาผิวแทนกับความสูงชะลูดมาไฝว้แล้ว ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยถึงกับต้องยอมสยบ ปล่อยมันแดกเรียบแทบไม่เหลือกระดูก แต่นิสัยแอ๊บเป็นคนดีของมันก็ยังใช้ได้กับทุกคนเสมอ ถ้าไม่ใช่คนวงในที่รู้ว่ามันกินเหยื่อไปเยอะเท่าไหร่ก็ไม่มีใครเชื่อหรอกว่ามันจะเจ้าชู้ระยำตำบอนได้ขนาดนี้
ในวงการคนเหี้ยๆ มันมีไม่กี่คน และเราต่างรู้จักกันหมด แต่ทำไมมึงต้องเสือกเข้ามาในชีวิตไอ้เติร์ดตอนนี้ด้วยวะ พวกผมเคยร่วมงานกับพี่มันก็จริง แต่ตอนนั้นแม่งไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดมาทำตำแหน่งสูงๆ ปีนี้เลยเป็นปีซวยของผมซะงั้น
“อันนี้มึงทำเหรอวะ อร่อยดี” นั่นไง มันเริ่มเผยธาตุแท้ออกมาละ
“ผมช่วยทำ จริงๆ ไอ้เติร์ดทำกับข้าวไม่อร่อยหรอก” จะไม่ปล่อยให้ใครหน้าไหนมายุ่งกับไอ้เติร์ดทั้งนั้น กูจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวาง
“มึงก็ทำกับข้าวเป็นด้วยเหรอวะไอ้ค่าย”
“แน่นอน”
“ทำไปอ่อยหญิงอ่ะดิ” พี่มันพูดพลางหัวเราะร่วน ไอ้สัดนี่ตัดกำลังกูชัดๆ
“ฝึกไว้ทำให้เพื่อนกินต่างหาก”
“เหรอ แต่อร่อยดี กูชอบ”
“พี่อั้นเอาข้าวอีกมั้ยวะ เดี๋ยวผมตักให้” ไอ้เติร์ดพูดแทรกขึ้นมาอีก ผมเลยหันไปมองหน้ามันทั้งที่พยายามสะกดกลั้นอารมณ์เต็มที่
“เอาๆ อร่อย อยากมากินบ่อยๆ เลยกู”
“ข้าวจะหมดหม้อแล้วนะ กินแค่นี้ก็น่าจะพอมั้ง”
“มึงนี่ตลกว่ะไอ้ค่าย ข้าวห้องมึงเหรอ”
จึ่ก! เจ็บราวกับโดนมีดแทงอก หวงโว้ยยยยยยยยย มึงไม่ไปหาเหยื่อคนอื่นวะ ทำไมถึงต้องเป็นเพื่อนกู
“ผมกลัวไอ้เติร์ดไม่อิ่ม”
“ไม่เป็นไร กูกินจนอิ่มแล้วเนี่ย” ว่าแล้วก็ยื่นมือมารับจานของคนตรงหน้าไป ไอ้พี่เชนทร์ปลีกวิเวกออกไปคุยโทรศัพท์กับแฟนก่อนหน้า งานนี้เลยกลายเป็นสงครามประสาทระหว่างผมกับไอ้อั้นแทน
“งั้นกูขอข้าวเพิ่มด้วย” ผมรีบพูดอย่างเร็วรี่
“เอาเยอะๆ ไอ้เติร์ดกูยังไม่อิ่ม”
“ของกูก็เอาให้พูนจาน หิวมาก!”
หลังกินข้าวเสร็จเราต่างช่วยกันล้างจาน เก็บกวาดและทำความสะอาดโต๊ะ ก่อนจะย้ายไปนั่งถกประเด็นเรื่องบทละครเวทีกันต่อ คนที่ไม่มีหน้าที่อย่างผมเลยเดินออกมาสูบบุหรี่ตรงระเบียงด้านนอก ไม่นานประตูเลื่อนก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงของรุ่นพี่ปีสี่
“มีไฟแช็คมั้ย” มันถาม ผมเลยล้วงกระเป๋ากางเกงส่งไปให้
มือหนาคีบบุหรี่มาไว้ที่ปากแล้วจุดไฟแช็คอย่างช่ำชอง ควันสีขาวที่พ่นออกมาแข่งกับผมทำให้บริเวณนี้ปกคลุมไปด้วยความขมุกขมัว
“ได้ข่าวว่ามึงเลิกแล้ว” จู่ๆ เสียงทุ่มต่ำก็ถามขึ้น เป็นประโยคลอยๆ ที่ดูจับต้นชนปลายไม่ถูก
“เลิกอะไร”
“มั่ว” ผมก็ไม่ได้บอกใครเรื่องนี้นะ แต่คนวงในก็คงรู้ดี ตอนนี้กูถอดเล็บละ
“ชีวิตมันก็ต้องจริงจังบ้าง โตแล้วป่ะวะ”
“ได้ยินแบบนี้ก็ดี แต่ส่วนใหญ่คนที่คิดจะหยุดมันไม่หยุดได้ในทีเดียวหรอก มึงก็เห็นๆ กันอยู่ เหี้ยกันจนเป็นสันดาน”
“เหมือนพี่มึงอ่ะนะ”
“ฮ่าๆ กูเหี้ยน้อยกว่ามึงอีก” ฉิบหาย กลายเป็นว่าตอนนี้ผมและมันต่างแข่งกันว่าใครจะพ่นคำด่าได้เจ็บแสบกว่ากันซะมากกว่า สำหรับพี่อั้น มันเหี้ยเรื่องผู้หญิงก็จริง แต่กับรุ่นพี่รุ่นน้องและความเป็นเพื่อนในคณะมันก็ให้ใจอยู่ แต่การให้ใจของมันนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ในระดับไหน
และจะจัดใครบางคนเข้าไปอยู่ในโหมดไหนบ้าง แต่ถ้าเป็นเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ฉิบหายทุกรายแน่นอน
“ถามจริง ทำไมถึงเลิก”
“พอดีเจอคนที่อยากจริงจังด้วยแล้ว”
“เชร้ด ดีว่ะ”
“แล้วพี่อ่ะ ไม่เคยคิดเรื่องนี้บ้างเหรอ”
“คิดอยู่ ก็เลยลองดูกันไป” จู่ๆ ลำคอของผมก็รู้สึกแห้งผาก ไม่กล้าแม้จะหันกลับเข้าไปในห้องซึ่งมีใครบางคนกำลังนั่งอยู่ เพราะกลัวว่าคนที่พี่มันอยากลองดูจะกลายเป็นคนคนเดียวกับที่ผมหวง
“ทำไมจู่ๆ ถึงคิดอย่างนั้นวะ ทำตัวเหี้ยมาตั้งสี่ปี หรือเพราะเพิ่งรู้ตัว”
“มึงไม่น่าถามคำถามนี้นะ ใจมึงเองยังรู้ดีเลยว่าตอนไหนควรหยุดหรือทำตัวเลวไปเรื่อยๆ กูก็ไม่ต่างกัน ว่าแต่มึงเถอะ ไปตกหลุมพรางเด็กคณะไหนเข้าล่ะ”
ผมยกบุหรี่ขึ้นมาสูบ เพราะมันช่วยให้สมองโล่งและมีความกล้าจะทำอะไรหลายอย่างมากกว่าตอนที่อยู่ในอารมณ์ปกติ
“คณะเราเนี่ยแหละ”
“โหย แหกกฎของตัวเองด้วยว่ะ” รู้ลึกถึงไส้ถึงพุงกูดีจัง
“พี่รู้จักผมดี เพราะงั้นพี่ก็คงรู้อีกอย่าง ใครยุ่งกับคนของผมผมเอาตาย”
“กูก็เหมือนกัน” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าคมของรุ่นพี่ปีสี่ ดวงตาคู่นั้นมองออกไปด้านนอก แต่รู้ดีว่าสองหูคงกำลังรอฟังถ้อยคำบางอย่างจากผมอยู่
“พี่อั้น...”
“ไร”
“ผมชอบเติร์ด” “...”
“เพราะงั้นใครหน้าไหนก็ห้ามยุ่ง”
สี่ทุ่มกว่าแล้วไอ้เติร์ดกับพี่เชนทร์เพิ่งคุยงานกันเสร็จ แต่แทนที่จะรับกลับแม่งกลับนั่งยึดโซฟาหาหนังมานั่งดูอย่างอารมณ์ดี กูล่ะเกลียดฉิบหาย ทำได้แค่ปั้นหน้าไม่พอใจอยู่กับพวกแม่งมัน แถมต้องนั่งข้างล่างอีกต่างหาก
“อันนี้เป็นหนังสั้นปีก่อน อิโรติกหน่อยนะ แต่โคตรอาร์ตเลย” เอ็กเทอนอลถูกต่อเข้ากับจอโทรทัศน์โดยตรง รีโมทคอนโทรลที่อยู่ในมือถูกกดไปเรื่อยๆ และไม่นานหนังเรื่องหนึ่งก็เริ่มต้นฉาย
นี่เป็นหนังสั้นเด็กฟิล์มปีก่อน และได้รับรางวัลด้วยแต่จำไม่ได้ว่าอันดับที่เท่าไหร่
เรานั่งดูกันไปเรื่อยๆ ปากก็ร้องซีดซ๊าดออกมาจนห้ามไปอยู่ อะโหยยยยยย พวกมึงคนหนึ่งควรจะรู้ว่ากูอดอยากปากแห้งกับเรื่องเซ็กซ์มาพักใหญ่แล้ว พอได้มาดูหนังแนว 18+ แม้จะมองว่ามันคืองานศิลปะแต่อารมณ์กูไม่ศิลปะด้วย
น้องชายที่หลับใหลพร้อมจะตั้งเด่อยู่ตลอดเวลา ได้แต่ควานหายาดมมาซุกรูจมูกเพื่อผ่อนคลายอารมณ์แม้มันจะไม่ได้ผลก็ตาม แป๊บๆ ทนไม่ไหวกูหนีเข้าส้วมก่อนเลย
“เดี๋ยวมา ปวดฉี่”
“ไม่น่าใช่ อยากล่ะสิมึง” ไอ้พี่เชนทร์ ไอ้หัวฆวย
“แดกน้ำเยอะเว้ย” พูดจบก็รีบสับเท้าเข้าไปใช้ห้องน้ำที่อยู่ในห้องนอนของไอ้เติร์ดทันที จัดการจนพาลูกชายกลับมาอยู่ในสภาพเดิมเสร็จผมก็เปิดประตูออกมา แต่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าทำเอาชะงักเท้าในทันที
“เข้าส้วมเหรอ” ผมถามพี่เชนทร์
“เออจะเข้า แล้วก็มาคุยกับมึงด้วย”
“คุยอะไร”
“สัพเพเหระ”
“คุยข้างนอกก็ได้ เนี่ยจะออกไปแล้ว”
ผมตั้งท่าเดินออกไป แต่กลับถูกผลักอกให้ยืนอยู่ที่เดิมอย่างงงๆ
“พี่ต้องการอะไรกันแน่วะ”
“กูไม่อยากให้มึงรีบเข้าไปขัดจังหวะ คือจะบอกว่าไงดี...”
“ก็บอกมาสิ!” น้ำเสียงที่เปล่งออกไปฉายแววความโกรธจัด และผมก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้แล้ว แม่งกลัวไปหมด ขณะเดียวกันก็อยากรู้คำตอบใจแทบขาด
“เพื่อนกูชอบเพื่อนมึง”
“...!”
“ในฐานะที่เป็นเพื่อนสนิท”
“...”
“กูขออนุญาตมึงเปิดทางให้ไอ้อั้นจีบไอ้เติร์ดได้มั้ยวะ”
โฮร่ลอีค่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
น่าสงสารจังค่ะ
