- ไปค่ายตอนที่เจ็ด : แพ้ใจ -
ง่วงชะมัด!
ผมสะบัดหัวแรงๆ เพราะกำลังเดินเมาขี้ตาไปยังโรงครัวในตอนเช้ามืด เนื่องจากวันนี้เป็นเวรปีหนึ่งทำอาหารทุกมื้อของวันนี้ หลังจากที่ผล็อยหลับไปเกือบเช้าแล้วต้องรีบแหกขี้ตาตื่นมาทำอาหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ก่อนหน้านี้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นแผ่นหลังของพี่ปืนที่นอนนิ่งยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นก็นึกโล่งใจว่าพี่มันคงไม่เห็นสภาพผมนอนน้ำลายยืดแน่นอน สังเกตจากสภาพที่นอนทำให้รู้ว่าเราต่างคนต่างนอนจริงๆ เพราะขณะที่ผมม้วนเป็นดักแด้อยู่ในผ้าห่ม พี่ปืนแม่งก็มุดอยู่ในผ้าห่มผ้าบางนั้นของตัวเองเหมือนกัน
เหอะ! ขนาดหลับมันยังเสือกหล่อบรรลัย
“โอ้ยนังหมวยลำเค็ญ”
อื้อหือ !!!
แค่ฟังก็ได้กลิ่นมาเป็นลำแล้ว เดี๋ยวๆ ว่าแต่เสียงโหวกเหวกโวยวายนั่นคงเป็นเสียงใครสักคนในกลุ่มเจ่ที่มาช่วยกำกับการทำอาหารแน่นอน ขืนให้แก๊งดอกไม้กับพวกผมสามคนทำลงมือทำเอง คาดว่าอาหารวันนี้คงมีรสชาติเฮงซวยห่วยแตกอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมเดินเมาขี้ตาไปตามเสียงนั้น เห็นไอ้เบิร์ดกับเขมกำลังหาววอดๆ ยืนสะลึมสะลือเหมือนยังไม่ตื่นดี ส่วนแก๊งดอกไม้กำลังคุ้ยวัตถุดิบมาประกอบอาหารไปก็พูดคุยหยอกล้อกับกลุ่มเจ่ไป ท่าทางสามสาวนั่นจะเป็นที่ถูกชะตาของกลุ่มเจ่จริงๆ เห็นซิบซุบๆ อะไรกันไม่รู้สักพักก็พากันหัวเราะร่วน
“พวกมึง”
“อ้าวแรก” เขมทัก
“หายไปไหนมาวะตื่นมาพวกกูไม่เห็นมึงเลย ลงมาเข้าห้องน้ำเหรอ”
“อ๋อ เออๆ”
ผมเกาหัวแก้เก้อคาดว่าคงไม่มีใครรู้หรอกว่าเมื่อคืนผมหอบผ้าห่มลงมานอนกับพี่ปืนข้างล่าง ขืนให้คนอื่นโดยเฉพาะแก๊งดอกไม้มันรู้ผมฉิบหายแน่
“แรก” ไอ้เบิร์ดเดินมาสะกิดไหล่ผม “กูรู้สึกว่าเมื่อคืนมึงเรียกกูเหรอวะ”
เออสิ แต่แม่งเสือกหลับลึกปลุกยากจนกูถอดใจ
“อ๋อ”
“มีอะไรรึเปล่าวะ”
“เปล่า กูละเมอ”
มันทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“น้องเบิร์ด น้องเขมมาเอาข้าวไปหุงค่ะยอดดวงใจของพี่” เจ่กวักมือเรียกพวกมัน “ทำได้เนอะ เดี๋ยวให้พวกชะนีน้อยพวกนี้หั่นหมู หั่นผักทำกับข้าว”
“ได้ครับพี่”
“โคตรลำเอียง”
“นังหมวยลำเค็ญ”
“~ใช่สิ ฉันไม่มีความหมาย ทำอะไรก็ผิด ไม่ดีสักอย่าง~” คราวนี้มันร้องเป็นเพลงเลยโดนกลุ่มเจ่โบกหัวให้ สาวๆ แก๊งดอกไม้โวยวายกันใหญ่ขณะที่กลุ่มเจ่พากันขำพวกมัน
“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ”
“น้องแรก”
“ครับ”
ผมเกาหัวเก้อๆ กับสายตาหยาดเยิ้มชวนขนลุก
“หั่นผักเป็นมั้ยจ๊ะ” เจ่หมายเลข1กวักมือเรียกไหวๆ “ไม่เป็นเดี๋ยวพี่จะสอน”
“เป็นครับ”
“เสียดาย”
“ว้ายนก”
เจ่คนนั้นทำหน้าเสียดายหนักยิ่งถูกเพื่อนตัวเองแซวผมเลยเผลอขำออกมา ขณะที่หั่นคะน้าตรงหน้าผมกลับรู้สึกว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่แต่พอเงยขึ้นพวกมันก็ทำทีเป็นสนใจงานตรงหน้าทันที เป็นแบบนี้หลายรอบจนผมชักจะรู้สึกตงิดใจแปลกๆ
จนกระทั่งกลุ่มเจ่บางส่วนพาเลทไปชวนเขมกับไอ้เบิร์ดหุงข้าว ให้ตายเถอะหุงข้าวแค่นี้ทำตั้งห้าหกคน
“มึง”
หมวยเดินมาแซะข้างๆ ผมแล้วเปิดประเด็น “เมื่อคืนมึงไปนอนไหนมา”
“เชี่ย”
เผลอสะดุ้งจนเกือบโดนมีดบาดมือ ผมสูดลมหายใจเข้าแรงๆ แล้วกวาดสายตามองแก๊งดอกไม้ที่ยิ้มสยองตรงหน้า
“กู กูจะไปไหนได้ล่ะก็นอนอยู่ที่ห้องทั้งคืน เพิ่งลุกมาเข้าห้องน้ำก็ตอนเช้ามืดนี่แหละ”
“เอาความจริง”
ทำไมถึงรู้สึกผมถูกจับได้ว่ามีเมียน้อยแล้วบรรดาเมียหลวงมันกำลังคาดคั้นให้สารภาพความจริงวะ ผมทำหน้านิ่งพยายามไม่ตื่นตกใจจนพวกมันจับได้ แต่เอาจริงนะทำไมผมต้องกลัวด้วยวะก็ผมกับพี่ปืนไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อยทำไมต้องทำเหมือนหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนแอบไปทำความผิดมาด้วยกัน
“หม้อต้มเดือดแล้วมึง”
“กูเพิ่งปิดแก๊ส”
“เชี่ยนั่นหนูตัวเบ้อเริ่มเลยพวกมึงดูสิ”
แก๊งดอกไม้แสยะยิ้ม
“อย่าเฉไฉ”
“โว๊ะ”
“จะบอกดีๆ หรือจะให้โชว์หลักฐาน”
หลักฐานอะไรวะ ผมถึงกับทำหน้าเซ่อจนไอ้หมวยแบมือขอโทรศัพท์จากม่อนแล้วกดยิกๆ ก่อนจะเลื่อนภาพบางอย่างมาตรงหน้าผม
ฉิบหาย
ผมอ้าปากค้างถึงกับขยี้ตา แม่งเอ้ยมันเป็นแบบนั้นไปได้ไงวะ ไม่จริงอ่ะ
“ไหนบอกไม่มีอะไรกัน ไหงนอนซบกันขนาดนี้”
พูดไม่ออกเลย ให้ตายเถอะ ภาพมันฟ้องชัดๆ เมื่อผมกับพี่ปืนหันหน้าเข้าหากันแทบไม่มีที่ว่างซ้ำหมอนของผมก็ดันถูกพี่ปืนยึดไปหนุนแทนขณะที่ผมไปนอนซุกอยู่กับแขนพี่ปืน ซ้ำยังนอนกอดเอวอีกฝ่ายเสียแน่ มันเกิดขึ้นตอนไหนวะ ผมลูบหน้าตัวเองแรงๆ เพราะตอนตื่นเมื่อกี้ก็ต่างคนต่างนอนนี่หว่า แต่อะไรก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับที่พวกผมหลับสนิทถึงขนาดให้แก๊งดอกไม้แม่งถ่ายรูปได้เป็นสิบๆ ภาพด้วยอิริยาบถต่างๆ
“พวกมึง”
“ว่าไงจ๊ะน้องแรก”
น้องแรกพ่อง ผมปัดมือพริ้มที่บีบแก้มผมเป็นเชิงหยอกเย้า
“เรื่องมันยาว”
“ยาวขนาดไหน?”
ทำไมต้องทำหน้าตื่นแบบนั้นวะ ไอ้พวกบ้านี่
“กูปวดฉี่เลยลงมาเยี่ยวพอขึ้นไปก็ไม่มีที่นอนแล้ว เลยลงมานอนข้างล่างกัน ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ผมถอนหายใจก่อนจะทำตาปริบๆ “พวกมึง กูขอร้องล่ะลบรูปเหอะ แม่งไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่มีอะไรทำไมดูร้อนรนจัง”
“ก็พวกมึงชอบแหย่ ชอบแซวนี่หว่า กูถึงต้องทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แม่งไม่มีอะไรเลย”
“แล้วทำไมนอนซุกกันขนาดนั้น”
“ใครจะไปรู้วะ ตื่นมาเมื่อกี้ยังอยู่คนละมุมเลย กูไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าไปนอนซุกกันตอนไหน”
พูดแล้วยังงงไม่หายไปนอนซุกพี่มันขนาดนั้นโดนที่ไม่รู้ตัวเลยได้ไงวะ
“อ๋อเหรอ”
“เออออออ”
“จริงอ่ะ”
“พวกมึงนี่แม่งเป็นบัดด๊อกกูรึเปล่าวะ”
แก๊งดอกไม้หัวเราะขำ ก่อนที่พวกมันจะเขย่าหัวผมเบาๆ
“โธ่ไอ้แรก พวกกูแค่หยอกมึงเล่นไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ขนาดนั้นเลย”
“ก็พวกมึงแม่ง”
“เออๆ พวกกูขอโทษ เมื่อเช้ากะจะไปเอาของในห้องพัสดุเฉยๆ บังเอิญว่าประตูมันจะไม่ได้ล็อค ก็เลยเห็นของดี”
“พวกกูลบก็ได้”
ผมยิ้มออกมาทันที
“แต่มีข้อแลกเปลี่ยน”
ไอ้พวกอสรพิษ
“จะเอาอะไร”
“เปิดเทอมถ่ายโปสเตอร์โปรโมทคณะให้ด้วย”
ว่าแล้วมั้ยล่ะ ผมถอนใจเซ็งๆ เพราะพยายามปฏิเสธการถ่ายภาพโปรโมทคณะมาตลอด ทั้งๆ ที่แก๊งดอกไม้แม่งโคตรตื้อ เอาจริงนะผมว่าคนหน้าตาดีในคณะมีเยอะแยะ ทำไมไม่ไปตื้อพวกนั้นวะ
“ตกลงมั้ย?”
“กูยังจะกล้าปฏิเสธพวกมึงอีกเหรอ”
เสียงพวกแม่งหัวเราะโคตรชั่วร้าย
.
.
“ไหวมั้ยเขม”
ผมยิ้มขำไอ้เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อที่กำลังปลุกปล้ำกับการหั่นพริกเม็ดเล็กอย่างเอาเป็นเอาตาย
“หั่นยากจังวะแรก”
“มันต้องจับอย่างนี้”
“แบบนี้เหรอ”
“ไม่ใช่ แบบนั้นมีดมันจะบาดมือเอา”
ผมวางมือทับมือมันแล้วจับให้ขยับตาม จริงๆ ผมทำกับข้าวไม่เก่งหรอกแต่ได้อานิสงค์จากการที่ถูกย่าบังคับให้เป็นลูกมือช่วยในครัวบ่อยๆ
“เก่งนะเรา”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
ผมเผลอหัวเราะออกมาพร้อมเขม โดยไม่ทันรู้ว่าใบหน้าของเรามันใกล้กันขนาดไหน เขมมันคงไม่ได้คิดอะไร แต่สำหรับคนที่คิดไม่ซื่อแบบผมระยะทางยิ่งใกล้เท่าไหร่หัวใจผมก็ยิ่งสั่นไหวเท่านั้น
ยากเหลือเกิน ยากจะตัดใจเหลือเกิน
“เชี่ย”
“โอ้ย”
มัวแต่เหม่อเม็ดพริกถึงได้กระเด็นเข้าตา ผมร้องด้วยความปวดแสบปวดร้อนแต่เขมก็ไวพอมันจึงรีบพาผมไปล้างไม้ล้างมือที่อ่างทันทีแล้วบังคับให้ผมลืมตาในน้ำอยู่ตั้งนาน
“เป็นยังไงบ้างวะ?”
ผมลืมตาในน้ำได้สักพักก่อนจะกระพริบตาเบาๆ เพราะมันยังเคืองอยู่
“อืม ดีขึ้นแล้ว”
“ระวังบ้างสิคราวหลัง”
เขมลูบหัวผมเบาๆ
“ไหนมาดูซิ”
“กูไม่เป็นไรแล้ว”
“กูขอดูก่อนแรก”
ผมสะดุ้งโหยงหัวใจเต้นระรัวตอนที่มันชะโงกหน้ามาเป่าตาให้อย่างแผ่วเบา ไม่ว่าจะนานแค่ไหนหัวใจผมยังคงสั่นไหวเพราะมันทุกที
“หายแล้ว”
เขมยิ้มกว้างมือข้างหนึ่งยังลูบศีรษะผมอย่างแผ่วเบา แววตาที่ทอดมองมาเต็มไปด้วยความรักความห่วงใย ประหลาดแท้ที่แววตาของมันกระพือความรู้สึกที่ซ่อนเร้นของผมให้ลุกโชน
“ขอบใจมากมึง”
“ขอบคุณทำไม กูกับมึงเพื่อนกัน”
...เพื่อนกัน...
...แค่เพื่อนกันสินะ...
“เขม”
ผมรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองวูบโหวง หายกับว่ากำลังหายใจไม่ออก ในอกมันบีบอัดทรมานเหลือเกินตอนที่พี่เก้าร้องเรียกมันจากหน้าห้องครัว มันผละจากผมไปอย่างรวดเร็ว สัมผัสอบอุ่นก่อนหน้านี้กลับเย็นเฉียบจนน่ากลัว
พี่เก้ายังยิ้มสดใสให้พร้อมกับโบกมือทักทายผม ก่อนจะหันไปคุยเสียงแจ๋วกับมัน เขมยิ้มกว้างให้คนรักมือข้างที่เคยลูบศีรษะผมกำลังลูบไล้เส้นผมของพี่เก้าอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มที่เคยมีให้ผมดูสดใสยิ่งนักตอนที่มันยิ้มให้พี่เก้า เขมยิ้มทั้งปากทั้งตา แววตาที่มองอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความรักซึ่งแววตาแบบนั้นผมไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัส ไม่เคยเลยจริงๆ
ผมก้มหน้านิ่งพยายามจดจ่อกับงานตรงหน้า ทั้งที่รู้สึกว่าขอบตาตัวเองกำลังร้อนผ่าว มือผมกำแน่นจนรู้สึกเจ็บเวลาที่เล็บจิกเข้าไปในเมื่อ
“แรก”
ไอ้เบิร์ดผละจากกลุ่มเจ่มาหาผมทันที มันกุมมือข้างที่กำแน่นของผมเอาไว้แล้วลูบเบาๆ
“กูไม่เป็นไร”
“ถ้าไม่ไหวไปจากตรงนี้เถอะ”
ผมรู้สึกว่าไอ้เบิร์ดกำลังมองผมอย่างห่วงใย ผมสบตากับมันนิ่งพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลจนมันคว้าผมไปกอด ดีว่ากลุ่มเจ่กำลังยุ่งอยู่หน้าเตาไม่งั้นความคงแตกแน่ว่าผมรู้สึกผิดปกติกับเพื่อนสนิทตัวเอง ส่วนแก๊งดอกไม้มันคงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ มันเลยรีบก้าวเข้ามาผมทันที
“เจ็บตามากเหรอมึง”
“.......”
ผมส่ายหน้าจนสาวๆ หน้าเสีย
"งั้นมึงวางมือนะ ไปล้างหน้าล้างตาไปที่เหลือพวกกูทำต่อเอง”
“แต่ว่า..”
“ไปเหอะ”
หมวยมันดันไหล่ผมออกไป “ไปเถอะ กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงไม่สบายใจอะไร แต่ถ้ามึงอยู่ตรงนี้แล้วไม่โอเค มึงออกไปก่อนเหอะ”
ผมฝืนยิ้มมองพวกมันอย่างขอบคุณ ก่อนจะเดินออกมาเพราะไม่อยากเห็นเลยจริงๆ ว่าเขมกำลังเขี่ยแก้มพี่เก้าแล้วหยอกล้อกัน ท่าทางของทั้งคู่บอกผมว่าผมไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะก้าวเข้าไปแทรกแซงความสัมพันธ์นั้นเลย
ไม่มีโอกาสเลย
ผมเจ็บอีกแล้ววะ!
*****************************************************
หลังจากทานอาหารเช้ากันแล้วชาวค่ายทุกชั้นปียกเว้นปีหนึ่งที่มีเวรทำอาหารวันนี้ ก็ร่วมแรงร่วมใจกันถือเสียมถือจอบไปขุดดินบริเวณที่จะใช้สร้างสนามกีฬาเอนกประสงค์เพื่อปรับพื้นที่ต่อจากเมื่อวานที่ทำไปได้ครึ่งเดียว เห็นว่าหลังจากปรึกษากับชาวบ้านกันแล้วว่าหากปรับหน้าดินเสร็จเรียบร้อยจะเริ่มวางแผนทำการผูกเหล็กหรือใช้ตะแกรงวายเมทวางให้ทั่วแล้วจะเทปูนเป็นขึ้นตอนสุดท้าย ซึ่งกว่าจะถึงขั้นตอนนั้นคงจะต้องใช้เวลาอีกหลายวัน
ผมถอนหายใจขณะกำลังนั่งแกะกระเทียมเป็นลูกมือเจ่เพื่อเตรียมอาหารมื้อถัดไป ผมไม่รู้ว่าตัวเองถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่แต่รู้สึกได้ว่าเจ่ๆ กำลังมองผมแปลกๆ
“เป็นอะไรจ๊ะน้องแรก”
ผมยิ้มแหยจนเจ่เบอร์หนึ่งขยับมาใกล้ๆ “มีอะไรปรึกษาพวกพี่นะ ถึงจะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ดีกว่าไม่ได้ระบายนะ”
กลุ่มเจ่ดูเป็นการเป็นงานขึ้นมาทันที
“ผมมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยครับ”
“ไม่สบายกายหรือไม่สบายใจจ๊ะ”
“เอ่อ”
“ถ้าเป็นอย่างแรกเจ่จะให้นวดว่ามาให้คลึงตรงไหนถึงจะดีขึ้นบอกมาได้เลย”
“ถ้าปวดหัว”
“ก็นวดหัว”
“ถ้าเป็นหู”
“ก็นวดหู”
“ถ้าปวดหอย”
“พอค่ะ” เจ่คนหนึ่งยกมือห้าม “นวดมากกว่านี้เดี๋ยวจะเผลอนาบ”
“อุบาทว์”
ผมถึงกับขำก๊ากจนน้ำตาเล็ด ขนาดแก๊งดอกไม้ที่กลับจากการเดินไปเสิร์ฟน้ำให้ชาวค่ายที่ขุดดินอยู่โน้นยังอุตส่าห์มายืนขำเป็นเพื่อน
“แต่ถ้าเป็นอยากหลังช่วยได้ด้วยการหันมาคบพวกเจ่ค่ะรับรองจะสบายใจ”
“พูดดีค่ะอีดอกแต่ไม่พูดจะดีกว่า”
ผมว่ากลุ่มเจ่ถึงจะดูตุ้งติ้งและตลกโปกฮาไร้สาระไปบ้าง แต่ผมว่าจริงๆ แล้วพี่เขาทั้งน่ารักและนิสัยดีทุกคนด้วยซ้ำ ดูสิจากที่เครียดๆ ผมกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมาเฉยเพราะคำพูดไม่กี่คำของพวกพี่เขา
“ไงเรายิ้มออกแล้วสิ”
“ขอบคุณมากครับพี่”
“ไม่เป็นไรถ้าคืนนี้ไม่สบายกายไม่สบายใจอีกไปมุดมุ้งพี่ได้เลย”
ผมรีบส่ายหน้าหวือตอนพี่แกทำท่ากัดริมฝีปากแล้วปรือตาใส่ แม่งโคตรตลก แต่ขณะที่กำลังขบขันกันอยู่นั้นรู้สึกว่าแก๊งโจรที่เอาผ้าโพกหัวขุดดินอย่างขะมักเขม้นรีบทิ้งเสียบกันหน้าตื่น ไม่ต่างจากชาวค่ายที่เหลือที่พาไปกันวิ่งไปไปมุงดูอะไรสักอย่าง
“ฉิบหายแล้ว”
เสียงพี่เม่นตะโกนลั่น
“นั่นเขามุงอะไรกันวะ”
“เอออะไรวะ”
“เหมือนมีคนเจ็บ”
แก๊งดอกไม้กำลังวิเคราะห์กันอย่างออกรสออกชาติ
“นั่นมันเขมนี่หว่า”
เขมเหรอ เขมทำไมวะ
ผมหน้าตื่นอารามตกใจจึงวิ่งนำแก๊งดอกไม้กับกลุ่มเจ่ไปยังกลุ่มคนที่มุงอะไรสักอย่างตรงหน้า
“เชี่ยเขมตกก้าวพลาดตกหลังคา”
อะไรนะ!!
ผมตัวสั่นใจกระวนกระวายไปหมด ยิ่งตอนที่ไอ้เบิร์ดกำลังประคองเขมที่หัวแตกจนเลือดอาบโดยมีแก๊งสี่โจรช่วยจับประคองผมถึงกับใจหล่น มือไม้สั่นไปหมดทำอะไรไม่ถูก
“หลีกทาง หลบหน่อยต้องพาน้องไปอนามัย”
“เร็วช่วยกัน”
ชาวค่ายต่างแหวกทาง ไม่นานหลังจากนั้นมีกระบะของชาวบ้านที่ใครสักคนไปตามมาจอดเทียบ ร่างของเขมถูกยกขึ้นรถอย่างระมัดระวังโดยมีแก๊งสี่โจรและไอ้เบิร์ดช่วยประคอง นอกจากนั้นยังมีพี่เก้าที่ยังสะอื้นไห้ก้าวตามไปติดๆ วินาทีนั้นผมเลยรีบกระโดดขึ้นหลังรถไปอย่างไม่ทันคิดเช่นกัน
ระยะทางจากโรงเรียนที่พักไปอนามัยไม่ไกลนักแต่มันเหมือนผ่านไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ผมยิ่งใจเสียเมื่อเห็นเขมมันหลับตานิ่งเลือดไหลซึมออกมาเป็นระยะ รู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวยากเกินจะอดกลั้นไหว
“เขม”
ผมเรียกมันเสียงแผ่วเบา
“มันไม่เป็นไรแรก มึงใจเย็นๆ ก่อน”
เบิร์ดขยับมาตบบ่าผมเบาๆ สีหน้าแววตามันกังวลไม่น้อย
“เบิร์ด มันเกิดขึ้นได้ยังวะ ทำไม ทำไมเขมถึงเป็นแบบนี้”
“มันก้าวพลาดไปเหยียบกระเบื้องอันที่ผุ มันเลยร่วงลงมา”
ผมหลับตานิ่งไม่อยากจะนึกว่ามันจะเจ็บปวดขนาดไหน ก่อนหน้านี้เบิร์ดกับเขมอาสาปีนขึ้นไปซ่อมหลังคาโรงเรียนที่ผุจริงๆ มันไม่สูงมากนักหรอกซ้ำยังเปลี่ยนแค่ไม่กี่แผ่น ใครจะไปคิดว่ามันจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้
“ใจเย็นๆ ก่อนแรก”
ผมถอนหายใจอีกครั้งเหลือบตามองไปยังแก๊งสี่โจรที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกำลังคุยกันเงียบๆ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่นั่งนิ่งมาตลอดทาง พี่ปืนทำหน้านิ่งขณะที่มองมาทางผม แต่แววตาคู่นั้นมันดูอ่อนโยนบอกไม่ถูก ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองแต่เพราะมันเพียงแวบเดียวเท่านั้นที่เห็นทำให้ผมไม่นึกเอะใจ
เมื่อถึงอนามัยเขมถูกพาไปรักษาอย่างเร่งด่วนที่ห้องด้านใน ผมมองตามหลังเจ้าหน้าที่เร่งพามันเข้าไปจนลับตา ผมยืนพิงกำแพงผนังนิ่งเหมือนไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี ความรู้สึกตอนนี้ของผมมันหวาดกลัวไปหมด ภาพเลือดสีแดงฉานของเขมยังคงติดตา มันคงจะเจ็บปวดน่าดู
พี่เก้ายังคงร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของพี่ปิงปองที่ตามมาด้วย เสียงสะอื้นไห้นั้นบาดลึกในความรู้สึกของผมมันหดหู่จนยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูด ทุกคนในที่นั้นมีสีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัดขนาดพี่มหากับพี่หนวดที่แย้มยิ้มเป็นประจำยังยิ้มไม่ออก