เหล่าคนรับใช้จากคฤหาสน์เบอร์ตั้นพากันมารอเยี่ยมเจ้านายเนืองแน่นราวกับเป็นญาติสนิท แต่เนื่องจากริชาร์ดยังนอนอยู่ห้องไอซียูเลยเข้าไปเยี่ยมได้แค่ครั้งละสองสามคนตามที่พยาบาลกำชับไว้
“ริชาร์ด...ฉันมาเยี่ยม”
คาเล็มเปิดประตูห้องไอซียูเข้ามา ทีแรกคิดว่าจะเจอพวกสาวใช้ล้อมรอบเตียงร้องไห้ดีใจที่เจ้านายสุดที่รักฟื้นแล้ว แต่...คนที่อยู่ในห้องกลับเป็นโคลวิสและเจสสิก้ากับสาวใช้อีกคนเท่านั้น
“ไง...รู้สึกเหมือนเราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” คนป่วยที่เพิ่งฟื้นไม่นานทักทายเพื่อนด้วยเสียงแหบแห้ง ใบหน้าของซีอีโอหนุ่มซูบตอบลงและมีหนวดเคราหนาขึ้นรก กระนั้นมันก็พยายามยิ้มส่งให้เพื่อนเพื่อบอกว่าเขาสบายดีมากๆ
“แกเล่นนอนหลับไปตั้งสองอาทิตย์จะไม่ให้นานได้ยังไง”
“ฉันไปเที่ยวแม่น้ำสติกซ์มาว่ะ” ริชาร์ดขำที่เพื่อนและแม่บ้านทำหน้าเครียด “แต่โดนไล่กลับมาก่อนจะได้ข้ามไปอีกฝั่ง”
“คุณผู้ชาย ไม่ตลกนะคะ” เจสสิก้าเอ็ดเจ้านายที่เล่นมุกไม่สร้างสรรค์
...สงสัยผิดเล่นจังหวะไปนิด
“เออ...แล้วพี่ชายนายเป็นยังไงบ้าง? คาร์เรย์น่ะ” คนเจ็บหันมาเปลี่ยนเรื่องคุย
“ก็นะ ต้องติดคุกหัวโตหลายปีอยู่ กว่าจะออกมาเจอกันได้อีกคงหัวหงอกกันหมดแล้ว”
“เหรอ…” ริชาร์ดพยักหน้ารับรู้ ก็หวังว่าโดนไปขนาดนั้นจะทำให้มีสติคิดเรื่องดีๆ อย่างกลับตัวกลับใจให้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้างล่ะนะ “แล้วนายล่ะเป็นไงบ้าง?”
“ก็...ไม่เป็นไรแล้วครับ กลับไปทำงานได้ตามปกติแล้ว” หนุ่มโอเมก้าหัวสีตอบซีอีโอหนุ่ม โคลวิสยิ้มส่งให้อย่างเช่นปกติ แน่นอนเขาเองก็ใช่จะหายหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาไม่อยากดูอ่อนแอในสายตาของริชาร์ด “ไม่ได้ฝืนด้วยครับ ไม่ต้องห่วง”
“ดีแล้วล่ะนะ ฉันเป็นห่วงนายกับแฟนแทบแย่ อยู่ๆ ก็โดนฉุดไปเจอเรื่องแบบนั้นคงเสียขวัญมากเลยสินะ”
“เอ๋? แฟน?”
“ก็...นายกับอัลไง”
“ผมกับอัล? ไม่ใช่นะครับ! อัลเป็นเพื่อนแล้วก็พนักงานร้านผม เราสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันอย่างที่คุณริชาร์ดเข้าใจนะ” โคลวิสรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน “ทำไมถึงเข้าใจผิดไปแบบนั้นได้ล่ะครับ!?”
“อ้าว? ก็...พวกนายสองคนมาเช่าพื้นที่เปิดร้านกาแฟในตึกด้วยกันไม่ใช่เหรอ ฉันก็นึกว่ากำลังช่วยกันทำงานเก็บเงินเพื่อจะแต่งงานกันซะอีก”
“มั่วแล้วครับ! ไปได้ยินใครเค้าพูดกันมาเนี่ย!?”
“ก็...เห็นพวกคนในออฟฟิศพูดถึงนายกับอัลแบบนั้นนี่นา” ริชาร์ดพูดไปตามที่ได้ยินมาจากเหล่าพนักงานช่างเมาท์ว่าทั้งคู่กำลังคบหาดูใจกันอยู่บ้างล่ะ ไม่ก็กำลังจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้บ้างล่ะ “สรุปแล้ว...ไม่ใช่หรอกเหรอ?”
“คุณเอาตาไปมองที่ไหนกันถึงได้ไม่รู้ว่าผมน่ะ…!?”
“...?”
“...ไม่มีอะไรครับ แต่ช่วยเลิกเข้าใจพวกผมแบบผิดๆ ด้วย”
แล้วโคลวิสก็ขอตัวกลับไปเปิดร้านต่อ ถึงซีดีโอเบอร์ตั้นจะยังนอนอยู่โรงพยาบาล แต่กระนั้นออฟฟิศและสำนักงานต่างๆ ก็ยังเปิดทำการได้เป็นปกติ โดยมีคณะผู้บริหารคอยจัดการและตัดสินใจเรื่องต่างๆ แทนเขา ในเวลาแบบนี้คนพวกนั้นยิ่งต้องการคาเฟอีนจำนวนมากไปดื่มกินกันเสียด้วย
“...แค่เข้าใจผิดเอง ทำไมเขาต้องโกรธฉันขนาดนั้นด้วยล่ะ?” ริชาร์ดถามคาเล็ม แต่คุณหมอเพื่อนรักก็ไม่ค่อยเข้าใจพอๆ กัน เจสสิก้าได้เพียงแอบขำในความซื่อบื้อของคุณผู้ชายและเพื่อนสนิท แต่ครู่เดียวเธอก็ทำหน้าสลดลงไม่ต่างจากที่เข้ามาหาเขาครั้งแรกเมื่อตอนเขาฟื้น “มีอะไรเหรอเจสสิก้า?”
“...คุณผู้ชายคะ ดิฉันมีเรื่องที่ต้องบอก…” เธออึกอักอยู่นาน แต่ก็รู้ว่าคงปิดบังริชาร์ดได้ไม่นานนัก “คือว่าสก็อต…”
“สก็อต?”
ใครๆ ต่างก็รู้ว่าสุนัขเป็นสัตว์ที่ฉลาด ซื่อสัตย์ และรักผู้เป็นนายเอามากๆ นอกจากจะเชื่อฟังคำสั่งและสามารถฝึกให้ทำสิ่งต่างๆ ได้ดั่งใจมนุษย์แล้ว ต้องไม่ลืมว่ามันเองก็มีความจำที่ดี โดยเฉพาะในเรื่องกลิ่นและเสียง อาจจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่ทุกคนคิดออก ทว่า หลายคนที่เลี้ยงสุนัขอาจจะสังเกตได้ว่ามันจดจำได้มากกว่านั้น มันจำได้กระทั่งว่ารถประจำตัวของเจ้านายแต่ละคนคือคันไหน หากบ้านหลังนั้นมีรถมากกว่าหนึ่งคัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะเห่ารถแปลกหน้าที่แล่นผ่านไปมาหรือเข้ามาในบริเวณบ้าน แต่กลับวิ่งกระดิกหางมารับเมื่อเห็นว่ารถของผู้เป็นนายกำลังแล่นเข้ามา
‘เจน ไปเตรียมชุดน้ำชาให้หน่อยสิ คุณหมอกำลังมาแล้ว’
‘โอเค เธอก็เตรียมร่มไปด้วยนะ ฝนตกหนักมากเดี๋ยวคุณหมอจะเปียกเอา’
สองสาวที่คอยดูแลสก็อตต่างมอบหน้าที่ให้กันและกัน แยกย้ายไปทำตามสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ปล่อยสุนัขตัวน้อยที่แทบจะตรอมใจให้กลับมากระดิกหางอีกครั้งและกระโดดโลดเต้นเมื่อได้ยินเสียงเครื่องยนต์ที่คุ้นหู ไม่ทันได้ระวังว่าเปิดประตูทิ้งเอาไว้เพราะต่างคนต่างรีบร้อนไปทำอย่างอื่น เมื่อสก็อตตะกุยเปิดประตูหน้าบานใหญ่ไม่ได้ มันก็วิ่งพล่านไปทั่วเพื่อหาทางออกไปเจอกับคนที่มันรอคอยมาหลายวัน
เท้าเล็กๆ กวดวิ่งออกไปทางประตูเล็กด้านข้างที่เปิดทิ้งไว้ วิ่งออกไปสุดฝีเท้าด้วยความยินดีท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำจนแทบมองไม่เห็นสิ่งใด แต่สก็อตก็ตรงไปหาแสงไฟเรืองรองสองคู่ที่คุ้นตา
ไฟสว่างวาบนั้นคงเป็นภาพสุดท้ายที่มันเห็น
ความอึดอัดและสลดใจปกคลุมไปทั้งห้อง ทุกคนเงียบสนิทเมื่อรู้ว่าสุนัขของเจ้าของคฤหาสน์เบอร์ตั้นได้จากไปเมื่อคืนนี้ เจสสิก้าเล่าทั้งน้ำตา เธอรู้ว่าไม่ควรพูดสิ่งนี้เป็นเรื่องแรกๆ เมื่อตอนที่ผู้เป็นนายของตนฟื้นจากอาการบาดเจ็บ แต่สีหน้าของเธอคงฟ้องทุกอย่างแล้วว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น เธอจึงตัดสินใจเล่าเพื่อไม่ให้มันค้างคาเสียจะดีกว่า
ริชาร์ดเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะสูดหายใจลึกและถอนหายใจยาว “สังหรณ์ใจแปลกๆ อยู่แล้วเชียว…”
“หมายความว่าไง?” คาเล็มที่นั่งฟังข่าวสลดกับเพื่อนถามขึ้น
“บอกแล้วนี่ว่าไปเที่ยวแม่น้ำสติกซ์มาจริงๆ” ริชาร์ดพยายามจะอธิบายอีกครั้ง “ตอนที่กำลังนั่งเรือข้ามแม่น้ำ ฉันได้ยินเสียงสก็อตเลยหันหลังไปดูแล้วเจอมันกำลังตะกุยขาว่ายน้ำตามมา ฉันพยายามตะโกนไล่ให้มันกลับไปแต่มันก็ไม่ฟัง แถมพยายามจะปีนขึ้นเรือจนสุดท้ายเรือก็พลิกคว่ำ ฉันจมลงไปในแม่น้ำแล้วสก็อตก็ว่ายเข้ามาหา พอรู้สึกตัวอีกที...ฉันก็ฟื้นขึ้นมา”
“ฮึ่ก…” เจสสิก้ากลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว สาวใช้ข้างๆ เองก็ได้เพียงกอดประคองเธอไว้ไม่ให้ล้มลง ถึงจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ทุกคนก็เชื่อว่าสก็อตคงมาช่วยริชาร์ดไว้จริงๆ
“ขอโทษนะ...กลับไปจะทำอนุสาวรีย์ให้…” ริชาร์ดพยายามพูดติดตลก แต่ใบหน้าของเขาเศร้าเกินกว่าจะเชื่อว่าเขากำลังขำให้กับคำพูดของตัวเอง “ไม่เป็นไรแล้ว… พวกเธอกลับไปพักก่อนก็ได้ ที่บ้านคงวุ่นวายน่าดู”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เราจัดเวรกันไว้แล้ว” สาวใช้คนหนึ่งตอบขึ้น แต่ก็เก็บข้าวของออกไปแต่โดยดี “มีอะไรก็เรียกได้นะคะ พวกเราจะอยู่ผลัดกันเฝ้าข้างนอกนี้ค่ะ”
ทั้งสองคนค้อมศีรษะให้ริชาร์ด และเดินประคองพาหัวหน้าแม่บ้านออกจากห้องไปตามคำพูดของเขา เหลือเพียงอัลฟ่าเพื่อนรักสองคนนั่งเงียบกันในห้อง แม้จะไม่มีน้ำตาแต่คาเล็มก็รับรู้ได้ว่าริชาร์ดกำลังเศร้าขนาดไหน ยิ่งเป็นแบบนี้เขายิ่งไม่กล้าพูดเรื่องจะขอตัวลาซารัสคืนเพราะคาเล็มก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับคนรักของเขา ไอ้หงุดหงิดน่ะมันก็ใช่ แต่...เขารู้ว่าตอนนี้ควรให้ความสำคัญกับอะไรก่อนเท่านั้น
“นายจำการ์ตูนเรื่องที่มีสุนัขเป็นฮีโร่ได้มั้ย?” ริชาร์ดเอนตัวลงนอนและหาเรื่องคุยทำลายความเงียบ
“รู้…แกเคยบอกว่ามันไม่สนุกเลยตอนที่ลากฉันไปดูหนัง” คาเล็มตอบตามจริง
“อืม.. สงสัยตอนนี้ถ้าให้ดูซ้ำอีกที ฉันต้องร้องไห้แน่เลยว่ะ” รอยยิ้มเศร้าฉาบบนใบหน้า แต่ทั้งสองก็หัวเราะแห้งๆ ให้กัน “เออ พอดีเลย ลาซัสหายดีรึยัง?”
“ใกล้แล้วล่ะ ปากแผลก็ปิดหมดแล้ว แต่ตอนนี้ต้องระวังเรื่องการติดเชื้ออยู่”
“อ่าฮะ” ริชาร์ดหันไปมองตาเพื่อนแล้วยิ้มจางให้ “ถ้าเขาหายดีแล้วก็พาเขากลับบ้านทีนะ”
“ก็ได้ แล้ว...ทำไมไม่บอกเจสสิก้าล่ะ?” คาเล็มขมวดคิ้ว
“เปล่าๆ ฉันหมายถึง ให้เขากลับไปกับนายน่ะ กลับไปอยู่ที่บ้านนาย”
ดวงตาสองสีของคาเล็มเบิกกว้างขึ้น นี่เขาโดนอ่านใจหรือยังไง? คิ้วทั้งสองเลิกขึ้นแล้วจึงกลับมาขมวดแน่นกว่าเดิม “แต่...นาย…?”
“ขอโทษเรื่องก่อนหน้านี้ด้วยนะ”
“นายเคยขอโทษแล้ว…”
“ใช่ แต่ก็พูดอีกไม่ได้เรอะ? อย่าทำเสียมู้ดสิ” แขนข้างที่ไม่มีสายน้ำเกลือชกใส่ไหล่คาเล็มเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ “ตอนนี้นายก็ปลอดภัยจากเรื่องบ้าบอพวกนี้แล้วไง พาเขากลับไปบ้านได้แล้วนะ สัญญาด้วยล่ะว่าจะดูแลอย่างดี”
“เออๆ แน่นอนอยู่แล้ว” คาเล็มชักรำคาญ แต่สายจริงจังของริชาร์ดทำเขาต้องนั่งหลังตรงขึ้นมาเพราะรู้สึกหนาวสันหลัง “ฉันจะดูแลเขาให้ดีที่สุด...สัญญา”
“อืม นายทำได้อยู่แล้ว” รอยยิ้มโล่งใจปรากฏขึ้นมา ก่อนริชาร์ดจะหลับตาลง “ขอนอนต่ออีกหน่อยละกัน”
“แกนอนมาเป็นอาทิตย์แล้ว”
คาเล็มแซวทิ้งท้าย และเดินออกจากห้องไปโดยไม่ลืมบอกพยาบาลและหมอเจ้าของเคสให้รับรู้ ทั้งหมอและพยาบาลรับหน้าที่ดูแลริชาร์ดต่อ ในขณะที่เขาได้แต่เดินถ่อไม้ค้ำอย่างสับสน ตัวเองคิดจะไปพูดอย่างห้าวหาญว่าขอโอเมก้าของเขาคืนแท้ๆ แต่โดนเพื่อนพูดสิ่งที่คิดอยู่ในใจแทนจนหมดเปลือกเสียอย่างนั้น รู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล…
เรื่องคดีนั้น เออร์แฟนจะจัดการให้ทุกอย่าง คาเซล่าเองก็ไม่อยากให้มันเลยเถิดไปกว่านี้แล้วแน่นอน ส่วนเรื่องวิจัยยา…หลังจากเขาหายดีก็คงมีเรื่องให้ทำต่ออีกมากมาย เพราะคนที่เป็นผู้หนุนหลังรายใหญ่อย่างตระกูลรอสเกรย์หายไป พวกที่คอยโจมตีเขาทางกฎหมายเองก็คงไม่คิดจะเข้ามายุ่งแล้ว หวังว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางสักที
เพราะเขาเองก็อยากใช้ชีวิตสงบๆ บ้างแล้วเหมือนกัน…
เพียงไม่กี่วัน ลาซารัสก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ ร่างกายของเขาแข็งแรงและฟื้นตัวได้ไวมาก ทว่า...เจ้าตัวกลับดูหวาดหวั่นเสียจนพยาบาลกังวลว่าจะมีอาการแทรกซ้อน ตรวจกันละเอียดยิบอีกหลายหนให้แน่ใจว่าลาซารัสเพียงแค่วิตกกังวลไปเอง
เขากำลังจะได้กลับไปอยู่กับคุณหมอ…นั่นเป็นเรื่องที่เขายินดีที่สุด...แต่ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคุณคาร่าก็อยู่ด้วยนี่!!
“ผม...จะทำตัวยังไงดีครับ?” หลายปีที่ถูกโอนเนอร์ฝึกสอนทุกอย่างมานั่นก็เพื่อให้เขาเป็นทาสรองรับอารมณ์เจ้านายและเป็นสัตว์เลี้ยงที่หิ้วไปไหนมาไหนได้ไม่อายใคร แต่โอนเนอร์ไม่ได้สอนว่าควรทำตัวยังไงเมื่อต้องไปเป็นสะใภ้นี่หว่า!
“คิดมากเกินไปแล้ว” คาเล็มเหงื่อตกเมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของคนรัก “แม่ฉันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรนายนะ”
“...แล้วจะอธิบายเรื่องที่ผมไปอยู่กับคุณริชาร์ดว่ายังไงล่ะครับ แม่คุณหมอต้องถามแน่ๆ เลย”
“....เรื่องนั้น… ฉันกับคาร์เมนค่อยๆ เล่าให้แม่ฟังหมดแล้ว…”
“หาาา!!?” จากความกังวลเปลี่ยนเป็นความช็อคแทบจะทันที “ไหงงั้น!? บอกอะไรคุณคาร่าไปบ้างน่ะครับ!?”
“ใจเย็นก่อนนะลาซัส คุณคาร่าดูไม่ใช่คนน่ากลัวอย่างที่นายคิดหรอก” โคลวิสที่แวะมาช่วยเก็บของให้แต่เช้าก็เข้ามาช่วยปลอบขวัญเพื่อน เขาเองก็เคยเจอคุณแม่ของคาเล็มครั้งสองครั้ง ถึงได้มองออกว่าเป็นคนมีวุฒิภาวะพอสมควร
“ฮือ.. ขอบคุณครับโคล” ลาซารัสโผกอดเพื่อนโอเมก้าอย่างต้องการที่พึ่งพิงทางใจ “แล้ว...โคลจะไปส่งผมถึงบ้านมั้ย?”
“ฮะๆ คงไม่ได้หรอก ฉันแวะมาช่วยเก็บของแล้วก็จะไปเยี่ยมคุณริชาร์ดต่อน่ะ” แถมเขายังต้องรีบกลับไปช่วยอัลที่ร้านด้วย ช่วงนี้ยิ่งบ่นว่าเสิร์ฟกาแฟจนยกแขนแทบไม่ขึ้นแล้ว
“อ๋อ…” ลาซารัสหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วจับบ่าเพื่อนหมุนไปทางประตูทางออกและผลักเบาๆ เป็นสัญญาณให้รีบไปทำธุระของเขาต่อ “งั้นก็ สู้เค้านะครับ”
โคลวิสเพียงแต่หันมามองสายตาดุปนประหม่า เขากล่าวลาคาเล็มและก้าวเท้าฉับไวออกจากห้องไปโดยไม่หันมามองลาซารัสที่โบกมือส่งเลย
คาเล็มกะพริบตาปริบอย่างสงสัย “สู้? สู้อะไร?”
“...คุณหมอนี่ไม่ได้เรื่องเลยครับ” ลาซารัสถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และหยิบกระเป๋าสัมภาระที่เต็มไปด้วยของเยี่ยมและตุ๊กตาเสียส่วนใหญ่ขึ้นมา “ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวคุณคาร่ารอนาน...ผมเองก็ต้องสู้ๆ เหมือนกัน”
เสียงเคาะประตูดังเป็นสัญญาณขออนุญาต ก่อนสาวใช้คนหนึ่งจะเดินมาเปิดต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมนายของตน โคลวิสยิ้มและทักทายเธออย่างมีมารยาท เขาเดินตรงเข้าไปหาริชาร์ดซึ่งนอนทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่บนเตียง เมื่อร่างกายฟื้นตัวและอาการพ้นขีดอันตราย ซีอีโอหนุ่มก็ถูกย้ายเตียงมาที่ห้องพักผู้ป่วยในวันถัดมา แต่ยังคงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกหลายวัน
“สวัสดีครับคุณริชาร์ด”
“หวัดดีๆ” มือข้างที่กุมรีโมทไว้ยกขึ้นโบกทักทายร่วมกับคำพูดกล่าว “เฮ้อ.. นอนนิ่งๆ เฉยๆ มันน่าเบื่อชะมัด…”
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ คุณยังไม่หายดีนี่นา” โคลวิสหยิบเอาผลไม้ออกมาจากกระเป๋าผ้าที่พกมา “สตรอว์เบอร์รี่มั้ยครับ?”
“โอ้วว! ดีเลย!!” ริชาร์ดทิ้งรีโมทและยื่นมือไปกะจะคว้ามาเข้าปากสักลูก แต่โดนมือของโคลวิสตีจนต้องชักกลับไปก่อน
“ล้างก่อนสิครับ” โคลวิสตอบเสียงดุ และนำสตรอว์เบอร์รี่เหล่านั้นไปล้างน้ำสักครู่ ก่อนลงมือผ่ามันด้วยมีดผ่าผลไม้เล่มเล็กที่พกมาด้วย เพราะผลค่อนข้างใหญ่เขาจึงผ่าครึ่งเพื่อให้ทานได้พอดีคำมากขึ้น “วันนี้ในบริษัทก็ยังวุ่นวายอยู่เลย”
“ไม่แปลกหรอก..” ริชาร์ดขยับมือเข้าไปหยิบส้อมอันเล็กและจิ้มเอาสตรอว์เบอร์รี่ที่โดนหั่นแล้วมากินอย่างหวาดระแวงจะโดนมีดจิ้มนิ้วเอา แต่เมื่อไม่เห็นสัญญาณห้ามเตือนเขาก็กินต่ออย่างเอร็ดอร่อย “ขอบใจที่มาเยี่ยมทุกวันนะ ไหนจะของฝากอีก แค่นี้ก็รบกวนนายจะแย่”
คำพูดไร้ความนัยแบบนี้มันทั้งน่ายินดีและเจ็บในอกไปพร้อมๆ กัน โคลวิสยิ้มและส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “ก็เพื่อนคุณแต่ละคนงานยุ่งกันหมด น่าสงสารจะตายถ้าปล่อยไว้คนเดียว”
“ขอบพระคุณขอรับ” ริชาร์ดก้มหัวให้เหมือนซามูไรคำนับเจ้านาย “นายเองก็เหอะ เจอไปขนาดนั้นยังทำตัวปกติได้ เจ๋งเหมือนกันนะ”
“ผมแค่กลัวคนในตึกคุณจะลงแดงกันเพราะขาดคาเฟอีนต่างหากครับ”
“ก็ยังเก่งอยู่ดี.. จริงๆ ถ้าไม่ไหวจะหยุดพักไปก่อนก็ได้ ถึงแผลจะหายดีแล้วแต่ว่า..”
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ!” โคลวิสเผลอพูดเสียงดังจนริชาร์ดยังสะดุ้ง เขานิ่งค้างไปเล็กน้อยแล้วหยิบสตรอว์เบอร์รี่มาหั่นต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
โคลวิสรู้เรื่องที่ริชาร์ดเสียสุนัขที่เขารักไป และรู้เรื่องที่ลาซารัสจะกลับไปอยู่กับคาเล็มแล้ว เขาเป็นห่วงริชาร์ดเกินกว่าจะมานั่งจิตตกหรือหวาดกลัวสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น “ถึงตอนนี้จะยังตกใจเสียขวัญกับเสียงดังอยู่บ้าง แต่ผมอยากรีบกลับไปทำงานเร็วขึ้น และใช้ชีวิตเหมือนปกติครับ”
“...งั้นเหรอ” ริชาร์ดขมวดคิ้วงุนงง ช่างเป็นคนที่ขยันขันแข็งอะไรขนาดนี้ “นายนี่สุดยอดไปเลยนะ”
คำชมจากปากคนคนนี้ก็เพียงพอให้โคลวิสยิ้มออกมาได้แล้ว เขาแค่อยากอยู่ข้างๆ ให้ริชาร์ดรู้ว่ายังมีเขาอยู่เป็นเพื่อนต่อให้ไม่เหลือสิ่งใด หรืออย่างน้อยๆ ในเวลาที่ยากลำบากแบบนี้เขาก็สามารถช่วยหาสิ่งที่ริชาร์ดต้องการมาให้ได้
จะเรียกว่าทำแต้มในช่วงที่มีโอกาสก็ได้ คนเรามันอยู่ได้ด้วยความหวังนี่นา
“อยากดื่มกาแฟของนายไวๆ แล้ว..”
“ก็รีบหายเร็วๆ สิครับ”
ใช่...สิ่งที่เขาทำก็เพราะหวังให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเมื่อวันวาน วันที่ริชาร์ดกลับไปทำงานและแวะมานั่งดื่มกาแฟที่ร้านอีกครั้ง เขาก็จะชงกาแฟอร่อยๆ มาเสิร์ฟให้เหมือนทุกที
ตอนนี้ค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อยก็แล้วกัน…โคลวิสคิดอย่างนั้น
ถ้าหากริชาร์ดไม่ซื่อบื้อเกินไปน่ะนะ...
---------
“เอาของที่จำเป็นมาครบหมดแล้วนะ” คาเล็มถามหลังจากที่เขาขับรถพาลาซารัสกลับมาเอาของใช้ส่วนตัวที่คฤหาสน์เบอร์ตั้น
“ครับ จะเหลือก็แต่…” ลาซารัสมองไปยังเจ้าพวกแก๊งค์ขนฟูที่กำลังตะกุยร้องครางหงิงๆ อยู่ที่ประตูบ้าน ตอนที่เขาขนของออกมาจากห้องนอน พวกมันก็พยายามงับยื้อแย่งไม่ให้เอาออกไป เหมือนกับรู้ว่าเจ้านายกำลังจะไปจากที่นี่ เล่นเอาเหนื่อยหอบไม่น้อยเหมือนกัน
“...เอาไว้ค่อยพาพวกมันกลับไปวันหลังก็แล้วกันนะ” คุณหมอยกนาฬิกาขึ้นมาดู “ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ”
“ครับ” ลาซารัสเปิดประตูแล้วนึกขึ้นได้ “ให้ผมขับให้มั้ยครับ คุณหมอน่าจะยังเจ็บขาอยู่นี่นา”
“ฉันไหวหรอกน่า” คาเล็มเปิดประตูที่นั่งคนขับ รัดเข็มขัดแล้วสตาร์ทรถขับออกไป ร่างโปร่งหันหลังไปมองภาพคฤหาสน์ที่ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ จริงอยู่ว่าเดี๋ยวก็ต้องกลับมาที่นี่อีกไม่ช้าก็เร็ว แต่...พอคิดว่าต้องไปจากที่นี่จริงๆ แล้วมันก็อดใจหายไม่ได้อยู่เหมือนกัน…
“มาแล้วเหรอจ๊ะ กำลังรออยู่เลย” หญิงชราเอ่ยต้อนรับเมื่อลูกชายพาคนรักมาที่บ้าน ซึ่งพ่อบ้านกำลังง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะอาหารอาหารเย็นที่ดูหรูหรากว่าปกติ จนลาซารัสอดแปลกใจไม่ได้ว่าทุกคนกำลังจัดงานฉลองอะไรกัน
“อ่ะ คุณเรนเดล ให้ผมช่วยนะครับ” โอเมก้าหนุ่มตรงเข้าไปหวังจะช่วยพ่อบ้านสูงวัยอีกแรง แต่ถูกคุณหมอดึงตัวเอาไว้ก่อน
“นายอย่าไปเกะกะเขาน่ะ เป็นเจ้าภาพก็มานั่งอยู่นี่” คาเล็มลากเก้าอี้แล้วจับลาซารัสนั่งลงไปแล้วเดินไปช่วยเรนเดลยกจานแทน
“เอ๋?” ดวงตาสีฟ้ากลอกตาไปมามองคนนั้นคนนี้ที “มันเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“งานเลี้ยงต้อนรับนายไงล่ะไอ้หนู”
“ง่ะ...ทำไมคุณคาร์เมนถึงอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ”
“หา? ทำไมฉันจะอยู่ไม่ได้ฟะ?” คาร์เมนแกล้งล็อกคอลาซารัสแน่นด้วยความหมั่นไส้เล็กน้อย “นี่ฉันอุตส่าห์ลงทุนมาช่วยจัดห้องให้ใหม่เลยนะ ขอบคุณกันสักหน่อยสิ”
“คาร์เมน อย่าแกล้งคุณลาซารัสเขาสิลูก”
“โห...ผมยังไม่ทันทำอะไรเลย พี่ดูสิ ไม่ทันไรแม่ก็ลำเอียงละ” คาร์เมนปล่อยโอเมก้ารุ่นน้องให้เป็นอิสระแล้วแกล้งเนียนไปขอความเห็นใจด้วยการซบไหล่พี่ชายตนเหมือนเด็กน้อยที่โดนแม่ดุ แต่ก็โดนคาเล็มเอามือยันหัวออก เลยงอนเดินหนีไปหยิบอาหารบนโต๊ะกินก่อนใครเพื่อน
“คุณชายน้อยพาคุณแมทเวย์ขึ้นไปดูห้องก่อนก็ได้ครับ ตรงนี้เดี๋ยวกระผมจัดการเอง”
รู้สึกเหมือนโดนพ่อบ้านกำลังไล่ทางอ้อมว่าอย่าเพิ่งมากินอาหารยังไงยังงั้น...
“นั่นสินะ เอาของไปเก็บให้เรียบร้อยกันก่อนเถอะ” เขาหันไปบอกให้โอเมก้ารุ่นน้องลากกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไปบนห้อง เมื่อเปิดประตู...ลาซารัสก็ต้องช็อกกับห้องนอนสไตล์ม่านรูดธีมทาร์ซาน
“อะไร? ทำหน้าแบบนั้นทำไม นี่อุตส่าห์จัดให้ทุกตารางนิ้วนุ่มพอที่พี่ฉันจะเล่นกับนายได้ทุกท่าโดยที่ไม่ปวดเข่าเลยนะ”
ถึงจะบอกว่าโอเมก้าชอบของนุ่มนิ่ม แต่เล่นปูพื้นห้องด้วยพรมขนสัตว์กับเอาโซฟาขนเฟอร์มาไว้ในห้องนอนนี่ลงทุนเยอะไปมั้ย!?
“คุณหมอเห็นห้องนี้รึยังครับ?”
“ยัง เพิ่งจัดเสร็จหมาดๆ เลย กำลังจะเรียกพี่มาดูเนี่ย เผื่ออยากได้ออพชั่นเพิ่ม”
“ดีครับ งั้นก็ช่วยผมเคลียร์ห้องใหม่เดี๋ยวนี้เลย!”
“นายคิดจะทำลายความพยายามของพี่ชายคนนี้เรอะ?!” คาร์เมนเถียงแว้ดทั้งน้ำตาอย่างจริตแตก
“พี่ชาย?”
“เออสิ มาอยู่บ้านนี้แล้วก็ต้องเป็นน้องชายฉันไง และพอคิดแล้วว่าน้องชายได้พี่ชายไปก็รู้สึกเจ็บน้อยกว่าคนอื่นมาแย่งพี่ไปด้วย...”
...แบบนี้ก็ได้เหรอ?
คนตัวเล็กกว่าเดินมาใกล้และยกมือขึ้นลูบหัวลาซารัสอย่างเบามือ “บอกตามตรง...ตอนเจอกันทีแรกก็ไม่ชอบแกหรอก แต่ตอนนี้เกลียดไม่ลงแล้วล่ะ”
“ทำไมเหรอครับ? ทีเมื่อตอนที่ผมเล่าให้คุณฟังตอนเราเจอกันครั้งแรกคุณไม่เห็นจะใจดีกับผมแบบนี้เลย”
“นั่งสิ” คาร์เมนดึงตัวลาซารัสให้นั่งลงกับโซฟาขนเฟอร์สุดอลัง “ฉันเล่าเรื่องของนายให้แม่ฟังหมดทุกอย่างแล้ว”
“หา!?” ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้าง แบบนี้แม่ของคุณหมอก็รู้กำพืดของเขาหมดแล้วสิว่าเป็นใครมาจากไหน ทั้งเรื่องที่ถูกประมูลซื้อมาจากตลาดมืด เรื่องหนูทดลอง รวมถึงเรื่องที่เขาเคยเป็นโอเมก้าของคุณริชาร์ดด้วย
หมดกัน...ภาพพจน์ดีๆ ในสายตาของคุณแม่ที่มีต่อเขาจะเหลือมั้ยเนี่ย!?
“แม่บอกว่าแกน่าสงสาร ไหนจะถูกพ่อแม่ขายทิ้งๆ ขว้างๆ ทั้งยังถูกคนรับเลี้ยงเอาไปสั่งสอนให้เป็นเครื่องมือประดับบารมีของอัลฟ่าเป็นสิบๆ ปี ถึงจะโชคดีได้พี่คาเล็มประมูลไถ่ตัวมาแต่ไม่ทันไรก็ต้องไปอยู่กับคนที่ตีตราตามกฎหมาย ถึงพี่ฉันจะทำไปเพื่อปกป้องนายจากคนตระกูลรอสเกรย์ นายก็ต้องทนใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ไม่ได้รักแล้วยังโชคไม่ดีที่ถูกลักพาตัวไปอีก” หนุ่มโอเมก้ามากวัยกว่านั่งเล่าสิ่งที่มารดาพูดกับเขาเมื่อวันก่อนๆ “...ถึงสุดท้ายจะหลุดพ้นจากปัญหาทุกอย่าง แต่แม่ฉันก็ไม่อยากให้นายรู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป เลยขอให้ฉันช่วยดูแลนายเหมือนเป็นน้องชายอีกคน”
วินาทีนั้นลาซารัสเข้าใจทันทีว่าทำไมช่วงหลังๆ มานี้คาร์เมนมักจะโทรมากวนใจเล่นไม่ก็นัดไปโน่นมานี่บ่อยๆ ทั้งชวนไปเที่ยวที่ที่ ยังไม่เคยไปหรือนัดไปกินดื่มไม่ว่าจะตอนกลางวันหรือกลางคืน ถึงจะมีบางครั้งที่ต้องแอบหลบให้พ้นสายตาริชาร์ดเพราะคาร์เมนชอบพาไปเปิดโลกที่แปลกๆ บ้าง แต่เขาก็ไม่เคยได้รับอันตรายใดๆ …ไหนจะมีของฝากให้ตอนไปปรับยาที่โรงพยาบาลอีกหลายครั้ง เริ่มพอจะเข้าใจแล้วว่าคนที่ออกตัวว่าไม่ชอบหน้าเขาจะทำแบบนี้ไปทำไม…ถ้าไม่ใช่คุณแม่ขอร้องมา
“ถึงยังไงก็...ขอบคุณนะครับที่คอยดูแลผม” ใบหน้ามนยิ้มให้ด้วยความรู้สึกขอบคุณจากใจจริงๆ
“ไม่ต้องมาทำซึ้งเลย แม่ฉันแค่ไม่อยากให้แกเหงาเท่านั้นแหละ เอ้า! จะรื้อก็รีบๆ รื้อซะสิ”
“ครับคุณพี่”
โอเมก้าทั้งสองช่วยกันรื้อของตกแต่งเกินจำเป็นอย่างพวกพรมหรือผ้าปูลายแปลกๆ ออกกันจนหมดได้ทันก่อนคาเล็มจะเดินขึ้นมาตามลงไปทานข้าวเย็นเพราะอาหารพร้อมแล้ว คาร่าต้อนรับลูกชายอีกคนอย่างอบอุ่น ทั้งกอดและหอมแก้มอย่างรักใคร่เพราะรู้อยู่แล้วว่าเด็กน้อยคนนี้เจอสิ่งใดมาบ้าง
บรรยากาศอบอุ่น อาหารแสนอร่อยในบ้านเล็กๆ ที่ลาซารัสไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาอยู่ในที่แบบนี้
“หมอนัดตรวจครรภ์วันไหนเหรอลูก?” คาร่าหันไปถามคาร์เมนที่นั่งลูบท้องตัวเองมาสักพักหลังจากทุกคนทานอาหารกันจนหมด
“อาทิตย์หน้าครับ”
“อยากรู้จังว่าจะได้ลูกชายหรือลูกสาวกันนะครับ แต่ถ้าเป็นอัลฟ่าจะเป็นหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยวสินะ” ลาซารัสหันหน้ามาถามอย่างใคร่รู้ว่าคุณแม่มือใหญ่อยากให้เด็กที่เกิดมาเป็นเพศอะไร
“ขอแค่เกิดมาแข็งแรงดีก็พอแล้ว” คาร์เมนยังไม่ละสายตาจากท้องตัวเอง มันยังไม่ป่องออกมาให้เห็นชัดมากนัก แต่ก็รู้สึกได้ว่ากางเกงมันชักจะเริ่มใส่ไม่ได้แล้ว “นี่ผมต้องใส่ชุดคลุมท้องจริงเหรอ?”
เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังมาจากทุกทิศทาง ทำเอาคนถามเลิ่กลั่กหน้าแดงด้วยความกระดากอาย
“หัวเราะอะไรไอ้หนู เดี๋ยวแก…เดี๋ยวนายก็ต้องใส่บ้างเหมือนกันน่ะแหละ!!”
“คุณแมทเวย์ท้องแล้วเหรอครับ?” เรนเดลหันมาถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ยังครับ!”
“น่าเสียดายจัง นึกว่าจะได้อุ้มหลานทีเดียวสองคนเลย”
“พี่การ์ดแข็งจะตาย พยายามรุกหน่อยแล้วกันนะ”
ทำไมเขารู้สึกเหมือนโดนทุกคนรุมอยู่คนเดียวล่ะ!?
“คุณลาซารัสอย่าโกรธคาร์เมนเลยนะจ๊ะ ลูกแม่คนนี้ก็ปากไม่ค่อยดีแบบนี้แหละ อภัยให้เขาหน่อยนะ” คาร่าเอื้อมมือมาตีไหล่คาร์เมนเบาๆ และกล่าวขอโทษด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ค…ครับ ผมว่าผมชินแล้ว…หืม?” ลาซารัสยิ้มแห้งแล้วหันหลังไปพบว่าคาเล็มกำลังถอดปลอกคอที่เขาได้มาจากริชาร์ดออก…ก่อนจะแทนที่ด้วยปลอกคอเส้นใหม่ “คุณหมอ?”
“ยังเรียกห่างเหินแบบนั้นอีกเหรอ?” คาเล็มเลิกคิ้วมอง “จากนี้ไปนายไม่ต้องทดลองยาอีกแล้วนะ ฉันเก็บข้อมูลมาได้มากพอแล้วล่ะ”
“ลูกคนนี้ก็ไม่ไหวเลย ทำไมถึงใช้แฟนทำเรื่องเสี่ยงๆ แบบนี้น้า”
“มันจำเป็นนี่ครับแม่!”
“ผมอยากช่วยคุณหมอเองครับ!”
“ว้อย...เหม็นความรัก” คาร์เมนยกมือบีบจมูกทำมือปัดไปมา
เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกระลอก การพูดคุยหยอกเอินเป็นกันเองยังคงดังต่อเนื่องกระทั่งเวลาล่วงเลยไปมากโข บทสนทนาเริ่มลดลงพร้อมๆ กับอาหารที่ถูกย่อยไป คาร์เมนเองก็เริ่มง่วงแล้วจึงขอตัวไปนอนก่อน
“คุณลาซารัส” คาร่าเรียกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามตน น้ำเสียงนุ่มนวลและการวางตัวเป็นผู้ใหญ่ใจดีจนลาซารัสเผลอเกร็งขึ้นมาเพราะยังไม่คุ้นชิน
“ค…ครับ?”
“ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของเรานะจ๊ะ”
“…ครับ! ฝากตัวด้วยนะครับ!”
*****************************************
ตอนหน้าจะเป็นตอนอวสานแล้วนะคะ
รอพบเซอร์ไพรซ์ได้เลยค่ะ