นอนไม่หลับ…หลายเหตุการณ์ที่เจอในวันเดียวกันทำให้ร่างโปร่งต้องลุกขึ้นมานั่งกอดเข่าบนเตียง ทั้งๆที่ร่างกายควรจะอ่อนเพลียจนผล็อยหลับ แต่ที่เป็นแบบนี้คงเพราะเจอแต่เรื่องสะเทือนใจจนสมองสั่งให้หลับไม่ลงเป็นแน่
ลงไปหาอะไรอุ่นๆ ดื่มดีกว่า…ลาซารัสค่อยๆ ลุกจากที่นอนเพื่อไม่ให้พวกปุกปุยที่กำลังหลับสะดุ้งตื่นขึ้นมา ขาค่อยๆก้าวข้ามที่ละตัวจนถึงประตูและเดินลงบันไดไปยังห้องครัว ทว่าแสงไฟจากชั้นล่างกลับสว่างผิดปกติ ร่างโปร่งชะโงกหน้าออกไปดูแล้วก็พบว่าคุณหมอคาเล็มลงมาหากาแฟดื่มเช่นกัน
“..........” เกิดความเงียบน่าอึดอัดขณะที่ทั้งคู่มองหน้ากัน และหมอคาเล็มเป็นฝ่ายหันหน้าหนีไปก่อน ทำเอาร่างโปร่งหน้าซีดเพราะว่าโดนอีกฝ่ายหลบหน้า
“ยังไม่นอนเหรอครับคุณหมอ…”
“อืม…” ตอบรับเพียงแค่นั้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป
ลาซารัสเดินคอตกก่อนไปเปิดตู้หาถุงชา แต่ของอยู่สูงเกินไปจึงต้องเขย่งปลายเท้าควานหา ก่อนที่มือหนาของคนที่คิดว่าออกไปแล้วจะเอื้อมมาหยิบให้อย่างรู้ทันด้วยว่าเขากำลังจะหยิบถุงชาที่ดื่มเป็นประจำ
“หานี่อยู่เหรอ?”
“...ขอบคุณครับ” มือยื่นไปรับของจากร่างสูง แต่คาเล็มกลับไม่ปล่อยมือจากมันจนลาซารัสต้องเงยหน้าขึ้นจ้องคล้ายจะถามคุณหมอว่ามีอะไรรึเปล่า
“นาฬิกาที่เคยให้ไป พรุ่งนี้ช่วยเอามาคืนฉันด้วย” ดวงตาสีฟ้าอึ้งไป ทั้งๆที่เคยคิดว่าได้รับมาเป็นของขวัญ แต่แล้วคนๆนี้ก็มาทวงมันคืนไป “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ เดี๋ยวฉันจะซื้อให้ใหม่เอง”
“ไม่เอา…”
“เฮ้...อย่าดื้อสิ เรือนนั้นมันเก่าแล้ว เดี๋ยวฉันพานายไปเลือกซื้อด้วยก็ได้” คาเล็มพูดหว่านล้อมก็เพื่อให้โอเมก้าตัดใจคืนนาฬิกากลับมา
“ผม...ไม่อยากได้เรือนใหม่หรอกครับ ถึงแม้ว่ามันจะสวยกว่าหรือแพงกว่าเรือนที่คุณหมอให้มาก็ตาม”
คุณหมอยืนมองร่างเล็กกว่าที่จับข้อมือข้างที่ใส่อยู่ไว้แน่นราวกับไม่ยอมให้มันหายไปไหน “ลาซารัส คือว่าอันนั้นน่ะ..”
“ผมขอได้มั้ยครับ..” คนตัวเล็กกว่ามองช้อนขึ้นมา “มัน..เป็นของชิ้นแรกที่คุณหมอให้มาโดยที่ผมไม่ได้ร้องขอ.. ผมก็เลยดีใจมากๆ”
คาเล็มจุกกับคำพูดนั้น เขากลืนความจริงเรื่องที่มันเป็นตัววัดอะไรๆลงคอไป ความรู้สึกผิดเกาะกุมหัวใจ ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะรับมันไปด้วยความรู้สึกไหน จะว่าไปมาขอคืนแบบนี้ บวกกับเพิ่งโดนเขาปฎิเสธอีก มันคงรู้สึกแย่มากแน่ๆ
“ผมอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆเหรอครับ” ลาซารัสยังคงตื้ออีกฝ่าย รู้อยู่ว่าไม่สมควรเพราะอัลฟ่าของเขาตัดสินใจไปแล้ว..
ร่างสูงมองหน้ากับดวงตาหม่นหมองที่แดงก่ำเพราะเสียน้ำตามาตลอดตั้งแต่หัวค่ำ ไม่มีคำตอบรับหรือปฎิเสธใดๆออกมาจากปาก ความเงียบโรยตัวลงมาระหว่างเขาทั้งคู่
“ผมขอตัวก่อนนะครับ..” ลาซารัสวางถุงชาลงกับส่วนเคาท์เตอร์แล้วโค้งให้เจ้านายของตนอีกทีเพื่อลากลับห้อง คาเล็มมองตามหลังเล็กที่เริ่มสั่น เขาลังเลอยู่ระหว่างว่าจะรั้งไว้หรือปล่อยเขาไป ...แต่ถ้ารั้งไว้แล้วเขาตอบว่าอะไรดี?
สุดท้ายลาซารัสก็เดินหายกลับขึ้นไปชั้นบน ทิ้งอัลฟ่าสูงวัยไว้ลำพังที่ห้องครัว
“มีอะไรเหรอครับนายน้อย” เสียงของพ่อบ้านทำเอาคาเล็มสะดุ้งเบาๆ ไม่นึกว่าเขาจะตื่นลงมาดู.. “อ่ะ กินกาแฟกลางดึกอีกแล้วเหรอ มันไม่ดีนะครับ”
คาเล็มมองแก้วกาแฟในมือแล้ววางมันลงเพราะเขาไม่อยากจะกินมันแล้ว “ขออะไรอุ่นๆสักแก้วสิ..”
“ได้ครับ” แม้จะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนแต่เรนเดลก็เดินมาชงอะไรให้หมอดื่มโดยไม่อิดออด ดีด้วยซ้ำที่นายจ้างตนจะได้ไม่กระดกกาแฟเอากลางค่ำกลางคืน มีหวังตาสว่างจนเวลานอนผิดเพี้ยนอีก
“...สรุปว่าก็บอกความจริงไปสินะครับ” เรนเดลวางถ้วยน้ำขิงลงบนโต๊ะทานข้าวเยื้องตัวคาเล็มไปเล็กน้อย
“อืม..” ร่างสูงยกขึ้นเป่าแล้วจิบช้าๆเหมือนใช้ความคิดอย่างหนัก “ความจริงควรบอกไปตั้งนานแล้ว ก่อนที่มันจะเลยเถิดขนาดนี้”
“มันเป็นการตัดสินใจของนายน้อย กระผมพูดอะไรไม่ได้หรอกครับ” เรนเดลนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆเขา
คาเล็มนั่งเงียบอยู่สักพักโดยไม่ได้บอกให้พ่อบ้านกลับไปพักผ่อนต่อเพราะเขายังต้องการคนปรึกษาหลังจากที่ไม่ได้คิดจะทำมานาน “ถึงจะบอกว่าอยากจะเริ่มต้นใหม่ แต่แบบนั้นมันดีจริงๆแล้วเหรอ”
เรนเดลไม่ตอบอะไร นั่งรอให้คนตรงหน้าพูดสิ่งที่คิดออกมาให้หมด
“เรนเดล...ถ้าขอถามความเห็นแบบไม่ต้องเกรงใจฉัน นายคิดว่าฉันควรทำยังไงดี” ท่าทางจะตันจริงๆจนต้องหวังพึ่งความเห็นคนที่ดูสงบนิ่งกว่าเขาตอนนี้
“งั้นนายน้อยครับ.. งานที่นายน้อยกำลังทำอยู่คือช่วยเหลือให้โอเมก้าใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนคนอื่นใช่มั้ยครับ”
“อืม..”
“นายน้อยต้องการให้พวกเขาได้มีสิทธิในการใช้ชีวิตอย่างปกติชนใช่มั้ยครับ?”
“อ่าฮะ” คาเล็มยกมือขึ้นเกาหัวอย่างงุนงงเล็กน้อย
“งั้น...กระผมจะขอให้นายน้อยลองเริ่มก้าวแรกเล็กๆนี้ ด้วยการเคารพการตัดสินใจของคุณแมทเวย์ด้วยนะครับ” เรนเดลพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่งน่าฟังและไม่ใช่เชิงต่อว่า แต่เป็นการชี้อีกมุมมองให้คุณหมอได้ฉุกคิด “พวกเขาเองก็มีสิทธิที่จะเลือกรักคนที่เขารัก ไม่ใช่ให้อัลฟ่ามาตัดสินว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาควรได้รับ ถูกต้องมั้ยครับ”
คาเล็มมองหน้าคนสูงวัยกว่าอย่างไม่เคยจะนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน สิ่งที่เรียกว่าความเคยชินมันนช่างน่ากลัว เขาลืมกระทั่งหนึ่งในจุดประสงค์ใหญ่ที่เขาต่อสู้เพื่อมันมาตลอดไปได้ไง
“อย่างน้อยๆก็บอกความจริงเรื่องนาฬิกาไปเถอะครับ คุณแมทเวย์ไม่โกรธรอก” คาเล็มที่พยักหน้ารับมาตลอดจนกระทั่งถึงประโยคนี้ทำเอาเกือบสำลักน้ำขิงในมือ
“จะดีเหรอ…” ดวงตาหลังแว่นชำเลืองมองชายชราผู้ผ่านโลกมามากและมีมุมมองกว้างกว่าเขา
“ก็ดีกว่าปล่อยให้เขาเข้าใจผิดอยู่แบบนั้นนะครับ” เรนเดลลุกขึ้นและขอตัวไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นมาทำงานแต่เช้า “อย่านอนดึกมากนะครับนายน้อย เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ”
หลังพ่อบ้านไปเข้านอนแล้ว คุณหมออัลฟ่าเจ้าบ้านก็นั่งครุ่นคิดอยู่อีกพักหนึ่ง ก่อนจะดื่มน้ำขิงจนหมดถ้วยแล้วเดินกลับขึ้นชั้นบน ทว่าด้วยขาที่ยังเจ็บอยู่ทำให้การก้าวขึ้นบันไดเป็นไปอย่างเชื่องช้า
รู้งี้บอกให้เรนเดลช่วยพยุงขึ้นไปซะก็ดี...
คาเล็มเดินหอบขึ้นบันไดมาถึงชั้นบนได้ก็ลากขาเดินต่อไปจนถึงหน้าห้องของลาซารัส เขาไม่รู้ว่าเวลานี้โอเมก้าหนุ่มคนนั้นจะหลับไปแล้วหรือยัง แต่มือก็ลองเคาะประตูห้องไปก่อนแล้ว
ไร้เสียงใดๆตอบกลับ แสดงว่าคงหลับไปแล้ว…
ร่างสูงยืนถอนหายใจและถอดใจเดินกลับไปที่ห้องนอนของตน ค่อยๆนั่งลงบนที่นอนช้าๆ มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาพิมพ์ข้อความก่อนกดส่งให้ลาซารัส การบอกเรื่องสำคัญผ่านอุปกรณ์สื่อสารมันอาจดูมักง่ายไปหน่อย แต่เขาก็คิดว่าวิธีนี้คงทำให้คุยกันง่ายกว่ามานั่งปรับความเข้าใจกันตรงๆ
อีกอย่าง...พอเห็นใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตานั้นแล้วเขาก็กลัวว่าตัวเองจะขี้ขลาดไม่กล้าบอกความจริงไปอีก การสารภาพผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กๆนี่จึงเป็นทางออกเดียวสำหรับคนปากหนักเช่นเขา
‘ขอโทษนะลาซารัสที่ฉันทวงของคืนโดยไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของนาย’
‘ที่จริงแล้วฉันมีเรื่องจะสารภาพ...นาฬิกาเรือนนั้นน่ะมันติดตั้งอุปกรณ์พิเศษเอาไว้ จะว่าไงดี...คือว่าไอ้นั่นน่ะมันก็เป็นอุปกรณ์ทดสอบอีกอย่างของฉันเองอีกนั่นแหละ’
‘ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากจะทดสอบอะไรนายอีกแล้ว ฉันเลยอยากขอคืนเพราะไม่อยากละเมิดความเป็นส่วนตัวของนายไปมากกว่านี้แล้ว’
‘นี่ลาซารัส...นายจะยกโทษให้ฉันได้มั้ย?’
‘ฉันรู้ว่ามันยาก แต่ว่า...ให้โอกาสฉันได้แก้ตัวสักครั้งจะได้ไหม?’
‘แล้วก็...ต้องขอโทษนะที่ส่งมาเวลานี้ นายคงจะหลับไปแล้ว ไว้เจอกันพรุ่งนี้ตอนเช้านะ ราตรีสวัสดิ์’
ข้อความที่พิมพ์ส่งไปหาผู้รับทั้งหมดขึ้นคำว่าอ่านแล้ว แต่รอเท่าไหร่ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา คาเล็มจึงทำได้เพียงกดปิดเครื่องแล้ววางมันลงข้างโต๊ะก่อนจะเอนตัวลงนอนและพยายามข่มตาให้กลับในคืนนี้
เสียงแหลมเล็กของฝูงสุนัขจากด้านนอกปลุกคาเล็มให้ตื่นขึ้นมาแม้จะยังนอนไม่อิ่มดีก็ตาม ร่างสูงปวดหัวจนต้องนั่งค้างไว้เพื่อปรับตัวก่อน มือหนาควานหาแว่นที่โต๊ะข้างเตียงแล้วหยิบมาใส่...ก่อนจะนึกได้ว่าพิมพ์ข้อความทิ้งไว้ จึงรีบเอามือถือมาเปิดดู..และลาซารัสทิ้งข้อความไว้ตั้งแต่เช้าจริงๆด้วย
‘มันเอาไว้ทำอะไรเหรอครับ?’ประโยคเดียวสั้นๆของคนที่ปกติจะระรัวข้อความมาทำเอาเขาลังเลที่จะบอก...แต่เดินหน้ามาขนาดนี้แล้วก็ต้องทำให้สุดสิ..
‘ตรวจชีพจรกับความดัน ฉันเอาไว้เช็คว่านายจะฮีทเมื่อไหร่ สุ่มเสี่ยงว่าจะฮีทหรือเปล่าแล้วก็เป็นเครื่องติดตามตัวด้วย’คาเล็มกดส่งไปหา ในใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขึ้นว่า อ่านแล้ว แทบจะทันที ข้อความหยุดนิ่งไปนานจนคุณหมอหวั่นใจจะลุกออกไปหา แต่ก็มีข้อความพิมพ์มารั้งเขาไม่ให้ลุกจากเตียงง่ายๆ
‘ตั้งแต่ผมได้นาฬิกามาผมช่วยตัวเองไปกี่ครั้งครับ’ร่างสูงเลิกคิ้วแปลกใจกับความกล้าถามของอีกฝ่าย...จริงๆเขาไม่ควรตะตกใจขนาดนี้เพราะเมื่อคืนก็เห็นๆอยู่ว่ากล้าไปท้าทายอัลฟ่าที่เขาแสนเกลียดคนนั้นขนาดไหน
‘สองครั้ง ครั้งแรกเป็นวันถัดมาหลังจากที่นายฮีทตอนวัดตัวให้ฉัน อีกครั้งก็ตอนที่โดนฉันทดลองยา เช้าวันถัดมานายก็ทำเลย’กล้าถามก็กล้าตอบ.. แต่พิมพ์ไปคาเล็มก็แอบละอายใจที่ทำตัวเหมือนสต็อกเกอร์ขนาดนี้ เมื่อเขาตอบไปก็ไม่มีข้อความใดๆตอบมาอีก กระทั่งมีเสียงเคาะที่หน้าประตู คาเล็มเดินไปเปิดประตูอย่างยากลำบาก และพบกับลาซารัสที่ยื่นนาฬิกาใส่หน้าแทบจะทันทีที่เขาโผล่หน้ามาให้เห็น ใบหน้าของโอเมก้าขึ้นสีแดงจัดจนทั่ว
“คุณหมอโรคจิตอ่ะ…”
“หา!? ก็นายถามนี่ ฉันก็ตอบตามตรง” ร่างสูงหยิบนาฬิกาคืนจากมืออีกฝ่าย
“ก็ไม่เห็นต้องพิมพ์ละเอียดขนาดนั้นเลย” สองมือว่างยกปิดหน้าตัวเองอย่างอับอายที่โดนล่วงรู้เรื่องส่วนตัว
“กลัวนายไม่เชื่อนี่นา” ใช่ว่าคนพิมพ์จะไม่รู้สึกอะไร เขากระดากนิ้วละอายใจแทบตายอยู่เหมือนกัน อีกมือหนึ่งยกขึ้นลูบผมของอีกคนเบาๆ “เมื่อคืนขอโทษนะ… นายเจอเรื่องแย่ๆมาทั้งวันแล้วแท้ๆ”
“ช่างเถอะครับ เรื่องมันผ่านไปแล้วนี่” เสียงอู้อี้ตอบทั้งที่มือยังปิดหน้าอยู่
“นายหายโกรธแล้วใช่มั้ย” มือหนาผละออกพร้อมๆกับที่ดวงตาสีฟ้าส่งสายตาดุและคิ้วขมวดมุ่นมาให้...แต่ไม่ได้ทำให้ดูน่ากลัวเลยสักนิดเดียว
“อย่าเข้าใจผิดสิครับ ที่เอานาฬิกามาคืนให้นี่ไม่ได้แปลว่าผมยกโทษให้คุณหมอสักหน่อย” ลาซารัสกอดอกแล้วยังหันหลังให้คุณหมออัลฟ่า ร่างสูงเอามือเท้าขอบประตูยืนจ้องคนที่ดูออกง่ายดายว่าหายโกรธไปตั้งนานแล้ว
“แล้ว...ต้องทำยังไงถึงจะยกโทษให้ล่ะ” คาเล็มลองง้อคนโมโหไม่จริงดู ร่างโปร่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหันมาจ้องเพราะคิดวิธีบางอย่างออก
“ถ้าอย่างนั้น…” โอเมก้าหนุ่มหันตัวกลับมา “คุณหมอช่วยหลับตาแป๊บนึงสิครับ”
“หือ?”
“ไม่ทำอะไรแผลงๆหรอกครับ” พออีกฝ่ายยืนยันแบบนี้แล้วคุณหมอก็ยอมหลับตาให้ตามคำขอ คาเล็มรู้สึกได้ว่าลาซารัสเอาอะไรสักอย่างมาติดไว้ที่หัวของตน ก่อนจะได้ยินเสียงกดถ่ายรูปของโทรศัพท์มือถือ สักพักก็ลืมตาขึ้นแล้วจ้องโอเมก้าหนุ่มที่กำลังอมยิ้มจนแก้มปริ
“ถ่ายรูปอะไรไปน่ะ?” ถามพลางยกมือขึ้นแตะสิ่งที่ติดอยู่บนหัวและหยิบมาดู มันเป็นที่คาดผมสีดำกับอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนกับ...หูแมว
“ลา - ซา - รัส!”
ร่างโปร่งวิ่งหนีคุณหมอไปพร้อมกับกองทัพปุกปุย คาเล็มคิดจะวิ่งตามไปไล่เตะก้นแต่ทั้งขาและหลังก็พร้อมใจกันเจ็บจี๊ดขึ้นสมองจนต้องเกาะผนังเป็นจิ้งจก อัลฟ่าสูงวัยซึ่งเสียท่าทำได้แค่ตะโกนไล่หลังจนเสียงดังลั่นบ้านว่า “ลบเดี๋ยวนี้เลยนะ!!”
ไม่ถึงห้านาทีต่อมา ริชาร์ดก็โทรเข้าเครื่องของคาเล็มพร้อมกับแนบรูปที่ลาซารัสเพิ่งถ่ายส่งไปให้ดู ตอนนี้คุณหมออัลฟ่าเดาได้เลยว่าเพื่อนรักเพื่อนทรยศของตนต้องกำลังหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็งอยู่แน่ๆ แล้วคนที่เป็นเจ้าของหูแมวอันนั้นก็คงไม่ใช่ใครอื่นหรอก
“รอให้ฉันขาหายเจ็บซะก่อนเถอะ จะตามไปเตะก้นแกถึงบริษัทเลย ไอ้ริชาร์ด!!”
“ไม่ต้องไปถึงนั่นก็ได้ม้าง” จู่ๆเสียงของคนที่เพิ่งสาปส่งไปก็ดังขึ้นข้างๆ คาเล็มหันไปเจอริชาร์ดที่อุ้มสก็อตยืนมองเขาทั้งรอยยิ้มอยู่ ทีแรกเขานึกว่าตัวเองหลอนไปเองกระทั่งต้องหยิกแก้มตนเพื่อพิสูจน์
“มาทำอะไรแต่เช้า…”
“วันนี้วันฉีดวัคซีนเจ้าตัวเล็กนี่ไง ลาซารัสไม่ได้บอกเหรอ” ริชาร์ดยื่นสก็อตใส่หน้าหมอให้มันเลียทักทาย
“..อ้อ… บอกวันก่อนโน้น.. ลืมไปสนิทเลย” หมอยกมือขึ้นเกาหัวแก้เก้อ มีเรื่องให้คิดมากเกินไปจนลืมอะไรๆไปหมดแล้ว
“ไปกินข้าวกัน เดี๋ยวสักพักหมอก็มาละ” เพื่อนรักปล่อยสก็อตลงเดินแล้วเข้ามาพยุงหมอเพื่อให้ลงไปกินข้าวพร้อมๆกันได้ เมื่อมาถึงครัว ลาซารัสกับเรนเดลก็เตรียมอาหารไว้รอเรียบร้อย
“โฮววววววววว ลาซัสที่น่าสงสาร โชคดีเหลือเกินที่นายไม่เป็นอะไรมาก” ริชาร์ดพุ่งเข้าไปกอดโอเมก้าข้างๆหลังจากถามไถ่สิ่งที่เกิดขึ้น ลาซารัสเองก็เริ่มทำใจได้นิดหน่อยจึงยอมเล่ารายละเอียดให้ผู้ร่วมโต๊ะทั้งสามฟังแต่โดยดี
“เวอร์ไปแล้ว..” คาเล็มเอามีดมาจ่อหน้าเพื่อนเพื่อไล่อีกฝ่ายให้ปล่อยมือออกจากร่างโปร่งที่นั่งตัวลีบให้เขากอดอยู่เฉยๆ
“นายอิจฉาก็มากอดเขาบ้างสิ” ริชาร์ดเอาส้อมของตัวเองมาปัดมีดของหมอไปมาจนเหมือนสองหนุ่มสูงวัยกว่ากำลังสู้รบปรบมือกันอยู่ยังไงยังงั้น
“อย่าเอาส้อมมีดมาเล่นกันสิครับ” เรนเดลเอ็ดทั้งสองคนเสียงเบา
“ไม่เป็นไรจริงๆเรอะ ไหวแล้วแน่นะ” ริชาร์ดเปลี่ยนมานั่งจ้องอีกคนเขม็งไปทั่วทุกอนูเพื่อสำรวจหารอยตำหนิ
“ไม่ครับ ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ” ลาซารัสยิ้มเหนื่อยๆให้ เมื่อวานร้องไห้ไปเยอะ แถมนอนดึก ตื่นก็เช้า ไม่ล้าก็ให้มันรู้ไป แต่มีความจำเป็นที่จะต้องรอฉีดวัคซีนให้เจ้าพวกตัวเล็กจึงต้องยอมตื่นมา เรนเดลคนเดียวคงดูแลไม่ทั่วถึงแหงๆ “ผมจะรีบตัดสูทให้ของคุณริชาร์ดให้นะครับ”
“ไม่ต้องรีบก็ได้ พักสักวันสองวันงานมันคงไม่ช้าลงไปเท่าไหร่หรอก”
คาเล็มแอบเหล่มองคนสองคนที่คุยกันลื่นไหลเป็นธรรมชาติ เริ่มยอมรับเสียทีว่าเขาอิจฉาริชาร์ดที่คุยกับโอเมก้าของเขาได้อย่างปกติ เทียบกับเขาแล้ว… จะคุยอะไรแต่ละทีเขาแทบต้องเค้นสมองอย่างหนัก อีกฝ่ายก็ดูเกร็งๆ ...น่าอิจฉาจริงๆน้า…
“คุณหมอเป็นอะไรเหรอครับ”
“หือ? เอ้อ...เปล่า…” จู่ๆลาซารัสก็หันกลับมาแล้วเห็นหน้าคาเล็มที่กำลังเหม่อพอดีจึงลองถามดู คนถูกถามก็แค่หันกลับมาทานอาหารต่อ ก่อนจะถูกมือเล็กยื่นมาแตะเข้าที่ข้างลำคอ..
“มีไข้รึเปล่าครับ..” น้ำเสียงเป็นห่วงอย่างซื่อบริสุทธิ์เอ่ยถาม ริชาร์ดนั่งกลั้นขำตัวสั่นมองคุณหมอที่ตัวแข็งทื่อไปแล้วอย่างสนุกสนาน
“...ไม่มี ฉันไม่เป็นไร” คาเล็มค่อยๆดันมือของโอเมก้าของตัวเองออก “รีบกินเถอะ จะได้รีบไปเตรียมตัวรอสัตวแพทย์...เค้าจะมากี่โมงนะ”
“สิบโมงครับ” ลาซารัสก็หันกลับไปจัดการข้าวเช้าในจานต่อรวดเร็ว เรนเดลที่นั่งเงียบมองเหตุการณ์แสนอบอุ่นที่กลับมาได้ดังเดิมอย่างโล่งใจ นึกว่าเรื่องเมื่อวานจะทำให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนไปเสียแล้ว แต่ท่าทางเขาจะประเมินความเข้มแข็งของลาซารัสต่ำไปหน่อย
“แล้วจูเลียตล่ะต้องฉีดวัคซีนด้วยมั้ย?” ซีอีโอหนุ่มถามพลางหันไปมองเจ้าตัวใหญ่ประจำบ้านที่กำลังคุมพวกตัวเล็กเล่นไม่ให้ซนมากไป
“ไม่ล่ะ จูเลียตไม่ถูกโรคกับคนแปลกหน้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เดี๋ยวถ้าสัตวแพทย์มาฉีดยาให้พวกตัวเล็กคงต้องเอาไปขังไว้ในกรงก่อนไม่งั้นอาละวาดแน่” คาเล็มบอกเพื่อนรักและอาจจะต้องไหว้วานให้ริชาร์ดช่วยพาจูเลียตไปเข้ากรงด้วย
“เอ๋? แปลว่าไม่เคยพาจูเลียตไปฉีดวัคซีนเลยงั้นเหรอครับ” ลาซารัสแอบเป็นกังวล แม้จะเคยได้ยินมาว่าสุนัขบางตัวต่อให้ไม่เคยฉีดวัคซีนก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้จนแก่ตายเลยก็ตาม
“เปล่าครับ ปกติวัคซีนของจูเลียตนายน้อยจะเป็นคนไปรับมาจากคลีนิคและฉีดให้เอง” เรนเดลอธิบาย
“แบบนั้นจะไม่เป็นอะไรเหรอ ให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการให้จะปลอดภัยกว่ารึเปล่า เกิดพลาดขึ้นมาเดี๋ยวมันจะเป็นอะไรไปซะก่อน” แม้ว่าริชาร์ดจะไม่เคยเลี้ยงสัตว์มาก่อน แต่พอมีเจ้าสก็อตเขาก็คอยหาเวลาว่างไปศึกษาเรื่องพวกนี้เพิ่มเติมจนพอจะทำความเข้าใจได้บ้างแล้ว
จูเลียตหันไปมองเจ้านายและผองเพื่อนที่กำลังถกเถียงเรื่องของตัวมันเองด้วยความสงสัยว่าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไปทำไม...
เมื่อถึงเวลาตามนัด สัตวแพทย์ชายและหญิงผู้ช่วยได้มาทำการฉีดวัคซีนให้พวกสก็อต ซึ่งก็วุ่นวายอยู่บ้าง บางตัวก็ยอมนอนหมอบให้ฉีดแต่โดยดี บางตัวก็ดื้อคอยเห่าด้วยเสียงเล็กแหลม พอจัดการฉีดให้เสร็จทุกตัวก็ลงไปนอนครางหงิงกันถ้วนหน้าเป็นที่น่าสงสาร
“เรียบร้อยแล้วครับ จากนี้ก็ขอให้งดอาบน้ำพวกตัวเล็กสักเจ็ดวัน แล้วก็ช่วงนี้อาจจะมีไข้อ่อนๆ กินอาหารน้อยลง หรือเจ็บปวดบริเวณที่โดนฉีด ขอให้เจ้าของคอยหมั่นสังเกตและดูแลอย่างใกล้ชิดนะครับ ถ้ามีอะไรผิดปกติล่ะก็ให้รีบพาไปที่คลีนิคทันทีเพราะอาจจะเกิดจากการแพ้วัคซีนก็ได้”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ลาซารัสรู้สึกเป็นห่วงพวกตัวเล็กขึ้นมากลัวว่าจะเป็นอะไรไป
“ก็มีบ้างแหละครับโดยเฉพาะพวกสัตว์เลี้ยงที่ซื้อมาจากร้านขายสัตว์ ถ้าโชคร้ายไปเจอร้านของคนขายมักง่ายเอาลูกสัตว์ตัวเล็กๆมาปล่อยขายทั้งๆที่ยังไม่ทันหย่านมจากแม่เลยก็จะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ แต่คิดว่าเจ้าตัวเล็กพวกนี้คงไม่เป็นอะไร แต่ก็อย่าประมาทแล้วกันครับ ถ้ามีอะไรก็โทรมาปรึกษาที่คลีนิคเราได้ตลอดเวลา”
หลังจากคุยและให้คำแนะนำที่จำเป็นสำหรับพวกสก็อตและเพื่อนๆไปอีกพักใหญ่ สัตวแพทย์หนุ่มกับผู้ช่วยก็ขอให้ลาซารัสพาไปดูจูเลียตที่อยู่ในกรงขัง โดยมีคาเล็มและริชาร์ดตามไปช่วยดูด้วย และให้เรนเดลคอยเฝ้าดูอาการของเจ้าพวกตัวเล็กไป
สัตว์แพทย์หนุ่มถึงกับร้องว้าวและหัวเราะชอบใจที่ได้เห็นเจ้าสี่ขาขนฟูตัวใหญ่ แถมยังเดินวนไปรอบๆกรงขังอย่างไม่เกรงกลัวเสียงเห่านั้นเลยแม้แต่น้อย ลาซารัสอดหวาดเสียวไม่ได้ว่าถ้าประตูเกิดหลุดขึ้นมามีหวังสัตวแพทย์คนนั้นคงโดนจูเลียตขย้ำเป็นแน่
“ดูจากสภาพแล้วคงไม่จำเป็นต้องฉีดอะไร แต่ผมจะให้ยากำจัดเชื้อราไว้ทาแทนนะครับ” หมอยื่นยาให้ลาซารัสแล้วอธิบายวิธีใช้ให้อย่างละเอียด จนสองอัลฟ่ารู้สึกแหม่งๆแยกตัวออกมากระซิบกันสองคน
“ไอ้หมอคนนั้นมันคุยแต่กับลาซัสตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ..” ริชาร์ดมองสัตวแพทย์ตาขวาง
“เห็นว่าดูสนิทกับพวกขนฟูสุดล่ะมั้ง แต่ก็ไม่ชอบใจอยู่ดี” รังสีที่แผ่ออกมาอย่างไม่เป็นมิตรของทั้งสองคนทำเอาคุณหมอเบต้าเสียวสันหลังวูบวาบแต่ก็ยังไม่รู้ตัวว่าบรรยากาศเย็นยะเยือกนี่มาจากไหน
สัตวแพทย์และผู้ช่วยขอตัวกลับหลังจากหมดธุระ โดยมีริชาร์ดกับคาเล็มเดินออกไปส่งเพียงสองคน เพราะลาซารัสโดนบอกให้อยู่ดูแลเจ้าตัวเล็กที่นอนซึมกันอยู่ที่ห้องทำงานชั่วคราวของโอเมก้าหนุ่ม
“นอนนิ่งกันหมดเลย ปกติออกจะดื้อแท้ๆ” ร่างโปร่งอุ้มตัวน้อยให้ไปนอนที่มุมห้องที่เขากั้นรั้วขึ้นมาสำหรับแยกพวกมันไว้ตอนเขาทำงาน
“เอาไว้ในนี้คุณแมทเวย์จะมีสมาธิทำงานเหรอครับ” เรนเดลช่วยอุ้มตัวเล็กๆบางตัวไปวางในรั้วพอไหวก็ช่วยผ่อนแรงคนเพิ่งเจอเรื่องร้ายๆได้บ้าง
“ไหวครับ พอเห็นพวกมันอยู่ข้างๆแล้วก็ชื่นใจน่ะครับ พักนี้ก็เอาไปนอนด้วยเพราะพวกมันเริ่มไม่ค่อยเห่าตอนกลางคืนแล้ว”
“ระวังเป็นภูมิแพ้เอาสักวันนะครับ”
“จะระวังครับ ฮะๆ….เอ๋?” ลาซารัสรู้สึกแปลกๆเหมือนอุณหภูมิร่างกายมันสูงขึ้นเล็กน้อย เพราะทำงานหนักไปหรือ? ก็ไม่นี่ นอกจากวิ่งจับพวกตัวเล็กแล้วเขาแทบไม่ได้ทำงานบ้านช่วยคุณพ่อบ้านเลยแท้ๆ
“งั้นเดี๋ยวผมจะไปทำอาหารว่างให้นะครับ...คุณแมทเวย์?” เรนเดลที่กำลังจะเดินออกจากห้องไปหันมาเห็นว่าร่างโปร่งหอบหายใจผิดปกติ พอเห็นลาซารัสทรุดลงต่อหน้าจึงรีบวิ่งเข้ามาหา “คุณแมทเวย์!?”
โอเมก้าหนุ่มหน้าแดงจัดและใจเต้นระรัว ช่วงล่างตนร้อนวูบวาบอย่างคุ้นเคยทำให้ลาซารัสยกมือขึ้นห้ามไม่ให้เรนเดลเข้าพยุง “ไม่เป็นไรครับ..”
อาการฮีทที่จู่ๆก็พุ่งขึ้นกะทันหันทำให้ร่างโปร่งเพิ่งระลึกได้ว่าตัวเขาเข้าช่วงฮีทของปีแล้วนี่หว่า…
“รอเดี๋ยวนะครับ กระผมจะไปตามคนมาช่วย!” พ่อบ้านผละออกจากร่างโปร่งเพื่อไปตามอัลฟ่าทั้งสองคนมาช่วย ลาซารัสรีบหยิบขวดยาในเสื้อเอามากินสองเม็ดหวังจะให้มันช่วยระงับอาการฮีทลงได้บ้าง
ริชาร์ดที่เข้ามาในบ้านก่อนได้กลิ่นฟีโรโมนจากตัวลาซารัสแม้ว่าตนจะยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้านซึ่งอยู่ห่างจากตัวโอเมก้าหนุ่มมากแต่ก็รับรู้กลิ่นได้ทันที เขารีบถอยหลังแล้ววิ่งออกไปบอกคาเล็มด้วยสภาพที่ไม่สู้ดีนัก
“ลาซัสแย่แล้ว…นายรีบไปดูเร็ว” เพราะต้องพยายามอดกลั้นต่อการถูกกลิ่นกระตุ้นอย่างรุนแรง ตอนนี้ริชาร์ดเลยแทบไม่มีสติจะพูดอธิบาย ขนาดว่าเขากินยาเพื่อเซฟตัวเองไว้แล้วแต่ฟีโรโมนโอเมก้าของลาซารัสมันดันมีผลกับตัวเขาเองมากกว่าที่คิด
คาเล็มพอจะเดาจากสภาพของเพื่อนรักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และปล่อยริชาร์ดไว้ตรงนั้นแล้วพยายามเดินกลับเข้าบ้านให้เร็วที่สุด เขาบีบจมูกตัวเองแล้วใช้วิธีหายใจทางปากเพื่อลดโอกาสการรับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าเข้ามาโดยตรง แต่มันก็ยังมีโอกาสส่งผลต่อร่างกายของอัลฟ่าอยู่ดี ดวงตาหลังแว่นมองหาร่างโปร่งที่นอนทรุดอยู่ที่พื้นห้องทำงานด้วยความทรมาน
“ลาซารัส!” คาเล็มรีบเข้าไปดูใกล้ๆ อาการแบบนี้แสดงว่าเข้าช่วงฮีทของปีแล้วแน่ๆ เขาพยุงร่างโปร่งโดยข่มความเจ็บปวดที่ขาไว้อย่างสุดความสามารถ
“คุณหมอ…” ลาซารัสเงยหน้าขึ้นมองคาเล็ม ใบหน้าแดงซ่านและเหงื่อออกมากราวกับไปออกกำลังกายมาอย่างหนัก ยาต้านอาการฮีทที่กินไปนั้นออกฤทธิ์แล้วแต่เขาก็ยังคงมีความต้องการอยู่แถมยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆด้วย “ผม...ขอโทษ”
ลาซารัสดึงตัวคาเล็มลงมาทาบทับกับตัวเองจนแนบชิดและสวมกอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ร่างสูงพยายามเอามือยันพื้นเอาไว้สุดแรงที่มี “ลาซารัส ปล่อย!”
“ผม…” ขอบตารื้นด้วยน้ำตาแห่งความทรมาน เขาแทบจะทนความต้องการที่พุ่งพล่านราวกับภูเขาไฟที่กำลังปะทุใกล้ระเบิดนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“อดทนไว้ ฉันจะช่วยนายเอง!” แม้จะพูดเช่นนั้นแต่คาเล็มเองก็จวนเจียนทนต่อไปจะไม่ไหวเช่นกัน เมื่อครู่เขาเองก็เผลอสูดกลิ่นฟีโรโมนของลาซารัสเข้าไปและมันก็กระตุ้นให้สัญชาตญาณดิบจนตื่นตัวเต็มที่
“ช่วยผมที” แขนทั้งสองโอบท้ายทอยกว้างให้ใบหน้าคมโน้มลงมาและตัวเขาก็ยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้จนริมฝีปากทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซนฯ “ช่วย...ปลดปล่อยผมที คุณคาเล็ม”
TBC.*****************************************************************************************
ไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก... โชคดีนะคะหมอ //ยิ้มชั่ว