Chapter 12
“นี่คุณล้อผมเล่นใช่ไหมเนี่ย” ดุริยะมองพานบายศรีสู่ขวัญชุดใหญ่ซึ่งวางอยู่ตรงหน้า จะว่าเป็นมุกคนที่นำมันมาให้ถึงห้องบนคอนโดก็ดูจริงจังเกินกว่าจะทำแบบนั้น
“ก็ผมไม่รู้นี่นาว่าต้องซื้ออะไรมา ให้ช่อดอกไม้หรือเงินก็กลัวว่าคุณจะเข้าใจเจตนาผมผิดอีก” ปรเมษฐ์ตอบเสียงเครียดพลางหันไปหาลูกชายแล้วพยักหน้าครั้งหนึ่ง
นภธรณ์ยกมือขึ้นไหว้ “ขอโทษแล้วก็ขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อวานนะครับ” เขาพูดจากใจ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเขินเกินกว่าจะมองหน้าดุริยะตรงๆ ได้ สมองมันพาลจะคิดจินตนาการต่อเรื่องหลังบานประตูนั่น ทางโน้นก็ขึ้นชื่อว่าเป็นตาแก่ตัณหากลับกินไม่เลือก ในขณะที่ทางนี้ก็เสือตัวพ่อ
ดุริยะหัวเราะชอบใจในขณะที่เห็นแก้มของเด็กหนุ่มแดงระเรื่อขึ้นไปจนถึงหู ถึงปากจะบอกว่าตัวเองโตตามเกมผู้ใหญ่ทัน แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ประสาอะไรสักอย่าง “ขนมาซะขนาดนี้แล้วไม่เตรียมสายสิญจน์มาผูกข้อไม้ข้อมือเรียกขวัญซะด้วยเลยล่ะ” เขาแกล้งแซ็ว
“ผมลืมเรื่องนั้นไปเลย” ปรเมษฐ์ว่า “แต่ผมมีน้ำมนต์ของหลวงพ่อจากคำชะโนดนะ อันนี้น่าจะดีกว่าคุณจะได้เอาไว้ใช้ผสมน้ำอาบล้างความซวยตั้งแต่หัวจรดเท้า”
นภธรณ์พยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับกุลีกุจอหยิบขวดน้ำมนต์ในกระเป๋าออกมาส่งให้
ดุริยะยิ่งหัวเราะหนักกว่าเดิม “พอเลยพวกคุณ ทั้งพ่อทั้งลูกจะแกล้งให้ผมขำตายใช่ไหม... เอาเป็นว่าผมรับหมด ทั้งคำขอโทษและขอบคุณ แต่พานนี่กับน้ำมนต์ไม่เอานะแค่นี้ห้องผมก็รกจะแย่แล้ว คุณเอามันกลับไปด้วย แล้วผมขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน”
“คุณอยากได้อะ...” ปรเมษฐ์ยังถามไม่ทันจบดี ดุริยะกรีดยิ้มกว้างก่อนจะกางแขนออกแล้วดึงตัวลูกชายเขาเข้าไปกอด
“พี่ยะ!” นภธรณ์ร้องโวยวายพร้อมกับขืนตัวออกห่างด้วยความตกใจเมื่ออีกฝ่ายกดจูบหนักๆ ลงมาจนแก้มบุ๋ม
ได้หอมฟอดใหญ่ข้างขวามาครั้งหนึ่งกำลังจะอ้อมไปข้างซ้าย หูก็แว่วได้ยินเสียงกระแอมไอในลำคอเบาๆ ของคนเป็นพ่อ ดุริยะจึงยอมปล่อยตัวเด็กหนุ่มแต่โดยดีแม้จะแสนเสียดาย และไม่วายแอบหยอดไปเบาๆ “แหม~ แก้มเด็กนุ่มๆ นี่มันชื่นใจกว่าหนังตึงๆ เสริมโบท็อกซ์จริงๆ ด้วย”
นภธรณ์ถอยไปยืนแอบข้างป๊าพร้อมกับยกมือขึ้นถูแก้มไปด้วย อันที่จริงเขาจะไม่เขินขนาดนี้เลยถ้าไม่ใช่เพราะป๊ามองอยู่ ถ้าหากป๊าเกิดเข้าใจผิดว่าเขาชอบพี่ยะขึ้นมาจะทำไง ไม่ว่ายังไงเขาก็รักป๊าของเขาคนเดียวนะ
ดุริยะอมยิ้มกรุ้มกริ่มมองเด็กหนุ่มที่ถึงจะก้มหน้าซ่อนพวงแก้มที่แดงไปจนถึงหู แต่สายตากลับแอบมองไปยังคนที่ยืนอยู่ด้วยกันตลอดเวลา เขาตวัดสายตาขึ้นสบตาปรเมษฐ์ที่จ้องเขม็งมาที่เขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าหนู เพลงเวอร์ชั่นเปียโนที่เราเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันเมื่อคืนน่ะ ฉันขอเทปบันทึกเขาเอามาลงคอมแล้วตัดเสียงรบกวนออกให้หมดแล้วเธออยากลองฟังดูไหม ไม่ใช่ไม่เลว แต่ฉันว่ามันเยี่ยมเลยล่ะ เอาลงยูทูปเผลอๆ ยอดวิวจะพุ่งแซงเวอร์ชั่นปกติอีก”
“อยู่ที่ไหนครับ” นภธรณ์ถามอย่างกระตือรือร้น
“ในห้องซ้อมน่ะ เปิดไว้หน้าคอมอยู่แล้ว” โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่บอกพร้อมกับชี้มือเป็นเชิงอนุญาต
นภธรณ์จึงเปิดประตูห้องซ้อมเข้าไปอย่างคุ้นเคย
ดุริยะเดินตามไปดูให้แน่ใจว่าเด็กหนุ่มใส่หูฟังเปิดเพลงเรียบร้อยก่อนจะดึงประตูปิดให้สนิทและหันมาสบตาปรเมษฐ์บอกเป็นนัยว่าทางสะดวกแล้ว พร้อมกับคว้าซองบุหรี่ขึ้นจะสูบด้วยความเคยชิน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบจึงทำท่าจะยัดลงกระเป๋า
ปรเมษฐ์เห็นจึงรีบบอก “ตามสบายเลยครับ ที่นี่บ้านคุณ แล้วดูท่าหลังจากนี้คุณมีเรื่องให้ต้องเครียดอีกเยอะ”
“นอกจากบายศรีกับน้ำมนต์แล้วผมยังมีเรื่องอะไรต้องเครียดอีกเหรอ” ดุริยะถาม
“ผมไปเช็กประวัติผู้ชายคนนั้นมาแล้ว” ปรเมษฐ์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แล้วยังไง”
“คือ... ผมรู้ว่าคุณค่อนข้างมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก ถ้าคุณคิดว่าไม่สบายตรงไหนอะไรยังไง ตัวผมเองก็เป็นหมอสูติฯ นะ ถึงปกติจะตรวจแต่ผู้หญิงแต่ของผู้ชายผมก็พอมีความรู้อยู่บ้าง หรือถ้าคุณเขินผม ผมแนะนำผู้เชี่ยวชาญให้ได้นะ รวมทั้งเรื่องตรวจเลือดหาเชื้ออะไรพวกนี้ด้วย”
“คุณโป้!” ดุริยะเรียกเสียงดัง “นี่คุณคิดว่าผมไปทำอะไรมาเนี่ย!!”
“ก็...” ปรเมษฐ์เม้มปากพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นทำนองว่าเป็นเรื่องที่รู้ๆ กัน “ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่ใช่เว้ย!” ดุริยะโบกมือไปมาพร้อมกับจุดบุหรี่ตัวใหม่ ปรเมษฐ์พูดถูกเขามีเรื่องต้องเครียดจริงๆ... เรื่องที่สองพ่อลูกนี่คิดอะไรไปไกลนี่แหละ
“ก็เห็นคุณเชิญพวกผมเข้าห้องมาแล้วไม่ยอมนั่งสักทีผมก็คิดว่าเมื่อคืนคุณคงจะจัดกันหนักไปหน่อย”
“ผมจะนั่งตรงไหนล่ะในเมื่อไอ้พานอะไรของคุณเนี่ยมันวางขวางเต็มห้องแบบนี้” ดุริยะรีบแทรก
“ถ้าไม่ใช่แล้วตกลงเมื่อคืน...”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงทำอย่างที่คุณว่าแหละ แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเรามันผ่านจุดนั้นมาแล้ว เมื่อคืนเลยนั่งกินเหล้ารำลึกความหลังกันเฉยๆ ” ดุริยะรีบเฉลยความจริง
“ว้า~” ปรเมษฐ์ถอนหายใจเสียงดัง “แล้วใครกันนะที่ทำเป็นเก๊กพูดซะดิบดีว่า... ‘งานสกปรกแบบนี้มันไม่เหมาะกับพระเอกอย่างคุณหรอก ไว้เป็นหน้าที่ของผู้ร้ายอย่างผมดีกว่า’”
“นี่ตกลงเราจะเข้าเรื่องได้หรือยัง”
“แค่ไม่อยากให้คุณเครียด” ปรเมษฐ์กล่าว
“งั้นคุณก็มาถูกทางแล้วล่ะ นี่ผมขำท้องจะแตกแล้ว ฮะ ฮะ” ดุริยะทำเป็นขำแห้งๆ ประชด
“ผมอยากคุยเรื่องวา”
“เรื่องที่เธอจะกลับมาเมื่อไหร่น่ะเหรอ” ดุริยะทวนความเข้าใจ “ขอโทษนะ ถ้าเป็นเรื่องนั้นผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“แล้วคุณจะไม่เป็นไรใช่ไหม” ปรเมษฐ์เอ่ย
“ทำไมผมต้องเป็นอะไรด้วยล่ะ” ดุริยะถามกลับ
“ก็เพราะพวกคุณสองคนเคยคบกันมาก่อนไม่ใช่เหรอครับ” ปรเมษฐ์บอก “คุณเป็นรักครั้งแรกที่เธอไม่เคยลืมและดูท่าทางคุณก็ยังไม่ลืมเธอเสียด้วย”
โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่หันมองปรเมษฐ์เต็มตา ไม่ได้ตกใจที่โดนรู้ความจริงแต่ที่เขาตกใจเพราะคนตรงหน้ายังดูสงบและเยือกเย็นยิ่งกว่าเขาเสียอีก
OOOOOO
หลังจากฟังเพลงจบนภธรณ์ก็ถอดหูฟังออก ใบหน้าร้อนผ่านตอนนี้เพลงนี้ไม่ใช่เพลงธรรมดาหากมันเป็นการร้องตะโกนสารภาพรักต่อหน้าคนทั้งประเทศของเขา
เพราะยังไม่อยากออกไปเผชิญหน้ากับดุริยะบวกกับความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงทำเป็นโอ้เอ้นั่งมองอะไรไปรอบๆ แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับเปียโนที่เคยวางอยู่ตรงมุมห้อง ซึ่งวันนี้มันไม่ได้ถูกผ้าคลุมไว้เหมือนอย่างเคย
เด็กหนุ่มลุกเดินไปดูใกล้ๆ บนหลังเปียโนมีสมุดวางอยู่เล่มหนึ่ง เขาแอบแง้มปกเปิดออกดูเล็กน้อย มันเป็นสมุดที่ดุริยะใช้แต่งเพลง มีหลายเพลงที่แต่งจบแล้วและถูกนำมาขับร้องโดยนักร้องหลายๆ คน และก็มีอีกหลายเพลงที่ยังแต่งไม่จบ
เขาพลิกมาหยุดที่หน้าหนึ่ง ชื่อเพลง ‘My melody’ ไม่ได้ดึงดูดอะไร แต่เป็นรูปถ่ายใบหนึ่งที่คั่นอยู่ในหน้านั้น
ดุริยะในวัยหนุ่มนั่งเล่นเปียโนซึ่งลักษณะเฉพาะของแบรนด์เครื่องดนตรีทำให้เขารู้ว่ามันเป็นหลังเดียวกันกับที่ตั้งอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ และสิ่งที่สะดุดตาคือหญิงสาวที่ยืนร้องเพลงอยู่ด้านข้าง แม้จะเห็นหน้าเธอไม่ชัดเพราะตากล้องตั้งใจจับภาพคนเล่นเปียโน แต่เขาจำได้ทันที ใบหน้านั้นถึงจะเบลอจากแสงไฟ แต่ไม่ผิดแน่... นี่คือภาพจากงานเดียวกันกับที่พ่อของเขาพกไว้ในกระเป๋าสตางค์ตลอดมา และผู้หญิงคนนี้คือแม่ของเขาเอง
“พี่ยะรู้จักกับแม่ด้วยเหรอ”
เด็กหนุ่มเหลียวมองรอบตัวอย่างสับสน จะออกไปถามตรงๆ ก็จะความแตกว่าเขาแอบดู แต่จะให้ทนซ่อนความสงสัยนี้ไว้ต่อไปได้อึดอัดตายแน่ๆ
...แต่ว่า... มันก็แค่ถามนี่นาว่ารู้จักแม่ของเขาไหม พี่ยะไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องปิดบังหรือโกหกนี่นาว่าไม่รู้จัก... นอกเสียจากว่า... มันจะมี ‘ความลับ’ อะไรที่ทำให้บอกความจริงเขาไม่ได้
นภธรณ์ถือสมุดแน่น ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะถาม ถ้าหากโอกาสจะมีแค่สักหนึ่งในล้านว่าป๊าจะไม่ใช่พ่อของเขาจริงๆ อย่างที่เคยคิดฝัน มันก็มีพล็อตละครหลังข่าวแบบนี้แหละที่พอจะทำให้ฝันเป็นจริงมากที่สุด และเขาต้องการจะรู้ความจริงนั่น
เขาเปิดประตูพรวดออกมา “พี่ยะครับผมมีเรื่องอยากถาม” เด็กหนุ่มโพล่งออกไปกลางวง
คนอายุมากกว่าสองคนที่ยืนหน้าเครียดคุยกันอยู่ออกตกใจไม่น้อยและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“มีอะไรเหรอ” ดุริยะถาม
“พี่ยะรู้จักแม่ผมด้วยเหรอครับ” นภธรณ์ยื่นสมุดจดเพลงกับรูปถ่ายไปตรงหน้า
โปรดิวเซอร์หนุ่มเหลือบตามองปรเมษฐ์เล็กน้อยก่อนจะถามกลับ “ทำไมเธอถึงถามแบบนั้น”
“คุณแพรวชมพูบอกว่าแม่เป็นนักร้องที่กำลังจะมีชื่อเสียง” นภธรณ์ค่อยๆ เล่า “แล้วผมก็เพิ่งเจอรูปนี่ในห้องพี่ยะ ผู้หญิงคนนี้คือแม่ผมแน่ๆ ถ้าได้ทำงานร่วมกันพี่ยะต้องจำได้สิ... ถ้าอย่างนั้น... การที่แม่ท้อง...”
“เธอกำลังจะบอกว่าฉันเป็นพ่อเธอเหรอ” จู่ๆ ดุริยะก็โพล่งออกไป
เด็กหนุ่มชะงักกึก “เดี๋ยวก่อน เปล่านะ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น”
“แล้วคิดอะไร” ดุริยะว่า “ก็เธอจะบอกว่าแม่เธอท้องตอนทำเพลง แล้วฉันก็เป็นคนทำเพลงนั้นเอง... ฉันคนนี้ที่ขึ้นชื่อว่านอนกับนักร้องเกือบทุกคนที่ทำเพลงให้... มันจะแปลเป็นอะไรได้อีกล่ะ ถ้าเธอไม่คิดว่าฉันทำแม่เธอท้อง”
“ผมแค่สงสัยว่าพี่ยะน่าจะรู้จักแม่ต่างหาก...” นภธรณ์อึกอักพลางเหลือบมองผู้เป็นพ่อ เห็นแววตาที่เคยนิ่งสงบสั่นไหวแปลกๆ เขารักป๊า ถึงจะไม่ใช่รักในแบบที่ควรจะรัก แต่เขาก็ทำลายความรักที่ป๊าให้เขามาไม่ได้ “แบบว่า... เผื่อพี่ยะจะรู้ว่าแม่ไปไหน คือเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอะไรแบบนี้”
“เสียดายจัง นึกว่าอยากเป็น” ดุริยะแสร้งถอนหายใจ “แต่ถ้าขืนเป็นจริงๆ ก็ทำอะไรๆ ไม่ได้สินะ”
“แล้วตกลงรู้จักไหมครับ” นภธรณ์ถามซ้ำ
“รู้จัก” ดุริยะยอมรับ “แต่ว่าแต่งเพลงให้เสร็จก็แยกย้าย และฉันเองก็ไม่ได้ข่าวแม่เธอมานานพอๆ กับเธอและพ่อนั่นแหละ”
“เหรอครับ” นภธรณ์รับคำ
“จนกระทั่งไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้” ดุริยะพูดต่อ “เราบังเอิญเจอกัน ได้นั่งคุยกันสั้นๆ แต่นั่นก็นานพอจะทำให้ฉันรู้ว่าเธอเป็นลูกเขา และนี่เป็นสาเหตุที่ฉันอยากทำเพลงให้เธอ ฉันเพิ่งคุยเรื่องนี้กับพ่อเธอเมื่อกี้นี้เอง”
“ครับ”
“นิสัยไม่ดีแอบดูของคนอื่น” ดุริยะเดินเข้าไปดีดหน้าผากเด็กหนุ่มเป็นการลงโทษ แต่เขาไม่ได้ดึงสมุดจดเพลงคืนมาและเปิดกลับไปที่หน้าซึ่งรูปถ่ายใบนั้นเคยถูกสอดไว้ “เพลงนี้ฉันแต่งให้แม่เธอ แต่เธอไม่เคยได้ร้องมัน”
“ก็พอจะเดาได้ว่าเพราะอะไร...” นภธรณ์ไหวไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ก็แม่พลาด...”
“มันไม่ใช่ความผิดพลาด” ดุริยะพูดแทรกเสียงดัง “ฉันเข้าใจนะที่เธอจะไม่ชอบหรือรักแม่น้อยไปหน่อยเพราะเขาทิ้งเธอไป ฉันไม่กล้าพูดด้วยว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แต่เท่าที่ฉันสัมผัสได้อย่างน้อยก็ตอนที่เธอเกิด มันคือ ‘ความรัก’ ไม่ใช่ ‘ความผิดพลาด’... เอ่อ หรือถ้าเธอถ้าเธอไม่เชื่อก็ลองถามพ่อเธอดูสิ”
เด็กหนุ่มหันไปมองพ่อ “แล้วทำไมพี่ยะต้องมาพูดแทนแม่ด้วยละครับ”
“ก็...” ดุริยะอึกอักไปเล็กน้อย “ฉันไม่ได้พูดแทนแม่เธอหรอก ฉันพูดในฐานะ... ฉันนี่แหละ ที่เห็นอะไรก็พูดแบบนั้น”
“ครับ” นภธรณ์รับคำทั้งที่ยังติดใจสงสัยว่าในคำบอกเล่าของดุริยะนั้นยังมีสิ่งอื่นแอบซ่อนอยู่อีก... เขารู้ว่าพี่ยะไม่ได้โกหกก็แค่พูดความจริงไม่หมด แล้วทำไมเขาจึงไม่พูดล่ะ เพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่อย่างที่ป๊าชอบพูดอย่างนั้นเหรอ... ไหนจะท่าทีของทั้งสองคนตอนเขาเดินออกมาอีกแล้วตกลงเรื่องนั้นมันคือเรื่องอะไรกันล่ะ
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะ เจ้าของบ้านออกแปลกใจไม่น้อยที่วันนี้มีแขกไม่ได้รับเชิญมากันเยอะแยะไปหมด เขาเดินไปเปิดประตู
ผู้ที่เพิ่งมาถึงแต่งกายด้วยสูทหรูผูกเนกไทด์สีดำสนิท กะอายุด้วยสายตาคงคิดว่าเพิ่งเข้าวัยกลางคน แต่อายุจริงนั้นเกือบถึงวัยเกษียณแล้ว
ชายคนนั้นค้อมศีรษะให้นภธรณ์ครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างเป็นทางการ “สวัสดีครับคุณดุริยะ ผมสุรชัย หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลบารมีไพศาลวานิช ขอโทษที่มารบกวนโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้านะครับ”
“พี่ชัยมาทำอะไรที่นี่ครับ” นภธรณ์ร้องเสียงดังอย่างลืมตัวและรีบเดินเข้าไปหา
“สุรชัยเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่ปู่ส่งมาคอยดูแลนอฟในวันที่ผมไม่ว่างน่ะ” ปรเมษฐ์บอก “แต่ช่วง 4-5 ปีหลังนี่ไม่ค่อยได้มาแล้วเพราะนอฟโตพอจะอยู่คนเดียวได้แล้ว”
ได้ยินดังนั้นดุริยะจึงดึงประตูเปิดกว้างขึ้นเชิญให้เข้ามาแม้จะยังงงๆ ว่ามาทำอะไรที่บ้านตน
หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลบารมีไพศาลวานิชค้อมศีรษะขอบคุณและรีบกล่าวธุระของตน “คุณท่านให้ผมมาส่งบัตรเชิญให้คุณหนูครับ” บอกพร้อมกับหยิบซองสีแดงขึ้นมาส่งให้
“บัตรเชิญ?” นภธรณ์รับมางงๆ โดยยังไม่ได้เปิดดู “ไปร้องเพลงเหรอ? พี่ชัยต้องไปบอกพี่ตฤณนะ ผมไม่มีสิทธิ์รับงานเอง มันเป็นกฏของบริษัทน่ะ”
“ไม่ใช่ครับคุณหนู” สุรชัยรีบบอก “บัตรเชิญไปงานวันคล้ายวันเกิดปีที่70 ของคุณท่านครับ”
“วันเกิดปู่เหรอ” นภธรณ์ร้องขึ้นอย่างตื่นเต้นพร้อมกับหันไปหาพ่อของตน “ผมไปได้ไหมครับ”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณปรเมษฐ์ครับ” สุรชัยตัดบท “เพราะอีกนัยหนึ่งนี่คืองานประกาศตัวทายาทผู้รับมรดกและประธานบริษัทรุ่นต่อไป คุณปรเมษฐ์ซึ่งโดนตัดออกจากมรดกแล้วไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานนี้ แต่คุณหนูซึ่งเป็นหลานยังมีสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นทุกประการครับ”
“ทรัพย์สินที่ว่านั้นมันแค่ไหนกันเหรอ” ดุริยะถามอย่างสนอกสนใจ
“ไม่นับคุณนาย ผู้มีสิทธิ์ในมรดกนั้นได้แก่น้องชายคุณท่าน คุณปรกฤษฎ์ซึ่งเป็นลูกชายคนโต คุณหนูเล็กลูกสาวคุณปรกฤษฎ์ และคุณหนู ถ้าหารแบ่งเท่าๆ กันเฉพาะเงินสดก็คนละไม่เท่าไหร่หรอกครับ”
“ไม่เท่าไหร่นี่มันเท่าไหร่ล่ะ” ดุริยะถามต่อ “ล้านนึงหรือสองล้าน?”
“สิบล้านครับ” สุรชัยพูดต่อ “แต่นั่นยังไม่รวมเครื่องเพชรและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีกนะครับ”
โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่เหลือบตามองคน ‘โดนตัดออกจากกองมรดก’ ที่ยืนทำหน้าเครียดอยู่ข้างๆ
“ป๊าครับ” นภธรณ์เหลือบตามองขออนุญาตอีกครั้ง เขาไม่ได้สนใจมรดกอะไรนั่นแต่เขาอยากเจอปู่
“นอฟจะไปก็ต่อเมื่อมีฉันไปด้วย” ปรเมษฐ์ยื่นคำขาด
“คุณท่านคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้” สุรชัยว่า “ตกลงตามนั้นครับ เพราะคุณหนูเองก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ในฐานะผู้ปกครองคุณมีสิทธิ์นั้น แต่ขอได้โปรดจำไว้นะครับว่าคุณจะไปในฐานะผู้ติดตามเท่านั้น และนั่นเป็นไปตามข้อตกลงที่คุณให้ไว้กับคุณท่านเอง”
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว” ปรเมษฐ์รับคำเสียงเข้ม
“ผมเพียงแต่กำชับตามคำสั่งของคุณท่านครับ” สุรชัยกล่าวพร้อมกับค้อมศีรษะก่อนจะหันไปหาเจ้าของบ้าน “ขอโทษคุณดุริยะด้วยนะครับที่มารบกวน พอดีผมมีธุระกับคุณด้วยจึงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะรวบงานทั้งหมดไว้ในครั้งเดียว”
“ผม?” ดุริยะเลิกคิ้ว
สุรชัยหยิบซองสีขาวออกมาส่งให้ “คุณชาญณรงค์กับคุณท่านเป็นคู่ค้าที่ทำธุรกิจร่วมกันมายาวนาน นี่แทนคำขอบคุณที่ช่วยแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดเมื่อคืนครับ”
ดุริยะเปิดแง้มปากซองออกดูตัวเลขบนเช็คเงินสดที่มีเลขศูนย์เยอะจนตาเริ่มลาย “จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ถ้าผมไม่รับก็จะเสียน้ำใจสินะ ฝากขอบคุณท่านของคุณด้วยนะครับ” พูดจบก็ยัดซองเก็บใส่กระเป๋า
สุรชัยพยักหน้ารับ “ขอลานะครับ”
“ไว้เจอกันนะครับพี่ชัย” นภธรณ์ร้องบอกพร้อมกับโบกมือให้
สุรชัยพยักหน้ารับ “ครับคุณหนู”
“เอ่อ... ป๊าครับ ผมขอลงไปส่งพี่ชัยที่รถนะครับ” นภธรณ์ขออนุญาต แต่ยังไม่ทันที่ผู้เป็นพ่อจะตอบเขาก็วิ่งฉิวออกประตูไปแล้ว
ปรเมษฐ์ขยับจะเรียกแต่ก็ไม่ทันเจ้าตัวดีที่วิ่งหายเข้าไปในลิฟต์แล้วจึงได้แต่ถอนหายใจ
เมื่อเหลือกันอยู่แค่สองคนอีกครั้งดุริยะจึงพูดขึ้น “เล่าความจริงให้ผมฟังได้ไหม”
“อะไรครับ”
“คุณบอกว่ายินดีถ้าวาจะกลับมา แต่เท่าที่ผมสังเกตดูคุณจะไม่ได้อยากให้เธอกลับมาในความหมายของครอบครัวสักเท่าไหร่... มันเกี่ยวกับเรื่องมรดกอะไรนั่นไหม เพราะเท่าที่ตามข่าวบันเทิงธุรกิจมาภรรยาของพี่ชายคุณร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงและอายุมากแล้วคงมีลูกอีกคนไม่ได้ และถึงจะมีก็คงไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้ผู้ชาย สำหรับตระกูลคนจีนเก่าแก่แล้วคนที่มีสิทธิ์รับตำแหน่งประธานคงมีแค่เจ้าหนูนั่นคนเดียวสินะ”
ปรเมษฐ์หันไปสบตา “ผมไม่ได้ต้องการเงิน” เขาสรุปความความคิดให้ฟัง “แค่อยากทำให้อะไรๆ มันชัดเจนไปก็เท่านั้น จะได้ไม่ต้องมีใครมาตั้งคำถามอีกว่านอฟเป็นลูกผมจริงไหม”
“แล้วตกลงคุณต้องการอะไรจากเธอ”
“ทะเบียนสมรส”
“แค่นั้นเองเหรอ”ดุริยะถามย้ำ “คุณไม่ได้ยังรักเธออยู่หรอกเหรอ”
“ถามว่ารักไหมก็รักครับ” ปรเมษฐ์ตอบ “แต่ความรู้สึกนั้นมันไม่สำคัญอีกแล้วนับตั้งแต่วันที่เธอเดินจากไป ตอนนี้สิ่งเดียวที่ผมต้องการจะทำคือปกป้องคนที่รักผม”
(ต่อข้างล่างค่ะ)