ตอนที่20
ถูกคณะของอู่เหว่ยกั๊วะนำพามาสู่ทุ่งหญ้าซึ่งห่างออกไปไม่ไกลจากเมืองเหวยกัง เมื่อมาถึงพวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างดี เสวี่ยหมิงและเสี่ยวหลงเข้าพักที่กระโจมใหญ่โตซึ่งจัดเตรียมไว้ให้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง
“เพราะอะไรเจ้าถึงสนับสนุนให้ข้ายอมรับว่าเป็นคนรักกับเม่ยเหนียงเล่าเสี่ยวหลง” ทันทีที่ได้อยู่ตามลำพังเสวี่ยหมิงก็ถามในสิ่งที่คับข้องใจมาตลอด
“เพราะข้าคิดว่ายังไงพี่ใหญ่ก็จะไม่แต่งงานกับเม่ยเหนียงน่ะสิ”
“เพราะอะไรเจ้าจึงเชื่อเช่นนั้น” เสวี่ยหมิงรอฟังคำตอบอย่างสนอกสนใจ
“เพราะว่าข้ารู้ว่าในใจของพี่ใหญ่มีข้าแล้วอย่างไรเล่า”
เสี่ยวหลงยิ้มกว้างทั้งยักคิ้วหลิ่วตา เสวี่ยหมิงไม่แน่ใจว่าเด็กน้อยนี่แค่พูดเล่นหรือรับทราบความในใจของเขาจริง ดังนั้นจึงตกประหม่าและตั้งตัวไม่ทัน ใบหน้าซับสีเรื่อจนเห็นได้ชัด
“อ๊ะพี่ใหญ่หน้าแดงด้วย” ยิ่งเสี่ยวหลงล้อเลียนยิ่งทำตัวไม่ถูก เมื่อตั้งสติได้เขาจึงลงมือเขกศีรษะเด็กน้อยหนึ่งทีเป็นการตักเตือน
“พี่ใหญ่ใยทุบตีข้า” เสี่ยวหลงลูบหัวทั้งแสร้งทำหน้าเสียขวัญ หากว่าเขาไม่รู้จักนิสัยเด็กน้อยนี่ดี คงใจอ่อนไปแล้ว
“บอกเหตุผลที่แท้จริงมา ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ยอมพูดกับเจ้าอีกเลย”
“โธ่พี่ใหญ่ ข้าก็พูดความจริงนะ ที่ข้าสนับสนุนให้ท่านโกหกเป็นคนรักของเม่ยเหนียงเพราะสงสารนางอยากจะแก้สถานการณ์ให้นางชั่วคราว อีกอย่างคาดว่าถึงตกกะไดพลอยโจนไปคาดว่าพี่ใหญ่คงไม่แต่งงานกับนางหรอก”
“ใยเจ้าถึงคิดเช่นนั้น”
“เพราะพี่ใหญ่มีหน้าที่ที่ต้องทำนะสิ ถึงท่านไม่บอกข้าก็เดาได้ พี่ใหญ่ยังมีที่ที่ต้องให้เดินทางไป ดังนั้นคงไม่รีบตกแต่งภรรยา เอหรือว่าข้าเข้าใจผิด”
เสี่ยวหลงทำท่าทางราวกับผู้หยั่งรู้ มันกอดอกแล้วยักคิ้วด้วยความภาคภูมิ
“เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าบางทีข้าอาจจะอยากตกลงปลงใจกับเม่ยเหนียงดูก็ได้ เจ้าไม่รู้หรือว่าหากนางไม่ต้องแต่งงานกับเหลยเฟิงเพราะข้า พ่อของนางย่อมต้องมุ่งหวังให้นางแต่งงานกับข้า”
ตอนนี้เองที่เสี่ยวหลงลูบคางทำท่าครุ่นคิด มันไม่ใช่ว่าไม่คิดถึงเรื่องนี้ ทว่าขอเพียงมันจัดการกับเหลยเฟิงได้ทุกอย่างย่อมง่ายดายยิ่ง ด้วยฝีมือของมันแค่จัดการปลิดชีวิตตัวเกะกะซักหนึ่งคนทำได้ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ กระนั้นยังอยากให้วิธีนั้นเป็นขั้นสุดท้ายจริงๆ
“ข้าลืมนึกถึงเรื่องนั้นไปเลยพี่ใหญ่”
มันยักไหล่แล้วแลบลิ้นอย่างซุกซน มันน่าทุบตีให้น่วมนัก ทว่าขณะที่คิดจะเข้าไปสั่งสอนด้วยมือไม้เม่ยเหนียงก็เข้ามาในกระโจมเสียก่อน
“ข้ามารบกวนหรือเปล่าคะ”
“แหมจะว่ารบกวนก็ใช่ แต่ถึงเราจะบอกอย่างนั้น เจ้าก็ยังมีธุระกับเราใช่ไหมเล่า” เสี่ยวหลงยังปากคอเราะร้ายไม่เปลี่ยนสุดท้ายเสวี่ยหมิงต้องลงมือทุบตีเด็กน้อยอีกครั้ง
“อย่าไปฟังเด็กน้อยนี่พูดไร้สาระ เม่ยเหนียงมีอะไรก็พูดมาเถอะ”
เมื่อได้รับอนุญาตเม่ยเหนียงก็ยิ้มกว้างนางเดินเข้ามาข้างในพร้อมกับลดกายลงนั่งบนเบาะที่เตรียมไว้ตรงหน้าเสวี่ยหมิง
“ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณพี่ใหญ่กับเสี่ยวหลงมากที่ช่วยโกหกเรื่องเป็นคนรักของข้า ขอบคุณจริงๆ” เม่ยเหนียงก้มหัวให้เสวี่ยหมิงหลายครั้ง จนเขาต้องเข้าไปประคองให้นางหยุดการกระทำ
“หากอยากขอบคุณเจ้าช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับเจ้าและเหลยเฟิงมาจะดีกว่านะเม่ยเหนียง” เสี่ยวหลงกล่าว ซึ่งเสวี่ยหมิงเองก็เห็นด้วย
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ เดิมที่เหลยเฟิงมาในนามพรรคมังกรพิโรธ มาเพื่อเกลี่ยกล่อมค่ายอาชาของเราให้ทำการต้อนม้าทั้งหมดที่เรามีไปยังรัฐหลี ซึ่งแต่เดิมพวกเราตระกูลอู่ตามจริงใช้ชีวิตร่อนเร่ไม่ติดที่อยู่แล้ว ทว่าประมาณสามชั่วอายุผู้นำจนถึงท่านพ่อเราปักหลักอยู่ในรัฐฉินและมีสถานะมั่นคงถึงขั้นไม่อยากจะย้ายถิ่นฐานไปไหน”
นางเว้นจังหวะพูดชั่วครู่ เสวี่ยหมิงฟังอย่างใจจดใจจ่อ โดยเฉพาะเสี่ยวหลง ยามนางกล่าวถึงความเกี่ยวพันธ์ของพรรคมังกรพิโรธกับรัฐหลี ดวงตาของมันพลันลุกวาวประดุจเสือร้าย
“เหลยเฟิงมาเข้าพบท่านพ่อหลายครั้ง ทว่าครั้งล่าสุดที่มาพบเขาบังเอิญได้พบข้า ไม่รู้ว่าทำไมหัวข้อเจรจาครั้งต่อมาจึงได้มีการสู่ขอข้าไปเป็นภรรยาด้วย พี่ใหญ่เองก็รู้ใช่ไหมคะว่าเหลยเฟิงผู้นี้รวบรวมหญิงสาวมากมายมาไว้ในมือ ข้าได้ยินข่าวลอยลมมาบ้าง”
“ดังนั้นเจ้าถึงรังเกียจเขาหรือ” เสวี่ยหมิงถาม
“ไม่แค่นั้นหรอกค่ะ คนผู้นี้มักช่วยโอกาสลวนลามข้าเมื่ออยู่ตามลำพังบ่อยครั้ง ข้าเกลียดเขาค่ะ เรื่องนี้ข้าบอกท่านพ่อบ่อยครั้ง ทว่าท่านพ่อมีเรื่องให้ต้องลำบากใจหลายอย่าง ตามจริงท่านพ่อไม่ต้องการย้ายถิ่นฐานไปรัฐหลี ทว่าพวกเราเองก็ใช่ว่าจะมีเส้นสายหรือพวกพ้องนอกจากพี่น้องในค่ายอาชา ดังนั้นเมื่อเหลยเฟิงข่มขู่ว่าจะรวบรวมคนของพรรคมังกรพิโรธมาขยี้เรา ท่านพ่อจึงคิดหนักเพราะชีวิตของคนในค่ายอาชาย่อมต้องสำคัญ”
“สำคัญกว่าชีวิตของเจ้าทั้งชีวิตด้วยสินะ” เสี่ยวหลงกล่าวอย่างเราะร้าย ตอนนี้เม่ยเหนียงน้ำตาคลอทั่วดวงตา เสวี่ยหมิงใช้สายตาตำหนิมองดูเด็กน้อยหากแต่มันทำแค่เพียงยักไหล่
“อย่างนี้จะให้เราช่วยเจ้าอย่างไรดี” เสวี่ยหมิงถาม
“ไม่มีอะไรที่พี่ใหญ่กับเสี่ยวหลงจะช่วยได้หรอกค่ะ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าก็ทำใจขึ้นมาได้บ้างแล้ว”
เม่ยเหนียงยิ้มทั้งน้ำตา เสวี่ยหมิงเข้าไปปลอบโยนนาง ในขณะที่เสี่ยวหลงครุ่นคิดถึงแผนการณ์ของผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมด หากมันคาดไว้ไม่ผิดหลงเยี่ยอิ่งตัวปลอมอาจมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อรัฐหลี เรื่องสำคัญเช่นนี้ยิ่งต้องควรแจ้งไปยังนายเหนือหัว นับว่าการที่มันพาทั้งพี่ใหญ่และตัวเองเข้ามาพัวพันครั้งเป็นเดินหมากได้ถูกทางอยู่ไม่น้อย
มันตัดสินใจจะให้ราชสำนักติดต่อเข้ามาจัดการกับค่ายอาชา เพราะเล็งเห็นความสำคัญของม้าเหงื่อโลหิต ม้าชั้นเลิศขนาดนี้หากมีจำนวนมากไว้ในกองทัพคาดว่าจะช่วยให้กองกำลังของรัฐฉินมีประสิทธิ์ภาพมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
จากการอนุมานเพียงเล็กน้อยทั้งการที่หลงเยี่ยอิ่งตัวปลอมใช้ให้เยิ่นเสียนฉีไปชโมยแปลนอาวุธทางการทหารจากตึกศาสตราก็ดีหรือการเรียกร้องให้ค่ายอาชาซึ่งเพาะม้าชั้นเลิศต้อนม้าไปรัฐหลีก็ดี ตอนนี้ข้อเท็จจริงในใจของมันกระจ่างชัด คาดว่าพรรคมังกรพิโรธคงถูกแทรกซึมด้วยคนของรัฐหลีเป็นแน่แท้
มันเป็นใครกันนะ ใครกันที่มีเส้นสายถึงกับยึดพรรคมังกรพิโรธได้ในพริบตา คนที่จะทำเช่นนี้ได้มีแค่สองคนเท่านั้น หากไม่ใช่หลี่มู่ไป๋ก็ต้องเป็นอิงเฟย การติดต่อกับราชสำนักครั้งนี้นอกจากช่วยเหลือค่ายอาชาแล้วมันยังต้องขอให้ช่วยสืบประวัติของศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนของมันด้วยเช่นกัน
“พี่ใหญ่เราไปทานอาหารเย็นกันเถอะค่ะ ที่ข้ามานี่ก็เพราะท่านพ่อให้ข้ามาชวน”
กล่าวจบเม่ยเหนียงก็นำพาไปยังกระโจมซึ่งบิดานางรอคอยอยู่ เมื่อไปถึงพวกเขาจึงร่วมรับประทานอาหารค่ำกับเม่ยเหนียงและอู่เหว่ยกั๊วะ
“อิ่มแปล้เลย”
เสี่ยวหลงลูบท้องไปมาหลังจากกลับมายังกระโจมที่พักของตัวเอง เสวี่ยหมิงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เด็กน้อยนี่ทั้งดื่มทั้งกินไปมาก แถมปากยังกล่าวชมว่าอร่อยๆไม่ขาดปากทำให้อู่เหว่ยกั๊วยิ้มพึงพอใจตลอดการรับประทานอาหารมื้อนี้
“เจ้าทานมากเกินไปแล้วนะ”
“ก็มันอร่อยนี่พี่ใหญ่”
กล่าวพลางล้มตัวลงนอนบนที่นอนหนานุ่มซึ่งเตรียมเอาไว้ เสี่ยวหลงพลิกตัวนอนตะแคงพลางใช้มือตบลงบนฝูกข้างตัวเป็นสัญญาณเรียกให้เสวี่ยหมิงเข้าไปนอนร่วมเตียงกับมัน
“พี่ใหญ่มามะเราเข้านอนกันเถอะ”
ไม่พูดเปล่าเด็กน้อยยังส่งจูบมาให้ เสวี่ยหมิงไม่ทราบว่าจะควบคุมความรู้สึกได้เช่นไร เพราะตอนนี้เขาคันในหัวใจจนยากที่จะเกา
“พี่ใหญ่เร็วๆสิ ข้ารอท่านอยู่น้า”
เด็กน้อยชักจะงอแง เสวี่ยหมิงทำเพียงส่ายหน้า ทว่าก่อนจะเดินเข้าไปหา พลันได้ยินเสียงเรียกของอู่เหว่ยกั๊วะที่หน้ากระโจม
“คุณชายเสวี่ยนอนแล้วหรือยัง”
“ข้ายังไม่นอนท่านอู่เหว่ยกั๊วะ มีเรื่องอันใดหรือ”
“ข้าขอเวลาคุยกับท่านหน่อยได้หรือไม่”
“ย่อมได้อยู่แล้ว” เสวี่ยหมิงเดินออกไปนอกกระโจมแล้วพบว่าอู่เหว่ยกั๊วะยังอยู่ในชุดเต็มยศ
“ไปเดินเล่นพูดคุยกับข้าหน่อยเถอะคุณชายเสวี่ย”
กล่าวจบอู่เหว่ยกั๊วะก็เดินนำทางเสวี่ยหมิงไป ขณะที่เดินไปตามทางอย่างเงียบๆเขาก็รอคอยอย่างใจจดจ่อให้อีกฝ่ายกล่าววาจาเสียที เมื่อพวกเขาสองคนเดินไปถึงคอกม้าในที่สุดอู่เหว่ยกั๊วะก็เริ่มพูดจนได้
“ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าท่านกับเม่ยเหนียงหาได้เป็นคนรักกันไม่”
อู่เหวยกั๊วะกล่าวพลางมองดูดวงดาวยามค่ำคืน เสวี่ยหมิงนึกอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องรู้ เพราะเขากับเม่ยเหนียงยังไม่สามารถแสดงเป็นคนรักกันได้แนบเนียนอย่างแท้จริง
“ท่านไม่เคยได้ยินชื่อเสียงในทางเลวร้ายของเหลยเฟิงหรือขอรับท่านอู่”
ตอนนี้เองที่อู่เหว่ยกั๊วะถอนหายใจ
“เจ้ามีใจให้บุตรีของข้าบ้างหรือไม่” คำถามนี้เสวี่ยหมิงตอบได้ในทันที
“ข้าเห็นเม่ยเหนียงเป็นแค่น้องสาว”
“ถ้าอย่างนั้นเพราะเหตุใดเจ้าถึงยอมโกหกว่าเป็นคนรักเพื่อช่วยนาง”
“เพราะว่าข้าสงสารนาง ส่วนอีกเหตุผลที่เหลือข้าไม่สามารถบอกท่านได้” ใช่แล้วเหตุผลคืออยากจะสืบเรื่องของพี่รองซักเล็กน้อย ทว่าคราแรกไม่ได้คิดว่าจะเป็นการสืบในสถานะอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
“เจ้าคล้ายมีเรื่องลำบากใจ” ตอนนี้เองที่อู่เหว่ยกั๊วะหันมาเผชิญหน้า เสวี่ยหมิงมองเข้าไปในดวงตาอันนิ่งสงบของอีกฝ่าย
“หากเป็นเรื่องส่วนตัวข้าคงไม่กล้าถาม ทว่าการยื่นมือเข้าช่วยเหลือของเจ้าครั้งนี้นับว่ามาได้ถูกเวลา ตามจริงข้าพยายามหาข้อบ่ายเบี่ยงเรื่องบุตรีอยู่หลายทาง แต่ไม่มีผู้ใดที่งามสง่าพอจะนำมาเป็นข้ออ้างปฏิเสธการดูตัวของเหลยเฟิงได้”
“หมายความว่าท่านอู่อยากให้ข้าช่วยโกหกเรื่องเป็นคนรักของเม่ยเหนียงต่อไป” อู่เหว่ายกั๊วะยิ้มกว้างแทนคำตอบ
“เรื่องย้ายถิ่นฐานก็อีกเรื่องที่เราลำบากใจ เรื่องบุตรีเราก็ลำบากใจไม่แพ้กัน แต่เรื่องบุตรีของเราย่อมสำคัญกว่า เราไม่อยากให้บุตรีเราแต่งงานไปใช้ชีวิตอย่างไร้สุข”
คำพูดของเสวี่ยหมิงกับอู่เหว่ยกั๊วะเสี่ยวหลงซึ่งแอบฟังอยู่ได้ยินทุกถ้อยคำ เมื่อคิดถึงการแต่งงานอันมีความสุขของเม่ยเหนียงมันก็ได้แต่เหยียดยิ้ม สำหรับกับนางผู้นั้นที่แสนเอาแต่ใจทั้งยังเชื่อมั่นในตัวเองสูง หากไม่ได้เลือกสามีด้วยตัวเองเห็นทีว่าคงจะมีความสุขได้ยาก
หลังจากแอบฟังจนคาดเดาว่าการพูดจาสาระสำคัญจบลงจนหมด เสี่ยวหลงก็พลิ้วกายไปยังสถานที่นัดพบกับผู้ส่งสาร มันรีบเร่งด้วยวิชาตัวเบาขั้นสูงสุดตั้งใจว่าจะกลับไปถึงกระโจมก่อนพี่ใหญ่ของมัน
ใกล้จะถึงฉากบู๊แล้วละมั้งอิอิ ขอบคุณที่สละเวลากันเข้ามาอ่านนะคะดีใจมั่กๆ
เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างน้า