ตอนที่3
หลังจากถูกพามายังหน้าทะเลสาบแห่งหนึ่ง เสวี่ยหมิงค่อยถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เด็กหนุ่มมึนงงไปหมดไม่สามารถปรับตัวได้ทันว่าเพราะเหตุใดตนถึงถูกพวกนายท่านทำร้ายทั้งยังกล่าวหาเป็นโจรราคะ
“เออ...ดูเอาเถอะ หากเราไม่บอกแก่เด็กน้อยคงไม่เข้าใจง่ายๆละมั้ง หมิงน้อยเจ้าจงลองมองดูรูปร่างหน้าตาของเจ้าในทะเลสาบเสียสิ”
เพราะสงสารท่าทางสับสนงุนงงของลูกศิษย์ใหม่ มันจึงได้เสนอทางออกให้โดยง่าย เสวี่ยหมิงก็ไม่ใช่โง่งมเสียทีเดียว เด็กหนุ่มค่อยๆชะโงกหน้าลงไปมองดูเงาของตนเองในทะเลสาบ
มารดามันเถอะ เสวี่ยหมิงแทบไม่เชื่อสายตา เงาของตนที่ปรากฏในน้ำช่างแตกต่างจากตัวเขาคนเดิมเสียเหลือเกิน โครงหน้ายังมีเค้าของเขาอยู่บ้าง แต่ร่างกายซึ่งประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อสมส่วนกับเรือนกายที่สูงโปร่ง แม้นกล้ามเนื้อและส่วนสูงจะยังไม่อาจทัดเทียมกับโจรอาวุโสได้ แต่จัดได้ว่าเป็นรูปลักษณ์ที่งามสง่าเกินคนธรรมดา
โดยปกติผิวของเสวี่ยหมิงจะขาวซีดราวกับคนป่วยตลอดเวลา ทว่าตอนนี้ผิวเขาขาวอยู่ก็จริง แต่เป็นผิวขาวที่กระจ่างตาบ่งบอกถึงผู้มีพลานามัยสมบูรณ์ โครงหน้าหรือส่วนต่างๆในร่างกายของเขาตอนนี้ราวกับถูกจัดระเบียบเสียใหม่ ส่วนที่โดดเด่นยังคงโดดเด่นเช่นเดิม ในส่วนที่ด้อยถูกเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยจนตอนนี้รูปลักษณ์ของเขากลายเป็นชายงามจนตัวเองยังต้องตกใจ
“นี่เป็นผลจากการฝึกวิชาหนึ่งอสูรพิชิตเทวะ อย่าได้ตกใจไปหมิงน้อย” โจรอาวุโสไขข้อส่งใสก่อนที่จะถามจนกระจ่าง
“ท่านเองก่อนหน้าจะสำเร็จวิชาก็มีสภาพเยี่ยงข้าหรือผู้อาวุโส” เสวี่ยหมิงแววตาเลือนลอย วันนี้เขาพบเจอเรื่องแปลกประหลาดมามาก แต่เท่านี้ก็เข้าใจได้ว่าเหตุใดพวกนายท่านจึงเข้ามาเล่นงานเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ไร้สาระ หน้าตาของเราย่อมดีงามมาแต่กำเนิด เพียงแต่ก่อนสำเร็จวิชาเราไม่ได้มีร่างกายกำยำเท่ากับตอนนี้เพียงเท่านั้นเอง” กล่าวจบมันก็ถอนหายใจ เสวี่ยหมิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้อาวุโสถึงทำหน้าผิดหวังเช่นนั้น
“ตามจริงเราคิดว่าเจ้าจะตัวสูงใหญ่น่าเกรงขามมากกว่านี้ ในบรรดาศิษย์เราทั้งหมดเจ้าตัวเล็กที่สุด โอ...เจ้าในตอนนี้ช่างผอมบางไร้เรี่ยวแรงจนเกินจะรับ”
เสวี่ยหมิงไม่เข้าใจว่าตอนนี้ตนเองดูไร้เรี่ยวแรงที่ตรงไหน กลับกันเขาสัมผัสได้ถึงพลังกายอันล้นเหลือที่พร้อมจะระเบิดออกมาตลอดเวลา
“ผู้อาวุโสถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอตัวก่อน”
“เพ้ย...เจ้าจะไปไหน อีกอย่างตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์คนเล็กของเรา เจ้าควรเรียกขานเราเป็นอาจารย์ถึงจะถูก”
ผู้อาวุโสหรี่ตามองมาอย่างไม่พอใจ เสวี่ยหมิงอึกอักเหมือนน้ำท่วมปาก พยายามคิดหาทางออกจนสมองพองโต จะทำอย่างไรดีผู้อาวุโสถึงจะยอมปล่อยเขากลับไป
“ข้าจะกลับไปยังจวนตระกูลเสวี่ยครับอาจารย์”
“ดี เห็นแก่เจ้าเรียกขานเราเป็นอาจารย์ เราจะยอมให้อภัยที่เจ้ากล่าวไร้สาระ แต่ถึงกระนั้นเราอยากรู้เสียจริงว่าเจ้าจะกลับไปยังที่อันไม่น่าพิสมัยนั่นอีกทำไม ไหนเจ้าลองบอกให้จูเยว่เสวียนผู้เป็นอาจารย์คนนี้ฟังทีสิ”
ที่แท้แล้วนามของผู้อาวุโสก็คือจูเยว่เสวียน ได้ทราบนามเสียทีถึงแม้จะผิดมารยาทเพราะเขาไม่ได้แนะนำตัวเองก่อนก็ตาม แต่มันจะสำคัญที่ตรงไหนนะ คาดว่าอาวุโสผู้นี้คงรู้นามเขาดีอยู่แต่แรกแล้ว
“ผู้อาวุโสแซ่จู ข้าน้อยคงเป็นศิษย์ให้แก่ท่านไม่ได้ ข้ามีภาระต้องรับผิดชอบมีบ้านที่ต้องให้กลับไป”
“ไร้สาระสิ้นดี”
จูเยว่เสวียนแค่นเสียงดังเฮอะ ถึงไม่พอใจคำกล่าวของเสวี่ยหมิงแต่ยังเปิดโอกาสให้เด็กน้อยได้พูด มันเองก็ใช่จะเป็นคนไร้เหตุผลไปเสียทุกครั้ง ว่ากันตามจริงหากเป็นคนอื่นมาขัดใจบ่อยๆเยี่ยงนี้มันคงฟาดฝ่ามือเข้าใส่สั่งสอนให้รู้สำนึกไปแล้ว นับว่าเด็กน้อยนี่มีบุญวาสนาเสียจริงๆที่มันนึกเอ็นดูถึงเพียงนี้
“ไหนเจ้าบอกเราสิด้วยรูปลักษณ์ใหม่ของเจ้า คนที่ตระกูลเสวี่ยจะไว้ใจเจ้าได้เยี่ยงไร”
“ข้าจะไปอธิบายตามตรงครับ คิดว่าทุกคนคงจะเข้าใจ”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเอาอย่างนี้” จูเยว่เสวียนนิ่งขรึมดูจริงจัง เสวี่ยหมิงรู้สึกว่าผู้อาวุโสผู้นี้น่าจะเห็นใจเขาแล้วแน่ๆหากยืนยันความต้องการไปไม่นานคงจะปล่อยเขาไป
“ข้าแน่ใจครับ ได้โปรดเมตตาข้าเถอะ” จูเยว่เสวียนถอนหายใจโดยแรง เมื่อผู้อาวุโสส่งสัญญาณมือบอกให้เขาไป เสวี่ยหมิงดีใจอย่างที่สุดประสานมือโค้งคำนับหลายครั้งก่อนจะหันหลังกลับเตรียมจะจากไป
ทว่าไม่คาดคิดจูเยว่เสวียนคว้าจับเข้าที่หัวไหล่ เสวี่ยหมิงจนใจต้องใช้แรงเข้าสู้ คาดว่าตอนนี้พลังวัตรตัวเองบวกกับกระบวนท่าที่ครูลักพักจำมาคงสามารถช่วยให้ตัวเองเอาตัวรอดได้ ดังนั้นเพื่อให้หลุดจากการจับกุมจึงผ่อนแรงที่หัวไหล่ถ่ายเทไหลลื่นราวกับตัวปลาจนจูเยว่เสวียนมิอาจจับยึดได้
กระนั้นกลับไม่พ้นจากระยะคว้าจับของจูเยว่เสวียน พริบตาที่ออกหมัดหมายจะเล่นงานผู้เฒ่าจอมตื้อกำปั้นของเขากลับถูกปัดออก ด้วยท่วงท่าว่องไวและหนักแน่นฝ่ามือหนักๆกระแทกเข้าที่ท้องน้อยตูมใหญ่ เสวี่ยหมิงชาวาบในตอนแรกก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มภายในท้องเสียงจึกๆ
“อ๊ากกก” เสวี่ยหมิงเกลือกกลิ้งลงไปกับพื้นด้วยความทรมาณ นึกไม่ถึงว่าจูเยว่เสวียนจะลงมือด้วยใจอำมหิต เจ็บๆจนเกินที่จะอธิบาย เด็กหนุ่มสลบไปด้วยไม่อาจทนต่อความเจ็บได้อีก
เมื่อลืมตาตื่นขึ้นไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดแล้ว เวลากลางวันได้เปลี่ยนเป็นค่ำคืน เสวี่ยหมิงยังคงอยู่ที่เดิม เบื้องหน้าเขาจูเยว่เสวียนนั่งขัดสมาธิคล้ายรอการตื่นของเขาอยู่
เหตุใดเขาถึงยังไม่ตายกันนะ ความเจ็บปวดสุดแสนสาหัสแม้นไม่เหลืออยู่แล้ว การที่ยังมีชีวิตอยู่หมายความว่าผู้อาวุโสไว้ไมตรีแก่เขาอย่างนั้นหรือ
“เฮอะ ตัวโง่งม หากเราไม่อธิบายคงไม่เข้าใจที่เราไว้ชีวิตเจ้าสินะ” ถูกด่าเป็นตัวโง่งมหาได้โกรธไม่ ขอเพียงผู้อาวุโสยอมไปเขาไปทุกอย่างย่อมไม่มีปัญญา ทว่าครานี้คงไม่ถูกปล่อยไปง่ายๆกระมัง
“ฝ่ามือที่เราซัดใส่เจ้าคือฝ่ามือเกล็ดหิมะ หนึ่งกระบวนท่าที่เราชำนาญที่สุด มีไว้ใช้กับพวกโกหกจอมปลิ้นปล้อนที่คิดหักลังเราโดยเฉพาะ”
จูเยว่เสวียนยิ้มละเมียดละไม เสวี่ยหมิงรอฟังคำกล่าวต่อไปด้วยความกังวล เกรงว่าฝ่ามือนี้คงมีตื้นลึกหนาบาง เขาในตอนนี้จึงไม่กล้าแม้แต่จะขยับ
“ฝ่ามือนี้เป็นกระบวนพิษแขนงหนึ่งผู้ถูกฝ่ามือไม่มียารักษา มีแต่ต้องให้ผู้สำเร็จวิชานี้ขจัดเกล็ดหิมะในกายออกให้ ทุกๆหนึ่งเดือนหากไม่ได้ยาบรรเทาอาการ จะรู้สึกหนาวราวกับอยู่ท่ามกลางหิมะ ทั้งยังปวดในท้องน้อยราวกับเข็มทิ่มแทง หากไม่ได้รักษาหรือยาบรรเทาอากาศ จะรู้สึกเจ็บปวดจนแสนสาหัสเมื่อทนไม่ได้ก็จะตายไปเอง”
“เหตุใดผู้อาวุโสต้องลงมืออำมหิตกับผู้น้อยอย่างนี้” เสวี่ยหมิงปากคอสั่น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกถึงความน่ากลัวของยุทธภพ เคยได้ยินนักบู๊ในสำนักคุ้มภัยเล่ามาบ้างว่าผู้คนในยุทธภพล้วนเจ้าเล่ห์ ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะโดนเข้าเสียเอง
“เจ้าเด็กบัดซบ ใครใช้ให้เจ้าผิดสัญญากับเราก่อน เจ้าเคยลั่นสาบานว่าจะเป็นศิษย์เราเมื่อเราช่วยเจ้าสำเร็จยุทธมิใช่หรือ”
ในที่สุดเสวี่ยหมิงก็ระลึกขึ้นมาได้เป็นเขาจริงๆที่ลั่นสัญญากับผู้อาวุโส ทว่าเป็นมันเองที่ไม่คิดจะทำตามสัญญา
“ถ้าอย่างนั้นท่านทำลายวรยุทธข้าทิ้งเสียเถอะ ข้าจะได้กลับไปยังตระกูลเสวี่ยของข้า”
ลองยืนกรานความดื้อแพ่งของตนเองดู จูเยว่เสวียนขมวดคิ้วเข้าหากันตีหน้าขึงเครียดราวกับพญามารก็ไม่ปาน มันไม่เข้าใจเสียจริงๆว่าเพราะอะไรตัวโง่งมผู้นี้ถึงได้อยากกลับไปยังสถานที่นั้นนัก ชั่วขณะหนึ่งพลันคิดแผนการดีดีได้ เฒ่าจูผิวปากอารมณ์ดีขึ้นทันตา
“เจ้าอาลัยอาวรณ์ต่อนางมารน้อยนั่นหรือ เอาอย่างนี้ให้เราลักพาตัวนางมาแต่งงานกับเจ้าดีหรือไม่”
“หากท่านกล่าวไร้สาระเช่นนี้อย่าได้พูดกับข้าเลยดีกว่า ท่านก็รู้นี่ว่าข้าไม่มีอะไรเหมาะสมกับคุณหนูถิง”
“เจ้าเต่าโง่ เราอุตส่าห์เสนอหนทางแห่งสวรรค์ให้ดีดีกลับไม่ชอบ เอาอย่างนี้ไหม เรามาพนันกันซักหน่อย เจ้ากล้าไหมล่ะ”
จูเยว่เสวียนยิ้มเจ้าเล่ห์ เสวี่ยหมิงไม่มั่นใจเลยว่าผู้เฒ่ามีอุบายอะไรกับเขาอีก
“ท่านพูดมาเถอะ ข้าไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแล้ว”
เสวี่ยหมิงตัดสินใจที่จะฟัง เพราะรู้ดีแก่ใจว่าไม่อาจต่อต้านจูเยว่เสวียนได้ หากยอมผ่อนปรนอาจมีทางรอดให้เลือกก็เป็นได้
“การพนันครั้งนี้เรียกว่าเป็นการทดสอบจิตใจของพวกตระกูลเสวี่ยก็เป็นได้ เรามาคิดตรึกตรองดูแล้ว การที่เจ้ายึดติดกับคนเหล่านั้นเพราะคิดว่าพวกเขารักและเมตตาต่อเจ้า เราอยากรู้เหลือเกินว่าหากเจ้ากลับไปทั้งที่เป็นโรคร้ายคนพวกนั้นจะยังเมตตาต่อเจ้าหรือไม่”
โรคร้ายรึ เสวี่ยหมิงลังเลเล็กน้อย แต่ว่าเขาเชื่อมั่นในความดีงามและมีน้ำใจของนายท่านและคนตระกูลเสวี่ย จึงตกปากรับคำท้าของจูเยว่เสวียนโดยง่าย
“ได้ ถ้าหากพิสูทธิ์แล้วว่าพวกเขาดีจริงท่านต้องปล่อยข้าไปตามทางให้ข้าได้อยู่ตระกูลเสวี่ยต่อไปอย่าได้ตอแยข้าอีก”
“แน่นอน ทว่าหากพวกมันเป็นผู้ดีจอมปลอมหรือเจ้าเกิดความผิดหวังในใจขึ้นมาแม้เพียงนิด เจ้าจะต้องกลับมาที่นี่แล้วยอมเป็นศิษย์ที่ดีงามเชื่อฟังคำสอนของเราต่อไป”
“ได้ เสวี่ยหมิงรับคำท้า”
“เยี่ยม อย่างนั้นเรามาเริ่มเรียนวิชาปลอมแปลงตัวเสียดีกว่า รูปร่างของเจ้าตอนนี้ไม่คล้ายกับเจ้าคนเดิมแม้เพียงนิด เราจะสอนวิชาหดกระดูกผลัดหนังให้แก่เจ้า”
ตอนนี้เองที่เสวี่ยหมิงเกิดความลังเล หากว่าเอาแต่ฝึกวิชาเกรงว่าจะกินเวลายาวนาน หายไปนานถึงเพียงนั้นมันจะดีจริงๆนะหรือ
“ผู้อาวุโสเกรงว่าหายไปนานคนในตระกูลอาจจะ....”
“เพ้ย หรือว่าเจ้าจะยอมแพ้พนันกลับไปในสภาพที่ผู้คนจำไม่ได้อย่างนี้ คิดดูสิเจ้าจะถูกจัดการอย่างไรหากคนพวกนั้นคิดว่าเจ้าแอบอ้าง”
เสวี่ยหมิงคิดตาม ไม่นานนักก็กระจ่างใจ เขาจำได้ดีตอนที่ถูกนายท่านกับนายน้อยซานไล่ทุบตีจนต้องหนีออกมา
“ไม่ต้องกลัวไป เจ้ามีพลังวัตรจากวิชาหนึ่งอสูรพิชิตเทวะอยู่แล้วการที่จะฝึกหดกระดูกเปลี่ยนหนังย่อมง่ายดายยิ่ง ตามจริงด้วยพลังวัตรเช่นเจ้าไม่ควรใช้เวลาฝึกเกินหนึ่งเดือน”
หากว่าเจ้าใช้เวลาฝึกมากกว่านั้น เจ้าก็เป็นตัวโง่งมที่สุดในบรรดาศิษย์ของเราทั้งหมดแล้ว จูเยว่เสวียนในใจคิดอย่างแต่เบื้องหน้ากลับอมยิ้มเยินยอเอาใจเสวี่ยหมิงเต็มที
“เอาน่าเรามองคนไม่ผิดเพียงเดือนเดียวเจ้าก็ฝึกวิชาแปลงโฉมสำเร็จแล้ว ไม่ยากถึงเพียงนั้น”
“ข้าเขาใจแล้วครับ ข้าจะตั้งใจฝึกท่านผู้อาวุโส”
“ดีมาก เรามาเริ่มฝึกกันเสียทีเถอะ อย่าให้เนินช้าไปเลย ยิ่งเร็วยิ่งดี”
ดังนั้นเสวี่ยหมิงจึงใช้เวลาทั้งหมดฝึกปรือวิชาหดกระดูกเปลี่ยนหนังกับจูเยว่เสวียนอย่างมุ่งมั่นภายในใจหวังว่าการพนันครั้งนี้เขาจะเป็นผู้ที่กุมชัยชนะเอาไว้
ตอนใหม่มาแล้วจ้า ค่อยๆกระดืบไปเรื่อยๆ55555
อนึ่งชื่อวิชาขอเปลี่ยนนะจ๊ะน้องสาวเรามันบอกว่ามันนารูโตะเกินไป เปลี่ยนจากเดิมเป็นหนึ่งอสูรพิชิตเทวะนะจ๊ะ
ขออภัยในความมักง่ายของเราตอนคิดชื่อวิชาไอ้ชื่อเดิมมันติดหูเราจริงๆ ขอโทษด้วยค๊าบบบบบบบ
เม้นเป็นกำลังใจกันบ้างนะ