CH 16 Come back to me
Sitha
ผมไม่เจอหน้าปุณวิศเกือบสามสัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ไปส่งลูกชายคืนมรกต เหตุด้วยงานที่ถาโถมเข้ามาไม่เว้นจังหวะ มีเวลาเพียงน้อยนิดกับการส่งข้อความหาเจเรมี่ ตรวจสอบกับเข้มว่าเขาไปเรียนยิงปืนสมใจอยากแล้วหรือยัง และมันเป็นช่วงเวลาที่น่าหงุดหงิดพอตัวเมื่อรู้ว่าคนสนิทของปีเตอร์เข้ามาวนเวียนพัวพันในช่วงที่ผมไม่อยู่
และความหงุดหงิดนั้นทวีหนักขึ้นเมื่อถามลูกน้องที่จากสนามบินว่าส่งเจเรมี่ถึงบ้านแล้วหรือยัง แต่กลับได้คำตอบจากเข้มว่าเด็กหนุ่มดึงดันจะขับรถไปร้านด้วยตัวเอง และให้เขามารอรับผมตั้งแต่ก่อนเครื่องลงเกือบชั่วโมงโดยไม่กังวลว่าทศพลจะเข้าไปก่อกวนอีกหรือเปล่า
เครื่องบินดีเลย์ไปครึ่งชั่วโมง ทันทีที่ได้ยินคำตอบชวนหงุดหงิดนั่น ผมก็ต่อสายหาเจเรมี่เพื่อเช็กความปลอดภัยของคนรักว่าทศพลไปป้วนเปี้ยนที่ร้านอีกหรือไม่ทันที ทว่าไม่มีการตอบรับจากปลายสาย ผมเปลี่ยนใจโทรหาคุณกบ ผู้จัดการร้าน ก็รู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้างเมื่อได้คำตอบที่ว่าเจเรมี่กลับบ้านไปตั้งแต่หัวค่ำ หลังจากนั้นก็ตรงดิ่งจากสนามบินโดยไม่รีรอ ไฟในบ้านเปิดสว่าง ผมเข้าไปในห้องนอนเป็นอันดับแรก หวังว่าเด็กหนุ่มจะนอนมากส์หน้า หรือหลับเป็นตายจนไม่ได้สนใจมือถือ แต่ก็พบกับความว่างเปล่าจึงเปลี่ยนจุดหมายไปที่ห้องทำงาน วาดหวังว่าเมื่อเปิดประตูออกเด็กหนุ่มที่กระเง้ากระงอดก่อนผมบินไปทำงานจะโผเข้ากอดด้วยความยินดี แต่ภาพที่เห็นคือเจเรมี่ยืนหลังโต๊ะกว้าง ในมือถือภาพถ่ายและซองเอกสารสำคัญที่ถูกเก็บไว้ลับตาด้วยท่าทีสับสน หวาดระแวง
เขามองหน้าผม แววตาตัดพ้อ เปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง และผมโกรธแทบบ้า เพราะตัวเองพยายามกันเจเรมี่ให้ออกจากเรื่องคดีแต่เจ้าตัวกลับซนไม่เข้าท่า เรามีปากเสียงกัน ทะเลาะด้วยประโยคไม่กี่ประโยค แล้วเขาก็เก็บของออกจากบ้านไป ผมสั่งให้เข้มออกรถตามทันที ส่วนตัวเองยังอยู่ที่เก่า เก็บเอกสารเข้าที่ด้วยความระมัดระวัง
ไม่ใช่ไม่รู้สึกรู้สา หากแต่เพราะรู้สึกมาก และไม่ต้องการจะทะเลาะกับคนรักรุนแรงจึงเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ภายใน ลึกลงไปราวกับคนไม่สนใจใยดี
คืนนั้นเจเรมี่ไปนอนที่บ้านของแซค ความรู้สึกว้าวุ่นใจของผมทุเลาลงเมื่อเข้มรายงานว่าทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง คนรักของแซคเป็นคนเปิดประตูต้อนรับ หลังจากนั้นผมก็สั่งให้เข้มเฝ้าติดตามเด็กหนุ่มไม่ห่างจนกว่าเขาจะกลับมาที่บ้านอีกครั้ง
แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะกลับมา
นี่ก็วันที่สามแล้ว...
เจเรมี่ไม่รบกวนแซคหลังจากเกิดเรื่องในคืนแรก เมื่อปีเตอร์บินกลับไปฮ่องกง และทศพลออกไปทำงานที่ต่างจังหวัดอีกครั้ง เจเรมี่ก็กลับไปพักที่บ้านของตัวเอง
ผมถอนหายใจ เอนตัวพิงเบาะหนังของโซฟา ยืดขาพาดโต๊ะเตี้ย จิบบรั่นดีสลับกับสูบบุหรี่ไปด้วย
“มึงจะเอาไงต่อ”
เพื่อนสนิทเอ่ยถาม ไอ้เอื้อเข้ามาหาผมตั้งแต่รุ่งสาง มันนั่งกางเขา ประสานมือ ทิ้งน้ำหนักตัวลงบนหัวเข่า ผมพ่นลมหายใจที่คลุ้งไปด้วยควันและนิโคติน มองสีเทาขาวของเขม่าลอยล่อง โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยสูบบุหรี่ในบ้าน ยกเว้นเสียแต่อดไม่ได้จริงๆ
“แล้วเจมไปไหนวะ ทำงานเหรอ”
“ทะเลาะกัน กลับบ้านไปแล้ว”
“อ้าว มีเรื่องอะไร ปกติไม่เคยเห็นมึงตีกันได้นาน”
“เรื่องปีเตอร์น่ะแหละ” ผมตอบไอ้เอื้อ ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบัง มันยังถูกใจเจเรมี่ แต่ไม่ได้คิดจะแย่งผมไปเหมือนเมื่อก่อน “บอกว่ากูหลอกใช้เป็นเครื่องมือ”
“ก็พูดถูกนี่”
“หุบปากน่ะไอ้เอื้อ”
“นี่กูเป็นคนไขปริศนาให้มึงทั้งหมดเลยนะ ยังจะด่า แล้วยังไง มึงจะทำยังไงต่อ กูไม่แนะนำให้แจ้งความ มึงก็รู้ว่าปีเตอร์ซื้อตำรวจไปแล้ว พ่อกูอยากช่วยมึง แต่เขาก็มีผู้ใหญ่ขัด ไอ้เรื่องแอบตรวจดีเอ็นเอนี่อีก ถ้าแม่งรู้ได้โดนฟ้องกันยับ เป็นหลักฐานที่เอามาเอาผิดไม่ได้เลย ได้มาโดยไม่ชอบธรรม”
“ไม่รู้ว่ะ ยังนึกไม่ออก” ผมตอบ พรูลมหายใจออกยาว ตลอดหลายวันที่ผ่านมานอนหลับไม่สนิท ไม่ใช่เพราะคดี แต่เพราะไม่มีเจเรมี่อยู่ข้างๆ กันเหมือนก่อน “สินเองก็ทำธุรกิจผิดกฎหมายหลายอย่าง อาศัยชื่อมีนบังหน้า ทำตัวเป็นมาเฟียตัวย่อม”
“นั่นก็ด้วย ถ้ามึงขุดหลี่ น้องมึงก็โดน ทรัพย์สินที่ได้มาโดนยึด ชื่อเสียงบริษัทมึงก็เสียหาย กระทบไปถึงมีนอีก”
“เก็บแม่งเลยดีไหม”
เอื้อหัวเราะลงคอแทนคำตอบ มันเหยียดขาออกยาว เอนตัวพิงเบาะโซฟาตัวที่ตั้งฉากกับที่นั่งของผมพอดี “คนที่เก็บมันได้ต้องเป็นระดับมีน มึงจะไปขอร้องเมียมึงไหมล่ะ เผื่อจะช่วย”
“กูไม่อยากยุ่งกับมีนแล้ว ไม่อยากเป็นบุญคุณกัน เผลอๆ จะช่วยต่อเมื่อกูเปลี่ยนข้อตกลงว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับลูกอีก”
“บ้าน่า มีนก็ดูโอเคกับการที่มึงเลี้ยงลูกออก ปุณณ์ก็เข้ากับเจเรมี่ได้”
“เข้าได้ดีเกินไปเชียวล่ะ” ผมพูดเสียงเหนื่อยหน่าย นึกถึงอนาคตและภาระที่ตามมาเป็นพรวนแล้วถอนหายใจซ้ำ ไฟกัดกร่อนเศษกระดาษจนไม่สามารถสูบมวนบุหรี่ได้อีก ผมขยี้มันกับจานเซรามิคทรงประหลาดสีขาว “ดีจนคิดว่าถ้ามีนกลัวว่าลูกรักเจมมากกว่าตัวเองเมื่อไหร่ มีนจะไม่ให้ปุณณ์มาเล่นที่นี่อีก”
“คุณแม่ขี้อิจฉา”
“มึงก็รู้ว่ามีนเป็นคนยังไง” เมื่อผมพูดย้อนไอ้เอื้อก็ยิ้มรับ ผมจิบบรั่นดีในแก้วก้นกว้างอีกอึก ขยับข้อมือให้เครื่องดื่มสีอำพันไหลวนเกลือกกลิ้งไปมาในภาชนะ “กูคิดอะไรไม่ออกเลยว่ะ คิดมาบ้างว่าอาจจะเป็นปีเตอร์ แต่ไม่คิดว่าเด็กนั่นจะเป็นลูกของมันด้วย”
“อืม สรุปก็คือในขณะที่น้องมึงหน้ามืดหลงนมสาวไซด์ไลน์ อีสาวไซด์ไลน์นั่นก็เป็นเมียปีเตอร์อีกที”
“โคตรเหี้ย” ผมสบถ สาดแอลกอฮอล์ลงคอ “ไม่ใช่แค่ยืมของเพื่อนมาใช้ชั่วคราว แต่เอาจนท้อง”
“มึงเมาแล้วไอ้ศิ”
“ไม่ได้เมา”
“เชื่อกูดิ กูเป็นเพื่อนมึงนะ” ไอ้เอื้อยียวน ยื้อแก้วบรั่นดีออกไปจากมือผม มันตบแก้มเบาๆ ก่อนทรุดตัวนั่งข้างกัน “ไม่เชื่อลองจูบกู”
“ไสหัวไปเลย”
“โอ๊ะ ยังไม่เมาจริงด้วย” ผมผลักมันออก ไอ้เอื้อชอบเล่นแบบนี้ แต่เราไม่เคยเกินเลยไปมากกว่าจูบนานแล้ว ผมหมายถึงนับตั้งแต่มัธยมก็ไม่เคยร่วมรักกันอีกไม่ว่ากรณีใดก็ตาม
“เอาเถอะ งั้นช่วงที่มึงคิดอะไรไม่ออกแบบนี้กูจะบอกให้ว่าต้องทำอะไรบ้าง หนึ่งคือนอนพักให้สร่าง และสอง..”
เอื้อการุณย์เปิดโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา หน้าจอเป็นรูปเจเรมี่หัวเราะร่าเมื่อครั้งที่อยู่อังกฤษ ไอ้เวรนี้เอารูปเมียคนอื่นไปใช้แบบนี้ได้ไงวะ
“มึงต้องไปง้อเจมได้แล้ว ก่อนใครจะแย่งไป”
“ใครจะแย่งกู มึงกล้าเหรอ”
“กูพูดรวมๆ” ไอ้เอื้อกวนตีน ผมตบหัวมัน พยายามยื้อแก้วบรั่นดีกลับคืนมาแต่คว้าน้ำเหลว “เจตต์ เอามันไปนอนดิ๊ น่ารำคาญว่ะ เมาก็ไม่ยอมรับว่าเมา”
“ถ้าเมากูจูบมึงไปแล้ว”
“นั่นมันก่อนมึงเจอเจเรมี่อีกครั้ง” เพื่อนสนิทพูดอย่างคนรู้ใจ มันวางมือบนบ่าผม ตบเบาๆ สองครั้ง “ตอนนี้ในหัวมึงมีแต่เจม จะไปจูบใครที่ไหนได้อีก”
ผมไม่ปฏิเสธ
เพราะมันจริงอย่างที่เอื้อการุณย์ว่า ทุกประการ
ตลอดชีวิตผมไม่เคยต้องง้อใครจริงๆ จังๆ แบบนี้มาก่อน
ผมยืนหน้าบ้านของเจเรมี่ คุณจิ๊บเป็นคนเปิดประตูรั้วออกมาพอดี ไม่แน่ใจว่าเพราะต้องการจะต้อนรับจริงๆ หรือกำลังจะออกไปทำงาน เธอมองผมด้วยสายตาประเมิน แต่ยินยอมให้ข้ามผ่านขอบเขตบ้านเข้าไปด้านใน
“คุณทะเลาะอะไรกับเจม”
“เขาเล่าว่ายังไงบ้างครับ”
“ถ้าพูดฉันคงไม่มายืนถามตรงนี้ ศิฑา เจเรมี่เป็นน้องชายคนเล็กที่ฉันเลี้ยงดูเหมือนลูกมาตลอด จะบอกว่าฉันโอ๋เจม ไม่ฟังเหตุผลจากคุณว่าใครถูกใครผิดก็ได้ แต่ฉันไม่อยากให้น้องชายฉันเสียใจ”
“ผมก็ไม่อยาก” ผมพรูลมหายใจออกยาว อธิบายกับผู้ปกครองเด็กหนุ่มอย่างใจเย็น “เป็นเรื่องเข้าใจผิด และผมคิดว่าเราต้องการเวลาเพื่อตกตะกอนความคิดก่อนกลับมาคุยกันอีกรอบ”
“คุณทิ้งให้เขาซึมไปสามวันเต็มๆ”
“คุณก็รู้ว่าเวลาที่เจมดื้อ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ” ผมรู้จักเขาดี และรู้วิธีรับมือกับเด็กหนุ่มคนนั้น เขาเป็นคนรักของผม “เขาเป็นยังไงบ้าง”
“ก็เงียบๆ แต่ถามอะไรไม่เล่า”
“ผมขอเข้าไปคุยกับเจมข้างในได้ไหม”
“ฉันกำลังจะออกไปทำงาน นี่สายแล้ว” หญิงสาวยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “ฉันไม่อยากให้คุณอยู่กับเขาลำพัง”
“คุณจิ๊บ ผมไม่ทำร้ายเจเรมี่”
“คุณสาบานว่าจะไม่ฝืนใจเขา ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม” จิ๊บเหมือนคุณแม่ลูกอ่อนที่หวงน้องชายทุกระเบียดนิ้ว ผมรับปาก แต่อีกฝ่ายยังมีทีท่าไม่สบายใจ
“เขาอายุ 25 แล้วนะ เขามีร้านเป็นของตัวเอง เขาไปอยู่เมืองนอกคนเดียวได้ตั้งหลายปี”
“จะไม่ให้ฉันระแวงคุณได้ยังไงในเมื่อวันที่กลับมาข้อมือของเจเรมี่ทั้งเขียวทั้งช้ำขนาดนั้น”
“วันที่ทะเลาะกันผมไม่ได้แตะตัวเขาเลย ไม่ได้เข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ ให้ตาย! ถ้าให้เดาคุณระวังไอ้ทศพลไว้เถอะ”
“หมายความว่าไง”
“คุณถอยไป ผมจะเข้าไปคุยกับเจม”
“เอ๊ะ คุณศิ!”
ผมไม่ฟังคำทัดทาน เบี่ยงตัวหลบเจ้าบ้านไปด้านใน เจเรมี่นั่งอยู่บนโซฟา กอดถุงขนมไว้บนตัก สวมเสื้อตัวโคร่งใหญ่ กับกางเกงบอล รวบผมขึ้นมัดครึ่งหนึ่ง หันกลับมองผมที่เปิดประตูผ่างเข้าไปด้วยแววตาตระหนก เด็กหนุ่มวางถุงขนมไว้ข้างๆ ลุกขึ้นมาเผชิญหน้า
“มันทำอะไร”
“อะไรของคุณ”
“ไอ้ทศ”
ผมเดินเข้าไปหา เจเรมี่ก็ไม่ก้าวถอย เขาสงบนิ่ง แต่ใบหน้าบึ้งตึง ผมไม่สนใจหญิงสาวที่ตั้งตัวคอยขัดขวางไม่ให้ผมคุยกับเด็กหนุ่มอีกต่อไป ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ว่าที่เจเรมี่คิดเรื่องการตายของน้องชายผมไปยืดยาว ทั้งที่แค่เห็นหลักฐานการตายของศุภสินบางส่วนได้ว่าเป็นเพราะทศพลเป่าหู หลักฐานที่ได้มา ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับปีเตอร์ ไม่แม้แต่จะมีหลักฐานที่เป็นประโยชน์มาจากพี่เขยของเขาเลยด้วยซ้ำ
“เอามือมานี่”
“ไม่”
เจเรมี่หดกลับ ซ่อนมันไว้ด้านหลัง ผมไม่รีรอคว้าข้อศอกของอีกฝ่าย กระชากให้ยกขึ้น เหลืออาการบาดเจ็บบนข้อมือไม่มาก แต่มีร่องรอยบางอย่างที่บ่งบอกว่ามันเคยบอบช้ำมาก่อน และยังไม่หายสนิท เจเรมี่เป็นคนขาว ผมรู้ว่าเกิดรอยกับเด็กหนุ่มได้ง่ายมากหลังจากที่เคยลงโทษด้วยกุญแจข้อมือคราวนั้น
“มันทำอะไรบ้าง”
“ช่างมันเถอะ”
“จะช่างได้ยังไงมันทำคนของฉันเจ็บ!”
ผมเผลอใช้เสียงเกรี้ยวกราด ก่อนสงบลงเมื่ออีกฝ่ายไม่โต้เถียง เจเรมี่กระแอมไอ ก่อนหันไปคุยกับพี่สาวตัวเอง
“พี่จิ๊บไปทำงานเถอะ”
“นี่มันเรื่องอะไรเจม”
“ผมขอเคลียร์กับศิเอง ไม่เป็นไรหรอก เขาไม่ทำร้ายผม” ผู้ปกครองของเด็กหนุ่มกลอกตา แม้มีทีท่าว่าจะไม่รับฟังในทีแรก แต่เมื่อเจเรมี่รบเร้าก็ยอมล่าถอย
“มีอะไรรีบโทรมานะ เดี๋ยวพี่มีประชุม แต่ถ้าติดธุระ กลับมาไม่ได้ จะให้แซคมาหาทันที”
“อือ ไม่ต้องห่วง” เจเรมี่ย้ำ หญิงสาวคนเดิมจากไป พร้อมเสียงล้อรถบดถนน เหลือเพียงผมกับเด็กหนุ่มเพียงลำพัง ในบ้านอันเงียบสงัด แต่แม้ว่าทางจะสะดวกแล้วเราก็ต่างไม่พูดอะไรออกมา มองหน้า และสบตากันราวกับว่ามันสามารถสื่อทุกความรู้สึกออกไปได้
ผมขยับเท้าเข้าใกล้เจเรมี่จนได้กลิ่นของลมหายใจ เราใช้อากาศร่วมกัน สัมผัสได้ถึงไอร้อนระเหยจากร่างกาย ผมโอบกอดเขากลับเข้าอ้อมแขนโดยปราศจากคำขอโทษในทันที ที่เกรี้ยวกราดเมื่อครู่เบาบางลง ผมสงบเมื่ออยู่กับเขา และเขาก็เป็นคนเดียวที่ทำให้ผมคลั่งจนควบคุมตัวเองไม่ได้
“มาเอาทำไมป่านนี้ คุณควรจะออกมาตามหาผมตั้งแต่คืนนั้น”
“ถ้าตอนนั้นฉันรั้งไว้ นายจะอยู่กับฉันเหรอ” ผมเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตร่วมกับเจเรมี่และการรับมือที่ได้ผล เด็กหนุ่มไม่ตอบ เขาสงบนิ่งเพื่อให้ผมพูดต่อ
“ตอนนี้ใจเย็นลงบ้างหรือยังเจม”
ผมฟังเสียงหัวใจ ของอีกฝ่าย ภายใต้ความเงียบงันที่เด็กหนุ่มไม่ปริปากพูด เขาจะไม่ว่าร้ายทศพลด้วยซ้ำ ไม่พูดว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ทำไมเจเรมี่ถึงได้สับสนและเตลิดเปิดเปิงไปหมด และหน้าที่ของผมไม่ใช่คะยั้นคะยอ แต่เป็นการปลอบประโลมหัวใจที่บอบช้ำให้เข้ารูปเข้ารอยต่างหาก
“ฟังนะ ฉันแค่สงสัยว่าศุภสินตายยังไง ไม่ได้มีเจตนาไม่ดี ฉันสืบเรื่องของสิน และไม่อยากให้นายเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
“ทำไมคุณไม่พูดกับผมตรงๆ ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะอยู่ด้วยกัน”
“เจม สินโดนฆาตรกรรม ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือ...และในความไม่รู้นั้นแปลว่ามีอันตรายอยู่รอบตัว ฉันไม่อยากให้นายต้องรับผลพวงของมันไปด้วย”
“ไม่แฟร์เลย”
“อยู่เป็นคนที่ปลอดภัยให้ฉันได้ไหม” ความอ่อนแอของผมเป็นสิ่งที่เผยให้เจเรมี่รับรู้แต่เพียงผู้เดียว เขาฟึดฟัดขัดใจ ไม่สบอารมณ์ไปเสียทุกอย่าง
“คุณมันโกง”
“ฉันสูญเสียมากพอแล้วเจม ฉันไม่อยากเสียอะไรไปอีก”
“คุณแม่งเป็นผู้ชายที่แย่ชะมัด”
“ขอโทษ” ผมเอ่ยออกมาในท้ายที่สุด ผมไม่อยากให้เจเรมี่หลุดลอยไป มันมึนงง สับสน ความรู้สึกในวันที่ตื่นมาไม่เจอเด็กหนุ่มครั้งนี้สั่นไหวกว่าเมื่อหลายปีก่อน คล้ายตัวเองยืนอยู่บนเรือกลางมหาสมุทร โคลงเคลง ไหวหวั่น และไม่มีแรงใจจะต่อสู้สำหรับสิ่งใดก็ตาม ผมเหมือนคนติดเกาะ ใช้ชีวิตต่อไปได้แต่เหว่ว้า มองไม่เห็นอนาคต ความรู้สึกแบบนี้คงเพราะโดนพรากเอาความรักไป
ผมโอบกอดคนตัวเล็กกว่าไว้แนบแน่น นึกโกรธตัวเองที่ทำให้อีกฝ่ายร้องไห้ในคืนนั้น แต่ก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะรั้งเอาไว้ด้วยสองแขน
คืนนั้นเจเรมี่คงสับสนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และผมก็ปล่อยให้เขาไปหาใครคนอื่นเพื่อพักพิง
ถ้าไม่ใช่คำว่าขอโทษแล้ว ผมควรจะพูดอะไรออกไปอีก
“คุณจิ๊บบอกว่านายมีแผล”
“ทศ เขาอันธพาลทั่วไป แต่ไม่มีอะไร”
“กลัวใช่หรือเปล่า”
เจเรมี่พยักหน้าในอ้อมกอด เขากลับมาเป็นลูกแมวตัวเขื่องของผม โอนอ่อนผ่อนตามง่ายดาย
“กลับบ้านเรากันนะ”
ผมบรรจงจูบที่หน้าผาก สัมผัสถึงกลิ่นกายที่เหลือติดหมอนที่บ้านผ่านเนื้อหนังของอีกฝ่ายชัดเจน เป็นจุมพิตที่แผ่วเบา แต่หนักแน่น เจเรมี่ไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้นได้นาน เขาซบหน้าผากลงบนซอกคอ ออดอ้อนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่ยากที่จะปฏิเสธ
“เล่าให้ฟังได้ไหม เรื่องของสิน”
ผมพรูลมหายใจ
“เวลานี้...ฉันมีตัวเลือกอื่นอีกหรือไงคนดี”
TBC
อย่าโกรธคุณศิเลยยย คุณศิก็รักเจ็มเหมือนกันนน แง้