[END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]  (อ่าน 124628 ครั้ง)

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะค่ะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะค่ะ
สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อ ความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
********************************************************************************************
Omega’s Instinct สัญชาตญาณดิบ

โลกใบนี้ถูกกำหนดด้วยชนชั้น... ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง ทว่าชนชั้นไม่ได้ถูกแบ่งแยกโดยชาติตระกูล ทว่าแบ่งแยกโดย ‘เพศ’

อัลฟ่า [ α ] ...ชนชั้นสูงที่มีสิทธิ์แทบจะในทุกอย่าง
เบต้า [ β ] ...ชนชั้นกลางที่มีชีวิตล่องลอยไปวันๆ
โอเมก้า [ Ω ] ...ชนชั้นล่างที่แทบจะไม่ถูกเรียกว่ามนุษย์

...เศษสวะในสังคม ชิ้นเนื้อไร้ค่าที่สังคมตัดทิ้งไม่ได้จึงต้องเอาไปใช้ประโยชน์ในการเล่นสนุกของเหล่าชนชั้นสูงที่เรียกว่า ‘เกม’

เมื่อคนที่เกิดมาในชนชั้นสูงอย่าง ‘เจเรมี เมอร์ซี’ บุตรชายโทนของหนึ่งในตระกูลผู้นำเกิดอาการฮีท ความจริงที่ว่าเขาเป็นโอเมก้า ไม่ใช่อัลฟ่าทำให้เขาถูกลดลำดับชนชั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมวายร้ายอย่างเขาจะไปยืดอกยอมรับได้อย่างไร ความดื้อดึงทำให้คนที่พยายามปกป้องเขาถูกจับเป็นตัวประกัน เจเรมีจึงต้องกระโจนลงไปในเกมที่มีชีวิตเป็นเดิมพันอย่างไร้ทางเลือก การตัดสินใจบ้าคลั่งนั้นทำให้เขาได้เจอกับ ‘คริส ฟ็อกซ์’ อัลฟ่าตระกูลผู้นำจากแดนอื่นที่ถูกจองจำในข้อหากบฏ เป้าหมายของคริสมีอย่างเดียวคือแย่งชิงโอเมก้ามาเป็นของตัวเองให้ได้ ชัยชนะจะทวงคืนอิสระของเขาที่ถูกริดรอนไปแต่การครอบครองโอเมก้าอย่างเจเรมีนั้นไม่ง่ายเลย

…เหมือนกำลังสู้กับปีศาจอยู่ก็ไม่ปาน

เจเรมีจะเลือกฆ่าทุกคนเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ หรือยอมตกเป็นสมบัติของอัลฟ่าสักคนเพื่อแลกกับชีวิตของคนที่รัก เป็นสิ่งที่ใครก็คาดเดาไม่ได้จริงๆ...


********************************************************************************************

-Talks-

เรื่องนี้เป็นแนว Omegaverse ผสม Dystopia ค่ะ อยากเขียนแนวนี้บ้างเพราะเริ่มเบื่อแนวเดิมๆ เลยต้องขอลัดมาเขียนก่อน (ที่เหลือก็ดองไป ก๊ากกก) เรื่องนี้ได้ชื่อว่า omegaverse จริง แต่หนูแดงคงไม่เอ่ยถึงเรื่องท้องหรืออะไรมาก (หรืออาจจะมีเอ่ยถึงในตอนพิเศษ ขอดูอีกทีเพราะเนื้อเรื่องหลักไม่เอื้อให้เอ่ยถึงเลยค่ะ) ธีมเรื่องหลักๆ จะออกแนว Survival หน่อย นายเอกค่อนข้างจะบุคลิกแตกต่างจากที่หนูแดงเคยๆ เขียนมานิดนึง ใครชอบนายเอกบุคลิกเหมือนวายร้ายก็เข้าทางค่ะ ส่วนพระเอกก็คงหล่อไปวันๆ 555 คิดว่าเรื่องนี้น่าจะงานกล้ามๆ

ขอฝากฝังผลงานอีกเรื่องไว้ด้วยนะคะ ^^

ทวิตเตอร์ติดแท็ก #คริสเจมี่ นะคะ

********************************************************************************************

สารบัญ

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-03-2017 20:20:41 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Info.

แนะนำตัวละคร

เจเรมี เมอร์ซี

§  บุตรชายโทนตระกูลเมอร์ซี หนึ่งในตระกูลชนชั้นอัลฟ่าที่มีบทบาทในการควบคุมอำนาจการปกครองของทุกอาณาเขตประจำมหานครเพิร์ล
§  ชายหนุ่มวัยยี่สิบปี ผมสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าสว่าง เพศโอเมก้า (ที่เข้าใจมาตลอดว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า)
§  ได้ชื่อว่ามีรูปโฉมงดงามราวกับเทพบุตร ทว่านิสัยที่แท้จริงร้ายกาจไม่ต่างอะไรจากปีศาจร้าย เจ้าเล่ห์เพทุบาย ทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ
§  เชื่อมั่นว่ากฎมีไว้ให้แหก ความเชื่อที่เป็นบรรทัดฐานของสังคมมีไว้ให้ตั้งคำถาม การที่เขาคิดต่างจากคนอื่นไม่ได้เรียกว่าก้าวร้าวแต่เรียกว่าหัวก้าวหน้า ทว่าถ้าใครคิดต่างจากเขา เขาถือว่าเป็นศัตรูทั้งสิ้น
 
คริส ฟ็อกซ์

§  บุตรชายคนเล็กของตระกูลฟ็อกซ์ หนึ่งในตระกูลชนชั้นอัลฟ่าที่มีบทบาทในการปกครองแห่งอาณาเขตการปกครองพิเศษดีออน ซึ่งเป็นหนึ่งในอาณาเขตใต้การควบคุมของมหานครเพิร์ล
§  ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้า ผมสีแดง ดวงตาสีดำ ผิวสีแทน เพศอัลฟ่า
§  ทายาทตระกูลฟ็อกซ์ที่มีอนาคตไกล แต่ถูกจับในข้อหากบฏเสียก่อนเนื่องจากบิดาไม่ยอมอ่อนข้อให้กับมหานครเพิร์ลที่พยายามจะริดรอนอำนาจของอาณาเขตให้อยู่ใต้การควบคุม ถูกจองจำอยู่ในมหานครเพิร์ลร่วมสองปี
§  เป้าหมายคือกอบกู้อิสรภาพให้กับประชาชนของอาณาเขตในฐานะทายาทตระกูลผู้ปกครอง ทำอย่างไรก็ได้ให้มีชีวิตรอดกลับไปทวงความยุติธรรมให้วงศ์ตระกูล
 


รายละเอียดทั่วไป

เมือง


§  มหานครเพิร์ล

ศูนย์รวมอำนาจการปกครองของทุกอาณาเขต สมัยก่อนถูกเรียกเป็นอาณาเขตเช่นเดียวกัน แต่ตระกูลผู้ปกครองทั้งสี่ของอาณาเขตได้รุกรานอาณาเขตอื่นและรวบรวมเอาเขตต่างๆ มาอยู่ใต้การปกครองโดยเรียกอาณาเขตที่อยู่ใต้การปกครองว่าอาณาเขตการปกครองพิเศษ จากนั้นก็สถาปนาอาณาเขตตัวเองเป็นมหานครเพิร์ล

§  อาณาเขตการปกครองพิเศษดีออน
ก่อนหน้าเป็นอาณาเขตอิสระ ไม่ขึ้นตรงกับอาณาเขตใด ภายหลังถูกรุกราน เมื่อพ่ายแพ้ ตระกูลผู้นำจึงถูกยัดข้อหากบฏ บางส่วนถูกสังหาร บางส่วนถูกจองจำ ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาเขตการปกครองพิเศษดีออน การปกครองขึ้นตรงต่อมหานครเพิร์ล
 
ชนชั้นในสังคม

ชนชั้นในสังคมของมหานครเพิร์ลมีอยู่สามลำดับขั้น ได้แก่ ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง ถูกแบ่งแยกด้วยเพศสภาพ ไม่ใช่ต้นกำเนิด ได้แก่

§  ชนชั้นสูง หรืออัลฟ่า [ α ]

กลุ่มประชากรส่วนน้อย ถือว่าเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ชน มีสิทธิ์ทุกอย่างในมหานคร เป็นชนชั้นที่ควบคุมอำนาจการปกครองหรือกุมอำนาจในการบริหารจัดการธุรกิจห้างร้านรายใหญ่ของมหานคร อัลฟ่าถือว่าตัวเองเป็นพวกเลือดบริสุทธิ์ จะไม่แต่งงานกับชนชั้นอื่น สำหรับโอเมก้าที่มีผลต่อการดึงดูดของอัลฟ่าจะเป็นได้แค่ของเล่นทางเพศหรือเครี่องผลิตทายาทสำหรับตระกูลที่ไม่สามารถมีบุตรได้เท่านั้น หากเด็กออกมาเป็นอัลฟ่าจะเก็บเอาไว้ หากเป็นโอเมก้าจะถูกสังหารทิ้งหรือใช้เป็นหมากในการเล่นเกมที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่อัลฟ่า

§  ชนชั้นกลาง หรือเบต้า [ β ]

เป็นประชากรส่วนใหญ่ของมหานคร สถานะเป็นประชาชนในโครงสร้างทางสังคม เป็นเพศที่มีการสืบพันธุ์ตามปกติ ไม่มีปฏิกิริยาดึงดูดต่อฟีโรโมนของโอเมก้าและไม่มีแรงดึงดูดต่ออัลฟ่า

§  ชนชั้งล่าง หรือโอเมก้า [ Ω ]

ประชากรชนชั้นล่างของสังคม มีจำนวนน้อยที่สุดในบรรดาชนชั้นทั้งหมดเนื่องจากอัตราการเกิดต่ำ มีสถานะไม่ต่างอะไรจากสิ่งของ สามารถซื้อขายได้ราวกับทาส เป็นสินค้าราคาแพงของเหล่าอัลฟ่าสำหรับการละเล่นต่างๆ การสังหารโอเมก้าในครอบครองไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย โอเมก้าเพศชายสามารถตั้งครรภ์ได้ ในช่วงฮีทซึ่งจะเกิดขึ้นเดือนละหนึ่งครั้งจะปล่อยฟีโรโมนออกมาในปริมาณที่สูง สามารถดึงดูดอัลฟ่าได้เป็นอย่างดี ในบางครั้งจึงต้องมีการควบคุมด้วยการใช้ยาระงับอาการฮีทเพื่อไม่ให้อัลฟ่าทะเลาะวิวาทด้วยคดีแย่งชิงโอเมก้ากัน
------------------------------------
ข้อมูลคร่าวๆ ค่ะ แปะให้อ่านทำความเข้าใจก่อน ที่เหลือไปรออ่านในเนื้อเรื่องอีกทีเพราะถ้าอธิบายตรงนี้แล้วมันจะยาวมากกก

บอกไว้ก่อนว่า omegaverse ของหนูแดงก็ตามสไตล์หนูแดงแหละนะ อิงมาแค่เรื่องการแบ่งแยกเพศ ที่เหลือก็หนูแดงกำหนดกฏเกณฑ์เองค่ะ ระบอบปกครองด้วยนักเขียน เขียนตามใจฉัน 555 ดังนั้นถ้ามีใครมาแย้งว่าโอเมก้าเวิร์สต้องเป็นงี้ๆๆ อิงจากตามมังงะหรือนิยายเรื่องอื่นที่เคยอ่านมา ฯลฯ หนูแดงขออนุญาตปล่อยผ่านนะคะเพราะหนูแดงกำหนดของตัวเองมาอย่างนี้อะ กำหนดมาแบบไหนก็จะเขียนไปตามที่ตัวเองกำหนดเน้อ XD

ใครชอบแนวนี้ ขอฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ^^.
ปล.ทวิตเตอร์ติดแท็ก #เจมี่คริส นะคะ
     

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Prologue

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม…
มีความหลากหลาย
มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง
บางครั้งความหลากหลายเหล่านั้นก็ก่อให้เกิดปัญหา

หนทางที่จะขจัดปัญหาเหล่านั้นออกไป ดูเหมือนจะมีเพียงหนทางเดียว... ควบคุมระบบความคิดของมนุษย์ให้ไปในทิศทางเดียวกัน

การจำแนกลักษณะทางกายภาพของมนุษย์จึงถือกำเนิดขึ้น การจัดลำดับทางชนชั้นเพื่อให้สมาชิกในสังคมปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ที่พึงมีของตนถูกนำมาใช้เป็นรากฐานในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม

การผลักดันให้กลุ่มคนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นตัวปัญหาหลักของสังคมลงไปอยู่ชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหารเป็นเรื่องที่ควรกระทำ กลุ่มคนที่มีจำนวนมากหากทว่าไร้ความสามารถถูกนับเป็นประชากรส่วนใหญ่ ขณะที่กลุ่มคนจำนวนเกือบจะน้อยที่สุดทว่ามีความสามารถมากมีอำนาจในการถือครองสิทธิ์และควบคุมปัจจัยต่างๆ ทุกรูปแบบความคิดที่กลั่นกรองออกจากมันสมองของคนกลุ่มนี้ แน่นอนว่าเป็นความคิดที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเสริฐที่สุดแล้วสำหรับทุกชีวิต

ทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติตาม...
ทุกคนจำเป็นต้องยอมรับอย่างไร้เงื่อนไข...
การกระทำตามบทบาทหน้าที่ทุกอย่างต้องไปในแนวทางเดียวกันตามสถานะทางสังคมของตนเอง…
ทั้งหมดก็เพื่อ...ความสงบเรียบร้อย

หากแต่การจัดลำดับชนชั้นของกลุ่มคนจากยอดพีระมิดออกจะแปลกเสียหน่อย พวกเขาไม่ได้วัดค่าคนจากความสามารถหรือการจำแนกบุคคลจากต้นกำเนิดและวงศ์ตระกูล หากแต่เป็น...

...เพศ

ในโลกนี้มีเพศสรีระที่มองเห็นได้ด้วยตาอยู่สองลักษณะซึ่งก็คือเพศชายและเพศหญิง ทว่าเพศที่เป็นเครื่องมือในการแบ่งชนชั้นกลับเป็นเพศอีกรูปแบบหนึ่งที่แยกออกมาจากเพศสรีระ

อัลฟ่า [ α ] ...เพศที่ถือครองสิทธิ์ทุกอย่างในสังคม ความสามารถอันโดดเด่นทำให้ได้รับการยกย่องเป็นชนชั้นสูงของสังคม

เบต้า [ β ] ...เพศส่วนมากของประชากรทั่วไป ชนชั้นกลางของสังคมที่มีชีวิตตามครรลองที่อัลฟ่ากำหนดให้

และโอเมก้า [ Ω ] ...เพศที่ถูกบีบให้เป็นชนชั้นล่างและแทบจะไม่ถูกเรียกว่ามนุษย์ด้วยถูกขนานนามว่าเป็น ‘ตัวปัญหาของสังคม’
ชนชั้นสุดท้ายที่ถูกเรียกว่าเป็นตัวปัญหาเป็นเพราะเหล่าอัลฟ่าเห็นว่าพวกโอเมก้ามีอำนาจบางอย่างที่ได้จากธรรมชาติในการทำให้อัลฟ่าแตกคอกันเอง ในภาษาทางการเรียกว่าการ ‘เป็นฮีท (Heat)’ อาการเรียกร้องการผสมพันธุ์ซึ่งจะมีการปล่อยฟีโรโมนออกมา และสารเคมีจากร่างกายของโอเมก้านั้นมีผลต่อปฏิกิริยาคุ้มคลั่งของอัลฟ่า

กี่ทศวรรษแล้วที่เหล่าอัลฟ่าต้องเปิดศึกนองเลือดฆ่ากันเองเพียงเพราะแย่งชิงโอเมก้า เพื่อไม่ให้เสียบุคลากรในกลุ่มอัลฟ่าไป ดังนั้นการจำกัดการขยายพันธุ์ของโอเมก้าจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด

การกวาดล้างครั้งใหญ่ก่อกำเนิดขึ้น เด็กที่เกิดมาพร้อมกับเพศนี้มักจะถูกสังหารตั้งแต่ลืมตาเป็นทารก หากแต่ในระยะหลัง การสังหารเริ่มจะเบาบางลงเมื่อมีเรื่องของเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้อง

จาก ‘สิ่งมีชีวิตที่ควรกำจัด’ กลายเป็นชิ้นเนื้อไร้ค่าที่มีดีแค่ตอบสนอง ‘ความต้องการ’ ให้กับอัลฟ่าเท่านั้น มีหลายครั้งเช่นกันที่กลายเป็น ‘เครื่องจักรผลิตทายาท’

ใช่... เพศโอเมก้า ไม่ว่าจะสรีระเป็นชายหรือหญิงต่างสามารถให้กำเนิดทายาทได้ หากแต่ถ้าตั้งท้องให้กับอัลฟ่าแล้วเด็กที่เกิดมาเป็นโอเมก้า ชีวิตเล็กๆ นั่นจะไม่ได้รับการไยดี ถูกสังหารหรือส่งขายทอดตลาดทาสก็เป็นเรื่องที่อัลฟ่าผู้เป็นเจ้าของจะตัดสินใจ
ถึงจะเป็นผู้สืบสายเลือด แต่ถ้าหากเป็นโอเมก้าแล้ว ชนชั้นสูงอย่างอัลฟ่าก็ไม่มีทางยอมรับ

สายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะได้รับการนับญาติ แม้ความจริงจะเกิดจากเศษสวะชั้นต่ำของสังคม แต่อัลฟ่าก็คืออัลฟ่า และอัลฟ่าก็จะไม่มีทางเป็นโอเมก้าเด็ดขาด

ไม่มีวัน...





 
บทเรียนในชั้นเรียนของสถาบันพัฒนาบุคลากรของชนชั้นสูงแห่งมหานครเพิร์ลสร้างความน่าเบื่อหน่ายให้กับชายหนุ่มผมสีบลอนด์ไม่น้อย เขาจำไม่ได้ดีนักว่าตนได้ยินผู้เป็นอาจารย์สาธยายความสูงส่งของอัลฟ่าและสาเหตุที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นมากี่ครั้งแล้ว แต่จำได้ว่าได้ยินเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่จำความได้ ระบบความคิดว่าอัลฟ่าเป็นเพศที่สูงส่ง ส่วนโอเมก้าเป็นเพศที่ต่ำช้าเข้าหูเขานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเขาไม่เห็นว่ามันจะสมเหตุสมผลตรงไหนเลย นอกจากคิดว่ามันไม่ยุติธรรม

ถูกแล้ว... ไม่ยุติธรรมสำหรับพวกโอเมก้าหรือแม้แต่เบต้าที่เรียกได้ว่าเป็นแรงงานสำคัญของมหานครเอง ถึงระบบความคิดนี้มันจะเอื้อให้อัลฟ่าอย่างเขาได้รับผลประโยชน์สูงสุด แต่หากมองในมุมของเขาแล้ว เขาคิดว่าถึงความยุติธรรมจะมีไม่เท่าเทียมกัน อย่างน้อยพวกโอเมก้าก็สมควรได้รับการมองว่าเป็น ‘มนุษย์’ บ้าง ไม่ใช่เครื่องมือผลิตทายาท สิ่งของบำบัดความใคร่ หรือของเล่นในเกมปัญญาอ่อนอย่างที่เขาเห็นตรงหน้านี้

ดวงตาสีฟ้าสว่างกลอกขึ้นบนเล็กน้อยเมื่อเห็นโอเมก้าชายคนหนึ่งในสภาพเปลือยท่อนบนถูกมัดติดกับเก้าอี้หน้าชั้นเรียน สีหน้าของอีกฝ่ายดูทุกข์ทรมาน เนื้อตัวแดงเรื่อให้พอรู้ได้ว่าเลือดภายในสูบฉีดเพียงใด ดวงตาเรียวปรือ ดูท่าอีกไม่นานนี้สติสัมปชัญญะคงจะหลุดเป็นแน่

“เพราะโอเมก้ามีกลิ่นฟีโรโมนที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศซึ่งมีผลต่ออัลฟ่าโดยตรง เราจึงจำเป็นต้องควบคุมจำนวนอย่างที่พวกคุณรู้กันเพราะไม่อย่างนั้นมันจะเป็นปัญหา ผมเชื่อว่าพวกคุณบางคนคงจะเคยเห็นโอเมก้ามากันบ้าง แต่บางคนอาจจะไม่เคยรู้ว่าฤทธิ์ของกลิ่นฟีโรโมนมันรุนแรงขนาดไหน ต่อให้พวกคุณอัดยาต่อต้านการตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าเข้าไป แต่ถ้าโอเมก้าปล่อยฟีโรโมนออกมาถึงขีดสุด ยาอะไรก็ยากที่จะระงับ เหมือนอย่างตอนนี้ที่ผมให้ยากระตุ้นฟีโรโมนกับโอเมก้าเข้าไป พวกคุณจะรู้สึกตื่นเต้นโดยไม่มีสาเหตุ ส่วนโอเมก้าก็จะมีอาการประมาณนี้”

ผู้สอนประจำคลาสอธิบายพลางใช้เลเซอร์พอยเตอร์ส่องไปยังร่างกายของโอเมก้าคนนั้น ขณะที่บรรดานักศึกษาในชั้นเรียนที่ผ่านการทานยาต่อต้านการตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าเข้าไปแล้วมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กน้อยเมื่อจมูกได้กลิ่นหอมหวานแปลกๆ ลอยโชยมา อัลฟ่าเพศชายบางคนมีอาการตอบสนองขึ้นมาเล็กน้อยด้วยซ้ำ

สายตาของหนุ่มผมบลอนด์เหลือบไปมองยังคนข้างๆ เห็นเป้ากางเกงของคนคนนั้นมีรอยนูน ก็พลันหัวเราะหึในลำคอ

น่าสมเพช!

อาจจะมีแค่เขาคนเดียวที่คิดว่าสังคมที่เขาอยู่ แนวความคิดที่เขาถูกยัดเยียดฝังหัวมันเป็นเรื่องทุเรศ

“ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบางครั้งพวกเราต้องกำจัดพวกโอเมก้า เพื่อรักษาจำนวนของอัลฟ่าและความสงบสุขของสังคมเอาไว้ ต่อให้การกระทำนั้นมันโหดร้ายไปหน่อยก็ต้องทำ”

พอได้ยินศาสตราจารย์อธิบายต่ออย่างนั้น คนที่มองเหตุการณ์นั้นอยู่ตลอดก็ผินหน้าหนี ยกแขนขึ้นเท้าคาง ทำหูทวนลมด้วยความระอา

รักษาความสงบสุขของสังคมงั้นเหรอ? ตั้งแต่เกิดมาเห็นจะมีแต่อัลฟ่านี่แหละที่รังแกโอเมก้า ไม่เคยเห็นโอเมก้าคนไหนก่อความวุ่นวายเลย ดูอย่างตอนนี้สิ ก็มีแต่โอเมก้าที่ถูกรังแก ไหนว่าเป็นตัวปัญหาไง ย้อนแย้งชะมัด

แนวความคิดทุเรศจนไม่อยากจะได้ยินได้ฟังอีก หากแต่ปฏิเสธไปก็เท่านั้นเมื่อผู้สอนเห็นว่าลูกศิษย์ในคลาสคนหนึ่งออกอาการเมินต่างจากคนอื่นๆ ที่ตื่นเต้นกันจนเนื้อตัวสั่น

 “ตั้งใจฟังหน่อยคุณเมอร์ซี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่คลาสของผมจะพาโอเมก้าตัวเป็นๆ มาให้พวกคุณศึกษาอย่างใกล้ชิดได้”
คนถูกเรียกว่าเมอร์ซี หรือชื่อเต็มๆ เจเรมี เมอร์ซี เหลือบสายตากลับไปมองยังชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่กลางห้อง คำพูดนั้นทำให้เขาต้องแสยะยิ้มออกมา

“ก็คุณไม่พาเขาออกมาจากห้องนอนของคุณ แล้วผมจะได้ศึกษาใกล้ชิดได้ไงล่ะศาสตราจารย์ วันหลังก็รู้จักพาเขาออกจากห้องบ้าง ไม่ใช่ให้อยู่แต่บนเตียง”

คนถูกย้อนหน้าม้าน จริงอยู่ที่โอเมก้าซึ่งใช้เป็นตัวอย่างในการศึกษาเป็น ‘คนของเขา’ แต่จะเป็นไปเพื่ออะไรนั้นก็ไม่เห็นจะต้องพูดออกมาเลยนี่ รู้กันอยู่แก่ใจแล้ว การพูดออกมาโต้งๆ แบบนี้มันไร้มารยาทชะมัด

“ระวังคำพูดด้วยคุณเมอร์ซี สำหรับผม เขาก็แค่เพื่อการศึกษา”
“ก็ระวังอย่าหักโหมแล้วกันครับ คุณอายุมากแล้ว” เจเรมียังคงยอกย้อน

ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่ได้สอน ชายหนุ่มคนนี้มักแสดงท่าทางกระด่างกระเดื่องออกมาทุกที ต่างจากอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่เห็นดีเห็นงามด้วย และก็ไม่ใช่กับเขาคนเดียวด้วย กับผู้สอนคนอื่นๆ ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน แต่ก็ไม่แปลกใจนักเมื่อตระหนักได้ว่าคนคนนี้มาจากตระกูล ‘เมอร์ซี’

...ตระกูลหนึ่งในสี่ของกลุ่มผู้มีอำนาจในการปกครองมหานครแห่งนี้

ตระกูลที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ ของสภา

ถึงจะเป็นพวกชอบค้านกันตั้งแต่ต้นตระกูลยันรุ่นลูกหลาน กระนั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะมาอวดเบ่งในคลาสเรียนของเขาอย่างนี้ ก่อนที่ศาสตราจารย์จะยกมือขึ้นกอดอก พูดอย่างจริงจัง

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณไม่ชอบหน้าผมเพราะอะไร แต่อยากจะขอแนะนำว่าคุณควรจะตั้งใจให้มากกว่านี้ ต่อให้เหม็นขี้หน้าหรือหัวข้อประวัติศาสตร์การปกครองของผมมันจะน่าเบื่อ มันก็เป็นสิ่งที่อัลฟ่าต้องเรียนรู้ไว้โดยเฉพาะคนที่มาจากตระกูลนักปกครองอย่างคุณ”

ใจก็แค่อยากจะเตือนให้อีกฝ่ายตระหนักถึงหน้าที่ของตน หากแต่เจเรมีไม่ได้สนใจสักนิด ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มพราย
“การสอนของคุณก็ไม่ใช่ว่ามันจะห่วยแตกหรอกนะ แต่ผมคิดว่าแนวความคิดการปกครองอะไรนั่นมันฟังดูล้าหลังไปหน่อย”
ถูกปรามาสไม่พอ ยังโดนลูบคม

คนฟังถึงกับหน้าตึง สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงแล้วถามออกมา
“ล้าหลังยังไง ลองพูดมาสิ”

อยากจะแลกเปลี่ยนความคิดงั้นเหรอ? ก็ได้... เขาจะลองรับฟังดูสักหน่อย อยากรู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มที่เอาแต่ต่อต้านไปเสียทุกเรื่องจะพูดอะไร

ในเมื่อเปิดโอกาส เจเรมีก็ยืดตัวขึ้น ว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ผมคิดว่าไอ้ความคิดเรื่องโอเมก้าต้องถูกกำจัดถ้ามีปริมาณเยอะขึ้นมันทุเรศน่ะ เอาจริงๆ พวกนั้นมันก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเราใช่ไหมล่ะ ทำไมถึงถูกกำหนดให้เป็นเหยื่อ ในเมื่อเลือกเกิดไม่ได้ เลือกเพศก็ไม่ได้ ก็น่าจะมีสิทธิ์เลือกวิถีชีวิตตัวเองสิจริงไหม ผมว่าจริงๆ แล้วตัวปัญหาของสังคมอะไรที่คุณพูดนั่นไม่น่าจะใช่โอเมก้าด้วยซ้ำไปนะ แต่เป็นพวกอัลฟ่าอย่างคุณกับผมนี่แหละ”

เอาอีกแล้ว...

ศาสตราจารย์รำพึงในใจขึ้นมาทันที สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องที่เจเรมีมักพูดบ่อยๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถามอะไรทำนองนี้ และไม่ใช่กับเขาคนเดียวด้วย เจเรมีมักจะมีแนวความคิดต่อต้านสังคมแบบนี้เสมอ ตั้งแต่เขาเข้ามาศึกษาในสถาบันแห่งนี้ ก็ไม่เคยมีผู้สอนคนไหนรอดพ้นไปจากคำถามท้าทายเชิงต่อต้านสังคมเลยสักคน

แรกๆ ก็ตกใจ ผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าท้าทาย หลังๆ ชักกลายเป็นความน่ารำคาญละ เขาเองก็ไม่อยากจะตอบสักเท่าไหร่นักด้วยรู้ว่าถ้าตอบไปแล้ว คำถามอื่นๆ ต้องตามมาแน่ๆ จึงได้แต่เบนความสนใจไปเป็นการตักเตือน

“ความคิดต่อต้านสิ่งที่เป็นบรรทัดฐานของสังคมมันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะคุณเมอร์ซี”
“จะบอกว่าผมไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามต่ออะไรก็แล้วแต่ที่สังคมบอกว่าดีงั้นสิ?” เจเรมีเลิกคิ้วสูง สีหน้ากวนประสาทปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจน “โถ น่าเสียดาย นึกว่าคุณจะมีความสามารถพอที่จะตอบคำถามผมซะอีก”
คนมองต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะไม่หัวเสียกับคำพูดท้าทายของชายหนุ่มรุ่นลูกก่อนอธิบายออกไป
“ผมก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่สิ่งที่คนรุ่นก่อนคิดและวางแบบแผนให้มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว คุณไม่ต้องนึกสงสัยหรอก ถ้ามันไม่ดีจริงคงจะไม่ยึดถือปฏิบัติการมาหลายทศวรรษ”

การเลี่ยงที่จะตอบคำถามแบบขอไปทีทำให้เจเรมีพูดขึ้นมาลอยๆ
“คิดกันไปเองว่าดีล่ะสิไม่ว่า”

พูดแล้วก็จับจ้องยังใบหน้าของชายวัยกลางคนตรงหน้า คนอาวุโสกว่าไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเขามากนัก ต่อปากต่อคำไปก็รังแต่จะเสียเวลา ซ้ำยังจะทำให้อารมณ์เสีย ตอนนี้บรรยากาศในคลาสเรียนก็เริ่มจะกร่อยแล้วด้วย ตัดบทไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเลยจะดีกว่า

“จะคิดยังไงก็เอาเถอะคุณเมอร์ซี แต่ผมขอเตือนไว้อย่างนึง”
เจเรมีเลิกคิ้วสูง
“ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเสนอความเห็นอะไรที่มีแนวโน้มจะเอื้อผลประโยชน์ให้กับพวกโอเมก้า สำหรับตอนนี้น่ะอาจจะถามได้เพราะคุณกำลังศึกษาในสถาบัน แต่ถ้าคุณออกจากที่นี่ไปเมื่อไหร่ ไปพูดอะไรทำนองนี้ในชีวิตจริง ระวังจะใช้ชีวิตไม่ราบรื่นนะ อย่าลืมว่าคุณไม่ใช่โอเมก้า ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิ์ให้คนพวกนั้น ทำตามที่อัลฟ่าควรจะทำก็พอแล้ว”
ได้ยินแล้วก็ขัดใจ ทำไมล่ะ ในเมื่อเขาไม่เห็นด้วยก็อยากจะแสดงความคิดเห็นบ้างไม่ได้งั้นหรือ?

ขนาดในหมู่อัลฟ่าด้วยกันยังไร้ซึ่งความยุติธรรมในการใช้สิทธิ์เลยให้ตายสิ!

แต่คนอย่างเจเรมีไม่ใช่พวกที่จะหุบปากเงียบแล้วทำตัวสงบเสงี่ยมเชื่อฟังโดยง่าย ถูกตอกกลับมาอย่างนั้น เขาก็สวนคืนทันที
“แล้วถ้าผมเป็นคนพวกนั้น... เวลาเห็นผมแล้วคุณจะเกิดอาการติดสัดด้วยไหมล่ะศาสตราจารย์”
“พูดอะไรของคุณ”
คนถูกทักย่นคิ้ว ก่อนหน้ารู้สึกว่าถูกดูถูกแล้วนะ แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกดลงให้ต่ำมากกว่าอีก
เจเรมีไม่ตอบในทันที ค่อยๆ ไล่สายตาจากใบหน้าย่นยู่ลงมายังเป้ากางเกงของอีกฝ่ายแล้วพยักปลายคางเล็กน้อย
“ไอ้หนูของคุณน่ะออกอาการแล้ว เก็บอาการหน่อยครับศาสตราจารย์ ไม่จำเป็นต้องติดสัดตามผู้เรียน เอ หรือว่ามันจะเป็นเรื่องปกติของคุณ”

คำพูดอวดดีหลุดออกจากริมฝีปากหนา ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งความรู้สึกผิดที่พูดจาโอหัง ซ้ำยังยกยิ้มขึ้น ดูอย่างไรก็เป็นการยิ้มเย้ย และทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำมือแน่น จ้องเขาอย่างเกรี้ยวกราด

เห็นอย่างนั้น เจเรมีก็บิดตัวออกจากโต๊ะมาด้านข้าง อ้าขาออกกว้างแล้วชี้นิ้วไปยังส่วนกลางของลำตัว
“ว่าไงล่ะ ถ้าผมเป็นโอเมก้า เห็นผมทำท่าแบบนี้แล้วคุณจะออกอาการติดสัดไหม”
“คุณเมอร์ซี!”

คนมองแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างปกปิดไม่มิด สุดจะทนกับคนคนนี้แล้ว ขณะที่คนยั่วเย้ารอดูอย่างใจจดใจจ่อว่าศาสตราจารย์ที่เอาแต่อวดภูมิความรู้ใส่เขาจะตอบโต้อย่างไร ทว่ายังไม่ทันจะได้เห็น ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งมองเหตุการณ์โดยตลอดก็รีบเอื้อมมือไปสะกิดเพื่อนให้หยุดการกระทำบ้าๆ

“เจมี่ หยุดทำแบบนั้นน่า”
เจเรมีหันไปตามต้นเสียง เห็นหน้าเพื่อนสนิทที่ชื่ออัลเบิร์ตดูกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก็หัวเราะลั่น
“นายเองก็อยากจะติดสัดเหมือนศาสตราจารย์เหรออัล เอาซี่ โอเมก้าอย่างฉันจะถ่างขารอ”
“เจมี่...”
“เอ้า คงไม่ต้องรอแล้วล่ะมั้ง นายติดสัดไปแล้วนี่”
ยังจะล้อเลียนไม่หยุดอีก ชี้นิ้วไปยังบริเวณกลางลำตัวของเพื่อนที่มีอาการเดียวกันกับคนอื่นๆ ด้วย ก่อนที่อัลเบิร์ตจะหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายขึ้นมา

ไม่สิ ไม่ใช่แค่อัลเบิร์ต ศาสตราจารย์เองก็เช่นกันทว่าเป็นเพราะความโกรธ ก่อนเขาจะตบโต๊ะดังปัง เรียกสายตาของเจเรมีให้หันกลับไป

“ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะเรียนในคลาสผมก็ขอเชิญออกไปก่อนแล้วกัน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับเข้ามา”
“ช่วยไม่ได้น้า...” เจเรมียืดตัวขึ้น บิดขี้เกียจเล็กน้อย ทำท่าทางไม่ยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด หันไปชักชวนเพื่อนอีก “นายก็ไปกับฉันด้วยสิ”
“เอ่อ...คือ...” อัลเบิร์ตที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกออกอาการเลิ่กลั่ก มองเพื่อนตัวเองกับศาสตราจารย์สลับกันไปมาแล้วก็ต้องชะงัก
“มัวแต่นั่งอยู่นั่น ตามมาเร็วๆ”

พูดจบ เจเรมีก็เดินออกจากห้องบรรยายไปแล้ว ไม่สนใจสายตาของเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่มองมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมน่าระอาแม้แต่น้อย ปล่อยให้อัลเบิร์ตทนรับกับสายตาทิ่มแทงนี้เพราะเป็นเพื่อนสนิทไม่ไหว รีบลุกขึ้น หันไปเอ่ยขอโทษคนอาวุโสกว่าเล็กน้อยแล้วก้าวตามออกไป ปล่อยให้ชั้นเรียนได้เข้าสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อ ‘จอมวายร้าย’ จากไป

จอมวายร้ายประจำหมู่อัลฟ่าที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่าง...เจเรมี เมอร์ซี

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 01: จอมวายร้าย[1]

“ให้ตายเถอะเจมี่ นายไม่น่าพูดกับศาสตราจารย์แบบนั้นเลยนะ” พ้นจากบริเวณหน้าห้องบรรยายมาได้ อัลเบิร์ตก็หลุดตำหนิเพื่อนสนิททันที

เจเรมีไม่มีท่าทีสนใจกับคำร้องท้วงนั้น ก้าวเดินต่อไปให้อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะเอ่ยอีก
“เมื่อไหร่นายจะหยุดก่อกวนสักที เมื่อวานนายก็เพิ่งจะเพิ่งจะทำคุณอีตันโมโหไป วันนี้ก็ทำศาสตราจารย์คอร์ทนีย์หัวเสียอีก พักนี้นายจะหาเรื่องมากไปแล้วนะ”
“อ้อ ตาแก่นั่นชื่อคอร์ทนีย์เหรอ?”
แทนที่จะฟังเพื่อนดันถามชื่อคนที่ตัวเองเพิ่งจะยั่วโทสะไปเสียอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาชื่ออะไร

อัลเบิร์ตถอนหายใจออกมา ยกมือขึ้นคลึงขมับเล็กน้อย พึมพำอย่างเหนื่อยใจ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่นายกลายเป็นพวกขวางโลกแบบสุดโต่งอย่างนี้ นายปั่นประสาทอาจารย์ไปกี่คนแล้ว”
กี่คนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องมานั่งจำหรอก เอาเป็นว่าแทบจะไม่มีใครเหลือรอดจากการถูกเจเรมีปั่นหัวก็แล้วกัน และเขาก็ไม่ใส่ใจด้วยเพราะนั่นเป็นนิสัยพื้นเพของเขา

สงสัยก็ต้องถาม...
เห็นต่างก็ต้องโต้แย้ง...

คนพวกนั้นคิดว่าตัวเองมีความรู้สูงส่ง ไม่เปิดใจยอมรับฟังเอง มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องโดนลองภูมิ เพียงแต่การลองภูมิของทายาทตระกูลเมอร์ซีออกจะร้ายกาจและหยาบคายไปหน่อยก็เท่านั้น

“ฉันก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เจเรมีว่าอย่างไม่ยี่ระ ทำเอาอัลเบิร์ตเหนื่อยใจหนักขึ้นไปอีก
“ใช่ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย แต่พอเข้าสถาบันพัฒนาฯ เมื่อปีก่อน นายก็ทำตัวขวางโลกมากขึ้น ตอนนี้ขึ้นปีสองแล้ว แทนที่จะเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม ดันนิสัยเสียยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อไหร่นายจะเพลาไอ้ความกวนประสาทนั่นลงสักที”
“เมื่อฉันตายล่ะมั้ง” เสียงหัวเราะขบขันหลุดออกจากริมฝีปากหนาของเจเรมี ทำเอาอัลเบิร์ตย่นปากยู่ ก่อนที่จอมวายร้ายจะถลาเข้าไปกอดคอเพื่อน “จริงจังไปได้น่า ฉันเป็นแบบนี้ นายน่าจะชินแล้วนี่อัล”
“ชินมันก็ชินอยู่หรอก แต่มันวางตัวลำบาก”

วางตัวลำบากเพราะการกระทำของเจเรมีนี่แหละ เขาแทบจะกลายเป็นคนไม่มีสังคมเพราะเพื่อนสนิทเป็นคนน่ารังเกียจอย่างนี้เนี่ย
เจเรมีไม่เถียงหรอกว่าเขาร้ายกาจขนาดไหน หากนับตั้งแต่ตอนจบการศึกษาระดับตอนปลายจนมาเข้าสถาบันพัฒนาบุคลากรที่เป็นสถาบันบ่มเพาะเยาวชนอัลฟ่าเพื่อขัดเกลาก่อนจะออกไปเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงชนชั้นสูงของมหานครเพิร์ล ก็ไม่รู้เลยว่าเขาก่อวีรกรรมชวนปวดกะโหลกให้กับเพื่อนและวงศ์ตระกูลมากี่ครั้งแล้ว

ตั้งแต่เถียงไม่เลือกหน้า ก่อความวุ่นวาย จนถึงขั้นทะเลาะวิวาท เจเรมีล้วนทำมาแล้วทั้งสิ้น

แต่นั่นก็เพราะเขาแค่ไม่ได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยเฉยๆ นี่นา ในเมื่อไม่ได้คำตอบก็ต้องถาม มันไม่ใช่ความก้าวร้าวสักหน่อย ที่เขาทำน่ะมันเรียกว่าหัวก้าวหน้า

“นายจะไปใส่ใจทำไม ก็แค่เรื่องเล็กน้อย”
“มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะเจมี่ ต่อให้จบการศึกษาจากที่นี่ไป เราก็ต้องเจอกับคนพวกนี้อยู่ดี แวดวงพวกอัลฟ่ามันจะกว้างสักแค่ไหนกันเชียว จบออกไปแล้วก็ต้องไปทำงานเจอหน้ากันทั้งนั้น นายเป็นแบบนี้ ในอนาคตจะทำงานร่วมกับคนอื่นยากนะ”
อัลเบิร์ตเตือนตามความเป็นจริง กลุ่มอัลฟ่ามีจำนวนค่อนข้างน้อยนับเป็นหนึ่งในสี่ของพวกเบต้าเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรเสีย กลุ่มโอเมก้าก็ยังมีน้อยกว่าอีกมากโข

ส่วนเจเรมีก็รู้ดีแก่ใจว่าการที่เข้ามาศึกษาต่อในสถาบันพัฒนาบุคลากรอัลฟ่านี้ เป็นไปเพื่อให้เหล่าทายาทตระกูลอัลฟ่าได้เรียนรู้ระบบแบบแผนของกลุ่มคนบนยอดพีระมิดพึงปฏิบัติก่อนจะออกไปทำหน้าที่ทางสังคมที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นอัลฟ่าอย่างเขาจะได้รับการศึกษาที่สูงกว่าพวกเบต้าที่ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาสูงสุดแค่การศึกษาระดับตอนปลายซึ่งจะเทียบเท่าอายุสิบแปดปีพอดี จากนั้นก็จะออกไปทำงานตามที่ตนถนัด มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการศึกษาต่อสูงขึ้นเพื่อมาช่วยงานในองค์กรใหญ่ๆ ของอัลฟ่า และแน่นอนว่าสถาบันที่ให้การศึกษานั้นไม่ใช่สถานที่เดียวกับพวกเขา

บอกแล้วว่าอัลฟ่ามีสิทธิพิเศษเหนือทุกชนชั้นในสังคม เรื่องอะไรที่จะยอมให้มีชนชั้นอื่นมาเจือปนความบริสุทธิ์ของพวกเขากันล่ะ แม้แต่สถานที่ก็ยังใช้หายใจร่วมกับแทบไม่ได้โดยอ้างว่าที่ต้องจัดการอย่างนี้ก็เป็นไปเพื่อความสงบสุข

สงบสุขบ้าบออะไร มันเป็นความเห็นแก่ตัวชัดๆ!

หากแต่เจเรมีไม่อยากจะใส่ใจนัก อย่างไรเสีย จบการศึกษาในอีกสองปีข้างหน้า เขาก็ต้องมารับช่วงต่อจากบิดาซึ่งเป็นผู้ถือครองตำแหน่งหนึ่งในสี่ตระกูลผู้ปกครองมหานครเพิร์ลอยู่ดี ให้ไปทำอย่างอื่นก็ดูท่าจะไม่มีฝ่ายไหนอยากจะรับฝากฝังนัก

เป็นตัวก่อกวนถึงขนาดชื่อเสียงลือลั่นไปทั่วอย่างนี้ คงจะมีใครอยากเสี่ยงรับเข้าไปให้องค์กรวุ่นวายหรอก

แต่นั่นไม่ใช่เขาแค่คนเดียวที่มีลักษณะนิสัยอย่างนี้ บิดาของเขาเองอย่าง เจอโรม เมอร์ซี ก็เช่นกัน แม้จะเป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลผู้ปกครองที่รั้งตำแหน่งในสภาระดับสูง แต่การที่เขาได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ ก็แสดงว่าความคิดความอ่านค่อนข้างจะขวางโลกพอสมควรเช่นกัน หลายครั้งทีเดียวที่ความคิดเห็นของเขาไปขัดแย้งกับนโยบายของผู้นำจากอีกสามตระกูลจนเกิดเป็นเรื่องเป็นราว แต่นั่นก็นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งเพราะทำให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจกัน ทว่าอุปนิสัยอย่างนี้ก็ไม่มีใครชอบเท่าไหร่นัก หากไม่ใช่เพราะตระกูลเมอร์ซีมีอิทธิพลในการปกครองมหานครแห่งนี้มายาวนานหลายทศวรรษล่ะก็ ป่านนี้คงไม่ได้เชิดหน้าชูตาหยิ่งผยองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก

“นายคิดมากเกินไปแล้วอัล” ได้ยินเพื่อนบ่นไม่เลิก เจเรมีก็อดรำคาญไม่ได้
“การกระทำของนายสมควรให้ฉันคิดมากหรือเปล่าล่ะ” อัลเบิร์ตชักสีหน้า “กว่าจะจบออกไป ฉันคงโดนคนทั้งสถาบันเกลียดขี้หน้าตามนายไปด้วย”

รอบนี้ไม่ได้บ่นลอยๆ สีหน้าเคร่งเครียดบ่งบอกให้รู้ว่าเขาจริงจัง นั่นทำให้เจเรมีต้องจะเขย่าตัวเพื่อนเป็นการใหญ่
“เกลียดก็ดีสิ นายจะได้มีฉันเป็นเพื่อนสนิทชั่วชีวิต ดีนะ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เกิดจนตาย มีใครเขาคบกันได้ยาวนานขนาดนี้บ้าง”
ยังมีหน้ามายิ้มกว้างอีก เขี้ยวคมๆ ที่เผยออกมาให้เห็นกับท่าทางทะเล้นทำให้อัลเบิร์ตต้องหัวเราะ
“ฉันคงจะเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนวัยอันควรแน่”

สุดท้ายก็ต้องยอม อย่างที่เจเรมีพูด เขาเป็นเพื่อนสนิทกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่จำความได้แล้ว นั่นก็เพราะบิดาของเขาซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณะสุขค่อนข้างสนิทสนมกับตระกูลเมอร์ซี ทั้งคู่จึงได้พบปะกันบ่อยกระทั่งกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างที่เห็น
ความจริงเจเรมีก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่หัวดื้อและซุกซนมากกว่าคนทั่วไปสักหน่อย มันเลยเกิดปัญหาตามมาให้แก้ไม่หยุดจนเขาต้องออกรับหน้าแทน หรือไม่ก็เป็นคนห้ามทัพไม่ให้เจเรมีทำสถานการณ์ให้เลวร้ายลงกว่าเดิมอยู่บ่อยครั้ง

“ฉันไม่ปล่อยให้นายตายหรอกน่า นายยังต้องตามเก็บตามเช็ดให้ฉันอีกนาน”
เจเรมีรู้ตัวว่าอัลเบิร์ตมักทำอย่างนั้นจึงว่าเย้าไปก่อนจะเลื่อนมือไปยีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนบนศีรษะเพื่อนแล้วผละออกไป
อัลเบิร์ตหัวเราะให้กับการกระทำนั้น มองคนตัวสูงกว่าที่เดินลิ่วนำหน้าไปอย่างชื่นชม

ใช่ ชื่นชม ลึกๆ แล้วเขาชื่นชมในความกล้าของเจเรมีอยู่มาก

ใบหน้าคมคายหล่อเหลา รอยยิ้มที่แสนเย้ายวน ร่างกายสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ล้วนแล้วแต่ทำให้เขากลายเป็นที่พูดถึงของสาวๆ ทั้งอัลฟ่าและเบต้าได้ไม่ยากนัก หากไม่นับนิสัยห่ามๆ ของอีกฝ่ายกับการทำอะไรไม่ค่อยคิดแล้วล่ะก็ พูดได้เต็มปากเลยว่าเจเรมีเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว ต่างจากเขาที่รูปร่างสันทัด หน้าตาก็พอดูได้ ซ้ำยังไม่ค่อยจะมีปากมีเสียงกับใครเท่าไหร่จนถูกกลั่นแกล้งจากอัลฟ่าด้วยกันอยู่บ่อยๆ

ถ้าไม่มีเจเรมีสักคน เขาคงจะเป็นไอ้ขี้แพ้ที่วันๆ เอาแต่ท่องตำรา ไม่มีเพื่อนคบไปตลอดชีวิตแล้ว...

“จะยืนมองอีกนานไหม รีบตามมาเร็ว” เห็นเพื่อนไม่ยอมก้าวตามมาก็หันไปร้องเรียก
อัลเบิร์ตก้าวฉับอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็ไปเดินเคียงข้าง ก่อนจะเอ่ยถาม
“แล้วจะเอาไงต่อ ถูกไล่ออกมาอย่างนี้แล้วจะกลับเข้าไปไหม หรือจะรอเข้าฟังบรรยายคลาสต่อไป”
“นายยังคิดจะให้ฉันเข้าไปในห้องเส็งเคร็งนั่นอีกหรือไง” เจเรมีถามกลับโดยไม่มองหน้า สายตามองตรงคล้ายกับว่าไม่ได้สนใจคนข้างกายนัก
“ถ้าไม่กลับเข้าไป แล้วนายจะไปไหน”

ฉับพลันเจเรมีก็หยุดเดิน เหลียวมามองหน้าเพื่อนพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“มีที่สนุกๆ ให้ไปก็แล้วกัน”
“อย่าบอกนะว่า...ข้างนอก?”

เจเรมีส่งเสียงขานรับว่า ‘อือฮึ’ มา อัลเบิร์ตถอนหายใจอีกแล้ว ถ้าวันนี้เขาทำอย่างนี้อีกที มีหวังเส้นผมของเขาคงได้กลายเป็นสีขาวแน่

เมื่อวานก็เป็นอย่างนี้ ไปยั่วประสาทอาจารย์จนถูกไล่ออกมาแล้วสุดท้ายก็ออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก วันนี้ก็จะเอาอย่างนั้นอีกเหรอ?
เอาอย่างนั้นแหละ เจเรมีเคยมีท่าทีว่าอยากฟังบรรยายในสถาบันเสียที่ไหน ยิ่งวันนี้ไม่มีคลาสเรียนวิชาที่เขาโปรดปรานด้วย เขาไม่อยู่ให้เสียเวลาหรอก

“งั้นวันนี้จะไปไหนล่ะ” ยอมจำนนต่อความดื้อด้านของเจเรมีจนได้

อีกฝ่ายเผยอริมฝีปากขึ้น
“ตลาดมืดเป็นไง นายยังไม่เคยไปนี่ ฉันเองก็ไม่เคยไป”

คนฟังเบิกตาโตทันควัน
“อย่าบอกนะว่าตลาดมืดที่หมายถึงจะเป็น...”
“ตลาดค้าโอเมก้า” เจเรมียักคิ้วขณะให้คำตอบ

อัลเบิร์ตตั้งท่าจะร้องห้ามด้วยไม่เป็นการดีสักเท่าไหร่นักถ้าพวกเขาจะไปเดินเตร่อยู่ในนั้น ถ้าหากเจอคนรู้จักขึ้นมา มีหวังพวกเขาถูกมองในแง่ลบแน่แม้ว่าจะเป็นที่รู้กันดีว่าพวกอัลฟ่าไปที่ตลาดค้าโอเมก้าเพื่ออะไร กระนั้นก็ไม่ได้เป็นการกระทำที่สามารถเปิดเผยได้ มันเสี่ยงต่อการถูกดูหมิ่นฐานะในสังคม

แต่คนอย่างเจเรมีจะสนใจอะไรล่ะ เห็นเพื่อนอ้าปากจะห้ามก็คว้าคอเพื่อนมากอดแล้ว
“อย่ามัวชักช้าน่า รีบไปกัน”
“เดี๋ยวเจมี่ อย่าเพิ่ง...”

ปากกำลังจะร้องห้าม ขืนตัวไม่ยอมออกเดิน ทว่าก็เห็นอะไรบางอย่างตกออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเจเรมีเสียก่อน เหลือบมองไปก็เห็นว่าเป็นยาเม็ดสีฟ้าที่ศาสตราจารย์คอร์ทนีย์แจกจ่ายให้นักศึกษาทุกคนก่อนจะเริ่มคลาสเพื่อต่อต้านการตอบสนองต่ออาการฮีทของโอเมก้าที่เขานำตัวมาสาธิตประกอบการบรรยาย

อัลเบิร์ตยกแขนล่ำของเพื่อนออกจากตัว ก้มลงเก็บยาเม็ดนั้นขึ้นมาพลางชูขึ้นตรงหน้า
“นายไม่ได้กินยานี่เหรอ”
เจเรมีหันไปมอง พยักหน้ารับ
“ก็เห็นๆ อยู่”

ความสงสัยประดังประเดเข้ามาในสมองของอัลเบิร์ตทันที

ในเมื่อไม่ได้กินยาต้าน แล้วทำไมเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับอาการฮีทของโอเมก้า ทั้งที่คนอื่นๆ กินยาต้านเข้าไปแล้วแต่ก็ยังมีอาการเมื่อโอเมก้าปล่อยฟีโรโมนออกมาในปริมาณมาก?

เพราะอะไรกัน?

“ทำไมล่ะ”
สงสัยจนทนไม่ไหวจึงต้องถามออกไป ใจอยากจะถามเหตุผลด้วยว่าทำไมเขาถึงยังมีอาการปกติได้

เจเรมีรู้ว่าเดี๋ยวคนตรงหน้าจะต้องถามอย่างนั้นจึงยื่นแขนซ้ายออกไปตรงหน้า ถกแขนเสื้อเครื่องแบบที่ยาวจนถึงข้อมือมาให้เห็นข้อพับ รอยจุดแดงๆ บนนั้นทำให้อัลเบิร์ตย่นคิ้วยู่เข้าไปอีก

“เมื่อเช้าฉันเพิ่งถูกฉีดยามา หมอบอกว่าช่วงนี้อาการแย่ ต้องฉีดยาเช้าเย็นแล้วก็ห้ามรับยาตัวอื่นเพื่อป้องกันผลข้างเคียงน่ะ”

อีกฝ่ายอธิบายออกมาแล้ว อัลเบิร์ตก็ไม่สงสัย รู้ดีว่าที่เจเรมีต้องฉีดยาอย่างนี้ทุกวันเป็นเพราะเขามีโรคประจำตัวตั้งแต่กำเนิด แต่ไม่รู้หรอกว่าโรคอะไร เคยถามบิดาของตัวเองแล้วเพราะดูท่าทางจะรู้กันกับครอบครัวของเจเรมีว่าเพื่อนเขาป่วยเป็นอะไร หากแต่ได้เพียงคำตอบว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา พร้อมกับเหตุผลว่าจำเป็นต้องปิดเรื่องที่เจเรมีป่วยเป็นความลับด้วยเกรงว่าจะมีผลต่อการเข้ารับตำแหน่งซึ่งสืบต่อจากเจอโรมในอนาคตได้ เช่นพวกผู้นำอีกสามตระกูลอาจจะปฏิเสธที่จะยอมรับเจเรมีด้วยเหตุผลว่าเขาไม่แข็งแรงอะไรอย่างนั้น

อย่าว่าแต่เขาไม่รู้เลยว่าเจเรมีป่วยเป็นโรคอะไร เจเรมีเองก็ไม่รู้เช่นกัน แค่พ่อแม่บอกว่าร่างกายของเขาไม่ปกติ จำเป็นต้องได้รับการรักษา เขาก็รับยาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อายุสิบสาม

จากแค่รับประทานเฉยๆ ก็เริ่มกลายมาเป็นฉีดเข้าเส้นเลือด
จากแค่รับยาอาทิตย์ละครั้ง กลายมาเป็นสองสามวันครั้ง ไม่นานก็เป็นวันละครั้ง จนตอนนี้ถูกฉีดเช้าฉีดเย็นไปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร ถามทีไรก็ถูกปฏิเสธที่จะให้คำตอบมาทุกครั้งจนเขาเลิกถามไปแล้ว รู้เพียงอย่างเดียวว่า...

...เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรกับฟีโรโมนของโอเมก้า

อาจจะเป็นความผิดปกตินี้ก็เป็นได้ที่ทำให้เขาต้องได้รับการรักษาเพื่อให้มีสภาพร่างกายเหมือนกับอัลฟ่าคนอื่นๆ ทำให้เขาไม่จำเป็นที่จะต้องกินยาต่อต้านฟีโรโมนอะไรนั่น

สำหรับอัลเบิร์ตแล้ว เขาไม่เห็นว่าเจเรมีจะดูเหมือนคนป่วยอะไรแม้แต่น้อย ร่างกายแข็งแรงกำยำขนาดนั้น ต่อให้ถูกรถบรรทุกชนก็ยังไม่ตายเลย รถพานจะพังแทนเสียอีก เขาต่างหากที่ดูเหมือนคนป่วยมากกว่าน่ะ

“จะถือมันอีกนานไหม ถ้านายไม่ใช้ก็ทิ้งมันไปซะ” เห็นเพื่อนยืนถือยาต้านค้างอยู่นานก็เอ่ยปาก
อัลเบิร์ตพยักหน้า เก็บยาลงกระเป๋ากางเกงแล้วก้าวขาเดินตามหลังของเจเรมีออกไป

สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้าง ในหัวครุ่นคิดไม่หยุด

ชายหนุ่มผมบลอนด์นั่นไม่มีปฏิกิริยาต่อโอเมก้า เคยได้ยินมาอย่างนี้เหมือนกันแต่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง ก่อนหน้านั้นที่เขาเห็นโอเมก้ายังสั่นระริกจนแทบจะคลั่งตาย ที่เจเรมีเป็นแบบนี้มันน่าแปลก

แต่...ในเมื่อไม่มีปฏิกิริยาต่อโอเมก้าที่เป็นฮีท แล้วถ้ากับอัลฟ่าล่ะ เจเรมีจะมีปฏิกิริยาอะไรไหม?

คิดแล้วก็นึกขำในความคิดของตัวเอง มันจะไปมีได้อย่างไร เพื่อนเขาเป็นอัลฟ่านะ แล้วอัลฟ่ามันจะไปมีฟีโรโมนกระตุ้นอารมณ์อัลฟ่าด้วยกันได้อย่างไร อัลฟ่าไม่สามารถเป็นฮีทได้เองสักหน่อยถ้าไม่มีโอเมก้ามากระตุ้น การสืบพันธุ์ระหว่างอัลฟ่าด้วยกันก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเบต้าแม้แต่น้อยด้วย

เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว…
“เอ้า ยืนทำอะไรอยู่ ตามมาเร็วๆ เข้า” เจเรมีหันมาเห็นอัลเบิร์ตยืนนิ่งก็ร้องเรียกอีก

คนถูกเรียกสะดุ้ง ไม่รู้ตัวเลยว่าหยุดเดินไปตอนไหนก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปหาแล้วเดินออกไปนอกสถาบันพร้อมกัน เผลอเหลือบมองซีกหน้าหล่อของเจเรมีเป็นระยะพลางสรุปความคิดของตัวเองไปด้วย

มีปฏิกิริยากับอัลฟ่างั้นเหรอ? เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เจมี่ก็แค่ป่วยเท่านั้น...

ก็แค่ป่วยน่ะ... ไม่มีอะไรหรอก






 
มาจนได้…

มาหยุดยืนอยู่หน้าตรอกแคบๆ ซึ่งเป็นทางผ่านเข้าไปยังตลาดมืดหรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นตลาดค้าโอเมก้า อัลเบิร์ตก็ถอนหายใจออกมาจนรู้สึกว่าเครื่องในของเขาแทบจะปลิ้นออกทางรูจมูก วันนี้ถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เจเรมีจะสังเกตเห็นบ้างไหมว่าเขาทำเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่มีหนักอกหนักใจเพียงใด

ไม่หรอก ไม่ทันได้สังเกตเห็น เขาไม่สนใจที่จะเหลือบมองเลยด้วยซ้ำ เอาแต่มองเข้าไปในตรอกนั้น ดวงตาสีฟ้าสว่างคู่สวยเป็นประกายระยับ
“ดูโสโครกสุดๆ เลยว่าไหม”

ไม่รู้จะตื่นเต้นทำไมในเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ามันไม่ได้เชิญชวนให้น่ามอง สภาพตรอกนั้นค่อนข้างแคบและเล็ก บนพื้นถนนปูด้วยอิฐสีแดงที่จางจนซีดแล้ว สองข้างทางมีอาคารหนึ่งชั้น บ้างก็สองชั้นหลังย่อมๆ เรียงรายกันเป็นแถว รอบข้างแทบจะไม่มีผู้คนเลยด้วยซ้ำ นอกจากชายฉกรรจ์หลายคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าอาคารเหล่านั้นเป็นจุดๆ พอถูกเจเรมีลากให้เดินเข้าไป ชายพวกนั้นก็มองมายังผู้มาใหม่ด้วยสายตาประหลาดใจ

ก็แน่ล่ะ เป็นใครจะไม่ประหลาดใจบ้าง จู่ๆ ก็เห็นนักศึกษาจากสถาบันพัฒนาบุคลากรอัลฟ่ามาเดินเตร็ดเตร่ในเครื่องแบบเต็มยศอย่างนี้ก็ต้องสงสัยบ้างล่ะ เครื่องแบบที่เป็นชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีน้ำตาล สวมบูทหนังยาวถึงหน้าแข้งแบบนั้น เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสถาบันชนชั้นสูงแห่งนี้แล้ว

“ฉันว่าเราไม่ควรมาที่นี่เลย” อัลเบิร์ตทนกับสายตาที่มองอย่างมีคำถามของคนรอบข้างไม่ได้จึงจำเป็นต้องพูด
เจเรมีไม่หันมามอง ใบหน้าเหยียดยิ้มพรายราวกับเด็กที่ได้เข้าไปเล่นในสวนสนุก “เดินเข้ามายังไม่ทันถึงร้อยเมตรเลยก็ร้องจะกลับละ คิดถึงแม่หรือไงเจ้าหนูอัลเบิร์ต”

ถูกล้อเลียน อัลเบิร์ตก็ได้แต่หน้าม้าน เขาไม่ได้คิดถึงมารดาสักหน่อย แค่รู้สึกว่าไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ต่างหาก นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่ตัดสินใจตามเจเรมีมา

ไม่...ไม่ใช่ เขาไม่ได้ตามเจเรมีมา พยายามห้ามแล้ว ปฏิเสธก็แล้วแต่ถูกลากมาในที่สุดน่าจะพูดถูกกว่า คนอย่างเจเรมีน่ะ ถ้าคิดจะทำหรืออยากจะได้อะไรแล้ว เขาก็ต้องได้ทั้งนั้น

“แล้วนายจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่ ฉันเริ่มจะหายใจไม่ออกแล้ว” หายใจไม่ออกจริงอย่างที่ปากพูด เขาอึดอัดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

เจเรมีหยุดเดิน หันไปมองหน้าเพื่อนด้วยความรำคาญก่อนจะว่า
“ทำไมนายทำตัวน่ารำคาญอย่างนี้วะ”
“ฉันอึดอัดจริงๆ นี่ ที่แบบนี้มันไม่ใช่ที่ที่เราสมควรจะมาเลยนะ ถ้ามีคนมาเห็นแล้วพ่อแม่นายรู้จะว่ายังไง”
“พ่อแม่ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ฉันเป็นผู้ชายนี่ แถมอายุก็ยี่สิบแล้ว ถ้าอยากจะเที่ยวตามประสาคนหนุ่มบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” เจเรมีตอบพลางเชิดจมูกขึ้น

อัลเบิร์ตหมดคำจะเถียง จริงอย่างที่เจเรมีพูด การที่ชายหนุ่มมาโผล่ในสถานที่แบบนี้จะคิดเป็นอื่นไกลไม่ได้เลยนอกจากมาหาโอเมก้าเพื่อระบายอารมณ์ทางเพศ เพราะตลาดมืดแห่งนี้นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นตลาดค้าโอเมก้าที่ใหญ่ที่สุดในมหานครเพิร์ลแล้ว ยังเป็นสถานบริการทางเพศที่มีโอเมก้าเป็นสินค้า พวกอัลฟ่าบางคนที่มีโอเมก้าในครอบครอง บางครั้งถ้าหากเบื่อก็ไม่นำไปขายต่อ ทว่าให้เช่าชั่วคราวในลักษณะนี้แทน หากเป็นสินค้าที่สภาพเสื่อมโทรมแล้วถึงจะมีการขายให้กับซ่องหรืออะไรอย่างนั้น

จะอย่างไรก็แล้วแต่ มันไม่ใช่สถานที่ชวนพิสมัยสำหรับอัลเบิร์ตเลย ขนาดอัลฟ่าที่ชอบการสะสมของเล่นพรรค์นี้ยังแทบไม่เคยมาเหยียบย่างแถวนี้ด้วยตัวเอง มีแต่ส่งตัวแทนมา แล้วนี่เขามาถึงถิ่นเลยนะ มันทำให้อวัยวะภายในกระอั่กกระอ่วนอย่างไรก็ไม่รู้

“โอเค พ่อแม่นายไม่ว่า แต่มันไม่เหมาะสม ขืนมีใครมาเห็นว่าลูกชายคนเดียวของหนึ่งในตระกูลผู้ปกครองมาเยี่ยมเยียนแถวนี้เข้า มันจะกลายเป็นขี้ปากนะ”
“คิดว่าฉันสนเหรอ” เจเรมีตอบห้วนๆ

จนปัญญาจะหาข้ออ้างแล้วเพราะอัลเบิร์ตรู้ดีว่าเจเรมีไม่เคยสนคำนินทาอะไรพวกนั้น ไม่แม้แต่เจเรมี ครอบครัวของเขาเองยังไม่สนเลย

เรียกได้ว่าเป็นพวกไม่สนโลกกันทั้งบ้านได้หรือเปล่านะ?

คำตอบนั้นทำให้อัลเบิร์ตหน้าเจื่อน เจเรมีเหลือบมองสีหน้านั้นแล้วก็หัวเราะ
“ไอ้บ้าเอ๊ย หยอกเล่นแค่นี้ถึงกับจะร้องไห้เลยเหรอฮะ เด็กจริงๆ ด้วยนายเนี่ย” แล้วก็ตามมาด้วยการยีผมของอัลเบิร์ตจนยุ่ง
อัลเบิร์ตรีบจัดแต่งทรงผมทันทีที่อีกฝ่ายปล่อยมือ ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้ยินเจเรมีพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอเวลาสักชั่วโมง ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว เดินให้ได้สักรอบก่อนแล้วค่อยกลับ นายคงจะโอเคนะ”
“ถ้าบอกว่าไม่โอเคแล้วนายจะฟังหรือไง” เสียงบ่นอุบอิบลอยมาให้ได้ยิน

เจเรมีหัวเราะตบท้ายเล็กน้อยก่อนจะเดินอาดๆ ไปตามถนนหนทางของตรอก ปล่อยให้เพื่อนรักเดินตามต้อยๆ เหลือบซ้ายแลขวาด้วยท่าทีอยู่ไม่สุขสักเท่าไหร่นัก




 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 01: จอมวายร้าย[2]

เดินมาได้ไม่กี่ร้อยเมตร เจเรมีก็ชักจะเบื่อ ที่ไหนๆ ก็เป็นเหมือนกันหมด เขาไม่เห็นโอเมก้าเลยสักคนด้วย รู้แต่ว่าพวกนั้นอยู่ด้านในอาคาร หากจะเข้าไปก็ต้องไปติดต่อพนักงานที่อยู่ทางด้านหน้าอาคารพวกนั้น บอกวัตถุประสงค์ว่ามาเช่าหรือซื้อ จากนั้นพนักงานถึงจะพาเข้าไปเลือก ซึ่งแน่นอนว่าเจเรมีไม่ได้มาเพื่อการนี้ ก็แค่จะมาดูความสกปรกโสมมของระบบความคิดเหล่าอัลฟ่าเท่านั้น

คิดแล้วก็ขยะแขยงตัวเอง ไม่อยากนับรวมว่าเป็นพวกเดียวกับอัลฟ่าที่สร้างวัฏจักรเหล่านี้ขึ้นมาเลย และการที่เขามาอยู่ที่นี่นานๆ ก็เริ่มทำให้คลื่นเหียนกับคำว่า ‘เพื่อความสงบสุข’ เสียเหลือเกิน

มันสงบสุขอย่างไร เจเรมีไม่เห็นจะเข้าใจ ถ้าสงบสุขจริงมันต้องหมายถึงผู้คนทุกชนชั้นสิ ไม่ใช่แค่บางชนชั้นอย่างนี้!

คิดแล้วก็นึกถึงคำพูดของบิดาที่เคยพูดกับเขาไว้ก่อนที่จะเข้าศึกษาในสถาบันพัฒนาฯ

‘หน้าที่ของทายาทที่มีสิทธิ์ในตำแหน่งหนึ่งในสี่ตระกูลผู้ปกครองมหานครก็คือดูแลทุกข์สุขของประชาชน อย่าละเลยความสำคัญข้อนี้เด็ดขาด’

ประโยคนี้ฝังอยู่ในหัวของเขาตลอดมา เจเรมีไม่รู้หรอกว่าที่บิดาพูดหมายถึงประชากรชาวอัลฟ่าอย่างเดียวหรือเปล่า แต่ที่รู้ๆ คือมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเริ่มออกอาการต่อต้านระบบความคิดดั้งเดิมอย่างรุนแรง

ประชาชนที่เขาคิดถึงคือทุกชีวิตที่อยู่ในมหานครแห่งนี้ ไม่ใช่จำกัดเฉพาะคนบางกลุ่มอย่างที่เป็นอยู่...

ถึงจะไม่เคยบอกใคร แต่การกระทำของเขาก็สื่อออกมาชัดเจนหลายๆ อย่างว่าเขาพร้อมจะชนกับใครก็แล้วแต่ที่คิดคัดค้าน จนหลายคนเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าตัววุ่นวายในอนาคตอยู่ตรงนี้นี่เอง

“ไม่มีอะไรแล้ว จะกลับเลยไหม” เดินมาจนเกือบสุดทางของตรอกซึ่งเป็นทางทะลุออกไปยังถนนอีกฟาก อัลเบิร์ตก็เอ่ยปากถาม
เจเรมีเห็นดีด้วย คิดจะกลับเหมือนกัน ที่แวะเวียนมาก็แค่อยากเห็นสภาพความเป็นอยู่ของโอเมก้าเท่านั้น ได้ยินชื่อเสียงของตรอกนี้มานาน แค่อยากเห็นด้วยตาตัวเอง

ถูกเพื่อนชวนอย่างนั้นก็พยักหน้า เดินตรงไปกะจะออกอีกทางแล้ววนกลับบ้าน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อสายตามองเห็นร่างของเด็กหนุ่มร่างบาง ช่วงล่างนุ่งเพียงกางเกงขายาวสีมอขณะที่ช่วงบนไม่สวมเสื้อ... หรืออาจจะสวมแต่ถูกกระชากออกไปก่อนหน้า เพราะดูจากที่เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งกระหืดหอบเข้ามาแล้ว ท่าทางคล้ายกับว่ากำลังวิ่งหนีใครอยู่อย่างนั้นแหละ

แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อเห็นว่าด้านหลังของเด็กหนุ่มคนนั้นมีชายอีกสามคนวิ่งตามมาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะร่วนอยู่ ในมือของคนที่วิ่งนำหน้าถือผ้าสีขาวด่างๆ ในมือ มองปราดเดียวก็เดาได้ทันทีว่าต้องเป็นเสื้อของคนที่วิ่งหนีมาแน่

เจเรมีอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ถ้าหากว่านั่นเป็นการวิ่งเล่นกันของเด็กๆ ไม่ใช่การวิ่งไล่กวดเพื่อล่าของนักศึกษาสถาบันเดียวกับเขา อีกทั้งยังเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี

เพื่อนร่วมชั้นเรียน...
ศัตรูคู่อาฆาต...

จะเรียกว่าอย่างไรดีล่ะ เอาเป็นว่าหมอนั่นชื่อ ธีโอ แฮร์ริสัน ลูกชายของนายพลซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาระดับสูงที่สังกัดอยู่ในกระทรวงความมั่นคงแห่งมหานครเพิร์ล ซึ่งไม่ค่อยถูกชะตากับเจเรมีสักเท่าไหร่นักตั้งแต่เข้าเรียนใหม่ๆ แล้ว

ที่ไม่ถูกชะตาก็เพราะความอวดดี อวดเบ่งด้วยเป็นลูกชายสมาชิกสภาระดับสูงของธีโอนั่นแหละ ซัดกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ซึ่งทุกครั้งก็เป็นเรื่องใหญ่ แถมเลือดตกยางออกด้วยกันทั้งสิ้น

ล่าสุดเขาก็เพิ่งจะทำธีโอหัวแตกเพราะจับโขกกับโต๊ะระหว่างการบรรยายของวิชาหนึ่งไปเองมั้ง สาเหตุก็เพราะเจเรมีพูดดูถูกอัลเบิร์ตที่หงอไม่สู้คนจนเพื่อนอย่างเขาทนไม่ไหว

และยิ่งเจเรมีเห็นคนที่ตนไม่ถูกชะตาวิ่งไล่เด็กหนุ่มผิวแทนที่ตัวเล็กกว่าโขมาต่อหน้าต่อตาจนล้มลุกคลุกคลานไปบนพื้นอย่างนั้นด้วย เขาก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปหาพร้อมกับกระโดดตัวลอย ส่งฝ่าเท้าเข้าประทับเข้ากลางอกของธีโอเข้าอย่างจัง

ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นหรอก เห็นหน้าธีโอแล้วจู่ๆ เกิดหมั่นไส้ขึ้นมาน่ะ เลยต้องขอเสนอหน้าสักหน่อย

การถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ธีโอหงายท้องตึงลงไปบนพื้น ความจุกแน่นทำให้เขาไอโขลกเป็นการใหญ่ เพื่อนๆ ของธีโอที่วิ่งตามมาทั้งสองคนชะงักกึก เกือบจะโวยวายอยู่แล้วถ้าไม่ทันสังเกตก่อนว่าคนที่ส่งลูกพี่ของพวกเขาลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นเป็นจอมวายร้ายประจำสถาบัน พอเห็นว่าเป็นเจเรมีก็พากันถอยกรูด เรื่องอะไรที่จะเอาตัวเองไปรับหมัด รับฝ่าเท้าเล่นๆ กันล่ะแม้ว่าจะมีกันอยู่ถึงสองคนก็เถอะ

“อะ...อะไรวะ แค่ก...”
กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก็นอนกองอย่างนั้นอยู่หลายนาที เจเรมีแสยะยิ้มขึ้น ทักทายด้วยน้ำเสียงยียวน
“แหมๆ ไม่คิดเลยนะว่าพวกแกก็จะโดดเรียนเหมือนกันด้วย”
ทักทายอย่างนั้นเพราะจำได้ว่าวันนี้ไม่เห็นพวกของธีโอในคลาสเลย

น้ำเสียงคุ้นเคยเรียกให้ชายหนุ่มผมแดงที่ตัวใหญ่ไล่เลี่ยกับอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น ใบหน้าตกกระย่นยู่เหลือบมอง พอเห็นว่าเป็นคู่แค้นก็ตะโกนลั่น
“ทำบ้าอะไรของแก!”
“ฉันต้องถามแกต่างหากว่าทำบ้าอะไรอยู่ อยู่ในช่วงติดสัดหรือไง”
เจเรมีเอียงคอ ยิ้มเย้ยถาม หางตาเหลือบไปมองยังเด็กหนุ่มคนที่ถูกไล่ล่ามาเล็กน้อยซึ่งตอนนี้นอนกองอยู่ที่พื้นไม่ต่างกันกับธีโอเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร

ธีโอรับรู้แต่มันใช่เรื่องอะไรของคนตรงหน้าไหมล่ะ เขาจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขา ไอ้โอเมก้าสวะนั่นที่เสนอหน้าไปเดินลอยชายด้านนอกที่ที่มันควรอยู่ต่างหากที่ผิด เขาก็แค่ไล่ให้มันกลับไปอยู่ในที่ของมันเท่านั้น!

หากแต่ไม่ได้พูด ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเสียเวลาอธิบาย นอกจากแค่นเสียงถาม
“แล้วแกมายุ่งอะไร”
“ก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่เห็นแกวิ่งไล่โอเมก้าเป็นบ้าเป็นหลังก็อดสงสัยไม่ได้ ถ้าติดสัดก็บอกนะ ฉันมียาต้านฟีโรโมนโอเมก้าเหลืออยู่”

มันอยู่ในกระเป๋ากางเกงของอัลเบิร์ต อัลเบิร์ตนึกว่าเจเรมีพูดจริง เกือบจะล้วงยาเม็ดนั้นออกมาให้อยู่แล้ว ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อธีโอแผดเสียงขึ้นมาก่อน

“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน แกอย่ามาแส่!”

คราวนี้เจเรมีทำหน้าตกใจที่ถูกถามอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นการเสแสร้ง ก่อนจะยกมือขึ้นทาบอกประกอบ
“ตายแล้ว พูดอย่างนี้แสดงว่ามาหาความบันเทิงแน่เลย แล้วนี่แกซื้อหรือเช่าล่ะหืม?”

ธีโอไม่ตอบ เขาไม่ได้มาทั้งซื้อและเช่า อย่างที่บอกว่าเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเดินเตร่อยู่ อยากจะเล่นสนุกขึ้นมาก็เลยเข้าไปแกล้ง แต่ไม่ยักจะคิดว่าเด็กนั่นจะวิ่งหนีตายอะไรขนาดนี้ สงสัยอาจจะแกล้งรุนแรงไปหน่อยกระมัง

แต่เจเรมีก็ไม่สนหรอกว่าธีโอจะตอบว่าอย่างไร เขาหันไปหาเด็กหนุ่มที่นั่งสั่นเทาอยู่บนพื้นเป็นที่เรียบร้อย พลันออกปากถาม
“ว่าไง ไอ้เวรนั่นมันซื้อหรือเช่านายมา”
โอเมก้าคนนั้นเหลือบมองคนถามด้วยแววตาหวาดกลัว ท่อนแขนเรียวโอบกอดตัวเองไว้แน่น กระซิบเสียงพร่า
“มะ...ไม่ได้ซื้อหรือเช่าครับ”
“งั้นก็แสดงว่ามันพยายามจะข่มขืนนายงั้นสิ?”

เป็นคำตอบที่ไม่ต้องการคำถาม และเขาก็ไม่ได้คิดจริงจังอย่างนั้นด้วย รู้อยู่ว่าธีโอกับเพื่อนก็แค่กลั่นแกล้งตามประสาพวกขี้แพ้ หากแต่พูดอย่างนั้นก็เพื่อความสนุกของตนเอง ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะทำให้ธีโอเบิกตาโพลงอย่างตกใจ
“ฉันไม่ได้...”
รีบแก้ตัวแต่พูดยังไม่ทันจบเลย เจเรมีก็จุ๊ปาก แทรกขึ้นมาแล้ว

“โถ แกนี่ทุเรศนะ เป็นถึงลูกชายสภาชิกสภาระดับสูงแต่ทำตัวต่ำทรามอย่างนี้ ซื้อก็ไม่ได้ซื้อ เช่าก็ไม่ได้เช่า มาไล่ข่มขืนซะอย่างนั้น ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป พ่อนายคงจะเอาหัวมุดดินหนีอายไม่ต่างอะไรจากนกกระจอกเทศแน่”

ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้! เจเรมีน่ะรู้ดียิ่งกว่าอะไรว่าธีโอเกรงกลัวบิดาเขาแค่ไหน ยิ่งบิดาเขาเป็นพวกกลัวเสียหน้ายิ่งกว่าอะไรด้วย ถ้ามีข่าวแบบนี้หลุดออกไปเข้าหูล่ะก็ มีหวังเขาโดนเละแน่

“เจเรมี! แก!”
 ธีโอตะโกนลั่น โกรธสุดกำลัง พยายามจะดันตัวลุกขึ้นมาหากแต่จุกเกินกว่าจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นได้ เพื่อนของเขาที่มองอยู่รีบปรี่เข้ามาหาหมายจะช่วย ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเจเรมีไวกว่า แค่เห็นอีกฝ่ายจะตั้งหลัก เขาก็ปรี่เข้าไปยกขาถีบเข้าที่หน้าอกให้อีกรอบแล้ว

ธีโอหงายหลังล้มลงไปนอนกองบนพื้น มือรีบยันตัวเองไม่ให้นอนราบไปมากกว่านี้ หากแต่ก็ต้องร้องออกมาดังอั้กเมื่อเจเรมีวางเท้าลงไปบนแผ่นอกของเขา พื้นรองเท้าบูธแข็งๆ บดขยี้หน้าอกเล็กน้อย แรงกดของมันที่ผ่านเนื้อผ้าทำให้ธีโอหายใจแทบไม่ออก ขณะที่เจเรมีโน้มตัวลงมาเอาแขนเท้าบนหัวเข่าของขาข้างนั้น

“เรียกทำไมรึคุณแฮร์ริสัน” ยกยิ้มขึ้นแล้วถามอย่างยียวน แสร้งเรียกชื่อตระกูลด้วย
“เอาเท้าของแกออกไป...” ธีโอใช้ความพยายามเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะแค่นเสียงออกมา
เจเรมีหัวเราะออกมาดังหึ ทำหน้าเยาะเย้ย
“เจ็บงั้นสิ?” จากนั้นก็บดแรงจากฝ่าเท้าลงไปอีก
“อะ...เอาออกไป” ธีโอใช้ทั้งสองมือมาจับที่หน้าแข้งของอีกฝ่าย พยายามยกออกแต่ความจุกเสียดทำให้เขาไม่มีแรงเอาเสียเลย

ทั้งที่ตัวก็สูงใหญ่ไล่เลี่ยกัน แต่เวรเอ๊ย! ไอ้หมอนี่แข็งแรงกว่าเป็นบ้า!

ก็อย่างว่า เจเรมีได้คะแนนสูงสุดในวิชาศิลปะการต่อสู้ของชั้นปีนี่ เป็นวิชาที่เขาถนัดและชื่นชอบที่สุดด้วย จะมาแพ้ให้กับพวกพฤติกรรมต่ำทรามที่มีดีแค่เป็นลูกชายของนายพลแต่ฝีมือไม่เอาไหนได้อย่างไร

ยิ่งเห็นท่าทางจนมุมของอีกฝ่ายที่เอาแต่ปากดีก่อนหน้า เจเรมีก็ได้ใจใหญ่
“ถ้าอยากให้ฉันยกเท้าหนักๆ นี่ออกก็หันไปจัดการกับคนของนายก่อนซี่” พยักเพยิดปลายคางไปด้านข้างประกอบการพูด
เจเรมีไม่ได้หมายถึงเพื่อนทั้งสองคนของธีโอแน่นอน ทว่าหมายถึงร่างบางแคระแกร็นของเด็กหนุ่มผิวแทนที่นั่งสั่นอยู่ตรงนั้นต่างหาก

ธีโอเหลือบมองแล้วก็กัดฟันแน่น “เกี่ยวอะไรกับไอ้โอเมก้าโสโครกนั่น”
“เอ้า เกี่ยวสิ แกเป็นคนทำให้หมอนั่นตกใจ แถมยังทำให้เจ็บตัวอีก รู้ไม่ใช่เหรอว่าควรทำยังไง”

ธีโอรู้อยู่แล้วว่าเจเรมีต้องการให้เขาเอ่ยคำว่าขอโทษ แต่มันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องพูดอย่างนั้นกับโอเมก้าชั้นต่ำล่ะ! ชั้นต่ำอย่างเดียวไม่พอ ยังมีสถานะเป็นได้แค่ของเล่นบำเรอกาม เรื่องอะไรที่เขาจะลดตัวลงไปกัน

หากแต่การไม่ยอมพูดก็ทำให้เจเรมีเม้มปาก ถอนหายใจออกมาคล้ายกับว่าเบื่อหน่าย
“แกนี่มันหัวดื้อจริงๆ น้า ก็แค่พูดว่า... ‘คุณครับ ผมขอประทานอภัยอย่างสุดซึ้งที่จู่ๆ ไอ้หนูของผมมันก็ซุกซนอยากจะเข้าไปในตัวคุณขึ้นมา’ มันยากตรงไหนกัน” แล้วก็ยกขาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกระแทกซ้ำลงไปที่จุดเดิม

ธีโอส่งเสียงดังอั่ก ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วจนใบหน้าของเขาเหยเก ป่านนี้อกเขาคงช้ำในไปหมดแล้วกระมัง
“ปะ...ปล่อย” แค่นเสียงออกมาอีกครั้ง รู้สึกว่าเหมือนจะเริ่มหายใจไม่ออก
“ถ้ามันยาวไปก็สั้นๆ ก็ได้ พูดขอโทษมันไม่ยากหรอกน่า เอ้าพูด”
เจเรมีไม่ได้ฟังเสียงผะแผ่วนั่นเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ทำหน้าระอา บดขยี้ปลายรองเท้า ปากก็ข่มขู่ไปเรื่อย

ปีศาจ! หมอนี่มันปีศาจ!

เสียงในหัวของธีโอดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาอยากหลุดรอดออกไปจากเงื้อมมือของจอมวายร้ายนี่แต่ก็ไม่อยากจะเสียหน้าไปพูดขอโทษโอเมก้าอย่างนั้น

พวกชั้นต่ำ จะไปก้มหัวให้มันได้ไง!

การกระทำของเจเรมีนับว่าอุกอาจเลยทีเดียว แม้แต่เพื่อนสนิทที่เห็นเขาทะเลาะวิวาทอยู่บ่อยครั้งยังใจสั่น โอเมก้าที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเองก็กลัวว่าการกระทำของเจเรมีจะส่งผลเสียมาถึงตนจึงรวบรวมความกล้า เปล่งเสียงออกไป

“ยะ...หยุดเถอะครับ ผมไม่เป็นไร ปล่อย...ปล่อยเขาไปเถอะ เป็นความผิดของผมเอง” พูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตา ตัวหมอบลงกับพื้น แสดงท่าทางยอมแพ้อย่างชัดเจน

เจเรมีหันไปมองแล้วร้องดัง ‘หา!?’ คล้ายกับกำลังคิดว่าทำไมถึงได้ยอมจำนนง่ายดายขนาดนั้น ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร อัลเบิร์ตที่มองดูอยู่นานก็อดไม่ได้ ว่าออกมาบ้าง

“พอเถอะเจมี่ เดี๋ยวมันจะบานปลายใหญ่นะ”
ที่ไม่ห้ามตั้งแต่ตอนแรกเพราะตัวเองก็เขม่นกับธีโออยู่เหมือนกัน เพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้เลยยืมมือเจเรมีจัดการ ส่วนตัวเองก็ยืนชมความสนุกนั้นอย่างเพลิดเพลินไป
“แล้วไง” เจเรมีเอียงคอมามองอัลเบิร์ตทำหน้าเครียด
“คนที่เดือดร้อนจะไม่ใช่นายน่ะสิ”

กะว่าจะไม่สนใจอยู่แล้ว แต่พออัลเบิร์ตว่ามาอย่างนี้พร้อมกับเหลือบมองไปยังร่างสั่นเทาบนพื้น เจเรมีก็พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง หงุดหงิดเล็กน้อยที่การเล่นสนุกของเขาต้องจบลงก่อนถึงเวลาอันสมควร

“สำนึกในบุญคุณของหมอนั่นเอาไว้ให้ดีล่ะ ถ้าไม่เป็นเพราะหมอนั่น ฉันจะเหยียบแกให้จมดินเลยคุณแฮร์ริสัน” เจเรมียอมยกขาขึ้นจากอกของธีโอได้ แต่ก็ไม่วายกระทืบส่งท้ายเต็มแรงไปอีกที

ธีโอถึงกับโก่งตัวงอด้วยความเจ็บปวด พอเจเรมีผละออกมา พวกเพื่อนของธีโอถึงได้รีบปรี่เข้าไปลากเขาออกห่างจากปีศาจตนนั้น

“พวกสวะ” เจเรมียิ้มเผล่ สะใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็ได้เล่นสนุกก่อนกลับ

คิดว่าจะกลับไปพร้อมกับความน่าเบื่อซะแล้ว...

รอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้าเขาเป็นรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจ และเขาก็ไม่ชอบมันทุกครั้งที่เห็นเสียด้วย ทว่าก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้วเมื่อเจเรมีเปล่งเสียง
“ไสหัวไปภายในสามวิ...”
“คอยดูเถอะแก ฉันเอาคืนแกแน่” ธีโอไม่วายขู่
เจเรมีกลอกตาแล้วออกปาก “สาม...”

ไร้ซึ่งการนับหนึ่งและสองพลันทำท่าจะถลาเข้าไปอีก คราวนี้ไม่ได้ไปมือเปล่า หันไปคว้าท่อนเหล็กที่วางพิงอยู่บนกำแพงใกล้ๆ มากระชับในมือมั่น

ขนาดไม่มีอาวุธยังร้ายกาจขนาดนี้ ถ้ามีอาวุธจะร้ายขนาดไหน

ไม่มีเหตุผลที่จะให้ธีโอและผองเพื่อนอยู่อีกต่อไป ทั้งหมดรีบพากันออกไปจากสถานที่แห่งนั้น ไม่ใช่ว่ากลัวเจเรมีหรอกนะ แต่คำนวณดูแล้ว ทะเลาะกับคนบ้าไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย

เห็นพวกนั้นไปหมดแล้ว เจเรมีก็โยนท่อนเหล็กทิ้ง ปัดมือที่เปื้อนฝุ่นออกสองสามครั้ง สะบัดคอแล้วว่าด้วยท่าทางไม่ยี่หระ
“ไร้น้ำยากันซะจริง เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอหน้าจะเล่นสนุกกับพวกมันอีก นายอยากให้ฉันจัดอะไรพิเศษให้มันไหม”
“พอเถอะน่าเจมี่ แค่นี้ก็หนักพอที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้แล้วนะ” ได้ยินเพื่อนคาดโทษ อัลเบิร์ตก็รีบแทรก

จริงอย่างที่อัลเบิร์ตว่า กระทืบลูกชายสมาชิกสภาระดับสูงที่เจอหน้ากันโดยบังเอิญเสียอ่วมเพราะโอเมก้าคนเดียวขนาดนั้น มันชวนให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเมอร์ซีกับตระกูลแฮร์ริสันสั่นคลอนได้เลยนะ

ไม่รู้ว่าเจเรมีตระหนักถึงผลเสียข้อนี้หรือไม่ รู้แต่ว่าเขาไม่สนใจ นอกจากเดินไปใกล้โอเมก้าคนนั้น ปรายตามองไปยังต้นแขนผ่านผอมข้างขวาที่มีรอยสักเป็นสัญลักษณ์โอเมก้าขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยที่หัวไหล่และมีรอยสักเป็นจุดๆ อยู่ด้านล่างซึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเขาเคยถูกขายทอดตลาดมาแล้วกี่ครั้ง

เท่าที่เห็นเหมือนจะมีสี่จุด...

ส่วนเครื่องหมายโอเมก้านั้นเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเพศที่ทุกคนจำเป็นต้องสักเอาไว้ไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นอื่นๆ ที่มีอายุครบยี่สิบปี สำหรับโอเมก้าอาจจะพิเศษหน่อยตรงที่ไม่จำเป็นต้องอายุครบกำหนดถึงสักได้ แค่รู้ว่าเป็นโอเมก้าก็ถูกตีตราแล้ว
มองนิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่ให้คนถูกมองเสียวสันหลังวาบ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“นายชื่ออะไร”
“ละ...ลูก้า” อีกฝ่ายตอบรับเสียงสั่น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนถามเลยแม้แต่น้อย
เจเรมีก็ไม่สน ถามต่ออีก “ตอนนี้นายเป็นของใคร”
เดาว่าน่าจะเพิ่งถูกขายทอดตลาดมาถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคิดเมื่อลูก้าตอบ
“ตอนนี้...มะ...ไม่มีครับ”

พวกอัลฟ่าก็เป็นอย่างนี้ เบื่อแล้วก็ทิ้งขว้าง อยากได้ก็มาซื้อใหม่ หนักหน่อยก็ถึงขั้นฆ่าทิ้ง ดีนะที่ลูก้ายังรอดมาได้จนถูกขายต่อมาเรื่อยๆ

ถามเสร็จก็ยืนมองอยู่นาน ลูก้าชักตัวสั่นมากกว่าเดิม อยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้จะแย่ อัลเบิร์ตเองยังอดอึดอัดกับการจ้องมองของเจเรมีไม่ได้เลย อันที่จริงเขาอึดอัดเพราะต้องมาอยู่ใกล้ๆ กับโอเมก้าในตลาดมืดอย่างนี้มากกว่า ก่อนจะตัดสินใจโพล่งขึ้นเพื่อเตือนให้เพื่อนรู้ว่าควรไปจากที่นี่ได้แล้ว
“เจมี่ เสร็จเรื่องแล้ว พวกเราก็...”

จู่ๆ ก็หยุดพูดไปเพราะเจเรมีเหลือบมามอง ก่อนที่เขาจะแกะกระดุมเสื้อเครื่องแบบของตัวเองออก ถอดมันออกมา เหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวใน จากนั้นก็เอาเสื้อเครื่องแบบนั้นไปคลุมตัวให้ลูก้า

“นายคงไม่อยากให้ใครเห็นว่าถูกขายมากี่ครั้งหรอกมั้ง”
ลูก้าชะงัก เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ เจเรมีวางท่าเฉยชาก่อนพยักปลายคางไปยังอีกทิศ
“เอ้า ไสหัวไปได้แล้ว จะอยู่อย่างนี้อีกนานไหม”

ไม่เข้าใจว่าอัลฟ่าอย่างผู้ชายคนนี้จะมาช่วยเขาไว้ทำไม ไม่ถามด้วยซ้ำว่าเขาไปทำอะไรไว้ถึงได้ถูกผู้ชายสามคนนั้นไล่ตามมา แต่ก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรให้เสียเวลาอยู่แล้ว ถูกไล่ก็รีบลุกขึ้นพรวด ริมฝีปากแห้งผากเอ่ยขึ้นหลายๆ ครั้ง
“ขะ...ขอบคุณครับ ขอบคุณ...”

แล้วก็ชำเลืองมองใบหน้าของคนที่ช่วยเขาเล็กน้อย พอเห็นได้ชัดเจนก็รีบหันหนีแล้วออกวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งให้เจเรมีกับอัลเบิร์ตมองตามหลังอยู่อย่างนั้น

พอลูก้าจากไปแล้ว อัลเบิร์ตก็ยกมือขึ้นลูบใบหน้า
“ให้ตายเถอะเจมี่ วันนี้นายก่อเรื่องเป็นครั้งที่สองแล้วนะ ครั้งนี้บานปลายใหญ่หลวงเลยเนี่ย”
“นายว่าหมอนั่นอายุเท่าไหร่” ไม่ได้ฟังที่อัลเบิร์ตพูดสักนิด ถามเรื่องอื่นแทรกเสียอย่างนั้น
อัลเบิร์ตอ้าปากอย่างไม่เชื่อว่าเขาจะทำแบบนี้ พลันรีบพูดโพล่ง
“นี่เจมี่ นายเลิกสนใจ...”
“ฉันว่าน่าจะสักสิบเจ็ดสิบแปด แต่ตัวเล็กขนาดนั้น อาจจะสิบหกก็ได้ ยังเด็กอยู่เลยเนอะนายว่าไหม”
ยังไม่สนใจสิ่งที่อัลเบิร์ตจะพูดอยู่ดี ตอนนี้อัลเบิร์ตถอดใจไปแล้ว กลอกตาแล้วโบกมือไหวๆ ในอากาศเป็นเชิงว่าอย่ามาพูดกับเขา
“นึกสภาพพวกไอ้แก่ตัณหากลับนอนกับเด็กนั่นไม่ออกเลยแฮะ คงทุเรศน่าดู”

แต่พอเจมี่ยังพึมพำคนเดียวไม่หยุด ก็อดไม่ได้ที่จะยุติการกระทำบ้าๆ นี้
“พอเถอะ กลับกันได้แล้ว ฉันปวดหัวจะตายอยู่แล้ว”
“นายนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”

อารมณ์ขันบ้าอะไรล่ะ น่าตลกตาย

ถ้าตลกก็คงจะเป็นตลกร้ายหรือไม่ก็มีแค่เจเรมีเท่านั้นที่หัวเราะร่วนอยู่คนเดียว

เพื่อนสนิทไม่มีอารมณ์จะมาเล่นด้วยแล้ว สีหน้างี้ซีดเป็นกระดาษเชียว สงสัยวันนี้จะเกินรับกับวีรกรรมเขาได้ไหวแล้วล่ะ
“ไปๆ กลับก็กลับ แล้วก็เลิกทำหน้าอย่างนั้นสักที เห็นแล้วปวดหัว”

ถึงจะยอมกลับแต่โดยง่าย ทว่าก็ไม่วายยอกย้อน

อัลเบิร์ตไม่รู้จะแสดงอาการเหนื่อยหน่ายออกมามากกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว ยังดีที่เจเรมียอมทำตามคำขอของเขา ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายกอดคอแล้วลากออกไปจากตลาดมืดอย่างสบายอารมณ์ จะมีก็แต่เขานั่นแหละที่เป็นกังวล

เครื่องแบบของเจมี่... ให้โอเมก้าคนนั้นไปมันจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?

เหลือบมองคนข้างกายที่ทำท่าทางสบายใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไล่ความกังวลนั้นทิ้ง
คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง... หวังว่านะ ก็เขาเป็นจอมวายร้ายนี่ ใครจะทำอะไรได้
 -----------------------------
พระเอกยังไม่โผล่นะคะซิส มาตอนหน้าฉากนึง (อ้าว 555)
เรื่องนี้อาจจะมีตัวละครเยอะนิดนึงค่ะ ความสัมพันธ์สลับซับซ้อนเล็กน้อยแต่มีความสำคัญในเรื่องอยู่ค่ะ
ส่วนนายเอกของเรานั้นไซร้...น่ารัก อ่อนโยน เป็นที่รักของผองเพื่อนมนุษย์มากกก(?) รูปร่างเล็กบอบบางน่าทะนุถนอม(??) 5555 ตรงกันข้ามหมดเลยคืออะไร XD เอาเป็นว่าหล่อเป็นใช้ได้ ส่วนความดิบนั้น... เอาไฟเผาสักทีจะได้สุกๆ (หรือเกรียม?)
เถื่อนมาก เป็นนายเอกคนแรกที่เขียนเถื่อนขนาดนี้ แอบสนุกอะ หนูเจมี่เถื่อนขนาดนี้แล้วพระเอกจะต้องขนาดไหนถึงเอานางอยู่ ก๊ากกก

เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาแปะตัวอย่างให้นะคะ ถ้าเขียนจบตอนก็อัพเต็มตอนเน้อ รอกันก่อนนะ
ปล. อย่าลืมฝากฟีดแบ็กให้กันนะจ๊ะ XD

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดูท่าพระเอกเรื่องนี้จะค่าตัวแพงนะ

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
สนุกจังเลยยยย :mew3:

ว่าแต่นายเอกนี่เท่าที่อ่านดูออกจะล่ำๆหน่อยใช่ไหม? :hao3:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
สนุกจังเลยยยย :mew3:

ว่าแต่นายเอกนี่เท่าที่อ่านดูออกจะล่ำๆหน่อยใช่ไหม? :hao3:

ใช่แล้วค่า

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 02: โรคพันธุกรรมบกพร่อง[1]

ตอนแรกก็กะว่าจะแยกย้ายกลับบ้านทันทีด้วยรู้สึกเหนื่อยล้ากับสิ่งที่พบเจอมาวันนี้เต็มทน ทว่าเอาเข้าจริงก็ไม่ได้กลับเพราะถูกเจเรมีลากมาที่บ้านแทน อัลเบิร์ตก็อยากจะปฏิเสธอยู่หรอก แต่ก็ทำได้เพียงเก็บปากเงียบเมื่ออีกฝ่ายอ้างว่าบิดาของตนอยากพบด้วยไม่ได้เจอหน้าอัลเบิร์ตมาระยะหนึ่งแล้ว

ถูกเอาผู้ใหญ่มาอ้าง อัลเบิร์ตก็จนปัญญา ยอมตามมาแต่โดยดี หากแต่พอเข้าบ้านของเพื่อนสนิทไป ทักทายกับคุณนายเมอร์ซีที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเรียบร้อยก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าบิดาของเขาเองก็อยู่ในบ้านหลังนี้แล้วเช่นกัน

“พ่อ” สีหน้าตกใจพร่างพรายขึ้นบนใบหน้าของอัลเบิร์ต “มาทำอะไรที่นี่น่ะครับ” เอ่ยปากถามออกไปด้วยใจสั่นระรัว เกรงว่าที่บิดามาโผล่ในบ้านเพื่อนสนิทอย่างนี้เป็นเพราะรู้เรื่องวีรกรรมที่เจเรมีก่อในวันนี้แล้วเรียบร้อย

แมธธิว วอล์กเกอร์ ซึ่งกำลังยกถ้วยชาคาโมมายล์ขึ้นดื่มเหลียวมองหน้าลูกชายก่อนตอบเนือยๆ

“คุณเมอร์ซีมีเรื่องจะคุยกับพ่อนิดหน่อยก็เลยตามให้มา”

คนถูกเอ่ยถึงเป็นฝ่ายยิ้มทักชายหนุ่มบ้าง อัลเบิร์ตไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร บิดาถูกเรียกตัวมาอย่างนี้แสดงว่ารู้เรื่องวันนี้ทั้งหมดแล้ว แน่นอนว่าหมายถึงเรื่องที่เจเรมีลากเขาไปที่ตลาดค้าโอเมก้าด้วย

ย้ำให้ชัดเจนว่า...เจเรมีลากเขาไป!

“คือ...ผมอธิบายได้นะครับ พวกเรา...” ออกปากแก้ตัวไปโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังไม่มีใครถามด้วยซ้ำ
แมธธิวยกมือขึ้นปรามลูกชายทันควัน “ไม่ต้องเล่า พ่อรู้หมดแล้ว มีคนมาบอกเรียบร้อย และก็ไม่ต้องห่วง คุณเมอร์ซีไม่ได้เรียกมาเพราะเรื่องนี้”

ไม่รู้อัลเบิร์ตจะโล่งใจดีหรือไม่ แต่เจเรมีไม่สะทกสะท้านอะไรสักนิด หัวเราะพลางเอ่ย

“ข่าวไวจริงๆ มีสายอยู่ทุกที่เลยนะพวกคนระดับสูงเนี่ย”
หมายถึงชนชั้นสูงที่อยู่ในระดับสูงซึ่งเหนือกว่าชนชั้นสูงทั่วไป

แมธธิวหัวเราะให้กับความคึกคะนองของชายหนุ่มที่เห็นมาตั้งแต่เล็กยันโต ก่อนที่เจอโรมจะเป็นฝ่ายตัดบท
“ถ้าแกจะเพลาๆ ความบ้าลงบ้างมันก็ดี ฉันขี้เกียจฟังเรื่องร้องเรียนว่าแกไปก่อปัญหาอะไรมาบ้าง”
“พวกหนุ่มๆ ก็แบบนี้แหละครับ กำลังคึกคะนอง ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กตัวเล็กๆ จะโตขึ้นถึงขนาดนี้แล้ว อีกไม่นานก็จะได้ประทับรอยสักแล้วสินะ” แมธธิวเสริม สายตามองไปยังหัวไหล่ข้างขวาของเจเรมีที่ปราศจากรอยสักอันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเพศ
ไม่ใช่เจเรมีคนเดียวที่ยังไม่มี ลูกชายเขาเองก็ยังไม่ได้รับการสักเหมือนกัน แต่คงอีกไม่นานแล้ว ก็ทั้งคู่อายุยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วนี่

“ผมว่ามันไร้สาระ” เจเรมีอดสวนไม่ได้
“ถึงจะไม่ชอบ แต่ก็อดทนหน่อยนะ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมานาน ใครๆ ก็ทำกัน” แทธธิวหัวเราะเมื่อเห็นว่าคำพูดของเขาทำคู่สนทนายู่หน้า เขาเข้าใจดีเลยว่าเจเรมีเบื่อหน่ายกับจารีตประเพณีทางสังคมเพียงใด เขาก็เบื่อ ตอนที่เขาอายุยี่สิบและต้องเข้าพิธีประทับรอยสัก เขาเองก็แอบต่อต้านในใจเล็กๆ เหมือนกัน

“มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นวัวในฟาร์มเพาะยังไงก็ไม่รู้” เจเรมีพูดตรงๆ เรียกเสียงหัวเราะจากแมธธิวได้อีกครั้ง
เจอโรมเหลือบมองลูกชายเล็กน้อย พอเห็นบางอย่างผิดปกติก็เอ่ยแทรก
“แล้วเสื้อแกหายไปไหน”

เจเรมีเกือบลืมไปแล้วว่าตอนนี้ช่วงบนของตนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเท่านั้น หากแต่เขาไม่ตอบตามตรงว่ายกให้โอเมก้าในตลาดมือไปแล้ว นอกจากยกยิ้ม เลิกคิ้วพลันลอยหน้าลอยตา
 “ถูกอากาศแล้วหดมั้ง ใช้ผ้าคุณภาพต่ำตัดก็อย่างนี้”

อัลเบิร์ตแทบจะกระทืบเท้าใส่อีกฝ่ายที่เอาแต่เล่นอยู่ได้ ขนาดนั้นพ่อตัวเองนะ ความยียวนยังไม่ลดน้อยถอยลงเลย
เจอโรมมองลูกชายนิ่งๆ อีกเพียงครู่ ไม่อยากจะถือสาอะไรกับความกวนประสาทของคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายตัวเองตอนหนุ่มอย่างกับแกะนักหรอกก่อนออกปากไล่

“จะไปทำอะไรก็ไปซะ ฉันจะคุยธุระต่อ”
พูดมาอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าเรื่องที่แมธธิวถูกเรียกมาคุยไม่ใช่เรื่องของพวกเขา เจเรมีพยักหน้ารับแล้วผละออกจากห้องรับแขกไป อัลเบิร์ตตามหลังไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงคุณนายเมอร์ซีร้องเรียกให้ไปทานมื้อเย็น

คล้อยหลังชายหนุ่มทั้งสองไปได้เล็กน้อย แมธธิวก็เปิดปาก
“ยังเฮ้วเหมือนเดิมเลยนะครับลูกชายคุณเนี่ย เห็นแล้วอย่างกับเห็นคุณตอนหนุ่มๆ”
“มันบ้ากว่าผมเยอะ เทียบกันไม่ติดหรอก” เจอโรมตอบอย่างขอไปที ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะร่วน
ความจริงตอนหนุ่มๆ เจอโรมก็ไม่ต่างอะไรจากเจเรมีนัก เพียงแต่รู้กาลเทศะมากกว่า ไม่หาเรื่องใครไม่เลือกหน้าอย่างนี้ ยังรู้ว่าคนไหนควรมีเรื่องด้วย คนไหนควรอยู่ให้ห่าง แต่สำหรับเจเรมีนั้นไม่ใช่ รายนั้นพร้อมที่จะฉะกับทุกคนที่ยืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับเขาโดยไม่รีรอทันที

“อย่าไปคุยเรื่องความบ้าของมันเลย ผมไม่ได้เรียกคุณมาเพราะเรื่องนี้หรอกนะ” เจอโรมเข้าเรื่อง
แมธธิวพยักหน้ารับก่อนเริ่มบทสนทนาที่คุยค้างไว้ก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“แล้วคุณจะให้มันเป็นอย่างนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่ มีแผนว่าจะหยุดทำอย่างนี้เมื่อไหร่ครับ”
“จนกว่าคุณจะมีทางเลือกอื่นให้ผม” เจอโรมว่าเสียงเรียบ สายตาจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนที่อายุไล่เลี่ยกับตนเอง “จนกว่าจะมียาที่ระงับอาการนั้นได้อย่างถาวร”

คนฟังรู้คำตอบดี เขาก็กำลังพยายามหาทางอยู่ แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็นับว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ยาที่เขาลักลอบให้แพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขแห่งมหานครเพิร์ลซึ่งเขาดูแลอยู่ผลิตออกมาเรียกได้ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงเลยทีเดียว ตั้งแต่เริ่มใช้กับเจเรมีและค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจเรมีจะออกอาการใดๆ เลย

ได้ผลชะงัด ไร้ซึ่งผลข้างเคียง เป็นยาที่คุณภาพดีที่สุดเท่าที่เขาเคยดำเนินการผลิตมาแล้ว

ทว่ากระนั้นเจอโรมก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ ผลของมันเป็นที่น่าพอใจก็จริง หากแต่มันยังไม่เคยได้รับการทดลองใช้กับกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นกรณีที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น และเป็นกรณีที่... ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ยังไม่เจอ ‘หนูทดลอง’ ที่เกิดมาเพื่อลูกชายเขาเลยสักครั้ง

เหตุผลนี้ทำให้เขาต้องเรียกแมธธิวมาปรึกษาเป็นการส่วนตัว อีกไม่นาน เจเรมีก็จะออกไปสู่สังคมอัลฟ่าเต็มตัวแล้ว มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่พวกเขารู้กันดี ในหมู่ของพวกผู้นำก็มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เขาจะไม่ยอมให้เจเรมีกลายเป็นเหยื่อเด็ดขาดแม้ว่าลูกของเขาจะได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมวายร้ายที่ใครๆ พากันขยาดก็ตาม

“ผมกำลังกังวลว่าถ้าสักวันเราเจอหนูทดลองตัวนั้น เราจะจับมันมาทำการทดลองได้ทันการณ์ก่อนที่เจเรมีจะกลายเป็นเหยื่อหรือเปล่า” เจอโรมว่าออกไปตามตรงว่าเขากลัดกลุ้มเรื่องอะไร
แมธธิวพยักหน้ารับ ไร้คำพูดออกจากปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย

“ผมเองก็กังวลเรื่องนั้น กับพวกทั่วๆ ไปก็มั่นใจได้อยู่หรอกว่าใช้ได้ผล แต่กับคนคนเดียวที่เราไม่เคยเจอเลยนั่น... มันก็พูดยากอยู่นะ”
“ผมถึงอยากให้คุณเร่งมือหน่อย เรื่องงบประมาณไม่ต้องเป็นห่วง ผมพร้อมจะสนับสนุนด้านนี้ ขอแค่ให้คุณเอ่ยปากมา แล้วก็เหยียบให้สนิท ทุกอย่างยังคงต้องเป็นความลับเหมือนเดิม”

แมธธิวพยักหน้า เขารักษาความลับได้อยู่แล้ว กับคนที่เคยมีบุญคุณกับเขาอย่างเจอโรม เขาไม่ทรยศหักหลังครอบครัวของผู้มีพระคุณหรอก ไม่อย่างนั้นจะเก็บความลับมาได้ถึงยี่สิบปี ซ้ำยังร่วมมือดำเนินงานโครงการลับกับเจอโรมเพื่อเจเรมีถึงเจ็ดปีอย่างนี้เหรอ?

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมจัดการให้ได้”
การกระทำของพวกเขาดูเหมือนกับพวกนักการเมืองที่เจรจากระทำการทุจริตก็ไม่ปาน ทว่าไม่ใช่ งบประมาณที่แมธธิวได้จากทางเจอโรมไม่ได้มาจากการคอร์รัปชัน หากแต่เป็นรายได้ของตระกูลเมอร์ซีเอง แต่การกระทำนี้ก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเจเรมี

เจอโรมได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจ เขาเองก็เชื่อใจสหายคนนี้และคาดหวังสูงอยู่เหมือนกัน แมธธิวเองก็เหมือนกับอัลเบิร์ต สนิทกับตระกูลเมอร์ซีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จากวัยเด็กสู่ตอนโตกระทั่งถึงตอนที่ต่างฝ่ายต่างมีหน้ามีตาทางสังคมอย่างนี้ แม้ว่าคำพูดคำจาจะเปลี่ยนไปตามการวางตัวในสังคมอยู่บ้าง แต่ความสนิทชิดเชื้อไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย

“ผมตั้งความหวังไว้สูงนะ” เจอโรมย้ำคำอีกครั้งให้แมธธิวได้หัวเราะน้อยๆ

เขาเองก็ตั้งความหวังไว้สูงเช่นเดียวกัน แต่ว่า...
“แต่การฝืนสัญชาตญาณมันไม่ง่ายเลยนะ คุณควรคิดหาทางอื่นไว้เผื่อเป็นแผนสำรองด้วย”

นั่นแหละ... มันไม่ง่ายเลย

เจอโรมรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะให้แผนการนี้สำเร็จถึงขั้นสูงสุดเสียก่อน เพราะแผนสำรองของเขามันไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่นัก

“ถึงได้บอกว่าคาดหวังกับคุณไว้สูงไง” เจอโรมว่าอีกครั้ง ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบบ้าง
แมธธิวไม่ว่าอะไรต่อ พอจะรู้มาอยู่หรอกว่าแผนสำรองของเจอโรมมันไม่เข้าท่า ถ้าต้องทำตามแผนนั้นขึ้นมา เท่ากับว่าตระกูลเมอร์ซีต้องทิ้งทุกอย่างที่มีไปทันที

“หรือไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องหาหนูทดลองให้พบก่อนที่จะเจอกับเจเรมี แต่นานขนาดนี้แล้วยังไม่พบตัว กลุ่มอัลฟ่าในเพิร์ลก็มีแค่หยิบมือ ในเมื่อเจเรมีไม่แสดงอาการออกก็อาจจะวางใจได้”
“ยังไม่แสดงอาการแค่ระยะนี้ แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ ทำตามหน้าที่ให้ดีก็แล้วกัน ผมฝากฝังชีวิตลูกชายเอาไว้ด้วย”




 
การสนทนาของทั้งสองเป็นไปอย่างยาวนานพอสมควร กว่าจะเสร็จสิ้น อัลเบิร์ตก็แทบจะหลับในห้องของเจเรมีแล้วถ้าหากว่าคุณนายเมอร์ซีไม่มาเคาะประตูเรียกพร้อมกับเอาชุดเข็มฉีดยามาให้ เจเรมีจัดการตัวเองอย่างคล่องแคล่ว ทำเอาเพื่อนสนิทที่มองอยู่อดถามออกไปไม่ได้

“ต้องฉีดทุกวันเลยเหรอครับ” ไม่ได้ถามเจเรมี หากแต่ถาม มาเรีย เมอร์ซี ที่เก็บข้าวของหลังลูกชายฉีดยาให้ตัวเองเสร็จ
“ใช่แล้วจ้ะ”
“ทั้งเช้าและเย็นเลยเหรอ”
“ช่วงนี้ก็ต้องแบบนี้แหละนะ ป่วยนี่” ใบหน้าของคนตอบเปื้อนรอยยิ้มทำเอาอัลเบิร์ตไม่อยากถามอะไรต่อ ถึงอยากถามก็ไม่มีโอกาสแล้วเมื่อมาเรียพูดขึ้นอีก “แล้วเธอจะกลับเลยไหมจ๊ะอัล เห็นว่าคุณวอล์กเกอร์คุยธุระเสร็จแล้ว หรือจะนอนค้างที่นี่กับเจมี่”

คนถูกถามเหลือบไปมองเจเรมีที่โดขึ้นเตียงเล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายกระดิกนิ้วเรียกยิกๆ ด้วยท่าทางกวนประสาท อัลเบิร์ตก็ส่ายหน้า
“ไม่ล่ะครับ ผมกลับพร้อมพ่อดีกว่า”
ใครมันจะไปอยากอยู่ให้ปวดหัวมากกว่าเดิม ถึงจะมั่นใจว่าเจเรมีคงไม่ก่อเรื่องแล้ว แต่ก็คงจะกวนเขาน่าดู กลับไปพักผ่อนที่บ้านให้เต็มที่เพื่อรอรับมือกับความแสบสันของคนตัวใหญ่ในวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า
“งั้นไปกันเถอะจ้ะ”

ได้ยินมาเรียพูดอย่างนั้น อัลเบิร์ตก็หันไปลาเพื่อนแล้วออกจากห้องนอนไป มาเรียขอตัวไปเก็บข้าวของก่อน ปล่อยให้เพื่อนลูกชายเดินออกไปยังหน้าบ้าน หากแต่ยังไม่ทันจะถึงประตู แค่เข้ามาใกล้บริเวณหน้าห้องรับแขกเท่านั้น เขาก็ต้องหยุดกึกเมื่อหูได้ยินเสียงสนทนาลอยตามมา
“ขอบคุณที่มานะคุณวอล์กเกอร์”
“สำหรับคุณแล้ว ผมยินดีครับ แต่ผมก็คงต้องขอยืนยันคำเดิมว่าการต่อสู้กับสัญชาตญาณมันไม่ง่ายเลย คุณลองหาแผนการอื่นสำรองไว้เพิ่มเติมเผื่อเป็นทางเลือกด้วยก็แล้วกัน แผนสำรองแค่แผนเดียวมันไม่น่าจะพอ”
“ผมรู้ ไปเถอะ ผมจะไปส่ง”

ไม่ได้ตั้งใจจะฟังแต่ได้ยินไปเรียบร้อยแล้ว พลันก็สงสัยว่า ‘ต่อสู้กับสัญชาตญาณ’ ที่ว่าคืออะไร หากแต่ก็ต้องรีบทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินเมื่อเห็นผู้ใหญ่ทั้งสองโผล่หน้าออกมา ก่อนรีบบอกลาเจอโรมทันทีที่เห็นหน้า

สองพ่อลูกวอล์กเกอร์เดินไปตามทางเรียบของถนน ตรงไปยังรถคันหรูที่จอดเทียบอยู่ข้างทาง ทั้งหมดควรจะดำเนินไปอย่างปกติ หากแต่ในใจของอัลเบิร์ตไม่เป็นปกติเลย เขาสงสัย อึดอัด แล้วก็อยากรู้ ความรู้สึกหลายอย่างปะปนกันไปหมดจนเขาอดถามออกมาไม่ได้

“พ่อ เจมี่ป่วยเป็นอะไร”
แมธธิวที่กำลังจะเปิดรถหันไปมองหน้าลูกชายทันที “ไม่ใช่เรื่องที่ลูกต้องรู้”

คำตอบเดิมหลุดออกจากปากผู้เป็นพ่ออีกแล้ว หากแต่ครั้งนี้อัลเบิร์ตไม่ยอมล่าถอยไปง่ายๆ ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เขาก็ต้องรู้ว่าเพื่อนตัวเองป่วยเป็นอะไรกันแน่ พลันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเม็ดยาที่เจเรมีทำตกเมื่อช่วงเช้าออกมาให้ดู
“เมื่อเช้าศาสตราจารย์คอร์ธนีย์พาโอเมก้ามาที่คลาสเรียน ก่อนเริ่มบรรยาย เขาให้พวกเรากินยาต้านฟีโรโมนของโอเมก้าก่อน มีแค่เจมี่ที่ไม่ได้กิน แต่เขาไม่มีอาการอะไร มันหมายความว่ายังไงครับ”

แมธธิวชะงักไปอีกครั้ง คิดอยู่แล้วว่าสักวันอัลเบิร์ตจะต้องสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ก่อนจะมองซ้ายขวาแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ลูกชายรีบขึ้นรถ
ขึ้นมาได้ก็เอ่ยถาม “มีคนอื่นนอกจากลูกรู้เรื่องไหม”

อัลเบิร์ตส่ายหน้า ทำให้แมธธิวถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
“ตกลงเขาป่วยเป็นอะไรครับ” คิดว่าบิดาคงจะยอมเปิดปากแล้วจึงถามย้ำออกไปอีก
แมธธิวเหลือบมอง มาถึงขั้นนี้แล้วคงต้องบอก
“ทุกอย่างที่คุยกันจะเป็นความลับ ใครก็รู้ไม่ได้เข้าใจไหม แม้แต่เจเรมีเองก็ห้ามบอก”
ไม่รู้ว่าทำไมแต่อัลเบิร์ตก็พยักหน้ารับ แต่จนแล้วจนรอดแมธธิวก็ไม่พูดเสียที คล้ายกับว่าชั่งใจว่าควรจะบอกดีไหม สุดท้ายก็เป็นลูกชายที่ต้องถามย้ำ

“ตกลงป่วยเป็นอะไรครับ”
“โรคพันธุกรรมบกพร่อง”
คนฟังทำหน้าไม่เข้าใจขึ้นมาฉับพลัน
“พ่อจะบอกว่ามันมีผลทำให้เจมี่ไม่เกิดอาการตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้า?”
“ประมาณนั้น”
“ยังไงครับ”
“รู้แค่นี้ก็พอแล้ว”

เห็นอัลเบิร์ตกระตือรือร้นถามไม่หยุดก็รีบเบรก ลูกชายถึงกับมุ่ยหน้า อยากรู้มากกว่าเดิมเสียอีก หากแต่เห็นสีหน้าของบิดาแล้วก็รู้ว่าถามไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร จึงได้แต่ปิดปากเงียบกระทั่งแมธธิวเริ่มสตาร์ทรถและขับออกไป

โรคพันธุกรรมบกพร่อง... ต่อสู้กับสัญชาตญาณ...

มันเกี่ยวโยงกันใช่ไหม?

ในหัวของอัลเบิร์ตคิดครุ่นไม่หยุดเลย อยาจะรู้มากกว่าเดิมว่ารายละเอียดมันเป็นอย่างไร แล้วทำไมพ่อของเขากับเจอโรมถึงได้ทำอย่างกับว่าเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกิน

ถ้าหากเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ทำไมถึงไม่บอกเจเรมีล่ะว่าเขาป่วยเป็นอะไร?

ไร้ซึ่งคำตอบ ไม่เห็นเหตุผลใดๆ เลย แต่เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็ได้รู้แล้วว่าการที่เพื่อนเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าเป็นเพราะอะไร

ช่างเป็นอัลฟ่าที่...น่าสงสาร
...หรือเปล่านะ?




 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2017 00:40:55 โดย NooDangzz »

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 02: โรคพันธุกรรมบกพร่อง[2]


จะว่าไปเจเรมีก็เบื่อหน่ายกิจวัตรประจำวันของตัวเองมากโขอยู่เหมือนกัน ตื่นเช้าไปฟังบรรยายที่สถาบันพัฒนาฯ จากนั้นก็กลับบ้าน วนเวียนอยู่อย่างนี้แทบทุกวัน เบื่อหน่ายที่สุดคือการต้องจัดการฉีดยาให้ตัวเองทั้งเช้าและเย็น หลายครั้งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงโดยการแสร้งทำเป็นลืม หากแต่ก็โดนมารดามาเตือนตลอดทำให้เลี่ยงไม่ได้

เว้นเสียแต่วันนี้ที่มารดามีธุระต้องออกจากบ้านแต่เช้า ส่วนบิดาก็มีประชุมกับสมาชิกสภาระดับสูง ทำให้เขาเมินเฉยใส่เข็มฉีดยาที่คนเป็นแม่จัดเตรียมไว้ให้ แต่งตัวเสร็จก็พุ่งออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังสถาบันอย่างรวดเร็ว ไม่ฟังแม้แต่เสียงคนรับใช้ในบ้านที่ร้องท้วงว่าเขายังไม่ได้ฉีดยาเลย

ฉีดมาเกือบตลอดชีวิตแล้ว ไม่ฉีดวันเดียวคงไม่ตายหรอกมั้งไอ้โรคบ้านี่น่ะ!

แล้วคนรับใช้จะทำอะไรได้ นอกจากจะรายงานผู้เป็นนายทั้งสองที่ไม่อยู่บ้านไปเท่านั้น ส่วนเจเรมีก็ไม่สนใจอะไรแล้ว วันนี้เขาอยากไปถึงสถาบันเพื่อเริ่มคลาสแรกของวันให้เร็วที่สุดมากกว่า

ทำไมเขาถึงได้กระตือรือร้นที่จะเข้าคลาสเรียนอย่างนี้น่ะเหรอ?

วันนี้มีวิชาที่เขาโปรดปรานน่ะสิ...
...วิชาศิลปะการป้องกันตัว

“นายมาเช้าผิดปกตินะ”
เสียงทักดังขึ้นแผ่วเบาในคลาสขณะที่มีเสียงครูฝึกจากหน่วยทหารของกองทัพอัลฟ่ากำลังอธิบายเรื่องการเรียนการสอนของวันนี้เรียกให้เจเรมีต้องละสายตาจากครูฝึกร่างยักษ์คนนั้นเหลียวไปมองเพื่อนที่กระซิบกระซาบอยู่ข้างตัว

“มีวิชาโปรดนี่” เขากระซิบกลับไปบ้าง
อัลเบิร์ตก็ไม่น่าจะต้องสงสัยหรอก รู้อยู่แล้วว่าเจเรมีชื่นชอบวิชาที่ใช้ทักษะทางร่างกายมากเพียงใด ยิ่งหัวข้อการเรียนในวันนี้เป็นการต่อสู้มือเปล่าแล้วด้วย เขาก็ได้เห็นเจเรมีที่เปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดวอร์มมารอในโรงยิมก่อนใครเพื่อนอย่างที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นที วิชานี้พิเศษตรงที่ครูฝึกจะให้จับสลากเลือกคู่ต่อสู้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลสำคัญเลยทีเดียวที่ทำให้เจเรมีมาแต่เช้า สายตาเขาจับจ้องไปยังร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพลางแสยะยิ้มพราย

“โอกาสเล่นสนุกกับมันต่อหน้าคนเยอะๆ อย่างนี้มีบ่อยซะที่ไหน มันก็ต้องกระตือรือร้นกันหน่อย”
อัลเบิร์ตชำเลืองมองตามไปบ้าง พอเห็นว่าคนที่ถูกสายตาของเจเรมีจับจ้องอยู่ที่ธีโอก็รีบออกปากปราม
“ล้มเลิกความคิดนั้นไปซะ เมื่อวานยังไม่พออีกหรือไง”
“กระทืบไปไม่กี่ทีมันจะไปพอได้ไง มันต้องโดนชุดใหญ่” พูดแล้วก็แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาเป็นประกายวิบวับราวกับเด็กได้ของเล่นถูกใจ

ธีโอรู้สึกตัวว่าถูกจับจ้องอยู่ก็มองตอบ พอเห็นว่าเป็นเจเรมี สีหน้าก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันควัน ยังแค้นใจที่เมื่อวานถูกหักหน้าไม่หาย ขณะที่เจเรมีหัวเราะหึ ชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายแล้วหันนิ้วชี้กลับมาที่เป้ากางเกงตัวเอง จากนั้นก็สลับมาชูนิ้วกลางขึ้นในอากาศ แลบลิ้นเลียเล็กน้อยเป็นการดูถูกเชิงสัญลักษณ์ ทำเอาธีโอโกรธจนหน้าแดงก่ำ แทบจะถลาเข้ามาหาเขาแล้วถ้าหากลูกสมุนที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่ห้ามปรามเสียก่อน

ความชุลมุนบังเกิดขึ้นในทันที ธีโอเริ่มโวยวายที่ถูกห้ามพลางก่นด่าตัวต้นเหตุเสียงดัง ทว่าเจเรมีกลับแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้อัลเบิร์ตชักคิดไปแล้วว่าคนที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นน่าจะเป็นเจเรมีมากกว่า ไม่ใช่ธีโอ ก่อนจะต้องละสายตาไปยังครูฝึกเมื่อเสียงดุดังขึ้น
“ทำบ้าอะไรของพวกคุณกัน!”
ธีโอชะงัก สะบัดตัวออกจากการเกาะกุม ชี้นิ้วมาที่ตัวการและฟ้องเป็นการใหญ่
“มันหาเรื่องผม”
ครูฝึกมองตามปลายนิ้วไปก็เห็นว่าเป็นเจ้าจอมวายร้ายประจำสถาบันที่กำลังยืนแคะเล็บ
“ก่อเรื่องอะไรอีกล่ะคุณเมอร์ซี”
ไม่ต้องเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจเลยว่าคนถูกกล่าวหาเป็นตัวต้นเหตุจริงหรือเปล่า แค่รู้ว่าเป็นเขาก็มั่นใจแล้ว ชื่อเสีย(ง)โด่งดังขนาดนั้น จะให้คิดว่าเป็นคนอื่นไปได้อย่างไร

เจเรมีเองก็กวนประสาท ว่าออกมาโต้งๆ
“ผมก็แค่ทำแบบนี้ให้หมอนั่นดูเฉยๆ” ตามมาด้วยทำแบบเดิมให้ครูฝึกดูอีก ทำเอาอัลเบิร์ตห้ามแทบไม่ทัน
“หยาบคายเกินไปแล้วเจมี่”
แทนที่จะหยุด อีกฝ่ายดันหัวเราะขบขันเสียอย่างนั้น บรรยากาศในโรงยิมกร่อยลงไปทันตา ครูฝึกเองก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่นักหรอก แต่ก็ไม่อยากจะเอาเรื่องเอาราวอะไรมากนัก มันเสียเวลาเปล่าที่จะไปสั่งสอนนักศึกษารายนี้

“ถ้าจะทะเลาะกันก็เอาแรงเก็บไว้ใช้ตอนฝึกดีกว่า กลับเข้ามุมใครมุมมันไปเลย” ออกปากไล่แทบจะในทันที
มีแต่เจเรมีที่ไม่ขยับ ส่วนธีโอก็ถูกเพื่อนลากเข้ามุมไปแล้ว ยังคงออกอาการกระฟัดกระเฟียดให้เห็นคล้ายกับว่าอยากจะตะบันหน้าเจเรมีเต็มทน จนคนมองอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“ใจเย็นๆ น่าคุณแฮร์ริสัน เดี๋ยวแกก็ได้ถูกฉันกระทืบจนอ่วม ยังไม่ต้องรีบร้อน”
“อย่ามาสะเออะเรียกฉันอย่างนั้น!” ธีโอแผดเสียง ทำเอาเจเรมีเลิกคิ้วแสร้งทำหน้าตาเหลอหลา
“แย่จัง เรียกแบบให้เกียรติก็ดันไม่ชอบ งั้นเรียกไอ้เวรดีไหม หรือไอ้สวะ หรืออะไรดี นายมีอะไรอยากเสนอไหม ขออะไรที่เข้ากับการกระทำของนายเมื่อวานนี้หน่อย”
“แก! ไอ้เจเรมี!”

ธีโอทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาอีกระลอก ลืมไปสนิทเลยว่าตัวเองสู้เจเรมีไม่ได้ แต่ด้วยโทสะที่ถูกยั่วขึ้นมาทำให้เขาลืมตัว ความชุลมุนก่อกำเนิดอีกระลอก เจเรมีเองก็ตั้งท่าจะสู้เหมือนกัน ทำเอาใครต่อใครห้ามกันแทบไม่ทัน

สถานการณ์นั้นทำเอาครูฝึกหัวเสีย ความอดทนที่มีอยู่ถึงขีดจำกัดแล้วก่อนเขาจะตะคอกลั่น
“พวกคุณหยุดกัดกันสักที! ถ้าอยากจะซัดกันมากนักก็ไปสวมนวมแล้วขึ้นเวทีไป!”
เจเรมีออกอาการยินดีอย่างไม่ปกปิด มีหน้าไปถามครูฝึกอีก
“ไหนนวมครับ?”

กวนประสาท!

ครูฝึกกัดฟันกรอด อัลเบิร์ตเห็นท่าไม่ดีแล้ว รีบออกปากปรามเพื่อน
“พอได้แล้วน่าเจมี่ ยังเช้าอยู่เลย จะก่อเรื่องทำไมตั้งแต่หัววัน”
“ฉันรีบ” ไม่กวนแค่คนนอก แม้แต่เพื่อนตัวเองก็ไม่เว้น

จนปัญญาจะพูดเหลือเกิน ครูฝึกเองก็ไม่ปล่อยให้สถานการณ์มันแย่ลงมากกว่านั้น แค่นี้เขาก็ปวดกะโหลกจะตายอยู่แล้ว ถึงจะชื่นชมเจเรมีว่าเป็นนักศึกษาที่เขาภาคภูมิใจ แต่เรื่องความสุดโต่งของอีกฝ่ายทำให้เขาสุดจะทนเหมือนกัน
“ไม่ต้องรีบ ได้ใช้กำลังแน่ แต่ต้องขอโทษทีที่ฉันพูดผิดไปหน่อย วันนี้พวกคุณจะไม่ได้ซัดกันเอง แล้วคุณก็กลับไปยืนที่เดิมได้แล้วคุณแฮร์ริสัน สงบสติอารมณ์ได้แล้ว” พูดพลางไล่ธีโอให้ถอยออกห่าง

เจเรมีชักสีหน้าทันควัน อุตส่าห์ดีใจแล้วเชียวว่าจะได้ซัดกับธีโอให้สมใจอยาก ขณะที่อัลเบิร์ตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ ถ้าครูฝึกปล่อยให้ทั้งคู่ซัดกันล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่าธีโอจะโดนอ่วนแค่ไหน

แล้วครูฝึกก็เรียกความสนใจของทุกคนไปด้วยการอธิบายการฝึกฝนที่จะทำกันในวันนี้

“ที่วันนี้ไม่ให้พวกคุณซัดกันเองเพราะมันไม่เหมือนกับสถานการณ์จริงถ้าจำเป็นต้องใช้ทักษะการต่อสู้ วันนี้ผมก็เลยพาคู่ต่อสู้จากข้างนอกมาให้”

บรรยากาศการเรียนกลับเข้าสู่ปกติอีกครั้ง ความน่าสนใจอบอวลไปทั่วทั้งโรงยิม ตั้งแต่เรียนวิชานี้มา นักศึกษาอัลฟ่าในระดับชั้นปีที่สองยังไม่เคยสู้กับใครอื่นนอกจากเพื่อนในชั้นปีตัวเองเลยแม้แต่น้อย นับว่าการเรียนการสอนวันนี้น่าสนใจมาก ทว่าก็มีเรื่องให้น่าผิดหวังเล็กน้อยเมื่อครูฝึกพูดต่อ

“แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าอาจจะไม่ได้ทดลองสู้กับเขากันทุกคน เขาไม่น่าจะรองรับพวกคุณที่มีกว่าร้อยชีวิตได้ไหว เอาเป็นว่าผมจะเลือกตัวแทนจากพวกคุณสาธิตให้ดู จากนั้นก็จับคู่ฝึกก็แล้วกัน” จากนั้นก็เหลือบมองไปรอบๆ แล้วก็เรียกชื่อของใครบางคนออกมา “ตัวแทนเป็นคุณก็แล้วกัน คุณเมอร์ซี”

เจเรมีก้าวออกมาข้างหน้า เอียงคอแล้วยกยิ้มร้าย มีเสียงโห่เบาๆ ดังขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเพราะรู้ดีว่าเจเรมีเป็นคนเดียวที่มีทักษะการต่อสู้สูง เขาเป็นอันดับหนึ่งของชั้นปีนี่นา จะให้พูดก็อาจจะบอกได้ว่าเป็นพวกสมองทึบ ชำนาญแต่การใช้กำลัง

คำปรามาสนี้มันเป็นคำนิยามของตัวปัญหาชัดๆ...

“ก่อนที่จะพาคู่ต่อสู้มาให้เจอ ผมต้องขออธิบายหน่อยว่าคนที่คุณเมอร์ซีจะสาธิตการต่อสู้ด้วยเป็นอัลฟ่าเหมือนกันกับพวกเรา แต่เป็นอัลฟ่าจากที่อื่น ดังนั้นการสาธิตออกจะอันตรายเล็กน้อย ผมถึงได้เลือกคนที่คิดว่าแกร่งที่สุดในบรรดาพวกคุณมาเป็นตัวแทน”
“อัลฟ่าจากที่อื่นเหรอครับ?” เสียงใครบางคนร้องถามขึ้น
ครูฝึกพยักหน้าก่อนขยายความ “อัลฟ่าจากอาณาเขตปกครองพิเศษดีออน”

ทุกชีวิตเงียบรอฟังทันใด ต่างรู้ดีว่าอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนเป็นอาณาเขตที่มหานครเพิร์ลเพิ่งจะเข้าปฏิวัติและยึดอำนาจการปกครองมาเมื่อสองปีก่อน นับว่าเป็นอาณาเขตล่าสุดที่ถูกมหานครเพิร์ลรุกราน แน่นอนว่าเหตุผลก็คือ เพื่อความสงบสุขเช่นเดียวกันเนื่องจากอาณาเขตนี้มีระบบการปกครองที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนชนชั้นเบต้าและโอเมก้า ซึ่งขัดกับแนวความคิดของมหานครเพิร์ล ทางมหานครเพิร์ลจึงจำเป็นต้องยึดศูนย์กลางอำนาจการปกครองมาไว้ที่นี่ด้วยไม่ต้องการให้อาณาเขตเล็กๆ นอกเหนือการควบคุมนั้นก่อความวุ่นวาย

ความจริงแล้ว เมื่อหลายทศวรรษก่อนมหานครเพิร์ลก็เป็นเพียงอาณาเขตเช่นเดียวกัน หากแต่เมื่อมีแนวความคิดแบ่งแยกชนชั้นเกิดขึ้น มหานครเพิร์ลก็เริ่มส่งทูตไปเจรจากับอาณาเขตอื่นๆ ให้เข้าร่วม ถ้าอาณาเขตอื่นยินยอมก็ถือว่าเป็นพันธมิตร ทว่าถ้าไม่ยินยอมก็จะถูกบังคับให้เป็นอาณาเขตปกครองพิเศษ หากขัดขืน ผู้ปกครองอาณาเขตนั้นๆ ก็จะถูกยัดเยียดข้อหากบฏให้

ไม่มีอาณาเขตใดยินยอมหรอก ใครมันจะไปยอมรับบรรทัดฐานสังคมแบบไร้มนุษยธรรมกัน แต่ด้วยความที่มหานครเพิร์ลเป็นอาณาเขตที่กว้างใหญ่และเก่าแก่ ซ้ำยังมีพันธมิตรมากมาย กองกำลังในการรุกรานก็แข็งแกร่งจึงไม่มีอาณาเขตใดต้านทานได้ อาณาเขตเล็กๆ อย่างดีออนจึงตกอยู่ใต้อาณัติอย่างไร้ทางเลือก

ถึงจะไม่ใช่คนที่หัวดีอะไรมาก แต่เจเรมีก็รู้ดีว่าการส่งทูตไปเจรจาเพื่อให้อาณาเขตอื่นร่วมเป็นพันธมิตรกับมหานครเพิร์ล แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นไปเพื่อความสงบสุขหรอก พวกคนที่มีอำนาจแค่อยากจะได้ทรัพยากรโอเมก้าจากแหล่งอื่นมาเป็นสินค้าสร้างเงินตราอย่างลับๆ ให้พวกเขาเท่านั้น ถึงจะเอาแต่พูดว่าพวกโอเมก้าสกปรก ควรกำจัด แท้จริงแล้วก็แค่ไม่อยากยอมรับว่าอัลฟ่าอย่างพวกเขาต่อกรโอเมก้าไม่ได้

โอเมก้ามีอาการฮีท... อัลฟ่าเกิดปฏิกิริยา เท่ากับอัลฟ่าถูกโอเมก้าควบคุม

เรื่องอะไรที่ชนชั้นซึ่งคิดเอาเองว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าจะไปยอมเป็นเบี้ยล่างกัน ความสงบสุขอะไรนั่นก็แค่ข้ออ้างในการกุมอำนาจเท่านั้นแหละ

ส่วนเรื่องการยึดอำนาจอะไรนั่น เจเรมีคิดอยู่บ่อยๆ ว่าขนาดในกลุ่มอัลฟ่าด้วยกันเองก็ยังมีการแบ่งแยกยิบย่อย ไม่เชื่อก็ดูสิ แค่ต่างถิ่นกำเนิด ถิ่นที่อยู่อาศัยก็ถูกแบ่งแยกแล้ว

ถึงได้บอกว่าความสงบสุขอะไรมันมีที่ไหนกันล่ะ ทุกอย่างก็เพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องคนบางกลุ่มเท่านั้น
ทว่าเจเรมีก็ไม่ได้สนจะอะไร เขาออกจะตื่นเต้นสักหน่อยที่จะได้สู้กับอัลฟ่าจากที่อื่น ครูฝึกพามาให้เป็นคู่สาธิตอย่างนี้แสดงว่าต้องมีฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดาแน่ ก่อนที่ครูฝึกจะเอ่ยอีกครั้ง

“ผมคิดว่าพวกคุณน่าจะรู้จักเขากันดีนะ คริส ฟ็อกซ์... นักโทษข้อหากบฏ”

คุ้นหูเลยทีเดียว เสียงฮือฮาดังขึ้นในโรงยิมฉับพลันด้วย ทุกคนต่างเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอัลฟ่าคนนี้มาบ้างเหมือนกันว่าเป็นลูกชายคนสุดท้องของตระกูลฟ็อกซ์ซึ่งเป็นตระกูลผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของอาณาเขตการปกครองพิเศษดีออน เห็นว่าเป็นสมาชิกวงศ์ตระกูลที่เหลืออยู่ด้วยเพราะสมาชิกคนอื่นๆ ได้สละชีวิตในการปฏิวัติของมหานครเพิร์ลไปหมดแล้ว ที่เขารอดชีวิตก็เพราะถูกจับเป็นตัวประกันในการต่อรอง แต่สุดท้ายเขาก็ถูกยึดอิสระภาพอยู่ในทัณฑสถานไปถึงสองปี

“เชิญขึ้นไปเตรียมตัวรอบนสังเวียนได้เลยคุณเมอร์ซี เดี๋ยวผมจะไปพาตัวเขามา”
เจเรมีพยักหน้ารับ ตรงขึ้นไปยังเวทีมวยตรงหน้า อัลเบิร์ตมองตามแล้วไม่อยากให้เพื่อนไปเป็นตัวแทนเท่าไหร่นัก สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะต้องเกิดเรื่องร้ายๆ แน่

เรื่องร้ายๆ กับนักโทษที่ชื่อว่า คริส ฟ็อกซ์ อะไรนั่นน่ะ ไม่ใช่กับเจเรมีหรอก เจเรมีเคยออมมืออะไรกับใครที่ไหน

หากแต่ห้ามไป เจเรมีก็ไม่สน ถึงเขาจะไม่อยากสู้กับคนที่มีชะตากรรมน่าสังเวชอย่างนี้สักเท่าไหร่ แต่ประวัติอันโชกโชนของคริสก็ทำให้เขาอดอยากรู้ไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือดีแค่ไหนกันเชียว ครูฝึกถึงได้พามาเป็นคู่สาธิตอย่างนี้

ครูฝึกหายออกไปจากโรงยิมครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ผู้คุมนักโทษร่างใหญ่อีกสองคนที่เดินประกบชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา ทุกสายตาจับจ้องไปยังผู้มาใหม่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าชายในชุดนักโทษสีส้มนั้นคือคนที่ถูกกล่าวถึงเมื่อครู่นี้
หากแต่ชายหนุ่มคนนั้นดูไม่เหมือนนักโทษเลยแม้แต่น้อย รูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับเจเรมีหรืออาจจะสูงกว่าช่างดูโดดเด่น ใบหน้าคมคาย ดวงตาสีดำสนิทและผมสีน้ำตาลเข้มต่างช่วยกันขับเสน่ห์เขาออกมาจนไม่มีใครละสายตาไปได้ แต่เพียงแค่ใบหน้าหล่อเหลามันยังไม่พอที่จะสะกดทุกสายตา ที่ทำให้ทุกคนต้องจ้องเขานิ่งเป็นเพราะท่าทางสง่าผ่าเผยที่แลดูหยิ่งผยองของเขาต่างหากที่ทำให้เป็นอย่างนั้น

มองดูก็รู้ว่าเป็นชนชั้นสูง... นั่นมันเจ้าชายชัดๆ!

จะเรียกว่าเจ้าชายก็ไม่ผิด เขาเป็นทายาทตระกูลนักปกครองเพียงหนึ่งเดียวจากอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนนี่ แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเพียงนักโทษกบฏ มันก็ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามของเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งถูกดวงตาเรียวจับจ้อง คนที่มองเขาอยู่ก็ถึงกับต้องหลบสายตาหนี

ดวงตาคู่นั้นมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้คนถูกมองเกรงกลัวได้...

ไม่เว้นแม้แต่เจเรมีที่รอการมาถึงของคู่ต่อสู้ พอถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาแต่ไกล ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเขาก็เต้นระทึกขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ไม่ได้หวั่นเกรง...
ไม่ได้ตื่นเต้น...
แต่เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

คราวแรกก็นึกว่าตื่นเต้นนั่นแหละ ทว่าผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที เจเรมีก็รู้ว่ามันไม่ใช่เมื่อมือไม้เขาเริ่มสั่นเทาขึ้นมา จมูกได้รับกลิ่นประหลาดที่ลอยโชยเข้ามาใกล้

มันเป็นกลิ่นหอมหวาน... แบบที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน

อธิบายไม่ได้... บอกไม่ได้ว่ามันเป็นกลิ่นอะไร รู้อย่างเดียวคือมันทำให้เขาเริ่มจะเวียนหัวขึ้นมาน้อยๆ แล้ว

ไม่สิ... ไม่น้อย มากเลยทีเดียวล่ะ ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ กลิ่นนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

...มากขึ้นเสียจนร่างกายเขาเริ่มร้อนผะผ่าว เริ่มร้อนจากใบหน้า ไล่ลามลงไปยังลำคอ หน้าอก และพร่างพรายไปทั่วทั้งกายคล้ายกับเป็นไข้หนัก ร้ายกว่านั้นมันทำให้เริ่มหายใจติดขัดจนทรงตัวไม่อยู่

เจเรมีถอยไปพิงเสาที่มุมเวที พยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติแต่ไม่ง่ายเลย แล้วก็ร้ายกว่าเดิมด้วยเมื่อผู้ชายที่ชื่อคริสถูกไขกุญแจมือ จับสวมนวมแล้วดันขึ้นมาบนเวที การประจันหน้ากับอีกฝ่ายทำให้เขาได้กลิ่นของคนตรงหน้าชัดเจน
แย่แล้ว... แย่ที่สุด ตอนนี้ความร้อนมันลามไปทั่วทุกส่วนแล้ว ไม่เว้นแม้แต่...

...ตรงนั้น

ชูชันขึ้นมาแล้ว...

เจเรมีไม่เคยรู้สึกทรมานอย่างนี้มาก่อนเลย เขาสูญเสียการควบคุม ท่าทางระริกระรี้ก่อนหน้าหายวับไปทันตา กลายเป็นว่าตอนนี้เขาเริ่มยืนตรงไม่ได้แล้ว อาการแปลกๆ ทำให้อัลเบิร์ตที่มองอยู่นานเลิ่กลั่กก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหาแล้วกระซิบถาม
“เจมี่ นายโอเคไหม”

ไม่มีคำตอบจากปากของเพื่อน มีเพียงดวงตาปรือเท่านั้นที่มองมาก่อนที่เจเรมีจะพยายามยืนตรงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันไม่ง่ายนัก เผลอหน่อยเดียวเขาก็เสียหลักล้มลงบนเวทีเสียงดังตึง

ทุกสายตาปราดมองไปยังเขาทันทีด้วยสงสัยว่าจอมวายร้ายเป็นอะไร อัลเบิร์ตกังวลหนัก รีบร้องเรียกด้วยใจไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
“เจมี่ ถ้าไม่ไหวก็ลงมา ฉันจะพานายไปห้องพยาบาล”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเจเรมีเช่นเคย ไม่ใช่ไม่อยากพูด แต่เขาพูดไม่ออก เสียงหายใจของเจเรมีดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหอบหนัก ครูฝึกสังเกตเห็นก็ตั้งท่าจะเข้ามาถามไถ่ว่าเป็นอะไร ทว่าจู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างทำให้เขาต้องนิ่งค้างไว้
ไม่ใช่แค่ครูฝึกเท่านั้น ทุกชีวิตที่นี่ด้วย...

มันมีกลิ่น...
กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้า!

ทุกคนเริ่มออกอาการทุรนทุราย มีปฏิกิริยาตอบสนองกับกลิ่นนั้นอย่างรวดเร็วจนต้องพยายามอดกลั้นกันสุดชีวิต เว้นเสียก็แต่คนมาใหม่เท่านั้นที่ยืนมองเหตุการณ์แล้วก็ได้แต่ย่นคิ้ว

จำได้ดีว่าหลายวันก่อนผู้คุมมาบอกให้เขาเตรียมตัวไปเป็นคู่สาธิตให้กับนักศึกษาของสถาบันพัฒนาฯ อะไรนั่นจนถูกเตรียมความพร้อมทางร่างกายหลายๆ อย่าง ไม่เว้นแม้แต่ถูกฉีดยาต่อต้านฟีโรโมนของโอเมก้าซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะฉีดให้ทำไมในเมื่อเขาถูกพาไปเจอแต่พวกอัลฟ่า แต่ไม่รู้ทำไมพอถึงเวลาจริง เขากลับได้ดูการแสดงปาหี่ไปได้

คริสยืนนิ่งมองสถานการณ์นี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจมูกจะเริ่มได้กลิ่นหอมหวานขึ้นมาบ้าง และทวีความรุนแรงขึ้นทุกวินาทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้กับคนตรงหน้า

กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าที่ปล่อยออกมาขีดสุด...

ใช่ ไม่ผิดแน่ๆ ยิ่งใกล้มาก กลิ่นก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น

ร่างใหญ่ทรุดตัวนั่งลง เปล่งเสียงต่ำออกมา
“นาย...เป็นโอเมก้า” เสียงดังพอจะได้ยินกันแค่สองคน
เจเรมียังพอจะมีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่ เขาได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ทว่าไม่ยอมรับ

ก็เขาจะเป็นโอเมก้าได้อย่างไร! ถ้าเป็นโอเมก้าก็คงไม่มาอยู่ในกลุ่มอัลฟ่าอย่างนี้หรอก!

“แฮ่ก... ยะ...อย่ามาพูดพล่อยๆ” ขนาดไม่มีแรงก็ยังกัดฟันพูด จังหวะการหายใจยังคงรุนแรง
คริสไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก มั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นโอเมก้าแน่ๆ ยิ่งเข้ามาพยุงให้ลุกขึ้นยืนก็ยิ่งได้กลิ่นฟีโรโมนชัดเจนจนเขาเองก็เริ่มจะมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้างแล้ว

แม้แต่ยาต้านฟีโรโมนของโอเมก้ายังเอาไม่อยู่ เป็นโอเมก้าที่มีฟีโรโมนรุนแรงมากเลยทีเดียว
“ออกไปข้างนอกก่อน อยู่นี่อีกเดี๋ยว นายได้กลายเป็นเหยื่อแน่”
ความจริงเขาจะปล่อยให้สถานการณ์มันเลวร้ายกว่านี้ก็ได้แต่ไม่ทำด้วยเห็นว่าผู้ชายคนนี้ดูสับสนระคนตกใจกับเหตุการณ์นี้พอสมควร

เจเรมีอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ปล่อยให้คริสได้ยกแขนขึ้นพาดคอแล้วพยุงออกไป
ทว่า...การไม่ขัดขืนเหมือนจะเป็นความคิดที่ผิด
เขาได้กลิ่นหอมหวานนั่นแรงขึ้น...
แรงขึ้น...
ปฏิกิริยาทางร่างกายก็รุนแรงขึ้น...

รุนแรงจนเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของตนร้อนจนจะระเบิดอยู่แล้ว บริเวณส่วนนั้นก็อึดอัดคับแน่นแทบจะทำให้เขาคลั่งตาย อีกนิดเดียวก็จวนเจียนจะปะทุออกมา

ชัดเจนเลยว่าเขามีการตอบสนองกับกลิ่นของ...คริส ฟ็อกซ์!?

ไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้า แต่ดันมามีปฏิกิริยาตอบสนองกับกลิ่นของอัลฟ่าอย่างทายาทตระกูลฟ็อกซ์ที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกน่ะเหรอ!?

มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
-----------------------------------
พระเอกมาแว้ววว เจมี่ อย่ากัดเขานะลูก #โดนตบ
ออกอาการฮีทแล้วงับ เจอหน้าพระเอกแล้วตุ๊มๆ ต่อมๆ นี่สาวน้อยสินะ #ตบอีกที
ขุ่นคริสโผล่มาแค่ฉากเดียวแต่ล้อหล่อ 555 ตอนหน้าเดี๋ยวออกมาเยอะกว่านี้ค่ะ รอยลความหล่อของขุ่นคริสกัน XD
ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยนะจ๊ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2017 00:56:16 โดย NooDangzz »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เข็มวินาที

  • Those who make the worst use of their time are the first to complain of its shortness
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
กรีดร้องงงง เค้าเจอกันแล้ววว อยากอ่านแนวนี้พอดีเลยค่า เคยเจอแต่ในมังงะ ตอนนนี้ได้อ่านในนิยายสมใจแล้ว :impress2:

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
พึ่งได้มาอ่านค่ะ ชอบความขวางโลกของเจมี่มากๆเลย นางเกิดมาเพื่อกวนประสาทและกระทืบคนจริงๆ
พ่อพระเอกนี่เปิดตัวได้หล่อมาค่ะ แต่ค่าตัวแพงเหลือเกิน แล้วก็ดันโผล่มาได้เวลาพอดี บันเทิงแน่งานนี้

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ซ่าถูกวันด้วยสินะเจมี่

ออฟไลน์ aaoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
สนุกอ่ะ :hao6: :hao6: o13

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
แหม๊ เเหมๆๆๆๆๆ พล็อตชวนสยิวกิ้วมาก ชอบนายเองตัวแสบวายร้ายแบบนี้แหละ แจ่ม 5555

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
มาลงเสาเข็มที่เวบนี้นะ ^ ^

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เรื่องหน้า แนะนำค่ะ เมล ฟุตานาริ
 :hao3:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
เรื่องหน้า แนะนำค่ะ เมล ฟุตานาริ
 :hao3:

แนวนี้ไม่อินเลยค่า ;w;

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 03: คู่แห่งโชคชะตา[1]

ลมหายใจติดขัด หอบหนักเหมือนเพิ่งผ่านการออกกำลังกายนานนับชั่วโมงมา ร่างกายร้อนผ่าวราวถูกเผาไหม้ แข้งขาสั่นจนแทบจะไม่มีแรงยืนตัวตั้งตรง เจเรมีรู้สึกคล้ายจะตายให้ได้ ดีที่คริสพยุงเขามาพักยังห้องพยาบาลได้ทันท่วงที

เจ้าหน้าที่ในห้องหันมามองอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นแขกมาเยือน ดีที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ใช่อัลฟ่า แต่เป็นพวกเบต้าที่เป็นพนักงานประจำในสถาบันแห่งนี้จึงทำให้คริสไม่ต้องคอยระวังให้คนที่เขาพยุงมาถูกจู่โจม

คริสจึงไม่คิดจะตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ที่ร้องถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ด้วยว่ามาทำอะไรด้วยเห็นว่าเขาใส่ชุดนักโทษ นอกจากพาเจเรมีไปนั่งบนเตียง ทันทีที่ทิ้งตัวได้

เจเรมีก็ฟุบลงไปนอนตัวงอทันใด เสียงหายใจกระหืดหอบดังตามมา เขาไม่เคยทรมานอย่างนี้มาก่อน รู้สึกตัวดีทุกอย่างแต่บังคับร่างกายตัวเองไม่ได้

ทรมานชะมัด...

แม้ว่าจะทรมานเพียงใด สายตาก็จับจ้องไปยังชายในชุดนักโทษสีส้มที่เดินไปยังตู้ยา ก้มๆ เงยๆ อยู่พักหนึ่ง ไม่สนใจแม้กระทั่งเสียงร้องโวยวายของเจ้าหน้าที่ก่อนจะหันไปบอกเจ้าหน้าที่ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ยาระงับฟีโรโมนอยู่ไหน”
“คะ?” เจ้าหน้าที่สาวชะงัก เลิกคิ้วสูง
“ถามว่ายาระงับฟีโรโมนของโอเมก้าอยู่ไหน” คริสถามย้ำอีกครั้ง

คำถามของเขาจะทำให้คนฟังประหลาดใจ ตั้งแต่ทำงานที่นี่มา แทบไม่มีใครมาถามหายาระงับฟีโรโมนของโอเมก้ากับเจ้าหล่อนเลย และหล่อนก็มั่นใจว่าไม่มี ก่อนจะถามกลับ
“เอาไปทำไมคะ”
“ตอบคำถามฉัน ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ไหนก็ไปหาซะ” คริสว่านิ่งๆ ดวงตาประกายวาบ บ่งบอกว่ารำคาญใจไม่น้อย

เจ้าหน้าที่สาวที่ถูกจ้องอย่างนั้นรีบกุลีกุจอไปค้นตามตู้ยาทันทีแม้จะรู้ว่ามันไม่มี ทว่าฉับพลันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานนี้ ศาสตราจารย์คนหนึ่งของสถาบันได้เอายาระงับฟีโรโมนของโอเมก้ามาฝากแช่ในตู้เย็นไว้เพราะเขาจะเอาไว้ฉีดให้กับโอเมก้าคนหนึ่งที่พามาประกอบการบรรยายในคลาสของเขาและรู้สึกว่าจะยังมีเหลืออยู่

เท่านั้นก็รีบพุ่งไปยังตู้เย็น ก่อนจะหยิบเอากล่องบรรจุหลอดยาสีใสและตรงไปหยิบเข็มฉีดยาแท่งใหม่ออกมาส่งให้คริส คริสรับมาถือไว้ ไม่ถามหรอกว่าทำไมถึงไม่มายาชนิดรับประทาน ขอให้มียามาจัดการกับอาการของผู้ชายคนนั้นก็พอแล้ว เป็นยาชนิดฉีดสิดี จะได้ระงับอาการได้ชะงัด

ร่างสูงตรงมาที่เตียง ออกปากไล่เจ้าหน้าที่คนนั้นออกไปพลันรูดม่านปิดล้อมเตียงเอาไว้ มือจัดการบรรจุยาน้ำนั่นลงในกระบอกฉีดอย่างคล่องแคล่ว เจเรมีที่นอนคุดคู้อยู่เหลือบมองแล้วก็ใจเต้นระส่ำขึ้นมา

ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น... บอกแล้วว่าไม่ใช่ หากแต่เป็นกลิ่นของคริสที่ลอยโชยเข้ามาในจมูกมากขึ้นกว่าเดิม

“สะ...ไสหัว...ไป...”
คิดว่าทนกับกลิ่นหอมหวนนั่นไม่ไหวแล้วจึงได้ออกปากไล่ บริเวณกลางลำตัวของเขาคับแน่นจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว หัวสมองก็มึนงงไปหมด

ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นกับเขา!

ไม่ใช่แค่เจเรมีเท่านั้นที่ทนไม่ไหว คริสเองก็เช่นกัน แม้จะได้รับยาต่อต้านฟีโรโมนของโอเมก้ามาแล้วแต่พอได้กลิ่นฟีโรโมนที่ถูกปล่อยออกมาเต็มที่ เขาก็เริ่มมีอาการกำหนัดบ้างแล้วเหมือนกัน หากแต่ยังครองสติได้อยู่ เคาะเข็มฉีดยาในมือแล้วหันไปจับแขนออกอีกฝ่ายให้เหยียดตรง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าแขนข้างนั้นมีรอยจุดสีแดงๆ ที่ข้อพับอยู่เต็มไปหมด

ได้รับยามาตลอดงั้นเหรอ?

ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ น้ำเสียงแหบพร่าก็ดังมาให้เขาได้ยินอีกแล้ว
“บอกว่าให้ไสหัวไป...” ถูกแตะเนื้อต้องตัว เจเรมีก็แค่นเสียงออกมาอีกครั้ง
คริสเหลือบมองใบหน้าหล่อที่ดูทรมานแล้วก็แสร้งไม่สนใจ ใช้ปลายนิ้วกดที่ข้อพับหาเส้นเลือดขณะที่เจเรมีพูดออกมาอีก
“สะ...ไสหัว...”
“เงียบเถอะ” เห็นว่าอีกฝ่ายจะไล่อีก เขาก็แทรกขึ้นมาดักคอเสียก่อน

เจเรมีหงุดหงิดไม่น้อย ความรู้สึกคับข้องใจผสมปนเปกันไปหมด แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคริส ขณะที่อีกฝ่ายไม่สนใจอะไรเลย ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาเข็มทิ่มลงมาบนผิวหนังของคนที่นอนพะงาบๆ อยู่อย่างเดียว

ทว่าในจังหวะที่เขายังคลำหาเส้นเลือดของเจเรมีอยู่นั้น ใบหน้าของเขาดันโน้มลงต่ำเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เจเรมีก็ออกอาการทุรนทุรายอีกระลอกเมื่อกลิ่นหอมฟุ้งหลั่งไหลเข้ามาจนเบลอไปหมด ร้ายกว่านั้นมันทำให้ความคับแน่นของเขาที่สั่งสมมาสักพักปะทุออกมาอย่างไม่อาจกักเก็บไว้ได้

ร่างกายช่วงล่างรู้สึกได้ถึงของเหลวบางอย่างที่หลั่งรินออกมา ลำตัวกระตุกเกร็งเล็กน้อย ริมฝีปากแห้งผากส่งเสียงน่าอับอายโดยไม่อาจห้ามได้

คริสชะงักไปทันที เงยหน้าจากการสำรวจหาเส้นเลือดขึ้นมามองคนตรงหน้า พอเห็นใบหน้าแดงเรื่อของเจเรมีก็รู้ได้ว่าความอดทนของอีกฝ่ายคงจะสิ้นสุดแล้ว หากแต่เขาไม่พูดอะไร มองแล้วก็หาเส้นเลือดอีกครั้งก่อนจะแทงปลายเข็มฉีดยาลงไป

ยาที่ถูกส่งเข้าไปในกระแสเลือดช่วยระงับอาการคุ้มคลั่งนั่นได้แทบจะในวินาทีนั้น เจเรมีกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง ทว่าร่างกายยังหนักอึ้งทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จำต้องนอนนิ่งๆ ก่อน กระนั้นในใจก็นึกขุ่นแค้นขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขายามที่ผู้ชายคนนั้นขยับเข้ามาใกล้

แล้วก็ต้องแค้นใจจนต้องกัดฟันกรอดเมื่อคริสว่าออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆ
“กางเกงเปียกนะ”

เปียกตรงเป้าเสียด้วย เห็นอยู่จะจะคาตา

ใบหน้าของเจเรมีดูน่ากลัวขึ้นมาทันควันที่ถูกทัก

แล้วมันเป็นเพราะใครล่ะไอ้บัดซบ!

“นาย...” เสียงขู่ต่ำเล็ดลอดไรฟัน
คริสไม่ได้สนใจ จัดการฉีดยาให้เสร็จก็เก็บข้าวของลงในถาดเหล็ก ก่อนจะเดินออกไปก็หันมาพูดกับอีกฝ่ายสั้นๆ
“พักซะ ไว้อาการดีขึ้นกว่านี้ค่อยออกไป ตอนนี้ข้างนอกน่าจะวุ่นวายกันอยู่”
วุ่นวายเรื่องอะไรคงไม่ต้องให้คริสเป็นคนตอบ เจเรมีเม้มริมฝีปากแน่น ความสับสนจู่โจมเขาเป็นพัลวัน ไม่เข้าใจเลยว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นแต่ก็พอจะลำดับเหตุการณ์ได้

เขามีอาการฮีท...

ไม่อยากจะยอมรับแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนน่าดู และมันก็ทำให้เขาตกใจไม่น้อย สองมือกุมใบหน้า พึมพำออกมาอย่างสับสน
“เรื่องเวรอะไรวะเนี่ย”
 คริสเหลือบมอง เป็นฝ่ายตอบให้
“นายเป็นโอเมก้า”
เป็นคำที่ไม่อยากได้ยินเลย ถึงอาการจะใช่ แต่ว่า...
“ฉันไม่ใช่โอเมก้า!” แผดเสียงออกไปดังลั่น ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเคือง

คริสไม่เข้าใจหรอกว่าการที่ผู้ชายคนนี้มาอยู่ในหมู่อัลฟ่ามันเป็นเพราะอะไร และเขาก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขา แค่ตัวเองยังจะเอาไม่รอดเลยจึงได้แต่บอกไปลอยๆ
“อยู่ที่นี่อาจจะไม่ดีกับนายสักเท่าไหร่นัก ถ้าอาการดีขึ้น วันนี้ก็รีบกลับบ้านไปก่อน ระวังพวกข้างนอกจะมารุมทึ้งนายให้ดี”
พูดจบก็ตลบม่าน เดินออกไปโดยไม่สนใจอะไรอีกเลย ปล่อยให้เจเรมีหัวเสียอยู่ตามลำพังที่ถูกเข้าใจว่าเป็นโอเมก้า มากไปกว่านั้น คำถามมากมายก็ผุดพรายขึ้นในหัวของเขา

เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมถึงมีปฏิกิริยาตอบรับกับผู้ชายคนนั้น?
ใครกันแน่ที่เป็นโอเมก้า?

ให้ตาย! คำถามเยอะเสียจนเขาไม่รู้ว่าควรจะรู้คำตอบไหนก่อนดีแล้ว!





 
หลังจากที่คริสช่วยเหลือเจเรมีเสร็จเรียบร้อย กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าหายไป ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความปกติ ที่ไม่ปกติเห็นจะเป็นความอลหม่านของบรรดาอัลฟ่าที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น มีหลายคนที่เข้าใจว่าคริสไม่ได้เป็นอัลฟ่า หากแต่เป็นโอเมก้า เพราะเชื่อมั่นว่าไม่ว่าอย่างไรคนอย่างเจเรมีก็ไม่ใช่โอเมก้าอย่างแน่นอน

หัวดื้อ มีทักษะ ฉลาดหลักแหลมแม้ว่าจะค่อนไปทางเจ้าเล่ห์เพทุบาย ซ้ำยังแข็งแกร่ง คุณลักษณะอย่างนี้ ดูอย่างไรมันก็อัลฟ่าชัดๆ!

หากแต่คริสไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ เขารู้ดีว่าเขาเป็นแบบไหน บรรดาผู้คุมที่สนิทชิดเชื้อกับเขาก็รู้

แน่ล่ะ หลักฐานทางการแพทย์ชัดเจนว่าเขาเป็นอัลฟ่าถึงขนาดนั้น จะให้คิดว่าเป็นโอเมก้ามันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
และถึงแก้ตัวกับพวกที่เข้าใจผิดไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องกลับไปอยู่ในซังเตเหมือนเดิม แค่กลับออกมาจากห้องพยาบาล พวกผู้คุมก็วิ่งหน้าตั้งมาจับกุมตัวเขาด้วยกลัวว่าจะหนีโดยไม่ต้องร้องถาม

ไม่สำนึกถึงบุญคุณที่ช่วยให้ไม่คุ้มคลั่งเพราะฟีโรโมนของโอเมก้าไม่พอ ยังจะกล่าวหาว่าเขาคิดอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีอีก

คนพวกนี้มันอกตัญญู!

ซ้ำยังมารู้ทีหลังด้วยว่าที่เขาถูกจับฉีดยาต่อต้านฟีโรโมนอะไรนั่นก็เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยอย่างเช่นที่เกิดขึ้นครั้งนี้นี่แหละ
คงกลัวว่าเขาจะคุ้มคลั่งแล้วเอาไม่อยู่กระมัง?

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องเก็บมาใส่ใจ เอาเป็นว่าเขากลับมาใช้ชีวิตดังเดิมในห้องขังเดี่ยวของทัณฑสถานแห่งนครหลวงเพิร์ลเหมือนเดิมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชีวิตประจำวันเดิมๆ ก็วนเวียนกลับเข้ามา

ตื่นเช้า...
ทานอาหาร...
ทำหน้าที่ตามที่ทัณฑสถานมอบหมาย...
จัดการมื้อเที่ยง...
ช่วงพักทำกิจกรรมผ่อนคลายตามอัธยาศัย...
เวลามื้อเย็น...
กลับเข้าห้องขัง...
วนเวียนอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาเลิกนับวันไปแล้วว่าทำอย่างนี้มากี่เดือน กี่ปีแล้ว

หากแต่วันนี้ต่างออกไปสักหน่อยเมื่อเขาได้ยินเสียงของผู้คุมร้องเรียกตั้งแต่เช้า
“คุณฟ็อกซ์ มีคนอยากเจอแน่ะ”
คนที่กำลังง่วนอยู่กับการวิดพื้นหยุดชะงัก หันไปมองผู้คุมพลันเรียวคิ้วสวยก็ยกขึ้นเป็นเชิงถาม
“ชื่อเจเรมี รออยู่ที่ห้องเยี่ยม”

ใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะรู้จัก ความจริงเขาจะปฏิเสธไปก็ได้ แต่ก็ยอมดันตัวขึ้นยืน ตามผู้คุมออกไปด้วยอยากรู้ว่าใครกันที่มาเยี่ยมเขาเพราะตั้งแต่ที่เขาติดแหง็กอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีใครมาขอเข้าเยี่ยมเลย

มันจะไปมีได้อย่างไรล่ะจริงไหม ก็เขาไม่ได้เป็นอัลฟ่าของมหานครแห่งนี้ ถูกจับในข้อหากบฏ ซ้ำคนในครอบครัวก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว พวกที่ฝักใฝ่กับตระกูลเขา บ้างก็ถูกฆ่า บ้างก็กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง หากจะมีใครมาเยี่ยมก็คงไม่พ้นโดนจับตามๆ กัน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก

ร่างสูงถูกจับใส่กุญแจมือ ผู้คุมเดินนำมายังห้องเยี่ยมซึ่งอยู่อีกอาคารหนึ่งกับอาคารคุมขังนักโทษ ก่อนจะให้เข้าไปในห้องหนึ่ง พร้อมกับบอกว่าเขามีเวลาครึ่งชั่วโมงในการพูดคุยเท่านั้น น่าแปลกใจอยู่สักหน่อยที่การเยี่ยมนี้เหมือนจะพิเศษกว่าปกติ เท่าที่รู้มาจากเพื่อนนักโทษด้วยกัน เห็นว่าจะต้องคุยผ่านเครื่องพูดคุยที่รูปร่างคล้ายกับโทรศัพท์และเขาต้องอยู่ในห้องที่มีกระจกกั้น ซ้ำยังมีเวลาพูดคุยแค่สิบห้านาที

แสดงว่าคนที่ขอเข้าเยี่ยมเขาจะต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่...

ผู้คุมพาคริสเข้าไปนั่งรอบนเก้าอี้กลางห้องนั้นในห้องได้สักครู่ ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับการมาของใครบางคน ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองไปยังร่างของผู้มาใหม่ ก่อนจะประหลาดใจไปอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน

นั่นน่ะเหรอเจเรมี โอเมก้าคนนั่นนี่นา...

คิดแต่ไม่พูด ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตัวเองโดยมีโต๊ะกั้น วันนี้เจเรมีสวมชุดลำลอง ดูแปลกตาจากชุดวอร์มที่เคยเห็นไปอีกแบบ ใบหน้าก็ดูแปลกตาไปกว่าเดิมเช่นกัน

เขาดูอิดโรย...
ดูตึงเครียดระคนกังวลด้วย...
ท่าทางจะมีเรื่องให้คิดหนัก

มีเรื่องให้คิดหนักแน่นอนอยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้น พอตั้งหลักได้ เจเรมีก็ออกจากสถาบันมาทันที  แต่ไม่ใช่เพราะคำเตือนของคริสว่าการที่เขายังอยู่ที่นั่นมันไม่เป็นผลดี หากแต่เป็นเพราะเขาไม่อาจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้ต่างหาก

ความจริงที่เกิดขึ้น... ที่ทำให้เขาคิดว่าตัวเองเป็นโอเมก้า

เป็นเพียงความคิดที่มาๆ หายๆ นั่นก็เพราะถูกคริสตราหน้าไว้อย่างนั้น ประกอบกับการที่เขาถูกฉีดยาระงับฟีโรโมนแล้วมีอาการกลับมาเป็นปกติก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้เลยว่าแท้จริงแล้วตัวเองอาจจะเป็นอย่างที่คริสพูดไว้ หากแต่เจเรมียังมั่นใจว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าลึกๆ แล้วเขาก็ไม่มั่นใจเลยสักนิด

เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น ใครมันจะไปมั่นใจกันได้ล่ะ มันก็ต้องมีไขว้เขวกันบ้างแหละ!

ก็ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยมีอาการอย่างนี้เลยนี่นาโดยเฉพาะอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเมื่อได้กลิ่นหอมหวาน ถ้าเป็นการครั่นเนื้อครั่นตัวจากการที่เกิดกำหนัดตามธรรมชาติหรือมีการกระตุ้นเร้าทางร่างกายก็ว่าไปอย่าง หากแต่อาการได้กลิ่นของคนอื่นแล้วเกิดกำหนัดขึ้นมานั้น พอขบคิดดูดีๆ แล้วอาการนี้มันอาจจะเป็นอาการของอัลฟ่ายามได้กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าก็เป็นได้ ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขาหรอก

บางทีคริสอาจจะเป็นโอเมก้า...
ไม่ใช่เขาที่เป็นโอเมก้าเสียเอง...

แต่ถึงความจริงจะเป็นอย่างนั้นก็ต้องมาถามให้แน่ใจ การเอาแต่หมกตัวอยู่ในโรงแรมโกโรโกโส บ้านช่องไม่กลับ เอาแต่คิดไม่ตกเรื่องนี้มันทำให้เขาใกล้จะเป็นบ้าอยู่รอมร่อ สุดท้ายก็ต้องมาโผล่ที่นี่จนได้ และต้องขอบคุณตระกูลเขาที่ใหญ่โตคับฟ้าเสียเหลือเกินที่ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษมาคุยกับนักโทษที่ต้องได้รับการดูแลความปลอดภัยแน่นหนาเป็นอันดับต้นๆ ของทัณฑสถานแห่งนี้ด้วย

คริสขยับเล็กน้อย วางท่าทางผ่อนคลาย รอให้อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มเปิดปากคุยธุระ หากแต่เจเรมีก็ไม่พูดอะไรสักที เอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาด้วยสายตาน่ากลัวจนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“นายเองน่ะเหรอที่ชื่อเจเรมี”
เจเรมีไม่ตอบ ให้อีกฝ่ายได้ถามอีก
“นามสกุลล่ะ”
“เมอร์ซี... เจเรมี เมอร์ซี” เปล่งเสียงออกไปแล้ว ที่ยอมแนะนำตัวก็เพื่อจะได้คุยง่ายๆ

ซึ่งมันก็น่าจะง่ายจริงๆ เมื่อคริสเบิกตาโตขึ้นเล็กน้อยราวกับนึกออกว่าเคยได้ยินนามสกุลนี้มาจากไหน
“หนึ่งในตระกูลผู้ปกครองของเพิร์ลล่ะสินะ เป็นอะไรกับเจอโรมล่ะ ลูกชาย?”
เอ่ยชื่อบิดาของเขาออกมาอย่างนี้แสดงว่ารู้เป็นอย่างดีเลยว่าตระกูลเมอร์ซีมีอำนาจมากแค่ไหน

ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ทำให้ตระกูลของเขาพังพินาศนี่!

พลันคริสก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมคนที่มาเยี่ยมเขาถึงได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่น และไม่ได้ถามอะไรต่อเมื่อตระหนักได้ว่าคนที่มีธุระจะคุยคือเจเรมี ไม่ใช่เขา ทว่าตอนนี้เจเรมีกลับเอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาด้วยสายตาดุดัน

จ้องอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่เลยทีเดียว ไร้เสียงพูดคุย มีเพียงแต่เสียงนาฬิกาบนผนังเท่านั้นที่เดินดังติ๊กๆ ให้ได้ยิน คริสเหลือบมองไปก็เห็นว่ามันผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้วถึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“นายอยากจะถามอะไร”
ถามออกมาตรงจุด อ่านท่าทางดูก็รู้ว่าเจเรมีต้องการรู้อะไรบางอย่าง
เจเรมีที่นั่งกอดอกอยู่ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ถามด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “นายเป็นอัลฟ่าแน่เหรอ?”
จู่ๆ ก็ถูกถามอย่างนั้นทำให้ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองคนถามทันใด
“คำถามนั่น... นายถามฉันหรือถามตัวเอง”
แน่นอนว่าต้องถามคริสอยู่แล้ว การถูกตอกกลับมาอย่างนี้ทำให้เจเรมีที่ยังกังวลกับความผิดปกติของร่างกายตัวเองแสดงสีหน้าเกรี้ยวดกราดออกมา ก่อนจะกระแทกมือลงบนโต๊ะ กดเสียงต่ำน่ากลัว
“อย่ามายอกย้อนฉัน”

คริสไม่แสดงสีหน้าใดๆ พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย
“ชนชั้นสูงที่นี่ไร้มารยาทแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง ดูเหมือนนายจะขาดการอบรมสั่งสอนที่ดีนะ”

หัวคิ้วเรียวสวยของเจเรมีขมวดเข้าหากันเป็นปม เขาเคยแต่กวนอารมณ์คนอื่น ไม่ยักคิดว่าสักวันจะมีใครบางคนกวนเขากลับบ้าง แล้วก็คิดไม่ถึงด้วยว่าผู้ชายที่เอาแต่ปั้นหน้านิ่งจะตอกกลับเขามาอย่างนั้น

แต่จะอะไรก็ช่าง เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาหาเรื่องกับผู้ชายที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว มาเพราะมีเรื่องจะถามมากว่า
“นายได้รับการพิสูจน์แน่แล้วใช่ไหมว่าเป็นอัลฟ่า”
“เกิดในตระกูลอัลฟ่ายังเป็นข้อพิสูจน์ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” คริสถามย้อน “เหมือนกับนายน่ะ”
ทำเจเรมีหน้าตึงไปอีกระลอก
“ฉันเป็นอัลฟ่า!” คราวนี้ถึงกับแผดเสียง รู้สึกได้เลยว่าคนตรงหน้าร้ายกาจไม่ใช่น้อยแม้จะดูนิ่งๆ ก็ตามที

คริสเหล่มอง เขาไม่ได้อยากจะยั่วประสาทคนตรงหน้านักหรอก แต่ออกจะรำคาญสักหน่อยที่เจเรมีเอาแต่ถามคำถามแนวยัดเยียดให้เขาเป็นโอเมก้า

ก็เขาไม่ได้เป็น ได้รับการตรวจด้วยวิธีการทางการแพทย์มาแล้ว เลือดของอัลฟ่าข้นคลั่กเสียจนไม่รู้จะข้นได้อีกขนาดไหน รอยสักที่เป็นตราประทับอัลฟ่าก็มีบนหัวไหล่ข้างขวาตั้งแต่สองปีก่อนแล้วเช่นกัน ถ้าจะเป็นฝ่ายไม่แน่ใจว่าเพศไหนกันแน่ก็มีแต่คนตรงหน้านี่แหละ ก่อนจะเผยอริมฝีปากเอ่ยออกไป

“นายเกิดในตระกูลอัลฟ่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอัลฟ่า ที่นี่ไม่มีการใช้โอเมก้าเป็นเครื่องผลิตลูกเหมือนที่อื่นหรือไง นายอาจจะเป็นลูกที่เกิดจากโอเมก้าและดันไม่ได้เป็นอัลฟ่าก็ได้”
“นาย!”
ได้ยินอย่างนี้ เส้นความอดทนของเจเรมีก็ขาดผึง เขาลุกพรวดไปคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เกือบจะตะบันหน้าหล่อๆ อยู่แล้วถ้าหากว่าผู้คุมที่ยืนมองอยู่ไม่เข้ามาห้ามปรามเสียก่อน

แยกออกห่างจากคริสได้ เจเรมีก็สะบัดตัวหนีจากการเกาะกุม พยายามสงบจิตสงบใจ ขณะที่คริสทำเพียงจับคอเสื้อให้เข้าที่แล้วนั่งนิ่งเหมือนกับก่อนหน้า
“ฉันจะถามอีกครั้งว่านายแน่ใจใช่ไหมว่าเป็นอัลฟ่า”
“ฉันแน่ใจ” คราวนี้ไม่ยอกย้อนแล้ว ตอบไปตามตรง

คำตอบนั้นทำให้เจเรมีใจสั่น เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคริสมั่นใจว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า แล้วใครกันล่ะที่เป็นโอเมก้าที่ทำให้เขามีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงอย่างนั้นได้ แล้วก็ต้องใจสั่นมากขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาถามคืน
“แล้วนายมั่นใจเหรอว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า”
เป็นคำตอบที่เจเรมีไม่กล้าเอ่ยเลย

ถูกแล้ว... เขาไม่มั่นใจ

ตั้งแต่เล็กยันโตจนอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ เขาไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าสักครั้งไม่ว่ามันจะรุนแรงขนาดไหน กระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อนเขาได้กลิ่นของคริส สัญชาตญาณที่หลับใหลอยู่ก็ถูกปลุกขึ้นมาจนเขาปวดหัวเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ไปเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว

“ว่าไง นายมั่นใจไหม” พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบก็ถามย้ำ
เจเรมีเหลือบมองหน้า ริมฝีปากหนาเผลอเม้มเข้าหากันแน่น แสดงความไม่มั่นใจออกมาโดยไม่รู้ตัว การกระทำนั้นทำให้คริสยกยิ้มบางๆ

เป็นสีหน้าที่น่าดู แต่เจเรมีไม่ชอบเอาเสียเลย
“ถ้านายไม่มั่นใจก็ควรจะไปถามครอบครัวของนายหรือไม่ก็ไปตรวจให้ชัดเจน ไม่ใช่มาถามฉัน” ว่าพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง “จวนจะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว กลับไปเถอะ” จากนั้นก็ตัดบทเอาดื้อๆ ด้วยเห็นว่าการพูดคุยนี้ช่างไร้สาระ
เกือบจะยืนขึ้นอยู่แล้ว ทว่าเจเรมีไวกว่า เขารีบเอื้อมไปคว้าแขนของคนตรงหน้าไว้มั่น คริสหันมามองหน้าสลับกับมือของอีกฝ่ายที่จับเขาอยู่ เจเรมีถึงได้รู้ตัวแล้วปล่อยออก
“ฉันขอถามอีกเรื่อง” ตั้งหลักได้ก็ว่าขึ้น

คริสผายมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าให้พูดได้ เจเรมีนิ่งคิดไปครู่ ลังเลใจว่าควรจะถามดีหรือไม่ แต่สุดท้ายความสงสัยก็กัดกินใจเขาจนต้องหลุดปากออกมา
“สมมติว่าถ้าฉันเป็นโอเมก้า การที่ฉันมีปฏิกิริยากับกลิ่นของนายตอนที่เจอหน้ากันครั้งแรก มันหมายความว่า...”
“คู่แห่งโชคชะตา”
ถามยังไม่ทันจบเลย คริสก็โพล่งออกมาแล้ว

เจเรมีชะงัก ใบหน้ามีเครื่องหมายคำถามอันเบ้อเร่อแปะหราไว้อยู่ คริสจึงย้ำออกมาอีกครั้ง
“นายกับฉันเป็นคู่แห่งโชคชะตา เราเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน”
ประโยคนี้ทำเอาเจเรมีหน้าชา

เป็นของกันและกันบ้าอะไร นึกว่าฉันจะไปนอนแยกขาให้นายอย่างนั้นเหรอ?!

“ว่าไงนะ!” เจเรมีเผลอเสียงดังขึ้นมาจนได้ แล้วก็ต้องถูกคริสเบรกด้วยการว่าเนิบๆ
“เรื่องสมมติไม่ใช่เหรอ”

ใช่ เป็นแค่เรื่องสมมติ แต่ทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเจเรมีเต้นระส่ำเลยทีเดียว ก่อนที่คริสจะพูดต่อ
“ภาษาทั่วไปเรียกการจับคู่ของอัลฟ่ากับโอเมก้าที่เจอหน้ากันครั้งแรกแล้วเกิดอาการฮีทแบบฉับพลันจะถูกเรียกว่าคู่แห่งโชคชะตา แต่ในทางวิทยาศาสตร์มันก็แค่เรื่องของสารเคมีในร่างกายเข้ากันได้ดี ปกติแล้วไม่มีโอเมก้าคนไหนหรอกที่จะได้กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่า เว้นก็แต่อัลฟ่าที่มีสารเคมีขั้วตรงกัน เหมือนกันที่นายได้กลิ่นฉันนั่นแหละ”

วกกลับมาเข้าเรื่องนี้อีกจนได้

เจเรมีไม่อยากจะยอมรับเลยขู่ฟ่อ

“ถ้านายยังพูดอะไรออกมาเป็นเชิงว่าฉันเป็นโอเมก้าอีก ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”
คริสไม่ได้กลัว เพียงแต่นึกขันในท่าทางแยกเขี้ยวของอีกฝ่ายพลันแย้มยิ้ม
“นายคงไม่อยากเสียเวลากับฉันหรอก แล้วนี่จะกลับไปได้หรือยัง จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว” คริสชี้นิ้วไปทางนาฬิกาบนผนังทางด้านข้าง

เจเรมีเหลือบไปมองก็เห็นว่าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด พลันพ่นลมหายใจออกมาอย่างหัวเสีย
“สวะเอ๊ย”
แทนที่จะขอบคุณที่ให้ข้อมูล กลับออกป่าด่าคริสเสียนี่ ซ้ำยังเป็นคนแรกที่ออกจากห้องเยี่ยมอีกต่างหาก คริสมองตามหลังแล้วก็ได้แต่ขบคิด

เพิ่งมาค้นพบว่าตัวเองเป็นโอเมก้าเอาตอนนี้ ชีวิตต่อจากนี้คงจะลำบากหน่อยนะ...

ไม่ใช่คิดว่าเจเรมีจะลำบาก เขาเองก็คงจะลำบากเช่นเดียวกัน

คู่แห่งโชคชะตาของเขาก็ช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย...




 

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 03: คู่แห่งโชคชะตา[2]

เพราะได้คุยกับคริส เจเรมีเลยอยู่ไม่สุข ไม่สามารถสงบใจได้เลยแม้แต่น้อย ออกจากทัณฑสถานมาได้ก็มุ่งหน้ากลับบ้าน ทันทีที่มารดาเห็นหน้าเขาที่หายหัวไปหลายวันก็รีบพุ่งเข้ามากอดด้วยอารามตกใจระคนโล่งใจ ก่อนจะร้องเรียกคนที่อยู่ในบ้านให้ออกมาเป็นการใหญ่

เจอโรมเป็นคนแรกที่พุ่งออกมาจากห้องรับแขก ก่อนจะตามมาด้วยแมทธิวและนายแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุขแห่งมหานครเพิร์ลที่มีส่วนรู้เห็นในโครงการผลิตยาเพื่อเจเรมี ตบท้ายด้วยอัลเบิร์ตที่พอเห็นเพื่อนสนิทโผล่มาก็ทำหน้าตาตื่น ก่อนที่จะเป็นคนแรกซึ่งเอ่ยปากทัก

“นายหายไปไหนมา รู้ไหมว่าพวกเราตามหากันให้ควั่กเลยนะ”
“ห่วงไม่เข้าเรื่องน่า” เจเรมีทำทีไม่ยี่หระ ตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ

มันไม่ใช่การห่วงไม่เข้าเรื่อง มันเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวที่เขาหายตัวไปหลังจากเกิดเหตุนั้น ตอนนี้ทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นี่รู้กันหมดแล้วว่าเจเรมีเป็นอะไร ไม่เว้นแม้แต่อัลเบิร์ตที่เป็นคนบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกผู้ใหญ่ฟัง เขาเองก็ตะลึงงันไปเหมือนกันกับความจริงที่ได้รู้ จะมีก็แต่เจเรมีเองนี่แหละที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่แววตากังวลนั่นก็พอจะบ่งบอกได้อยู่ว่าเขาเองก็แคลงใจในสภาพร่างกายของตนอยู่เหมือนกัน

เจอโรมเห็นลูกชายตรงหน้าแล้วก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่ยังไม่ถูกพาตัวไปไหน ก่อนจะถามเมื่อเห็นว่าเจเรมีเอาแต่เงียบ
“แกอยากจะพักก่อนหรืออยากจะคุยเลย”

พูดมาอย่างนี้แสดงว่าคนเป็นพ่อมีเรื่องจะบอกเป็นแน่

เจเรมีเหลือบมองใบหน้าคร้ามที่ดูตึงเครียดแล้วก็เอ่ยปาก
“พ่อคิดว่าผมสมควรรู้ได้หรือยังล่ะ เก็บเงียบมาตั้งยี่สิบปีแล้วนี่” เจเรมีสวนคืน ชัดเจนเลยว่าเขาไม่พอใจที่เกิดเรื่องอย่างนี้ และพานคิดไปด้วยว่าการที่เขาถูกใครต่อใครในครอบครัวพร่ำบอกว่าป่วย ต้องได้รับการรักษาอะไรนั่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนเหมือนกัน

เจอโรมจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะพยักปลายคางไปข้างในห้องรับแขก
“เข้าไปสิ ฉันจะบอกแกทั้งหมด”





 
ทุกชีวิตกลับเข้ามานั่งประจำที่ในห้องรับแขกอีกครั้ง ต่างออกไปจากก่อนหน้าเล็กน้อยที่ในตอนนี้มีเจ้าของเรื่องนั่งหน้าเครียดร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย

ความเงียบที่เข้าครอบงำเพราะไม่มีใครพูดอะไรสักทีทำให้เจเรมีที่ร้อนรุ่มใจอยู่แล้วหัวเสีย ออกปากด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ตกลงจะมีใครบอกได้หรือยังว่าผมเป็นอะไร จะอมพะนำกันไปถึงไหน!”
“ใจเย็นก่อนเจมี่” อัลเบิร์ตรีบหันมากระซิบกับเพื่อนเพื่อเตือนให้สงบใจลง ทว่าไม่ได้ช่วยเลย ยิ่งทำให้เจเรมีเดือดดาลมากขึ้นไปอีก
“ว่าไงพ่อ แค่พูดว่าผมเป็นลูกที่เกิดจากโอเมก้าแค่นี้มันทำให้ลำบากใจมากหรือไง”
ยั้งอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเป็นพ่อ ดูท่าทางเจเรมีก็น่าจะไม่รอช้า ลุกขึ้นไปต่อยแหง

ทว่าเจอโรมกลับเอาแต่นิ่ง ชวนให้ทุกคนที่รอดูสถานการณ์อยู่ชักอึดอัดขึ้นมา กว่าจะพูดได้ก็ทำเอาแทบหายใจไม่ออก
“แกไม่ใช่ลูกของโอเมก้า”
“แล้ว?”
“แต่แกเป็นโอเมก้า”
การพูดออกมาตรงๆ ทำให้เจเรมีรู้สึกเหมือนถูกตะบันจนหน้าหงาย สิ่งที่เขากลัวที่สุดมันกลายเป็นความจริงขึ้นมา เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลย ก่อนจะแค่นหัวเราะแห้งๆ ราวกับว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องตลก
“พ่ออย่าคิดว่าจะทำให้ผมตกใจได้ง่ายๆ หน่อยเลย คิดเหรอว่ามุกตื้นๆ จะทำให้ผมเชื่อได้ มันไม่ตลก”
“ฉันก็ไม่ได้ล้อเล่น” เจอโรมสวนกลับ ย้ำคำอีก “แกเป็นโอเมก้า”

เป็นเรื่องตลก... ตลกร้ายสุดๆ

สีหน้าของเจเรมีซีดเผือด เขาไม่เคยดูถูกพวกโอเมก้า แต่พอรู้ว่าตัวเองเป็นพวกนั้นก็อดรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มไม่ได้

ไม่รู้สึกสิแปลก เพราะมันหมายถึงทุกสิ่งที่เขามีในมือ ...สิทธิ... เสรีภาพ... อิสระ... มันสามารถเลือนหายไปได้ง่ายๆ เลยนะ!

ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาคลุกคลีอยู่กับอัลฟ่าโดยที่ทางครอบครัวปกปิดมันเป็นเรื่องผิดกฎหมายของที่นี่ด้วย โอเมก้าทุกคนต้องไปขึ้นทะเบียนพลเมืองชั้นสองและไม่สามารถอยู่ร่วมกับชนชั้นอื่นโดยเฉพาะอัลฟ่า การมาอยู่แบบนี้ตลอดยี่สิบปี เท่ากับว่าทุกคนที่นั่งหน้าสลอนอยู่ที่นี่คือผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำผิดขั้นร้ายแรงเลยทีเดียว

ทว่านั่นไม่สำคัญ ตอนนี้เจเรมีอยากรู้มากกว่าว่าทุกอย่างมีความเป็นมาอย่างไร
“ถ้าพ่อกับแม่ไม่มีใครเป็นโอเมก้า แล้วทำไมผมถึง...”
ไม่กล้าพูดออกมาว่า ‘แล้วทำไมผมถึงเป็นโอเมก้า’ แต่เจอโรมรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะเอ่ยอะไร เขาถอนหายใจออกมายาว ก่อนออกปากอธิบาย

“ในตระกูลของเรามีคนที่เป็นโอเมก้าอยู่ ปู่ของแกเป็นเด็กที่เกิดจากโอเมก้า” เจอโรมว่า “แต่เขาเกิดมาเป็นอัลฟ่าถึงได้ถูกนับรวมเข้าตระกูล”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม” เป็นคำถามที่ฟังดูโง่เง่ามาก
แมทธิวเห็นแล้วก็อดอธิบายออกมาไม่ได้ “เธอเป็นลักษณะด้อยน่ะเจเรมี”

ใบหน้าของคนฟังดูไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก ให้แมทธิวได้อธิบายต่อ
“คืออย่างนี้นะ บางครั้งในกรณีที่มีเด็กอัลฟ่าซึ่งเกิดจากโอเมก้ามีการสืบลูกสืบหลาน ในรุ่นหลาน บางครั้งจะมีลักษณะด้อยปรากฏออกมา ซึ่งลักษณะด้อยมันก็คือการเป็นโอเมก้าแม้ว่าพ่อแม่จะเป็นอัลฟ่าทั้งคู่ก็ตาม และเธอก็เป็นลักษณะด้อย มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราต้องคอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดไง”

“เป็นเหตุผลที่ผมต้องได้รับการรักษาเพราะบอกว่าป่วยอย่างนั้นใช่ไหม”
แมทธิวพยักหน้า
“ยาที่ให้ผมกินกับฉีดก็เป็นยาระงับอาการเป็นฮีทด้วยงั้นสิ”
แมทธิวพยักหน้าช้าๆ อีกที

เจเรมีทิ้งตัวพิงพนักโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง

ตอนนี้เข้าใจแล้ว... เข้าใจชัดเจนเลยว่าทำไมถึงไม่มีใครยอมบอกว่าเขาป่วยเป็นอะไร ที่แท้ก็กลัวว่าความลับนี้จะรั่วไหลออกไปนี่เอง ปกติแล้วเด็กที่เป็นโอเมก้าและเกิดมาในตระกูลอัลฟ่ามักถูกกำจัดทิ้งหรือไม่ก็ขาย การที่บิดาเขาทำแบบนี้ก็เพื่อจะปกป้องเขาล่ะสินะ

ส่วนอัลเบิร์ตเองก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมแมทธิวถึงได้บอกว่าเจเรมีป่วยเป็นโรคพันธุกรรมผิดปกติ... มันไม่ได้ผิดปกติหรอก เพียงแต่เขาเกิดมาพร้อมลักษณะด้อยอันไม่พึงประสงค์ตามค่านิยมของเหล่าอัลฟ่าก็เท่านั้น เขาเหลือบมองเจเรมีที่ยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความสงสารสุดกำลัง

ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมวายร้ายกำลังหมดท่า ความเย่อหยิ่ง ดื้อรั้น และทุกความภาคภูมิใจในตัวเขาถูกทำลายลงจนพังพินาศ ก่อนที่เขาจะเปล่งน้ำเสียงแห้งผากออกมา
“ใครก็ได้บอกทีว่ามันเริ่มต้นขึ้นยังไง”

เจอโรมกับแมทธิวเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อย พลันแมทธิวก็ให้ที่มีหน้าที่จัดการดำเนินงานโครงการยาสำหรับเจเรมีเป็นคนอธิบาย
“โดยปกติแล้ว โอเมก้าที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นสักอายุประมาณสิบสองสิบสามจะเริ่มมีอาการที่เรียกว่าฮีท อาการนี้จะเกิดขึ้นเดือนละหนึ่งครั้ง กินระยะเวลาประมาณเจ็ดถึงสิบวัน แต่สำหรับคุณที่ไม่เคยมีอาการนี้เลยเป็นเพราะพวกผมได้จ่ายยาระงับอาการนั้นไว้และพัฒนาตัวยามาโดยตลอดเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการยับยั้งฮอร์โมนที่ผลิตออกมามากขึ้นตามการเจริญเติบโตของร่างกาย ยาที่ได้รับในแต่ละวันมันจะช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดฮีท ผมสามารถพูดได้ว่าความเสี่ยงเท่ากับศูนย์”

“เท่ากับศูนย์กับผีน่ะสิ แล้วไอ้ที่ผมเป็นวันนั้นมันคืออะไร!” เจเรมีแผดเสียงลั่น เขาหมายถึงการที่มีปฏิกิริยากับกลิ่นของคริส
คนถูกตะคอกถึงกับสะดุ้ง เจอโรมจึงจำเป็นต้องออกโรง
“วันนั้นแกไม่ได้ฉีดยาใช่ไหม”
ความจริงนี้ทำให้เจเรมีหน้าตึง ก่อนที่คนเป็นพ่อจะพูดออกมาอีกที
“ความผิดมันอยู่ที่แกแล้ว” จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับนายแพทย์คนนั้นเล็กน้อย “พูดต่อสิครับ”

ถูกสั่งอย่างนั้นก็เปิดปากอธิบายต่ออย่างช่วยไม่ได้
“การที่คุณไม่ฉีดยา ความจริงแล้วมันก็ยังมีฤทธิ์ที่ยับยั้งไม่ให้เกิดอาการฮีทอยู่ครับ แต่มันก็มีกรณียกเว้น อย่างเช่น...”
จู่ๆ ก็หยุดพูดไป ทำให้เจเรมีปั้นหน้าโกรธขึ้ง
“อย่างเช่นอะไร”
“คุณเจอคู่แห่งโชคชะตา กรณีนี้ถ้าคุณไม่ได้รับยาระงับ คุณจะออกอาการฮีททันทีที่ได้กลิ่นอีกฝ่ายครั้งแรก แต่เจอกันครั้งต่อๆ ไปก็ไม่เป็นไรแล้วครับ นอกจากจะไปเจอกันช่วงใกล้ก่อนระยะเกิดอาการฮีท ถ้าได้รับยาต้านก็น่าจะพอระงับได้อยู่”

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนที่ไปหาคริสเมื่อเช้า เขาไม่มีอาการอะไร ทว่าก็ต้องย่นคิ้วยู่เมื่ออีกฝ่ายว่าขึ้นมาอีก
“แต่มันก็ไม่ชะงัดสักเท่าไหร่นักเพราะการได้เจออัลฟ่าที่มีสารเคมีขั้วตรงกันมันจะทำให้อาการฮีทแสดงออกมาอยู่บ้างในบางครั้ง อันนี้ต้องเสี่ยงดวงเอาผมยังไม่ได้พัฒนายาไปถึงขั้นนั้นเพราะไม่รู้ว่าคู่แห่งโชคชะตาของคุณคือใคร เลยพัฒนาให้มันออกมาโดยรวม”
“แล้วทำไมไม่ทำให้มันดีไปเลยวะ” หลุดแสดงอารมณ์หุนหันออกมาอีกแล้ว

ตอนนี้เหมือนนายแพทย์คนนั้นจะเริ่มชินกับกิริยาท่าทางแบบนั้นแล้วล่ะ
“ปกติแล้วโอเมก้าจะไม่ได้กลิ่นของอัลฟ่าหรอกครับ จะได้กลิ่นกันก็ต่อเมื่ออัลฟ่าคนนั้นมีสารเคมีบางอย่างเข้ากันได้กับสารเคมีในร่างกายคุณ ซึ่งมันจะต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าก่อนว่าระดับสารเคมีที่เข้ากันได้ของพวกคุณมันสูงขนาดไหน ถึงจะเริ่มขั้นตอนการทดลองพัฒนายาได้”

เหมือนกับที่คริสพูดไว้ไม่มีผิดเรื่องสารเคมีบ้าบอเข้ากันอะไรนั่น เจเรมีอยากจะอาละวาดให้บ้านแตกเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากแต่ทำได้แค่ปิดเปลือกตาลง ทำใจให้สงบเท่าที่จะทำได้แม้ว่ามือของเขาในตอนนี้จะสั่นเทาขึ้นมา

“ไหวไหมเจมี่” อัลเบิร์ตร้องถามเมื่อเห็นว่าท่าทางของเพื่อนดูไม่ดีเท่าไหร่นัก ขณะที่แมทธิวพูดแทรก
“ผมเคยบอกแล้วว่าการต่อสู้กับสัญชาตญาณมันไม่ง่ายนัก จู่ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ จะทำให้เรื่องมันเงียบคงต้องใช้เวลานานสักหน่อย นอกจากแผนสำรองที่ว่าจะให้เจเรมีหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว คุณมีแผนอื่นอยู่ใช่ไหมคุณเมอร์ซี”
เจอโรมพยักหน้ารับ เขาเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วทันทีที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“สร้างข่าวลือให้เข้าใจว่าเจ้านั่นเป็นโอเมก้าซะ นอกจากพวกเรา ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าลูกฉันเป็นโอเมก้า มันคงไม่ยากอะไรเท่าไหร่หรอกมั้งถ้าจะสร้างเรื่องขึ้นมาให้เข้าใจเป็นอย่างนั้น”

คำตอบของเจอโรมทำให้ทุกฝ่ายเงียบงัน จริงอย่างที่เขาพูด การสร้างเรื่องมันไม่ยากหรอก แค่สั่งให้ทุกคนในที่นี่ปิดปากให้สนิทและปล่อยข่าวลือออกไป ยิ่งยังไม่มีใครรู้ว่าต้นเหตุของกลิ่นฟีโรโมนมาจากใครก็ยิ่งง่ายขึ้นไปใหญ่ เจเรมีน่ะอยู่คลุกคลีกับพวกอัลฟ่าคนอื่นๆ ในสถาบันมาตั้งนานแต่ไม่เคยมีอาการ มามีอาการตอนที่ผู้ชายคนนั้นโผล่ออกมา มันก็ไม่ยากอยู่แล้วที่จะทำให้เข้าใจเป็นอย่างนั้น

“แล้วหลังจากนี้ล่ะครับ” แมทธิวถามอีก เรียกสายตาคมของเจอโรมให้เหลือบไปมอง
“จากนั้นก็ไปพาตัวมันมา แล้วจะทำอะไรก็ทำไป ขอแค่ผลิตยาออกมาให้เร็วที่สุดก็พอ” คำสั่งหลุดออกมาแล้ว ‘มัน’ ที่ว่าก็หมายถึงคริส

นายแพทย์ที่รับฟังอยู่ก็พลันพยักหน้า ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อไปอย่างเคร่งเครียด เจเรมีทนฟังไม่ไหว ขอตัวลุกออกมาก่อน เขาอยากจะพักสมองเต็มทน กระนั้นก็อดคิดไม่ได้เลยว่าการที่เขามีสารเคมีที่ขั้วตรงกันกับคริสมันจะเป็นปัญหาอะไรหรือเปล่า

...เป็นสิ เป็นแน่ เป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ

ถึงจะไม่มีกฎหมายมาตราไหนบัญญัติไว้ว่าอัลฟ่าและโอเมก้าที่มีขั้วสารเคมีตรงกันจะต้องครองคู่กัน แต่เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งคู่ดึงดูดเข้าหากันไม่ว่าจะพยายามหลีกหนีหรือไม่เต็มใจสักแค่ไหนก็ตาม

ถึงจะไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ แต่ร่างกายก็ไม่อาจต่อต้านแรงดึงดูดนั่นได้อยู่แล้ว ดูอย่างที่เขาเจอกับคริสครั้งแรกสิ เขายังถึงจุดสุขสมทั้งที่คริสไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

มันถึงได้ถูกเรียกว่า ‘คู่แห่งโชคชะตา’ อย่างไรล่ะ

ตอนที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าก็อุตส่าห์โล่งใจแล้วนะที่ตัวเองไม่มีคู่แห่งโชคชะตาอะไรนั่น ถึงมีก็มีความเสี่ยงน้อยที่จะเจอเพราะโอเมก้ามีจำนวนเพียงหยิบมือ แต่พอรู้ตัวว่าเป็นโอเมก้า ซ้ำยังรู้ตัวเพราะเจอคู่แห่งโชคชะตา มันทำให้เขาอยากจะมุ่งหน้าไปที่ทัณฑสถานแล้วลงมือฆ่าผู้ชายคนนั้นด้วยมือตัวเองนัก

ถ้าไม่มีนายสักคน ฉันคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพทุเรศอย่างนี้!

สมควรตายจริงๆ คริส ฟ็อกซ์!
 ----------------------------------------------
ขุ่นคริสมาแล้ววว หลายคนบอกค่าตัวแพงมากกว่าจะออกได้แต่ละฉาก แต่ออกมาที ฮู้ยยย หล่อเลย 555
ส่วนตอนนี้หนูเจมี่ช็อกไปเลยข่า ขุ่นคริสทำอัลไลน้องงงง #โดนตบ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย น้องเป็นงั้นไปเอง ฮา ตอนหน้าเนื้อเรื่องจะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วค่ะ หนูเจมี่จะเริ่มทวีความร้ายกาจขึ้น ตอนต่อๆ ไปก็มากขึ้นๆ สรุปแล้วมันร้ายทั้งเรื่อง 555
ไม่แน่ใจว่าโอเมก้าเวิร์สของหนูแดงจะยากในการทำความเข้าใจหรือเปล่า พยายามอธิบายแบบง่ายๆ ค่อยๆ ใส่รายละเอียดไปทีละน้อย ไม่อัดทีเดียวแบบตอนเดียวจบเผื่อใครไม่รู้จักแนวนี้จะได้อ่านได้ด้วย ถ้าอ่านช่วงไหนแล้วรู้สึกว่าไม่เข้าใจ ทักกันได้นะคะ เผื่อหนูแดงเก็บรายละเอียดไม่หมด (แต่บางรายละเอียดก็ยังไม่ได้พูดถึงค่ะ กะค่อยๆ เผยออกมาในตอนต่อๆ ไป)
ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้า XD

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
คริสจะได้ออกจากคุกแล้วใช่ไหม ไม่รู้ว่าอยู่ในนั้นกับอยู่กับเจมี่อันไหนเลวร้ายกว่ากันนะ

ออฟไลน์ rinny

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 517
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
พ่อพระเอกสุดหล่อได้ออกโรงแล้ว นุ้งเจมี่นางรู้ความจริงแบบนี้จะเป็นไงต่อน้า ต้องสนุกแน่ๆเลย อิ

ออฟไลน์ AkaneSama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นแนวที่ชอบ แต่ไม่ค่อยมีคนเขียนหรือรู้จักซักเท่าไร ดีใจมากค่าา ที่มีคนแต่ง :laugh: :m15:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
เกาะขอบต่อ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พอเป็นโอเมก้าก็รู้สึกว่านางน่ารักขึ้นเลยยย  :katai2-1:

ออฟไลน์ พิศตะวัน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-3

ออฟไลน์ เข็มวินาที

  • Those who make the worst use of their time are the first to complain of its shortness
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
จะโดนจับมาอยู่ด้วยเพื่อพัฒนาตัวยาไหมเอ่ยยยย อยากอ่านต่อแล้ววว :hao7: :ling1:

ออฟไลน์ Tuffina

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
พึ่งอ่านไปในเด็กดี มาอยู่เล้าแล้ว เย้ ดีค่ะ เพราะเราถนัดอ่านในเล้า 5555 แต่ชอบเรื่องค่ะ ไม่ค่อยเห็นคนแต่งแนวนี้เท่าไหร่ รอติดตามอยู่นะคะ :L2:

ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 04: ความเลวร้ายของการเป็นโอเมก้า[1]

หลังจากได้คำสั่งจากเจอโรม ปฏิบัติการคิดค้นและพัฒนาประสิทธิภาพของยาระงับอาการฮีทสำหรับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็เริ่มต้นขึ้น เจเรมีไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่สถาบันพัฒนาฯ ตามปกติอีกเลยนับแต่นั้น กิจวัตรประจำวันของเขาถูกปรับเปลี่ยนไปตามตารางที่ทีมแพทย์กำหนดไว้ จะเรียกว่าเขากลายเป็นหนูทดลองก็ไม่ต่างเท่าไหร่นัก การต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ไม่ว่าจะตื่นนอน... ทานอาหาร... ออกกำลังกาย... ทุกอย่างต้องตรงเวลาเป๊ะๆ ซ้ำยังต้องทำตามที่รายการที่ถูกวางไว้ให้โดยไม่มีสิทธิ์มีเสียง มันทำให้เขาอึดอัดเสียจนแทบหายใจไม่ออก

อย่างกับติดคุกก็ไม่ปาน...

เจเรมีอดรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ ยิ่งถูกกำชับด้วยว่า...
‘ระหว่างนี้ห้ามออกไปไหนมาไหนตามใจจนกว่าจะมั่นใจได้ว่ายังไม่มีใครรู้เรื่องของแก’

เจเรมีจึงได้แต่อยู่ในบ้าน ตอนนี้บ้านของเขาเป็นเสมือนคุกกักกัน

ร้ายไปกว่านั้นคือหลังจากที่เขาใช้ชีวิตอย่างมีกฎเกณฑ์ร่วมหลายสัปดาห์แล้ว เจอโรมยังมาบอกให้เขาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปตรวจร่างกายเพื่อเก็บตัวอย่างเลือดและตรวจระดับฮอร์โมนอีก ถ้าการตรวจนั่นไม่เกี่ยวพันกับผู้ชายที่ชื่อว่าคริส เขาก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร หากแต่มันดันเกี่ยวพันกันเต็มๆ โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทันทีที่รู้ เจเรมีก็แทบจะพังบ้านพังยับเลยทีเดียว

ก็ยังดีที่ยังเกรงในความน่าเกรงขามของบิดาอยู่บ้าง ถึงจะอาละวาดแต่พอเจอโรมเตือนให้ตระหนักถึงผลเสียต่อตัวเขาถ้าไม่ทำตามแผนนี้ เจเรมีก็ยินยอมทำแต่โดยดีแม้ว่าจะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก

ก็มันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องถูกปลดออกจากตระกูล ไปขึ้นทะเบียนโอเมก้าแล้วถูกส่งขายทอดตลาดหรือถูกกำจัดอะไรพรรค์นั้นกันล่ะ คิดหรือว่าเขาจะยอมให้ตัวเองตกต่ำลงไปอย่างนั้น!

เพราะเหตุนี้ถึงได้มานั่งจุ้มปุ้กด้วยสีหน้าไม่รับแขกอยู่ในห้องรอตรวจของโรงพยาบาลณัฐแห่งหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงพยาบาลที่เป็นจุดศูนย์รวมของเทคโนโลยีการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในมหานครเพิร์ลและให้บริการสำหรับกลุ่มอัลฟ่า หากแต่การมาของเขาไม่ได้มาอย่างที่คนอื่นๆ ที่มาตามเวลาทำการ ทว่ามาในยามวิกาลและแน่นอนว่ามันเป็นการลักลอบเข้ามา

จากอิทธิพลและอำนาจของเจอโรมทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการไม่ยากนัก เพียงแต่บอกให้แมทธิวรู้ว่าเขาต้องการอะไร รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขแห่งมหานครเพิร์ลก็จัดสรรให้ได้ทุกอย่าง ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีส่วนรู้เห็นในโครงการผลิตยาเพื่อรักษาเจเรมีมาเตรียมการกันอย่างพร้อมหน้า เตรียมตัวลงมือปฏิบัติการตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

แต่ไม่ใช่เท่านั้น... ไม่ใช่แค่คนพวกนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีใครอีกคนที่ถูกพาตัวมาด้วยอำนาจของเจอโรมเช่นเดียวกัน
เขาถูกเรียกว่าหนูทดลอง...
ใช่... คริส ฟ็อกซ์

เจอโรมได้สั่งการให้พัศดีที่ใกล้ชิดออกคำสั่งพาตัวนักโทษคดีร้ายแรงมายังโรงพยาบาลแห่งนี้ คริสก็ไม่ได้อยากมาเท่าไหร่นัก แต่พอรู้ว่าเขาถูฏเรียกตัวมาด้วยเหตุผลอะไรก็ได้แต่ปลงตกแล้วตามมาโดยไม่ขัดขืน

จะไปขัดขืนอะไรได้ ไร้อำนาจ ไร้อิทธิพล ไร้ซึ่งทุกอย่างแล้วนี่ การขัดขืนไม่เป็นวิธีที่ฉลาดเลย

เพราะเหตุนี้ถึงได้มานั่งรอเจเรมีอยู่ในห้องสังเกจการณ์ที่เป็นห้องว่าง มีเพียงเตียง เก้าอี้สองตัวที่ประกบกับโต๊ะสีขาวเท่านั้น รอบข้างมีลำโพงสำหรับฟังเสียงของผู้ที่อยู่ด้านหลังกระจกบานใหญ่ซึ่งมองเห็นได้แค่ฟากเดียวส่งเสียงผ่านไมโครโฟนเข้ามา เขาที่ถูกจับเปลี่ยนชุดจากชุดนักโทษเป็นชุดผู้ป่วยซึ่งค่อนข้างจะดูเหมือนชุดสำหรับผู้ป่วยจิตเวชมากกว่าเพราะมันรัดแขนไม่ให้เขาขยับได้ ก่อนจะได้รับคำสั่งให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พลันผู้คุมและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็มาช่วยกันตรึงเขาไว้กับเก้าอี้ตัวนั้นอีกที ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อความปลอดภัยของเจเรมีถ้าหากว่านักโทษอย่างเขาเกิดคิดทำอันตรายขึ้นมาแม้ว่าข้อหาที่เขาถูกจับจะเป็นผลพวงจากเรื่องการเมืองก็ตาม

คริสอดไม่ได้เลยที่จะคิดว่าคนที่จะทำอันตรายเขาน่าจะเป็นเจเรมีมากกว่า ก่อนหน้าที่คุยกัน อีกฝ่ายก็ออกอาการไม่พอใจที่เขาเป็นคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองทั้งที่เขาก็ไม่ได้อยากจะไปเป็นอะไรอย่างนั้นด้วยสักนิด ยิ่งการมาเจอกันในครั้งนี้เป็นไปด้วยเหตุผลของการพัฒนายาระงับอาการฮีทของเจเรมีที่มีปฏิกิริยากับกลิ่นฟีโรโมนของเขาด้วยแล้ว คริสก็รู้ตัวเลยว่าการเจอกันคราวนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคาดการณ์ ไม่นานนักชายในชุดผู้ป่วยที่เขารอคอยก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องให้เห็น สีหน้าบูดบึ้งทวีมากขึ้นไปอีกทันทีที่ดวงตาคมเหลือบเห็นคริส ตามมาด้วยสบถหยาบคายอีกชุดใหญ่ให้คนฟังได้ระคายหู กระทั่งเจอโรมที่รอดูลูกชายผ่านทางกระจกด้านเดียวตักเตือนผ่านไมโครโฟน เสียงก่นด่านั้นถึงเงียบลงได้

“ไง” แต่เป็นคริสแทนที่ไม่เงียบ ทักทายไปตามประสา

จริงๆ ก็ไม่ได้ทักทายไปตามประสาหรอก แค่อยากจะทำให้เจเรมีไม่เครียดมาก ดูหน้าอีกฝ่ายสิ ทำหน้าตาน่ากลัวขนาดนั้น อีกนิดเดียวก็จะฆ่าเขาได้แล้ว

หากแต่เจเรมีไม่ตอบ ชำเลืองมองตาขวางแล้วเมินเอาดื้อๆ ทำให้คริสได้พูดออกไปอีก
“เจอกันอีกแล้วนะ”
เจเรมีไม่เสวนาด้วยอยู่ดี จ้องเขม็งอย่างเกรี้ยวกราด ปล่อยให้คริสพูดอยู่คนเดียว
“พาฉันมาเพื่อพัฒนายาสำหรับนายสินะ”
ไม่ต้องบอกว่ายาอะไร เจเรมีก็รู้อยู่แต่ใจ นั่นทำให้เขาหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“หุบปากซะถ้ายังอยากมีฟันไว้กัดไอ้หนูของผู้คุม”

ปล่อยความหยาบคายออกมาอีกระลอก เป็นคำพูดที่ดูถูกคริสน่าดู ทว่าคริสไม่ยี่หระกับสิ่งที่ได้ยิน นั่งนิ่งๆ รอจนกระทั่งบรรดานายแพทย์เข้ามาอธิบายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“ทำไมต้องมาทำอะไรบ้าๆ นี่ด้วยวะ” เจเรมีพึมพำหลังจากนายแพทย์คนหนึ่งอธิบายเสร็จ

เขารู้อยู่แล้วว่าที่ต้องมาโผล่หัวในห้องนี้เป็นเพราะเจอโรมต้องการให้เขาแสดงอาการฮีทและปล่อยฟีโรโมนออกมาถึงขีดสุดขณะได้กลิ่นฟีโรโมนของคู่แห่งโชคชะตาอย่างคริสเพื่อพัฒนายา รู้ว่ามันเป็นประโยชน์กับตัวเขาเอง แต่พอนึกถึงตอนที่เขาถึงจุดสุขสมทั้งที่คริสไม่ได้ทำอะไรแล้วมันก็เจ็บใจ

เจ็บใจเรื่องนั้นยังไม่พอ รับไม่ได้กับความจริงที่ว่าเขาเป็นโอเมก้าด้วย

ใช้ชีวิตประดุจอัลฟ่ามาทั้งชีวิต จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเพราะการปรากฏตัวของคริสมันเป็นเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรก็รับไม่ได้อยู่แล้ว!

สายตาเกรี้ยวกราดในตอนนี้ถูกปราดมองไปยังนายแพทย์คนหนึ่งที่กำลังฉีดยากระตุ้นให้เกิดอาการฮีทให้เขาที่ข้อพับแขนหลังจากที่นายแพทย์ผู้คุมการดำเนินการหลักที่รอดูอยู่ภายนอกกับบิดาออกคำสั่งให้เริ่มทุกอย่างตามแผนการได้ คริสได้แต่นั่งมองนิ่งๆ เขาเองก็ไม่อยากมาทำอะไรแบบนี้หรอก แต่มีทางเลือกให้เสียที่ไหน อิสรภาพสูญเสียไปแล้ว สิทธิในการเรียกร้องอะไรก็ไม่มี สถานะต้อยต่ำประหนึ่งเดนมนุษย์ จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ใครอยากให้ทำอะไรก็ทำ

...แค่ตอนนี้เท่านั้น มีโอกาสเมื่อไหร่ เขาไม่รอช้าที่จะทวงคืนทุกอย่างของเขาแน่

“หลังจากนี้คุณจะเริ่มมีอาการฮีทนะครับ อาจจะทรมานสักหน่อย แต่ขอให้อดทนก่อน ถ้าฟีโรโมนถูกปล่อยออกมาจนถึงขีดสุด ผมจะเก็บตัวอย่างเลือดกับตรวจระดับฮอร์โมนของเขา ถ้าเรียบร้อยแล้วจะฉีดยาระงับอาการฮีทให้นะครับ” นายแพทย์บอกอีกที

เจเรมีชักสีหน้า พลางส่งเสียงห้วน “จะทำอะไรก็รีบทำ อย่าพล่ามให้มากนัก รำคาญ”

นายแพทย์คนนั้นพยักหน้ารับไปตามเรื่อง เขาพอจะรู้อยู่ว่าการตรวจนี้ เจเรมีไม่ได้เต็มใจสักเท่าไหร่นัก ทั้งหมดเป็นเพราะคำสั่งของเจอโรมและมันก็เพื่อตัวเขาเอง ชายหนุ่มคนนี้ถึงได้ยอมมานั่งในห้องสังเกตการณ์อย่างที่เป็นอยู่

เมื่อจัดการตามหน้าที่เรียบร้อย นายแพทย์คนนั้นก็เดินออกไปสังเกตการผ่านบานกระจกด้านนอก ทิ้งให้ชายหนุ่มทั้งสองนั่งประจันหน้ากัน คริสยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ ขณะที่เจเรมีจ้องอีกฝ่ายอย่างกินเลือดกินเนื้อ คริสก็สบตากลับอย่างไม่เกรงกลัวจนเจเรมีอดรนทนไม่ได้

“มองบ้าอะไร ไม่อยากตายดีหรือไง” ถึงจะฆ่าไม่ได้ ขอขู่สักหน่อยก็ยังดี
คริสกลอกตามองไปด้านข้างเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มเย้ยสร้างความหงุดหงิดให้กับเจเรมีอีกเป็นเท่าตัว ความจริงคริสไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโทสะ เขาก็แค่นึกขำเล็กๆ กับพฤติกรรมของคนตรงหน้า

ไม่มีวุฒิภาวะเอาซะเลย...

ไร้ซึ่งวุฒิภาวะอย่างที่นักโทษหนุ่มคริส แค่ยิ้มเล็กๆ เท่านั้นก็ทำให้เจเรมีหงุดหงิดจนแทบคลั่งได้อยู่แล้ว ดีที่มีเสียงของนายแพทย์ผู้ดำเนินงานดังลอดออกมาจากลำโพงภายในห้องสังเกตการณ์ บรรยากาศกดดันถึงได้เจือจางลงไปได้เล็กน้อย
“อีกราวๆ สิบห้านาที ยาจะออกฤทธิ์นะครับ คุณเมอร์ซีช่วยตั้งสติไว้ด้วยนะ”

คนด้านนอกยืนรอดูอาการที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้อย่างใจจดใจจ่อ จะมีก็แต่เจเรมีที่อยากจะให้ทุกอย่างมันยุติลงเสียทีแม้จะเข้าใจดีว่าทำไมเขาจะต้องทำให้ตัวเองเกิดอาการฮีทอีกครั้ง แต่ว่า...มันเรื่องอะไรที่จะต้องมาเป็นฮีทต่อหน้าผู้ชายคนนี้ด้วย!

ถึงอย่างนั้นก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี คริสก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองใจหรอก เขารู้สึกกับคนตรงหน้าไปเองว่าอีกฝ่ายทำให้เขาอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา

ความจริงแล้ว... มันเป็นแค่ความเสียหน้าน่ะ...
แค่ได้กลิ่นของอีกฝ่ายก็ถึงจุดสุขสมได้ มันน่าเจ็บใจจะตาย!

กระนั้นก็แสร้งนั่งนิ่ง พยายามควบคุมอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองอย่างสุดความสามารถ จะมีก็แต่คริสเท่านั้นที่สังเกตอาการอีกฝ่ายที่ใบหน้าเริ่มจะแดงเรื่อขึ้นมาเพราะอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นก็พลันทัก

“ควบคุมตัวเองดีๆ ล่ะ มีแต่นายที่ไม่ได้ถูกมัด” ว่าพลางขยับตัวเล็กน้อยให้เห็นว่าเขาถูกตรึงไว้ไม่ให้ขยับได้ถ้าหากเกิดอาการตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมน

เจเรมีที่ถูกพูดเหมือนดูแคลนกัดฟันแน่น จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “หุบปากซะ”

คริสยอมเงียบตามคำขู่ จากนั้นก็นั่งนิ่งรอเวลา สายตาสังเกตอาการของเจเรมีเป็นระยะ ผ่านไปไม่นานนัก ฤทธิ์ยากระตุ้นฟีโรโมนก็เริ่มทำงาน จมูกของเขาได้กลิ่นหอมหวานขึ้นมาทีละน้อย ก่อนที่มันจะฉุนขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถในการควบคุมตัวเอง

ทว่าเจเรมีมีอาการมากกว่าหลายเท่าตัว เริ่มแรกเพียงแค่ใบหน้าแดงเรื่อ สักพักก็ลามไปยังลำคอและใบหู ความร้อนพร่างพรายไปทั่วทุกส่วนของลำตัว จุดศูนย์รวมความรู้สึกทางเพศก็ตื่นตัวขึ้นมา ลมหายใจหอบกระชั้น เขาเกลียดเหลือเกินกับอาการบ้าๆ ที่ทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างนี้ พยายามจะต่อต้านแต่ก็ไม่อาจทนได้ไหว ฟุบหน้าลงไปบนโต๊ะตรงหน้า มือหนากำแน่นจนซีดขาว

ทรมาน... ทรมานจนแทบทำให้เป็นบ้า

และเขาก็คงจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เมื่อจมูกได้กลิ่นฟีโรโมนของคริสที่ปล่อยออกมาโดยอัตโนมัติซึ่งมาจากการตอบสนองต่อกลิ่นของเจเรมี เท่านั้นหัวสมองของเขาก็มึนเบลอไปทันที ดวงตาเรียวปรือลง เหลือบมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
คริสไม่สบตาอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าแดงก่ำ มีการขยับตัวด้วยท่าทางอึดอัดเล็กน้อยบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเองก็ทรมานเหมือนกัน หากแต่เก็บอารมณ์ได้ดีกว่า ส่วนเจเรมีนั้น... สติแตกไปแล้ว

“มะ...ไม่ไหว”
ร่างใหญ่ครวญ พยายามจะลุกขึ้นเพื่อออกไปข้างนอก เขาต้องการฉีดยาระงับอาการนี้โดยด่วน ทว่าพอทำท่าจะลุกยืนจากเก้าอี้เท่านั้น แข้งขาก็สั่นจนเขาต้องล้มคุกเข่าไปบนพื้น ค่อนข้างแย่หน่อยที่จุดที่เขาล้มมันใกล้กับเก้าอี้ของคริสพอดี ทำให้จมูกได้กลิ่นของคู่แห่งโชคชะตาแรงมากขึ้นไปอีก

เจเรมีพยายามจะยืนขึ้นอีกครั้ง ยื่นมือไปจับข้อเท้าอีกฝ่าย กะว่าจะใช้เป็นที่พยุงตัว หากแต่ฉับพลันก็เกิดควบคุมตัวเองไม่ได้เสียอย่างนั้น เงยหน้าสบตาคริสที่มองมา ทุกอย่างก็หมุนคว้างไปหมด
“คะ...คริส...” ปากเผลอครางเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปด้วย
คริสไม่ตอบโต้อะไร เอาแต่หายใจหอบถี่ขณะที่เจเรมีค่อยๆ ดันตัวขึ้นมานั่ง ขยับตัวเข้ามาซุกใบหน้าลงกับหน้าท้องของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
“ไม่ไหวแล้ว...” ตามมาด้วยครางอีกครั้ง

การกระทำนั้นทำให้คริสสะดุ้งเล็กน้อย แล้วก็ต้องแปลกใจที่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประหลาดหลุดออกมาจากริมฝีปากของคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“อา...”
ร่างใหญ่กระตุกเกร็ง แขนแกร่งทั้งสองโอบประคองแผ่นหลังของคริสเอาไว้ ใบหน้าที่ซุกอยู่ช่วงหน้าท้องแนบแน่นเข้ามาอีก อาการนั้นทำให้คริสรู้เลยว่าเจเรมีไปถึงจุดที่เขาต้องการโดยที่ไม่มีใครไปแตะเนื้อต้องตัวเขาอีกแล้ว และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีถูกปล่อยออกมาอย่างเต็มที่

กลิ่นหอมหวานลอยเข้าจมูกจังๆ คริสก็หน้ามืดขึ้นมาทันที เขาถูกกระตุ้นเร้าอย่างสุดขีดเช่นกัน ริมฝีปากหนาขบเม้มเข้าหากันจนซีด เริ่มอยู่ไม่สุข ขยับเก้าอี้ดิ้นรนให้ตัวเองหลุดออกจากการพันธนาการทั้งหมดเพื่อที่จะตอบสนองตามสัญชาตญาณตัวเองกับร่างกายของคนที่ฟุบหน้าอยู่บนหน้าขาของเขา

ไม่ไหว... ทนไม่ไหวเหมือนกัน ทรมานจะตายอยู่แล้ว

เกือบจะกลายเป็นคุ้มคลั่งอาละวาดอยู่แล้ว โชคดีที่ยังไม่ทันจะได้มีอะไรเกิดขึ้น ทำได้แค่โยกตัวไปมาคล้ายจะพยายามดิ้นรนออกจากการดึงรั้ง ทีมแพทย์ที่สวมหน้ากากกรองกลิ่นฟีโรโมนก็พากันกรูเข้ามาในห้องสังเกตการณ์เสียก่อน พลันรีบเจาะเลือดและตรวจวัดระดับฮอร์โมนของคริสในเวลาอันสั้น ส่วนเจเรมีเองก็ถูกพยุงไปนอนพักบนเตียงในห้องนั้นอย่างรวดเร็วและจัดการจับฉีดยาระงับอาการฮีททันที

กว่าช่วงเวลานั้นจะผ่านไป เรียกได้ว่าชายหนุ่มทั้งสองต้องผ่านความยากลำบากกันมากโขเลยทีเดียว พอทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ พวกเขาถึงตั้งสติได้อีกครั้งพร้อมกับระลึกได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหตุการณ์ก่อนหน้าบ้าง

คริสที่คิดทำมิดีมิร้ายอีกฝ่ายถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก คิดไม่ออกเลยว่าถ้าเขาอาละวาดเพื่อที่จะตอบสนองต่ออาการฮีทของเจเรมี เรื่องมันจะเลวร้ายแค่ไหนแม้ว่าเขากับเจเรมีจะเป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกันก็ตาม

ไอ้ความเป็นคู่แห่งโชคชะตาเนี่ย... มันอันตรายมากเหมือนกันแฮะ

“เสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพักสักครู่นะครับ แล้วเดี๋ยวจะให้ผู้คุมมาพากลับไป” นายแพทย์ที่เพิ่งจะฉีดยาต่อต้านฟีโรโมนของโอเมก้าให้คริสเสร็จเอ่ยขึ้น
คริสพยักหน้ารับก่อนอีกฝ่ายจะหันไปบอกกับเจเรมีบ้าง
“ส่วนคุณเมอร์ซีนอนพักสักประเดี๋ยวนะครับ รอให้ยาออกฤทธิ์เต็มประสิทธิภาพก่อนค่อยออกไป เดี๋ยวคนอื่นจะแตกตื่นกัน”
แตกตื่นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีที่ยังเหลืออยู่อีกหน่อย

เจเรมีไม่หือไม่อือ ปล่อยให้นายแพทย์คนนั้นออกจากห้องไปหลังอธิบายเสร็จ พอเหลือแค่เขากับเจเรมีที่ตอนนี้มีสติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วน คริสก็อดพูดออกมาไม่ได้

แน่นอนว่ามันเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้า...
“เมื่อกี้น่ะ ที่นาย...”
“หุบปากเน่าๆ ของนายเอาไว้ อย่าสำรอกอะไรออกมาเชียว” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เจเรมีที่นอนก่ายหน้าผากอยู่ก็โพล่งขึ้น

จริงๆ แล้วคริสตั้งใจจะขอโทษที่เผลอคิดอะไรไม่ดีกับเจเรมีไป เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดแค่ไหนหลังจากรับรู้ว่าตัวเองเป็นโอเมก้าทั้งที่เข้าใจว่าเป็นอัลฟ่ามาตลอดชีวิต ซ้ำยังมามีอาการอะไรแปลกๆ กับคู่แห่งโชคชะตาที่พับเจอโดยบังเอิญอีก จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน

หากแต่พอถูกเจเรมีพูดใส่หน้าแบบนี้แล้ว ความเห็นใจของคริสก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอื่นแทน มุมปากยกยิ้มขึ้น พูดลอยหน้าลอยตา
“แค่จะบอกว่ากางเกงเปียกน่ะ”

ก็บอกว่าอย่าสำรอกอะไรออกมาไง หาเรื่องหรือไงวะไอ้เวรเอ๊ย!

เจเรมีผงกศีรษะขึ้น คว้าหมอนขว้างใส่อีกฝ่ายสุดแรงแขน คริสที่ถูกมัดตรึงไว้อยู่ไม่สามารถหลบได้ อย่างดีก็แค่หันหน้าหนี หมอนเลยกระแทกเข้ากับซีกหนึ่งของใบหน้าเต็มๆ พอเหลือบไปมองคนตัวการก็เห็นว่าเจเรมีกำลังนั่งชูนิ้วกลางใส่อยู่
“ไปตายซะ”

หยาบคายสุดๆ ไปเลย นี่น่ะเหรอผู้รากมากดีตระกูลอัลฟ่าแห่งมหานครเพิร์ล...

เป็นคนที่ผ่าเหล่าผ่ากอมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอัลฟ้าหรือโอเมก้า และความหยาบคายของเจเรมีก็ทำให้คริสลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ทำเอาเจเรมีที่เดือดได้ที่ขู่เสียงต่ำ
“มีปัญหาอะไร”
“ฉันแค่คิดว่าพ่อแม่นายจะกลุ้มใจแค่ไหนที่มีลูกอย่างนี้”

อย่างนี้คืออย่างไหนก็ไม่อาจรู้ได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ นั่นทำให้เจเรมีอยากจะหาอะไรมาทุบคนตรงหน้าให้ตายคามือ เกือบจะพุ่งไปคว้าโต๊ะทุ่มใส่อยู่แล้ว ดีที่เจอโรมส่งเสียงผ่านไมโครโฟนตัดบทเสียก่อน
“หายดีแล้วก็ออกมา อย่ามัวแต่เล่น เรายังมีเรื่องต้องทำต่อ”

เจเรมีฮึดฮัดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมทำตามแต่โดยดีเมื่อนายแพทย์กับเจ้าหน้าที่พยาบาลเข้ามาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วพาเขาออกจากห้องสังเกตการณ์ไป ปล่อยให้คริสนั่งอยู่อย่างนั้นกระทั่งผู้คุมมาช่วยแก้มัดเขาและพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อกลับไปยังทัณฑสถาน



ออฟไลน์ NooDangzz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +212/-8
Episode 04: ความเลวร้ายของการเป็นโอเมก้า[2]

หลังจากวันที่ได้เจอหน้ากับคริส เจเรมีก็ไม่ได้กลับไปเหยียบที่สถาบันอีกเลยกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆ การหายหน้าหายตาไปของเขาสร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนร่วมชั้นปีเป็นอย่างมาก ทว่าก็เป็นแค่ในระยะแรกเท่านั้นด้วยมีคนปล่อยข่าวลือว่า ‘ไอ้คนตายด้าน’ อย่างเขารู้สึกเสียหน้าที่มีอาการตอบสนองกับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าเพราะตลอดเวลาที่ได้ยินชื่อเสียงความร้ายกาจของผู้ชายคนนี้มา ยังมีเรื่องที่เขาไม่มีอาการอะไรตอบสนองต่อสิ่งเร้ามาให้ได้ยินอีกด้วย การที่เขามีอาการแบบนี้ทำให้ความรู้สึกว่าตัวเอง ‘พิเศษ’ กว่าอัลฟ่าคนอื่นๆ ถูกริดรอนไป

คงจะรับความจริงว่าอัลฟ่าทุกคนล้วนแล้วตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าไม่ได้ถึงได้หายหัวไปอย่างนี้

จะมีก็แต่อัลเบิร์ตเท่านั้นที่รู้ความจริง เขาไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยินเกี่ยวกับเพื่อนสนิทตัวเองนัก หากแต่ไม่พูดอะไรออกไปด้วยตระหนักถึงความปลอดภัยของเจเรมีมากกว่า เหนือสิ่งอื่นใดก็เพื่อความปลอดภัยของบิดาเขาด้วย ถ้าหากมีใครรู้ว่าบิดาเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเก็บความลับของเจเรมี มีหวังครอบครัวเขาต้องเดือดร้อนแน่

ก็ยังดีที่เรื่องราวของเจเรมีไม่ได้ถูกพูดถึงกันทั่วสถาบันนานเท่าไหร่นักเมื่อมีเรื่องของนักโทษคนนั้นเข้ามาแทนที่
ใช่... หมายถึงคริส ตอนนี้เป็นที่กล่าวขวัญถึงกันไปทั่วว่าแท้จริงแล้วคริสไม่ใช่อัลฟ่า แต่เป็นโอเมก้าที่ตระกูลฟ็อกซ์แห่งอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนรับเลี้ยงไว้

มันก็ดีที่ใครต่อใครเอาแต่พูดถึงเรื่องนั้น เจเรมีจึงกลับมาปรากฏตัวที่สถาบันด้วยความไม่หัวเสียเท่าไหร่นัก... ก็หัวเสียนั่นแหละ มากเสียด้วย เอาเป็นว่าดีที่เขาไม่ทวีความหงุดหงิดไปมากกว่านี้ก็แล้วกัน
“ไหวไหมเนี่ย ถ้าไม่ไหวจะไปข้างนอกไหม” เห็นเจเรมีเอาแต่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะหลังจากเข้ามารอผู้สอนในคลาสของเช้าวันนี้ อัลเบิร์ตก็อดชักชวนให้โดดเรียนขึ้นมาเสียไม่ได้แม้ว่าโดยปกติแล้วเขาจะเป็นคนออกปากห้ามอีกฝ่ายมากกว่า ทว่าการเห็นเพื่อนของตัวเองหมดลายไปอย่างนี้ก็สงสารขึ้นมา

เจเรมี เมอร์ซี ต้องไม่หงอยอย่างนี้สิ...

แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าถึงจะผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว เจเรมีก็ยังรับกับสภาพของตัวเองไม่ได้ ยิ่งเขารับรู้ว่ายาที่ตัวเองฉีดทุกวันเป็นยาเพื่ออะไร เขาก็รู้สึกไม่อยากทำอะไรขึ้นมา อยากจะขังตัวเองอยู่ในห้องส่วนตัวทั้งวัน ไม่อยากจะไปพบปะผู้คนเลยแม้แต่น้อยเพราะช่วงนี้อารมณ์ไม่คงเส้นคงวาสุดกู่ ทว่าก็จำเป็นต้องกลับมาใช้ชีวิตให้เป็นปกติด้วยไม่ต้องการให้ใครผิดสังเกตไปมากกว่านี้ตามความกังวลของเจอโรม 

หากแต่การควบคุมอารมณ์นั้นไม่ง่ายเลย แม้แต่อัลเบิร์ตเองก็ทำให้เจเรมีหงุดหงิดได้ สิ้นเสียงซักถามนั้น อีกฝ่ายก็โบกมือไล่เป็นเชิงให้อีกฝ่ายไปไกลๆ ด้วยไม่ต้องการระเบิดอารมณ์ใส่เพื่อนที่เป็นห่วงตัวเอง

หากแต่พอถูกอัลเบิร์ตถามย้ำอีกทีด้วยคำถามเดิมก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วแผดเสียงใส่ลั่น
“บอกให้ไปไกลๆ ไม่เข้าใจหรือไงวะ!”
คนถูกตะคอกสะดุ้ง

ไม่เพียงแค่อัลเบิร์ตเท่านั้น คนอื่นๆ ที่อยู่ในคลาสก็พากันสะดุ้งไปตามๆ กัน เสียงคุยจอแจรอบข้างเงียบสนิทราวกับสุสานทันควัน ก่อนที่เจเรมีจะสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“โทษที อากาศมันร้อนมากไปหน่อย” โทษลมโทษฝนไปเรื่อย

อัลเบิร์ตไม่ถือสา เข้าใจชัดเจนดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในภาวะวิตกกังวล การไปเซ้าซี้ถามอะไรคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แค่เป็นห่วง เอาเป็นว่าถ้านายอยากจะไปไหนก็บอกฉันก็แล้วกัน จะได้ไปเป็นเพื่อน...ถ้านายต้องการนะ” ปิดท้ายด้วยประโยคนี้สักหน่อยเผื่อว่าเจเรมีจะอยากไปคนเดียวมากกว่า

เจเรมีพยักหน้ารับแล้วพึมพำออกมา “ตอนนี้ฉันขออยู่เงียบๆ คนเดียวก็พอ เสียงของนายมันทำให้ฉันปวดหัว”

อัลเบิร์ตรับทราบ

ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เสียงของอัลเบิร์ตหรอกที่ทำให้เจเรมีปวดศีรษะ เสียงอย่างอื่นรอบข้างก็เช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาปวดศีรษะจนแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ กลับเป็นเสียงของผู้ชายตัวใหญ่ซึ่งมีใบหน้าตกกระต่างหาก

มันชวนให้ปวดประสาทจนทำให้เขาแทบอยากจะฆ่าทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ

“ก็นึกว่าไอ้บ้าที่ไหนมาตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ที่แท้ก็คุณเมอร์ซีผู้ลือเลื่องนี่เอง หายหน้าไปนานเลยนะ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว คิดถึงน่าดู”

เสียงของธีโอ...

เจเรมีเหลือบมอง เห็นอีกฝ่ายเดินกร่างเข้ามาหาพร้อมกับลูกสมุนก็แทบอดใจจะซัดคนตรงหน้าไม่ได้ แต่เพราะเสียงของบิดาดังก้องอยู่ในหัวว่าห้ามเขาไปสร้างเรื่องอะไรเด็ดขาดด้วยไม่ต้องการให้มีปัญหาจนกว่าเขาจะได้เข้าพิธีประทับตราอัลฟ่าตามธรรมเนียมปฏิบัติ

อันที่จริงมันเป็นข้ออ้างให้เจเรมีไม่ไปก่อเรื่องมากกว่า ถึงจะประทับตราอัลฟ่าแล้วก็ต้องพยายามทำตัวให้ไม่เป็นปัญหา การถูกเพ่งเล็งไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลยสักนิดเพราะมันจะทำให้ใครต่อใครจ้องจะหาเรื่องเขาและพยายามทำให้ตกต่ำได้

ด้วยเหตุนั้น คนถูกเรียกด้วยชื่อสกุลจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เมินเฉยใส่ ทว่าทำให้ธีโอได้ใจ พูดขึ้นมาอีก
“หายหน้าหายตาไปเพราะอะไรเหรอแกน่ะ บังเอิญฉันได้ยินข่าวลือมาว่าแกป่วย... ประมาณว่าร่างกายผิดปกติอะไรแบบนั้น”
ธีโอตั้งใจจะพูดเรื่องที่เจเรมีมีอาการตอบสนองกับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร

เจเรมีไม่อยากโต้ตอบแต่เห็นหน้าคนที่มาหาเรื่องแล้วมันก็อดโมโหไม่ได้จึงเลือกที่จะเดินหลบไปที่อื่นแทน
ตอนแรกกะว่าจะทำตัวให้เป็นปกติเสียหน่อย ในเมื่อเจออย่างนี้แล้วก็ขอโดดเรียนไปเลยก็แล้วกัน

ร่างสูงลุกขึ้น ขยับตัวออกมาจากโต๊ะแล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ก็ถูกธีโอดักหน้า
“เอ้า จะไปไหน ยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลยแท้ๆ” ว่าพลางหัวเราะในลำคอพลันยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ “ทำไมเหรอ? หรือจะรับไม่ได้ที่ไอ้จ้อนของนายมันตื่นตัว แหม ใหม่ๆ ก็อยากนี้แหละน่าสาวน้อย เคยช่วยตัวเองหรือยังฮึ?”
คำดูถูกหลุดออกจากปากของธีโอมาเป็นพรวน อับเบิร์ตมองด้วยสายตารังเกียจสุดชีวิต

เป็นคนประเภทไหนกันถึงได้พูดดูถูกเหยียดหยามคนอื่นได้ถึงขนาดนี้?

แต่จะไปว่าธีโอก็ไม่ได้ เจเรมีเองก็ใช่ย่อยที่ไหน ถ้าไม่ถูกสั่งห้ามมา ตามปกติแล้วเจเรมีก็มีวาจาร้ายกาจไม่แพ้กัน
เว้นก็แต่ครั้งนี้ที่เจเรมีไม่ตอบโต้ พยายามสะกดกลั้นแล้วว่าเสียงเรียบ
“ถอยไป”

ธีโอเลิกคิ้วสูง หลุดหัวเราะออกมาที่ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเหนือความคาดหมาย ปกติต้องตะบันหน้าเขาไปแล้วสิ ท่าทางจ๋อยไม่สู้คนอย่างนี้มันอะไรกัน!?

“โถ แค่ไอ้จ้อนของนายมันถึงวัยสมควรโตแค่นี้ถึงกับช็อกไปเลยหรือไง ไม่เอาน่า อย่าซึมแบบนี้เลย ไม่สมกับเป็นแกเลยนะ”
ทั้งที่รู้ว่าในเวลาปกติ การมาพูดอย่างนี้ต้องถูกเจเรมีซัดหน้าหงายอยู่แล้วก็ยังจะเสนอหน้ามาพูด ยิ่งตอนนี้อีกฝ่ายไม่ตอบโต้ก็ยิ่งได้ใจ เยาะเย้ยถากถางเป็นการใหญ่ หารู้ไม่ว่าเจเรมีอยากจะปล่อยหมัดกระแทกปากเสียเต็มแก่

ต้องใช้ความพยายามอดทนมากแค่ไหนในการระงับอารมณ์ รู้บ้างไหมน่ะ!?

จะมีก็แต่อัลเบิร์ตเท่านั้นที่รู้ เห็นใบหน้าบูดบึ้งน่ากลัวและมือที่กำแน่นทั้งสองข้างของเพื่อนสนิทก็อยากจะปรามให้ธีโอสงบปากสงบคำ การทำให้เจเรมีเดือดดาลในเวลาอย่างนี้ชเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย ถ้าเจเรมีปะทุขึ้นมา รับรองว่าใครก็ฉุดเขาไว้ไม่อยู่แน่

หากแต่ช้าไปหน่อย พอตั้งท่าจะเตือน เจเรมีก็ออกเดินต่อแล้ว แต่ธีโอกับพรรคพวกก็ยังจะมาขวางหน้าไว้อีก
“รีบไปเรียนรู้วิธีการปลดปล่อยเหรอคุณเมอร์ซี ก็อย่างว่า พวกชั้นต่ำอย่างโอเมก้าน่ะ เวลาอยู่บนเตียงมันดีอย่าบอกใคร” ปากก็ยังเยาะเย้ยไม่หยุด

เจเรมีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอีกครั้ง ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะแค้นขึ้นมาเมื่อหูได้ยินสิ่งที่ธีโอพูดอีกรอบ
“แต่โอเมก้ามันก็มีดีแค่นอนถ่างขาให้พวกอัลฟ่าเท่านั้นแหละ แกอยากลองไหมล่ะ ฉันให้ยืมโอเมก้าที่บ้านเอาไหมเผื่อนายจะติดใจกลิ่นฟีโรโมนนั่น เราจะได้คุยกันได้มากกว่านี้ ฉันจะสอนแกฝึกปรือไอ้จ้อนให้ชำนาญเอง”

แค่ได้ยินธีโอพูดถึงโอเมก้าอย่างนั้น เจเรมีก็สั่นเทิ้มขึ้นมาด้วยความโกรธแล้ว ร้ายกว่าการพูดจาเยาะเย้ยถากถางคือการกระทำ พูดจบก็ดันเอามือมาจับที่เป้ากางเกงของเจเรมี ขยำเล็กน้อยกะจะให้โดนจุดสำคัญ ดีที่เจเรมีไหวตัวทันเสียก่อน ผละออกมาแล้วตามด้วยกำปั้นหลุนๆ ส่งไปปะทะเข้าเต็มๆ ดั้งจมูกโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย

เสียงกำปั้นกระแทกดังพลั่กแล้วเสียงร่างใหญ่ล้มตุ้บลงไปที่พื้นเรียกสายตาของทุกชีวิตให้หันมามองเป็นจุดเดียว พลันพากันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจทันทีที่เห็นว่าใบหน้าของธีโอเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากจมูก ก่อนที่ธีโอซึ่งเพิ่งจะรู้สึกตัวจะโวยวายลั่น

“จะ...จมูกฉัน! โอ๊ย!” เลื่อนนิ้วขึ้นไปโดนดั้งเล็กน้อยก็ร้องลั่นออกมา
เพื่อนของเขารีบกรูเข้ามาดู เห็นสันดั้งที่บิดเบี้ยวไปก็ช่วยกันโวยวายตามมาอีกระลอก
“เฮ้ย! ดั้งหักเลยนี่หว่า เล่นแรงไปไหมวะเจเรมี หมอนี่ก็แค่ล้อเล่น!”

จะล้อเล่นหรืออะไรก็ไม่รู้ล่ะ ที่รู้ๆ คือตอนนี้เจเรมีดูน่ากลัวชะมัดเลย รังสีความอาฆาตมาดร้ายแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาราวกับหนังการ์ตูนอะไรอย่างนั้น และก็ยิ่งทวีความน่ากลัวมากขึ้นไปอีกเมื่อจู่ๆ ริมฝีปากหนาก็ยกยิ้มขึ้น
“งั้นฉันก็จะเล่นกับพวกแกหน่อยก็แล้วกัน!”

จากนั้นก็พุ่งเข้าไปยกขาถีบเข้าเต็มๆ ใบหน้าของเจ้าของประโยคก่อนหน้า เลือดสดๆ กลบปากของอีกฝ่ายหลังจากถูกพื้นรองเท้าบูทหนักๆ กระแทกเข้าให้

การกระทำนั้นทำให้คนทั้งคลาสแตกตื่น ส่งเสียงโหวกเหวกกันลั่น อัลเบิร์ตเองยังถลึงตาโพลงด้วยความตกใจ หันไปมองเจเรมีหมายจะห้ามแต่ก็ต้องชะงักกึก เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มหยันจากเพื่อนสนิท

รอยยิ้มนั่น...เป็นรอยยิ้มของพญามัจจุราชอย่างแท้จริง!

เพราะไม่ได้เอ่ยปากห้าม เจเรมีจึงทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก ถลาเข้าไปถีบเพื่อนของธีโอให้ออกห่างคู่อริของเขาเป็นการเคลียร์พื้นที่ ก่อนจะหันกลับมาคว้าเก้าอี้นั่งที่มีขาเป็นเหล็กขึ้นในมือ

อัลเบิร์ตเห็นท่าไม่ดี ได้สติก็รีบออกปากทันควัน
“เจมี่! อย่า...”
แต่ไม่ทันแล้วเมื่อเจเรมีแผดเสียงขึ้น
“ดีอย่าบอกใครงั้นเหรอ! ถ้าแกจมกองเลือดตายแทบเท้าฉันมันดีกว่าไปเสพสมกับโอเมก้าบนเตียงอีกเว้ย!”
ตามด้วยเหวี่ยงเก้าอี้ตัวนั้นใส่ร่างของธีโอเต็มกำลัง เสียงดังพลั่กเมื่อของแข็งกระทบผิวเนื้อสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว และตามมาอีกหลายต่อหลายครั้งท่ามกลางเสียงร้องโอดโอยของคนถูกกระทำที่เปล่งออกมาไม่หยุด

ไม่แน่ใจนักว่าถูกกระหน่ำทุบตีไปกี่ครั้ง...
ไม่แน่ใจว่าธีโอร้องดังเท่าไหร่...
เสียงที่ดังให้ได้ยินนั้นเป็นเสียงของอะไรบ้าง...
เสียงเหล็กกระทบเนื้อ?
เสียงร้องของธีโอ?
เสียงกระดูกบางส่วนแตกหัก?

ไม่มีใครแน่ใจได้เลยนอกจากได้ยินเสียงหัวเราะของปีศาจคุ้มคลั่งซึ่งอาละวาดตรงหน้า

มีเพียงอัลเบิร์ตคนเดียวที่กล้าเข้าไปรั้งเจเรมีโดยใช้แรงทั้งหมดที่มี หากแต่ก็ถูกสะบัดหลุดจนล้มคว่ำไปอีกทาง คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือมาช่วยสักคน ยิ่งเห็นใบหน้าบอบช้ำและกองเลือดของธีโอด้วยแล้วก็พากันถอยกรูดไปหลบอยู่มุมห้อง มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่รีบวิ่งไปตามใครสักคนมาจัดการเรื่องนี้ให้ทันท่วงที

ทว่า...เหมือนจะช้าไปสักหน่อยสำหรับชะตากรรมของธีโอที่ใกล้จะขาดอยู่รอมร่อ เขาถูกเก้าอี้ฟาดจนเกือบแน่นิ่งไปแล้ว หากแต่ยังมีสติอยู่ แน่นอนว่าเจเรมีไม่ยอมให้อีกฝ่ายสลบไปเร็วนัก โยนเก้าอี้ในมือทิ้งดังเคร้ง หอบหายใจออกมา ยืนดูผลงานของตัวเองครู่หนึ่ง พลันใบหน้าก็แสยะยิ้ม

“คนอย่างแกเวลานอนหมดท่าแทบเท้าฉันแบบนี้ก็ดีไม่ใช่น้อยเหมือนกัน”
ธีโอรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเจเรมีไม่หยุดแค่นี้แน่ ที่ผ่านมาเมื่อครู่มันก็แค่การเริ่มต้น ดูสายตาของวายร้ายคนนั้นสิ อยากจะฆ่าเขาเต็มแก่แล้ว และมันต้องเป็นวิธีที่ทรมานสุดๆ แน่ ทางที่ดีควรรีบทำให้เจเรมีใจเย็นลง

“พะ...พอแล้ว ฉะ...ฉันขอ...”
ตั้งท่าจะขอโทษ หวังว่าเจเรมีจะบรรเทาความกรุ่นโกรธลง หากแต่พูดไม่ทันจบประโยค ใบหน้าก็ถูกเตะเสยจนฟันบนและล่างกระทบกันดังกึ้ก

“เก็บปากนายไว้เสวนาในนรกเถอะไอ้สวะ”
จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งคร่อมร่างของธีโอ มือหนึ่งกระชากคอเสื้อคนที่เกือบจะสลบขึ้นมา อีกมือกระหน่ำต่อยเข้าที่ใบหน้า ระบายความขุ่นแค้นออกมาโดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจอะไรทั้งสิ้น

อัลเบิร์ตกระโจนเข้าไปกอดเจเรมีจากทางด้านหลัง ปากร้องห้ามลั่น
“เจมี่! หยุด! พอได้แล้ว เดี๋ยวมันตายนะ!”

เจเรมีหยุด... หยุดจริงหากแต่เพียงเป็นการหยุดชั่วคราวแล้วหันมาเหยียดยิ้มให้กับอัลเบิร์ต
“ฉันจะฆ่ามันให้ตายคามือ นายไม่ต้องห่วง”

สาบานได้เลยว่าเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้ขนลุกที่สุดเท่าที่เคยเห็นคนตรงหน้ายิ้มมา

“ไสหัวไปไกลๆ ถ้าไม่อยากให้ฉันอารมณ์เสียมากกว่าเดิม”

อัลเบิร์ตไม่กล้าห้ามอะไรโดยฉับพลัน ยิ่งมีคำสั่งหลุดออกจากริมฝีปากก็ปล่อยมือออก ทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง นั่งมองเพื่อนตัวเองที่หันไปจัดการกับธีโอต่อจนอีกฝ่ายสลบไป มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอของเจเรมีเท่านั้นที่ดังขึ้น...

ดังก้องไปทั่ว...

ความเลวร้ายกว่าการที่เจเรมีรู้ตัวว่าตัวเองเป็นโอเมก้าโดยไม่ได้ตั้งใจก็คือการที่เขาสติแตกแล้วแปรสภาพเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์

เจเรมี...
จะเป็นคนเลวร้ายสุดกู่มากเกินไปแล้ว!
---------------------------------------------
มาแล้ววว หลังจากหายหน้าหายตาไปหลายวัน
หลังจากนี้จะหายไปอีกเป็นระยะๆ ค่ะเพราะต้องไปเขียนเรื่องอื่นส่ง สนพ.ให้ทันกำหนดก่อน
แต่ตอนนี้บอกได้เลยว่าขุ่นคริสน่ารักมาก อย่าแกล้งน้องเจมี่~~ 555
ท้ายๆ ตอนนี้เจมี่สติแตกมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอัพตัวอย่างตอนต่อไปให้นะคะ
ฝากฟีดแบ็กให้กันด้วยน้า XD
ปล.เปลี่ยนแท็กในทวิตนิดหน่อยจาก #เจมี่คริส เป็น #คริสเจมี่ นะคะ ตอนตั้งเมาไปหน่อย เอาเคะขึ้นเฉย ต่อไปใช้ตามนี้เน้อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-01-2017 01:40:46 โดย NooDangzz »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด