พิมพ์หน้านี้ - [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2017 05:46:12

หัวข้อ: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2017 05:46:12
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะค่ะ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะค่ะ
สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้าม มิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอ ให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่ นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อ ความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
********************************************************************************************
Omega’s Instinct สัญชาตญาณดิบ

โลกใบนี้ถูกกำหนดด้วยชนชั้น... ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง ทว่าชนชั้นไม่ได้ถูกแบ่งแยกโดยชาติตระกูล ทว่าแบ่งแยกโดย ‘เพศ’

อัลฟ่า [ α ] ...ชนชั้นสูงที่มีสิทธิ์แทบจะในทุกอย่าง
เบต้า [ β ] ...ชนชั้นกลางที่มีชีวิตล่องลอยไปวันๆ
โอเมก้า [ Ω ] ...ชนชั้นล่างที่แทบจะไม่ถูกเรียกว่ามนุษย์

...เศษสวะในสังคม ชิ้นเนื้อไร้ค่าที่สังคมตัดทิ้งไม่ได้จึงต้องเอาไปใช้ประโยชน์ในการเล่นสนุกของเหล่าชนชั้นสูงที่เรียกว่า ‘เกม’

เมื่อคนที่เกิดมาในชนชั้นสูงอย่าง ‘เจเรมี เมอร์ซี’ บุตรชายโทนของหนึ่งในตระกูลผู้นำเกิดอาการฮีท ความจริงที่ว่าเขาเป็นโอเมก้า ไม่ใช่อัลฟ่าทำให้เขาถูกลดลำดับชนชั้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมวายร้ายอย่างเขาจะไปยืดอกยอมรับได้อย่างไร ความดื้อดึงทำให้คนที่พยายามปกป้องเขาถูกจับเป็นตัวประกัน เจเรมีจึงต้องกระโจนลงไปในเกมที่มีชีวิตเป็นเดิมพันอย่างไร้ทางเลือก การตัดสินใจบ้าคลั่งนั้นทำให้เขาได้เจอกับ ‘คริส ฟ็อกซ์’ อัลฟ่าตระกูลผู้นำจากแดนอื่นที่ถูกจองจำในข้อหากบฏ เป้าหมายของคริสมีอย่างเดียวคือแย่งชิงโอเมก้ามาเป็นของตัวเองให้ได้ ชัยชนะจะทวงคืนอิสระของเขาที่ถูกริดรอนไปแต่การครอบครองโอเมก้าอย่างเจเรมีนั้นไม่ง่ายเลย

…เหมือนกำลังสู้กับปีศาจอยู่ก็ไม่ปาน

เจเรมีจะเลือกฆ่าทุกคนเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ หรือยอมตกเป็นสมบัติของอัลฟ่าสักคนเพื่อแลกกับชีวิตของคนที่รัก เป็นสิ่งที่ใครก็คาดเดาไม่ได้จริงๆ...


********************************************************************************************

-Talks-

เรื่องนี้เป็นแนว Omegaverse ผสม Dystopia ค่ะ อยากเขียนแนวนี้บ้างเพราะเริ่มเบื่อแนวเดิมๆ เลยต้องขอลัดมาเขียนก่อน (ที่เหลือก็ดองไป ก๊ากกก) เรื่องนี้ได้ชื่อว่า omegaverse จริง แต่หนูแดงคงไม่เอ่ยถึงเรื่องท้องหรืออะไรมาก (หรืออาจจะมีเอ่ยถึงในตอนพิเศษ ขอดูอีกทีเพราะเนื้อเรื่องหลักไม่เอื้อให้เอ่ยถึงเลยค่ะ) ธีมเรื่องหลักๆ จะออกแนว Survival หน่อย นายเอกค่อนข้างจะบุคลิกแตกต่างจากที่หนูแดงเคยๆ เขียนมานิดนึง ใครชอบนายเอกบุคลิกเหมือนวายร้ายก็เข้าทางค่ะ ส่วนพระเอกก็คงหล่อไปวันๆ 555 คิดว่าเรื่องนี้น่าจะงานกล้ามๆ

ขอฝากฝังผลงานอีกเรื่องไว้ด้วยนะคะ ^^

ทวิตเตอร์ติดแท็ก #คริสเจมี่ นะคะ

********************************************************************************************

สารบัญ

Info. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3554237#msg3554237)
Prologue (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3554238#msg3554238)
Episode 01: จอมวายร้าย[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3554240#msg3554240)
Episode 01: จอมวายร้าย[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3554241#msg3554241)
Episode 02: โรคพันธุกรรมบกพร่อง[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3554704#msg3554704)
Episode 02: โรคพันธุกรรมบกพร่อง[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3554705#msg3554705)
Episode 03: คู่แห่งโชคชะตา[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3555369#msg3555369)
Episode 03: คู่แห่งโชคชะตา[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3555371#msg3555371)
Episode 04: ความเลวร้ายของการเป็นโอเมก้า[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3559205#msg3559205)
Episode 04: ความเลวร้ายของการเป็นโอเมก้า[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3559208#msg3559208)
Episode 05: แสงสะท้อนกลับ[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3562644#msg3562644)
Episode 05: แสงสะท้อนกลับ[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3562645#msg3562645)
Episode 06: รส กลิ่น สัมผัส[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3566482#msg3566482)
Episode 06: รส กลิ่น สัมผัส[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3566483#msg3566483)
Episode 07: โอเมก้าเถื่อน[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3573286#msg3573286)
Episode 07: โอเมก้าเถื่อน[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3573290#msg3573290)
Episode 08: นักโทษเดนตาย[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3580497#msg3580497)
Episode 08: นักโทษเดนตาย[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3581373#msg3581373)
Episode 08: นักโทษเดนตาย[3] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3581375#msg3581375)
Episode 09: ความคุ้มคลั่งของอัลฟ่า[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3581753#msg3581753)
Episode 09: ความคุ้มคลั่งของอัลฟ่า[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3582161#msg3582161)
Episode 10: รอยแดงช้ำบนต้นคอ[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3584753#msg3584753)
Episode 10: รอยแดงช้ำบนต้นคอ[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3585598#msg3585598)
Episode 11: เกมชีวิต[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3587533#msg3587533)
Episode 11: เกมชีวิต[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3587959#msg3587959)
Episode 12: หมากกระดาน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3589093#msg3589093)
Episode 13: สัญชาตญาณดิบ[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3590446#msg3590446)
Episode 13: สัญชาตญาณดิบ[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3590447#msg3590447)
Episode 14: การกลับมาของจอมวายร้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3591295#msg3591295)
Episode 15: ยาระงับอาการฮีทชั้นดี[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3592234#msg3592234)
Episode 15: ยาระงับอาการฮีทชั้นดี[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3592235#msg3592235)
Episode 16: ไม่มีที่มากพอสำหรับโอเมก้าสองคน[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3592845#msg3592845)
Episode 16: ไม่มีที่มากพอสำหรับโอเมก้าสองคน[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3593602#msg3593602)
Episode 17: แรงจูงใจในการฆ่า[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3594723#msg3594723)
Episode 17: แรงจูงใจในการฆ่า[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3594725#msg3594725)
Episode 18: กฎมีไว้ให้แหก[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3595728#msg3595728)
Episode 18: กฎมีไว้ให้แหก[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3595731#msg3595731)
Episode 19: ฉันจะไม่มีวันทิ้งนาย[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3597807#msg3597807)
Episode 19: ฉันจะไม่มีวันทิ้งนาย[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3597808#msg3597808)
Episode 20: ความกังวลไม่มีสิ้นสุด[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3598913#msg3598913)
Episode 20: ความกังวลไม่มีสิ้นสุด[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3599165#msg3599165)
Episode 21: ความลับของเด็กหนุ่ม[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3599668#msg3599668)
Episode 21: ความลับของเด็กหนุ่ม[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3599968#msg3599968)
Episode 22: หัวใจของฉัน...มันเต้นเพื่อนาย[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3601614#msg3601614)
Episode 22: หัวใจของฉัน...มันเต้นเพื่อนาย[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3601617#msg3601617)
Episode 23: รุกฆาต[1] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3602126#msg3602126)
Episode 23: รุกฆาต[2] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3602956#msg3602956)
Epilogue (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3603485#msg3603485)
Extra (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3603592#msg3603592)
[ตัวอย่าง]Special Episode 01: ของขวัญที่ดีที่สุดของคุณปู่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3603893#msg3603893)
[ตัวอย่าง]Special Episode 02: บทเรียนของว่าที่คุณพ่อ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3603899#msg3603899)
[ตัวอย่าง]Special Episode 03: แผนเผด็จศึก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3603900#msg3603900)
[ตัวอย่าง]Special Episode 04: เจคอบ ฟ็อกซ์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57260.msg3603901#msg3603901)
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.01[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2017 05:49:08
Info.

แนะนำตัวละคร

เจเรมี เมอร์ซี

§  บุตรชายโทนตระกูลเมอร์ซี หนึ่งในตระกูลชนชั้นอัลฟ่าที่มีบทบาทในการควบคุมอำนาจการปกครองของทุกอาณาเขตประจำมหานครเพิร์ล
§  ชายหนุ่มวัยยี่สิบปี ผมสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าสว่าง เพศโอเมก้า (ที่เข้าใจมาตลอดว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า)
§  ได้ชื่อว่ามีรูปโฉมงดงามราวกับเทพบุตร ทว่านิสัยที่แท้จริงร้ายกาจไม่ต่างอะไรจากปีศาจร้าย เจ้าเล่ห์เพทุบาย ทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ
§  เชื่อมั่นว่ากฎมีไว้ให้แหก ความเชื่อที่เป็นบรรทัดฐานของสังคมมีไว้ให้ตั้งคำถาม การที่เขาคิดต่างจากคนอื่นไม่ได้เรียกว่าก้าวร้าวแต่เรียกว่าหัวก้าวหน้า ทว่าถ้าใครคิดต่างจากเขา เขาถือว่าเป็นศัตรูทั้งสิ้น
 
คริส ฟ็อกซ์

§  บุตรชายคนเล็กของตระกูลฟ็อกซ์ หนึ่งในตระกูลชนชั้นอัลฟ่าที่มีบทบาทในการปกครองแห่งอาณาเขตการปกครองพิเศษดีออน ซึ่งเป็นหนึ่งในอาณาเขตใต้การควบคุมของมหานครเพิร์ล
§  ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้า ผมสีแดง ดวงตาสีดำ ผิวสีแทน เพศอัลฟ่า
§  ทายาทตระกูลฟ็อกซ์ที่มีอนาคตไกล แต่ถูกจับในข้อหากบฏเสียก่อนเนื่องจากบิดาไม่ยอมอ่อนข้อให้กับมหานครเพิร์ลที่พยายามจะริดรอนอำนาจของอาณาเขตให้อยู่ใต้การควบคุม ถูกจองจำอยู่ในมหานครเพิร์ลร่วมสองปี
§  เป้าหมายคือกอบกู้อิสรภาพให้กับประชาชนของอาณาเขตในฐานะทายาทตระกูลผู้ปกครอง ทำอย่างไรก็ได้ให้มีชีวิตรอดกลับไปทวงความยุติธรรมให้วงศ์ตระกูล
 


รายละเอียดทั่วไป

เมือง


§  มหานครเพิร์ล

ศูนย์รวมอำนาจการปกครองของทุกอาณาเขต สมัยก่อนถูกเรียกเป็นอาณาเขตเช่นเดียวกัน แต่ตระกูลผู้ปกครองทั้งสี่ของอาณาเขตได้รุกรานอาณาเขตอื่นและรวบรวมเอาเขตต่างๆ มาอยู่ใต้การปกครองโดยเรียกอาณาเขตที่อยู่ใต้การปกครองว่าอาณาเขตการปกครองพิเศษ จากนั้นก็สถาปนาอาณาเขตตัวเองเป็นมหานครเพิร์ล

§  อาณาเขตการปกครองพิเศษดีออน
ก่อนหน้าเป็นอาณาเขตอิสระ ไม่ขึ้นตรงกับอาณาเขตใด ภายหลังถูกรุกราน เมื่อพ่ายแพ้ ตระกูลผู้นำจึงถูกยัดข้อหากบฏ บางส่วนถูกสังหาร บางส่วนถูกจองจำ ก่อนจะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาเขตการปกครองพิเศษดีออน การปกครองขึ้นตรงต่อมหานครเพิร์ล
 
ชนชั้นในสังคม

ชนชั้นในสังคมของมหานครเพิร์ลมีอยู่สามลำดับขั้น ได้แก่ ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นล่าง ถูกแบ่งแยกด้วยเพศสภาพ ไม่ใช่ต้นกำเนิด ได้แก่

§  ชนชั้นสูง หรืออัลฟ่า [ α ]

กลุ่มประชากรส่วนน้อย ถือว่าเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์ชน มีสิทธิ์ทุกอย่างในมหานคร เป็นชนชั้นที่ควบคุมอำนาจการปกครองหรือกุมอำนาจในการบริหารจัดการธุรกิจห้างร้านรายใหญ่ของมหานคร อัลฟ่าถือว่าตัวเองเป็นพวกเลือดบริสุทธิ์ จะไม่แต่งงานกับชนชั้นอื่น สำหรับโอเมก้าที่มีผลต่อการดึงดูดของอัลฟ่าจะเป็นได้แค่ของเล่นทางเพศหรือเครี่องผลิตทายาทสำหรับตระกูลที่ไม่สามารถมีบุตรได้เท่านั้น หากเด็กออกมาเป็นอัลฟ่าจะเก็บเอาไว้ หากเป็นโอเมก้าจะถูกสังหารทิ้งหรือใช้เป็นหมากในการเล่นเกมที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่อัลฟ่า

§  ชนชั้นกลาง หรือเบต้า [ β ]

เป็นประชากรส่วนใหญ่ของมหานคร สถานะเป็นประชาชนในโครงสร้างทางสังคม เป็นเพศที่มีการสืบพันธุ์ตามปกติ ไม่มีปฏิกิริยาดึงดูดต่อฟีโรโมนของโอเมก้าและไม่มีแรงดึงดูดต่ออัลฟ่า

§  ชนชั้งล่าง หรือโอเมก้า [ Ω ]

ประชากรชนชั้นล่างของสังคม มีจำนวนน้อยที่สุดในบรรดาชนชั้นทั้งหมดเนื่องจากอัตราการเกิดต่ำ มีสถานะไม่ต่างอะไรจากสิ่งของ สามารถซื้อขายได้ราวกับทาส เป็นสินค้าราคาแพงของเหล่าอัลฟ่าสำหรับการละเล่นต่างๆ การสังหารโอเมก้าในครอบครองไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย โอเมก้าเพศชายสามารถตั้งครรภ์ได้ ในช่วงฮีทซึ่งจะเกิดขึ้นเดือนละหนึ่งครั้งจะปล่อยฟีโรโมนออกมาในปริมาณที่สูง สามารถดึงดูดอัลฟ่าได้เป็นอย่างดี ในบางครั้งจึงต้องมีการควบคุมด้วยการใช้ยาระงับอาการฮีทเพื่อไม่ให้อัลฟ่าทะเลาะวิวาทด้วยคดีแย่งชิงโอเมก้ากัน
------------------------------------
ข้อมูลคร่าวๆ ค่ะ แปะให้อ่านทำความเข้าใจก่อน ที่เหลือไปรออ่านในเนื้อเรื่องอีกทีเพราะถ้าอธิบายตรงนี้แล้วมันจะยาวมากกก

บอกไว้ก่อนว่า omegaverse ของหนูแดงก็ตามสไตล์หนูแดงแหละนะ อิงมาแค่เรื่องการแบ่งแยกเพศ ที่เหลือก็หนูแดงกำหนดกฏเกณฑ์เองค่ะ ระบอบปกครองด้วยนักเขียน เขียนตามใจฉัน 555 ดังนั้นถ้ามีใครมาแย้งว่าโอเมก้าเวิร์สต้องเป็นงี้ๆๆ อิงจากตามมังงะหรือนิยายเรื่องอื่นที่เคยอ่านมา ฯลฯ หนูแดงขออนุญาตปล่อยผ่านนะคะเพราะหนูแดงกำหนดของตัวเองมาอย่างนี้อะ กำหนดมาแบบไหนก็จะเขียนไปตามที่ตัวเองกำหนดเน้อ XD

ใครชอบแนวนี้ ขอฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ^^.
ปล.ทวิตเตอร์ติดแท็ก #เจมี่คริส นะคะ
     
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.01[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2017 05:52:39
Prologue

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม…
มีความหลากหลาย
มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง
บางครั้งความหลากหลายเหล่านั้นก็ก่อให้เกิดปัญหา

หนทางที่จะขจัดปัญหาเหล่านั้นออกไป ดูเหมือนจะมีเพียงหนทางเดียว... ควบคุมระบบความคิดของมนุษย์ให้ไปในทิศทางเดียวกัน

การจำแนกลักษณะทางกายภาพของมนุษย์จึงถือกำเนิดขึ้น การจัดลำดับทางชนชั้นเพื่อให้สมาชิกในสังคมปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ที่พึงมีของตนถูกนำมาใช้เป็นรากฐานในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม

การผลักดันให้กลุ่มคนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นตัวปัญหาหลักของสังคมลงไปอยู่ชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหารเป็นเรื่องที่ควรกระทำ กลุ่มคนที่มีจำนวนมากหากทว่าไร้ความสามารถถูกนับเป็นประชากรส่วนใหญ่ ขณะที่กลุ่มคนจำนวนเกือบจะน้อยที่สุดทว่ามีความสามารถมากมีอำนาจในการถือครองสิทธิ์และควบคุมปัจจัยต่างๆ ทุกรูปแบบความคิดที่กลั่นกรองออกจากมันสมองของคนกลุ่มนี้ แน่นอนว่าเป็นความคิดที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเสริฐที่สุดแล้วสำหรับทุกชีวิต

ทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติตาม...
ทุกคนจำเป็นต้องยอมรับอย่างไร้เงื่อนไข...
การกระทำตามบทบาทหน้าที่ทุกอย่างต้องไปในแนวทางเดียวกันตามสถานะทางสังคมของตนเอง…
ทั้งหมดก็เพื่อ...ความสงบเรียบร้อย

หากแต่การจัดลำดับชนชั้นของกลุ่มคนจากยอดพีระมิดออกจะแปลกเสียหน่อย พวกเขาไม่ได้วัดค่าคนจากความสามารถหรือการจำแนกบุคคลจากต้นกำเนิดและวงศ์ตระกูล หากแต่เป็น...

...เพศ

ในโลกนี้มีเพศสรีระที่มองเห็นได้ด้วยตาอยู่สองลักษณะซึ่งก็คือเพศชายและเพศหญิง ทว่าเพศที่เป็นเครื่องมือในการแบ่งชนชั้นกลับเป็นเพศอีกรูปแบบหนึ่งที่แยกออกมาจากเพศสรีระ

อัลฟ่า [ α ] ...เพศที่ถือครองสิทธิ์ทุกอย่างในสังคม ความสามารถอันโดดเด่นทำให้ได้รับการยกย่องเป็นชนชั้นสูงของสังคม

เบต้า [ β ] ...เพศส่วนมากของประชากรทั่วไป ชนชั้นกลางของสังคมที่มีชีวิตตามครรลองที่อัลฟ่ากำหนดให้

และโอเมก้า [ Ω ] ...เพศที่ถูกบีบให้เป็นชนชั้นล่างและแทบจะไม่ถูกเรียกว่ามนุษย์ด้วยถูกขนานนามว่าเป็น ‘ตัวปัญหาของสังคม’
ชนชั้นสุดท้ายที่ถูกเรียกว่าเป็นตัวปัญหาเป็นเพราะเหล่าอัลฟ่าเห็นว่าพวกโอเมก้ามีอำนาจบางอย่างที่ได้จากธรรมชาติในการทำให้อัลฟ่าแตกคอกันเอง ในภาษาทางการเรียกว่าการ ‘เป็นฮีท (Heat)’ อาการเรียกร้องการผสมพันธุ์ซึ่งจะมีการปล่อยฟีโรโมนออกมา และสารเคมีจากร่างกายของโอเมก้านั้นมีผลต่อปฏิกิริยาคุ้มคลั่งของอัลฟ่า

กี่ทศวรรษแล้วที่เหล่าอัลฟ่าต้องเปิดศึกนองเลือดฆ่ากันเองเพียงเพราะแย่งชิงโอเมก้า เพื่อไม่ให้เสียบุคลากรในกลุ่มอัลฟ่าไป ดังนั้นการจำกัดการขยายพันธุ์ของโอเมก้าจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด

การกวาดล้างครั้งใหญ่ก่อกำเนิดขึ้น เด็กที่เกิดมาพร้อมกับเพศนี้มักจะถูกสังหารตั้งแต่ลืมตาเป็นทารก หากแต่ในระยะหลัง การสังหารเริ่มจะเบาบางลงเมื่อมีเรื่องของเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้อง

จาก ‘สิ่งมีชีวิตที่ควรกำจัด’ กลายเป็นชิ้นเนื้อไร้ค่าที่มีดีแค่ตอบสนอง ‘ความต้องการ’ ให้กับอัลฟ่าเท่านั้น มีหลายครั้งเช่นกันที่กลายเป็น ‘เครื่องจักรผลิตทายาท’

ใช่... เพศโอเมก้า ไม่ว่าจะสรีระเป็นชายหรือหญิงต่างสามารถให้กำเนิดทายาทได้ หากแต่ถ้าตั้งท้องให้กับอัลฟ่าแล้วเด็กที่เกิดมาเป็นโอเมก้า ชีวิตเล็กๆ นั่นจะไม่ได้รับการไยดี ถูกสังหารหรือส่งขายทอดตลาดทาสก็เป็นเรื่องที่อัลฟ่าผู้เป็นเจ้าของจะตัดสินใจ
ถึงจะเป็นผู้สืบสายเลือด แต่ถ้าหากเป็นโอเมก้าแล้ว ชนชั้นสูงอย่างอัลฟ่าก็ไม่มีทางยอมรับ

สายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะได้รับการนับญาติ แม้ความจริงจะเกิดจากเศษสวะชั้นต่ำของสังคม แต่อัลฟ่าก็คืออัลฟ่า และอัลฟ่าก็จะไม่มีทางเป็นโอเมก้าเด็ดขาด

ไม่มีวัน...





 
บทเรียนในชั้นเรียนของสถาบันพัฒนาบุคลากรของชนชั้นสูงแห่งมหานครเพิร์ลสร้างความน่าเบื่อหน่ายให้กับชายหนุ่มผมสีบลอนด์ไม่น้อย เขาจำไม่ได้ดีนักว่าตนได้ยินผู้เป็นอาจารย์สาธยายความสูงส่งของอัลฟ่าและสาเหตุที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นมากี่ครั้งแล้ว แต่จำได้ว่าได้ยินเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่จำความได้ ระบบความคิดว่าอัลฟ่าเป็นเพศที่สูงส่ง ส่วนโอเมก้าเป็นเพศที่ต่ำช้าเข้าหูเขานับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งเขาไม่เห็นว่ามันจะสมเหตุสมผลตรงไหนเลย นอกจากคิดว่ามันไม่ยุติธรรม

ถูกแล้ว... ไม่ยุติธรรมสำหรับพวกโอเมก้าหรือแม้แต่เบต้าที่เรียกได้ว่าเป็นแรงงานสำคัญของมหานครเอง ถึงระบบความคิดนี้มันจะเอื้อให้อัลฟ่าอย่างเขาได้รับผลประโยชน์สูงสุด แต่หากมองในมุมของเขาแล้ว เขาคิดว่าถึงความยุติธรรมจะมีไม่เท่าเทียมกัน อย่างน้อยพวกโอเมก้าก็สมควรได้รับการมองว่าเป็น ‘มนุษย์’ บ้าง ไม่ใช่เครื่องมือผลิตทายาท สิ่งของบำบัดความใคร่ หรือของเล่นในเกมปัญญาอ่อนอย่างที่เขาเห็นตรงหน้านี้

ดวงตาสีฟ้าสว่างกลอกขึ้นบนเล็กน้อยเมื่อเห็นโอเมก้าชายคนหนึ่งในสภาพเปลือยท่อนบนถูกมัดติดกับเก้าอี้หน้าชั้นเรียน สีหน้าของอีกฝ่ายดูทุกข์ทรมาน เนื้อตัวแดงเรื่อให้พอรู้ได้ว่าเลือดภายในสูบฉีดเพียงใด ดวงตาเรียวปรือ ดูท่าอีกไม่นานนี้สติสัมปชัญญะคงจะหลุดเป็นแน่

“เพราะโอเมก้ามีกลิ่นฟีโรโมนที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศซึ่งมีผลต่ออัลฟ่าโดยตรง เราจึงจำเป็นต้องควบคุมจำนวนอย่างที่พวกคุณรู้กันเพราะไม่อย่างนั้นมันจะเป็นปัญหา ผมเชื่อว่าพวกคุณบางคนคงจะเคยเห็นโอเมก้ามากันบ้าง แต่บางคนอาจจะไม่เคยรู้ว่าฤทธิ์ของกลิ่นฟีโรโมนมันรุนแรงขนาดไหน ต่อให้พวกคุณอัดยาต่อต้านการตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าเข้าไป แต่ถ้าโอเมก้าปล่อยฟีโรโมนออกมาถึงขีดสุด ยาอะไรก็ยากที่จะระงับ เหมือนอย่างตอนนี้ที่ผมให้ยากระตุ้นฟีโรโมนกับโอเมก้าเข้าไป พวกคุณจะรู้สึกตื่นเต้นโดยไม่มีสาเหตุ ส่วนโอเมก้าก็จะมีอาการประมาณนี้”

ผู้สอนประจำคลาสอธิบายพลางใช้เลเซอร์พอยเตอร์ส่องไปยังร่างกายของโอเมก้าคนนั้น ขณะที่บรรดานักศึกษาในชั้นเรียนที่ผ่านการทานยาต่อต้านการตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าเข้าไปแล้วมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเล็กน้อยเมื่อจมูกได้กลิ่นหอมหวานแปลกๆ ลอยโชยมา อัลฟ่าเพศชายบางคนมีอาการตอบสนองขึ้นมาเล็กน้อยด้วยซ้ำ

สายตาของหนุ่มผมบลอนด์เหลือบไปมองยังคนข้างๆ เห็นเป้ากางเกงของคนคนนั้นมีรอยนูน ก็พลันหัวเราะหึในลำคอ

น่าสมเพช!

อาจจะมีแค่เขาคนเดียวที่คิดว่าสังคมที่เขาอยู่ แนวความคิดที่เขาถูกยัดเยียดฝังหัวมันเป็นเรื่องทุเรศ

“ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบางครั้งพวกเราต้องกำจัดพวกโอเมก้า เพื่อรักษาจำนวนของอัลฟ่าและความสงบสุขของสังคมเอาไว้ ต่อให้การกระทำนั้นมันโหดร้ายไปหน่อยก็ต้องทำ”

พอได้ยินศาสตราจารย์อธิบายต่ออย่างนั้น คนที่มองเหตุการณ์นั้นอยู่ตลอดก็ผินหน้าหนี ยกแขนขึ้นเท้าคาง ทำหูทวนลมด้วยความระอา

รักษาความสงบสุขของสังคมงั้นเหรอ? ตั้งแต่เกิดมาเห็นจะมีแต่อัลฟ่านี่แหละที่รังแกโอเมก้า ไม่เคยเห็นโอเมก้าคนไหนก่อความวุ่นวายเลย ดูอย่างตอนนี้สิ ก็มีแต่โอเมก้าที่ถูกรังแก ไหนว่าเป็นตัวปัญหาไง ย้อนแย้งชะมัด

แนวความคิดทุเรศจนไม่อยากจะได้ยินได้ฟังอีก หากแต่ปฏิเสธไปก็เท่านั้นเมื่อผู้สอนเห็นว่าลูกศิษย์ในคลาสคนหนึ่งออกอาการเมินต่างจากคนอื่นๆ ที่ตื่นเต้นกันจนเนื้อตัวสั่น

 “ตั้งใจฟังหน่อยคุณเมอร์ซี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่คลาสของผมจะพาโอเมก้าตัวเป็นๆ มาให้พวกคุณศึกษาอย่างใกล้ชิดได้”
คนถูกเรียกว่าเมอร์ซี หรือชื่อเต็มๆ เจเรมี เมอร์ซี เหลือบสายตากลับไปมองยังชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่กลางห้อง คำพูดนั้นทำให้เขาต้องแสยะยิ้มออกมา

“ก็คุณไม่พาเขาออกมาจากห้องนอนของคุณ แล้วผมจะได้ศึกษาใกล้ชิดได้ไงล่ะศาสตราจารย์ วันหลังก็รู้จักพาเขาออกจากห้องบ้าง ไม่ใช่ให้อยู่แต่บนเตียง”

คนถูกย้อนหน้าม้าน จริงอยู่ที่โอเมก้าซึ่งใช้เป็นตัวอย่างในการศึกษาเป็น ‘คนของเขา’ แต่จะเป็นไปเพื่ออะไรนั้นก็ไม่เห็นจะต้องพูดออกมาเลยนี่ รู้กันอยู่แก่ใจแล้ว การพูดออกมาโต้งๆ แบบนี้มันไร้มารยาทชะมัด

“ระวังคำพูดด้วยคุณเมอร์ซี สำหรับผม เขาก็แค่เพื่อการศึกษา”
“ก็ระวังอย่าหักโหมแล้วกันครับ คุณอายุมากแล้ว” เจเรมียังคงยอกย้อน

ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่ได้สอน ชายหนุ่มคนนี้มักแสดงท่าทางกระด่างกระเดื่องออกมาทุกที ต่างจากอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่เห็นดีเห็นงามด้วย และก็ไม่ใช่กับเขาคนเดียวด้วย กับผู้สอนคนอื่นๆ ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน แต่ก็ไม่แปลกใจนักเมื่อตระหนักได้ว่าคนคนนี้มาจากตระกูล ‘เมอร์ซี’

...ตระกูลหนึ่งในสี่ของกลุ่มผู้มีอำนาจในการปกครองมหานครแห่งนี้

ตระกูลที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ ของสภา

ถึงจะเป็นพวกชอบค้านกันตั้งแต่ต้นตระกูลยันรุ่นลูกหลาน กระนั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะมาอวดเบ่งในคลาสเรียนของเขาอย่างนี้ ก่อนที่ศาสตราจารย์จะยกมือขึ้นกอดอก พูดอย่างจริงจัง

“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณไม่ชอบหน้าผมเพราะอะไร แต่อยากจะขอแนะนำว่าคุณควรจะตั้งใจให้มากกว่านี้ ต่อให้เหม็นขี้หน้าหรือหัวข้อประวัติศาสตร์การปกครองของผมมันจะน่าเบื่อ มันก็เป็นสิ่งที่อัลฟ่าต้องเรียนรู้ไว้โดยเฉพาะคนที่มาจากตระกูลนักปกครองอย่างคุณ”

ใจก็แค่อยากจะเตือนให้อีกฝ่ายตระหนักถึงหน้าที่ของตน หากแต่เจเรมีไม่ได้สนใจสักนิด ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มพราย
“การสอนของคุณก็ไม่ใช่ว่ามันจะห่วยแตกหรอกนะ แต่ผมคิดว่าแนวความคิดการปกครองอะไรนั่นมันฟังดูล้าหลังไปหน่อย”
ถูกปรามาสไม่พอ ยังโดนลูบคม

คนฟังถึงกับหน้าตึง สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงแล้วถามออกมา
“ล้าหลังยังไง ลองพูดมาสิ”

อยากจะแลกเปลี่ยนความคิดงั้นเหรอ? ก็ได้... เขาจะลองรับฟังดูสักหน่อย อยากรู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มที่เอาแต่ต่อต้านไปเสียทุกเรื่องจะพูดอะไร

ในเมื่อเปิดโอกาส เจเรมีก็ยืดตัวขึ้น ว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“ผมคิดว่าไอ้ความคิดเรื่องโอเมก้าต้องถูกกำจัดถ้ามีปริมาณเยอะขึ้นมันทุเรศน่ะ เอาจริงๆ พวกนั้นมันก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเราใช่ไหมล่ะ ทำไมถึงถูกกำหนดให้เป็นเหยื่อ ในเมื่อเลือกเกิดไม่ได้ เลือกเพศก็ไม่ได้ ก็น่าจะมีสิทธิ์เลือกวิถีชีวิตตัวเองสิจริงไหม ผมว่าจริงๆ แล้วตัวปัญหาของสังคมอะไรที่คุณพูดนั่นไม่น่าจะใช่โอเมก้าด้วยซ้ำไปนะ แต่เป็นพวกอัลฟ่าอย่างคุณกับผมนี่แหละ”

เอาอีกแล้ว...

ศาสตราจารย์รำพึงในใจขึ้นมาทันที สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องที่เจเรมีมักพูดบ่อยๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถามอะไรทำนองนี้ และไม่ใช่กับเขาคนเดียวด้วย เจเรมีมักจะมีแนวความคิดต่อต้านสังคมแบบนี้เสมอ ตั้งแต่เขาเข้ามาศึกษาในสถาบันแห่งนี้ ก็ไม่เคยมีผู้สอนคนไหนรอดพ้นไปจากคำถามท้าทายเชิงต่อต้านสังคมเลยสักคน

แรกๆ ก็ตกใจ ผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าท้าทาย หลังๆ ชักกลายเป็นความน่ารำคาญละ เขาเองก็ไม่อยากจะตอบสักเท่าไหร่นักด้วยรู้ว่าถ้าตอบไปแล้ว คำถามอื่นๆ ต้องตามมาแน่ๆ จึงได้แต่เบนความสนใจไปเป็นการตักเตือน

“ความคิดต่อต้านสิ่งที่เป็นบรรทัดฐานของสังคมมันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะคุณเมอร์ซี”
“จะบอกว่าผมไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามต่ออะไรก็แล้วแต่ที่สังคมบอกว่าดีงั้นสิ?” เจเรมีเลิกคิ้วสูง สีหน้ากวนประสาทปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจน “โถ น่าเสียดาย นึกว่าคุณจะมีความสามารถพอที่จะตอบคำถามผมซะอีก”
คนมองต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะไม่หัวเสียกับคำพูดท้าทายของชายหนุ่มรุ่นลูกก่อนอธิบายออกไป
“ผมก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่สิ่งที่คนรุ่นก่อนคิดและวางแบบแผนให้มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว คุณไม่ต้องนึกสงสัยหรอก ถ้ามันไม่ดีจริงคงจะไม่ยึดถือปฏิบัติการมาหลายทศวรรษ”

การเลี่ยงที่จะตอบคำถามแบบขอไปทีทำให้เจเรมีพูดขึ้นมาลอยๆ
“คิดกันไปเองว่าดีล่ะสิไม่ว่า”

พูดแล้วก็จับจ้องยังใบหน้าของชายวัยกลางคนตรงหน้า คนอาวุโสกว่าไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเขามากนัก ต่อปากต่อคำไปก็รังแต่จะเสียเวลา ซ้ำยังจะทำให้อารมณ์เสีย ตอนนี้บรรยากาศในคลาสเรียนก็เริ่มจะกร่อยแล้วด้วย ตัดบทไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเลยจะดีกว่า

“จะคิดยังไงก็เอาเถอะคุณเมอร์ซี แต่ผมขอเตือนไว้อย่างนึง”
เจเรมีเลิกคิ้วสูง
“ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเสนอความเห็นอะไรที่มีแนวโน้มจะเอื้อผลประโยชน์ให้กับพวกโอเมก้า สำหรับตอนนี้น่ะอาจจะถามได้เพราะคุณกำลังศึกษาในสถาบัน แต่ถ้าคุณออกจากที่นี่ไปเมื่อไหร่ ไปพูดอะไรทำนองนี้ในชีวิตจริง ระวังจะใช้ชีวิตไม่ราบรื่นนะ อย่าลืมว่าคุณไม่ใช่โอเมก้า ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิ์ให้คนพวกนั้น ทำตามที่อัลฟ่าควรจะทำก็พอแล้ว”
ได้ยินแล้วก็ขัดใจ ทำไมล่ะ ในเมื่อเขาไม่เห็นด้วยก็อยากจะแสดงความคิดเห็นบ้างไม่ได้งั้นหรือ?

ขนาดในหมู่อัลฟ่าด้วยกันยังไร้ซึ่งความยุติธรรมในการใช้สิทธิ์เลยให้ตายสิ!

แต่คนอย่างเจเรมีไม่ใช่พวกที่จะหุบปากเงียบแล้วทำตัวสงบเสงี่ยมเชื่อฟังโดยง่าย ถูกตอกกลับมาอย่างนั้น เขาก็สวนคืนทันที
“แล้วถ้าผมเป็นคนพวกนั้น... เวลาเห็นผมแล้วคุณจะเกิดอาการติดสัดด้วยไหมล่ะศาสตราจารย์”
“พูดอะไรของคุณ”
คนถูกทักย่นคิ้ว ก่อนหน้ารู้สึกว่าถูกดูถูกแล้วนะ แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกดลงให้ต่ำมากกว่าอีก
เจเรมีไม่ตอบในทันที ค่อยๆ ไล่สายตาจากใบหน้าย่นยู่ลงมายังเป้ากางเกงของอีกฝ่ายแล้วพยักปลายคางเล็กน้อย
“ไอ้หนูของคุณน่ะออกอาการแล้ว เก็บอาการหน่อยครับศาสตราจารย์ ไม่จำเป็นต้องติดสัดตามผู้เรียน เอ หรือว่ามันจะเป็นเรื่องปกติของคุณ”

คำพูดอวดดีหลุดออกจากริมฝีปากหนา ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งความรู้สึกผิดที่พูดจาโอหัง ซ้ำยังยกยิ้มขึ้น ดูอย่างไรก็เป็นการยิ้มเย้ย และทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำมือแน่น จ้องเขาอย่างเกรี้ยวกราด

เห็นอย่างนั้น เจเรมีก็บิดตัวออกจากโต๊ะมาด้านข้าง อ้าขาออกกว้างแล้วชี้นิ้วไปยังส่วนกลางของลำตัว
“ว่าไงล่ะ ถ้าผมเป็นโอเมก้า เห็นผมทำท่าแบบนี้แล้วคุณจะออกอาการติดสัดไหม”
“คุณเมอร์ซี!”

คนมองแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างปกปิดไม่มิด สุดจะทนกับคนคนนี้แล้ว ขณะที่คนยั่วเย้ารอดูอย่างใจจดใจจ่อว่าศาสตราจารย์ที่เอาแต่อวดภูมิความรู้ใส่เขาจะตอบโต้อย่างไร ทว่ายังไม่ทันจะได้เห็น ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งมองเหตุการณ์โดยตลอดก็รีบเอื้อมมือไปสะกิดเพื่อนให้หยุดการกระทำบ้าๆ

“เจมี่ หยุดทำแบบนั้นน่า”
เจเรมีหันไปตามต้นเสียง เห็นหน้าเพื่อนสนิทที่ชื่ออัลเบิร์ตดูกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก็หัวเราะลั่น
“นายเองก็อยากจะติดสัดเหมือนศาสตราจารย์เหรออัล เอาซี่ โอเมก้าอย่างฉันจะถ่างขารอ”
“เจมี่...”
“เอ้า คงไม่ต้องรอแล้วล่ะมั้ง นายติดสัดไปแล้วนี่”
ยังจะล้อเลียนไม่หยุดอีก ชี้นิ้วไปยังบริเวณกลางลำตัวของเพื่อนที่มีอาการเดียวกันกับคนอื่นๆ ด้วย ก่อนที่อัลเบิร์ตจะหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายขึ้นมา

ไม่สิ ไม่ใช่แค่อัลเบิร์ต ศาสตราจารย์เองก็เช่นกันทว่าเป็นเพราะความโกรธ ก่อนเขาจะตบโต๊ะดังปัง เรียกสายตาของเจเรมีให้หันกลับไป

“ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะเรียนในคลาสผมก็ขอเชิญออกไปก่อนแล้วกัน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับเข้ามา”
“ช่วยไม่ได้น้า...” เจเรมียืดตัวขึ้น บิดขี้เกียจเล็กน้อย ทำท่าทางไม่ยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด หันไปชักชวนเพื่อนอีก “นายก็ไปกับฉันด้วยสิ”
“เอ่อ...คือ...” อัลเบิร์ตที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกออกอาการเลิ่กลั่ก มองเพื่อนตัวเองกับศาสตราจารย์สลับกันไปมาแล้วก็ต้องชะงัก
“มัวแต่นั่งอยู่นั่น ตามมาเร็วๆ”

พูดจบ เจเรมีก็เดินออกจากห้องบรรยายไปแล้ว ไม่สนใจสายตาของเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่มองมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมน่าระอาแม้แต่น้อย ปล่อยให้อัลเบิร์ตทนรับกับสายตาทิ่มแทงนี้เพราะเป็นเพื่อนสนิทไม่ไหว รีบลุกขึ้น หันไปเอ่ยขอโทษคนอาวุโสกว่าเล็กน้อยแล้วก้าวตามออกไป ปล่อยให้ชั้นเรียนได้เข้าสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อ ‘จอมวายร้าย’ จากไป

จอมวายร้ายประจำหมู่อัลฟ่าที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่าง...เจเรมี เมอร์ซี
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.01[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2017 06:00:50
Episode 01: จอมวายร้าย[1]

“ให้ตายเถอะเจมี่ นายไม่น่าพูดกับศาสตราจารย์แบบนั้นเลยนะ” พ้นจากบริเวณหน้าห้องบรรยายมาได้ อัลเบิร์ตก็หลุดตำหนิเพื่อนสนิททันที

เจเรมีไม่มีท่าทีสนใจกับคำร้องท้วงนั้น ก้าวเดินต่อไปให้อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะเอ่ยอีก
“เมื่อไหร่นายจะหยุดก่อกวนสักที เมื่อวานนายก็เพิ่งจะเพิ่งจะทำคุณอีตันโมโหไป วันนี้ก็ทำศาสตราจารย์คอร์ทนีย์หัวเสียอีก พักนี้นายจะหาเรื่องมากไปแล้วนะ”
“อ้อ ตาแก่นั่นชื่อคอร์ทนีย์เหรอ?”
แทนที่จะฟังเพื่อนดันถามชื่อคนที่ตัวเองเพิ่งจะยั่วโทสะไปเสียอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาชื่ออะไร

อัลเบิร์ตถอนหายใจออกมา ยกมือขึ้นคลึงขมับเล็กน้อย พึมพำอย่างเหนื่อยใจ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่นายกลายเป็นพวกขวางโลกแบบสุดโต่งอย่างนี้ นายปั่นประสาทอาจารย์ไปกี่คนแล้ว”
กี่คนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องมานั่งจำหรอก เอาเป็นว่าแทบจะไม่มีใครเหลือรอดจากการถูกเจเรมีปั่นหัวก็แล้วกัน และเขาก็ไม่ใส่ใจด้วยเพราะนั่นเป็นนิสัยพื้นเพของเขา

สงสัยก็ต้องถาม...
เห็นต่างก็ต้องโต้แย้ง...

คนพวกนั้นคิดว่าตัวเองมีความรู้สูงส่ง ไม่เปิดใจยอมรับฟังเอง มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องโดนลองภูมิ เพียงแต่การลองภูมิของทายาทตระกูลเมอร์ซีออกจะร้ายกาจและหยาบคายไปหน่อยก็เท่านั้น

“ฉันก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เจเรมีว่าอย่างไม่ยี่ระ ทำเอาอัลเบิร์ตเหนื่อยใจหนักขึ้นไปอีก
“ใช่ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย แต่พอเข้าสถาบันพัฒนาฯ เมื่อปีก่อน นายก็ทำตัวขวางโลกมากขึ้น ตอนนี้ขึ้นปีสองแล้ว แทนที่จะเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม ดันนิสัยเสียยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อไหร่นายจะเพลาไอ้ความกวนประสาทนั่นลงสักที”
“เมื่อฉันตายล่ะมั้ง” เสียงหัวเราะขบขันหลุดออกจากริมฝีปากหนาของเจเรมี ทำเอาอัลเบิร์ตย่นปากยู่ ก่อนที่จอมวายร้ายจะถลาเข้าไปกอดคอเพื่อน “จริงจังไปได้น่า ฉันเป็นแบบนี้ นายน่าจะชินแล้วนี่อัล”
“ชินมันก็ชินอยู่หรอก แต่มันวางตัวลำบาก”

วางตัวลำบากเพราะการกระทำของเจเรมีนี่แหละ เขาแทบจะกลายเป็นคนไม่มีสังคมเพราะเพื่อนสนิทเป็นคนน่ารังเกียจอย่างนี้เนี่ย
เจเรมีไม่เถียงหรอกว่าเขาร้ายกาจขนาดไหน หากนับตั้งแต่ตอนจบการศึกษาระดับตอนปลายจนมาเข้าสถาบันพัฒนาบุคลากรที่เป็นสถาบันบ่มเพาะเยาวชนอัลฟ่าเพื่อขัดเกลาก่อนจะออกไปเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงชนชั้นสูงของมหานครเพิร์ล ก็ไม่รู้เลยว่าเขาก่อวีรกรรมชวนปวดกะโหลกให้กับเพื่อนและวงศ์ตระกูลมากี่ครั้งแล้ว

ตั้งแต่เถียงไม่เลือกหน้า ก่อความวุ่นวาย จนถึงขั้นทะเลาะวิวาท เจเรมีล้วนทำมาแล้วทั้งสิ้น

แต่นั่นก็เพราะเขาแค่ไม่ได้คำตอบในสิ่งที่สงสัยเฉยๆ นี่นา ในเมื่อไม่ได้คำตอบก็ต้องถาม มันไม่ใช่ความก้าวร้าวสักหน่อย ที่เขาทำน่ะมันเรียกว่าหัวก้าวหน้า

“นายจะไปใส่ใจทำไม ก็แค่เรื่องเล็กน้อย”
“มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะเจมี่ ต่อให้จบการศึกษาจากที่นี่ไป เราก็ต้องเจอกับคนพวกนี้อยู่ดี แวดวงพวกอัลฟ่ามันจะกว้างสักแค่ไหนกันเชียว จบออกไปแล้วก็ต้องไปทำงานเจอหน้ากันทั้งนั้น นายเป็นแบบนี้ ในอนาคตจะทำงานร่วมกับคนอื่นยากนะ”
อัลเบิร์ตเตือนตามความเป็นจริง กลุ่มอัลฟ่ามีจำนวนค่อนข้างน้อยนับเป็นหนึ่งในสี่ของพวกเบต้าเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรเสีย กลุ่มโอเมก้าก็ยังมีน้อยกว่าอีกมากโข

ส่วนเจเรมีก็รู้ดีแก่ใจว่าการที่เข้ามาศึกษาต่อในสถาบันพัฒนาบุคลากรอัลฟ่านี้ เป็นไปเพื่อให้เหล่าทายาทตระกูลอัลฟ่าได้เรียนรู้ระบบแบบแผนของกลุ่มคนบนยอดพีระมิดพึงปฏิบัติก่อนจะออกไปทำหน้าที่ทางสังคมที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นอัลฟ่าอย่างเขาจะได้รับการศึกษาที่สูงกว่าพวกเบต้าที่ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาสูงสุดแค่การศึกษาระดับตอนปลายซึ่งจะเทียบเท่าอายุสิบแปดปีพอดี จากนั้นก็จะออกไปทำงานตามที่ตนถนัด มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการศึกษาต่อสูงขึ้นเพื่อมาช่วยงานในองค์กรใหญ่ๆ ของอัลฟ่า และแน่นอนว่าสถาบันที่ให้การศึกษานั้นไม่ใช่สถานที่เดียวกับพวกเขา

บอกแล้วว่าอัลฟ่ามีสิทธิพิเศษเหนือทุกชนชั้นในสังคม เรื่องอะไรที่จะยอมให้มีชนชั้นอื่นมาเจือปนความบริสุทธิ์ของพวกเขากันล่ะ แม้แต่สถานที่ก็ยังใช้หายใจร่วมกับแทบไม่ได้โดยอ้างว่าที่ต้องจัดการอย่างนี้ก็เป็นไปเพื่อความสงบสุข

สงบสุขบ้าบออะไร มันเป็นความเห็นแก่ตัวชัดๆ!

หากแต่เจเรมีไม่อยากจะใส่ใจนัก อย่างไรเสีย จบการศึกษาในอีกสองปีข้างหน้า เขาก็ต้องมารับช่วงต่อจากบิดาซึ่งเป็นผู้ถือครองตำแหน่งหนึ่งในสี่ตระกูลผู้ปกครองมหานครเพิร์ลอยู่ดี ให้ไปทำอย่างอื่นก็ดูท่าจะไม่มีฝ่ายไหนอยากจะรับฝากฝังนัก

เป็นตัวก่อกวนถึงขนาดชื่อเสียงลือลั่นไปทั่วอย่างนี้ คงจะมีใครอยากเสี่ยงรับเข้าไปให้องค์กรวุ่นวายหรอก

แต่นั่นไม่ใช่เขาแค่คนเดียวที่มีลักษณะนิสัยอย่างนี้ บิดาของเขาเองอย่าง เจอโรม เมอร์ซี ก็เช่นกัน แม้จะเป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลผู้ปกครองที่รั้งตำแหน่งในสภาระดับสูง แต่การที่เขาได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ ก็แสดงว่าความคิดความอ่านค่อนข้างจะขวางโลกพอสมควรเช่นกัน หลายครั้งทีเดียวที่ความคิดเห็นของเขาไปขัดแย้งกับนโยบายของผู้นำจากอีกสามตระกูลจนเกิดเป็นเรื่องเป็นราว แต่นั่นก็นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งเพราะทำให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจกัน ทว่าอุปนิสัยอย่างนี้ก็ไม่มีใครชอบเท่าไหร่นัก หากไม่ใช่เพราะตระกูลเมอร์ซีมีอิทธิพลในการปกครองมหานครแห่งนี้มายาวนานหลายทศวรรษล่ะก็ ป่านนี้คงไม่ได้เชิดหน้าชูตาหยิ่งผยองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก

“นายคิดมากเกินไปแล้วอัล” ได้ยินเพื่อนบ่นไม่เลิก เจเรมีก็อดรำคาญไม่ได้
“การกระทำของนายสมควรให้ฉันคิดมากหรือเปล่าล่ะ” อัลเบิร์ตชักสีหน้า “กว่าจะจบออกไป ฉันคงโดนคนทั้งสถาบันเกลียดขี้หน้าตามนายไปด้วย”

รอบนี้ไม่ได้บ่นลอยๆ สีหน้าเคร่งเครียดบ่งบอกให้รู้ว่าเขาจริงจัง นั่นทำให้เจเรมีต้องจะเขย่าตัวเพื่อนเป็นการใหญ่
“เกลียดก็ดีสิ นายจะได้มีฉันเป็นเพื่อนสนิทชั่วชีวิต ดีนะ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เกิดจนตาย มีใครเขาคบกันได้ยาวนานขนาดนี้บ้าง”
ยังมีหน้ามายิ้มกว้างอีก เขี้ยวคมๆ ที่เผยออกมาให้เห็นกับท่าทางทะเล้นทำให้อัลเบิร์ตต้องหัวเราะ
“ฉันคงจะเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนวัยอันควรแน่”

สุดท้ายก็ต้องยอม อย่างที่เจเรมีพูด เขาเป็นเพื่อนสนิทกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่จำความได้แล้ว นั่นก็เพราะบิดาของเขาซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณะสุขค่อนข้างสนิทสนมกับตระกูลเมอร์ซี ทั้งคู่จึงได้พบปะกันบ่อยกระทั่งกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างที่เห็น
ความจริงเจเรมีก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่หัวดื้อและซุกซนมากกว่าคนทั่วไปสักหน่อย มันเลยเกิดปัญหาตามมาให้แก้ไม่หยุดจนเขาต้องออกรับหน้าแทน หรือไม่ก็เป็นคนห้ามทัพไม่ให้เจเรมีทำสถานการณ์ให้เลวร้ายลงกว่าเดิมอยู่บ่อยครั้ง

“ฉันไม่ปล่อยให้นายตายหรอกน่า นายยังต้องตามเก็บตามเช็ดให้ฉันอีกนาน”
เจเรมีรู้ตัวว่าอัลเบิร์ตมักทำอย่างนั้นจึงว่าเย้าไปก่อนจะเลื่อนมือไปยีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนบนศีรษะเพื่อนแล้วผละออกไป
อัลเบิร์ตหัวเราะให้กับการกระทำนั้น มองคนตัวสูงกว่าที่เดินลิ่วนำหน้าไปอย่างชื่นชม

ใช่ ชื่นชม ลึกๆ แล้วเขาชื่นชมในความกล้าของเจเรมีอยู่มาก

ใบหน้าคมคายหล่อเหลา รอยยิ้มที่แสนเย้ายวน ร่างกายสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ล้วนแล้วแต่ทำให้เขากลายเป็นที่พูดถึงของสาวๆ ทั้งอัลฟ่าและเบต้าได้ไม่ยากนัก หากไม่นับนิสัยห่ามๆ ของอีกฝ่ายกับการทำอะไรไม่ค่อยคิดแล้วล่ะก็ พูดได้เต็มปากเลยว่าเจเรมีเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว ต่างจากเขาที่รูปร่างสันทัด หน้าตาก็พอดูได้ ซ้ำยังไม่ค่อยจะมีปากมีเสียงกับใครเท่าไหร่จนถูกกลั่นแกล้งจากอัลฟ่าด้วยกันอยู่บ่อยๆ

ถ้าไม่มีเจเรมีสักคน เขาคงจะเป็นไอ้ขี้แพ้ที่วันๆ เอาแต่ท่องตำรา ไม่มีเพื่อนคบไปตลอดชีวิตแล้ว...

“จะยืนมองอีกนานไหม รีบตามมาเร็ว” เห็นเพื่อนไม่ยอมก้าวตามมาก็หันไปร้องเรียก
อัลเบิร์ตก้าวฉับอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็ไปเดินเคียงข้าง ก่อนจะเอ่ยถาม
“แล้วจะเอาไงต่อ ถูกไล่ออกมาอย่างนี้แล้วจะกลับเข้าไปไหม หรือจะรอเข้าฟังบรรยายคลาสต่อไป”
“นายยังคิดจะให้ฉันเข้าไปในห้องเส็งเคร็งนั่นอีกหรือไง” เจเรมีถามกลับโดยไม่มองหน้า สายตามองตรงคล้ายกับว่าไม่ได้สนใจคนข้างกายนัก
“ถ้าไม่กลับเข้าไป แล้วนายจะไปไหน”

ฉับพลันเจเรมีก็หยุดเดิน เหลียวมามองหน้าเพื่อนพลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“มีที่สนุกๆ ให้ไปก็แล้วกัน”
“อย่าบอกนะว่า...ข้างนอก?”

เจเรมีส่งเสียงขานรับว่า ‘อือฮึ’ มา อัลเบิร์ตถอนหายใจอีกแล้ว ถ้าวันนี้เขาทำอย่างนี้อีกที มีหวังเส้นผมของเขาคงได้กลายเป็นสีขาวแน่

เมื่อวานก็เป็นอย่างนี้ ไปยั่วประสาทอาจารย์จนถูกไล่ออกมาแล้วสุดท้ายก็ออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก วันนี้ก็จะเอาอย่างนั้นอีกเหรอ?
เอาอย่างนั้นแหละ เจเรมีเคยมีท่าทีว่าอยากฟังบรรยายในสถาบันเสียที่ไหน ยิ่งวันนี้ไม่มีคลาสเรียนวิชาที่เขาโปรดปรานด้วย เขาไม่อยู่ให้เสียเวลาหรอก

“งั้นวันนี้จะไปไหนล่ะ” ยอมจำนนต่อความดื้อด้านของเจเรมีจนได้

อีกฝ่ายเผยอริมฝีปากขึ้น
“ตลาดมืดเป็นไง นายยังไม่เคยไปนี่ ฉันเองก็ไม่เคยไป”

คนฟังเบิกตาโตทันควัน
“อย่าบอกนะว่าตลาดมืดที่หมายถึงจะเป็น...”
“ตลาดค้าโอเมก้า” เจเรมียักคิ้วขณะให้คำตอบ

อัลเบิร์ตตั้งท่าจะร้องห้ามด้วยไม่เป็นการดีสักเท่าไหร่นักถ้าพวกเขาจะไปเดินเตร่อยู่ในนั้น ถ้าหากเจอคนรู้จักขึ้นมา มีหวังพวกเขาถูกมองในแง่ลบแน่แม้ว่าจะเป็นที่รู้กันดีว่าพวกอัลฟ่าไปที่ตลาดค้าโอเมก้าเพื่ออะไร กระนั้นก็ไม่ได้เป็นการกระทำที่สามารถเปิดเผยได้ มันเสี่ยงต่อการถูกดูหมิ่นฐานะในสังคม

แต่คนอย่างเจเรมีจะสนใจอะไรล่ะ เห็นเพื่อนอ้าปากจะห้ามก็คว้าคอเพื่อนมากอดแล้ว
“อย่ามัวชักช้าน่า รีบไปกัน”
“เดี๋ยวเจมี่ อย่าเพิ่ง...”

ปากกำลังจะร้องห้าม ขืนตัวไม่ยอมออกเดิน ทว่าก็เห็นอะไรบางอย่างตกออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเจเรมีเสียก่อน เหลือบมองไปก็เห็นว่าเป็นยาเม็ดสีฟ้าที่ศาสตราจารย์คอร์ทนีย์แจกจ่ายให้นักศึกษาทุกคนก่อนจะเริ่มคลาสเพื่อต่อต้านการตอบสนองต่ออาการฮีทของโอเมก้าที่เขานำตัวมาสาธิตประกอบการบรรยาย

อัลเบิร์ตยกแขนล่ำของเพื่อนออกจากตัว ก้มลงเก็บยาเม็ดนั้นขึ้นมาพลางชูขึ้นตรงหน้า
“นายไม่ได้กินยานี่เหรอ”
เจเรมีหันไปมอง พยักหน้ารับ
“ก็เห็นๆ อยู่”

ความสงสัยประดังประเดเข้ามาในสมองของอัลเบิร์ตทันที

ในเมื่อไม่ได้กินยาต้าน แล้วทำไมเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับอาการฮีทของโอเมก้า ทั้งที่คนอื่นๆ กินยาต้านเข้าไปแล้วแต่ก็ยังมีอาการเมื่อโอเมก้าปล่อยฟีโรโมนออกมาในปริมาณมาก?

เพราะอะไรกัน?

“ทำไมล่ะ”
สงสัยจนทนไม่ไหวจึงต้องถามออกไป ใจอยากจะถามเหตุผลด้วยว่าทำไมเขาถึงยังมีอาการปกติได้

เจเรมีรู้ว่าเดี๋ยวคนตรงหน้าจะต้องถามอย่างนั้นจึงยื่นแขนซ้ายออกไปตรงหน้า ถกแขนเสื้อเครื่องแบบที่ยาวจนถึงข้อมือมาให้เห็นข้อพับ รอยจุดแดงๆ บนนั้นทำให้อัลเบิร์ตย่นคิ้วยู่เข้าไปอีก

“เมื่อเช้าฉันเพิ่งถูกฉีดยามา หมอบอกว่าช่วงนี้อาการแย่ ต้องฉีดยาเช้าเย็นแล้วก็ห้ามรับยาตัวอื่นเพื่อป้องกันผลข้างเคียงน่ะ”

อีกฝ่ายอธิบายออกมาแล้ว อัลเบิร์ตก็ไม่สงสัย รู้ดีว่าที่เจเรมีต้องฉีดยาอย่างนี้ทุกวันเป็นเพราะเขามีโรคประจำตัวตั้งแต่กำเนิด แต่ไม่รู้หรอกว่าโรคอะไร เคยถามบิดาของตัวเองแล้วเพราะดูท่าทางจะรู้กันกับครอบครัวของเจเรมีว่าเพื่อนเขาป่วยเป็นอะไร หากแต่ได้เพียงคำตอบว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา พร้อมกับเหตุผลว่าจำเป็นต้องปิดเรื่องที่เจเรมีป่วยเป็นความลับด้วยเกรงว่าจะมีผลต่อการเข้ารับตำแหน่งซึ่งสืบต่อจากเจอโรมในอนาคตได้ เช่นพวกผู้นำอีกสามตระกูลอาจจะปฏิเสธที่จะยอมรับเจเรมีด้วยเหตุผลว่าเขาไม่แข็งแรงอะไรอย่างนั้น

อย่าว่าแต่เขาไม่รู้เลยว่าเจเรมีป่วยเป็นโรคอะไร เจเรมีเองก็ไม่รู้เช่นกัน แค่พ่อแม่บอกว่าร่างกายของเขาไม่ปกติ จำเป็นต้องได้รับการรักษา เขาก็รับยาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อายุสิบสาม

จากแค่รับประทานเฉยๆ ก็เริ่มกลายมาเป็นฉีดเข้าเส้นเลือด
จากแค่รับยาอาทิตย์ละครั้ง กลายมาเป็นสองสามวันครั้ง ไม่นานก็เป็นวันละครั้ง จนตอนนี้ถูกฉีดเช้าฉีดเย็นไปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร ถามทีไรก็ถูกปฏิเสธที่จะให้คำตอบมาทุกครั้งจนเขาเลิกถามไปแล้ว รู้เพียงอย่างเดียวว่า...

...เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรกับฟีโรโมนของโอเมก้า

อาจจะเป็นความผิดปกตินี้ก็เป็นได้ที่ทำให้เขาต้องได้รับการรักษาเพื่อให้มีสภาพร่างกายเหมือนกับอัลฟ่าคนอื่นๆ ทำให้เขาไม่จำเป็นที่จะต้องกินยาต่อต้านฟีโรโมนอะไรนั่น

สำหรับอัลเบิร์ตแล้ว เขาไม่เห็นว่าเจเรมีจะดูเหมือนคนป่วยอะไรแม้แต่น้อย ร่างกายแข็งแรงกำยำขนาดนั้น ต่อให้ถูกรถบรรทุกชนก็ยังไม่ตายเลย รถพานจะพังแทนเสียอีก เขาต่างหากที่ดูเหมือนคนป่วยมากกว่าน่ะ

“จะถือมันอีกนานไหม ถ้านายไม่ใช้ก็ทิ้งมันไปซะ” เห็นเพื่อนยืนถือยาต้านค้างอยู่นานก็เอ่ยปาก
อัลเบิร์ตพยักหน้า เก็บยาลงกระเป๋ากางเกงแล้วก้าวขาเดินตามหลังของเจเรมีออกไป

สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้าง ในหัวครุ่นคิดไม่หยุด

ชายหนุ่มผมบลอนด์นั่นไม่มีปฏิกิริยาต่อโอเมก้า เคยได้ยินมาอย่างนี้เหมือนกันแต่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง ก่อนหน้านั้นที่เขาเห็นโอเมก้ายังสั่นระริกจนแทบจะคลั่งตาย ที่เจเรมีเป็นแบบนี้มันน่าแปลก

แต่...ในเมื่อไม่มีปฏิกิริยาต่อโอเมก้าที่เป็นฮีท แล้วถ้ากับอัลฟ่าล่ะ เจเรมีจะมีปฏิกิริยาอะไรไหม?

คิดแล้วก็นึกขำในความคิดของตัวเอง มันจะไปมีได้อย่างไร เพื่อนเขาเป็นอัลฟ่านะ แล้วอัลฟ่ามันจะไปมีฟีโรโมนกระตุ้นอารมณ์อัลฟ่าด้วยกันได้อย่างไร อัลฟ่าไม่สามารถเป็นฮีทได้เองสักหน่อยถ้าไม่มีโอเมก้ามากระตุ้น การสืบพันธุ์ระหว่างอัลฟ่าด้วยกันก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเบต้าแม้แต่น้อยด้วย

เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว…
“เอ้า ยืนทำอะไรอยู่ ตามมาเร็วๆ เข้า” เจเรมีหันมาเห็นอัลเบิร์ตยืนนิ่งก็ร้องเรียกอีก

คนถูกเรียกสะดุ้ง ไม่รู้ตัวเลยว่าหยุดเดินไปตอนไหนก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปหาแล้วเดินออกไปนอกสถาบันพร้อมกัน เผลอเหลือบมองซีกหน้าหล่อของเจเรมีเป็นระยะพลางสรุปความคิดของตัวเองไปด้วย

มีปฏิกิริยากับอัลฟ่างั้นเหรอ? เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เจมี่ก็แค่ป่วยเท่านั้น...

ก็แค่ป่วยน่ะ... ไม่มีอะไรหรอก






 
มาจนได้…

มาหยุดยืนอยู่หน้าตรอกแคบๆ ซึ่งเป็นทางผ่านเข้าไปยังตลาดมืดหรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นตลาดค้าโอเมก้า อัลเบิร์ตก็ถอนหายใจออกมาจนรู้สึกว่าเครื่องในของเขาแทบจะปลิ้นออกทางรูจมูก วันนี้ถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เจเรมีจะสังเกตเห็นบ้างไหมว่าเขาทำเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่มีหนักอกหนักใจเพียงใด

ไม่หรอก ไม่ทันได้สังเกตเห็น เขาไม่สนใจที่จะเหลือบมองเลยด้วยซ้ำ เอาแต่มองเข้าไปในตรอกนั้น ดวงตาสีฟ้าสว่างคู่สวยเป็นประกายระยับ
“ดูโสโครกสุดๆ เลยว่าไหม”

ไม่รู้จะตื่นเต้นทำไมในเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ามันไม่ได้เชิญชวนให้น่ามอง สภาพตรอกนั้นค่อนข้างแคบและเล็ก บนพื้นถนนปูด้วยอิฐสีแดงที่จางจนซีดแล้ว สองข้างทางมีอาคารหนึ่งชั้น บ้างก็สองชั้นหลังย่อมๆ เรียงรายกันเป็นแถว รอบข้างแทบจะไม่มีผู้คนเลยด้วยซ้ำ นอกจากชายฉกรรจ์หลายคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าอาคารเหล่านั้นเป็นจุดๆ พอถูกเจเรมีลากให้เดินเข้าไป ชายพวกนั้นก็มองมายังผู้มาใหม่ด้วยสายตาประหลาดใจ

ก็แน่ล่ะ เป็นใครจะไม่ประหลาดใจบ้าง จู่ๆ ก็เห็นนักศึกษาจากสถาบันพัฒนาบุคลากรอัลฟ่ามาเดินเตร็ดเตร่ในเครื่องแบบเต็มยศอย่างนี้ก็ต้องสงสัยบ้างล่ะ เครื่องแบบที่เป็นชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีน้ำตาล สวมบูทหนังยาวถึงหน้าแข้งแบบนั้น เป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสถาบันชนชั้นสูงแห่งนี้แล้ว

“ฉันว่าเราไม่ควรมาที่นี่เลย” อัลเบิร์ตทนกับสายตาที่มองอย่างมีคำถามของคนรอบข้างไม่ได้จึงจำเป็นต้องพูด
เจเรมีไม่หันมามอง ใบหน้าเหยียดยิ้มพรายราวกับเด็กที่ได้เข้าไปเล่นในสวนสนุก “เดินเข้ามายังไม่ทันถึงร้อยเมตรเลยก็ร้องจะกลับละ คิดถึงแม่หรือไงเจ้าหนูอัลเบิร์ต”

ถูกล้อเลียน อัลเบิร์ตก็ได้แต่หน้าม้าน เขาไม่ได้คิดถึงมารดาสักหน่อย แค่รู้สึกว่าไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ต่างหาก นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่ตัดสินใจตามเจเรมีมา

ไม่...ไม่ใช่ เขาไม่ได้ตามเจเรมีมา พยายามห้ามแล้ว ปฏิเสธก็แล้วแต่ถูกลากมาในที่สุดน่าจะพูดถูกกว่า คนอย่างเจเรมีน่ะ ถ้าคิดจะทำหรืออยากจะได้อะไรแล้ว เขาก็ต้องได้ทั้งนั้น

“แล้วนายจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่ ฉันเริ่มจะหายใจไม่ออกแล้ว” หายใจไม่ออกจริงอย่างที่ปากพูด เขาอึดอัดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

เจเรมีหยุดเดิน หันไปมองหน้าเพื่อนด้วยความรำคาญก่อนจะว่า
“ทำไมนายทำตัวน่ารำคาญอย่างนี้วะ”
“ฉันอึดอัดจริงๆ นี่ ที่แบบนี้มันไม่ใช่ที่ที่เราสมควรจะมาเลยนะ ถ้ามีคนมาเห็นแล้วพ่อแม่นายรู้จะว่ายังไง”
“พ่อแม่ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ฉันเป็นผู้ชายนี่ แถมอายุก็ยี่สิบแล้ว ถ้าอยากจะเที่ยวตามประสาคนหนุ่มบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” เจเรมีตอบพลางเชิดจมูกขึ้น

อัลเบิร์ตหมดคำจะเถียง จริงอย่างที่เจเรมีพูด การที่ชายหนุ่มมาโผล่ในสถานที่แบบนี้จะคิดเป็นอื่นไกลไม่ได้เลยนอกจากมาหาโอเมก้าเพื่อระบายอารมณ์ทางเพศ เพราะตลาดมืดแห่งนี้นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นตลาดค้าโอเมก้าที่ใหญ่ที่สุดในมหานครเพิร์ลแล้ว ยังเป็นสถานบริการทางเพศที่มีโอเมก้าเป็นสินค้า พวกอัลฟ่าบางคนที่มีโอเมก้าในครอบครอง บางครั้งถ้าหากเบื่อก็ไม่นำไปขายต่อ ทว่าให้เช่าชั่วคราวในลักษณะนี้แทน หากเป็นสินค้าที่สภาพเสื่อมโทรมแล้วถึงจะมีการขายให้กับซ่องหรืออะไรอย่างนั้น

จะอย่างไรก็แล้วแต่ มันไม่ใช่สถานที่ชวนพิสมัยสำหรับอัลเบิร์ตเลย ขนาดอัลฟ่าที่ชอบการสะสมของเล่นพรรค์นี้ยังแทบไม่เคยมาเหยียบย่างแถวนี้ด้วยตัวเอง มีแต่ส่งตัวแทนมา แล้วนี่เขามาถึงถิ่นเลยนะ มันทำให้อวัยวะภายในกระอั่กกระอ่วนอย่างไรก็ไม่รู้

“โอเค พ่อแม่นายไม่ว่า แต่มันไม่เหมาะสม ขืนมีใครมาเห็นว่าลูกชายคนเดียวของหนึ่งในตระกูลผู้ปกครองมาเยี่ยมเยียนแถวนี้เข้า มันจะกลายเป็นขี้ปากนะ”
“คิดว่าฉันสนเหรอ” เจเรมีตอบห้วนๆ

จนปัญญาจะหาข้ออ้างแล้วเพราะอัลเบิร์ตรู้ดีว่าเจเรมีไม่เคยสนคำนินทาอะไรพวกนั้น ไม่แม้แต่เจเรมี ครอบครัวของเขาเองยังไม่สนเลย

เรียกได้ว่าเป็นพวกไม่สนโลกกันทั้งบ้านได้หรือเปล่านะ?

คำตอบนั้นทำให้อัลเบิร์ตหน้าเจื่อน เจเรมีเหลือบมองสีหน้านั้นแล้วก็หัวเราะ
“ไอ้บ้าเอ๊ย หยอกเล่นแค่นี้ถึงกับจะร้องไห้เลยเหรอฮะ เด็กจริงๆ ด้วยนายเนี่ย” แล้วก็ตามมาด้วยการยีผมของอัลเบิร์ตจนยุ่ง
อัลเบิร์ตรีบจัดแต่งทรงผมทันทีที่อีกฝ่ายปล่อยมือ ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้ยินเจเรมีพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอเวลาสักชั่วโมง ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว เดินให้ได้สักรอบก่อนแล้วค่อยกลับ นายคงจะโอเคนะ”
“ถ้าบอกว่าไม่โอเคแล้วนายจะฟังหรือไง” เสียงบ่นอุบอิบลอยมาให้ได้ยิน

เจเรมีหัวเราะตบท้ายเล็กน้อยก่อนจะเดินอาดๆ ไปตามถนนหนทางของตรอก ปล่อยให้เพื่อนรักเดินตามต้อยๆ เหลือบซ้ายแลขวาด้วยท่าทีอยู่ไม่สุขสักเท่าไหร่นัก




 
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.01[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2017 06:01:34
Episode 01: จอมวายร้าย[2]

เดินมาได้ไม่กี่ร้อยเมตร เจเรมีก็ชักจะเบื่อ ที่ไหนๆ ก็เป็นเหมือนกันหมด เขาไม่เห็นโอเมก้าเลยสักคนด้วย รู้แต่ว่าพวกนั้นอยู่ด้านในอาคาร หากจะเข้าไปก็ต้องไปติดต่อพนักงานที่อยู่ทางด้านหน้าอาคารพวกนั้น บอกวัตถุประสงค์ว่ามาเช่าหรือซื้อ จากนั้นพนักงานถึงจะพาเข้าไปเลือก ซึ่งแน่นอนว่าเจเรมีไม่ได้มาเพื่อการนี้ ก็แค่จะมาดูความสกปรกโสมมของระบบความคิดเหล่าอัลฟ่าเท่านั้น

คิดแล้วก็ขยะแขยงตัวเอง ไม่อยากนับรวมว่าเป็นพวกเดียวกับอัลฟ่าที่สร้างวัฏจักรเหล่านี้ขึ้นมาเลย และการที่เขามาอยู่ที่นี่นานๆ ก็เริ่มทำให้คลื่นเหียนกับคำว่า ‘เพื่อความสงบสุข’ เสียเหลือเกิน

มันสงบสุขอย่างไร เจเรมีไม่เห็นจะเข้าใจ ถ้าสงบสุขจริงมันต้องหมายถึงผู้คนทุกชนชั้นสิ ไม่ใช่แค่บางชนชั้นอย่างนี้!

คิดแล้วก็นึกถึงคำพูดของบิดาที่เคยพูดกับเขาไว้ก่อนที่จะเข้าศึกษาในสถาบันพัฒนาฯ

‘หน้าที่ของทายาทที่มีสิทธิ์ในตำแหน่งหนึ่งในสี่ตระกูลผู้ปกครองมหานครก็คือดูแลทุกข์สุขของประชาชน อย่าละเลยความสำคัญข้อนี้เด็ดขาด’

ประโยคนี้ฝังอยู่ในหัวของเขาตลอดมา เจเรมีไม่รู้หรอกว่าที่บิดาพูดหมายถึงประชากรชาวอัลฟ่าอย่างเดียวหรือเปล่า แต่ที่รู้ๆ คือมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเริ่มออกอาการต่อต้านระบบความคิดดั้งเดิมอย่างรุนแรง

ประชาชนที่เขาคิดถึงคือทุกชีวิตที่อยู่ในมหานครแห่งนี้ ไม่ใช่จำกัดเฉพาะคนบางกลุ่มอย่างที่เป็นอยู่...

ถึงจะไม่เคยบอกใคร แต่การกระทำของเขาก็สื่อออกมาชัดเจนหลายๆ อย่างว่าเขาพร้อมจะชนกับใครก็แล้วแต่ที่คิดคัดค้าน จนหลายคนเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าตัววุ่นวายในอนาคตอยู่ตรงนี้นี่เอง

“ไม่มีอะไรแล้ว จะกลับเลยไหม” เดินมาจนเกือบสุดทางของตรอกซึ่งเป็นทางทะลุออกไปยังถนนอีกฟาก อัลเบิร์ตก็เอ่ยปากถาม
เจเรมีเห็นดีด้วย คิดจะกลับเหมือนกัน ที่แวะเวียนมาก็แค่อยากเห็นสภาพความเป็นอยู่ของโอเมก้าเท่านั้น ได้ยินชื่อเสียงของตรอกนี้มานาน แค่อยากเห็นด้วยตาตัวเอง

ถูกเพื่อนชวนอย่างนั้นก็พยักหน้า เดินตรงไปกะจะออกอีกทางแล้ววนกลับบ้าน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อสายตามองเห็นร่างของเด็กหนุ่มร่างบาง ช่วงล่างนุ่งเพียงกางเกงขายาวสีมอขณะที่ช่วงบนไม่สวมเสื้อ... หรืออาจจะสวมแต่ถูกกระชากออกไปก่อนหน้า เพราะดูจากที่เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งกระหืดหอบเข้ามาแล้ว ท่าทางคล้ายกับว่ากำลังวิ่งหนีใครอยู่อย่างนั้นแหละ

แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อเห็นว่าด้านหลังของเด็กหนุ่มคนนั้นมีชายอีกสามคนวิ่งตามมาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะร่วนอยู่ ในมือของคนที่วิ่งนำหน้าถือผ้าสีขาวด่างๆ ในมือ มองปราดเดียวก็เดาได้ทันทีว่าต้องเป็นเสื้อของคนที่วิ่งหนีมาแน่

เจเรมีอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ถ้าหากว่านั่นเป็นการวิ่งเล่นกันของเด็กๆ ไม่ใช่การวิ่งไล่กวดเพื่อล่าของนักศึกษาสถาบันเดียวกับเขา อีกทั้งยังเป็นคนที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาดี

เพื่อนร่วมชั้นเรียน...
ศัตรูคู่อาฆาต...

จะเรียกว่าอย่างไรดีล่ะ เอาเป็นว่าหมอนั่นชื่อ ธีโอ แฮร์ริสัน ลูกชายของนายพลซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกสภาระดับสูงที่สังกัดอยู่ในกระทรวงความมั่นคงแห่งมหานครเพิร์ล ซึ่งไม่ค่อยถูกชะตากับเจเรมีสักเท่าไหร่นักตั้งแต่เข้าเรียนใหม่ๆ แล้ว

ที่ไม่ถูกชะตาก็เพราะความอวดดี อวดเบ่งด้วยเป็นลูกชายสมาชิกสภาระดับสูงของธีโอนั่นแหละ ซัดกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ซึ่งทุกครั้งก็เป็นเรื่องใหญ่ แถมเลือดตกยางออกด้วยกันทั้งสิ้น

ล่าสุดเขาก็เพิ่งจะทำธีโอหัวแตกเพราะจับโขกกับโต๊ะระหว่างการบรรยายของวิชาหนึ่งไปเองมั้ง สาเหตุก็เพราะเจเรมีพูดดูถูกอัลเบิร์ตที่หงอไม่สู้คนจนเพื่อนอย่างเขาทนไม่ไหว

และยิ่งเจเรมีเห็นคนที่ตนไม่ถูกชะตาวิ่งไล่เด็กหนุ่มผิวแทนที่ตัวเล็กกว่าโขมาต่อหน้าต่อตาจนล้มลุกคลุกคลานไปบนพื้นอย่างนั้นด้วย เขาก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปหาพร้อมกับกระโดดตัวลอย ส่งฝ่าเท้าเข้าประทับเข้ากลางอกของธีโอเข้าอย่างจัง

ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นหรอก เห็นหน้าธีโอแล้วจู่ๆ เกิดหมั่นไส้ขึ้นมาน่ะ เลยต้องขอเสนอหน้าสักหน่อย

การถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ธีโอหงายท้องตึงลงไปบนพื้น ความจุกแน่นทำให้เขาไอโขลกเป็นการใหญ่ เพื่อนๆ ของธีโอที่วิ่งตามมาทั้งสองคนชะงักกึก เกือบจะโวยวายอยู่แล้วถ้าไม่ทันสังเกตก่อนว่าคนที่ส่งลูกพี่ของพวกเขาลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นเป็นจอมวายร้ายประจำสถาบัน พอเห็นว่าเป็นเจเรมีก็พากันถอยกรูด เรื่องอะไรที่จะเอาตัวเองไปรับหมัด รับฝ่าเท้าเล่นๆ กันล่ะแม้ว่าจะมีกันอยู่ถึงสองคนก็เถอะ

“อะ...อะไรวะ แค่ก...”
กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก็นอนกองอย่างนั้นอยู่หลายนาที เจเรมีแสยะยิ้มขึ้น ทักทายด้วยน้ำเสียงยียวน
“แหมๆ ไม่คิดเลยนะว่าพวกแกก็จะโดดเรียนเหมือนกันด้วย”
ทักทายอย่างนั้นเพราะจำได้ว่าวันนี้ไม่เห็นพวกของธีโอในคลาสเลย

น้ำเสียงคุ้นเคยเรียกให้ชายหนุ่มผมแดงที่ตัวใหญ่ไล่เลี่ยกับอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น ใบหน้าตกกระย่นยู่เหลือบมอง พอเห็นว่าเป็นคู่แค้นก็ตะโกนลั่น
“ทำบ้าอะไรของแก!”
“ฉันต้องถามแกต่างหากว่าทำบ้าอะไรอยู่ อยู่ในช่วงติดสัดหรือไง”
เจเรมีเอียงคอ ยิ้มเย้ยถาม หางตาเหลือบไปมองยังเด็กหนุ่มคนที่ถูกไล่ล่ามาเล็กน้อยซึ่งตอนนี้นอนกองอยู่ที่พื้นไม่ต่างกันกับธีโอเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร

ธีโอรับรู้แต่มันใช่เรื่องอะไรของคนตรงหน้าไหมล่ะ เขาจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขา ไอ้โอเมก้าสวะนั่นที่เสนอหน้าไปเดินลอยชายด้านนอกที่ที่มันควรอยู่ต่างหากที่ผิด เขาก็แค่ไล่ให้มันกลับไปอยู่ในที่ของมันเท่านั้น!

หากแต่ไม่ได้พูด ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเสียเวลาอธิบาย นอกจากแค่นเสียงถาม
“แล้วแกมายุ่งอะไร”
“ก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่เห็นแกวิ่งไล่โอเมก้าเป็นบ้าเป็นหลังก็อดสงสัยไม่ได้ ถ้าติดสัดก็บอกนะ ฉันมียาต้านฟีโรโมนโอเมก้าเหลืออยู่”

มันอยู่ในกระเป๋ากางเกงของอัลเบิร์ต อัลเบิร์ตนึกว่าเจเรมีพูดจริง เกือบจะล้วงยาเม็ดนั้นออกมาให้อยู่แล้ว ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อธีโอแผดเสียงขึ้นมาก่อน

“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน แกอย่ามาแส่!”

คราวนี้เจเรมีทำหน้าตกใจที่ถูกถามอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นการเสแสร้ง ก่อนจะยกมือขึ้นทาบอกประกอบ
“ตายแล้ว พูดอย่างนี้แสดงว่ามาหาความบันเทิงแน่เลย แล้วนี่แกซื้อหรือเช่าล่ะหืม?”

ธีโอไม่ตอบ เขาไม่ได้มาทั้งซื้อและเช่า อย่างที่บอกว่าเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเดินเตร่อยู่ อยากจะเล่นสนุกขึ้นมาก็เลยเข้าไปแกล้ง แต่ไม่ยักจะคิดว่าเด็กนั่นจะวิ่งหนีตายอะไรขนาดนี้ สงสัยอาจจะแกล้งรุนแรงไปหน่อยกระมัง

แต่เจเรมีก็ไม่สนหรอกว่าธีโอจะตอบว่าอย่างไร เขาหันไปหาเด็กหนุ่มที่นั่งสั่นเทาอยู่บนพื้นเป็นที่เรียบร้อย พลันออกปากถาม
“ว่าไง ไอ้เวรนั่นมันซื้อหรือเช่านายมา”
โอเมก้าคนนั้นเหลือบมองคนถามด้วยแววตาหวาดกลัว ท่อนแขนเรียวโอบกอดตัวเองไว้แน่น กระซิบเสียงพร่า
“มะ...ไม่ได้ซื้อหรือเช่าครับ”
“งั้นก็แสดงว่ามันพยายามจะข่มขืนนายงั้นสิ?”

เป็นคำตอบที่ไม่ต้องการคำถาม และเขาก็ไม่ได้คิดจริงจังอย่างนั้นด้วย รู้อยู่ว่าธีโอกับเพื่อนก็แค่กลั่นแกล้งตามประสาพวกขี้แพ้ หากแต่พูดอย่างนั้นก็เพื่อความสนุกของตนเอง ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะทำให้ธีโอเบิกตาโพลงอย่างตกใจ
“ฉันไม่ได้...”
รีบแก้ตัวแต่พูดยังไม่ทันจบเลย เจเรมีก็จุ๊ปาก แทรกขึ้นมาแล้ว

“โถ แกนี่ทุเรศนะ เป็นถึงลูกชายสภาชิกสภาระดับสูงแต่ทำตัวต่ำทรามอย่างนี้ ซื้อก็ไม่ได้ซื้อ เช่าก็ไม่ได้เช่า มาไล่ข่มขืนซะอย่างนั้น ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป พ่อนายคงจะเอาหัวมุดดินหนีอายไม่ต่างอะไรจากนกกระจอกเทศแน่”

ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้! เจเรมีน่ะรู้ดียิ่งกว่าอะไรว่าธีโอเกรงกลัวบิดาเขาแค่ไหน ยิ่งบิดาเขาเป็นพวกกลัวเสียหน้ายิ่งกว่าอะไรด้วย ถ้ามีข่าวแบบนี้หลุดออกไปเข้าหูล่ะก็ มีหวังเขาโดนเละแน่

“เจเรมี! แก!”
 ธีโอตะโกนลั่น โกรธสุดกำลัง พยายามจะดันตัวลุกขึ้นมาหากแต่จุกเกินกว่าจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นได้ เพื่อนของเขาที่มองอยู่รีบปรี่เข้ามาหาหมายจะช่วย ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเจเรมีไวกว่า แค่เห็นอีกฝ่ายจะตั้งหลัก เขาก็ปรี่เข้าไปยกขาถีบเข้าที่หน้าอกให้อีกรอบแล้ว

ธีโอหงายหลังล้มลงไปนอนกองบนพื้น มือรีบยันตัวเองไม่ให้นอนราบไปมากกว่านี้ หากแต่ก็ต้องร้องออกมาดังอั้กเมื่อเจเรมีวางเท้าลงไปบนแผ่นอกของเขา พื้นรองเท้าบูธแข็งๆ บดขยี้หน้าอกเล็กน้อย แรงกดของมันที่ผ่านเนื้อผ้าทำให้ธีโอหายใจแทบไม่ออก ขณะที่เจเรมีโน้มตัวลงมาเอาแขนเท้าบนหัวเข่าของขาข้างนั้น

“เรียกทำไมรึคุณแฮร์ริสัน” ยกยิ้มขึ้นแล้วถามอย่างยียวน แสร้งเรียกชื่อตระกูลด้วย
“เอาเท้าของแกออกไป...” ธีโอใช้ความพยายามเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะแค่นเสียงออกมา
เจเรมีหัวเราะออกมาดังหึ ทำหน้าเยาะเย้ย
“เจ็บงั้นสิ?” จากนั้นก็บดแรงจากฝ่าเท้าลงไปอีก
“อะ...เอาออกไป” ธีโอใช้ทั้งสองมือมาจับที่หน้าแข้งของอีกฝ่าย พยายามยกออกแต่ความจุกเสียดทำให้เขาไม่มีแรงเอาเสียเลย

ทั้งที่ตัวก็สูงใหญ่ไล่เลี่ยกัน แต่เวรเอ๊ย! ไอ้หมอนี่แข็งแรงกว่าเป็นบ้า!

ก็อย่างว่า เจเรมีได้คะแนนสูงสุดในวิชาศิลปะการต่อสู้ของชั้นปีนี่ เป็นวิชาที่เขาถนัดและชื่นชอบที่สุดด้วย จะมาแพ้ให้กับพวกพฤติกรรมต่ำทรามที่มีดีแค่เป็นลูกชายของนายพลแต่ฝีมือไม่เอาไหนได้อย่างไร

ยิ่งเห็นท่าทางจนมุมของอีกฝ่ายที่เอาแต่ปากดีก่อนหน้า เจเรมีก็ได้ใจใหญ่
“ถ้าอยากให้ฉันยกเท้าหนักๆ นี่ออกก็หันไปจัดการกับคนของนายก่อนซี่” พยักเพยิดปลายคางไปด้านข้างประกอบการพูด
เจเรมีไม่ได้หมายถึงเพื่อนทั้งสองคนของธีโอแน่นอน ทว่าหมายถึงร่างบางแคระแกร็นของเด็กหนุ่มผิวแทนที่นั่งสั่นอยู่ตรงนั้นต่างหาก

ธีโอเหลือบมองแล้วก็กัดฟันแน่น “เกี่ยวอะไรกับไอ้โอเมก้าโสโครกนั่น”
“เอ้า เกี่ยวสิ แกเป็นคนทำให้หมอนั่นตกใจ แถมยังทำให้เจ็บตัวอีก รู้ไม่ใช่เหรอว่าควรทำยังไง”

ธีโอรู้อยู่แล้วว่าเจเรมีต้องการให้เขาเอ่ยคำว่าขอโทษ แต่มันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องพูดอย่างนั้นกับโอเมก้าชั้นต่ำล่ะ! ชั้นต่ำอย่างเดียวไม่พอ ยังมีสถานะเป็นได้แค่ของเล่นบำเรอกาม เรื่องอะไรที่เขาจะลดตัวลงไปกัน

หากแต่การไม่ยอมพูดก็ทำให้เจเรมีเม้มปาก ถอนหายใจออกมาคล้ายกับว่าเบื่อหน่าย
“แกนี่มันหัวดื้อจริงๆ น้า ก็แค่พูดว่า... ‘คุณครับ ผมขอประทานอภัยอย่างสุดซึ้งที่จู่ๆ ไอ้หนูของผมมันก็ซุกซนอยากจะเข้าไปในตัวคุณขึ้นมา’ มันยากตรงไหนกัน” แล้วก็ยกขาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกระแทกซ้ำลงไปที่จุดเดิม

ธีโอส่งเสียงดังอั่ก ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วจนใบหน้าของเขาเหยเก ป่านนี้อกเขาคงช้ำในไปหมดแล้วกระมัง
“ปะ...ปล่อย” แค่นเสียงออกมาอีกครั้ง รู้สึกว่าเหมือนจะเริ่มหายใจไม่ออก
“ถ้ามันยาวไปก็สั้นๆ ก็ได้ พูดขอโทษมันไม่ยากหรอกน่า เอ้าพูด”
เจเรมีไม่ได้ฟังเสียงผะแผ่วนั่นเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ทำหน้าระอา บดขยี้ปลายรองเท้า ปากก็ข่มขู่ไปเรื่อย

ปีศาจ! หมอนี่มันปีศาจ!

เสียงในหัวของธีโอดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาอยากหลุดรอดออกไปจากเงื้อมมือของจอมวายร้ายนี่แต่ก็ไม่อยากจะเสียหน้าไปพูดขอโทษโอเมก้าอย่างนั้น

พวกชั้นต่ำ จะไปก้มหัวให้มันได้ไง!

การกระทำของเจเรมีนับว่าอุกอาจเลยทีเดียว แม้แต่เพื่อนสนิทที่เห็นเขาทะเลาะวิวาทอยู่บ่อยครั้งยังใจสั่น โอเมก้าที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเองก็กลัวว่าการกระทำของเจเรมีจะส่งผลเสียมาถึงตนจึงรวบรวมความกล้า เปล่งเสียงออกไป

“ยะ...หยุดเถอะครับ ผมไม่เป็นไร ปล่อย...ปล่อยเขาไปเถอะ เป็นความผิดของผมเอง” พูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตา ตัวหมอบลงกับพื้น แสดงท่าทางยอมแพ้อย่างชัดเจน

เจเรมีหันไปมองแล้วร้องดัง ‘หา!?’ คล้ายกับกำลังคิดว่าทำไมถึงได้ยอมจำนนง่ายดายขนาดนั้น ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร อัลเบิร์ตที่มองดูอยู่นานก็อดไม่ได้ ว่าออกมาบ้าง

“พอเถอะเจมี่ เดี๋ยวมันจะบานปลายใหญ่นะ”
ที่ไม่ห้ามตั้งแต่ตอนแรกเพราะตัวเองก็เขม่นกับธีโออยู่เหมือนกัน เพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้เลยยืมมือเจเรมีจัดการ ส่วนตัวเองก็ยืนชมความสนุกนั้นอย่างเพลิดเพลินไป
“แล้วไง” เจเรมีเอียงคอมามองอัลเบิร์ตทำหน้าเครียด
“คนที่เดือดร้อนจะไม่ใช่นายน่ะสิ”

กะว่าจะไม่สนใจอยู่แล้ว แต่พออัลเบิร์ตว่ามาอย่างนี้พร้อมกับเหลือบมองไปยังร่างสั่นเทาบนพื้น เจเรมีก็พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง หงุดหงิดเล็กน้อยที่การเล่นสนุกของเขาต้องจบลงก่อนถึงเวลาอันสมควร

“สำนึกในบุญคุณของหมอนั่นเอาไว้ให้ดีล่ะ ถ้าไม่เป็นเพราะหมอนั่น ฉันจะเหยียบแกให้จมดินเลยคุณแฮร์ริสัน” เจเรมียอมยกขาขึ้นจากอกของธีโอได้ แต่ก็ไม่วายกระทืบส่งท้ายเต็มแรงไปอีกที

ธีโอถึงกับโก่งตัวงอด้วยความเจ็บปวด พอเจเรมีผละออกมา พวกเพื่อนของธีโอถึงได้รีบปรี่เข้าไปลากเขาออกห่างจากปีศาจตนนั้น

“พวกสวะ” เจเรมียิ้มเผล่ สะใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็ได้เล่นสนุกก่อนกลับ

คิดว่าจะกลับไปพร้อมกับความน่าเบื่อซะแล้ว...

รอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้าเขาเป็นรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจ และเขาก็ไม่ชอบมันทุกครั้งที่เห็นเสียด้วย ทว่าก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้วเมื่อเจเรมีเปล่งเสียง
“ไสหัวไปภายในสามวิ...”
“คอยดูเถอะแก ฉันเอาคืนแกแน่” ธีโอไม่วายขู่
เจเรมีกลอกตาแล้วออกปาก “สาม...”

ไร้ซึ่งการนับหนึ่งและสองพลันทำท่าจะถลาเข้าไปอีก คราวนี้ไม่ได้ไปมือเปล่า หันไปคว้าท่อนเหล็กที่วางพิงอยู่บนกำแพงใกล้ๆ มากระชับในมือมั่น

ขนาดไม่มีอาวุธยังร้ายกาจขนาดนี้ ถ้ามีอาวุธจะร้ายขนาดไหน

ไม่มีเหตุผลที่จะให้ธีโอและผองเพื่อนอยู่อีกต่อไป ทั้งหมดรีบพากันออกไปจากสถานที่แห่งนั้น ไม่ใช่ว่ากลัวเจเรมีหรอกนะ แต่คำนวณดูแล้ว ทะเลาะกับคนบ้าไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย

เห็นพวกนั้นไปหมดแล้ว เจเรมีก็โยนท่อนเหล็กทิ้ง ปัดมือที่เปื้อนฝุ่นออกสองสามครั้ง สะบัดคอแล้วว่าด้วยท่าทางไม่ยี่หระ
“ไร้น้ำยากันซะจริง เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอหน้าจะเล่นสนุกกับพวกมันอีก นายอยากให้ฉันจัดอะไรพิเศษให้มันไหม”
“พอเถอะน่าเจมี่ แค่นี้ก็หนักพอที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้แล้วนะ” ได้ยินเพื่อนคาดโทษ อัลเบิร์ตก็รีบแทรก

จริงอย่างที่อัลเบิร์ตว่า กระทืบลูกชายสมาชิกสภาระดับสูงที่เจอหน้ากันโดยบังเอิญเสียอ่วมเพราะโอเมก้าคนเดียวขนาดนั้น มันชวนให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเมอร์ซีกับตระกูลแฮร์ริสันสั่นคลอนได้เลยนะ

ไม่รู้ว่าเจเรมีตระหนักถึงผลเสียข้อนี้หรือไม่ รู้แต่ว่าเขาไม่สนใจ นอกจากเดินไปใกล้โอเมก้าคนนั้น ปรายตามองไปยังต้นแขนผ่านผอมข้างขวาที่มีรอยสักเป็นสัญลักษณ์โอเมก้าขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยที่หัวไหล่และมีรอยสักเป็นจุดๆ อยู่ด้านล่างซึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเขาเคยถูกขายทอดตลาดมาแล้วกี่ครั้ง

เท่าที่เห็นเหมือนจะมีสี่จุด...

ส่วนเครื่องหมายโอเมก้านั้นเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเพศที่ทุกคนจำเป็นต้องสักเอาไว้ไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นอื่นๆ ที่มีอายุครบยี่สิบปี สำหรับโอเมก้าอาจจะพิเศษหน่อยตรงที่ไม่จำเป็นต้องอายุครบกำหนดถึงสักได้ แค่รู้ว่าเป็นโอเมก้าก็ถูกตีตราแล้ว
มองนิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่ให้คนถูกมองเสียวสันหลังวาบ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“นายชื่ออะไร”
“ละ...ลูก้า” อีกฝ่ายตอบรับเสียงสั่น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนถามเลยแม้แต่น้อย
เจเรมีก็ไม่สน ถามต่ออีก “ตอนนี้นายเป็นของใคร”
เดาว่าน่าจะเพิ่งถูกขายทอดตลาดมาถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคิดเมื่อลูก้าตอบ
“ตอนนี้...มะ...ไม่มีครับ”

พวกอัลฟ่าก็เป็นอย่างนี้ เบื่อแล้วก็ทิ้งขว้าง อยากได้ก็มาซื้อใหม่ หนักหน่อยก็ถึงขั้นฆ่าทิ้ง ดีนะที่ลูก้ายังรอดมาได้จนถูกขายต่อมาเรื่อยๆ

ถามเสร็จก็ยืนมองอยู่นาน ลูก้าชักตัวสั่นมากกว่าเดิม อยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้จะแย่ อัลเบิร์ตเองยังอดอึดอัดกับการจ้องมองของเจเรมีไม่ได้เลย อันที่จริงเขาอึดอัดเพราะต้องมาอยู่ใกล้ๆ กับโอเมก้าในตลาดมืดอย่างนี้มากกว่า ก่อนจะตัดสินใจโพล่งขึ้นเพื่อเตือนให้เพื่อนรู้ว่าควรไปจากที่นี่ได้แล้ว
“เจมี่ เสร็จเรื่องแล้ว พวกเราก็...”

จู่ๆ ก็หยุดพูดไปเพราะเจเรมีเหลือบมามอง ก่อนที่เขาจะแกะกระดุมเสื้อเครื่องแบบของตัวเองออก ถอดมันออกมา เหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวใน จากนั้นก็เอาเสื้อเครื่องแบบนั้นไปคลุมตัวให้ลูก้า

“นายคงไม่อยากให้ใครเห็นว่าถูกขายมากี่ครั้งหรอกมั้ง”
ลูก้าชะงัก เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ เจเรมีวางท่าเฉยชาก่อนพยักปลายคางไปยังอีกทิศ
“เอ้า ไสหัวไปได้แล้ว จะอยู่อย่างนี้อีกนานไหม”

ไม่เข้าใจว่าอัลฟ่าอย่างผู้ชายคนนี้จะมาช่วยเขาไว้ทำไม ไม่ถามด้วยซ้ำว่าเขาไปทำอะไรไว้ถึงได้ถูกผู้ชายสามคนนั้นไล่ตามมา แต่ก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรให้เสียเวลาอยู่แล้ว ถูกไล่ก็รีบลุกขึ้นพรวด ริมฝีปากแห้งผากเอ่ยขึ้นหลายๆ ครั้ง
“ขะ...ขอบคุณครับ ขอบคุณ...”

แล้วก็ชำเลืองมองใบหน้าของคนที่ช่วยเขาเล็กน้อย พอเห็นได้ชัดเจนก็รีบหันหนีแล้วออกวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งให้เจเรมีกับอัลเบิร์ตมองตามหลังอยู่อย่างนั้น

พอลูก้าจากไปแล้ว อัลเบิร์ตก็ยกมือขึ้นลูบใบหน้า
“ให้ตายเถอะเจมี่ วันนี้นายก่อเรื่องเป็นครั้งที่สองแล้วนะ ครั้งนี้บานปลายใหญ่หลวงเลยเนี่ย”
“นายว่าหมอนั่นอายุเท่าไหร่” ไม่ได้ฟังที่อัลเบิร์ตพูดสักนิด ถามเรื่องอื่นแทรกเสียอย่างนั้น
อัลเบิร์ตอ้าปากอย่างไม่เชื่อว่าเขาจะทำแบบนี้ พลันรีบพูดโพล่ง
“นี่เจมี่ นายเลิกสนใจ...”
“ฉันว่าน่าจะสักสิบเจ็ดสิบแปด แต่ตัวเล็กขนาดนั้น อาจจะสิบหกก็ได้ ยังเด็กอยู่เลยเนอะนายว่าไหม”
ยังไม่สนใจสิ่งที่อัลเบิร์ตจะพูดอยู่ดี ตอนนี้อัลเบิร์ตถอดใจไปแล้ว กลอกตาแล้วโบกมือไหวๆ ในอากาศเป็นเชิงว่าอย่ามาพูดกับเขา
“นึกสภาพพวกไอ้แก่ตัณหากลับนอนกับเด็กนั่นไม่ออกเลยแฮะ คงทุเรศน่าดู”

แต่พอเจมี่ยังพึมพำคนเดียวไม่หยุด ก็อดไม่ได้ที่จะยุติการกระทำบ้าๆ นี้
“พอเถอะ กลับกันได้แล้ว ฉันปวดหัวจะตายอยู่แล้ว”
“นายนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”

อารมณ์ขันบ้าอะไรล่ะ น่าตลกตาย

ถ้าตลกก็คงจะเป็นตลกร้ายหรือไม่ก็มีแค่เจเรมีเท่านั้นที่หัวเราะร่วนอยู่คนเดียว

เพื่อนสนิทไม่มีอารมณ์จะมาเล่นด้วยแล้ว สีหน้างี้ซีดเป็นกระดาษเชียว สงสัยวันนี้จะเกินรับกับวีรกรรมเขาได้ไหวแล้วล่ะ
“ไปๆ กลับก็กลับ แล้วก็เลิกทำหน้าอย่างนั้นสักที เห็นแล้วปวดหัว”

ถึงจะยอมกลับแต่โดยง่าย ทว่าก็ไม่วายยอกย้อน

อัลเบิร์ตไม่รู้จะแสดงอาการเหนื่อยหน่ายออกมามากกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว ยังดีที่เจเรมียอมทำตามคำขอของเขา ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายกอดคอแล้วลากออกไปจากตลาดมืดอย่างสบายอารมณ์ จะมีก็แต่เขานั่นแหละที่เป็นกังวล

เครื่องแบบของเจมี่... ให้โอเมก้าคนนั้นไปมันจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?

เหลือบมองคนข้างกายที่ทำท่าทางสบายใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไล่ความกังวลนั้นทิ้ง
คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง... หวังว่านะ ก็เขาเป็นจอมวายร้ายนี่ ใครจะทำอะไรได้
 -----------------------------
พระเอกยังไม่โผล่นะคะซิส มาตอนหน้าฉากนึง (อ้าว 555)
เรื่องนี้อาจจะมีตัวละครเยอะนิดนึงค่ะ ความสัมพันธ์สลับซับซ้อนเล็กน้อยแต่มีความสำคัญในเรื่องอยู่ค่ะ
ส่วนนายเอกของเรานั้นไซร้...น่ารัก อ่อนโยน เป็นที่รักของผองเพื่อนมนุษย์มากกก(?) รูปร่างเล็กบอบบางน่าทะนุถนอม(??) 5555 ตรงกันข้ามหมดเลยคืออะไร XD เอาเป็นว่าหล่อเป็นใช้ได้ ส่วนความดิบนั้น... เอาไฟเผาสักทีจะได้สุกๆ (หรือเกรียม?)
เถื่อนมาก เป็นนายเอกคนแรกที่เขียนเถื่อนขนาดนี้ แอบสนุกอะ หนูเจมี่เถื่อนขนาดนี้แล้วพระเอกจะต้องขนาดไหนถึงเอานางอยู่ ก๊ากกก

เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาแปะตัวอย่างให้นะคะ ถ้าเขียนจบตอนก็อัพเต็มตอนเน้อ รอกันก่อนนะ
ปล. อย่าลืมฝากฟีดแบ็กให้กันนะจ๊ะ XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.01[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 10-01-2017 08:10:49
ดูท่าพระเอกเรื่องนี้จะค่าตัวแพงนะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.01[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 10-01-2017 12:24:38
สนุกจังเลยยยย :mew3:

ว่าแต่นายเอกนี่เท่าที่อ่านดูออกจะล่ำๆหน่อยใช่ไหม? :hao3:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.01[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2017 12:33:31
สนุกจังเลยยยย :mew3:

ว่าแต่นายเอกนี่เท่าที่อ่านดูออกจะล่ำๆหน่อยใช่ไหม? :hao3:

ใช่แล้วค่า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.01[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2017 20:50:42
Episode 02: โรคพันธุกรรมบกพร่อง[1]

ตอนแรกก็กะว่าจะแยกย้ายกลับบ้านทันทีด้วยรู้สึกเหนื่อยล้ากับสิ่งที่พบเจอมาวันนี้เต็มทน ทว่าเอาเข้าจริงก็ไม่ได้กลับเพราะถูกเจเรมีลากมาที่บ้านแทน อัลเบิร์ตก็อยากจะปฏิเสธอยู่หรอก แต่ก็ทำได้เพียงเก็บปากเงียบเมื่ออีกฝ่ายอ้างว่าบิดาของตนอยากพบด้วยไม่ได้เจอหน้าอัลเบิร์ตมาระยะหนึ่งแล้ว

ถูกเอาผู้ใหญ่มาอ้าง อัลเบิร์ตก็จนปัญญา ยอมตามมาแต่โดยดี หากแต่พอเข้าบ้านของเพื่อนสนิทไป ทักทายกับคุณนายเมอร์ซีที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเรียบร้อยก็ต้องแปลกใจที่เห็นว่าบิดาของเขาเองก็อยู่ในบ้านหลังนี้แล้วเช่นกัน

“พ่อ” สีหน้าตกใจพร่างพรายขึ้นบนใบหน้าของอัลเบิร์ต “มาทำอะไรที่นี่น่ะครับ” เอ่ยปากถามออกไปด้วยใจสั่นระรัว เกรงว่าที่บิดามาโผล่ในบ้านเพื่อนสนิทอย่างนี้เป็นเพราะรู้เรื่องวีรกรรมที่เจเรมีก่อในวันนี้แล้วเรียบร้อย

แมธธิว วอล์กเกอร์ ซึ่งกำลังยกถ้วยชาคาโมมายล์ขึ้นดื่มเหลียวมองหน้าลูกชายก่อนตอบเนือยๆ

“คุณเมอร์ซีมีเรื่องจะคุยกับพ่อนิดหน่อยก็เลยตามให้มา”

คนถูกเอ่ยถึงเป็นฝ่ายยิ้มทักชายหนุ่มบ้าง อัลเบิร์ตไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร บิดาถูกเรียกตัวมาอย่างนี้แสดงว่ารู้เรื่องวันนี้ทั้งหมดแล้ว แน่นอนว่าหมายถึงเรื่องที่เจเรมีลากเขาไปที่ตลาดค้าโอเมก้าด้วย

ย้ำให้ชัดเจนว่า...เจเรมีลากเขาไป!

“คือ...ผมอธิบายได้นะครับ พวกเรา...” ออกปากแก้ตัวไปโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังไม่มีใครถามด้วยซ้ำ
แมธธิวยกมือขึ้นปรามลูกชายทันควัน “ไม่ต้องเล่า พ่อรู้หมดแล้ว มีคนมาบอกเรียบร้อย และก็ไม่ต้องห่วง คุณเมอร์ซีไม่ได้เรียกมาเพราะเรื่องนี้”

ไม่รู้อัลเบิร์ตจะโล่งใจดีหรือไม่ แต่เจเรมีไม่สะทกสะท้านอะไรสักนิด หัวเราะพลางเอ่ย

“ข่าวไวจริงๆ มีสายอยู่ทุกที่เลยนะพวกคนระดับสูงเนี่ย”
หมายถึงชนชั้นสูงที่อยู่ในระดับสูงซึ่งเหนือกว่าชนชั้นสูงทั่วไป

แมธธิวหัวเราะให้กับความคึกคะนองของชายหนุ่มที่เห็นมาตั้งแต่เล็กยันโต ก่อนที่เจอโรมจะเป็นฝ่ายตัดบท
“ถ้าแกจะเพลาๆ ความบ้าลงบ้างมันก็ดี ฉันขี้เกียจฟังเรื่องร้องเรียนว่าแกไปก่อปัญหาอะไรมาบ้าง”
“พวกหนุ่มๆ ก็แบบนี้แหละครับ กำลังคึกคะนอง ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กตัวเล็กๆ จะโตขึ้นถึงขนาดนี้แล้ว อีกไม่นานก็จะได้ประทับรอยสักแล้วสินะ” แมธธิวเสริม สายตามองไปยังหัวไหล่ข้างขวาของเจเรมีที่ปราศจากรอยสักอันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเพศ
ไม่ใช่เจเรมีคนเดียวที่ยังไม่มี ลูกชายเขาเองก็ยังไม่ได้รับการสักเหมือนกัน แต่คงอีกไม่นานแล้ว ก็ทั้งคู่อายุยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วนี่

“ผมว่ามันไร้สาระ” เจเรมีอดสวนไม่ได้
“ถึงจะไม่ชอบ แต่ก็อดทนหน่อยนะ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมานาน ใครๆ ก็ทำกัน” แทธธิวหัวเราะเมื่อเห็นว่าคำพูดของเขาทำคู่สนทนายู่หน้า เขาเข้าใจดีเลยว่าเจเรมีเบื่อหน่ายกับจารีตประเพณีทางสังคมเพียงใด เขาก็เบื่อ ตอนที่เขาอายุยี่สิบและต้องเข้าพิธีประทับรอยสัก เขาเองก็แอบต่อต้านในใจเล็กๆ เหมือนกัน

“มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นวัวในฟาร์มเพาะยังไงก็ไม่รู้” เจเรมีพูดตรงๆ เรียกเสียงหัวเราะจากแมธธิวได้อีกครั้ง
เจอโรมเหลือบมองลูกชายเล็กน้อย พอเห็นบางอย่างผิดปกติก็เอ่ยแทรก
“แล้วเสื้อแกหายไปไหน”

เจเรมีเกือบลืมไปแล้วว่าตอนนี้ช่วงบนของตนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเท่านั้น หากแต่เขาไม่ตอบตามตรงว่ายกให้โอเมก้าในตลาดมือไปแล้ว นอกจากยกยิ้ม เลิกคิ้วพลันลอยหน้าลอยตา
 “ถูกอากาศแล้วหดมั้ง ใช้ผ้าคุณภาพต่ำตัดก็อย่างนี้”

อัลเบิร์ตแทบจะกระทืบเท้าใส่อีกฝ่ายที่เอาแต่เล่นอยู่ได้ ขนาดนั้นพ่อตัวเองนะ ความยียวนยังไม่ลดน้อยถอยลงเลย
เจอโรมมองลูกชายนิ่งๆ อีกเพียงครู่ ไม่อยากจะถือสาอะไรกับความกวนประสาทของคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายตัวเองตอนหนุ่มอย่างกับแกะนักหรอกก่อนออกปากไล่

“จะไปทำอะไรก็ไปซะ ฉันจะคุยธุระต่อ”
พูดมาอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าเรื่องที่แมธธิวถูกเรียกมาคุยไม่ใช่เรื่องของพวกเขา เจเรมีพยักหน้ารับแล้วผละออกจากห้องรับแขกไป อัลเบิร์ตตามหลังไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงคุณนายเมอร์ซีร้องเรียกให้ไปทานมื้อเย็น

คล้อยหลังชายหนุ่มทั้งสองไปได้เล็กน้อย แมธธิวก็เปิดปาก
“ยังเฮ้วเหมือนเดิมเลยนะครับลูกชายคุณเนี่ย เห็นแล้วอย่างกับเห็นคุณตอนหนุ่มๆ”
“มันบ้ากว่าผมเยอะ เทียบกันไม่ติดหรอก” เจอโรมตอบอย่างขอไปที ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะร่วน
ความจริงตอนหนุ่มๆ เจอโรมก็ไม่ต่างอะไรจากเจเรมีนัก เพียงแต่รู้กาลเทศะมากกว่า ไม่หาเรื่องใครไม่เลือกหน้าอย่างนี้ ยังรู้ว่าคนไหนควรมีเรื่องด้วย คนไหนควรอยู่ให้ห่าง แต่สำหรับเจเรมีนั้นไม่ใช่ รายนั้นพร้อมที่จะฉะกับทุกคนที่ยืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับเขาโดยไม่รีรอทันที

“อย่าไปคุยเรื่องความบ้าของมันเลย ผมไม่ได้เรียกคุณมาเพราะเรื่องนี้หรอกนะ” เจอโรมเข้าเรื่อง
แมธธิวพยักหน้ารับก่อนเริ่มบทสนทนาที่คุยค้างไว้ก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“แล้วคุณจะให้มันเป็นอย่างนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่ มีแผนว่าจะหยุดทำอย่างนี้เมื่อไหร่ครับ”
“จนกว่าคุณจะมีทางเลือกอื่นให้ผม” เจอโรมว่าเสียงเรียบ สายตาจับจ้องไปยังชายวัยกลางคนที่อายุไล่เลี่ยกับตนเอง “จนกว่าจะมียาที่ระงับอาการนั้นได้อย่างถาวร”

คนฟังรู้คำตอบดี เขาก็กำลังพยายามหาทางอยู่ แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็นับว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะ ยาที่เขาลักลอบให้แพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขแห่งมหานครเพิร์ลซึ่งเขาดูแลอยู่ผลิตออกมาเรียกได้ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงเลยทีเดียว ตั้งแต่เริ่มใช้กับเจเรมีและค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเจเรมีจะออกอาการใดๆ เลย

ได้ผลชะงัด ไร้ซึ่งผลข้างเคียง เป็นยาที่คุณภาพดีที่สุดเท่าที่เขาเคยดำเนินการผลิตมาแล้ว

ทว่ากระนั้นเจอโรมก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ ผลของมันเป็นที่น่าพอใจก็จริง หากแต่มันยังไม่เคยได้รับการทดลองใช้กับกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นกรณีที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น และเป็นกรณีที่... ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ยังไม่เจอ ‘หนูทดลอง’ ที่เกิดมาเพื่อลูกชายเขาเลยสักครั้ง

เหตุผลนี้ทำให้เขาต้องเรียกแมธธิวมาปรึกษาเป็นการส่วนตัว อีกไม่นาน เจเรมีก็จะออกไปสู่สังคมอัลฟ่าเต็มตัวแล้ว มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่พวกเขารู้กันดี ในหมู่ของพวกผู้นำก็มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เขาจะไม่ยอมให้เจเรมีกลายเป็นเหยื่อเด็ดขาดแม้ว่าลูกของเขาจะได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมวายร้ายที่ใครๆ พากันขยาดก็ตาม

“ผมกำลังกังวลว่าถ้าสักวันเราเจอหนูทดลองตัวนั้น เราจะจับมันมาทำการทดลองได้ทันการณ์ก่อนที่เจเรมีจะกลายเป็นเหยื่อหรือเปล่า” เจอโรมว่าออกไปตามตรงว่าเขากลัดกลุ้มเรื่องอะไร
แมธธิวพยักหน้ารับ ไร้คำพูดออกจากปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย

“ผมเองก็กังวลเรื่องนั้น กับพวกทั่วๆ ไปก็มั่นใจได้อยู่หรอกว่าใช้ได้ผล แต่กับคนคนเดียวที่เราไม่เคยเจอเลยนั่น... มันก็พูดยากอยู่นะ”
“ผมถึงอยากให้คุณเร่งมือหน่อย เรื่องงบประมาณไม่ต้องเป็นห่วง ผมพร้อมจะสนับสนุนด้านนี้ ขอแค่ให้คุณเอ่ยปากมา แล้วก็เหยียบให้สนิท ทุกอย่างยังคงต้องเป็นความลับเหมือนเดิม”

แมธธิวพยักหน้า เขารักษาความลับได้อยู่แล้ว กับคนที่เคยมีบุญคุณกับเขาอย่างเจอโรม เขาไม่ทรยศหักหลังครอบครัวของผู้มีพระคุณหรอก ไม่อย่างนั้นจะเก็บความลับมาได้ถึงยี่สิบปี ซ้ำยังร่วมมือดำเนินงานโครงการลับกับเจอโรมเพื่อเจเรมีถึงเจ็ดปีอย่างนี้เหรอ?

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมจัดการให้ได้”
การกระทำของพวกเขาดูเหมือนกับพวกนักการเมืองที่เจรจากระทำการทุจริตก็ไม่ปาน ทว่าไม่ใช่ งบประมาณที่แมธธิวได้จากทางเจอโรมไม่ได้มาจากการคอร์รัปชัน หากแต่เป็นรายได้ของตระกูลเมอร์ซีเอง แต่การกระทำนี้ก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเจเรมี

เจอโรมได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจ เขาเองก็เชื่อใจสหายคนนี้และคาดหวังสูงอยู่เหมือนกัน แมธธิวเองก็เหมือนกับอัลเบิร์ต สนิทกับตระกูลเมอร์ซีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จากวัยเด็กสู่ตอนโตกระทั่งถึงตอนที่ต่างฝ่ายต่างมีหน้ามีตาทางสังคมอย่างนี้ แม้ว่าคำพูดคำจาจะเปลี่ยนไปตามการวางตัวในสังคมอยู่บ้าง แต่ความสนิทชิดเชื้อไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย

“ผมตั้งความหวังไว้สูงนะ” เจอโรมย้ำคำอีกครั้งให้แมธธิวได้หัวเราะน้อยๆ

เขาเองก็ตั้งความหวังไว้สูงเช่นเดียวกัน แต่ว่า...
“แต่การฝืนสัญชาตญาณมันไม่ง่ายเลยนะ คุณควรคิดหาทางอื่นไว้เผื่อเป็นแผนสำรองด้วย”

นั่นแหละ... มันไม่ง่ายเลย

เจอโรมรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะให้แผนการนี้สำเร็จถึงขั้นสูงสุดเสียก่อน เพราะแผนสำรองของเขามันไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่นัก

“ถึงได้บอกว่าคาดหวังกับคุณไว้สูงไง” เจอโรมว่าอีกครั้ง ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบบ้าง
แมธธิวไม่ว่าอะไรต่อ พอจะรู้มาอยู่หรอกว่าแผนสำรองของเจอโรมมันไม่เข้าท่า ถ้าต้องทำตามแผนนั้นขึ้นมา เท่ากับว่าตระกูลเมอร์ซีต้องทิ้งทุกอย่างที่มีไปทันที

“หรือไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องหาหนูทดลองให้พบก่อนที่จะเจอกับเจเรมี แต่นานขนาดนี้แล้วยังไม่พบตัว กลุ่มอัลฟ่าในเพิร์ลก็มีแค่หยิบมือ ในเมื่อเจเรมีไม่แสดงอาการออกก็อาจจะวางใจได้”
“ยังไม่แสดงอาการแค่ระยะนี้ แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ ทำตามหน้าที่ให้ดีก็แล้วกัน ผมฝากฝังชีวิตลูกชายเอาไว้ด้วย”




 
การสนทนาของทั้งสองเป็นไปอย่างยาวนานพอสมควร กว่าจะเสร็จสิ้น อัลเบิร์ตก็แทบจะหลับในห้องของเจเรมีแล้วถ้าหากว่าคุณนายเมอร์ซีไม่มาเคาะประตูเรียกพร้อมกับเอาชุดเข็มฉีดยามาให้ เจเรมีจัดการตัวเองอย่างคล่องแคล่ว ทำเอาเพื่อนสนิทที่มองอยู่อดถามออกไปไม่ได้

“ต้องฉีดทุกวันเลยเหรอครับ” ไม่ได้ถามเจเรมี หากแต่ถาม มาเรีย เมอร์ซี ที่เก็บข้าวของหลังลูกชายฉีดยาให้ตัวเองเสร็จ
“ใช่แล้วจ้ะ”
“ทั้งเช้าและเย็นเลยเหรอ”
“ช่วงนี้ก็ต้องแบบนี้แหละนะ ป่วยนี่” ใบหน้าของคนตอบเปื้อนรอยยิ้มทำเอาอัลเบิร์ตไม่อยากถามอะไรต่อ ถึงอยากถามก็ไม่มีโอกาสแล้วเมื่อมาเรียพูดขึ้นอีก “แล้วเธอจะกลับเลยไหมจ๊ะอัล เห็นว่าคุณวอล์กเกอร์คุยธุระเสร็จแล้ว หรือจะนอนค้างที่นี่กับเจมี่”

คนถูกถามเหลือบไปมองเจเรมีที่โดขึ้นเตียงเล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายกระดิกนิ้วเรียกยิกๆ ด้วยท่าทางกวนประสาท อัลเบิร์ตก็ส่ายหน้า
“ไม่ล่ะครับ ผมกลับพร้อมพ่อดีกว่า”
ใครมันจะไปอยากอยู่ให้ปวดหัวมากกว่าเดิม ถึงจะมั่นใจว่าเจเรมีคงไม่ก่อเรื่องแล้ว แต่ก็คงจะกวนเขาน่าดู กลับไปพักผ่อนที่บ้านให้เต็มที่เพื่อรอรับมือกับความแสบสันของคนตัวใหญ่ในวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า
“งั้นไปกันเถอะจ้ะ”

ได้ยินมาเรียพูดอย่างนั้น อัลเบิร์ตก็หันไปลาเพื่อนแล้วออกจากห้องนอนไป มาเรียขอตัวไปเก็บข้าวของก่อน ปล่อยให้เพื่อนลูกชายเดินออกไปยังหน้าบ้าน หากแต่ยังไม่ทันจะถึงประตู แค่เข้ามาใกล้บริเวณหน้าห้องรับแขกเท่านั้น เขาก็ต้องหยุดกึกเมื่อหูได้ยินเสียงสนทนาลอยตามมา
“ขอบคุณที่มานะคุณวอล์กเกอร์”
“สำหรับคุณแล้ว ผมยินดีครับ แต่ผมก็คงต้องขอยืนยันคำเดิมว่าการต่อสู้กับสัญชาตญาณมันไม่ง่ายเลย คุณลองหาแผนการอื่นสำรองไว้เพิ่มเติมเผื่อเป็นทางเลือกด้วยก็แล้วกัน แผนสำรองแค่แผนเดียวมันไม่น่าจะพอ”
“ผมรู้ ไปเถอะ ผมจะไปส่ง”

ไม่ได้ตั้งใจจะฟังแต่ได้ยินไปเรียบร้อยแล้ว พลันก็สงสัยว่า ‘ต่อสู้กับสัญชาตญาณ’ ที่ว่าคืออะไร หากแต่ก็ต้องรีบทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินเมื่อเห็นผู้ใหญ่ทั้งสองโผล่หน้าออกมา ก่อนรีบบอกลาเจอโรมทันทีที่เห็นหน้า

สองพ่อลูกวอล์กเกอร์เดินไปตามทางเรียบของถนน ตรงไปยังรถคันหรูที่จอดเทียบอยู่ข้างทาง ทั้งหมดควรจะดำเนินไปอย่างปกติ หากแต่ในใจของอัลเบิร์ตไม่เป็นปกติเลย เขาสงสัย อึดอัด แล้วก็อยากรู้ ความรู้สึกหลายอย่างปะปนกันไปหมดจนเขาอดถามออกมาไม่ได้

“พ่อ เจมี่ป่วยเป็นอะไร”
แมธธิวที่กำลังจะเปิดรถหันไปมองหน้าลูกชายทันที “ไม่ใช่เรื่องที่ลูกต้องรู้”

คำตอบเดิมหลุดออกจากปากผู้เป็นพ่ออีกแล้ว หากแต่ครั้งนี้อัลเบิร์ตไม่ยอมล่าถอยไปง่ายๆ ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เขาก็ต้องรู้ว่าเพื่อนตัวเองป่วยเป็นอะไรกันแน่ พลันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเม็ดยาที่เจเรมีทำตกเมื่อช่วงเช้าออกมาให้ดู
“เมื่อเช้าศาสตราจารย์คอร์ธนีย์พาโอเมก้ามาที่คลาสเรียน ก่อนเริ่มบรรยาย เขาให้พวกเรากินยาต้านฟีโรโมนของโอเมก้าก่อน มีแค่เจมี่ที่ไม่ได้กิน แต่เขาไม่มีอาการอะไร มันหมายความว่ายังไงครับ”

แมธธิวชะงักไปอีกครั้ง คิดอยู่แล้วว่าสักวันอัลเบิร์ตจะต้องสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ก่อนจะมองซ้ายขวาแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ลูกชายรีบขึ้นรถ
ขึ้นมาได้ก็เอ่ยถาม “มีคนอื่นนอกจากลูกรู้เรื่องไหม”

อัลเบิร์ตส่ายหน้า ทำให้แมธธิวถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
“ตกลงเขาป่วยเป็นอะไรครับ” คิดว่าบิดาคงจะยอมเปิดปากแล้วจึงถามย้ำออกไปอีก
แมธธิวเหลือบมอง มาถึงขั้นนี้แล้วคงต้องบอก
“ทุกอย่างที่คุยกันจะเป็นความลับ ใครก็รู้ไม่ได้เข้าใจไหม แม้แต่เจเรมีเองก็ห้ามบอก”
ไม่รู้ว่าทำไมแต่อัลเบิร์ตก็พยักหน้ารับ แต่จนแล้วจนรอดแมธธิวก็ไม่พูดเสียที คล้ายกับว่าชั่งใจว่าควรจะบอกดีไหม สุดท้ายก็เป็นลูกชายที่ต้องถามย้ำ

“ตกลงป่วยเป็นอะไรครับ”
“โรคพันธุกรรมบกพร่อง”
คนฟังทำหน้าไม่เข้าใจขึ้นมาฉับพลัน
“พ่อจะบอกว่ามันมีผลทำให้เจมี่ไม่เกิดอาการตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้า?”
“ประมาณนั้น”
“ยังไงครับ”
“รู้แค่นี้ก็พอแล้ว”

เห็นอัลเบิร์ตกระตือรือร้นถามไม่หยุดก็รีบเบรก ลูกชายถึงกับมุ่ยหน้า อยากรู้มากกว่าเดิมเสียอีก หากแต่เห็นสีหน้าของบิดาแล้วก็รู้ว่าถามไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร จึงได้แต่ปิดปากเงียบกระทั่งแมธธิวเริ่มสตาร์ทรถและขับออกไป

โรคพันธุกรรมบกพร่อง... ต่อสู้กับสัญชาตญาณ...

มันเกี่ยวโยงกันใช่ไหม?

ในหัวของอัลเบิร์ตคิดครุ่นไม่หยุดเลย อยาจะรู้มากกว่าเดิมว่ารายละเอียดมันเป็นอย่างไร แล้วทำไมพ่อของเขากับเจอโรมถึงได้ทำอย่างกับว่าเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกิน

ถ้าหากเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ทำไมถึงไม่บอกเจเรมีล่ะว่าเขาป่วยเป็นอะไร?

ไร้ซึ่งคำตอบ ไม่เห็นเหตุผลใดๆ เลย แต่เอาเถอะ อย่างน้อยเขาก็ได้รู้แล้วว่าการที่เพื่อนเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าเป็นเพราะอะไร

ช่างเป็นอัลฟ่าที่...น่าสงสาร
...หรือเปล่านะ?




 
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.01[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-01-2017 20:51:24
Episode 02: โรคพันธุกรรมบกพร่อง[2]


จะว่าไปเจเรมีก็เบื่อหน่ายกิจวัตรประจำวันของตัวเองมากโขอยู่เหมือนกัน ตื่นเช้าไปฟังบรรยายที่สถาบันพัฒนาฯ จากนั้นก็กลับบ้าน วนเวียนอยู่อย่างนี้แทบทุกวัน เบื่อหน่ายที่สุดคือการต้องจัดการฉีดยาให้ตัวเองทั้งเช้าและเย็น หลายครั้งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงโดยการแสร้งทำเป็นลืม หากแต่ก็โดนมารดามาเตือนตลอดทำให้เลี่ยงไม่ได้

เว้นเสียแต่วันนี้ที่มารดามีธุระต้องออกจากบ้านแต่เช้า ส่วนบิดาก็มีประชุมกับสมาชิกสภาระดับสูง ทำให้เขาเมินเฉยใส่เข็มฉีดยาที่คนเป็นแม่จัดเตรียมไว้ให้ แต่งตัวเสร็จก็พุ่งออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังสถาบันอย่างรวดเร็ว ไม่ฟังแม้แต่เสียงคนรับใช้ในบ้านที่ร้องท้วงว่าเขายังไม่ได้ฉีดยาเลย

ฉีดมาเกือบตลอดชีวิตแล้ว ไม่ฉีดวันเดียวคงไม่ตายหรอกมั้งไอ้โรคบ้านี่น่ะ!

แล้วคนรับใช้จะทำอะไรได้ นอกจากจะรายงานผู้เป็นนายทั้งสองที่ไม่อยู่บ้านไปเท่านั้น ส่วนเจเรมีก็ไม่สนใจอะไรแล้ว วันนี้เขาอยากไปถึงสถาบันเพื่อเริ่มคลาสแรกของวันให้เร็วที่สุดมากกว่า

ทำไมเขาถึงได้กระตือรือร้นที่จะเข้าคลาสเรียนอย่างนี้น่ะเหรอ?

วันนี้มีวิชาที่เขาโปรดปรานน่ะสิ...
...วิชาศิลปะการป้องกันตัว

“นายมาเช้าผิดปกตินะ”
เสียงทักดังขึ้นแผ่วเบาในคลาสขณะที่มีเสียงครูฝึกจากหน่วยทหารของกองทัพอัลฟ่ากำลังอธิบายเรื่องการเรียนการสอนของวันนี้เรียกให้เจเรมีต้องละสายตาจากครูฝึกร่างยักษ์คนนั้นเหลียวไปมองเพื่อนที่กระซิบกระซาบอยู่ข้างตัว

“มีวิชาโปรดนี่” เขากระซิบกลับไปบ้าง
อัลเบิร์ตก็ไม่น่าจะต้องสงสัยหรอก รู้อยู่แล้วว่าเจเรมีชื่นชอบวิชาที่ใช้ทักษะทางร่างกายมากเพียงใด ยิ่งหัวข้อการเรียนในวันนี้เป็นการต่อสู้มือเปล่าแล้วด้วย เขาก็ได้เห็นเจเรมีที่เปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดวอร์มมารอในโรงยิมก่อนใครเพื่อนอย่างที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นที วิชานี้พิเศษตรงที่ครูฝึกจะให้จับสลากเลือกคู่ต่อสู้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลสำคัญเลยทีเดียวที่ทำให้เจเรมีมาแต่เช้า สายตาเขาจับจ้องไปยังร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพลางแสยะยิ้มพราย

“โอกาสเล่นสนุกกับมันต่อหน้าคนเยอะๆ อย่างนี้มีบ่อยซะที่ไหน มันก็ต้องกระตือรือร้นกันหน่อย”
อัลเบิร์ตชำเลืองมองตามไปบ้าง พอเห็นว่าคนที่ถูกสายตาของเจเรมีจับจ้องอยู่ที่ธีโอก็รีบออกปากปราม
“ล้มเลิกความคิดนั้นไปซะ เมื่อวานยังไม่พออีกหรือไง”
“กระทืบไปไม่กี่ทีมันจะไปพอได้ไง มันต้องโดนชุดใหญ่” พูดแล้วก็แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาเป็นประกายวิบวับราวกับเด็กได้ของเล่นถูกใจ

ธีโอรู้สึกตัวว่าถูกจับจ้องอยู่ก็มองตอบ พอเห็นว่าเป็นเจเรมี สีหน้าก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันควัน ยังแค้นใจที่เมื่อวานถูกหักหน้าไม่หาย ขณะที่เจเรมีหัวเราะหึ ชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายแล้วหันนิ้วชี้กลับมาที่เป้ากางเกงตัวเอง จากนั้นก็สลับมาชูนิ้วกลางขึ้นในอากาศ แลบลิ้นเลียเล็กน้อยเป็นการดูถูกเชิงสัญลักษณ์ ทำเอาธีโอโกรธจนหน้าแดงก่ำ แทบจะถลาเข้ามาหาเขาแล้วถ้าหากลูกสมุนที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่ห้ามปรามเสียก่อน

ความชุลมุนบังเกิดขึ้นในทันที ธีโอเริ่มโวยวายที่ถูกห้ามพลางก่นด่าตัวต้นเหตุเสียงดัง ทว่าเจเรมีกลับแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้อัลเบิร์ตชักคิดไปแล้วว่าคนที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นน่าจะเป็นเจเรมีมากกว่า ไม่ใช่ธีโอ ก่อนจะต้องละสายตาไปยังครูฝึกเมื่อเสียงดุดังขึ้น
“ทำบ้าอะไรของพวกคุณกัน!”
ธีโอชะงัก สะบัดตัวออกจากการเกาะกุม ชี้นิ้วมาที่ตัวการและฟ้องเป็นการใหญ่
“มันหาเรื่องผม”
ครูฝึกมองตามปลายนิ้วไปก็เห็นว่าเป็นเจ้าจอมวายร้ายประจำสถาบันที่กำลังยืนแคะเล็บ
“ก่อเรื่องอะไรอีกล่ะคุณเมอร์ซี”
ไม่ต้องเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจเลยว่าคนถูกกล่าวหาเป็นตัวต้นเหตุจริงหรือเปล่า แค่รู้ว่าเป็นเขาก็มั่นใจแล้ว ชื่อเสีย(ง)โด่งดังขนาดนั้น จะให้คิดว่าเป็นคนอื่นไปได้อย่างไร

เจเรมีเองก็กวนประสาท ว่าออกมาโต้งๆ
“ผมก็แค่ทำแบบนี้ให้หมอนั่นดูเฉยๆ” ตามมาด้วยทำแบบเดิมให้ครูฝึกดูอีก ทำเอาอัลเบิร์ตห้ามแทบไม่ทัน
“หยาบคายเกินไปแล้วเจมี่”
แทนที่จะหยุด อีกฝ่ายดันหัวเราะขบขันเสียอย่างนั้น บรรยากาศในโรงยิมกร่อยลงไปทันตา ครูฝึกเองก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่นักหรอก แต่ก็ไม่อยากจะเอาเรื่องเอาราวอะไรมากนัก มันเสียเวลาเปล่าที่จะไปสั่งสอนนักศึกษารายนี้

“ถ้าจะทะเลาะกันก็เอาแรงเก็บไว้ใช้ตอนฝึกดีกว่า กลับเข้ามุมใครมุมมันไปเลย” ออกปากไล่แทบจะในทันที
มีแต่เจเรมีที่ไม่ขยับ ส่วนธีโอก็ถูกเพื่อนลากเข้ามุมไปแล้ว ยังคงออกอาการกระฟัดกระเฟียดให้เห็นคล้ายกับว่าอยากจะตะบันหน้าเจเรมีเต็มทน จนคนมองอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“ใจเย็นๆ น่าคุณแฮร์ริสัน เดี๋ยวแกก็ได้ถูกฉันกระทืบจนอ่วม ยังไม่ต้องรีบร้อน”
“อย่ามาสะเออะเรียกฉันอย่างนั้น!” ธีโอแผดเสียง ทำเอาเจเรมีเลิกคิ้วแสร้งทำหน้าตาเหลอหลา
“แย่จัง เรียกแบบให้เกียรติก็ดันไม่ชอบ งั้นเรียกไอ้เวรดีไหม หรือไอ้สวะ หรืออะไรดี นายมีอะไรอยากเสนอไหม ขออะไรที่เข้ากับการกระทำของนายเมื่อวานนี้หน่อย”
“แก! ไอ้เจเรมี!”

ธีโอทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาอีกระลอก ลืมไปสนิทเลยว่าตัวเองสู้เจเรมีไม่ได้ แต่ด้วยโทสะที่ถูกยั่วขึ้นมาทำให้เขาลืมตัว ความชุลมุนก่อกำเนิดอีกระลอก เจเรมีเองก็ตั้งท่าจะสู้เหมือนกัน ทำเอาใครต่อใครห้ามกันแทบไม่ทัน

สถานการณ์นั้นทำเอาครูฝึกหัวเสีย ความอดทนที่มีอยู่ถึงขีดจำกัดแล้วก่อนเขาจะตะคอกลั่น
“พวกคุณหยุดกัดกันสักที! ถ้าอยากจะซัดกันมากนักก็ไปสวมนวมแล้วขึ้นเวทีไป!”
เจเรมีออกอาการยินดีอย่างไม่ปกปิด มีหน้าไปถามครูฝึกอีก
“ไหนนวมครับ?”

กวนประสาท!

ครูฝึกกัดฟันกรอด อัลเบิร์ตเห็นท่าไม่ดีแล้ว รีบออกปากปรามเพื่อน
“พอได้แล้วน่าเจมี่ ยังเช้าอยู่เลย จะก่อเรื่องทำไมตั้งแต่หัววัน”
“ฉันรีบ” ไม่กวนแค่คนนอก แม้แต่เพื่อนตัวเองก็ไม่เว้น

จนปัญญาจะพูดเหลือเกิน ครูฝึกเองก็ไม่ปล่อยให้สถานการณ์มันแย่ลงมากกว่านั้น แค่นี้เขาก็ปวดกะโหลกจะตายอยู่แล้ว ถึงจะชื่นชมเจเรมีว่าเป็นนักศึกษาที่เขาภาคภูมิใจ แต่เรื่องความสุดโต่งของอีกฝ่ายทำให้เขาสุดจะทนเหมือนกัน
“ไม่ต้องรีบ ได้ใช้กำลังแน่ แต่ต้องขอโทษทีที่ฉันพูดผิดไปหน่อย วันนี้พวกคุณจะไม่ได้ซัดกันเอง แล้วคุณก็กลับไปยืนที่เดิมได้แล้วคุณแฮร์ริสัน สงบสติอารมณ์ได้แล้ว” พูดพลางไล่ธีโอให้ถอยออกห่าง

เจเรมีชักสีหน้าทันควัน อุตส่าห์ดีใจแล้วเชียวว่าจะได้ซัดกับธีโอให้สมใจอยาก ขณะที่อัลเบิร์ตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ ถ้าครูฝึกปล่อยให้ทั้งคู่ซัดกันล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่าธีโอจะโดนอ่วนแค่ไหน

แล้วครูฝึกก็เรียกความสนใจของทุกคนไปด้วยการอธิบายการฝึกฝนที่จะทำกันในวันนี้

“ที่วันนี้ไม่ให้พวกคุณซัดกันเองเพราะมันไม่เหมือนกับสถานการณ์จริงถ้าจำเป็นต้องใช้ทักษะการต่อสู้ วันนี้ผมก็เลยพาคู่ต่อสู้จากข้างนอกมาให้”

บรรยากาศการเรียนกลับเข้าสู่ปกติอีกครั้ง ความน่าสนใจอบอวลไปทั่วทั้งโรงยิม ตั้งแต่เรียนวิชานี้มา นักศึกษาอัลฟ่าในระดับชั้นปีที่สองยังไม่เคยสู้กับใครอื่นนอกจากเพื่อนในชั้นปีตัวเองเลยแม้แต่น้อย นับว่าการเรียนการสอนวันนี้น่าสนใจมาก ทว่าก็มีเรื่องให้น่าผิดหวังเล็กน้อยเมื่อครูฝึกพูดต่อ

“แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าอาจจะไม่ได้ทดลองสู้กับเขากันทุกคน เขาไม่น่าจะรองรับพวกคุณที่มีกว่าร้อยชีวิตได้ไหว เอาเป็นว่าผมจะเลือกตัวแทนจากพวกคุณสาธิตให้ดู จากนั้นก็จับคู่ฝึกก็แล้วกัน” จากนั้นก็เหลือบมองไปรอบๆ แล้วก็เรียกชื่อของใครบางคนออกมา “ตัวแทนเป็นคุณก็แล้วกัน คุณเมอร์ซี”

เจเรมีก้าวออกมาข้างหน้า เอียงคอแล้วยกยิ้มร้าย มีเสียงโห่เบาๆ ดังขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเพราะรู้ดีว่าเจเรมีเป็นคนเดียวที่มีทักษะการต่อสู้สูง เขาเป็นอันดับหนึ่งของชั้นปีนี่นา จะให้พูดก็อาจจะบอกได้ว่าเป็นพวกสมองทึบ ชำนาญแต่การใช้กำลัง

คำปรามาสนี้มันเป็นคำนิยามของตัวปัญหาชัดๆ...

“ก่อนที่จะพาคู่ต่อสู้มาให้เจอ ผมต้องขออธิบายหน่อยว่าคนที่คุณเมอร์ซีจะสาธิตการต่อสู้ด้วยเป็นอัลฟ่าเหมือนกันกับพวกเรา แต่เป็นอัลฟ่าจากที่อื่น ดังนั้นการสาธิตออกจะอันตรายเล็กน้อย ผมถึงได้เลือกคนที่คิดว่าแกร่งที่สุดในบรรดาพวกคุณมาเป็นตัวแทน”
“อัลฟ่าจากที่อื่นเหรอครับ?” เสียงใครบางคนร้องถามขึ้น
ครูฝึกพยักหน้าก่อนขยายความ “อัลฟ่าจากอาณาเขตปกครองพิเศษดีออน”

ทุกชีวิตเงียบรอฟังทันใด ต่างรู้ดีว่าอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนเป็นอาณาเขตที่มหานครเพิร์ลเพิ่งจะเข้าปฏิวัติและยึดอำนาจการปกครองมาเมื่อสองปีก่อน นับว่าเป็นอาณาเขตล่าสุดที่ถูกมหานครเพิร์ลรุกราน แน่นอนว่าเหตุผลก็คือ เพื่อความสงบสุขเช่นเดียวกันเนื่องจากอาณาเขตนี้มีระบบการปกครองที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนชนชั้นเบต้าและโอเมก้า ซึ่งขัดกับแนวความคิดของมหานครเพิร์ล ทางมหานครเพิร์ลจึงจำเป็นต้องยึดศูนย์กลางอำนาจการปกครองมาไว้ที่นี่ด้วยไม่ต้องการให้อาณาเขตเล็กๆ นอกเหนือการควบคุมนั้นก่อความวุ่นวาย

ความจริงแล้ว เมื่อหลายทศวรรษก่อนมหานครเพิร์ลก็เป็นเพียงอาณาเขตเช่นเดียวกัน หากแต่เมื่อมีแนวความคิดแบ่งแยกชนชั้นเกิดขึ้น มหานครเพิร์ลก็เริ่มส่งทูตไปเจรจากับอาณาเขตอื่นๆ ให้เข้าร่วม ถ้าอาณาเขตอื่นยินยอมก็ถือว่าเป็นพันธมิตร ทว่าถ้าไม่ยินยอมก็จะถูกบังคับให้เป็นอาณาเขตปกครองพิเศษ หากขัดขืน ผู้ปกครองอาณาเขตนั้นๆ ก็จะถูกยัดเยียดข้อหากบฏให้

ไม่มีอาณาเขตใดยินยอมหรอก ใครมันจะไปยอมรับบรรทัดฐานสังคมแบบไร้มนุษยธรรมกัน แต่ด้วยความที่มหานครเพิร์ลเป็นอาณาเขตที่กว้างใหญ่และเก่าแก่ ซ้ำยังมีพันธมิตรมากมาย กองกำลังในการรุกรานก็แข็งแกร่งจึงไม่มีอาณาเขตใดต้านทานได้ อาณาเขตเล็กๆ อย่างดีออนจึงตกอยู่ใต้อาณัติอย่างไร้ทางเลือก

ถึงจะไม่ใช่คนที่หัวดีอะไรมาก แต่เจเรมีก็รู้ดีว่าการส่งทูตไปเจรจาเพื่อให้อาณาเขตอื่นร่วมเป็นพันธมิตรกับมหานครเพิร์ล แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นไปเพื่อความสงบสุขหรอก พวกคนที่มีอำนาจแค่อยากจะได้ทรัพยากรโอเมก้าจากแหล่งอื่นมาเป็นสินค้าสร้างเงินตราอย่างลับๆ ให้พวกเขาเท่านั้น ถึงจะเอาแต่พูดว่าพวกโอเมก้าสกปรก ควรกำจัด แท้จริงแล้วก็แค่ไม่อยากยอมรับว่าอัลฟ่าอย่างพวกเขาต่อกรโอเมก้าไม่ได้

โอเมก้ามีอาการฮีท... อัลฟ่าเกิดปฏิกิริยา เท่ากับอัลฟ่าถูกโอเมก้าควบคุม

เรื่องอะไรที่ชนชั้นซึ่งคิดเอาเองว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าจะไปยอมเป็นเบี้ยล่างกัน ความสงบสุขอะไรนั่นก็แค่ข้ออ้างในการกุมอำนาจเท่านั้นแหละ

ส่วนเรื่องการยึดอำนาจอะไรนั่น เจเรมีคิดอยู่บ่อยๆ ว่าขนาดในกลุ่มอัลฟ่าด้วยกันเองก็ยังมีการแบ่งแยกยิบย่อย ไม่เชื่อก็ดูสิ แค่ต่างถิ่นกำเนิด ถิ่นที่อยู่อาศัยก็ถูกแบ่งแยกแล้ว

ถึงได้บอกว่าความสงบสุขอะไรมันมีที่ไหนกันล่ะ ทุกอย่างก็เพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องคนบางกลุ่มเท่านั้น
ทว่าเจเรมีก็ไม่ได้สนจะอะไร เขาออกจะตื่นเต้นสักหน่อยที่จะได้สู้กับอัลฟ่าจากที่อื่น ครูฝึกพามาให้เป็นคู่สาธิตอย่างนี้แสดงว่าต้องมีฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดาแน่ ก่อนที่ครูฝึกจะเอ่ยอีกครั้ง

“ผมคิดว่าพวกคุณน่าจะรู้จักเขากันดีนะ คริส ฟ็อกซ์... นักโทษข้อหากบฏ”

คุ้นหูเลยทีเดียว เสียงฮือฮาดังขึ้นในโรงยิมฉับพลันด้วย ทุกคนต่างเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอัลฟ่าคนนี้มาบ้างเหมือนกันว่าเป็นลูกชายคนสุดท้องของตระกูลฟ็อกซ์ซึ่งเป็นตระกูลผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของอาณาเขตการปกครองพิเศษดีออน เห็นว่าเป็นสมาชิกวงศ์ตระกูลที่เหลืออยู่ด้วยเพราะสมาชิกคนอื่นๆ ได้สละชีวิตในการปฏิวัติของมหานครเพิร์ลไปหมดแล้ว ที่เขารอดชีวิตก็เพราะถูกจับเป็นตัวประกันในการต่อรอง แต่สุดท้ายเขาก็ถูกยึดอิสระภาพอยู่ในทัณฑสถานไปถึงสองปี

“เชิญขึ้นไปเตรียมตัวรอบนสังเวียนได้เลยคุณเมอร์ซี เดี๋ยวผมจะไปพาตัวเขามา”
เจเรมีพยักหน้ารับ ตรงขึ้นไปยังเวทีมวยตรงหน้า อัลเบิร์ตมองตามแล้วไม่อยากให้เพื่อนไปเป็นตัวแทนเท่าไหร่นัก สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะต้องเกิดเรื่องร้ายๆ แน่

เรื่องร้ายๆ กับนักโทษที่ชื่อว่า คริส ฟ็อกซ์ อะไรนั่นน่ะ ไม่ใช่กับเจเรมีหรอก เจเรมีเคยออมมืออะไรกับใครที่ไหน

หากแต่ห้ามไป เจเรมีก็ไม่สน ถึงเขาจะไม่อยากสู้กับคนที่มีชะตากรรมน่าสังเวชอย่างนี้สักเท่าไหร่ แต่ประวัติอันโชกโชนของคริสก็ทำให้เขาอดอยากรู้ไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือดีแค่ไหนกันเชียว ครูฝึกถึงได้พามาเป็นคู่สาธิตอย่างนี้

ครูฝึกหายออกไปจากโรงยิมครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ผู้คุมนักโทษร่างใหญ่อีกสองคนที่เดินประกบชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา ทุกสายตาจับจ้องไปยังผู้มาใหม่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าชายในชุดนักโทษสีส้มนั้นคือคนที่ถูกกล่าวถึงเมื่อครู่นี้
หากแต่ชายหนุ่มคนนั้นดูไม่เหมือนนักโทษเลยแม้แต่น้อย รูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับเจเรมีหรืออาจจะสูงกว่าช่างดูโดดเด่น ใบหน้าคมคาย ดวงตาสีดำสนิทและผมสีน้ำตาลเข้มต่างช่วยกันขับเสน่ห์เขาออกมาจนไม่มีใครละสายตาไปได้ แต่เพียงแค่ใบหน้าหล่อเหลามันยังไม่พอที่จะสะกดทุกสายตา ที่ทำให้ทุกคนต้องจ้องเขานิ่งเป็นเพราะท่าทางสง่าผ่าเผยที่แลดูหยิ่งผยองของเขาต่างหากที่ทำให้เป็นอย่างนั้น

มองดูก็รู้ว่าเป็นชนชั้นสูง... นั่นมันเจ้าชายชัดๆ!

จะเรียกว่าเจ้าชายก็ไม่ผิด เขาเป็นทายาทตระกูลนักปกครองเพียงหนึ่งเดียวจากอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนนี่ แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นเพียงนักโทษกบฏ มันก็ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามของเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งถูกดวงตาเรียวจับจ้อง คนที่มองเขาอยู่ก็ถึงกับต้องหลบสายตาหนี

ดวงตาคู่นั้นมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้คนถูกมองเกรงกลัวได้...

ไม่เว้นแม้แต่เจเรมีที่รอการมาถึงของคู่ต่อสู้ พอถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาแต่ไกล ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเขาก็เต้นระทึกขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ไม่ได้หวั่นเกรง...
ไม่ได้ตื่นเต้น...
แต่เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก

คราวแรกก็นึกว่าตื่นเต้นนั่นแหละ ทว่าผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที เจเรมีก็รู้ว่ามันไม่ใช่เมื่อมือไม้เขาเริ่มสั่นเทาขึ้นมา จมูกได้รับกลิ่นประหลาดที่ลอยโชยเข้ามาใกล้

มันเป็นกลิ่นหอมหวาน... แบบที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน

อธิบายไม่ได้... บอกไม่ได้ว่ามันเป็นกลิ่นอะไร รู้อย่างเดียวคือมันทำให้เขาเริ่มจะเวียนหัวขึ้นมาน้อยๆ แล้ว

ไม่สิ... ไม่น้อย มากเลยทีเดียวล่ะ ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ กลิ่นนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น

...มากขึ้นเสียจนร่างกายเขาเริ่มร้อนผะผ่าว เริ่มร้อนจากใบหน้า ไล่ลามลงไปยังลำคอ หน้าอก และพร่างพรายไปทั่วทั้งกายคล้ายกับเป็นไข้หนัก ร้ายกว่านั้นมันทำให้เริ่มหายใจติดขัดจนทรงตัวไม่อยู่

เจเรมีถอยไปพิงเสาที่มุมเวที พยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติแต่ไม่ง่ายเลย แล้วก็ร้ายกว่าเดิมด้วยเมื่อผู้ชายที่ชื่อคริสถูกไขกุญแจมือ จับสวมนวมแล้วดันขึ้นมาบนเวที การประจันหน้ากับอีกฝ่ายทำให้เขาได้กลิ่นของคนตรงหน้าชัดเจน
แย่แล้ว... แย่ที่สุด ตอนนี้ความร้อนมันลามไปทั่วทุกส่วนแล้ว ไม่เว้นแม้แต่...

...ตรงนั้น

ชูชันขึ้นมาแล้ว...

เจเรมีไม่เคยรู้สึกทรมานอย่างนี้มาก่อนเลย เขาสูญเสียการควบคุม ท่าทางระริกระรี้ก่อนหน้าหายวับไปทันตา กลายเป็นว่าตอนนี้เขาเริ่มยืนตรงไม่ได้แล้ว อาการแปลกๆ ทำให้อัลเบิร์ตที่มองอยู่นานเลิ่กลั่กก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหาแล้วกระซิบถาม
“เจมี่ นายโอเคไหม”

ไม่มีคำตอบจากปากของเพื่อน มีเพียงดวงตาปรือเท่านั้นที่มองมาก่อนที่เจเรมีจะพยายามยืนตรงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันไม่ง่ายนัก เผลอหน่อยเดียวเขาก็เสียหลักล้มลงบนเวทีเสียงดังตึง

ทุกสายตาปราดมองไปยังเขาทันทีด้วยสงสัยว่าจอมวายร้ายเป็นอะไร อัลเบิร์ตกังวลหนัก รีบร้องเรียกด้วยใจไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
“เจมี่ ถ้าไม่ไหวก็ลงมา ฉันจะพานายไปห้องพยาบาล”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเจเรมีเช่นเคย ไม่ใช่ไม่อยากพูด แต่เขาพูดไม่ออก เสียงหายใจของเจเรมีดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหอบหนัก ครูฝึกสังเกตเห็นก็ตั้งท่าจะเข้ามาถามไถ่ว่าเป็นอะไร ทว่าจู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างทำให้เขาต้องนิ่งค้างไว้
ไม่ใช่แค่ครูฝึกเท่านั้น ทุกชีวิตที่นี่ด้วย...

มันมีกลิ่น...
กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้า!

ทุกคนเริ่มออกอาการทุรนทุราย มีปฏิกิริยาตอบสนองกับกลิ่นนั้นอย่างรวดเร็วจนต้องพยายามอดกลั้นกันสุดชีวิต เว้นเสียก็แต่คนมาใหม่เท่านั้นที่ยืนมองเหตุการณ์แล้วก็ได้แต่ย่นคิ้ว

จำได้ดีว่าหลายวันก่อนผู้คุมมาบอกให้เขาเตรียมตัวไปเป็นคู่สาธิตให้กับนักศึกษาของสถาบันพัฒนาฯ อะไรนั่นจนถูกเตรียมความพร้อมทางร่างกายหลายๆ อย่าง ไม่เว้นแม้แต่ถูกฉีดยาต่อต้านฟีโรโมนของโอเมก้าซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะฉีดให้ทำไมในเมื่อเขาถูกพาไปเจอแต่พวกอัลฟ่า แต่ไม่รู้ทำไมพอถึงเวลาจริง เขากลับได้ดูการแสดงปาหี่ไปได้

คริสยืนนิ่งมองสถานการณ์นี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจมูกจะเริ่มได้กลิ่นหอมหวานขึ้นมาบ้าง และทวีความรุนแรงขึ้นทุกวินาทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้กับคนตรงหน้า

กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าที่ปล่อยออกมาขีดสุด...

ใช่ ไม่ผิดแน่ๆ ยิ่งใกล้มาก กลิ่นก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น

ร่างใหญ่ทรุดตัวนั่งลง เปล่งเสียงต่ำออกมา
“นาย...เป็นโอเมก้า” เสียงดังพอจะได้ยินกันแค่สองคน
เจเรมียังพอจะมีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่ เขาได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ทว่าไม่ยอมรับ

ก็เขาจะเป็นโอเมก้าได้อย่างไร! ถ้าเป็นโอเมก้าก็คงไม่มาอยู่ในกลุ่มอัลฟ่าอย่างนี้หรอก!

“แฮ่ก... ยะ...อย่ามาพูดพล่อยๆ” ขนาดไม่มีแรงก็ยังกัดฟันพูด จังหวะการหายใจยังคงรุนแรง
คริสไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก มั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นโอเมก้าแน่ๆ ยิ่งเข้ามาพยุงให้ลุกขึ้นยืนก็ยิ่งได้กลิ่นฟีโรโมนชัดเจนจนเขาเองก็เริ่มจะมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้างแล้ว

แม้แต่ยาต้านฟีโรโมนของโอเมก้ายังเอาไม่อยู่ เป็นโอเมก้าที่มีฟีโรโมนรุนแรงมากเลยทีเดียว
“ออกไปข้างนอกก่อน อยู่นี่อีกเดี๋ยว นายได้กลายเป็นเหยื่อแน่”
ความจริงเขาจะปล่อยให้สถานการณ์มันเลวร้ายกว่านี้ก็ได้แต่ไม่ทำด้วยเห็นว่าผู้ชายคนนี้ดูสับสนระคนตกใจกับเหตุการณ์นี้พอสมควร

เจเรมีอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ปล่อยให้คริสได้ยกแขนขึ้นพาดคอแล้วพยุงออกไป
ทว่า...การไม่ขัดขืนเหมือนจะเป็นความคิดที่ผิด
เขาได้กลิ่นหอมหวานนั่นแรงขึ้น...
แรงขึ้น...
ปฏิกิริยาทางร่างกายก็รุนแรงขึ้น...

รุนแรงจนเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของตนร้อนจนจะระเบิดอยู่แล้ว บริเวณส่วนนั้นก็อึดอัดคับแน่นแทบจะทำให้เขาคลั่งตาย อีกนิดเดียวก็จวนเจียนจะปะทุออกมา

ชัดเจนเลยว่าเขามีการตอบสนองกับกลิ่นของ...คริส ฟ็อกซ์!?

ไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้า แต่ดันมามีปฏิกิริยาตอบสนองกับกลิ่นของอัลฟ่าอย่างทายาทตระกูลฟ็อกซ์ที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกน่ะเหรอ!?

มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
-----------------------------------
พระเอกมาแว้ววว เจมี่ อย่ากัดเขานะลูก #โดนตบ
ออกอาการฮีทแล้วงับ เจอหน้าพระเอกแล้วตุ๊มๆ ต่อมๆ นี่สาวน้อยสินะ #ตบอีกที
ขุ่นคริสโผล่มาแค่ฉากเดียวแต่ล้อหล่อ 555 ตอนหน้าเดี๋ยวออกมาเยอะกว่านี้ค่ะ รอยลความหล่อของขุ่นคริสกัน XD
ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.02[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 10-01-2017 23:54:53
กรีดร้องงงง เค้าเจอกันแล้ววว อยากอ่านแนวนี้พอดีเลยค่า เคยเจอแต่ในมังงะ ตอนนนี้ได้อ่านในนิยายสมใจแล้ว :impress2:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.02[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 11-01-2017 00:17:54
พึ่งได้มาอ่านค่ะ ชอบความขวางโลกของเจมี่มากๆเลย นางเกิดมาเพื่อกวนประสาทและกระทืบคนจริงๆ
พ่อพระเอกนี่เปิดตัวได้หล่อมาค่ะ แต่ค่าตัวแพงเหลือเกิน แล้วก็ดันโผล่มาได้เวลาพอดี บันเทิงแน่งานนี้
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.02[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-01-2017 00:36:13
ซ่าถูกวันด้วยสินะเจมี่
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.02[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aaoo ที่ 11-01-2017 12:29:38
สนุกอ่ะ :hao6: :hao6: o13
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.02[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 11-01-2017 12:45:27
แหม๊ เเหมๆๆๆๆๆ พล็อตชวนสยิวกิ้วมาก ชอบนายเองตัวแสบวายร้ายแบบนี้แหละ แจ่ม 5555
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.02[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 11-01-2017 13:29:24
มาลงเสาเข็มที่เวบนี้นะ ^ ^
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.02[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 11-01-2017 15:34:13
เรื่องหน้า แนะนำค่ะ เมล ฟุตานาริ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.02[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 11-01-2017 16:19:47
เรื่องหน้า แนะนำค่ะ เมล ฟุตานาริ
 :hao3:

แนวนี้ไม่อินเลยค่า ;w;
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.02[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 11-01-2017 19:36:56
Episode 03: คู่แห่งโชคชะตา[1]

ลมหายใจติดขัด หอบหนักเหมือนเพิ่งผ่านการออกกำลังกายนานนับชั่วโมงมา ร่างกายร้อนผ่าวราวถูกเผาไหม้ แข้งขาสั่นจนแทบจะไม่มีแรงยืนตัวตั้งตรง เจเรมีรู้สึกคล้ายจะตายให้ได้ ดีที่คริสพยุงเขามาพักยังห้องพยาบาลได้ทันท่วงที

เจ้าหน้าที่ในห้องหันมามองอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นแขกมาเยือน ดีที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ใช่อัลฟ่า แต่เป็นพวกเบต้าที่เป็นพนักงานประจำในสถาบันแห่งนี้จึงทำให้คริสไม่ต้องคอยระวังให้คนที่เขาพยุงมาถูกจู่โจม

คริสจึงไม่คิดจะตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ที่ร้องถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ด้วยว่ามาทำอะไรด้วยเห็นว่าเขาใส่ชุดนักโทษ นอกจากพาเจเรมีไปนั่งบนเตียง ทันทีที่ทิ้งตัวได้

เจเรมีก็ฟุบลงไปนอนตัวงอทันใด เสียงหายใจกระหืดหอบดังตามมา เขาไม่เคยทรมานอย่างนี้มาก่อน รู้สึกตัวดีทุกอย่างแต่บังคับร่างกายตัวเองไม่ได้

ทรมานชะมัด...

แม้ว่าจะทรมานเพียงใด สายตาก็จับจ้องไปยังชายในชุดนักโทษสีส้มที่เดินไปยังตู้ยา ก้มๆ เงยๆ อยู่พักหนึ่ง ไม่สนใจแม้กระทั่งเสียงร้องโวยวายของเจ้าหน้าที่ก่อนจะหันไปบอกเจ้าหน้าที่ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ยาระงับฟีโรโมนอยู่ไหน”
“คะ?” เจ้าหน้าที่สาวชะงัก เลิกคิ้วสูง
“ถามว่ายาระงับฟีโรโมนของโอเมก้าอยู่ไหน” คริสถามย้ำอีกครั้ง

คำถามของเขาจะทำให้คนฟังประหลาดใจ ตั้งแต่ทำงานที่นี่มา แทบไม่มีใครมาถามหายาระงับฟีโรโมนของโอเมก้ากับเจ้าหล่อนเลย และหล่อนก็มั่นใจว่าไม่มี ก่อนจะถามกลับ
“เอาไปทำไมคะ”
“ตอบคำถามฉัน ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ไหนก็ไปหาซะ” คริสว่านิ่งๆ ดวงตาประกายวาบ บ่งบอกว่ารำคาญใจไม่น้อย

เจ้าหน้าที่สาวที่ถูกจ้องอย่างนั้นรีบกุลีกุจอไปค้นตามตู้ยาทันทีแม้จะรู้ว่ามันไม่มี ทว่าฉับพลันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานนี้ ศาสตราจารย์คนหนึ่งของสถาบันได้เอายาระงับฟีโรโมนของโอเมก้ามาฝากแช่ในตู้เย็นไว้เพราะเขาจะเอาไว้ฉีดให้กับโอเมก้าคนหนึ่งที่พามาประกอบการบรรยายในคลาสของเขาและรู้สึกว่าจะยังมีเหลืออยู่

เท่านั้นก็รีบพุ่งไปยังตู้เย็น ก่อนจะหยิบเอากล่องบรรจุหลอดยาสีใสและตรงไปหยิบเข็มฉีดยาแท่งใหม่ออกมาส่งให้คริส คริสรับมาถือไว้ ไม่ถามหรอกว่าทำไมถึงไม่มายาชนิดรับประทาน ขอให้มียามาจัดการกับอาการของผู้ชายคนนั้นก็พอแล้ว เป็นยาชนิดฉีดสิดี จะได้ระงับอาการได้ชะงัด

ร่างสูงตรงมาที่เตียง ออกปากไล่เจ้าหน้าที่คนนั้นออกไปพลันรูดม่านปิดล้อมเตียงเอาไว้ มือจัดการบรรจุยาน้ำนั่นลงในกระบอกฉีดอย่างคล่องแคล่ว เจเรมีที่นอนคุดคู้อยู่เหลือบมองแล้วก็ใจเต้นระส่ำขึ้นมา

ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น... บอกแล้วว่าไม่ใช่ หากแต่เป็นกลิ่นของคริสที่ลอยโชยเข้ามาในจมูกมากขึ้นกว่าเดิม

“สะ...ไสหัว...ไป...”
คิดว่าทนกับกลิ่นหอมหวนนั่นไม่ไหวแล้วจึงได้ออกปากไล่ บริเวณกลางลำตัวของเขาคับแน่นจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว หัวสมองก็มึนงงไปหมด

ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นกับเขา!

ไม่ใช่แค่เจเรมีเท่านั้นที่ทนไม่ไหว คริสเองก็เช่นกัน แม้จะได้รับยาต่อต้านฟีโรโมนของโอเมก้ามาแล้วแต่พอได้กลิ่นฟีโรโมนที่ถูกปล่อยออกมาเต็มที่ เขาก็เริ่มมีอาการกำหนัดบ้างแล้วเหมือนกัน หากแต่ยังครองสติได้อยู่ เคาะเข็มฉีดยาในมือแล้วหันไปจับแขนออกอีกฝ่ายให้เหยียดตรง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าแขนข้างนั้นมีรอยจุดสีแดงๆ ที่ข้อพับอยู่เต็มไปหมด

ได้รับยามาตลอดงั้นเหรอ?

ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ น้ำเสียงแหบพร่าก็ดังมาให้เขาได้ยินอีกแล้ว
“บอกว่าให้ไสหัวไป...” ถูกแตะเนื้อต้องตัว เจเรมีก็แค่นเสียงออกมาอีกครั้ง
คริสเหลือบมองใบหน้าหล่อที่ดูทรมานแล้วก็แสร้งไม่สนใจ ใช้ปลายนิ้วกดที่ข้อพับหาเส้นเลือดขณะที่เจเรมีพูดออกมาอีก
“สะ...ไสหัว...”
“เงียบเถอะ” เห็นว่าอีกฝ่ายจะไล่อีก เขาก็แทรกขึ้นมาดักคอเสียก่อน

เจเรมีหงุดหงิดไม่น้อย ความรู้สึกคับข้องใจผสมปนเปกันไปหมด แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคริส ขณะที่อีกฝ่ายไม่สนใจอะไรเลย ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาเข็มทิ่มลงมาบนผิวหนังของคนที่นอนพะงาบๆ อยู่อย่างเดียว

ทว่าในจังหวะที่เขายังคลำหาเส้นเลือดของเจเรมีอยู่นั้น ใบหน้าของเขาดันโน้มลงต่ำเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เจเรมีก็ออกอาการทุรนทุรายอีกระลอกเมื่อกลิ่นหอมฟุ้งหลั่งไหลเข้ามาจนเบลอไปหมด ร้ายกว่านั้นมันทำให้ความคับแน่นของเขาที่สั่งสมมาสักพักปะทุออกมาอย่างไม่อาจกักเก็บไว้ได้

ร่างกายช่วงล่างรู้สึกได้ถึงของเหลวบางอย่างที่หลั่งรินออกมา ลำตัวกระตุกเกร็งเล็กน้อย ริมฝีปากแห้งผากส่งเสียงน่าอับอายโดยไม่อาจห้ามได้

คริสชะงักไปทันที เงยหน้าจากการสำรวจหาเส้นเลือดขึ้นมามองคนตรงหน้า พอเห็นใบหน้าแดงเรื่อของเจเรมีก็รู้ได้ว่าความอดทนของอีกฝ่ายคงจะสิ้นสุดแล้ว หากแต่เขาไม่พูดอะไร มองแล้วก็หาเส้นเลือดอีกครั้งก่อนจะแทงปลายเข็มฉีดยาลงไป

ยาที่ถูกส่งเข้าไปในกระแสเลือดช่วยระงับอาการคุ้มคลั่งนั่นได้แทบจะในวินาทีนั้น เจเรมีกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง ทว่าร่างกายยังหนักอึ้งทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จำต้องนอนนิ่งๆ ก่อน กระนั้นในใจก็นึกขุ่นแค้นขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขายามที่ผู้ชายคนนั้นขยับเข้ามาใกล้

แล้วก็ต้องแค้นใจจนต้องกัดฟันกรอดเมื่อคริสว่าออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆ
“กางเกงเปียกนะ”

เปียกตรงเป้าเสียด้วย เห็นอยู่จะจะคาตา

ใบหน้าของเจเรมีดูน่ากลัวขึ้นมาทันควันที่ถูกทัก

แล้วมันเป็นเพราะใครล่ะไอ้บัดซบ!

“นาย...” เสียงขู่ต่ำเล็ดลอดไรฟัน
คริสไม่ได้สนใจ จัดการฉีดยาให้เสร็จก็เก็บข้าวของลงในถาดเหล็ก ก่อนจะเดินออกไปก็หันมาพูดกับอีกฝ่ายสั้นๆ
“พักซะ ไว้อาการดีขึ้นกว่านี้ค่อยออกไป ตอนนี้ข้างนอกน่าจะวุ่นวายกันอยู่”
วุ่นวายเรื่องอะไรคงไม่ต้องให้คริสเป็นคนตอบ เจเรมีเม้มริมฝีปากแน่น ความสับสนจู่โจมเขาเป็นพัลวัน ไม่เข้าใจเลยว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นแต่ก็พอจะลำดับเหตุการณ์ได้

เขามีอาการฮีท...

ไม่อยากจะยอมรับแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนน่าดู และมันก็ทำให้เขาตกใจไม่น้อย สองมือกุมใบหน้า พึมพำออกมาอย่างสับสน
“เรื่องเวรอะไรวะเนี่ย”
 คริสเหลือบมอง เป็นฝ่ายตอบให้
“นายเป็นโอเมก้า”
เป็นคำที่ไม่อยากได้ยินเลย ถึงอาการจะใช่ แต่ว่า...
“ฉันไม่ใช่โอเมก้า!” แผดเสียงออกไปดังลั่น ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเคือง

คริสไม่เข้าใจหรอกว่าการที่ผู้ชายคนนี้มาอยู่ในหมู่อัลฟ่ามันเป็นเพราะอะไร และเขาก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขา แค่ตัวเองยังจะเอาไม่รอดเลยจึงได้แต่บอกไปลอยๆ
“อยู่ที่นี่อาจจะไม่ดีกับนายสักเท่าไหร่นัก ถ้าอาการดีขึ้น วันนี้ก็รีบกลับบ้านไปก่อน ระวังพวกข้างนอกจะมารุมทึ้งนายให้ดี”
พูดจบก็ตลบม่าน เดินออกไปโดยไม่สนใจอะไรอีกเลย ปล่อยให้เจเรมีหัวเสียอยู่ตามลำพังที่ถูกเข้าใจว่าเป็นโอเมก้า มากไปกว่านั้น คำถามมากมายก็ผุดพรายขึ้นในหัวของเขา

เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมถึงมีปฏิกิริยาตอบรับกับผู้ชายคนนั้น?
ใครกันแน่ที่เป็นโอเมก้า?

ให้ตาย! คำถามเยอะเสียจนเขาไม่รู้ว่าควรจะรู้คำตอบไหนก่อนดีแล้ว!





 
หลังจากที่คริสช่วยเหลือเจเรมีเสร็จเรียบร้อย กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าหายไป ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความปกติ ที่ไม่ปกติเห็นจะเป็นความอลหม่านของบรรดาอัลฟ่าที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น มีหลายคนที่เข้าใจว่าคริสไม่ได้เป็นอัลฟ่า หากแต่เป็นโอเมก้า เพราะเชื่อมั่นว่าไม่ว่าอย่างไรคนอย่างเจเรมีก็ไม่ใช่โอเมก้าอย่างแน่นอน

หัวดื้อ มีทักษะ ฉลาดหลักแหลมแม้ว่าจะค่อนไปทางเจ้าเล่ห์เพทุบาย ซ้ำยังแข็งแกร่ง คุณลักษณะอย่างนี้ ดูอย่างไรมันก็อัลฟ่าชัดๆ!

หากแต่คริสไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ เขารู้ดีว่าเขาเป็นแบบไหน บรรดาผู้คุมที่สนิทชิดเชื้อกับเขาก็รู้

แน่ล่ะ หลักฐานทางการแพทย์ชัดเจนว่าเขาเป็นอัลฟ่าถึงขนาดนั้น จะให้คิดว่าเป็นโอเมก้ามันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
และถึงแก้ตัวกับพวกที่เข้าใจผิดไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องกลับไปอยู่ในซังเตเหมือนเดิม แค่กลับออกมาจากห้องพยาบาล พวกผู้คุมก็วิ่งหน้าตั้งมาจับกุมตัวเขาด้วยกลัวว่าจะหนีโดยไม่ต้องร้องถาม

ไม่สำนึกถึงบุญคุณที่ช่วยให้ไม่คุ้มคลั่งเพราะฟีโรโมนของโอเมก้าไม่พอ ยังจะกล่าวหาว่าเขาคิดอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีอีก

คนพวกนี้มันอกตัญญู!

ซ้ำยังมารู้ทีหลังด้วยว่าที่เขาถูกจับฉีดยาต่อต้านฟีโรโมนอะไรนั่นก็เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยอย่างเช่นที่เกิดขึ้นครั้งนี้นี่แหละ
คงกลัวว่าเขาจะคุ้มคลั่งแล้วเอาไม่อยู่กระมัง?

แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องเก็บมาใส่ใจ เอาเป็นว่าเขากลับมาใช้ชีวิตดังเดิมในห้องขังเดี่ยวของทัณฑสถานแห่งนครหลวงเพิร์ลเหมือนเดิมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชีวิตประจำวันเดิมๆ ก็วนเวียนกลับเข้ามา

ตื่นเช้า...
ทานอาหาร...
ทำหน้าที่ตามที่ทัณฑสถานมอบหมาย...
จัดการมื้อเที่ยง...
ช่วงพักทำกิจกรรมผ่อนคลายตามอัธยาศัย...
เวลามื้อเย็น...
กลับเข้าห้องขัง...
วนเวียนอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาเลิกนับวันไปแล้วว่าทำอย่างนี้มากี่เดือน กี่ปีแล้ว

หากแต่วันนี้ต่างออกไปสักหน่อยเมื่อเขาได้ยินเสียงของผู้คุมร้องเรียกตั้งแต่เช้า
“คุณฟ็อกซ์ มีคนอยากเจอแน่ะ”
คนที่กำลังง่วนอยู่กับการวิดพื้นหยุดชะงัก หันไปมองผู้คุมพลันเรียวคิ้วสวยก็ยกขึ้นเป็นเชิงถาม
“ชื่อเจเรมี รออยู่ที่ห้องเยี่ยม”

ใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะรู้จัก ความจริงเขาจะปฏิเสธไปก็ได้ แต่ก็ยอมดันตัวขึ้นยืน ตามผู้คุมออกไปด้วยอยากรู้ว่าใครกันที่มาเยี่ยมเขาเพราะตั้งแต่ที่เขาติดแหง็กอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีใครมาขอเข้าเยี่ยมเลย

มันจะไปมีได้อย่างไรล่ะจริงไหม ก็เขาไม่ได้เป็นอัลฟ่าของมหานครแห่งนี้ ถูกจับในข้อหากบฏ ซ้ำคนในครอบครัวก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว พวกที่ฝักใฝ่กับตระกูลเขา บ้างก็ถูกฆ่า บ้างก็กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง หากจะมีใครมาเยี่ยมก็คงไม่พ้นโดนจับตามๆ กัน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก

ร่างสูงถูกจับใส่กุญแจมือ ผู้คุมเดินนำมายังห้องเยี่ยมซึ่งอยู่อีกอาคารหนึ่งกับอาคารคุมขังนักโทษ ก่อนจะให้เข้าไปในห้องหนึ่ง พร้อมกับบอกว่าเขามีเวลาครึ่งชั่วโมงในการพูดคุยเท่านั้น น่าแปลกใจอยู่สักหน่อยที่การเยี่ยมนี้เหมือนจะพิเศษกว่าปกติ เท่าที่รู้มาจากเพื่อนนักโทษด้วยกัน เห็นว่าจะต้องคุยผ่านเครื่องพูดคุยที่รูปร่างคล้ายกับโทรศัพท์และเขาต้องอยู่ในห้องที่มีกระจกกั้น ซ้ำยังมีเวลาพูดคุยแค่สิบห้านาที

แสดงว่าคนที่ขอเข้าเยี่ยมเขาจะต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่...

ผู้คุมพาคริสเข้าไปนั่งรอบนเก้าอี้กลางห้องนั้นในห้องได้สักครู่ ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับการมาของใครบางคน ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองไปยังร่างของผู้มาใหม่ ก่อนจะประหลาดใจไปอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน

นั่นน่ะเหรอเจเรมี โอเมก้าคนนั่นนี่นา...

คิดแต่ไม่พูด ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตัวเองโดยมีโต๊ะกั้น วันนี้เจเรมีสวมชุดลำลอง ดูแปลกตาจากชุดวอร์มที่เคยเห็นไปอีกแบบ ใบหน้าก็ดูแปลกตาไปกว่าเดิมเช่นกัน

เขาดูอิดโรย...
ดูตึงเครียดระคนกังวลด้วย...
ท่าทางจะมีเรื่องให้คิดหนัก

มีเรื่องให้คิดหนักแน่นอนอยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้น พอตั้งหลักได้ เจเรมีก็ออกจากสถาบันมาทันที  แต่ไม่ใช่เพราะคำเตือนของคริสว่าการที่เขายังอยู่ที่นั่นมันไม่เป็นผลดี หากแต่เป็นเพราะเขาไม่อาจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้ต่างหาก

ความจริงที่เกิดขึ้น... ที่ทำให้เขาคิดว่าตัวเองเป็นโอเมก้า

เป็นเพียงความคิดที่มาๆ หายๆ นั่นก็เพราะถูกคริสตราหน้าไว้อย่างนั้น ประกอบกับการที่เขาถูกฉีดยาระงับฟีโรโมนแล้วมีอาการกลับมาเป็นปกติก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้เลยว่าแท้จริงแล้วตัวเองอาจจะเป็นอย่างที่คริสพูดไว้ หากแต่เจเรมียังมั่นใจว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า แต่ก็ต้องยอมรับว่าลึกๆ แล้วเขาก็ไม่มั่นใจเลยสักนิด

เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น ใครมันจะไปมั่นใจกันได้ล่ะ มันก็ต้องมีไขว้เขวกันบ้างแหละ!

ก็ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยมีอาการอย่างนี้เลยนี่นาโดยเฉพาะอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเมื่อได้กลิ่นหอมหวาน ถ้าเป็นการครั่นเนื้อครั่นตัวจากการที่เกิดกำหนัดตามธรรมชาติหรือมีการกระตุ้นเร้าทางร่างกายก็ว่าไปอย่าง หากแต่อาการได้กลิ่นของคนอื่นแล้วเกิดกำหนัดขึ้นมานั้น พอขบคิดดูดีๆ แล้วอาการนี้มันอาจจะเป็นอาการของอัลฟ่ายามได้กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าก็เป็นได้ ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขาหรอก

บางทีคริสอาจจะเป็นโอเมก้า...
ไม่ใช่เขาที่เป็นโอเมก้าเสียเอง...

แต่ถึงความจริงจะเป็นอย่างนั้นก็ต้องมาถามให้แน่ใจ การเอาแต่หมกตัวอยู่ในโรงแรมโกโรโกโส บ้านช่องไม่กลับ เอาแต่คิดไม่ตกเรื่องนี้มันทำให้เขาใกล้จะเป็นบ้าอยู่รอมร่อ สุดท้ายก็ต้องมาโผล่ที่นี่จนได้ และต้องขอบคุณตระกูลเขาที่ใหญ่โตคับฟ้าเสียเหลือเกินที่ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษมาคุยกับนักโทษที่ต้องได้รับการดูแลความปลอดภัยแน่นหนาเป็นอันดับต้นๆ ของทัณฑสถานแห่งนี้ด้วย

คริสขยับเล็กน้อย วางท่าทางผ่อนคลาย รอให้อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มเปิดปากคุยธุระ หากแต่เจเรมีก็ไม่พูดอะไรสักที เอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาด้วยสายตาน่ากลัวจนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“นายเองน่ะเหรอที่ชื่อเจเรมี”
เจเรมีไม่ตอบ ให้อีกฝ่ายได้ถามอีก
“นามสกุลล่ะ”
“เมอร์ซี... เจเรมี เมอร์ซี” เปล่งเสียงออกไปแล้ว ที่ยอมแนะนำตัวก็เพื่อจะได้คุยง่ายๆ

ซึ่งมันก็น่าจะง่ายจริงๆ เมื่อคริสเบิกตาโตขึ้นเล็กน้อยราวกับนึกออกว่าเคยได้ยินนามสกุลนี้มาจากไหน
“หนึ่งในตระกูลผู้ปกครองของเพิร์ลล่ะสินะ เป็นอะไรกับเจอโรมล่ะ ลูกชาย?”
เอ่ยชื่อบิดาของเขาออกมาอย่างนี้แสดงว่ารู้เป็นอย่างดีเลยว่าตระกูลเมอร์ซีมีอำนาจมากแค่ไหน

ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ทำให้ตระกูลของเขาพังพินาศนี่!

พลันคริสก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมคนที่มาเยี่ยมเขาถึงได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่น และไม่ได้ถามอะไรต่อเมื่อตระหนักได้ว่าคนที่มีธุระจะคุยคือเจเรมี ไม่ใช่เขา ทว่าตอนนี้เจเรมีกลับเอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาด้วยสายตาดุดัน

จ้องอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่เลยทีเดียว ไร้เสียงพูดคุย มีเพียงแต่เสียงนาฬิกาบนผนังเท่านั้นที่เดินดังติ๊กๆ ให้ได้ยิน คริสเหลือบมองไปก็เห็นว่ามันผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้วถึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“นายอยากจะถามอะไร”
ถามออกมาตรงจุด อ่านท่าทางดูก็รู้ว่าเจเรมีต้องการรู้อะไรบางอย่าง
เจเรมีที่นั่งกอดอกอยู่ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ถามด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “นายเป็นอัลฟ่าแน่เหรอ?”
จู่ๆ ก็ถูกถามอย่างนั้นทำให้ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองคนถามทันใด
“คำถามนั่น... นายถามฉันหรือถามตัวเอง”
แน่นอนว่าต้องถามคริสอยู่แล้ว การถูกตอกกลับมาอย่างนี้ทำให้เจเรมีที่ยังกังวลกับความผิดปกติของร่างกายตัวเองแสดงสีหน้าเกรี้ยวดกราดออกมา ก่อนจะกระแทกมือลงบนโต๊ะ กดเสียงต่ำน่ากลัว
“อย่ามายอกย้อนฉัน”

คริสไม่แสดงสีหน้าใดๆ พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย
“ชนชั้นสูงที่นี่ไร้มารยาทแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง ดูเหมือนนายจะขาดการอบรมสั่งสอนที่ดีนะ”

หัวคิ้วเรียวสวยของเจเรมีขมวดเข้าหากันเป็นปม เขาเคยแต่กวนอารมณ์คนอื่น ไม่ยักคิดว่าสักวันจะมีใครบางคนกวนเขากลับบ้าง แล้วก็คิดไม่ถึงด้วยว่าผู้ชายที่เอาแต่ปั้นหน้านิ่งจะตอกกลับเขามาอย่างนั้น

แต่จะอะไรก็ช่าง เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาหาเรื่องกับผู้ชายที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว มาเพราะมีเรื่องจะถามมากว่า
“นายได้รับการพิสูจน์แน่แล้วใช่ไหมว่าเป็นอัลฟ่า”
“เกิดในตระกูลอัลฟ่ายังเป็นข้อพิสูจน์ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” คริสถามย้อน “เหมือนกับนายน่ะ”
ทำเจเรมีหน้าตึงไปอีกระลอก
“ฉันเป็นอัลฟ่า!” คราวนี้ถึงกับแผดเสียง รู้สึกได้เลยว่าคนตรงหน้าร้ายกาจไม่ใช่น้อยแม้จะดูนิ่งๆ ก็ตามที

คริสเหล่มอง เขาไม่ได้อยากจะยั่วประสาทคนตรงหน้านักหรอก แต่ออกจะรำคาญสักหน่อยที่เจเรมีเอาแต่ถามคำถามแนวยัดเยียดให้เขาเป็นโอเมก้า

ก็เขาไม่ได้เป็น ได้รับการตรวจด้วยวิธีการทางการแพทย์มาแล้ว เลือดของอัลฟ่าข้นคลั่กเสียจนไม่รู้จะข้นได้อีกขนาดไหน รอยสักที่เป็นตราประทับอัลฟ่าก็มีบนหัวไหล่ข้างขวาตั้งแต่สองปีก่อนแล้วเช่นกัน ถ้าจะเป็นฝ่ายไม่แน่ใจว่าเพศไหนกันแน่ก็มีแต่คนตรงหน้านี่แหละ ก่อนจะเผยอริมฝีปากเอ่ยออกไป

“นายเกิดในตระกูลอัลฟ่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอัลฟ่า ที่นี่ไม่มีการใช้โอเมก้าเป็นเครื่องผลิตลูกเหมือนที่อื่นหรือไง นายอาจจะเป็นลูกที่เกิดจากโอเมก้าและดันไม่ได้เป็นอัลฟ่าก็ได้”
“นาย!”
ได้ยินอย่างนี้ เส้นความอดทนของเจเรมีก็ขาดผึง เขาลุกพรวดไปคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เกือบจะตะบันหน้าหล่อๆ อยู่แล้วถ้าหากว่าผู้คุมที่ยืนมองอยู่ไม่เข้ามาห้ามปรามเสียก่อน

แยกออกห่างจากคริสได้ เจเรมีก็สะบัดตัวหนีจากการเกาะกุม พยายามสงบจิตสงบใจ ขณะที่คริสทำเพียงจับคอเสื้อให้เข้าที่แล้วนั่งนิ่งเหมือนกับก่อนหน้า
“ฉันจะถามอีกครั้งว่านายแน่ใจใช่ไหมว่าเป็นอัลฟ่า”
“ฉันแน่ใจ” คราวนี้ไม่ยอกย้อนแล้ว ตอบไปตามตรง

คำตอบนั้นทำให้เจเรมีใจสั่น เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคริสมั่นใจว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า แล้วใครกันล่ะที่เป็นโอเมก้าที่ทำให้เขามีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงอย่างนั้นได้ แล้วก็ต้องใจสั่นมากขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาถามคืน
“แล้วนายมั่นใจเหรอว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า”
เป็นคำตอบที่เจเรมีไม่กล้าเอ่ยเลย

ถูกแล้ว... เขาไม่มั่นใจ

ตั้งแต่เล็กยันโตจนอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ เขาไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าสักครั้งไม่ว่ามันจะรุนแรงขนาดไหน กระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อนเขาได้กลิ่นของคริส สัญชาตญาณที่หลับใหลอยู่ก็ถูกปลุกขึ้นมาจนเขาปวดหัวเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ไปเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว

“ว่าไง นายมั่นใจไหม” พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบก็ถามย้ำ
เจเรมีเหลือบมองหน้า ริมฝีปากหนาเผลอเม้มเข้าหากันแน่น แสดงความไม่มั่นใจออกมาโดยไม่รู้ตัว การกระทำนั้นทำให้คริสยกยิ้มบางๆ

เป็นสีหน้าที่น่าดู แต่เจเรมีไม่ชอบเอาเสียเลย
“ถ้านายไม่มั่นใจก็ควรจะไปถามครอบครัวของนายหรือไม่ก็ไปตรวจให้ชัดเจน ไม่ใช่มาถามฉัน” ว่าพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง “จวนจะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว กลับไปเถอะ” จากนั้นก็ตัดบทเอาดื้อๆ ด้วยเห็นว่าการพูดคุยนี้ช่างไร้สาระ
เกือบจะยืนขึ้นอยู่แล้ว ทว่าเจเรมีไวกว่า เขารีบเอื้อมไปคว้าแขนของคนตรงหน้าไว้มั่น คริสหันมามองหน้าสลับกับมือของอีกฝ่ายที่จับเขาอยู่ เจเรมีถึงได้รู้ตัวแล้วปล่อยออก
“ฉันขอถามอีกเรื่อง” ตั้งหลักได้ก็ว่าขึ้น

คริสผายมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าให้พูดได้ เจเรมีนิ่งคิดไปครู่ ลังเลใจว่าควรจะถามดีหรือไม่ แต่สุดท้ายความสงสัยก็กัดกินใจเขาจนต้องหลุดปากออกมา
“สมมติว่าถ้าฉันเป็นโอเมก้า การที่ฉันมีปฏิกิริยากับกลิ่นของนายตอนที่เจอหน้ากันครั้งแรก มันหมายความว่า...”
“คู่แห่งโชคชะตา”
ถามยังไม่ทันจบเลย คริสก็โพล่งออกมาแล้ว

เจเรมีชะงัก ใบหน้ามีเครื่องหมายคำถามอันเบ้อเร่อแปะหราไว้อยู่ คริสจึงย้ำออกมาอีกครั้ง
“นายกับฉันเป็นคู่แห่งโชคชะตา เราเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน”
ประโยคนี้ทำเอาเจเรมีหน้าชา

เป็นของกันและกันบ้าอะไร นึกว่าฉันจะไปนอนแยกขาให้นายอย่างนั้นเหรอ?!

“ว่าไงนะ!” เจเรมีเผลอเสียงดังขึ้นมาจนได้ แล้วก็ต้องถูกคริสเบรกด้วยการว่าเนิบๆ
“เรื่องสมมติไม่ใช่เหรอ”

ใช่ เป็นแค่เรื่องสมมติ แต่ทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเจเรมีเต้นระส่ำเลยทีเดียว ก่อนที่คริสจะพูดต่อ
“ภาษาทั่วไปเรียกการจับคู่ของอัลฟ่ากับโอเมก้าที่เจอหน้ากันครั้งแรกแล้วเกิดอาการฮีทแบบฉับพลันจะถูกเรียกว่าคู่แห่งโชคชะตา แต่ในทางวิทยาศาสตร์มันก็แค่เรื่องของสารเคมีในร่างกายเข้ากันได้ดี ปกติแล้วไม่มีโอเมก้าคนไหนหรอกที่จะได้กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่า เว้นก็แต่อัลฟ่าที่มีสารเคมีขั้วตรงกัน เหมือนกันที่นายได้กลิ่นฉันนั่นแหละ”

วกกลับมาเข้าเรื่องนี้อีกจนได้

เจเรมีไม่อยากจะยอมรับเลยขู่ฟ่อ

“ถ้านายยังพูดอะไรออกมาเป็นเชิงว่าฉันเป็นโอเมก้าอีก ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”
คริสไม่ได้กลัว เพียงแต่นึกขันในท่าทางแยกเขี้ยวของอีกฝ่ายพลันแย้มยิ้ม
“นายคงไม่อยากเสียเวลากับฉันหรอก แล้วนี่จะกลับไปได้หรือยัง จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว” คริสชี้นิ้วไปทางนาฬิกาบนผนังทางด้านข้าง

เจเรมีเหลือบไปมองก็เห็นว่าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด พลันพ่นลมหายใจออกมาอย่างหัวเสีย
“สวะเอ๊ย”
แทนที่จะขอบคุณที่ให้ข้อมูล กลับออกป่าด่าคริสเสียนี่ ซ้ำยังเป็นคนแรกที่ออกจากห้องเยี่ยมอีกต่างหาก คริสมองตามหลังแล้วก็ได้แต่ขบคิด

เพิ่งมาค้นพบว่าตัวเองเป็นโอเมก้าเอาตอนนี้ ชีวิตต่อจากนี้คงจะลำบากหน่อยนะ...

ไม่ใช่คิดว่าเจเรมีจะลำบาก เขาเองก็คงจะลำบากเช่นเดียวกัน

คู่แห่งโชคชะตาของเขาก็ช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย...




 
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.02[10/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 11-01-2017 19:37:46
Episode 03: คู่แห่งโชคชะตา[2]

เพราะได้คุยกับคริส เจเรมีเลยอยู่ไม่สุข ไม่สามารถสงบใจได้เลยแม้แต่น้อย ออกจากทัณฑสถานมาได้ก็มุ่งหน้ากลับบ้าน ทันทีที่มารดาเห็นหน้าเขาที่หายหัวไปหลายวันก็รีบพุ่งเข้ามากอดด้วยอารามตกใจระคนโล่งใจ ก่อนจะร้องเรียกคนที่อยู่ในบ้านให้ออกมาเป็นการใหญ่

เจอโรมเป็นคนแรกที่พุ่งออกมาจากห้องรับแขก ก่อนจะตามมาด้วยแมทธิวและนายแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุขแห่งมหานครเพิร์ลที่มีส่วนรู้เห็นในโครงการผลิตยาเพื่อเจเรมี ตบท้ายด้วยอัลเบิร์ตที่พอเห็นเพื่อนสนิทโผล่มาก็ทำหน้าตาตื่น ก่อนที่จะเป็นคนแรกซึ่งเอ่ยปากทัก

“นายหายไปไหนมา รู้ไหมว่าพวกเราตามหากันให้ควั่กเลยนะ”
“ห่วงไม่เข้าเรื่องน่า” เจเรมีทำทีไม่ยี่หระ ตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ

มันไม่ใช่การห่วงไม่เข้าเรื่อง มันเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวที่เขาหายตัวไปหลังจากเกิดเหตุนั้น ตอนนี้ทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นี่รู้กันหมดแล้วว่าเจเรมีเป็นอะไร ไม่เว้นแม้แต่อัลเบิร์ตที่เป็นคนบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกผู้ใหญ่ฟัง เขาเองก็ตะลึงงันไปเหมือนกันกับความจริงที่ได้รู้ จะมีก็แต่เจเรมีเองนี่แหละที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่แววตากังวลนั่นก็พอจะบ่งบอกได้อยู่ว่าเขาเองก็แคลงใจในสภาพร่างกายของตนอยู่เหมือนกัน

เจอโรมเห็นลูกชายตรงหน้าแล้วก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่ยังไม่ถูกพาตัวไปไหน ก่อนจะถามเมื่อเห็นว่าเจเรมีเอาแต่เงียบ
“แกอยากจะพักก่อนหรืออยากจะคุยเลย”

พูดมาอย่างนี้แสดงว่าคนเป็นพ่อมีเรื่องจะบอกเป็นแน่

เจเรมีเหลือบมองใบหน้าคร้ามที่ดูตึงเครียดแล้วก็เอ่ยปาก
“พ่อคิดว่าผมสมควรรู้ได้หรือยังล่ะ เก็บเงียบมาตั้งยี่สิบปีแล้วนี่” เจเรมีสวนคืน ชัดเจนเลยว่าเขาไม่พอใจที่เกิดเรื่องอย่างนี้ และพานคิดไปด้วยว่าการที่เขาถูกใครต่อใครในครอบครัวพร่ำบอกว่าป่วย ต้องได้รับการรักษาอะไรนั่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนเหมือนกัน

เจอโรมจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะพยักปลายคางไปข้างในห้องรับแขก
“เข้าไปสิ ฉันจะบอกแกทั้งหมด”





 
ทุกชีวิตกลับเข้ามานั่งประจำที่ในห้องรับแขกอีกครั้ง ต่างออกไปจากก่อนหน้าเล็กน้อยที่ในตอนนี้มีเจ้าของเรื่องนั่งหน้าเครียดร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย

ความเงียบที่เข้าครอบงำเพราะไม่มีใครพูดอะไรสักทีทำให้เจเรมีที่ร้อนรุ่มใจอยู่แล้วหัวเสีย ออกปากด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ตกลงจะมีใครบอกได้หรือยังว่าผมเป็นอะไร จะอมพะนำกันไปถึงไหน!”
“ใจเย็นก่อนเจมี่” อัลเบิร์ตรีบหันมากระซิบกับเพื่อนเพื่อเตือนให้สงบใจลง ทว่าไม่ได้ช่วยเลย ยิ่งทำให้เจเรมีเดือดดาลมากขึ้นไปอีก
“ว่าไงพ่อ แค่พูดว่าผมเป็นลูกที่เกิดจากโอเมก้าแค่นี้มันทำให้ลำบากใจมากหรือไง”
ยั้งอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเป็นพ่อ ดูท่าทางเจเรมีก็น่าจะไม่รอช้า ลุกขึ้นไปต่อยแหง

ทว่าเจอโรมกลับเอาแต่นิ่ง ชวนให้ทุกคนที่รอดูสถานการณ์อยู่ชักอึดอัดขึ้นมา กว่าจะพูดได้ก็ทำเอาแทบหายใจไม่ออก
“แกไม่ใช่ลูกของโอเมก้า”
“แล้ว?”
“แต่แกเป็นโอเมก้า”
การพูดออกมาตรงๆ ทำให้เจเรมีรู้สึกเหมือนถูกตะบันจนหน้าหงาย สิ่งที่เขากลัวที่สุดมันกลายเป็นความจริงขึ้นมา เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลย ก่อนจะแค่นหัวเราะแห้งๆ ราวกับว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องตลก
“พ่ออย่าคิดว่าจะทำให้ผมตกใจได้ง่ายๆ หน่อยเลย คิดเหรอว่ามุกตื้นๆ จะทำให้ผมเชื่อได้ มันไม่ตลก”
“ฉันก็ไม่ได้ล้อเล่น” เจอโรมสวนกลับ ย้ำคำอีก “แกเป็นโอเมก้า”

เป็นเรื่องตลก... ตลกร้ายสุดๆ

สีหน้าของเจเรมีซีดเผือด เขาไม่เคยดูถูกพวกโอเมก้า แต่พอรู้ว่าตัวเองเป็นพวกนั้นก็อดรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มไม่ได้

ไม่รู้สึกสิแปลก เพราะมันหมายถึงทุกสิ่งที่เขามีในมือ ...สิทธิ... เสรีภาพ... อิสระ... มันสามารถเลือนหายไปได้ง่ายๆ เลยนะ!

ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาคลุกคลีอยู่กับอัลฟ่าโดยที่ทางครอบครัวปกปิดมันเป็นเรื่องผิดกฎหมายของที่นี่ด้วย โอเมก้าทุกคนต้องไปขึ้นทะเบียนพลเมืองชั้นสองและไม่สามารถอยู่ร่วมกับชนชั้นอื่นโดยเฉพาะอัลฟ่า การมาอยู่แบบนี้ตลอดยี่สิบปี เท่ากับว่าทุกคนที่นั่งหน้าสลอนอยู่ที่นี่คือผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำผิดขั้นร้ายแรงเลยทีเดียว

ทว่านั่นไม่สำคัญ ตอนนี้เจเรมีอยากรู้มากกว่าว่าทุกอย่างมีความเป็นมาอย่างไร
“ถ้าพ่อกับแม่ไม่มีใครเป็นโอเมก้า แล้วทำไมผมถึง...”
ไม่กล้าพูดออกมาว่า ‘แล้วทำไมผมถึงเป็นโอเมก้า’ แต่เจอโรมรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะเอ่ยอะไร เขาถอนหายใจออกมายาว ก่อนออกปากอธิบาย

“ในตระกูลของเรามีคนที่เป็นโอเมก้าอยู่ ปู่ของแกเป็นเด็กที่เกิดจากโอเมก้า” เจอโรมว่า “แต่เขาเกิดมาเป็นอัลฟ่าถึงได้ถูกนับรวมเข้าตระกูล”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม” เป็นคำถามที่ฟังดูโง่เง่ามาก
แมทธิวเห็นแล้วก็อดอธิบายออกมาไม่ได้ “เธอเป็นลักษณะด้อยน่ะเจเรมี”

ใบหน้าของคนฟังดูไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก ให้แมทธิวได้อธิบายต่อ
“คืออย่างนี้นะ บางครั้งในกรณีที่มีเด็กอัลฟ่าซึ่งเกิดจากโอเมก้ามีการสืบลูกสืบหลาน ในรุ่นหลาน บางครั้งจะมีลักษณะด้อยปรากฏออกมา ซึ่งลักษณะด้อยมันก็คือการเป็นโอเมก้าแม้ว่าพ่อแม่จะเป็นอัลฟ่าทั้งคู่ก็ตาม และเธอก็เป็นลักษณะด้อย มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราต้องคอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดไง”

“เป็นเหตุผลที่ผมต้องได้รับการรักษาเพราะบอกว่าป่วยอย่างนั้นใช่ไหม”
แมทธิวพยักหน้า
“ยาที่ให้ผมกินกับฉีดก็เป็นยาระงับอาการเป็นฮีทด้วยงั้นสิ”
แมทธิวพยักหน้าช้าๆ อีกที

เจเรมีทิ้งตัวพิงพนักโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง

ตอนนี้เข้าใจแล้ว... เข้าใจชัดเจนเลยว่าทำไมถึงไม่มีใครยอมบอกว่าเขาป่วยเป็นอะไร ที่แท้ก็กลัวว่าความลับนี้จะรั่วไหลออกไปนี่เอง ปกติแล้วเด็กที่เป็นโอเมก้าและเกิดมาในตระกูลอัลฟ่ามักถูกกำจัดทิ้งหรือไม่ก็ขาย การที่บิดาเขาทำแบบนี้ก็เพื่อจะปกป้องเขาล่ะสินะ

ส่วนอัลเบิร์ตเองก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมแมทธิวถึงได้บอกว่าเจเรมีป่วยเป็นโรคพันธุกรรมผิดปกติ... มันไม่ได้ผิดปกติหรอก เพียงแต่เขาเกิดมาพร้อมลักษณะด้อยอันไม่พึงประสงค์ตามค่านิยมของเหล่าอัลฟ่าก็เท่านั้น เขาเหลือบมองเจเรมีที่ยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความสงสารสุดกำลัง

ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมวายร้ายกำลังหมดท่า ความเย่อหยิ่ง ดื้อรั้น และทุกความภาคภูมิใจในตัวเขาถูกทำลายลงจนพังพินาศ ก่อนที่เขาจะเปล่งน้ำเสียงแห้งผากออกมา
“ใครก็ได้บอกทีว่ามันเริ่มต้นขึ้นยังไง”

เจอโรมกับแมทธิวเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อย พลันแมทธิวก็ให้ที่มีหน้าที่จัดการดำเนินงานโครงการยาสำหรับเจเรมีเป็นคนอธิบาย
“โดยปกติแล้ว โอเมก้าที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นสักอายุประมาณสิบสองสิบสามจะเริ่มมีอาการที่เรียกว่าฮีท อาการนี้จะเกิดขึ้นเดือนละหนึ่งครั้ง กินระยะเวลาประมาณเจ็ดถึงสิบวัน แต่สำหรับคุณที่ไม่เคยมีอาการนี้เลยเป็นเพราะพวกผมได้จ่ายยาระงับอาการนั้นไว้และพัฒนาตัวยามาโดยตลอดเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการยับยั้งฮอร์โมนที่ผลิตออกมามากขึ้นตามการเจริญเติบโตของร่างกาย ยาที่ได้รับในแต่ละวันมันจะช่วยในการลดความเสี่ยงในการเกิดฮีท ผมสามารถพูดได้ว่าความเสี่ยงเท่ากับศูนย์”

“เท่ากับศูนย์กับผีน่ะสิ แล้วไอ้ที่ผมเป็นวันนั้นมันคืออะไร!” เจเรมีแผดเสียงลั่น เขาหมายถึงการที่มีปฏิกิริยากับกลิ่นของคริส
คนถูกตะคอกถึงกับสะดุ้ง เจอโรมจึงจำเป็นต้องออกโรง
“วันนั้นแกไม่ได้ฉีดยาใช่ไหม”
ความจริงนี้ทำให้เจเรมีหน้าตึง ก่อนที่คนเป็นพ่อจะพูดออกมาอีกที
“ความผิดมันอยู่ที่แกแล้ว” จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับนายแพทย์คนนั้นเล็กน้อย “พูดต่อสิครับ”

ถูกสั่งอย่างนั้นก็เปิดปากอธิบายต่ออย่างช่วยไม่ได้
“การที่คุณไม่ฉีดยา ความจริงแล้วมันก็ยังมีฤทธิ์ที่ยับยั้งไม่ให้เกิดอาการฮีทอยู่ครับ แต่มันก็มีกรณียกเว้น อย่างเช่น...”
จู่ๆ ก็หยุดพูดไป ทำให้เจเรมีปั้นหน้าโกรธขึ้ง
“อย่างเช่นอะไร”
“คุณเจอคู่แห่งโชคชะตา กรณีนี้ถ้าคุณไม่ได้รับยาระงับ คุณจะออกอาการฮีททันทีที่ได้กลิ่นอีกฝ่ายครั้งแรก แต่เจอกันครั้งต่อๆ ไปก็ไม่เป็นไรแล้วครับ นอกจากจะไปเจอกันช่วงใกล้ก่อนระยะเกิดอาการฮีท ถ้าได้รับยาต้านก็น่าจะพอระงับได้อยู่”

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนที่ไปหาคริสเมื่อเช้า เขาไม่มีอาการอะไร ทว่าก็ต้องย่นคิ้วยู่เมื่ออีกฝ่ายว่าขึ้นมาอีก
“แต่มันก็ไม่ชะงัดสักเท่าไหร่นักเพราะการได้เจออัลฟ่าที่มีสารเคมีขั้วตรงกันมันจะทำให้อาการฮีทแสดงออกมาอยู่บ้างในบางครั้ง อันนี้ต้องเสี่ยงดวงเอาผมยังไม่ได้พัฒนายาไปถึงขั้นนั้นเพราะไม่รู้ว่าคู่แห่งโชคชะตาของคุณคือใคร เลยพัฒนาให้มันออกมาโดยรวม”
“แล้วทำไมไม่ทำให้มันดีไปเลยวะ” หลุดแสดงอารมณ์หุนหันออกมาอีกแล้ว

ตอนนี้เหมือนนายแพทย์คนนั้นจะเริ่มชินกับกิริยาท่าทางแบบนั้นแล้วล่ะ
“ปกติแล้วโอเมก้าจะไม่ได้กลิ่นของอัลฟ่าหรอกครับ จะได้กลิ่นกันก็ต่อเมื่ออัลฟ่าคนนั้นมีสารเคมีบางอย่างเข้ากันได้กับสารเคมีในร่างกายคุณ ซึ่งมันจะต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าก่อนว่าระดับสารเคมีที่เข้ากันได้ของพวกคุณมันสูงขนาดไหน ถึงจะเริ่มขั้นตอนการทดลองพัฒนายาได้”

เหมือนกับที่คริสพูดไว้ไม่มีผิดเรื่องสารเคมีบ้าบอเข้ากันอะไรนั่น เจเรมีอยากจะอาละวาดให้บ้านแตกเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากแต่ทำได้แค่ปิดเปลือกตาลง ทำใจให้สงบเท่าที่จะทำได้แม้ว่ามือของเขาในตอนนี้จะสั่นเทาขึ้นมา

“ไหวไหมเจมี่” อัลเบิร์ตร้องถามเมื่อเห็นว่าท่าทางของเพื่อนดูไม่ดีเท่าไหร่นัก ขณะที่แมทธิวพูดแทรก
“ผมเคยบอกแล้วว่าการต่อสู้กับสัญชาตญาณมันไม่ง่ายนัก จู่ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ จะทำให้เรื่องมันเงียบคงต้องใช้เวลานานสักหน่อย นอกจากแผนสำรองที่ว่าจะให้เจเรมีหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว คุณมีแผนอื่นอยู่ใช่ไหมคุณเมอร์ซี”
เจอโรมพยักหน้ารับ เขาเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วทันทีที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“สร้างข่าวลือให้เข้าใจว่าเจ้านั่นเป็นโอเมก้าซะ นอกจากพวกเรา ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าลูกฉันเป็นโอเมก้า มันคงไม่ยากอะไรเท่าไหร่หรอกมั้งถ้าจะสร้างเรื่องขึ้นมาให้เข้าใจเป็นอย่างนั้น”

คำตอบของเจอโรมทำให้ทุกฝ่ายเงียบงัน จริงอย่างที่เขาพูด การสร้างเรื่องมันไม่ยากหรอก แค่สั่งให้ทุกคนในที่นี่ปิดปากให้สนิทและปล่อยข่าวลือออกไป ยิ่งยังไม่มีใครรู้ว่าต้นเหตุของกลิ่นฟีโรโมนมาจากใครก็ยิ่งง่ายขึ้นไปใหญ่ เจเรมีน่ะอยู่คลุกคลีกับพวกอัลฟ่าคนอื่นๆ ในสถาบันมาตั้งนานแต่ไม่เคยมีอาการ มามีอาการตอนที่ผู้ชายคนนั้นโผล่ออกมา มันก็ไม่ยากอยู่แล้วที่จะทำให้เข้าใจเป็นอย่างนั้น

“แล้วหลังจากนี้ล่ะครับ” แมทธิวถามอีก เรียกสายตาคมของเจอโรมให้เหลือบไปมอง
“จากนั้นก็ไปพาตัวมันมา แล้วจะทำอะไรก็ทำไป ขอแค่ผลิตยาออกมาให้เร็วที่สุดก็พอ” คำสั่งหลุดออกมาแล้ว ‘มัน’ ที่ว่าก็หมายถึงคริส

นายแพทย์ที่รับฟังอยู่ก็พลันพยักหน้า ก่อนที่บทสนทนาจะดำเนินต่อไปอย่างเคร่งเครียด เจเรมีทนฟังไม่ไหว ขอตัวลุกออกมาก่อน เขาอยากจะพักสมองเต็มทน กระนั้นก็อดคิดไม่ได้เลยว่าการที่เขามีสารเคมีที่ขั้วตรงกันกับคริสมันจะเป็นปัญหาอะไรหรือเปล่า

...เป็นสิ เป็นแน่ เป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ

ถึงจะไม่มีกฎหมายมาตราไหนบัญญัติไว้ว่าอัลฟ่าและโอเมก้าที่มีขั้วสารเคมีตรงกันจะต้องครองคู่กัน แต่เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งคู่ดึงดูดเข้าหากันไม่ว่าจะพยายามหลีกหนีหรือไม่เต็มใจสักแค่ไหนก็ตาม

ถึงจะไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ แต่ร่างกายก็ไม่อาจต่อต้านแรงดึงดูดนั่นได้อยู่แล้ว ดูอย่างที่เขาเจอกับคริสครั้งแรกสิ เขายังถึงจุดสุขสมทั้งที่คริสไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

มันถึงได้ถูกเรียกว่า ‘คู่แห่งโชคชะตา’ อย่างไรล่ะ

ตอนที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าก็อุตส่าห์โล่งใจแล้วนะที่ตัวเองไม่มีคู่แห่งโชคชะตาอะไรนั่น ถึงมีก็มีความเสี่ยงน้อยที่จะเจอเพราะโอเมก้ามีจำนวนเพียงหยิบมือ แต่พอรู้ตัวว่าเป็นโอเมก้า ซ้ำยังรู้ตัวเพราะเจอคู่แห่งโชคชะตา มันทำให้เขาอยากจะมุ่งหน้าไปที่ทัณฑสถานแล้วลงมือฆ่าผู้ชายคนนั้นด้วยมือตัวเองนัก

ถ้าไม่มีนายสักคน ฉันคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพทุเรศอย่างนี้!

สมควรตายจริงๆ คริส ฟ็อกซ์!
 ----------------------------------------------
ขุ่นคริสมาแล้ววว หลายคนบอกค่าตัวแพงมากกว่าจะออกได้แต่ละฉาก แต่ออกมาที ฮู้ยยย หล่อเลย 555
ส่วนตอนนี้หนูเจมี่ช็อกไปเลยข่า ขุ่นคริสทำอัลไลน้องงงง #โดนตบ ยังไม่ได้ทำอะไรเลย น้องเป็นงั้นไปเอง ฮา ตอนหน้าเนื้อเรื่องจะเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้วค่ะ หนูเจมี่จะเริ่มทวีความร้ายกาจขึ้น ตอนต่อๆ ไปก็มากขึ้นๆ สรุปแล้วมันร้ายทั้งเรื่อง 555
ไม่แน่ใจว่าโอเมก้าเวิร์สของหนูแดงจะยากในการทำความเข้าใจหรือเปล่า พยายามอธิบายแบบง่ายๆ ค่อยๆ ใส่รายละเอียดไปทีละน้อย ไม่อัดทีเดียวแบบตอนเดียวจบเผื่อใครไม่รู้จักแนวนี้จะได้อ่านได้ด้วย ถ้าอ่านช่วงไหนแล้วรู้สึกว่าไม่เข้าใจ ทักกันได้นะคะ เผื่อหนูแดงเก็บรายละเอียดไม่หมด (แต่บางรายละเอียดก็ยังไม่ได้พูดถึงค่ะ กะค่อยๆ เผยออกมาในตอนต่อๆ ไป)
ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันด้วยน้า XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.03[11/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 11-01-2017 20:08:19
คริสจะได้ออกจากคุกแล้วใช่ไหม ไม่รู้ว่าอยู่ในนั้นกับอยู่กับเจมี่อันไหนเลวร้ายกว่ากันนะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.03[11/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rinny ที่ 12-01-2017 20:25:02
พ่อพระเอกสุดหล่อได้ออกโรงแล้ว นุ้งเจมี่นางรู้ความจริงแบบนี้จะเป็นไงต่อน้า ต้องสนุกแน่ๆเลย อิ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.03[11/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: AkaneSama ที่ 14-01-2017 08:33:02
เป็นแนวที่ชอบ แต่ไม่ค่อยมีคนเขียนหรือรู้จักซักเท่าไร ดีใจมากค่าา ที่มีคนแต่ง :laugh: :m15:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.03[11/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 14-01-2017 09:48:03
เกาะขอบต่อ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.03[11/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 14-01-2017 12:14:04
พอเป็นโอเมก้าก็รู้สึกว่านางน่ารักขึ้นเลยยย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.03[11/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 14-01-2017 12:20:55
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.03[11/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เข็มวินาที ที่ 14-01-2017 17:46:18
จะโดนจับมาอยู่ด้วยเพื่อพัฒนาตัวยาไหมเอ่ยยยย อยากอ่านต่อแล้ววว :hao7: :ling1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#เจมี่คริส: Ep.03[11/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Tuffina ที่ 14-01-2017 19:24:10
พึ่งอ่านไปในเด็กดี มาอยู่เล้าแล้ว เย้ ดีค่ะ เพราะเราถนัดอ่านในเล้า 5555 แต่ชอบเรื่องค่ะ ไม่ค่อยเห็นคนแต่งแนวนี้เท่าไหร่ รอติดตามอยู่นะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.03[11/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-01-2017 01:36:45
Episode 04: ความเลวร้ายของการเป็นโอเมก้า[1]

หลังจากได้คำสั่งจากเจอโรม ปฏิบัติการคิดค้นและพัฒนาประสิทธิภาพของยาระงับอาการฮีทสำหรับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็เริ่มต้นขึ้น เจเรมีไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่สถาบันพัฒนาฯ ตามปกติอีกเลยนับแต่นั้น กิจวัตรประจำวันของเขาถูกปรับเปลี่ยนไปตามตารางที่ทีมแพทย์กำหนดไว้ จะเรียกว่าเขากลายเป็นหนูทดลองก็ไม่ต่างเท่าไหร่นัก การต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ไม่ว่าจะตื่นนอน... ทานอาหาร... ออกกำลังกาย... ทุกอย่างต้องตรงเวลาเป๊ะๆ ซ้ำยังต้องทำตามที่รายการที่ถูกวางไว้ให้โดยไม่มีสิทธิ์มีเสียง มันทำให้เขาอึดอัดเสียจนแทบหายใจไม่ออก

อย่างกับติดคุกก็ไม่ปาน...

เจเรมีอดรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ ยิ่งถูกกำชับด้วยว่า...
‘ระหว่างนี้ห้ามออกไปไหนมาไหนตามใจจนกว่าจะมั่นใจได้ว่ายังไม่มีใครรู้เรื่องของแก’

เจเรมีจึงได้แต่อยู่ในบ้าน ตอนนี้บ้านของเขาเป็นเสมือนคุกกักกัน

ร้ายไปกว่านั้นคือหลังจากที่เขาใช้ชีวิตอย่างมีกฎเกณฑ์ร่วมหลายสัปดาห์แล้ว เจอโรมยังมาบอกให้เขาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปตรวจร่างกายเพื่อเก็บตัวอย่างเลือดและตรวจระดับฮอร์โมนอีก ถ้าการตรวจนั่นไม่เกี่ยวพันกับผู้ชายที่ชื่อว่าคริส เขาก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร หากแต่มันดันเกี่ยวพันกันเต็มๆ โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทันทีที่รู้ เจเรมีก็แทบจะพังบ้านพังยับเลยทีเดียว

ก็ยังดีที่ยังเกรงในความน่าเกรงขามของบิดาอยู่บ้าง ถึงจะอาละวาดแต่พอเจอโรมเตือนให้ตระหนักถึงผลเสียต่อตัวเขาถ้าไม่ทำตามแผนนี้ เจเรมีก็ยินยอมทำแต่โดยดีแม้ว่าจะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก

ก็มันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องถูกปลดออกจากตระกูล ไปขึ้นทะเบียนโอเมก้าแล้วถูกส่งขายทอดตลาดหรือถูกกำจัดอะไรพรรค์นั้นกันล่ะ คิดหรือว่าเขาจะยอมให้ตัวเองตกต่ำลงไปอย่างนั้น!

เพราะเหตุนี้ถึงได้มานั่งจุ้มปุ้กด้วยสีหน้าไม่รับแขกอยู่ในห้องรอตรวจของโรงพยาบาลณัฐแห่งหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงพยาบาลที่เป็นจุดศูนย์รวมของเทคโนโลยีการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในมหานครเพิร์ลและให้บริการสำหรับกลุ่มอัลฟ่า หากแต่การมาของเขาไม่ได้มาอย่างที่คนอื่นๆ ที่มาตามเวลาทำการ ทว่ามาในยามวิกาลและแน่นอนว่ามันเป็นการลักลอบเข้ามา

จากอิทธิพลและอำนาจของเจอโรมทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการไม่ยากนัก เพียงแต่บอกให้แมทธิวรู้ว่าเขาต้องการอะไร รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขแห่งมหานครเพิร์ลก็จัดสรรให้ได้ทุกอย่าง ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีส่วนรู้เห็นในโครงการผลิตยาเพื่อรักษาเจเรมีมาเตรียมการกันอย่างพร้อมหน้า เตรียมตัวลงมือปฏิบัติการตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

แต่ไม่ใช่เท่านั้น... ไม่ใช่แค่คนพวกนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีใครอีกคนที่ถูกพาตัวมาด้วยอำนาจของเจอโรมเช่นเดียวกัน
เขาถูกเรียกว่าหนูทดลอง...
ใช่... คริส ฟ็อกซ์

เจอโรมได้สั่งการให้พัศดีที่ใกล้ชิดออกคำสั่งพาตัวนักโทษคดีร้ายแรงมายังโรงพยาบาลแห่งนี้ คริสก็ไม่ได้อยากมาเท่าไหร่นัก แต่พอรู้ว่าเขาถูฏเรียกตัวมาด้วยเหตุผลอะไรก็ได้แต่ปลงตกแล้วตามมาโดยไม่ขัดขืน

จะไปขัดขืนอะไรได้ ไร้อำนาจ ไร้อิทธิพล ไร้ซึ่งทุกอย่างแล้วนี่ การขัดขืนไม่เป็นวิธีที่ฉลาดเลย

เพราะเหตุนี้ถึงได้มานั่งรอเจเรมีอยู่ในห้องสังเกจการณ์ที่เป็นห้องว่าง มีเพียงเตียง เก้าอี้สองตัวที่ประกบกับโต๊ะสีขาวเท่านั้น รอบข้างมีลำโพงสำหรับฟังเสียงของผู้ที่อยู่ด้านหลังกระจกบานใหญ่ซึ่งมองเห็นได้แค่ฟากเดียวส่งเสียงผ่านไมโครโฟนเข้ามา เขาที่ถูกจับเปลี่ยนชุดจากชุดนักโทษเป็นชุดผู้ป่วยซึ่งค่อนข้างจะดูเหมือนชุดสำหรับผู้ป่วยจิตเวชมากกว่าเพราะมันรัดแขนไม่ให้เขาขยับได้ ก่อนจะได้รับคำสั่งให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พลันผู้คุมและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็มาช่วยกันตรึงเขาไว้กับเก้าอี้ตัวนั้นอีกที ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อความปลอดภัยของเจเรมีถ้าหากว่านักโทษอย่างเขาเกิดคิดทำอันตรายขึ้นมาแม้ว่าข้อหาที่เขาถูกจับจะเป็นผลพวงจากเรื่องการเมืองก็ตาม

คริสอดไม่ได้เลยที่จะคิดว่าคนที่จะทำอันตรายเขาน่าจะเป็นเจเรมีมากกว่า ก่อนหน้าที่คุยกัน อีกฝ่ายก็ออกอาการไม่พอใจที่เขาเป็นคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองทั้งที่เขาก็ไม่ได้อยากจะไปเป็นอะไรอย่างนั้นด้วยสักนิด ยิ่งการมาเจอกันในครั้งนี้เป็นไปด้วยเหตุผลของการพัฒนายาระงับอาการฮีทของเจเรมีที่มีปฏิกิริยากับกลิ่นฟีโรโมนของเขาด้วยแล้ว คริสก็รู้ตัวเลยว่าการเจอกันคราวนี้คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคาดการณ์ ไม่นานนักชายในชุดผู้ป่วยที่เขารอคอยก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องให้เห็น สีหน้าบูดบึ้งทวีมากขึ้นไปอีกทันทีที่ดวงตาคมเหลือบเห็นคริส ตามมาด้วยสบถหยาบคายอีกชุดใหญ่ให้คนฟังได้ระคายหู กระทั่งเจอโรมที่รอดูลูกชายผ่านทางกระจกด้านเดียวตักเตือนผ่านไมโครโฟน เสียงก่นด่านั้นถึงเงียบลงได้

“ไง” แต่เป็นคริสแทนที่ไม่เงียบ ทักทายไปตามประสา

จริงๆ ก็ไม่ได้ทักทายไปตามประสาหรอก แค่อยากจะทำให้เจเรมีไม่เครียดมาก ดูหน้าอีกฝ่ายสิ ทำหน้าตาน่ากลัวขนาดนั้น อีกนิดเดียวก็จะฆ่าเขาได้แล้ว

หากแต่เจเรมีไม่ตอบ ชำเลืองมองตาขวางแล้วเมินเอาดื้อๆ ทำให้คริสได้พูดออกไปอีก
“เจอกันอีกแล้วนะ”
เจเรมีไม่เสวนาด้วยอยู่ดี จ้องเขม็งอย่างเกรี้ยวกราด ปล่อยให้คริสพูดอยู่คนเดียว
“พาฉันมาเพื่อพัฒนายาสำหรับนายสินะ”
ไม่ต้องบอกว่ายาอะไร เจเรมีก็รู้อยู่แต่ใจ นั่นทำให้เขาหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“หุบปากซะถ้ายังอยากมีฟันไว้กัดไอ้หนูของผู้คุม”

ปล่อยความหยาบคายออกมาอีกระลอก เป็นคำพูดที่ดูถูกคริสน่าดู ทว่าคริสไม่ยี่หระกับสิ่งที่ได้ยิน นั่งนิ่งๆ รอจนกระทั่งบรรดานายแพทย์เข้ามาอธิบายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
“ทำไมต้องมาทำอะไรบ้าๆ นี่ด้วยวะ” เจเรมีพึมพำหลังจากนายแพทย์คนหนึ่งอธิบายเสร็จ

เขารู้อยู่แล้วว่าที่ต้องมาโผล่หัวในห้องนี้เป็นเพราะเจอโรมต้องการให้เขาแสดงอาการฮีทและปล่อยฟีโรโมนออกมาถึงขีดสุดขณะได้กลิ่นฟีโรโมนของคู่แห่งโชคชะตาอย่างคริสเพื่อพัฒนายา รู้ว่ามันเป็นประโยชน์กับตัวเขาเอง แต่พอนึกถึงตอนที่เขาถึงจุดสุขสมทั้งที่คริสไม่ได้ทำอะไรแล้วมันก็เจ็บใจ

เจ็บใจเรื่องนั้นยังไม่พอ รับไม่ได้กับความจริงที่ว่าเขาเป็นโอเมก้าด้วย

ใช้ชีวิตประดุจอัลฟ่ามาทั้งชีวิต จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเพราะการปรากฏตัวของคริสมันเป็นเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรก็รับไม่ได้อยู่แล้ว!

สายตาเกรี้ยวกราดในตอนนี้ถูกปราดมองไปยังนายแพทย์คนหนึ่งที่กำลังฉีดยากระตุ้นให้เกิดอาการฮีทให้เขาที่ข้อพับแขนหลังจากที่นายแพทย์ผู้คุมการดำเนินการหลักที่รอดูอยู่ภายนอกกับบิดาออกคำสั่งให้เริ่มทุกอย่างตามแผนการได้ คริสได้แต่นั่งมองนิ่งๆ เขาเองก็ไม่อยากมาทำอะไรแบบนี้หรอก แต่มีทางเลือกให้เสียที่ไหน อิสรภาพสูญเสียไปแล้ว สิทธิในการเรียกร้องอะไรก็ไม่มี สถานะต้อยต่ำประหนึ่งเดนมนุษย์ จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ใครอยากให้ทำอะไรก็ทำ

...แค่ตอนนี้เท่านั้น มีโอกาสเมื่อไหร่ เขาไม่รอช้าที่จะทวงคืนทุกอย่างของเขาแน่

“หลังจากนี้คุณจะเริ่มมีอาการฮีทนะครับ อาจจะทรมานสักหน่อย แต่ขอให้อดทนก่อน ถ้าฟีโรโมนถูกปล่อยออกมาจนถึงขีดสุด ผมจะเก็บตัวอย่างเลือดกับตรวจระดับฮอร์โมนของเขา ถ้าเรียบร้อยแล้วจะฉีดยาระงับอาการฮีทให้นะครับ” นายแพทย์บอกอีกที

เจเรมีชักสีหน้า พลางส่งเสียงห้วน “จะทำอะไรก็รีบทำ อย่าพล่ามให้มากนัก รำคาญ”

นายแพทย์คนนั้นพยักหน้ารับไปตามเรื่อง เขาพอจะรู้อยู่ว่าการตรวจนี้ เจเรมีไม่ได้เต็มใจสักเท่าไหร่นัก ทั้งหมดเป็นเพราะคำสั่งของเจอโรมและมันก็เพื่อตัวเขาเอง ชายหนุ่มคนนี้ถึงได้ยอมมานั่งในห้องสังเกตการณ์อย่างที่เป็นอยู่

เมื่อจัดการตามหน้าที่เรียบร้อย นายแพทย์คนนั้นก็เดินออกไปสังเกตการผ่านบานกระจกด้านนอก ทิ้งให้ชายหนุ่มทั้งสองนั่งประจันหน้ากัน คริสยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ ขณะที่เจเรมีจ้องอีกฝ่ายอย่างกินเลือดกินเนื้อ คริสก็สบตากลับอย่างไม่เกรงกลัวจนเจเรมีอดรนทนไม่ได้

“มองบ้าอะไร ไม่อยากตายดีหรือไง” ถึงจะฆ่าไม่ได้ ขอขู่สักหน่อยก็ยังดี
คริสกลอกตามองไปด้านข้างเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มเย้ยสร้างความหงุดหงิดให้กับเจเรมีอีกเป็นเท่าตัว ความจริงคริสไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโทสะ เขาก็แค่นึกขำเล็กๆ กับพฤติกรรมของคนตรงหน้า

ไม่มีวุฒิภาวะเอาซะเลย...

ไร้ซึ่งวุฒิภาวะอย่างที่นักโทษหนุ่มคริส แค่ยิ้มเล็กๆ เท่านั้นก็ทำให้เจเรมีหงุดหงิดจนแทบคลั่งได้อยู่แล้ว ดีที่มีเสียงของนายแพทย์ผู้ดำเนินงานดังลอดออกมาจากลำโพงภายในห้องสังเกตการณ์ บรรยากาศกดดันถึงได้เจือจางลงไปได้เล็กน้อย
“อีกราวๆ สิบห้านาที ยาจะออกฤทธิ์นะครับ คุณเมอร์ซีช่วยตั้งสติไว้ด้วยนะ”

คนด้านนอกยืนรอดูอาการที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้อย่างใจจดใจจ่อ จะมีก็แต่เจเรมีที่อยากจะให้ทุกอย่างมันยุติลงเสียทีแม้จะเข้าใจดีว่าทำไมเขาจะต้องทำให้ตัวเองเกิดอาการฮีทอีกครั้ง แต่ว่า...มันเรื่องอะไรที่จะต้องมาเป็นฮีทต่อหน้าผู้ชายคนนี้ด้วย!

ถึงอย่างนั้นก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี คริสก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองใจหรอก เขารู้สึกกับคนตรงหน้าไปเองว่าอีกฝ่ายทำให้เขาอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา

ความจริงแล้ว... มันเป็นแค่ความเสียหน้าน่ะ...
แค่ได้กลิ่นของอีกฝ่ายก็ถึงจุดสุขสมได้ มันน่าเจ็บใจจะตาย!

กระนั้นก็แสร้งนั่งนิ่ง พยายามควบคุมอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองอย่างสุดความสามารถ จะมีก็แต่คริสเท่านั้นที่สังเกตอาการอีกฝ่ายที่ใบหน้าเริ่มจะแดงเรื่อขึ้นมาเพราะอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นก็พลันทัก

“ควบคุมตัวเองดีๆ ล่ะ มีแต่นายที่ไม่ได้ถูกมัด” ว่าพลางขยับตัวเล็กน้อยให้เห็นว่าเขาถูกตรึงไว้ไม่ให้ขยับได้ถ้าหากเกิดอาการตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมน

เจเรมีที่ถูกพูดเหมือนดูแคลนกัดฟันแน่น จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “หุบปากซะ”

คริสยอมเงียบตามคำขู่ จากนั้นก็นั่งนิ่งรอเวลา สายตาสังเกตอาการของเจเรมีเป็นระยะ ผ่านไปไม่นานนัก ฤทธิ์ยากระตุ้นฟีโรโมนก็เริ่มทำงาน จมูกของเขาได้กลิ่นหอมหวานขึ้นมาทีละน้อย ก่อนที่มันจะฉุนขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถในการควบคุมตัวเอง

ทว่าเจเรมีมีอาการมากกว่าหลายเท่าตัว เริ่มแรกเพียงแค่ใบหน้าแดงเรื่อ สักพักก็ลามไปยังลำคอและใบหู ความร้อนพร่างพรายไปทั่วทุกส่วนของลำตัว จุดศูนย์รวมความรู้สึกทางเพศก็ตื่นตัวขึ้นมา ลมหายใจหอบกระชั้น เขาเกลียดเหลือเกินกับอาการบ้าๆ ที่ทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างนี้ พยายามจะต่อต้านแต่ก็ไม่อาจทนได้ไหว ฟุบหน้าลงไปบนโต๊ะตรงหน้า มือหนากำแน่นจนซีดขาว

ทรมาน... ทรมานจนแทบทำให้เป็นบ้า

และเขาก็คงจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เมื่อจมูกได้กลิ่นฟีโรโมนของคริสที่ปล่อยออกมาโดยอัตโนมัติซึ่งมาจากการตอบสนองต่อกลิ่นของเจเรมี เท่านั้นหัวสมองของเขาก็มึนเบลอไปทันที ดวงตาเรียวปรือลง เหลือบมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
คริสไม่สบตาอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าแดงก่ำ มีการขยับตัวด้วยท่าทางอึดอัดเล็กน้อยบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเองก็ทรมานเหมือนกัน หากแต่เก็บอารมณ์ได้ดีกว่า ส่วนเจเรมีนั้น... สติแตกไปแล้ว

“มะ...ไม่ไหว”
ร่างใหญ่ครวญ พยายามจะลุกขึ้นเพื่อออกไปข้างนอก เขาต้องการฉีดยาระงับอาการนี้โดยด่วน ทว่าพอทำท่าจะลุกยืนจากเก้าอี้เท่านั้น แข้งขาก็สั่นจนเขาต้องล้มคุกเข่าไปบนพื้น ค่อนข้างแย่หน่อยที่จุดที่เขาล้มมันใกล้กับเก้าอี้ของคริสพอดี ทำให้จมูกได้กลิ่นของคู่แห่งโชคชะตาแรงมากขึ้นไปอีก

เจเรมีพยายามจะยืนขึ้นอีกครั้ง ยื่นมือไปจับข้อเท้าอีกฝ่าย กะว่าจะใช้เป็นที่พยุงตัว หากแต่ฉับพลันก็เกิดควบคุมตัวเองไม่ได้เสียอย่างนั้น เงยหน้าสบตาคริสที่มองมา ทุกอย่างก็หมุนคว้างไปหมด
“คะ...คริส...” ปากเผลอครางเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปด้วย
คริสไม่ตอบโต้อะไร เอาแต่หายใจหอบถี่ขณะที่เจเรมีค่อยๆ ดันตัวขึ้นมานั่ง ขยับตัวเข้ามาซุกใบหน้าลงกับหน้าท้องของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
“ไม่ไหวแล้ว...” ตามมาด้วยครางอีกครั้ง

การกระทำนั้นทำให้คริสสะดุ้งเล็กน้อย แล้วก็ต้องแปลกใจที่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประหลาดหลุดออกมาจากริมฝีปากของคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“อา...”
ร่างใหญ่กระตุกเกร็ง แขนแกร่งทั้งสองโอบประคองแผ่นหลังของคริสเอาไว้ ใบหน้าที่ซุกอยู่ช่วงหน้าท้องแนบแน่นเข้ามาอีก อาการนั้นทำให้คริสรู้เลยว่าเจเรมีไปถึงจุดที่เขาต้องการโดยที่ไม่มีใครไปแตะเนื้อต้องตัวเขาอีกแล้ว และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีถูกปล่อยออกมาอย่างเต็มที่

กลิ่นหอมหวานลอยเข้าจมูกจังๆ คริสก็หน้ามืดขึ้นมาทันที เขาถูกกระตุ้นเร้าอย่างสุดขีดเช่นกัน ริมฝีปากหนาขบเม้มเข้าหากันจนซีด เริ่มอยู่ไม่สุข ขยับเก้าอี้ดิ้นรนให้ตัวเองหลุดออกจากการพันธนาการทั้งหมดเพื่อที่จะตอบสนองตามสัญชาตญาณตัวเองกับร่างกายของคนที่ฟุบหน้าอยู่บนหน้าขาของเขา

ไม่ไหว... ทนไม่ไหวเหมือนกัน ทรมานจะตายอยู่แล้ว

เกือบจะกลายเป็นคุ้มคลั่งอาละวาดอยู่แล้ว โชคดีที่ยังไม่ทันจะได้มีอะไรเกิดขึ้น ทำได้แค่โยกตัวไปมาคล้ายจะพยายามดิ้นรนออกจากการดึงรั้ง ทีมแพทย์ที่สวมหน้ากากกรองกลิ่นฟีโรโมนก็พากันกรูเข้ามาในห้องสังเกตการณ์เสียก่อน พลันรีบเจาะเลือดและตรวจวัดระดับฮอร์โมนของคริสในเวลาอันสั้น ส่วนเจเรมีเองก็ถูกพยุงไปนอนพักบนเตียงในห้องนั้นอย่างรวดเร็วและจัดการจับฉีดยาระงับอาการฮีททันที

กว่าช่วงเวลานั้นจะผ่านไป เรียกได้ว่าชายหนุ่มทั้งสองต้องผ่านความยากลำบากกันมากโขเลยทีเดียว พอทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ พวกเขาถึงตั้งสติได้อีกครั้งพร้อมกับระลึกได้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหตุการณ์ก่อนหน้าบ้าง

คริสที่คิดทำมิดีมิร้ายอีกฝ่ายถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก คิดไม่ออกเลยว่าถ้าเขาอาละวาดเพื่อที่จะตอบสนองต่ออาการฮีทของเจเรมี เรื่องมันจะเลวร้ายแค่ไหนแม้ว่าเขากับเจเรมีจะเป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกันก็ตาม

ไอ้ความเป็นคู่แห่งโชคชะตาเนี่ย... มันอันตรายมากเหมือนกันแฮะ

“เสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพักสักครู่นะครับ แล้วเดี๋ยวจะให้ผู้คุมมาพากลับไป” นายแพทย์ที่เพิ่งจะฉีดยาต่อต้านฟีโรโมนของโอเมก้าให้คริสเสร็จเอ่ยขึ้น
คริสพยักหน้ารับก่อนอีกฝ่ายจะหันไปบอกกับเจเรมีบ้าง
“ส่วนคุณเมอร์ซีนอนพักสักประเดี๋ยวนะครับ รอให้ยาออกฤทธิ์เต็มประสิทธิภาพก่อนค่อยออกไป เดี๋ยวคนอื่นจะแตกตื่นกัน”
แตกตื่นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีที่ยังเหลืออยู่อีกหน่อย

เจเรมีไม่หือไม่อือ ปล่อยให้นายแพทย์คนนั้นออกจากห้องไปหลังอธิบายเสร็จ พอเหลือแค่เขากับเจเรมีที่ตอนนี้มีสติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วน คริสก็อดพูดออกมาไม่ได้

แน่นอนว่ามันเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้า...
“เมื่อกี้น่ะ ที่นาย...”
“หุบปากเน่าๆ ของนายเอาไว้ อย่าสำรอกอะไรออกมาเชียว” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เจเรมีที่นอนก่ายหน้าผากอยู่ก็โพล่งขึ้น

จริงๆ แล้วคริสตั้งใจจะขอโทษที่เผลอคิดอะไรไม่ดีกับเจเรมีไป เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดแค่ไหนหลังจากรับรู้ว่าตัวเองเป็นโอเมก้าทั้งที่เข้าใจว่าเป็นอัลฟ่ามาตลอดชีวิต ซ้ำยังมามีอาการอะไรแปลกๆ กับคู่แห่งโชคชะตาที่พับเจอโดยบังเอิญอีก จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน

หากแต่พอถูกเจเรมีพูดใส่หน้าแบบนี้แล้ว ความเห็นใจของคริสก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอื่นแทน มุมปากยกยิ้มขึ้น พูดลอยหน้าลอยตา
“แค่จะบอกว่ากางเกงเปียกน่ะ”

ก็บอกว่าอย่าสำรอกอะไรออกมาไง หาเรื่องหรือไงวะไอ้เวรเอ๊ย!

เจเรมีผงกศีรษะขึ้น คว้าหมอนขว้างใส่อีกฝ่ายสุดแรงแขน คริสที่ถูกมัดตรึงไว้อยู่ไม่สามารถหลบได้ อย่างดีก็แค่หันหน้าหนี หมอนเลยกระแทกเข้ากับซีกหนึ่งของใบหน้าเต็มๆ พอเหลือบไปมองคนตัวการก็เห็นว่าเจเรมีกำลังนั่งชูนิ้วกลางใส่อยู่
“ไปตายซะ”

หยาบคายสุดๆ ไปเลย นี่น่ะเหรอผู้รากมากดีตระกูลอัลฟ่าแห่งมหานครเพิร์ล...

เป็นคนที่ผ่าเหล่าผ่ากอมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอัลฟ้าหรือโอเมก้า และความหยาบคายของเจเรมีก็ทำให้คริสลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ทำเอาเจเรมีที่เดือดได้ที่ขู่เสียงต่ำ
“มีปัญหาอะไร”
“ฉันแค่คิดว่าพ่อแม่นายจะกลุ้มใจแค่ไหนที่มีลูกอย่างนี้”

อย่างนี้คืออย่างไหนก็ไม่อาจรู้ได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ นั่นทำให้เจเรมีอยากจะหาอะไรมาทุบคนตรงหน้าให้ตายคามือ เกือบจะพุ่งไปคว้าโต๊ะทุ่มใส่อยู่แล้ว ดีที่เจอโรมส่งเสียงผ่านไมโครโฟนตัดบทเสียก่อน
“หายดีแล้วก็ออกมา อย่ามัวแต่เล่น เรายังมีเรื่องต้องทำต่อ”

เจเรมีฮึดฮัดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมทำตามแต่โดยดีเมื่อนายแพทย์กับเจ้าหน้าที่พยาบาลเข้ามาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วพาเขาออกจากห้องสังเกตการณ์ไป ปล่อยให้คริสนั่งอยู่อย่างนั้นกระทั่งผู้คุมมาช่วยแก้มัดเขาและพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อกลับไปยังทัณฑสถาน


หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.03[11/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-01-2017 01:37:37
Episode 04: ความเลวร้ายของการเป็นโอเมก้า[2]

หลังจากวันที่ได้เจอหน้ากับคริส เจเรมีก็ไม่ได้กลับไปเหยียบที่สถาบันอีกเลยกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆ การหายหน้าหายตาไปของเขาสร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนร่วมชั้นปีเป็นอย่างมาก ทว่าก็เป็นแค่ในระยะแรกเท่านั้นด้วยมีคนปล่อยข่าวลือว่า ‘ไอ้คนตายด้าน’ อย่างเขารู้สึกเสียหน้าที่มีอาการตอบสนองกับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าเพราะตลอดเวลาที่ได้ยินชื่อเสียงความร้ายกาจของผู้ชายคนนี้มา ยังมีเรื่องที่เขาไม่มีอาการอะไรตอบสนองต่อสิ่งเร้ามาให้ได้ยินอีกด้วย การที่เขามีอาการแบบนี้ทำให้ความรู้สึกว่าตัวเอง ‘พิเศษ’ กว่าอัลฟ่าคนอื่นๆ ถูกริดรอนไป

คงจะรับความจริงว่าอัลฟ่าทุกคนล้วนแล้วตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าไม่ได้ถึงได้หายหัวไปอย่างนี้

จะมีก็แต่อัลเบิร์ตเท่านั้นที่รู้ความจริง เขาไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยินเกี่ยวกับเพื่อนสนิทตัวเองนัก หากแต่ไม่พูดอะไรออกไปด้วยตระหนักถึงความปลอดภัยของเจเรมีมากกว่า เหนือสิ่งอื่นใดก็เพื่อความปลอดภัยของบิดาเขาด้วย ถ้าหากมีใครรู้ว่าบิดาเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเก็บความลับของเจเรมี มีหวังครอบครัวเขาต้องเดือดร้อนแน่

ก็ยังดีที่เรื่องราวของเจเรมีไม่ได้ถูกพูดถึงกันทั่วสถาบันนานเท่าไหร่นักเมื่อมีเรื่องของนักโทษคนนั้นเข้ามาแทนที่
ใช่... หมายถึงคริส ตอนนี้เป็นที่กล่าวขวัญถึงกันไปทั่วว่าแท้จริงแล้วคริสไม่ใช่อัลฟ่า แต่เป็นโอเมก้าที่ตระกูลฟ็อกซ์แห่งอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนรับเลี้ยงไว้

มันก็ดีที่ใครต่อใครเอาแต่พูดถึงเรื่องนั้น เจเรมีจึงกลับมาปรากฏตัวที่สถาบันด้วยความไม่หัวเสียเท่าไหร่นัก... ก็หัวเสียนั่นแหละ มากเสียด้วย เอาเป็นว่าดีที่เขาไม่ทวีความหงุดหงิดไปมากกว่านี้ก็แล้วกัน
“ไหวไหมเนี่ย ถ้าไม่ไหวจะไปข้างนอกไหม” เห็นเจเรมีเอาแต่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะหลังจากเข้ามารอผู้สอนในคลาสของเช้าวันนี้ อัลเบิร์ตก็อดชักชวนให้โดดเรียนขึ้นมาเสียไม่ได้แม้ว่าโดยปกติแล้วเขาจะเป็นคนออกปากห้ามอีกฝ่ายมากกว่า ทว่าการเห็นเพื่อนของตัวเองหมดลายไปอย่างนี้ก็สงสารขึ้นมา

เจเรมี เมอร์ซี ต้องไม่หงอยอย่างนี้สิ...

แต่ก็อย่างที่รู้กันว่าถึงจะผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว เจเรมีก็ยังรับกับสภาพของตัวเองไม่ได้ ยิ่งเขารับรู้ว่ายาที่ตัวเองฉีดทุกวันเป็นยาเพื่ออะไร เขาก็รู้สึกไม่อยากทำอะไรขึ้นมา อยากจะขังตัวเองอยู่ในห้องส่วนตัวทั้งวัน ไม่อยากจะไปพบปะผู้คนเลยแม้แต่น้อยเพราะช่วงนี้อารมณ์ไม่คงเส้นคงวาสุดกู่ ทว่าก็จำเป็นต้องกลับมาใช้ชีวิตให้เป็นปกติด้วยไม่ต้องการให้ใครผิดสังเกตไปมากกว่านี้ตามความกังวลของเจอโรม 

หากแต่การควบคุมอารมณ์นั้นไม่ง่ายเลย แม้แต่อัลเบิร์ตเองก็ทำให้เจเรมีหงุดหงิดได้ สิ้นเสียงซักถามนั้น อีกฝ่ายก็โบกมือไล่เป็นเชิงให้อีกฝ่ายไปไกลๆ ด้วยไม่ต้องการระเบิดอารมณ์ใส่เพื่อนที่เป็นห่วงตัวเอง

หากแต่พอถูกอัลเบิร์ตถามย้ำอีกทีด้วยคำถามเดิมก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วแผดเสียงใส่ลั่น
“บอกให้ไปไกลๆ ไม่เข้าใจหรือไงวะ!”
คนถูกตะคอกสะดุ้ง

ไม่เพียงแค่อัลเบิร์ตเท่านั้น คนอื่นๆ ที่อยู่ในคลาสก็พากันสะดุ้งไปตามๆ กัน เสียงคุยจอแจรอบข้างเงียบสนิทราวกับสุสานทันควัน ก่อนที่เจเรมีจะสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“โทษที อากาศมันร้อนมากไปหน่อย” โทษลมโทษฝนไปเรื่อย

อัลเบิร์ตไม่ถือสา เข้าใจชัดเจนดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายตกอยู่ในภาวะวิตกกังวล การไปเซ้าซี้ถามอะไรคงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แค่เป็นห่วง เอาเป็นว่าถ้านายอยากจะไปไหนก็บอกฉันก็แล้วกัน จะได้ไปเป็นเพื่อน...ถ้านายต้องการนะ” ปิดท้ายด้วยประโยคนี้สักหน่อยเผื่อว่าเจเรมีจะอยากไปคนเดียวมากกว่า

เจเรมีพยักหน้ารับแล้วพึมพำออกมา “ตอนนี้ฉันขออยู่เงียบๆ คนเดียวก็พอ เสียงของนายมันทำให้ฉันปวดหัว”

อัลเบิร์ตรับทราบ

ความจริงแล้วไม่ใช่แค่เสียงของอัลเบิร์ตหรอกที่ทำให้เจเรมีปวดศีรษะ เสียงอย่างอื่นรอบข้างก็เช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาปวดศีรษะจนแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ กลับเป็นเสียงของผู้ชายตัวใหญ่ซึ่งมีใบหน้าตกกระต่างหาก

มันชวนให้ปวดประสาทจนทำให้เขาแทบอยากจะฆ่าทิ้งให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ

“ก็นึกว่าไอ้บ้าที่ไหนมาตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ที่แท้ก็คุณเมอร์ซีผู้ลือเลื่องนี่เอง หายหน้าไปนานเลยนะ ในที่สุดก็กลับมาแล้ว คิดถึงน่าดู”

เสียงของธีโอ...

เจเรมีเหลือบมอง เห็นอีกฝ่ายเดินกร่างเข้ามาหาพร้อมกับลูกสมุนก็แทบอดใจจะซัดคนตรงหน้าไม่ได้ แต่เพราะเสียงของบิดาดังก้องอยู่ในหัวว่าห้ามเขาไปสร้างเรื่องอะไรเด็ดขาดด้วยไม่ต้องการให้มีปัญหาจนกว่าเขาจะได้เข้าพิธีประทับตราอัลฟ่าตามธรรมเนียมปฏิบัติ

อันที่จริงมันเป็นข้ออ้างให้เจเรมีไม่ไปก่อเรื่องมากกว่า ถึงจะประทับตราอัลฟ่าแล้วก็ต้องพยายามทำตัวให้ไม่เป็นปัญหา การถูกเพ่งเล็งไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลยสักนิดเพราะมันจะทำให้ใครต่อใครจ้องจะหาเรื่องเขาและพยายามทำให้ตกต่ำได้

ด้วยเหตุนั้น คนถูกเรียกด้วยชื่อสกุลจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เมินเฉยใส่ ทว่าทำให้ธีโอได้ใจ พูดขึ้นมาอีก
“หายหน้าหายตาไปเพราะอะไรเหรอแกน่ะ บังเอิญฉันได้ยินข่าวลือมาว่าแกป่วย... ประมาณว่าร่างกายผิดปกติอะไรแบบนั้น”
ธีโอตั้งใจจะพูดเรื่องที่เจเรมีมีอาการตอบสนองกับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าด้วยรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร

เจเรมีไม่อยากโต้ตอบแต่เห็นหน้าคนที่มาหาเรื่องแล้วมันก็อดโมโหไม่ได้จึงเลือกที่จะเดินหลบไปที่อื่นแทน
ตอนแรกกะว่าจะทำตัวให้เป็นปกติเสียหน่อย ในเมื่อเจออย่างนี้แล้วก็ขอโดดเรียนไปเลยก็แล้วกัน

ร่างสูงลุกขึ้น ขยับตัวออกมาจากโต๊ะแล้วก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ก็ถูกธีโอดักหน้า
“เอ้า จะไปไหน ยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันเลยแท้ๆ” ว่าพลางหัวเราะในลำคอพลันยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ “ทำไมเหรอ? หรือจะรับไม่ได้ที่ไอ้จ้อนของนายมันตื่นตัว แหม ใหม่ๆ ก็อยากนี้แหละน่าสาวน้อย เคยช่วยตัวเองหรือยังฮึ?”
คำดูถูกหลุดออกจากปากของธีโอมาเป็นพรวน อับเบิร์ตมองด้วยสายตารังเกียจสุดชีวิต

เป็นคนประเภทไหนกันถึงได้พูดดูถูกเหยียดหยามคนอื่นได้ถึงขนาดนี้?

แต่จะไปว่าธีโอก็ไม่ได้ เจเรมีเองก็ใช่ย่อยที่ไหน ถ้าไม่ถูกสั่งห้ามมา ตามปกติแล้วเจเรมีก็มีวาจาร้ายกาจไม่แพ้กัน
เว้นก็แต่ครั้งนี้ที่เจเรมีไม่ตอบโต้ พยายามสะกดกลั้นแล้วว่าเสียงเรียบ
“ถอยไป”

ธีโอเลิกคิ้วสูง หลุดหัวเราะออกมาที่ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเหนือความคาดหมาย ปกติต้องตะบันหน้าเขาไปแล้วสิ ท่าทางจ๋อยไม่สู้คนอย่างนี้มันอะไรกัน!?

“โถ แค่ไอ้จ้อนของนายมันถึงวัยสมควรโตแค่นี้ถึงกับช็อกไปเลยหรือไง ไม่เอาน่า อย่าซึมแบบนี้เลย ไม่สมกับเป็นแกเลยนะ”
ทั้งที่รู้ว่าในเวลาปกติ การมาพูดอย่างนี้ต้องถูกเจเรมีซัดหน้าหงายอยู่แล้วก็ยังจะเสนอหน้ามาพูด ยิ่งตอนนี้อีกฝ่ายไม่ตอบโต้ก็ยิ่งได้ใจ เยาะเย้ยถากถางเป็นการใหญ่ หารู้ไม่ว่าเจเรมีอยากจะปล่อยหมัดกระแทกปากเสียเต็มแก่

ต้องใช้ความพยายามอดทนมากแค่ไหนในการระงับอารมณ์ รู้บ้างไหมน่ะ!?

จะมีก็แต่อัลเบิร์ตเท่านั้นที่รู้ เห็นใบหน้าบูดบึ้งน่ากลัวและมือที่กำแน่นทั้งสองข้างของเพื่อนสนิทก็อยากจะปรามให้ธีโอสงบปากสงบคำ การทำให้เจเรมีเดือดดาลในเวลาอย่างนี้ชเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเลย ถ้าเจเรมีปะทุขึ้นมา รับรองว่าใครก็ฉุดเขาไว้ไม่อยู่แน่

หากแต่ช้าไปหน่อย พอตั้งท่าจะเตือน เจเรมีก็ออกเดินต่อแล้ว แต่ธีโอกับพรรคพวกก็ยังจะมาขวางหน้าไว้อีก
“รีบไปเรียนรู้วิธีการปลดปล่อยเหรอคุณเมอร์ซี ก็อย่างว่า พวกชั้นต่ำอย่างโอเมก้าน่ะ เวลาอยู่บนเตียงมันดีอย่าบอกใคร” ปากก็ยังเยาะเย้ยไม่หยุด

เจเรมีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอีกครั้ง ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะแค้นขึ้นมาเมื่อหูได้ยินสิ่งที่ธีโอพูดอีกรอบ
“แต่โอเมก้ามันก็มีดีแค่นอนถ่างขาให้พวกอัลฟ่าเท่านั้นแหละ แกอยากลองไหมล่ะ ฉันให้ยืมโอเมก้าที่บ้านเอาไหมเผื่อนายจะติดใจกลิ่นฟีโรโมนนั่น เราจะได้คุยกันได้มากกว่านี้ ฉันจะสอนแกฝึกปรือไอ้จ้อนให้ชำนาญเอง”

แค่ได้ยินธีโอพูดถึงโอเมก้าอย่างนั้น เจเรมีก็สั่นเทิ้มขึ้นมาด้วยความโกรธแล้ว ร้ายกว่าการพูดจาเยาะเย้ยถากถางคือการกระทำ พูดจบก็ดันเอามือมาจับที่เป้ากางเกงของเจเรมี ขยำเล็กน้อยกะจะให้โดนจุดสำคัญ ดีที่เจเรมีไหวตัวทันเสียก่อน ผละออกมาแล้วตามด้วยกำปั้นหลุนๆ ส่งไปปะทะเข้าเต็มๆ ดั้งจมูกโดยไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย

เสียงกำปั้นกระแทกดังพลั่กแล้วเสียงร่างใหญ่ล้มตุ้บลงไปที่พื้นเรียกสายตาของทุกชีวิตให้หันมามองเป็นจุดเดียว พลันพากันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจทันทีที่เห็นว่าใบหน้าของธีโอเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากจมูก ก่อนที่ธีโอซึ่งเพิ่งจะรู้สึกตัวจะโวยวายลั่น

“จะ...จมูกฉัน! โอ๊ย!” เลื่อนนิ้วขึ้นไปโดนดั้งเล็กน้อยก็ร้องลั่นออกมา
เพื่อนของเขารีบกรูเข้ามาดู เห็นสันดั้งที่บิดเบี้ยวไปก็ช่วยกันโวยวายตามมาอีกระลอก
“เฮ้ย! ดั้งหักเลยนี่หว่า เล่นแรงไปไหมวะเจเรมี หมอนี่ก็แค่ล้อเล่น!”

จะล้อเล่นหรืออะไรก็ไม่รู้ล่ะ ที่รู้ๆ คือตอนนี้เจเรมีดูน่ากลัวชะมัดเลย รังสีความอาฆาตมาดร้ายแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาราวกับหนังการ์ตูนอะไรอย่างนั้น และก็ยิ่งทวีความน่ากลัวมากขึ้นไปอีกเมื่อจู่ๆ ริมฝีปากหนาก็ยกยิ้มขึ้น
“งั้นฉันก็จะเล่นกับพวกแกหน่อยก็แล้วกัน!”

จากนั้นก็พุ่งเข้าไปยกขาถีบเข้าเต็มๆ ใบหน้าของเจ้าของประโยคก่อนหน้า เลือดสดๆ กลบปากของอีกฝ่ายหลังจากถูกพื้นรองเท้าบูทหนักๆ กระแทกเข้าให้

การกระทำนั้นทำให้คนทั้งคลาสแตกตื่น ส่งเสียงโหวกเหวกกันลั่น อัลเบิร์ตเองยังถลึงตาโพลงด้วยความตกใจ หันไปมองเจเรมีหมายจะห้ามแต่ก็ต้องชะงักกึก เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นรอยยิ้มหยันจากเพื่อนสนิท

รอยยิ้มนั่น...เป็นรอยยิ้มของพญามัจจุราชอย่างแท้จริง!

เพราะไม่ได้เอ่ยปากห้าม เจเรมีจึงทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก ถลาเข้าไปถีบเพื่อนของธีโอให้ออกห่างคู่อริของเขาเป็นการเคลียร์พื้นที่ ก่อนจะหันกลับมาคว้าเก้าอี้นั่งที่มีขาเป็นเหล็กขึ้นในมือ

อัลเบิร์ตเห็นท่าไม่ดี ได้สติก็รีบออกปากทันควัน
“เจมี่! อย่า...”
แต่ไม่ทันแล้วเมื่อเจเรมีแผดเสียงขึ้น
“ดีอย่าบอกใครงั้นเหรอ! ถ้าแกจมกองเลือดตายแทบเท้าฉันมันดีกว่าไปเสพสมกับโอเมก้าบนเตียงอีกเว้ย!”
ตามด้วยเหวี่ยงเก้าอี้ตัวนั้นใส่ร่างของธีโอเต็มกำลัง เสียงดังพลั่กเมื่อของแข็งกระทบผิวเนื้อสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว และตามมาอีกหลายต่อหลายครั้งท่ามกลางเสียงร้องโอดโอยของคนถูกกระทำที่เปล่งออกมาไม่หยุด

ไม่แน่ใจนักว่าถูกกระหน่ำทุบตีไปกี่ครั้ง...
ไม่แน่ใจว่าธีโอร้องดังเท่าไหร่...
เสียงที่ดังให้ได้ยินนั้นเป็นเสียงของอะไรบ้าง...
เสียงเหล็กกระทบเนื้อ?
เสียงร้องของธีโอ?
เสียงกระดูกบางส่วนแตกหัก?

ไม่มีใครแน่ใจได้เลยนอกจากได้ยินเสียงหัวเราะของปีศาจคุ้มคลั่งซึ่งอาละวาดตรงหน้า

มีเพียงอัลเบิร์ตคนเดียวที่กล้าเข้าไปรั้งเจเรมีโดยใช้แรงทั้งหมดที่มี หากแต่ก็ถูกสะบัดหลุดจนล้มคว่ำไปอีกทาง คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือมาช่วยสักคน ยิ่งเห็นใบหน้าบอบช้ำและกองเลือดของธีโอด้วยแล้วก็พากันถอยกรูดไปหลบอยู่มุมห้อง มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่รีบวิ่งไปตามใครสักคนมาจัดการเรื่องนี้ให้ทันท่วงที

ทว่า...เหมือนจะช้าไปสักหน่อยสำหรับชะตากรรมของธีโอที่ใกล้จะขาดอยู่รอมร่อ เขาถูกเก้าอี้ฟาดจนเกือบแน่นิ่งไปแล้ว หากแต่ยังมีสติอยู่ แน่นอนว่าเจเรมีไม่ยอมให้อีกฝ่ายสลบไปเร็วนัก โยนเก้าอี้ในมือทิ้งดังเคร้ง หอบหายใจออกมา ยืนดูผลงานของตัวเองครู่หนึ่ง พลันใบหน้าก็แสยะยิ้ม

“คนอย่างแกเวลานอนหมดท่าแทบเท้าฉันแบบนี้ก็ดีไม่ใช่น้อยเหมือนกัน”
ธีโอรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเจเรมีไม่หยุดแค่นี้แน่ ที่ผ่านมาเมื่อครู่มันก็แค่การเริ่มต้น ดูสายตาของวายร้ายคนนั้นสิ อยากจะฆ่าเขาเต็มแก่แล้ว และมันต้องเป็นวิธีที่ทรมานสุดๆ แน่ ทางที่ดีควรรีบทำให้เจเรมีใจเย็นลง

“พะ...พอแล้ว ฉะ...ฉันขอ...”
ตั้งท่าจะขอโทษ หวังว่าเจเรมีจะบรรเทาความกรุ่นโกรธลง หากแต่พูดไม่ทันจบประโยค ใบหน้าก็ถูกเตะเสยจนฟันบนและล่างกระทบกันดังกึ้ก

“เก็บปากนายไว้เสวนาในนรกเถอะไอ้สวะ”
จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งคร่อมร่างของธีโอ มือหนึ่งกระชากคอเสื้อคนที่เกือบจะสลบขึ้นมา อีกมือกระหน่ำต่อยเข้าที่ใบหน้า ระบายความขุ่นแค้นออกมาโดยไม่มีการยับยั้งชั่งใจอะไรทั้งสิ้น

อัลเบิร์ตกระโจนเข้าไปกอดเจเรมีจากทางด้านหลัง ปากร้องห้ามลั่น
“เจมี่! หยุด! พอได้แล้ว เดี๋ยวมันตายนะ!”

เจเรมีหยุด... หยุดจริงหากแต่เพียงเป็นการหยุดชั่วคราวแล้วหันมาเหยียดยิ้มให้กับอัลเบิร์ต
“ฉันจะฆ่ามันให้ตายคามือ นายไม่ต้องห่วง”

สาบานได้เลยว่าเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้ขนลุกที่สุดเท่าที่เคยเห็นคนตรงหน้ายิ้มมา

“ไสหัวไปไกลๆ ถ้าไม่อยากให้ฉันอารมณ์เสียมากกว่าเดิม”

อัลเบิร์ตไม่กล้าห้ามอะไรโดยฉับพลัน ยิ่งมีคำสั่งหลุดออกจากริมฝีปากก็ปล่อยมือออก ทิ้งตัวลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง นั่งมองเพื่อนตัวเองที่หันไปจัดการกับธีโอต่อจนอีกฝ่ายสลบไป มีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอของเจเรมีเท่านั้นที่ดังขึ้น...

ดังก้องไปทั่ว...

ความเลวร้ายกว่าการที่เจเรมีรู้ตัวว่าตัวเองเป็นโอเมก้าโดยไม่ได้ตั้งใจก็คือการที่เขาสติแตกแล้วแปรสภาพเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์

เจเรมี...
จะเป็นคนเลวร้ายสุดกู่มากเกินไปแล้ว!
---------------------------------------------
มาแล้ววว หลังจากหายหน้าหายตาไปหลายวัน
หลังจากนี้จะหายไปอีกเป็นระยะๆ ค่ะเพราะต้องไปเขียนเรื่องอื่นส่ง สนพ.ให้ทันกำหนดก่อน
แต่ตอนนี้บอกได้เลยว่าขุ่นคริสน่ารักมาก อย่าแกล้งน้องเจมี่~~ 555
ท้ายๆ ตอนนี้เจมี่สติแตกมาก เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอัพตัวอย่างตอนต่อไปให้นะคะ
ฝากฟีดแบ็กให้กันด้วยน้า XD
ปล.เปลี่ยนแท็กในทวิตนิดหน่อยจาก #เจมี่คริส เป็น #คริสเจมี่ นะคะ ตอนตั้งเมาไปหน่อย เอาเคะขึ้นเฉย ต่อไปใช้ตามนี้เน้อ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 18-01-2017 13:39:56
เรื่องนี้ ปวดตับปวดไตมั้ยคะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 19-01-2017 01:56:53
ทำไมสมน้ำหน้าธีโอ - -
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-01-2017 11:16:56
ปากไม่ดี มีสี(เลือด)ที่ปาก
แต่ธีโอ ไม่ใช่แค่ที่ปากแล้ว  กระดูกหัก สลบละมั้ง
แล้วคนพวกนี้ รู้ตัวหลังจากเจ็บตัวไปเรียบร้อยและ
ถ้ามีคนแย้งว่าแค่ล้อเล่น แต่พาดพิงการร่วมเพศ
แถมเอามือไปลูบไปจับอวัยะเพศอีก คิดว่าธีโอสมควรโดนนนน  :z6: :z6: :z6:
เจอโรมคิดผิดนะ เรื่องที่ให้เจเรมี่ไปสถาบัน ทั้งที่อารมณ์ไม่คงที่
ถ้าอยู่บ้าน ไม่มีใครกวนอารมณ์เจเรมี่แน่ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 20-01-2017 01:10:30
เรื่องนี้ ปวดตับปวดไตมั้ยคะ

คิดว่าไม่จ้า ดราม่าความสัมพันธ์ไม่มี ดราม่าเรื่องอื่นแทนนะ XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 20-01-2017 04:13:28
เรื่องนี้ ปวดตับปวดไตมั้ยคะ

คิดว่าไม่จ้า ดราม่าความสัมพันธ์ไม่มี ดราม่าเรื่องอื่นแทนนะ XD


แบบว่า กลัวเจอแบบ โดนประจาน หนีหัวซุกหัวซุน โดนจับไปทารุณเหลื่อเกินค่ะ =_=;;;;
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 20-01-2017 06:53:41
นายเอกเราไม่ไดร้ายแต่ปาปก ไม่ได้ร้ายธรรม แต่โครตร้ายจริงๆแฮะ ชอบบบบบบบบ...

ว่าแต่ตาคริสหนิหายไปไหนนนน
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahtallll ที่ 20-01-2017 10:38:06
โอยยยยย ชอบค่ะ
อยากอ่านต่อ รู้สึกค้างคา มาอัพไวๆนะคะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-01-2017 11:54:39
ขอบทให้คุณคริสหน่อยค่าาา 555555555555
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 21-01-2017 12:37:14
ติดตามโอเมก้าเวิสมากค่าาา :katai5:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-01-2017 04:30:21
Episode 05: แสงสะท้อนกลับ[1]

เรื่องเข้าหูเจอโรมไวปานติดจรวด เขาไม่รอช้า รีบออกหน้าไปรับผิดแทนลูกชายตัวดีถึงโรงพยาบาลที่ธีโอถูกส่งตัวไปอย่างรวดเร็ว และก็ต้องหน้าเสียหนักขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินจากแพทย์ว่าอีกฝ่ายอาการสาหัสไม่น้อย กระดูกหลายส่วนแตกหักและร้าว ร่องรอยฟกช้ำเต็มไปทั่วทั้งตัวจนแทบไม่มีที่ว่างเหลือ อวัยวะภายในก็บอบช้ำ ดีที่ไม่มีส่วนไหนมีเลือดคั่งหรือเป็นอันตรายแก่ชีวิต แต่สภาพของธีโอที่นอนไม่ได้สติอยู่ในห้องไอซียูพร้อมกับเครื่องช่วยหายใจระโยงระยางนั้นก็ทำให้เจอโรมคิดไม่ออกเลยว่าลูกชายเขาจัดการกับชายหนุ่มคนนั้นด้วยวิธีไหน

ทว่าไม่ว่าจะวิธีไหนก็ช่าง เล่นทำเอาอีกฝ่ายสะบักสะบอมหมดรูปอย่างนี้ แสดงว่าต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว

ไม่เพียงแต่เจอโรมเท่านั้นที่ต้องรีบร้อนมายังโรงพยาบาล ตัวการอย่างเจเรมีเองก็ถูกบิดาส่งคนไปพาตัวมาที่นี่เช่นเดียวกัน เจเรมีมีท่าทีสงบนิ่งเพราะรู้ดีว่าการกระทำของตนทำให้บิดาไม่พอใจเป็นอย่างมาก และเขาก็ยังไม่อยากจะเสียเวลาอธิบายอะไรใดๆ ด้วยรู้ว่าพูดไปตอนนี้ก็ไร้ความหมาย ตอนเจอโรมโกรธอย่างนี้ไม่มีทางที่จะฟังหรอกว่าที่เขาลงมือทำร้ายเป็นเพราะถูกธีโอยั่วโทสะก่อนแม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุไปมากก็ตาม เจอโรมเองก็ยังไม่สนใจที่จะถามไถ่อะไรลูกชายในตอนนี้ด้วย แววตาของเขามีเพียงความโกรธเกรี้ยว

เป็นความสงบนิ่งที่น่ากลัวมากเลยทีเดียว...

จะไม่โกรธก็คงจะแปลกไปหน่อย เขาอุตส่าห์ทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้เจเรมีอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมอัลฟ่าได้อย่างราบรื่น และระมัดระวังเป็นอย่างดีว่าคนอื่นจะล่วงรู้ความลับว่าเจเรมีเป็นโอเมก้า ทั้งที่เตือนแล้วว่าอย่าทำอะไรให้เป็นจุดสนใจเพื่อเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง แต่เจ้าหนุ่มเลือดร้อนคนนี้ก็ไม่เคยฟัง ทั้งยังไม่เคยตระหนักถึงผลเสียที่จะตามมา

ความผิดเขาเอง... เป็นความผิดเขาคนเดียวที่หล่อหลอมให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนกลายเป็นคนแบบนี้!

แต่ตอนนี้จะโทษตัวเองหรือโทษว่าเป็นความผิดใครก็เท่านั้น เจอโรมรู้เพียงอย่างเดียวว่าหลังจากนี้เรื่องจะต้องยุ่งยากขึ้นแน่ๆ ด้วยรู้ดีว่าธีโอเป็นลูกชายคนเดียวของ นายพล เดร็ก แฮร์ริสัน ซึ่งเป็นสมัครพรรคพวกกับตระกูลผู้นำทั้งสาม และแน่นอนว่าเป็นปฏิปักษ์กับผู้นำที่ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายค้านอย่างเขาเพราะมีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้นิสัยของเดร็กดีว่าเป็นคนยอมหัก ไม่ยอมงอ อีกทั้งยังไม่ยอมเสียหน้า

ศักดิ์ศรีค้ำคอขนาดนี้ ต่อให้เป็นเจเรมี ฝ่ายนั้นก็คงไม่ยอมความไปง่ายๆ แน่ไม่ว่าเจอโรมจะใช้วิธีสกปรกในการยุติเรื่องราวทั้งหมดแค่ไหนก็ตาม

และก็จริงอย่างที่เจอโรมคาด ไม่นานหลังจากเขากับเจเรมีมาถึงห้องพักของธีโอ เสียงรองเท้าบูทกระแทกพื้นกระเบื้องของโรงพยาบาลก็ดังขึ้นให้ได้ยิน ตามมาด้วยเสียงร้องปรามของใครบางคนที่บอกให้เจ้าของเสียงแรกใจเย็นลง ทว่าเสียงร้องปรามนั้นไม่ได้เข้าหูอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย และก็ยิ่งก้าวเท้าเร็วมากขึ้นไปอีกทันทีที่เห็นว่าบริเวณหน้าห้องไอซียูมีร่างของคนคุ้นตายืนอยู่

“คุณเมอร์ซี” น้ำเสียงห้าวเรียกอีกฝ่ายแข็งๆ

สองพ่อลูกตระกูลเมอร์ซีหันไปมองแทบจะพร้อมกัน ก่อนจะเห็นว่าเป็นทหารยศนายพลนายหนึ่งใบหน้าละม้ายคล้ายกับชายที่นอนไม่ได้สติอยู่ในห้องไอซียูไม่มีผิดเพี้ยน ที่ต่างกันเห็นจะเป็นสีหน้าเรียบนิ่งที่แสดงความเกรี้ยวกราดออกมาทางสายตาและมันก็ถูกส่งให้กับเจเรมีโดยตรงเมื่อดวงตาคู่นั้นเหลือบมามอง ส่วนทางด้านหลังก็เป็นผู้ติดตามที่แต่งเครื่องแบบทหารคล้ายๆ กัน
“ผมได้ยินมาว่าลูกคุณเป็นตัวการ” ผู้มาใหม่คือเดร็ก เขาไม่รอช้า เข้าเรื่องทันที

เจอโรมรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายในสถานการณ์ชวนอึดอัดอย่างนี้ และก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวว่าอะไรจึงได้แต่ตอบรับไปเสียงเรียบ

“ผมเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วก็ต้องขอโทษแทนลูกชายด้วย แน่นอนว่าผมยินดีรับผิดชอบทั้งหมด”
คำพูดของเจอโรมทำเอาคนฟังปั้นหน้าเหี้ยมมากขึ้นไปอีก
“ถ้าหากว่าลูกผมถูกทำร้ายจนตาย คุณจะรับผิดชอบยังไงงั้นเหรอ”

คำถามท้าทายปัญญาทำให้เจอโรมนิ่งไปชั่วครู่ เขาเองก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกันว่าจะรับผิดชอบอย่างไรถ้าหากเจเรมีทำธีโอถึงแก่ชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าแม้แต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะรับผิดชอบอย่างไร หากเปลี่ยนจากธีโอเป็นลูกเขา เขาคงโกรธเกรี้ยวไม่แพ้กันกับที่เดร็กกำลังรู้สึกอยู่

หากแต่เดร็กเก็บอาการได้ดี ยืนรอฟังคนตรงหน้าตอบคำถามอย่างใจจดจ่อ
“ว่าไงล่ะท่านผู้นำเมอร์ซี ถ้าลูกผมตาย คุณจะรับผิดชอบยังไง”
ถูกถามอีกครั้ง เจอโรมพอเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามต้อนให้เขาจนมุมด้วยแรงโทสะ พลันลอบถอนหายใจก่อนตอบออกมา
“แต่ลูกคุณก็ยังอยู่ดีไม่ใช่เหรอ”
ไม่ใช่คำตอบ ทว่าเป็นการย้อนถามกลับ

เท่านั้นเดร็กก็รู้ได้แล้วว่าเจอโรมไม่ยอมให้เขาไล่ต้อนหรอก รู้นิสัยของเจอโรมดีว่าเป็นพวกหัวหมอและหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างกับอะไร เป็นคนประเภทเดียวกันกับเขา ถึงจะเป็นความผิดของตน ปากยอมรับผิดหากแต่ไม่ยอมก้มให้ใครง่ายๆ
“ย้อนถามได้ดี คนถูกฟาดซะกระดูกหักหลายท่อนไม่ใช่ลูกคุณนี่ คุณเมอร์ซี” เดร็กแสยะยิ้ม พลันเหลือบไปมองเจ้าตัวต้นเหตุที่ยืนจ้องเขาอยู่ด้วยสายตาเรียบเฉย “อย่าคิดว่าทำอย่างนี้แล้วเรื่องจะจบง่ายๆ”

เจเรมีย่นคิ้วยู่ทันทีที่ถูกขู่ เขากับธีโอเป็นคู่กัดกันจึงพอจะรู้ว่าเดร็กเองก็ไม่ชอบหน้าพ่อเขาอยู่เช่นเดียวกับที่เขาไม่ชอบหน้าธีโอ ได้ยินบิดากับแมทธิวหารือกันบ่อยครั้งว่ามีปัญหาขัดแย้งกับตระกูลผู้นำอื่นๆ ด้วยต้นเหตุมาจากเดร็กที่มักเสนอนโยบายเข้าข้างผลประโยชน์ของพรรคพวกตัวเอง

และการที่เดร็กพูดกับลูกชายเขาอย่างนี้ทำให้เจอโรมต้องออกปาก
“ต้องการเท่าไหร่ล่ะคุณแฮร์ริสัน”
ดูท่าจะใช้วิธีเจรจาต่อรองแบบแบบธรรมดาไม่ได้แล้ว คงต้องพูดไปตามตรง ดูท่าเดร็กจะไม่ยอมง่ายๆ มัวแต่อ้อยอิ่งไม่มีข้อแลกเปลี่ยนที่ดึงดูดใจ เห็นทีอีกฝ่ายคงจะหาทางเล่นงานเจเรมีทุกวิถีทางแน่
ทว่าการโพล่งไปตามตรงทำเอาสายตาขุ่นเคืองของเดร็กตวัดไปมองยังผู้พูดทันที
“ว่าอะไรนะ”
“อย่าอ้อมค้อมเลยดีกว่า คุณก็รู้ว่าปัญหาพวกนี้มันจัดการได้ด้วยวิธีไหน อยากได้เท่าไหร่ล่ะ เรียกมาสิ” เจอโรมย้ำอีกที ทำเอาเดร็กกำมือแน่น
“ผมไม่ต้องการเงิน”
“ล่าสุดผมเพิ่งเห็นร่างโครงการของคุณยื่นมาขอให้ผมเซ็นอนุมัติงบประมาณอยู่นะ ผมว่าโครงการนี้ไม่น่าจะใช้งบประมาณเยอะขนาดนี้ แต่คิดว่าพวกของคุณคงจะหิว ผมจะเซ็นให้ก็ได้ถ้าคุณยอมจบเรื่อง”

วิธีแก้ปัญหาตามแบบฉบับของนักการเมือง...

เป็นวิธีที่สกปรก เจอโรมรู้ดีแต่ในแวดวงสังคมที่เขาอยู่ ในขั้นตอนแรกของการแก้ปัญหาทุกอย่างคือการใช้เงินเป็นตัวต่อรอง เขาก็แค่เสนอสิ่งที่ดูแล้วเดร็กน่าจะต้องการมากที่สุดไปเพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกว่าผลประโยชน์ที่ได้รับมันคุ้มค่าพอที่จะลืมเรื่องราวบางอย่างที่ขุ่นข้องใจกันไปได้

ทว่าไม่ใช่ในครั้งนี้ เจอโรมคงลืมไปว่านายพลคนนี้ก็รักลูกชายคนเดียวของเขามากพอๆ กับที่เจอโรมรักเจเรมี การถูกเสนอข้อเสนอนี้มันเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรีของอีกฝ่ายมากทีเดียว

คิดว่าเขาจะยอมขายชีวิตลูกชายแลกกับเงินอย่างนั้นเหรอ!? สิ่งที่เขาต้องการมันไม่ใช่เงิน เขาต้องการเห็นไอ้เด็กเหลือขอตรงหน้านั่นได้รับผลจากการกระทำของมันต่างหาก!

“หรือถ้าไม่สะดวกจะบอกตอนนี้ ผมจะให้คุณติดต่อผ่านเลขา...”
“ผมไม่ต้องการเงินคุณเมอร์ซี! ผมต้องการให้ลูกคุณรับผิดชอบการกระทำนี้!”

พอได้ยินเจอโรมว่าขึ้นมาอีก เดร็กก็อดเดือดดาลไม่ได้ เจอโรมชะงักไป เดาได้รางๆ ว่าเรื่องไม่ง่ายแล้วเมื่อเห็นสีหน้ากรุ่นโกรธของนายพลที่แดงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็จริงดังคาดเมื่อเดร็กเปลี่ยนเป้าหมายไปเล่นงานเจเรมีที่ยืนอยู่ไม่ไกลแทน

“แกจะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม เจเรมี!” แผดเสียงเรียกชื่อชายหนุ่มในตอนท้าย พลันถลาเข้ามาคว้าคอเสื้อ

เจเรมีเคลื่อนไหวไปตามแรงกระชากเล็กน้อย มองหน้าอีกฝ่ายที่ใกล้เพียงเอื้อมก็กลอกตา เขาอยากจะต่อยหน้าคนอายุรุ่นราวคราวพ่อที่มาตะคอกใส่นัก ยิ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับคนที่เขาเกลียดขี้หน้าด้วยแล้วก็แทบอดใจไม่ไหว หากเจอโรมไม่เข้ามาแทรกกลางเสียก่อนด้วยการเอื้อมมือมาจับข้อมือของเดร็กเป็นการห้าม เขาคงไม่รอช้า ส่งเดร็กเข้าห้องไอซียูไปอีกคนแน่

“ไปตีกับเด็กอย่างนั้นไม่สมเป็นคุณเลยนายพลแฮร์ริสัน เอาเป็นว่ามีอะไรก็มาเจรจากับผมดีกว่า”
เดร็กเหลือบมอง มือยังไม่ยอมปล่อยจากคอเสื้อของเจเรมี กระทั่งเจอโรมออกแรงบีบมากขึ้น ความเจ็บปวดที่แล่นพล่านเข้ามาจำเป็นต้องให้เดร็กปล่อยมือออก

พอเห็นว่าเดร็กปล่อยมือจากลูกชาย เจอโรมก็ยกยิ้มเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มของผู้ชนะในสายตาของเดร็ก รอยยิ้มเย็นที่อ่านไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไร รู้เพียงอย่างเดียวว่าสิ่งที่อยู่ในใจของเจอโรมไม่ใช่เรื่องที่ดีหรือซื่อตรงเท่าไหร่

คนอย่างเจอโรมน่ะ ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองที่ซื่อสัตย์และคิดถึงแต่ประโยชน์ของมวลชนเป็นส่วนใหญ่ ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนที่ขาวสะอาดอะไรขนาดนั้น ถ้ามีอะไรที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของพรรคพวกตัวเองก็พร้อมที่จะใช้อำนาจครอบครองสิ่งนั้นโดยไม่สนใจอะไรเหมือนกัน

เหมือนกับนักการเมืองทั่วไป เพียงแต่ไม่ได้ดำสนิทอะไรขนาดนั้น...

และนั่นก็ทำให้เดร็กเดาได้ตั้งแต่ก่อนมาเจอหน้าอยู่แล้วว่าเจอโรมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องลูกชายตัวเองแน่ ซึ่งเขาเองก็เตรียมการมาไว้แล้วเหมือนกัน

เรื่องอะไรที่จะต้องให้ธีโอเจ็บตัวฟรี เขาจะทำให้สองพ่อลูกคู่นี้พังพินาศเลยทีเดียว!

“ลูกคุณจะได้รับบทลงโทษตามกฎหมาย” เดร็กว่าอย่างนั้น
เจอโรมพยักหน้ารับน้อยๆ เขาเข้าใจ ถึงขั้นนี้แล้ว เดร็กคงไม่โง่ยอมรับข้อเสนอของเขา...แน่นอนว่าไม่เล่นตามกฎหมายอย่างที่ปากพูดด้วยเช่นกัน

หากแต่ทั้งสองไม่เผยแผนการของตัวเองหลังจากนั้น ได้แต่ยุติเรื่องเอาง่ายๆ
“เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรก็ติดต่อผ่านเลขาผมแล้วกัน ผมพร้อมรับผิดชอบเต็มที่ ส่วนเรื่องที่เหลือก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน วันหลังจะมาเยี่ยมลูกชายคุณใหม่ ต้องจัดการหาทนายให้เจเรมีก่อน” แล้วก็หันไปพยักหน้าเรียกเจเรมีให้เดินตามไป

เจเรมีเหลือบมองเดร็กที่จ้องเขาเขม็งเล็กน้อย พลันก้าวตามบิดาที่เดินนำหน้าไป หากแต่ขณะที่เดินผ่านเดร็ก หูทั้งสองก็ได้ยินเสียงพึมพำจากนายพลคนนั้น

“ฉันจะทำให้แกไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย ไอ้เด็กเหลือขอ”
เจเรมีทำเพียงแสยะยิ้มให้พลางหัวเราะหึในลำคอคล้ายกับท้าทายว่า ‘คิดว่าจะทำอะไรฉันได้งั้นเหรอ’ ก่อนจะออกเดินต่อ ปล่อยให้เดร็กได้เข้าไปเยี่ยมลูกชายหลังจากมองสองพ่อลูกนั่นเดินหายไปจนลับสายตา






 
ความนิ่งงันของเจอโรมทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อมาถึงยังลานจอดรถของโรงพยาบาล อย่างที่บอกว่าเขารู้ว่าเดร็กคงไม่เล่นตามกฎหมายอย่างที่ปากพูดแน่ คนอย่างนั้นมาพร้อมด้วยโทสะเดือดดาลคงจะขุดคุ้ยทุกอย่างที่เกี่ยวกับเจเรมีมาเล่นงานอย่างแน่นอน คิดอย่างนี้แล้วมันทำให้เจอโรมอดหวั่นใจไม่ได้ สิ่งที่เขากลัวมากที่สุด...

...การที่เจเรมีถูกเปิดโปงว่าเป็นโอเมก้า

พลันก็รู้สึกว่าคิดผิดเหลือเกินที่พยายามให้เจเรมีใช้ชีวิตตามปกติ เขาน่าจะกักตัวเจเรมีไว้ไม่ให้ออกไปไหนสักระยะหนึ่ง หากแต่ตอนนั้นคิดเพียงอย่างเดียวว่าทุกอย่างจะต้องดำเนินไปตามปกติเพื่อไม่ให้มีพิรุธ แต่ใครมันจะรู้กันล่ะว่าลูกชายตัวดีของเขาจะไปก่อเรื่องตั้งแต่วันแรกที่โผล่หน้าไปยังสถาบันฯ อย่างนั้น

“ติดต่อหาทีมทนายที่ไว้ใจได้แล้วให้ไปรอฉันที่บ้าน” เดินมาถึงรถได้ก็ออกปากสั่งกับเลขาซึ่งรออยู่ข้างรถพร้อมกับคนขับ
เจเรมีได้ยินก็เบ้หน้า พึมพำออกมา “ไม่เห็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่เลยน่าพ่อ ก็แค่สั่งสอนเฉยๆ”

เจอโรมหันขวับ สีหน้าเรียบนิ่งที่ควบคุมอารมณ์ตลอดเวลาดูดุดันขึ้นมาทันที
“ถ้าแค่สั่งสอน ธีโอคงไม่ไปนอนเป็นซากอย่างนั้นหรอก”
“ก็มันบอบบางเอง ช่วยไม่ได้” เจเรมียังคงไม่สำนึก พูดอย่างกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเล่นๆ

มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย เข้าข่ายอาชญากรรมเลยนะ!

“แกอย่ามาพูดดีนัก ถ้ามันเป็นเรื่องเล่นๆ ฉันคงไม่มาตามเก็บตามเช็ดให้อย่างนี้หรอก”
ฟังที่ลูกชายพูด เจอโรมก็พลันหงุดหงิดหากแต่ไม่ได้โวยวาย เป็นการพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งทว่าฟังดูน่ากลัวเหลือเกิน เลขากับคนขับรถสัมผัสได้ว่าเจอโรมเริ่มเดือดดาลเต็มทีแล้ว และก็ทวีมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อถูกเจเรมีสวนกลับ

“งั้นพ่อก็อยู่เฉยๆ นั่งจิบชา คุยเรื่องจิปาถะกับเพื่อนๆ ไป ปล่อยผมไว้อย่างนี้แหละ ไม่ต้องมาสนใจ ที่เรื่องมันยุ่งยากเป็นเพราะพ่อนั่นแหละที่มายุ่งกับชีวิตผมมากเกินไป เป็นโอเมก้าแล้วยังไง ถ้าพ่อไม่มาเจ้ากี้เจ้าการ บงการให้ผมต้องฉีดยาแถมหลอกว่าป่วยอะไรนั่น มันก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก”

โทษนั่นโทษนี่ไปเรื่อย ไม่โทษตัวเองเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เจอโรมทำ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นการปกป้องเจเรมีชัดๆ ทว่าในสายตาของเจเรมี เขากลับรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอกลวงมาโดยตลอด และความจริงที่ได้รับรู้มันทำให้เขารับไม่ได้จนก่อเหตุอย่างนี้
“แกจะหาว่าทุกอย่างเป็นความผิดของฉัน?”
“ถ้าพ่อฆ่าผมให้ตายตั้งแต่ตอนเกิดหรือปล่อยขายตลาดทาส ผมคงจะไม่ต้องเป็นบ้าอยู่อย่างนี้ หึ อัลฟ่าเหรอ? อัลฟ่าบ้าบออะไร จริงๆ พ่อไม่อยากให้ศักดิ์ศรีของตระกูลที่พ่อภูมิใจนักหนาถูกพูดถึงว่ามีสมาชิกในตระกูลเป็นโอเมก้าที่มีหน้าที่แค่ถ่างขาให้อัลฟ่าเอาใช่ไหมล่ะ”

คำพูดร้ายกาจหลุดออกจากริมฝีปากหนา เจอโรมได้ยินสิ่งที่ลูกชายพูดแล้วก็บันดาลโทสะขึ้นมา ตะคอกเสียงดังลั่น
“หัดสำนึกซะบ้างเจเรมี!”

พลั่ก!

ไม่พูดอย่างเดียว มือยังพลั้งเผลอไปต่อยซีกแก้มของลูกชายเสียเต็มแรง

เจเรมีที่เพิ่งเคยถูกบิดาสั่งสอนด้วยการลงไม้ลงมือเป็นครั้งแรกในชีวิตกระเด็นลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นในสภาพอึ้งงัน มือข้างหนึ่งยกประคองซีกหน้าที่ถูกกระแทก ปลายลิ้นสัมผัสได้ถึงรสเค็มปร่าของเลือดที่หลั่งไหลอยู่ในโพรงปาก ขณะที่เลขาและคนขับรถเข้ามาห้ามปรามเจอโรมเป็นการใหญ่ ทว่าไม่ได้ผลเลย เจอโรมในตอนนี้ดูน่ากลัวและดุดันกว่าทุกครั้งที่เคยเจอ เขาคล้ายกับว่าหมดความอดทนกับพฤติกรรมร้ายๆ ของเจเรมีแล้ว

“สำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปซะว่ามันกำลังจะย้อนกลับมาเล่นงานแก แล้วก็จำใส่สมองเน่าๆ ของแกเอาไว้ด้วยว่าถ้าแกไม่ใช่ลูกฉัน ไม่มีสายเลือดของฉัน ฉันจะไม่ดูดำดูดีแกเลยแม้แต่นิดเดียว!”

อึ้งงันไปอีกระลอก บิดาไม่เคยพรั่งพรูคำพูดทำนองนี้ออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอดเวลาที่เลี้ยงดูเขามา ท่าทางตอนนี้คงจะเหลืออดจริงๆ ถึงได้แสดงท่าทางอย่างนั้น ในใจของเจเรมีตอนนี้ เขารู้สึก...

...หวั่นเกรง

ระคนเกรงกลัวชายตรงหน้าด้วย บิดาผู้ซึ่งไม่เคยตำหนิติเตียนไม่ว่าเขาจะทำเรื่องร้ายใดๆ มีแต่ตามแก้ปัญหาให้ตลอด บัดนี้ได้หมดความอดทนกับเขาแล้ว ตะคอกเสร็จก็นิ่งไปนิดก่อนจะออกคำสั่งเสียงกร้าว

“ต่อจากนี้แกต้องอยู่ใต้คำสั่งฉันตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน แล้วก็ไสหัวมาขึ้นรถได้แล้ว ฉันมีธุระเรื่องของแกต้องทำอีกเยอะ” พูดจบก็เป็นคนแรกที่ขึ้นรถไป

เจเรมีฮึดฮัดเล็กน้อย ทำท่าจะขัดขืนแต่พอเห็นเลขาของบิดาพยักหน้าเรียกด้วยสีหน้าลำบากใจเป็นเชิงว่าให้เขาทำตามถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหามากกว่าเดิม เจเรมีก็จำต้องยันตัวลุกขึ้นยืน เดินมาขึ้นรถแต่โดยดี ก่อนจะรู้สึกได้ว่ามีกำแพงบางอย่างค่อยๆ เข้ามากั้นขวางในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับบิดาเสียแล้ว






 
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.04[17/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-01-2017 04:31:13
Episode 05: แสงสะท้อนกลับ[2]


ใบหน้าบอบช้ำของเจเรมีที่หอบกลับมาบ้านสร้างความตกใจให้กับมาเรียเป็นอย่างมาก พอมารู้ว่าเป็นฝีมือของผู้เป็นสามี หล่อนก็พรั่งพรูน้ำตาออกมาราวกับว่าได้พบเจอสิ่งกระทบกระเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เจอโรมไม่พูดอะไร ไม่แม้แต่จะปลอบโยน ปล่อยให้คู่ทุกข์คู่ยากได้พร่ำพรรณนาตัดพ้อเขาไปเรื่อยว่าทำไมต้องถึงขั้นลงมือทำร้ายลูกชายของหล่อนอย่างนั้น โดยหล่อนคงจะลืมไปแล้วว่าการถูกหมัดหลุนๆ กระแทกหน้านั้นเทียบไม่ได้เลยกับการที่เจเรมีทำกับธีโอ

ความตึงเครียดอบอวลในครอบครัวอยู่หลายวันทีเดียว แรกๆ เจเรมีก็หัวเสียกับการกระทำของบิดาอยู่เหมือนกัน ปั้นปึ่งใส่ ไม่พูดไม่จา กระนั้นก็ยอมเชื่อฟังตามคำสั่งที่ได้รับ คราวนี้ไม่ใช่เพราะเกรงกลัว แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากเห็นมารดาหลั่งน้ำตาทุกครั้งที่เขามีปากมีเสียงกับเจอโรมมากกว่า

มาเรียอ่อนไหวเกินกว่าที่จะยอมรับปัญหาอื่นๆ ได้ไหวแล้ว ในตอนนี้เพียงเรื่องเล็กๆ ก็ทำให้หล่อนร้องไห้ได้ง่ายๆ ทั้งหมดก็เป็นเพราะความกังวลที่มีต่อลูกชาย เจเรมีเองก็ไม่อยากเห็นมารดาต้องมาร้องไห้เพราะเขาอีกจึงได้แต่ทำตัวเซื่องๆ ให้บิดาได้จูงโดยไม่โต้แย้งแม้ว่าในใจเขาอยากจะอาละวาดให้สะใจสักครั้ง

ทว่าความคิดนั้นก็ต้องถูกลบเลือนไปเมื่อเห็นว่าคืนนี้เป็นอีกคืนที่บิดาไม่ได้นอน...

นับตั้งแต่วันที่เขามีเรื่องจนถึงวันนี้ก็น่าจะเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว ถึงได้นอนก็เพียงไม่กี่ชั่วโมง ไม่แน่ใจนักว่าที่ไม่ได้นอนเป็นเพราะกังวลเรื่องเขาหรือยุ่งวุ่นวายจนไม่ได้นอนกันแน่

แต่คิดว่าน่าจะกังวลเรื่องเขา บางคืนก็แอบเห็นไปนั่งจิบแอลกอฮอล์ตามลำพังตอนดึกๆ ในห้องรับแขกในท่าทางกลัดกลุ้มด้วย...
บิดาคงจะเป็นห่วงเขาจากใจจริง...

จากที่ไม่รู้สึกผิด เจเรมีก็สำนึกขึ้นมาทันตาว่าการกระทำของเขามันส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างแค่ไหน อึดอัดกับสถานการณ์อย่างนี้ด้วยจนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร วันนี้ก็เช่นกัน เขาอึดอัดตั้งแต่อยู่ในรถตอนถูกเจอโรมพาตัวมาที่โรงพยาบาลเพื่อดำเนินโครงการพัฒนายาระงับอาการฮีทที่มีต่อคู่แห่งโชคชะตาแล้ว

ไร้ซึ่งการพูดคุยเหมือนเช่นทุกวัน มาถึงที่หมาย เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่พยาบาลพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและไปพบกับคริสในห้องสังเกตการณ์ การทดลองตัวยาเป็นไปอย่างราบรื่น เจเรมีไม่แสดงอาการก้าวร้าวใดๆ ออกมาทั้งนั้น ทำเอาทีมแพทย์โล่งใจไปตามๆ กันที่เห็นเจเรมีสงบได้ จะมีก็แต่คริสเท่านั้นที่รู้สึกแปลกๆ กับการไม่เห็นท่าทีกระด้างกระเดื่องของอีกฝ่าย หลังจากการทดลองตัวยาสิ้นสุดลงและทีมแพทย์ได้ปล่อยให้พวกเขาได้พักกันอยู่ในห้องสังเกตการณ์เพียงลำพัง บทสนทนาง่ายๆ จากปากของนักโทษหนุ่มจึงเริ่มต้นขึ้น

“หน้าไปโดนอะไรกระแทกมาล่ะ” ว่าพลางพยักเพยิดปลายคางไปยังซีกแก้มที่เป็นรอยช้ำม่วงอมเขียวเล็กน้อย
เจเรมีผินใบหน้าซีกนั้นที่อยู่ทางฝั่งซึ่งคริสมองเห็นได้พอดีมามองคนถามเล็กน้อยแล้วหันหนี ปากขยับว่าพึมพำ
“อย่ามายุ่ง”

คริสก็ไม่ได้อยากจะยุ่งอะไรนักหรอก แต่เห็นว่าวันนี้เจเรมีดูแปลก สังเกตดีๆ จะเห็นว่าเขามึนตึงกับเจอโรมมากเป็นพิเศษด้วยเลยคิดว่ารอยที่เห็นบนหน้าคงจะเป็นฝีมือของเจอโรมแน่ ก่อนที่จะมายังโรงพยาบาลแห่งนี้ เขาก็ได้ยินมาเหมือนกันว่าคนตรงหน้าไปซัดลูกนายพลซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลที่เดียวกันเสียจนได้รับบาดเจ็บสาหัส มันคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มรุ่นน้องเกิดความขัดแย้งกับบิดาก็เป็นได้

และนั่นทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าการกระทำของเจเรมีค่อนข้างจะโง่เง่าไปสักหน่อยนัก นอกเหนือจากนั้น เขายังคิดอีกด้วยว่าเจอโรมกล้าบ้าบิ่นพอดูที่ให้เขากับเจเรมีมาทำการทดลองยาสำหรับโอเมก้าในโรงพยาบาลแห่งเดียวกันอย่างนี้ถึงช่วงเวลาที่เขาถูกพาตัวมาจะเป็นกลางดึกและเป็นไปอย่างลับๆ ก็เถอะ

ทว่านั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือเขาคิดว่าเจเรมีค่อนข้างจะโง่ ไม่โง่ไปสักหน่อยด้วย โง่บรมเลยจะดีกว่า รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร บิดาออกหน้าปกป้องขนาดนี้ยังจะทำตัวให้เป็นปัญหาอีก นั่นมันหาเรื่องให้ตัวเองเดือดร้อนชัดๆ อย่างที่เขาเคยคิดไว้เลยไม่มีผิดว่าครอบครัวของเจเรมีจะหนักใจแค่ไหนที่มีลูกพฤติกรรมแบบนี้

ใจร้อน ดื้อด้าน หยิ่งผยอง โอหัง มั่นใจในตัวเองเกินเหตุ ขวานผ่าซาก...พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ดึงปัญหามาให้ทั้งนั้น
น่าหนักใจมากจริงๆ...

ซึ่งมันทำให้คริสอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเตือน ไม่ใช่ว่าเป็นห่วง แต่แค่อยากจะแนะนำน่ะว่าควรวางตัวอย่างไรถึงจะฉลาดเวลาอยู่ในสังคมอัลฟ่า

ไม่สิ...ไม่ใช่ฉลาด ต้องบอกว่าวางตัวอย่างไรถึงจะอยู่รอดในสังคมอัลฟ่าต่างหาก

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งอะไรหรอกนะ แค่อยากจะเตือนว่าให้นายระวังการวางตัวของตัวเองเอาไว้”
เปล่งเสียงออกไปจนได้ ขณะที่เจเรมีได้ยินแล้วก็ย่นคิ้วยู่ หันมามองคนพูดตาขวาง
“ฉันบอกว่าอย่ามายุ่งไง”
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้อยากยุ่ง แค่จะเตือน” คริสสวน “จะเตือนว่าที่นายอยู่รอดได้มาถึงทุกวันนี้ มันไม่ใช่เพราะพ่อนายหรอกเหรอที่คอยปกป้อง ถ้าไม่มีพ่อนายสักคน ไม่คิดเหรอว่านายจะเป็นยังไง มันไม่ใช่แดนสนธยานะสังคมอัลฟ่าน่ะ รู้จักคิดให้ถ้วนถี่หน่อย แค่โดนยั่วยุนิดหน่อย ไม่จำเป็นต้องเก็บไปเป็นอารมณ์หรอกน่า”
“นายจะเอาไงวะ” เจเรมีชักหัวเสีย บอกว่าอย่ามายุ่งวุ่นวายเรื่องของเขาแล้วแท้ๆ แต่คริสก็ไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย

คริสถอนหายใจ เห็นสีหน้าต่อต้านของอีกฝ่ายก็ไม่อยากจะพูดสักเท่าไหร่ แต่ด้วยเห็นใจเจอโรมในฐานะบิดาของจอมวายร้ายคนนี้เลยต้องพูด

ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เพราะเห็นใจเจอโรมอะไรหรอก สถานการณ์ของเจเรมีมันทำให้เขาอดคิดถึงบิดาตัวเองบ้างไม่ได้ต่างหาก เขาคงไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ถ้าบิดาไม่ปกป้องเช่นกัน คริสพูดได้เลยว่าการถูกส่งมาเป็นตัวประกันระหว่างอาณาเขตไม่ได้เป็นไปเพราะข้อเสนอของมหานครเพิร์ล หากแต่เป็นไปด้วยความคิดเห็นของบิดาเขาเอง ในตอนแรกก็ไม่เข้าใจนักหรอกว่าทำไมบิดาถึงได้ใช้เขาเป็นเครื่องมือต่อรองอย่างนั้น ภายหลังถึงได้ตระหนักว่าเพราะบิดารู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไร อาณาเขตปกครองพิเศษดีออนก็ไม่สามารถต่อกรกับคู่ต่อสู้ได้ การรั้งเขาไว้เท่ากับเป็นการปล่อยให้เขาต้องประสบกับชะตากรรมเลวร้ายซึ่งมันได้เกิดขึ้นกับครอบครัวเขาไปแล้ว

...การฆ่าล้างตระกูล

เมื่อต่อกรไม่ได้ อย่างน้อยก็ขอให้มีทายาทสักคนรอดชีวิตก็ยังดี ไม่ใช่เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อกอบกู้ความยุติธรรมของตระกูลคืนมา ทั้งหมดนั้นก็เพื่อปกป้องคนที่รักสุดหัวใจเท่านั้น เรียกได้ว่าการตัดสินใจของบิดาเขาเป็นวิธีที่ฉลาด มันเป็นการลดความสูญเสียให้น้อยมากที่สุด

เช่นเดียวกับที่บิดาของเจเรมีกำลังทำอยู่มาตลอดชั่วชีวิตของชายหนุ่มคนนี้...

ฉะนั้นสิ่งที่ผู้ถูกปกป้องควรกระทำคือวางตัวให้ดี อย่าให้เป็นที่เพ่งเล็งของใคร อย่าสร้างศัตรู หากมีคนที่ไม่ชอบหน้าก็ให้สวมหน้ากากเข้าใส่ เมื่อสบโอกาสถึงค่อยหาวิธีเอาคืนอย่างแยบยล ไม่ใช่ทำตามสัญชาตญาณตัวเองด้วยการทะลุกลางปล้องอย่างที่เจเรมีทำอย่างนี้

“ก็ไม่ได้จะเอายังไง แค่จะเตือนว่าโอเมก้าอย่างนายน่ะ ถ้าไม่มีคนคอยดูแล นายคงไปอยู่ในตลาดมืดไปแล้ว แต่อย่างนายดูท่าน่าจะถูกฆ่าตายมากกว่า ร้ายกาจขนาดนี้น่ะ” ว่าพลางอมยิ้มน้อยๆ

เจเรมีไม่เถียงหรอกว่าเขาร้ายกาจขนาดไหนแม้ว่ามันจะขัดหูไปสักหน่อยก็ตาม แต่ทั้งหมดที่เขาทำไปมันเป็นเพราะธีโอไม่ใช่เหรอที่ทำให้เขาต้องระเบิดอารมณ์ขั้นสุดอย่างนั้น ถ้าฝ่ายนั้นไม่ยั่วยุ มีหรือที่เขาจะตอบโต้

แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ฟังขึ้นเลยไม่ว่ากับใครหน้าไหนก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่คริสที่รู้อยู่แล้ว และเจเรมีเองก็ไม่ต้องการเสียเวลาที่จะอธิบายให้คนนอกอย่างอีกฝ่ายฟังด้วย จึงได้แต่หงุดหงิดใส่ไป

“ถ้านายยังไม่หุบปาก ฉันจะเลาะฟันนายออกมากระทืบให้แหลกทุกซี่”
“หยาบคายจังนะ” คริสว่า “ฉันมั่นใจว่าพ่อแม่นายคงไม่ได้สั่งสอนให้เป็นคนแบบนี้ สองคนนั้นคงจะผิดหวังในตัวนายน่าดู”
ไม่ใช่คำก่นด่า แต่ทว่าแทงใจดำคนฟังเหลือเกิน

ถูกอย่างที่คริสพูด เจอโรมและมาเรียไม่เคยสั่งสอนให้เจเรมีเป็นคนแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะอิสระเสรีที่เขาได้รับจากครอบครัวในการคิดและการทำ ซึ่งนั่นทำให้เขาเตลิดไปหน่อยถึงขั้นเลยเถิดในบางครั้ง

ไม่ใช่ว่าไม่รู้ตัวนะ รู้ตัวดีเลยทีเดียวล่ะ ยิ่งครั้งนี้ด้วยแล้ว เขายิ่งตระหนักได้ว่าทำไมตัวเองถึงได้ถูกเรียกว่าจอมวายร้าย

ทำบิดาต้องกลัดกลุ้ม

ทำมารดาร้องไห้ไม่เว้นวัน

ความภาคภูมิใจในวีรกรรมอันร้ายกาจของตัวเองพังทลายหมดสิ้นเมื่อเห็นน้ำตาของมารดาหลั่งรินและความกังวลใจระคนผิดหวังของบิดาผ่านทางแววตา

เขาเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ...

เจเรมีเงียบนิ่งไป เป็นครั้งแรกเลยที่เขาไม่แสดงสีหน้ากรุ่นโกรธใดๆ ออกมา มีเพียงความเรียบเฉย หากแต่ความเรียบเฉยกลับมีความโศกเศร้าแฝงอยู่ในแววตาคู่นั้น ในใจลึกๆ เขาอยากจะย้อนกลับไปในวันที่ถูกธีโอยั่วยุ ถ้าหากทำได้ เขาคงจะควบคุมสติให้ดีกว่านี้ ไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามอย่างที่เผลอทำไปหรอก

การนิ่งเงียบของเจเรมีทำให้คริสที่เหลือบไปมองเอ่ยขึ้นลอยๆ
“ขอโทษสิ”
เจเรมีหันขวับมาขมวดคิ้วใส่ให้คริสได้พูดอีก
“ถ้ารู้สึกผิดก็ไปขอโทษ จองหองไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ตอนที่ทะเลาะกันคงยังไม่ได้พูดขอโทษล่ะสิ”
“นายนี่ปากดีจริงนะ พูดมาก อวดรู้ น่ารำคาญ”
คริสยิ้มออกมาเมื่อเห็นเจเรมีมุ่ยหน้า

จริงอย่างที่คริสว่า ตั้งแต่เกิดเรื่อง เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรกับบิดาสักคำ เอาแต่รับคำสั่ง เรื่องขอโทษอะไรนั่นไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่หลุดออกจากปากเขาเลยสักนิด และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ไม่แจ่มใสอยู่อย่างนี้

รู้สึกผิดจนอารมณ์ขุ่นมัว ถ้าขอโทษมันพูดกันง่ายๆ สำหรับคนอย่างเขา เขาคงพูดไปนานแล้ว
“ไปขอโทษซะ อยากพูดอะไรก็พูดไป ทำก่อนที่ทุกอย่างจะสาย...เหมือนฉัน” คริสว่าออกมาอีก

พอจะรู้ประวัติของคริสมาบ้างว่าเขาถูกพรากจากครอบครัวด้วยเหตุผลอะไร นับจากตอนนั้นก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลยแม้แต่วาระสุดท้ายของชีวิต เจเรมีจึงไม่เถียงอะไร ยอมรับคำแนะนำแต่โดยดี
“อืม”
ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะลืมตัวหรืออะไร ครางตอบรับแล้วก็นั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน

ขอโทษแค่พ่อคงไม่พอ ต้องขอโทษแม่ที่ทำให้เสียน้ำตาด้วย...

คริสเห็นท่าทางนั้นแล้วก็คิดไปว่าเจเรมีไม่ต่างอะไรจากเด็กคนหนึ่งแม้แต่น้อย เพียงแต่เจ้าเด็กคนนี้ออกจะดื้อด้านและหัวรุนแรงมากไปหน่อยจนทำพ่อแม่ลำบากใจ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็อดเอ็นดูขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางจ๋อยของอีกฝ่าย ยื่นมือขวาออกไปข้างๆ เรียกให้เจเรมีหันมามอง

“อะไร” น้ำเสียงขุ่นหลุดออกจากริมฝีปากเจเรมีเมื่อถูกขัดจังหวะ
คริสยกยิ้มเล็กน้อย ว่าเนิบๆ “ต้องให้ปลอบใจไหม จับสิ จะช่วยปลอบใจให้”
“หุบปากไปไอ้สวะ”  ปัดมือใหญ่ของคริสออกเต็มแรง หากแต่ไม่ได้ตะคอก เป็นการพูดเสียงเรียบ

คริสหลุดขำ จะจ๋อยหรือหมดท่าอย่างไร เจเรมีก็ไม่ทิ้งลายของจอมวายร้ายเลยแม้แต่น้อย บอกตรงๆ ว่ามันทำให้เขาอยากแกล้งขึ้นมาไม่ได้

เหมือนกับน้องชายตัวแสบที่ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นอะไรอย่างนั้น...น่าหยอกให้โมโหนัก

เพราะเอ็นดู ซ้ำยังอยากแกล้ง มือใหญ่เลยเลื่อนไปยีเส้นผมสีบลอนด์ของคนข้างกายเบาๆ เจเรมีผงะ ถอยห่างอย่างรวดเร็ว สีหน้าเกรี้ยวกราดปรากฏให้เห็นชัดเจนพร้อมกับคำพูดร้ายๆ

“ทำเวรอะไรของนายวะ!”

ที่ตกใจจนผงะไปอย่างนี้ไม่ใช่เพราะว่าไม่คุ้นชินกับการกระทำอย่างนั้น หากแต่กลัวว่ากลิ่นของคริสจะทำให้เขามีอาการฮีทต่างหาก ก็พวกทีมแพทย์บอกไว้นี่นะว่าตราบใดที่ยายังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ เขาก็จะยังมีอาการฮีทกับคู่แห่งโชคชะตาเรื่อยๆ โดยไม่ต้องรอให้ถึงช่วงเวลาเป็นฮีทแม้ว่าจะได้รับยาระงับอาการแล้วก็ตาม ยิ่งการทดลองประสิทธิภาพยาในวันนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่นักและเขายังอยู่ในสภาพรอให้ยาระงับอาการฮีทออกฤทธิ์ตามลำพังกับคริสสองคนอย่างนี้ มันเสี่ยงมากที่เขาจะทำอะไรลงไปโดยไม่รู้ตัวถ้าหากร่างกายมีปฏิกิริยาต่อกลิ่นฟีโรโมนของคริสขึ้นมาแบบฉับพลัน

คริสเห็นอีกฝ่ายโวยวายก็ดึงมือออก ส่งยิ้มให้ เป็นยิ้มที่ดูดีมากแต่เจเรมีไม่ชอบเอาเสียเลย
“ดื้อด้านสุดๆ ไปเลยนะนายน่ะ ขู่ฟ่อเป็นแมวเชียวเจ้าเหมียวน้อย”

เจ้าเหมียวน้อยงั้นเหรอ? สงสัยคงจะยังไม่เคยถูกแมวข่วนหน้าแหกล่ะสินะ!

“อย่ามายั่วโมโหฉัน”
เจเรมีแทบอดใจลุกขึ้นไปต่อยหน้าอีกฝ่ายที่ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาไม่ไหว แต่ก็ควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ คริสยิ้มให้ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้พูด
“รู้จักควบคุมอารมณ์แล้ว เก่งนี่”

เมื่อกี้ที่พูดอย่างนั้นคือจงใจจะให้เจเรมียับยั้งอารมณ์ใช่ไหม!?

ใช่อย่างแน่นอน พูดประโยคนั้นจบก็ร่ายยาวออกมา

“นายต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าทุกการกระทำของนายมันมีแสงสะท้อนกลับ ตัวนายเปรียบเสมือนกระจก ส่วนการกระทำของนายคือแสงตกกระทบ ถ้าการกระทำของนายไม่ร้ายแรงมันก็เหมือนกับแสงตกกระทบอ่อนๆ ถ้ามันร้ายแรงก็ตกกระทบมากจนทำคนรอบข้างแสบตา จำไว้ว่าไม่ใช่นายคนเดียวที่เดือดร้อน ครอบครัว คนรอบข้างนายก็จะเดือดร้อนไปด้วย ถ้าจะก่อเรื่องก็ดูจังหวะจะโคนให้ดีหน่อย ไม่ใช่ตอนที่นายมีสิทธิ์ถูกขุดคุ้ยอย่างนี้”
“สวะอย่างนายอย่าเสนอหน้ามาสั่งสอนฉัน”
“ถูกขุดคุ้ยว่าเป็นโอเมก้ามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะ” แทนที่จะหยุด คริสกลับย้อนคืนด้วยน้ำเสียงเริงรื่น

เจเรมีพูดได้เต็มปากเลยว่าเขาเกลียดขี้หน้าคริสพอๆ กับเกลียดขี้หน้าธีโอชะมัด ทว่าพอได้ยินประโยคถัดไปหลุดออกจากปากอีกฝ่าย ความเกลียดชังก็ลดน้อยลงไปครู่หนึ่ง

“สิ่งที่ฉันพูด นายจะฟังหรือไม่ฟังมันก็เรื่องของนาย ที่ฉันเตือน นอกจากจะเป็นเพราะสงสารครอบครัวของนายแล้ว มันเป็นเพราะนายเป็นคู่แห่งโชคชะตาของฉัน ดูแลกันสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง”
“เหอะ ใครจะไปนอนอ้าขาให้นายวะ หยุดอ้างเรื่องนี้ไปเลย ทุเรศ นายมันก็แค่แส่เรื่องของฉัน”

เจเรมีสบถทำเอาคริสหัวเราะ
“ถ้าไม่นอนอ้าขา จะยืนหรือยังไงก็ตามใจ ฉันไม่ถือ ได้หมด”

แทนที่จะเลิกยั่วยุ ดันเป็นการทำให้เจเรมีหงุดหงิดเสียได้ จากที่เมื่อครู่ลดความเหม็นขี้หน้าไปได้เล็กน้อยแล้ว ตอนนี้กลายเป็นว่าชิงชังผู้ชายที่มีรูปหน้าหล่อเหลาเสียจับใจ
จะนอน จะยืนหรือจะท่าไหนๆ ก็ไม่อ้าขาให้ทั้งนั้นแหละเว้ย! พูดอย่างนี้มันจงใจหาเรื่องกันนี่หว่า!

เจเรมีเกือบจะลุกมาเอาเก้าอี้ไปฟาดคริส ส่งให้ไปนอนพะงาบๆ เหมือนกับธีโอแล้ว โชคดีของคริสที่ผู้คุมเข้ามาพาตัวกลับไปยังทัณฑสถานเสียก่อนจึงรอดตายหวุดหวิด ภายในห้องสังเกจการณ์จึงเหลือแต่เจเรมีเท่านั้นที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงตามลำพัง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้สงบสติอารมณ์ลงได้ พลันนึกถึงคำพูดของคริสก่อนหน้า

‘ตัวนายเปรียบเสมือนกระจก ส่วนการกระทำของนายคือแสงตกกระทบ ถ้าการกระทำของนายไม่ร้ายแรงมันก็เหมือนกับแสงตกกระทบอ่อนๆ ถ้ามันร้ายแรงก็ตกกระทบมากจนทำคนรอบข้างแสบตา จำไว้ว่าไม่ใช่นายคนเดียวที่เดือดร้อน ครอบครัว คนรอบข้างนายก็จะเดือดร้อนไปด้วย…’

พูดถูกจนเถียงไม่ได้ ก่อนเจเรมีจะยกมือขึ้นปิดใบหน้า หัวเราะขื่นๆ ในลำคอ
“ทำเป็นมาสั่งสอน เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะไอ้ขี้คุก”
------------------------------------
มาแล้วจ้า หายไปหลายวัน ในที่สุดก็มาสักที
ตอนนี้บั่บ...ขุ่นคริสปากคอเราะร้าย ท่าไหนก็ได้คืออัลไลลล 555
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาตัวอย่างมาแปะให้นะคะ
ฝากฟีดแบ็กให้กันด้วยเน้อ XD
ปล.เปลี่ยนแฮชแท็กนะคะ จาก #เจมี่คริส เป็น #คริสเจมี่ เน้อ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.05[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 22-01-2017 11:21:00
ก็รอดูเจเรมี่เนเมซิสฮะ จงเชื่องงงงง
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.05[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 22-01-2017 14:30:05
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.05[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-01-2017 14:46:10
คริส โตกว่าเจเรมี่ มีประสบการณ์
เติบโตแบบรู้ด้วยตนเอง
แต่เจเรมี่ มีแต่คนปกป้องเพราะพ่อมีตำแหน่งสูง
และอยู่ในครอบครัวอัลฟ่า แต่ตัวเองเป็นโอเมก้า
ยิ่งได้รับการดูแล ประคบประหงมเกินกว่าปกติ
คำเตือนของคริส ยอดมาก
‘ตัวนายเปรียบเสมือนกระจก ส่วนการกระทำของนายคือแสงตกกระทบ
ถ้าการกระทำของนายไม่ร้ายแรง มันก็เหมือนกับแสงตกกระทบอ่อนๆ
ถ้ามันร้ายแรงก็ตกกระทบมาก จนทำคนรอบข้างแสบตา
จำไว้ว่าไม่ใช่นายคนเดียวที่เดือดร้อน ครอบครัว คนรอบข้างนายก็จะเดือดร้อนไปด้วย…’

       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.05[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 22-01-2017 17:52:55
ขุ่นคริสคนดี ปราบให้อยู่หมัดเลยนะคะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.05[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 22-01-2017 18:11:24
ฟังคริสสักหน่อยก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.05[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-01-2017 19:02:33
สงสารปนเอ็นดูเจมี่นะ ฟังที่พี่เค้าเตือนบ้างก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.05[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-01-2017 19:27:59
[ตัวอย่าง]Episode 06: รส กลิ่น สัมผัส

แปะตัวอย่างไว้ก่อนค่ะ อีก 2-3 วันจะมานะ
ช่วงนี้ยุ่งๆ ค่ะ (มันยุ่งทุกช่วงแหละ 555)
ขุ่นคริสคนหล่อเริ่มมีบทเยอะแล้ว ก๊ากกก
เจิมและสครีมรอกันก่อนได้ค่ะ
ตอนหน้าบอกได้เลยว่าต้องร้อง... วรั้ยยย ขุ่นคริสจัดการมันเลยข่า 555
-----------------------------------


เจเรมีใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากลวกๆ คราบของเหลวสีขาวขุ่นยังคงเปรอะเปื้อนที่มุมปากเล็กน้อย คริสมองตามแล้วไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาการฮีจะทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นคนขาดสติได้ถึงขนาดนี้ แต่จะไปกล่าวโทษเจเรมีก็ไม่ได้ เขาเองก็ผิดที่ไม่ออกปากห้าม จะอ้างว่าขยับไม่ได้เพราะถูกพันธนาการไว้กับเตียงทั้งตัวมันก็เป็นข้ออ้างสั่วๆ ถ้าเขาเอ่ยปากห้าม เรื่องแบบนี้คงจะไม่เกิด ถึงเจเรมีจะไม่ฟัง แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเขาได้ห้ามแล้ว

แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครมันจะไปต้านทานสัญชาตญาณของตัวเองได้กันล่ะ ยิ่งเจเรมีเป็นคู่แห่งโชคชะตาของเขาด้วยแล้ว แรงต้านทานต่อความเสน่หาก็ลดน้อยถอยลงจนแทบมลายสิ้นไปหมด ทั้งที่เขาเคยสาบานกับตัวเองไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่หลงใหล ไม่เผลอใจ ไม่โอนอ่อนไปกับกลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีแม้ว่ามันจะเย้ายวนแค่ไหนก็ตาม หากแต่พอถูกรุกเร้าเข้าอย่างนี้ คำสาบานก็หลอมละลายสลายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีกำลังทำให้เขาคลั่ง...

และก็คลั่งมากกว่าเดิมเมื่อเจเรมีปรือตามองพลันเรียกเขาเสียงพร่า
“คริส...”

ให้ตายเถอะ... เขาตบะแตกโดยสมบูรณ์แล้ว

คริสมองใบหน้าได้รูปของเจเรมีนิ่งๆ ซีกแก้มที่มีรอยช้ำจางๆ มีสีแดงเรื่อของเลือดฝาดเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือดเพราะมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับการปลดปล่อย แต่เขาจะไปช่วยอะไรได้ ทั้งมือทั้งเท้าถูกมัดแน่น ซ้ำยังตรึงอยู่กับเตียงอย่างนี้ ที่ทำได้ก็มีแต่...
“เจเรมี...” เอ่ยเรียกเสียงเบา พลันออกคำสั่ง “มานี่สิ”

เจเรมีนิ่งไปเล็กน้อยคล้ายกับว่าชั่งใจให้คริสได้เอ่ยอีกครั้ง
“ขยับเข้ามาใกล้ๆ”

เท่านั้นคนได้รับคำสั่งก็เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ในท่าทางเดิม คริสผงกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย พอใบหน้าของเจเรมีอยู่ใกล้เพียงคืบก็ถือโอกาสประทับจุมพิตบนเรียวปากสีสวย

กลิ่นของคริสลอยเข้าจมูกฉุนกึ้ก ความร้อนรุ่นในกายของเจเรมีทวีความรุนแรงมากกว่าเดิมเสียอีก และมันกำลังทำให้เขาเป็นทรมานจนแทบทนไม่ไหว เมื่อคริสพยายามจูบ เจเรมีก็ผงะถอยออกมา ริมฝีปากของทั้งคู่หลุดออกจากกัน เรียกให้หัวคิ้วเรียวสวยของคนด้านล่างขมวดเข้าหากันเป็นปมเล็กน้อย

“อย่าหนี”
“ฉันไม่...”
“อยู่นิ่งๆ อย่าถอยหนี” คริสแทบไม่ฟังเสียงของเจเรมีเลย ออกคำสั่งพลางจ้องด้วยสายตานิ่งๆ

เจเรมีถูกสายตาคู่นั้นสะกด นิ่งค้างราวกับต้องมนตร์ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเชื่อฟังคำสั่งแล้ว คริสถึงได้ออกปากอีกครั้ง
“ขยับเข้ามาใกล้ๆ”
ราวกับสั่งได้ เจเรมีโน้มใบหน้าเข้ามาอยู่ในจุดเดิมให้คริสได้กระซิบแผ่วเบา
“จากวินาทีนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามขยับเข้าใจไหม”

ไม่มีคำตอบรับจากเจเรมี คริสเองก็ไม่สนใจที่จะรอคำตอบด้วย สิ้นเสียง เขาก็ผงกศีรษะขึ้นมาประกบปากจูบอีกครั้ง กลิ่นของคริสยังคงเข้มข้นเสียจนแทบทำเจเรมีมึนหัว กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีเองก็เช่นกัน ขนาดคริสถึงจุดสิ้นสุดไปแล้วเมื่อครู่ พอได้กลิ่นชัดเจนอย่างนี้ เขาก็รู้สึกร้อนวูบบริเวณช่วงล่างของตัวเองอีกครั้ง

ร้อนจนแทบทนไม่ไหว

ร้อนจนอยากจะกระชากทุกสิ่งที่พันธนาการเขาอยู่ออกและจัดการกับเจเรมีให้รู้แล้วรู้รอด

แต่คนที่ทนไม่ไหวมากกว่าคริสดูเหมือนจะเป็นเจเรมี โลกของเขาหมุนคว้างไปหมดเมื่ออีกฝ่ายดุนดันปลายลิ้นอ่อนนุ่มเข้ามาในโพรงปาก พลันกระหวัดเกี่ยวกับปลายลิ้นของเขาอย่างโหยหา

ความกระหายใคร่พวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว มือหนาโอเมก้าหนุ่มเลื่อนไปกำคอเสื้อของคู่แห่งโชคชะตาแน่น เขาอยากจะผละออกมา หากแต่พอเคลื่อนหนีเล็กน้อยก็ถูกตามรุกราน

จะหาว่าคริสรังแกก็ไม่ได้ เจเรมีเองก็ไม่ได้ถอยออกมาอย่างเด็ดขาดด้วยลุ่มหลงในกลิ่นหอมรัญจวนของคนตรงหน้า
อยากลิ้มรส

อยากได้กลิ่นมากกว่านี้

อยากสัมผัส

อยากครอบครอง

อยากได้ทุกอย่างที่เป็นของคริส

อยากได้อีก...

สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้คริสรุกล้ำอยู่อย่างนั้น หนำซ้ำเจเรมียังเป็นฝ่ายตอบรับทุกสัมผัสของใต้ร่างอีกต่างหาก พอถึงจุดหนึ่งก็กลายเป็นฝ่ายรุกรานคริสแทน รสจูบดูดดื่มของเจเรมีทำให้คริสเริ่มไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ หากแต่สัมผัสได้ว่าร่างกายของเจเรมีร้อนแทบเป็นไฟมากกว่าเดิม ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละริมฝีปากออกไป ซุกหน้าลงบนซอกคอ ท่อนแขนทั้งสองโอบกอดศีรษะของเขาพลางส่งเสียงกระเส่าออกมา

ร่างกายที่กระตุกเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเจเรมีถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเจเรมีเลยแม้แต่น้อยทว่าอีกฝ่ายกลับถึงจุดหมาย

...ไม่ ไม่ใช่ คริสพูดไม่ได้เต็มปากว่าเขาไม่ได้ทำอะไร

เขาทำไปแล้ว ทำเรื่องที่ไม่สมควรทำเสียด้วย

ได้สติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วนก็ในตอนนี้ ทว่าจะยับยั้งอะไรก็ไม่ทันอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เจเรมีทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนร่างเขา ฟุบหน้าลงบนหมอนที่คริสหนุนอยู่เป็นที่เรียบร้อย เสียงหายใจกระหืดหอบยังคงดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ

จบแล้วสินะอาการฮีท แต่เรายังไม่จบเลยแฮะ...

คิดพลางเหลือบมองไปยังกลางลำตัวของตัวเองที่ถูกเจเรมีนั่งทับอยู่

ยังแข็งขัน...

ยังคับแน่นอยู่...

มองเห็นท่าทางของเจเรมีที่ส่อไปในทางชวนให้คิดมาก คริสก็ยิ่งรู้สึกร้อนผะผ่าวที่บริเวณส่วนอ่อนไหวนั่นมากกว่าเดิม

จะจัดการกับมันยังไงดีเนี่ย?
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 23-01-2017 14:01:47
 :z1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-01-2017 15:06:51
รอของจริง  :z1: :pighaun: :haun4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 24-01-2017 00:19:55
สปอยได้ร้ายมากกกกกก
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-01-2017 01:11:46
แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้วค่ะ รีบๆกลับมาอัพต่อนะ  o9
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 24-01-2017 09:27:13
อื้อหือออออถ้าจะมาหย่อแกล้งกันไว้แบบนี้ :katai1: :katai1:
รอตอนต่อไปแทบไม่ไหวแล้ววว แง้ :katai4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 25-01-2017 08:24:37
ขอตอนต่อไปด่วนๆ :katai4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahtallll ที่ 27-01-2017 12:39:06
งื้ออ ตอนต่อไปอยู่หนายยยย  ย
อยากอ่านต่อแล้วค่าาา า :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-01-2017 15:28:14
เพิ่งได้รู้จัก omegaverse ก็เรื่องนี้แหละ

พล๊อตน่าสนใจมาก
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: princeofdark ที่ 27-01-2017 18:20:15
ดิ้นนี้แค่ตัวอย่างนะ ขอตอนจริงเถอะ อ๊ากกกก
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 28-01-2017 03:41:38
Episode 06: รส กลิ่น สัมผัส[1]

ใจก็ไม่ได้อยากจะเชื่อฟังคำแนะนำของคริสเท่าไหร่นัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของไอ้ขี้คุกคนนั้นเตือนสติเจเรมีได้เป็นอย่างดี วีรกรรมของเขาที่สร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวมีมากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ และทุกครั้งบิดาก็ต้องออกโรงเป็นหนังหน้าไฟคอยแก้ปัญหาให้ตลอด ที่ผ่านมาที่บิดาไม่เคยต่อว่าเขารุนแรง มีแต่เตือนให้รู้จักยับยั้งชั่งใจและใช้หัวคิดก่อนจะทำการใดๆ ก็ตามเท่านั้น และหลังจากการตักเตือน ทุกอย่างก็จบลงประหนึ่งไม่เคยมีเรื่องราวที่เขาไปก่อวีรกรรมเกิดขึ้น

ไม่ใช่ว่าเจอโรมและมาเรียไม่ใส่ใจ ไม่รับผิดชอบการกระทำของลูกชาย หากแต่รักเจเรมีมากเกินไปต่างหาก ซึ่งเป็นการรักที่ค่อนข้างจะผิดทางไปเสียด้วยจึงทำให้ชายหนุ่มเติบโตมาเป็นคนร้ายกาจได้ขนาดนี้

ทว่าก็ใช่ว่าเจเรมีจะไร้สามัญสำนึกเลยเสียทีเดียว กับคนอื่นเขาอาจจะไม่สนใจดูดำดูดี แต่กับคนที่เขารัก เขาย่อมต้องสนใจอยู่แล้วว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้คนที่ตนรักต้องเป็นทุกข์แค่ไหน

ชายหนุ่มยืนมองบิดาที่นั่งอ่านเอกสารเกี่ยวกับการทดลองยาตัวใหม่ที่ใช้ในการระงับอาการฮีทของเขาอยู่นาน ใจอยากจะเอ่ยปากขอโทษตามที่คริสแนะนำ ทว่าก็ปากหนักจนเกินกว่าจะพูดไปได้ พอทำใจกล้าจะเอ่ยออกไป เสียงโทรศัพท์มือถือของเจอโรมก็ดังขึ้นเสียก่อน ทำให้ความตั้งใจของเจเรมีถูกพับเก็บไปชั่วคราว

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคุยกับใครและคุยอะไร แต่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดแล้วก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องของลูกชาย
“งั้นก็ตามนั้น รีบจัดการทำลายหลักฐานทุกอย่างที่พวกมันจะสาวตัวมาถึงได้ให้เร็วที่สุด แล้วก็หาที่กบดานใหม่”

น้ำเสียงแหบห้าวหลุดออกจากริมฝีปากของเจอโรม เขาพูดอะไรบางอย่างอีกสองสามประโยคแล้วก็ตัดสายไป วางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะได้ก็ยกมือคลึงขยับเล็กน้อยคล้ายกับว่าเจอเรื่องใหญ่เข้าให้ เจเรมีเห็นก็ไม่อยากจะรบกวน ตั้งใจจะผละไปที่อื่นก่อน ไว้ค่อยหาโอกาสหน้ามาขอโทษใหม่ ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ เสียงของบิดาก็ดังขึ้น
“พวกมันเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว”

ขายาวชะงักกึก หันไปมองบิดาขณะที่เจอโรมเองก็เหลียวมามองลูกชาย
“นายพลแฮร์ริสันมันเริ่มขุดคุ้ยแกแล้ว จากนี้ไปเราจะไปแอบใช้สถานที่ของโรงพยาบาลไม่ได้อีกแล้ว ต้องหาที่ใหม่และต้องเป็นความลับ ไม่อย่างนั้นเป็นเรื่องแน่”

เป็นเรื่องแน่นอนถ้าฝั่งนั้นรู้ว่าเจเรมีเป็นโอเมก้า เจเรมีก็กะไว้อยู่แล้วว่าอีกไม่นาน ฐานทัพลับสำหรับดำเนินการพัฒนายาของเขาต้องถูกโยกย้าย เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้

“ก็แล้วแต่พ่อเถอะครับ ผมยังไงก็ได้” ไม่รู้จะพูดอะไร เจเรมีเลยว่าไปลอยๆ ทำเอาเจอโรมจ้องเขม็ง
“อย่ามาพูดเหมือนกับว่ามันไม่ใช่เรื่องของแก จากนี้เป็นต้นไป แกต้องระวังตัวให้มากเพราะพวกมันไม่ปล่อยให้แกได้ใช้ชีวิตสุขสงบเหมือนเดิมแน่ พรุ่งนี้ฉันจะส่งคนไปรับไปส่งแก ห้ามไปไหนมาไหนโดยพลการเป็นอันขาด”

ได้ยินแล้วใจก็อยากจะท้วง แต่พอเห็นสายตาหงุดหงิดของบิดาก็จำต้องปิดปากเงียบ

คงจะเป็นห่วงเขานั่นแหละถึงได้ตัดสินใจส่งคนไปดูแล ปกติเคยทำเสียที่ไหน แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะยอมปล่อยมือแล้วให้เรื่องจบไปง่ายๆ คนอย่างนายพลแฮร์ริสัน เขาไม่จัดการเจเรมีอย่างใสสะอาดหรอก ต้องส่งคนมาคอยสอดแนมติดตามทุกย่างก้าวอยู่แล้ว

เจเรมีพยักหน้ารับอย่างขอไปที ถามเรื่องใหม่ขึ้นมาแทน
“แล้วเรื่องพัฒนายาอะไรนี่ล่ะครับ หรือจะหยุดแค่นี้ถ้าเรื่องมันยุ่งยาก?”
“ฉันว่าฉันพูดไปแล้วว่าเราจะเปลี่ยนที่ใหม่” เจอโรมว่าเสียงขุ่น มองหน้าลูกชายด้วยความระอาที่ไม่เคยใส่ใจอะไรเลยแม้กระทั่งเรื่องของตัวเอง

ไม่ใช่เจเรมีไม่ใส่ใจหรอก เพียงแต่เขาใช้คำพูดไม่ถูกก็เท่านั้น ต้องถามว่า ‘แผนสำรองของพ่อต่อจากนี้เป็นยังไง’ ต่างหาก

“นั่นแหละ แล้วพ่อจะเอายังไง”

ถามถูกประเด็นแล้ว

เจอโรมมองนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปาก “ฉันให้แมทธิวดำเนินการแล้ว พรุ่งนี้เดี๋ยวก็ได้รู้เองว่าที่ไหน ตอนนี้แกจะไปไหนก็ไป ฉันอยากจะใช้เวลาคิดอะไรคนเดียวสักหน่อย”

ตัดบทอย่างห้วนๆ ทำให้เจเรมีไม่อยากถามอะไรต่อ ได้แต่พยักหน้าไปตามเรื่องแล้วทุกอย่างก็จบลงแค่นั้น

ยังไม่ได้เอ่ยขอโทษ ซ้ำยังไปทำให้บิดากลัดกลุ้มมากกว่าเดิมอีก

ทุกอย่างมันชักจะเลวร้ายลงกว่าเดิมเรื่อยๆ แล้วสิ...






 
เลวร้ายลงกว่าเดิมอย่างที่เจเรมีคิด พอวันใหม่มาถึง ข่าวดีก็โผล่มาให้ได้ยินแต่เช้าว่าการพัฒนาตัวยาระงับอาการฮีทที่เกิดจากการวิเคราะห์ความข้นของเลือดและระดับฮอร์โมนของคริสที่ถูกปล่อยออกมาหลังจากได้กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีที่พุ่งพล่านสุดขีดถูกผลิตออกมาแล้ว แต่จะใช้ได้ผลหรือไม่นั้น จำเป็นต้องทำการทดลอง ซึ่งก็หนีไม่พ้นการที่เจเรมีต้องเผชิญหน้ากับคริสอีกครั้ง หากแต่คราวนี้ไม่ได้เป็นการเจอกันในห้องสังเกตการณ์ตามเดิม แต่เป็น ‘สถานที่ลับ’ ที่แมทธิวไปเสาะหามา

นั่นก็คือ...โรงแรมระดับสามดาวบริเวณชานเมืองของมหานครเพิร์ล

ตอนไปถึงที่หมาย เจเรมีย่นคิ้วยู่จนแทบจะยุ่งเหยิงยิ่งกว่าเชือกรองเท้า

ไอ้โรงแรมเส็งเคร็งที่เหมือนจะร้างก็ไม่ร้างอย่างนี้น่ะเหรอที่ใช้แทนห้องสังเกตการณ์น่ะ! สถาพทุเรศพอๆ กับไอ้ทุเรศที่รออยู่ด้านในเลย!

ประโยคหลังแน่นอนว่าหมายถึงคริส ยิ่งคิดว่าเขาต้องฉีดยาเพื่อกระตุ้นให้เกิดอาการฮีทแล้วค่อยฉีดยาระงับอาการซ้ำ จากนั้นก็ต้องใช้เวลาอยู่กับคริสภายในห้องเดียวกันทั้งคืนเพื่อรอให้พวกทีมแพทย์สังเกตการณ์ เขาก็เกิดอยากจะอาละวาดขึ้นมาเสียอย่างนั้น

เริ่มจากต่อยหน้าไอ้พวกคนที่ติดตามมาก่อนเลยเป็นไง? น่ารำคาญเป็นบ้า เกาะติดแจตั้งแต่เมื่อวานแล้ว!

คนติดตามพวกนั้นเป็นคนที่เจอโรมส่งมาดูแลความปลอดภัย นับรวมทีมแพทย์อีกสองคนด้วยแล้วก็มีคนติดตามมาเพียงสามชีวิตทั้งที่ปกติแล้วเวลาเขาต้องมาทำอะไรแบบนี้ จะมีทีมแพทย์มารุมทึ้งเขาเป็นสิบ แต่ที่เป็นอย่างนี้ก็ด้วยเหตุผลว่าไม่ให้เด่นสะดุดตาและไม่ให้ดูน่าสงสัย ดังนั้นเจอโรมกับแมทธิวจึงไม่ได้ตามมาด้วย ทีมแพทย์ก็ส่งแต่คนที่สำคัญในการดำเนินโครงการมาเท่านั้น หากติดตามมากันเยอะๆ นายพลแฮร์ริสันจะระแคะระคายเอาได้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรผิดกฎหมายกันอยู่

สำหรับเจเรมีแล้ว ถึงอยากจะพาล ต่อยคนอื่นระรานไปทั่วเพื่อระบายอารมณ์แค่ไหน สุดท้ายก็ทำได้แค่เดินเข้าไปในโรงแรม เช็กอินแล้วเดินไปยังห้องที่จองเอาไว้ เปิดประตูเข้ามา สีหน้าของเขาก็ดูน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีกทันทีที่เห็นว่าภายในห้องนั้นมีเตียงนอนเดี่ยวอยู่สองเตียง เตียงละมุมก็จริง หากแต่บนเตียงหนึ่งนั้นมีคริสนั่งรอการมาถึงของเขาอยู่โดยมีผู้คุมคนหนึ่งยืนขนาบข้าง

“พวกเราจะติดตั้งกล้องเอาไว้นะครับ จะสังเกตการณ์ดูอยู่ที่ห้องข้างๆ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินก็ให้รีบโทรเข้ามาหา จะได้เข้าระงับเหตุได้ทัน แล้วถ้าคุณกลัวว่าอีกฝ่ายจะทำร้ายก็ไม่ต้องกังวลไป เราจะมัดเขาไว้กับเตียง ต่อให้เขาคิดจะทำอะไรคุณ อย่างน้อยคุณก็ยังมีเวลาพอที่จะขอความช่วยเหลือ” นายแพทย์หนึ่งในนั้นพูดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเจเรมี

เจเรมีไม่ได้ยินดียินร้ายกับคำพูดนั้นเลยนอกจากรำคาญ หันไปแผดเสียงใส่ทันควัน
“จะทำอะไรก็รีบๆ ทำ พล่ามอยู่ได้ น่ารำคาญ!”

หากเป็นช่วงแรกๆ นายแพทย์คนนั้นคงจะตกใจไม่น้อย ทว่าจากการเจอเจเรมีหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้เขาคุ้นชินกับความใจร้อนของชายหนุ่มตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว

“ขอเวลาพวกเราเตรียมการสักครู่นะครับ” นายแพทย์ตอบรับก่อนจะผละไปทำตามหน้าที่ของตน ปากก็อธิบายคร่าวๆ ไปด้วยว่าจะเริ่มฉีดยากระตุ้นอาการฮีทของเจเรมีเมื่อไหร่ ฉีดยาระงับอาการฮีทที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาจากการวิเคราะห์อาการตอบสนองของคริสเมื่อไหร่ และจะปล่อยให้เจเรมีได้อยู่กับคริสตามลำพังตอนไหน

บอกตรงๆ ว่าไม่เข้าหูเจเรมีเลย รู้อยู่อย่างเดียวคือเขาต้องใช้เวลาอยู่กับคริสในห้องสับปะรังเคนี่กว่าสิบชั่วโมงเพื่อให้พวกแพทย์สังเกตการณ์ แต่แค่นี้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอจะทำให้เจเรมีทำหน้ายักษ์ ไม่พูดไม่จากับใครเพราะหัวเสียเต็มประดาได้แล้ว
แล้วก็เป็นอยู่อย่างนั้นกระทั่งคริสถูกจับใส่เสื้อมัดแขน ให้เอนตัวลงนอนบนเตียงแล้วก็ถูกเข็มขัดผ้ามารัดตัวเขาติดไว้กับเตียงเพื่อไม่ให้ลุกขึ้นได้อีก

อย่าว่าแต่ลุกเลย แค่พลิกตัวยังทำแทบไม่ได้ รัดแน่นขนาดนี้ อีกนิดเดียวเขาคงขาดอากาสหายใจไปแล้ว

แต่ก็ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากคริสเพราะถูกจับสวมหน้ากากกรองกลิ่นฟีโรโมนเสียก่อน เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ภายในห้องนั้นที่ต้องสวมเหมือนกัน จากนั้นเจเรมีจึงถูกฉีดยากระตุ้นอาการฮีท เมื่อมีอาการแสดงออกมาจนถึงขีดสุด ยาตัวใหม่จึงถูกฉีดเข้าไประงับอาการ ทันทีที่เขาสงบลงและกลับมาเป็นปกติ การสังเกตการณ์และทดลองตัวยาจึงเริ่มขึ้น
“อย่าลืมนะครับ ถ้ามีอะไรก็โทรเรียกได้ทันที พวกผมจะอยู่ห้องข้างๆ”

นายแพทย์ย้ำก่อนจะออกไป ทว่ากลับถูกเจเรมีแผดเสียงใส่
“รู้แล้วน่า จะพล่ามอะไรนักหนา ไสหัวไปกันได้แล้ว!”

ทีมนายแพทย์ ผู้ติดตามและผู้คุมออกจากห้องไป เท่านั้นห้องก็กลับเข้าสู่ความเงียบงันเมื่อคู่แห่งโชคชะตาทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพัง ทว่าก็อยู่ได้ไม่นาน เสียงของคริสที่นอนอยู่นิ่งๆ ก็ดังขึ้น

“ยังทำให้พ่อแม่กลุ้มใจได้ไม่เปลี่ยนเลยสินะ”
“นายก็ยังปากดีเหมือนเดิมไอ้ขี้คุก” เจเรมีตอบกลับแทบจะในทันที

คริสสะดุดหูนิดหน่อยกับชื่อเล่นใหม่ของตัวเอง ใช่ว่าเขาจะชอบนักหรอก แต่การถูกยึดอิสรภาพไปเสียตั้งสองปีอย่างนั้นจะถูกเรียกด้วยชื่อนี้ก็ไม่แปลก

“ถึงจะขี้คุก แต่ก็เป็นคู่แห่งโชคชะตาของนายแหละน่า” ซ้ำยังย้อนกลับไปด้วยท่าทางประหนึ่งผู้มีชัย

เจเรมีถึงกับกัดฟันกรอด อยากจะพุ่งเข้าไปกระทืบนัก แต่พอใบหน้าของบิดาและคำสั่งห้ามก่อเรื่องดังแว่วเข้ามาในจิตใต้สำนึก เขาก็ทำได้แค่ทรุดตัวนั่งลงบนเตียงอีกเตียงแล้วทำเป็นหูทวนลมแทน

“โชคดีของนายที่วันนี้ฉันอารมณ์ดี จะไม่ถือสากับคำพูดของสวะอย่างนายแล้วกัน”

คริสถึงกับหัวเราะดังหึออกมา

ขนาดอารมณ์ดีนะ ถ้าอารมณ์เสียจะเป็นขนาดไหน

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าเขายังคงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเจเรมีดูไม่ดีเลยตั้งแต่เข้าห้องมา ไม่ใช่เป็นเพราะว่าอารมณ์เสีย แต่เป็นเพราะสิ่งที่ยังติดค้างในใจของอีกฝ่ายต่างหาก

“ยังไม่ได้ขอโทษล่ะสิ” ในที่สุดก็พูดออกไป
เจเรมีหันขวับไปมองอีกครั้ง เปล่งเสียงห้าว “แล้วมันธุระกงการอะไรของนาย”
“พูดขอโทษแค่นี้มันไม่ยากหรอกน่า”
“หุบปากไปซะ”
“รีบหาโอกาสพูดได้แล้ว ระวังจะเสียใจทีหลัง บอกแล้วไงว่านายเหมือนกับกระจก การกระทำของนายก็เหมือนแสงตกกระทบ”
“นายจะหาเรื่องกันหรือไงวะ ฉันบอกให้หุบปากไง!”

คล้ายว่ากำลังคุยคนละเรื่องเดียวกัน คริสไม่ฟังสิ่งที่เจเรมีสวนคืนเลยแม้แต่น้อย ถูกแผดเสียงใส่อย่างนั้นก็ทำหน้าตาไม่ยี่หระ เจเรมีเองก็ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วยรู้ว่าเดี๋ยวคริสก็จะถือวิสาสะสั่งสอนเขาประหนึ่งว่าตัวเองเหนือกว่าอีกจึงได้แต่ตัดบทห้วนๆ

“หุบปากแล้วนอนเงียบๆ ไปเลย”
ตะวันยังโด่งอยู่เลย เขาคงจะหลับลงหรอก แต่ก็เอาเถอะ ไม่อยากจะทำให้บรรยากาศเสียไปมากกว่านี้จึงยอมทำตามแต่โดยดี

ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยใดๆ หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่มทั้งคู่อีกกระทั่งเข้าสู่กลางดึก เจเรมีนอนก่ายหน้าผาก สายตาชำเลืองมองคริสเป็นระยะว่าอีกฝ่ายทำอะไรอยู่ สุดท้ายก็เห็นแต่คริสนอนนิ่งๆ ไม่หือไม่อือ แต่ก็รับรู้ได้ว่าไม่ได้หลับ เพียงแต่นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น มีบางครั้งที่หันมามองเจเรมีบ้างแต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนัก

น่าเบื่อชะมัด เมื่อไหร่ไอ้สถานการณ์บ้าๆ นี่มันจะจบๆ ไปซะที!

ประโยคนี้ดังขึ้นในหัวของเจเรมีหลายต่อหลายครั้ง แต่ถึงมันจะน่าเบื่อจนเขาแทบทนไม่ไหว หากคิดดูดีๆ แล้วมันก็ดีไม่ใช่น้อยที่เขาไม่มีอาการอะไรแสดงออกมาแม้จะอยู่กับคู่แห่งโชคชะตาในห้องแคบๆ แถมโกโรโกโสอย่างนี้สองต่อสอง

ก็ได้แต่หวังในใจว่าการทดลองตัวยาที่พัฒนาขึ้นมาจะสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรกที่ทดลองใช้...

แต่สวรรค์คงจะไม่เข้าข้างจอมวายร้ายอย่างเจเรมีเท่าไหร่นัก ไม่นานนักก็เริ่มมีอาการประหลาดเกิดขึ้นกับตัวเขา จู่ๆ เขาก็รู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งกาย บริเวณส่วนกลางของลำตัวคับแน่นและร้อนผะผ่าวคล้ายกับว่าจะระเบิดออกมาภายนอกให้ได้ ฟีโรโมนถูกปล่อยออกมาโดยไม่รู้ตัว คริสสัมผัสได้จึงเหลียวไปมองคนบนเตียงข้างๆ ที่นอนคดคู้อยู่ใต้ผ้าห่ม กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ที่ลอยโชยเข้าจมูกบ่งบอกให้รู้ว่าเจเรมีออกอาการฮีทแล้ว ยังดีที่มันไม่ได้ส่งกลิ่นรุนแรงเหมือนกับครั้งก่อนๆ ในเวลาเพียงอึดใจเดียว แสดงว่าตัวยาที่พัฒนาขึ้นมาก็พอจะใช้ได้ผลอยู่เหมือนกัน

ทว่าในความคิดของเจเรมีนั้น เขาไม่ได้รู้สึกเลยว่ามันต่างจากเดิมสักเท่าไหร่ เขารู้แต่ว่าถ้ามันระงับอาการฮีทของเขาไม่ได้ มันก็คือใช้ไม่ได้ผลเท่านั้น

ชายหนุ่มผมบลอนด์กัดฟันกรอด หงุดหงิดสุดทนที่สถานการณ์เลวร้ายต่างๆ รุมเร้าเขามากเกินไป ยิ่งได้กลิ่นหอมลอยมาจากฝั่งของคริสก็ยิ่งหัวเสีย

กลิ่นนรกนั่นมันกำลังจะทำให้ฉันเป็นบ้า!

หันขวับไปมองคริสอย่างรวดเร็วทันควัน ปากเกือบจะพูดออกไปอยู่แล้วว่าให้จัดการทำอะไรกับกลิ่นฟีโรโมนของคริสที่ถูกปล่อยออกมาโดยอัตโนมัติสักที ทว่าคริสก็ดันโพล่งขึ้นมาก่อน

“นี่ ช่วยหยิบหน้ากากกรองสารพิษมาใส่ให้ที” ว่าพลางพยักปลายคางไปที่โต๊ะปลายเตียง

เจเรมีเหลือบมองก็เห็นว่าวัตถุสีดำเป็นหน้ากากกรองสารพิษที่คริสใช้สวมก่อนหน้าตอนที่เขาปล่อยฟีโรโมนออกมาจนถึงขีดสุด การที่คริสร้องขออย่างนั้นแสดงว่าอีกฝ่ายเริ่มรับรู้ได้ถึงความอันตรายหลังจากนี้แล้ว

แต่ทำไมจะต้องเรียกว่า ‘หน้ากากกรองสารพิษ’ ด้วยนะ! กลิ่นฟีโรโมนของเขาไม่ใช่สารพิษเสียหน่อย!

เจเรมีดูจะหงุดหงิดไปทุกอย่าง แผดเสียงใส่พร้อมกับใบหน้าแดงเถือก
“ฉันไปเป็นขี้ข้านายตอนไหนไม่ทราบ!”
“ถ้านายไม่อยากให้ฉันต้องอาละวาดเพื่อจะไปปล้ำนายล่ะก็ ทำตามที่ฉันบอกเถอะ” คริสสวนมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ซีกหน้าและลำคอของเขาก็เริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาจากการที่เลือดสูบฉีดแล้วเช่นกัน เป็นสัญญาณให้รู้อย่างชัดเจนเลยทีเดียวว่า ณ วินาทีนี้ ร่างกายเขาเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีแล้ว

เจเรมีก็ไม่อยากจะฟังนัก แต่เห็นการมัดที่ดูไม่แน่นหนาเท่าไหร่ เขาก็ไม่อยากเสี่ยงเพราะรู้ดีว่าตอนที่เขาออกอาการฮีทจนถึงขีดสุด ความสามารถในการดูแลตัวเองของเขามันลดลงมากแค่ไหน ต่อให้พวกทีมแพทย์อะไรนั่นจะบอกว่าถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้โทรตามก็เถอะ แต่ถ้าเขาตกอยู่ในภาวะอย่างนั้น ใครมันจะไปมีเวลามาคิดกันล่ะว่าจะต้องขอความช่วยเหลือ

เวลาอย่างนั้นมันอยากทำอย่างอื่นมากกว่า!

เพราะคิดอย่างนั้นจึงยอมรับคำขอร้องของคริสอย่างไม่มีทางเลือก ลุกจากเตียงเดินไปหยิบหน้ากากกรองมาสวมให้คริส ทว่ายังไม่ทันจะได้ถึงที่หมายก็ต้องหยุดเดินกลางคันเมื่อพอเข้าใกล้คริสมากขึ้น กลิ่นหอยหวนยั่วยวนนั่นก็รุนแรงมากขึ้นทุกที เจเรมีรีบยกมือขึ้นปิดจมูก กลัวว่าอาการกำหนัดของตัวเองจะพุ่งพล่านมากกว่านี้ หากแต่เหมือนการปิดจมูกจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่นักและการกระทำอย่างนั้นก็ดูโง่เง่าสิ้นดีเพราะมันสายไปแล้ว กลิ่นของคริสลอยอบอวลอยู่ในอากาศจนทำให้สมองของเขาเบลอไปหมดแล้ว

ร่างใหญ่ทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้น ลมหายใจติดขัดเป็นช่วงๆ เนื้อตัวร้อนผะผ่าว ใบหน้า ลำคอและใบหูแดงกลายเป็นสีแดง คริสที่นอนมองอยู่เห็นก็รู้ทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่ลงเป็นที่เรียบร้อย

“รีบโทรขอความช่วยเหลือเร็วเข้า” คริสร้องบอก ปากก็พยายามตะโกนบอกกล้องเพื่อให้คนที่อยู่อีกห้องรับรู้ว่าภายในห้องนี้เกิดอะไรขึ้น “เฮ้ พวกนายได้ยินไหม! รีบมาช่วยกันเร็วเข้า! เฮ้!”

เหมือนจะไร้ประโยชน์ อีกฝ่ายซึ่งเฝ้าสังเกตการณ์เขากับเจเรมีผ่านกล้องอยู่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ กลับมา

ดึกขนาดนี้อาจจะผล็อยหลับกันไปหมดแล้วก็ได้ เป็นการสังเกตกาณ์ประสาอะไรเนี่ย!

หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: ตัวอย่าง Ep.06[22/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 28-01-2017 03:42:24
Episode 06: รส กลิ่น สัมผัส[2]

คริสอดบ่นในใจไม่ได้กับการทำงานที่ไร้ความใส่ใจอย่างนี้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับภาพของคนตรงหน้าที่เกลือกกลิ้งกับพื้นอย่างทุรนทุราย เสียงอืออาดังหลุดออกจากปากของเจเรมี ไม่รู้ว่าเจเรมีรู้สึกอย่างไร แต่เดาได้ว่าคงจะทรมานน่าดู และเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้เสียด้วยนอกจากร้องบอก

“รีบเอาหน้ากากไปใส่ซะ”

อย่างน้อยๆ ก็น่าจะทำให้ได้กลิ่นของเขาลดลง ตัวเขาเองน่ะไม่เป็นไรหรอก ถึงตอนได้กลิ่นเจเรมีแล้วจะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวอยู่บ้าง แต่เขาก็ยังมีสติสัมปชัญญะมากกว่าเจเรมีมากโข

ทว่าคำพูดของคริสไม่ได้เข้าหูเจเรมีเลยแม้แต่น้อย อีกฝ่ายเงยใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมามอง ดวงตาเรียวยาวปรือลงเล็กน้อย มองคริสด้วยสายตาหยาดเยิ้มก่อนที่ริมฝีปากสวยจะขยับส่งเสียงแผ่วเบา
“ฉะ... ฉันไม่ไหวแล้ว”

ไม่ไหวเรื่องอะไรไม่ต้องให้ใครมาอธิบาย คริสก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณ

‘ไม่ไหวก็ปล่อยมันออกไป’

คริสอยากจะบอกอย่างนั้นด้วยเห็นว่าครั้งก่อนๆ เจเรมีก็ปลดปล่อยออกมาได้เองโดยไม่ต้องทำอะไร หากแต่ครั้งนี้มันแปลกออกไป เพราะความหมายของประโยคที่ว่าไม่ไหวของเจเรมีไม่ใช่แค่เรื่องนั้นอย่างเดียว แต่เป็นการอดใจไม่ไหวที่จะสัมผัสคริสด้วยซึ่งนั่นมันทำให้คนที่นอนมองอยู่ต้องเบิกตาโพลงเมื่อจู่ๆ ก็เห็นว่าคนที่ต่อสู้กับความกำหนัดตามสัญชาตญาณค่อยๆ พยายามพาร่างกายของตัวเองมาที่เตียง...

เตียงของเขา... ใช่ หมายถึงเตียงของคริส

และทำเรื่องไม่คาดฝันทันใดด้วยการเอื้อมมือสั่นระริกออกมาตรงหน้า พยายามจะปลดตะขอกางเกงของคริสอีกต่างหาก!

เฮ้ยๆ ไร้สติเกินไปแล้ว

คริสมองตามแล้วก็อดคิดอย่างนั้นไม่ได้ แต่เขาเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเมื่ออวัยวะที่คับแน่นภายในถูกปลดปล่อยมาสัมผัสอากาศด้านนอก

ความชูชันและแข็งขืนของความเป็นชายปรากฏสู่สายตาของเจเรมี หากเป็นเวลาปกติ มาเห็นอะไรแบบนี้ เขาคงไม่รอช้า หาอะไรมาฟาดให้คริสเป็นหมันเป็นแน่แท้ แต่วินาทีนี้มันไม่ใช่ เขากลับไม่มีสติมากพอที่จะสำนึกได้ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งไปลูบผิวเนื้ออ่อนๆ บริเวณโคนขา

สัมผัสสากจากอุ้งมือทำให้คริสกัดฟันเล็กน้อยก่อนจะเรียกชื่อคนตรงหน้าออกมา
“เจเรมี...”
หวังจะให้เจเรมีได้สติ หากแต่ไร้เสียงตอบรับจากอีกฝ่าย มีเพียงกลิ่นหอมหวนที่ลอยมาเข้าจมูกเท่านั้นเป็นสัญญาณตอบรับ และกลิ่นก็รุนแรงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมจนเขาต้องเบือนหน้าหนีเพื่อข่มอารมณ์พุ่งพล่านของตัวเองเอาไว้ แต่เจเรมีกลับไม่เห็นใจเลยว่าเขาต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนในการสะกดกลั้นไม่ให้รู้สึกอะไรแบบนี้เมื่อจู่ๆ เจเรมีมือเลื่อนมือที่ลูบไล้โคนขามากอบกุมอวัยวะกลางลำตัวอย่างเต็มไม้เต็มมือ

คริสตวัดดวงตากลับไปมองในวินาทีนั้น สายตาที่มองเจเรมีจะว่าตกอยู่ในอารามตกใจก็ไม่แปลก ในหัวคิดไม่ออกเลยว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไรต่อไป หูทั้งสองข้างได้ยินแต่เสียงของเจเรมีพูดประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ไม่ไหวแล้ว...ทนไม่ไหวแล้ว...”

จากนั้นก็เคลื่อนฝ่ามือรูดรั้งแท่งเนื้ออุ่นร้อนนั่นไปมาอย่างเบามือ คริสถึงกับเกร็งตัวแข็ง ในใจตอบโต้กับประโยคที่เจเรมีพรั่งพรูเป็นพัลวัน

คนที่ทนไม่ได้เห็นจะไม่ใช่นายแล้ว แต่เป็นฉันมากกว่า...

ให้ตายเถอะ เจ้าวายร้ายนั่นคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่!?

นักโทษหนุ่มเบี่ยงตัวเล็กน้อย หมายจะให้ตัวเองหลุดจากการเกาะกุม หรืออย่างน้อยๆ ทำให้เจเรมีรู้สึกตัวสักหน่อยก็ยังดี แต่เสียแรงเปล่าเพราะทันทีที่เขาขยับสะโพกหนี เจเรมีก็ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้...ใกล้เสียจนริมฝีปากแทบจะสัมผัสกับส่วนปลายของบางสิ่งที่กอบกุมอยู่ในมือ คริสมองแล้วคิดอกุศลขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าทำอย่างนั้น หายนะของโลกบังเกิดขึ้นมาเลยนะ!

มันจะบังเกิดตอนเจเรมีรู้สึกตัว ในตอนไม่รู้สึกตัว มีเพียงแต่ความต้องการสุดแรงกล้าเท่านั้นที่พวยพุ่งขึ้นมา และนั่นก็ทำให้สิ่งที่คริสคาดการณ์เอาไว้กลายเป็นความจริง

เรียวปากแตะเบาๆ ที่บริเวณส่วนปลาย วนไล้จนของเหลวสีใสเปรอะริมฝีปากสวยเป็นเส้นยาว ก่อนที่ปลายลิ้นเย็นๆ จะถูกส่งออกมาโลมเลีย และไปถึงขั้นที่ถูกโพรงปากครอบครอง

คริสกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคออย่างยากลำบาก จากตอนแรกที่มีสติ ตอนนี้กระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางแล้ว ริมฝีปากของเขาเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง ลมหายใจกระชั้นมากขึ้นตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเจเรมี เขารู้สึกเหมือนสูบกัญชาเข้าไปเป็นปริมาณมากจนหัวสมองมึนเบลอไปหมด ความวาบหวามจู่โจมเขาเสียจนไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้ ไหนจะกลิ่นอันแสนเย้ายวนของเจเรมีอีก มันทำให้เขานอนไม่ติดเตียงเลย ขนาดถูกมัดตรึงไว้อยู่แม้ๆ ยังเผลอแอ่นสะโพกตอบรับการรุกเร้าของเจเรมีเสียได้

ไม่นานนัก คริสก็รู้สึกว่าถูกจู่โจมอย่างรุนแรง ความอัดอั้นในกายถูกปลดปล่อยออกมาประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ทำเอาเจเรมีสำลักเล็กน้อย เขาไม่อยากทำแบบนี้แต่มันสุดจะทนจริงๆ

“เจเรมี ฉัน...” ปากรีบจะเอ่ยขอโทษถึงจะไม่ใช่ความผิดเขาที่เริ่มก่อน ทว่าก็ต้องกลืนคำพูดทุกอย่างลงไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกลืนหลักฐานของการตอบสนองต่อฟีโรโมนของคู่แห่งโชคชะตาลงคอทุกหยาดหยด มีเพียงมุมปากที่ทิ้งคราบขาวขุ่นเล็กน้อย

เจเรมีใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากลวกๆ สีหน้ากระหายใคร่ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย คริสมองตามแล้วไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอาการฮีทจะทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นคนขาดสติได้ถึงขนาดนี้ แต่จะไปกล่าวโทษเจเรมีก็ไม่ได้ เขาเองก็ผิดที่ไม่ออกปากห้ามตั้งแต่แรก จะอ้างว่าขยับไม่ได้เพราะถูกพันธนาการไว้กับเตียงทั้งตัวมันก็เป็นข้ออ้างสั่วๆ ถ้าเขาเอ่ยปากห้าม เรื่องแบบนี้คงจะไม่เกิด ถึงเจเรมีจะไม่ฟัง แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเขาได้ห้ามแล้ว

แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครมันจะไปต้านทานสัญชาตญาณของตัวเองได้กันล่ะ ยิ่งเจเรมีเป็นคู่แห่งโชคชะตาของเขาด้วยแล้ว แรงต้านทานต่อความเสน่หาก็ลดน้อยถอยลงจนแทบมลายสิ้นไปหมด ทั้งที่เขาเคยสาบานกับตัวเองไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะไม่หลงใหล ไม่เผลอใจ ไม่โอนอ่อนไปกับกลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีแม้ว่ามันจะเย้ายวนแค่ไหนก็ตาม หากแต่พอถูกรุกเร้าเข้ากะทันหันอย่างนี้ คำสาบานก็หลอมละลายสลายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีกำลังทำให้เขาคลั่ง...
และก็คลั่งมากกว่าเดิมเมื่อเจเรมีปรือตามองพลันเรียกเขาเสียงพร่า
“คริส...”

เซ็กซี่ชะมัด ให้ตายเถอะ... เขาตบะแตกโดยสมบูรณ์แล้ว

คริสมองใบหน้าได้รูปของเจเรมีนิ่งๆ ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือดเพราะมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับการปลดปล่อย แต่เขาจะไปช่วยอะไรได้ ทั้งมือทั้งเท้าถูกมัดแน่น ซ้ำยังตรึงอยู่กับเตียงอย่างนี้ ที่ทำได้ก็มีแต่...

“เจเรมี...” เอ่ยเรียกเสียงเบา พลันออกคำสั่ง “มานี่สิ”
ไหนๆ ก็เผลอตัวเผลอใจไปแล้ว ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติเลยก็แล้วกัน

“มานี่เร็ว” ร้องเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจเรมียังทำเฉย
เจเรมีนิ่งไปเล็กน้อยคล้ายกับว่าชั่งใจให้คริสได้เอ่ยเป็นครั้งที่สาม
“ขึ้นมานั่งแล้วขยับเข้ามาใกล้ๆ”

เท่านั้นคนได้รับคำสั่งก็ขึ้นมานั่งคร่อมร่างกายของคริสเอาไว้ ก่อนเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ คริสผงกศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย พอใบหน้าของเจเรมีอยู่ใกล้เพียงคืบก็ถือโอกาสประทับจุมพิตบนเรียวปากที่ใช้สบถคำหยาบคายเป็นประจำ

กลิ่นของคริสลอยเข้าจมูกฉุนกึ้กยิ่งกว่าครั้งใด ความร้อนรุ่นในกายของเจเรมีทวีความรุนแรงมากกว่าเดิมเสียอีก และมันกำลังทำให้เขาเป็นทรมานจนแทบทนไม่ไหว เมื่อคริสพยายามจูบ เจเรมีก็ผงะถอยออกมา ริมฝีปากของทั้งคู่หลุดออกจากกัน เรียกให้หัวคิ้วเรียวสวยของคนด้านล่างขมวดเข้าหากันเป็นปมเล็กน้อย

“อย่าหนี”
“ฉันไม่...”
“อยู่นิ่งๆ อย่าหนี” คริสแทบไม่ฟังเสียงของเจเรมีเลย ออกคำสั่งพลางจ้องด้วยสายตาเรียบนิ่ง

เจเรมีถูกสายตาคู่นั้นสะกด นิ่งค้างราวกับต้องมนตร์ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเชื่อฟังคำสั่งแล้ว คริสถึงได้ออกปากอีกครั้ง
“ขยับเข้ามาใกล้ๆ อีกที”
ราวกับสั่งได้ เจเรมีโน้มใบหน้าเข้ามาอยู่ในจุดเดิมให้คริสได้กระซิบแผ่วเบา

“จากวินาทีนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามขยับเข้าใจไหม”
ไม่มีคำตอบรับจากเจเรมี คริสเองก็ไม่สนใจที่จะรอคำตอบด้วย สิ้นเสียง เขาก็ผงกศีรษะขึ้นมาประกบปากจูบอีกครั้ง กลิ่นของคริสยังคงเข้มข้นเสียจนแทบทำเจเรมีมึนหัว กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีเองก็เช่นกัน ขนาดคริสถึงจุดสิ้นสุดไปแล้วเมื่อครู่ พอได้กลิ่นชัดเจนอย่างนี้ เขาก็รู้สึกร้อนวูบบริเวณช่วงล่างของตัวเองอีกครั้ง

ร้อนจนแทบทนไม่ไหว
ร้อนจนอยากจะกระชากทุกสิ่งที่พันธนาการเขาอยู่ออกและจัดการกับเจเรมีให้รู้แล้วรู้รอด

แต่คนที่ทนไม่ไหวมากกว่าคริสดูเหมือนจะเป็นเจเรมี โลกของเขาหมุนคว้างไปหมดเมื่ออีกฝ่ายดุนดันปลายลิ้นอ่อนนุ่มเข้ามาในโพรงปาก พลันกระหวัดเกี่ยวกับปลายลิ้นของเขาอย่างโหยหา

ความกระหายใคร่พวยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว มือหนาโอเมก้าหนุ่มเลื่อนไปกำคอเสื้อของคู่แห่งโชคชะตาแน่น เขาอยากจะผละออกมา หากแต่พอเคลื่อนหนีเล็กน้อยก็ถูกตามรุกราน

จะหาว่าคริสรังแกก็ไม่ได้ เจเรมีเองก็ไม่ได้ถอยออกมาอย่างเด็ดขาดด้วยลุ่มหลงในกลิ่นหอมรัญจวนของคนตรงหน้า

อยากลิ้มรส
อยากได้กลิ่นมากกว่านี้
อยากสัมผัส
อยากครอบครอง
อยากได้ทุกอย่างที่เป็นของคริส

อยากได้อีก...

สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยให้คริสรุกล้ำอยู่อย่างนั้น หนำซ้ำเจเรมียังเป็นฝ่ายตอบรับทุกสัมผัสของใต้ร่างอีกต่างหาก พอถึงจุดหนึ่งก็กลายเป็นฝ่ายรุกรานคริสแทน รสจูบดูดดื่มของเจเรมีทำให้คริสเริ่มไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ หากแต่สัมผัสได้ว่าร่างกายของเจเรมีร้อนแทบเป็นไฟมากกว่าเดิม ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละริมฝีปากออกไป ซุกหน้าลงบนซอกคอหอมกรุ่น ท่อนแขนทั้งสองโอบกอดศีรษะของเขาพลางส่งเสียงกระเส่าออกมา

ร่างกายที่กระตุกเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าเจเรมีถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เป็นอีกครั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเจเรมีเลยแม้แต่น้อยทว่าอีกฝ่ายกลับถึงจุดหมาย

...ไม่ ไม่ใช่ คริสพูดไม่ได้เต็มปากว่าเขาไม่ได้ทำอะไร

เขาทำไปแล้ว ทำเรื่องที่ไม่สมควรทำเสียด้วย

ได้สติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วนก็ในตอนนี้ ทว่าจะยับยั้งอะไรก็ไม่ทันอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เจเรมีทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดลงบนร่างเขา ฟุบหน้าลงบนหมอนที่คริสหนุนอยู่เป็นที่เรียบร้อย เสียงหายใจกระหืดหอบยังคงดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ

จบแล้วสินะอาการฮีท แต่เรายังไม่จบเลยแฮะ...

คิดพลางเหลือบมองไปยังกลางลำตัวของตัวเองที่ถูกเจเรมีนั่งทับอยู่

ยังแข็งขัน...
ยังคับแน่นอยู่...

มองเห็นท่าทางของเจเรมีที่ส่อไปในทางชวนให้คิดมาก คริสก็ยิ่งรู้สึกร้อนผะผ่าวที่บริเวณส่วนอ่อนไหวนั่นมากกว่าเดิม

จะจัดการกับมันยังไงดีเนี่ย?

จะให้ขอร้องเจเรมีทำแบบเดิมมันก็ใช่เรื่อง ตอนนี้กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีค่อยๆ เจือจางลงแล้วด้วย

แต่มันจะเจือจางเพียงแค่ครู่เดียวแล้วกลับมาเข้มข้นใหม่อีกครั้งหรือเปล่านะ?

ถ้ากลับมา จะขอให้ช่วยอีกได้หรือเปล่า? ครั้งนี้จะใช้แค่มือก็ได้ แต่อยากให้คนทำเป็นเจเรมี

พระเจ้า... มาถึงจุดที่หลงใหลกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าจนกลายเป็นคนมากราคะไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย

คิดแล้วก็อยากทึ้งหัวตัวเองนัก แต่การที่เคลื่อนไหวไม่ได้ก็ทำได้แค่เหลือบมองคนที่นอนทับอยู่บนตัวของเขาซึ่งตอนนี้เข้าสู่นิทรารมย์ด้วยความเหนื่อยอ่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะเหม่อมองเพดานอย่างสิ้นหวังขณะที่อวัยวะกลางลำตัวของเขาก็ยังตื่นตัวชนิดที่ว่าไม่มีท่าทีว่าจะลดน้อยถอยลงเลย

อย่ามาหลับทิ้งกันกลางทางไปอย่างนี้นะ เจ้าโอเมก้าวายร้าย!
------------------------------------
มาแล้ววววว หายไปหลายวันในที่สุดก็มาต่อ แต่เขายังไม่ได้กันค่ะแม่ขา 555 //ยึกยักเหลือเกิน ตบสักที XD
ใจเย็นๆ นะก๊ะ สักวันก็คงจะได้กัน ก๊ากกก ตอนนี้นี่ เขียนไปก็ฟินไป สงสารขุ่นคริสด้วย ถูกทิ้งไว้กลางทางซะงั้น ฮา ไหนๆ ก็ต้องถูกเจมี่ทุบหัวแบะตอนรู้สึกตัวอยู่แล้ว น่าจะได้จัดเต็มเนอะ น่าสงสารเขานะคะ 555
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอัพตัวอย่างตอนต่อไปให้ เนื้อเรื่องจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แล้วก้ะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-01-2017 07:04:57
เจเรมี อย่าตื่นมาฆ่าว่าว่าที่สามีนะ

คริสที่น่าสงสาร  :laugh:

เอ...พวกคนที่มาด้วยวางแผนหรือเปล่า? จะไม่หักหลังกันใช่ไหม?
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 28-01-2017 09:26:30
โถ่.. ป๋าคริสโดนทิ้งค้าง 5555555555

หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 28-01-2017 10:08:11
โดนทิ้งไว้กลางทางเลย 5555555
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 28-01-2017 10:28:57
เฮ้ นายก็ปล่อยไปแล้วรอบนึงนะ!
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-01-2017 10:55:15
ฝ่ายตรงข้ามจะระแคะระคายไหม
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 28-01-2017 13:06:57
 :-[
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-01-2017 15:55:39
นี่ถ้าขุ่นคริสไม่โดนมัดนะ เรียบร้อยไปแล้ววว  :z2:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-01-2017 23:21:09
อ้าว......แล้วคริสน้อยที่โด่เด่ ออกมานอกกางเกง
ใครจะรับผิดชอบละเนี่ย  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 28-01-2017 23:52:45
 :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-01-2017 10:55:38

มาเม้นท์อีกรอบ เจอคำผิดเล็กน้อยจ้า

กลิ่นหอยหวนยั่วยวนนั่นก็รุนแรงมากขึ้นทุกที >> หอมหวน
ข่มอารมณ์พุ่งพล่านของตัวเองเอาไว้ >> พลุ่งพล่าน
ขนาดถูกมัดตรึงไว้อยู่แม้ๆ >> แท้ ๆ
อีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลือด >>> ด เด็กเกินมาจ้ะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 29-01-2017 11:40:41
 :hao7:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 29-01-2017 11:42:41
ชอบคริสอ่า ชอบคนนิสัยแบบนี้ :heaven
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: XXX ที่ 02-02-2017 21:03:21
ทิ้งไว้กลางทาง....
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 03-02-2017 00:01:54
 :hao6:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.06[28/01/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 03-02-2017 23:34:32
[ตัวอย่าง] Episode 07: โอเมก้าเถื่อน

แปะตัวอย่างไว้ก่อนจ้า บอกเลยว่าเรื่องเข้มข้นขึ้นทุกทีแว้ววว
มาอัพต่อวันไหนยังไม่แน่ใจค่ะ เดี๋ยวขอเคลียร์ต้นฉบับอื่นออกก่อน
คิดว่าน่าจะสักช่วงอาทิตย์หน้านะ เจิมรอไว้ก่อนโลดเผื่อมาเร็วงับ XD
--------------------------------

“อ่วมเลยนี่” พูดพลางใช้มือหนาลากไปบนซีกแก้มฟกช้ำจากการถูกของแข็งกระแทก
เจเรมีปรือตาขึ้นมองพลันสะบัดหน้าหนีเล็กน้อย
“เอามือโสโครกนั่นออกไป”

ถึงจะสภาพร่อแร่ แต่ปากยังคงดีเหมือนเดิม ความโอหังไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย คริสก็ไม่ได้อยากจะยุ่งนักหรอกถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่มาแย่งพื้นที่หายใจของเขาในห้องขังอย่างนี้

“ให้ช่วยอะไรไหม” ไม่อยากจะสนใจหรอก แต่สุดท้ายก็ถามออกไป
เจเรมีเหลือบมอง แค่นเสียงต่ำ “อย่าแส่”

ได้... ไม่ยุ่งก็ได้ คริสผละออกมา ไม่สนใจจะเหลียวมองกลับไปอีกเลย นอกจากยกแขนขึ้นในอากาศ ยืดเส้นยืดสายไปตามประสา ทว่าการหันหลังให้กับเจเรมีนั้นเป็นความคิดที่ผิด อีกฝ่ายที่มองอยู่กัดฟันกรอด

ถ้าไม่เป็นเพราะนาย ฉันคงไม่มีจุดจบอย่างนี้หรอก ตายซะเถอะไอ้เวร!

คิดแล้วก็รวบรวมแรงทั้งหมดพุ่งเข้าไปหาคนตรงหน้าทันที เสียงดังตึงตังเรียกให้คริสหันไปมองก่อนจะเอี้ยวตัวหลบได้ทันท่วงทีจนเจเรมีที่พุ่งเข้ามากระแทกเข้ากับลูกกรงเหล็กเต็มๆ

ความเจ็บปวดนั้นไม่ได้ทำให้เจเรมีรับรู้ได้เลย สายตาจับจ้องที่คริสอย่างขุ่นแค้น ใจอยากจะฆ่าคนตรงหน้าให้ตายอย่างเดียวเท่านั้น จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหาอีก

คริสรู้ว่าตัวเองถูกปองร้าย ก็แน่ล่ะ รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ตระกูลเมอร์ซีตกที่นั่งลำบากนี่ ถึงจะไม่ได้เป็นสาเหตุตรงๆ แต่ก็นับว่าใช่เหมือนกัน

พอเห็นเจเรมีพุ่งเข้าหา เขาก็เอี้ยวตัวหลบอีกครั้ง เจเรมีพลาดไประลอก ทว่าคริสไม่พลาด เขาไม่ปล่อยให้หนุ่มผมบลอนด์คนนี้ทำตามใจตัวเองได้อีกต่อไป ทันทีที่เจเรมีพลาดท่า เขาก็ถลาเข้าไปทางด้านหลัง มือคว้าเอาท่อนแขนคนตรงหน้าไว้ก่อนจับมาพับไขว้หลัง ใช้ร่างกายตัวเองดันเข้าหาสุดแรงกระทั่งร่างของเจเรมีชนกับขอบเตียง แค่นั้นยังไม่พอ กดอีกฝ่ายให้ลงไปนอนกับฟูกด้วยการทิ้งตัวล้มทับอีก

เจเรมีร้องดังอั้ก พยายามจะเงยหน้าขึ้นมา ทว่าก็ถูกมือข้างหนึ่งของคริสกดที่ท้ายทอยแนบลงไป เรียกได้ว่าสภาพของเขาในตอนนี้ไม่สามารถขยับได้เลย

“ปล่อยนะเว้ย...อึ่ก”
ถึงจะขยับไม่ได้ก็ยังพยายามจะดิ้นรนทำให้คริสต้องออกแรงเพิ่มอีก ดีที่เขาตัวใหญ่กว่าเจเรมีอยู่พอสมควร ไม่อย่างนั้นคงจะเอาอีกฝ่ายไม่อยู่

คนอะไร บ้าดีเดือดเหลือเกิน

ทิ้งตัวกดทับอยู่อย่างนั้น กะให้เจเรมีหยุดคลั่งถึงจะปล่อย หากแต่ความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้เจเรมีอยู่นิ่งได้เลย เขายังคงขัดขืน พยายามดันคริสออกจากแผ่นหลัง โวยวายเสียงดังจนคริสชักจะรำคาญ
“ถ้านายหายบ้าเมื่อไหร่ ฉันจะปล่อย”
“ฉันหลุดไปได้เมื่อไหร่ นายตายแค่คริส ฟ็อกซ์!”
“ทำตัวดีๆ หน่อยน่า ยังต้องอยู่ด้วยกันอีกนานนะ”
“ไปตายซะ!”

คริสกลอกตา พูดอย่างไร เจเรมีก็ไม่ลดความคลั่งลงได้เลย เขาจึงต้องออกแรงเพิ่ม คราวนี้เจเรมีหยุดก่นด่าได้ฉับพลัน กลายเป็นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดแทน

“บอกให้อยู่เฉยๆ ทำตัวดีๆ เข้าไว้แล้วจะดีเอง”

ใครมันจะไปเชื่อฟังวะ!

เจ็บใจ... ไม่เคยเจ็บใจอย่างนี้มาก่อน เขาเคยเป็นที่หนึ่งของคลาสเรียนวิชาศิลปะป้องกันตัวหรือการต่อสู้อะไรพวกนั้น หากแต่พอมาเจอคริส เขากลับพ่ายแพ้สิ้นรูป

การต่อสู้ตรงๆ คงจะใช้ไม่ได้กับคริสสินะ!?

ในหัวคิดแผนสกปรกเพื่อเอาคืนเป็นพัลวัน คริสรู้อยู่ว่าคนลักษณะอย่างเจเรมีคงจะไม่ยอมง่ายๆ ถ้าเขาเผลออีกเมื่อไหร่ มีหวังคงได้จู่โจมเป็นแน่ ดังนั้นวิธีที่จะทำให้เจเรมีตระหนักว่าการเล่นกับเขามันไม่สนุกก็คือ...

“อย่าลืมว่าฉันอยู่มาก่อน เป็นนักโทษความประพฤติดี สนิทกับผู้คุมขนาดนี้จะบอกให้เขาไม่จ่ายยาให้นายก็ได้”

ได้ยินก็เหลือบไปมองด้วยสายตาก้าวร้าว พอเห็นคริสจ้องอยู่ก็แทบอยากจะจับอีกฝ่ายโขกกับข้างฝาให้ตายคามือ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ดิ้นขลุกขลักอีกครั้ง พอดิ้นไม่หลุดก็แผดเสียง

“สารเลวเอ๊ย!”
จากนั้นก็ถูกคริสออกแรงกดลงกับฟูกอีกครั้ง พลันส่งเสียงขู่อีกครั้ง
“ถือว่าเตือนแล้วนะ ถ้านายไม่ฟัง ตอนนายเป็นฮีท ฉันจะไม่ออมมือ เป็นคู่แห่งโชคชะตาของฉันด้วยไม่ใช่เหรอ คิดว่าจะฝืนสัญชาตญาณไปได้ง่ายๆ หรือไง” ใช้ความเป็นโอเมก้าของเจเรมีเป็นเครื่องมือต่อรอง

เจเรมีกัดฟันกรอดจนเส้นเลือดบริเวณกรามปูดโปน

ไอ้ทุเรศ!

ในใจก่นด่าคริสออกมานับไม่ถ้วน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาสู้คริสไม่ได้ ไม่ว่าจะการเคลื่อนไหวหรือทักษะในการต่อสู้ แค่ปะมือการครู่เดียวก็ดูออกแล้ว

ใช่... สู้ไม่ได้ถ้าหากสู้กันตรงๆ แต่ถ้าใช้วิธีสกปรกมันก็พอมีทางอยู่

 “เงียบอย่างนี้ ถือว่ายอมรับข้อเสนอ” คริสว่าเองเออเองเมื่อเห็นว่าเจเรมีหยุดดิ้นแล้วก่อนจะถอยออกมา
เจเรมีร้องโอดโอยอีกที การขยับแขนให้กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมมันสร้างความปวดร้าวให้เขานัก ขณะที่คริสทำเพียงเหลือบมองเฉยๆ แล้วทิ้งตัวลงบนพื้น ทำท่าจะวิดพื้น หากแต่พอรู้สึกตัวว่าถูกสายตาเกรี้ยวกราดของเจเรมีมองอยู่ก็ร้องถาม

“วิดพื้นด้วยกันไหม?”

มีโอกาสเหมาะเมื่อไหร่จะฆ่าให้ตายเลยคอยดู!
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 ตัวอย่าง[03/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: orange_object ที่ 05-02-2017 02:33:53
ชอบมากค่ะ ติดตามมาพักนึงแล้วเรื่องชุดนี้ตอนนี้มีกี่เรื่องค่ะ ที่ตามอ่านตอนนี้มีอยู่ 2 เรื่อง คริสกับเจมี /ลูเช่ เหมือนเคยเห็นผ่านตาแวบๆว่ามีอีก
เข้าสู่เรื่องราว บอกเลย ชอบมากกกกกกก สนุกมากกกกก งานแท้พรีเมี่ยม ติดเลย
เห็นโลก ที่มาที่ไปของเรื่องราว บรรยากาศของเรื่อง คนเขียนเก่งจังเลยค่ะ
ตอนเจมี่ฮีทนี่อ่านไปใจเต้นตึกตักทุกครั้งเลย/จะได้กันยัง 55555 คริสก็เท้เท่ ความคิดดี มีเหตุผล แต่ชอบเวลาตบะแตกมากกว่า อร้าย~
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 ตัวอย่าง[03/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: orange_object ที่ 05-02-2017 02:41:20
//ไม่เข้าใจทำไมมันตัด ดูในมือถือมันขึ้นไม่ครบ ไม่รู้ในคอมขึ้นครบหรือเปล่า

ทางฝั่งนั้น(ลูเช่) เป็นเรื่องของสงคราม ไม่รุ้ฝั่งนี้จะไปถึงนั่นรึ้ปล่า แต่ดูซับซ้อนคลุกวงในเกมการเมืองกว่าเยอะ นั่นก็นักโทษการเมือง นี่ก็โอเมก้าที่ถูกตระกูลตัวท็อปปกปิดไว้ แถมสร้างศัตรูไว้ทั่วอีก เจมี่เอ้ยยย ดูแบคกราวด์แล้วแลดูคู่นี่จะระหกระเหินชอบกล หวั่นใจมาก จะเป็นไงกับชะตาชีวิตเจมี่ต่อไป/เชียร์ให้เจมี่ได้เป็นใหญ่เป็นโตอยู่นะ ทางฝั่งคริส นั่นเจ้าชายนะมันต้องมีกองกำลังอะไรซ่องสุมไว้บ้างสิ  คราวนี้ล่ะ เจมี่ไปไหนไม่รอดแน่ เอ้ย! 555555

ปล มีแผนผังแผนที่อะไรก็ดีนะคะ เวลาเรื่องมันเชื่อมกันแล้วมันจะเชื่อมกันใช่ไหมหว่าา??
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 ตัวอย่าง[03/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 05-02-2017 09:45:00
ต๊ายยยย เจเรามี่ หนูจะมาอยู่ห้องเดียวกะพี่คริสแล้วหรอออ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 ตัวอย่าง[03/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 05-02-2017 13:22:07
เพิ่งตามอ่าน  :hao6: สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 ตัวอย่าง[03/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 05-02-2017 21:52:03
ชอบมากค่ะ ติดตามมาพักนึงแล้วเรื่องชุดนี้ตอนนี้มีกี่เรื่องค่ะ ที่ตามอ่านตอนนี้มีอยู่ 2 เรื่อง คริสกับเจมี /ลูเช่ เหมือนเคยเห็นผ่านตาแวบๆว่ามีอีก
เข้าสู่เรื่องราว บอกเลย ชอบมากกกกกกก สนุกมากกกกก งานแท้พรีเมี่ยม ติดเลย
เห็นโลก ที่มาที่ไปของเรื่องราว บรรยากาศของเรื่อง คนเขียนเก่งจังเลยค่ะ
ตอนเจมี่ฮีทนี่อ่านไปใจเต้นตึกตักทุกครั้งเลย/จะได้กันยัง 55555 คริสก็เท้เท่ ความคิดดี มีเหตุผล แต่ชอบเวลาตบะแตกมากกว่า อร้าย~

เรื่องนี้เล่มเดียวจบค่า ไม่มีเล่มต่อในซีรีส์ค่า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 ตัวอย่าง[03/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 05-02-2017 21:54:41
//ไม่เข้าใจทำไมมันตัด ดูในมือถือมันขึ้นไม่ครบ ไม่รู้ในคอมขึ้นครบหรือเปล่า

ทางฝั่งนั้น(ลูเช่) เป็นเรื่องของสงคราม ไม่รุ้ฝั่งนี้จะไปถึงนั่นรึ้ปล่า แต่ดูซับซ้อนคลุกวงในเกมการเมืองกว่าเยอะ นั่นก็นักโทษการเมือง นี่ก็โอเมก้าที่ถูกตระกูลตัวท็อปปกปิดไว้ แถมสร้างศัตรูไว้ทั่วอีก เจมี่เอ้ยยย ดูแบคกราวด์แล้วแลดูคู่นี่จะระหกระเหินชอบกล หวั่นใจมาก จะเป็นไงกับชะตาชีวิตเจมี่ต่อไป/เชียร์ให้เจมี่ได้เป็นใหญ่เป็นโตอยู่นะ ทางฝั่งคริส นั่นเจ้าชายนะมันต้องมีกองกำลังอะไรซ่องสุมไว้บ้างสิ  คราวนี้ล่ะ เจมี่ไปไหนไม่รอดแน่ เอ้ย! 555555

ปล มีแผนผังแผนที่อะไรก็ดีนะคะ เวลาเรื่องมันเชื่อมกันแล้วมันจะเชื่อมกันใช่ไหมหว่าา??

เรื่องลูเช่ไม่ใช่ของหนูแดงค่า ของหนูแดงมีแค่เรื่องนี้น้า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 ตัวอย่าง[03/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 05-02-2017 22:08:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 ตัวอย่าง[03/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 07-02-2017 02:50:18
Episode 07: โอเมก้าเถื่อน[1]

หลับลึกถึงขีดสุด กว่าเจเรมีจะรู้สึกตัวก็เล่นเอาสายของวันใหม่ ความอึดอัดจากการนอนเบียดกับวัตถุขนาดใหญ่บางอย่างบังคับให้เขาต้องฝืนลืมตาตื่นขึ้น พอความงัวเงียหายไปถึงสังเกตได้ว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวเขาไม่เหมือนกับเตียงที่เขาใช้นอนก่อนหน้า
มันเหมือนกับว่าข้างฝาอยู่คนละฝั่งกันอย่างไรอย่างนั้น...

ก็แน่ล่ะ ที่เขานอนอยู่มันไม่ใช่เตียงของเขานี่ และเจเรมีก็ได้คำตอบเมื่อสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากวัตถุข้างกาย เบนสายตาไปมองก็เห็นซีกหน้าคร้ามของใครบางคนที่คุ้นตาดีนอนหลับอยู่

เรามานอนอยู่ที่นี่ได้ไง?

ในหัวคิดวุ่นไปหมด เผลอคิดไปแล้วว่าอาจจะเป็นผลข้างเคียงจากยาระงับอาการฮีทที่ถูกฉีดเข้ามาก็เป็นได้ทำให้เขาทำอะไรลงไปโดยไม่รู้สึกตัวอย่างนี้ หากแต่มันไม่ได้สำคัญกับเขาสักเท่าไหร่นักด้วยรู้ดีอยู่แล้วว่าอาจจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ ที่เขาสนใจที่สุดในตอนนี้ก็คือ...

ทำไมเขาถึงต้องมานอนอยู่ข้างๆ คริสด้วย?

ซ้ำยังนอนอยู่ด้านในของเตียงที่ติดกับกำแพงอีก

อึดอัดเป็นบ้า ถูกเบียดจนตัวจะแบนอยู่แล้ว!

ท่อนแขนที่ขนาบอยู่ข้างลำตัวเมื่อยขบไปหมด เขาดันตัวลุกขึ้นนั่ง หมายจะออกไปจากซอกแคบๆ นี้ให้เร็วที่สุดเพื่อไปยืดเส้นยืดสาย ถึงจะน่าหงุดหงิดที่มาอยู่อย่างนี้โดยไม่รู้ตัว แต่อย่างน้อยก็ถือว่าดีอยู่อย่างที่การทดสอบตัวยาอะไรนั่นสิ้นสุดลงเสียที

ทว่าในจังหวะที่เจเรมีลุกขึ้นนั่งนั้น ดวงตาสีฟ้าสวยก็เหลือบไปมองคริสที่นอนหลับตานิ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ อีกฝ่ายยังคงนอนหงายในท่าทางเดิม ลำตัวถูกมัดแน่น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ก็ทำให้เจเรมีเบิกตาโตขึ้นมาได้ทันทีที่สังเกตเห็นว่ามีสิ่งปกติปรากฎให้เห็นตำตา

กางเกง!

กางเกงของหมอนี่ถูกถอดลง!?

จะว่าเป็นการถอดก็ไม่ใช่ คล้ายกับว่าถูกถลกและกระชากออกอย่างไรก็ไม่รู้ อะไรไม่ว่า อวัยวะกลางลำตัวของคริสที่ชูคอให้เห็นมันทำให้เจเรมีเสียวสันหลังวาบขึ้นมา

หรือว่าเมื่อคืนนี้ที่มานอนอยู่ตรงนี้ได้จะเป็นเพราะ...

ไม่กล้าถามตัวเองต่อเลย ถึงถามไปก็ไม่รู้เพราะเขาจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด ภาพความทรงจำในหัวเลือนรางมาก พยายามเค้นก็นึกขึ้นได้แต่เพียงว่าเขามีอาการเป็นฮีทแสดงออกมาเล็กน้อย คริสเลยบอกให้รีบไปเอาหน้ากากกรองสารพิษมาสวมให้ตน จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไปคล้ายกับภาพถูกตัด

แต่ไม่รู้ทำไมถึงมั่นใจว่าเขาไม่ได้สลบไปตอนนั้น ภาพที่ถูกตัดมันน่าจะเป็นเหตุการณ์บางอย่างหายไประหว่างที่เขาตกอยู่ในอาการฮีทมากกว่า ยิ่งเห็นสภาพของคริสแบบนี้แล้ว ก็ไม่อยากจะเดาเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

มันก็ต้องเป็นเรื่องบัดซบสุดกู่อยู่แล้ว!

เท่านั้นความเดือดดาลก็พร่างพรายขึ้นมาทั่วร่างของเจเรมีทันที เขายื่นมือไปผลักร่างของคริสเต็มแรง พออีกฝ่ายลืมตาตื่นก็แผดเสียงลั่น

"นายทำเวรอะไรกับฉัน!"

คริสแสร้งทำท่าเหมือนงัวเงียแต่แท้จริงแล้วเขาไม่ได้หลับ เพียงแต่แสร้งหลับมาจนถึงเมื่อครู่นี้ ทั้งหมดก็เพราะรอให้เจเรมีเป็นฝ่ายตื่นก่อนเพื่อหนีข้อกล่าวหาว่าทำอะไรเจเรมีตอนที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัว หากแต่เขาคงลืมคิดไปว่าไม่ว่าจะทำอย่างไร เขาก็หนีข้อกล่าวหานี้ไม่พ้น หลักฐานมันตำตาอยู่อย่างนี้จะรอดสถานะผู้ต้องสงสัยไปได้อย่างไร

“ทำอะไร” กระนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
เจเรมีเห็นการตีหน้าซื่อนั่นแล้วก็หงุดหงิดมากกว่าเดิม โวยวายเสียงดังจนแทบจะทะลุไปยังห้องอื่น
“ก็ทำอะไรที่มันถอดกางเกงล่ะ ไอ้เวรเอ๊ย! อาศัยจังหวะตอนฉันเป็นฮีทใช่ไหม!?”

มีคำตอบอยู่ในใจแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังจะถาม
คริสซึ่งนอนอยู่ท่าเดิมเหลือบตามองคนขี้โวยวายพลางถอนหายใจ
"ถูกมัดอยู่อย่างนี้จะไปทำอะไรนายได้ยังไง"

ตอนนี้ขี้เกียจที่จะแกล้งตีหน้าซื่อแล้วล่ะเพราะไม่อยากเสียเวลาเถียงกับคนข้างๆ

ไม่หรอก...ไม่ใช่ไม่อยากเสียเวลา เขาไม่อยากพาตัวเองไปอยู่ในจุดเสี่ยงมากกว่านี้ต่างหาก พูดก็พูดเถอะ การที่น้องชายของเขาชูชันอยู่อย่างนี้มันไม่ได้เป็นเพราะเขาเพิ่งตื่นนอนและมันก็ผงาดง้ำตามธรรมชาติ แต่เป็นเพราะร่างกายของเขายังคงตอบสนองกับกลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีแม้ว่ากลิ่นนั้นมันจะหายไปแล้ว

เรียกได้ว่ากลิ่นฝังแน่นฝังลึกอยู่ในระดับจิตใต้สำนึกเลยทีเดียว ซึ่งมันเสี่ยงมากๆ ที่จะกลายเป็นหมันหรือสูญพันธุ์ได้ถ้าหากว่าเจเรมีทำอะไรไม่คาดคิดขึ้นมา

หากแต่การที่ตอบไปอย่างนั้นไม่ได้ทำให้เจเรมีหยุดไตร่ตรองใดๆ ได้เลย แค่เห็นว่าคริสไม่ได้อยู่ในสภาพปกติก็ร้องโวยวายออกมาไม่หยุด เค้นถามอีก

"แล้วกางเกงสารเลวของนายมันหลุดออกไปได้ยังไงวะ ไหนจะไอ้จ้อนนั่นอีก! หมายความว่ายังไง!" สารพัดคำหยาบหลุดออกจากกลีบปากสีสวยนั่นด้วย

คราวนี้คริสหลุบตามองต่ำไปยังกลางตัวของตน ท่อนเนื้อใหญ่เต็มไม้เต็มมือยังคงตั้งตระหง่าน
“ก็เพิ่งตื่นนี่นะ”
ตอบคนละคำถามแล้ว เจเรมีไม่ได้อยากรู้ว่ามันจะผงกศีรษะเงยหน้าท้าลมทำไม แต่อยากรู้ว่าเขาตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไรต่างหาก

ทว่านั่นเป็นคำถามที่ควรจะถามเจเรมี ไม่ใช่ถามคริส

“อย่ามากวนฉัน” เจเรมีขู่เสียงต่ำเมื่อไม่ได้คำตอบที่ตนต้องการ

คริสพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย อยากจะให้เขาตอบว่าตนเป็นฝ่ายกระทำเจเรมีอย่างนั้นแล้วจะถามทำไม แสดงท่าทางออกมาว่าจะยัดเยียดข้อหากันขนาดนี้แล้วก็ไม่ต้องเอ่ยปากถามให้เสียเวลาหรอก

"ว่าไง ตกลงจะบอกได้หรือยังว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น!?" แต่เจเรมีก็ยังคาดคั้น

คริสเบนหน้าหันไปมองเจเรมีที่โวยวายไม่เลิก คิดในใจว่าปิดบังไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจึงเอ่ยปาก
"จำไม่ได้เลยเหรอ?"

กะว่าจะค่อยๆ อธิบายไปทีละฉากถ้าหากว่าเจเรมีพอจำอะไรได้บ้าง ทว่ากลับถูกเจเรมีตะคอกใส่เสียงดังลั่น

"อย่ามาถามฉันคืน ตอบคำถามมาไอ้สวะ!"

ให้ตายเถอะ ไม่มีทีท่าว่าจะฟังอะไรเลย แต่ก็ช่าง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ใช่ความผิดเขานี่ ไม่ได้เริ่มก่อนสักหน่อย การที่น้องชายของเขาออกมาท่องโลกกว้างอย่างนี้ก็ไม่ใช่ความผิดเขาด้วยเช่นกัน ถ้าจะโทษว่าเป็นความผิดของใครสักคนก็ต้องโทษคนที่โวยวายไม่เลิกต่างหาก

แต่คนโวยวายตั้งแง่ใส่เขาอย่างนี้แล้ว ดูท่าจะไม่ยอมรับความผิดง่ายๆ อย่างนี้คงต้องรื้อความทรงจำให้กันเสียหน่อย
"ถ้านายจำไม่ได้จริงๆ ล่ะก็ งั้นฉันขอถามก็แล้วกัน”
หัวคิ้วของเจเรมีชนเข้าหากันทันควัน ปากเกือบจะขยับขึ้นถามแล้วว่าจะถามอะไร หากแต่คริสก็สวนขึ้นมาเสียก่อน
“เมื่อคืนนี้หิวมากไหม”
“ถามบ้าอะไรของนาย”
“อยากรู้” คริสว่าเนิบๆ ยิ่งทำให้เจเรมีหน้านิ่วคิ้วขมวดมากขึ้นไปอีก
“อย่ามากวนอารมณ์ฉันนะเว้ย!”

ถูกขู่ไปแล้วแทนที่คริสจะยอมฟัง หากแต่เขาทำนิ่ง ถามคำถามใหม่ขึ้นมาอีก
“แล้วเมื่อคืนนี้ ที่กินเข้าไปมันอร่อยไหมล่ะ”

อร่อยอะไรวะ...

ตั้งใจจะกวนประสาทกันใช่ไหม!?

ไม่ตอบคำถามเสียที เอาแต่ถามยอกย้อนไปมา มันทำให้ความอดทนของเจเรมีถึงขีดสุด ลุกพรวดขึ้นจากเตียงพลันยื่นมือไปจับลำคอแกร่งของคริสมั่น

“อย่ามาโยกโย้ รีบตอบคำถามฉันมาว่าเกิดอะไรขึ้น” คราวนี้ไม่ได้ตะคอกแต่เป็นการกดเสียงต่ำขู่
แรงบีบที่ถูกกดเข้ามายังลำคอทำให้คริสต้องเกร็งกล้ามเนื้อเอาไว้เพื่อขัดขืน

“ถ้านายยังไม่อยากตายในสภาพทุเรศๆ อย่างนี้ก็บอกฉันมาว่าไอ้จ้อนของนายมันโผล่หัวออกมาอย่างนี้ได้ยังไง”
ตอนนี้ไม่ใช่แค่บีบคอของคริสแล้ว มืออีกข้างก็บีบน้องชายสุดที่รักของคริสแล้วเช่นกัน

ถ้าบีบแค่คอ คริสจะไม่สนใจอธิบายใดๆ ให้เสียพลังงาน แต่พอกล่องดวงใจถูกจับเป็นตัวประกัน เขาก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา
“ถ้าฉันเล่าให้ฟังแล้ว อย่าโมโหไปมากกว่านี้ก็แล้วกัน”

แน่นอนว่าการพูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะกลัวว่าเจเรมีจะโกรธเขา แต่กลัวจะขาดสติแล้วกระชากอวัยวะแห่งความเป็นชายของเขาหลุดติดมือกลับบ้านไปด้วยมากกว่า

เจเรมีแสยะยิ้มร้าย เป็นรอยยิ้มเหี้ยมโหดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย
“มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคำพูดของนายเข้าหูฉันหรือเปล่า”

มันจะไปเข้าหูได้อย่างไรกันเล่า ให้เล่าว่านายใช้ปากทำออรัลเซ็กส์ให้ฉันน่ะ

คริสคิดในใจ กะว่าจะพูดอ้อมๆ ด้วยคำพูดที่สวยหรู จะได้ไม่ทำร้ายจิตใจอันบอบบางของเจเรมีมาก ทว่าแรงจุดเสียดที่พุ่งพล่านเข้ามาจากการถูกบีบท่อนเนื้อกลางลำตัวมันทำให้เขาลืมสิ้นความคิดนั้นไปหมด

“บอกมาเดี๋ยวนี้...” เสียงขู่ต่ำดังแว่วมาให้ได้ยินอีกแล้ว
คริสกลืนน้ำลายเอื้อก ข่มความเจ็บปวดพลันเผยอริมฝีปาก
“แน่ใจนะว่าจะรับได้”
“รับได้อะไร”
“เล่าให้ฟังแล้วอย่าโกรธนะ”

ยังมีหน้ามาพูดราวกับว่าตอนนี้เจเรมีไม่โกรธเคืองอะไรอย่างไรอย่างนั้นแหละ

“เลิกเล่นลิ้นแล้วพูดมาสักที!” หมดความอดทนจริงๆ แล้ว
คริสจึงไม่ยืดเวลาอีกต่อไป มองหน้าอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะเล่าออกมา
“เมื่อคืนนี้นายมีอาการฮีท แล้วฉันก็ได้กลิ่นของนายเลยขอให้ช่วยเอาหน้ากากกรองสารพิษมาใส่เพื่อจะได้ไม่ตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมน”
“แล้ว?”
“นายก็ไปหยิบหน้ากากมาให้ฉัน จากนั้นก็ฟุบลงไปกับพื้น”

ได้ยินอย่างนั้น ภาพความทรงจำรางเลือนก็ปรากฏเข้ามาในหัวเล็กน้อย พอจะจำได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เหตุการณ์หลังจากนี้สิ เขายังนึกไม่ออกเลย

“แล้วยังไงต่อ”
“ความจริงมันก็ไม่ยังไงหรอก นายก็แค่สูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง พุ่งเข้ามาถอดกางเกงฉัน แล้วก็ใช้ปากทำให้ฉันเสร็จไปครั้งนึง”

การพูดตรงๆ ของคริสที่ดังออกมาให้ได้ยินอย่างไม่ทันตั้งตัวทำเอาเจเรมีหน้าชา พูดอะไรไม่ออกไปอึดใจหนึ่งเลยทีเดียว กว่าจะรู้ตัวว่าได้ยินอะไรก็ตอนที่คริสเอ่ยประโยคใหม่ขึ้น

“แล้วนายก็กลืนกินทุกอย่างของฉัน ต่อจากนั้นนายก็เสร็จ”
“หุบปากได้แล้ว!”

ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากฟัง ขยะแขยงเป็นบ้า!

ภาพความทรงจำชัดเจนในหัวทันที เห็นเป็นฉากๆ ในวินาทีนี้เลย อะไรไม่ว่า ในลำคอก็เกิดรู้สึกได้ถึงรสชาติเฝื่อนๆ เสียอย่างนั้น

เวรเอ๊ย! นี่เรากลืน... ของมัน...

อะ...ไอ้ทุเรศ!

แค่คิดว่าเอาปากไปครอบครองท่อนเนื้อตระหง่านนั่นก็แทบจะทึ้งผมตัวเองให้หลุดออกมาเป็นกระจุกอยู่แล้ว พอมารู้ว่าไปกลืนกินทุกหยาดหยดนั่นอีกก็แทบจะโขกกำแพงให้ตาย และเขาเชื่อว่าคริสไม่ได้โกหกด้วย ก็จู่ๆ เมื่อกี้เขาจำได้ขึ้นมาน่ะว่าทำอะไรลงไปบ้าง

อาการฮีททำไมมันถึงได้อันตรายขนาดนี้!?

ไม่ได้อันตรายเพราะเกิดอารมณ์กำหนัดด้วยนะ อันตรายเพราะเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ต่างหาก พอตั้งสติได้ก็ส่งสายตากินเลือดกินเนื้อไปให้คริสที่นอนมองอยู่

“บอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่ความผิดฉัน ห้ามแล้วแต่นายไม่หยุดเอง”

ก็พอจะรู้อยู่ว่าคริสคงไม่ยินดีที่เขาไปกระชากกางเกงออกแล้วสวาปามน้องชายที่รักอย่างหื่นกระหายหรอก แต่คริสเองก็ไม่ได้เล่าทั้งหมดเหมือนกันโดยเฉพาะเรื่องตอนที่จูบกับเจเรมี

จะไปเล่าทำไมล่ะ เล่าไปมีหวังได้คริสน้อยได้ถึงกัลปวสานอย่างแน่นอน

และท่าทางเจเรมีก็ไม่อยากจะได้ยินว่าตัวเองสร้างวีรกรรมอะไรเอาไว้แล้วด้วย ได้ยินแค่นั้น เขาก็แทบจะกลายร่างเป็นปีศาจอยู่แล้ว

“หุบปากไปเลยไอ้สวะขี้คุก!”
มือทั้งสองข้างสะบัดออกจากคริส ในหัวไม่คิดที่จะทำร้ายอะไรอีกฝ่ายแล้ว ตอนนี้เขาอยากจะออกไปให้พ้นจากห้องนี้มากกว่า พลันหงุดหงิดพวกทีมแพทย์ด้วยที่ไม่เข้ามาห้ามปรามอะไรทั้งที่กล้องก็ติดไว้

ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะเห็นนี่ว่าเกิดอะไรขึ้น? มันควรจะเข้ามาขัดขวางหรือล้มเลิกการทดสอบตัวยาอะไรนั่นสิ!
แต่นั่นไม่สำคัญอะไรแล้ว เจเรมีรีบจัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่ หงุดหงิดไปอีกครั้งจนต้องสบถออกมาเมื่อรู้สึกถึงความไม่สบายตัวบริเวณเป้ากางเกง

ไอ้ลูกไม่รักดีนี่ก็จะหลั่งออกมาเพราะไอ้เวรตะไลนั่นทำไม!

ชั่วแวบหนึ่งเกิดอยากจะตัดอวัยวะชิ้นนั้นทิ้งให้รู้แล้วรู้รอด หากแต่สิ่งที่เขาทำคือการอาละวาดและหุนหันออกจากห้องนั้นไป ทิ้งให้คริสนอนมองอยู่ด้านหลังประตูที่ถูกปิดกระแทกเสียงดังสนั่นอย่างเดียวดาย พลางถอนหายใจกับความเจ้าอารมณ์ของเจเรมีออกมา

แต่ก็ช่าง ไม่ใช่ความผิดของเขานี่

ไม่ได้เริ่มก่อน... แค่ตอบสนองเล็กๆ น้อยๆ ไม่ผิดหรอก...





 
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 ตัวอย่าง[03/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 07-02-2017 02:55:55
Episode 07: โอเมก้าเถื่อน[2]

เจเรมีแทบจะพุ่งหลาวลงจากในช่องลิฟต์แทนการลงลิฟต์ ยังดีที่เขาพอจะมีสติในการควบคุมอารมณ์ตอนนี้อยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเขาคงได้กลายเป็นศพก่อนที่จะได้เชือดพวกทีมแพทย์ที่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเขา

แต่จะไปบุกทะเล่อทะล่าเข้าไปที่ห้องซึ่งพวกทีมแพทย์ใช้พำนักอยู่เลยก็ไม่ได้ เขากลัวว่าตัวเองจะเผลอพลั้งมือสร้างเรื่องเดือดร้อนให้กับครอบครัวอีกจึงขอกลับไปตั้งหลักที่บ้านและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจอโรมฟังก่อน จากนั้นค่อยว่ากันอีกทีว่าจะจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร

ที่แน่ๆ เขารู้อยู่อย่างเดียวคือ...พวกทีมแพทย์สารเลวพวกนั้นต้องชดใช้อย่างสาสม!

ขายาวก้าวออกจากลิฟต์ทันทีที่มาถึงชั้นล่าง เขาเดินผ่านหน้าล็อบบี้อย่างรวดเร็วขณะที่พนักงานต้อนรับเหลือบเห็นเขาและร้องทักเอาไว้

“คุณลูกค้าพักอยู่ที่ห้องชั้นสามหรือเปล่าครับ”
“มีอะไร” เจเรมีหันไปย้อนถามเสียงแข็ง ทำเอาอีกฝ่ายหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อถูกมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“คือ...ถ้าจะไปแล้วก็รบกวนเช็กเอาต์ออกทีครับ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”

เจเรมีเหลือบมองไปยังนาฬิกาดิจิตอลบนผนัง เห็นว่าใกล้จะเที่ยงก็จำใจเดินไปยังเคาน์เตอร์

อย่างน้อยการเช็กเอาต์ออกก่อนเวลาก็ทำให้ไอ้พวกเวรที่ยังอยู่ในนั้นต้องเสียเงินค่าปรับที่อยู่เกินเวลาเพิ่ม
เอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ได้ เขาก็ไม่เกี่ยง ขอให้ได้เอาคืนสักหน่อยเถอะ!

พนักงานต้อนรับยื่นกระดาษใบหนึ่งมาให้เจเรมีเซ็น เขารับปากกามาจรดลายเซ็นตัวเองลงไปก่อนจะส่งกลับคืน อีกฝ่ายร้องบอกให้เขารอสักครู่เพื่อที่จะตามพนักงานอีกคนให้ขึ้นไปสำรวจความเรียบร้อยบนห้องพัก ปล่อยให้เจเรมียืนรอ
เจเรมีพยายามอดทนรอทั้งที่ใจอยากจะไปให้พ้นจากตรงนี้ สายตาเหลือบไปมองยังหน้าจอโทรทัศน์ที่กำลังรายงานข่าว กะว่าดูเพลินๆ จะได้ใจเย็นลงบ้าง

“ทางตำรวจได้จับกุมตัวโอเมก้าซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีฆาตรกรรมเมื่อสัปดาห์ก่อนได้แล้วเมื่อเช้าวันนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานว่าพบผู้ต้องหาซึ่งก็คือนายลูก้า ไม่ทราบนามสกุล ซ่อนตัวอยู่ในละแวกสลัมไม่ปรากฏชื่อบริเวณชานเมือง หลังจากนี้จะเข้าสู่กระบวนการฝากขังและตัดสินคดีความ คดีในครั้งนี้นับว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์ของผู้ต้องหาที่เป็นโอเมก้า หากมีความคืบหน้าใดๆ ทางสำนักข่าวจะรายงานผลให้ทราบต่อไป...”

ในจอโทรทัศน์ฉายภาพผู้ต้องหาซึ่งมีเสื้อคลุมบังศีรษะอยู่ถูกจับใส่กุญแจมือและบังคับให้ขึ้นรถตำรวจ เจเรมีมองแล้วก็รู้สึกคุ้นตาอย่างแปลกประหลาด หากแต่เอะใจกับข่าวนี้มากกว่าด้วยพอจะจำได้ว่ามันเป็นคดีที่ได้รับการพูดถึงเป็นอย่างมากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

คดีฆ่าคนตายที่ผู้ต้องหาเป็นโอเมก้า... ว่ากันว่าเหยื่อที่ถูกฆ่าเป็นอัลฟ่าจากตระกูลระดับกลางตระกูลหนึ่ง สภาพศพถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหดเลยทีเดียว

หากแต่เจเรมีไม่มีเวลามาสนใจสักเท่าไหร่นัก เขาแค่ได้ยินคนเล่าให้ฟังผ่านๆ และตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้สนใจเช่นกัน นอกจากจะละสายตาไปมองยังนาฬิกาซึ่งเพิ่งจะผ่านไปได้ไม่ถึงห้านาที ก่อนที่ความอดทนของเขาจะสิ้นสุดลง
ไม่รอแล้ว!

ชายหนุ่มหันหลังเดินออกจากโรงแรมทันที ไม่สนแม้แต่เสียงเรียกของพนักงานต้อนรับที่ร้องบอกเขาว่ายังดำเนินการไม่เสร็จแต่อย่างใดโดยไม่ได้สนใจเลยว่าถ้าพนักงานพวกนั้นโผล่เข้าไปเจอคริสในสภาพอุบาทว์อย่างนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น

จะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ก็ดีน่ะสิ ไอ้ทุเรศอย่างมันก็ต้องปล่อยให้คนอื่นเห็นสภาพทุเรศๆ อย่างนั้นแหละถึงจะถูก!





 
การกลับมาบ้านของลูกชายด้วยอารมณ์หัวฟัดหัวเหวี่ยงทำให้เจอโรมซึ่งกำลังปรึกษาธุระลับบางอย่างกับแมทธิวอยู่ประหลาดใจไม่น้อย หากแต่พอถามไถ่และได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจเรมีแล้ว เขาก็ไม่ต่อว่าลูกชายแต่อย่างใด ตั้งใจจะตำหนิพวกทีมแพทย์นั่นเสียอีกที่ปล่อยปละละเลยลูกชายเขาจนเกิดเรื่องประมาทอย่างนี้

ใช่...ประมาท เจเรมีไม่ได้เล่าว่าเขาไปทำอะไรกับคริส เล่าเพียงแค่ว่าตัวเองมีอาการฮีท จากนั้นก็สลบไปโดยไม่มีใครเข้ามาช่วยจนถึงกระทั่งตื่นนอน

ก็ใครมันจะกล้าไปเล่ากันล่ะว่าเอาปากไปเขมือบแท่งความเป็นชายของคริสอย่างเอร็ดอร่อยน่ะ

แค่นี้ก็ทุเรศจนไม่รู้ว่าควรจะด่าตัวเองหรือด่าใครแล้ว!

ที่แน่ๆ เจอโรมต้องจัดการทีมแพทย์เสียก่อน ปล่อยปละละเลยขนาดนี้ เขาไม่ปล่อยผ่านไปเฉยๆ แน่ ก็ว่าอยู่ว่ามันทะแม่งๆ ที่ไม่มีรายงานใดๆ ถึงเขาเลยตั้งแต่เมื่อคืนนี้ ที่แท้ก็ทำงานกันหละหลวมอย่างนี้นี่เอง

มือใหญ่คว้าโทรศัพท์บ้าน เตรียมตัวจะกดโทรเข้าไปยังผู้ติดตามที่ส่งไปดูแลเจเรมี รับปากกับแมทธิวเล็กน้อยว่าจะไม่ระเบิดอารมณ์ใส่เพราะต้องใช้งานคนพวกนั้นอีกนานทั้งที่ใบหน้าแสดงออกมาชัดเจนว่าโกรธเกรี้ยวเพียงใด หากแต่สีหน้านั้นก็ต้องหายไปเมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะมะเทิ่งดังมาจากหน้าบ้าน พร้อมกับเสียงกรีดร้องโวยวายด้วยความตกใจของมาเรียและคนรับใช้

เสียงของภรรยาเรียกให้เจอโรมต้องทิ้งโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ พุ่งถลาออกไปยังหน้าบ้านก็เห็นได้ว่าต้นเสียงมาจากกลุ่มชายฉกรรจ์ในเครื่องแบบทหารกลุ่มหนึ่ง ซึ่งทำพลมาโดย...นายพล เดร็ก แฮร์ริสัน

พอเห็นว่าสามีออกมา มาเรียก็รีบถลาเข้ามาหาพร้อมกับดึงเจเรมีที่ตามผู้เป็นบิดาออกมาให้ไปหลบอยู่ในห้องรับแขกด้วยรู้ว่าการมาของนายพลคนนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

ไม่เป็นเรื่องลูกชายของเขาที่ถูกเจเรมีทำร้ายร่างกายเสียปางตายก็คงจะเป็นเรื่องอื่น...

แต่เจเรมีไม่ขยับตัวตามแรงฉุดรั้งของมารดา ยืนจังก้าอยู่ด้านหลังเจอโรมและแมทธิว รอการโจมตีของอีกฝ่าย
โผล่มาอย่างนี้คงไม่ได้ใช้วิธีเล่นงานชายหนุ่มรุ่นลูกอย่างขาวสะอาดแล้ว...

ซึ่งก็จริงอย่างที่คิดเมื่อเดร็กแสยะยิ้มแล้วเอ่ยปากขึ้น

“ขออภัยที่มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้านะครับท่านผู้นำเมอร์ซี พอดีว่ามีเรื่องคอขาดบาดตายน่ะถึงได้รีบแจ้นมา”
“ต้องการอะไร” เจอโรมไม่ต้องการฟังคำพูดไร้สาระถึงได้ตัดบทเข้าเรื่อง
หากแต่เดร็กไม่เล่นไปตามน้ำ ก้าวเข้ามาใกล้ เล่นลิ้นเสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องใจร้อนหรอกน่า ผมมาถึงบ้านคุณอย่างนี้แล้ว ยังไงก็มีเรื่องที่ต้องการอยู่แล้วล่ะ”

สีหน้าของเจอโรมเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปกติเขาเป็นคนที่เก็บอารมณ์ได้ดีและใจเย็นค่อนข้างมาก แต่ท่าทางที่ดูเหมือนเป็นมิตรแต่ไม่เป็นมิตรของเดร็กทำให้เขาต้องเอ่ยปากสั่งกับเจเรมีที่ยืนอยู่เยื้องๆ ทางด้านหลัง

“กลับเข้าห้องไปซะเจมี่”
“ผมไม่ไป” รู้ว่าเป็นเรื่องของตัวเอง เจเรมีก็ไม่ยอมถอย หากแต่การที่เขาพูดอย่างนั้นทำให้เจอโรมหันมาส่งสายตาดุดันให้
“อย่ามางี่เง่าตอนนี้ กลับเข้าห้องไปซะ”

ไม่ได้เป็นการตะคอกแต่อย่างใด ทว่าน้ำเสียงมีพลังอำนาจเสียเหลือเกินจนเจเรมีไม่อาจจะปฏิเสธได้ มาเรียรีบพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ลูกชายรีบทำตามคำสั่ง หากแต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน เดร็กก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่ต้องไล่ลูกชายให้เข้าห้องไปหรอกครับท่านผู้นำเมอร์ซี ที่ผมมาวันนี้ก็มาหาเขานั่นแหละ”
“ถ้ามีธุระอะไรจะคุยเกี่ยวกับเรื่อลูกของผมกับคุณล่ะก็ ให้คุยผ่านผมคนเดียวเท่านั้นหรือไม่อย่างนั้นก็ติดต่อผ่านเลขา” เจอโรมออกปากทันควัน

เดร็กรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องคดีความของเจเรมีในข้อหาทำร้ายร่างกายธีโอ แต่เขาไม่ได้มาเพื่อจุดประสงค์นั้น ก็เคยประกาศกร้าวไว้แล้วนี่นาว่าไม่ว่าจะทำให้เจเรมีไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน วันนี้แหละที่เขาจะทำให้คำพูดของตนเป็นจริง

“อย่าใจร้อนไปน่า วันนี้ผมไม่ได้มาเพราะเรื่องลูกของผม แต่มาเพราะเรื่องลูกชายของคุณต่างหาก”
เจอโรมขมวดคิ้วมากขึ้นกว่าเดิม รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
“แล้วมีธุระอะไรกับลูกผม”
คนฟังแสยะยิ้ม ว่าเสียงสูงเล็กน้อย “ก็มีเรื่องหยุมหยิมชวนให้น่ารำคาญใจอยู่นิดหน่อย”

เกลียดการเล่นลิ้นของผู้ชายคนนี้ที่สุด!

เจเรมีทำหน้ายู่ ไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ไร้ซึ่งการรักษามารยาท ขณะที่เดร็กเหลือบมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มรุ่นลูกพลางว่า

“เรื่องหยุมหยิมเกี่ยวกับคดีฆาตรกรรมในโรงแรม”

ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เจอโรมก็เสียวสันหลังวาบขึ้นมา แมทธิวเองที่ยืนฟังอยู่ไม่ห่างก็เช่นกัน สังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างประหลาดว่าการที่ทีมแพทย์พวกนั้นขาดการติดต่อ เดร็กอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็เป็นได้ ซึ่งนั่นก็จริงอย่างที่คาดเดาเอาไว้ทันทีที่ได้ยินประโยคถัดไปจากปากของเดร็ก

“น่าตกใจนะที่ลูกชายของคุณเป็นคนสุดท้ายก่อนที่พนักงานโรงแรมจะพบศพพวกเขา ร้ายไม่เบานี่ ฆ่าตายไปตั้งหลายคนไม่เว้นแม้แต่คนติดตามที่พ่อตัวเองส่งไปดูแล แล้วก็น่าเสียดายนะที่การทดลองอะไรของคุณมันไม่สำเร็จไปตามแผนที่วางไว้”
“แกต้องการอะไร!” เจอโรมเหมือนจะสติแตกเอาในตอนนี้ เขารู้อยู่ว่าเดร็กคงจะใช้วิธีสกปรกเล่นงานเจเรมี แต่ไม่ยักจะคิดว่าจะใช้วิธีรุนแรงขนาดนี้ ที่สำคัญ...เดร็กพูดอย่างกับว่ารู้ความลับของเจเรมีแล้วด้วย!

ขณะที่เจเรมีเริ่มเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนจะกัดฟันแน่นทันทีที่ตระหนักได้ว่าการที่ไม่มีใครเข้ามาห้ามปรามสถานการณ์ทุเรศๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับคริสเป็นเพราะอะไร

“น่าเสียดายนะที่ความลับของพวกคุณเป็นความลับไม่ได้อีกต่อไป อุตส่าห์ส่งคนไปติดตามลูกชายเพราะกลัวว่าจะมีคนจากฝั่งผมสะกดรอยตาม สุดท้ายก็หนีไม่รอดอยู่ดี แต่ก็นับว่าเก่งมากเลยนะที่รักษาความลับนี้มาได้ตั้งนาน กี่ปีนะ...ยี่สิบปีใช่ไหม เจเรมีอายุเท่าลูกผมพอดีเลยนี่”

ไม่มีคำตอบใดๆ ให้กับเดร็ก มีเพียงแต่เดร็กเท่านั้นที่ยิ้มเยาะกับอาการหน้าเปลี่ยนสีของฝ่ายตรงข้าม

เขาถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าต้องการใช้เจเรมีรับผิดชอบ...

“แกต้องการอะไรกันแน่”

การพูดไม่หยุดทำให้เจอโรมต้องออกปากถามไปอีก ไร้ซึ่งสรรพนามแทนตัวอย่างให้เกียรติ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ให้เกียรติเขาตั้งแต่พาพวกบุกมาบ้านจนถึงเมื่อวินาทีก่อนแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรักษาภาพลักษณ์อีกต่อไป

เดร็กจุ๊ปาก เดินเข้ามาใกล้ พลางกระซิบ
“ก็ไม่ได้ต้องการอะไร แค่จะส่งไอ้เศษเดนโอเมก้าที่ชื่อเจเรมี เมอร์ซี เข้าคุกก็แค่นั้นเอง ...ในข้อหาอุกฉกรรจ์... ฆ่าคนตาย”
เจอโรมแทบจะยั้งอารมณ์ไม่อยู่ พุ่งถลาเข้าไปหมายจะต่อยคนตรงหน้า เจเรมีกับแมทธิวห้ามกันแทบไม่ทัน ห้ามไปก็คิดครุ่นไปว่าคนที่คอยปรามให้เขาอย่าหาเรื่อง อย่าไปทำร้ายร่างกายใครอย่างเจอโรมจะมีอาการเดือดดาลอย่างนี้กับเขาด้วย

“ฉันจะไม่มีวันยอมให้ลูกชายตัวเองถูกยัดข้อหาสั่วๆ แบบนี้เด็ดขาด! ไม่มีวัน!” เจอโรมแผดเสียงอย่างเหลืออด
เดร็กที่ไหวตัวออกมาทันแสยะยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตรงหน้าหายใจกระหืดหอบขณะที่ถูกแมทธิวรั้งเอาไว้อยู่ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“ก็เลือกเอาแล้วกันว่าคุณอยากให้ลูกชายเข้าคุกด้วยข้อหาไหนระหว่างฆ่าคนตาย กับข้อหาเป็นโอเมก้าไม่ได้ขึ้นทะเบียน อ้อ ข้อหาเป็นโอเมก้าไม่ต้องเข้าคุกนี่นา ต้องเข้าซ่องต่างหาก คนที่เข้าคุกคือพวกคุณที่ปิดบังข้อมูลต่อทางราชการ คงจะลืมไปแล้วสินะว่าตระกูลคุณเป็นหนึ่งในผู้ลงมติการใช้กฎหมายว่าด้วยการขึ้นทะเบียนโอเมก้า มาทำผิดกฎหมายเสียเองแบบนี้ไม่ไหวเลยนะคุณเมอร์ซี ถ้าคุณไม่เลือกแบบแรก ทั้งคุณกับคุณนายเมอร์ซี แล้วก็คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจะพลอยซวยไปด้วยนะ”

เจอโรมกัดฟันกรอดจนเป็นสันนูน แค่ได้ยินว่าจะส่งลูกชายที่เขาเฝ้าปกป้องมาตลอดยี่สิบปีไปเข้าคุก เขาก็แทบคลั่งแล้ว ยังมีหน้ามาบอกว่าจะส่งเข้าซ่องอีก

พูดอย่างนี้ตั้งใจรนหาที่ตายชัดๆ!

“ไอ้หมูโสโครกแฮร์ริสัน...” เจอโรมแค่นเสียงต่ำออกมา เขาไม่เคยรู้สึกตกต่ำขนาดนี้มาก่อนเลย ทั้งที่มีสถานะสูงส่ง มาจากตระกูลที่ไม่เคยมีใครกล้าแข็งข้อใส่ วันนี้กลับต้องมาเจออะไรอย่างนี้เป็นครั้งแรกมันทำให้เขาทนเสียแทบไม่ไหว
หากแต่เดร็กไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ดึงซิการ์ออกจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาจุดสูบด้วยท่าทางสบายๆ

“ตัดสินใจเองแล้วกันครับว่าจะให้ลูกคุณรับข้อหาไหน ถ้าไม่อยากเดือดร้อนไปด้วย การเสียสละคนเพียงคนเดียวก็น่าจะคุ้มค่ากว่าว่าไหม เสียสละเพื่อส่วนรวมอย่างที่คุณชอบพูดในสภาไง”

“แกมันจะมากเกินไปแล้ว!” ถูกล้อเลียน เจอโรมก็แทบคลั่ง ทำท่าจะพุ่งเข้าไปทำร้ายร่างกายคนตรงหน้าอีก

หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อจู่ๆ ทหารนายหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากเดร็กชักปีนขึ้นมาจ่อไปทางเขา

แค่จ่อไปที่เขาอย่างเดียว เขาจะไม่สนใจเลย ทว่านายทหารคนอื่นๆ ยังเอาปีนจ่อไปยังภรรยาและลูกชายเขาด้วย มันทำให้เจอโรมต้องยุติอากัปกิริยาทุกอย่างโดยฉับพลัน

“ผมมีเวลาให้คุณไม่มากนะ รีบตัดสินใจเร็วเข้า”
เห็นว่าเจอโรมสงบลงได้แล้ว เดร็กก็ว่าต่อ ปากพ่นควันสีขาวออกมา ท่าทางนั้นช่างน่ารังเกียจสำหรับคนมองเหลือเกิน ทว่าในหัวของเจอโรมไม่มีเวลามาคิดอะไรไร้สาระอย่างนั้น เขาต้องรีบหาทางออกสำหรับปัญหาที่จู่ๆ ก็มาปรากฏตรงหน้าให้เร็วที่สุดก่อนต่างหาก

แต่จะให้เขาเลือกทางไหนได้ล่ะ ไม่ว่าทางใด มันก็ต้องเสียเจเรมีไปหมดอย่างนี้!

เจอโรมแทบคลั่ง ขณะที่เจเรมีเห็นท่าทางตึงเครียดของบิดาแล้วก็หงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งเหลือบไปเห็นมารดาร้องไห้ออกมาไม่ขาดสาย เขาก็ทนดูไม่ได้อีกต่อไป ทันทีที่ได้ยินบิดาเปล่งเสียง

“ฉันจะไม่ยอมยกลูกชายของฉันให้แกไปทำอะไรตามใจได้ทั้งนั้น”

เจเรมีก็แทรกขึ้น...

“ผมจะไปกับเขาในฐานะผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตาย”

น้ำเสียงทุ้มที่ดังออกมาเมื่อครู่เรียกให้ทุกสายตาหันไปมองยังต้นเสียง

เจอโรมแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำพูดนั้น พลันตะโกนเสียงดังลั่นคล้ายกับว่าจะเรียกสติของเจเรมี
“พูดอะไรของแก อยากตายมากหรือไงถึงได้พูดออกไปอย่างนั้น!”

เจเรมีไม่ตอบรับ ยกมือขึ้นดันกระบอกปีนที่จ่ออยู่ข้างขมับตัวเองออก ว่าเสียงเรียบ
“ไม่ได้อยากตาย แต่ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่แล้วก็คนอื่นๆ ต้องมาเดือดร้อนเพราะผมไปมากกว่านี้”

เขาว่าตามจริง หากเลือกอย่างที่สอง มีหวังต้องมีคนมาติดร่างแหเพราะมีส่วนรู้เห็นในเรื่องของเขาอีกหลายสิบชีวิตอย่างแน่นอน ซี่งนั่นก่อให้เกิดผลเสียยิ่งกว่าที่เขาลุยเดี่ยวไปคนเดียวอย่างนี้

จะมีก็แต่เจอโรมที่ไม่เห็นด้วย ได้ยินแล้ว คำพูดก็พร่างพรายขึ้นมาในหัวเป็นชุด

แกมันโง่! คิดว่าฉันกับมาเรียปกป้องแกมาตลอดยี่สิบปีเพื่ออะไร! ไปกับพวกมันก็ไม่พ้นถูกกระทำย่ำยีไม่ต่างอะไรจากโอเมก้าที่อยู่ในซ่องพวกนั้นแน่!

เจอโรมอยากสบถด่าอย่างนั้น ทว่าเดร็กที่มองดูเหตุการณ์อยู่กลับหัวเราะขบขันและสวนขึ้นก่อน
“เลือกได้ดีนี่ ถือว่าฉลาดมาก สมกับที่เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านผู้นำเมอร์ซี”

“อย่าพูดมากไอ้แก่” เจเรมีไม่สบอารมณ์อย่างรุนแรง สวนคืนด้วยถ้อยคำหยาบคาย

แต่เดร็กเองก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่นัก แค่ได้ตัวเจเรมีมาแค่นี้ เขาก็พอใจแล้วเพราะหลังจากนี้ต่างหากที่จะเป็นการแก้แค้นเพื่อธีโออย่างแท้จริง

“ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ถือว่าธุระหมดลงแค่นี้ ผมขออนุญาตเป็นตัวแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจพาลูกชายของคุณไปเลยก็แล้วกันนะครับ ส่วนคุณ...จะวิ่งเต้นหรือจะช่วยเหลือลูกชายในศาลอย่างไรก็เอาเลย ผมยินดีที่จะรอดูการวิ่งเต้นเป็นหนูติดจั่นของคุณ แต่ขอบอกไว้อย่าง...ผู้ต้องหาคดีนี้ไม่มีสิทธิ์ประกันตัวนะครับ”

พูดมาอย่างนี้ เจอโรมก็รับรู้ได้ว่าการกระทำของเดร็กคงจะมีคนคอยให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งนั่นก็หนีไม่พ้นบรรดาคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเขาอย่างพวกผู้นำอีกสามตระกูล

หากแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมาคิดในตอนนี้เมื่อเห็นว่าเจเรมีถูกพวกนายทหารกระชากไปใส่กุญแจมือทั้งที่ไม่มีความผิด ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายปวดหนึบ เสียงร่ำไห้ของภรรยา การถูกยัดเยียดข้อหาทั้งที่เจเรมีบริสุทธิ์มันทำให้เขากำหมัดแน่นอย่างโกรธแค้นที่ทำอะไรในวินาทีนี้ไม่ได้

ความจริงแล้วถ้าจะมีใครสักคนที่โดนจับ มันต้องเป็นเขาต่างหาก

เป็นความผิดของเขาที่ดูแลเจเรมีไม่ดีจนทุกอย่างวิกฤตลงขนาดนี้!

แต่เจเรมีไม่ได้โทษอะไรบิดาเลย ในหัวมีแต่ความคิดอยากจะฆ่าชายผู้เป็นบิดาของคู่อริให้ตายคามือมากกว่า
สายตาเกรี้ยวกราดจับจ้องไปยังเดร็กขณะที่อีกฝ่ายร้องบอกเขา

“ล่ำลาพ่อแม่ซะให้พอก่อนที่จะเน่าตายในแดนขัง ไอ้เด็กสวะ”
“แกก็ระวังจะไม่ได้ตายดี ไอ้แก่โสโครก”

ไม่เพียงแต่ด่า ยังถ่มน้ำลายใส่หน้าของเดร็กอีกด้วย

เดร็กหลับตาไปครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นปาดคราบน้ำลายนั้นออกขณะที่เจเรมีถูกบรรดาทหารที่จับกุมตัวอยู่กดลงไปนอนคว่ำกับพื้นหลังจากที่พวกเขาเห็นท่าทางกระด้างกระเดื่องของชายหนุ่ม เจอโรมพยายามจะเข้ามาช่วยแต่ก็ต้องยั้งขาไว้เมื่อถูกปีนจ่อที่หน้าอีกครั้ง

“เอาตัวมันไป”

ไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นต่อจากนั้นอีกนอกเสียจากคำสั่งของเดร็กที่ออกปากบอกให้พาตัวเจเรมีไป ใบหน้ากราดเกรี้ยวปรากฎขึ้นมาให้เห็นทันทีที่อีกฝ่ายถูกลากถูลู่ถูกังออกไปนอกบ้าน และด้วยความที่เป็นแขกผู้มีมารยาทดีงาม บุกเข้ามาในบ้านของตระกูลเมอร์ซีโดยไม่ได้รับอนุญาต บังคับนำตัวลูกชายของบ้านนี้ไปแล้วก็ต้องเอ่ยลาตามธรรมเนียมเสียหน่อย

“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ รับรองเลยว่าผมจะดูแลลูกคุณเป็นอย่างดี... ดีเสียจนจำไม่ได้เลยล่ะว่าเคยเป็นอัลฟ่ามาก่อน”

รอยยิ้มร้ายผุดพรายขึ้นมาให้เห็น เจอโรมทนไม่ไหวอีกแล้ว แผดเสียงออกไปเต็มกำลัง

“ถ้าแกทำอะไรเจเรมีแม้แต่ปลายเล็บล่ะก็ ฉันไม่เอาแกไว้แน่! ได้ยินไหมว่าฉันไม่เอาแกไว้แน่แฮร์ริสัน!”

ไม่ฟังอีกแล้ว พูดประโยคของตัวเองจบก็หันหลังเดินออกมาจากบ้าน พ้นประตูบ้านมาได้ก็ออกคำสั่งกับนายทหารคนสนิทซึ่งมีส่วนในการดำเนินแผนการทั้งหมดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

“อย่าให้ใครช่วยมันออกมาได้ ถ้าใครกล้าขัดคำสั่ง...ฆ่ามันซะ”

นายทหารคนสนิทรับคำสั่ง ก่อนจัดการส่งคำสั่งต่อให้กับนายทหารคนอื่นๆ ปล่อยให้เดร็กยกยิ้มเพียงลำพัง
เล่นกับใครไม่เล่น มาท้าทายคนตระกูลแฮร์ริสัน

ไม่ฉันก็พวกแกต้องล่มจมกันไปข้าง ไอ้ตระกูลโอเมก้าเถื่อน!
-------------------------------------
มาแล้วววว ตัวอย่างที่เคยแปะให้อ่าน ขออนุญาตยืดไปอีกตอนนะคะ กะความยาวตอนนี้ผิดไปหน่อย 555
เจเรมีเริ่มถูกเล่นงานแล้ว หลังจากนี้จะถูกบีบบังคับมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ได้อยู่ใกล้ชิดกับขุ่นคริสมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แอร๊ยยย ขุ่นคริสของบ่าวหล่ออะไรเยี่ยงนี้ //โดนตบ

ไม่ค่อยลำเอียงเลยอะว่าเข้าข้างขุ่นคริส อยากให้ขุ่นคริสถูกปู้ยี่ปู้ยำ ก๊ากกก ผิดโพสิชันเนอะ ต้องให้เจเรมีถูกขุ่นคริสสะหวีวี่วีต่างหาก //แต่อันที่จริงแล้วเจมี่เป็นรุก..รุกขึ้นมารับ กิกิ

ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยจ้า พรุ่งนี้จะมาแปะตัวอย่างตอนใหม่ให้ ไม่เอาฉากที่เคยแปะให้อ่านละ ฉากใหม่ สัญญาว่ารอบหน้าจะไม่เมาอีก ฮา

ปล. ใครที่ต้องการหนังสือเล่มนี้และอยากจะทำแบบสอบถามจำนวน รบกวนเข้าไปทำที่ลิงก์ด้านล่างนี้นะคะ แปะอีเมลไว้ให้ หนูแดงไม่มีเวลามาตอบเน้อ รบกวนด้วยค่า

แปะลิงก์ >> https://goo.gl/forms/DpsyuGnb5wxFATPg2
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Petit.K ที่ 07-02-2017 04:52:17
คริสสสสมาช่วยน้องเจเรมีเร็วเข้า แงงงงงงง อย่าเพิ่งโดนอะไรนะ แค่นี้ก็น่าสงสารจะแย่แล้ว งื้ออออ
คนที่จะมาปราบพยศของน้องเจเรมีต้องเป็นขุ่นคริสคนเดียวเท่านั้นค่ะะะ :laugh:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-02-2017 05:12:51
งานเข้าเจเรมี่ ข้อหาฆ่าคนตาย
ความใจเร็ว ใจร้อน เอาแต่ใจ ดื้อสุดๆของเจเรมี่
มีแต่ทำให้เกิดเรื่องเลวร้ายตลอด
แต่มันเคยไม่สอนอะไรเจเรมี่ เลย
เข้าใจเจอโรม ต้องหนักใจในการปกป้อง ดูแลเจเรมี่
เอาเกียรติยศ ชื่อเสียงของตระกูลมาเสี่ยง
เพราะความรักลูก ที่เป็นโอเมก้า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 07-02-2017 10:31:44
มาต่อแย้วววววว หลังจากที่เห็นหนูแดงแอบไปอู้มา
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 07-02-2017 11:05:30
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-02-2017 16:52:13
หวังว่าเจเรมีจะฉลาดขึ้นเสียที
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 07-02-2017 23:23:18
[ตัวอย่าง]Episode 08: นักโทษเดนตาย

เอาตัวอย่างมาแปะไว้ก่อนจ้ะ กว่าจะมาก็คงปลายๆ อาทิตย์นะ
บอกได้เลยว่าขุ่นคริสพระเอกมากกก หล่อมากกก หนูอยากได้เขาค่ะแม่ //โดนตบ
ฝากเจิมไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวมาแปะให้ค่า
--------------------------

เสียงร้องของเจเรมีดังก้องไปทั่วห้องน้ำ ความปวดแสบที่ประทับลงมาบนหน้าท้องน้อยฝั่งด้านขวาของเขาทำให้ต้องดิ้นทุรนทุรายอย่างไม่อาจห้ามได้ การออกแรงดิ้นหนีสุดขีดทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ที่ตรึงร่างเขานิ่งๆ อยู่ต้องออกแรงมากกว่าเดิมเช่นกัน

แท่งเหล็กร้อนที่ส่วนปลายมีการดัดให้โค้งงอเป็นสัญลักษณ์โอเมก้ากำลังสร้างรอยบาดแผลให้กับผิวเนื้อ กลิ่นเหม็นไหม้ลอยเข้ามาแตะจมูกกระตุ้นความโกรธแค้นให้กับเจเรมีจนต้องหลั่งน้ำตา

ความเลวร้ายของการเป็นโอเมก้ามันไม่ได้แย่เท่ากับการถูกกระทำราวกับไม่ใช่มนุษย์เลยแม้แต่น้อย...

ที่มันเลวร้ายสุดกู่ไม่ใช่เพราะว่าเป็นโอเมก้า แต่เพราะเขาเป็นโอเมก้าต่างหาก

เขาไม่ใช่วัวแม่พันธุ์ในฟาร์มสักหน่อยถึงต้องมาโดนประทับตราอย่างนี้!

เสียงร้องโหยหวนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง พักใหญ่ทีเดียวกว่าที่เหล็กร้อนนั่นจะถูกดึงออกห่างจากผิวเนื้อของเจเรมีได้ รอยแดงๆ จากการถูกของร้อนนาบปรากฏให้เห็นเต็มตา

สัญลักษณ์ของโอเมก้า...

ตอนนี้เจเรมีเป็นโอเมก้าอย่างเป็นทางการแล้ว...

“ฮู้ว กว่าจะเสร็จ เล่นเอาแทบแย่เหมือนกันนะเนี่ย” หัวโจกของกลุ่มร้องบอก ทำท่าปาดเหงื่อเป็นการประกอบคำพูด เขาหมายถึงการที่เจเรมีดิ้นคล้ายกับว่าจะอาละวาดจนต้องใช้ชายหนุ่มตัวไล่ๆ กันอีกหลายคนในการตรึงให้อยู่กับที่น่ะ
“เอามือโสโครกของพวกแกออกไป!” ตั้งสติได้ เจเรมีก็แผดเสียงลั่น

อากัปกิริยาที่ไม่ยอมอ่อนลงเลยของเขาทำให้อีกฝ่ายหัวเราะ ทิ้งตัวลงนั่งยอง ใช้มือข้างหนึ่งเชยคางมนขึ้นพลางยิ้มเย้ย
“เป็นโอเมก้าก็อย่าซ่าให้มันมากนักซี่ แกไม่ใช่อัลฟ่าอีกต่อไปแล้วนะคุณหนูเมอร์ซี”

คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะของคนอื่นได้ขรม เว้นก็แต่เจเรมีที่กัดฟันกรอด ก่อนจะสะบัดหน้าหนีและใช้จังหวะที่คนตรงหน้าเผลออ้าปากงับนิ้วมือที่บังอาจมาแตะต้องเขาเต็มแรง

ด้วยอารามตกใจ อีกฝ่ายรีบสะบัดมือออก พอหลุดจากแนวฟันคมของเจเรมีก็เห็นรอยกัดพร้อมกับเลือดที่ไหลซิบเต็มตา
“ไอ้เวรเอ๊ย!”

เพียะ!

ฝ่ามือกระแทกเข้าที่ซีกหน้าของเจเรมีทันที แรงสะบัดทำให้เจเรมีหันไปตามทิศทางกระแทก ในปากมีรสคาวของเลือดหลั่งออกมาให้ได้ลิ้มรส หากแต่เจเรมีไม่สะทกสะท้านใดๆ ตวัดดวงตาเกรี้ยวกราดกลับมามอง แสยะยิ้มใส่อย่างชั่วร้าย
“โดนกัดแค่นี้ถึงกับทนไม่ไหวเลยหรือไงไอ้สถุน”

ผู้ชายคนนี้หวาดกลัวอะไรกับเขาเป็นบ้างไหมนั่น? ทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิมชัดๆ เลย

การกระทำของเจเรมีทำเอาคนที่ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ อดคิดไม่ได้ และเขาคงไม่รู้ว่าการพูดอย่างนั้นมันไปกระตุ้นโทสะของหัวโจกนักโทษได้เป็นอย่างดี

“ปากดีนี่ งั้นลองดูหน่อยไหมล่ะว่าถ้าแกโดนฉันทำบ้าง แกจะทนไหวไหม”
แน่นอนว่าไม่ใช่การกัดนิ้วคืน คนคุกพวกนี้ไม่เล่นอะไรเหมือนเด็กหรอก มันต้องรุนแรงกว่านั้น

ไม่สิ... รุนแรงเป็นอย่างมากเลยล่ะ มีโอเมก้าหลุดเข้ามาในแดนขังที่เต็มไปด้วยเศษเดนสังคมอย่างนี้ ถึงจะเป็นเบต้าแต่การกดขี่ข่มเหงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มันก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าหากจะทำ

เพราะพูดอย่างนั้น หัวโจกจึงหันไปพยักปลายคางให้กับบรรดาลูกสมุน

“กดมันลงพื้นซิ”

เท่านั้นเจเรมีก็ถูกกดให้นอนคว่ำลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว เขาพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต รู้ว่าอีกไม่กี่อึดใจจะเกิดอะไรขึ้นกับตน
พวกเดนมนุษย์พวกนี้จะต้องข่มขืนเขาแน่ ถึงจะเป็นเบต้า มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีเพศสัมพันธ์กับอัลฟ่าหรือโอเมก้าไม่ได้ เพียงแต่อัลฟ่ามักไม่นิยมครองคู่กับเบต้า และโอเมก้าก็ไม่สามารถตั้งครรถ์โดยน้ำเชื้อของเบต้าได้

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ถือว่าเป็นการล่วงล้ำและละเมิดสิทธิในร่างกายที่เลวร้ายที่สุดอยู่ดี!

“ปล่อยนะเว้ยไอ้พวกทุเรศ!”

เจเรมีร้องลั่นทันทีที่รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบของผิวกระเบื้องที่แผ่ซ่านไปทั่วหน้าท้อง เสียงผิวปากดังออกมาจากใครสักคนทันทีที่ได้เห็นผิวเนียนบริเวณบั้นท้าย... ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าทั่วเรือนร่างเลยต่างหาก บ่งบอกให้รู้ว่าเขาได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีเลยทีเดียวสำหรับโอเมก้า หากแต่เจเรมีไม่ได้สนใจ ดิ้นหนีเอาตัวรอดเท่าที่จะทำได้ ออกแรงสะบัดด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี ทว่าก็ไม่อาจสู้แรงของชายฉกรรจ์หลายชีวิตที่ทิ้งน้ำหนักลงมาบนตัวเขาเพื่อไม่ให้ขยับได้เลย

“อย่าดื้อด้านน่า โอเมก้าเขาไม่แข็งข้อกันหรอก ทำตัวดีๆ แล้วแกจะได้อยู่อย่างสุขสบาย ฉันจะดูแลแกเอง” หัวโจกว่า พลางหันไปร้องสั่งให้คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องและเป็นพวกของตนไสหัวออกไปจากห้องน้ำ

ไม่ต้องให้พูดซ้ำสอง พวกที่ไม่มีอิทธิพลอะไรในแดนขังแห่งนี้รีบพากันออกจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว จะมีก็แต่คริสเท่านั้นที่ยังยืนมองอยู่ที่เดิม

โง่เง่า... ทั้งเจเรมี ทั้งไอ้เวรพวกนั้น โง่เง่ากันทั้งหมด...

เขาอดคิดอย่างนี้กับการกระทำไร้สาระพวกนั้นไม่ได้ ทนมองดูเพราะไม่อยากยื่นมือเข้าไปแส่ตั้งนาน แต่พอเห็นคนพวกนั้นพากัน
ทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม เขาก็อดออกปากไม่ได้

ไม่ใช่ออกปากในทันที ออกปากเมื่อเห็นว่าหัวโจกของสวะพวกนั้นปลดตะขอกางเกงตัวเองออก สอดมือเข้าไปล้วงความเป็นชายออกมาให้สาธารณะเห็น

“อยากจะรู้นักว่าโอเมก้าหยิ่งผยองอย่างนายจะครางด้วยน้ำเสียงแบบไหน”

พวกสารเลว!

เจเรมีก่นด่าในใจ ฟันกรามกัดเข้าหากันกรอด เขาโกรธแค้นทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เขาและครอบครัวต้องตกอยู่ในชะตากรรมแบบนี้ไปหมด โดยเฉพาะตัวต้นเหตุอย่าง...คริส

ใช่! คริส! ถ้าไม่มีผู้ชายคนนั้น ถ้าไม่ได้พบเจอ ไม่รู้ว่าเป็นคู่แห่งโชคชะตา อาการฮีทที่กักเก็บมานานก็คงจะไม่บังเกิดและเขาคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโอเมก้าอย่างนี้!

เจเรมีหมายมั่นปั้นมือเลยทีเดียวว่าถ้าเขาหลุดออกจากสภาพทุเรศตรงนี้ไปได้ ไอ้คนพวกนี้ที่ทำให้เขาต้องเผชิญชะตากรรมเลวร้ายจะต้องไม่มีลมหายใจเหลือทั้งหมด หากแต่ในวินาทีที่หัวโจกของแดนขังกำลังจะเดินเข้ามาหาเจเรมี เสียงของใครบางคนก็
ดังขึ้น

“เลิกเล่นกันได้แล้วน่า”

เสียงของคริส...

ไม่เห็นหน้าก็จำได้ว่าเป็นเสียงของเขา

ทุกชีวิตหันไปมองยังต้นเสียงทันที พอเห็นว่าเป็นคริสที่ยืนกอดอกมองอยู่ หัวโจกก็ว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“เสนอหน้าอยู่ที่นี่ทำไม ฉันบอกให้ไสหัวไปให้หมดไม่ใช่หรือไง”

“ฉันไม่ใช่ลูกกระจ๊อกของแก” คริสว่า ซึ่งก็จริง เขาไม่เคยอยู่ใต้อำนาจของหัวโจกแดนขังคนนี้ หรืออาจจะเรียกได้ว่าหัวโจกกับเศษเดนสมุนพวกนั้นไม่กล้าแหยมกับเขามากกว่า

เป็นอัลฟ่าคนเดียวที่อยู่ในแดนขังที่เรียกได้ว่ารวมเศษสวะเอาไว้ ซ้ำยังเป็นนักโทษชั้นดี มีเส้นสายเป็นผู้คุมที่มีอำนาจในการควบคุมบรรดานักโทษ แบบนี้จะน่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้อย่างไร!?

ความจริงไม่ใช่มีแค่นั้นที่เป็นปัจจัยซึ่งทำให้คริสไม่น่าเข้าไปยุ่งด้วย มันยังมีเรื่องความร้ายกาจของคริสอีก
ร้ายกาจอย่างที่สรรหาคำพูดใดๆ มาบรรยายไม่ได้เลยล่ะ...

และการที่คริสยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องไม่ควรยุ่งอย่างนี้ ทำให้พวกนักโทษที่ได้รับการไหว้วานมาแสดงท่าทางอึดอัดออกมาไม่น้อย
ก็แน่ล่ะ ตัวเกะกะตัวเป้งเข้ามายุ่งอย่างนี้ การทำตามคำสั่งของคนจากตระกูลแฮร์ริสันมันต้องไม่ราบรื่นอยู่แล้ว

สถานการณ์ที่ดูเหมือนหยุดชะงักและบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนไปทันตาทำให้เจเรมีรู้สึกได้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมแต่ก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าพวกผู้ชายที่ใช้กำลังกับตนอยู่เกรงกลัวคริสไม่น้อย

“ไม่ใช่เรื่องของแก อย่าแส่เข้ามา” กระนั้นหัวโจกก็ทำใจกล้า ออกปากไล่ไป
คริสถอนหายใจ ระอากับพวกคนที่พูดไม่รู้เรื่องเสียเหลือเกิน ก่อนจะเปิดปาก
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่ฉันว่าพวกแกจะทำเกินกว่าคำสั่งไปแล้ว คำสั่งมันแค่ประทับตราสัญลักษณ์โอเมก้าไม่ใช่หรือไง”
“ก็บอกว่าอย่าแส่! ฟังไม่รู้เรื่องหรือไงวะ!”

พูดดีๆ แล้วเหมือนจะไม่รู้เรื่อง พวกชั้นต่ำนี่มันน่ารำคาญแฮะ

ปกติแล้วคริสไม่ดูถูกใครเขาหรอก แต่ในกรณีนี้มันอดไม่ได้จริงๆ ยิ่งเหลือบไปมองเจเรมีที่ผงกศีรษะขึ้นมามองเขาด้วยแล้ว เขาก็ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งวุ่นวายอย่างไม่มีทางเลือก

สายตาคู่นั้น...แข็งกร้าวแต่ทว่าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
สีหน้านั่น...ดื้อดึงไม่เปลี่ยนแปลงแต่เจื่อนจนซีดราวกับกระดาษ

แล้วอย่างนี้เขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร...

“ไสหัวไปก่อนที่ฉันจะลงมือกับแก อย่าคิดว่าผู้คุมให้ท้ายแล้วพวกฉันจะกลัวนะ!” อีกฝ่ายตะคอกใส่
คริสเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงอีกแล้ว คลายท่อนแขนที่กอดอกออกมาดัดนิ้วเพื่อยืดเส้นยืดสายพลางว่าไปด้วย
“ก็บอกแล้วว่าฉันไม่ได้อยากจะยุ่ง” ตามด้วยสะบัดคออีกสองสามที ก่อนจะก้าวเข้ามาจ้องหน้าคู่สนทนาตรงๆ ด้วยสายตาเย็นเยือก “แต่คนที่พวกแกกำลังจะข่มขืนเป็นคู่แห่งโชคชะตาของฉัน ต้องขอโทษด้วยถ้าฉันอยากจะปกป้องคนของตัวเอง”
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.07 [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 07-02-2017 23:46:23
ชีวิตยังอีกยาวไกล นายยังต้องต่อสู้กับอะไรอีกเยอะ
เจเรมี่ ผ่านไปให้ได้ก็แล้วกันเนอะ
ใช้ความตัวแสบขิงนายให้เป็นประโยชน์
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08 ตัวอย่าง [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-02-2017 01:03:07
จัดการให้หายพยศเลยค่ะขุ่นคริสสสส  :hao7:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08 ตัวอย่าง [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-02-2017 01:03:35
สงสารเจเรมี่ พี่คริสช่วยปกป้องน้องด้วยนะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08 ตัวอย่าง [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 08-02-2017 01:42:36
เริ่มปวดตับปวดไตแล้วสินะ....
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08 ตัวอย่าง [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 08-02-2017 07:34:34
เจเรมี่นี่เอาแต่โทษคนอื่นเนาะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08 ตัวอย่าง [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 08-02-2017 08:27:42
บางทีก็คิดนะ... ว่า ที่เรื่องมันร้ายแรงขึ้นมาขนาดนี้ก็เพราะเจเรมี่เองนั่นแหละ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08 ตัวอย่าง [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 09-02-2017 18:40:41
ต้องปราบพยศเจเรมี่เสียแล้ว ฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08 ตัวอย่าง [07/02/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 16-02-2017 21:37:29
Episode 08: นักโทษเดนตาย[1]

แผนการของเดร็กดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เจเรมีตกเป็นข่าวดังบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในมหานครเพิร์ลในฐานะผู้ต้องหาคดีฆาตรกรรมในโรงแรมนั้นโดยเหยื่อผู้เสียชีวิตเป็นผู้ใกล้ชิดบิดาและเป็นคนดูแลเจเรมี การฆาตรกรรมอย่างโหดเหี้ยมถึงสามศพ และประวัติการทำร้ายร่างกายธีโอทำให้เจเรมีต้องรับโทษหนัก ศาลตัดสินให้เขาถูกคุมตัวไว้ก่อนในระหว่างที่รอการตัดสินขณะที่เจอโรมเองก็วิ่งเต้นทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูกชาย

แต่เจเรมีไม่อาจรอดโดยง่ายดายหรอก ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่ฝีมือเขา เป็นฝีมือของเดร็กที่วางแผนยัดเยียดข้อหาให้ ทว่าสำหรับประชาชนคนอื่นๆ ในมหานครเพิร์ลแล้วนับเป็นคดีสะเทือนขวัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา และมันเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของอัลฟ่า

ใช่...อัลฟ่า ตอนนี้ใครๆ ก็ยังคิดว่าเจเรมีเป็นอัลฟ่าอยู่ ไม่ใช่โอเมก้าอย่างที่เดร็กล่วงรู้ความลับ

หากแต่เจอโรมมัวชักช้า ช่วยเจเรมีให้หลุดออกจากข้อหานี้ไม่ได้ ความลับของการเป็นโอเมก้าคงจะรั่วไหลในอีกไม่นาน และมันคงจะไม่รั่วไหลสู่ด้านนอก หากแต่รั่วไหลในคุก

หากเป็นอย่างนั้น...เจเรมีคงจะ...

คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่กล้าคิดต่อเลยว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจะโดนอะไรบ้าง มีก็แต่เจเรมีเท่านั้นที่แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วางตัวคล้ายกับว่ากล้าที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งแม้ในยามตัวเองตกที่นั่งลำบากก็ตาม

แต่ชีวิตในคุกมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น...

ถึงเขาจะยังอยู่ในช่วงรอศาลตัดสินโทษ แต่เดร็กก็ใช้อำนาจและเส้นสายทั้งหมดที่มียัดชายหนุ่มเข้าสู่แดนขังสำหรับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์และได้ชื่อว่าเป็นนักโทษชั้นเลวจนได้โดยที่เจอโรมทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ก็แน่ล่ะ แผนการทั้งหมดมีพวกผู้นำอีกสามตระกูลร่วมมือด้วยนี่ คนที่กุมอำนาจเพียงฝ่ายอย่างผู้นำตระกูลเมอร์ซีจะไปทำอะไรได้มากมายนัก พวกนั้นรวมหัวกันจะโค่นล้มอำนาจของตระกูลเมอร์ซีที่ฝังรากลึกมาหลายชั่วอายุคนออกจากสารบบการปกครองอยู่แล้ว เมื่อมีโอกาส ทำไมถึงจะไม่ทำล่ะ

ณ เวลานี้ เจอโรมทำได้ดีที่สุดเพียงปลอบโยนให้ลูกชายเชื่อมั่นในตัวเขาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้เจเรมีรอดพ้นความผิดที่ไม่ได้ก่อเท่านั้น

เจเรมีเชื่อ...

...เชื่อว่ามันเป็นการยากพอดูเพราะเดร็กเล่นงานเขาต่อจากนั้นทันทีที่ก้าวเข้ามาในแดนขังแห่งนี้ ซึ่งนั่นก็คือการจับเขาเข้าไปอยู่ในห้องขังเดียวกับชายที่เขาเกลียดที่หน้ามากที่สุด

คริส... อัลฟ่าหนึ่งเดียวและเป็นนักโทษชั้นดีของแดนขังแห่งนี้

จับมาอยู่ด้วยกันอย่างนี้มันจงใจให้เกิดเรื่องทุเรศๆ ชัดๆ!

เจเรมีกัดฟันกรอด ไอ้ชั่วพวกนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าเขาเป็นโอเมก้าและเป็นคู่แห่งโชคชะตากับคริส การให้มาอยู่ด้วยกันก็คือการทำให้เขาต้องยอมรับความอัปยศอย่างไม่เต็มใจ

อะไรไม่ว่า แม้แต่คริสเองยังเป็นหมากอีกตัวที่ถูกวางเอาไว้เล่นงานเขาอีกด้วย

เป็นหมากอย่างไรล่ะเหรอ?

ก็ให้คริสเป็นผู้มีอำนาจในการร้องขอยาระงับอาการฮีทของโอเมก้าจากผู้คุมแต่เพียงผู้เดียวน่ะสิ เจเรมีไม่มีสิทธิ์ใดๆ ทั้งนั้น!
เจเรมีที่ถูกซ้อมจนอ่วมด้วยน้ำมือคนของเดร็กเพื่อเอาคืนให้กับธีโอพอเป็นกระษัยถูกโยนเข้าห้องขังอย่างไม่ปราณี การมาใหม่ของแขกไม่ได้รับเชิญทำเอาคริสที่กำลังโหนตัวเองกับบาร์เหล็กจนตัวลอยทิ้งตัวลงพื้น หันมามองยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว
พอเห็นว่าเป็นเจเรมีที่สภาพสะบักสะบอมถึงได้เอ่ยปากทัก

“มาไวกว่าที่คิดแฮะ”
พูดอย่างนี้เพราะรู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวเจเรมีจะมา

ก็ผู้คุมบอกไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนแล้วนี่นะว่าอีกเดี๋ยวเขาจะมีรูมเมท

เป็นรูมเมทที่ไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่กับความรู้สึกของคริส แม้แต่ความรู้สึกของเจเรมีเองก็เช่นกัน แค่เห็นหน้าของคริส ได้ยินน้ำเสียงที่เอ่ยทัก เจเรมีก็นึกเกลียดชังอีกฝ่ายไปถึงกระดูกดำแล้ว

“ฉันได้ข่าวแล้วนะ นายถูกใส่ร้ายนี่” เห็นว่าเจเรมีไม่พูดอะไรก็หาเรื่องชวนคุยเสียอย่างนั้น “ลำบากหน่อยนะถ้าโดนสร้างข่าวใส่ร้ายด้วยข้อหาอุกฉกรรจ์แบบนี้ พ่อนายคงจะช่วยเหลือยากหน่อยล่ะ”

คริสพอจะมองอนาคตอันแสนวุ่นวายของเจเรมีออก ตอนที่เขาถูกใช้แลกเปลี่ยนมาเป็นตัวประกันแรกๆ เขาเองก็ถูกใส่ร้ายด้วยข้อหาที่สะเทือนใจต่อคนหมู่มากเช่นเดียวกัน

มันเป็นกลเกมของพวกที่มีอำนาจเหนือกว่าใช้ผูกมัดสถานะของคนที่ต่ำชั้นกว่าให้หนีไม่หลุดไปจากแผนกระดานหมากที่ตนเองต้องการน่ะ

คริสเข้าใจข้อเท็จจริงนั้นดี เจเรมีก็เข้าใจดีเช่นกัน หากแต่เขาไม่ต้องการให้คนอย่างคริสมาวิเคราะห์หรือเห็นใจอะไร ทำเพียงจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เป็นมิตรแล้วทรุดตัวลงนั่งพิงกำแพงใกล้ๆ ปิดเปลือกตาลงคล้ายกับว่าต้องการจะตัดเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นออกจากระบบความคิดตัวเองในวินาทีนั้น

ท่าทางเหนื่อยอ่อนจากการถูกกระหน่ำซ้อมของเจเรมีทำให้คริสอดเห็นใจไม่น้อย

ก่อนจะมาถึงที่นี่ได้ คงจะผ่านอะไรมาหนักหนาพอสมควรเลยสินะ

เห็นแล้วก็อดนึกถึงตัวเองตอนที่ถูกโยนเข้าแดนขังแห่งนี้แรกๆ อย่างเสียมิได้ คริสเดินมาทรุดตัวลงนั่งยองๆ หน้าคู่แห่งโชคชะตา จ้องอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยทักออกไป

“โดนมาอ่วมพอดูเลยนี่” ไม่พูดเปล่า ยังใช้มือหนายื่นไปแตะซีกแก้มฟกช้ำจากการถูกของแข็งกระแทก
เจเรมีปรือตาขึ้นมองพลันสะบัดหน้าหนี ส่งเสียงขู่ออกมา
“เอามือโสโครกนั่นออกไป”

ถึงจะสภาพไม่เต็มร้อย แต่ปากยังคงดีเหมือนเดิม ความโอหังไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย คริสก็ไม่ได้อยากจะยุ่งนักหรอกถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่มาแย่งพื้นที่หายใจของเขาในห้องขังและเขาไม่ได้รับคำสั่งให้ดูแล ‘เพื่อนใหม่’ อย่างนี้

“ให้ช่วยอะไรไหม” ไม่อยากจะสนใจหรอก แต่สุดท้ายก็ถามออกไป

ความจริงแล้วเขาถูกสั่งมาให้ทำตัวร้ายกาจกับเจเรมีต่างหาก แต่ด้วยความที่เขาเห็นภาพตัวเองในอดีตทับซ้อนกับคนตรงหน้า ทำให้เขาไม่สามารถตัดใจทำเรื่องร้ายกาจตามความต้องการของคนมีอำนาจพวกนั้นได้

หากแต่เจเรมีไม่รู้เลย เห็นคริสมายุ่มย่ามก็นึกรำคาญใจ เหลือบดวงตามอง แค่นเสียงต่ำด้วยนึกรังเกียจ
“ไม่ใช่เรื่องของนาย อย่าแส่”

ได้... ไม่ยุ่งก็ได้

คริสยักไหล่ ผละออกมา ตอนนี้เจเรมีคงอยากจะใช้เวลากับตัวเองในการปรับตัวให้คุ้นชินกับสภาพที่อยู่อาศัยใหม่มากกว่า
ให้เวลาสักหน่อยเดี๋ยวคงจะดีขึ้น

ผละออกมาได้ คริสก็ไม่สนใจจะเหลียวมองกลับไปอีกเลยนอกจากยกแขนขึ้นในอากาศ ยืดเส้นยืดสายไปตามประสา กะจะกลับไปบริหารร่างกายเหมือนก่อนที่เจเรมีจะเข้ามา ทว่าการหันหลังให้กับเจเรมีนั้นเป็นความคิดที่ผิด อีกฝ่ายที่มองอยู่กัดฟันกรอด นึกโทษคนตรงหน้าในใจ

ถ้าไม่เป็นเพราะนาย ฉันคงไม่มาเจออะไรอย่างนี้หรอก ตายซะเถอะไอ้เวร!

คิดแล้วก็รวบรวมแรงทั้งหมดพุ่งเข้าไปหาคนตรงหน้าทันที เสียงดังตึงตังเรียกให้คริสหันไปมองก่อนจะเอี้ยวตัวหลบได้ทันท่วงที ก่อนออกแรงผลักเจเรมีที่พุ่งเข้ามาไปกระแทกเข้ากับลูกกรงเหล็กเต็มๆ

ความเจ็บปวดนั้นไม่ได้ทำให้เจเรมีรับรู้ได้เลย สายตาตวัดกลับมาจับจ้องที่คริสอย่างขุ่นแค้น ใจอยากจะฆ่าคนตรงหน้าให้ตายอย่างเดียวเท่านั้น

หากไม่เจอคริส...
หากคริสไม่โผล่มาจนทำให้รู้ตัวว่าเป็นโอเมก้า...
ความตกต่ำอย่างนี้คงจะไม่เกิดขึ้น!

ชายหนุ่มผมบลอนด์ขบกรามจนขึ้นเป็นสันนูน จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหาคริสอีกโดยไม่ไตร่ตรองใดๆ ในหัวมีแต่จะเล่นงานคริสให้หายเดือดดาลเท่านั้น

คริสรู้ว่าตัวเองถูกปองร้าย

ก็แน่ล่ะ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ตระกูลเมอร์ซีตกที่นั่งลำบาก ถึงจะไม่ได้เป็นสาเหตุตรงๆ แต่ก็นับว่าใช่เหมือนกัน

พอเห็นเจเรมีพุ่งเข้าหา เขาก็เอี้ยวตัวหลบอีกครั้ง เจเรมีพลาดไประลอก ทว่าคริสไม่พลาด เขาไม่ปล่อยให้จอมวายร้ายคนนี้ทำตามใจตัวเองได้อีกต่อไป ทันทีที่เจเรมีพลาดท่า เขาก็ถลาเข้าไปทางด้านหลัง มือคว้าเอาท่อนแขนคนตรงหน้าไว้ก่อนจับมาพับไขว้หลัง ใช้ร่างกายตัวเองดันเข้าหาสุดแรงกระทั่งร่างของเจเรมีชนกับขอบเตียง แค่นั้นยังไม่พอ กดอีกฝ่ายให้ลงไปนอนกับฟูกด้วยการทิ้งตัวล้มทับอีก

เจเรมีร้องดังอั้ก พยายามจะเงยหน้าขึ้นมา ทว่าก็ถูกมือข้างหนึ่งของคริสกดที่ท้ายทอยแนบลงไป เรียกได้ว่าสภาพของเขาในตอนนี้ไม่สามารถขยับได้เลย

“ปล่อยนะเว้ย...อึ่ก”
ถึงจะขยับไม่ได้ก็ยังพยายามจะดิ้นรนทำให้คริสต้องออกแรงเพิ่มอีก ดีที่เขาตัวใหญ่กว่าเจเรมีอยู่พอสมควร ไม่อย่างนั้นคงจะเอาอีกฝ่ายไม่อยู่

คนอะไร บ้าดีเดือดเหลือเกิน

ทิ้งตัวกดทับอยู่อย่างนั้น กะให้เจเรมีหยุดคลั่งถึงจะปล่อย หากแต่ความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้เจเรมีอยู่นิ่งได้เลย เขายังคงขัดขืน พยายามดันคริสออกจากแผ่นหลัง โวยวายเสียงดังจนคริสชักจะรำคาญ

“ถ้านายหายบ้าเมื่อไหร่ ฉันจะปล่อย”
“ฉันหลุดไปได้เมื่อไหร่ นายตายแค่คริส ฟ็อกซ์!”
“ทำตัวดีๆ หน่อยน่า ยังต้องอยู่ด้วยกันอีกนานนะ”
“ไปตายซะ!”

คริสกลอกตา พูดอย่างไร เจเรมีก็ไม่ลดความคลั่งลงได้เลย เขาจึงต้องออกแรงเพิ่ม คราวนี้เจเรมีหยุดก่นด่าได้ฉับพลัน กลายเป็นร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดแทน

“บอกให้อยู่เฉยๆ ทำตัวดีๆ เข้าไว้แล้วจะดีเอง”

ใครมันจะไปเชื่อฟังวะ!

เจ็บใจ... ไม่เคยเจ็บใจอย่างนี้มาก่อน เขาเคยเป็นที่หนึ่งของคลาสเรียนวิชาศิลปะป้องกันตัวหรือการต่อสู้อะไรพวกนั้น หากแต่พอมาเจอคริส เขากลับพ่ายแพ้สิ้นรูป

การต่อสู้ตรงๆ คงจะใช้ไม่ได้กับคริสสินะ!?

ในหัวคิดแผนสกปรกเพื่อเอาคืนเป็นพัลวัน คริสรู้อยู่ว่าคนลักษณะอย่างเจเรมีคงจะไม่ยอมง่ายๆ ถ้าเขาเผลออีกเมื่อไหร่ มีหวังคงได้จู่โจมเป็นแน่ ดังนั้นวิธีที่จะทำให้เจเรมีตระหนักว่าการเล่นกับเขามันไม่สนุกก็คือ...

“อย่าลืมว่าฉันอยู่มาก่อน เป็นนักโทษความประพฤติดี สนิทกับผู้คุมขนาดนี้จะบอกให้เขาไม่จ่ายยาให้นายก็ได้ คงรู้แล้วสินะว่าฉันเป็นคนกุมอาการฮีทของนายอยู่ ถึงในแดนขังนี่จะมีแค่ฉันที่เป็นอัลฟ่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกนักโทษที่เป็นเบต้าจะไม่ทำอะไรนาย”

ถูกอย่างที่คริสพูด หากพวกนักโทษที่เป็นเบต้าเข้าใจว่าเจเรมีเป็นอัลฟ่า เขาก็จะได้รับการให้เกียรติและความเกรงอกเกรงใจเหมือนกับที่คริสได้รับ ทว่าถ้ารู้ว่าเป็นโอเมก้า อย่าหวังเลยว่าเจเรมีจะอยู่ในนี้ได้อย่างสุขสบาย ความเครียด ความกดดันของผู้ชายหลากหลายช่วงวัยจากการถูกกักขังมาเนิ่นนานย่อมต้องการที่ปลดปล่อยอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นเจเรมีจะลำบากเอา

หากแต่เจเรมีเป็นคนที่ยอมตาย ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี การเชื่อฟังคำพูดของคริสก็เท่ากับว่ายอมจำนน

แล้วมันเรื่องอะไรที่เขาต้องไปทำอย่างนั้นกัน!?

ดวงตาสีฟ้าสุกใสจ้องหน้าคริสอย่างก้าวร้าว พอเห็นคริสมองอยู่ก็แทบอยากจะจับอีกฝ่ายโขกกับข้างฝาให้ตายคามือ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ดิ้นขลุกขลักอีกครั้ง พอดิ้นไม่หลุดก็แผดเสียง

“สารเลวเอ๊ย!”
จากนั้นก็ถูกคริสออกแรงกดลงกับฟูกอีกครั้ง พลันส่งเสียงขู่อย่างใจเย็น
“ถือว่าเตือนแล้วนะ ถ้านายไม่ฟัง ตอนนายเป็นฮีท ฉันจะไม่ออมมือ เป็นคู่แห่งโชคชะตาของฉันด้วยไม่ใช่เหรอ คิดว่าจะฝืนสัญชาตญาณไปได้ง่ายๆ หรือไง”

สุดท้ายก็ใช้ความเป็นโอเมก้าของเจเรมีเป็นเครื่องมือต่อรอง

เจเรมีกัดฟันกรอดจนเส้นเลือดบริเวณกรามปูดโปน

ไอ้ทุเรศ!

เข้าใจว่าคริสหมายความว่าอะไร

คิดว่าการกดให้เขาอยู่ใต้ร่าง บังคับให้นอนถ่างขามันง่ายขนาดนั้นเลยหรือไง!?

ง่ายดายอยู่แล้ว เจเรมีรู้ดีว่าตอนเขามีอาการฮีท เขาควบคุมร่างกายและความต้องการของตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ไม่อย่างนั้นตอนที่เจอกับคริสครั้งล่าสุดคงไม่ทำอะไรทุเรศๆ ลงไปอย่างแน่นอน

ตอนนี้จึงทำได้แต่ก่นด่าคริสทั้งสบถ ทั้งด่าในใจออกมานับไม่ถ้วน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาสู้คริสไม่ได้ ไม่ว่าจะการเคลื่อนไหวหรือทักษะในการต่อสู้ แค่ปะมือกันครู่เดียวก็ดูออกแล้ว

ใช่... สู้ไม่ได้ถ้าหากสู้กันตรงๆ แต่ถ้าใช้วิธีสกปรกมันก็พอมีทางอยู่บ้าง

ทว่าเมื่อไหร่กันล่ะ...

เมื่อไหร่ที่เขาจะมีโอกาสได้ใช้วิธีสกปรกนั่น!?

ยิ่งครุ่นคิดจะเอาคืนก็ยิ่งทรมาน ความเดือดดาลทวีมากขึ้นกว่าเดิมในขณะที่คริสลอบถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นสีหน้าดื้อดึงแม้ว่าเจเรมีจะหยุดดิ้นแล้ว

ไม่ยอมถอดใจง่ายๆ อย่างแน่นอน...

คริสคิด หากแต่ไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืด สรุปเอาเองเพื่อตัดบท
 “เงียบอย่างนี้ ถือว่ายอมรับข้อเสนอ” ว่าก่อนจะถอยออกมา

เจเรมีร้องโอดโอยอีกคราเมื่อความรวดร้าวเข้าเล่นงาน การขยับแขนให้กลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมมันสร้างความเจ็บปวดมหันต์ให้เขาเป็นอย่างมาก ขณะที่คริสทำเพียงเหลือบมองเฉยๆ แล้วทิ้งตัวลงบนพื้น ทำท่าจะวิดพื้น หากแต่พอรู้สึกตัวว่าถูกสายตาเกรี้ยวกราดของเจเรมีมองอยู่ก็ร้องถาม

“วิดพื้นด้วยกันไหม?”

มีโอกาสเหมาะเมื่อไหร่จะฆ่าให้ตายเลยคอยดู!

เจเรมีทำได้เพียงข่มเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองคริสราวกับว่าจะฉีกอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ
คริสเห็นแล้วก็อดส่ายหน้าด้วยความระอาใจไม่ได้

เจ้านี่ยังต้องเรียนรู้วิธีใช้ชีวิตให้รอดจากสังคมอย่างนี้อีกเยอะ

แต่ก่อนที่จะไปแนะนำอะไร ตอนนี้พยายามคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดลงก่อนดีกว่า

“ว่ากันว่าการออกกำลังกายทำให้หลั่งสารโดพามีนซึ่งช่วยลดความเครียดลงได้ นายเอาแรงที่ยังเหลืออยู่มาใช้ให้ถูกวิธีน่าจะเป็นประโยชน์กว่าการพยายามฆ่าฉัน หรือไม่อย่างนั้นก็ไปพักผ่อนซะ พยายามไปตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ ฉันไม่ให้นายฆ่าได้ง่ายๆ หรอก”

แทนที่จะผ่อนคลาย ความหวังดีกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เจเรมีต้องกำหมัดแน่นมากขึ้นไปอีก

สงสัยจะเลือกใช้คำพูดผิดไปหน่อย

ใบหน้าของเจเรมีดูแข็งกร้าวน่ากลัว การคาดโทษผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเกิดมาเพื่อคู่กันฉายวาบเข้ามาในหัวจอมวายร้ายอย่างชัดเจน

ผยองดีนัก อย่าให้ถึงคราวฉันบ้างก็แล้วกัน

พ่อจะเล่นงานให้จมดินเลย!
---------------------------------
มาแล้วค่ะ ช่วงนี้ต้องอัพแบบกะปริบกะปรอยหน่อยนะคะ มีความเขียนไม่ทัน หลายเรื่องจัด 555 คงมาทีละครึ่งแต่มาบ่อยอะไรแบบนี้แทน ถ้ารอมา 100% เลย บอกได้เลยค่ะว่านานนนน
ตอนนี้เจมี่ของเราก็ยังดื้อดึงไม่เปลี่ยน แต่ถูกจับยัดเข้ามาในคุกก็ถือว่าดีอย่างนะ ได้อยู่ใกล้ผั-- //โดนเจมี่ตบ! 5555
ฝากฟีดแบ็กไว้หน่อยจ้า พรุ่งนี้จะมาอัพที่เหลือให้นะคะ ^^

หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 16-02-2017 22:37:44
นางมั่นหน้าเยอะไปค่ะเจเรมี่อะ บางครั้งจนมุมแล้วควรลดทิฐิบ้าง
แต่ก็ยังรอดูนางตกต่ำจนถึงที่สุดนะ หึหึหึ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: Nickybkk ที่ 16-02-2017 22:47:04
เริ่มรำคาญนิสัยและความรั้นของเจเรอมีมากขึ้นทุกที มีความสุภาพน้อย ความมีเหตุผลและความสามารถในการปรับตัวต่ำลงๆ จนทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่าทางบ้านของคริสเลี้ยงดูลูกมาได้ดีแค่ไหน
สาบานว่านี้คือคู่แห่งโชคชะตาจริงๆหรือนี่ สงสารคริสค่ะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: orange_object ที่ 17-02-2017 15:05:08
ว้ายๆ เผลอแป็ปเดียวถูกยัดเข้ามาอยู่ในกรงเดียวกับพ่อหนุ่มหมาป่าจ่าฝูงซะแล่ว บอกตามตรงมีความคาดหวัง คึคึคึ เจเรอมีจะทำให้ป๋าคริสตบะแตกได้อีกเมื่อไหร่น้อ/ส่วนสตินะคงทำให้แตกได้ทุกวันอยู่แล้ว นี่แค่วันแรก ชั่วโมงแรกก็ถูกป๋าคริสจับกดละ  เร้าใจปนสะใจอย่างบอกไม่ถูก 5555 ถูกจริตมาก

//โอเมก้าเวิร์ส คอนเซปต์นี้มีเจอหลายเรื่องอยู่ บางทีอ่านพร้อมๆกันก็มีมึน555 มันไม่ได้แชร์โลกกัน เกิดขึ้นคนละจักรวาล  เข้าใจถูกแล้วใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-02-2017 16:17:20
ว้ายๆ เผลอแป็ปเดียวถูกยัดเข้ามาอยู่ในกรงเดียวกับพ่อหนุ่มหมาป่าจ่าฝูงซะแล่ว บอกตามตรงมีความคาดหวัง คึคึคึ เจเรอมีจะทำให้ป๋าคริสตบะแตกได้อีกเมื่อไหร่น้อ/ส่วนสตินะคงทำให้แตกได้ทุกวันอยู่แล้ว นี่แค่วันแรก ชั่วโมงแรกก็ถูกป๋าคริสจับกดละ  เร้าใจปนสะใจอย่างบอกไม่ถูก 5555 ถูกจริตมาก

//โอเมก้าเวิร์ส คอนเซปต์นี้มีเจอหลายเรื่องอยู่ บางทีอ่านพร้อมๆกันก็มีมึน555 มันไม่ได้แชร์โลกกัน เกิดขึ้นคนละจักรวาล  เข้าใจถูกแล้วใช่มั้ยคะ

เข้าใจถูกต้องแล้วค่า แค่คอนเซ็ปต์เดียวกันเฉยๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 17-02-2017 17:20:10
เจเรมี่นี่น่าตีนะ :katai5:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: aommyga40 ที่ 17-02-2017 19:10:48
รอค่ะ เจมี่ น่าตีมาก
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 17-02-2017 20:02:32
เจม ใจเย็นนะคะ
ร่วมเตียง เอ้ย ร่วมห้องกับพี่เค้าดีๆ
55+
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-02-2017 22:54:44
พี่คริสต้องอยู่กับหมาบ้ากัดไม่เลือกไปอีกพักใหญ่ ๆ เลย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-02-2017 00:37:28
จัดการให้มันสำนึกเลยค่ะขุ่นคริส หมันไส้ความร้ายนางมาก  :hao7:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-02-2017 02:34:25
Episode 08: นักโทษเดนตาย[2]

การปลอบประโลมเจเรมีให้ยอมรับสภาพที่กำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่นัก การแนะนำวิธีใช้ชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยในสภาพสังคมคนคุกก็เช่นกัน เจเรมีไม่มีทีท่าว่าจะเปิดใจรับฟังใดๆ เลย แค่เห็นหน้าคริสก็แยกเขี้ยวจ้องจะงับคอแล้ว
คริสจึงไม่เข้าหาใดๆ ด้วยคิดว่าการอยู่ให้ห่างอย่างนี้จะเป็นการดีกว่า

พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เสียทั้งพลังงาน เปลืองทั้งน้ำลาย งั้นกลายเป็นมนุษย์ล่องหนก็แล้วกัน

แล้วก็ทำตามอย่างที่คิด ในใจภาวนาเอาไว้ว่าขอให้เจอโรมมาช่วยลูกชายตัวเองให้พ้นผิดจากข้อกล่าวหาเท็จเร็วๆ เขาจะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียทีเพราะไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องอยู่ในแดนขังแห่งนี้ไปจนตายอยู่แล้ว

ถ้าไม่มีโอกาสในการออกไปทวงอิสรภาพและความยุติธรรมคืนอีกตลอดชีวิตน่ะนะ...

สำหรับเจเรมี การใช้ชีวิตเยี่ยงนักโทษเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ ตอนใช้ชีวิตอยู่ด้านนอก การทำตามแบบแผนหรือตารางเวลาก็เป็นเรื่องที่น่ารำคาญสำหรับเขาอยู่แล้ว พอมาเจอการใช้ชีวิตอย่างนักโทษ เขายิ่งหัวเสียเข้าไปใหญ่ ทุกอย่างถูกกำหนดให้ทำตามตั้งแต่ตื่นยันเข้านอน

ชีวิตแบบนี้มันไร้ค่าชัดๆ!

อิสรภาพถูกริดรอนไปโดยสิ้นเชิง การถูกจองจำอย่างนี้สร้างความทรมานแก่จิตใจของเจเรมีเป็นอย่างมาก วันหนึ่งๆ เขาหัวเสียนับครั้งไม่ถ้วน แม้ว่าเขาจะเป็นคนตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้เอง แต่ก็นะ... คนมันไม่เคยอยู่ในระบบระเบียบใดๆ ซ้ำยังทำอะไรตามอำเภอใจตัวเองตลอดเวลาแบบนั้นจะไปอยู่ได้อย่างไรล่ะ

ใช้ชีวิตมาอาทิตย์หนึ่ง หนุ่มผมบลอนด์คนนี้ไม่มีการปรับตัวใดๆ เลยทั้งสิ้น พานจะไปหาเรื่องกับนักโทษคนอื่นๆ เป็นการระบายอารมณ์ยามไม่สบอารมณ์ที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่เขาต้องการอีกด้วย

คริสเห็นแล้วก็พยายามห้ามจนล้มเลิกความตั้งใจไปแล้ว เอาแต่มองอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เลยตามเลยด้วยหวังในใจว่าสักวันเจเรมีจะตระหนักได้ด้วยตนเอง

หากแต่การไม่พูดอะไรเลยยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ ในแดนขังแห่งนี้ใช่ว่านักโทษทุกคนจะอยู่เฉยๆ หายใจทิ้งไปวันๆ ได้ นอกจากระเบียบข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตามแล้ว ยังมีกิจกรรมให้นักโทษทุกคนทำทุกวันอีกด้วย

ไม่...ไม่ใช่กิจกรรม เรียกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำดีกว่า

มันเป็นพวกการทำความสะอาด การหมุนเวียนเปลี่ยนผลัดกันเป็นคนตักอาหารให้นักโทษด้วยกัน หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่ทัณฑสถานจัดให้ เจเรมีไม่แตะกิจกรรมพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย ถึงจะถูกบังคับ เขาก็เมินเฉย เรียกได้ว่ากินแรงคนอื่นสุดๆ จนใครต่อใครเริ่มเหม็นขี้หน้าชายหนุ่มคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว

เด็กใหม่ มีอิทธิพล กร่าง ไม่เห็นหัวใคร... กลายเป็นคำจำกัดความยามพูดถึงนักโทษน้องใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

คริสเห็นว่าขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ถึงตอนนี้จะยังไม่มีใครรู้ว่าเจเรมีเป็นโอเมก้านอกจากเขาและผู้คุมบางคน แต่การที่ชายหนุ่มคนนั้นวางตัวไม่สนโลกมันไม่เป็นการดีสำหรับตัวเองแน่

ถึงนักโทษคนอื่นๆ จะเป็นเบต้า แต่ก็ใช่ว่าเบต้าสวะพวกนี้จะไม่กล้าทำอะไรอัลฟ่าที่อยู่ในสถานะนักโทษเหมือนกันสักหน่อย
และนั่นก็ทำให้คริสอดเอ่ยปากออกมาไม่ได้เมื่อเขาเห็นว่าเจเรมีหลบมุมไปนั่งทำหน้าโกรธเคืองบนม้านั่งข้างสนามหญ้าหลังจากที่อีกฝ่ายสติแตกใส่ผู้คุมที่ลากเขามาทำความสะอาดสนามแห่งนี้ตามตารางกิจกรรมอย่างเช่นทุกวัน

หากแต่การที่คริสถือไม้กวาดมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ยิ่งทำให้เจเรมีหัวฟัดหัวเหวี่ยงมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“ทิ้งหน้าที่มาอย่างนี้ไม่ดีเลยนะ ไม่เห็นเหรอว่าคนอื่นๆ เขาก็ทำกัน”
“ไอ้เวรตัวไหนจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องของฉัน” น้ำเสียงแข็งกร้าวที่ตอบกลับมาบอกให้คริสรู้ทันทีว่าเจเรมีไม่เปิดใจเลย
กระนั้นก็ยังจะพูดต่อ

ทั้งที่ตอนแรกกะว่าจะไม่ยุ่งแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้...

“ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้านายจะไม่สนใจ แต่ในฐานะที่อยู่มาก่อน เรียกว่าอะไรนะ...อ้อ รุ่นพี่” คริสยกยิ้มเล็กน้อย ขำกับสรรพนามที่ใช้เรียกตัวเองก่อนพูดต่อ “ในฐานะรุ่นพี่คงต้องขอเตือนไว้ว่าการที่ไม่โอนอ่อนตามกฎระเบียบใดๆ เลย มันจะทำให้นายอยู่ยาก”

“ฉันก็อยู่ของฉันมาได้ นายจะมายุ่งอะไร ไสหัวไปไหนก็ไป”
เจเรมีไม่แยแสอยู่ดี น้ำเสียง สีหน้าและทุกถ้อยคำล้วนเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง คริสเหลือบมองใบหน้าได้รูปนั้นแล้วก็ย้อนกลับ

“เพราะนายเป็นคนแบบนี้ไม่ใช่เหรอถึงได้มานั่งอยู่กับฉันในที่แบบนี้”

คนฟังสะอึก ถูกอย่างที่คริสว่า เปิดโอกาสให้คริสพูดต่อ
“ถ้าอยู่ข้างนอก คนที่เพียบพร้อมไปหมดอย่างนาย จะทำอะไรมันก็ง่าย แต่สำหรับในที่กักกันอิสระอย่างนี้ มันไม่ง่ายนักหรอกนะ ถึงมันจะมีกฎเกณฑ์แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกคน นายควรยอมอ่อนลงบ้างจะได้เลี่ยงการเกิดปัญหา มัวทิฐิสูงอยู่อย่างนี้มันไม่เป็นการดีเลย”
“พูดอย่างกับว่าฉันจำเป็นต้องมีพวก”
“ก็หมายความว่าอะไรอย่างนั้น ทำให้คนอื่นเป็นมิตรกับนายหน่อย”

พอได้ยินคริสว่าอย่างนั้น แววตาของเจเรมีก็ดุดันยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะคว้าคอเสื้อของคริสแล้วออกแรงกระชากเข้ามาใกล้

ความจริงคริสจะปัดป้องหรือหลบเลี่ยงการจู่โจมของเจเรมีก็ทำได้ไม่ยาก หากแต่เขาไม่ทำ ปล่อยให้เจเรมีได้ทำตามใจคตัวเองเพื่อจะดูว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาแบบไหน

“เก็บคำพูดพวกนั้นไปบอกตัวนายเถอะ นายเองก็ไม่มีพวกเหมือนกัน อย่ามาสะเออะสอนคนอื่น”
สุดท้ายก็ไม่มีการอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย คำพูดของเขาดูไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

มาดัดนิสัยตอนนี้คงจะสายไปแล้วล่ะมั้ง...

“ไม่ฟังก็แล้วแต่นายละกัน ฉันถือว่าเตือนไปแล้ว” คริสว่าเนิบนาบ

ยิ่งฟังก็ยิ่งระคายหู เจเรมีเหวี่ยงคริสออกห่างจากตัวอย่างรำคาญใจ พลันผุกลุกขึ้น
“แค่เห็นหน้านาย ฉันก็ขยะแขยงแทบเป็นบ้า อย่ามาเสนอหน้าพ่นคำพูดทุเรศๆ ของนายใส่ฉัน นายมันก็ไม่ได้ดีจากฉันสักเท่าไหร่นักหรอก ไอ้ขี้คุก!”

คงจะลืมไปแล้วว่าตัวเองก็กลายเป็นคนขี้คุกเหมือนกัน คริสหัวเราะในลำคอเล็กน้อยให้กับคำปรามาสนั้น มองตามแผ่นหลังกว้างของคนตัวเล็กกว่าที่เดินก้าวฉับๆ หนีไปก่อนจะก้มลงเก็บไม้กวาดที่หลุดมือร่วงลงพื้นเมื่อครู่มาปัดกวาดตามหน้าที่ที่ได้รับหมายอีกครั้ง





 
การเตือนระหว่างเขากับเจเรมีจบลงแค่นั้นจริงๆ หลังจากนั้นคริสก็ปฏิญาณตัวเองไว้เลยว่าจะไม่ไปตักเตือนอะไรชายหนุ่มผมบลอนด์คนนั้นอีก เขาจะถือเสียว่าไม่ใช่เรื่องของเขาแม้ว่าการเห็นเจเรมีตกต่ำอย่างนี้จะรู้สึกเหมือนเห็นภาพสะท้อนของตัวเองตอนที่ถูกจับมาที่นี่ใหม่ๆ ก็ตาม

เขาเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำที่เปิดให้เฉพาะกลุ่มนักโทษที่ทำกิจกรรมทำความสะอาดได้ชำระเนื้อตัวกันโดยเฉพาะเพียงลำพัง ผ่านจากห้องแต่งตัวที่จำเป็นต้องปลดเปลื้องชุดนักโทษเอาไว้เข้ามายังด้านในได้แล้ว สายตาก็กวาดมองไปยังห้องน้ำขนาดกว้างที่มีเพียงฝักบัวเรียงรายกันโดยไม่กั้นเป็นห้องย่อยก่อนจะเลือกเอามุมในสุดเป็นที่ชำระล้างร่างกาย
ขณะที่เปิดฝักบัวให้สายน้ำไหลผ่านร่างกายเปล่าเปลือย คริสก็อดคิดไม่ได้เลยว่าบรรยากาศภายในห้องน้ำวันนี้มันดูแปลกกว่าปกติเหลือเกิน

ก็จะไม่ให้แปลกได้อย่างไร ปกติแล้วจะต้องมีผู้คุมเข้ามาคอยดูแลความเรียบร้อยขณะที่นักโทษอาบน้ำเพื่อป้องกันการก่อจลาจลสิ วันนี้ไม่มีใครเลยสักคน อีกทั้งนักโทษที่เข้ามาใช้ห้องน้ำนี้ก็ยังมีจำนวนน้อยกว่าจำนวนที่ทำกิจกรรมทำความสะอาดนี้ เรียกได้ว่าบางตาเลยทีเดียว

หรือว่าจะมีเรื่องอะไร...

ลางสังหรณ์ทำงานเป็นพัลวัน สายตาคอยสังเกตรอบตัวไปด้วย เผื่อว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล เขาจะได้ไหวตัวได้ทัน ซึ่งลางสังหรณ์ของเขาก็เป็นจริงเสียด้วยเมื่อจู่ๆ ก็เห็นนักโทษกลุ่มหนึ่งถือถังเหล็กเข้ามา ข้างในมีถ่านที่กำลังถูกจุดไฟและมีแท่งเหล็กขนาดยาวถูกเผาอยู่ในนั้น เขาจะไม่สนใจอะไรเลยถ้าหากนักโทษพวกนี้ไม่ใช่พวกกลุ่มขาใหญ่ประจำแดนขังแห่งนี้และสมองไม่มีคำถามขึ้นมาว่านักโทษพวกนี้ไปเอาข้าวของพวกนี้เข้ามาได้อย่างไร สำคัญกว่านั้นคือเอามาทำอะไร ดูเหมือนว่าวันนี้คนพวกนี้จะไม่ได้มีหน้าที่ทำความสะอาดและไม่ได้รับสิทธิ์ให้ใช้ห้องน้ำแห่งนี้ด้วย

ได้กลิ่นอายความชั่วช้าลอยโชยมาแตะจมูกอย่างรุนแรง...

คริสแกล้งอาบน้ำช้าๆ ตั้งใจจะรอดูว่าคนพวกนี้จะทำอะไร ในขณะที่นักโทษบางคนพอเห็นว่าใครโผล่เข้ามาก็พากันออกไปจากห้องน้ำด้วยความรวดเร็ว

หางตาเหลือบมองเป็นระยะกระทั่งคนพวกนั้นเตรียมการเสร็จ คริสเกือบจะถอดใจอยู่แล้วด้วยเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักที คิดในอีกแง่มุม การที่นักโทษขาใหญ่บางคนสามารถเอาอะไรเข้ามาในทัณฑสถานได้ก็เป็นเพราะมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็ดูไม่น่าจะแปลกอะไร หากแต่เขาก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อได้ยินเสียงโวยวายคุ้นหูดังเข้ามา
“ปล่อยนะเว้ย!”
“เวรเอ๊ย! ไอ้นี่มันแรงเยอะชะมัด มาช่วยกันจับหน่อยเร็ว!”

เสียงคุ้นหูไม่ใช่เสียงที่ดังตามมา หากแต่เป็นเสียงเรียกที่ร้องโวยวายดังมาตั้งแต่หน้าห้องน้ำก่อนที่ชายฉกรรจ์หลายคนจะรีบออกไปช่วยตามที่ถูกร้องขอ พอหันไปมองก็เห็นว่าคนที่ถูกจับเข้ามาคือเจเรมีในสภาพเนื้อตัวมีรอยฟกช้ำ คริสมั่นใจว่ารอยพวกนั้นไม่ใช่รอยเก่าที่ยังไม่จางหายไปอย่างแน่นอน หากแต่เป็นรอยใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน

ไม่นาน... อาจจะสักสิบห้านาทีหรือครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น

เตือนยังไม่ทันขาดคำเลย โดนเล่นงานเสียแล้ว

เผลอถอนหายใจพรืดออกมาด้วย แต่ดูจากสถานการณ์ เจเรมีไม่น่าจะถูกเล่นงานตามประสาพวกขาใหญ่ที่รับน้องใหม่ธรรมดาๆ เพราะไม่อย่างนั้นขาใหญ่คงไม่เกณฑ์พรรคพวกเป็นสิบคนมารุมกันอย่างนี้

คริสอ่านสถานการณ์ออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก่อนที่ขาใหญ่ซึ่งเป็นชายมีหนวดเคราเฟิ้มเขียวจะไปเอากระถางใส่น้ำที่เตรียมเอาไว้มาสาดใส่เจเรมีเพื่อให้หยุดดิ้น

เจเรมีชะงักไปเมื่อน้ำเย็นเยียบสาดเข้าเต็มใบหน้า พลันตวัดดวงตาเกรี้ยวกราดมองหน้าคนตัวการอย่างเอาเรื่อง
“อย่างกับหมาบ้า ถ้าไม่ใช่เพราะท่านนายพลแฮร์ริสันสั่งล่ะก็ ไม่น่าเข้าใกล้เลยแฮะ” อีกฝ่ายพูดทีเล่นทีจริง
คริสหรี่ตามองอย่างพินิจ ถ้าจำไม่ผิด หมอนี่โดนจับด้วยคดีอุกฉกรรจ์นับครั้งไม่ถ้วน คดีล่าสุดที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเหมือนกับว่าจะเป็นคดีฆ่าข่มขืนเด็กสาวอัลฟ่าของตระกูลหนึ่งอย่างวิปริตผิดมนุษย์มนาเข้า

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เจเรมีถูกลากตัวมา

คนพวกนี้คิดจะทำอะไร?

ยิ่งคิดก็ยิ่งสนใจ ความจริงก็อยากจะเข้าไปช่วยอยู่หรอกนะ แต่พรวดพราดไปก็ใช่ว่าจะดี อีกอย่างเขาเพิ่งถูกเจเรมีเฉดหัวมาอย่างนั้น ใครจะอยากเข้าไปช่วยกัน

“เฮ้ย ถอดเสื้อผ้ามันออก” หยอกเสร็จก็ออกคำสั่งลูกน้อง

ของมีคมถูกนำออกมาตัดเสื้อผ้าของเจเรมีอย่างรวดเร็ว คริสย่นคิ้ว

แม้แต่มีดก็เอาเข้ามาได้งั้นเหรอ?

อ้อ ลืมไป เมื่อกี้เพิ่งจะได้ยินว่านายพลแฮร์ริสันอยู่เบื้องหลัง

นายพลคนนี้ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ทำลายครอบครัวเขาและทำให้เขามาอยู่ในนี้เช่นเดียวกัน ไม่แปลกใจหรอกถ้าหากคำสั่งนั้นจะมาจากชายคนนี้ ได้ยินมาก่อนแล้วว่าเจเรมีเองก็เพิ่งจะไปเตะเจอตอใหญ่อย่างลูกชายตระกูลแฮร์ริสันเข้าเต็มๆ ไม่แปลกอยู่แล้วถ้าหากอีกฝ่ายจะเอาคืน

เอาคืนด้วยวิธีที่รุนแรงเสียด้วยสิ...

“ปล่อยนะไอ้พวกทุเรศเอ๊ย!”
เจเรมีใช้กำลังทั้งหมดที่มีขัดขืนสุดแรง แต่เขาคนเดียวจะไปสู้อะไรผู้ชายตัวใหญ่พอๆ กันตั้งหลายชีวิตได้ ไม่นานเสื้อผ้าก็ถูกกำจัดออกไปหมด ร่างกายเปล่าเปลือยทำให้เขารู้สึกถูกหยามเหยียดที่สุดในชีวิต อะไรไม่ว่า ไอ้หัวโจกดันมองส่วนกลางของร่างกายเขาแล้วผิวปากอีกด้วย
“ฮู้ ใช้ได้เลยนี่”

หัวคิ้วของเจเรมีย่นชนจนกัน กรามขับกันเป็นสันนูน ร่างกายที่ถูกยึดตรึงอยู่ถลาเข้าไปหาอย่างเอาเรื่องหากแต่ถูกกระชากไว้ให้อยู่กับที่ ทำเอาเจ้าตัวหายใจหอบแรงด้วยความกรุ่นโกรธไม่น้อย
“ไม่คิดว่าโอเมก้าจะใหญ่โตขนาดนี้” อีกฝ่ายยังพูดไม่หยุด

ความจริงมันน่าตกใจที่คนพวกนี้รู้ว่าเจเรมีเป็นโอเมก้า หากแต่บนใบหน้าของคนถูกเอ่ยถึงเพศที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดกลับไม่มีวี่แววของความตกใจเลยแม้แต่น้อย มันมีแต่ความเกลียดชังและขุ่นแค้น คนที่ตกใจเหมือนจะเป็นคนที่อยู่รอบข้างและเห็นเหตุการณ์นั้น
คริสพ่นลมหายใจออกมา

กะไว้อยู่แล้วว่าเรื่องที่เจเรมีเป็นโอเมก้าคงจะถูกเปิดโปงไม่ช้าก็เร็ว เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ แต่ก็นะ นายพลนั่นอยู่เบื้องหลังเศษเดนพวกนี้ ไม่ว่าอย่างไรความลับของเจเรมีก็ต้องถูกเปิดเผยอยู่แล้ว

“ปล่อยฉันซะไอ้พวกเลว” น้ำเสียงหยิ่งยโสหลุดออกจากริมฝีปากสวย

คนฟังเอียงคอ หัวเราะอย่างสมเพชกับการได้เห็นเหยื่อไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ก็พอรู้มาอยู่บ้างเหมือนกันว่านักโทษใหม่คนนี้เป็นพวกจอมวายร้าย ตอนแรกที่ได้ยินชื่อก็หวั่นใจว่าตำแหน่งขาใหญ่จะถูกยึดไปเพราะเจเรมีเป็นอัลฟ่า หากแต่พอรู้ข้อมูลใหม่มาว่าแท้จริงแล้วเป็นโอเมก้า เขาก็เกิดอยากเล่นสนุกด้วยขึ้นมาเสียอย่างนั้น ยิ่งนายพลแฮร์ริสันยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจมาให้ เขาก็ไม่รอช้าที่จะตกลงเพื่อแลกกับผลประโยชน์อันสะดวกสบายเหล่านั้นในการใช้ชีวิตอย่างคนคุก

“ฉันก็ไม่อยากจะเปลืองแรงจับแกมาทำอะไรอย่างนี้หรอกน่า แต่ก็ต้องเข้าใจนะว่ามันก็เพื่อผลประโยชน์” อีกฝ่ายว่าตรงๆ
“ไอ้สวะชั้นต่ำ” เจเรมีแค่นเสียง

ขนาดรู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากตระกูลไหน ยังกล้าทำถึงขนาดนี้ แม้จะเป็นโอเมก้า แต่อย่างน้อยคนพวกนี้ก็ต้องเกรงกลัวอำนาจของตระกูลเขาบ้างสิ!

หากแต่คิดผิดไปเสียหน่อย อย่างที่คริสเตือนก่อนหน้า ในคุกแห่งนี้ถึงจะมีระเบียบกฎเกณฑ์ แต่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ยิ่งการไม่ได้รับรู้ว่าโลกภายนอกเป็นไปในทิศทางใดแล้วก็ยิ่งเสี่ยง

อย่างในตอนนี้ท่าทางอำนาจของตระกูลเมอร์ซีคงจะค่อยๆ ถูกลิดรอนลงแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเดร็กคงไม่กล้าสั่งให้ทำอะไรกับเจเรมีถึงขนาดนี้

การทำอะไรที่ว่าดูเหมือนจะเป็นเรื่องสนุกของคนคุกพวกนี้เสียด้วย เพราะทันทีที่ได้ยินชายผมบลอนด์ตราหน้า พวกนั้นก็พากันหัวเราะเสียงขรม ก่อนที่คนเป็นหัวหน้าจะเดินไปจับด้ามเหล็กร้อนที่ถูกเผามาครู่ใหญ่ขึ้นมากระชับถือในมือและเขี่ยถ่านไปมา
“ฉันก็น้อมรับแต่โดยดีแหละนะว่าเป็นพวกชั้นต่ำ แถมเป็นเศษสวะอีกต่างหาก แต่แล้วยังไงล่ะ แกเองก็ต่ำพอๆ กันถึงได้มาอยู่ใต้หลังคาเดียวกับพวกฉันเนี่ย”

“ต้องการอะไร”
เจเรมีเห็นว่าไร้ประโยชน์ในการต่อล้อต่อเถียง เอ่ยถามออกไปทันทีที่ได้ยินเสียงถ่านเผาไหม้ เขาพอจะรู้ว่าอีกไม่นานต้องเกิดเรื่องร้ายกับตน สายตาจับจ้องไปยังแท่งเหล็กอย่างหวาดระแวงในขณะที่อีกฝ่ายโต้ตอบ

“ก็ไม่ได้ต้องการอะไรหรอก แค่ได้รับคำสั่งมาน่ะว่าให้จัดการประทับตรานาย เห็นนายพลแฮร์ริสันบอกว่านายเพิ่งจะอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์นี่ ตราประทับที่หัวไหล่ยังไม่มี พิธีประทับตาก็ยังไม่ได้เข้า พวกฉันก็เลยจะสงเคราะห์ให้ แต่ขอโทษด้วยนะที่ประทับตราอัลฟ่าให้ไม่ได้ พอดีว่านายเป็นโอเมก้า”

ประโยคหลังจงใจเน้นเสียงก่อนจะดึงแท่งเหล็กนั้นขึ้นมาจากถังเหล็ก เจเรมีเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าแท่งเหล็กนั้นมีส่วนปลายเป็นแบบใด

ส่วนปลายมีการดัดให้โค้งงอเป็นสัญลักษณ์โอเมก้า...

ไอ้เลวพวกนี้คิดจะสร้างรอยประทับอัปยศนี่ให้กับเขา!

ปกติแล้วพิธีประทับตราจะเป็นการสักเป็นสัญลักษณ์ของเพศตัวเองที่หัวไหล่ขวา ไม่ว่าจะเพศไหนก็ต้องมีการประทับตรา เพียงแต่การประทับตราของอัลฟ่าจะเป็นทางการในขณะที่เบต้าเป็นเพียงการสักเมื่ออายุครบกำหนดเท่านั้น ส่วนของโอเมก้ามีความแตกต่างเล็กน้อยตรงที่แค่รู้ว่าเป็นโอเมก้าก็สักได้แล้ว และมีการสักรอยจุดเล็กๆ เพื่อให้รู้ว่าผ่านการครอบครองมาแล้วกี่คน
เป็นความอยุติธรรมทางวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาอย่างช้านาน

และเป็นความอยุติธรรมสำหรับเจเรมีด้วยที่เขาไม่ได้รับการสัก แต่ถูกเหล็กร้อนนาบแทน!

เรื่องอะไรที่เขาจะยอมกัน!

เห็นอย่างนี้แล้วก็พอจะรู้ว่าต่อให้เจอโรมวิ่งเต้นเอาตัวเขาออกจากที่นี่เพียงใด เดร็กก็คงไม่ยอมปล่อยมือง่ายๆ แน่ เล่นงานเขารุนแรงถึงขนาดนี้ทั้งที่ใช้ชีวิตได้เพียงอาทิตย์เดียว ดูท่าจะเป็นการยากที่จะกลับออกไป ดังนั้นเจเรมีจึงรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีขัดขืนอย่างเต็มความสามารถ

“ปล่อยฉันนะเว้ย! ปล่อย!”
“จับมันไว้แน่นๆ” ก่อนที่ทุกอย่างจะยุ่งยาก คนเป็นผู้นำก็ออกปากสั่ง

ใช้เวลาไม่นาน เจเรมีก็ถูกตรึงให้อยู่กับที่ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นเหล็กร้อนที่ถูกเผาจนแดงถูกยกออกมาจากถังเหล็กนั่น และร้องสุดเสียงทันทีที่ความปวดแสบปวดร้อนวางระนาบลงมาที่หน้าท้องน้อยบริเวณด้านขวา ทำให้ต้องดิ้นทุรนทุรายอย่างไม่อาจห้ามได้ ร่างกายที่ถูกตรึงไว้ดิ้นพล่านอีกครั้ง การออกแรงดิ้นหนีสุดชีวิตทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ที่ตรึงร่างเขานิ่งๆ อยู่ต้องออกแรงมากกว่าเดิมเช่นกัน

แท่งเหล็กร้อนกำลังสร้างรอยบาดแผลให้กับผิวเนื้อ กลิ่นเหม็นไหม้ลอยเข้ามาแตะจมูกกระตุ้นความโกรธแค้นให้กับเจเรมีจนต้องหลั่งน้ำตา

ความเลวร้ายของการเป็นโอเมก้ามันไม่ได้แย่เท่ากับการถูกกระทำราวกับไม่ใช่มนุษย์เลยแม้แต่น้อย...

ที่มันเลวร้ายสุดกู่ไม่ใช่เพราะว่าเป็นโอเมก้า แต่เพราะ ‘เขา’ ดันเป็นโอเมก้าต่างหาก

เขาไม่ใช่วัวแม่พันธุ์ในฟาร์มสักหน่อยถึงต้องมาโดนประทับตราอย่างนี้!

เสียงร้องโหยหวนยังคงดังอย่างต่อเนื่อง พักใหญ่ทีเดียวกว่าที่เหล็กร้อนนั่นจะถูกดึงออกห่างจากผิวเนื้อของเจเรมีได้ รอยแดงๆ จากการถูกของร้อนนาบปรากฏให้เห็นเต็มตา

สัญลักษณ์ของโอเมก้า...

ตอนนี้เจเรมีเป็นโอเมก้าอย่างเป็นทางการแล้ว...

“กว่าจะเสร็จ เล่นเอาแทบแย่เหมือนกันนะเนี่ย” หัวโจกของกลุ่มร้องบอก ทำท่าปาดเหงื่อเป็นการประกอบคำพูด เขาหมายถึงการที่เจเรมีดิ้นคล้ายกับว่าจะอาละวาดจนต้องใช้ชายหนุ่มตัวไล่ๆ กันอีกหลายคนในการตรึงให้อยู่กับที่น่ะ

“เอามือโสโครกของพวกแกออกไป!” ตั้งสติได้ เจเรมีก็แผดเสียงลั่น ไม่สนใจน้ำหูน้ำตาที่ไหลอาบหน้าเลยแม้แต่น้อย
อากัปกิริยาที่ไม่ยอมอ่อนลงเลยของเขาทำให้อีกฝ่ายหัวเราะ ทิ้งตัวลงนั่งยอง ใช้มือข้างหนึ่งเชยคางมนขึ้นพลางยิ้มเย้ย
“เป็นโอเมก้าก็อย่าซ่าให้มันมากนักซี่ แกไม่ใช่อัลฟ่าอีกต่อไปแล้วนะคุณหนูเมอร์ซี”

คำพูดนั้นเรียกเสียงหัวเราะของคนอื่นได้ขรม เว้นก็แต่เจเรมีที่กัดฟันกรอด ก่อนจะสะบัดหน้าหนีและใช้จังหวะที่คนตรงหน้าเผลออ้าปากงับนิ้วมือที่บังอาจมาแตะต้องเขาเต็มแรง

ด้วยอารามตกใจ อีกฝ่ายรีบสะบัดมือออก พอหลุดจากแนวฟันคมของเจเรมีก็เห็นรอยกัดพร้อมกับเลือดที่ไหลซิบเต็มตา
“ไอ้เวรเอ๊ย!”

เพียะ!

ฝ่ามือกระแทกเข้าที่ซีกหน้าของเจเรมีทันที แรงสะบัดทำให้เจเรมีหันไปตามทิศทางกระแทก ในปากมีรสคาวของเลือดหลั่งออกมาให้ได้ลิ้มรส หากแต่เจเรมีไม่สะทกสะท้านใดๆ ตวัดดวงตาเกรี้ยวกราดกลับมามอง แสยะยิ้มใส่อย่างชั่วร้าย
“โดนกัดแค่นี้ถึงกับทนไม่ไหวเลยหรือไงไอ้สถุน”

ผู้ชายคนนี้หวาดกลัวอะไรกับเขาเป็นบ้างไหมนั่น? ทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิมชัดๆ เลย

การกระทำของเจเรมีทำเอาคนที่ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ อดคิดไม่ได้ และเขาคงไม่รู้ว่าการพูดอย่างนั้นมันไปกระตุ้นโทสะของนักโทษหัวโจกได้เป็นอย่างดี
“ปากดีนี่ งั้นลองดูหน่อยไหมล่ะว่าถ้าแกโดนฉันทำบ้าง แกจะทนไหวไหม”

แน่นอนว่าไม่ใช่การกัดนิ้วคืน คนคุกพวกนี้ไม่เล่นอะไรเหมือนเด็กหรอก มันต้องรุนแรงกว่านั้น

ไม่สิ... รุนแรงเป็นอย่างมากเลยล่ะ มีโอเมก้าหลุดเข้ามาในแดนขังที่เต็มไปด้วยเศษเดนสังคมอย่างนี้ ถึงจะเป็นเบต้าแต่การกดขี่ข่มเหงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มันก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าหากจะทำ อย่างที่บอกว่าพวกสวะนี่ต้องการการปลดปล่อย นอกจากการระบายอารมณ์ด้วยการทำร้ายร่างกายพวกที่อ่อนแอกว่าแล้ว บางครั้งก็เลยเถิดไปถึงขั้นคุกคามทางเพศเหมือนกัน

ซึ่งมันเกิดขึ้นประจำ...ด้วยฝีมือของนักโทษหัวโจกคนนี้

เพราะพูดอย่างนั้น หัวโจกจึงหันไปพยักปลายคางให้กับบรรดาลูกสมุน

“กดมันลงพื้นซิ”

เท่านั้นเจเรมีก็ถูกกดให้นอนคว่ำลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว เขาพยายามดิ้นหนีสุดชีวิต พวกเดนมนุษย์พวกนี้จะต้องข่มขืนเขาแน่ ถึงจะเป็นเบต้า มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีเพศสัมพันธ์กับอัลฟ่าหรือโอเมก้าไม่ได้ เพียงแต่อัลฟ่ามักไม่นิยมครองคู่กับเบต้า และโอเมก้าก็ไม่สามารถตั้งครรถ์โดยน้ำเชื้อของเบต้าได้

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ถือว่าเป็นการล่วงล้ำและละเมิดสิทธิในร่างกายที่เลวร้ายที่สุดอยู่ดี!

จะไม่ยอมให้ตัวเองอัปยศไปมากกว่านี้อีกแล้ว!

“ปล่อยนะเว้ยไอ้พวกทุเรศ!”

เจเรมีร้องลั่นทันทีที่รู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบของผิวกระเบื้องที่แผ่ซ่านไปทั่วหน้าท้อง เสียงผิวปากดังออกมาจากใครสักคนทันทีที่ได้เห็นผิวเนียนบริเวณบั้นท้าย... ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าทั่วเรือนร่างเลยต่างหาก บ่งบอกให้รู้ว่าเขาได้รับการเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีเลยทีเดียวสำหรับโอเมก้า หากแต่เจเรมีไม่ได้สนใจ ดิ้นหนีเอาตัวรอดเท่าที่จะทำได้ ออกแรงสะบัดสุดแรง ทว่าก็ไม่อาจสู้แรงของชายฉกรรจ์หลายชีวิตที่ทิ้งน้ำหนักลงมาบนตัวเขาเพื่อไม่ให้ขยับได้เลย

“อย่าดื้อด้านน่า โอเมก้าเขาไม่แข็งข้อกันหรอก ทำตัวดีๆ แล้วแกจะได้อยู่อย่างสุขสบาย ฉันจะดูแลแกเอง” หัวโจกว่า พลางหันไปร้องสั่งให้คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องและเป็นพวกของตนไสหัวออกไปจากห้องน้ำ

ไม่ต้องให้พูดซ้ำสอง พวกที่ไม่มีอิทธิพลอะไรในแดนขังแห่งนี้ที่ยังหลงเหลืออยู่รีบพากันออกจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว จะมีก็แต่คริสเท่านั้นที่ยังยืนมองอยู่ที่เดิม

โง่เง่า... ทั้งเจเรมี ทั้งไอ้เวรพวกนั้น โง่เง่ากันทั้งหมด...

คริสอดคิดอย่างนี้กับการกระทำไร้สาระพวกนั้นไม่ได้ ทนมองดูเพราะไม่อยากยื่นมือเข้าไปแส่ตั้งนาน แต่พอเห็นคนพวกนั้นพากันทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม เขาก็อดออกปากไม่ได้

ไม่ใช่ออกปากในทันที ออกปากเมื่อเห็นว่าหัวโจกของสวะพวกนั้นปลดตะขอกางเกงตัวเองออก สอดมือเข้าไปล้วงความเป็นชายออกมาให้สาธารณะเห็น

“อยากจะรู้นักว่าโอเมก้าหยิ่งผยองอย่างนายจะครางด้วยน้ำเสียงแบบไหน”

พวกสารเลว!

เจเรมีก่นด่าในใจ ฟันกรามกัดเข้าหากันกรอด เขาโกรธแค้นทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เขาและครอบครัวต้องตกต่ำไปหมด
เจเรมีหมายมั่นปั้นมือเลยทีเดียวว่าถ้าเขาหลุดออกจากสภาพทุเรศตรงนี้ไปได้ ไอ้คนพวกนี้ที่ทำให้เขาต้องเผชิญชะตากรรมเลวร้ายจะต้องไม่มีลมหายใจเหลือ หากแต่ในวินาทีที่หัวโจกของแดนขังกำลังจะเดินเข้ามาหาเจเรมี เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น

“เลิกเล่นกันได้แล้วน่า”
เสียงของคริส...

ไม่เห็นหน้าก็จำได้ว่าเป็นเสียงของเขา

ทุกชีวิตหันไปมองยังต้นเสียงทันที พอเห็นว่าเป็นคริสที่ยืนกอดอกมองอยู่ หัวโจกก็ว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“เสนอหน้าอยู่ที่นี่ทำไม ฉันบอกให้ไสหัวไปให้หมดไม่ใช่หรือไง”
“ฉันไม่ใช่ลูกกระจ๊อกของแก” คริสว่า ซึ่งก็จริง เขาไม่เคยอยู่ใต้อำนาจของหัวโจกแดนขังคนนี้ หรืออาจจะเรียกได้ว่าหัวโจกกับเศษเดนสมุนพวกนั้นไม่กล้าแหยมกับเขามากกว่าแม้ว่าเขาจะเป็นพวกหัวเดียวกระเทียมลีบ

เป็นอัลฟ่าคนเดียวที่อยู่ในแดนขังที่เรียกได้ว่ารวมเศษสวะเอาไว้ ซ้ำยังเป็นนักโทษชั้นดี มีเส้นสายเป็นผู้คุมที่มีอำนาจในการควบคุมบรรดานักโทษ แบบนี้จะน่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้อย่างไร!?

หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[50% UPDATE] [16/02/60
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-02-2017 02:35:06
Episode 08: นักโทษเดนตาย[3]

ความจริงไม่ใช่มีแค่นั้นที่เป็นปัจจัยซึ่งทำให้คริสไม่น่าเข้าไปยุ่งด้วย มันยังมีเรื่องความร้ายกาจของคริสอีก

เข้าคุกมาด้วยข้อหากบฏและถูกยัดเยียดคดีฆาตรกรรมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมตัวเขาหลายนายก็จริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากเข้ามาอยู่ในแดนขังแห่งนี้เขาก็ลงมือฆ่าไปเหมือนกัน หากแต่ไม่ใช่คนบริสุทธิ์

...เป็นไอ้หัวโจกรุ่นก่อนที่พยายามจะจับเด็กใหม่อย่างเขามาเป็นที่ระบายอารมณ์ทางเพศ

ฆ่าด้วยมือเปล่าทั้งที่อีกฝ่ายรูปร่างสูงใหญ่กว่ามาก วีรกรรมของเขาเสมือนเป็นการประกาศให้นักโทษชนชั้นเบต้าพวกนี้รู้ว่าอย่าได้มาแหยมกับอัลฟ่าอย่างไรอย่างนั้น ซ้ำยังไม่ใช่แค่คนเดียว มีหัวโจกอีกหลายคนที่ต้องออกจากแดนขังแห่งนี้ไปในสภาพไร้ลมหายใจเพียงเพราะไปท้าทายเขา

เรียกว่าเขาร้ายกาจอย่างที่สรรหาคำพูดใดๆ มาบรรยายไม่ได้เลยล่ะ ดีที่คริสไม่เคยทำใครก่อน แต่ถ้าใครมารังแกเขาเมื่อไหร่ ก็อย่าได้หวังว่าจะมีลมหายใจไปถึงวันพรุ่งนี้

นับจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้ายุ่งกับเขาอีกเลย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ผลักดันตัวเองขึ้นเป็นขาใหญ่ของแดนขังแห่งนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าข่มเหงเขาอีกจนมีคำกล่าวว่า ‘ถ้าหากอยากฆ่าตัวตายล่ะก็ ลองไปปล้ำ คริส ฟ็อกซ์ สิ’ เลยทีเดียว

และการที่คริสยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องไม่ควรยุ่งอย่างนี้ ทำให้พวกนักโทษที่ได้รับการไหว้วานมาแสดงท่าทางอึดอัดออกมาไม่น้อย
ก็แน่ล่ะ ตัวเกะกะตัวเป้งเข้ามายุ่งอย่างนี้ การทำตามคำสั่งของคนจากตระกูลแฮร์ริสันมันต้องไม่ราบรื่นอยู่แล้ว

สถานการณ์ที่ดูเหมือนหยุดชะงักและบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนไปทันตาทำให้เจเรมีรู้สึกได้ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมแต่ก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าพวกผู้ชายที่ใช้กำลังกับตนอยู่เกรงกลัวคริสไม่น้อย

“ไม่ใช่เรื่องของแก อย่าแส่เข้ามา” กระนั้นหัวโจกก็ทำใจกล้า ออกปากไล่ไป
คริสถอนหายใจ ระอากับพวกคนที่พูดไม่รู้เรื่องเสียเหลือเกิน ก่อนจะเปิดปาก
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งหรอกนะ แต่ฉันว่าพวกแกจะทำเกินกว่าคำสั่งไปแล้ว คำสั่งมันแค่ประทับตราสัญลักษณ์โอเมก้าไม่ใช่หรือไง”
“ก็บอกว่าอย่าแส่! ฟังไม่รู้เรื่องหรือไงวะ!”

พูดดีๆ แล้วเหมือนจะไม่รู้เรื่อง พวกชั้นต่ำนี่มันน่ารำคาญแฮะ

ปกติแล้วคริสไม่ดูถูกใครเขาหรอก แต่ในกรณีนี้มันอดไม่ได้จริงๆ ยิ่งเหลือบไปมองเจเรมีที่ผงกศีรษะขึ้นมามองเขาด้วยแล้ว เขาก็ต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งวุ่นวายอย่างไม่มีทางเลือก
สายตาคู่นั้น...แข็งกร้าวแต่ทว่าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
สีหน้านั่น...ดื้อดึงไม่เปลี่ยนแปลงแต่เจื่อนจนซีดราวกับกระดาษ

แล้วอย่างนี้เขาจะแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้อย่างไร...

“ไสหัวไปก่อนที่ฉันจะลงมือกับแก อย่าคิดว่าผู้คุมให้ท้ายแล้วพวกฉันจะกลัวนะ!” อีกฝ่ายตะคอกใส่
คริสเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียงอีกแล้ว คลายท่อนแขนที่กอดอกออกมาดัดนิ้วเพื่อยืดเส้นยืดสายพลางว่าไปด้วย

“ก็บอกแล้วว่าฉันไม่ได้อยากจะยุ่ง” ตามด้วยสะบัดคออีกสองสามที ก่อนจะก้าวเข้ามาจ้องหน้าคู่สนทนาตรงๆ ด้วยสายตาเย็นเยือก “แต่คนที่พวกแกกำลังจะข่มขืนเป็นคู่แห่งโชคชะตาของฉัน ต้องขอโทษด้วยถ้าฉันอยากจะปกป้องคนของตัวเอง”

โอเมก้าคนนี้เป็นคนของคริส ฟ็อกซ์ อย่างนั้นเหรอ!?
---------------------------------
ตอนนี้เขียนยาวไปหน่อย ล่อไป 18 หน้าเลยต้องตัดตอนไปต่อตอนหน้านิดนึง
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วย เดี๋ยวพรุ่งจะมาอัพเดตตอนใหม่ให้เน้อ XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[100% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 18-02-2017 08:36:55
โอ๊ยยยย
เจมมมมมม หนูผ่านไปให้ได้นะลูกกก
โธ่ เจมของเจ๊
ดีนะที่คริสมาช่วย
ใช่ซื คนของคริส ฟ๊อกซ์
ชอบประโยคนี้จัง
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[100% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 18-02-2017 09:48:31
หายพยศมั้ยเนี่ย น่าให้โดนล่อตูดก่อน
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[100% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-02-2017 09:50:52
มาต่อเลยได้ไหม?

ฉันแทบจะทำตัวเป็นไอน้ำอยู่ในห้องน้ำนี้แล้ว ลุ้นสุด ๆ

เจเรมียังคงโง่เหมือนเคย เยาว์วัย ไร้เดียงสา และเห็นแก่ตัว

พี่คริสของน้อง พี่ช่างเท่บาดใจ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[100% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 18-02-2017 09:57:21
ถ้าเจมฟังคริสตั้งแต่แรกก็คงไม่เลวร้ายขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[100% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-02-2017 10:04:02
ขอให้แม่ยกใจร่มๆ ตอนหน้าขุ่นคริสจะได้เอาคืนอย่างสาสม 555
ตอนนี้พักเบรกมาแปะโฉมหน้าของสองหนุ่มให้ยลกันค่ะ

แว้บบบบบ
(https://scontent.fbkk2-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/16830623_1214623131926871_477686858517927737_n.png?oh=4788d99b02259872edf04946e270f7bb&oe=5945AB5B)

หน้าตาเจมี่ชั่วร้ายมากกก ขุ่นคริสหน้าสวยกว่าเมียอี๊กกก 555

ใครยังไม่เคยติดตามแฟนเพจ เข้าไปกดติดตามกันได้ที่นี่นะคะ https://www.facebook.com/NooDangzzz/
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[100% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-02-2017 10:22:55
เอาให้มันสำนักค่ะคุณคริส ไม่ใช่แก๊งหัวโจกนะ นังเจมี่ ให้รู้ซะบ้างว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ไม่รอดแน่  :mew5:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.08[100% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-02-2017 19:04:25
Episode 09: ความคุ้มคลั่งของอัลฟ่า[1]

คนฟังอยากจะตัดใจ ถอยออกมาเสียเดี๋ยวนี้แต่ก็เกรงว่าจะเสียหน้า สุดท้ายก็ออกปากไล่อีกครั้ง
“ยังไงก็แล้วแต่ อย่าเข้ามายุ่ง!” สู้มือเปล่าคงจะไม่ไหว คว้ามีดจากลูกน้องมาถือขู่ด้วย
คริสมองแล้วก็กรอกตา ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

คิดว่ามีดสั้นนั่นจะทำอะไรเขาได้หรือไง

“ถ้าขืนยังแส่เข้ามายุ่ง พ่อจะแทงไม่เลี้ยง!”

คริสเม้มริมฝีปากคล้ายกับว่ากำลังควบคุมอารมณ์ เห็นคนตรงหน้ากวัดแกว่งมีดแล้วก็ระอา

โง่เง่าสุดจะบรรยาย...

รำคาญขึ้นมากกว่าเดิมด้วย ดังนั้นเขาจึงคิดจะจบเรื่องตรงหน้าให้เร็วที่สุด อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอ พุ่งพรวดเข้าไปจับข้อมือที่ถือมีดอยู่พลิกให้แขนไขว้หลัง พอเขาซ้อนข้างหลังอีกฝ่ายได้ก็จัดการเตะเข้าไปที่ข้อพับขาเพื่อให้ล้มลงไป จากนั้นถึงได้กดลงกับพื้น ตอนนี้หัวโจกนั่นอยู่ในท่าเดียวกับเจเรมีไม่มีผิด ต่างกันนิดเดียวตรงที่บริเวณคอหอยของหัวโจกนั่นมีคมมีดเงาวับจ่ออยู่ด้วย

เห็นแล้วก็เบิกตาโพลง ไม่รู้ว่าตนทำมีดหลุดมือตอนไหน แต่การที่มันไปอยู่ในมือคริสอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดีแน่

ฆ่าด้วยมือเปล่ายังทำมาแล้ว มีอาวุธอยู่ในมือ คิดไม่ออกเลยว่าสภาพศพจะน่าสยดสยองขนาดไหน!

“ฉันถือว่าพูดดีๆ แล้วนะ”
ได้ยินเสียงคริส ทุกชีวิตที่เห็นภาพตรงหน้ายกเว้นเจเรมีก็เสียวสันหลังวูบขึ้นมา ถึงจะมีกันหลายคน แต่ใครล่ะจะไปกล้าต่อกรด้วย สำหรับคริสน่ะ เขาไม่มีอะไรที่จะต้องเสียอยู่แล้ว จะรับโทษหนักขึ้นอีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตายในแดนขังแห่งนี้อยู่แล้ว
“ปะ...ปล่อย...” หัวโจกที่ถูกกดลงพื้นเสียสิ้นท่าเปล่งเสียงออกมา

ไม่ได้หมายถึงให้คริสปล่อยเขา ทว่า...
“ปล่อยไอ้เด็กนั่นซะ...เดี๋ยวนี้!”

ไม่ต้องให้พูดซ้ำ บรรดาชายที่ตรึงเจเรมีอยู่พากันถอยกรูดทันใด ก่อนจะพากันกรูออกไปข้างนอกเมื่อคริสว่าเสียงเรียบ
“อย่ามาให้เห็นหน้าอีก”

แทบจะในพริบตาเลยทีเดียว ทิ้งลูกพี่ให้คริสได้ข่มขู่เพียงลำพังอีกเล็กน้อย
“ส่วนแก... อย่าแตะต้องคนของฉันอีก ฉันจะไม่เตือนเป็นครั้งที่สอง”
จากนั้นถึงผุดลุกขึ้นยืน ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ

เมื่อเคลื่อนไหวได้ก็ไม่รั้งรอที่จะอยู่อีกต่อไป ส่งสายตาขุ่นแค้นให้กับคริสเล็กน้อยก่อนจะรีบตามคนอื่นๆ ไปข้างน้อย
เอาเถอะ อย่างน้อยก็ถือว่าหน้าที่ของเขาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีแล้ว

คริสยืนนิ่งกระทั่งในห้องน้ำเข้าสู่ความเงียบถึงได้เหลือบไปมองเจเรมีที่พยายามจะดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง สภาพร่างกายอ่อนแอจากการถูกซ้อมและใช้แรงต่อสู้ขัดขืนเป็นอย่างมากเมื่อครู่ทำให้เขาทรงตัวได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก แค่ยันตัวเองขึ้นด้วยสองขาก็ล้มไม่เป็นท่าแล้ว

คริสควรจะเมินเฉยแล้วจบทุกอย่างเพียงแค่นี้ แต่เห็นสภาพของเจเรมีแล้วก็นึกเห็นใจขึ้นมา

เหมือนเขาตอนมาอยู่ที่นี่แรกๆ จริงๆ

โดดเดี่ยว ไม่มีใครช่วยเหลือ ต้องเอาตัวรอดด้วยตัวเอง... เขาไม่อยากให้เจเรมีต้องเผชิญความเลวร้ายเหมือนเขาด้วยรู้ดีว่ามันยากมากกว่าที่จะผ่านมาได้ และคนอย่างเจเรมีคงทำไม่ได้ง่ายๆ แน่

เพราะเหตุผลนี้เขาถึงตรงเข้าไปพยุงหนุ่มผมบลอนด์ให้ยืนขึ้น เจเรมีเบนหางตาไปมอง ออกแรงสะบัด

“อย่ามายุ่ง”
“คำที่นายควรพูดควรจะเป็นขอบคุณมากกว่า มานี่ ฉันช่วย”
ไม่ฟังไม่พอ ยังมีหน้ามาสอน ซ้ำยังพยุงอีกฝ่ายไปนั่งพิงกำแพง

เจเรมีทำหน้าเหยเกเมื่อความเจ็บแปลบแล่นพล่านทันทีที่ขยับตัว เจ็บตามใบหน้าและร่างกายส่วนอื่นที่ถูกของแข็งกระแทกยังไม่เท่าไหร่ เจ็บที่สุดคือบริเวณรอยแผลที่หน้าท้องน้อยและที่ใจ

ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจ็บใจอะไรขนาดนี้มาก่อนเลย!

เจ็บเสียจนน้ำตาไหลออกมาอีกระลอก เขาอยากจะฆ่าคนที่ทำกับเขาเสียให้หมด แต่ตอนนี้พอจะรู้แล้วว่าแท้จริงแล้วเขาไม่ได้มีอำนาจอะไรเลย ความกร่างที่เขามีล้วนแล้วแต่เป็นภาพที่เขาคิดขึ้นมา แม้แต่อิทธิพลของบิดาก็ไม่ใช่ของจริง

ถ้าเป็นของจริง เขาคงไม่ได้มาอยู่ในที่แบบนี้แล้วก็ไม่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย

ไม่รู้จะโทษใครดีก็เอาแต่โทษคนตรงหน้าขณะที่คริสมองแล้วก็อดพูดไม่ได้

“ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าการไม่ยอมโอนอ่อนเลยมันทำให้นายอยู่ยาก ถ้าฉันไม่เข้ามาช่วย รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“แล้วมันเพราะใครล่ะ” สุดท้ายก็โทษคริสอยู่ดี

โทษทุกคน ยกเว้นตัวเอง...

คริสรู้เรื่องนี้ดี เขาก็ไม่ได้หวังให้เจเรมีเข้าใจหรือแก้ตัวใดๆ หรอก นอกจากอยากให้เจเรมีตระหนักถึงการกระทำตัวเองเท่านั้น
“จะเพราะฉันหรือเพราะใคร มันไม่ใช่เรื่องที่นายจะมาใส่ใจ เรื่องที่นายควรใส่ใจน่ะคือความลำบากของคนที่รักนายมากกว่า ป่านนี้พ่อของนายคงวิ่งเต้นช่วยนายน่าดู ส่วนแม่... ร้องไห้จนจะขาดใจแล้วมั้ง”

การพูดอย่างนั้นไม่เข้าหูเจเรมีเลยแม้แต่น้อย แต่ก็จริงอย่างที่คริสว่า ก่อนเขาจะเข้ามาที่นี่ เขาเห็นมารดาร้องไห้จนเป็นลมหลายต่อหลายครั้งในขณะที่บิดาเองก็หน้าตาหมองคล้ำเพราะเครียดเรื่องการช่วยเหลือเขาทุกวี่วัน

หรือทั้งหมดมันจะเริ่มต้นจากเขาจริงๆ?

เริ่มจะฉุกใจคิดขึ้นมาตอนนี้บ้างแล้ว ทว่าลึกๆ ในใจก็ยังต่อต้านและกล่าวโทษคริสอยู่ร่ำไป และก็ต้องหงุดหงิดอีกเมื่อคริสเอ่ย
“แล้วนายขอโทษเจอโรมหรือยัง”
“เรื่องของฉัน”
“พูดอย่างนี้แสดงว่ายังไม่ได้ขอโทษ” คริสว่าอย่างรู้ทัน

เจเรมีไม่อยากจะเถียงแล้ว เขาอยากพักมากว่า เรื่องขอโทษอะไรนั่น ไว้เขากลับออกไปได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากันก็ได้ แต่คริสไม่ปล่อยให้เป็นอย่างนั้น กระตุ้นความรู้สึกผิดของเขาขึ้นมาอีก

“มัวแต่ท่ามาก ระวังจะสายเกินไป”
“นายนี่มันน่ารำคาญจังวะ อย่าคิดว่าช่วยฉันครั้งนึงแล้วจะพล่ามอะไรก็ได้นะเว้ย”

แข็งข้อขึ้นมาอีกแล้ว... เป็นคนที่ไม่ยอมโอนอ่อนเลยจริงๆ

“แล้วแต่นายละกัน ว่าแต่นายน่ะ จะต้องให้หน้าช้ำอีกเท่าไหร่ถึงจะพอใจ” คริสเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย ซ้ำยังถือวิสาสะยื่นมือมาแตะโหนกแก้มที่มีรอยแตกเล็กน้อย

เจเรมีสะบัดหน้าหนี หากแต่ครั้งนี้คริสไม่ปล่อยให้ทำอะไรตามใจได้อีกแล้ว เขาใช้มืออีกข้างจับปลายคางของเจเรมีให้หันกลับมาจ้องหน้าเขา พร้อมกับส่งสายตาดุๆ ให้
“เลิกทำตัวเหมือนเด็กๆ น่า ต่อจากนี้นายต้องพึ่งฉันแล้ว”

พอจะเข้าใจว่าที่ว่าต้องพึ่งหมายถึงอะไร แต่เขาไม่ต้องการที่คุ้มกะลาหัว!

“ฉันไม่พึ่งสวะอย่างนาย”

ยังจะปากดี...

คริสเหนื่อยใจนัก ทว่าช่างมันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องรับผิดชอบคนตรงหน้าต่อจากนี้
ประกาศตัวไปแล้วนี่นะว่าเจเรมีเป็นคนของเขา...

แล้วเขาก็ไม่สนใจอะไรอีก พูดอยู่คนเดียว

“เอาเป็นว่าฉันจะช่วยให้นายอยู่ในนี้อย่างปลอดภัยก็แล้วกัน อยู่เฉยๆ แป๊บนึง” สิ้นเสียงก็โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้จนกระทั่งริมฝีปากแตะลงบนต้นคอของอีกฝ่าย

เจเรมีเห็นก็ขืนตัวหนี คริสถอยออกมาจึ๊ปากเล็กน้อย

นอกจากไอ้พวกสวะนั่นน่ารำคาญแล้ว เจเรมีเองก็ทำตัวน่ารำคาญเช่นกัน

คิดอย่างนั้นแต่ทว่าก็ใช้อ้อมแขนแกร่งรั้งร่างอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้ คนดื้อดึงพยายามจะดิ้นต่อแม้ว่าจะไร้เรี่ยวแรงจนต้องถูกดุไปอีกระลอก

“อยู่เฉยๆ ก็แค่ทำสัญลักษณ์ให้ จะดื้อไปถึงไหน!”

แล้วจะทำไม!?

เจเรมีร้องท้วงในใจ ไม่ทันได้พูดเพราะมัวแต่ตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกคริสขึ้นเสียงใส่เป็นครั้งแรก หากแต่พอปากจะร้องท้วงแต่ไม่ทันแล้ว คริสมองด้วยสายตาดุๆ บ่นอีกเล็กน้อย

“เด็กดื้อ”

จากนั้นก็จัดการจรดริมฝีปากลงมาบนต้นคอ พลันรู้สึกได้ถึงแรงดูดเบาสลับแรง ฉับพลันหัวสมองก็รับรู้ได้ว่าสิ่งที่คริสกำลังทำอยู่มันคือ...

...คิสมาร์ก

มันไม่ต่างอะไรจากวัฒนธรรมเก่าระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าที่เป็นของกันและกันเลยแม้แต่น้อย ในอดีตนั้น โอเมก้าที่มีเจ้าของจะถูกอัลฟ่าสร้างรอยประทับที่หลังลำคอด้วยการกัด หากแต่เมื่อยุคสมัยผลัดเปลี่ยน อารยธรรมของมนุษย์สูงส่งขึ้น วัฒนธรรมเก่านั้นก็ถูกมองว่าเป็นความป่าเถื่อน การสักสัญลักษณ์เป็นจุดเล็กๆ จึงถูกนำมาใช้แทนที่ แต่ถึงอย่างนั้น ในความคิดของเจเรมี ไม่ว่าอย่างไรมันก็ป่าเถื่อนอยู่ดี

ไม่เว้นแม้แต่คิสมาร์กนี่!

“ทำบ้าอะไรของนาย!” รีบผลักไสออกอย่างรวดเร็ว มือดันศีรษะของคริสออกห่าง
ทว่าคริสกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย แรงดูดเพิ่มมากขึ้น เจเรมีก็เกร็งตัวมากขึ้นเพราะนึกขยะแขยงกับสิ่งที่เผชิญอยู่

ขณะแขยง...แต่ร่างกายก็ค่อยๆ ร้อนรุ่มขึ้นมา

ทั้งที่ไม่ควรรู้สึกอย่างนี้ หากแต่พอถูกกระตุ้นก็เกิดอาการโดยสัญชาตญาณ ร่างกายร้อนวาบไปทั้งร่าง จมูกได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากคนตรงหน้าก่อนที่มันจะรุนแรงขึ้นจนหัวของเจเรมีมึนเบลอไปหมด

ฮะ...ฮีท...

กำลังเป็นฮีท!

ต้องใช้ความพยายามมากมายเลยทีเดียวที่จะควบคุมสติ ทว่าเสียประโยชน์เปล่า ตอนนี้เจเรมีตกอยู่ในวังวนของกลิ่นฟีโรโมนของคริส อาการกำหนัดส่งผลให้อวัยวะบริเวณกลางลำตัวชูชันขึ้นมา ในสภาพที่เปล่าเปลือยอย่างนี้...

...ช่างน่าขายขี้หน้านัก

ส่วนคริสที่ตั้งหน้าตั้งตาสร้างรอยคิสมาร์กให้เริ่มได้กลิ่นหอมหวนขึ้นมาบ้างแล้ว เขาฉุกใจ ค่อยๆ ผละออกมาก็เห็นว่าคนที่เขาเพิ่งแสดงตนว่าเป็นเจ้าของอย่างไม่เป็นทางการกำลังมองเขาด้วยสายตาหวานเยิ้ม ช่วงหน้าท้องรู้สึกได้ถึงความอุ่นของวัตถุบางอย่าง พอหลุบตาลงต่ำไปหน่อยถึงได้เห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไร ก่อนจะมองเจเรมีอย่างไม่เชื่อสายตา

สภาพอย่างนี้... อาการอย่างนี้ แถมยังเปลือยเปล่าทั้งคู่

เป็นฮีทแน่นอน ทำไมมันถึงได้ประจวบเหมาะกันอย่างนี้!

 “อย่าบอกนะว่านาย...”
ไม่กล้าพูดต่อเลยในขณะที่เจเรมีหายใจหอบหนักไม่เป็นจังหวะ เนื้อตัวค่อยๆ แดงเรื่อขึ้นมาทีละน้อยพลันเอ่ยเรียก

“คริส...”

เซ็กซี่...

เกลียดตัวเองนักที่จู่ๆ ก็มาคิดอะไรในสถานการณ์นี้ แต่ก็อดปรายตาสำรวจเรือนร่างของคนตรงหน้าไม่ได้เลยแม้แต่น้อยในขณะที่เจเรมีเองก็บดเบียดร่างกายร้อนผะผ่าวเข้ามาใกล้

“คริส...”
เรียกชื่อด้วยน้ำเสียงกับหน้าตายั่วยวนแบบนี้อีกแล้ว มือไม้ที่ป่ายปัดร่างกายที่ร้อนดั่งสุมไฟนั่นทำให้คริสต้องกลืนน้ำลายเอื้อก

บ้าฉิบ! ฉันปกป้องนายจากตัวเองตอนตอบสนองกับกลิ่นฟีโรโมนของนายไม่ได้หรอกนะ

อยู่ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ขืนทนอยู่ มีหวังเขาต้องทำอะไรเกินเลยกับเจเรมีแน่ ยิ่งตอนนี้ไม่มีอะไรมาตรึงเขาไว้เหมือนครั้งก่อนๆ แล้วด้วย เจเรมีต้องตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน

ต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้ไวที่สุด!

คริสกลั้นใจปฏิเสธความต้องการตามธรรมชาติของตัวเองในตอนนั้น หุนหันออกมาจากห้องน้ำโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูให้สนิทด้วยเกรงว่ากลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีจะลอยออกมา แต่การปิดประตูไปมันก็เท่านั้น ขนาดเขาเดินมาที่ห้องแต่งตัวแล้วก็ยังได้กลิ่นหอมนั่นอยู่ในขณะที่พวกนักโทษคนอื่นๆ ที่เป็นเบต้าไม่ได้กลิ่นเลย

ร่างกายส่วนร่างของเขาตื่นตัวขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะตอนไหน เขาก็พ่ายแพ้ให้กับเจเรมียามเป็นฮีททุกครั้ง

ชายหนุ่มรีบตั้งสติก่อนที่จะเตลิดเปิดเปิงไปมากกว่านี้ พุ่งไปยังปุ่มสัญญาณฉุกเฉิน กดลงไปอย่างไม่รีรอ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง รอการมาถึงของบรรดาผู้คุมที่จะแห่กันมาระงับสถานการณ์บ้าๆ นี้ในอีกไม่กี่นาทีให้หลัง ยกมือขึ้นลูบหน้าพลางคิดวุ่นวายไปหมด

การตอบสนองต่ออาการฮีทของเจเรมีกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเขาเสียแล้ว...
-------------------------------------
สุดท้ายขุ่นคริสก็โดนเจมี่ลูกสาวปั่นหัววว
บอกเลยว่าครึ่งหลังนี่ใจคอไม่ดีเลยค่ะ เจมี่เซ็กซี่มาก ใจไม่ดีแทนขุ่นคริส ก๊ากกก
พักนี้แม่ยกย้ายทีมเข้าฝั่งขุ่นคริสกันเยอะมาก เจมี่โดนถล่มรัวๆ
ขอให้ใจเย็นๆ เดี๋ยวเจมี่จะน่ารักขึ้นค่ะ(?)
น่ารักได้สักกี่น้ำก็ไม่รู้ ดูทรงแล้วน่าจะโดนด่ายันจบเรื่อง 555
พรุ่งนี้จะมาอัพที่เหลือให้ค่ะ ฝากฟีดแบ็กให้กันหน่อยเน้อ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.09[50% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 18-02-2017 20:16:53
พี่คริสอดใจไว้ได้อย่างไร
ถถถถถถ
ปล.อันตรายจริมๆเจมี่
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.09[50% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-02-2017 20:24:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.09[50% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-02-2017 22:51:05
พี่คริสมีสติด้วย
น้องเจเรมีก็รอดไปอีกรอบ

ปั๊ดโธ่!

ที่แน่ ๆ .....อ่านสองตอนที่ผ่านมา แล้วถึงได้ตระหนักตอนนี้เองว่า พี่คริสเปลือยมาตลอดเลย
>.< แอร๊ยยยยยยยย!!!!

 :haun4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.09[50% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 18-02-2017 22:54:37
ช่างมีสติ5555
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.09[50% UPDATE][18/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 19-02-2017 09:58:59
Episode 09: ความคุ้มคลั่งของอัลฟ่า[2]

เคราะห์ดีที่การช่วยเหลือจากบรรดาผู้คุมทันการก่อนที่เขาจะตอบสนองต่ออาการฮีทของเจเรมีไปมากกว่านี้ เจเรมีในสภาพสะบักสะบอมถูกฉีดยาระงับอาการฮีทอย่างฉับพลันและส่งตัวเข้าห้องขังตามเดิม คริสเพิ่งฉุกคิดในตอนนี้เองว่าตั้งแต่ที่อีกฝ่ายมาใช้ชีวิตเยี่ยงนักโทษอยู่ในแดนขังแห่งนี้ได้สักราวอาทิตย์กว่า เจเรมีเพิ่งจะได้รับการฉีดยาไปเพียงครั้งเดียว เมื่อถามผู้คุมก็ได้คำตอบว่าเป็นคำสั่งจากเบื้องบนที่ให้เจเรมีฉีดยาได้เพียงอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น

ฟังก็รู้เลยว่าเป็นแผนของนายพลนั่น มันก็ไม่ใช่เรื่องที่คริสต้องแปลกใจหรอก เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเกมมันถูกวางมาให้เป็นอย่างนี้ แม้แต่เขายังเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมนี้เลย ไม่อย่างนั้นจะให้เจเรมีมาอยู่กับเขาที่เป็นอัลฟ่าและเป็นคู่แห่งโชคชะตาของหนุ่มผมบลอนด์นั่นทำไม

เจเรมีจะต้องมีชีวิตที่ลำบากและตกต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ใช่ ทุกอย่างจะเป็นอย่างนั้น เขาจะไม่สนใจเท่าไหร่เลยถ้าหากว่านอกจากจะใช้เขาเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมกระดานโดยที่เขาไม่ได้เห็นดีด้วยแล้ว ยังจะทำให้ชีวิตอันแสนสงบสุขในแดนขังของเขาต้องยุ่งยากขึ้นอีก

แค่มีเจเรมีมาอยู่ด้วยก็ชวนให้ปวดหัวแล้ว ยังจะต้องมาอยู่ด้วยตอนเป็นฮีทอีก แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องเลย!

คงกะจะให้เจเรมีถูกเขาครอบครองนั่นแหละ เพราะถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เจเรมีจะรู้สึกตกต่ำถึงขีดสุด

คนที่คิดว่าตัวเองเป็นอัลฟ่ามาเกือบทั้งชีวิต จู่ๆ ก็กลายมาเป็นที่รองรับความใคร่ของอัลฟ่าอื่น มันเป็นเรื่องที่คนทิฐิสูงอย่างลูกชายตระกูลเมอร์ซีรับไม่ได้อยู่แล้ว

ใครจะแก้แค้นอะไรกัน คริสไม่อยากจะสนหรอก สนอย่างเดียวคือทำเขาลำบาก หลังจากที่เจเรมีกับเขาได้รับการช่วยเหลือแล้ว ทั้งคู่ก็ถูกส่งกลับเข้าห้องขัง

เจเรมีนอนแผ่บนเตียงด้วยท่าทางไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก เขาสลบไม่ได้สติมาตั้งแต่ถูกฉีดยาระงับอาการฮีทในห้องน้ำแล้ว ตอนแรกคริสคิดว่าอีกฝ่ายคงจะเหนื่อย ร่างกายอ่อนแอถึงได้หมดสติไปอย่างนั้น หากแต่เมื่อเข้ากลางดึกกลับไม่ใช่เมื่อหูทั้งสองข้างของคริสได้ยินเสียงละเมอของคนที่นอนอยู่บนเตียงด้านล่างดังลอยมาตามลม

คริสผุดลุกขึ้น ชะโงกหน้าจากชั้นบนของเตียงเหล็กสองชั้นมามองก็เห็นว่าคนละเมออยู่ในอาการกระสับกระส่าย ใบหน้าอาบไปด้วยเม็ดเหงื่อเสียจนคอเสื้อเปียกชุ่ม ซ้ำยังละเมอออกมาเป็นคำพูดฟังไม่ได้ศัพท์ไม่หยุดปาก ท่าทางทรมานนั้นทำให้คนตัวใหญ่ต้องเอ่ยถาม

“ไหวไหมน่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เจเรมียังคงครางละเมอออกมา คริสทิ้งตัวลงจากเตียงมายืนข้างๆ ปรายตาสังเกตอาการอย่างพินิจ

หรือจะเป็นไข้?

คิดว่าอย่างนั้นด้วยเห็นว่าวันนี้เจเรมีถูกประทับตรามา บาดแผลฉกรรจ์ที่ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยไม่มีการส่งไปรักษาตัวอาจทำให้พิษไข้เข้าเล่นงานเขาเนื่องจากแผลอักเสบก็เป็นได้ และเพื่อความมั่นใจ คริสจึงยื่นมือหนาไปอังที่หน้าผาก ก่อนจะเลื่อนลงมาบริเวณลำคอที่มีรอยคิสมาร์กฝีมือเขาเพื่อวัดอุณหภูมิ เท่านั้นหัวคิ้วเรียวสวยก็ย่นยู่ไปฉับพลัน

ตัวร้อนจี๋เลย เป็นไข้จริงๆ ด้วย...

คิดแล้วก็ดึงมือออกมา ปราดตามองไปด้านนอกประตูลูกกรง สอดส่ายสายตาหาผู้คุมเพื่อที่จะบอกว่าเพื่อนร่วมห้องขังของเขาอาการแย่แล้ว ทว่าก็ลืมไปว่าห้องขังของเขาเป็นห้องขังเดี่ยวสำหรับนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ที่แยกออกมาจากห้องห้องขังรวม ผู้คุมส่วนใหญ่จะไปคอยดูแลในส่วนห้องขังรวมมากว่า ส่วนของเขาอยู่ชั้นในและมีระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ดังนั้นผู้คุมไม่จำเป็นต้องคอยเฝ้าตลอดเวลาก็ได้เพราะไม่ว่าอย่างไรก็คงจะไม่เกิดเหตุจลาจลง่ายๆ หากเทียบกับบริเวณห้องขังรวมแล้ว

คงต้องรอตอนเช้าแทน...

มันต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าผู้คุมไม่เข้ามา เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงอย่างเดียวคือเฝ้าสังเกตอาการให้แล้วรอรายงานผู้คุมในตอนเช้าเท่านั้น

ถามว่าเป็นห่วงไหม... ก็ไม่ คริสแค่ไม่อยากให้ห้องของเขาที่ตอนนี้เรียกว่าบ้านและเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ไปตลอดจนกว่าจะหมดลมหายใจมีใครมาตายมากกว่า

อัลฟ่าหนุ่มทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง สังเกตอาการของเจเรมีเป็นระยะพลางครุ่นคิดไปด้วยว่าชายหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ช่างเป็นคนที่ขวางโลกเสียเหลือเกิน อะไรไม่ว่า ไม่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อเอาตัวรอดเลยสักนิด ถ้าหากวันนี้เขาไม่อยู่ในห้องน้ำด้วย ไม่อยากจะคิดว่าป่านนี้จะโดนอะไรบ้าง

ที่เขาพูดไปวันนี้ เจเรมีจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าควรจะปรับปรุงตัวได้แล้ว?

คริสเชื่อว่าเจเรมีไม่ได้โง่ อีกไม่นานก็น่าจะรู้ดีว่าการกระทำของตัวเองมันส่งผลร้ายขนาดไหน แค่เริ่มยังเจอหนักขนาดนี้ หากเวลาผ่านไปนานกว่านี้สักหน่อย คงถูกเล่นงานจนไม่เป็นผู้เป็นคนเลยก็ได้ หากอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ให้อยู่รอดปลอดภัยล่ะก็ หลังจากนี้ก็คงจะต้อง... พึ่งพาเขา

เจเรมีต้องพึ่งพาเรา...

ก่อนหน้านี้แค่ต้องปรับตัว ทว่าตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว นอกจากต้องปรับตัวแล้ว ก็ต้องอาศัยการดูแลของเขาด้วย
เพราะยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเองแท้ๆ เขาถึงตกกระไดพลอยโจนมากกว่าเดิมอย่างนี้

คริสก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ถือเสียว่าช่วยคู่แห่งโชคชะตาจนกว่าจะกลับออกไปยังโลกภายนอกได้แล้วกัน แต่คงจะยากหน่อยนะ เจเรมีเล่นทำให้นายพลนั่นกัดไม่ปล่อยขนาดนี้ คงไม่หลุดจากเขี้ยวเล็บฝ่ายตรงข้ามไปง่ายๆ
“อือ...”

ความคิดของคริสมลายหายไปเมื่อได้ยินเสียงเจเรมีละเมอขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนคนตรงหน้าเขาจะทรมานกว่าเดิมเสียอีก กระสับกระส่ายพลิกศีรษะไปมา เม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้าจนไหลเปียกหมอน คนมองเห็นอาการนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปอังหน้าผาก วัดความร้อนจากร่างกายนั่นอีกครั้ง พลันก็ต้องตกใจไปเมื่อรู้สึกว่าตัวของเจเรมีร้อนประหนึ่งไฟ

ร้อนกว่าเดิมอีก ท่าจะไม่ดีแล้วแฮะ

ไม่ดีจริงอย่างที่คริสว่า หากปล่อยให้ไข้ขึ้นสูงอย่างนี้ มีหวังเจเรมีได้ช็อกแน่นอน

คริสผุดลุกขึ้น ถอดเสื้อของตัวเองออกไปชุบน้ำที่อ่างล้างหน้าบริเวณปลายเท้า บิดหมาดๆ กะจะเอามาเช็ดตัวให้คนป่วยให้ร่างกายเย็นลง ทว่าพอเขากลับมานั่งข้างเตียง แหวกสาบเสื้อของอีกฝ่ายออกจนเห็นแผงอกแกร่ง เขาก็ต้องผงะถอยหลังเต็มแรงทันทีที่กลิ่นฉุนปะทะเข้ามาที่จมูกเขา

ไม่ใช่กลิ่นเหม็น แต่เป็นกลิ่นหอมอันเป็นกลิ่นประจำตัวของเจเรมี

กลิ่นตอนที่เจเรมีเป็นฮีท!

ใช่อย่างแน่นอน คริสจำกลิ่นนี้ได้และเขาคิดว่าไม่น่าจะเดาผิดว่าสาเหตุที่ร่างกายของเจเรมีร้อนวูบขึ้นมานั้นคงไม่ใช่เพราะพิษไข้แล้ว หากแต่เป็นอาการฮีทที่เกิดขึ้นมาอีกระลอกแล้วต่างหาก

อวัยวะกลางลำตัวของเจเรมีที่ชูชันดุนเนื้อผ้าขึ้นมาเป็นคำยืนยันอย่างดีว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง คริสสัมผัสได้ถึงความหายนะในวินาทีนั้น เจเรมีที่ละเมอเพ้อไม่ได้สติคงจะไม่มีปัญหาอะไรเท่าไหร่ คนที่มีปัญหาคือเขาที่ต้องมาสูดดมกลิ่นฟีโรโมนของคู่แห่งโชคชะตาตัวเองต่างหาก

ไหนว่าฉีดยาระงับอาการฮีทแล้วไง ทำไมถึง...!?

ไม่ต้องสงสัยหรอก ขนาดเขาฉีดยาต้านกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าแล้วยังตอบสนองต่อกลิ่นของเจเรมีได้เลย ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะผลข้างเคียงจากยาที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อสำหรับคนที่เป็นคู่แห่งโชคชะตากันและกันซึ่งนั่นก็คือตัวยาทำงานบกพร่อง
คริสรู้ข้อเท็จจริงนี้ดีอยู่แล้ว ตอนที่ไปเป้นหนูทดลองผลิตยาระงับอาการฮีทให้กับเจเรมี ทีมแพทย์พวกนั้นก็บอก

แต่มันไม่สมควรจะมาเกิดในเวลาที่เขาอยู่กับอีกฝ่ายสองต่อสองและไม่มีผู้คุมคนไหนมายืนสังเกตการณ์อย่างนี้!

สถานการณ์แย่ลงทันตาเห็น แย่เข้าไปใหญ่เมื่อคริสชำเลืองเห็นยอดอกของคนที่นอนตัวร้อนฉ่าตั้งตระหง่านขึ้นมาคล้ายกับว่าเชิญชวนให้เขาลิ้มลอง

แค่กลิ่นก็ว่าแย่แล้ว เห็นภาพอย่างนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ทั้งที่เจเรมีไม่ใช่คนที่น่าจะเข้าใกล้หรือชวนให้เสน่หาแท้ๆ แต่ตอนนี้ความเป็นชายของเขาเริ่มตอบสนองขึ้นมาแล้ว

คริสรีบลุกจากเตียง ดิ่งไปที่กล้องวงจรปิดภายในห้อง โบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ที่สังเกตการณ์อยู่จากห้องรักษาความปลอดภัยรับรู้ว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ ทว่าเหมือนทำไปก็เสียเปล่าและเขาก็ไม่สามารถทนรอจนกว่าเจ้าหน้าที่จะเห็นว่าเขากำลังลำบากได้ ปรี่ไปยังลูกกรง ส่งเสียงตะโกนโหวกเหวก

“เฮ้! มีใครอยู่แถวนี้ไหม! ขอยาให้ที!”
แน่นอนว่าหมายถึงยาระงับอาการฮีทของเจเรมี หรือจะเป็นยาต้านกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าให้เขาก็ได้ ไม่เกี่ยงทั้งนั้น ตอนนี้อะไรก็เอามาเถอะ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะวิบัติไปมากกว่านี้

ทว่าดูเหมือนจะไม่ทันการแล้วกระมัง เพราะทันทีที่คริสส่งเสียงขอความช่วยเหลือไม่หยุด ทั้งเตะ ทั้งถีบ ทั้งเขย่าลูกกรงเกร็งจนเกิดเสียงดัง เจเรมีที่นอนไม่ได้สติอยู่ก็ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา

คล้ายกับว่าได้สติแล้ว หากแต่ไม่ใช่เลย ตื่นขึ้นมาเพราะความกำหนัดที่พร่างพรายมาทั่วร่างกายล้วนๆ
“อือ...คริส...”

ตื่นแล้วคนเรียกที่เรียกหากลับเป็นผู้ชายที่เอาเขย่าลูกกรงอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งกอริลล่าจะพังกรงเสียอย่างนั้น

คริสชะงักกึก หันไปมองใบหน้าซีดขาวของเจเรมีด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีสักเท่าไหร่นัก แล้วก็ต้องผงะไปทันทีที่เห็นว่าการเรียกนั้นเป็นการร้องบอกให้เขาไปมองภาพที่ไม่สมควรเห็น

เจเรมีกำลังสอดมือเข้าไปใต้กางเกงตัวเอง!?

เน้นตรงเป้ากางเกงเป็นพิเศษด้วย มองแวบเดียวก็รู้เลยว่ากำลังลูบคลึงอะไร

“อา...” มือไปสัมผัสโดนแก่นกายอุ่นร้อน เสียงครางกระเส่าก็ดังออกมา

กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีคละคลุ้งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

คริสถึงกับยกมือขึ้นปิดจมูก กันจะได้รับกลิ่นมากขึ้นกว่านี้ แต่จะไปช่วยอะไรได้ ร่างกายเขาตอบสนองกับฟีโรโมนของเจเรมีไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เจ้าน้องชายของเขาแข็งขืนเสียยิ่งกว่าเดิม ซ้ำยังดุนดันเนื้อผ้าราวกับว่าจะออกมารับอากาศภายนอกเสียให้ได้

ที่แย่กว่าคือเจเรมี แค่เอามือสอดเข้าไปคลึงส่วนกลางตัวยังไม่เท่าไหร่ พริบตาเดียวแก่นกายก็ได้รับการเปิดเผย มือหนารูดคลึงตั้งแต่โคนจนสุดปลาย ทำอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนส่วนปลายของอวัยวะแข็งขืนนั่นมีน้ำสีใสไหลเอ่อออกมา
“อือ...ฮึ่ก...”

เสียงครางกระเส่าแว่วมาให้ได้ยิน ใบหน้าของเจเรมีในตอนนี้ดูเย้ายวนเป็นอย่างมาก เนื้อตัวขาวผ่องแดงเรื่อเพราะเลือดสูบฉีด ยิ่งผิวแดงมากขึ้นเท่าไหร่ กลิ่นฟีโรโมนก็ฟุ้งกระจายมากขึ้นเท่านั้น

คริสมองภาพนั้นอย่างตะลึงงัน ไม่คิดไม่ฝันว่าจะมาเห็นการทำร้ายตัวเองในระยะประชิดอย่างนี้ หากเขาเอาหัวมุดดินลงไปได้ เขาคงไม่รีรอที่จะทำ ทว่ามันทำอะไรไม่ได้ เขาถึงได้ยืนจ้องภาพนั้นด้วยไม่รู้จะจัดการอย่างไรดี

กลายเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ก็เขาน่ะพ่ายแพ้ให้กับอาการฮีทของเจเรมีตลอดนี่นา

จากตอนแรกที่คิดจะร้องเรียกให้ใครสักคนโผล่มาช่วย ได้กลิ่นหอมหวานลอยเข้าจมูกมากๆ เข้าก็ไม่มีอารมณ์จะคิดครุ่นหาทางออกใดๆ ร่างกายเขาร้อนวูบตั้งแต่ปลายนิ้วมือจนถึงปลายนิ้วเท้า ร้อนมากเป็นพิเศษที่ช่วงหน้าท้อง ร้อนเสียจนเขาต้องรีบก้าวเร็วๆ ไปยังอ่างล้างหน้า เปิดก๊อกแล้ววักน้ำสาดใส่ใบหน้าตัวเองหลายต่อหลายครั้งด้วยหวังว่าความเย็นเยียบของน้ำจะทำให้เขาควบคุมสติได้บ้าง

เขาจะไม่ทำอะไรเจเรมี จะไม่ทำเด็ดขาด แค่นี้เรื่องก็ยุ่งยากพออยู่แล้ว จะไม่ทำให้มันยุ่งยากไปมากกว่านี้!

ตั้งปณิธานกับตัวเองไว้อย่างแรงกล้าขณะที่กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีก็รุนแรงมากขึ้น เสียงครางกระเส่าก็ดังขึ้นเช่นกัน ทั้งกลิ่น ทั้งภาพ ทั้งเสียง ทำเอาคริสแทบจะเอาศีรษะจุ่มลงไปในอ่างล้างหน้าอยู่แล้ว ยังดีที่พอเจเรมีครางออกมาในเฮือกสุดท้าย ความอัดอั้นก็ปะทุออกมาพร้อมกับหยาดหยดสีขาวขุ่นเป็นสัญญาณให้คริสรู้ว่าทุกอย่างมันจบสิ้นแล้ว

คริสหันไปมองเจเรมีที่นอนหายใจกระหืดหอบแล้วก็ถอนหายใจยาว

จบแล้วสินะ...

น่าจะจบสำหรับเจเรมี แต่สำหรับเขานั้นยังไม่จบ อวัยวะกลางลำตัวยังคงแข็งขืนพร้อมที่จะออกรบอยู่เลย คงจะต้องใช้เวลาสัก
หน่อยกว่าที่อาการกำหนัดนี้จะค่อยๆ ผ่อนคลายไป แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นอีกทีเมื่อจู่ๆ กลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีที่น่าจะจางลงหลังจากได้รับการปลดปล่อยลอยโชยขึ้นมาอีก หันไปมองก็ต้องย่นคิ้วหนักกว่าเดิมทันทีที่เห็นว่าแก่นกายของอีกฝ่ายค่อยๆ แข็งตัวขึ้นมาอีกแล้ว

เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!?

เท่าที่รู้จักเจเรมีและเห็นอาการฮีทของอีกฝ่ายมา แค่ครั้งเดียวทุกอย่างก็น่าจะยุติแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึง...?

ไม่อยากจะคิดหาคำตอบใดๆ ให้เสียเวลา สิ่งที่เขาควรคิดในเวลานี้คือทำอย่างไรถึงจะผ่านช่วงเวลาอันแสนทรมานนี้ไปได้มากกว่า ดูเหมือนว่ากลิ่นฟีโรโมนที่เจเรมีปล่อยออกมาจะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวเสียด้วย

ชั่วขณะหนึ่ง คริสรู้สึกราวกับว่าเขามีอาการคุ้มคลั่งขึ้นมา ร่างกายเรียกร้องการปลดปล่อยอย่างถึงที่สุด รู้สึกเหมือนกับว่ามีของเหลวบางอย่างไหลซึมเนื้อผ้าบริเวณเป้ากางเกงอีกด้วย

ไม่...เราต้องไม่ทำอะไรเจเรมี...
บอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นทั้งที่ครั่นเนื้อครั่นตัวสุดกำลัง และเขาก็ต้องตบะแตกเมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงจากคนที่ยังนอนอยู่บนเตียงดังเดิม

“อือ...คริส...คริส...”
ไม่ใช่เสียงครางกระเส่า หากแต่เป็นเสียงครางเรียกชื่อเขา หันไปมองก็เห็นว่าคนเรียกจับจ้องมายังตนด้วยสายตาหยดย้อย

ไม่...

ไม่ไหวแล้ว!

ตบะแตกเอาในตอนนี้ สติสัมปชัญญะครบถ้วนดีไม่ช่วยอะไรเลย คริสรีบก้าวมาขึ้นเตียง หยุดที่บริเวณปลายเท้าอีกฝ่าย พยายามจะสะกดจิตตัวเองหากแต่ไม่เป็นผลเลยแม้แต่น้อย ในหัวบอกว่า ‘อย่าทำ’ ทว่ามือกลับยกขาของเจเรมีที่วางราบอยู่บนฟูกขึ้นตั้งชัน แทรกกายเข้าไปเสียอย่างนั้น ร้ายกว่านั้นคือพอส่วนแข็งขืนหากแต่อ่อนไหวของทั้งคู่สัมผัสกัน เจเรมีก็ครางฮือออกมาให้กลิ่นฟีโรโมนกระจายฟุ้งมากขึ้นไปอีก

คริสสติแตกขึ้นมาในบัดดล ความถูกต้องอะไรไม่อยู่ในหัวเขาอีกต่อไปแล้ว โน้มใบหน้าลงมาประกบปากจูบเจเรมีอย่างกระหาย ริมฝีปากนุ่มถูกดูดกลืนและขบเม้มดุดัน เจเรมีหายใจหอบกระชั้นด้วยหายใจไม่ทัน พออ้าปากจะตักตวงออกซิเจนเข้าปอดก็ถูกคริสสอดปลายลิ้นอ่อนนุ่มเข้ามาด้านในตักตวงความหอมหวานจากเขาอย่างละโมบ

กว่าจะผละออกจากริมฝีปากได้ก็ใช้เวลาครู่หนึ่ง คริสพรมจูบไปตามลำคอ แลบลิ้นเลียไล้รอสคิสมาร์ก สูดดมกลิ่นหอมหวนราวกับจะกลืนกินอีกฝ่ายลงไป พอจูบไล่ลงมาถึงแผ่นอก ความซุกซนก็บังเกิดเมื่อสายตาชำเลืองเห็นยอดอกสีสวย ปากเข้าครอบครองโดยพลัน ปลายลิ้นละเลงไปทั่วตุ่มไตเล็กๆ จนเปียกชุ่ม เจเรมีแอ่นสะท้านตอบรับการสัมผัสก็ยิ่งรุกรานหนักขึ้นไปอีก มือข้างที่ว่างก็ยกขึ้นมาลูบลากยอดอกอีกข้างที่ยังไม่ได้ถูกรังแก นิ้วชี้และนิ้วโป้งบดเบียดเม็ดสีสวยนั่นไปมา เจเรมีบิดเร่าหนัก จิตใต้สำนึกบอกว่าอีกไม่นาน เขาคงจะได้สุขสมเพราะการจู่โจมนี้แน่

และก็จริงเสียด้วย พอคริสใช้ฟันคมๆ ขบลงไปบนยอดอกที่ดูดกลืนอยู่ เจเรมีก็กระตุกเฮือก แอ่นกายขึ้นมาเต็มแรง คริสสัมผัสได้ว่าช่วงหน้าท้องของเขามีของเหลวอุ่นๆ ไหลเปรอะเปื้อน เหลือบมองก็เห็นว่าเป็นหยาดหยดแห่งความหฤหรรษ์ที่ถูกปลดปล่อยออกมาเป็นระลอกที่สอง

อึดใจหนึ่ง คริสหลงคิดว่าทุกอย่างคงจะจบสิ้นเท่านี้ เขาเกือบจะได้สติกลับคืนมาอีกแล้วถ้าหากว่ากลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีจางลงไปบ้าง แต่เปล่า... เปล่าเลย นอกจากจะไม่จางลงแล้ว เจเรมีที่หอบหายใจถี่อยู่ยังจะมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

“คริส... ฉัน... อือ...”

ในหัวมีคำถาม แต่ก็ถูกกลบไปโดยเสียงครวญครางของคนใต้ร่าง จากที่จะได้สติกลับคืน กลายเป็นว่าคุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม เขาพรมจูบลงต่ำไปยังหน้าท้องที่เต็มไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่น ใช้นิ้วแตะลงไปบนร่องรอยนั้นเพียงแผ่วเบา เจเรมีก็สะท้านไปทั้งกาย อากัปกิริยาอย่างนั้นทำให้เขาอดใจไม่ได้ที่จะใช้ลิ้นเลียวนรอบแอ่งสะดือ ก่อนจะเหิมเกริมไต่ระดับลงไปสู่ช่วงล่าง

ช่วงล่างที่มีแก่นกายโผล่ออกมาเหนือกางเกง...

ดวงตาเรียวจับจ้องไปยังแกนกลางที่มีน้ำสีใสหยาดเยิ้มซึ่งกำลังสั่นระริก เขากลืนน้ำลายเอื้อก ยิ่งอยู่ใกล้อวัยวะชิ้นนี้ กลิ่นฟีโรโมนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น...

...มากเสียจนเขาอดใจที่จะโน้มใบหน้าลงไปหมายจะครอบครองแทบไม่ไหว ทว่าก็ชะงักขึ้นมากะทันหัน

ถ้าทำอย่างนั้น เจเรมีจะต้องไปอีกรอบแน่ๆ

อัลฟ่าหนุ่มไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น อย่างน้อยถ้าเขาจะทำเรื่องที่จะเป็นความผิดพลาดมหันต์ เขาก็ขอให้เจเรมีไปพร้อมๆ กับเขาดีกว่า

เขาจะไม่ยอมให้ตัวเองถูกทิ้งไว้กลางทางเหมือนตอนถูกจับขึงพืดในโรงแรมแน่ๆ!

ปฏิญาณกับตัวเองเรียบร้อยก็เหยียดตัวขึ้นตรง ยื่นมือไปดึงกางเกงของเจเรมีออกให้พ้นตัว ก่อนจะมาสาละวนจัดการปลดเปลื้องกางเกงตัวเองบ้าง

ความเป็นชายตั้งตระหง่านออกมาให้เห็น เส้นเลือดปูดโปนและความร้อนรุ่มของมันเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าทนไม่ไหวเพียงใด
คริสขยับขาของเจเรมีให้กางออก ในหัวก็มีความคิดที่ดีและชั่วตีกันยุ่งไปหมด

อย่าทำ... ไม่อย่างนั้นนายจะต้องเสียใจทีหลังแน่

ทำเลย... ไม่ว่าอย่างไรหมอนั่นก็ไม่รู้หรอก เป็นฮีททีไรไม่ได้สติทุกที ตื่นมาก็ไม่รู้หรอก

แต่ก็ไม่ควรทำ อย่าทำนะ...

ทำไปเลย... ปลดปล่อยไป ทำไป...

ตีกันอีรุงตุงนัง

แล้วคริสก็พ่ายแพ้ให้กับความชั่วร้ายของตัวเอง เขาใช้ปลายนิ้วลูบไปยังช่องทางคับแคบเพื่อจะสำรวจเส้นทาง ทันทีที่ปลายนิ้วแตะลงไป เจเรมีก็ผวาเฮือกจนสะโพกแอ่นขึ้นในอากาศ คริสอาศัยจังหวะนี้ใช้ปลายนิ้วร้ายสอดเข้าไปข้างใน ร่างกายของอีกฝ่ายบิดเร่า ใบหน้าหล่อเหยเกเล็กน้อยด้วยรู้สึกประหลาดกับความแปลกใหม่ ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นสีหน้าเย้ายวนเมื่อสิ่งแปลกปลอมในร่างกายเริ่มขยับ

“อื้อ...คริส... ตรงนั้นมัน... ฮ้า...”
เสียงครางกระเส่าดังออกมาขาดๆ หายๆ จนฟังไม่ได้ศัพท์

คล้ายกับเจเรมีไม่รู้สึกตัว แต่ไม่รู้ทำไมคริสถึงได้รู้สึกว่าอีกฝ่ายรู้เห็นทุกอย่างเพียงแต่ไม่ห้าม

ก็ดี ในเมื่อไม่ห้าม เขาจะได้ทำตามใจตัวเอง ตอนนี้อะไรก็ฉุดความหื่นกระหายของเขาไว้ไม่อยู่อีกแล้ว

ยิ่งขยับนิ้ว เจเรมีก็ยิ่งบิดเร่า ปลายแก่นกายสั่นไหว ของเหลวสีใสไหลซึมไม่ขาดสายด้วยถูกความเสียวซ่านเล่นงาน คริสขยับราวกับรู้ว่าจุดไหนที่เจเรมีรู้สึกดี ผ่านไปครู่เดียว ปากทางที่ถูกนิ้วชำแรกเข้ามาก็อ่อนนุ่มลง พร้อมที่จะรับเอาบางอย่างที่ใหญ่กว่านี้เข้ามาได้

คริสถอนนิ้วออก ขยับบั้นเอวเข้าไปหา มือข้างหนึ่งยกสะโพกของเจเรมีขึ้น อีกข้างกอบกุมอาวุธของตัวเองไปจดจ่อที่ช่องทางคับแคบ ส่วนปลายถูไถเข้ากับรอยแยกนั้น เจเรมีครางฮือ มือทั้งสองข้างกำผ้าปูที่นอนแน่น

“อือ...คริส...”

เจเรมีจะรู้ไหมนะว่าการเรียกชื่อชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงแบบนั้นมันทำให้คริสอยากจะรังแกเขาแค่ไหน

“ถ้าเกิดอะไรขึ้น บอกเลยว่าไม่ใช่ความผิดฉันนะเจเรมี...”
ถึงสติจะแทบไม่มี แต่ก็ยังมีกะจิตกะใจแยกแยะความผิดชอบชั่วดีขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจะตั้งท่าให้เข้าที่ เตรียมตัวจะสอดใส่เข้าไป ทว่าเพียงแค่ออกแรงดันเล็กน้อย เจเรมีก็ยกสะโพกลอยขึ้นมากว่าเดิม พลันความอัดอั้นระลอกที่สามก็พรั่งพรูออกมา

หยดน้ำสีขาวขุ่นสาดกระเซ็นเปรอะเปื้อนหน้าท้องที่เต็มไปด้วยลอนกล้ามไปทั่ว ภาพที่เห็นดึงสติของคริสให้กลับมาในวินาทีนั้น ฉับพลันเขาก็รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่

วะ...เวรแล้ว...

รีบถอยออกห่างมาเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคร้ามซีดเผือด มือไม้เย็นเฉียบไปเลยทีเดียว

เกือบไปแล้วคริส... เกือบไปแล้ว

เกือบจะซวยแล้ว... เขาควรพูดอย่างนี้ แต่ถึงได้สติ ความกำหนัดก็ไม่ได้ห่างหายไปไหน มีเพียงอาการฮีทของเจเรมีเท่านั้นที่ค่อยๆ เจือจางลงไป

แต่... อย่างที่บอก เขาจะไม่ปล่อยให้ตัวเองถูกทิ้งกลางทางเด็ดขาด

ในเมื่อทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ คริสก็ไม่คิดที่จะทำ เขาทำเพียงขยับมือที่กอบกุมความเป็นชายของตัวเองอยู่ไปมา สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของเจเรมีที่มองเขาอย่างยั่วยวน

พูดได้เต็มปากเลยว่าการถูกมองด้วยสายตาอย่างนั้นมันกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของเขาเป็นอย่างมาก

และยิ่งถูกเรียก...

“คริส...”

...ก็ยิ่งเร้าอารมณ์เป็นที่สุด

ใช้เวลาไม่นาน ความคุ้มคลั่งที่สั่งสมมาก่อนหน้านี้ก็ถูกปลดเปลื้องพันธนาการ หยาดหยดแห่งความสุขรินหลั่งไปบนหน้าท้องของเจเรมี ปะปนกับร่องรอยแห่งความสุขของอีกฝ่ายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้รู้ว่าการได้อยู่ร่วมกับคู่แห่งโชคชะตาเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและอันตรายมากเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดไว้

กระนั้นคริสก็ไม่มีอารมณ์จะมาครุ่นคิดอะไรอีกแล้ว เขาทิ้งตัวลงทาบทับร่างของเจเรมี กอดตระกองอีกฝ่าย กระซิบเสียงพร่าข้างหูพร้อมกับหอบหายใจหนัก

“เกือบไปแล้วไหมล่ะเจเรมี”
ที่ว่าเกือบ ไม่แน่ใจว่าเจเรมีเกือบถูกเขาครอบครองหรือเขาเกือบจะทำเรื่องบ้าๆ ลงไปกันแน่ ที่แน่ๆ คือเขาได้สติกลับมาเกือบจะสมบูรณ์แล้วในขณะที่เจ้าคนต้นเหตุเริ่มเคลิ้มหลับ

ผละออกมาก็เห็นอีกฝ่ายหลับตาพริ้ม คริสเกิดหมั่นไส้ขึ้นมาเลยโน้มหน้าไปงับใบหูไม่แรงนักทีหนึ่งเป็นการลงโทษ เจเรมีย่นคิ้ว ไม่ลืมตาขึ้นมาหากแต่สะบัดหน้าหนี

“ไอ้สวะ...”

คงจะไม่รู้หรอกว่าตัวเองถูกทำอะไร ดูท่าจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว แต่คงจะฝันว่าคนที่ก่อความรำคาญให้คงหนีไม่พ้นคริสจนละเมออกมา

อัลฟ่าหนุ่มหัวเราะในลำคอ ไม่รู้ว่าจะขบขันกับการกระทำของตัวเองหรือสมเพชดี ที่รู้ๆ คือต้องรีบทำลายหลักฐานทุกอย่างก่อนที่เจเรมีจะฟื้นขึ้นมาเจอ ไม่อย่างนั้นล่ะก็คุกแตกแน่ๆ

ถึงตอนนั้น คนที่คุ้มคลั่งจะไม่ใช่เขาแล้วล่ะ ...เชื่อสิ
----------------------------------
มาแปะให้แต่เช้าค่ะ กลัวคนอ่านจะคุ้มคลั่งตามขุ่นคริส 555
ตอนนี้เขียนแล้วแบบตลกขุ่นคริส ตีอกชกหัวตัวเองมากอะไรมาก ส่วนเจมี่...เกือบเสียสาวแล้วไหมลูกกก เกือบได้ซะมีแล้วแกรรร๊ 555555
ถามว่าเขาจะได้กันเมื่อไหร่คะ? หูยยย ยังค่ะ อีกหลายตอน สองคนนี้ต้องไม่ได้เสียกันง่ายๆ บนเตียงนี่เบๆ ต้องบุกป่าฝ่าดงก่อน (สปอยล์ทำไม ก๊ากกก)
ถึงหนูเจมี่จะเป็นเด็กดื้อนิสัยเสียแต่ก็ทำขุ่นคริสหลงจนหน้ามืดได้นะฮร้า อิอิ
เย็นนี้ไม่อัพนะคะ แต่จะมาแปะรูปหน้าปกให้ยลกัน พรุ่งนี้จะมาแปะตัวอย่างตอนใหม่ให้ เรื่องนี้หนูแดงจะตีพิมพ์กับ สนพ.รักคุณ ค่ะ เป็น สนพ.ใหม่ (ดำเนินการโดยหนูแดงเองค่ะ) ฝากเข้าไปกดไลก์กันที่นี่หน่อยน้า จะได้ติดตามข่าวสารกันอย่างใกล้ชิดจ้า https://www.facebook.com/RakKunPublishing/

ปล.ฝากฟีดแบ็กให้ชื่นใจกันหน่อยนะคะ กำลังใจดี ตอนต่อไปมาเร็วนะ ช่วยกันเรียกขวัญกำลังใจหน่อยเร็ววว ฮา
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.09[100% UPDATE][19/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-02-2017 22:01:14
พี่คริส พี่คนดี พี่สามีแห่งชาติ

น่าสงสารเจมี่ การเป็นโอเมก้าไม่เลวร้ายเท่าการถูกกระทำราวกับไม่ใช่คน อย่างที่ว่าจริง ๆ

ไอ้ลูกชายนายพลสมควรโดนแล้ว ไอ้นายพลนี่ก็ควรจะโดนบ้าง

เจเรมี่ร้าย แต่ไม่เลว ไอ้สองพ่อลูกนี่สิเลว
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.09[100% UPDATE][19/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 21-02-2017 00:54:42
จริงๆ เจมี่น่าจะคิดได้สักทีนะว่า ตัวเองนั่นแหละที่ทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้น
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.09[100% UPDATE][19/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-02-2017 14:17:41
โอ้ย เกิดเป็นพี่คริสนี่ลำบากจริงๆ สงสาร 55555
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.09[100% UPDATE][19/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 21-02-2017 22:02:13
สงสาร
คำเดียวสั้นๆมอบให้คริส
ปล.ถามจิง ฉีดยาต้ายฮีทให้เจมี่จิงดิ
ยาปลอมปะ หรือยากระตุ้น #มโน
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.09[100% UPDATE][19/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-02-2017 23:45:30
Episode 10: รอยแดงช้ำบนต้นคอ[1]


เจเรมีตื่นขึ้นมาด้วยอาการอ่อนเพลีย เขารู้สึกเหมือนกับว่านอนเท่าไหร่ก็ไม่พออย่างไรอย่างนั้น แม้ว่าผู้คุมจะปล่อยให้เขาได้พักผ่อนเป็นกรณีพิเศษโดยไม่ต้องตื่นไปทำกิจกรรมตามตารางประจำวันที่นักโทษควรทำ เนื่องจากได้รับรายงานว่าถูกรุมทำร้ายมาเมื่อวาน เหนือสิ่งอื่นใด...

เขาเป็นฮีท...

คริสรายงานให้ผู้คุมรับทราบเมื่อช่วงเช้านี้เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเขาเก็บกวาดหลักฐานที่ทำให้เขาเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเรียบร้อยแล้วก่อนที่ใครจะมาเห็นแล้วด้วย เจเรมีอยู่ในสภาพเหมือนก่อนเป็นฮีททุกประการราวกับว่าไม่เคยเกิดเหตุการณ์อะไรอย่างนั้นขึ้น ต่อให้มันมีหลักฐานเป็นภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิดก็เถอะ แต่เจเรมีคงไม่มีโอกาสได้ดูซึ่งแค่นั้นมันก็เพียงพอสำหรับเขาแล้วแม้ว่าผู้คุมจะเห็นทุกการกระทำก็เถอะ

มันน่าโมโหสักหน่อยที่แม้ผู้คุมจะรู้แต่ไม่เข้ามายุติเหตุการณ์วิปโยคที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้

ทั้งหมดเป็นเพราะกลิ่นเงินจากตระกูลแฮร์ริสัน

คริสรู้ดีว่าในโลกของข้าราชการเหล่านี้ไม่มีอะไรโปร่งใส และเขาก็ไม่แปลกใจนักถ้าหากเดร็กจะทำแบบนี้กับคนที่ทำร้ายลูกชายเขา เขาติดใจเพียงอย่างเดียว

ทำไมถึงไม่มีใครบอกให้รู้ล่วงหน้าว่าอาการฮีทของเจเรมีเมื่อคืนนี้ไม่ใช่การเป็นฮีทธรรมดา แต่เป็นช่วงฤดูผสมพันธุ์!?

ใช้คำว่าฤดูผสมพันธุ์ก็ดูจะโหดร้ายไปหน่อย เอาเป็นว่าโดยปกติแล้วเป็นที่รู้กันดีว่าหากอัลฟ่าและโอเมก้าที่เป็นคู่แห่งโชคชะตามาอยู่ด้วยกัน อาการฮีทมักจะรุนแรงและมีอาการเป็นระยะถึงจะไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ก็ตาม ก่อนที่มันจะค่อยๆ บรรเทาลงเมื่อทั้งคู่ชินกลิ่นฟีโรโมนของกันและกันแล้ว ทว่าคริสกับเจเรมียังไม่ชินกลิ่นหอมหวนของต่างฝ่าย พอครบรอบที่เจเรมีถึงฤดูผสมพันธุ์ด้วยยิ่งไปกันใหญ่

พูดได้เต็มปากเลยว่าการได้รับยาต้านกลิ่นฟีโรโมนหรือยางับอาการฮีทไม่ช่วยอะไรเลย

ความจริงก็ไม่ช่วยเสียทีเดียว... ช่วย... แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์

ประสิทธิภาพของยาบกพร่องไปเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว

ผู้คุมที่สนิทกันเพิ่งจะบอกกับคริสเมื่อเช้านี้ เขาไม่ได้ต่อว่า เข้าใจว่าพรรคพวกของคนพวกนี้ต้องการความก้าวหน้าในการงาน แต่มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเท่าไหร่ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่เต็มใจ ถึงจะรู้ว่าตนไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อรอง แต่ก็นับว่าไม่พอใจอยู่ไม่น้อย

ไม่พอใจยิ่งกว่าคือเจเรมี เขาตื่นขึ้นมาไม่สดชื่นไม่ว่า ยังจะมาเจอหน้าคริสที่ดูซึมเซานั่งมองอยู่ข้างเตียงอีกต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้น เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าของคริสดูไม่ดีเลยแม้แต่น้อย ใต้ตาคล้ำ ดวงตาลึกโบ๋ ดูเหนื่อยอ่อน สุดท้ายก็อดออกปากถามไม่ได้

“โคตรโทรมเลย ไปทำอะไรมา”
ไร้ซึ่งความเป็นห่วง แค่อยากรู้

คริสเหลือบหางตาไปมองแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

เพราะใครล่ะ ยังมีหน้ามาถาม...

เพราะเจเรมีที่มีอาการฮีทครั้งแล้วครั้งเล่า เขาถึงไม่ได้นอน หลังจากที่เขาเกือบจะทำอะไรเกินเลยกับอีกฝ่ายไปแล้ว เจเรมีหายจากอาการฮีทไปพักหนึ่ง หากแต่ไม่กี่ชั่วโมงให้หลังก็มีอาการขึ้นมาอีก เขาจึงไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืนเพราะต้องคอยตั้งสติ ไม่ได้ล่วงเกินคู่แห่งโชคชะตาของตนยามไม่ได้สติอย่างนั้น

สถานการณ์เมื่อคืนว่าเลวร้ายแล้ว สิ่งที่เขาได้รับรู้มาเลวร้ายยิ่งกว่าเสียอีก ผู้คุมบอกกับเขาว่าเจเรมีจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกสามถึงสี่วันถึงจะหายเป็นปกติ เขาอาจจะต้องใช้ความอดทนมากกว่าปกติสักหน่อย

นั่นมันหายนะชัดๆ เลย...

ความอดทนของคนเรามันจะนานได้สักแค่ไหนกันเชียว

พอคริสไม่ตอบ เจเรมีก็ชักสีหน้า รำคาญใจขึ้นมาทันควัน
“พูดด้วยก็ไม่พูด เป็นแค่สวะยังมาทำหยิ่ง”

ไม่ได้หยิ่งเลย แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่างหาก จะให้เขาบอกว่าที่ดูโทรม อดหลับอดนอนจนตาโหลขนาดนี้เป็นเพราะมัวเมาในกลิ่นฟีโรโมนขอเจเรมี่ก็ใช่เรื่องเลยแม้แต่น้อย

จะตายเร็วเอาเปล่าๆ ถึงเขาจะมีชั้นเชิงการต่อสู้มากกว่าเจเรมีก็ตาม แต่ถ้าเทียบเรื่องความใจกล้าบ้าบิ่นแล้ว เขาสู้เจเรมีไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่พูดด้วย เอาแต่มอง เจเรมีก็ไม่อยากจะสนใจ ลุกจากเตียง เดินไปล้างหน้าที่อ่าง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อในขณะที่เช็ดหยดน้ำจากใบหน้า สายตาเหลือบไปเห็นรอยแดงช้ำบนต้นคอ

รอยคิสมาร์กจากคริส...

ฉับพลันความทรงจำก็หวนกลับมา เขาจำได้ว่าหลังจากถูกคริสประทับรอยนี้ก็มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว จากนั้นความทรงจำทั้งหมดก็เลือนราง แต่ถึงอย่างนั้นก็รู้ว่าอาการที่เกิดขึ้นมันคืออะไร ก่อนจะหันไปทำหน้าถมึงทึงใส่คนตัวการทันที
“เมื่อวานนี้มันเกิดอะไรขึ้น!?”
คริสสะดุ้งเล็กน้อย ถามหยั่งเชิง“หมายถึงตอนไหนล่ะ”

“หลังจากที่นายทำไอ้รอยนี่ให้ฉันแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น!?” เจเรมีอยากรู้เรื่องราวหลังจากนั้น

คริสเข้าใจได้ว่าเจเรมีคงจะรู้ตัวแล้วว่าเขาเป็นฮีท แต่ดูท่าทางจะจำอะไรไม่ได้เลย งั้นก็ดี เขาจะได้บอกไปตามความจริง...แค่ส่วนเดียวนะ เฉพาะเหตุการณ์ในห้องน้ำ เรื่องหลังจากนั้นเขาจะขอเก็บไว้เป็นความลับ
“นายเป็นฮีทไง”
“รู้ว่าเป็นฮีท แต่หมายถึงฉันทำอะไรนายหรือเปล่า ไอ้เซ่อเอ๊ย!”
เน้นย้ำว่า ‘ทำอะไรนายหรือเปล่า’ เพราะเจเรมีเกรงว่าตัวเองจะไปทำเรื่องอย่างว่ากับคริสโดยไม่รู้ตัวอีก แต่หารู้ไม่เลยว่าคนที่ทำในรอบนี้น่ะคือคริสต่างหาก ทว่าให้อีกฝ่ายเข้าใจไปอย่างนี้มันก็ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องมาทนเห็นเจเรมีโวยวายให้ปวดหัว

“ไม่ได้ทำอะไร พอนายมีอาการ ฉันก็รีบออกจากห้องน้ำ แล้วก็เรียกให้ผู้คุมมาช่วยพานายมาที่นี่”
เจเรมีทำหน้าไม่เชื่อให้คริสได้พูดอีกครั้ง
“แล้วก็มีหน่วยแพทย์มาทำแผลที่หน้าท้องให้ จากนั้นนายก็หลับข้ามวันอย่างที่เห็น”

ดวงตาสีฟ้าใสเหลือบมองยังหน้าท้องของตัวเองที่มีเสื้อปกปิด ความรู้สึกตึงที่ผิวเนื้อทำให้เจเรมีตระหนักได้ว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับเขา พลันกัดฟันกรอดอย่างขุ่นแค้นกับการถูกกระทำอย่างนี้

คริสมองสายตาเจเรมีดูก็รู้ จนอดพูดปลอบขึ้นมาไม่ได้
“มันผ่านไปแล้ว อย่าไปใส่ใจ ยังไงซะก็อยู่ใต้ร่มผ้า ไม่มีใครเห็น”

...นอกจากเขา วงเล็บประโยคนี้เอาไว้ด้วย

“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะเห็นหรือไม่เห็น แต่ไอ้พวกเวรนั่นมันต้องไม่ตายดีแน่ที่ทำกับฉันอย่างนี้” เจเรมีตวัดดวงตามามองคริสอย่างแข็งกร้าว

ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าแค้น แต่คริสบอกไปแล้วอย่างไรล่ะว่าถ้าจะอยู่ในดินแดนเถื่อนแห่งนี้ให้รอด โอเมก้าอย่างเจเรมีจะต้องมีคนคุ้มครองซึ่งก็หนีไม่พ้นเขา

“นายได้ฆ่าพวกนั้นแน่ แต่ต้องเป็นตอนที่ออกจากที่นี่ไปแล้ว ระหว่างนี้ให้ฉันคุ้มกันนายไปก่อน ทำตัวดีๆ จะได้อยู่ง่าย เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”

ทำไมจะไม่เข้าใจ คริสเอ่ยประโยคนี้นับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้เจเรมีดูเหมือนจะฟังเหตุผลของอีกฝ่ายขึ้นมามากกว่าเดิมสักหน่อย ประจักษ์ด้วยตัวเองแล้วนี่ว่าการดื้อรั้นไปไม่ช่วยอะไรเลย มีแต่จะทำให้ตัวเองเดือดร้อนทั้งนั้น เขาไม่ใช่คนเดียวที่อยู่ค้ำฟ้าหรือเหนือกว่าคนอื่นๆ อีกแล้ว ในแดนขังแห่งนี้มีอันตรายที่เขาจะต้องพบเจออยู่อีกเยอะ

“ถ้านายคิดอะไรทุเรศๆ กับฉันล่ะก็ ออกไปได้เมื่อไหร่ นายได้ตายตามพวกนั้นไปแน่”
สุดท้ายก็ตกปากรับข้อเสนอของคริส ทว่าก็ไม่พ้นพูดจากรรโชกใส่ แต่คริสก็พอใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้าเด็กดื้อยอมอ่อนข้อลงสักที ถึงจะไม่มากแต่ก็นับว่าสำเร็จไปขั้นหนึ่ง

“ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก”
แต่พอรับปากไปอย่างนั้นก็กระดากใจไปเล็กน้อย

บอกว่าจะไม่ทำอะไรงั้นเหรอ? ถ้าเจเรมีรู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีหวังเขาถูกจับหัวโขกกำแพงเลือดอาบอย่างแน่นอน



 
ดีที่เจเรมีไม่รู้ และจะไม่มีวันรู้ ตอนนี้เจเรมีก็ไม่มีอารมณ์จะมาสนใจเรื่องหยุมหยิมอย่างนั้นแล้วด้วยเมื่อถูกผู้คุมพาตัวออกมารับประทานอาหารกลางวัน ตอนนี้เองที่เขารู้สึกได้ว่าสายตาของนักโทษคนอื่นๆ มองเขาแปลกไปจากทุกวัน คราแรกก็ไม่ได้ฉุกใจอะไร แต่พอสังเกตดีๆ จะเห็นว่าจุดที่ถูกจ้องมองคือบริเวณลำคอ ถึงได้รู้ว่าจุดรวมสายตามันคือรอยคิสมาร์กของคริสนั่นเอง

“มองเวรอะไรวะ!” ด้วยความหงุดหงิด เจเรมีจึงแผดเสียงขึ้นมาใส่คนที่นั่งข้างๆ
การตะคอกของเขาทำเอาคนที่ถูกตะคอกหันหนีอย่างพร้อมเพรียง ในขณะที่คริสซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เตรียมจะจัดการมื้อกลางวันของตัวเองมองด้วยสายตาเอือมระอา

เห็นเจเรมีแยกเขี้ยวใส่คนรอบกายมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ที่เขาเที่ยวพร่ำพูดไป ไม่ได้เข้าหูเลยใช่ไหมเนี่ย
“เพิ่งจะบอกไปหยกๆ ว่าทำตัวให้ดีๆ หน่อย จะได้อยู่ง่าย” จนแล้วจนรอดก็ต้องเอ่ยปากออกมา
เจเรมีตวัดดวงตาเรียวไปทางคริสอย่างคาดโทษทันควัน “อย่าพล่ามให้มาก มันเป็นเพราะใครล่ะไอ้สารเลว”

ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทุกครั้งที่เปิดปากจะมีคำผรุสวาทหลุดออกมาด้วย คริสเข้าใจดีว่าที่เจเรมีหัวเสียขนาดนี้เป็นเพราะรอยแดงช้ำจากการประทับเครื่องหมายว่าเป็น ‘ของเขา’ บนต้นคอของอีกฝ่าย มันเห็นชัดเจนจนดึงดูดสายตาของใครต่อใครให้มองเป็นตาเดียวแม้ว่าจะมีคอเสื้อปกปิด แต่พลาดไปหน่อยที่เขาทำรอยนั้นไว้ตำแหน่งสูงเกินไป คอเสื้อจึงไม่ได้ช่วยปิดอะไรมากและนั่นทำให้เจเรมีอดที่จะรำคาญไม่ได้

“ถือซะว่าอย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้นายอยู่ที่นี่ง่ายขึ้น”
ย้ำขึ้นมาอีกแล้วว่านั่นเป็นการช่วยเหลือ คนฟังเข้าใจว่าสถานการณ์ของตนในตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้ามีคนกลุ่มหนึ่งรู้ว่าเขาเป็นโอเมก้าแล้ว อีกไม่นานก็คงจะได้รู้กันทั้งแดนขัง การที่คริสประกาศตัวว่าเป็นเจ้าของของเขามันก็ช่วยให้คนอื่นๆ ไม่กล้าเข้ามายุ่งได้ แต่ว่า...

...ทำไมต้องเป็นคริสที่ครอบครองเขาด้วย! ทำแบบนี้มันมีนัยยะว่าเขาต้องไปนอนถ่างขาให้คริสสอดใส่อะไรต่อมิอะไรเข้ามาในตัวน่ะสิ!

เพราะคิดอย่างนั้นจึงทำให้เจเรมีไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง คนมากทิฐิ ไม่ยอมอ่อนข้ออย่างเขายอมรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ สุดท้ายก็พูดออกมา

“อยู่ง่ายเพราะเป็นอีตัวให้นาย ฉันยอมโดนกระทืบทุกวันดีกว่า!”

หัวคิ้วของคริสย่นยู่ฉับพลัน อาหารมื้อนี้ไม่อร่อยเสียแล้ว พูดออกมาได้อย่างไรว่าจะยอมโดนทำร้ายทุกวันมากกว่าการมีรอยคิสมาร์กจากเขาประทับบนต้นคอ ถ้าแค่ถูกทำร้ายอย่างเดียวมันก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่ แต่จะถูกทำอย่างอื่นด้วยนี่สิ เมื่อวานนี้ยังไม่ชัดเจนพออีกหรือไงว่าเขาตกอยู่ในอันตรายมากแค่ไหน

เมื่อไหร่เจเรมีจะเข้าใจเสียทีว่าเขาต้องการช่วยโดยไม่ได้คิดอะไรจริงๆ






...ยอมรับว่าคิดบ้างเล็กน้อยก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะคิดแค่ตอนที่เจเรมีเป็นฮีทน่ะ เวลาอื่นไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น

“น่าขยะแขยงฉิบ” เจเรมียังก่นด่าไม่หยุด
“แล้วนายต้องการอะไร” ในที่สุดคริสก็ยอมเอ่ยปากหลังจากเป็นฝ่ายถูกปรามาสอยู่นาน
เจเรมีชะงักไป ส่งสายตาขุ่นเคืองมา “ฉันไม่ใช่อีตัวของนาย”
“แค่จะบอกเรื่องนี้?”

เจเรมีไม่ตอบ คริสถอนหายใจพลันว่า
“ฉันก็ไม่เคยบอกว่านายเป็นอีตัว เราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันอย่างนั้นสักหน่อย”
“แต่ไอ้รอยนรกนี่มันทำให้ฉันดูเหมือนอย่างนั้น ไม่เข้าใจหรือไง!”
แผดเสียงขึ้นมาอีกแล้ว เรียกสายตาของทุกคนให้จ้องมอง หากแต่พอคริสปรายตามองคืนก็พากันแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นฉับพลัน เปิดโอกาสให้คริสได้ตอบโต้คนขี้โมโห
“ถึงได้ถามว่านายต้องการอะไรไง”

พอถามอย่างนั้นขึ้นมาอีก เจเรมีก็สวนคืนอย่างรวดเร็ว
“ถ้าจะเล่นบทนี้ นายต่างหากที่เป็นอีตัว ไม่ใช่ฉัน!”
“อยากจะทำคิสมาร์กให้ฉันไหมล่ะ”

รู้สึกว่าคุยไม่รู้เรื่องเลยว่าอย่างระอาใจ หากแต่คำพูดของเขาเป็นการท้าทายเจเรมีอย่างไม่ได้ตั้งใจเสียอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะต้องมองตามอีกฝ่ายที่ลุกขึ้นพรวด ตะเบ็งเสียงใส่หน้าเขา

“อย่ามาท้าฉัน!”

ไม่ได้ท้า...

กำลังจะพูดแต่ไม่ทันแล้วเพราะจู่ๆ เจเรมีก็ยื่นมือมากระชากคอเสื้อเขาเต็มแรง เพราะไม่ได้ตั้งตัวจึงเอนไปข้างหน้า แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชายหนุ่มผมบลอนด์โน้มตัวลง ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้และประทับริมฝีปากที่ต้นคอเขาอย่างรวดเร็ว แรงดูดรุนแรงทำให้คริสขมวดคิ้วยู่ขณะที่สายตาก็รับรู้ได้ว่าเขาตกเป็นเป้าสายตาของนักโทษทั้งโรงอาหารไปแล้วเรียบร้อย

ผ่านไปอึดใจหนึ่ง เจเรมีก็ผละออกมา แสยะยิ้มชั่วร้ายให้

“ต่อจากนี้นายเป็นอีตัวของฉันแล้ว!”
จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งลง หันไปแหวใส่คนอื่นๆ ที่มองเป็นพัลวัน ปล่อยให้คริสยกมือขึ้นจับรอยผิวเนื้อนูนเล็กๆ จากการถูกดูดพลันนึกขำในใจ

เป็นอีตัวให้เจเรมีงั้นเหรอ? ก็ไม่เลวเหมือนกัน ฟังดูน่าสนุกดี

จะมีอัลฟ่าที่ไหนยอมให้โอเมก้าโดยไม่คิดจะตอบโต้เหมือน คริส ฟ็อกซ์ คนนี้บ้างไหมนะ?

“ยิ้มบ้าอะไร!” แว้งใส่คนอื่นเสร็จก็หันมาฟาดงวงฟาดงาใส่คริสที่นั่งอมยิ้มอยู่

ใบหน้าคร้ามของคริสแข็งเกร็งทันที ดูก็รู้ว่ากำลังกลั้น ก่อนที่เขาจะกระแอมไอสองสามทีแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“ไม่มีอะไร”
เจเรมีหรี่ตามองอย่างไม่สบอารมณ์ ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีเรื่องพอใจบางอย่างอยู่และมันทำให้เขาหงุดหงิดกว่าเดิม
“น่ารำคาญฉิบ”
ก่นด่าไปก็ใช้ส้อมจิ้มอาหารในถาดอาหารแบบหลุมเต็มแรงเสียกระเด็นตกลงบนโต๊ะ คริสเหลือบมองแล้วก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาเพียงแค่รู้สึกว่าอีกฝ่ายเหมือนเด็กขี้โมโหดี

เหมือนพวกหัวโจกในโรงเรียนประถมอะไรประมาณนั้น…

จริงๆ ก็จัดการกับคนตรงหน้าไม่ยาก เพียงแต่ต้องใช้ความอดทนมากกว่าปกติเสียหน่อย

คิดแล้วก็อมยิ้มขึ้นมาอีก ก่อนจะใช้ส้อมยื่นไปจิ้มเอาเบคอนที่กระเด็นออกมาจากจานของเจเรมีส่งเข้าปาก

การกระทำนั้นทำให้คนอารมณ์ร้ายหยุดกระฟัดกระเฟียดทันที มองผู้ปกครองจำเป็นของตนอย่างจับผิดในขณะที่คริสค่อยๆ เคี้ยวเบคอนชิ้นนั้นช้าๆ เลิกคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่า ‘มีอะไร?’ หากแต่เจเรมีไม่พูด บทสนทนาต่อจากนี้จึงไม่เกิดขึ้น มีเพียงแต่การคาดโทษในใจของชายหนุ่มผมบลอนด์เท่านั้น

ฉันไม่จบแค่รอยเดียวแน่ๆ คริส!
---------------------------------
มาแล้วววว อู้ไปหลายวัน เมื่อวานว่าจะมาอัพค่ะแต่หนูแดงประสบอุบัติเหตุนิดหน่อย มีเหตุต้องให้เข้าเฝือกเลยไม่ได้มาต่อให้ตามสัญญา เก๊าขอโต้ด ;w;
ตอนนี้แอบเห็นมุมน่ารักของหนูเจมีขึ้นมานิดนึง (เหรอ?) เชื่อฟังผู้ปกครองมากค่ะลูก รอบหน้ายอมๆ เขาไปเนอะ ส่วนคริสนี่แบบ...ตีมึนมาก เนียนหน้านิ่งคืออะไร 555
พรุ่งนี้จะมาต่อที่เหลือให้นะคะ ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจไว้หน่อยเน้อ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[50% UPDATE][22/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-02-2017 00:35:57
หายไวๆนะคะไรท์
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[50% UPDATE][22/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-02-2017 17:08:04
เข้าเฝือกเลยเหรอ ดูแลตัวเองมาก ๆ นะ ขอให้หายไว ๆ


เจมีน่าตีเนอะ ชอบเอาชนะ ดูดคอคนอื่นต่อหน้าคนอื่น ๆ

ว้าย ๆๆๆๆ

พี่คริสของน้อง เลี้ยงเด็กดื้อมันเหนื่อย มาเลี้ยงพี่ไหม พี่ว่าก็นอน สอนก็ถอด...อุ๊ย!....สอนง่าย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[50% UPDATE][22/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 23-02-2017 18:46:14
หายไวไวน้า :mew1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[50% UPDATE][22/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-02-2017 22:37:59
เมื่อไหร่เจเรมี่ จะสำนึกว่าปากไม่ดีของตัวเอง
มีแต่พาให้มีแต่เรื่องร้ายๆ มาหาตัวเอง
 
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[50% UPDATE][22/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 23-02-2017 22:57:20
เจมี่..นายนี่มัน
น่าโดนพี่คริสสั่งสอนจิงๆ
555+
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[50% UPDATE][22/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-02-2017 00:07:48
ใจเย็นที่สุดในโลกก็คุณคริสค่ะ เป็นนี่จะฟาดปากให้พูดไม่ได้เลย  :hao7:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[50% UPDATE][22/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-02-2017 02:28:00
Episode 10: รอยแดงช้ำบนต้นคอ[2]

ไม่จบจริงอย่างที่ปากว่า เมื่อกลับเข้ามาในห้องขังหลังจากทำกิจกรรมของนักโทษเสร็จ เจเรมีก็ขู่บังคับคริสให้อยู่นิ่งๆ และจัดการประทับตราด้วยริมฝีปากของตนไปทั่วลำคอและแนวไหปลาร้า ความจริงจะบอกว่าขู่บังคับคริสก็ไม่ถูก เรียกว่าเขายินยอมเองต่างหาก ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายให้ปวดหัว การยอมตามใจในเรื่องเล็กน้อย ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง เขาก็ไม่มีปัญหา
ทว่ามันออกจะน่ารำคาญเสียหน่อยที่เจเรมีออกแรงดูดจนลำคอเขาเป็นรอยแดงช้ำหลายรอยแล้วก็ไม่มีท่าทีจะหยุดสักที
มือหนาคว้าคอเสื้อ กระชากเข้ามาใกล้ ใบหน้าแนบชิด ริมฝีปากทาบดูดดึงผิวเนื้อ...
น่ารำคาญ

เหมือนถูกปลาตัวเล็กๆ ในร้านสปารุมตอดอย่างไรอย่างนั้น จนในที่สุดเขาก็ต้องออกปากเมื่อเห็นว่าเจเรมีเริ่มขยับใบหน้าไปยังบริเวณอื่นเพื่อที่จะทำรอยนี้อีก

“พอได้แล้วมั้ง ฉันว่ามันเยอะพอที่จะทำให้คนอื่นมองว่าฉันเป็นอีตัวของนายแล้ว” ปลายประโยคแกมประชดประชันเล็กน้อย

เจเรมีผละออกมามองหน้า สายตาเกรี้ยวกราดเมื่อถูกขัดใจ

“หุบปากไปเลย” แล้วก็ประทับริมฝีปากลงมายังซอกคออีก

หากแต่ยังไม่ทันจะได้ออกแรงดูดก็ต้องชะงักเมื่อคริสเอ่ยขึ้น
“อยู่ใกล้ฉันมากๆ ระวังจะเป็นฮีท ช่วงนี้เป็นฤดูผสมพันธุ์นี่”

เจเรมีถอยห่างออกมาทันควัน สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาเพิ่งจะรู้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนี้เองว่าอาการฮีทของตัวเองเมื่อวานนี้เป็นเพราะถึงช่วงฤดูผสมพันธุ์แล้ว เป็นครั้งแรกเลยที่เขามีช่วงฤดูผสมพันธุ์โดยแสดงอาการออกอย่างนี้ โดยปกติจะถูกฉีดยาระงับเอาไว้ ทว่าพอมาอยู่กับคริส การฉีดยาแค่เข็มเดียวมันไม่เพียงพอต่อการระงับฮอร์โมน เขาจึงต้องรับยามากขึ้นเป็นเท่าตัวถึงจะพอเอาไหว

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะระงับได้ชะงัด...

คริสที่เป็นอิสระแล้วเดินไปส่องกระจก เห็นรอยแดงช้ำเป็นจ้ำแล้วก็ถอนหายใจ ไม่รู้ว่าตนคิดถูกหรือผิดที่ยอมให้หัวโจกเด็กประถมคนนี้กลั่นแกล้ง ก่อนจะหันไปมองทางเจเรมีที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้น

“รอยแค่นี้อย่าทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตน่า”

ใครกันแน่ที่ทำเป็นเรื่องใหญ่โต คนที่โวยวายจนคุกแทบพังคือหนุ่มผมบลอนด์คนนี้ต่างหาก!

แต่คงพูดด้วยอารามรู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะ เพราะพอพูดแล้วก็จ้องหน้าคริสอย่างท้าทายพลางแสยะยิ้มเย้ย ทำให้คนถูกมองออกปากถามอย่างเสียไม่ได้

“นายอายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบ ทำไม?”
“นึกว่ายังเรียนอยู่ชั้นประถม นิสัยนายดูเด็กดี” คริสว่านิ่งๆ มือเอื้อมไปเปิดก๊อก วักน้ำมาลูบไปตามลำคอพลางสำรวจร่องรอยอารยธรรมที่เจเรมีทิ้งเอาไว้ด้วย

คำยอกย้อนนั้นทำให้เจเรมีหน้าตึงไปทันที
“อย่ามาหาเรื่องฉันถ้าอยากจะอยู่ด้วยกันดีๆ”
“ไม่ได้หาเรื่อง”
“ที่พูดเมื่อกี้มันหาเรื่องเว้ย!”
“ก็แค่บอกว่านิสัยนายดูเด็กก็แค่นั้น หาเรื่องตรงไหน” คริสหันมาเลิกคิ้วสูง

เจเรมีไม่ชอบเลยที่อีกฝ่ายชอบทำท่าทางไม่ยี่หระแบบนี้ แต่ก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรการอยู่กับคริสมันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่นักถ้าไม่นับรวมเรื่องที่เป็นฮีทเวลาได้กลิ่นฟีโรโมนของอีกฝ่าย ได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้เขาชินกับกลิ่นนรกนี่สักที จะได้ไม่ไร้สติแล้วไปทำอะไรต่อมิอะไรโดยที่เขาไม่รู้ตัวกับคริสอีก

อันที่จริงแล้วการอยู่กับคริสในนี้ถือว่าดีมาก เพราะถ้าเขาไปอยู่รวมกับนักโทษที่เป็นเบต้าคนอื่นๆ เขาคงถูกรับน้องหนักกว่านี้ พอวันนี้คริสประกาศตัวอ้อมๆ ว่าเป็นคนคุ้มครองเขา เท่านั้นก็ไม่มีใครเข้ามาวุ่นวายให้รำคาญใจเลยแม้แต่น้อย

อดอยากรู้ไม่ได้เลยสักนิดว่าคริสไปก่อวีรกรรมอะไรไว้ คนอื่นๆ ถึงได้เกรงใจกันขนาดนี้ เชื่อเลยว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ เห็นหน้านิ่งอย่างนี้ เจ้าเล่ห์จะตาย

รับรู้ความเจ้าเล่ห์ของผู้ชายตรงหน้าได้จากการกระทำมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว หากแต่ไม่ใช่เรื่องที่จะใส่ใจสักเท่าไหร่ เขาเพิ่งสำนึกได้ว่าตนยังไม่รู้จักคริสดีสักเท่าไหร่เลย รู้เพียงแต่ชื่อและกำพืด รายละเอียดนอกจากนั้นไม่รู้เลยสักนิด อย่างเช่นเรื่อง...

“นายอายุเท่าไหร่วะ”

เรื่องอายุเป็นต้น...

คริสที่กำลังเช็ดหยดน้ำออกจากต้นคอของตนเหลือบมามองอีกครั้ง พอเห็นว่าเจเรมีที่นั่งอยู่บนเตียงถามด้วยสีหน้าจริงจัง เขาก็ย้อนกลับ

“อยากจะรู้ไปทำไม”
“แล้วฉันไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องอีตัวของฉันหรือไง”

ปากคอเราะร้ายจนน่าตบปากสั่งสอนสักที

แต่คริสไม่ทำแบบนั้นหรอก เขามีวิธีที่ดีกว่านี้
“ถ้าถามดีๆ ฉันจะตอบให้”
“ฉันถามไม่ดีตรงไหนวะ”
“พูดด้วยน้ำเสียงแข็งๆ ก็ถือว่าไม่ดีแล้ว”
“ฉันไม่เรียกนายว่าสวะก็ดีเท่าไหร่แล้ว”

คริสชี้นิ้วไปทางเจเรมี ทำท่าทางประมาณว่า ‘นั่นแหละ ใช่เลยที่ว่าไม่ดี’

เจเรมีเห็นแล้วก็หัวเสีย พรั่งพรูคำพูดออกมา

“ทำไมฉันจะต้องพูดดีๆ กับคนอย่างนายด้วยวะ”
“ถือว่าเป็นการเรียนรู้การใช้ชีวิตก็แล้วกัน รู้จักคำว่าการปรับตัวไหม?”

เจเรมีไม่ตอบ ปล่อยให้คริสพูด
“ถ้าอยากจะอยู่อย่างสงบ ไม่ว่าจะกับฉันหรือกับคนอื่นก็ปรับตั้งแต่เรื่องการเลือกใช้คำพูดเลย อยากจะรู้อะไรเกี่ยวกับฉันก็ถามดีๆ แล้วกัน” จากนั้นก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ส่องกระจกมองใบหน้าตัวเอง ปล่อยให้เจเรมีฮึดฮัดอยู่คนเดียว

ทำไมจะต้องไปพูดดีกับคนอย่างมันด้วย!

ขัดเคืองใจแต่ไม่อยากโวยวาย เขายอมรับว่าที่คริสพูดมันถูกต้องทุกประการ แต่จะให้เขามาปรับเปลี่ยนอะไรตอนนี้มันใช่เรื่องง่ายดายเสียทีไหน เขาเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร จู่ๆ ต้องมาปรับตัวมันเป็นเรื่องยาก ทว่าพอคิดถึงเรื่องก่อนๆ ที่เกิดขึ้นเพราะความใจร้อนทั้งการกระทำและคำพูดของตนแล้ว เขาก็ต้องจำใจฝืนตัวเองเปล่งเสียงราบเรียบออกมา

“นาย...อายุเท่าไหร่”
ความรู้สึกต่อต้านอัดแน่นในใจจนอยากจะตีอกชกหัวตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด

คริสชำเลืองมามอง ยกยิ้มเล็กน้อยอย่างพอใจที่อีกฝ่ายยอมเอ่นอ่อนพลันตอบคำถาม “ยี่สิบสอง”

เป็นรุ่นพี่สองปี... อายุห่างกันไม่มากแต่มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเจเรมีอยู่เยอะทีเดียว

“อยู่ในคุกนี่มาสองปีแล้วล่ะสิ” เจเรมีย้อนถาม จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าข่าวเรื่องตระกูลฟ็อกซ์ถูกโค่นล้มและเขตปกครองพิเศษดีออนถูกยึดอำนาจมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน

คริสพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยเสริม “แล้วก็คงจะอยู่ยาวไปตลอดชีวิต”

เจเรมีเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร

คงจะหมดหวังในการกลับออกไปใช้ชีวิตข้างนอกแล้ว...

“แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากจะออกไป” คริสว่าขึ้นมาอีก เรียกสายตาของเจเรมีให้จ้องเขม็ง
“ถ้าออกไปได้ นายจะทำอะไร”
“เรียกร้องความยุติธรรมให้ครอบครัวฉัน” อีกฝ่ายว่า ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ดวงตาไม่ได้ยิ้มด้วยเลย มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เจเรมีเข้าใจดีด้วยรับรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับครอบครัวของคริส เขาเองก็ถูกความอยุติธรรมเล่นงานมาเหมือนกัน แต่ทั้งนี้มันก็เป็นเพราะตัวเขาเองที่ก่อเรื่อง ต่างจากคริสที่ถูกบีบคั้นจนหมดหนทางสู้

“ถึงได้บอกไงว่าถ้านายมีโอกาสทำอะไรก็รีบทำซะก่อนที่จะไม่ได้ทำ เรื่องขอโทษพ่อน่ะ ถ้าได้ออกจากที่นี่ไปเมื่อไหร่ อย่ามัวชักช้าล่ะ พ่อของนายทำเพื่อนายมาเยอะ ถึงเวลาที่นายจะต้องตอบแทนเขาด้วยการไม่ก่อเรื่องแล้ว”

คริสว่าแล้วจบบทสนทนาลงแค่นี้ด้วยการเดินกลับมาแล้วปีนขึ้นไปยังเตียงชั้นบน ปล่อยให้เจเรมีทิ้งตัวลงนอนบ้าง แขนข้างหนึ่งยกขึ้นก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดในสิ่งที่ชายหนุ่มอีกคนพูด ผ่านไปครู่เดียวก็ทำลายความเงียบขึ้นมาอีก

“คริส”
“หืม?”
“ขอบใจที่คอยเตือนสติ”

เป็นครั้งแรกที่เจเรมีขอบคุณใครสักคน ถึงมันจะไม่ใช่ตัวของเขาและการพูดอย่างนั้นก็ทำให้กระดากปากไม่น้อย แต่เขาก็อยากจะลองพูดดู อย่างน้อยก็เป็นการฝึกให้เขากล้าพูดคำว่าขอโทษกับบิดาก่อนเจอหน้า

คริสที่ถูกพูดใส่อย่างนั้นโดยไม่ทันตั้งตัวนิ่งงันไปเล็กน้อย ก่อนที่จะเผยอยิ้มออกมา หัวเราะในลำคอให้อีกฝ่ายได้หงุดหงิด
เจเรมีได้ยินเสียงหัวเราะนั่นแล้วอยากจะตอกกลับเสียเหลือเกินว่า ‘อย่ามาทำเป็นได้ใจนะเว้ย!’ เสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องปิดปากเงียบเมื่อคริสตอบกลับมาเสียก่อน

“เรื่องเล็กน้อย ไม่เป็นไร”

คริสไม่ใช่คนเลวร้ายเลยสักนิด ออกจะดีจนไม่เหมาะสมมาอยู่ในที่แบบนี้เลยด้วยซ้ำ

เจเรมีอดคิดไม่ได้เลยว่าเขาต่างหากที่สมควรถูกขังลืมมากกว่าผู้ชายคนนั้น
หากได้กลับออกไป... ไม่แน่เขาอาจจะขอร้องให้บิดาหาทางช่วยเหลือคริส

ชายคนนั้นไม่สมควรมาอยู่ในที่แบบนี้จริงๆ...





 
การใช้ชีวิตในแดนขังหลังจากวันที่คริสประกาศเป็นนัยว่าเป็นของเขา ทำให้เจเรมีใช้ชีวิตง่ายขึ้นอย่างที่อีกฝ่ายว่า ยิ่งในตอนนี้ข่าวเรื่องที่เขาเป็นโอเมก้ากระจายไปทั่วแล้ว เขาแค่ต้องระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนักด้วยมีคริสติดสอยห้อยตามไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา

มันทำให้เจเรมีอุ่นใจไม่น้อย เพิ่งจะเข้าใจว่าความปลอดภัยมันเป็นอย่างไร...

หากแต่ก็ต้องมีบางช่วงที่ต้องแยกกันเมื่อผู้คุมมาแจ้งกับโอเมก้าหนุ่มว่ามีคนมาขอเข้าพบ แวบแรกเจเรมีนึกว่าคงจะหนีไม่พ้นเจอโรมหรือมาเรียด้วยตั้งแต่เข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ ครอบครัวเขายังไม่เคยมาเยี่ยมเลยสักครั้ง รู้ว่าติดขัดปัญหาบางอย่างและวิ่งเต้นเรื่องการเอาเขาออกไปจากที่นี่อยู่ เจเรมีจึงไม่ได้โวยวายอะไร แต่ก็นับว่าดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จะได้เจอคนที่เขารักทั้งคู่หลังจากที่ไม่ได้เจอมาหลายอาทิตย์

หากแต่พอไปยังห้องสำหรับผมญาตินักโทษแล้ว ความดีใจก่อนหน้าก็มลายหายไปเมื่อพบว่าคนที่มาหาเขาไม่ใช่บิดามารดาอย่างที่คิด ทว่าเป็นอัลเบิร์ตที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาพักใหญ่หลังจากที่เขาก่อเรื่องทำร้ายร่างกายธีโอ
“เป็นไงบ้าง”

ทันทีที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้และยกหูโทรศัพท์สำหรับพูดคุยผ่านกระจกกั้นขึ้น อัลเบิร์ตก็ร้องทัก
เจเรมีย่นคิ้วเล็กน้อย สังเกตว่าสีหน้าของเพื่อนสนิทดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่สิ่งที่น่าสงสัยยิ่งกว่านั้นคือหลังจากที่เขาก่อเรื่องขึ้น อัลเบิร์ตหายไปไหน

“นายหายหัวไปไหนมา” ไม่ตอบคำถามเพื่อน ทว่าถามกลับ

คนถูกถามอึกอัก ไม่สะดวกใจที่จะบอก แต่ก็ต้องพูดในเมื่อวันนี้เขามาเพื่อที่จะบอกอะไรบางอย่างกับเจเรมี
“คือ...พอนายไปก่อเรื่องเข้า คุณเมอร์ซีเขาก็กลัวว่าฉันจะเดือดร้อนตามไปด้วยเลยสั่งไม่ให้เข้าใกล้นายน่ะ”

เป็นเพราะบิดาของเจเรมีนี่เอง แต่ก็ไม่ได้แปลกใจมากนักหรอก เจอโรมเองก็เอ็นดูอัลเบิร์ตเสมือนลูกหลานคนหนึ่งด้วยเห็นกันมาตั้งแต่ยังเล็ก การที่จะเป็นห่วงเพราะกลัวว่าจะโดนหางเลขไปด้วยนั่นมันไม่ใช่เรื่องแปลก แต่วันนี้ที่โผล่มาอย่างนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรแน่

ใจคิดแง่ลบไปก่อนที่ปากจะเอ่ยถามเสียแล้ว
“แล้วนายมาหาฉันทำไม ถูกสั่งห้ามแต่โผล่หน้ามาอย่างนี้ แสดงว่าแอบมาล่ะสิ”

อัลเบิร์ตพยักหน้ารับ รอยยิ้มผุดพรายเล็กน้อยแต่ไม่ใช่รอยยิ้มที่ดูร่าเริงเลย ดูอึดอัดมากกว่า
“ก็มีเรื่องนิดหน่อย”
“เรื่องอะไร” เจเรมีใจไม่ดีขึ้นมาแล้ว กระนั้นก็ยังควบคุมสติให้นิ่งและถามออกไปอีกครั้ง

อัลเบิร์ตแสดงอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด คล้ายกับว่าไม่กล้าเอ่ยปาก ยิ่งถูกเจเรมีคาดคั้นก็ยิ่งอึกอักขึ้นมาอีก
“ฉันถามว่านายมีเรื่องอะไร”
“เอ่อ...คุณนายเมอร์ซี...แม่ของนาย...” ยังคงลังเลใจว่าจะพูดหรือไม่พูดดี ทว่าพอสบตาของเจเรมีที่ลุกวาวขึ้นมาแล้วก็จำต้องพูดไปด้วยเกรงกลัวในแววตาคู่นั้น “แม่ของนายเข้าโรงพยาบาล”

ใจหล่นร่วงไปที่ตาตุ่มทันที น้ำเสียงไม่สามารถควบคุมได้อีกต่อไป ตะเบ็งถามอย่างรวดเร็ว
“แม่เป็นอะไร พูดมา!”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่สันนิษฐานกันว่าถูกวางยาพิษ ตอนนี้อาการโคม่า ยังไม่ได้สติอยู่ในห้องไอซียู” อัลเบิร์ตแทบจะร้องไห้ในวินาทีนั้น เขาไม่น่ามาบอกเรื่องนี้เลยแต่ก็จำต้องมาด้วยไม่อยากให้เจเรมีอยู่ในนี้โดยไม่รับรู้อะไรเลยเพราะถูกเจอโรมและบิดาห้ามไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้

ทว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้ให้กำเนิดเพื่อนของเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรู้ เขาถึงได้มาเหยียบย่างสถานที่แห่งนี้

“พ่อของนายกับฉันกำลังเร่งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ฝ่ายเราสืบสวนหาตัวคนร้ายอยู่ การพาตัวนายออกจากที่นี่คงจะล่าช้ากว่าเดิมหน่อยเพราะตอนนี้ชีวิตแม่ของนายสำคัญกว่า นายอดทนไว้ก่อนนะเจมี่ จนกว่าพวกเขาจะช่วยคุณนายเมอร์ซีได้ นายต้องอดทน”

เสียงของอัลเบิร์ตที่พูดหลังจากนั้นแทบไม่เข้าหูเจเรมีเลย

แม่ถูกวางยาพิษ... นี่มันเรื่องอะไรกัน!?

นึกไม่ออกเลยว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้เพียงอย่างเดียวว่าหัวสมองเขามึนงงไปหมด มือและเท้าชาดิกจนแทบจะขยับไม่ได้ เขาไม่เคยรู้สึกเหมือนจะสูญเสียบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตอย่างนี้มาก่อนเลย พลันใบหน้าของเดร็กก็ฉาบพรายขึ้นมา
เรื่องที่เกิดขึ้น...

เรื่องที่มารดาเขาถูกลอบทำร้ายต้องเป็นฝีมือของไอ้นายพลนรกคนนั้นแน่!

“ฝีมือของนายพลแฮร์ริสันใช่ไหม?” ตั้งสติได้ก็กัดฟันกรอด ถามออกไปด้วยน้ำเสียงสั่น
“พวกพ่อคิดว่าอย่างนั้น” อัลเบิร์ตกระซิบบอก เขาไม่อาจยืนยันได้ว่าเป็นฝีมือของผู้ชายคนนั้นจริงๆ

หากแต่เจเรมีคิดอย่างนั้นไปแล้ว มือข้างที่ยกหูโทรศัพท์อยู่กำแน่น ก่อนจะลุกพรวดและฟาดของที่อยู่ในมือเข้ากับกระจกเต็มแรง ส่งเสียงโวยวายไปทั่ว
“ไอ้สวะนั่นไม่ได้ตายดีแน่! ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้! ปล่อยออกไป!”

ไม่เพียงแต่โวยวาย ยังพยายามที่จะแหกคุก ทำเอาผู้คุมที่เฝ้าดูความเรียบร้อยอยู่กรูกันมาควบคุมตัวเป็นพัลวัน อัลเบิร์ตตกใจจนลุกพรวด พยายามร้องบอกเจเรมีให้ใจเย็น

“เจมี่! ใจเย็นๆ! เจมี่!”
“ไอ้พวกเวรเอ๊ย ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้!”

เจเรมีไม่ได้ฟังเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังจะขว้างหมัดไปทำหน้าผู้คุมคนหนึ่งที่พยายามจะจับกุมตัวเขาอีกด้วย ทำให้เขาถูกจับกดลงพื้นในสภาพคว่ำหน้าอย่างรวดเร็ว และสงบสติอารมณ์ด้วยการใช้กระบองไฟฟ้าช็อต

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังผ่านกระจกกั้นระหว่างญาติและผู้ต้องขังเลยทีเดียว อัลเบิร์ตเห็นเพื่อนที่อยู่ในสภาพเกือบจะหมดสติแล้วก็ใจเสีย ปากร้องเรียกอีกฝ่ายขณะที่ถูกนำตัวออกจากห้องเยี่ยมไปเป็นพัลวัน

“เจมี่... เดี๋ยว ผมยังคุยกับเขาไม่เสร็จ! เฮ้ เจมี่!”
ไม่ทันแล้ว เพื่อนสนิทของเขาถูกพาตัวออกไปแล้วเรียบร้อย มีเพียงเขาที่ยืนมองทุกอย่างด้วยความสลดใจ ก่อนจะถูกผู้คุมที่อยู่อีกฝั่งเชิญตัวกลับออกไปเมื่อหมดธุระ ในหัวคิดไม่หยุดเลยว่าเขาคิดผิดหรือเปล่าที่นำเรื่องนี้มาบอกกับเจเรมี

แต่ถึงอย่างไร เจเรมีก็ต้องรับรู้ การปิดบังไปมันไม่ช่วยอะไร อย่างน้อยถ้าพอมีอะไรที่เจเรมีทำได้ เขาจะได้ช่วยเหลือเจอโรมที่รับศึกหนักอยู่ฝ่ายเดียว เพราะดูท่าทางแล้วอีกไม่นานคนพวกนั้นคงจะมาเล่นงานเจอโรมแน่

มันไม่ใช่เรื่องของการทำเอาคืนเจเรมีที่ทำร้ายลูกชายของเดร็กแล้ว หากแต่เป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจ เรื่องของเจเรมีก็แค่ฉากบังหน้าเท่านั้น

ตระกูลเมอร์ซีอาจจะไม่ได้เป็นผู้ปกครองมหานครเพิร์ลอีกต่อไป ตอนนี้มันกลายเป็นการกำจัดเสี้ยนหนามที่คอยขัดผลประโยชน์แล้ว
-----------------------
มาเต็มตอนแล้วค่ะ วันนี้มาดึกหน่อย กินยาแล้วนอนทั้งวันเลย
มีหลายคนสงสัยว่าไปโดนอะไรมาถึงใส่เฝือก คือหนูแดงขาแพลงค่ะ เดินตกท่อ 555
ทีนี้ด้วยความที่น้ำหนักตัวเยอะ เส้นเอ็นเลยมีปัญหา กระดูกเคลื่อนนิดหน่อยเลยต้องใส่เฝือกดามไว้ งานตลาดฟิกเลยไม่ได้ไปเลยค่ะ งานงอก ;w;
ครึ่งหลังขุ่นพี่คริสยังมาดแมนแฮนด์ซัมเหมือนเดิม แต่เจมี่ลูก ชีวิตหนูนี่ดราม่ามาก อุตส่าห์ญาติดีกับขุ่นคริสได้แล้วนะเนี่ย ก๊ากก
ฝากฟีดแบ็กไว้หน่อยค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาอัพตัวอย่างให้นะ
หัวข้อ: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[100% UPDATE][24/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 24-02-2017 15:37:48
อ่าวซะงั้น อิแฮริสันนน

คริสก็คือเนียนๆเลยนะะะะ เอ่าา อยากดูดๆไป

ทำเป็นไม่อยากขัดเจมี่ ที่แท้........... 5555555555

ขุ่นคริสก็ยังคงน่าสงสารต่อไป ไม่เสี้ยมนะ

แต่รอวันตบะขุ่นคริสแตก 55
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[100% UPDATE][24/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 24-02-2017 22:11:38
เรื่องใหญ่แล้ว แย่แล้วๆๆๆ
ใหญ่โตแล่วววว
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[100% UPDATE][24/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 25-02-2017 14:13:12
โอ้ยย สนุกกกมากกกกก แบบทุกอย่างมีเรื่องราวให้จิดตาม เกลียดไอ้หมูโสโครกแฮร์ริสันจริงๆ รอวันนุ้งเจมี่ได้แก้แค้น พระเอกเรื่องนี้ใจเย็นมาก น่าจับนางเอกฟาดสักทีสองทีนะ  :katai4: รอวันพี่คริสตบะแตกฮร่ะ  :hao6: หนูเจมี่ราเริ่มมองพี่คริสดีแล้วคงอีกไม่นานสินะะะ หุหุหุ  :oo1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[100% UPDATE][24/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-02-2017 17:46:53
แม้มองจากภายนอกจะรู้ได้ว่าคือการกำจัดขั้วอำนาจ

แต่เจเรมีเองก็คงเจ็บปวดมากอยู่ดี

คริสมาปลอบใจเร้ว!
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[100% UPDATE][24/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 25-02-2017 18:38:06
เพราะพ่อของเจมี่เห็นต่างในหลายๆเรื่องเลยหาทางกำจัดออกไปสินะ สงสารเจมี่กับครอบครัวจัง พี่คริสช่วยน้องด้วยยยยย  :sad4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[100% UPDATE][24/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 26-02-2017 02:11:34
ตระกูลของเจมี่ถูกถอดออกเพื่อไปร่วมกอบกู้ตระกูลกับเมืองของว่าที่สมีใช่มั้ยคะ  :hao6:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.10[100% UPDATE][24/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 26-02-2017 22:40:33
Episode 11: เกมชีวิต[1]

ใช้เวลาหลายวันเลยทีเดียวกว่าที่เจเรมีจะสงบลงได้ ยอมรับเลยว่าข่าวร้ายนั้นทำให้เขาแทบเป็นบ้า เพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์ที่เขามาอยู่ในดินแดนคนโฉดแห่งนี้ ภายนอกนั้นมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายโดยที่เขาไม่ได้รับรู้อะไรสักอย่าง เจอโรมเองก็จงใจปิดบังเขา จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ก็ทำให้ชายหนุ่มอดขุ่นเคืองผู้เป็นบิดาไม่ได้ ถ้าหากอัลเบิร์ตไม่แอบมาเยี่ยมล่ะก็ เขาจะได้รู้เหรอว่ามารดาเขาถูกลอบทำร้าย

ใช่แล้ว...ถูกลอบทำร้าย การวางยาพิษที่ว่าไม่ใช่การนำสารเคมีที่สามารถละลายน้ำไปใส่ในอาหารหรือเครื่องดื่มให้เธอกิน หากแต่เป็นการถูกคนร้ายจู่โจมและใช้สารพิษบางอย่างฉีดใส่ใบหน้าขณะที่เธอออกไปทำธุระนอกบ้าน ละอองของสารพิษแทรกซึมเข้าไปตามท่อน้ำตาและโพรงจมูก ทำให้มาเรียหมดสติและร่างกายไม่ตอบสนองต่อปฏิกิริยาใดๆ เลยหลังจากนั้น

เจเรมียังไม่รู้ว่ามารดาของตนโดนสารพิษใด หากแต่การที่ต้องไปนอนอยู่ในห้องไอซียู แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะสบายใจ เขาอยากจะถามอัลเบิร์ตให้รู้เรื่องกว่านี้ ทว่าการที่เขาเสียสติ โวยวายจนแทบจะพังคุกอย่างนั้นทำให้เขาถูกระงับการเยี่ยมชั่วคราว แม้ว่าอัลเบิร์ตจะมาเยี่ยมในภายหลังอีกหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบได้

สิ่งที่ชายหนุ่มผมบลอนด์คนนี้ทำได้ดีที่สุดก็คือการภาวนา ขอให้มารดาปลอดภัยและรอวันที่เจอโรมจะมาพาเขาออกไปจากนรกแห่งนี้อย่างใจจดใจจ่อเท่านั้น

คริสที่เพิ่งรู้รายละเอียดจากปากของโอเมก้าร่วมห้องขังไม่ให้ความเห็นใดๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเจเรมีแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าต่อให้พูดอะไรไป ไม่ว่าจะเป็นการปลอบใจหรือข้อสันนิษฐานว่าที่มารดาของเจเรมีถูกลอบทำร้ายเป็นเพราะมีคนตั้งใจจะโค่นล้มอำนาจของตระกูลเมอร์ซี

แต่ถึงจะไม่บอก เจเรมีก็น่าจะพอเดาได้อยู่แล้ว ตอนนี้เรื่องมันบานปลายใหญ่โตโดยมีเขาเป็นต้นเหตุของชนวนทั้งหมด

ไม่สิ...ไม่ใช่ เขาเป็นแค่หมากตัวหนึ่งที่ถูกใช้เป็นเหตุผลในการโค่นอำนาจตระกูลเมอร์ซีต่างหาก

ชายหนุ่มรู้ดีว่าบิดาไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้นำทั้งสามตระกูลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่เพียงแต่บิดาเท่านั้น ความเกลียดชังนี้สั่งสมมาตั้งแต่รุ่นปู่ หากแต่มาหนักข้อขึ้นในรุ่นของบิดาเขาด้วยบิดาเป็นคนที่พูดแล้วทำจริง ต่างหากปู่ที่ทำเพียงขู่หรือไม่ก็ขัดคอเท่านั้น และการที่มารดาของเขาถูกลอบทำร้ายอย่างนี้ เชื่อได้เลยว่าเป็นการข่มขู่ให้เจอโรมระวังตัวไว้ ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนไหวไปทางไหน หากเดินไม่ถูกช่อง หมากซึ่งหมายถึงชีวิตของสมาชิกในครอบครัวเขาจะถูกกำจัดออกไปทันที

นั่นเป็นคำเตือน...

เจเรมีกระวนกระวายใจทั้งวัน เขาข่มตาให้หลับไม่ได้เลยตลอดทั้งคืน วันใหม่มาถึงก็ไม่อาจจะรับอาหารเข้าไปเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายเช่นกัน

มื้อเช้าก็แล้ว...
มื้อกลางวันก็แล้ว...
ดูท่าจะพ่วงมื้อเย็นด้วย

การได้เห็นจอมวายร้ายเอาแต่นั่งหน้าเครียด หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแทบจะทุกวินาทีทำให้คริสที่มองอยู่นานอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“ถ้านายไม่กิน นายจะไม่มีแรงเอานะ”
“ฉันไม่หิว”
“กินเถอะ ยังไงร่างกายก็ต้องการสารอาหาร” ว่าพลางเลื่อนถาดอาหารที่อยู่ตรงหน้าเจเรมีให้เข้าใกล้กว่าเดิม
เจเรมีตวัดดวงตามอง ว่าเสียงต่ำ “ฉันบอกว่าไม่หิว”
“แต่นายต้องกิน”
“ก็ไม่หิวไง” ไม่ได้ขึ้นเสียง แต่น้ำเสียงบ่งบอกว่าไม่พอใจ

คริสไม่อยากจะตอแยนักหรอก หากแต่การได้เห็นอีกฝ่ายต้องมาป่วยหรือเป็นอะไรในคุกในสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมา มันไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกเลย

“ฉันรู้ว่านายกังวลเรื่องแม่จนกินไม่ลง แต่ถ้านายไม่กิน นายจะไม่มีแรง พอไม่มีแรงก็จะทำให้ร่างกายอ่อนแอและป่วยง่าย ถ้าอยากจะออกไปแก้แค้นคนที่ทำร้ายแม่นายล่ะก็ นายต้องอดทนและดูแลตัวเองให้ดี อย่าเจ็บ อย่าป่วย อย่าให้ร่างกายเป็นอะไร เพราะนายจะต้องใช้มันอีกเยอะ”

เจเรมีเหลือบมองนิ่ง คริสพูดถูก หากเขาออกจากที่นี่ไปได้ เขาสาบานไว้กับตัวเองเลยว่าจะจัดการฆ่าไอ้พวกบัดซบที่บังอาจมาทำร้ายคนที่เขารักอย่างไม่รอช้า และแน่นอนว่ามันจะต้องใช้ร่างกายของเขาเป็นเครื่องมือ นั่นทำให้คนถูกกล่อมยอมเลื่อนถาดอาหารเข้าหาตัวแต่โดยดี คว้าช้อนและส้อมมาถืออย่างว่าง่าย

“แค่ไม่กินวันเดียวมันไม่ตายหรอกน่าไอ้เบื๊อก” ปากพูดไปอย่างนั้น ทว่าก็ตักอาหารเข้าปาก
คริสยิ้มมุมปากเล็กน้อย พอใจที่เจเรมีเชื่อฟังบ้างแม้จะดูไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็นับได้ว่าหลังจากเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ตอนนี้เจเรมีสำนึกได้เป็นอย่างดีแล้วว่าความวุ่นวายทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะความใจร้อนและไม่ทันไตร่ตรองก่อนจะกระทำการใดๆ นั่นเอง

สำนึกได้ก็ดี มันยังไม่สายไปนักหรอก...

คริสคิดอย่างนั้น หากแต่เขาน่าจะคิดผิดเมื่อหูทั้งสองข้างได้ยินเสียงจากโทรทัศน์เครื่องใหญ่ที่เปิดในโรงอาหาร ภาพบนจอเป็นภาพของนักข่าวสาวที่รายงานข่าวเกี่ยวกับการลอบทำร้ายบุคคลสำคัญทางการเมือง แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงทว่าก็นับว่าเป็นคนสำคัญ เพราะคนที่ถูกลอบทำร้ายนั้นคือ...ภริยาของท่านผู้นำเมอร์ซี

“จากการลอบทำร้ายภริยาของท่านผู้นำตระกูลเมอร์ซีเมื่อวานนี้ตามที่ทางเราได้รายงานไป ขณะนี้คุณนายเมอร์ซีได้เสียชีวิตลงแล้วที่โรงพยาบาลเมื่อเวลาสี่โมงเย็นที่ผ่านมาหลังจากที่ทางทีมแพทย์พยายามยื้อชีวิตอยู่นานร่วมชั่วโมง ทางเลขาของท่านผู้นำเมอร์ซีกล่าวว่าท่านผู้นำยังไม่อนุญาตให้การสัมภาษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีการที่ภริยาถูกลอบทำร้ายหรือการที่บุตรชายอย่าง เจเรมี เมอร์ซี ถูกจับในข้อหาฆาตรกรรม เขายังคงเก็บตัวเงียบอยู่ในบ้านพักโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าระวังอย่างหนาแน่น ทั้งนี้ทางตำรวจได้ทำการพิสูจน์หลักฐานแล้วพบว่าสารพิษที่คนร้ายใช้ฉีดพ่นเข้าที่ใบหน้าของคุณนายเมอร์ซีแล้วพบว่าสารพิษที่ใช้มีชื่อว่า VX ซึ่งเป็นสารพิษที่ทำลายระบบประสาท ก่อให้เกิดอาการชักเกร็ง เป็นอัมพาตและระบบทางเดินหายใจล้มเหลว...”

เสียงนั้นทำให้เจเรมีหันไปมองจอโทรทัศน์อย่างรวดเร็ว ภาพของบิดาและเลขาที่แหวกวงล้อมนักข่าวปรากฏให้เห็น ไร้ซึ่งภาพของมารดา แต่การรายงานข่าวก็ทำให้เขารับรู้ได้ว่าคนที่เขาเป็นห่วงที่สุดในเวลานี้นั้นได้จากเขาไปแล้ว
เจเรมีทิ้งช้อนกับส้อมในมือลงทันที ลุกขึ้นพรวด ใบหน้าซีดเผือดคล้ายกับไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นความจริง ขณะที่คริสฟังข่าวแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น

สารพิษ VX เป็นสารพิษอันตรายที่ถูกควบคุมการใช้โดยรัฐ คนที่จะนำมันออกมาใช้ได้ต้องเป็นคนของทางภาครัฐแน่ ไม่แปลกใจ
เลยว่าทำไมเจเรมีถึงได้บอกว่าทางบิดาเขาสงสัยว่าตระกูลแฮร์ริสันจะเป็นผู้ลงมือ

หากแต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเสียงที่ดังออกมาจากโทรทัศน์ในลำดับต่อไปที่ดึงดูดสายตาของคริสให้หันไปมองอีกครั้ง

“นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจมีการตั้งข้อหากับท่านผู้นำเมอร์ซีในข้อหาทุจริตเนื่องจากใช้งบประมาณของรัฐในการคิดค้นยาระงับอาหารฮีทของโอเมก้าอย่างลับๆ ซึ่งมีข่าวลือว่าที่โครงการลับถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อบุตรชายของเขา ทำให้ประชาชนตั้งข้อสงสัยว่าเจเรมี เมอร์ซี จะเป็นโอเมก้า ในตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด หากมีหลักฐานชัดเจนและมากพอที่จะดำเนินคดี ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการในขั้นต่อไป...”

ไม่เพียงแต่มารดาเท่านั้น ตอนนี้บิดาเขาเองก็เริ่มถูกจ้องเล่นงานแล้ว

คริสเห็นท่าไม่ดีเสียแล้ว ดูท่าชะตากรรมของเจเรมีคงหนีไม่พ้นเหมือนเขาแน่ หากแต่พอหันกลับไปมองเจเรมีก็เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่ยืนนิ่งเนื้อตัวสั่นเทาจนไม่อาจควบคุมได้

สิ่งที่เขาเห็นและได้ยินจากจอโทรทัศน์แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นความจริง ในหัวปฏิเสธสิ่งที่ได้รับรู้ราวกับเป็นกลไกป้องกันตัวโดยอัตโนมัติ หากแต่จิตใต้สำนึกก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่สมองรับข้อมูลเข้ามาเป็นความจริง

มาเรีย เมอร์ซี...เสียชีวิตแล้ว

ไม่... ไม่จริง เป็นไปไม่ได้...

ไร้ซึ่งคำพูดจากริมฝีปากหนา เขาไม่รู้ว่าจะแสดงอาการตอบสนองต่อข่าวนี้อย่างไรดี และคงจะไม่มีใครเข้าใจเขาด้วยว่าการที่เขายืนนิ่งต่อการเสียชีวิตของมารดาอย่างนี้เป็นเพราะคิดอะไร มีเพียงสายตาของนักโทษคนอื่นๆ ที่มองเขาอย่างใคร่รู้ว่าเขาเป็นโอเมก้าหรือเปล่าก็เท่านั้น จะมีก็แต่คริสที่มองใบหน้าซีดเผือดนั่นแล้วก็เข้าใจอย่างถ่องแท้

เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่เขารู้ข่าวการเสียชีวิตของครอบครัว...

มันทั้งโกรธแค้น คับข้องใจ เสียใจ ความรู้สึกหลากหลายทำให้วางตัวไม่ถูก ตกอยู่ในภาวะช็อกโดยไม่รู้ตัว

ในตอนนี้เจเรมีเองก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน เนื้อหาข่าวในท่อนหลังแทบจะไม่เข้าหูเขาเลยด้วยซ้ำ พอจะได้สติกลับมาบ้างก็ตอนที่ถูกผู้คุมเรียกเพื่อพาตัวกลับเข้าห้องขัง

เจเรมีไม่ต่างอะไรจากซากศพเดินได้เลยแม้แต่น้อย สายตาล่องลอยไร้จุดหมาย ดวงตาแดงก่ำคล้ายจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด เขาทรุดตัวลงนั่งบนพื้นทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้องขัง แผ่นหลังพิงกำแพงด้วยท่าทางเหนื่อยล้า

คริสมองแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้ เจเรมีในตอนนี้สิ้นคราบจอมวายร้ายอย่างที่ใครต่อใครเคยปรามาสไว้อย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาเสมือนเป็นเด็กคนหนึ่งที่สูญเสียคนที่รักที่สุดไปก็เท่านั้น

คริสไม่คิดจะปลอบใจใดๆ ด้วยรู้ดีว่าต่อให้พูดไปก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น หากแต่พอจะหมุนตัวเดินไปขึ้นประจำตำแหน่งเตียงของตัวเอง หูก็ได้ยินเสียงเรียกของคนทางด้านหลัง

“คริส...”

คนถูกเรียกหันไปมองก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังดันตัวลุกขึ้นยืน ยืนได้แล้วก็หยุดนิ่ง ทอดมองมาทางเขาด้วยดวงตาโศกเศร้า ปากคล้ายกับว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่างหากแต่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย

ในวินาทีนี้คริสไม่สนแล้วว่าเจเรมีอยากจะพูดอะไร เขาสัมผัสได้เพียงอย่างเดียวว่าคนตรงหน้าเขาในตอนนี้อ่อนแอจนแทบจะทนไม่ไหวอีกแล้ว พลันก้าวขาเข้าไปหา คว้าอีกฝ่ายเข้ามาสวมกอดแน่น

ทันทีที่ถูกอ้อมแขนแกร่งโอบรัด น้ำตามากมายก็ไหลพรั่งพรูออกมา เจเรมีสะอื้นไห้จนตัวโยนและเขาเกลียดอาการอย่างนี้ของตนจนต้องอ้าปากงับหัวไหล่ของคริสไว้เพื่อกลั้นเสียงสะอื้น

ถึงจะเจ็บไม่น้อยเมื่อถูกฟันคมๆ กดลงบนผิวเนื้อ ทว่าคริสก็อดทน กอดปลอบอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไรออกมา ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งกดท้ายทอยเจเรมีให้แนบลงไปกับไหล่เขาอีกด้วย ก่อนปล่อยให้คนในอ้อมแขนสำนึกได้อย่างลึกซึ้งว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะผลจากการกระทำของเขาเอง

แม้ว่าในตอนนี้มันจะเป็นเรื่องของการช่วงชิงอำนาจระหว่างตระกูลกันแล้ว แต่ถ้าหากเขาไม่เป็นคนไปจุดชนวน เรื่องหายนะอย่างนี้ก็คงไม่บังเกิด

ความผิดของเขาเอง...

ผิดอย่างที่ไม่น่าให้อภัย...

เป็นคนที่เกิดมาเพื่อล้างผลาญตระกูลอย่างแท้จริง

“ฉัน...ฉันไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงแล้ว...” เป็นประโยคแรกที่หลุดออกมาจากปากเจเรมี

คริสไม่อยากบอกให้เขาหยุดร้องไห้และตั้งสติสักเท่าไหร่หรอก ตอนที่เขารู้ข่าวครอบครัวของตัวเองก็เสียสติไปเลยเช่นกัน เขาจึงได้แค่บอกไปว่า...

“มีชีวิตอยู่... นายต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้”

ใช่ ต้องมีชีวิตต่อไปแล้วหาทางทวงความยุติธรรมให้กับครอบครัวคืน

ไม่รู้ว่าเจเรมีเข้าใจที่เขาพูดหรือไม่ แต่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายยังคงปล่อยให้น้ำตาไหลรินอาบใบหน้า

ไร้เสียงพูดคุย ไร้เสียงสะอื้น มีเพียงมือใหญ่ที่กำชุดเครื่องแบบนักโทษของคริสจากทางด้านหลังเท่านั้นที่แน่นขึ้นกว่าเดิมจนเจ้าของร่างรู้สึกได้

ความทรมานจากการสูญเสียเป็นอย่างไร ชายหนุ่มได้สัมผัสมันแล้ว ได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเจียนตายแล้ว และเขาจะไม่มีวันให้มันเกิดขึ้นอีก!
-------------------------------------------
มาแปะให้ก่อนครึ่งนึงค่ะ
ไว้อีก 50% จะมาต่อให้พรุ่งนี้ช่วงเย็นๆ ไม่ก็หัวค่ำนะคะ ขอเวลาเขียนก่อง
ฝากฟีดแบ็กให้กันหน่อยน้า รัก >3<
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.11[50% UPDATE][26/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 27-02-2017 00:12:49
หน่วงจิตหน่วงใจ
หน่วงไปถึงใส้ติ่งแล้วววว
เจมี่ลูกช้านนนนน!!
มีชีวิตอยู่นะลูก ผ่านวันร้ายๆนี้ไปแล้วหาทางเอาคืนข้างหน้าเนอะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.11[50% UPDATE][26/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 27-02-2017 00:52:09
วายร้ายเวลาอ่อนแอคือคนที่น่าสงสารที่สุด
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.11[50% UPDATE][26/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-02-2017 07:38:41
ขอให้มีโอกาสได้ขอโทษ ได้พบพ่อก่อนจะสายนะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.11[50% UPDATE][26/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 27-02-2017 17:42:46
Episode 11: เกมชีวิต[2]

แผนแหกคุกผุดพรายเข้ามาในสมองของเจเรมีแทบจะทั้งคืน

เขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะออกไปแก้แค้น!

เป็นปณิธานในใจของเจเรมีหลังจากได้ฟังคริสเล่าว่านอกจากเรื่องมารดาที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตแล้ว ยังมีเรื่องของบิดาที่กำลังจะถูกสอบสวนและตั้งข้อหาในคดีทุจริตเพราะพยายามปกป้องเขา และทันทีที่ได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้ง เจเรมีก็บอกกับคริสอย่างรวดเร็วว่าตนคิดจะทำอะไร ซ้ำยังชักชวนคริสให้ร่วมแผนการอีกต่างหาก

เป็นความคิดที่โง่งมสิ้นดีในความรู้สึกของอัลฟ่าหนุ่ม ถ้าคิดว่าการแหกคุกมันเป็นเรื่องง่าย เขาคงลงมือทำไปนานแล้ว ไม่รอจนเวลาล่วงเลยมาถึงป่านนี้หรอก และคิดหรือว่าออกจากที่นี่ไปแล้วจะช่วยอะไรได้ มีแต่จะทำให้สถานการณ์แย่ลงเสียมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอเลยที่จะปฏิเสธ

“ฉันไม่เอาด้วย”
“ทำไม” เรียวคิ้วชนเข้าหากันจนแทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวเมื่อได้ยินคำตอบนั้น “นายเป็นคนฉันบอกเองนี่ว่าให้มีชีวิตอยู่ แล้วทำไมถึงไม่ร่วมมือกับฉัน!” เริ่มโวยวายเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคริสขัดใจ

คริสเหลือบมองก่อนตอบ “ใช่ ฉันบอกให้มีชีวิตอยู่ แต่ไม่ได้หมายถึงให้แหกคุกออกไปแก้แค้น”
“แล้วนายจะให้ฉันอยู่ในคุกโง่ๆ อย่างนี้จนกว่าจะตายหรือไง”
“ถ้าไม่มีโอกาสออกไปก็ใช่”

เจเรมีขัดใจสุดๆ ทุบมือลงบนขาเตียงเหล็ก ตะเบ็งเสียงดัง “โธ่เว้ย! ทำไมนายมันโง่ได้ขนาดนี้วะ! ไม่ทำอะไรสักอย่างแล้วจะออกไปได้ยังไง!”

ก็ถูกของเจเรมี ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างก็ออกไปไม่ได้ แต่ถ้าทำแล้วถ้าเกิดพลาดล่ะ จากถูกจำคุกตลอดชีวิตจะกลายเป็นประหารเอาเปล่าๆ ยิ่งกับเขาที่เป็นอัลฟ่ากบฏและเจเรมีที่เป็นโอเมก้าซึ่งถูกมองว่าไร้ค่าแล้วด้วย ไม่ต้องถามเลยว่าจะตายไหม

...ตายแน่นอน ถ้าพลาดก็หมายถึงการเอาชีวิตไปทิ้งชัดๆ

ดังนั้นเขาจะไม่เสี่ยง เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองและเจเรมี อย่างที่บอก ไว้รอสบโอกาสก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า ใช่ว่าโอกาสจะไม่มีอีกเลยในชีวิตนี้เสียที่ไหน

ทว่าเจเรมีไม่สามารถใจเย็นหรือไตร่ตรองให้รอบคอบได้เหมือนคริส

สูญเสียผู้ให้กำเนิดไปทั้งคนจะให้ใจเย็นอย่างไรได้อีก!

สายตามองกวาดไปรอบห้องขัง หาบางอย่างที่จะเอามาใช้เป็นอุปกรณ์ในการแหกคุกได้ ทว่าก็ไม่มี ในที่สุดก็กระวนกระวายจนหัวเสียท่ามกลางสายตาของคริสที่มองอย่างเอือมระอา

หากแต่สุดท้ายก็ได้อุปกรณ์ชิ้นนั้นมาจนได้เมื่อถูกผู้คุมพาไปทานอาหาร

ช้อน...

เจเรมีแอบขโมยใส่ขอบกางเกงของตัวเองแล้วเอาชายเสื้อปิดไว้ระหว่างที่เข้าแถวไปรับอาหาร คริสเห็นก็อดพูดขึ้นมาไม่ได้
“ลืมไปแล้วหรือไงว่าผู้คุมเขาตรวจร่างกายก่อนจะพากลับเข้าห้องขัง ต่อให้นายเอามันซ่อนไว้ในตัวนายมันก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
หมายถึงซ่อนเอาไว้โดยการสอดใส่ผ่านช่องทางแคบทางด้านหลัง

เจเรมีหันไปส่งสายตากรุ่นโกรธใส่ ข่มเสียงต่ำออกมา “อย่าแส่น่า”
“เอาไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร อย่าบอกฉันว่านายจะเอาช้อนฟาดหัวผู้คุมให้สลบแล้วหนีออกมานะ”

ฟังดูก็รู้เลยว่าเป็นการประชด

ใครมันจะเอาช้อนไปฟาดหัวผู้คุมสลบได้กัน!

ตอนแรกกะว่าจะเอาไปขุด ไปเจาะ แต่ช้อนสแตนเลสอย่างนี้จะเอาไปกะเทาะผนังและพื้นซีเมนต์ได้อย่างไรกันล่ะ เจเรมีจึงถอดใจ เอื้อมมือไปดึงช้อนออกมาจากขอบกางเกงแทน

“ไอ้ทุเรศ” ตบท้ายด้วยการด่าคริสเสียอย่างนั้น
“หาวิธีที่ฉลาดกว่านี้หน่อย” ไม่ได้สนับสนุนแต่ก็ไม่ได้ห้าม แค่แนะนำ เขาถือว่าชีวิตเป็นของเจเรมี จะทำอะไรก็ให้ตัดสินใจเอง เขาช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้แล้ว

คนฟังรู้สึกเหมือนถูกดูแคลนเล็กน้อย หากแต่ก็ไม่ได้คิดจะตอบโต้กลับใดๆ รับอาหารแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะเพื่อลงมือรับประทานอย่างเช่นทุกวัน

ทว่าบรรยากาศในวันนี้แปลกไปกว่าเดิมสักหน่อยด้วยในโรงอาหารนักโทษแดนนี้ไม่ได้มีแค่ผู้คุมอย่างเดียวที่คอยเฝ้าระวังความเรียบร้อย หากแต่มีนายทหารในชุดเครื่องแบบเข้ามายืนกระจายตามจุดต่างๆ อีกด้วย

เพิ่งจะเข้ามาเมื่อครู่... เจเรมีชำเลืองหางตามองในขณะที่คริสเองก็หรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ

สถานการณ์ที่มีการตรึงกำลังเฝ้าระวังความปลอดภัยเพิ่มอย่างนี้ทำให้คนทั้งคู่รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลแปลกๆ กระทั่งมีนายทหารระดับสูงนายหนึ่งเดินเข้ามา เจเรมีจำได้ดีว่าเป็นคนเดียวกับที่ติดสอยห้อยตามเดร็กตลอด

เท่านั้นก็ลุกพรวดขึ้นทันทีขณะที่อีกฝ่ายเดินมาหยุดตรงหน้าเขา
“เจเรมี เมอร์ซี...” นายทหารคนนั้นเอ่ยชื่อคล้ายกับจะถามชายหนุ่มตรงหน้าว่าใช่เจ้าของชื่อไหม

เจเรมีไม่ตอบ ส่งสายตากรุ่นโกรธให้ อีกฝ่ายจึงสรุปเอาเอง “ใช่ล่ะสินะ ส่วนนายก็ คริส ฟ็อกซ์?”
ไม่ได้ถามแค่เจเรมีคนเดียว รวมถึงคริสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วย

คริสเหลือบมองทันควัน ส่วนนายทหารคนนั้นสูดหายใจเข้าเต็มปอดพลันพูดต่อ “มีคนอยากจะเจอพวกนายสองคน”
ทั้งคริสและเจเรมีขมวดคิ้วแทบจะพร้อมกัน

“ตามฉันมา”
ขมวดคิ้วมากกว่าเดิมเสียอีก

เจเรมีเกือบจะขัดขืนอยู่แล้วถ้าหากว่าไม่มีผู้คุมเข้ามานำตัวเขาไปก่อน ส่วนคริสยอมทำตามง่ายๆ เพียงเพราะอยากจะรู้ว่าใครกันแน่ที่อยากเจอเขา

ถูกพาตัวออกจากโรงอาหารมายังห้องเยี่ยมซึ่งครั้งหนึ่งเจเรมีกับคริสเคยใช้พบกันก็ชะงักตามๆ กันไปทั้งคู่ทันทีที่พบว่าคนที่อยากเจอเขาก็คือ...
“ไอ้สารเลวแฮร์ริสัน”

ใบหน้าของเจเรมีกราดเกรี้ยวขึ้นมาทันที เขาขัดขืนต่อการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ ตั้งท่าจะพุ่งเข้าไปฆ่าคนตรงหน้าให้สาแก่ใจโดยไม่ไตร่ตรองอะไรเลยแม้แต่น้อย

และแน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ แค่เขาขยับก็ถูกกระบองไฟฟ้าช็อตเข้ามาแล้ว ร่างใหญ่สะดุ้งเฮือก แข้งขาอ่อนแรงจนล้มลงไปคุกเข่าที่พื้น ดีที่เป็นกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เขาจึงไม่ได้หมดสติ เพียงแต่ไร้เรี่ยวแรงเท่านั้น

“เจอกันกี่ครั้งๆ ก็ยังเป็นคนหนุ่มที่ร้อนแรงเหมือนเดิม” เดร็กแสร้งเอ่ยชมทั้งที่มันเป็นคำพูดแดกดัน

เจเรมีกัดริมฝีปากเสียจนเลือดซิบ เขาเกลียดคนตรงหน้า ไม่เคยเกลียดใครขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ก่อนที่จะแค่นเสียงออกมา
“แกฆ่าแม่ฉัน... แกฆ่าแม่ฉัน!” แล้วก็กลายเป็นตะโกน ดิ้นรนขัดขืนอีกครั้งจนทำให้ถูกช็อตไปอีกระลอก

เดร็กเหลือบมองด้วยความสมเพช หัวเราะเย้ยในลำคอประกอบการพูด “ไม่มีหลักฐาน พูดพล่อยๆ ระวังจะถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาทนะเด็กน้อย”

ข้อหาแค่นั้น เจเรมีไม่กลัวหรอก ขนาดข้อหาที่เขาไม่ได้ทำอย่างฆาตรกรรม เขายังถูกยัดเยียดให้รับโทษมาแล้วเลย เขายังจะต้องกลัวอะไรอีก!

“ไอ้เลว... ไอ้สารเลว...” แม้จะแทบไม่มีแรงแต่ก็ยังบริภาษอีกฝ่าย

คริสไม่อาจทนเห็นเจเรมีเป็นอย่างนี้ได้ ขืนปล่อยไว้ เจเรมีจะต้องอาละวาดและถูกช็อตอีกแน่ จึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้น
“อยากเจอผมทำไมเหรอครับ นายพลแฮร์ริสัน”

คนถูกถามชำเลืองมองหน้าชายหนุ่มอีกคนทันควัน “ไม่ได้เจอหน้ากันนานเลยนะ คุณฟ็อกซ์”

ไม่ได้เจอกันนานตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเป็นคนส่งคริสเข้ามาในคุก แต่คริสไม่อยากจะไปรื้อฟื้นอะไร เขาอยากรู้มากกว่าว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ถึงได้เรียกเขากับเจเรมีมาพบเป็นการส่วนตัวอย่างนี้

“มีธุระอะไรครับ” ถามอย่างสุภาพ เรียกรอยยิ้มจากเดร็กได้เป็นอย่างดี
“ยังมีมารยาทเหมือนเดิม แต่อยู่ในคุก ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรมากก็ได้มั้ง” แทนที่จะรีบๆ พูดมา เอาแต่ยอกย้อนอยู่ได้

เจเรมีเห็นแล้วก็หัวเสียแทนคริสในขณะที่คริสยืนนิ่ง เก็บอาการได้ดีจนไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“นั่งสิ” เดร็กเห็นว่าเหมาะสมแก่เวลาที่จะพูดถึงได้ผายมือให้นั่ง
...ให้เฉพาะคริสนั่ง ส่วนเจเรมีถูกจับกดลงพื้นในท่านอนคว่ำเหมือนเดิม จอมวายร้ายคนนั้นอย่าปล่อยให้ลุกขึ้นมาจะดีที่สุดถ้ายังอยากจะกลับออกไปจากที่นี่ในสภาพเต็มร้อย

นั่งลงได้ คริสก็จ้องอีกฝ่ายนิ่ง ในขณะที่เดร็กประสานมือทั้งสองข้างวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า ว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ที่ฉันมาในวันนี้ก็เพื่อที่จะมาบอกพวกนายว่าทางรัฐบาลเพิ่งมีนโยบายใหม่เกี่ยวกับการจัดสรรประชากรสวะอย่างพวกนาย ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือตอนนี้พวกนักโทษชักจะเริ่มล้น รัฐบาลเลยมีมติให้กำจัด” พูดพลางยิ้มเผล่

คริสไม่ชอบรอยยิ้มนี้เอาเสียเลย มันดูเหมือนมีอะไรบางอย่างแอบแฝง ซึ่งเขามั่นใจว่าการที่เดร็กเรียกเขากับเจเรมีมา มันต้องมีเรื่องอะไรเป็นแน่
“แล้วมันเกี่ยวกับพวกเรายังไง”
เดร็กยิ้มค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนจะเปิดปาก “แย่หน่อยตรงที่พวกสิทธิมนุษยชนไม่เห็นด้วยกับการประหารชีวิตพวกนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ รัฐบาลก็เลยมีมติร่วมกันว่าจะกำจัดนักโทษโดยไม่ฆ่า” พูดจบก็ยกยิ้มอีก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้คริสเล็กน้อยพลันกระซิบ “แต่จะให้พวกมันฆ่ากันเอง”

ไร้เสียงตอบรับ คริสเริ่มมั่นใจแล้วว่าลางสังหรณ์ของเขาถูกต้อง และมันก็กระจ่างแจ้งเมื่ออีกฝ่ายขยายความ
“ในรูปแบบของเกมน่ะ จะส่งนักโทษไปไล่ล่าฆ่ากันเองอะไรประมาณนั้น แต่ทีนี้จะส่งพวกสวะไปทีเดียวหมดเลยก็ไม่ได้ มันมีจำนวนเยอะเกินไป ก็เลยเห็นว่าจะเริ่มจากพวกที่มีจำนวนน้อยก่อน อย่างพวกสวะอัลฟ่าและโอเมก้าคดีอุกฉกรรจ์อะไรอย่างนั้น”

นั่นแหละจุดประสงค์ที่เขามาเหยียบที่นี่ล่ะ!

หัวคิ้วของคริสย่นยู่ไปทันควัน จับทางได้แล้วว่าเดร็กต้องการให้เขาทำอะไร หากแต่เดร็กก็พูดขึ้นมาก่อน
“มันเป็นโครงการนำร่องน่ะนะ ต้องการโอเมก้าแค่ห้าคน ส่วนอัลฟ่าก็สิบ ฉันเลยมาถามพวกนายว่าอยากเข้าร่วมไหม แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าพวกนายตัดสินใจเข้าร่วม พวกนายได้ประโยชน์แน่ อัลฟ่าและโอเมก้าที่จับคู่กันและเหลือรอดชีวิตเป็นคู่สุดท้าย หรือโอเมก้าที่เหลือเป็นคนสุดท้ายจะถูกเรียกว่าผู้ชนะ จะได้รับสิทธิพิเศษตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเสรีภาพ อิสระ แล้วแต่ที่พวกนายจะเรียกร้อง ความจริงจะเรียกการนำร่องนี้ว่าเป็นการพนันเล่นๆ ของพวกคนชั้นสูงก็ได้นะ อย่าเรียกว่ามันเป็นโครงการนำร่องการจำกัดนักโทษเลย ได้ยินแล้วไม่ค่อยรื่นหู”

คริสไม่ได้สนใจหรอก แต่ก็อดถามไม่ได้
“ถ้าชนะจะได้ทุกอย่าง?”
“ใช่ ทุกอย่าง” เดร็กแสยะยิ้ม

แทนที่จะตอบรับเพราะข้อเสนอน่าสนใจ หากแต่มันเป็นกับดัก...

...กับดักที่ใช้เล่นงานเจเรมีเพื่อเล่นงานเจอโรมทางอ้อมอีกที

คริสดูออกและเขาจะไม่มีวันตกหลุมพรางโง่เง่านี้แน่
“ขอปฏิเสธ” แทบจะไม่ต้องใช้เวลาคิดให้เสียเวลา

เดร็กก็พอจะเดาได้อยู่แล้วว่าคนตรงหน้าจะตอบว่าอะไร ผู้ชายคนนี้น่ะฉลาดเป็นกรดจะตาย รู้ว่าควรจะใช้ชีวิตอย่างไรให้ตัวเองไม่เป็นอันตราย หากแต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของเดร็ก เขาเรียกคริสมาด้วยก็แค่เผื่อว่าอีกฝ่ายเข้าร่วม เกมมันก็จะน่าสนุกขึ้น เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือผู้ชายที่ถูกจับกดแนบไปกับพื้นต่างหาก

“แล้วนายล่ะเมอร์ซี สนใจอยากเข้าร่วมไหม” ว่าพลางชะโงกหน้าลงมองต่ำ “นอกจากนายจะได้รับอิสรภาพแล้ว นายอาจจะช่วยพ่อของนายได้ด้วยนะ”

เจเรมีเหลือบสายตาขึ้นมอง ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะอย่างนั้นทำให้คริสไม่มั่นใจเลยว่าเจเรมีจะตอบปฏิเสธ ยิ่งถูกหลอกล่อด้วยข้อเสนอน่าสนใจ เขาจึงรีบแทรกขึ้น

“เจเรมีก็ขอปฏิเสธเหมือนกัน”
“ฉันไม่ได้ถามนาย ฉันถามลูกชายตระกูลเมอร์ซี” จากนั้นก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ ลืมไปว่านายเป็นคู่แห่งโชคชะตาของหมอนี่ เป็นห่วงกันก็ไม่แปลก แต่จะทำอะไรกันก็ระวังล่ะ คุกนี่ไม่ได้มีไว้ให้กำเนิดเด็ก คงไม่ลืมใช่ไหมว่าร่างกายของพวกโอเมก้าเป็นยังไง”

“ไอ้เลว!” คำพูดดูแคลนทำให้เจเรมีฮึดฮัดขึ้นมาอีก

เขาเป็นโอเมก้า เป็นผู้ชาย แต่ให้กำเนิดเด็กได้

ใช่! มันเป็นความอัปยศของการเป็นโอเมก้า หากเป็นโอเมก้าหญิงยังไม่น่าอัปยศเท่านี้ ทว่าเขามีรูปลักษณ์เป็นชาย หากแต่มีมดลูก แม้ไม่มีประจำเดือนแต่ก็ตั้งครรถ์ได้ ซ้ำยังปฏิสนธิแค่กับน้ำเชื้อของอัลฟ่าชาย จึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดโอเมก้าโดยเฉพาะเพศชายถึงได้ถูกกดให้ต่ำลงจนแทบไม่ต่างอะไรจากชิ้นเนื้อไร้ค่า

เพราะอำนาจของบุรุษเพศถูกกลืนหายไป ซ้ำยังมีสิ่งที่ทำให้อัลฟ่าลุ่มหลงมัวเมาอีก ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ตัวเมียเลยสักนิด!
ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเลยทีเดียวที่จะรั้งเจเรมีไว้ เขาเริ่มออกลายจอมวายร้ายอีกแล้ว

เดร็กมองแล้วก็นึกสนุกขึ้นมา ลุกขึ้นยืน ยื่นเท้าที่สวมรองเท้าคอมแบทหนังมาเหยียบแผ่นหลังของอีกฝ่ายไว้
“ฉันถามว่านายอยากจะเข้าร่วมโครงการ... ไม่สิ เกมต่างหาก นายอยากจะสมัครเข้าเป็นผู้แข่งขันเกมชีวิตนี่ไหม?” เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง

เจเรมีไม่ตอบรับก็ถูกกระตุ้นอีกด้วยการบดเบียดพื้นรองเท้าลงไปบนแผ่นหลังกว้าง เจเรมีขบกรามแน่นด้วยความเจ็บปวดขณะที่เดร็กถามซ้ำ
“เพื่อช่วยพ่อของนาย สมาชิกครอบครัวคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ฉันจะถามอีกครั้ง...นายอยากจะสมัครเข้าเป็นผู้แข่งขันไหม?”
“ฉันจะฆ่าแก...” ไม่ตอบรับ พูดสิ่งที่อยากทำที่สุดในตอนนี้ออกไป

เดร็กเห็นแล้วก็รู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะคุย การที่เขามาในวันนี้ก็ไม่ได้หวังว่าเจเรมีจะตอบรับด้วย ก็แค่มาบอกข่าวเพราะเขามีแผนการสำหรับเร่งรัดให้เจเรมีตัดสินใจอยู่แล้ว ในเมื่อตอนนี้ไม่ตอบรับ แต่อีกไม่นานหรอก...ได้ยอมตกปากรับคำแน่

“งั้นก็แล้วแต่นาย ฉันก็แค่แวะมาบอก” เดร็กดึงขาออกจากแผ่นหลังของคนรุ่นลูก กระชับเครื่องแต่งกายให้เข้าที่คล้ายกับว่าเตรียมพร้อมจะกลับออกไป คนติดตามเดินเข้ามาดูแลความเรียบร้อยให้ เปิดโอกาสให้เดร็กได้พูดกำชับอีก “แต่ฉันก็จะรอคำตอบของนายนะ ถ้านายตอบตกลง รับรองเลยว่าธีโอจะต้องดีใจมาก”

จู่ๆ ก็เอ่ยชื่อลูกชายออกมา เจเรมีจ้องเขม็ง ไม่ตอบโต้ใดๆ ได้แต่มองตามอีกฝ่ายที่ก้าวไปข้างหน้า จะเดินออกจากห้อง ทว่ายังไม่ทันจะพ้นธรณีประตูก็หันมามองเจเรมีอีกครั้ง

“ฉันลืมบอกไป...ลูกชายฉันพ้นขีดอันตรายแล้ว แล้วก็ขอบใจนายมากที่ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น ตระกูลเมอร์ซีน่ะ...ฉันอยากจะกำจัดทิ้งมาตั้งนานแล้ว”

สิ้นเสียงก็แสยะยิ้มพรายก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้เจเรมีร้องก่นด่าตะโกนไล่หลังอย่างบ้าคลั่งจนต้องถูกกระบองไฟฟ้าช็อตเพื่อสงบสติอารมณ์อีกครั้ง จากนั้นก็ถูกลากไปที่ห้องขัง ผู้คุมโยนเขาเข้าไปข้างในราวกับขยะ

ทันทีที่ลูกกรงปิดลง คริสก็เดินมาช่วยพยุงโอเมก้าหนุ่มขณะที่เจเรมีเริ่มน้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว

มันไม่ใช่การร้องไห้เพราะเสียใจที่เขาเป็นชนวนระเบิดที่ทำให้เรื่องมันแย่ลงเรื่อยๆ อย่างนี้ หากแต่เป็นเพราะความแค้นใจต่างหาก...แค้นที่ทำอะไรไม่ได้ แค้นที่ฆ่าเดร็กไม่ได้ทั้งที่อยู่ตรงหน้า แค้นเสียจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

คริสเข้าใจดี เขาเองก็เคยคิดแค้นทุกคนบนโลกนี้ที่ทำให้ครอบครัวเขาพังพินาศเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ตระกูลเมอร์ซีที่เป็นหนึ่งในคนพวกนั้น ทว่าสำหรับเจเรมีแล้ว เขาออกจะเห็นใจมากกว่า และอดไม่ได้ที่จะเตือนสติออกไปในภาวะที่เจเรมีดูหมดหวังอย่างนี้

“อย่าหลงกลคนพวกนั้นเด็ดขาด มันเป็นกับดัก เขาก็แค่จะใช้นายเป็นเหยื่อล่อพ่อของนายให้หมดหนทางสู้”
เจเรมีสบดวงตาเรียวของคริส ทำไมเขาจะไม่รู้ สถานการณ์มันคล้ายตอนที่คริสถูกใช้เป็นตัวประกันมากทีเดียว ต่างกันแค่คริสไม่ต้องเอาชีวิตมาเสี่ยง ในขณะที่เจเรมีถูกเลือกให้ใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน
“ฉันไม่โง่ขนาดนั้น” เจเรมีแค่นเสียงว่า

เขาไม่ลงไปในหลุมที่ไอ้นายพลหมูสกปรกนั่นขุดไว้อยู่แล้ว

คริสพยักหน้า พอจะเบาใจขึ้นมาได้บ้างว่าอย่างน้อยเจเรมีก็เริ่มใช้สติในการตัดสินใจที่จะทำอะไรมากขึ้น ก่อนยกปลายนิ้วหัวแม่มือขึ้นเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลอาบซีกหน้าข้างหนึ่งของเจเรมีพลางกระซิบอย่างแผ่วเบา

“ต่อจากนี้นายต้องเดินหมากให้ดี ถ้าพลาด...มันจะหมายถึงชีวิต”

เจเรมีพยักหน้า จากที่เขาเคยดื้อดึงและไม่ฟังคำเตือนของคริส ในวินาทีนี้จำเป็นต้องฟังเพราะคนตรงหน้ามีประสบการณ์มากกว่า การที่คริสรอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่ใช่เพราะโชคช่วย หากแต่เป็นเพราะความรอบคอบของเขาล้วนๆ

“คอยเตือนฉันด้วยก็แล้วกัน” ริมฝีปากหนาเปล่งเสียงแหบแห้งออกไป

คริสพยักหน้า พยุงร่างคู่แห่งโชคชะตาขึ้นมาและพาไปนอนที่เตียง เมื่อจัดการให้เจเรมีได้นอนเหยียดตัวเต็มที่ได้ก็ทรุดลงนั่งข้างๆ หันไปมองและรับปาก

“ฉันจะไม่ทิ้งนาย”

ขยะแขยง... เจเรมีควรจะพูดอย่างนี้ ทว่าในครั้งนี้เขากลับไม่มีคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกมา มีเพียงความอุ่นใจเท่านั้นที่พร่างพรายไปทั่วร่าง

อย่างน้อยคริสก็เป็นอย่างเดียวที่ไม่ได้บัดซบจนเกินรับไหวในเกมชีวิตเกมนี้...
----------------------------
[1] สารพิษ VX เป็นสารทำลายระบบประสาทที่อันตรายที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็นสารพิษประสิทธิภาพสูงที่มีคุณสมบัติในการเจาะซึมเข้าสู่ผิวหนังมนุษย์ได้อย่างรวดเร็วด้วยการแพร่กระจายหรือระเหยเป็นไอและแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้ทั้งการหายใจ การย่อยอาหาร ผ่านผิวหนังและเข้าสู่ดวงตา ผู้ที่สัมผัสสารจะไม่ได้สติ มีอาการชัก ร่างกายเป็นอัมพาตและระบบหายใจล้มเหลวในที่สุด ปริมาณของสาร VX เพียง 10 มิลลิกรัมก็มากพอที่จะปลิดชีวิตคนได้
----------------------------


เนื้อเรื่องเข้มข้นมากกก เข้ากลางเรื่องแล้วค่ะ
ตอนหน้ามีตัวละครที่โผล่มาในตอนแรกแล้วหายไปพักใหญ่กำลังจะกลับมา ให้เดากันเล่นๆ ว่าใคร อิอิ

ฝากฟีดแบ็กให้กันด้วยนะจ๊ะ XD

ปล.ในแบบรูปเล่ม สนพ.เคาะราคาออกมาแล้วนะคะว่าอยู่ที่ 369฿ จำนวน 360+ หน้า เดี๋ยวหนูแดงจะมาแจ้งรายละเอียดอีกทีนะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.11[100% UPDATE][27/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 27-02-2017 20:17:35
โอ๊ยย กดดัน
หวั่นใจ เรื่องร้ายๆนี่มันเพิ่งเริ่มเองนะ
ปล. หัวใจพองโตกับคำนี้ "ฉันจะไม่ทิ้งนาย"
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.11[100% UPDATE][27/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-02-2017 07:16:06
มันเหมือนฮังเกอร์เกมส์ใช่ป่ะ

แต่ไอ้บ้าเดร็กต้องฆ่าเจเรมีแน่ ๆ ถึงจะชนะ

เลว


พี่คริสคนฉลาด พี่อบอุ่นมาก #ซบอกออดอ้อน
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.11[100% UPDATE][27/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 28-02-2017 10:03:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.11[100% UPDATE][27/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 28-02-2017 11:43:27
พี่คริสดูแลน้องเจมี่ดีๆ ขอให้จัดการไอ้แฮร์ริสันได้เร็วๆเถอะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.11[100% UPDATE][27/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shannara ที่ 01-03-2017 00:19:20
ไม่รู้ทำไม เราถึงชักรู้สึกลำไยนิสัยเจมี่มากขึ้นทุกครั้งที่อ่าน

เจ้าอารมณ์ได้ตลอด โวยวายได้ตลอด ใจร้อน ไม่เก็บอาการ เหมือนสาวน้อยแรกแย้มที่ไม่มีวันโตและวิ่งในทุ่งลาเวเดอร์

ไปอยู่ที่ไหนก็พฤติกรรมเดิม  ถ้าเป็นเราคริสนะ ปล่อยนางเลย โดนรุมไปซะ ละค่อยไปช่วย จะได้ตระหนักว่าอยู่ในที่ไหน สถานภาพอะไร ควรทำตัวยังไง 
แต่ก็นั่นแหล่ะค่ะ พยายามทำความเข้าใจว่านางคือคุณหนูอะนะ ถึงได้นิสัยแบบนี่ตลอด

หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.11[100% UPDATE][27/2/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 01-03-2017 03:26:21
Episode 12: หมากกระดาน

จากประสบการณ์ที่พบเจอมาในชีวิต คริสบอกกับเจเรมีว่าอย่าเดินตามแผนการที่เดร็กวางไว้เด็ดขาด เพราะตอนนี้พวกเขาไม่ต่างอะไรจากหมากกระดานและเจเรมีก็คือ ‘คิง’ ของฝ่ายเจอโรม หากเขาเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียว นั่นเท่ากับว่าเจอโรมและตระกูลเมอร์ซีจะพ่ายแพ้ย่อยยับทันที อิสรเสรีที่เขาเฝ้าคอยที่จะออกจากคุกแห่งนี้ก็จะถูกลิดรอนไปเหมือนกัน เจเรมีจึงได้แต่อดกลั้นทุกความรู้สึกเอาไว้ในใจ แม้ว่าจะอยากทำตามความต้องการของตัวเองมากเพียงใดแต่เขาก็ตระหนักรู้เสมอว่าที่เรื่องมันยุ่งยากมาจนถึงนาทีนี้เป็นเพราะความใจร้อนของเขา

หากแต่คนอย่างเจเรมีเก็บความรู้สึกคับแค้นใจและทำตัวสงบเสงี่ยมได้ไม่นานนักเมื่อเดร็กรู้ดีว่าจุดอ่อนของชายหนุ่มคนนี้คือครอบครัว

ในเมื่อใช้มารดาเป็นเหยื่อล่อแล้วไม่ได้ผล ก็ต้องเข้าทางบิดา ถึงจะยังไม่ได้ลงมือเลยเสียทีเดียวเพราะไม่ว่าอย่างไร เจอโรมก็ยังมีอำนาจเก่าและฝักฝ่ายที่เข้าข้างเขาอยู่ทำให้ไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำให้สถานะของท่านผู้นำรายนั้นย่ำแย่ลงกว่าเดิม

ให้อยู่ในจุดที่เสี่ยง...

ให้หมากกระดานตัวหลักของเจอโรมยอมก้าวออกจากตำแหน่งเดิม...

ทั้งหมดก็เพื่อบีบบังคับให้เจอโรมยอมสละอำนาจ ถึงจะรู้ว่าเจอโรมไม่ยอมปล่อยมือจากอำนาจในมือเป็นเพราะเขาต้องการใช้มันเพื่อปกป้องครอบครัว แต่สำหรับฝ่ายของเดร็กและท่านผู้นำตระกูลอื่นๆ แล้ว การที่เจอโรมคานอำนาจการปกครองอยู่อย่างนี้ไม่เป็นผลดีสักเท่าไหร่นัก

ดังนั้นการใช้ ‘เหยื่อล่อ’ จึงจำเป็นต้องกระทำ

อัลเบิร์ตคือหมากอีกตัวในเกมนี้ เขามาเหยียบที่แดนขังแห่งนี้อีกครั้งในรอบสัปดาห์โดยมีจุดมุ่งหมายคือการขอพบเจเรมี หากแต่การขอเข้าพบครั้งนี้ออกจะง่ายดายสักหน่อยนักทั้งที่หลังจากที่เจอกับเจเรมีและทำให้เจเรมีอาละวาดในครั้งแรก เขาก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบเพื่อนสนิทอีกเลย เว้นเสียแต่ครั้งนี้ที่ทางเจ้าหน้าที่แทบจะเป็นฝ่ายไปอุ้มเขามาจากบ้านเสียด้วยซ้ำ

ทั้งหมดก็เป็นเพราะเขาถูกใช้ให้มาเป็นนกพิราบสื่อสาร...

อัลเบิร์ตนั่งรอการมาถึงของเพื่อนด้วยความรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่นัก ครั้งนี้เขาไม่ได้มาพบกับเจเรมีที่ห้องเยี่ยมนักโทษซึ่งมีกระจกกั้น หากแต่เป็นห้องส่วนตัวที่มีผู้คุมยืนรักษาความเรียบร้อยอยู่รอบๆ แทน รออยู่พักใหญ่ทีเดียวกว่าที่อีกฝ่ายจะถูกนำตัวมา
ทันทีที่ร่างใหญ่ของชายหนุ่มผมบลอนด์ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้า อัลเบิร์ตก็ทำลายความเงียบขึ้น

“นายโอเคไหม?”
“ไม่” เจเรมีตอบโดยไม่ต้องครุ่นคิด “แล้วนายล่ะ”
อัลเบิร์ตส่ายหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบ

แหงล่ะ เป็นใครก็ต้องไม่โอเคกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะอัลเบิร์ตซึ่งมาเหยียบย่างสถานที่แห่งนี้โดยไม่เต็มใจ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากมาเจอหน้าเพื่อนคนนี้ เขาอยากเจอ...แต่ต้องไม่ใช่การถูกบังคับ

เจเรมีเห็นเพื่อนว่าอย่างนั้นก็คิดเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะกังวลเรื่องบิดา แมทธิวเองก็เป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ฝักฝ่ายเจอโรม แน่นอนว่าหนีไม่พ้นการถูกจ้องเล่นงานและเสี่ยงอยู่ในอันตรายเช่นกัน ซ้ำยังสนิทกับตระกูลเมอร์ซีเสียขนาดนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว

“พ่อฉันอนุญาตให้นายมาเจอฉันได้แล้วเหรอ?”
หากแต่เจเรมีไม่พูดให้เพื่อนกังวล เพียงแค่รับรู้ในใจก็เพียงพอ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อบ่ายเบี่ยงความกังวลใจ
“ยังหรอก ฉันมาเองน่ะ” อัลเบิร์ตยิ้มน้อยๆ อึดอัดใจพอดูที่จะต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขาไม่เคยเก็บสีหน้าและท่าทางได้เลย เพียงแค่ประโยคเดียว เจเรมีก็ดูออกแล้ว ก่อนถอนหายใจออกมา เข้าเรื่องฉับพลันด้วยไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์อะไรหากต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“มาหาฉัน มีธุระอะไร”
อัลเบิร์ตเหลือบมองด้วยสายตาไม่มั่นใจ กระนั้นก็ยังพยายามหยักยิ้ม
“ฉันก็แค่มาเยี่ยมนาย อยากรู้ว่านายเป็นยังไงบ้าง”

“คิดว่าฉันโง่เหรออัล จู่ๆ ก็โผล่หัวมาหาฉัน แถมยังเป็นห้องสัปปะรังเคนี่อีก มีอะไรก็พูดมา” เป็นอีกครั้งที่เจเรมีว่าออกมาโต้งๆ
อัลเบิร์ตรู้ว่าปิดบังอะไรเจเรมีไม่ได้แล้ว จึงจำเป็นต้องเปิดปากพูด

“ที่ฉันมาหานายวันนี้ก็เพราะว่า...” แล้วก็ชั่งใจไปครู่หนึ่งว่าจะพูดดีหรือไม่
สีหน้าไม่สู้ดีทำให้เจเรมีต้องถามซ้ำ “เพราะว่าอะไร”

“เพราะ...ได้ยินข่าวลือมาว่าพ่อของนายกำลังจะถูกจัดการ”

ฟังแล้วก็ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เจเรมีพอจะเดาได้ว่ามันเป็นแผนของเดร็กที่จะใช้บิดามาล่อลวงเขาให้เข้าร่วมการแข่งขันเวรนั่น
อย่างที่คริสบอก เขาไม่ตกหลุมพรางกับดักนั่นหรอก!

“ถ้ามันจะจัดการ มันทำไปนานแล้ว” คนฟังข่มความรู้สึกเมื่อครู่ พูดออกไปด้วยท่าทีสบายๆ
“แต่มันก็ทำกับแม่ของนายไปแล้วนะ” อัลเบิร์ตว่าเสียงแผ่ว ไม่อยากจะพูดตอกย้ำเพื่อนเท่าไหร่แต่ก็ต้องพูด
“มันใช้แม่ฉันไปบีบให้พ่อต้องยอมจำนนไง และตอนนี้มันก็พยายามจะใช้ฉันเป็นเหยื่อ ข่าวลือที่นายได้ยินมา มันก็แค่ข่าวลวง”

อัลเบิร์ตพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าเจเรมีต้องพูดอย่างนี้ เขาได้ยินจาก ‘คนที่ใช้ให้เขามา’ แล้วเหมือนกัน

มันถูกต้อง แต่ไม่ใช่เสียทั้งหมดเพราะเป้าหมายของคนคนนั้นไม่ใช่แค่เจอโรมหรือเจเรมี หากแต่เป็น ‘ใครบางคน’ ที่สำคัญกับเขามากเช่นกัน

“แต่ข่าวลวงก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นจริงนี่” อัลเบิร์ตแย้ง ก่อนให้คำอธิบาย “เจมี่ ฟังฉันให้ดี นายอยู่ที่นี่ร่วมเดือนแล้ว นายไม่รู้เลยสักนิดว่าข้างนอกวุ่นวายกันขนาดไหน สถานการณ์มันแย่มากเกินกว่าจะกู้คืนแล้ว พ่อของนายช่วยนายออกจากที่นี่ไม่ได้ และเขาเองก็กำลังจะถูกลอบฆ่า พวกนั้นมันทำแน่ถ้ามีโอกาส นายจะยอมเสียทั้งพ่อทั้งแม่ไปหรือไง”

ใครจะยอมเสียไป เจเรมีไม่ยอมอยู่แล้ว

เขานั่งนิ่ง ใบหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมาเมื่ออัลเบิร์ตเองก็แสดงท่าทางจริงจัง พลันถามเสียงต่ำ
“นายต้องการจะบอกอะไรฉันกันแน่”

เข้าประเด็นอีกครั้ง

อัลเบิร์ตสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนค่อยๆ พูด
“ฉันอยากให้นายปกป้องคนที่เคยปกป้องนาย นายรู้เรื่องที่นายพลแฮร์ริสันกับผู้นำอีกสามตระกูลจะทำโครงการนำร่องการจำกัดนักโทษชั้นเลวแล้วใช่ไหม”

เจเรมีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ยกมือขึ้นกอดอก ไม่ตอบแต่ท่าทางนั้นเป็นการตอบรับคำถาม
“นายเป็นหนึ่งในนักโทษชั้นเลวพวกนั้น...” อัลเบิร์ตย้ำแม้จะไม่อยากพูดเพราะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าเจเรมีไม่ได้ทำอย่างนั้น เขาถูกยัดเยียดความผิดให้

“ฉันรู้” เจเรมีขานรับ “แล้วนายอยากจะให้ฉันทำอะไร”

ถามตรงประเด็นอีกแล้ว คราวนี้ไม่มีเหตุผลที่อัลเบิร์ตจะต้องพูดอ้อมไปอ้อมมาอีก

“ฉันอยากให้นายเข้าร่วม แต่ฟังก่อน ฉันรู้ว่ามันเป็นแผนที่จะบีบให้นายกับพ่อนายจนมุม แต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้านายรอให้พ่อนายช่วยออกไป ฉันบอกเลยว่ามันค่อนข้างจะ...ยาก”

จริงอย่างที่อัลเบิร์ตว่า ถ้ามันง่าย ป่านนี้เขาได้ออกไปตั้งนานแล้ว

“ฟังให้ดีนะเจมี่ นายต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นคนที่เคยช่วยเหลือนายลำบากกันหมดแน่”
“นายหมายถึงตระกูลวอล์กเกอร์ด้วยใช่ไหม?”

ถูกเอ่ยชื่อตระกูลของตัวเอง อัลเบิร์ตก็พยักหน้า

จับทางได้แล้วว่าอัลเบิร์ตกังวลว่าครอบครัวตัวเองจะเดือดร้อน เจเรมีเห็นใจเพื่อนสนิทอยู่เหมือนกัน แต่เรื่องนี้เขาจะต้องเก็บเอาไปคิดก่อน

“ฉันขอเวลาตัดสินใจหน่อย”
ท่าทางลังเลทำให้อัลเบิร์ตเม้มริมฝีปากแน่น ดูเลิ่กลั่กขึ้นมาฉับพลันก่อนจะโพล่งขึ้น
“อย่านานนักนะ นายไม่มีเวลามากขนาดนั้น”

เจเรมีสบตาที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและหวาดกลัวของเพื่อนสนิทก็พอเข้าใจก่อนจะพยักหน้ารับ
“ขอเวลาฉันอีกหน่อยแล้วกัน”

ใจจริงอยากจะเร่งรัดให้ตอบตกลงเสียเดี๋ยวนั้น แต่คนอย่างเจเรมีจะไปบังคับอะไรได้ อัลเบิร์ตจึงได้แต่ยินยอมโดยไร้เงื่อนไขใดๆ
“ได้ ฉันจะรอคำตอบนะ” ว่าจบก็ลุกขึ้นยืนด้วยเห็นว่าผู้คุมส่งสัญญาณมาเป็นเชิงว่าหมดเวลาพูดคุยแล้ว

เจเรมียืนขึ้นบ้าง เตรียมจะหันไปหาผู้คุมให้พากลับไปที่ห้องขัง หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่ออัลเบิร์ตทักขึ้น
“แต่จำไว้อย่างนะเจมี่ ต่อให้หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะอยู่ข้างนาย ถึงนายจะไม่เชื่อ แต่ฉันจะอยู่ข้างนาย”

คงจะรู้สึกไม่ดีที่ต้องเป็นคนมาขอร้องให้เพื่อนเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับเกมทุเรศๆ อย่างนั้น
เจเรมีหยักยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่อ่านไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่ ก่อนจะสวนกลับไป

“ไว้ไปเจอกันข้างนอก”
เป็นคำมั่นสัญญาว่าไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะออกไปจากแดนขังแห่งนี้ให้จงได้ อัลเบิร์ตไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีไหน แต่ก็ภาวนาขอให้เป็นอย่างที่เจเรมีพูด

เขาอยากจะพูดคุยกับเจเรมีที่โลกด้านนอกมากกว่าในคุกอย่างนี้มากกว่าเป็นไหนๆ

สายตามองตามแผ่นหลังกว้างที่เดินออกจากห้องไปด้วยความสับสน เขาไม่ควรทำอย่างนี้เลยแต่ถูกมัดมือชกอย่างนี้แล้วมันก็ช่วยไม่ได้ เมื่อเจเรมีหายไปจนลับสายตาแล้ว ผู้คุมที่ยังอยู่ในห้องก็ตรงมาหาเขาพร้อมกับโทรศัพท์ซึ่งต่อสายตรงถึงใครบางคน

[ไม่สำเร็จใช่ไหม?]
น้ำเสียงแหบห้าวดังเข้ามาให้ได้ยิน

เสียงของนายพลแฮร์ริสัน...

“ผมพยายามเต็มที่แล้ว แต่ขอเวลาให้เขาตัดสินใจหน่อยครับ” อัลเบิร์ตตอบกลับ
[เร็วหน่อยก็แล้วกัน นายเองมีเวลาไม่มากสักเท่าไหร่นัก พ่อของนายจะอยู่หรือไป ขึ้นอยู่กับไอ้เวรนั่น]

อีกฝ่ายว่ามาอย่างนี้ ทำเอาอัลเบิร์ตกำโทรศัพท์แน่น

ใช่... เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมาบอกว่าบิดาของเจเรมีกำลังถูกวางแผนฆ่า นั่นเป็นเรื่องโกหก คนที่ถูกวางแผนฆ่าน่ะคือ แมทธิว วอล์กเกอร์ บิดาของเขาที่เข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้และไม่ยอมถอนตัวออกมาแม้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงถึงขั้นวิกฤตก็ตาม
และมันเป็นจุดอ่อนที่ทำให้แมทธิวตกอยู่ในอันตราย เดร็กฉลาดพอที่จะไม่เข้าไปขู่กับแมทธิวโดยตรง ทว่าเลือกบุตรชายที่อ่อนแอและไร้ทางสู้แทน ดังนั้นการที่อัลเบิร์ตมาพบกับเจเรมีในวันนี้ไม่ได้มาเพื่อใครหน้าไหนทั้งนั้น

เขามาเพื่อปกป้องบิดา แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นการหักหลังเพื่อสนิททางอ้อมก็ตาม แต่เขาก็ต้องทำ

เพื่อที่จะรักษาชีวิตของคนที่เขารักไว้ มันไม่มีทางเลือก...

มือส่งโทรศัพท์คืนให้กับผู้คุม ความรู้สึกผิดพร่างพรายเข้ามาในอกอย่างท่วมท้น
ถ้ารู้ว่าทุกอย่างจะลงเอยอย่างนี้ เขาจะไม่ห้ามเจเรมีไม่ให้ทำร้ายธีโอในวันนั้น

เขาจะยุให้ฆ่า...

ในเมื่อผลลัพธ์ที่ออกมามันไม่ต่างกันก็ไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้

เพิ่งจะเข้าใจในตอนนี้เองว่าการเกลียดชังใครสักคนจนแทบไม่สามารถอยู่ร่วมโลกได้มันเป็นอย่างไร
เกลียดจนอยากฆ่าให้ตาย... ถ้าเขาเข้มแข็งเหมือนเจเรมีล่ะก็ เขาคงจะไม่มายืมมือเจเรมีอย่างนี้แน่นอน




 
หลังจากที่ถูกส่งตัวกลับเข้าห้องขังในวันนั้น เจเรมีก็ใช้เวลาหลายวันในการขบคิดถึงคำพูดของอัลเบิร์ต จะบอกว่าเขาไม่เชื่อที่อัลเบิร์ตพูดร้อยเปอร์เซ็นต์มันก็ไม่ใช่ เขาเองก็กังวลใจเช่นเดียวกันและคงทนไม่ไหวแน่ถ้าหากบิดาเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน
ความลังเลนั้นก่อให้เกิดความอัดอั้น เขาหลุดปากเล่าเรื่องทั้งหมดให้คริสฟัง และลงท้ายด้วยการที่คริสบอกว่า...

“อย่าตอบตกลงไปเชียว มันก็แค่กับดัก”

ทำไมเจเรมีจะไม่รู้ล่ะ รู้อยู่แก่ใจ แต่ว่า...มันก็อดเป็นพะวักพะวนใจไม่ได้อยู่ดี
และหนักข้อขึ้นยิ่งกว่าเดิมเมื่อเริ่มมีการรายงานข่าวทางโทรทัศน์ว่าเจอโรมถูกมือสไนเปอร์ยิงโดยไม่หวังผลคล้ายกับว่าเป็นการขู่ นั่นทำให้เจเรมีรู้ว่าเขาเริ่มถูกบีบคั้นแล้ว และถ้าหากยังแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย ไม่ลงมือทำอะไรสักอย่างอยู่อย่างนี้ มีหวังเขาได้เสียคนที่รักไปอีกคนแน่

ดังนั้นคำเตือนของคริสจึงไม่มีผลใดๆ กับเขาตั้งแต่วินาทีนี้ทั้งสิ้น ทันทีที่ได้ยินข่าวนั้น เขาก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่าจะเข้าร่วม คริสเอ่ยปากห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟังจนเขาจนปัญญาที่จะห้ามแล้ว จึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้เลือกทางเดินของชีวิตตัวเองโดยที่เขาจะไม่เอาชีวิตไปเสี่ยง

ทว่า... มีเหรอที่นักโทษอย่างเขาหรือจะรอด

หากเป็นนักโทษคดีกบฏธรรมดา เขาอาจจะรอดก็ได้ แต่เขาดันเป็นคู่แห่งโชคชะตาของเจเรมีนี่สิที่ทำให้ถูกจับยัดลงมาเป็นหมากในเกมนี้อย่างไม่อาจปฏิเสธ

สุดท้ายแล้วก็ต้องมาร่วมหัวจมท้ายกับเจเรมีอีก คราวนี้จากที่เตือนให้เจเรมีควบคุมตัวเอง อยู่อย่างสงบ ไม่ให้ไปมีเรื่องกับใครในคุกเพื่อที่จะได้อยู่ง่ายๆ กลายเป็นว่าต้องมาเตือนไม่ให้เจเรมีไปยุ่มย่ามเรื่องของใครในระหว่างการล่าอีกเพื่อที่จะได้มีชีวิตรอด
มีชีวิตรอด...  เขาเน้นย้ำประโยคนี้หลังจากที่ได้ฟังกฎกติกาในการเป็นผู้ชนะโครงการนำร่องการกำจัดนักโทษชั้นเลว ซึ่งตอนนี้เขาเรียกมันว่าเกม

ในเกมนี้จะมีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้นสิบห้าคน เป็นอัลฟ่าสิบคนและโอเมก้าอีกห้าคน ทุกคนจะมีเวลาสามสิบวันในการเล่นเกม เกมนี้มีกฎอยู่ไม่กี่ข้อในการเป็นผู้ชนะ

ข้อแรก... อัลฟ่าและโอเมก้าที่เป็นของกันและกันและเหลือชีวิตรอดถึงคู่สุดท้ายจะได้ทุกสิ่งตามปรารถนาไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามได้หนึ่งประการ

ข้อสอง... โอเมก้าสามารถเลือกได้ว่าจะยอมเป็นของอัลฟ่าสักคนเพื่อให้อัลฟ่าปกป้องหรือฆ่าอัลฟ่าก็ได้ แต่โอเมก้าก็ต้องฆ่ากันเองด้วยเพื่อให้เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ

ข้อสาม... อัลฟ่าไม่สามารถเป็นผู้ชนะถ้าหากไม่ได้ครอบครองโอเมก้าต่อให้อยู่รอดเป็นคนสุดท้ายก็ตาม ถ้าโอเมก้าตายหมด เท่ากับว่าการมีชีวิตรอดนั้นจะไร้ความหมาย ดังนั้นกฎเหล็กของเกมคืออัลฟ่าต้องพยายามรักษาชีวิตของโอเมก้าเอาไว้ แต่ไม่ได้ห้ามฆ่า

กฎในการแข่งขันเช่นนี้ ฟังครั้งแรกก็รู้เลยว่าคนออกกฎต้องการให้อัลฟ่าฆ่ากันเอง ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้โอเมก้าถูกย่ำยีจนถึงขีดสุด หากโอเมก้ายินยอมเป็นของอัลฟ่าสักคนและอัลฟ่าคนนั้นถูกฆ่าตาย ก็ต้องตกเป็นของอัลฟ่าคนอื่น
ไม่ว่าอย่างไร เกมนี้มันก็วิปริตชัดๆ

เจเรมีฟังกฎแล้วก็นิ่วหน้า เขาเกลียดการที่สวะพวกนี้ดูแคลนโอเมก้าราวกับไม่ใช่มนุษย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาได้ฟังการกดขี่โดยปราศจากมนุษยธรรมอย่างนี้ เขาก็ยิ่งเกลียดชังชนชั้นบรรดาศักดิ์ของโครงสร้างสังคมนี้มากขึ้นไปอีก

มันเน่าเฟะ... ทุเรศ... ดักดาน...

ไม่รู้จะสรรหาคำบรรยายใดมาพรรณนาความชั่วร้ายของระบบทางสังคมเช่นนี้ดี รู้สึกแย่ยิ่งกว่านั้นด้วยเมื่อรู้ว่าโอเมก้าที่เข้าร่วมในเกมครั้งนี้ไม่ได้สมัครใจ แต่ถูกบังคับมา

มันเป็นการถูกบังคับให้มาตายชัดๆ!

ถึงจะเป็นนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ แต่โอเมก้าเหล่านั้นก็ควรมีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเอง

ทำไมล่ะ ในเมื่อนักโทษชนชั้นอัลฟ่ายังตัดสินใจเองได้ แล้วทำไมโอเมก้าถึงทำไม่ได้!?

เจเรมีพยายามจะกักเก็บความขุ่นข้องใจนั้นไว้ภายในเมื่อหูได้ยินคริสเตือนว่าอย่าไปยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง กฎของการอยู่ในคุกอย่างสงบสุขคือไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระหว่างนักโทษด้วยกันหรือเรื่องระหว่างนักโทษกับผู้คุมก็ตาม โดยเฉพาะการมาทำเรื่องบ้าๆ ที่มีชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน ยิ่งไม่ควรไปยุ่งเรื่องคนอื่นเข้าไปใหญ่ถ้าอยากมีชีวิตรอดเป็นผู้ชนะ

มันเป็นวิธีที่ฉลาด...เจเรมีเห็นด้วย หากแต่การที่เขาถูกจับมาตรวจร่างกายพร้อมกับนักโทษคนอื่นๆ ที่มาจากแดนขังทั่วทั้งมหานครเพิร์ลแล้วได้เห็นความไม่ชอบธรรม มันก็อดไม่ได้

ตอนนี้เขาเห็นโอเมก้าคนหนึ่งกำลังวิงวอนขอชีวิตจากผู้คุมที่ฉุดกระชากตนให้เข้ามายืนในจุดสำหรับตรวจร่างกายและบังคับให้เปลื้องผ้าอยู่

เป็นการละเมิดสิทธิ์อย่างร้ายแรง และเขาจะไม่สนใจเลยถ้าหากว่าโอเมก้าคนนั้นไม่คุ้นตาอย่างประหลาดคล้ายกับว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน

เจอในตลาดค้าโอเมก้า...

โอเมก้าที่ถูกจับมาขายเป็นวัตถุทางบำบัดความใคร่...
“หมอนั่นมัน...ลูก้า” เจเรมีครางออกมาทันทีที่เห็นว่าคนที่มองอยู่ถูกไม้กระบองฟาดเข้าที่กลางหลังอย่างจัง

คริสในสภาพเปลือยเปล่าไม่ต่างจากนักโทษคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ในระหว่างรอตรวจร่างกายเหลือบหางตามามอง
“รู้จักเหรอ?” สังหรณ์ใจไม่ดีด้วยว่าอีกฝ่ายอาจจะเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนต้องพูดดัก “อย่าเข้าไปยุ่มย่ามเชียว”

เจเรมีไม่ตอบใดๆ มองร่างแกร็นของเด็กหนุ่มอีกคนอย่างไม่เชื่อสายตา ข่าวที่เขาได้ยินในวันที่ออกจากโรงแรมก่อนที่เขาจะถูกส่งตัวเข้าคุกผุดพรายเข้ามาในหัวทันที

โอเมก้ารูปร่างบอบบางและถูกกลั่นแกล้งโดยธีโอกับพรรคพวกคนนั้นน่ะนะที่เป็นฆาตรกรคดีฆ่าอัลฟ่า!?

จำลูกก้าขึ้นมาได้ฉับพลัน ไม่ผิดตัวแน่ คนตรงหน้าคือโอเมก้าที่เขาเคยช่วยไว้ มากไปกว่านั้นเขาจำรอยสักแสดงการผลัดเปลี่ยนเจ้าของที่ต้นแขนด้านขวาได้ ที่ไม่น่าเชื่อก็คือคนอ่อนแออย่างนั้นน่ะนะที่กล้าพอจะฆ่าใครได้

กระนั้นก็ไม่ได้สนใจแล้ว นอกจากเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าลูก้าถูกทุบตีหนักขึ้นจนน้ำหูน้ำตาไหล แต่ก็ถูกผู้คุมเข้ามาขวาง ยกมือดันหน้าอกเขาไม่ให้เข้ามาใกล้

“เฮ้ยๆ คิดจะทำอะไร ไปต่อแถว” ดันให้ไปรอในจุดเดิมเพื่อทำการตรวจร่างกาย

เจเรมีปัดมือของผู้คุมออกเต็มแรง กดเสียงต่ำ “ไสหัวไป”

การกระทำของเขาเรียกสายตาของทุกคนให้หันมามองทันทีไม่เว้นแม้แต่ลูก้า เขาเห็นชายหนุ่มผมบลอนด์ก็พลันได้สติในตอนี้ จำได้ทันควันว่าคือคนที่ช่วยและมอบเสื้อเครื่องแบบของสถาบันพัฒนาอัลฟ่าฯ ให้กับเขา

เจเรมี...เจเรมี เมอร์ซี จริงๆ ด้วย!

ความดีใจล้นปรี่จนแน่นหน้าอกแทนความหวาดกลัวเมื่อครู่นี้ น้ำตารื้นขึ้นปริ่มขอบตา

ในที่สุดเขาก็ได้เจอผู้ชายคนนี้สักที…

หากแต่เจเรทีไม่รู้หรอกว่าลูก้าคิดอะไร เขาหัวเสียมากกว่าที่เห็นผู้คุมปฏิบัติกับพวกโอเมก้าราวกับเป็นสัตว์ พอถูกผู้คุมเข้ามาผลักอกอีกครั้ง เขาก็แผดเสียงใส่

“บอกให้ไสหัวไปไงวะ!”

ไม่เพียงแผดเสียง ยังคว้าเอาแขนของผู้คุมคนนั้นมาจับไว้ก่อนพลิกตัว ออกแรงยกและจับทุ่มลงกับพื้นเต็มแรง

การกระทำที่ไม่มีใครคาดคิดส่งผลให้บรรดาผู้คุมกรูกันเข้ามาควบคุมตัวเขาไว้อย่างรวดเร็ว คริสเห็นท่าไม่ดีจึงรีบปรี่เข้าไปขวางก่อนที่เจเรมีจะถูกกระบองนั้นทุบตีหรือถูกกระบองไฟฟ้าช็อต อย่างน้อยเขาก็สนิทกับผู้คุมมากพอที่จะต่อรองได้ หากแต่เจเรมีไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าคริสพยายามจะช่วย อาศัยจังหวะชุลมุนนี้ถลาเข้าไปหาผู้คุมที่ยังกระชากแขนลูก้าอยู่ก่อนที่จะตะบันหมัดใส่หน้าสุดแรง

มือของผู้คุมปล่อยท่อนแขนผอมบางทันที ร่างใหญ่กระเด็นหงายหลังล้มลงไปอีกทาง ปากสบถด่าเจเรมีที่ต่อยเขาเข้ามาแรงเสียจนเลือดกำเดาไหลพรากด้วยถ้อยคำหยาบคาย หากแต่คนตัวการไม่สน เขาคว้าแขนของลูก้าแล้วดึงให้ลุกขึ้น

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

ลูก้าไม่ตอบ มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินออกมาเป็นทางและรอยยิ้มปีติเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็น

“เฮ้ ฉันถามว่าไม่เป็นไรใช่ไหม ตอบสิ!” พอไม่ได้คำตอบก็เสียงดังใส่อีก

ลูกก้าถึงได้ยอมเปิดปากขึ้น

“นะ...ในที่สุดผมก็ได้พบคุณอีกครั้ง คุณเมอร์ซี...”

คนฟังประหลาดใจไม่น้อยทีเดียวที่ถูกทักอย่างนั้นเป็นประโยคแรก ก่อนจะต้องร้องโอดโอย ทรุดตัวลงกับพื้นเมื่อถูกกระบองของผู้คุมคนหนึ่งฟาดและช็อตเข้ามาอย่างจัง เขาเกือบจะถูกกระหน่ำช็อตอีกระลอกใหญ่แล้วถ้าหากคริสไม่เข้ามาขวางเสียก่อน
“อย่าเสียเวลากับหมอนี่เลยน่า พวกคุณจะทำให้เขาตายก่อนได้เข้าไปอยู่ในเกมนรกนั่น ผมเชื่อว่านายพลแฮร์ริสันต้องไม่ปลื้มแน่ถ้ารู้ว่าพวกคุณทำให้เหยื่อของเขาเป็นอะไรก่อนทุกอย่างจะเริ่มแบบนั้น”

ยกเอาชื่อของเดร็กมาขู่ พวกผู้คุมก็ยอมถอย สบถขู่ตามหลังเล็กน้อยอย่างหัวเสีย
“ดูแลเมียนายให้ดี อย่าให้ก่อเรื่องอีก”

คำดูแคลนนั้นทำให้เจเรมีกัดฟันกรอด ทำท่าจะผุดลุกขึ้นมาก่อเรื่องอีกรอบ
“ไอ้เวร!”

คริสคว้าแขนไว้อย่างรวดเร็วก่อนที่เจเรมีจะได้ลุกขึ้นเสียอีก หันไปพยักหน้าให้เล็กน้อยเป็นเชิงว่าให้สงบสติอารมณ์ เจเรมีจึงได้แต่ฮึดฮัดและยอมปล่อยมือออกจากเรื่องนี้

ยอมเชื่อคริส... สัญชาตญาณบอกไว้ว่าผู้ชายตรงหน้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ทำร้ายเขา

คริสเองก็พอใจที่เจเรมียอมเชื่อฟังคำแนะนำของเขามากขึ้นกว่าเดิม จะมีก็แต่ลูก้าเท่านั้นที่ได้ยินและเห็นภาพนั้นก็เกิดข้องใจขึ้นมาจนหลุดปากถาม

“คุณกับคุณเมอร์ซีเป็น...” ถามยังไม่ทันจบก็เงียบเสียงไปคล้ายกับตระหนักขึ้นมาฉับพลันว่าไม่ควรถามเรื่องนี้ แต่ก็อยากรู้ว่าใช่อย่างที่ตนคิดหรือเปล่า เพราะถ้าใช่ มันหมายความว่าทั้งคู่จับคู่กันแล้วทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มเกมเลยด้วยซ้ำ

หากแต่คริสดูออกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะถามอะไร จึงชิงตอบออกมาทั้งที่คำถามไม่สมบูรณ์
“ไม่ได้เป็นอย่างที่นายเข้าใจ แค่เป็นคู่แห่งโชคชะตา”

ลูก้าพยักหน้ารับน้อยๆ ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก ก่อนจะเบนความสนใจมาที่เจเรมีซึ่งพยายามจะลุกขึ้น
“ไหวไหมครับ” ถามพลางยื่นมือไปให้เจเรมีจับเพื่อช่วยพยุงขึ้น

ทว่าเจเรมีกลับเลือกที่จะยื่นมือไปจับมือของคริสแทน
“ไหว” แล้วก็ตอบสั้นๆ

ลูก้าดึงมือกลับไป ยิ้มบางๆ “ขอบคุณครับที่ช่วยผม”
“ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้น”

อย่างที่เจเรมีพูด เขาช่วยแค่ครั้งนี้เท่านั้นเพราะเห็นใจที่ลูก้าถูกดึงเข้ามาเอี่ยวในเกมการเมืองนี้อย่างไม่เต็มใจด้วย แต่ถ้าจะให้ผูกพันไปมากกว่านี้ล่ะก็ เขาไม่เอาด้วยคน

ไม่อยากจะผูกพันกับใครโดยไม่จำเป็น มันจะทำให้การเดินหมากของเขามันยากขึ้น เพราะสักวันเขาอาจจะต้องฆ่าลูก้า...
เป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด แต่ในเมื่อกฎถูกวางมาอย่างนี้ก็จำต้องดำเนินไป

ร่างใหญ่ลุกขึ้นยืนได้ก็เดินกลับเข้าไปในแถวเพื่อรอคิวตรวจร่างกายดังเดิม ปล่อยให้ลูก้าถูกผู้คุมจับเปลื้องผ้าอีกครั้ง ครั้งนี้ลูก้าไม่ขัดขืน ยินยอมแต่โดยดีในขณะที่สายตาก็จับจ้องไปที่เจเรมีด้วยความรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

ผู้ชายคนที่เขาอยากจะขอบคุณที่เคยช่วยเขาไว้...มาอยู่ตรงหน้าแล้ว
------------------------------------
แปะให้เต็มตอนเลยค่ะ เขียนไปเขียนมาเพลิน จบตอนพอดี 555
ปกเต็มๆ มาแล้วนะคะ เข้าไปดูที่เพจของ สนพ.ได้เลย แปะรูปไม่เป็น ฮืออ
อันนี้เพจของ สนพ.นะคะ เกาะหน้าเพจ สนพ.ไว้ เดือนนี้จะเปิดพรีออเดอร์ เดี๋ยวให้ทาง สนพ.แจ้งอีกทีนะ

https://www.facebook.com/RakKunPublishing/

ส่วนตอนหน้า บอกได้เลยว่าสัญชาตญาณดิบสมชื่อมากกก
ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยนะ XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-03-2017 09:01:16
จะกล่าวหาว่าเจม เป็นตัวการทำลายตระกูลเมอร์ซีก็ไม่ถูกทั้งหมด
ยังไงตระกูลเมอร์ซี ก็ถูกหมายหัวเรื่องกำจัดมาก่อนเจมเกิดซะอีก
ถึงแม้เจม จะว่าง่าย สุภาพอ่อนโยน ตระกูลเมอร์ซีก็จะถูกกำจัดอยู่ดี
เจม เป็นแค่หมาก แค่เบี้ย ที่ถูกใช้
อย่างที่อัลเบิร์ตว่า ถึงฆ่าธีโอไปซะ ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างจากตอนนี้
ลูก้า จะมาทำให้เรื่องยุ่งจากเดิม หรือช่วยเจม กันแน่
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: fahtallll ที่ 01-03-2017 10:27:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 01-03-2017 11:40:21
มันซับซ้อนมากเลย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: empty102153 ที่ 01-03-2017 13:55:59
ทำไมเราคิดว่าลูก้าจะมาทำให้เรื่องยุ่งยากขึ้น :ling3:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Pamaipraewa ที่ 01-03-2017 14:55:41
อ่านรวดเดียวเลย

สนุกมากกกก ชอบคริส ดูเป็นคนมีเหตุผล และน่าจะเบรกเจเรมี่ได้ในอนาคต

เข้าใจอัลเบิร์ตนะ ไอ้นายพลนั่นมันเลวจริงๆ :z6: ทำร้ายกันทุกวิถีทางแบบนี้ ขอให้ลูกแกโดนฆ่าาาาา (อัลเบิร์ตสนมั้ย หรือไม่ก็ปล้ำแม่ม//วอท?)

รออ่านต่อ สุดท้ายจะจบยังไง แล้วลูก้านี่ยังไง
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 01-03-2017 16:50:59
ปวดตับ โอ๊ยยยย กรรมของเจเรมี่
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 01-03-2017 20:58:45
คือตอนนี้สงสารลูก้ามากกว่า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-03-2017 23:08:12
เข้าสู่เกมจนได้

หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 02-03-2017 22:58:06
ซับซ้อน
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 03-03-2017 11:12:12
Episode 13: สัญชาตญาณดิบ[1]

การตรวจร่างกายเป็นไปเพื่อความแน่ใจว่าผู้เข้าร่วมโครงการนรกครั้งนี้มีเพศรองตรงตามที่ระบุในแฟ้มประวัติอาชญากรทุกประการเท่านั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์อื่นใดสำหรับนักโทษที่เอาชีวิตเข้าไปทิ้งในการร่วมแข่งขัน เว้นเสียแต่เจเรมีที่เขาได้รับสิทธิพิเศษในการดูแลมากกว่านักโทษคนอื่นๆ ด้วยทางผู้ดำเนินโครงการนี้ต้องการทราบว่าร่างกายของเขามีความแข็งแรงขนาดไหน ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าเจเรมีเป็นโอเมก้าที่ไม่เหมือนโอเมก้านั่นแหละ

ขณะที่โอเมก้าส่วนมากจะมีรูปร่างเล็กและแกร็นเนื่องจากได้รับการเลี้ยงดูอย่างไม่ถูกสุขลักษณะมาตั้งแต่เล็ก ทว่าเจเรมีกลับมีรูปร่างสูงใหญ่ มีกล้ามเนื้อ พลานามัยสมบูรณ์ทุกประการ ซ้ำยังมีทักษะการต่อสู้และอุปนิสัยหลายอย่าง บ่งบอกให้รู้ว่าโอเมก้าที่ถูกเลี้ยงดูประหนึ่งอัลฟ่าตั้งแต่แรกเกิดก็สามารถมีบุคลิกลักษณะที่คล้ายคลึงกับอัลฟ่าได้เช่นกัน และนั่นมันทำให้อัลฟ่าคนอื่นๆ เสียเปรียบในการแข่งขัน ฉะนั้นเมื่อพบว่าเจเรมีเป็นโอเมก้าที่ยากต่อการล่า เดร็กจึงทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นด้วยการตัดกำลังเล็กน้อย

เริ่มจากการที่สุ่มแจกอาวุธสำหรับป้องกันตัว...

คริสสุ่มได้ปืนยิงยาสลบ… ฟังดูไร้ประโยชน์หากเทียบกับลูก้าที่ได้มีดสั้นเป็นอาวุธ แต่หากเทียบกับเจเรมีแล้ว อาวุธของเจเรมีไร้ประโยชน์กว่าหลายขุม

ชะแลงเหล็ก...

เอาไว้งัดกะโหลกมารดามันเถอะไอ้ชั่วแฮร์ริสัน!

เจเรมีถึงกับอดไม่ได้ที่จะสำรอกคำผรุสวาทออกมาในใจ

นี่มันจงใจไล่ต้อนเขาชัดๆ!

และชัดเจนมากขึ้นไปอีกเมื่อถึงวันที่นักโทษทั้งหมดะถูกส่งตัวไปยังสถานที่แข่งขันซึ่งเป็นเกาะที่ครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นสถานที่สำหรับทรมานและประหารนักโทษคดีร้ายแรงและเกือบจะถูกปิดตายมาหลายทศวรรษด้วยกฎหมายการประหารชีวิตได้ถูกระงับใช้ชั่วคราวจากการคัดค้านของเจอโรมเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับการละเมิดสิทธิในร่างกายของนักโทษเหล่านั้น แม้กฎหมายจะยังไม่ถูกยกเลิกแต่การผลักดันของเจอโรมก็ทำให้มีประชาชนเห็นด้วยค่อนข้างมาก ทางรัฐบาลจึงต้องชะลอการใช้กฎหมายเอาไว้ก่อนด้วยเกรงประชาชนจะลุกฮือ เรียกได้ว่าเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของแม่บทกฎหมายในมหานครเพิร์ลเลยทีเดียว
หากแต่ครั้งนี้ เกาะนั้นถูกเปิดใช้อีกครั้ง...เพื่อรองรับการทรมานและประหารทายาทรุ่นล่าสุดของตระกูลเมอร์ซี

คนเป็นบิดาคัดค้าน คนเป็นบุตรถูกส่งตัวมาให้ถูกฆ่า

ไม่มีอะไรน่าสนุกไปกว่าเห็นเจอโรมอกแตกตายอีกแล้ว!

แต่แค่นั้นยังไม่สาแก่ใจ เพียงสุ่มจับอาวุธซึ่งแทบจะไม่เรียกว่าอาวุธให้กับเจเรมีมันยังไม่พอที่จะตัดกำลังเขาได้ แฮร์ริสันจึงมีคำสั่งให้ผู้คุมซ้อมชายหนุ่มเสียจนสะบักสะบอมก่อนจะปล่อยเข้าเกาะโดยที่คริสเองก็ไม่สามารถห้ามปรามอะไรได้เลย

ไม่ใช่ว่าไม่ห้าม...เขาห้าม แต่ไม่เป็นผล

ผู้คุมเหล่านั้นก็ไม่ได้ซ้อมเจเรมีถึงขั้นเอาตาย กระดูกไม่หัก บาดแผลไม่ปรากฏ แต่ทิ้งร่องรอยฟกช้ำและความบอบช้ำไปทั่วร่างเลยทีเดียว ดูเหมือนไม่เป็นอะไรมากแต่ก็หนักหนาพอที่จะทำให้เจเรมีเดินทรงตัวด้วยตัวเองไม่ได้ ก่อนที่นักโทษทั้งหมดถูกปล่อยตัวในแต่ละจุดของเกาะอย่างกระจัดกระจาย ทว่าก็ไม่ได้ห่างกันมากนักด้วยพื้นที่ของเกาะไม่ได้กว้างใหญ่สักเท่าไหร่
กว้างหรือไม่กว้างสามารถพิสูจน์ได้จากการที่คริสตามหาตัวเจเรมีเจอเป็นคนแรก และอาสาเป็นคนคอยดูแลเขาจนกว่าจะหายดีด้วยเกรงว่าอัลฟ่าคนอื่นจะใช้โอกาสนี้ในการล่าเจเรมีมาครอบครอง เพราะก่อนที่จะถูกปล่อยตัวนั้น มีกฏอีกข้อที่เหล่านักโทษเพิ่งจะได้รับรู้

หากภายในสามสิบวันยังไม่ได้ผู้ชนะ จะไม่มีใครได้เหลือรอดออกจากเกาะแม้แต่คนเดียว...

เป็นกฎที่บีบบังคับให้นักโทษต้องจำใจล่ากันเองอย่างไร้ทางเลือก

แน่นอนว่าเจเรมีกับคริสไม่ยอมถูกฆ่าง่ายๆ อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ยอมเป็นผู้เริ่มก่อนในขณะที่อัลฟ่าคนอื่นๆ เริ่มตื่นตัวกัน และโอเมก้าอีกสี่คนที่เหลือก็เริ่มหาที่ซ่อนตัว สำหรับคริสกับเจเรมี ในการเริ่มเกมนั้น พวกเขาทำแค่หาที่หลบซ่อนและรอจนกว่าเจเรมีจะอาการดีขึ้นในระดับที่ช่วยเหลือตัวเองได้ตามปกติเท่านั้น

ถ้ำเล็กๆ ใต้ชะง่อนผาถูกใช้เป็นที่ซ่อน ทั้งคู่ไม่ออกไปไหนเลยในวันแรกด้วยยังไม่แน่ใจว่าข้างนอกนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง คริสเดาเอาว่านักโทษที่เหลือคงจะตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวและสับสน การออกไปเดินสำรวจสุ่มสี่สุ่มห้าในวันนี้คงไม่เป็นการดีแน่

ยังดีที่ถ้ำแห่งนี้มีเถาวัลย์น้ำมากพอที่จะใช้เป็นแหล่งน้ำได้ เจเรมีกับคริสจึงอยู่ในนั้นได้อย่างไม่มีปัญหา ทว่าพอเริ่มวันใหม่ สถานการณ์ภายนอกก็กลับวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อมีเสียงประกาศดังให้ได้ยินมาว่ามีโอเมก้าคนหนึ่งถูกฆ่าตายเมื่อคืนโดยไม่ทราบสาเหตุ รู้เพียงอย่างเดียวว่าผู้ฆ่าคืออัลฟ่า

คงจะมีการล่ากันเกิดขึ้นแล้วอัลฟ่าพลั้งมือไปฆ่าโอเมก้าเข้า...

คริสเดาไว้อย่างนั้น และในวันเดียวกันก็มีเสียงประกาศตามสายมาให้ได้ยินอีกว่ามีอัลฟ่าอีกรายถูกอัลฟ่าด้วยกันฆ่าตาย การสังหารในครั้งหลังนี่คงจะเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงโอเมก้า

ถ้าหากโอเมก้าทุกคนถูกครอบครอง มีหวังอัลฟ่าที่เหลือคงได้ฆ่ากันไม่เลือกหน้าแน่ กับตัวเขาน่ะไม่มีปัญหา คริสค่อนข้างจะมั่นใจในทักษะการต่อสู้และเอาตัวรอดของตัวเองพอตัว จะห่วงก็แต่เจเรมีที่เป็นหนึ่งในโอเมก้าซึ่งมีทางเลือกสองทางคือยอมตกเป็นของอัลฟ่าสักคนเพื่อให้อัลฟ่าช่วยปกป้อง หรือเลือกที่จะฆ่าทั้งหมดเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะแต่เพียงผู้เดียว

ก่อนจะมาถึงที่นี่ เขากับเจเรมีได้ตกลงกันแล้วว่าจะรอดชีวิตไปด้วยกัน ทว่าท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเหมือนว่าความรุนแรงจะเริ่มปรากฏขึ้น เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าเขากับคู่แห่งโชคชะตาจะรอดชีวิตไปด้วยกันในท้ายที่สุดหรือไม่

เจเรมีอาจจะเปลี่ยนใจ ฆ่าเขาทิ้งในนาทีสุดท้ายก็เป็นได้...นั่นคืออย่างแย่ที่สุด อย่างแย่น้อยกว่านั้นคือเขาเกรงว่าตัวเองจะปกป้องเจเรมีได้ไม่เต็มที่

เขาเองก็ยังมีความเห็นแก่ตัว ถึงจะแสนดีแค่ไหนทว่าก็ยังทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองอยู่ดี

เจเรมีไม่ใช่คนของเขานี่ เป็นเพียงแค่คู่แห่งโชคชะตา เขาไม่ได้ทำให้เจเรมีได้ทุกอย่าง เว้นก็แต่บางอย่างที่เขาเห็นว่าตนได้ประโยชน์ด้วย จนอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเจเรมีเป็นของเขาแล้ว บางทีอีกฝ่ายอาจจะให้ความร่วมมือในการเอาตัวรอดเป็นอย่างดีและชั่งใจที่จะฆ่าเขาทิ้งหากมีเรื่องผิดใจกันก็เป็นได้

คริสรู้ว่าการที่เขาครอบครองเจเรมีมันไม่ได้เป็นหลักประกันว่าตนจะไม่ถูกอีกฝ่ายคิดฆ่า แต่ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะพอทำให้เจเรมีลังเลใจอยู่บ้าง และใช่... การที่เขาทำดีกับเจเรมีระหว่างอยู่ในแดนขังไม่ได้มาจากความบริสุทธิ์ใจสักเท่าไหร่นัก เขาคิดว่าการทำให้เจเรมีเข้าใจว่าเขาหวังดี มันเป็นการดีที่เขาจะรอดออกจากคุกเส็งเคร็งนั่นถ้าหากเจเรมีออกจากคุกไปได้ด้วยการช่วยเหลือของเจอโรม

เป็นแผนการลึกๆ ในใจที่ไม่เคยเล็ดลอดออกจากปากเขา...

แต่ก็ใช่ว่าคริสจะไม่ได้เป็นห่วงหนุ่มผมบลอนด์คนนั้นจากใจจริง ระยะหลังที่เจเรมีเริ่มเชื่อฟังคำแนะนำ มันทำให้คริสอดเอ็นดูไม่ได้ อย่างที่เคยคิดไว้ว่ายามเห็นเจเรมีมันทำให้เขานึกถึงตัวเองตอนที่ถูกจับมาใหม่ๆ จึงทำให้เผลอยื่นมือเข้ายุ่มย่ามแม้ว่าตระกูลเมอร์ซีจะมีส่วนทำให้ครอบครัวของเขาต้องพังพินาศก็ตาม

อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ไร้มนุษยธรรมสักเท่าไหร่นักถึงในตอนนี้จะดูเป็นห่วงตัวเองมากกว่าห่วงเจเรมีก็เถอะ
เพราะเป็นห่วงตัวเองมากกว่าห่วงอีกฝ่าย ทำให้คริสต้องวางแผนในการเดินหมากอย่างรัดกุม หากพลาดมันจะหมายถึงชีวิตเขา และเขาก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะเป็นผู้แพ้ด้วย

สายตาเหลือบไปมองยังคนข้างกายที่นอนแผ่หลาอย่างเหนื่อยอ่อนเนื่องจากขาดอาหารและร่างกายยังไม่กลับสู่สภาพปกติอย่างครุ่นคิด

เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับเจเรมี...

มันไม่ใช่การฆ่า แต่เป็นอย่างอื่น ยิ่งเริ่มต้นเร็ว โอกาสในการรอดก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

คิดแล้วก็เหลือบตามองไปยังร่างใหญ่ของชายหนุ่มอีกคนที่นอนแผ่หลาและเข้าสู่ห้วงนิทราอยู่ เจเรมีดูแปลกตาไปกว่าเดิมเล็กน้อยจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ นักโทษทุกคนที่ถูกปล่อยเข้ามาในเกาะนี้จะสวมเสื้อแขนกุดสีเทาและกางเกงยีนเพื่อให้คล่องตัวในการเคลื่อนไหวกว่าการใส่เครื่องแบบนักโทษเทอะทะ แทบจะเป็นครั้งแรกในรอบสองปีเลยทีเดียวที่คริสได้สวมใส่เสื้อผ้าอื่นนอกจากชุดนักโทษ และเจเรมีเองก็ดูดีในชุดพวกนี้มากกว่าเครื่องแบบคนคุกนั่นเป็นไหนๆ

ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่คริสสนใจ เขากำลังลังเลอยู่ต่างหากว่าควรจะบอกอีกฝ่ายไหมว่าตนมีแผนการอะไรในใจอยู่

...ลังเลอยู่นานเลยทีเดียว กระทั่งสีของท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน เจเรมีรู้สึกตัวตื่นถึงได้เอ่ยทักเมื่อเห็นว่าตัวเองถูกจ้องอย่างไม่ละสายตา

“มีอะไร”
คริสรู้สึกตัวในตอนนี้ พลันส่ายหน้า “ไม่มี”

ตัดสินใจไม่บอกไปเสียอย่างนั้นทั้งที่มีโอกาส ปล่อยให้เจเรมีได้ว่าเสียงขุ่น
“ถ้าไม่มีก็หยุดจ้องฉันสักที มันน่ารำคาญ จ้องอย่างกับไม่เคยเห็น”

คงจะรู้ตัวมาสักพักแล้วว่าตกเป็นเป้าสายตาถึงได้พูดแบบนั้น
“ขอโทษที” คริสเอ่ยเสียงเบา แล้วก็ไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก
ท่าทางเคร่งเครียดของอีกฝ่ายทำให้เจเรมีอดสงสัยไม่ได้
“เป็นบ้าอะไรของนาย”

คริสไม่ตอบ เพียงแต่หันไปมองแล้วก็ลอบถอนหายใจ ปล่อยให้เจเรมีได้ถามซ้ำขึ้นมาอีก
“ฉันถามว่าเป็นเวรอะไร ไม่ได้ยินหรือไง”
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ” ยอมบอกออกไปแล้ว
หัวคิ้วของเจเรมีย่นยู่ฉับพลัน ร้องถามออกไปอีกครั้ง “เรื่อง?”

ความจริงเจเรมีก็ไม่ได้อยากจะรู้นักหรอก แต่ด้วยความที่สนิทสนมกับคริสมากกว่าเดิมมันทำให้ถามออกไปโดยไม่รู้ตัว
คริสขยับตัวเข้ามาใกล้ ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ขณะที่ฟ้ามืดขึ้นเรื่อยๆ จนมองบรรยากาศรอบถ้ำไม่เห็น คนข้างกายอดแปลกใจไม่ได้เลยว่าวันนี้คริสดูแปลกไป อาจจะเป็นเพราะความเครียดที่ตัวเองถูกลากเข้ามาในเกมนี้โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็เป็นได้ถึงได้มีท่าทางอย่างนั้น

มันก็น่าเครียดอยู่หรอกนะ กินๆ นอนๆ อยู่ในคุกดีๆ จู่ๆ ก็ถูกลากมาเสี่ยงตายเสียอย่างนั้น

คิดว่าเป็นสีสันของชีวิตก็แล้วกัน อยู่ในคุกนานๆ มันน่าเบื่อ...

เจเรมีอยากจะพูดอย่างนี้ แต่ไม่รู้อะไรที่ทำให้เขาไม่เปิดปากออกไป อาจเป็นเพราะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าที่คริสต้องมาอยู่ในถ้ำโกโรโกเสกับเขาอย่างนี้เป็นเพราะเขาตัดสินใจเข้าร่วมเกมนรกนี่ คริสถึงได้พ่วงมาด้วย แต่นั่นก็เป็นเพราะการตัดสินใจของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพราะเขาโดยตรงสักหน่อย จะมาโทษเขาว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมันก็ไม่ได้

ทว่าเจเรมีกลับคิดผิดไปเสียหน่อยเพราะคริสไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องนั้นเสียทีเดียว หากแต่เป็นเรื่องนี้ต่างหาก

“ฉันไม่อยากสู้กับนายเลย” จู่ๆ คริสก็พูดขึ้น ทำเอาเจเรมีต้องหันไปมองคนข้างกายท่ามกลางความมืด

ถูกต้องแล้ว เรื่องนี้แหละที่ทำให้คริสใช้เวลาคิดทบทวนตามลำพังอยู่นาน

“หมายความว่าอะไร” การที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เจเรมีต้องเปิดปากถาม
“หมายความว่าฉันไม่อยากสู้กับนายไง” คริสว่าขึ้นอีกครั้ง

เดาได้เลยว่าใบหน้าของคนฟังย่นยู่ไปหมดแล้วในตอนนี้ ไม่เข้าใจสิ่งที่คริสพูดสักเท่าไหร่ แต่ก็สังหรณ์ใจไม่ดีนัก รับรู้ได้แล้วว่าที่คริสเอาแต่ทำหน้าเครียดมันเป็นเพราะอะไร แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเขาไม่ไว้ใจผู้ชายคนนี้ขึ้นมาฉับพลัน

“อธิบายมา ถ้าพูดไม่เข้าหู ฉันจะเอาชะแลงงัดปากนาย”
คริสกะไว้อยู่แล้วว่าเจเรมีต้องไม่เข้าใจทั้งที่เป็นเรื่องง่าย

เขาหมายความตรงตัว...

ไม่อยากสู้ แปลว่าไม่อยากสู้
ไม่อยากสู้ แปลว่าถ้าเขาสู้ เขาจะต้องทำร้ายเจเรมีซึ่งเขาไม่อยากทำ
ไม่อยากสู้ แปลว่าเจเรมีจะต้องร่วมมือกับเขาในการเอาชีวิตรอดออกจากเกาะแห่งนี้

ด้วยการ...

“เป็นของฉันซะเจเรมี แล้วฉันจะปกป้องนายเอง”
พูดสิ่งที่คิดไว้ก่อนหน้าออกไปแล้ว

ส่วนเจเรมี ได้ยินแล้วก็ร้อนวาบไปทั่วร่างกาย ไม่ใช่เพราะความเขินอาย หากแต่เป็นเพราะความโกรธ

คนที่เขาไว้ใจที่สุดในเวลาอย่างนี้และมั่นใจว่าจะไม่ทำร้ายเขาพูดอย่างนี้ออกมาได้อย่างไรกัน!

เจเรมีรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง อุตส่าห์หลงไว้ใจอยู่พักหนึ่งว่าคริสจะไม่ทำอะไรแบบนี้กับเขา พลันมือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นทันที

“พูดเวรอะไรของนาย” ฟันกรามที่ขบกันแน่นก่อนหน้าคลายตัวออกจากกัน ปล่อยให้น้ำเสียงขุ่นๆ ดังออกปาก
คริสสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะพูดออกไปอีกที
“ฉันมาคิดดูแล้ว ถ้านายอยากจะรอดจนกว่าจะเป็นผู้ชนะของเกม เราต้องร่วมมือกัน นายต้องทำให้ฉันรู้สึกว่าอยากปกป้องนายจริงๆ ในฐานะที่นายเป็นคนของฉัน”
ในที่สุดก็บอกออกไปแต่ไม่ทั้งหมด เขาไม่ได้พูดว่าที่จริงแล้วก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาเองด้วย เพราะแค่นี้ก็ทำให้เจเรมีเดือดดาลจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่แล้ว

ร่างใหญ่ดันตัวขึ้น ปากร้องโวยวายอย่างรวดเร็ว
“นายมันทุเรศสิ้นดีเลย ใครมันจะไปยอมนอนถ่าง...เฮ้ย!”

พูดยังไม่ทันจบแท้ๆ เจเรมีก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมากระแทกเข้าที่หน้าอกและกดให้เขาทิ้งตัวลงนอนดังเดิม ได้สติก็รู้ได้ว่ามันคือร่างของคริสที่ลุกขึ้นมาคร่อมเขาเอาไว้ แสงจากดวงจันทร์ที่เล็ดลอดเข้ามาในถ้ำพอจะทำให้เห็นเงาตะคุ่มนั้นก่อนที่เจเรมีจะออกแรงขัดขืน หากแต่ก็ถูกคริสตรึงเอาไว้จนแทบจะกระดิกตัวไม่ได้

“ถ้าอยากจะรอดออกไปทั้งคู่ เราจำเป็นต้องทำแบบนี้ เป็นของฉันซะเจเรมี มันสะดวกใจกว่าถ้าฉันจะต้องปกป้องนายด้วยชีวิตของฉัน”
แล้วมันต้องแลกด้วยการยอมถ่างขาให้นายกระแทกไอ้จ้อนเข้ามาน่ะเหรอ!? ฝันไปหน่อยแล้ว!
“ถอยออกไปก่อนที่ฉันจะฆ่านาย!”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับข้อเสนอ เจเรมีดิ้นขลุกขลักอย่างสุดความสามารถ ทว่าก็เป็นเพียงเรี่ยวแรงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับตอนที่ร่างกายเขาสมบูรณ์ดี

ความเจ็บปวดจากบาดแผลการถูกทำร้ายที่ได้รับทำให้เขาอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด เขาถูกทำร้ายให้อ่อนกำลังลงคงเพื่อการนี้
เพื่อให้เกมทุเรศนี่มันสนุกขึ้น!

ก็รู้...แต่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ และไม่คิดด้วยว่าคนที่ริเริ่มจะเป็นคริส

หักหลังกันอย่างนี้ได้ไง!?

หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.12[100% UPDATE][1/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 03-03-2017 11:13:07
Episode 13: สัญชาตญาณดิบบ[2]

“ถอยไปคริส ไม่อย่างนั้นฉันฆ่านายแน่...” ทั้งโกรธ ทั้งแค้น ดิ้นสุดแรงแต่ก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยคริสมีกำลังมากกว่าจึงทำเพียงร้องขู่

คริสเองก็ไม่อยากทำนักหรอก แต่มันจำเป็น ถ้าหากเขาไม่ทำ อัลฟ่าคนอื่นก็ต้องทำ สู้ให้เจเรมีเป็นของเขา เขายังจะพอสบายใจว่าเจเรมีจะปลอดภัยได้

อย่างน้อยก็มั่นใจว่าเขาไม่ทำอะไรรุนแรงกับเจเรมีต่อให้มีอาการฮีท แต่กับอัลฟ่าคนอื่นไม่มีอะไรรับประกันทั้งนั้น และมันก็เป็นผลดีกับเขาในหลายๆ เรื่องอย่างที่คิดไว้ในตอนแรกด้วย

“ขอร้องล่ะเจมี เชื่อใจฉันสักครั้ง เราจะได้รอดทั้งคู่” คริสพยายามเกลี้ยกล่อมให้เจเรมีคล้อยตาม เรียกชื่อเล่นออกมาอีกคล้ายกับสนิทสนมกันมานานนม

ได้ยินแล้วเจเรมีก็ขมวดคิ้วหนัก “อย่ามาเรียกฉันอย่างนี้ไอ้ทุเรศ!”

นึกขยะแขยงคนอย่างคริสขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว

ภายนอกดูเป็นสุภาพบุรุษ แต่ลึกๆ แล้วเป็นไอ้สวะที่เห็นแก่ตัว เจเรมีเดาเอาว่าคริสคงจะต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดถึงได้ตัดสินใจทำอย่างนี้

สัญชาตญาณดิบของคริสถูกปลุกขึ้นมาแล้วล่ะสินะ!

ในเกมที่มีชีวิตเป็นเดิมพันอย่างนี้ มันไม่แปลกหรอกถ้าหากความก้าวร้าวของมนุษย์จะปรากฏออกมาให้เห็น มันเป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดตามธรรมชาติ

หากไม่ถูกล่าก็ต้องล่า... และคริสก็กำลังทำตัวเป็นผู้ล่า ไม่ต่างอะไรจากอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่ต้องการมีชีวิตรอดเป็นคนสุดท้ายเหมือนกัน

“สวะอย่างนายนี่มัน...ทุเรศเอ๊ย!” เจเรมีอดใจที่จะไม่ก่นด่าไว้ไม่ไหว เขาไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบริภาษคนบนกายตัวเองได้อีกแล้ว

คริสไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย จะว่าเป็นไอ้ทุเรศอย่างที่เจเรมีด่าก็ไม่ผิดนัก เขากำลังคิดจะขืนใจเจเรมี แต่มันก็จำเป็นต้องทำ และเขาสาบานได้เลยว่าเขาไม่หักหาญน้ำใจเจเรมีแน่นอน แค่จะทำให้เคลิ้มและยอมปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเท่านั้น
ขอแค่ให้เจเรมีมีอาการฮีท แค่นั้นทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น

“ขอโทษที่ทำแบบนี้ แต่เพื่อประโยชน์ของเราทั้งคู่ มันจำเป็น”
ในที่สุดก็ยอมรับว่าทุกอย่างเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ สิ้นเสียง คริสก็โน้มใบหน้าลงประทับจูบที่ต้นคอ เลี่ยงที่จะไปจุมพิตที่ริมฝีปาก เชื่อได้เลยว่าถ้าหากจูบจะต้องถูกเจเรมีกัดลิ้นขาดแน่ ไปกระตุ้นเร้าที่อื่นแทนจะยังได้ผลกว่า
สัมผัสนุ่มนวลที่แตะลงมาทำให้เจเรมีขืนตัวเกร็ง ปากร้องโวยวายทันควัน

“ไอ้เวรคริส! ถอยออกไป!” รู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ก็ร้องห้ามระคนสั่งแทน
แต่อะไรจะหยุดคริสในเวลานี้ได้ รางวัลของผู้ชนะ เขาก็อยากได้เช่นกัน

...อยากได้อิสระ อยากได้ความยุติธรรมคืนให้ครอบครัว มันจำเป็นต้องทำ

คริสจำต้องฝืนใจกระทำอย่างนั้นแม้จะถูกร้องห้าม ความเป็นสุภาพบุรุษมลายหายไปหมดเมื่อเขาค่อยๆ พรมจูบต่ำลงมายังไหปลาร้า มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้เสื้อ ลูบหน้าท้องที่เป็นไปด้วยมัดกล้ามของเจเรมีเพื่อที่จะส่งปลายนิ้วไปหยอกเย้าตุ่มไตเล็กๆ บนหน้าอก

เพียงแค่สะกิดแผ่วเบา เม็ดเล็กๆ นั่นก็ชูชันขึ้นมาแล้ว เจเรมีแอ่นตัวสะท้าน เขาไม่อยากจะตอบสนองต่อการสัมผัสนี่เลยทว่าก็ไม่อาจห้ามร่างกายของตัวเองได้ ยิ่งถูกคริสใช้ริมฝีปากขบกัดผ่านเนื้อผ้าลงไป ยอดอกก็ตอบรับการสัมผัสมากขึ้นกว่าเดิม
ริมฝีปากของเจเรมีเม้มตรงทันทีที่รู้สึกว่าร่างกายเริ่มร้อนผะผ่าวขึ้นมา กลิ่นหอมของคริสลอยโชย รู้ตัวทันทีว่าเริ่มมีอาการฮีทแล้ว แม้จะไม่ใช่ช่วงฤดูผสมพันธุ์ แต่มันก็เกิดขึ้นได้เมื่ออยู่ใกล้ชิดกับคู่แห่งโชคชะตา

มากขึ้นทบทวีเมื่อคริสสอดมือเข้าไปลูบคลึงแก่นกายความเป็นชายใต้กางเกงยีนของเขา ความร้อนผ่าวพรั่งพรูออกมาจนไม่รู้แน่ชัดว่ามันมาจากฝ่ามือของคริสหรืออวัยวะแกนกลางของเขากันแน่ ส่วนปลายเฉอะแฉะไปด้วยของเหลวสีใส

มันมาแล้ว... อาการกำหนัดมันเริ่มขึ้นแล้ว

และมากขึ้นไปอีกเมื่อคริสถลกเสื้อของเจเรมีขึ้นเหนือหน้าอก บรรจงจูบไปตามลอนกล้ามหน้าท้อง สลับขึ้นไปที่ยอดอก ดุนดันหยอกเย้ากระตุ้นอารมณ์ให้เจเรมีครางกระเส่าออกมา จากนั้นจึงไล้ปลายลิ้นลงต่ำไปยังช่วงล่าง ใช้ริมฝีปากจูบลงบนยอดอ่อนไหวนั่นอย่างแผ่วเบาก่อนจะกลืนกินมันเข้าไป

ความร้อนจากโพรงปากอัลฟ่าหนุ่มทำให้เจเรมียกสะโพกขึ้นสูง หายใจออกมาอย่างไม่เป็นจังหวะ

ไม่...จะต้องไม่ถูกคริสชักจูงไปอย่างนั้น

พยายามจะห้ามตัวเองแล้วแต่ทำไม่ได้เลย ตอนนี้เขาเองก็เริ่มปล่อยกลิ่นฟีโรโมนออกมาแล้วเช่นกัน คริสได้กลิ่นก็ยิ่งทวีความรุนแรงในการกลืนกินมากขึ้นไปอีก

สัญชาตญาณดิบเริ่มทำงานมากกว่าเดิม ความก้าวร้าวผลักดันให้แรงขับทางเพศตื่นขึ้น...
กระตุ้นเร้า ปลุกปั่น มอมเมาจนเจเรมีปลดปล่อยความอัดอั้นออกมาทั้งที่ไม่ได้เต็มใจอย่างไม่อาจห้าม กลิ่นฟีโรโมนคละคลุ้งมากยิ่งขึ้นทำให้คริสรับทุกหยาดหยดเข้าไปอย่างไม่นึกรังเกียจ

ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นคู่แห่งโชคชะตาของเขา และเขากำลังจะครอบครองอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ไม่รังเกียจ

และการที่เจเรมีได้ปลดปล่อยออกมาอย่างนี้มันก็ดีสำหรับขั้นต่อไป คริสไม่หยุดแค่นั้น เขาถอนโพรงปากออกมาเหยียดตัวขึ้นเพื่อดึงกางเกงออกให้พ้นจากท่อนร่างของเจเรมีก่อนจะจับขาทั้งสองข้างขึ้นตั้งชัน ปลายนิ้วข้างหนึ่งยื่นเข้าไปแตะบริเวณช่องทางคับแคบด้านหลังที่ชุ่มไปด้วยสารหล่อลื่นบางอย่าง

มันเป็นคุณสมบัติพิเศษของชายชาวโอเมก้า... น้ำหล่อลื่นเพื่อการร่วมรัก

ปลายนิ้วเคล้นคลึงถูไถอยู่ภายนอกครู่หนึ่งเพื่อเร้าอารมณ์ของเจเรมีให้ตอบสนองอีกครั้ง ก่อนที่จะค่อยๆ สอดมันเข้าไปด้านในและขยับทีละน้อยเพื่อหาจุดที่จะทำให้อีกฝ่ายสุขสมได้

ทันทีที่ปลายนิ้วแตะเข้าไปที่จุดเต็มไปด้วยความรู้สึก เจเรมีก็ครางกระเส่าออกมาพร้อมกับกระตุกสุดตัวจนแผลฟกช้ำที่ระบมอยู่สร้างความเจ็บปวดให้ร่างกาย หากแต่เขาไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องนั้นแล้ว ตอนนี้แกนกลางที่อ่อนแรงลงไปเมื่อครู่เริ่มแข็งขืนขึ้นมาอีกครั้ง ส่วนปลายไหวระริก มีของเหลวเอ่อคลอให้รู้ว่าพร้อมกับการปลดปล่อยระลอกที่สอง

ทั้งที่สุขสมไปแล้วก็ยังมีอาการอีก... การถูกสัมผัสโดยคู่แห่งโชคชะตาช่างน่าอัศจรรย์

แต่ไม่น่ายินดีนักเมื่อคริสรู้สึกว่าเจเรมีพร้อมจะรับเขาเข้าไปจึงได้ขยับกายเข้ามาหาในสภาพที่ท่อนล่างกึ่งเปลือย

เจเรมีเห็นเงาตะคุ่มก็กลืนน้ำลายเอื้อก เขาควรจะออกปากห้าม ทว่ากลับไม่สามารถต้านทานอารมณ์ของตัวเองได้สักเท่าไหร่นัก ในขณะที่คริสโน้มใบหน้าลงจูบที่หน้าผากคนนอนราบอยู่แผ่วเบา มือข้างที่กอบกุมแกนกายของตัวเองแตะลงบนปากทางช่องทางเล็กๆ นั่นและขยับไปมาเบาๆ เพื่อรอจังหวะจะสอดใส่เข้าไป

“ฉันจะไม่ทำร้ายนาย” กระซิบเสียงเบาคล้ายกับย้ำเตือนว่าเขาหมายความว่าอย่างนั้นทุกครั้งที่พูดประโยคนี้

ทว่าไม่ใช่ในครั้งนี้ คริสกำลังจะทำร้ายเจเรมีโดยไม่รู้ตัว และเจเรมีก็ไม่ได้ไร้สติเสียทีเดียว ถึงจะเป็นฮีทแต่ครั้งนี้มันเกิดจากการถูกกระตุ้นจึงทำให้เขามีสติมากกว่าการเป็นฮีทด้วยตัวเอง

“ที่นายทำอยู่เรียกว่าไม่ทำร้ายหรือไง” แทนที่จะด่ากลับ แต่เป็นการแย้งแทน
“ฉันไม่ได้ทำร้าย แค่จะช่วยให้เรารอด” คริสว่า หากแต่สิ่งที่เขาทำกับสิ่งที่เจเรมีเห็นมันไม่ใช่อย่างเดียวกันเลย
ถ้าเป็นเวลาปกติเขาคงจะฉุกคิดได้ ทว่าตอนนี้กลิ่นหอมจากกายของคนตรงหน้าทำให้เขาขาดสติสัมปชัญญะไปเล็กน้อยแล้ว ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงของเจเรมีอีกครั้ง

“อย่าทำแบบนี้คริส... อย่า”
เสียงแหบพร่าหลุดออกจากริมฝีปากหนา ไม่ได้ก่นด่า แต่เป็นการขอร้องและเป็นครั้งแรกที่เจเรมีวิงวอนใครสักคนอย่างนี้
ถึงจะเป็นคำพูดสั้นๆ แต่ก็ทำให้คริสชะงักได้ทันควัน

“อย่าทำแบบนี้คริส... ถ้านายไม่อยากเสียใจ อย่าทำแบบนี้” เสียงกระเส่าดังมาให้ได้ยินอีกครั้ง

เขาไม่รู้หรอกว่าสีหน้าของเจเรมีในตอนนี้เป็นอย่างไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเจเรมีก็คงจะทนกับความต้องการนี้ไม่ไหวด้วยไม่อาจควบคุมน้ำเสียงได้เลย คริสก็เช่นเดียวกัน เขาแทบทนไม่ไหวอยู่แล้ว อยากจะสอดใส่อวัยวะบ่งบอกความเป็นชายของเขาเข้าไปในตัวของเจเรมีเต็มแก่จนต้องเอ่ยปากขอ
“ไม่ได้เหรอ...”

มันก็ต้องไม่ได้อยู่แล้ว! ถึงเจเรมีจะต้องการมากแค่ไหน แต่มันไม่ได้เกิดจากความเต็มใจ คริสก็ไม่มีสิทธิ์ทำ!

เจเรมีไม่ตอบ มือข้างหนึ่งเลื่อนไปควานหาอาวุธของตัวเอง ก่อนจะคว้าเอาด้ามชะแลงเหล็กที่วางอยู่เหนือศีรษะได้พลันกระชับไว้มั่น กะเอาไว้ว่าถ้าคริสเคลื่อนไหวมากกว่านี้ เขาจะฟาดคนตรงหน้าไม่ยั้ง

“ไม่ได้” พยายามตอบเสียงแข็งที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้รู้ว่าเขาไม่อนุญาต
“นายก็มีอารมณ์ขนาดนี้แล้ว ให้ตายเถอะเจมี...ได้โปรด” เป็นคริสบ้างแล้วที่ขอร้อง

เจเรมีรู้ว่าแก่นกายของตัวเองพร้อมจะปลดปล่อยอีกรอบแค่ไหน ร่างกายก็พร้อมจะยอมรับคริสเข้ามาเต็มแก่ด้วย แต่ถ้าเขาพลาดพลั้งไปตอนนี้มันเท่ากับว่าชีวิตของเขาจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว และเขาจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างนั้น

เรื่องอะไรที่จะต้องอยู่ใต้การควบคุมและเป็นเบี้ยล่างทางเพศให้พวกอัลฟ่าด้วย!

“ถอยออกไปซะ” เจเรมีเปล่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ได้กระเส่ามากนัก มีความหนักแน่นมากกว่า มือกระชับชะแลงเหล็กมากกว่าเดิม

ถ้าหากคริสยังดึงดันล่ะก็ จะไม่มีการเตือนอะไรอีก คนตรงหน้าเขาได้กลายเป็นศพ หมดสิทธิ์เป็นผู้ชนะในเกมนี้อย่างแน่นอน
คริสฟังแล้วก็กัดริมฝีปาก ใจอยากจะใช้ความกักขฬะข่มเหงเจเรมีเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่สุดท้ายก็ยอมที่จะขยับสะโพกถอยออกห่าง เลื่อนใบหน้าลงไปซุกที่ซอกคอ พร่ำบอกเสียงพร่า

“ขอโทษ” จากนั้นก็จูบเข้าที่ลำคอแกร่งเบาๆ “ฉันจะไม่เร่งรัดนายก็แล้วกัน”

ยอมเชื่อฟัง แต่ไม่ได้ถอดใจ จากนั้นก็ผละออกไปสวมเสื้อผ้า คว้าอาวุธแล้วออกไปยืนสงบสติอารมณ์นอกถ้ำ ปล่อยให้เจเรมีพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรงด้วยความโล่งใจที่รอดจากวิกฤตการณ์เมื่อครู่มาได้ ขณะเดียวกันก็โมโหขึ้นมาจนตัวสั่นเทิ้ม

แผนการหาทางรอดไปทั้งคู่ที่วางไว้ด้วยกันในตอนแรกเปลี่ยนไปในเสี้ยววินาที เจเรมีไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งอัลฟ่าเพื่อเอาตัวรอด โอเมก้าอย่างเขายังมีหนทางที่จะชนะอยู่อีกวิธี

ฆ่าให้หมดเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ...

เปลี่ยนใจแล้ว จากเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ตอนนี้คริสกลายเป็นศัตรูเป็นที่เรียบร้อย

สบโอกาสเมื่อไหร่ พ่อจะฟาดให้เละยิ่งกว่าอาหารหมาเลย ไอ้ทุเรศคริส!
--------------------------------
ใครรอให้เขาได้กันอยู่ บอกได้เลย...ว้าย นก! #โดนตบ 555
ใจเย็นๆ ค่ะซิส เดี๋ยวเขาก็ได้กัน รอก๊อนนน XD

ตอนแรกตั้งใจว่าจะอัพตั้งแต่เมื่อคืนแต่ดันเผลอหลับค่ะ โต้รุ่งมาหลายวันจัด ร่างกายชักไม่ไหว
ตอนนี้ขุ่นคริสเริ่มเผยธาตุแท้น้อยๆ ทีมขุ่นคริสจะเปลี่ยนข้างมาทีมเจมีกันมั้ย ฮา
ฝากฟีดแบ็กให้ด้วยนะคะ เดี๋ยวเย็นนี้จะมาอัพตัวอย่างตอนต่อไปให้ค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.13[100% UPDATE][3/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 03-03-2017 12:25:26
ลุ้นมากกกกกกกกกกกกกกกกกก :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.13[100% UPDATE][3/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kamidere ที่ 03-03-2017 12:33:38
ทำไมเจเรมี่น่ารำคาญ หยุดฟังคนอื่นเค้าซะบ้างเถอะแล้วก็คิดเยอะๆหน่อย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.13[100% UPDATE][3/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 03-03-2017 13:43:21
เราเข้าใจเจเรมี่นะ เจเรมี่ที่มีความคิดตรงไปตรงมา พอเจอแบบนี้เลยรับไม่ได้ ยิ่งคิดว่า คริสเป็นพวกเดียวกันแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกโดนหักหลังเข้าไปใหญ่ แต่เจเรมี่ก็ลืมคิดไปว่า ทุกๆ คนเขาล้วนแต่มีความเห็นแก่ตัว รักตัว กลัวตายทั้งนั้น ยิ่งคริสและเจเรมี่ไม่ได้เป็นอะไรกันการที่คริสจะต้องมาทุ่มตัวแบบ 100% ยิ่งเป็นเรื่องที่เจมี่ไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธคริสเลยหากคริสจะไม่ทุ่มตัวกับเจมี่ แต่คนอ่านแบบเราๆ ก็หวังกันทั้งนั้นว่า เค้าจะดองกันไวๆ 555+ จะได้มีโมเม้นละมุนกับคนอื่นเขาบ้าง +เป็ด ค่ะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.13[100% UPDATE][3/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 03-03-2017 14:27:15
 :a5: :z6: ยังจะเล่นตัวอีก!!! เอ้ยยยย ไม่ใช่5555  คริสอุส่าจะช่วย ทำไมถึงต้องหัวรั้นล่ะจ้ะ เจเรมี่ :hao3: บางทีก็อย่าลืมสิคริสเขาช่วยมาตั้งกี่ครั้งแล้ว ทำไมไม่เห็นคริสบ้างงงง  :katai1: นังนี่มันจะดื้อไปแล้วนะ เด้ววั่งให้พี่คริสเล่นบทจำเลยรักเลย :oo1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.13[100% UPDATE][3/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 03-03-2017 18:08:10
รู้สึกมาตลอดตั้งแต่พี่คริสปรากฏตัวครั้งแรกว่า เขาใจดีกับเจมี่

และทุก ๆ ครั้งที่ปฏิสัมพันธ์กับเจมี่ก็ใจดีเสมอ แม้ว่าบางทีจะมาจากการได้ประโยชน์ด้วยก็ตามที

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน หากจะหักหาญน้ำใจก็ย่อมได้ เพราะสภาพร่างกายเจมี่ไม่พร้อมต่อกรอยู่แล้ว

และขอปรบมือรัว ๆ ให้กับนักเขียนที่ไม่ทำให้การขืนใจเป็นเรื่องเล็กน้อย

แม้จะแค่การสัมผัสภายนอก แม้ร่างกายจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการกระตุ้น แต่ถ้าจิตใจไม่ยินยอม การฝืนใจก็คือข่มขืนอยู่ดี

#ทีมคริส

นะ...จะได้เมียแซ่บต้องอดทนนกไปก่อนนะพี่คริส
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.13[100% UPDATE][3/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 03-03-2017 21:50:49
ถึงกับหวีดออกมา โอ๊ยยยย
ชีวิตนายสองคนนี่คน...เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.13[100% UPDATE][3/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 04-03-2017 00:16:32
นกตัวใหญ่มากค่ะคุณคริส  :hao5:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.13[100% UPDATE][3/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 04-03-2017 02:01:23
เกิดเป็นคริสยี่ลำบากจริงๆ จะมีสักครั้งไหมที่คริสจะได้จิ้มเจมี่เนี่ย ถถถถถถ น้องเจมีก็เชื่อฟังพี่เค้าบ้างสิ ร่วมมือร่วมใจกันไง อิอิ  :m4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.13[100% UPDATE][3/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 04-03-2017 20:28:13
Episode 14: การกลับมาของจอมวายร้าย

ทันทีที่ลุกขึ้นได้ในเช้าวันใหม่ เจเรมีก็ไม่รอช้าที่จะประเคนหมัดใส่ซีกหน้าของคริสเต็มแรงเป็นการเอาคืนที่เมื่อวานล่วงล้ำร่างกายเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต

หากคริสจะสวนคืนก็ย่อมได้ แต่เขากลับยืนรับหมัดหนักๆ นั่นจากชายหนุ่มผมบลอนด์ด้วยคิดไตร่ตรองมาทั้งคืนแล้วว่าการกระทำของเขามันผิดจริง จะรักตัวกลัวตายแค่ไหน หรือจะอ้างว่ามันเป็นสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดตามธรรมชาติของมนุษย์อย่างไรมันก็ฟังไม่ขึ้น

ฟังไม่ขึ้นสำหรับคนที่เกือบจะเป็นอาชญากรคดีข่มขืน...

ถามว่ารู้สึกผิดไหม แน่นอนว่าคริสต้องรู้สึกผิดและละอายแก่ใจที่คิดอะไรตื้นๆ ทำอะไรลงไปโดยไม่ถามความสมัครใจของเจเรมีก่อน แต่เขาก็ยังยืนยันความคิดของตัวเองอย่างแน่วแน่ว่าถ้าอยากจะรอดออกไปจากนรกแห่งนี้ด้วยกัน เขากับเจเรมีจะต้องเป็นของกันและกัน มันไม่มีทางเลือก ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเจเรมีไม่ได้อยากจะรอดชีวิตไปพร้อมกับเขาแล้ว น่าจะตัดสินใจฆ่าทุกคนแล้วเอาตัวรอดไปคนเดียวมากกว่าเพราะหลังจากปล่อยหมัดกระแทกใบหน้าหล่อเหลาของคู่แห่งโชคชะตาได้หมัดหนึ่ง ชะแลงในมือก็เตรียมพร้อมจะทุบกะโหลกของคริสให้แหลกเหลวในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า ทำให้คริสต้องรีบหนีเอาตัวรอดมาก่อน

ไม่... ไม่เรียกว่าหนีเอาตัวรอด ต้องบอกว่าหนีไปตั้งหลัก

ในภาวะที่เจเรมีมีอารมณ์เดือดดาลและบ้าคลั่งราวกับพายุอย่างนี้ เขาไม่ควรไปต่อกรด้วย นั่นดูจะเป็นวิธีที่ฉลาดกว่าการพยายามอธิบายหรือต่อสู้ด้วยเป็นไหนๆ

คริสที่ว่าเก่งกาจเรื่องการต่อสู้แล้ว เรื่องหนีก็เก่งกาจไม่แพ้กัน ทำเอาเจเรมีที่จ้องจะฆ่าอีกฝ่ายเป็นคนแรกเพื่อเปิดประเดิมเกมชีวิตถึงกับสบถหยาบคายลั่นเกาะด้วยแค้นใจที่วิ่งตามอีกฝ่ายมาไม่ทัน

ความจริงก็ไม่ใช่ว่าไม่ทัน วิ่งตามมาติดๆ เพียงแต่เผลอแวบเดียว คริสก็หายไปจากสายตาแล้ว

วิ่งไวฉิบ!

โอเมก้าหนุ่มรำพันในใจ

คริส ฟ็อกซ์...หัวไว มือไว เท้าก็ไว ผู้ชายคนนั้นเอาตัวรอดเป็นยอดดีจริงๆ

ตามคริสไม่ทัน มันไม่ใช่ปัญหา มีแค่ปัญหาทางอารมณ์เล็กน้อยที่ทำให้เจเรมีหัวเสียเพราะจัดการกับคนที่หยามศักดิ์ศรีเขาไม่ได้ ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือถ้ำที่เขาอยู่กับคริสมันอยู่ไม่ได้แล้ว

ไม่ใช่ว่าเป็นที่พักพิงที่ไม่ดี มันดี แต่ไม่ปลอดภัย คริสอาจจะกลับมาเล่นงานเขาเมื่อไหร่ก็ได้หากยังอยู่ที่นั่น เจเรมีจึงตัดสินใจที่จะหาที่ซุกหัวนอนใหม่ แต่ก่อนที่จะหาที่นอน เขาต้องหาอะไรมายาไส้ก่อน กว่าสองวันแล้วที่ไม่มีอาหารตกถึงท้อง มีเพียงน้ำจากเถาวัลย์น้ำในถ้ำหล่อเลี้ยงร่างกายเท่านั้น ฉะนั้นไม่ต้องบอกเลยว่าตอนนี้เขาอ่อนแรงขนาดไหน

ร่างใหญ่เดินเลาะไปตามข้างทางที่รกชัฏอย่างระแวดระวัง เลี่ยงที่จะเดินบนถนนสายหลักด้วยไม่ต้องการตกเป็นเป้าหมายของพวกอัลฟ่า จุดหมายปลายทางคืออาคารที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล

อาคารพวกนี้มีอยู่หลายอาคารและกระจัดกระจายทั่วทั้งเกาะ คาดว่าน่าจะเป็นอาคารเอาไว้คุมขังนักโทษรอประหารหรือเป็นที่สำหรับทรมานนักโทษ แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่าภายในนั้นมีอาหารหรือไม่

เจเรมีเดาว่าน่าจะมี แต่มันก็เสี่ยงน่าดูที่จะเข้าไปข้างใน เดาว่าคนอื่นๆ ก็น่าจะแฝงตัวอยู่ตามอาคารพวกนี้เพื่อหาอาหารมาประทังชีวิตเหมือนกัน

ทว่าก็ต้องเสี่ยง เขาไม่ยอมตายเพราะอดอาหารหรอก!

เจเรมีเข้ามาในอาคารได้อย่างราบรื่น เขาสอดส่ายสายตากวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาความผิดปกติ มันเป็นอาคารสำหรับคุมขังนักโทษประหารอย่างที่เขาคิดในตอนแรกด้วยเห็นว่าบริเวณด้านในสุดมีการกั้นลูกกรงอย่างแน่นหนาซึ่งเหมือนจะเป็นทางผ่านเข้าไปยังห้องขัง แต่เขาไม่พาตัวเองไปยังบริเวณนั้น เดินสำรวจชั้นล่างเพื่อหาว่าแหล่งอาหารอยู่ที่ไหน

ที่แรกที่เขาจะไปคือห้องครัว... ก่อนจะมาพบกับห้องพักเจ้าหน้าที่ที่แบ่งออกเป็นส่วนสำหรับทำงานเอกสารและส่วนสำหรับพักผ่อน

จะเรียกว่าห้องอะไรก็เอาเถอะ แต่เขาเรียกมันว่าห้องครัวด้วยเห็นว่าภายในนั้นมีเคาน์เตอร์สำหรับทำอาหารอย่างง่ายตั้งอยู่
ขาทั้งสองก้าวไปยังเคาน์เตอร์ชั้น เปิดประตูตู้และชั้นทั้งหมดที่มีก่อนจะขนเอาอาหารกระป๋องออกมาตั้งไว้บนพื้นและทรุดตัวนั่งลงจัดการกับของกินเหล่านั้นอย่างหิวโหย

สภาพกระป๋องยังใหม่ แต่หมดอายุแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทว่าเจเรมีก็ไม่มีเวลามาคิดอะไรเรื่องนั้นแล้ว ตอนนี้เขาต้องกินเพื่อให้มีชีวิตรอด อย่างน้อยก็จนกว่าจะฆ่าผู้ชายที่ชื่อคริสได้

กินจนเกือบจะอิ่ม ร่างกายก็พลันมีเรี่ยวแรงขึ้นมา แม้จะเป็นอาหารกระป๋องรสชาติไม่ได้เรื่อง แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ท้องกิ่วไร้เรี่ยวแรงจนไม่อาจไปต่อกรกับใครได้เพราะตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป เขาจะต้องสู้ด้วยตัวเองแล้ว

พอคิดว่าต้องสู้ด้วยตัวเอง ความรู้สึกประหลาดก็พร่างพรายขึ้นมาในใจ มันปวดหน่วงทุกครั้งที่นึกถึงภาพใบหน้าของผู้ชายที่เข้าร่วมเกมนี้พร้อมกับเขาด้วยเหตุผลว่าจะไม่ทิ้งให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความเลวร้ายเพียงลำพัง คำสัญญาที่อีกฝ่ายเคยบอกว่าจะรอดชีวิตออกจากที่นี่ไปด้วยกัน มันทำให้เจเรมีต้องกระแทกกระป๋องถั่วที่อยู่ในมือลงบนพื้นเต็มแรง

ไอ้เวรคริส...

ไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดอย่างนี้มาก่อน เขาเจ็บใจไม่น้อยที่ถูกหักหลัง มากกว่านั้นคือโกรธตัวเองที่ไปไว้ใจคนกลับกลอกอย่างคริสได้
กว่าจะเชื่อใจได้ก็ใช้เวลาไปเสียนาน แต่แค่ไม่กี่นาที คริสก็ทำลายทุกความเชื่อใจของเขาลงหมดเสียอย่างนั้น

ที่เข้ามาร่วมเกม ที่ทำดีกับเขา ก็เพราะผลประโยชน์ของตัวเองล่ะสินะ!

เจเรมีตระหนักได้ในตอนนี้ เขาอดก่นด่าตัวเองไม่ได้เลยว่าโง่เง่าที่ไปเชื่อคริส หากแต่ก็ต้องละความคิดนั้นทิ้งไปเมื่อหูทั้งสองข้างได้ยินเสียงกรีดร้องของใครบางคนดังมาให้ได้ยิน

“อย่า! ขอร้อง... อย่าทำผม! อย่า!”
จับใจความได้ว่าอย่างนั้น

เจเรมีเดาเอาว่าคงจะเป็นเสียงของโอเมก้าสักคนที่วิงวอนต่ออัลฟ่าที่พยายามจะครอบครองตัวเอง ก่อนที่เขาจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน คว้ากระป๋องถั่วขึ้นมาตั้งท่าจะกินต่อ แต่แล้วก็ต้องชะงักไปอีกระลอก

“ขอร้องเถอะครับ อย่าทำผม!”
“หุบปาก!”

แล้วก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังมาอีกระลอกใหญ่ ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ระคนวิงวอนของผู้ชายอีกคน

ดูท่าจะต่อสู้กัน...หรือไม่อย่างนั้นโอเมก้าก็กำลังถูกอัลฟ่าทำร้ายร่างกายอยู่

เจเรมีหมดอารมณ์จะกินต่อแล้ว เขาอยากจะลุกขึ้นไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยั้งตัวเองไว้ด้วยคิดได้ว่าเขาไม่ควรไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ทว่าเสียงกรีดร้องขอชีวิตยังคงดังมาให้ได้ยินเรื่อยๆ จนเจเรมีชักจะทนไม่ไหว ปกติเขาก็ไม่เห็นด้วยกับการกดขี่ข่มเหงโอเมก้าอยู่แล้ว และมักทนดูไม่ได้เวลาเห็นโอเมก้าถูกกลั่นแกล้ง ซึ่งพอมาเจอสถานการณ์อย่างนี้มันจึงเป็นการยากเลยทีเดียวที่เขาจะอยู่เฉยๆ พลันสบถหยาบคายด้วยรำคาญใจเต็มประดา

ไอ้พวกอัลฟ่าพวกนี้แหกนรกมาเกิดกันหรือไง!

กะจะกินอาหารให้เปรมแล้วพักผ่อนเอาแรงสักงีบแท้ๆ ดันต้องมาเจอเรื่องวุ่นวายให้เขาอยู่ไม่สุขจนได้ ก่อนที่เขาจะคว้าชะแลงเหล็กมาถือในมือมั่น ดันตัวลุกขึ้นยืนและก้าวออกจากห้องครัวอย่างระมัดระวัง

เสียงร้องนั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อม แค่เดินออกมายังโถงทางเดินก็ได้ยินเสียงเต็มสองหู ยิ่งเดินไปข้างหน้า ยิ่งได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นทีละน้อย

มันเป็นเสียงของเด็กหนุ่ม... เขาค่อนข้างคุ้นหูอยู่ทีเดียว เอะใจขึ้นมาว่าอาจจะเป็นเสียงของโอเมก้าที่เขารู้จัก
“ขอร้อง...ฮือ...อย่าทำผม...อย่า...”

เสียงนั้นยังคงลอยมาให้ได้ยินเป็นระยะ มันคุ้นหูเสียจนเขาอดคิดถึงใบหน้าของใครบางคนขึ้นมาไม่ได้

ลูก้า... โอเมก้าคนนั้น

อาจจะเป็นเสียงของหมอนั่นก็ได้

พอคิดว่าเป็นลูกก้า เจเรมีก็เพิ่มความเร็วในการก้าวเท้ามากขึ้น ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ ตั้งหลักเล็กน้อยก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปมอง พลันเห็นว่าในนั้นมีอัลฟ่าคนหนึ่งกำลังคร่อมร่างของใครบางคนในสภาพเกือบเปลือย ดูท่าทางก็รู้ว่าอีกฝ่ายพยายามจะขืนใจใครบางคนอยู่ และใครคนนั้นมีรูปร่างคุ้นตา หน้าตาก็คุ้นเคย พอเพ่งมองดีๆ ถึงเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน

ลูก้าจริงๆ ด้วย!

เขาต้องช่วยเด็กนั่น!

สัญชาตญาณบอกให้เขาทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ขาทั้งสองข้างจะรีบก้าวเข้าไปหาอัลฟ่าคนนั้นด้วยความเร็วแสง และตวัดชะแลงเหล็กในมือฟาดเข้าที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายเต็มแรงจนลงไปนอนคุดคู้อยู่บนพื้นโดยไม่ทันได้คิดอะไรมากมาย

แรงกระแทกที่ปะทะเข้ามาเต็มแรงทำให้อัลฟ่าคนนั้นกลิ้งลงไปนอนคุดคู้กับพื้น เจเรมีสบถเล็กน้อยด้วยเขาพลาดเป้าไปหน่อย ตอนแรกเล็งที่ศีรษะแต่อีกฝ่ายไหวตัวทัน ทว่าถูกฟาดเข้าที่หลังเต็มแรงขนาดนั้นก็คงจะสร้างความเจ็บปวดได้ไม่น้อยทีเดียว

“ทำเวรอะไรของแกวะ!”

ตั้งหลักได้ อัลฟ่าคนนั้นก็แผดเสียงใส่เจเรมี ขณะที่เจเรมีพยักหน้าเรียกให้ลูก้าในสภาพท่อนล่างเปล่าเปลือยรีบลุกขึ้นแล้วมาหลบทางด้านหลังเขา ก่อนจะแสยะยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างถือดี

“ดูเหมือนแกจะติดสัดนะ” ตามด้วยการดูถูกอย่างไม่เกรงกลัวทั้งที่พออีกฝ่ายลุกขึ้นยืนแล้วก็เห็นว่าตัวใหญ่กว่าตัวเองอยู่มากโข
สูงใหญ่กว่าคริสเสียอีก แต่เจเรมีก็ไม่ได้ลดความก้าวร้าวลงเลยแม้แต่น้อย

ในสถานการณ์อย่างนี้นั้น คนที่ใจเด็ดที่สุดคือผู้อยู่รอด...

อีกฝ่ายย่นหน้าอย่างไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะการครอบครองโอเมก้า และเหมือนเขาจะนึกขึ้นได้ด้วยว่าคนที่เข้ามาขวางทางเขาก็เป็นโอเมก้าเหมือนกัน

โอเมก้าชั้นต่ำที่ยกตัวเองขึ้นมาเทียบเคียงชนชั้นอัลฟ่า!

จำได้ดีเช่นเดียวกันว่านอกจากจะเป็นโอเมก้าไม่รู้ที่ต่ำที่สูงแล้ว เจเรมียังเป็นตัวร้ายที่ถูกเตือนไว้ว่าต้องระวังเป็นพิเศษอีก การที่มาเจอกันโดยไม่ได้ตั้งใจอย่างนี้ มันทำให้เลือดของเขาสูบฉีดไม่น้อย

ตื่นเต้น.... ไม่ใช่หรอก พรั่นพรึงต่างหาก เขาคุยกับอัลฟ่าคนอื่นๆ ก่อนหน้าแล้วว่าถ้าหากเจอตัวจะต้องรีบกำจัด

เจเรมีไม่ใช่โอเมก้าที่ควรจะเก็บเอาไว้ นอกจากจะร้ายกาจจนหาใครเปรียบแล้ว ยังเป็นเหยื่อชั้นเลวที่ล่าก็ยาก ครอบครองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซ้ำยังเป็นตัวอันตราย เรียกได้ว่าหากมีโอกาสก็ต้องรีบฆ่าทิ้งก่อนที่จะเป็นฝ่ายถูกฆ่า

และเพราะมาเจอกันโดยบังเอิญอย่างนี้ มันก็ไม่มีทางเลือก จากที่ตั้งใจว่าจะจับโอเมก้าร่างเล็กนั่นมาเป็นของตัวเอง กลายเป็นว่าต้องสวมบทคนกำจัดขยะเสียก่อน พลันเปล่งเสียงออกมาเมื่อเห็นว่าเจเรมียังบริภาษตนไม่หยุด

“แกกับไอ้จ้อนของแกดูทุเรศชะมัดเลยว่ะ” ว่าพลางปรายตามองช่วงล่างของอีกฝ่ายที่อ่อนตัวลงแล้วพลางยกชะแลงเหล็กขึ้นพาดบ่าด้วยท่าทางหาเรื่อง

“แกมันรนหาที่ตายแท้ๆ”
“ฉันว่าแกต่างหากมั้งที่รนหาที่ตาย แย่หน่อยนะที่ดันมาเจอฉันเอาซะได้”
อีกฝ่ายได้ฟังก็แค่นหัวเราะ ก้มไปหยิบขวานที่อยู่บนพื้นมากระชับถือในมือ
“คนที่แย่น่ะ แกต่างหาก”

แย่จริงด้วย เพิ่งเห็นเอาตอนนี้ว่าอาวุธของอีกฝ่ายมีอานุภาพร้ายแรงกว่าชะแลงเหล็กอยู่โข หากแต่เจเรมีก็ไม่แสดงท่าทีหวาดเกรงอะไรออกมา ใช้มือข้างหนึ่งไปดันให้คนข้างหลังหลบไปไกลๆ พลันพยักหน้าร้องท้า

“แล้วจะรู้ว่าใครมันถูกนรกเรียกตัว!”
พุ่งเข้าไปแล้ว... เป็นฝ่ายเปิดการจู่โจมอย่างรวดเร็ว ชะแลงเหล็กถูกยกขึ้นฟาดเข้าใส่คนตรงหน้าในขณะที่คู่ต่อสู้ใช้ด้ามขวานตั้งรับและออกแรงผลักให้เจเรมีถอยห่าง ก่อนจะฟาดขวานเข้าใส่ให้โอเมก้าหนุ่มเป็นฝ่ายตั้งรับบ้าง

พละกำลังและทักษะการต่อสู้ทำให้เจเรมีรู้เลยว่าคนตรงหน้าก็เก่งเรื่องการต่อสู้เหมือนกัน ประเมินจากรูปร่างหน้าตาที่ดูจะแก่กว่าเขาเกือบสิบปีก็เดาเอาว่าคนตรงหน้าคงจะทำงานอยู่ในองค์กรของพวกทหาร ไม่แปลกใจนักหรอกหากจะตอบโต้เขาซึ่งเป็นเพียงนักศึกษาจากสถาบันพัฒนาอัลฟ่าฯ ได้อย่างคล่องแคล่วขนาดนี้

แต่ก็ใช่ว่าเจเรมีจะเสียเปรียบ คล่องแคล่วแต่ก็ตัวใหญ่กว่าทำให้การเคลื่อนไหวเชื่องช้ากว่าที่ควรจะเป็น เจเรมีจึงใช้ความได้เปรียบนี้ในการหลบหลีกขวานที่ถูกฟาดตัดอากาศมา ก่อนพลิกตัว เหวี่ยงชะแลงเหล็กออกไปบ้าง

ชะแลงเหล็กปะทะเข้าที่ซีกแก้มของคู่ต่อสู้อย่างแรง ความเจ็บปวดส่งผลให้ร่างใหญ่ทรุดล้มลงไปอย่างมึนงง เลือดจำนวนมากไหลปริออกมาจากผิวเนื้อที่แยกออกและในปากปลุกให้ความเป็นสัตว์ป่าของเจเรมีตื่นขึ้น

เขากลับมาแล้ว...

จอมวายร้ายคนนี้กลับมาแล้ว!

“สภาพแกตอนนี้มันทุเรศพอๆ กับตอนที่กำลังติดสัดเลยว่ะ” เจเรมียกยิ้มน่ากลัว มองคนตรงหน้าพยายามจะดันตัวลุกขึ้นมา หากแต่เขาไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอย่างนั้นได้ ตรงเข้าไปยกขาถีบเสียกระเด็นแล้วว่าเย้ยขึ้นอีก “คนอย่างแกมันสมควรไปติดสัดในนรก ไอ้สารเลว!”

จากนั้นก็ฟาดชะแลงลงไปอีกครั้ง

อีกฝ่ายพลิกตัวหลบทัน เจเรมีรุดเข้าไปหมายจะฟาดอีกครั้ง หากแต่คู่ต่อสู้คว้าขวานเหวี่ยงกลับคืน คมขวานโดนที่ท่อนแขนที่จับอาวุธของชายหนุ่มผมบลอนด์ถากๆ สร้างบาดแผลเป็นทางยาว ของเหลวสีแดงสดไหลหยดลงพื้น มือของเจเรมีสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดจนต้องเปลี่ยนข้างในการถืออาวุธแทน

“ไง ถึงกับถือไม่ไหวเลยเหรอ” อีกฝ่ายเยาะเย้ยทันทีที่เห็นภาพนั้น
แผลนั่นถึงจะไม่ร้ายแรงมากแต่ก็ลึกพอสมควร ทว่าเจเรมีไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ออกมา เหยียดยิ้มกลับ
“เก็บปากแกไว้ไปพ่นในนรกเถอะไอ้โสโครก!”

จากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหากันอีกครั้ง การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือดจนลูก้าที่หลบมุมอยู่สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง กระนั้นก็ยังมีสติมากพอที่จะพาตัวเองไปหยิบอาวุธประจำกายที่ตกอยู่บนพื้นมาถือไว้ในมือมั่น แน่นอนว่าจุดประสงค์ของการหยิบอาวุธนั้นขึ้นมาก็เพื่อช่วยเจเรมี หากแต่คนที่กำลังตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวสุดขีดอย่างเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองให้อยู่นิ่งได้เลย ปืนที่จ่อออกไปยังชายทั้งสองคนตรงหน้าไม่สามารถเล็งเป้าได้ว่าเขาจะยิงไปถูกชายคนไหน

กระทั่งเจเรมีตกเป็นฝ่ายเสียบเปรียบเมื่อเขาทำให้คู่ต่อสู้ทำขวานหลุดมือแล้วกลายเป็นว่าเขาเองที่เป็นฝ่ายถูกแย่งอาวุธไป จนสุดท้ายก็ต้องปลุกปล้ำกันเพื่อแย่งชะแลงเหล็กและตกอยู่ในสภาพที่อีกฝ่ายใช้ชะแลงนั่นรัดคอเขาจากข้างหลัง

เวรเอ๊ย! เป็นแบบนี้ไปได้ยังไงวะ!

เจเรมีสบถกร้าวในใจ เขาประเมินศักยภาพของตัวเองผิดไป ในสถาบันฯ เขาอาจจะเก่งกว่าเพื่อนร่วมชั้นปีหลายๆ คน แต่ในโลกของความเป็นจริง ยังมีคนที่ฝีมือดีกว่าเขาอยู่เยอะ โดยเฉพาะในนรกแห่งนี้ที่อัลฟ่าแต่ละคนมีความไม่ธรรมดา ตอนนี้ถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเกมนี้มันอันตรายถึงชีวิตแค่ไหน

“ตายซะไอ้โอเมก้าเหลือขอ”
เสียงของคู่ต่อสู้ดังมาให้ได้ยิน หากแต่เจเรมีไม่ยอมง่ายๆ ยังคงสู้สุดแรง สายตาเห็นลูก้ายืนเอาปืนเล็งมาทางเขากับผู้ชายทางด้านหลังอยู่ก็รีบร้องบอก
“ยะ...ยืนมองบ้าอะไรอยู่ ยิงมันสิโว้ย!”

ลูก้าถึงได้สติในตอนนี้ว่าเขาควรจะทำอะไรสักอย่าง พยายามควบคุมสติให้มั่นเมื่อได้ยินเจเรมีร้องบอก ทว่ามือก็ยังสั่น ซ้ำปากยังสั่นไม่หยุดและก็ต้องสะดุ้งสุดตัวอีกครั้งเมื่อเจเรมีตะโกนสุดเสียง

“ยิงมันได้แล้ว! ยิง!”
ตอนนี้แหละ ลูก้าถึงได้ยกปืนขึ้นมาจ่อไปที่ร่างใหญ่ทางด้านหลังเจเรมี มือที่ประคองปืนสั่นไหวไปมาหนักกว่าเดิมเสียอีก

ว่ากันตามตรง เจเรมีไม่ไว้ใจเลยว่าลูก้าจะไม่ยิงพลาด ถ้าอีกฝ่ายยิงพลาดมันหมายถึงชีวิตเขาเลยทีเดียว แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมตายเพราะถูกลูกหลงมากกว่าถูกฆ่าด้วยน้ำมือของอัลฟ่า จึงร้องกระตุ้นบอกอีกครั้ง

“ยิง! ฉันบอกให้ยิง! แค่ก!”
ยิ่งตะโกนบอก ลำคอก็ถูกชะแลงเหล็กกดลงมามากกว่าเดิมด้วยอีกฝ่ายต้องเร่งฆ่าเจเรมีในระยะเวลาอันสั้นเพื่อที่จะไปจัดการกับลูก้าทีหลังก่อนจะถูกยิง

ใบหน้าคร้ามเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเริ่มซีดขาวเพราะหายใจไม่ออก ขณะที่ลูก้ายังคงไม่สามารถเล็งเป้าได้ ยิ่งพยายามควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นไหวเท่าไหร่ แข้งขาก็ยิ่งอ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้นมากเท่านั้น

ท่าทางของลูก้าทำให้ฝ่ายที่ได้เปรียบได้ใจ หัวเราะออกมาด้วยความสมเพชที่เจเรมีทำอะไรตนไม่ได้
“เป็นแค่โอเมก้าแท้ๆ มาทำเก่ง จุดจบมันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ!” แล้วก็ออกแรงมากกว่าเดิม กะฆ่าเจเรมีให้ตายในวินาทีนี้
ร่างกายที่เริ่มขาดออกซิเจนทำให้เจเรมีเริ่มหน้ามืด เขารู้สึกว่าตัวเองจะหมดสติในอีกไม่ช้า ภาพลูก้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าเลือนรางมากขึ้นทุกที

ไม่น่าเลย... เขาไม่น่ายื่นมือเข้ามายุ่มย่ามกับเรื่องของคนอื่นเลย คริสเคยเตือนเอาไว้แล้วแท้ๆ ว่าอย่าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเอง

จู่ๆ ก็ฉุกคิดถึงคำเตือนนี้ขึ้นมา ใบหน้าของคริสก็โผล่ขึ้นมาในห้วงสุดท้ายของชีวิต ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่เขาคิดถึงก่อนตายจะเป็นผู้ชายทุเรศคนนั้น

อยากเจออีกสักครั้ง...

ความคิดทุเรศๆ ก็พร่างพรายเข้ามาเช่นกัน ซ้ำในใจก็หวังด้วยว่าคริสจะโผล่มาช่วยเขาในเวลานี้ ทว่าก่อนที่สติจะดับ หูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงดังกัมปนาทไม่ไกลจากตัวนัก ก่อนที่แรงรัดที่ลำคอจะถูกคลายออกพร้อมกับร่างใหญ่ทางด้านหลังจะหงายท้องตึงไป

ลูกกระสุนเจาะเข้าที่หน้าผากอย่างพอดิบพอดี...

เจเรมีหลุดเป็นอิสระก็หายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พลันไอโขลกออกมาจนหน้าดำหน้าแดง ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะหายเกือบเป็นปกติ วินาทีนั้นถึงได้รู้ว่าคนที่ช่วยเขาไม่ใช่คริสอย่างที่หวัง หากแต่เป็นลูก้าที่ยืนตัวสั่น ถือปืนเล็งไปข้างหน้าด้วยท่าทางหวาดกลัว

คนที่ช่วยเขาคือลูก้า...

ทั้งโล่งใจและเสียดายในคราวเดียวกันที่ไม่ใช่คริส ก่อนจะสบถด่าตัวเองในใจเล็กน้อยที่ไปคิดถึงไอ้เวรนั่นขึ้นมาได้ พลันเอื้อมมือไปคว้าเอาชะแลงเหล็กที่ตกอยู่ใกล้ๆ ดันตัวลุกขึ้นยืน แล้วเดินตุปัดตุเป๋ไปหาเด็กหนุ่มคนนั้น

“ลูก้า...” เอ่ยเรียกชื่อเสียงเบา
ลูก้าเบือนใบหน้าอาบน้ำตามามอง ริมฝีปากแห้งผากสั่นระริก อยู่ในภาวะตื่นกลัวสุดขีด

ท่าทางเหมือนสุนัขจนตรอกที่หวาดกลัวกับสิ่งที่เพิ่งเจอทำให้เจเรมีอดสงสารไม่ได้ ตวัดวงแขนดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดแนบหน้าอก พูดออกมาเสียงเรียบเพียงประโยคเดียว
“ไม่เป็นอะไรแล้ว”

เท่านั้นลูก้าก็ระเบิดน้ำตาออกมาขนานใหญ่ ปล่อยโฮร้องไห้ราวกับจะขาดใจ ทำให้เจเรมีรู้สึกแย่ขึ้นมาในทันที

ถ้าไม่เป็นเพราะเขา ลูก้าก็คงจะไม่ถูกลากลงมาในขุมนรกแห่งนี้

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขายื่นมือเข้ามายุ่งได้อย่างไรกัน...

แม้คริสจะพูดถูกก็เถอะว่าไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของใคร แต่สำหรับกรณีนี้มันช่วยไม่ได้ เขาทำไปเพราะจิตใต้สำนึกสั่งการล้วนๆ
“ไปใส่กางเกงซะ ฉันจะไปรอข้างนอก” พอลูก้าเริ่มตั้งสติได้ เจเรมีก็ออกปาก

คนอายุน้อยกว่าพยักหน้าหงึก ผละออกไปคว้ากางเกงตัวเองที่หล่นอยู่บนพื้นมาสวมใส่ ปล่อยให้เจเรมีเดินออกไปข้างนอก ทันทีที่ออกจากห้องนั้นมาได้ เขาก็พิงหลังเข้ากับกำแพง ถอนหายใจออกมาเต็มที่เมื่อมองเห็นบาดแผลที่ท่อนแขนของตัวเอง

ถ้าคริสอยู่ด้วย เรื่องมันคงจะง่ายกว่านี้

คิดถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมาอีกแล้ว แต่คราวนี้ไม่ได้โมโหตัวเองสักเท่าไหร่นัก ไม่ได้โมโหคริสเช่นเดียวกันที่ทำให้เขาคิดถึง

ก็คิดถึงจริงๆ แต่ไม่ใช่อะไรในแง่บวกสักเท่าไหร่นัก และไม่ได้หมายความว่าเขายกโทษให้คริสในเรื่องที่ทำกับเขาไว้เมื่อวานแล้ว ทว่าก็อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าหากยอมเป็นของคริส บางทีเรื่องทุกอย่างมันจะง่ายขึ้น หรือถ้าเขาไม่ยอมเป็นของคริส เขาก็ต้องฉายเดี่ยว ไม่เอี่ยวกับใครอย่างนี้โดยเฉพาะคนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นตัวถ่วงอย่างลูก้า

แล้วก็ต้องสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวไปเมื่อลูก้าเดินออกมา เจเรมีเหลือบมองก็เห็นเต็มสองตาเอาในตอนนี้ว่าตามใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องมีร่องรอยฟกช้ำอยู่หลายแห่ง บ่งบอกให้รู้ว่าถูกทำร้ายมาหนักหนาพอสมควร

เป็นโอเมก้าที่อ่อนแอโดยสิ้นเชิง ถ้าไม่มีใครปกป้องก็ต้องตกเป็นสิ่งของให้อัลฟ่าได้แย่งชิงกันอย่างที่เห็นในวันนี้อีก

แล้วอย่างนี้เขาจะทอดทิ้งลูก้าได้อย่างไร?

เกลียดความใจดีลึกๆ ของตัวเองอยู่ไม่น้อย อุตส่าห์สะกดจิตตัวเองแล้วว่าให้เลิกสนใจเด็กหนุ่มคนนี้ กะจะรีบบอกให้แยกย้ายกันไปก่อนที่เรื่องมันจะยุ่งยากแล้วแท้ๆ ทว่าก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายพูดขึ้นมา

“ขะ...ขอบคุณครับที่ช่วยผม” จากนั้นน้ำตาก็เริ่มไหลจนอีกฝ่ายต้องยกมือขึ้นเช็ด
คราวนี้เจเรมีถึงได้เห็นว่านอกจากใบหน้า ที่ท่อนแขนก็มีรอยฟกช้ำเช่นเดียวกัน

ถูกทำร้ายหนักขนาดไหนกันแน่?

เป็นคำถามที่เจเรมีไม่ได้ต้องการคำตอบสักเท่าไหร่นัก รู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาไม่อาจจะทิ้งเด็กหนุ่มคนนี้ไว้เพียงลำพังได้ ถึงจะรู้แก่ใจว่าสุดท้ายแล้ว ผู้ชนะจะต้องมีแค่โอเมก้าคนเดียวก็เถอะ แต่เขาก็เลือกตัดสินใจอย่างนั้น

คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย...อย่างน้อยก็ตอนนี้
“ตามมาสิ” ตัดสินใจแล้วก็ออกปาก
ลูก้ามองคนตัวสูงกว่าอย่างไม่เข้าใจนักขณะที่เจเรมีพูด
“ไปหาอะไรกินที่ห้องนั้นก่อน แล้วค่อยไปหาที่ซุกหัวนอนกัน”

สิ้นเสียงก็ก้าวเดินออกไป ปล่อยให้ลูก้ามองตามแผ่นหลังอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบก้าวยาวๆ ตามมา

จากวินาทีนี้เป็นต้นไป เจเรมีคงต้องกลับไปเป็นจอมวายร้ายอย่างเก่าเสียแล้วล่ะ...ไม่สิ ต้องร้ายให้มากกว่าเก่า ไม่อย่างนั้นเอาชีวิตไม่รอดแน่

ถึงเวลาที่จะต้องสลัดทุกคำแนะนำของคริสทิ้งแล้วสวมวิญญาณหมาบ้าแล้ว!
---------------------------------
ขุ่นคริสวิ่งหนีเมียป่าราบไปตอนนึงนะคะ พ่อบ้านใจกล้าแถมยังวิ่งไว 555
เดี๋ยวตอนหน้ากลับมาพร้อมความเผ็ชชช
อยากจะบอกว่าทุกคนอย่าเกลียดหน่องลูก้า น้องน่าสงสารนะ ฮา
เป็นตัวละครที่มีบทสำคัญในเรื่องอีกคนเลยค่ะ
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วย เดี๋ยวสักสี่ทุ่มจะมาแปะตัวอย่างตอนใหม่ให้นะคะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.14[100% UPDATE][4/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: omelet ที่ 04-03-2017 21:21:33
มาต่อเร็วมากกก ขอบคุณค่ะ
เพิ่งตามอ่านเรื่องนี้ทัน ดีงามมม

ขำ คริสหนีเมีย ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.14[100% UPDATE][4/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-03-2017 21:25:47
แทบจะตะกุยหน้าจอตอนที่เห็นช่วงคุยกับนักเขียน

ฉันอยากคุยกับหนูแดงนะ แต่ฉันก็อยากอ่านด้วยยยยย ฮือออออ

อะไรมันจะสนุกขนาดเน้!

---------

ถึงพี่คริสจะวิ่งหนีว่าที่เมียป่าราบ แต่ฉันก็ยังว่าพี่จิตใจดีอยู่ดีนั่นแหละ #ลำเอียงขั้นสุด

เจมีคิดถึงผั---แค่ก! ๆๆๆ

เอาชีวิตรอดไปจนเจอกันนะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่: Ep.14[100% UPDATE][4/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 04-03-2017 21:51:54
-
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.14-ตัวอย่าง Ep.15[4/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 05-03-2017 17:24:04
กรี๊ดดดด ตอนหน้าแล้วใช่ไม๊
ได้กันแล้วใช่ไม๊
โอ๊ยยยย ดีใจ
พัฒนาแล้วววววววววว
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.14-ตัวอย่าง Ep.15[4/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 05-03-2017 18:42:29
ตายแล่ววว... ตอนหน้า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.14-ตัวอย่าง Ep.15[4/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aommyga40 ที่ 05-03-2017 19:01:18
 :-[ :-[ กรี๊ดดดดด เขาจะได้กันแล้ว รอค่ะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.14-ตัวอย่าง Ep.15[4/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-03-2017 00:19:30
พญานกฟีนิกซ์คืนชีพแล้วววววว  :laugh:

มาดูซิว่า คราวนี้จะนกอีกไหม

ปล. มีสะดุดตอนที่แล้วหนึ่งจุด   

แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมตายเพราะถูกลูกหลงมากกว่าถูกฆ่าด้วยน้ำมือของโอเมก้า >> น้ำมือของอัลฟ่า หรือเปล่าจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.14-ตัวอย่าง Ep.15[4/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 06-03-2017 05:40:10
พญานกฟีนิกซ์คืนชีพแล้วววววว  :laugh:

มาดูซิว่า คราวนี้จะนกอีกไหม

ปล. มีสะดุดตอนที่แล้วหนึ่งจุด   

แต่อย่างน้อยเขาก็ยอมตายเพราะถูกลูกหลงมากกว่าถูกฆ่าด้วยน้ำมือของโอเมก้า >> น้ำมือของอัลฟ่า หรือเปล่าจ๊ะ

เพิ่งสังเกตเห็น ขอบคุณค่า เดี๋ยวไปแก้ๆ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.14-ตัวอย่าง Ep.15[4/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 06-03-2017 08:08:48
Episode 15: ยาระงับอาการฮีทชั้นดี[1]

รู้ทั้งรู้ว่าโอเมก้าสองคนอยู่ด้วยกันไม่เป็นการดี มันเสี่ยงต่อการเป็นเป้าหมายโจมตีได้ง่าย แต่เจเรมีก็ไม่ออกปากไล่เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางคนนั้นไป ซ้ำยังจะชวนออกไปหาที่พักผ่อนในคืนนี้ที่อื่นด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิตอยู่คนเดียวหลังจากผ่านสถานการณ์เลวร้ายมา และการค้างคืนในอาคารที่เพิ่งจะกำจัดอัลฟ่ารายหนึ่งไปก็ไม่เป็นเรื่องดีเช่นกัน

โผล่มาคนหนึ่ง อีกเดี๋ยวต้องโผล่มาอีกเป็นพรวน ดังนั้นไปหาที่กบดานที่อื่นจะเป็นการดีกว่า

คล้ายกับว่าจะรับผิดชอบที่ทำให้ลูก้าเข้ามาพัวพันในเกมการเมืองในครั้งนี้อย่างไรอย่างนั้นที่ต้องให้ลูก้าติดสอยห้อยตามมาอย่างนี้ หากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากถามอีกฝ่ายขณะนั่งพักอยู่ที่ริมทางระหว่างเดินทางไปยังอาคารอีกหลังซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
“นายมาจากไหน”

บทสนทนาไม่พ้นเรื่องของพื้นเพปูมหลัง
ลูก้าเลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อยอย่างสงสัย “ก็...ซ่องในตลาดมืดไงครับ”
“ฉันหมายถึงนายเกิดและโตจากที่ไหนต่างหาก” เจเรมีว่าเสียงแข็ง รำคาญใจนิดๆ ที่อีกฝ่ายซื่อบื้อเกินกว่าจะเข้าใจคำถามง่ายๆ ของเขาได้

ลูก้าร้องอ๋อ รีบกระวีกระวาดตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ผมเป็นเด็กที่เกิดจากโอเมก้าครับ”
“แล้วไงล่ะ” เจเรมีถามย้ำ ใช้เท้าเขี่ยใบไม้ที่อยู่บนพื้นเล่นไปด้วยแก้เบื่อ
“แม่ของผมเป็นโอเมก้าหญิงที่ถูกซื้อมาเพื่อผลิตทายาทให้กับอัลฟ่าตระกูลหนึ่ง แต่บังเอิญผมเกิดมาเป็นโอเมก้า พออายุได้สิบสองก็ถูกขายทอดตลาดมาเรื่อยๆ อย่างที่คุณเมอร์ซีเห็นน่ะครับ ส่วนตอนนี้ตระกูลที่ให้กำเนิดผมซื้อผมกลับคืนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” เป็นการเล่าปูมหลังอย่างสั้นและกระชับ

เจเรมีเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปาก
“ครอบครัวอัลฟ่าเหรอ? ตระกูลไหนล่ะ” ถามออกไปอย่างไม่ทันได้คิดว่าอีกฝ่ายอยากจะตอบหรือไม่

ลูก้าถึงกับอึกอักที่ถูกถามอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้เลย มันเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดีสักเท่าไหร่นักยามพูดถึงบิดาผู้ให้กำเนิดตัวเอง หากแต่ก็จำต้องตอบด้วยเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นผู้มีพระคุณ

ทว่ายังไม่ทันจะได้อ้าปาก เจเรมีก็สังเกตเห็นความอึดอัดของลูก้าเสียก่อน จึงตัดบทเอาดื้อๆ
“เออๆ ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ ถือซะว่าฉันไม่ได้ถาม”
“ครับ” ลูก้าตอบรับเสียงแผ่ว โล่งใจไม่น้อยที่ไม่ได้พูดถึงกลุ่มคนพวกนั้น

หากแต่เจเรมีก็ยังมีคำถามใหม่มาถามเขาเรื่อยๆ
“แล้วนายไปโดนคดีนั่นได้ยังไง” หมายถึงคดีฆาตรกรรมอัลฟ่าระดับสูงรายหนึ่ง
ลูก้านิ่งไป แสดงอาการอึกอักขึ้นมาอีกแล้ว เจเรมีมองแล้วก็ชักหงุดหงิดจนต้องขึ้นเสียง
“พูดมาเถอะน่า จะปอดแหกไปถึงไหน ฉันไม่ทำร้ายนายหรอก”

ถูกต้อง... ที่ลูก้าดูหวาดหวั่นขนาดนี้เป็นเพราะเขาเกรงว่าหากพูดจาไม่เข้าหูแล้วจะถูกทุบตีอย่างที่เขาเคยถูกกระทำมาตลอดชีวิต แต่เพราะคนตรงหน้าคือเจเรมี ผู้ชายที่ช่วยชีวิตเขาไว้ถึงสองครั้ง ทำให้เขาพอจะข่มความหวาดกลัวลงไปได้บ้างแล้วเปิดปากเล่าขึ้นมา

“คุณเมอร์ซีรู้ใช่ไหมครับว่าผมถูกเอาตัวไปขายที่ตลาดมืด?”
เจเรมีพยักหน้า ให้อีกฝ่ายได้เล่าต่อ

“คือวันนั้นพ่อของผมมาหา แล้วก็พาตัวผมไปให้ผู้ชายคนนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนกับอะไรสักอย่าง มันควรจะลงเอยเหมือนทุกครั้งที่ผมเจออัลฟ่า แต่ครั้งนั้นมันไม่ใช่ เขาไม่ได้แค่จะใช้ผมเป็นเครื่องมือบำบัดความใคร่อย่างปกติ แต่เขาจะทรมานผมด้วยเพราะบอกว่ามันทำให้เขามีอารมณ์ พอมาถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าเขาคิดจะฆ่าผมแน่ๆ ผมก็เลย...”

เล่าแล้วก็หยุดไป มือไม้สั่นเทาขึ้นมาเล็กน้อย เจเรมีหยุดใช้เท้าเขี่ยใบไม้เล่นทันที หรี่ตามองคนตรงหน้า ถามออกไป
“นายก็เลยฆ่าหมอนั่น?”
“เขาบีบคอผม ผมเลยอาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ใช้มีดปอกผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง...เอ่อ...แทง... เข้าไปตรงนี้” พูดพลางชี้ไปที่ลำคอตรงจุดเดียวกับลูกกระเดือก ก่อนน้ำตาจะเอ่อคลอเมื่อนึกถึงประสบการณ์เลวร้ายนั่น

เจเรมีนึกไม่ออกหรอกว่าลูก้าถูกกดขี่ข่มเหงจนไร้หนทางสู้เพียงใด คนอย่างเขาถึงจะกล้าลงมือฆ่าใครสักคนอย่างนี้ แต่สำหรับเขาแล้ว แค่ใครมากระตุกหนวดเพียงเล็กน้อย เขาก็พร้อมที่จะฆ่าได้ทันที

นับว่าลูก้ามีความอดทนสูงมากทีเดียวกว่าจะพลาดพลั้งลงมือทำร้ายคนอื่นอย่างนี้

เขาต้องทอดกายให้พวกอัลฟ่าย่ำยีกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถูกทำร้ายร่างกายไม่รู้อีกกี่หน ถึงเข้าตาจน ยอมลุกขึ้นสู้อย่างนี้

แต่เพราะเป็นโอเมก้ามันถึงเสียเปรียบ ฆ่าไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ไม่ว่าอย่างไรก็ถูกเล่นงานโดยอัลฟ่าอยู่ดี ทว่าพอมาคิดดีๆ แล้ว การต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ที่เขาหลุดจากนรกขุมนั้นมาได้ ถ้าไม่นับเรื่องที่ถูกลากเข้ามาเอี่ยวในเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเองอย่างเกมเวรๆ อย่างนี้ก็นับว่าลูก้ารอดพ้นจากเงื้อมมือของพวกอสุรกายพวกนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทว่าชีวิตในคุกของลูก้าจะดีหรือร้าย เจเรมีไม่รู้หรอก และเขาก็ไม่คิดจะถามด้วยไม่อยากทำให้ตัวเองรู้สึกผิดกับเด็กหนุ่มตรงหน้าไปมากกว่านี้

อายุแค่สิบแปดเอง... ถูกขายทอดตลาดตั้งแต่อายุสิบสอง เทียบกับเขาที่เกิดจากตระกูลอัลฟ่าเหมือนกันแล้ว มีชีวิตความเป็นอยู่แตกต่างกันลิบลับ

ก็คิดว่าตัดสินใจไม่ผิดหรอกที่พาลูก้ามาด้วย อย่างน้อยก็ให้มีชีวิตรอดไปก่อนอีกสักสัปดาห์ จากนั้นค่อยแยกย้ายกันไปคนละทางก็ยังไม่สาย ถือเสียว่าเป็นการไถ่โทษที่เขาทำให้ลูก้าต้องตกกระไดพลอยโจนถูกจับลงมาในเกมนี้

แต่แล้วเสียงของลูก้าก็ดังขึ้น เรียกความสนใจของเจเรมีไป

“เรื่องวันนี้น่ะ...ขอบคุณมากนะครับที่ช่วย ครั้งก่อนๆ ก็ด้วย ขอบคุณจริงๆ ครับ”
ขอบคุณจากใจจริง...ดวงตาที่มองหน้าของผู้ชายผมบลอนด์เต็มไปด้วยความจริงใจ ทำเอาเจเรมีถึงกับต้องยกมือลูบต้นคอเป็นการแก้เขินด้วยไม่มีใครเอ่ยคำนี้กับเขามานานแล้ว

สักปี...สองปี...หรืออาจจะนานกว่านั้นก็เป็นได้

ก็เขาน่ะไม่เคยสร้างคุณประโยชน์ให้ใครหน้าไหนเลย มีแต่ก่อเรื่องจนถูกมองว่าเป็นจอมวายร้าย การมีคนมาพูดอย่างนี้มันก็ต้องเก้อเขินเป็นธรรมดา

“ฉันก็แค่ไม่ชอบใจสวะอัลฟ่าพวกนั้น ไม่ต้องสำนึกบุญคุณอะไรหรอก” เกาต้นคอไป พูดไปก่อนจะต้องหยุดเมื่ออีกฝ่ายสวนมา
“ตั้งแต่เกิดมา มีแค่คุณคนเดียวที่ไม่เมินเฉยกับผม ผมต้องสำนึกบุญคุณสิครับ”

ก็ลืมไปว่าโอเมก้าอย่างลูก้าเติบโต้มาในลักษณะไหน จะเห็นเรื่องที่เขาช่วยเล็กๆ น้อยๆ นั่นเป็นเรื่องใหญ่มันก็ไม่แปลก พลันเจเรมีก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่เจอกันในระหว่างตรวจร่างกายครั้งแรก ลูก้าได้พูดอะไรไว้กับเขาจึงได้ออกปากถาม
“ก็เลยเป็นเหตุผลที่อยากจะเจอฉัน?”

คนฟังพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว “ผมอยากจะขอบคุณคุณตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว แต่ตอนนั้นผมตกใจมากไปหน่อยเลยไม่ทันได้คิดน่ะครับ ส่วนเสื้อของคุณ...คือต้องขอโทษด้วยนะครับ ตอนที่ผมโดนจับ มันถูกยึดเป็นของกลางไปแล้ว”

เจเรมีนิ่งคิดไปเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายหมายถึงเสื้ออะไร ก่อนจะจำได้ว่ามันคือเสื้อคลุมเครื่องแบบของนักศึกษาที่เขาให้ลูก้า พลันแค่นหัวเราะออกมา

“ช่างมันเถอะ ฉันไม่โดนพ่วงข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับนายในคดีนั้นเพราะเสื้อโง่ๆ นั่นก็พอแล้ว”

เป็นฝ่ายลูก้าบ้างที่หลุดหัวเราะน้อยๆ กับมุกตลกของเจเรมี เห็นดูดุดันอย่างนี้ แท้จริงแล้วคนตรงหน้าเขาเป็นคนที่อ่อนโยนมากเลยทีเดียว ใจของลูก้าชื่นชมเจเรมีเป็นอย่างมากตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก และยิ่งรู้จักก็ยิ่งประทับใจมากขึ้น แม้ว่าจะรู้อยู่เต็มอกว่าเจเรมีไม่ใช่อัลฟ่าแล้ว หากแต่เป็นโอเมก้าเหมือนกันเขา แต่เขาก็ยังชื่นชมเจเรมีไม่เปลี่ยน

ตอนข่าวของคนตรงหน้าออกมาว่าเป็นฆาตรกรสามศพ เขาแทบจะเถียงกับคนทั้งโลกเลยทีเดียวว่าแท้จริงแล้วเจเรมีเป็นคนดีและไม่เชื่อด้วยว่านั่นจะเป็นเรื่องจริง ต่อให้ใครต่อใครรุมประณาม เขาก็จะอยู่ข้างเดียวกับเจเรมี โดยไม่เคยคาดคิดว่าสักวันตัวเองจะได้มาเจอกับผู้มีพระคุณอีกครั้ง

ยอมรับเลยว่าการที่มีเจเรมีอยู่ตรงหน้ามันทำให้เขาอุ่นใจ ถึงจะรู้ว่ากฎของเกมต้องมีโอเมก้าเป็นผู้รอดแค่คนเดียว เขาก็แสร้งทำเป็นไม่พูดถึงด้วยยังอยากใช้เวลาอยู่กับเจเรมีให้นานกว่านี้สักหน่อย

แล้วก็ต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเสียงแหบห้าวดังขึ้น
“นั่งพักพอหรือยัง หายเหนื่อยแล้วจะได้ไปต่อ มืดแล้วจะลำบากเอา”

ลูก้ารีบพยักหน้ารับ ดันตัวขึ้นยืนตามอีกฝ่ายที่ออกเดินนำไปก่อนแล้วอย่างรวดเร็ว ทว่าเดินไปได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร ลูก้าก็ต้องหยุดก้าวเมื่อเห็นว่าคนที่เดินนำหยุดเดินกะทันหัน สายตาของเจเรมีกวาดมองไปรอบๆ อย่างมีพิรุธ ทำเอาลูก้าอดถามขึ้นมาไม่ได้
“มีอะไรเหรอครับ”
“เงียบก่อน” ถามยังไม่ทันจะสิ้นเสียงดีด้วยซ้ำ เจเรมีก็โพล่งสวนขึ้นมาแล้ว ก่อนจะว่าเสียงเบาแทบกระซิบ “มาอยู่ใกล้ๆ ฉัน”

ลูก้าเริ่มหวาดระแวงขึ้นมาบ้าง รีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ปืนสั้นถูกชักออกมาถือในมือทั้งสองข้าง ในขณะที่เจเรมีก็กระชับชะแลงเหล็กของตัวเองมั่น

บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดคล้ายกับว่าไม่น่าจะมีสิ่งผิดปกติใดๆ หากแต่ชั่วอึดใจเดียว โอเมก้าทั้งสองก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อสายตาปราดไปเห็นชายฉกรรจ์จำนวนไม่ต่ำกว่าสิบคนโผล่ออกจากพงหญ้ามาปิดล้อมพวกเขาไว้ หลายคนถือปืนขนาดยาวในมือเล็งมาที่พวกเขา ก่อนที่จะมีใครสักคนออกคำสั่งให้ยิง

“บ้าฉิบ!” เจเรมีไม่รู้หรอกว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร แต่รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีจึงรีบลากลูก้าออกวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ในหัวก็คิดวิเคราะห์ไปด้วยว่าผู้ชายพวกนั้นคงจะเป็นพวกเจ้าหน้าที่ที่ดูแลการแข่งขันนี้

เดาเอาจากเครื่องแบบคล้ายทหารที่สวมใส่... คิดในแง่ร้ายสุดกู่คือที่พวกเจ้าหน้าที่โผล่มาอย่างนี้ ต้องเป็นแผนการของเดร็กเป็นแน่

แล้วก็ใช่อย่างที่ชายหนุ่มคาดเดาเมื่อหูของเขาได้ยินคำสั่งให้ยิงอีกระลอก เสียงดังปังพร้อมกับวัตถุทรงยาวที่ตัดผ่านหน้าไปอย่างฉิวเฉียดทำให้เจเรมีรู้ว่ากระสุนปืนที่ยิงออกมาไม่ใช่ลูกตะกั่ว หากแต่เป็นลูกดอกยาสลบ ข้างในบรรจุน้ำสีใสแต่ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคือยาอะไร

สัญชาติญาณบอกเขาว่ามันไม่ใช่ยาสลบ...

เจาะจงเอามายิงใส่โอเมก้าอย่างนี้ หรือว่าจะเป็น... ยากระตุ้นอาการฮีท?

คิดว่าเป็นอย่างนั้นแน่ ทั้งหมดก็เพื่อกระตุ้นให้การล่าในครั้งนี้ทวีความสนุกมากยิ่งขึ้น และเขาจะไม่ยอมเป็นเหยื่อให้ถูกยิงอย่างแน่นอน

สองเท้าก้าวไปไวประหนึ่งจรวดจนทำให้คนที่ถูกลากตามหลังมาวิ่งตามไม่ทัน เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น ขนาดของขาที่สั้นกว่าก็ไม่อาจควบคุมจังหวะได้ ก้าวพลาดจนล้มคว่ำระเนระนาดไปกับพื้น

เจเรมีชะงัก หันมามองลูก้าที่ล้มคลุกฝุ่นอย่างตกใจขณะที่อีกฝ่ายรีบร้องบอก
“วิ่งไปเลยครับ ไม่ต้องห่วงผม!”
เขาควรทำอย่างนั้น หากแต่เห็นบรรดาเจ้าหน้าที่ที่วิ่งกรูกันเข้ามาใกล้ เล็งปลายกระบอกปืนมาที่ลูก้าแล้วก็อดสบถออกมาไม่ได้
“เวรเอ๊ย!”

จากนั้นก็วิ่งกลับมาฉุดลูก้าขึ้นจากพื้น ใช้มือผลักแผ่นหลังของอีกฝ่ายให้ออกวิ่ง หากแต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ก้าวขา เสียงสัญญาณบอกให้ยิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เป้าหมายคือลูก้า...

เจเรมีเหลือบไปเห็นก็แทนที่จะปล่อยให้คนตรงหน้าถูกยิง กลับกระชากลูก้าให้หลบไปอีกทาง ลูกดอกจึงพุ่งเข้าใส่ท่อนแขนของเขาเต็มรัก

แรงปะทะของมันไม่ได้รุนแรงมากถึงขนาดทำให้เจ็บปวดเจียนตาย หากแต่ก็ทำให้ปวดแปลบอยู่ไม่น้อย เสียงร้องดังโอยจากริมฝีปากหนาเรียกให้ลูก้ารีบหันไปมองใบหน้าของเจเรมีที่เหยเกไปตามความปวดแปลบ ก่อนจะโพล่งเสียงดัง
“คุณเมอร์ซี!”

เจเรมีไม่ได้ฟัง เอื้อมมือไปดึงลูกดอกนั้นออกอย่างหัวเสียก่อนจะปามันทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดี

ของเหลวข้างในถูกส่งผ่านเข้าใต้ผิวหนังเขาแทบจะหมดหลอดแล้ว...

แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับต้องรีบหาทางหนีอีกครั้ง ทว่าพอเขาถูกยิงก็เหมือนกับภารกิจของเจ้าหน้าที่พวกนั้นสิ้นสุดลง พากันส่งสัญญาณและถอนกำลังกลับท่ามกลางความงุนงงของโอเมก้าทั้งสอง

เจเรมีย่นคิ้วจนแทบจะผูกกันเป็นเงื่อนตายอยู่แล้ว...อย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด เป็นหนึ่งในแผนการของเดร็กไม่มีผิดเพี้ยน และดูท่าจะเป็นการยิงแบบไม่เจาะจงด้วยว่าจะเป็นโอเมก้าคนไหน ขอแค่เป็นโอเมก้าก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เกมล่าเกมนี้สนุกขึ้นทั้งนั้น
“วะ...ไหวไหมครับ” เห็นเจเรมีทรุดตัวนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ก็ร้องถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่

คนถูกถามพยักหน้า “ฉันไม่เป็นไร” พลางหงายแขนดูบริเวณที่ถูกยิง
“ดีนะครับที่ไม่เป็นอะไรมาก” ลูก้าว่าอย่างโล่งใจเมื่อเห็นท่อนแขนแกร่งมีเพียงรอยแดงเป็นดวงปรากฏขึ้นให้เห็นเท่านั้น
ความจริงแล้วจะเรียกรอยนี้ว่าบาดแผลยังไม่ได้เลย มันแดงบวมเหมือนรอยมดกัดมากกว่า หากแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คนทั้งสองวางใจได้ตราบใดที่ไม่รู้แน่ว่าของเหลวที่บรรจุอยู่ในกระสุนลูกดอกนั่นคืออะไร

“คุณเมอร์ซีคิดว่าข้างในเป็นอะไรครับ” และก็เป็นลูก้าที่ถาม
เจเรมีเหลือบมองนิ่งไปครู่ก่อนจะพูด “ฉันก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะเป็นยากระตุ้นฮีท”

คิดว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าร่างกายของตัวเองค่อยๆ ร้อนขึ้นมาทีละนิด

ฟังแล้วลูก้าก็อ้าปากค้าง แทบจะไม่เชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อครู่ ก่อนจะรีบออกปาก
“งั้นก็ต้องรีบเข้าไปในอาคารแล้วล่ะครับ ไม่อย่างนั้นพวกอัลฟ่าแห่กันมาล่าคุณแน่”

ถูกอย่างที่เด็กหนุ่มว่า โอเมก้าที่ถูกยากระตุ้นฮีทฉีดเข้าไปจะส่งกลิ่นฟีโรโมนออกมาดึงดูดให้อัลฟ่าเข้าหา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยแม้แต่น้อยถ้าหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น

ปกติแล้วโอเมก้าจะมีช่วงฤดูการผสมพันธุ์เพียงเดือนละครั้ง เกมนี้มีเวลาการแข่งขันเพียงสามสิบวัน เท่ากับว่าโอเมก้าแต่ละคนจะเป็นฮีทได้แค่เดือนละครั้ง คนที่อยู่เบื้องหลังคงจะรอให้ถึงช่วงนั้นไม่ไหวถึงได้ทำแบบนี้

แต่ลูก้าไม่คิดอะไรให้เสียเวลาอีกแล้ว รีบปรี่เข้ามาดึงแขนของเจเรมีขึ้นพาดคอทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“ลุกขึ้นเถอะครับ ผมช่วย”

เจเรมีกลั้นใจลุกขึ้นยืน หากแต่ฤทธิ์ของยาที่ทำให้ร่างกายเขาร้อนรุ่มในตอนแรก ตอนนี้มันกระตุ้นให้อาการแย่ลงกว่าเดิมแล้ว
เขาเริ่มครั่นเนื้อครั่นตัว อุณหภูมิภายในร่างกายสูงขึ้นพร้อมกับเลือดที่สูบฉีดอย่างรุนแรงจนผิวเนื้อขาวๆ แดงเป็นปื้นยาว แย่กว่านั้นคือเขาไม่อาจจะทรงตัวได้ด้วยรู้สึกปวดหน่วงบริเวณช่วงกลางลำตัวขึ้นมากะทันหัน

อาการฮีท... มันน่ารำคาญก็ตรงที่ควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ได้ทั้งที่เป็นเจ้าของนี่แหละ!

“คุณเมอร์ซี!” เห็นเจเรมีทรุดลงไปนั่งกับพื้นเหมือนเดิม ลูก้าก็ร้องลั่น ทว่าก็ต้องหุบปากฉับเมื่อถูกดุ
“อย่าแหกปาก เสียงของนายมันทำให้ฉันปวดหัว”

เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกหงัก เขาไม่ควรตื่นตูมในตอนนี้ สิ่งที่สมควรทำคือรีบพาเจเรมีไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยก่อนที่จะส่งกลิ่นฟีโรโมนออกมามากกว่าเดิม

เขาไม่ได้กลิ่นของเจเรมีหรอก โอเมก้าจะไม่ได้กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าด้วยกัน แม้แต่กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่าเองก็ไม่ได้กลิ่น เว้นเสียแต่ว่าอัลฟ่าคนนั้นเป็นคู่แห่งโชคชะตา แค่เดาเอาจากอาการว่าตอนนี้คนตรงหน้าน่าจะเริ่มปล่อยกลิ่นแล้ว
“เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่นั่น อดทนหน่อยนะครับ”

เพราะกลัวว่าอยู่กลางป่าอย่างนี้จะไม่ปลอดภัยจึงออกปากอีกครั้ง ก่อนจะพยายามพยุงเจเรมีให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล

ใช้ความพยายามอยู่พักหนึ่งทีเดียวกว่าจะพาคนตัวใหญ่กว่าลุกขึ้นยืนได้ หากแต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหน ลูก้าก็ต้องสะดุ้งเฮือกจนพากันล้มหงายไปอีกรอบเมื่อจู่ๆ สายตาก็เห็นว่ามีใครบางคนโผล่ออกมาจากด้านหนึ่งของป่า คราแรกนึกว่าเป็นพวกอัลฟ่า...ก็ใช่ เป็นอัลฟ่า แต่อัลฟ่าตรงหน้านั่นคือผู้ชายที่ชื่อว่าคริส

“เกิดอะไรขึ้น” โผล่มาได้ก็ร้องถามทันที
เจเรมียังคงมีสติอยู่ เห็นใบหน้าของคู่แห่งโชคชะตาตัวเองก็แค่นเสียงออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไสหัวไปไกลๆ เลย” ไม่อยากจะเห็นหน้าคนอย่างเขาในเวลานี้ พลันหันไปสั่งลูก้า “หยิบชะแลงเหล็กมาให้ฉัน”

คริสเห็นท่าทางกระด้างกระเดื่องแล้วก็รู้ว่าเจเรมีคงจะยังไม่หายขุ่นเคืองเรื่องเมื่อวาน เขาก็อยากจะขอโทษในเวลานี้นะ แต่มันยังไม่ใช่เรื่องที่ควรมาทำสักเท่าไหร่นักเมื่อเห็นอาการของคนตรงหน้า

อาการอ่อนแรง ใบหน้าและเนื้อตัวเรื่อแดงและสีหน้ายั่วยวน... เป็นอาการฮีทไม่ผิดแน่

เขาค่อนข้างจะมั่นใจเนื่องจากการที่เขามาโผล่ตรงนี้ได้ก็เป็นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ไม่เข้าใจสักเท่าไหร่นักว่าจู่ๆ อีกฝ่ายเกิดอาการฮีทได้อย่างไร จนต้องร้องถาม

“จะบอกได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อย่าแส่...”
“ขะ...เขาโดนยิงครับ”

เจเรมีพูดอย่าง ลูก้าพูดอย่าง การที่เด็กหนุ่มตอบคำถามไปอย่างนั้นทำให้เขาถูกเจเรมีตวัดมองอย่างหัวเสียจนลูก้าจ๋อยไปทันตา แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ก็เขาเป็นห่วงเจเรมีนี่ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องการคนอื่นมาช่วย

แต่ว่า...การที่บอกคริสซึ่งเป็นอัลฟ่าไปอย่างนั้นมันจะเป็นเรื่องดีหรือเปล่านะ ถ้าคริสทำให้สถานการณ์มันแย่ลงจะทำอย่างไร?
เพิ่งมาตระหนักได้ในตอนนี้ หากแต่อีกใจก็คิดว่าไม่เป็นไรด้วยจำได้ดีว่าคริสกับเจเรมีค่อนข้างจะสนิทสนมกันโดยไม่ทันได้สังเกตว่าบรรยายกาศระหว่างชายหนุ่มสองคนนี้มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป

“ไสหัวไปไกลๆ เลย ไม่ต้องแส่” เจเรมียังคงปากเก่ง

คริสย่นคิ้ว ไม่ตอบโต้ ไม่แม้แต่จะฟังเสียงเสือกไสไล่ส่งนั้น เอาแต่ส่งสายตาสำรวจไปตามเนื้อตัวของเจเรมีเพื่อหาร่องรอยการถูกยิง ทว่าพอไม่เห็นสิ่งที่ควรเห็นก็ยิ่งขมวดคิ้วหนัก มิหนำซ้ำกลิ่นหอมหวานฉุนกึ้กของฟีโรโมนก็ยังทวีความรุนแรงขึ้นมาจนแทบจะทำให้เขาหน้ามืดอีก เขาจึงต้องผละใบหน้าไปทางอื่นครู่หนึ่งก่อนจะกลั้นใจหันกลับมาสำรวจร่างกายอีกฝ่ายอย่างละเอียดอีกครั้ง

ไม่มี...ไม่มีร่องรอยกระสุน ไร้ซึ่งบาดแผล แล้วที่บอกว่าถูกยิงมันหมายความว่าอะไร?

คำถามนี้แปะหราอยู่บนใบหน้าหล่อของคริส ลูก้าเห็นก็รู้ทันทีว่าคนตรงหน้าต้องการคำตอบใด ก่อนจะรีบขยับตัวไปคว้าเอาลูกดอกที่บรรจุน้ำสีใสมาส่งให้

“ถูกเจ้านี่ยิงครับ”
ของเหลวนั้นมันเหือดแห้งไปแล้ว หลงเหลือเพียงไม่กี่หยดเท่านั้น ก่อนที่คริสจะรับมาถือไว้ในมือ
“นี่มัน...”
“เป็นยากระตุ้นให้เกิดฮีทครับ เขาเอาตัวมาบังผมไว้เลยถูกยิง” ลูก้ารีบละล่ำละลักบอก

ตอนนี้เข้าใจความหมายที่ลูก้าบอกอย่างชัดเจนว่าถูกยิงที่ว่าหมายถึงอะไร

งานเข้าแล้ว!

งานเข้าในที่นี้คืออีกประเดี๋ยวพวกอัลฟ่าคนอื่นจะต้องแห่กันมาแน่ เริ่มส่งกลิ่นฟีโรโมนรุนแรงขนาดนี้แล้ว ขนาดส่งกลิ่นอ่อนๆ ยังทำให้เขาซึ่งอยู่ห่างไปตั้งเกือบห้าร้อยเมตรยังได้กลิ่นชัดเจน เท่านั้นคริสก็ไม่รอช้า รีบพยุงเจเรมีที่เนื้อตัวร้อนรุ่มขึ้นมาพยุงท่ามกลางการขัดขืนของเจเรมีจนเขาต้องดุออกไป

“อยู่เฉยๆ ก่อนได้ไหม”
“ฉันไม่พึ่งคนอย่างนายหรอกไอ้เวรคริส”
“มันใช่เวลามาดื้อหรือเปล่าเจเรมี!” เป็นครั้งแรกเลยที่คริสหัวเสีย ก่อนจะพยักหน้าเรียกให้ลูก้ารีบตามเข้าไปในอาคารตรงหน้าโดยไม่สนว่าหลังจากประโยคนั้น เจเรมีจะพ่นคำหยาบคายออกมาอีกนับไม่ถ้วนแต่อย่างใด เอาแต่หันไปพูดกับลูก้า

“รีบพาไปที่นั่นก่อน อยู่ข้างนอกอย่างนี้ไม่ดีแน่”
ลูก้ารีบพยักหน้ารับ คว้าอาวุธของทุกคนที่วางอยู่บนพื้นวิ่งตามคริสที่พาเจเรมีตรงไปยังอาคารหลังนั้นก่อน




 
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.14-ตัวอย่าง Ep.15[4/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 06-03-2017 08:12:06
Episode 15: ยาระงับอาการฮีทชั้นดี[2]

คริสพาคู่แห่งโชคชะตาไปนอนราบที่ห้องพักผู้คุมซึ่งมีเตียงตั้งอยู่โดยไม่สนใจที่จะสำรวจห้องอื่นๆ ในอาคารแห่งนี้แต่อย่างใด เขาค่อนข้างมั่นใจว่าบริเวณนี้ไม่มีอัลฟ่าคนไหนอยู่ใกล้ยกเว้นเขา

เจเรมีในตอนนี้ยังคงมีสติสมประกอบดี หากแต่ไม่สามารถควบคุมความร้อนรุ่มในร่างกายที่มากขึ้นกว่าเดิมได้ กระนั้นก็ยังกลั้นใจเปล่งเสียงพูดกับคริสที่สาละวนกับการจัดท่าทางเขาให้นอนเหยียดในท่าสบายๆ

“กลับมาทำไมไอ้สารเลว”
ถึงกับชะงักกึก มันใช่ประโยคที่ควรพูดกับคนที่ช่วยแบกเขาเข้ามาหลบอัลฟ่าคนอื่นอย่างนี้เหรอ?

แต่คริสไม่ได้ใส่ใจ หันไปตอบเสียงเรียบ
“ถ้านายไม่ส่งกลิ่นไปล่อฉันอย่างนั้น ฉันก็ไม่โผล่หน้ามาให้นายเห็นหรอก”

โกหก... เขาตามหาเจเรมีมาตั้งแต่หนีไปตั้งหลักได้แล้ว เสียเวลาไปทั้งวันกับการตามหาตัวจอมวายร้ายคนนี้มากแค่ไหน เจเรมีจะรู้บ้างไหม ทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงคำเดียวแท้ๆ แต่ที่ตามมาเจอตัวได้ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของเจเรมีที่ส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่ว

ทว่าการที่คริสพูดอย่างนั้นทำให้เจเรมีแค่นหัวเราะออกมา ขณะที่พวงแก้มทั้งสองข้างเริ่มแดงเรื่อขึ้นเรื่อยๆ จากการสูบฉีดของเลือด

“ติดสัดล่ะสิ”
“พูดถึงตัวเองหรือไง”

โดนตอกกลับเข้าเต็มๆ เจเรมีก็ถึงกับหน้าชา

คริสเป็นคนปากคอเราะร้ายอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!?

อยากจะสั่งให้ลูก้าเอาชะแลงเหล็กที่ถือตามเข้ามาในห้องส่งให้เขาเพื่อเอาไปกระแทกหน้าคริสให้หมดหล่อชะมัด ทว่าก็ไม่ทันจะได้สั่งเพราะคริสเอ่ยปากก่อน

“ปิดประตูให้สนิท แล้วหาอะไรมาอุดช่องใต้ประตูด้วย”
ลูก้าพยักหน้า ทำตามอย่างรวดเร็ว ขณะที่เจเรมีเริ่มออกอาการฮีทมากขึ้นกว่าเดิมจนเขาไม่มีเรี่ยวแรงจะไปต่อกรกับอีกฝ่ายแล้ว ตัวร้อนผ่าวจนแทบจะละลาย ช่วงกลางลำตัวเริ่มชูชันจนดันเนื้อผ้าออกมาจนเห็นเป็นเนินชัดเจน กระนั้นก็ยังทำปากเก่งด้วยไม่ต้องการให้คริสมาเห็นเขาในสภาพนี้

“อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่อง ไสหัวไปได้แล้ว...ฮึก...”
ส่งเสียงประหลาดออกมาอีก ก่อนจะรีบเม้มริมฝีปากแน่นด้วยสะกดความกำหนัดของตัวเองไว้ไม่ไหว

คริสก็กะไว้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ มองแล้วก็เม้มปากแน่นเช่นกันเพราะเขาเองก็เริ่มมีอาการตอบสนองต่อกลิ่นของเจเรมีขึ้นมาแล้ว ก่อนจะยื่นมือไปอังที่ซีกหน้าของเจเรมีที่มีเม็ดเหงื่อผุดพรายอย่างเบามือ

เจเรมีเบือนหน้าหลบเล็กน้อย แต่คริสก็ยังดึงดันที่จะวางมือลงบนนั้น พลันกระซิบเสียงพร่า
“เจมี ขอร้อง ฟังฉันหน่อย”
“อย่ามาเรียกฉันอย่างนั้น”
“เจเรมี” ยอมเรียกชื่อเต็มก็ได้เพื่อที่จะได้ตะล่อมง่ายๆ ก่อนจะว่าออกมาอีก “นายกับฉันเราต้องร่วมมือกันถ้าอยากจะมีชีวิตรอดทั้งคู่ เข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร”

ทำไมจะไม่เข้าใจ คริสต้องหมายถึงเรื่องการครอบครอง การเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว

เฮอะ! หนีไม่พ้นเรื่องนี้จนได้ ในหัวทึบๆ ของมันมีแต่เรื่องอย่างนี้หรือไง!

เจเรมีอดมองอีกฝ่ายตาขวางไม่ได้ และก็ไม่อาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้เช่นกัน ยิ่งคริสอยู่ใกล้ กลิ่นฟีโรโมนของคริสก็ทำให้ร่างกายเขามีปฏิกิริยามากขึ้น ผิวเนื้อขาวนวลเริ่มแดงไปทั่วทั้งกาย เหงื่อเม็ดโตผุดพรายเสียท่วมราวกับน้ำตกขณะเดียวกันก็ปล่อยกลิ่นฟีโรโมนของตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมจนคริสต้องกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

“เจมี” เรียกชื่อเล่นอีกแล้ว เป็นการเรียกเพื่อกระตุ้นให้เจเรมีรีบตัดสินใจ “รู้ใช่ไหมว่าฉันยอมปล่อยให้นายเล่นเกมนี้คนเดียวไม่ได้ เข้าใจใช่ไหมว่าเป็นห่วง”

ทว่าเจเรมีกลับปฏิเสธ “เป็นห่วงหรืออยากจะเอาฉันเพื่อประโยชน์ของตัวเองกันแน่”
ว่าแต่คริสปากคอเราะร้าย เจเรมีเองก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน ทำเอาคริสสะอึกไปชั่ววินาทีหนึ่งเลย
“ฉันไม่ทำตามแผนทุเรศๆ ของนาย” จากนั้นก็ปฏิเสธหนักแน่น

คริสก็รู้อยู่หรอกว่าจะต้องลงเอยอย่างนี้ เขารู้ว่าตนทำลายความเชื่อใจของเจเรมีไปหมดแล้วตั้งแต่คืนนั้น แต่ก็ยังดึงดัน มันเป็นผลดีกับทั้งตัวเขาเองและกับตัวคนตรงหน้า

“ขอร้องล่ะ เชื่อกันอีกสักครั้ง”
ที่ต้องขอร้องเพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของผลประโยชน์ มันเป็นมากกว่านั้น

...เป็นสิ่งที่เขายังไม่ได้บอกกับเจเรมี

แต่เจเรมีมีเหรอที่จะหยุดฟัง ได้ยินแล้วก็ตั้งแง่ขึ้นมา ถามเสียงกระเส่าและแผ่วเบา
“งั้นฉันขอถาม นายทำอย่างนี้เพราะต้องการเป็นอิสระใช่ไหม”
คริสพยักหน้ารับไปตามตรง “ใช่ ฉันอยากได้อิสระคืน”
“เห็นฉันเป็นเครื่องมือหรือไงไอ้สวะ” ฟังแล้วก็หัวเสีย ก่นด่าออกมาทันที หากแต่ก็ยังเป็นน้ำเสียงกระเส่า

ทว่าคริสส่ายหน้า “เปล่า เพราะนายเป็นคู่แห่งโชคชะตาของฉันต่างหาก”

เจเรมีนิ่งไป สบตาคริสที่จ้องมานิ่งครู่หนึ่งก่อนจะเผยอยิ้มเย้ย
“ก็เลยจะใช้ประโยชน์จากฉัน” ยังคงคิดในแง่ร้าย

คริสรู้สึกว่าเสียเวลาเหลือเกินในการต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายเพราะสุดท้ายแล้วมันก็วนกลับมาที่จุดเดิม แต่กระนั้นก็ยังจะตอบ
“ที่ฉันทำไปทั้งหมด เป็นเพราะฉันอยากปกป้องนายต่างหาก ถ้าไม่อยากปกป้อง ฉันจะตามหานายทำไมทั้งที่จับคู่กับโอเมก้าคนอื่นเพื่อเอาตัวรอดไปจากที่นี่ก็ได้ มันง่ายกว่าจับคู่กับนายเยอะ” ว่าพลางลากมือที่อังซีกแก้มของอีกฝ่ายอยู่วนไปมาเล็กน้อย

เจเรมีได้ยินก็นิ่งงันไป เขาไม่คาดคิดว่าคนตรงหน้าจะพูดอะไรอย่างนี้ มันถูกของคริส ถ้าคริสจับคู่กับโอเมก้าคนอื่นก็คงจะเอาตัวรอดจากที่นี่ได้ง่ายกว่านี้เพราะคริสไม่เป็นรองเรื่องการต่อสู้อยู่แล้ว ทว่าการที่คริสบอกเป็นนัยว่าเลือกเขามันทำให้อาการครั่นเนื้อครั่นตัวทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระทึกราวกับมีใครมาตีกลองข้างใน ขณะที่คริสเห็นเจเรมีเงียบไปก็โน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆ

“ให้ฉันได้ปกป้องนายนะเจมี”
ไม่มีคำตอบจากคนถูกถาม มีแต่ความเงียบงัน ทว่าดวงตาที่แข็งกร้าวอ่อนโยนลงแล้ว คริสจึงทึกทักเอาว่าเป็นการตอบตกลง พลันหันไปหาลูก้าที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่

“นายออกไปรอข้างนอกก่อน”
“แต่ว่า...” กำลังจะแย้งเพราะเป็นห่วงว่าเจเรมีจะถูกทำมิดีมิร้าย ทว่าพอถูกสายตาของคริสจ้องดุๆ ก็จำต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือก “ถ้ามีอะไรก็เรียกผมนะครับ”

ทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็เปิดประตู ออกไปรอข้างนอกแต่โดยดี คริสผละจากเจเรมีไปปิดประตูและเอาผ้าอุดตามช่องเล็กๆ เสียจนสนิทถึงเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง หากแต่ไม่ได้กลับมานั่งข้างเตียงอย่างที่ทำในตอนแรก เขาเดินมาหยุดที่ปลายเท้า เอื้อมมือไปถอดเสื้อของตัวเอง เผยกล้ามเนื้อบนผิวสีแทนให้อีกฝ่ายเห็นเต็มสองตา พลันคุกเข่าลงบนฟูกนุ่ม ขยับเข้าไปหาคนที่นอนแผ่หลาอยู่

“ได้ไหม?” จู่ๆ ก็ถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้เจเรมีต้องชักสีหน้าเล็กน้อย
“อะไร”
“ให้ฉันปกป้องได้ไหมเจมี” คริสพูดประโยคเดิมซ้ำ

ครั้งนี้เขาไม่ขืนใจและจะไม่ฝืนถ้าหากเจเรมีไม่ต้องการ เพียงแต่ยื่นข้อเสนอเพื่อให้เจเรมีได้ตัดสินใจ และสิ่งที่เจเรมีควรทำคือการปฏิเสธและผลักไสให้คริสออกห่างจากร่างกายเขา ทว่ายิ่งคริสอยู่ใกล้ เขาก็ยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง ความต้องการทวีมากขึ้นเรื่อยๆ

หากเป็นความต้องการแต่เพียงร่างกายและเป็นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของคริสกระตุ้น เขาคงจะไม่หงุดหงิดกับการกระทำของตัวเองสักเท่าไหร่นัก ทว่ามันเป็นความต้องการของจิตใจด้วย

ยิ่งคริสอยู่ใกล้...ก็ยิ่งสบายใจ
ยิ่งใกล้...ก็ยิ่งรู้สึกถึงความปลอดภัย

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เจเรมีรู้สึกว่าชีวิตเขาไปแขวนอยู่กับผู้ชายคนนี้

น่าหงุดหงิดชะมัด ไอ้เวรนี่นึกว่าตัวเองเป็นใคร!?

มาทำให้เขาสับสน ทำให้จิตใจเขาปั่นป่วนขนาดนี้ นึกว่าตัวเองเป็นใครกันแน่!

แต่มือสั่นระริกทั้งสองข้างเอื้อมไปแตะหัวไหล่แกร่งของอัลฟ่าหนุ่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เนื้อตัวร้อนผะผ่าวแต่ฝ่ามือเย็นเยียบเลยทีเดียว คริสมองสีหน้าของเจเรมีที่ดูสับสนและกรุ่นโกรธตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

“เจมี...”
“รีบๆ ลงมือเถอะน่า พูดมากอยู่ได้ เดี๋ยวพ่อก็ฆ่าทิ้ง...” ขนาดขู่ก็ยังเป็นเสียงกระเส่า ซ้ำยังไม่สบตาคนบนตัวด้วย

คริสไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกอย่างไรดีเลย แล้วก็ไม่แน่ใจว่าที่ได้ยินเมื่อครู่คือการอนุญาตแล้วใช่หรือไม่
ทว่าจะอะไรก็ช่าง ถือว่ายินยอมพร้อมใจแล้วก็แล้วกัน

ใบหน้าคร้ามโน้มลงต่ำไปประทับจูบที่ข้างแก้มอย่างทะนุถนอม ก่อนไล่ลงไปที่ลำคอและขยับขึ้นมายังใบหู และลากกลับมาประทับจูบบนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งแผ่วเบา กระซิบเสียงพร่า

“ฉันจะอ่อนโยนกับนาย...เจมี”
ยิ่งได้ยินคริสเรียกชื่อเขาอย่างสนิทสนมทั้งที่ไม่ได้อนุญาต เจเรมีก็หงุดหงิดใจขึ้นมา

เจมีๆๆ อยู่ได้ ไม่เคยเรียกหรือไง!

ก็ไม่เคยเรียกจริงๆ เพิ่งจะมาเรียกเอาช่วงนี้ ปกติเขาไม่ชอบให้ใครเรียกชื่อเล่นของเขาสักเท่าไหร่นัก ยกเว้นคนที่สนิทสนมด้วย และคนที่เขาไม่อยากให้เรียกมากที่สุดก็คือคริส แต่ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกดีไม่น้อยที่ได้ยินเสียงทุ้มนั้นเรียกชื่อ ก่อนที่จะถูกดึงสติกลับมาเมื่อคริสประทับจูบลงมาบนเรียวปากของเขาอีกครั้ง

สัมผัสที่เหมือนจะกลืนกินทำให้มือหนาของเจเรมีที่แตะบนหัวไหล่ของคริสอยู่เลื่อนไปโอบกอดแผ่นหลังแทน ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกให้คริสจู่โจมได้เต็มที่ พลันอัลฟ่าหนุ่มก็สอดปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากของคนใต้ร่าง เกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นของอีกฝ่าย ตักตวงความหอมหวานราวกับผึ้งภมรตอมดอกไม้

เจเรมีส่งเสียงในลำคอเล็กน้อยเป็นการบอกให้รู้ว่าเขาพอใจกับสัมผัสนั้น และมันทำให้คริสชักจะทนไม่ไหว ใจจริงเขาอยากจะกลืนกินเจเรมีอย่างตะกรุมตะกรามตามแรงขับทางเพศที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเสียเหลือเกิน ทว่าด้วยความที่บอกกับอีกฝ่ายไว้แต่แรกว่าจะอ่อนโยนจึงทำให้เขาต้องค่อยๆ เคลื่อนไหวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เขาถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ้อยอิ่งเมื่อเห็นว่าเจเรมีเริ่มหายใจกระชั้น ก่อนไล้ริมฝีปากไปยังแก้มทั้งสองข้าง หน้าผากและปลายจมูก จากนั้นถึงจูบพรมไล่ต่ำลงมายังลำคอ ขบกัดเล็กน้อยด้วยบริเวณนั้นเป็นส่วนที่มีกลิ่นฟีโรโมนชัดเจนเพราะความมันเขี้ยว ขณะเดียวกันก็สอดมือเข้าไปใต้เสื้อ ถลกมันขึ้นสูงเพื่อส่งปลายนิ้วไปหยอกเย้าตุ่มไตเล็กๆ

เม็ดเล็กสีสวยนั่นตอบสนองต่อการสัมผัสทันทีที่ถูกปลายนิ้วร้อนรังแก เจเรมีกระตุกเล็กน้อยเมื่อคริสบิดปลายนิ้วไปมา ความวาบหวามจู่โจมจนเขาต้องกัดริมฝีปากเพื่อข่มเสียงไว้ในลำคอ หากแต่คริสไม่ยอมให้เขาทำอย่างนั้น แค่เห็นสีหน้าของเจเรมีที่พยายามอดกลั้นก็นึกอยากแกล้งขึ้นมาให้สมกับความดื้อดึง

เท่านั้นก็จูบไล่พรมลงต่ำกว่าเดิม ลากปลายลิ้นไปยังยอดอกข้างหนึ่งที่ยังไม่ถูกรังแก ดุนดันจนมันตื่นตัวขึ้นมา พลันเข้าครอบครองทีละน้อย

เจเรมีถึงกับเบือนหน้าหนีไปอีกฝั่ง เผลอส่งเสียงออกมาอย่างลืมตัว เขาแข็งแกร่ง มีความอดทนทางกายภาพสูง แต่ไม่อาจอดทนต่อการรุกเร้าของปลายลิ้นนุ่มได้ ยิ่งคริสตวัดไล้ลิ้นไปมามากเท่าไหร่ อุณหภูมิในร่างกายก็เหมือนจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง

ใช่... ระเบิด ไม่ทันไร เจเรมีก็ต้องสะท้านไปทั้งร่างเมื่อมีแสงขาวโพลนปรากฏวาบเข้ามาในหัว

เสียงหายใจหอบหนักๆ ทำให้คริสรู้ว่าเจเรมีถึงฝั่งแล้วทั้งที่ยังไม่ได้แตะช่วงล่างเลยด้วยซ้ำ แต่นั่นมันเป็นเรื่องปกติของผู้ชายคนนี้ในยามเป็นฮีท

ครั้งแรกที่เห็นเจเรมีเป็นฮีท แค่ได้กลิ่นเขาอย่างเดียวยังสุขสมได้เลย ถูกกระตุ้นอย่างนี้ก็ไม่แปลกหรอกถ้าจะใช้เวลาไม่นานนัก แต่นั่นแหละความพิเศษของเจเรมี คริสรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่จบแค่นี้ อีกครู่เดียวอาการกำหนัดระลอกใหม่ก็ต้องมา ซึ่งก็เป็นจริงตามคาดเมื่อคริสหยอกเย้ากับยอดอกทั้งสองข้างสลับไปมาด้วยปาก มือทั้งสองข้างตอนนี้เลื่อนลงไปสาละวนกับการปลดตะขอกางเกงยีนของเจเรมีแล้ว

จะว่าด้วยความชำนาญหรืออะไรก็ได้ เพราะคริสใช้เวลาไม่นานก็จัดการกับปราการที่ขวางกั้นเขาอยู่ออกสำเร็จ เขาผละออกจากเจเรมีไปจับอีกฝ่ายถอดกางเกงออก ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

มันเป็นภาพที่ดูลามกสิ้นดี แต่กลับทำให้เจเรมีดูยั่วยวนขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัวจนเขาแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะจัดการคู่แห่งโชคชะตาในวินาทีนั้น

“นายเปียกไปหมดเลยนะ” โน้มใบหน้าลงไปกระซิบเสียงพร่า พลันใช้มือกอบกุมแก่นกายของอีกฝ่ายที่เริ่มจะแข็งขืนขึ้นมาอีกรอบ “แล้วก็ตื่นตัวอีกแล้ว”
“อย่าพูดมากได้ไหม” เจเรมีไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคริส ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกว่าคริสในเวลาอย่างนี้ช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน

อัลฟ่าหนุ่มเผยอยิ้มให้กับคนที่หน้าแดงเรื่ออยู่ใต้ร่าง พลันประทับจูบลงไปที่ริมฝีปากอีกครั้ง
“นายน่ารักเกินไปแล้วเจมี”

ฟังแล้วประดักประเดิดเสียเหลือเกิน ตั้งแต่จำความได้มีแค่ตอนเด็กเท่านั้นที่เคยได้ยินคนอื่นชมเขาด้วยคำนี้ พอเริ่มเข้าวัยรุ่นก็ถูกเรียกว่าจอมวายร้ายแทน พอมาได้ยินอย่างนี้อีกครั้งก็ทำให้หน้าของเขาร้อนวูบขึ้นมาไม่ได้
“หยุดพล่ามสักที”

ดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเขินอาย ถึงจะถูกสั่งห้าม ถึงจะไม่พูด แต่คริสก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีว่าท่าทางอย่างนี้ของเจเรมีมันน่ารัก
เขาอดใจไม่ไหวที่จะแกล้งขบริมฝีปากของอีกฝ่าย ทำให้เจเรมีต้องย่นคิ้วอย่างหัวเสีย

“นายนี่มัน... ลีลาท่ามาก” เปล่งเสียงออกมาเมื่อเป็นอิสระ

คริสเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่าหมายความว่าอะไร ทว่าไม่มีคำตอบจากคนตรงหน้า แต่ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายพูดถึงเรื่องอะไรจากการกระทำ

หมายถึงเขาทำอะไรไม่ทันใจนั่นเอง และมันทำให้เจเรมีหงุดหงิดงุ่นง่านจนต้องเป็นพลิกบทมาเป็นฝ่ายจู่โจม

ลำคอแกร่งของคริสถูกรั้งเข้าหา ริมฝีปากถูกตะโบมจูบอย่างกระหาย คราแรกคริสก็จูบตอบรับกับปฏิกิริยานั้น แต่ครู่เดียวก็รู้สึกว่าเขาถูกรุกเร้าจนแทบจะหายใจหายคอไม่ทัน ผละมาได้เล็กน้อยก็จะบอกให้เจเรมีใจเย็นๆ แต่เหมือนจะไม่ทันแล้วเมื่ออีกฝ่ายจัดการถอดเสื้อของตัวเองออก โยนทิ้งไปข้างเตียง หันมาคว้าอัลฟ่าหนุ่มให้ล้มตัวลงนอนแทน ซ้ำยังเป็นฝ่ายขึ้นมาคร่อมเอาไว้จนคริสต้องร้องปราม

“เดี๋ยวเจมี...”
“หุบปาก”
ถูกเอ็ดมาอีกแล้ว จากนั้นก็ถูกช่วงชิงริมฝีปากไปอีกระลอก เจเรมีเหมือนกับสัตว์ป่ากำลังกัดกินเหยื่ออันโอชะอยู่ก็ไม่ปาน อะไรที่คริสทำกับร่างกายเขาก่อนหน้า เขาทำอย่างเดียวกันกับร่างกายคริสบ้างในคราวนี้ จะมีก็เพียงอย่างเดียวที่ดูจะพิเศษหน่อยตรงที่พอเจเรมีปลดเปลื้องช่วงล่างของคู่แห่งโชคชะตา แก่นกายก็ถูกครอบครองด้วยลิ้นและโพรงปาก

คริสครางฮืมในลำคอ กรามขบเข้าหากันจนเป็นสันนูนทันควัน

ให้ความร่วมมือในการเอาชีวิตรอดเกินไปแล้วเจมี...

อดรำพึงออกมาในใจอย่างนั้นไม่ได้เลย ยิ่งเห็นศีรษะของเจเรมีเคลื่อนไหวไปมาที่กลางลำตัวเขา คริสก็อดไม่ได้ที่จะเป็นฝ่ายจัดการทุกอย่างก่อนที่มันจะสายเกินไป

“มานี่” ออกปากเรียกพลางดึงตัวคนตรงหน้าให้มานอนแทนที่

หากแต่พอเจเรมีเงยหน้าขึ้นมา เขาก็ดันไปจูบเจเรมีเสียอย่างนั้น ทำให้อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมาโดยไม่ทันตั้งตัวอีกระลอก
คริสดึงร่างของคนตัวเล็กกว่าที่หายใจกระหืดหอบเข้ามากอด รอให้เจเรมีหายใจเป็นปกติครู่หนึ่งก็จับให้เอนกายลงไปนอนแทนที่เขา กระซิบเสียงเบาอย่างขบขัน

“จะรีบร้อนไปถึงไหน”

รีบจริงๆ เขายังไม่ทันจะได้ทำอะไรสักเท่าไหร่เลย คนใต้ร่างเขาก็ปลดปล่อยไปสองครั้งแล้ว

เจเรมีเหลือบมองขวางๆ ด้วยสายตายั่วยวน เถียงกลับอย่างไม่ยอม “นายอยากชักช้าทำไม”
“ก็บอกแล้วว่าจะอ่อนโยน นายนี่มันดื้อได้ทุกเวลาจริงๆ”
“ฉันจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของ...อึ้ก” กำลังจะเถียงอีกครั้งแต่ก็ต้องแอ่นสะโพกขึ้นเล็กน้อยเมื่อช่องทางระหว่างเนื้อหนั่นบริเวณบั้นท้ายถูกรุกรานด้วยปลายนิ้ว

ไม่แน่ใจว่าคริสสอดใส่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหน รู้เพียงอย่างเดียวว่ามันทำให้เจเรมีเริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง อาการฮีททวีมากขึ้นจนไม่อาจจเพิ่มไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว สติของเจเรมีแทบจะหลุดลอยในขณะที่ของเหลวค่อยๆ หลั่งออกมาเปรอะเปื้อนมืออีกฝ่ายเป็นการบอกให้รู้ว่าเขาพร้อมที่จะรับคริสเข้ามา

คริสแกล้งขยับนิ้วไปโดนจุดที่เต็มไปด้วยความรู้สึกให้เจเรมีได้หลุดครางออกมา ก่อนจะกระซิบที่ข้างหู
“ตั้งแต่วินาทีนี้...เรื่องของนายก็เหมือนเรื่องของฉัน จำเอาไว้ให้ดี... เจเรมี เมอร์ซี”

แล้วก็ถอนนิ้วออกด้วยเกรงว่าคู่แห่งโชคชะตาจะหนีเขาไปสุขสมเพียงลำพังเป็นครั้งที่สาม มือหนาจับท่อนขาของเจเรมีตั้งชันขึ้น และขยับให้แยกออกเล็กน้อยเพื่อแทรกตัวเข้ามาระหว่างกลาง มือจับสะโพกขยับยกสูงเพื่อให้อยู่ในท่าทางที่ถนัด ก่อนที่ความเป็นชายของอัลฟ่าหนุ่มจะสัมผัสยังกลีบดอกไม้อย่างแผ่วเบา

อึดใจเดียว ความคับแน่นก็พร่างพรายไปทั่วช่องท้องของเจเรมี เขาเบ้หน้าเล็กน้อยด้วยไม่คุ้นชินกับความรู้สึกแปลกใหม่ คริสค่อยๆ ให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเชื่องช้าด้วยเกรงว่าจะไปสร้างความเจ็บปวดให้กับเจเรมี พอทุกอย่างเข้าที่ เขาก็เอ่ยถาม

“ไหวไหม?”
เจเรมีไม่ตอบ ได้แต่สบดวงตาเหยี่ยวอย่างวิงวอน
“คริส...”

เรียกแค่ชื่อแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก แต่กลับทำให้สัญชาตญาณนักล่าของคริสตื่นขึ้นมาเต็มตัว

เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว... สะโพกขยับเข้าหาจนร่างแนบชิด ช่วงล่างของเจเรมีแอ่นรับกับแรงกระแทกนั้น ไม่นานก็คุ้นชิน คริสเพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อย เท่านั้นความเสียวซ่านก็พร่างพรายไปทั่วจนเจเรมีไม่เป็นตัวของตัวเอง เสียงที่กักเก็บมาครู่ใหญ่ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น แขนทั้งสองข้างเกี่ยวกระหวัดโอบรัดร่างใหญ่ของคนตรงหน้า ขณะที่คริสก็พรมจูบรับรสและกลิ่นหอมหวานจากคนใต้ร่างไม่ห่าง

หลงใหลมัวเมาในกลิ่นฟีโรโมนของกันและกันจนจมดิ่งสู่โลกที่มีเพียงเขาสองคน... บทรักดำเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่าคล้ายว่าจะไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืนจนคนที่รออยู่ด้านนอกหน้าร้อนวาบไปถึงไหนต่อไหนเมื่อได้ยินเสียงฟังไม่ได้ศัพย์ลอยตามลมมาให้ได้ยิน

แต่ใครจะสน เพียงแค่ได้ตระกองกอดกันและกันไม่ห่างอย่างนี้ พวกเขาก็ไม่มีเวลาจะไปคิดอะไรอย่างอื่นแล้ว

ความมหัศจรรย์ของคู่แห่งโชคชะตาระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง จนทำให้เจเรมีอดคิดไม่ได้เลยว่าคริสนี่แหละ... ยาระงับอาการฮีทชั้นดีของเขาล่ะ
-----------------------------------
เอาไปเพิ่มบทมานิดหน่อยค่ะ ความจริงเขียนเสร็จนานละตอนนี้
เพิ่มบทแล้วนัวมากกกก //ปาดน้ำลาย
เขาเป็นของกันและกันแล้วค่ะแม่! //จุดพลุ
ขอแสดงความยินดีกับขุ่นคริสด้วยค่ะที่ได้กินน้องสักที
แม่ยกไม่ต้องสยายปีกแล้วนะคะ ไม่นกละ ก๊ากก
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้หน่อย เดี๋ยวเย็นๆ จะมาแปะตัวอย่างตอนต่อไปให้ค่ะ XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.15[6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-03-2017 08:45:50
อื้อหือ นายนี่มันเจมีจริง ๆ !

และแล้วพี่คริสพญานกฟีนิกซ์ก็โดนปืนกระตุ้นฮีทสอยลงมาจากฟ้า
แลนดิ้งมาสยายปีกบนอกเจมีอย่างสง่างาม

 :laugh:

พี่คริสก็ยังใจดีกับเจมีเหมือนเดิม ไอ้ที่สารภาพทั้งหลายแหล่คือคำบอกรักกลาย ๆ หรือเปล่า? วุ้ย! เขิน  :-[

ลูก้าที่น่าสงสาร ถูกพ่อขายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไอ้ตระกูลเฮงซวยนี่ต้องมีเงื่อนงำแน่

เกมนี้มันวิปริตเหมือนไอ้นายพลเดร็กเลย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.15[6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 06-03-2017 10:52:13
รอตอนต่อไปอย่างใจจดจ่อ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.15[6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 06-03-2017 11:44:48
ชอบพระเอกมากกกกกก :mew1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.15[6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 06-03-2017 14:40:46
ลูก้านี่มันเด็กเฝ้ายามชั้นดีเลยนี่นา 5555
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.15[6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 06-03-2017 15:52:27
ลูก้าคงไม่ใช่ลูกไอ้นายพลนั่นใช่ไหม
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.15[6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 06-03-2017 20:52:43
อ๊ายยยย
บอกได้คำเดียวว่าฟิน
เข้มข้นไปอีก
เริ่ดค่า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.15[6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 06-03-2017 23:48:01
Episode 16: ไม่มีที่มากพอสำหรับโอเมก้าสองคน[1]

เพราะยากระตุ้นอาการฮีทถูกฉีดผ่านใต้ผิวหนังแต่ไม่ได้เข้าทางกระแสเลือดโดยตรงทำให้อาการฮีทของเจเรมีทวีความรุนแรงได้ช้ากว่าตอนที่ถูกจับฉีดขณะทดลองคิดค้นยาต้านเนื่องจากตอนนั้นเขาถูกฉีดยาเข้ากระแสเลือดโดยตรง ดังนั้นการที่เขามีอารมณ์ร่วมไปกับการสัมผัสของคริสสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่ามาจากสัญชาตญาณดิบของเขาเอง

สัญชาตญาณของโอเมก้าที่เป็นไปเพื่อการสืบพันธุ์...

จะเพื่ออะไรก็ช่าง เจเรมีไม่ได้ใส่ใจนัก เขารู้เพียงแค่เขาไม่อาจจะต่อต้านความเป็นโอเมก้าของตัวเองได้เลย

ไม่ว่าจะมีรูปลักษณ์หรือนิสัยเหมือนอัลฟ่าอย่างไร เขาก็ยังเป็นโอเมก้าอยู่วันยังค่ำ เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ และตอนนี้เขาก็มีคู่ครองแล้วด้วย นั่นก็เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้อีกเช่นกัน

ไอ้การที่เขาเคยประกาศไว้ว่าจะไม่นอนแยกขาให้กับใครมันสลายหายไปเป็นอากาศธาตุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รู้สึกแย่กับตัวเองพอสมควรที่ต้องกลืนน้ำลาย และแย่หนักใหญ่ทันทีที่คิดว่าหลังจากผ่านการร่วมรักกับคริสในครั้งแรกไป เขาก็เริ่มจำอะไรไม่ได้ด้วยครองสติไม่อยู่เนื่องจากยากระตุ้นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ทว่าก็พอจะเดาได้ว่าตนคงจะทอดกายให้คริสได้หรรษากับเรือนร่างยันรุ่งสางแน่เพราะทันทีที่รู้สึกตัวตื่นและดันตัวขึ้นจากเตียง ความปวดแปลบบริเวณบั้นเอวก็ประดังประเดเข้ามาทำให้เขาต้องทิ้งตัวนอนลงไปเหมือนเดิม พลันหงุดหงิดฉับพลัน

ไอ้เวรคริส... ได้ทีมันทำซะจน...

ไม่อยากจะคิดต่อว่าทำเสียจนร่างกายเขาทำไม เจเรมีทุบกำปั้นไปยังที่ว่างข้างเตียงอย่างหัวเสีย ปราดมองไปตามเนื้อตัวเปลือยเปล่าของตัวเองที่ผ่านการทำความสะอาดมาแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ด้วยกลิ่นของคริสยังไม่จางไปไหน

เป็นกลิ่นใหม่ด้วย...ไม่ใช่กลิ่นของฟีโรโมน อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่าเป็นกลิ่นอะไร รู้แต่เพียงว่ามันมาจากอัลฟ่าคนนั้น

อาจจะเป็นกลิ่นซึ่งเป็นเครื่องหมายของการครอบครอง เขาเคยได้ยินมาอยู่ว่าโอเมก้าที่มีคู่แล้วจะมีกลิ่นของอัลฟ่าแฝงอยู่ในตัว และมันจะส่งกลิ่นรุนแรงมากทีเดียวถ้าหากว่าคู่ครองเป็นคู่แห่งโชคชะตา เขาเองก็ไม่เคยได้กลิ่นนั้นจากโอเมก้าด้วยกันหรอกเพราะมีแต่อัลฟ่าเท่านั้นที่จะได้กลิ่นนั้น แต่ที่เขาได้กลิ่นคงเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคู่แห่งโชคชะตาอย่างที่ว่า

คิดแล้วก็ยกแขนตัวเองขึ้นดมเป็นการใหญ่ จังหวะเดียวกับที่คริสเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับอาหารกระป๋องพอดี พอเห็นเจเรมีทำท่าทางอย่างนั้นก็เอ่ยทัก

“อาบน้ำไหม? เมื่อเช้าฉันทำแค่เช็ดตัวให้นาย อาจจะยังมีกลิ่นติดอยู่”

กวนประสาทตั้งแต่เจอหน้า!

กลิ่นอะไร เจเรมีเข้าใจดี แน่นอนว่าคริสไม่ได้หมายถึงกลิ่นแสดงความเป็นเจ้าของ แต่หมายถึงกลิ่นอื่น ทำเอาเจเรมีชูนิ้วกลางใส่อย่างรวดเร็ว

“หุบปาก”
คริสไม่แสดงสีหน้าใดๆ เดินตรงเข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง วางอาหารกระป๋องลงได้ก็ชะโงกหน้าเข้าไปดมที่ซอกคอของเจเรมีโดยไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว
“ก็ไม่ได้เหม็นอะไรขนาดนั้น”
“นายจะหาเรื่องฉันใช่ไหม!” คว้าหมอนมาฟาดหน้าอีกฝ่ายเป็นที่เรียบร้อย

คริสหลบไม่ทันจึงโดนเข้าไปเต็มรัก มันไม่เจ็บหรอก เขาออกจะสนุกด้วยซ้ำที่ได้หยอกให้คนใจร้อนหงุดหงิดอย่างนี้ ก่อนจะแย่งหมอนมาถืออย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นว่าเจเรมีตั้งท่าจะฟาดเขาอีก

“ฉันก็แค่พูดความจริง นายไม่ได้เหม็นขนาดนั้น”

ยังไม่หยุดอีก!

เจเรมีไม่อยากจะสนใจแล้ว ไม่อย่างนั้นคริสจะได้ใจ แกล้งเขาต่ออีก ดูท่าทางของคนตรงหน้าก็รู้ว่ากำลังหาเรื่องล้อเลียนเขา ไม่เชื่อก็ดูดวงตาเรียวยาวเป็นประกายวิบวับนั่นสิ จ้องอย่างนี้มันน่าไว้ใจเสียที่ไหน

เดาได้ว่าการล้อเลียนของคริสต้องไม่พ้นเรื่องระหว่างพวกเขาที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแน่ เจเรมีจึงเลี่ยงโดยการแสร้งทำตัวเป็นปกติ
“มีอะไรมาให้กิน...”
“นายเป็นของฉันแล้วนะ”

อุตส่าห์จะเบี่ยงประเด็นแล้วแท้ๆ คริสก็ดันโพล่งขึ้นมาเสียได้

เจเรมีตวัดสายตาไปมองทันที ขณะที่คริสยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้อีกแล้ว
“ความจริงเป็นคู่กับคู่แห่งโชคชะตาก็ไม่เลวเหมือนกัน” พลันเอาหน้ามาซุกที่ซอกคออีกครั้ง

เจเรมีถอยห่างเล็กน้อย มือยกขึ้นจับต้นคอของตัวเองอย่างรวดเร็ว ท่าทางนั้นทำให้คริสต้องย่นคิ้วราวกับขัดใจ
“คิดว่าฉันจะกัดหรือไง ประเพณีล้าหลังเป็นร้อยปีอย่างนั้น ฉันไม่ทำหรอก สมัยนี้มีใครทำอย่างนั้นกันบ้าง”

จริงอย่างที่คริสว่า ไม่มีใครกัดคอแสดงความเป็นเจ้าของกับโอเมก้าอีกแล้ว มันเป็นประเพณีที่ได้ชื่อว่าไร้อารยธรรมจึงไม่เป็นที่นิยมในยุคสมัยนี้ แค่กลิ่นของอัลฟ่าที่ฝังอยู่ในตัวของโอเมก้าก็เพียงพอที่จะทำให้รู้แล้วล่ะว่าใครเป็นเจ้าของ แต่มันก็ใช้ไม่ได้กับโอเมก้าที่ถูกจับมาขาย กลิ่นของอัลฟ่าในตัวโอเมก้าจะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่เปลี่ยนคู่นอนใหม่จึงไม่อาจรู้ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้าชีวิตที่แท้จริง มีเพียงสัญลักษณ์เป็นจุดสักที่ต้นแขนแทนเพื่อให้รู้ว่าโอเมก้าคนนั้นถูกขายทอดตลาดมากี่ครั้งแล้ว

การขายทอดตลาดหมายถึงการเปลี่ยนเจ้าของใหม่ ไม่ได้หมายถึงการผลัดเปลี่ยนคู่นอนแต่อย่างใด สำหรับลูก้า การที่เขามีจุดรอยสักบนต้นแขนถึงสี่จุด มันหมายความว่าเขาถูกเปลี่ยนเจ้าของมาแล้วถึงสี่ครั้งโดยเจ้าของคนแรกและคนปัจจุบันคือคนคนเดียวกัน

ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เจเรมีจะมาสนใจในตอนนี้ ที่เขารีบผละออกเป็นเพราะกลัวว่าคริสจะทำรอยแดงเป็นจ้ำบนต้นคอเขาเหมือนครั้งก่อนต่างหาก แต่ไม่ได้ทำก็แล้วไป ส่วนตอนนี้เขาต้องจัดการกับคนที่มายุ่มย่ามกับร่างกายของเขาให้เร็วที่สุด ดูท่าทางอีกฝ่ายจะได้ใจเป็นอย่างมากทีเดียว

มือหนาดันใบหน้าของคริสออกห่างทันควัน
“อย่าเอาหน้าเข้ามาใกล้”
“ทำไม”
“น่าขยะแขยง”
“เมื่อคืนยังจูบเอาๆ”

คริสกวนประสาทเต็มที่ ไม่แน่ใจนักว่าตั้งใจหรือเป็นไปโดยธรรมชาติ แต่ก็ทำให้เจเรมีหน้าร้อนวูบขึ้นมาได้ทันตา

“หาเรื่องกันจริงๆ สินะ” สายตามองหาชะแลงเหล็กเป็นพัลวัน

คริสรู้ทัน กะไว้อยู่แล้วว่าถ้าคนตรงหน้าตื่นมา เขาจะต้องถูกเล่นงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอนจึงสั่งให้ลูก้าเอาอาวุธพวกนั้นออกไปไว้ยังอีกห้องเป็นที่เรียบร้อย

เห็นเจเรมีมีท่าทางอย่างนั้นก็รีบคว้ากระป๋องอาหารมาเปิดและส่งให้พร้อมกับช้อน
“กินก่อนเถอะ เรื่องเอาเลือดหัวฉันออกค่อยเอาไว้ทีหลัง”

กะไว้ว่าอย่างนั้นเมื่อรู้สึกว่าท้องตัวเองเริ่มร้องประท้วงทันทีที่เห็นอาหารตรงหน้า มันไม่ใช่อาหารที่ดูน่ากินสักเท่าไหร่ ก็เป็นถั่วกระป๋องเหมือนเดิมกับที่เขากินเมื่อวาน แต่ด้วยความที่ท้องหิวจึงไม่รีรอที่จะตักมันเข้าปาก

ตักไปได้สองสามคำก็สังเกตเห็นว่าตัวเองถูกอัลฟ่าหนุ่มจ้องมองอยู่

คริสมองเจเรมีตาไม่กะพริบจนถูกอีกฝ่ายทัก
“มองอะไร”
“ไม่มีอะไร” จากนั้นก็เบือนหน้าไปอีกฝั่ง โค้งตัวลงเอาศอกเท้ากับหน้าขาแล้วใช้มือชันปลายคางเอาไว้ ทำได้ครู่เดียวก็เหลือบมามองเจเรมีที่อยู่ข้างๆ อีก ครั้งนี้ไม่มองเปล่า ริมฝีปากยกขึ้นเล็กน้อยจนเจเรมีต้องชักสีหน้าใส่
“แล้วนี่ยิ้มบ้าอะไร”
“เปล่า” เม้มปากกลบเกลื่อนแทบไม่ทัน จากนั้นก็หลุดยิ้มออกมาอีก เลยถูกเจเรมียกขาถีบเสียเต็มรัก
“นายนี่มันจงใจกวนโมโหฉันชัดๆ!”

ไม่ได้กวนเลย คริสแค่เห็นว่าเจรเมีน่ารักดีต่างหาก ไม่รู้ว่าไปมองจุดไหนถึงเห็นเป็นอย่างนั้น โดนถีบไปทีหนึ่งเลยตาสว่างขึ้นมานิดหน่อย ตั้งหลักได้ถึงได้สวนกลับ

“ฉันมองหน้านายไม่ได้หรือไง”
“แล้วจะมองทำไมล่ะวะ!” เจเรมีแผดเสียง เขาไม่ชอบถูกสายตาคู่นั้นจ้องมอง บอกตามตรงว่ามันทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง
และก็ยิ่งแล้วใหญ่เมื่อคริสขยับเข้ามาใกล้ ยื่นมือมาเช็ดคราบซอสที่เปรอะเปื้อนยังมุมปากอีกฝ่ายพลางกระซิบเสียงเบา
“เพราะนายน่ารักไง ฉันถึงได้มอง”

ขนลุกเกรียวขึ้นมาทั้งตัวเลยทีเดียว เจเรมีเสียวสันหลังวาบไปทั้งตัว ก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าพอได้เสียกันแล้ว ความสัมพันธ์มันก็น่าจะดูดีขึ้นมาสักหน่อย แต่เขาไม่คุ้นชิน ยิ่งคริสมาอ่อนโยนกับเขาราวกับว่าเป็นโอเมก้าบอบบาง เจเรมีก็ทนกับความหวานแสบไส้อย่างนี้ไม่ได้

“พอเลย ถอยออกไป” แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอย่างจริงจัง

ใบหน้าร้อนวาบ ไม่กล้าสบตาคนตรงหน้า ประหม่าขึ้นมาฉับพลัน เป็นความรู้สึกครั้งแรกที่เขามีต่อคนอื่น และนั่นทำให้ซีกแก้มของเขาแดงเรื่อขึ้นมาน้อยๆ หากแต่ใบหูกลับแดงแจ๋ ชวนให้คริสต้องหัวเราะพร้อมเอามือไปจับที่ปลายหูข้างหนึ่งเบาๆ พลางกัดริมฝีปาก

น่ารักจริงๆ ด้วย...

คิดไม่ผิดหรอกที่มองเห็นเป็นอย่างนั้น ในสายตาของเขา ปีศาจผมบลอนด์น่ารักที่สุดแล้ว

น่ารักเสียจนอดใจไม่ไหว ต้องขยับเข้าไปจูบ...

เจเรมีที่ถูกช่วงชิงริมฝีปากอย่างไม่ทันตั้งตัวถึงกับย่นคิ้วยู่ คริสถอยออกมาได้ก็ยิ้มกริ่ม
“ความจริงตอนไม่เป็นฮีท เราก็ทำเรื่องอย่างว่ากันได้นะ”

คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง...

มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยนี่หว่า! ไอ้เวรคริส ทำไมเป็นคนเจ้าเล่ห์ขนาดนี้วะ!?

เหมือนจะเพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองพลาดท่า คริสอ่อนโยนกับเขามากขึ้นก็จริง แต่ก็ขี้แกล้งมากขึ้นเช่นกันทั้งที่ปกติแล้วจะไม่เคยพูดจาอะไรอย่างนี้ วันๆ เห็นแต่ปั้นหน้านิ่งเสียจนคิดว่าเป็นหุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมมาให้ทำหน้าอยู่แบบเดียว

“อย่าให้มันได้ใจมากนัก” กระนั้นเจเรมีก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพียงแต่เตือนด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจสักเท่าไหร่
คริสหัวเราะในลำคอเล็กน้อย เขาพอใจแล้วล่ะที่ได้หยอกล้อกับผู้ชายตรงหน้าอย่างนี้ ก่อนที่จะปั้นหน้าขรึมตามเดิม
“รีบกินซะ จะได้พักผ่อน ไว้นายตื่นมาอีกรอบเมื่อไหร่ เราค่อยไปหาที่พักใหม่กัน” วางแผนการใช้ชีวิตเสร็จสรรพแล้วด้วย
เจเรมีไม่ถามว่าจะเปลี่ยนสถานที่ทำไมในเมื่อที่นี่ก็สะดวกสบายดี เพราะรู้ดีว่าการอยู่ที่เดียวนานๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ มันจะทำให้ตกเป็นเป้าในการโจมตีได้ง่าย ก่อนจะโพล่งขึ้น

“ไม่ต้อง จะไปไหนก็ไปเลย”
“นายเดินไหวหรือไง” คริสสวนกลับมา ทำเอาเจเรมีหน้าม้าน ขณะที่อีกฝ่ายว่าขึ้นอีก “ถ้าคิดว่าไหวก็ลองยืนขึ้นสิ”

ถูกท้าอย่างนั้น มีเหรอที่เจเรมีจะไม่ทำ หากแต่พอขยับตัวเท่านั้น ความปวดแปลบก็แล่นพล่านเข้ามาอีกจนเขาต้องเบ้หน้าเหยเก ทำเอาคริสถึงกับเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่า ‘ได้แค่นี้เหรอ?’ ให้เจเรมีได้หัวเสีย

“เพราะนายเลยไอ้ทุเรศ!” ยกขาถีบคริสไปอีกที

คราวนี้คริสหลบได้จึงไม่ได้โดนเต็มรักเท่าไหร่นัก

“ถึงได้บอกให้พักก่อน ไว้ค่อยไปกัน” สุดท้ายคริสก็สรุปอย่างนั้น
เจเรมีจำเป็นต้องยอมเพราะเขาไม่ไหวจริงๆ มันเป็นความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ถูก

ปวดหน่วงๆ? ปวดหนึบๆ?

แต่จะปวดแบบไหนก็ตาม มันล้วนมาจากการไม่ออมแรงของคริสทั้งนั้น

ขนาดทำผู้ชายร่างใหญ่อย่างเขาเจ็บตัวได้ขนาดนี้ แสดงว่าไม่ใช่เล่นๆ แล้ว

นอกจากเรื่องการปวดเมื่อยที่บั้นเอวก็ยังมีเรื่องบาดแผลที่ได้จากการต่อสู้กับอัลฟ่าตอนช่วยเหลือลูก้าเมื่อวานอีก เพิ่งตระหนักได้ก็ตอนได้ยินคริสพูดขึ้น

“นอนพักสักหน่อย ตื่นแล้วค่อยมาทำแผลใหม่”
เจเรมีถึงรู้ในตอนนี้ว่าที่แขนของเขามีผ้าพันแผลพันอยู่

คงจะเป็นฝีมือของคริสอย่างแน่นอน... แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นั่งถือกระป๋องถั่วนิ่ง ปล่อยให้คริสได้พูดต่อ
“แล้วจากนั้นนายจะอาบน้ำหรืออะไรก็แล้วแต่ ส่วนเสื้อผ้าของนาย ฉันเอาไปซักให้แล้ว ตากอยู่ข้างนอก ตอนนี้คงต้องอยู่ในสภาพนี้ไปก่อน” หมายถึงสภาพเปลือยเปล่า

เจเรมีหมดความเขินอายเรื่องที่อีกฝ่ายเห็นร่างกายเขาทุกสัดส่วนแล้วล่ะ เห็นของกันและกันจนเบื่อไปข้างแล้ว เขาไม่มาสะทกสะท้านกับอะไรอย่างนี้พักใหญ่แล้ว สิ่งเดียวที่อยากได้ในตอนนี้คืออยากให้คริสไสหัวไปไกลๆ สั่งโน่นสั่งนี่เขาอยู่ได้ น่ารำคาญชะมัดยาด!

“มีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีก็ไสหัวไปได้แล้ว”
“อีกเรื่องก็แค่เรื่องของเด็กนั่น...” คริสว่า
เจเรมีย่นคิ้วไปเล็กน้อย “ลูก้า?”
“เราต้องคุยกันว่าจะจัดการกับลูก้ายังไง เข้าใจใช่ไหมว่าโอเมก้าสองคนอยู่ด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องดี”

ไม่ต้องอธิบาย เจเรมีก็เข้าใจว่าคริสหมายความว่าอะไร

จัดการอาจจะหมายถึงกำจัด ซึ่งกำจัดก็มีความหมายว่าต้องฆ่า แต่เจเรมียังไม่พร้อมที่จะมาคิดเรื่องอะไรอย่างนั้น บ่ายเบี่ยงอย่างรวดเร็ว

“ไว้ค่อยคุย ฉันอยากนอน”

อัลฟ่าหนุ่มคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องได้รับปฏิกิริยาอย่างนี้ตอบกลับมา เขาถึงได้บอกว่าค่อยคุยทีหลังอย่างไรล่ะ
ถูกไล่แล้วคริสก็ชะโงกหน้าไปจูบเจเรมีเบาๆ อีกครั้ง พลันผละออกมาลุกขึ้นยืน ทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคสั้นๆ
“ถ้าต้องการอะไรก็เรียกฉันแล้วกัน ฉันอยู่ข้างนอก” กะเฝ้าระวังความปลอดภัยให้กับเจเรมี

สิ้นเสียงก็เดินออกไป ปล่อยให้เจเรมีมองตามเงียบๆ




 
ปิดประตูสนิทดีแล้ว คริสก็เดินมาด้านนอก ลูก้าซึ่งนั่งรออยู่มองเขานิ่งในขณะที่เขาไม่ได้สนใจและตั้งท่าจะเดินไปที่อื่น ทว่าก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายร้องเรียก

“คุณฟ็อกซ์ครับ”
คริสหันมามองพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“คุณเมอร์ซีเป็นยังไงบ้างครับ” เป็นครั้งแรกเลยที่ลูก้าอยากจะคุยกับเขา ปกติแล้วคุยกันแค่เพียงประโยคสองประโยคเท่านั้น
“สบายดี” คริสยกมือขึ้นกอดอก มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ในขณะที่ลูก้าไม่ได้มีสีหน้าสบายใจสักเท่าไหร่นักเมื่อได้ยินคำตอบนั้นจนคริสต้องถามขึ้นมา “มีอะไรอยากถามก็ถามมา”

เขาอ่านสีหน้าเด็กหนุ่มออก ลูก้าไม่สบายใจจริงอย่างที่คริสว่า ก่อนจะรวบรวมความกล้าเปิดปากออกไป
“เมื่อคืนนี้...คุณกับคุณเมอร์ซี...เอ่อ...”

สงสัยอยากจะรู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นระหว่างคริสกับเจเรมี

“นายอายุเท่าไหร่” แทนที่จะตอบ เขากลับถามลูก้าคืน

คนถูกถามงุนงงไม่น้อย ทว่าก็ยอมตอบคำถาม “สิบแปดครับ”

“โตพอที่จะรู้เรื่องแล้วสินะ” ประโยคนี้เหมือนพึมพำอยู่คนเดียว จากนั้นถึงได้บอกกับเด็กหนุ่มตรงหน้า “อัลฟ่ากับโอเมก้าที่เป็นคู่แห่งโชคชะตาใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืน แถมโอเมก้ายังเป็นฮีท ก็ต้องทำอะไรอย่างที่ผู้ใหญ่เขาทำกัน”

ฟังแล้วก็หน้าร้อนวาบ เป็นคำตอบที่คลุมเครือแต่ลูก้าก็เข้าใจได้ดี เขาพยักหน้ารับเร็วๆ ซ่อนใบหน้าแดงซ่านลงแต่ก็ปิดไม่มิดเมื่อมันแดงลามไปถึงใบหู

“อยากรู้อะไรอีกไหม”
เผื่ออยากจะถามว่าทำกันอย่างไร ท่าไหน อะไรอย่างนั้น เพราะดูลูก้าอยากรู้อยากเห็นเหลือเกิน

แต่ใครมันจะไปกล้าถาม รู้แค่นี้ก็ทำเอามองหน้าคนตัวใหญ่กว่าไม่ไหวแล้ว
“มะ...ไม่มีแล้วครับ”

เห็นท่าทางนั้นแล้วก็ตลกดี คริสอดคิดไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นคนที่ใสซื่ออยู่ไม่น้อย หากแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจแรกของเขาเลือนหายไปเลยแม้แต่น้อย

ไม่ว่าอย่างไรเด็กนั่นก็เป็นโอเมก้า และโอเมก้าสองคนก็ไม่ควรอยู่ด้วยกัน...

เขายังยึดความคิดนี้ไว้เป็นหลัก ก่อนจะถามออกมาบ้างเมื่อเห็นว่าลูก้าทำท่าจะหมุนตัวกลับไปนั่งคุดคู้ที่เดิม
“นายน่ะ...”
“ครับ?”
“จะไปจากที่นี่เมื่อไหร่?”

ลูก้าทำหน้าไม่เข้าใจขึ้นมาฉับพลัน คริสลอบถอนหายใจเล็กน้อย ดูท่าทางเขาจะถามกะทันหันเกินไป เด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้ตามไม่ทัน แต่ช่างมัน เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้ว แค่อยากจะรู้ว่าคนตรงหน้าวางแผนจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ไว้รอเจเรมีพร้อมเมื่อไหร่ค่อยคุยกันอีกที

“นายควรคิดเอาไว้ได้แล้วเพราะฉันจะไม่ยอมให้นายมาเกาะติดอย่างนี้ มันไม่เป็นการดีกับเจมี รู้ใช่ไหมว่าโอเมก้ารอดชีวิตได้แค่คนเดียว”

ลูก้าเข้าใจสิ่งที่คริสถามในตอนนี้ ยอมรับเลยว่าเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่นักแม้จะรู้ดีว่าผลสุดท้ายต้องออกมาในรูปแบบไหน และเขาก็ไม่มีคำพูดใดๆ ตอบโต้คริสกลับไปด้วย นอกจากยืนนิ่งเท่านั้น

คริสก็ไม่เสียเวลาคุยอีกต่อไปเพราะการที่ลูก้าจะไปหรือไม่ไป ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา หากแต่ขึ้นอยู่กับเจเรมี ฝ่ายนั้นเป็นคนดึงลูก้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ต้องเป็นฝ่ายจัดการกับสถานการณ์นี้เอง หากจัดการไม่ได้ เขาถึงจะลงมือ ก่อนจะทิ้งท้ายไว้

“ไว้เจเรมีตื่นแล้ว ฉันจะให้มาคุยกับนายเรื่องนี้ ถ้าตัดสินใจได้ก่อนก็ไม่ต้องรอ เอากลับไปคิดซะ”

พูดจบก็เดินหลบไปทางอื่น ทิ้งให้ลูก้ายืนครุ่นคิดเพียงลำพังด้วยสีหน้าซีดเซียวเพราะไม่ได้คาดคิดว่าบทสนทนาในตอนแรกจะจบลงในรูปแบบนี้

หากแต่คริสไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ในหัวของเขามีแต่ความคิดที่จะปกป้องเจเรมีเท่านั้น ส่วนลูก้าจะอยู่หรือจะไปมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา แต่ถ้าเขายื่นมือเข้ามายุ่งเมื่อไหร่ แสดงว่ามันเข้าขั้นวิกฤติแล้ว

และถ้าถึงตอนนั้น มันจะไม่มีคำว่าเมตตาใดๆ

ต่อให้ต้องฆ่าก็จะทำ... ทั้งหมดเพื่อปกป้องเจเรมี

เหตุผลเดียวที่จะทำให้เขาเป็นฆาตรกรก็มีแค่นี้แหละ...
 -------------------------------------
เอามาแปะครึ่งนึงก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อที่เหลือให้ค่ะ
ขุ่นคริสเข้าตำราคนหลงเมียมว้ากกก 555
เนื้อเรื่องจะกลับมาเข้มข้นขึ้นอีกแล้วนะ หมดเวลาฟิน ก๊ากกก
ฝากฟีดแบ็กเอาไว้เป็นกำลังใจให้ด้วยจ้า XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[50%][6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-03-2017 01:08:32
ขุ่นคริสเค้าปกป้องเจมีสุดชีวิตจริงๆ ถึงเป็นฆาตกรก็ยอม โอ้โหหหห หล่อมากเลย 555555  :katai2-1:
เราชอบตอนที่คริสมานั่งจ้อง มาแหย่ให้เจมีเขินอ่ะ เจมีน่ารักมาก อยากให้เค้าสวีทกันเยอะๆจังเลยค่ะ

สงสารลูก้านะ แต่ก็อย่างที่พี่คริสบอกอ่ะว่าต้องมีโอเมก้าคนเดียวที่รอด คริสเจมีสู้ๆนะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[50%][6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 07-03-2017 22:52:05
สงสารน้องก้า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[50%][6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 07-03-2017 23:30:48
อยากให้เกมบ้าๆ นี่ถูกยกเลิกซะ สงสารลูก้า  :ling3:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[50%][6/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 08-03-2017 08:14:42
Episode 16: ไม่มีที่มากพอสำหรับโอเมก้าสองคน[2]

เจเรมีไม่อยากคุยเรื่องลูก้าแต่ก็ไม่อาจเลี่ยงได้เมื่อคริสลากเขาเข้าสู่บทสนทนาทันทีที่จัดการกับมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย และการพูดคุยกันก็เป็นไปอย่างไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่นักด้วยจุดประสงค์ของคริสคือการให้เจเรมีไล่ลูก้าไป ในขณะที่เจเรมียังไม่พร้อมที่จะเอ่ยปากเพราะได้ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะยังไม่ให้ลูก้าไปไหน อย่างน้อยเขาจะดูแลลูก้าให้ได้สักอาทิตย์หนึ่งก่อน นี่เพิ่งผ่านมาแค่สองวันเอง ยังเหลืออีกตั้งหลายวัน

ทว่าคริสไม่เข้าใจหรอกว่าการที่เจเรมีไม่ยอมให้ลูก้าไปเป็นเพราะอีกฝ่ายรู้สึกผิดที่ดึงลูก้าเข้ามาอยู่ในเกมอย่างไม่ได้ตั้งใจ มันทำให้เจเรมีต้องแสดงความรับผิดชอบ อย่างน้อยก็ดึงเวลาให้ลูก้ามีชีวิตอยู่ยาวขึ้นเพราะสถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างจะอันตราย ตรงกันข้ามกับคริสที่คิดว่ายิ่งลูก้าอยู่ด้วยนานขึ้นเท่าไหร่ เจเรมีก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งจะได้ยินเจ้าหน้าที่ประกาศถึงจำนวนผู้แข่งขันที่เหลืออยู่

โอเมก้าเหลือสี่ อัลฟ่าเหลือแปด...จำนวนสองต่อหนึ่ง พวกอัลฟ่าจะต้องสู้กันเองเพื่อแย่งโอเมก้าเป็นแน่ ร้ายกว่านั้นการที่เจเรมีถูกพวกเจ้าหน้าที่ยิงยากระตุ้นอาการฮีทใส่เมื่อวาน มันเป็นกฎข้อใหม่ของเกมที่เพิ่งถูกใส่เข้ามาโดยมีรายละเอียดว่าโอเมก้าจะถูกยิงยากระตุ้นอาการฮีทใส่โดยไม่เลือกว่าเป็นใครอาทิตย์ละครั้ง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการล่ามากขึ้นเพราะโอเมก้าจะมีช่วงฤดูผสมพันธุ์ได้แค่เดือนละครั้งเท่านั้น

เป็นกฎที่ทุเรศสิ้นดี!

เจเรมีสาบานได้กับตัวเองเลยว่าถ้าเขาออกจากเกมนรกนี่ได้เมื่อไหร่ เขาจะไม่รีรอที่จะฆ่าเดร็กทิ้งทันที

มันก็น่าแค้นใจอยู่หรอก เขาดันเป็นโอเมก้าคนแรกที่ถูกยิงยากระตุ้นฮีทจนต้องตกเป็นของคริสอย่างที่เห็นอยู่น่ะ!

กระนั้นมันก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการได้รู้อีกอย่างว่านอกจากตามอาคารร้างพวกนี้แล้ว ยังมีการหย่อนอาหารและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตและต่อสู้ไว้ตามส่วนต่างๆ ของเกาะด้วย ถ้าโชคดีก็อาจจะได้อาวุธใหม่ไปและมีโอกาสรอดชีวิตจากการอดตายเพื่อเล่นเกมมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เพิ่มความดุเดือดให้กับเกมเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับความกังวลว่าผู้เข้าแข่งขันจะใช้ชีวิตลำบากกว่าเดิมแต่อย่างใดเลย

ถึงอย่างนั้นก็เรียกได้ว่าใช้ชีวิตง่ายขึ้นอยู่โข คริสถึงได้พยายามกระตุ้นให้เจเรมีรีบตัดสินใจไล่ลูก้าไปสักที

“นายต้องตัดสินใจแล้วเจมี อย่างที่ฉันบอก ลูก้าอยู่กับเราที่นี่ไม่ได้” ทั้งที่เจเรมีปฏิเสธไปแล้วก็ยังจะตอแยอีก ทำเอาเจเรมีที่เดินหนีเมื่อครู่ถึงกับหัวเสีย
“หุบปากไปเลย!” หันไปแหวใส่เล็กน้อย ก่อนจะออกเดินต่อ ตั้งใจจะไปหลบที่ห้องอื่นก่อนจนกว่าคริสจะหยุดพูดเรื่องนี้
ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกมือใหญ่รั้งหัวไหล่เอาไว้
“นายจะทำเป็นไม่สนใจอย่างนี้ไม่ได้ บอกแล้วใช่ไหมว่ามันไม่เป็นเรื่องดีสำหรับนาย”
“มันเรื่องของฉัน อย่ามาแส่!” คราวนี้ถึงกับหันไปปัดมือคริสที่แตะตัวเขาอยู่ออกเต็มแรง ตวาดเสียงดังลั่นจนทำให้ลูก้าซึ่งยืนมองเหตุการณ์อยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าเสีย

มันก็ควรหน้าเสียอยู่หรอก เขาเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ทั้งสองคนทะเลาะกันนี่ ทำเอารู้สึกแย่ไม่น้อยทีเดียว

“เรื่องของนายก็เหมือนเรื่องของฉัน ฉันว่าฉันบอกไปแล้ว” คริสยังใจเย็นอยู่ มีแต่เจเรมีที่เดือดดาลเป็นที่เรียบร้อย
“ฉันไม่ได้อนุญาตก็อย่าแส่” กลายเป็นคนหัวแข็งโดยสมบูรณ์ พูดจบก็เดินหนีอีก

คริสมองตามแล้วก็ลอบถอนหายใจ ทำไมเจเรมีถึงไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร
แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าจัดการกับเจเรมีไม่ได้ งั้นเขาเปลี่ยนเป้าหมายก็แล้วกัน

ใบหน้าคร้ามหันมาทางลูก้าทันที ไม่สนใจเจเรมีแล้ว ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

“ที่ฉันให้นายไปคิด ตัดสินใจได้หรือยัง”
ลูก้าที่ยืนมองอยู่ถึงกับสะดุ้ง พลันก้มหน้างุด “คือผม...”

ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะยังไม่ได้ตัดสินใจ คริสจึงพูดออกมาอีก

“อย่างที่ฉันบอก โอเมก้าสองคนอยู่ด้วยกันไม่ใช่เรื่องดี แล้วนายก็จะมาเกาะติดกับพวกฉันอย่างนี้ไม่ได้ ในเมื่อเจมีไม่ตัดสินใจ ฉันก็คงจะต้องเป็นคนตัดสินใจเอง” พูดแล้วก็เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง จ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง “ไปจากที่นี่ซะลูก้า ถ้านายยังไม่อยากตายเพราะฉันถ้านายเหลือกันอยู่แค่สองคนกับเจมี”

ออกปากไล่เป็นที่เรียบร้อย ตามด้วยขู่อีเล็กน้อย ลูก้านิ่งงัน รู้ว่าคริสทำจริงแน่ อีกฝ่ายคงไม่ยอมให้คู่ครองของตัวเองถูกฆ่าหรอก ใช้เวลาคิดไปพอสมควรทีเดียวขณะที่เจเรมีพอได้ยินเสียงนั้นแล้วก็ถลาเข้ามากระชากคอเสื้อคริสเต็มแรง
“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าแส่ ไม่เข้าใจหรือไงวะ!”

อีกนิดเดียวก็จะเอาชะแลงฟาดหน้าคริสได้อยู่แล้ว ทว่าครั้งนี้คริสไม่ยอมให้เจเรมีเอาแต่ใจตัวเองได้อีก จับมือที่กระชากคอเสื้อเขาอยู่ออก พลันพลิกให้มันไปไขว้หลังคู่แห่งโชคชะตาแล้วดันเจเรมีเข้าหากำแพง ความเจ็บปวดที่ปะทะเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้อีกฝ่ายส่งเสียงโอดโอยออกมา มือที่ถือชะแลงเหล็กอยู่คลายออกทันที คริสเตะอาวุธนั่นไปไกลๆ ก่อนจะเบาแรงลงเล็กน้อยด้วยไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายอีกฝ่าย แค่อยากให้เจเรมีสงบสติลงเท่านั้น กระนั้นก็ไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังพ่นคำพูดร้ายกาจออกมา

“เรื่องของนายก็คือเรื่องของฉัน ต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งถึงจะเข้าใจ หรือจะต้องขึ้นเตียงอีกรอบ”
“อะ...ไอ้ทุเรศ!” เจเรมีแผดเสียง รู้สึกว่าตัวเองพลาดมากทีเดียวที่ยอมให้คริสอย่างนั้น ขณะที่คริสแสร้งไม่สนใจ พูดแต่สิ่งที่ตัวเองอยากพูด

“ที่นี่ไม่มีที่มากพอสำหรับโอเมก้าสองคนหรอกนะ” จากนั้นถึงได้ปล่อยเจเรมีให้เป็นอิสระ

เจเรมีโอดโอยอีกเล็กน้อยด้วยปวดกล้ามเนื้อที่ต้นแขน ทว่าก็ไม่ยอมลงให้คริสง่ายๆ
“อย่าคิดว่าฉันถ่างขาให้นายเอาไอ้จ้อนใส่เข้ามาแล้ว นายจะควบคุมฉันได้”

คิดเลยเถิดไปไกลเลย คริสไม่ได้คิดอะไรอย่างนั้นสักนิด แต่เขาไม่เสียเวลาอธิบายหรอก ใจร้อนขนาดนี้ พูดอะไรไปก็เสียเวลา

“ถ้าจะคิดอย่างนั้นก็แล้วแต่นายแล้วกัน”
คำพูดไม่ยี่หระนั่นทำให้เจเรมีแทบจะพุ่งไปคว้าชะแลงมาฟาดหน้าคนตรงหน้าให้ยุบ ดีที่ยังไม่ได้ทำ ลูก้าก็เปล่งเสียงออกมาก่อน
“ผมว่าผมไปดีกว่าครับ” ในที่สุดก็ตัดสินใจแล้ว

ชายหนุ่มทั้งสองคนหันไปมองทันที
“พูดบ้าอะไรของนาย” เป็นเจเรมีที่ร้องถาม

ลูก้าก้มหน้า ว่าด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ผมไม่อยากเป็นต้นเหตุให้คุณสองคนทะเลาะกันอย่างนี้ อีกอย่าง ที่คุณฟ็อกซ์พูดก็ถูก ที่นี่ไม่มีที่มากพอสำหรับโอเมก้าสองคน...”

ราวกับรู้อยู่แก่ใจว่าเกาะเจเรมีไปก็เปล่าประโยชน์ เขามีชีวิตรอดตอนนี้ก็จริง แต่ถ้าเหลือเขากับเจเรมีแค่สองคนเมื่อไหร่ ไม่ถูกเจเรมีฆ่า เขาก็ต้องฆ่าเจเรมีถ้าอยากจะรอดชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย

การจากไปในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องดีกว่า...อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องตายเพราะน้ำมือคนที่เขาชื่นชมหรือถูกคู่ครองของเจเรมีกำจัด
จะมีก็แต่เจเรมีที่ไม่เห็นด้วย เด็กนั่นจะไปเอาชีวิตรอดจากพวกอัลฟ่าหื่นกระหายได้อย่างไร!?

“ฉันอนุญาตนายแล้วหรือไงลูก้า!” แผดเสียงใส่ลูก้าเป็นที่เรียบร้อย แสดงความเอาแต่ใจออกมาเต็มที่

ลูก้าก็กลัวอยู่หรอก แต่เขากลัวคริสที่จ้องเขาเขม็งอยู่ตอนนี้มากกว่า จึงตัดสินใจออกปากอีกครั้ง
“ขอบคุณที่ช่วยเหลือผมครับคุณเมอร์ซี” ตามด้วยรอยยิ้มบางๆ

แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วว่าไม่ว่าอย่างไร ลูก้าก็จะไป พลันร่างบางของเด็กหนุ่มก็เดินไปหยิบสัมภาระที่พอจะประทังชีวิตตัวเองใส่กระเป๋าเป้ที่เจอในห้องใดห้องหนึ่งของอาคารเงียบๆ ปล่อยให้เจเรมีกัดฟันกรอดที่อะไรก็ไม่เป็นไปดั่งใจ

“นายนี่มัน...” ครางออกมาเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียงดัง “ช่างหัวพวกนายเถอะ ฉันไม่สนแล้ว!”

จากนั้นก็เดินหนีเข้าไปในห้องหนึ่ง ปิดประตูกระแทกเต็มแรง ปล่อยให้คริสกับลูก้ามองตามเงียบๆ

คริสรอกระทั่งลูก้าเก็บกระเป๋าเสร็จ อาสาเดินลงมาส่งที่ด้านล่างของอาคาร ก่อนจะจากกันก็ทิ้งคำพูดไว้เล็กน้อย
“ขอให้โชคดี”
ลูก้าพยักหน้ารับ เขาก็หวังจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน
“ดูแลคุณเมอร์ซีดีๆ นะครับ”

บทสนทนาจบลงด้วยการที่คริสพยักหน้า เด็กหนุ่มเดินออกไปจากอาคารด้วยความไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะอยู่รอดถึงวันพรุ่งนี้

อาจจะอยู่รอดได้เพียงชั่วโมงหรือสองชั่วโมง... แต่นั่นก็ถือว่าดีมากแล้วสำหรับคนขี้ขลาดอย่างเขา
------------------------------------
มาต่อแล้วค่ะ เดี๋ยวเย็นๆ จะเอาตัวอย่างตอนหน้ามาแปะให้ (หรืออาจจะแปะตอนเต็มสักครึ่งตอน ขอดูก่อนนะ)
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยจ้า XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[100%][8/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-03-2017 10:00:08
นอกจากคริสจะใจดีแล้ว เจมียังทำแขนหายทุกครั้งที่คลุกวงใน

ถ้าเป็นฉัน เจอคริสมาจู่โจมแบบนี้ แม่จะข่วนให้หน้าเป็นริ้วเลย
เจมีดูเด็กน้อยทุกครั้งที่เผชิญกับคริส ในทุกรูปแบบด้วย (ยกเว้นตอนจะเอาชะแลงฟาดหัวกันอ่ะนะ)

สงสารลูก้า ไอ้เกมบัดซบนี่มีแต่เดร็กคนชั่วที่คิดได้
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[100%][8/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 08-03-2017 13:12:39
จริงๆ ที่คริสพูดก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน การจะเอาตัวลอดในเกมมันต้องพยายามรักษาชีวิตตัวเอง ไม่ใช่ว่าเห็นแก่ตัวหรือเปล่า เพราะการมีน้ำใจแต่กอดคอกันตายไปพร้อมกัน มันก็คงไม่ใช่ แต่ในแง่ของจิตใจคนอ่าน ย่อมสงสารลูก้า +เป็ด
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[100%][8/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 08-03-2017 22:44:30
โอ๊ย สงสารลูก้า จะเป็นยังไงน้อออ
ใครก้อได้ ฆ่าเดร็กที
เกลี่ยดมัน
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[100%][8/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 09-03-2017 08:07:36
มันก็พูดยากจริงๆ ที่ให้ไปก็เพราะไม่อยากให้ถึงวันที่ต้องตัดสินใจฆ่าเอง

ไม่โทษใคร ต้องโทษที่เกมนี่แหละ

ลูก้านางก็น่าสงสารจริงๆ แต่ไม่ใช่ตอนหลังจับคู่อัลฟ่าได้

แล้วต้องกลับมาสู้กะเจมีนะเฮ่ยย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[100%][8/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 09-03-2017 09:04:56
สงสารลูก้า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[100%][8/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 09-03-2017 09:23:57
ลูก้าน่าสงสารนะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[100%][8/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 09-03-2017 17:20:38
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[100%][8/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-03-2017 07:10:54
Episode 17: แรงจูงใจในการฆ่า[1]

ลูก้าจากไปแล้ว... เหมือนทุกอย่างจะดำเนินต่อไปด้วยดีแต่ก็ไม่เมื่อเจเรมีเอาแต่ปั้นหน้าบึ้งตึงใส่คริส จนอีกฝ่ายไม่สามารถหาจังหวะในการปรึกษาหารือเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดในสมรภูมิแห่งนี้ มันนานจนข้ามวันเลยทีเดียว หากเป็นเวลาปกติ... หมายถึงก่อนที่เขาจะได้ผูกพันธะกับเจเรมี เขาคงจะเก็บปากเงียบและปล่อยให้เจเรมีปั้นปึ่งใส่โดยไม่คิดอะไรมาก หากแต่ในตอนนี้มันไม่ใช่ ในเมื่อสถานะของพวกเขาเปลี่ยนไปแล้ว คริสก็ไม่อาจดูดายหรือทนกับการเฉยเมยได้แม้แต่น้อย ถึงเขาจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาผ่านสีหน้าและแววตา ทว่าในใจกลับร้อนรุ่มเสียจนอดไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากพูดเมื่อเห็นว่าเจเรมีไม่ยอมพูดคุยกับเขาเสียที

อย่าว่าแต่พูดคุยเลย เข้าหน้ายังแทบไม่ติด การเป็นฝ่ายเริ่มพูดคุยครั้งนี้ถือว่าเสี่ยงต่อการหัวแบะเพราะถูกชะแลงของอีกฝ่ายฟาดอยู่ไม่น้อยทีเดียว

“เจมี เรามีเรื่องต้องคุยกัน” บทสนทนาเริ่มต้นขึ้นเมื่อถึงมื้อเย็นขณะที่คริสเอาอาหารกระป๋องที่พอมีอยู่ในห้องครัวมาให้เจเรมีถึงในห้องพักผู้คุม

ทั้งคู่ยังคงอยู่ในอาคารหลังนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มีแผนย้ายไปที่อื่น แต่ในเวลาที่ยังไม่ลงรอยกันอย่างนี้ มันไม่เหมาะที่จะทำการใดๆ ทั้งนั้น

คนถูกเรียกที่นั่งอยู่บนเตียงหันไปมองหน้าคนมาใหม่ตาขวาง หากแต่คริสยื่นอาหารกระป๋องให้ก็รับไปแต่โดยดีและนั่งกินเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ

คริสเดินไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ หันไปมองหน้าในขณะที่เจเรมีก็สบตาเหมือนกัน เจเรมีก็ยังไม่พูดอะไรอยู่ดีจนคริสต้องเป็นฝ่ายเริ่ม
“ยังโกรธอยู่อีกเหรอ?”

คำถามนั้นทำให้เจเรมีวางกระป๋องในมือลงบนฟูกเตียง เอียงคอถามด้วยท่าทางหาเรื่อง
“แล้วนายมีปัญหาอะไร”
“ไม่ได้มีปัญหาอะไร แค่อึดอัด” ว่าไปตามตรงด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

เจเรมีก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าคนตรงหน้ารู้สึกอย่างไร สังเกตเห็นอยู่เหมือนกันว่าถึงคริสจะไม่แสดงสีหน้าออกมา แต่แววตาก็บ่งบอกชัดเจนว่าไม่ชอบสถานการณ์นี้สักเท่าไหร่นัก

แต่จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ ถ้าไม่เป็นเพราะคริส เขาก็คงไม่อารมณ์เสียอยู่อย่างนี้หรอก!

“แล้วทำไม” ถึงอย่างนั้นก็ถามกลับ
“ฉันแค่ไม่อยากให้เราเป็นแบบนี้” คริสก็ยังตอบไปตามตรงอีก “รู้ใช่ไหมว่าฉันไล่ลูก้าไปเพราะไม่อยากให้เรื่องบัดซบพรรค์นั้นมันเกิดขึ้น”
“เรื่องอะไร”
“ฆ่าลูก้า... นายคงไม่อยากทำมันหรอกใช่ไหม? รู้ใช่ไหมว่ามันเลี่ยงไม่ได้ มันเป็นกฎของเกม”

พอคริสพูดมาอย่างนี้ เจเรมีก็นิ่งไปนิดก่อนพยักหน้า ว่ากันตามตรง ตอนนี้เจเรมีก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไรคริสสักเท่าไหร่แล้ว ความจริงเริ่มผ่อนความโกรธลงมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วยหลังจากสงบสติอารมณ์ได้และมาคิดทบทวนดีๆ ว่าสิ่งที่คริสทำมันก็ถูกต้อง และเขาเข้าใจเหตุผลของคนตรงหน้าดีว่าทำอย่างนั้นไปเพราะอะไร

ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องเขา... เขารู้...เข้าใจ...

แต่ก็อดเห็นใจลูก้าที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยไม่ได้

“หยุดพูดเรื่องนี้ได้ละ ฉันเข้าใจแล้ว” สุดท้ายก็ปฏิเสธที่จะพูดถึงเพราะไม่อยากจะหงุดหงิดอีกระลอก
ทว่าคริสไม่ยอมหยุด... จะหยุดได้อย่างไรในเมื่ออีกฝ่ายยังโกรธเขาอยู่เลยนี่
“ถ้านายยังทำหน้าอย่างนี้อยู่ ฉันก็จะพูด”
“ทำหน้ายังไง”
“ทำอย่างที่ทำอยู่”

เจเรมีถึงกับย่นคิ้วจนแทบผูกกันเป็นปมด้วยไม่เข้าใจเท่าไหร่นัก ก่อนที่จะถูกปลายนิ้วชี้ของอัลฟ่าหนุ่มจิ้มลงมาที่ระหว่างคิ้วอย่างถือวิสาสะ

“ทำแบบนี้ไง” จากนั้นก็ดันรอยยับย่นที่หัวคิ้วให้เหยียดออกจากกันเบาๆ “เลิกขมวดคิ้วใส่ฉันตลอดเวลาได้แล้ว”
“อะไรของนายวะ” เจเรมีสะบัดหน้าหนี ไม่ชอบสักเท่าไหร่ที่ถูกทำแบบนี้แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อคริสว่าขึ้นมาอีก
“มันคงยากถ้าฉันจะขอให้นายยิ้ม งั้นฉันขอแค่หายโกรธสักทีจะได้ไหม เรื่องของลูก้าน่ะ ฉันทำไปก็เพื่อนายทั้งนั้น”

ได้ฟังคริสพูดอย่างนี้อีกครั้ง เจเรมีก็แทบจะลืมไปแล้วว่ายังกรุ่นโกรธอยู่ เบือนหน้าหนีไปอีกทางพลันว่า
“ก็บอกว่าเข้าใจแล้วไง”
“หมายถึงว่าไม่โกรธแล้ว?”

ถามตรงเกินไป เจเรมีก็ไม่ตอบ เหลือบมองตาขวางแทน ทว่าการไม่พูด มันทำให้คริสขยับตัวเข้าหา ยื่นหน้ามาเสียใกล้พลันกระซิบกระซาบ

“ตกลงไม่โกรธแล้วใช่ไหม”

หันมาก็เจอปลายจมูกโด่งๆ ของคนข้างกายเฉียดเข้ากับใบหน้า โอเมก้าหนุ่มร้อนวูบที่ซีกแก้มทั้งสองข้างทันควัน

หายโกรธแล้ว... ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมแต่พอเห็นคริสเข้ามาใกล้ๆ อย่างนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาแปลกๆ หัวคิ้วเหยียดตรงเป็นปกติโดยไม่รู้ตัว คริสที่มองอยู่เผยอยิ้มเล็กน้อย ยกมือมาแตะที่ข้างแก้มข้างหนึ่งของคู่แห่งโชคชะตาแผ่วเบา

“ทำหน้าแบบนี้ดูหล่อกว่าตั้งเยอะ” แล้วก็ตีเบาๆ สองสามทีอย่างเอ็นดู
เจเรมีไม่ได้หันหนี เขาชอบสัมผัสนี้ มันทำให้ผ่อนคลายไม่น้อย และคริสก็ทำให้ผ่อนคลายมากกว่าเดิมด้วยการเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้ ประทับจูบแผ่วเบาลงบนริมฝีปากหนา

“ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องนาย ดังนั้นต้องขอนายให้ความร่วมมือด้วย อย่าเล่นนอกกฎ มันไม่ส่งผลดี” ผละออกมาได้ก็บอกเสียงเรียบ

เจเรมีนั่งนิ่ง ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“มีอะไรอยากพูดไหม” คริสเอ่ยเมื่อเห็นว่าคู่ครองมีท่าทีอึดอัด
“มันจำเป็นต้องทำตามคำสั่งไอ้เวรนั่นหรือไง” หมายถึงเดร็กที่วางกฎเกณฑ์ทั้งหมดเอาไว้
“ก็ไม่จำเป็นหรอก แต่ถ้าอยากรอดก็ต้องทำ” คริสให้คำตอบ

คนฟังนิ่งไปอีกครั้ง ก่อนที่จะหยุดคิดเรื่องที่ตีกันวุ่นวายอยู่ในหัวทันทีที่มือใหญ่วางแหมะลงมากลางกระหม่อมพร้อมออกแรงยีเส้นผมเบาๆ

“ทำตามที่ฉันบอก เราจะได้รอดไปจากที่นี่ด้วยกัน”
ไม่มีอาการดื้อรั้นจากเจเรมีแต่อย่างใด หากแต่ก็ไม่ได้มีการตอบรับ มีเพียงสายตาที่จับจ้องดวงตาของคริสที่มองมาเท่านั้น

มันถึงเวลาที่เขาต้องยอมรับกฎเกณฑ์ทั้งหมดแล้วทำตามกติกาที่ถูกวางไว้แล้วหรือเปล่านะ?



 
ถึงจะขัดใจแต่เจเรมีก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะขัดคอคริสแต่อย่างใด หลังจากปรับความเข้าใจกันได้ คริสก็วางแผนให้เปลี่ยนสถานที่ในการหลบซ่อนตัว...

ได้ยินไม่ผิด...หลบซ่อนตัว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะซ่อนตัวกับเจเรมีจนกว่าจะเหลือแค่อัลฟ่าและโอเมก้าคู่สุดท้าย เพราะการที่ต้องไปสู้รบปรบมือกับคนอื่นๆ ที่กระหายอิสระและต้องการเอาตัวรอดในเวลานี้ มันก็เหมือนกับโยนตัวเองเข้ากองไฟซึ่งไม่มีโอกาสรู้เลยว่าจะรอดออกมาจากกองเพลิงที่เผาไหม้นั่นอีกหรือไม่ สู้ให้พวกนั้นจัดการกันเองก่อนในขณะที่พวกเขารอเวลาอย่างใจเย็น จากนั้นค่อยจัดการจะเป็นการดีกว่า

นับว่าเป็นวิธีที่ฉลาด เจเรมีเห็นด้วย แต่จะไม่เห็นด้วยก็แค่เขาต้องปล่อยให้ลูก้าเป็นไปตามชะตากรรม หากโชคดี เด็กนั่นก็อาจจะถูกฆ่าก่อนที่จะเหลือโอเมก้าคนสุดท้าย ถ้าโชคร้ายหน่อยก็อาจจะต้องเจอกันอีกครั้ง เมื่อนั้นเขาคงต้องอาศัยคริสในการจัดการเรื่องทั้งหมดเพราะเขาคงไม่ลงมือทำร้ายลูก้าเองแน่ๆ

ไม่ใช่ว่าไม่กล้า แต่เขาสงสารโอเมก้าคนนั้นเกินกว่าจะทำร้ายได้

แค่นี้ลูก้าก็โดนทำร้ายมาตลอดชีวิตแล้ว...

วันทั้งวันไม่ได้ยินเสียงประกาศว่าเหลือผู้เข้าแข่งขันในเกมอีกกี่คน เจเรมีก็พอจะเบาใจได้ว่าลูก้ายังมีชีวิตอยู่ ก่อนจะตกลงกับคริสเพื่อตั้งเป้าหมายสำหรับที่พักพิงในคืนนี้ บนเกาะแห่งนี้มีอาคารปฏิบัติการต่างๆ มากเสียจนไม่น่าเชื่อ และมันก็เป็นสถานที่ชั้นดีในการหลบซ่อนตัวรวมถึงหาเสบียงอาหาร แม้ว่าพวกเจ้าหน้าที่จะเอาเสบียงอาหาร อุปกรณ์ในการดำรงชีวิตที่จำเป็นและอาวุธใหม่ๆ ไปวางกระจายไว้ทั่วเกาะ แต่อาคารพวกนั้นก็ยังเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพักพิงมากกว่าเป็นไหนๆ ดังนั้นคริสจึงตัดสินใจที่จะไปหาที่พักในอาคารหลังอื่นอีกสักคืน ก่อนที่จะเปลี่ยนสถานที่พักพิงอื่นที่ไม่ใช่อาคารในภายหลัง

ทั้งคู่เลี่ยงที่จะไม่ออกเดินทางในเวลากลางวัน มันเสี่ยงต่อการเจอตัวได้ง่าย ถึงตอนกลางคืนจะอันตรายกว่า แต่คริสมั่นใจว่าไม่ใช่แค่เขาหรอกที่คิดว่าไม่ควรออกมาเพ่นพ่านในยามวิกาล ดังนั้นการใช้โอกาสนี้ในการเคลื่อนไหวมันง่ายกว่าตอนกลางวันหลายเท่าตัวนัก

ทว่ามันจะไม่ง่ายก็ตอนที่ระหว่างเดินเท้าไปตามเส้นทางในที่มีต้นไม้รกชัฏ หูทั้งสองข้างของชายหนุ่มทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากทิศทางไหนสักทางจากไกลๆ มันชัดเจนมากเสียจนทำให้ทั้งคู่ต้องชะงักฝีเท้า หยุดเพื่อตั้งหลักระวังภัยภายในเสี้ยววินาที

เสียงนั้นคงดังอย่างต่อเนื่อง... พอจับใจความได้ว่าเป็นการร้องขอชีวิต ขอให้อย่าทำร้าย และอีกสารพัดคำขอ รวมถึงการเปล่งเสียงบอกให้ ‘อย่า’ และ ‘หยุด’ นับไม่ถ้วน

จิตใต้สำนึกของคริสบอกทันทีว่าเจ้าของเสียงนั้นต้องเป็นโอเมก้า และตอนนี้ก็คงจะถูกอัลฟ่าสักคนจัดการอยู่ แต่มันไม่ใช่เรื่องของเขา หันไปกระซิบบอกกับเจเรมีที่ยืนอยู่เยื้องไปทางด้านหลังเสียงเบา

“เดินต่อ”
ต้องไปยังที่หมายให้เร็วที่สุด เสียงนั้นดังมาจากที่ไหนสักที่ซึ่งไม่ไกลนัก หากอัลฟ่าที่อยู่ในละแวกนั้นไม่ได้มีแค่คนเดียว มันจะลำบากพวกเขาถ้าหากถูกเจอตัว

เจเรมีเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ตรงนี้นานนักหรอก ได้ยินเสียงอย่างนี้ เขาก็รู้สึกแย่สุดกู่ เกลียดชังพวกอัลฟ่าที่กระทำต่อโอเมก้าคนนั้นขึ้นมาจับใจ แต่ไม่ทันจะได้เดินไปไหนไกล เขาก็ต้องชะงักอีกครั้งเมื่อเสียงร้องนั้นไม่ใช่การขอร้องให้อีกฝ่ายหยุด หากแต่เป็นการร้องเรียกชื่อเขา

ใช่... ชื่อเขา เสียงร้องเรียกว่า ‘คุณเมอร์ซี’ และตามมาด้วยขอความช่วยเหลือที่ฟังเกือบไม่ได้ศัพท์มันทำให้เขานึกถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างบางขึ้นมาทันที

“ลูก้า...” เจเรมีครางออกมาฉับพลัน
คริสรีบหันไปคว้าข้อมืออีกฝ่ายเอาไว้อย่างรู้ทันว่าเจเรมีคิดจะทำอะไร พลันพูดดักคอ
“อย่าไปยุ่งเชียวนะเจมี”

เจเรมีฟัง พยายามจะตั้งสติ ทว่าเสียงร้องเรียกชื่อเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง สุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหว กระชากข้อมือตัวเองออกจากคริสแล้วออกวิ่งไปตามเสียงนั้นอย่างไม่รู้ทิศทาง ปล่อยให้คริสสบถอออกมา ก่อนจะวิ่งตามไป



 
ใช้เวลาครู่ใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะจับทิศทางของเสียงได้ เพราะหลังจากที่เสียงของโอเมก้าซึ่งเขาคาดเดาว่าต้องเป็นลูก้าร้องเรียกชื่อเขาดังขึ้น จากนั้นมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เขาก็อยากจะตะโกนเรียกอยู่หรอก แต่มันไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเท่าไหร่นักถ้าหากทำให้อัลฟ่าคนนั้นรู้ตำแหน่งของเขา

แต่อย่างที่บอกว่าจับทิศทางของเสียงได้ เจเรมีจึงวิ่งไปตามทางนั้นโดยไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่เบื้องหน้า กระทั่งฝ่าดงไม้สูงชะลูดเข้าไป เขาถึงได้ยินเสียงดังสวบสาบอยู่ไม่ไกลตัวเท่าไหร่นัก สองขาชะลอความเร็ว ค่อยๆ ก้าวพร้อมกับกระชับชะแลงในมืออย่างระมัดระวัง กะว่าถ้าเป็นอัลฟ่าล่ะก็ เขาจะฟาดให้เรียบ หากแต่ความตั้งใจนั้นก็ถูกกระชากเก็บไปเมื่อสายตาเขาปะทะเข้ากับร่างคุ้นตา

ร่างของลูก้า...

ลูก้าในสภาพถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้าเสียจนเกือบจะเปลือยเปล่าสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นคนตรงหน้าหลังจากที่วิ่งหนีเต็มฝีเท้า พอตั้งสติได้ว่าคนที่เขาวิ่งมาเจอคือใคร ปากที่มีรอยแผลและคราบเลือดก็ขยับเล็กน้อย
“คะ...คุณเมอร์ซี...”

เจเรมีแทบไม่ได้ยินเสียงนั้นเลย มัวแต่มองคนตรงหน้าในสภาพไม่สู้ดีอย่างไม่เชื่อสายตา

ร่องรอยฟกช้ำบนลำตัว เสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาดและคราบน้ำตาทั่วใบหน้าทำให้เจเรมีสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง มือและขาชาวาบจนแทบจะไม่รู้สึกขณะมองลูก้าที่พยายามเดินเข้ามาใกล้

ลูก้า... นายไปเจออะไรมา!?

ในหัวมีคำถามนี้ผุดพรายขึ้นมาทันที ก่อนเจเรมีจะพุ่งเข้าไปหาเด็กหนุ่มและคว้ามากอดแน่น

ทันทีที่อ้อมกอดแกร่งโอบรัดร่างกาย น้ำตามากมายก็ไหลพรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่สวยอีกระลอกใหญ่ ลูก้าไม่เคยรู้สึกปลอดภัยอะไรเท่านี้อีกแล้ว ในขณะที่เจเรมียังคงอึ้งงันกับสิ่งที่เห็น ไม่เว้นแม้แต่คริสที่วิ่งตามมาแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้าบ้าง
ชะงักมากกว่านั้นเมื่อสัมผัสได้ว่ากลิ่นกายของลูก้าเปลี่ยนไปเพราะมีการเปลี่ยนคู่นอน

เสียงกรีดร้องที่ได้ยินก่อนหน้า... งั้นก็แสดงว่า...

หัวคิ้วของคริสขมวดเข้าหากันทันที เขาไม่อยากจะคิดต่อเลย

มันเกิดขึ้นไปแล้ว...

ลูก้าถูกอัลฟ่าคนไหนสักคนครอบครองไปเรียบร้อยแล้ว...

จะเรียกว่าครอบครองก็ไม่ถูกนัก แต่ก็ไม่อยากใช้คำว่าขืนใจเพราะมันฟังดูจะกระทบกระเทือนจิตใจมากเกินไป ถึงมันจะไม่ใช่ครั้งแรกของลูก้า ทว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรมองว่าเป็นเรื่องปกติหรือกล่าวโทษลูก้าว่าทำไมไม่หาวิธีเอาตัวรอด

เขาหาทางแล้ว แต่สู้อัลฟ่าคนนั้นไม่ได้... ในเมื่อเป็นอย่างนี้ มันจะโทษว่าเป็นความผิดของเด็กหนุ่มได้อย่างไร เขาเกิดมาอ่อนแอ และธรรมชาติก็ไม่ได้ใจดีมากพอที่จะให้ผู้ที่อ่อนแออยู่รอดในสังคมอันโหดร้าย

ธรรมชาติจะคัดสรรผู้ที่แข็งแกร่งกว่าให้อยู่รอดเท่านั้น...

และดูจากสถานการณ์ตรงหน้า ท่าทางลูก้าน่าจะเพิ่งหนีเตลิดมา อีกไม่นานอัลฟ่าคนนั้นจะต้องมาตามตัวแน่
เจเรมีก็คิดเช่นเดียวกัน หากแต่เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าลูก้าจะถูกกระทำอย่างนั้นมา

...ไม่ใช่ไม่มั่นใจหรอก เขาไม่อยากจะยอมรับความจริงต่างหาก ก่อนหันไปหาคริส

“บอกฉันว่าไอ้เลวนั่นมันทำไปแล้ว”
‘ไอ้เลว’ คนนั้นหมายถึงอัลฟ่าที่ทำกับลูก้า ส่วนที่ถามคริสก็เพื่อต้องการความแน่ใจว่ากลิ่นของอัลฟ่านั่นอยู่ในกายของลูก้าจริงๆ
หากแต่คริสไม่ตอบ ยืนมองด้วยสีหน้านิ่งเรียบ มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ย่นลงมา ทำให้เจเรมีต้องแผดเสียงลั่น

“บอกฉันมาคริส! พูดมา!”

คริสถอนหายใจ พยักหน้ารับจนได้ เท่านั้นร่างกายของเจเรมีก็สั่นเทิ้ม เขาไม่เคยโกรธอะไรใครขนาดนี้มาก่อนถ้าไม่นับตอนที่ทะเลาะกับธีโอ แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่แค่ความโกรธอย่างเดียว เขายังแค้นเสียจนแทบจะคุมสติตัวเองไม่อยู่

มือข้างที่ถือชะแลงกำแน่นจนนิ้วซีดขาวและสั่นไปหมด ใบหน้าเกรี้ยวกราดจนดูน่ากลัว คริสเห็นแล้วก็สัมผัสได้ว่าเจเรมีต้องคิดอะไรที่ไม่ส่งผลดีกับตัวเขาอยู่แน่ ก่อนจะรีบตรงเข้าไปหา

“เจมี...” เอื้อมมือจะไปแตะ หากแต่เจเรมีก็ดึงลูก้าออกจากแผงอกแล้วดันให้ไปยืนอยู่ตรงคริส
“เดี๋ยวฉันกลับมา”

พูดอย่างนี้ก็รู้เลยว่าจะไปจัดการเอาเลือดหัวของอัลฟ่าคนนั้นออกมาละเลงเล่น คริสไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น คว้าแขนแกร่งไว้อย่างรวดเร็ว

“นายจะไปไม่ได้”
“อย่ามายุ่ง!” เจเรมีสะบัดตัวออก ทว่าก็ไม่หลุดจากการเกาะกุม คริสจับแขนเขาแน่นมากขึ้นไปอีก
“ไม่ยุ่งไม่ได้ ฉันจะไม่ปล่อยให้นายทำอะไรโดยพลการเด็ดขาด นายเป็นของฉัน อย่าลืม”

ฟังแล้วเจเรมีก็หัวเสียขึ้นมาจนแทบกลั้นไม่อยู่ ออกแรงสะบัดอีกครั้งจนคริสเซไปอีกทางแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ปล่อยมือ
“ฉันจะไปนอนถ่างขาให้ใครก็ช่างหัวมันเถอะไอ้บัดซบ แต่ที่ลูก้าเป็นแบบนี้ มันไม่ใช่เพราะนายหรือไง!”

ถูกตะคอกใส่หน้าจังๆ คริสก็หน้าม้านไปทันตา เขาก็อยากจะเถียงว่ามันเป็นสิ่งที่ลูก้าเลี่ยงไม่ได้ อย่างที่เขาบอก โอเมก้าสองคนไม่ควรอยู่ด้วยกัน หากแต่พอเห็นสายตาของเจเรมีที่โกรธจนน้ำตาคลอเบ้า เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาไม่น้อย

ไม่ได้รู้สึกผิดที่ทำให้ลูก้าต้องพบกับชะตากรรมแบบนั้น แต่รู้สึกผิดที่ทำร้ายจิตใจของเจเรมีมากกว่า

กระนั้นก็ยังไม่ยอมให้เจเรมีได้ทำอะไรตามใจอยู่ดี เห็นคริสนิ่งไปก็ผลักอกคนตรงหน้าออกห่าง ตอนนี้หลุดจากการเกาะกุมแล้ว ก่อนจะเอาชะแลงในมือชี้ไปที่หน้าคริส

“อย่ามาแส่อีกเป็นครั้งที่สอง” ไม่ได้ตะคอก แต่พูดเสียงต่ำ ดูก็รู้เลยว่าเอาจริงแน่

พูดจบก็ถอยห่างจากคริส เดินตรงไปยังทางที่ลูก้าวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนมา เป้าหมายคือหาอัลฟ่าคนนั้นแล้วจัดการกับมันอย่างสาสม
อาวุธที่ดูไม่มีประโยชน์อะไรมากในมือเขา... ต่อจากวินาทีนี้มันจะกลายเป็นทูตมรณะที่คร่าชีวิตของไอ้อัลฟ่านรกส่งมาเกิดนั่นอย่างแน่นอน!

ทว่าคริสไม่ยอมให้เจเรมีทำอย่างนั้นแน่ เห็นอีกฝ่ายก้าวพรวดๆ ก็รีบพุ่งไปคว้าตัวเอาไว้ เจเรมีขัดขืนแทบจะในทันที
“ปล่อยฉัน! ฉันจะไปฆ่ามัน!”
“นายจะทำแบบนั้นไม่ได้เจมี ตั้งสติหน่อย!”

กลายเป็นว่าพวกเขาทะเลาะกันอีกแล้ว เจเรมีไม่ได้อยากจะปะทะคารมหรือระเบิดอารมณ์ใส่คริสเท่าไหร่นักหรอก แต่เขายอมให้เรื่องมันดำเนินไปอย่างนี้ไม่ได้ ต่อให้รู้ว่าสู้แรงของคริสไม่ได้ก็ยังจะสู้ ก่อนจะรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีอยู่ผลักคริสเสียจนกระเด็น
“จะต้องให้ฉันตั้งสติอะไรอีก!” หลุดมาได้ก็แผดเสียงใส่ “ฉันจะไปฆ่ามัน”
พูดมาอย่างนี้ คริสก็ไม่ยอม ถลาเข้าไปรั้งเจเรมีไว้อีกครั้ง
“อย่าทำอะไรนอกแผนนะเจมี!”

เจเรมีผละถอยห่างได้ก่อนที่จะถูกคริสคว้าตัวไว้ ทันทีที่ตั้งหลักได้ก็ส่งเสียงดังอีกครั้ง
“แล้วนายจะให้ฉันอยู่เฉยๆ รอดูว่าพวกมันทำเวรอะไรกับพวกโอเมก้าอย่างนั้นหรือไง!”
“แต่เราตกลงกันแล้ว...”
“เป็นโมฆะ” พูดด้วยสีหน้าขึงขัง ก่อนจะยกชะแลงเหล็กขึ้นมาพาดบ่า “จนกว่าฉันจะฆ่ามันได้ แผนการของนายจะยังไม่เริ่ม”
สิ้นเสียงก็หมุนตัวเดินไปอีกทาง คริสได้แต่หัวเสียที่เจเรมีไม่เคยเชื่อฟังเขาเลยสักครั้ง ถึงจะทำท่าทางเหมือนฟังแต่ในใจกลับขัดแย้งตลอด

ไม่เข้าใจเลยว่าเจเรมีจะดื้อรั้นไปถึงไหน ยังไม่สำนึกอีกหรือไงว่าการที่เขาเป็นคนแบบนี้มันนำความเดือดร้อนมาให้ มีมนุษยธรรม อยากช่วยเหลือคนอื่นมันก็เป็นเรื่องดีอยู่หรอก แต่ต้องในใช่ในสถานการณ์ที่ตัวเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดอย่างนี้!

จะมีครั้งนี้นี่แหละที่คริสไม่ยอมให้เจเรมีได้ทำตามใจตัวเอง เห็นเจเรมีก้าวไปแล้ว เขาก็รีบก้าวตามไป ไม่ว่าอย่างไรก็จะหยุดเจเรมีให้ได้ ปากร้องเรียกคนตรงหน้าไปด้วย ไม่ได้สนใจคนที่ยืนตัวสั่นเทาอยู่เบื้องหลังสักนิด หากแต่เรียกได้ไม่เท่าไหร่ ร่างกายเขาก็เกิดร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างประหลาด จมูกพลันได้กลิ่นหอมหวานแปลกๆ จนต้องยกมือขึ้นป้องจมูก พลันในหัวก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีว่ากลิ่นนั้นมันคือกลิ่น...ฟีโรโมน!

ฟีโรโมนของใครกัน!?

ไม่ใช่ของเจเรมีอย่างแน่นอน ฝ่ายนั้นยังคงเดินดุ่มๆ ไปข้างหน้า ทำให้คริสหันไปมองทางด้านหลัง เท่านั้นก็เห็นว่าคนที่ยืนตัวสั่นเมื่อครู่ทรุดลงไปกับพื้นแล้ว ลักษณะท่าทางคล้ายกับคนที่กำลังทรมานจากอะไรสักอย่าง เท่านั้นก็รู้เลยว่าลูก้ากำลังเป็นฮีท
เรื่องใหญ่แล้ว!

ใหญ่อย่างแน่นอนเพราะนอกจากมันจะทำให้ลูก้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว มันยังทำให้คริสเกิดอาการกำหนัดอีกด้วย ถึงจะมีคู่ครองแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าร่างกายเขาจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าโดยเฉพาะโอเมก้าในช่วงฤดูผสมพันธุ์
ค่อนข้างจะมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้นเพราะกลิ่นฟีโรโมนมันทวีความรุนแรงกะทันหันและเร็วเกินไป ถ้าโดนฉีดยากระตุ้น มันจะใช้เวลาในการมีอาการช้ากว่านี้พอสมควร แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่หัวสมองของเขาเริ่มมึนเบลอไปหมด ตาพร่าจนมองเห็นภาพซ้อน ก่อนที่เขาจะพยายามร้องเรียกคนตรงหน้าให้มาช่วยเหลือ

“จะ...เจมี...”
เสียงเบาจนแทบจะกลายเป็นกระซิบ แต่ก็หวังจะให้เจเรมีได้ยิน

เจเรมีไม่ได้ยินหรอก ทว่าเขาหยุดเดินเพราะเห็นว่าด้านหลังเขาไม่มีใครตามมาแล้วซึ่งมันผิดปกติ และไม่รู้อะไรดลใจถึงทำให้เขาเดินย้อนกลับไป พลันเบิกตาโพลงทันทีที่เห็นว่าร่างใหญ่ของคริสทรุดลงกับพื้นต่อหน้าต่อหน้า

“คริส!” ปากร้องเรียกไปโดยอัตโนมัติ ขาก้าวพรวดๆ เข้าไปประคอง ในใจรู้สึกไม่ชอบมาพากลแปลกๆ กับอาการของคู่แห่งโชคชะตาที่เห็นตรงหน้า มันดูคล้ายกับ... “อย่าบอกนะว่านาย...”
“ลูก้าเป็นฮีท...” พูดยังไม่ทันจบ คริสก็ว่าออกมาแล้ว “รีบพาเด็กนั่นไปในอาคารเร็วเข้า” จากนั้นก็สั่ง

เจเรมีสบถคำผรุสวาทออกมานับครั้งไม่ถ้วน ก่อนจะผละจากคริสไปหาลูก้าที่นอนคุดคู้ด้วยท่าทางทรมานอย่างรวดเร็ว ช้อนร่างบางนั้นขึ้นมาด้วยสองแขนแกร่ง พลันรีบออกเดิน แต่ก็ไม่วายหันมามองคริสที่พยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างยากลำบากด้วยความเป็นห่วง

เป็นห่วง... รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

นอกเหนือจากนี้ยังรู้สึกประหลาดขึ้นมาอีกด้วย

คริสมีอาการตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมนของลูก้า...

แค่คิด ในหน้าอกก็แน่นขึ้นมาฉับพลันโดยไม่รู้สาเหตุ แต่เขาก็ต้องละความรู้สึกนั้นทิ้งไปก่อนเมื่อสังเกตได้ว่าเนื้อตัวของลูก้าในตอนนี้ร้อนรุ่มกว่าเดิมแล้ว

ต้องจัดการกับลูก้าก่อน หลังจากนั้นค่อยมาจัดการกับคริส...

เวรเอ๊ย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!



 
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.16[100%][8/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 10-03-2017 07:11:50
Episode 17: แรงจูงใจในการฆ่า[2]

กว่าหนึ่งกิโลเมตรทีเดียวที่เจเรมีต้องอุ้มลูก้าและวิ่งมายังอาคารซึ่งจะใช้เป็นสถานที่พักพิงใหม่ เขาไม่รอช้าที่จะหาห้องซึ่งมิดชิดที่สุดเพื่อนำตัวลูก้าไปไว้ในนั้น ก่อนจะจัดการปิดหน้าต่างและช่องระบายอากาศให้สนิท หันมาถอดเสื้อผ้าของลูก้าที่นอนคุดคู้อยู่บนพื้นออกจนเหลือแต่สภาพเปลือยเปล่า

ไม่ได้คิดจะทำอะไรโอเมก้าที่กำลังมีอาการฮีทคนนั้น แต่เขาจะใช้เสื้อผ้านั่นมาอุดตามช่องประตูต่างหาก
“อยู่ในนี้จนกว่าจะหายดี ห้ามออกมาเด็ดขาดจนกว่าฉันจะสั่ง”

ไม่แน่ใจว่าลูก้าจะรู้เรื่องไหม สภาพของเขาในตอนนี้ดูไม่ค่อยจะมีสติสัมปชัญญะเท่าไหร่แล้ว กระนั้นก็ปรือตามองชายหนุ่มผมบลอนด์พลางพยักหน้ารับ

“คะ...ครับ”

ยังพูดคุยรู้เรื่อง... เจเรมีพอจะเบาใจได้ พลันถอยออกมานอกห้อง ปล่อยให้ลูก้าเผชิญหน้ากับความทรมานอยู่ตามลำพังในนั้น ปิดประตูได้ก็ใช้เสื้อผ้าของโอเมก้าคนนั้นมาปิดตามช่องประตู ก่อนหมุนตัวตั้งท่าจะไปช่วยใครอีกคน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคนคนนั้นมาถึงที่นี่แล้ว

“เป็นไงบ้าง” ถามออกไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน
คริสซึ่งบัดนี้มีใบหน้าแดงก่ำและเม็ดเหงื่อผุดพรายไปทั่วตอบเสียงเบา “ดีขึ้นแล้ว”

เจเรมีหรี่ตามองอย่างพินิจ ไม่แน่ใจนักว่าดีขึ้นอย่างที่ปากว่าหรือเปล่าเพราะมันไม่ใช่แค่ใบหน้าของคริสเท่านั้นที่แดงเรื่อ ใบหูและลำคอก็เช่นกัน บ่งบอกให้รู้ว่าเลือดสูบฉีดแค่ไหน ซึ่งมันทำให้เขาอึดอัดภายในใจขึ้นมาอีกครั้ง

ยังคงมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมนของลูก้าสินะ...

ถึงจะพยายามกักเก็บกลิ่นฟีโรโมนของลูก้าแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากลิ่นนั้นจะจางหายใจไปชั่ววินาที มันแค่เบาบางลงเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรคริสก็ยังได้กลิ่น ถึงจะเป็นกลิ่นอ่อนๆ หากแต่การที่คริสมีปฏิกิริยาตอบสนอง ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก เจเรมีก็ไม่ชอบใจอยู่ดี

เท่านั้นก็พุ่งเข้ามาคว้าแขนคริสอย่างรวดเร็วก่อนลากไปที่ห้องอื่นโดยไม่พูดอะไร คริสก็ไม่ถาม กระทั่งถูกพาตัวมายังห้องพักผู้คุมซึ่งอยู่ห่างจากบริเวณที่ลูก้าอยู่พอสมควร ปล่อยให้คริสทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงได้ เจเรมีถึงได้ปริปากพูด

“แล้วตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง” ถามคล้ายกับว่าเป็นห่วง หากแต่น้ำเสียงเจือปนด้วยความหงุดหงิด
“ดีขึ้นแล้ว” คริสยังคงพูดประโยคเดิม คราวนี้ดูท่าทางน่าจะดีขึ้นจริงๆ เพราะเหมือนเขาจะพอควบคุมร่างกายตัวเองได้ กระนั้นรอยแดงๆ บนใบหน้าก็ยังไม่จางหายไป

มันช่วยไม่ได้ ถึงตอนนี้จะอยู่ไกลแต่กลิ่นฟีโรโมนของลูก้าก็ยังติดจมูกอยู่ ตอนนั้นมันดันได้กลิ่นจังๆ เลยนี่นา จะให้หายไปภายในเวลาไม่นานมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

ฟังแล้วแทนที่เจเรมีจะเชื่อ เขาดันหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“นายนี่มันติดสัดได้ตลอดเวลาจริงๆ นะ!” สบถออกมาอย่างไม่ไว้หน้า ทั้งที่คริสก็บอกแล้วว่าเขาอาการดีขึ้น แต่ท่าทางที่แสดงออกมามันคงทำให้เชื่อไม่ลงล่ะสินะ
“ฉันถึงได้บอกไงว่าโอเมก้าสองคนไม่ควรอยู่ด้วยกัน” ได้ทีคริสก็ย้ำเจตจำนงเดิม

เจเรมีหงุดหงิดหนักกว่าเดิมเสียอีก

ที่ไม่ให้อยู่ด้วยกัน นอกจากเรื่องจะฆ่ากันเองแล้ว มันคงหมายถึงเรื่องนี้ด้วยสินะ!

แต่ก็ไม่ใช่ความผิดของคริส เป็นความผิดของเขาเองที่ดื้อรั้น ตอนนี้เข้าใจอย่างชัดเจนเลยว่าเพราะอะไรคริสถึงพยายามจะไล่ลูก้าไป

เพราะเขากลัวว่านอกจากลูก้าจะทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากแล้ว ตัวเขาเองนี่แหละที่จะทำเรื่องให้มันยุ่งยากด้วยถ้าหากเผลอหน้ามืดหลงมัวเมาไปกับกลิ่นของโอเมก้าอื่นน่ะสิ

ไม่แปลกใจว่าทำไมที่ผ่านมาโอเมก้าถึงถูกมองในแง่ไม่ดีนักในสายตาของอัลฟ่า และเหตุใดโอเมก้าถึงต้องฉีดยาระงับอาการฮีททุกๆ เดือนราวกับสัตว์เลี้ยงที่ต้องฉีดยาคุมเพื่อป้องกันการแพร่พันธุ์

มันทำให้อัลฟ่าไม่สามารถควบคุมความต้องการตามสัญชาตญาณของตัวเองได้นั่นเอง...

สัญชาตญาณดิบของมนุษย์เป็นเรื่องที่น่ากลัวในความคิดของเจเรมีขึ้นมาฉับพลัน ยิ่งเหลือบไปมองบริเวณกลางลำตัวของคริสที่เป็นเนินนูนด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

ร่างกายร้อนวูบ ในอกคับแน่นเสียจนแทบจะระเบิดออกมา การที่คริสมีปฏิกิริยากับโอเมก้าอื่นมันทำให้เจเรมีอยู่ไม่สุขเลย แต่ก็ยังเก็บอารมณ์ ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ พลันยกมือขึ้นลูบใบหน้า

“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไป” ถามหาความเห็นเสียอย่างนั้น บอกตรงๆ ว่าตอนนี้เจเรมีเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้ว
เขาสงสารลูก้าที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่ชอบใจเช่นเดียวกันที่คริสไปมีอารมณ์เพราะกลิ่นฟีโรโมนของคนอื่นอย่างนั้น
หวง...ใช่แล้ว เขากำลังหวงคริส เป็นอาการที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยแท้ๆ

คริสเหลือบมองชายหนุ่มข้างๆ ที่มีสีหน้าเคร่งเครียดครู่หนึ่งก่อนส่งเสียงแห้งผากออกมา
“นายต้องอย่าไปยุ่งกับลูก้าอีก ทุกอย่างต้องปล่อยไปตามกฎของเกม”

ยิ่งฟัง เจเรมีก็ยิ่งหงุดหงิด ไม่รู้ว่าจะโมโหใครดีแล้วระหว่างเดร็กที่ลากพวกเขาให้เข้ามาร่วมเกมนี้ โกรธลูก้าที่เป็นฮีทและอ่อนแอจนเขาสงสาร หรือจะหงุดหงิดคริสดีที่ร่างกายไปตอบสนองต่อกลิ่นของคนอื่น

ความสับสนประดังประเดเข้ามา ปากครางถามอย่างเหนื่อยอ่อน

“เราจะเล่นนอกเกมไม่ได้เลยเหรอ” สิ้นประโยคแรกก็หันไปมองหน้าคริส “จำเป็นต้องเชื่อฟังไอ้เดนนรกนั่นขนาดนั้นเลยหรือไง”
คริสมองนิ่งๆ ไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆ คงจะไม่ใช่เรื่องดี

“นายจะแหกกฎใช่ไหม”
เจเรมีพยักหน้ารับช้าๆ ทำเอาคริสถึงกับถอนหายใจออกมา
“เจมี ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่า...”
“จะร่วมมือกับฉันไหม”
พูดยังไม่ทันจบเลย เจเรมีก็เอื้อมมือมาวางบนเป้ากางเกงของอีกฝ่ายเสียก่อน ทำเอาคริสถึงกับชะงัก แล้วก็ต้องประหลาดใจที่เห็นว่าอีกฝ่ายชะโงกหน้ามาเสียใกล้

...ใกล้จนปลายจมูกแทบจะสัมผัสกัน  กระตุ้นให้อารมณ์กำหนัดของเขาที่ทุเลาลงไปแล้วพุ่งพล่านขึ้นมาอีกระลอก

แล้วก็ต้องแทบจะเสียสติเมื่ออีกฝ่ายประทับริมฝีปากลงมาบนเรียวปากเขาอย่างอ้อยอิ่ง มิหนำซ้ำ มืออีกข้างของเจเรมีก็ลูบไล้ต้นคอของเขา สัมผัสหยาบกร้านกระตุ้นอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และแทบจะสติกระเจิงเลยทีเดียวเมื่อเจเรมีกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู
“ว่าไงคริส จะร่วมมือกับฉันไหม”

คริสอยากจะปฏิเสธ รู้ว่าถ้าตกปากรับคำไปมันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ แต่เพราะไม่พูด เขาจึงถูกเจเรมีดันให้ลงนอนราบบนเตียงก่อนที่อีกฝ่ายจะมาขึ้นคร่อม พลันถอดเสื้อของตัวเอง เผยให้เห็นแผงอกแกร่งและหน้าท้องเป็นลอนกล้าม

สีหน้าและสายตาของเจเรมีที่ทอดมองมาทางเขาดูเย้ายวนมากเลยทีเดียว ทว่านั่นยังไม่พอที่จะทำให้คริสยอมตกปากรับคำได้ เจเรมีจึงโน้มใบหน้าลงมาพรมจูบไปทั่วซีกแก้มและลำคอของอีกฝ่าย ฟันคมๆ ที่กัดลงไปบนผิวเนื้อไม่แรงนักทำให้คริสถึงกับสะดุ้ง บริเวณกลางลำตัวคับแน่นถึงขีดสุด แต่ไม่นานนักก็ถูกปลดปล่อยให้ออกมาสัมผัสอากาศผายนอกเมื่อเจเรมีจัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ของคนใต้ร่างอย่างชำนาญ

ร้ายกว่านั้น เจเรมียังเปลื้องพันธนาการบนร่างของตัวเองด้วย คริสมองร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายไม่วางตาพลันกลืนน้ำลายเอื้อก เขาชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่ส่วนกลางลำตัวของเขาแข็งขืนขนาดนี้เป็นเพราะกลิ่นฟีโรโมนของลูก้าหรือเพราะภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ากันแน่

แต่ก็ไม่มีเวลาให้เขาได้คิดทบทวนอะไรมากมายนักเมื่อมือหนากอบกุมมายังแก่นกายความเป็นชายและขยับรูดรั้งอย่างเป็นจังหวะทีละน้อย มือทั้งสองกำแน่น ปลายนิ้วเท้าเกร็งทันที ขณะที่เจเรมีค่อยๆ ร่นตัวลงต่ำ แตะริมฝีปากลงไปบนส่วนปลายอ่อนไหวนั่น กระซิบถามอีกครั้ง

“ฉันจะให้โอกาสนายตัดสินใจอีกครั้ง... จะร่วมมือกับฉันไหม”

ไม่...

อยากปฏิเสธไปอย่างนั้น แต่ความคิดนั่นก็มลายหายไปเมื่อถูกปลายลิ้นของอีกฝ่ายจรดลงมาบนยอด ความวาบหวามแล่นพล่านไปทั่วร่างทันที พริบตาเดียว ความหฤหรรษ์ก็เริ่มต้นขึ้นอีกเมื่อโพรงปากร้อนครอบครองความเป็นชายเข้ามา

คริสไม่อาจอยู่นิ่งได้เลย มือเอื้อมไปวุ่นวายกับร่างกายของเจเรมีทันที อีกฝ่ายไม่ขัดขืน ปล่อยให้คริสได้รุกล้ำตามใจ ไม่ว่าจะจับส่วนไหนก็ไม่ปัดป้องทั้งนั้น นั่นทำให้ความกำหนัดในกายของคริสเพิ่มพูนมากขึ้นไปอีก

มากจนทนไม่ไหว... เขาต้องทำในขั้นต่อไปแล้ว...

ดึงเจเรมีเล็กน้อยเป็นสัญญาณให้รู้ว่าควรแก่เวลาถอนริมฝีปากจากส่วนอ่อนไหวของเขาได้แล้ว ก่อนจะขยับให้อีกฝ่ายมาทาบทับร่างกายเขา กะจะพลิกตัวแล้วจัดการเผด็จศึกเสียให้จบสิ้น ทว่าเจเรมีไม่ยอมให้ทำแบบนั้น ขืนตัวแล้วเหยียดตัวขึ้นนั่งตรงๆ

“บอกมาสิคริส นายจะร่วมมือกับฉันหรือเปล่า” ยังคงถามคำถามเดิมอยู่
ดูท่าทางไม่ว่าอย่างไรก็คงจะเอาคำตอบให้ได้...
“แต่ถ้าเล่นนอกเกม นายจะเป็นอันตราย...”
เจเรมีไม่ฟังเลย คริสยังพูดไม่ทันจะจบด้วยซ้ำก็ขยับสะโพกเล็กน้อย มือจับแก่นกายของอีกฝ่ายมาไว้ใต้ร่าง ท่าทางนั้นทำให้คริสถึงกับชะงัก กัดริมฝีปากทันควัน

“บอกมาว่าจะร่วมมือกับฉัน”
ไม่เพียงแต่จัดท่าทาง ในตอนนี้ยังค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งแล้วด้วย ความคับแน่นที่เกิดจากร่างกายของคนตรงหน้าทำให้คริสหน้ามืด ความเสียวซ่านแผ่กำจายจนเขาชักจะไม่เป็นตัวของตัวเอง

เจเรมีกลายเป็นคนยั่วยวนเก่งอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

จากนั้นก็แสร้งทำเชื่องช้าเพื่อให้คริสทรมาน หยุดค้างอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมหย่อนตัวลงมาเต็มที่ด้วย ทำเอาคริสถึงกับต้องเอื้อมมือไปจับสะโพกคนบนตัวไว้ กะจะควบคุมเอง ทว่ากลับถูกอีกฝ่ายปัดมือออกอย่างแรง

“ให้ตายเถอะเจมี ขอล่ะ...” น้ำเสียงวิงวอนหลุดออกมาอย่างหมดท่า
ท่าทางนั้นมันเข้าทางโอเมก้าหนุ่มทันควัน ทำให้อีกฝ่ายเผยอยิ้ม ถามย้ำอีกครั้ง
“งั้นก็พูดสิว่าจะร่วมมือกับฉัน” จากนั้นก็หมุนสะโพกเล็กน้อยเป็นการกระตุ้นเร้า
คริสถึงกับต้องยกมือปิดหน้า

ให้ตาย... จะยั่วกันเกินไปแล้ว!

ยิ่งถูกเจเรมีใช้ร่างกายควบคุมเขามากยิ่งขึ้น แก่นกายถูกดึงรั้งเข้าไปในตัวของคนตรงหน้ามากเท่าไหร่ คริสก็ยิ่งไม่อาจใช้ตรรกะและเหตุผลได้ดีนัก แต่แล้วเจเรมีก็หยุดชะงักทันควันก่อนที่จะหย่อนตัวลงมาสุดทาง

“พูดสิคริส บอกว่าจะร่วมมือกับฉัน”
“นายจะให้ฉันทำอะไร”
เจเรมีขยับเอวเล็กน้อย ทำคริสต้องขบกรามแน่น ก่อนที่หูจะได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง
“ฆ่าลูก้า”
จากนั้นก็ทิ้งลำตัวลงมาจนสุดทาง คริสถึงกับเสียสติ มือเอื้อมไปจับเนื้อหนั่นของอีกฝ่ายทันที

ทนไม่ไหวแล้ว!

ขยับฝ่ามือที่บังคับให้อีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนไหว ก่อนจะตอบเมื่อได้ยินเสียงกระเส่าของเจเรมีดังขึ้น
“พะ...พูดสิคริส...อา...”
“ฉันจะร่วมมือ” สุดท้ายก็พลั้งปากออกไปจนได้

รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโอเมก้าผมบลอนด์นั้นชั่วครู่ ก่อนมันจะกลายเป็นสีหน้ายั่วเย้าเมื่อความเสียวซ่านแล่นพล่านไปทั่วร่าง มองแล้วก็รู้สึกว่ามันช่างน่ามอง ขณะเดียวกันก็ชวนให้รู้สึกถึงความอันตรายไม่น้อย

ไม่รู้เลยว่าเจเรมีคิดอะไรอยู่ถึงได้พูดอย่างนั้น การฆ่าลูก้าไม่ได้เป็นการเล่นนอกเกมเสียหน่อย แต่คริสจะมีเวลามาคิดอะไรได้อีกล่ะ ในตอนนี้สมองไม่สามารถใช้เหตุผลหรือตรรกะอะไรได้อีกแล้วแม้จะสงสัยว่าทำไมจู่ๆ เจเรมีถึงคิดอยากจะฆ่าลูก้าขึ้นมาก็ตาม

หรืออาจจะเป็นเพราะเขามีปฏิกิริยาต่อฟีโรโมนของลูก้า?

พินิจแล้วก็น่าจะเป็นแรงจูงใจในการฆ่าได้เหมือนกัน หากแต่คริสไม่สามารถคิดอะไรต่อจากนี้ได้อีกนอกจากลูบไล้ไปตามร่างกายแกร่ง เพลิดเพลินไปกับความสุขสมที่เจเรมีปรนเปรอให้

เขาตกบ่วงความเจ้าเล่ห์ของจอมวายร้ายคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว

เจเรมี... เป็นโอเมก้าที่ร้ายกาจสมการล่ำลือจริงๆ
------------------------------------
ขอต้อนรับขุ่นคริสสู่สมาคมพ่อบ้านใจกล้าอย่างเต็มตัวค่ะ 555
หลงน้องขนาดนี้ เป็นทาสในเรือนเบี้ยไปเรียบร้อย บอกแล้วว่าตอนนี้เจมีเผ็ชชช
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้หน่อย เดี๋ยวตอนเย็นๆ จะมาแปะตัวอย่างตอนต่อไปให้นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.17[100%][10/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-03-2017 07:37:29
คริสเอ๋ย นายไม่ได้ใจดีกับเจมีหรอก
นายหลงเมีย! และนายจะกลัวเมียแน่นอน!  :m20:

เจมีฉลาดมากที่เอาสัญชาตญานมาเป็นเครื่องมือ

ตอนที่คริสบอกให้ซ่อน ฉันว่ามันเป็นแผนที่ดูเข้าที แต่ก็ออกจะไร้เดียงสาไปหน่อย ที่คิดว่า ไอ้เดร็กมันจะยอมให้เป็นเช่นนั้น

ลูก้าที่น่าสงสาร ฉันอยากให้นายรอด อยากให้ได้มีชีวิตที่มีความสุข
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.17[100%][10/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 10-03-2017 08:34:52
 ฆ่าลูก้าแบบปลอมๆรึเปล่านะ :hao4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.17[100%][10/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 10-03-2017 08:49:30
เจมี่....ร้าย ร้ายกาดแรง
แกสุดยอด
แกจัดการคริสแบบนี้เลยหรอ
ป๊าดดดดดดด กราบจ๊าาา เธอเริศ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.17[100%][10/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 10-03-2017 20:05:16
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.17[100%][10/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 11-03-2017 00:04:53
เจมี่ร้ายกาจมาก  :hao7:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.17[100%][10/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-03-2017 01:10:14
พิษรักแรงหึงนี่มันรุนแรงจริงๆค่ะคุณขาาา  :z2:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.17[100%][10/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 11-03-2017 22:44:34
Episode 18: กฎมีไว้ให้แหก[1]

กว่าแผนการจะเริ่มก็ต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ไม่ใช่เพราะต้องใช้เวลาวางแผน แต่พวกเขาต้องรอเวลาให้ลูก้าหายจากอาการฮีทก่อนต่างหาก คริสไม่สามารถเข้าใกล้ลูก้าได้เลยแม้แต่น้อย เพียงได้กลิ่นฟีโรโมนเพียงนิดเดียว เขาก็มีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาทันที และสุดท้ายก็ต้องอาศัยเจเรมีเป็นที่ระบายความใคร่

ที่ระบายความใคร่... พูดอย่างนี้ก็ไม่ผิดนัก เจเรมีแทบจะกลายเป็นโอเมก้าในซ่องของตลาดมืดแห่งมหานครเพิร์ลเลยทีเดียว ถึงจะไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่เจเรมีก็ตระหนักได้ในตอนนี้ว่าความเป็นโอเมก้าของเขามีประโยชน์เพียงใด และเขาก็รู้วิธีที่จะใช้มันแล้ว

ความยั่วยวนของโอเมก้า ไม่ว่าจะมีรูปลักษณ์แบบไหนก็ล้วนแล้วแต่ควบคุมอัลฟ่าได้ทั้งสิ้น ซึ่งตอนนี้เขากำลังใช้ความยั่วยวนของตัวเองหลอกล่อใช้คริสเป็นเครื่องมืออยู่

กฎเกณฑ์ของเกมนรกนี่ เขาจะแหกมัน แต่ทำเพียงลำพังไม่ได้ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของคริส

ทุกอย่างดูง่ายขึ้นเมื่อเจเรมีทอดกายให้คริสได้กระทำตามใจอย่างไม่อิดออด กระทั่งถึงเวลาที่ลูก้าหายจากอาการฮีท ตอนนั้นถึงได้เวลาเริ่มแผน

แผนการของเจเรมีค่อนข้างซับซ้อน เขาไม่ให้คริสลงมือฆ่าลูก้าในอาคารนั้น หากแต่หลอกล่อพามายังประภาคารซึ่งอยู่ใกล้กับหน้าผาของเกาะโดยให้เหตุผลว่าบริเวณนี้ค่อนข้างเป็นจุดอับและไม่ได้รับความสนใจสักเท่าไหร่นักด้วยภูมิประเทศที่เดินเท้าค่อนข้างลำบากและหาอาหารและน้ำยาก จากนั้นถึงได้เริ่มลงมือตามขั้นตอน

ทุกอย่างผิดจากที่คริสคาดคะเนไปมากเลยทีเดียว เขานึกว่าการฆ่าลูก้าจะง่าย ทว่าไม่ใช่เมื่อมันเป็นแผนของเจเรมี กว่าจะเสร็จสิ้นก็ใช้เวลาไปพอสมควรเลยทีเดียว

ทั้งคู่ช่วยกันเอาผ้าปูที่นอนที่หยิบติดมือมาด้วยจากห้องพักผู้คุมที่อาคารแห่งนั้นมาห่อศพ จากนั้นก็ช่วยกันแบกมาไว้ยังประตูทางเข้าของประภาคาร ยืนพักเหนื่อยเล็กน้อยเพื่อจะนำศพออกไปทิ้ง

คริสมองตามแผ่นหลังกว้าง อยากจะถามเหมือนกันว่าแน่ใจหรือที่ทำแบบนี้ ทว่าเจเรมีก็โพล่งขึ้นมาเสียก่อน
“จบเรื่องนี้แล้ว เราค่อยไปจัดการในส่วนอื่นต่อ”
“หมายถึงให้ไปฆ่าพวกโอเมก้าคนอื่น?”
“คนอ่อนแอจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมล่ะ ใครกำจัดได้ง่ายก็ต้องรีบกำจัดทิ้งถ้านายอยากเป็นผู้ชนะ” เจเรมีว่าด้วยท่าทีสบายๆ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลอาบซีกแก้มเล็กน้อย

คริสไม่เข้าใจเลยว่าเจเรมีได้ความคิดแบบนี้มาจากไหน บอกตรงๆ ว่าเขาไม่เห็นด้วยเลยแม้แต่น้อย แต่เขาพลาดไปแล้ว...พลาดไปตั้งแต่ตอนที่ถูกเจเรมียั่วเย้า ตกปากรับคำไปอย่างนั้นก็ต้องทำตาม แม้ว่าความจริงเขาจะปฏิเสธหรือกลับคำก็ได้ แต่เพราะเป็นเจเรมี เป็นคนที่เขาอยากปกป้อง ทำให้เขาตกล่องปล่องชิ้นอย่างช่วยไม่ได้

เขาโง่เองที่หลงกลกับร่างกายนั้น...จะบอกว่าเขาไม่มีทางเลือกก็ไม่ใช่ แต่เขาไม่อาจต้านทานทุกสิ่งที่เป็นเจเรมีได้มากกว่า ต่อให้ไม่ได้มีปฏิกิริยาต่ออาการฮีทของโอเมก้า แต่ถ้าเป็นเจเรมี เขาติดกับดักทุกทาง

“ฉันว่าวิธีนี้มันจะเสี่ยงไปหน่อย”
“อย่าพูดมาก ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ” พอถูกแย้ง เจเรมีก็ว่าด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนจะลูบต้นคอที่มีหยาดเหงื่อเปียกชื้นไปมา

เห็นแล้วคริสก็กลืนน้ำลายเอื้อก...

ต้นคอแกร่งนั่น...เซ็กซี่เป็นบ้า

ยิ่งบริเวณนั้นมีร่องรอยช้ำเป็นจ้ำแดงที่เกิดจากการตีตราของเขา ยิ่งทำให้เจเรมีดูเย้ายวนมากขึ้นไปอีก

ไม่ใช่ว่าคริสไม่รู้ตัวว่าเขากำลังหลงใหลโอเมก้าตรงหน้า เขารู้...รู้ดีเลยทีเดียว แต่มันอดไม่ได้ที่จะครอบครองร่างกายนั้น
ได้ เขาจะทำตามที่เจเรมีสั่งทุกอย่างก็ได้ แต่มันต้องมีค่าจ้างกันหน่อย

คิดแล้วก็เดินเข้าไปหา ตวัดแขนโอบกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง ประทับริมฝีปากลงบนต้นคอนั่นอย่างรวดเร็ว ทำเอาเจเรมีที่ไม่ทันได้ตั้งตัวสะดุ้งเฮือก

“ทำเวรอะไรของนาย!” ตั้งสติได้ก็โวยวาย
คริสขยับริมฝีปากเล็กน้อยทั้งที่ใบหน้ายังคลอเคลียอยู่ที่เดิม “ขอค่าเหนื่อยหน่อย”

จะว่าเป็นการออดอ้อนก็ไม่ผิด ฟังดูขัดกับน้ำเสียงนิ่งเรียบไม่น้อย อะไรไม่ว่า ขัดกับบุคลิกของคริสที่มักจะสุขุมอีกด้วย แต่อะไรก็ไม่เป็นปัญหาเท่ากับการที่คริสวนเวียนอยู่กับเรื่องอย่างว่าไม่เลิก

“นายติดสัดหรือไงวะ” ถามเสียงแผ่วเมื่อปลายหูถูกขบกัด
คริสพยักหน้ารับเล็กน้อย “นิดหน่อย”
ยอมรับโดยดุษณี ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เจเรมีก็ไม่อยากจะยินยอมหรอก แต่เขาต้องใช้ประโยชน์จากคริสอีกเยอะจึงได้ยอมอยู่เฉยๆ ปล่อยให้คริสวุ่นวายกับร่างกายตัวเอง

“แค่ภายนอกพอ” กำชับเล็กน้อยด้วยเจเรมีไม่อยากจะเสียเวลากับเรื่องอย่างนี้สักเท่าไหร่นัก
แต่เหมือนคริสจะไม่ฟัง เขารู้แต่เพียงว่าได้รับอนุญาต อย่างอื่นไม่สนแม้แต่น้อย มือทั้งสองจับเจเรมีให้หันหน้ามาหา บดจูบริมฝีปากอย่างกระหาย ดันอีกฝ่ายไปยังโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งวางอยู่ติดกับผนัง ก่อนจะประคองให้ชายหนุ่มผมบลอนด์ขึ้นไปนั่งบนนั้น
ความเร่าร้อนทำให้คริสจัดการทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว เจเรมีมองตามไม่ทันเลยว่าเสื้อผ้าเขาถูกปลดเปลื้องไปตั้งแต่ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่าแล้ว

ริมฝีปากประทับไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ปลายลิ้นลากไล้ไปตามจุดอ่อนไหว ร่องรอยแดงช้ำเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อคริสต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ

ทุกอย่างมีข้อแลกเปลี่ยน... เจเรมีต้องการใช้คริส เขาก็ต้องกลายเป็นตุ๊กตาให้อีกฝ่ายเล่นสนุกตามอำเภอใจ แต่ถ้าคิดดีๆ แล้ว หากจะปฏิเสธก็ทำได้ คริสไม่ใช่คนที่จะฝืนใจใครโดยเฉพาะถ้าคนคนนั้นเป็นเจเรมี

ทว่าเพราะเจเรมีไม่คิดปฏิเสธ ทุกอย่างถึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อคริสวุ่นวายกับร่างกายส่วนบนจนเป็นที่พอใจก็ขยับลงต่ำมาเรื่อยๆ ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามตุ่มไตเล็กๆ กระตุ้นเร้าให้มันตอบสนองต่อการสัมผัส

เจเรมีครางฮืมในลำคอ ร่างกายของเขาร้อนผะผ่าวกว่านาทีก่อน และก็ยิ่งร้อนมากขึ้นเมื่อคริสจรดริมฝีปากลงบนยอดอกสีสวยข้างหนึ่ง

เป็นสัมผัสที่เจเรมีชื่นชอบ...ถึงจะไม่พูดแต่ก็แสดงออกทางสีหน้าและท่าทางในทุกครั้งที่ถูกกระทำอย่างนี้

ลำตัวช่วงบนแอ่นรับกับการกระตุ้นเร้านั้น ใบหน้าแดงเรื่อเพราะเลือดสูบฉีดอย่างรุนแรง เขาอ่อนไหวกับบริเวณนี้มากเป็นพิเศษ แม้ในตอนที่ไม่เป็นฮีท มันก็กระตุ้นเร้าอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ถึงจะไม่ไปถึงขั้นสุขสมก็เถอะ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าลีลาของคริสนั้นเป็นเลิศไม่ใช่น้อย

ฝ่ามือหนาขยุ้มผมสีน้ำตาลบริเวณท้ายทอยของอัลฟ่าหนุ่ม คริสเหลือบมองใบหน้าของคู่แห่งโชคชะตาเล็กน้อยก่อนจะถอนริมฝีปากออกมา

“ชอบไหม”
เจเรมีไม่ตอบจึงถูกคริสประทับจูบที่ต้นคอพลางขบกัดเบาๆ ให้ได้สะดุ้ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะชื่นชมรอยแดงเป็นจ้ำบนตัวของคนตรงหน้าที่ฝีมือตัวเองด้วยความลุ่มหลง

ใช่...ต้องใช้คำว่าลุ่มหลง เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนอย่างเจเรมีจะมีอำนาจยั่วยวนให้เขาละทิ้งความเป็นตัวของตัวเองได้ถึงขนาดนี้ จากตอนแรกที่เห็นอีกฝ่ายเปลื้องผ้าแล้วไม่คิดอะไรแท้ๆ แต่ในตอนนี้แค่เห็นหน้า เขาก็แทบจะหยุดความคิดลามกไม่ได้แล้ว

แม้ว่าเมื่อคืนจะเชยชมร่างกายนี้ไปตั้งหลายต่อหลายครั้ง...
แม้ตลอดทั้งอาทิตย์จะไม่ยอมให้เจเรมีลุกออกจากเตียงเลยก็ตาม...

แต่มันก็ไม่เคยเพียงพอเลย ยิ่งเจเรมีอนุญาตให้เขาทำตามใจ คริสก็กลายเป็นคนเห็นแก่ได้ทันที

ไม่อยากให้เจเรมีห่างกายแม้แต่วินาทีเดียว...

ทั้งที่ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดทำเรื่องอย่างว่าแท้ๆ แต่เขาก็อดไม่ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะเห็นต้นคอแกร่งของโอเมก้าหนุ่มจากทางด้านหลังเพียงเท่านั้น

แค่ต้นคอก็เซ็กซี่...

บ้าบอที่สุด!

อย่างกับคนโรคจิต แต่ก็ช่างมัน เขาสนใจแค่ว่าจะจัดการเจเรมีต่อจากขั้นตอนนี้อย่างไร

เท่านั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งรั้งขาของเจเรมีขึ้นตั้งชันบนโต๊ะทั้งที่ใบหน้าก็ยังไม่ละออกจากลำคอ ก่อนจะจัดการกับขาอีกข้างในท่าทางที่เหมือนกัน ถอยออกมาเล็กน้อยเพื่อดูผลงาน พอเห็นว่าคู่ครองอยู่ในท่าที่เหมาะสม เขาก็พุ่งเข้าหา ประกบปากจูบอย่างกระหาย
ขนาดอยู่เฉยๆ ยังว่าเซ็กซี่ พอมาอยู่ในท่าทางแบบนี้...ให้ตาย จะทำให้เขาเป็นบ้าตายอยู่แล้ว!

ทุกอย่างดำเนินขึ้นอย่างรวดเร็วและร้อนรน คริสปลดตะขอกางเกงของตัวเอง กระเถิบบั้นเอวเข้าไปหา สองมือรั้งสะโพกอีกฝ่ายให้อยู่ในท่าทางที่ถนัดต่อการกอดรัด

เจเรมีเห็นว่าคริสเริ่มหน้ามืดก็ร้องทักทันควัน

“บอกให้ทำแค่ภายนอกไง”
ภายนอกหรือภายในก็ไม่สนใจ คริสขยับตัวเข้ามาใกล้ ผสานร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเจเรมีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอให้เจเรมีคุ้นชินกับความคับแน่นสักพักก่อนถึงได้ตอบรับ

“ทำไม กลัวท้องเหรอ”
ฟังไม่เข้าหูเอาเสียเลย... เจเรมีย่นหน้า ต่อยไปที่อกของคริสเกือบจะเต็มแรง
“อย่ามาพูดเหมือนฉันเป็นหมูตัวเมีย”

คริสไม่ได้คิดอย่างนั้นสักนิด เขาก็แค่ถามในประเด็นที่น่าจะเป็นไปได้ ไม่ว่าอย่างไรโอเมก้าก็สามารถตั้งครรถ์ได้ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนอยู่แล้วนี่

คริสแสร้งทำไม่สนใจ ค่อยๆ ขยับกายไปตามจังหวะทีละน้อย
“แล้วถามทำไม หรือว่าจะเจ็บหลัง?” จากนั้นก็สอดแขนไปรองรับแผ่นหลังของอีกฝ่ายกันไม่ให้กระแทกกับผนัง
หากแต่ผิดคาด เจเรมีไม่ได้บอบบางถึงขนาดจะทนการเสียดสีแค่นี้ไม่ได้ เขาไม่ได้ถามเพราะเรื่องอะไรเล็กน้อยอย่างนั้นสักหน่อย แต่เป็นเรื่องอื่นต่างหาก

“เปล่า” เจเรมีว่าพลางหอบหายใจหนัก สองมือโอบลำคอของคนที่ยืนอยู่ระหว่างกลางของลำตัว “ฉันแค่อยากจะจัดการกับศพนั่นเร็วๆ”
ว่าพลางพยักปลายคางไปยังห่อผ้าที่วางอยู่บนพื้นไม่ไกลนัก

คริสมองตาม หยุดเคลื่อนไหวไปเล็กน้อย

จริงสิ ยังไม่ได้จัดการกับศพของลูก้าเลยนี่นา แต่ช่างมันก่อนเถอะ เรื่องในตอนนี้สำคัญกว่า

“ไว้ค่อยว่ากัน ฉันขอจัดการนายก่อน” พูดพลางประทับจูบลงบนเรียวปากแสนหวาน สอดปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดราวกับกลัวว่าชีวิตนี้จะไม่ได้ผูกพันกันอย่างนี้อีกแล้ว

เจเรมีก็อยากจะท้วง ใจอยากจะให้คริสช่วยจัดการเรื่องนั้นให้จบๆ ไปเสียก่อน ทว่าเขาก็ไม่อาจจะห้ามความกำหนัดของตัวเองได้เหมือนกัน

...กำหนัดเหรอ? ไม่หรอก ไม่ใช่ความกำหนัด การเปลืองตัวครั้งนี้มันไม่ได้เกิดจากแรงขับทางเพศ แต่มันเกิดจากความพิศวาสต่างหาก

ลุ่มหลง มัวเมา หน้ามืด... จะเรียกว่าอะไรก็ช่าง ที่แน่ๆ ถ้าคริสเริ่ม เจเรมีก็ไม่อาจจะหยุดตัวเองไว้ได้เหมือนกัน

เรียกได้เต็มปากว่าเป็นการเล่นนอกกติกาเต็มสูบ โดยเฉพาะคริสที่เหมือนจะแหกกฎตลอด

กฎ...มีไว้ให้แหกตามแบบฉบับของคริสมันเป็นอย่างนี้นี่เอง

ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาพรรณนาความหื่นกระหายของคริสดี เจเรมีรู้เพียงอย่างเดียวว่าถ้าหากเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาจะต้องลำบากแน่ อย่างแรกเลยคือเรื่องร่างกาย... เดินเหินลำบากกว่าเดิมเพราะคริสอย่างแน่นอน

แต่เหนือสิ่งอื่นใด สมองเขาไม่สามารถคิดวิเคราะห์เรื่องอื่นๆ ได้อีกต่อไปแล้วเมื่อแสงสว่างพร่างพรายวาบเข้ามาในหัว ก่อนที่ของเหลวสีขาวขุ่นจะไหลทะลักเปรอะเปื้อนบริเวณหน้าท้อง

ลมหายใจหอบหนักและเสียงครางอย่างสุขสมของอีกฝ่ายทำให้คริสหยุดการเคลื่อนไหว ปรายตามองคนตรงหน้าที่ดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงด้วยความเสน่หา

“อีกรอบไหวไหม” ต้องถามก่อนเพราะเขายังไม่ถึงที่สิ้นสุด
เจเรมีเหลือบตามอง ควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะเปรยออกมา “ฉันห้ามนายได้ด้วยหรือไง”

ห้ามได้สิ ทำไมจะไม่ได้ แค่ไม่ห้าม...

คริสเผยอยิ้ม เขาชอบที่เจเรมียอมอ่อนให้เขาแบบนี้ แม้ว่าจะเข้าใจดีว่าเพราะอีกฝ่ายต้องการผลประโยชน์จากเขา และมันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่เขาจะปล่อยให้ตัวเองถูกควบคุมอย่างที่เป็นอยู่

แต่ช่างมัน... ขอแค่ให้ได้ครอบครองเจเรมี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เขาก็จะไม่สนทั้งนั้น

“งั้น...จนกว่าฉันจะพอใจ นายห้ามขัดเชียว” คริสกระซิบเสียงพร่าก่อนที่จะเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายอีกครั้ง
เพลิงราคะถูกจุดขึ้นอีกระลอก เจเรมีปล่อยกายและใจให้เป็นไปตามอารมณ์และความเอาแต่ใจของคริสแต่โดยดี รับเอาความหฤหรรษ์ที่คริสปรนเปรอให้ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่แย้งเลยแม้แต่น้อย

ใครว่าโอเมก้าเป็นตัวอันตรายที่ทำให้อัลฟ่าลุ่มหลงจนถูกควบคุมไม่รู้ตัวกัน อัลฟ่าเองก็อันตรายไม่แพ้โอเมก้า โดยเฉพาะถ้าอัลฟ่าคนนั้นเป็นคู่แห่งโชคชะตา และเป็นคริส...

เพราะเป็นคริส... ทุกอย่างมันถึงอันตรายสำหรับเจเรมีอย่างนี้

ความลุ่มหลงในกันและกันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่มีชีวิตเป็นเดิมพันอย่างนี้เลย




 
ความกังวลในวันนั้นคุกคามจิตใจของอัลเบิร์ตมากระทั่งถึงวันนี้ ตั้งแต่ที่เจอกับเจเรมีครั้งสุดท้ายเพื่อทำตามแผนของเดร็กให้เพื่อนสนิทของตัวเองยอมตอบรับเข้าร่วมเกมด้วยไม่ต้องการให้บิดาของเขาได้รับอันตรายถึงชีวิต เขาก็ยังนอนหลับได้ไม่เต็มตื่นเลยแม้แต่คืนเดียว

เขารู้สึกผิดกับเจเรมี เหนือสิ่งอื่นใดคือเป็นห่วงเพื่อนที่โตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก

ความกังวลกัดกินจิตใจจนทำให้อัลเบิร์ตไม่อาจเก็บงำความลับนั้นไว้เพียงลำพังอีกต่อไป เขาหลุดปากเล่าทุกอย่างให้แมทธิวฟังจนได้ แน่นอนว่าบิดาย่อมโกรธเขาหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่ทำอะไรไปโดยไม่คิด โกรธยิ่งกว่าคือเจเรมีที่ตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่คำนึงเลยว่าเจอโรมกำลังหาทางช่วยบุตรชายคนเดียวขนาดไหน

หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของอัลเบิร์ต แมทธิวก็พุ่งไปหาเจอโรมทันทีแม้ว่าจะถูกอีกฝ่ายสั่งให้อยู่ห่างจากเขาเพื่อความปลอดภัยก็ตาม

ทั้งหมดก็เพื่อแจ้งข่าวคราวของเจเรมีให้รับรู้…

ความจริงก็ไม่ได้สั่งให้ห่างหรอก แค่ให้ดำเนินการทุกอย่างแบบไม่ประเจิดประเจ้อเท่านั้น ป้องกันไม่ให้เดร็กลากครอบครัววอล์กเกอร์เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากนี้

ทว่าครั้งนี้คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วในเมื่อลูกชายของตระกูลวอล์กเกอร์เป็นต้นเหตุของเรื่องยุ่งยากเรื่องใหม่... จะว่าเป็นต้นเหตุก็ไม่ได้ ต้องบอกว่าหูเบาและด้อยปัญญาไปหน่อยมากกว่าที่หลงกลกับดักของเดร็ก

อัลเบิร์ตยอมรับในความโง่เง่าของตัวเองอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เขาโง่จริงๆ พวกผู้ใหญ่ต่อสู้กันถึงขนาดนี้แล้ว มีหรือที่จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนของนายพลนรกส่งมาเกิดนั่น เขาคิดตื้นเกินไป ตระกูลเมอร์ซีจึงประสบปัญหาขึ้นมาอีกเรื่อง

เจอโรมถึงกับกุมขมับ ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดแรงหลังจากได้ยินว่าลูกชายของตัวเองไปอยู่ในที่ไหนและกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร ไร้เรี่ยวแรงยิ่งกว่าเมื่อรู้ว่าสถานที่ซึ่งเป็นที่กักขังเจเรมีคือเกาะซึ่งเป็นแดนประหารและทรมานนักโทษ

...สถานที่ซึ่งเขาเคยทำทุกอย่างเพื่อยุติการใช้งาน บัดนี้มันกลายเป็นกระดานหมากชีวิตที่มีเจเรมีเป็นเบี้ยในการเดินเกมแล้ว
ตอนนี้เจเรมีจะอยู่หรือตาย ไม่ได้อยู่ที่เขาคนเดียวอีกต่อไป หากแต่อยู่ที่เจเรมีด้วยว่าจะเอาตัวรอดจากเกมนรกนี้ได้ไหม ถึงจะรู้ว่าลูกชายตัวเองเป็นพวกกระดูกแข็ง แต่ก็ใช่ว่าเขาจะวางใจว่าเจเรมีจะปลอดภัย ดังนั้นในฐานะคนเป็นพ่อ เขาจะไม่ยอมให้สมาชิกในครอบครัวเป็นอะไรไปอีกคนแน่ แค่สูญเสียภรรยาซึ่งเป็นที่รักไป เขาก็คลั่งจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว

เพราะเหตุนี้เจอโรมจึงมาอยู่ที่หน้าบ้านของเดร็กพร้อมกับแมททิธ อัลเบิร์ต และคนติดตามซึ่งยังฝักใฝ่ฝ่ายเขาอีกจำนวนหนึ่ง
เดร็กรู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งอีกฝ่ายต้องมาเยี่ยมเยือน ซึ่งมันเป็นแผนการของเขาอยู่แล้วจึงให้ลูกน้อยใต้อาณัติต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เจอโรมไม่ได้ต้องการเลย เขาไม่เอาเลือดหัวของอีกฝ่ายออกด้วยลูกตะกั่วตั้งแต่เจอหน้ากันก็นับว่าโชคดีเท่าไหร่แล้ว
การสนทนาก็ดูเป็นไปไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักด้วยเมื่อเดร็กผายมือให้แขกผู้มาเยือนได้นั่งพักหายใจหายคอ ทว่าเจอโรมปฏิเสธเสียงแข็ง

“ฉันไม่ได้มาเพื่อคุยเล่นกับแก บอกมาว่าแกต้องการอะไร” คำถามตรงๆ ทำให้เดร็กซึ่งนั่งอยู่ยังโต๊ะทำงานมองคนที่ยืนจังก้าพร้อมกับสีหน้าเกรี้ยวกราดนิ่งๆ ก่อนจะเหยียดตัวตรงเล็กน้อย
“ผมต้องการอะไรงั้นเหรอ? ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่”

แน่นอน...เจอโรมรู้อยู่แล้ว

ต้องการทำลายตระกูลเมอร์ซีชนิดถอนรากถอนโคน...

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ ฝันไปได้เลย” เจอโรมยืนกรานหนักแน่นว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมถอนตัวไปง่ายๆ
หากเขาทำแบบนั้น คนที่ฝักใฝ่ฝ่ายเขาจะเดือดร้อนเพราะไม่มีใครเป็นเกราะกำบัง เขาอาจจะช่วยเจเรมีได้ แต่คนอื่นๆ ที่ซื่อสัตย์กับเขาล่ะ ต่อจากนี้จะมีชีวิตอยู่กันอย่างไร

มันเป็นเรื่องของอำนาจล้วนๆ และที่เรื่องมันเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เป็นเพราะเจอโรมไม่ยอมอ่อนข้อ ซึ่งนั่นทำให้เดร็กที่เป็นแนวหน้าของผู้นำอีกสามตระกูลทำทุกอย่างเพื่อจะล้มล้างอำนาจคนตรงหน้า

ไม่ใช่เพราะภักดีกับสามตระกูลนั้น หากแต่เขาต้องการสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นผู้นำอีกตระกูลนั่นเอง กำจัดเสี้ยนหนามอย่างตระกูลเมอร์ซีไปได้ ตระกูลแฮร์ริสันก็จะได้ความดีความชอบ การขึ้นเป็นผู้นำก็ไม่ใช่เรื่องยาก

แต่การใช้เจเรมีเป็นเครื่องมือในแผนสกปรกนี้มันเป็นเรื่องที่ทุเรศสิ้นดี!

แล้วเดร็กสนใจไหมล่ะ? ไม่... เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการได้อยู่แล้ว ต้องขอบคุณเจเรมีเสียด้วยที่เป็นชนวนให้เขาได้ริเริ่มแผนการที่วางไว้มาแรมปีเสียที หากไม่เป็นเพราะเจเรมีจุดชนวน เรื่องก็คงไม่ง่ายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

“งั้นก็แล้วแต่คุณ ถ้าคุณคิดว่าชีวิตของลูกคุณไม่สำคัญ ผมก็เคารพการตัดสินใจของคุณอยู่แล้ว ท่านผู้นำเมอร์ซี” เดร็กว่ายอก
ย้อน ท่าทางไม่ยี่หระเลยแม้แต่น้อย

เจอโรมขบกรามแน่น มือทั้งสองกำเข้าหากัน ถ้าเขาไม่กลัวว่าเรื่องจะเลวร้ายไปมากกว่านี้ เขาจะแย่งปืนจากนายทหารที่อยู่ใกล้ๆ แล้วมาจ่อยิงเผาขนเดร็กให้รู้แล้วรู้รอด

เดร็กเห็นท่าทางนั่นก็รู้ว่าเจอโรมไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็นั่นแหละ...มันเป็นแผน เอาชีวิตลูกชายหัวแก้วหัวแหวนมาเป็นเหยื่อล่ออย่างนั้น ดูซิว่าท่านผู้นำคนนี้จะทำเพื่อประชาชนและพรรคพวกที่สวามิภักดิ์กับเขาหรือเพื่อลูกชายกันแน่ ก่อนหน้านี้ก็เสียภรรยาไปแล้วนี่ เดร็กคิดว่าเจอโรมไม่น่าจะเอาตัวเองมาเสี่ยงทำอะไรโดยพลการแม้ว่าจะอยากช่วยเจเรมีเพียงใด

“สรุปแล้วไม่ยอมลง?” เดร็กถามย้ำอีกครั้งด้วยท่าทางสบายๆ
“ฉันจะไม่ยอมก้มหัวให้กับพวกชั่วอย่างแกแน่” เจอโรมแค่นเสียงต่ำ ท่าทางกระด้างกระเดื่องบ่งบอกชัดเจนว่าพร้อมสู้ทุกวิถีทาง
ขนาดลูกชายตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแท้ๆ ยังจะหัวแข็งอีก

เดร็กอดคิดอย่างนั้นไม่ได้ แต่ก็ดี เกมของเขามันจะได้สนุกขึ้น จะยอมเล่นกับคนตรงหน้าอีกสักหน่อยก็ได้
“งั้นก็แล้วแต่คุณ ผมจะให้คนคอยไปรายงานแล้วกันว่าสถานการณ์ในเกาะมรณะนั่นเป็นยังไง แต่อย่างที่คุณรู้ โอเมก้าที่รอดชีวิตเป็นคนสุดท้ายคือผู้ชนะ ตอนนี้เหลือโอเมก้าอยู่อีกสี่คนจากห้า อัลฟ่าอีกแปดจากสิบ เกมดำเนินมาอาทิตย์กว่าแบ้ว ไม่แน่ว่าคนที่จะเป็นรายต่อไปอาจจะเป็นลูกคุณก็ได้ ใครจะไปรู้ คิดดูให้ดีว่าจะยอมลงง่ายๆ หรือต้องให้ลูกคุณตายก่อนถึงจะตัดสินใจได้”

ไม่มีคำตอบจากเจอโรม มีเพียงแววตาอาฆาตแค้นเท่านั้น ดูก็รู้ว่ายังยืนยันคำตอบเดิม

เดร็กยักไหล่เล็กน้อย “คิดดูเอาเองนะครับ ผมเคารพการตัดสินใจของคุณ อย่างน้อยก็ในฐานะท่านผู้นำ แต่ถ้าเป็นผม ผมจะไม่เอาชีวิตลูกตัวเองมาเสี่ยงกับอะไรแบบนี้ มันได้ไม่คุ้มเสีย อ้อ ลืมไป สำหรับลูกอย่างนั้น คุณคงจะไม่เสียดายสินะครับ โอเมก้าชั้นต่ำอยู่ไปจะมีค่าอะไร” ตบท้ายด้วยการดูแคลน

เจอโรมไม่เคยโกรธใครได้มากเท่าครั้งนี้เลย ถ้าหากว่าแมทธิวไม่คอยปรามเขาไว้ รับรองว่าเขาพุ่งเข้าไปประเคนหมัดใส่หน้านายพลชั่วนั่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เดร็กยิ้มให้กับท่าทางหัวเสียนั่น ก่อนจะร้องบอกคนสนิท
“ส่งแขกหน่อย คิดว่าน่าจะหมดธุระกับฉันแล้ว”

เจอโรมหุนหันเดินออกจากห้องทำงานของศัตรูทันทีโดยมีแมทธิวตามไปติดๆ อัลเบิร์ตที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยยิ่งรู้สึกแย่ลงไปใหญ่ที่เรื่องมันเลวร้ายกว่าเดิม ก่อนหูจะได้ยินเสียงของเจอโรมกระซิบกระซาบกับบิดาตัวเอง
“เราคงต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดกับพวกมันแล้ว”
“หรือคุณจะหมายถึง...”
เจอโรมหันไปสบตาอีกฝ่าย ไม่พูดอะไรออกมาในขณะที่แมทธิวพยักหน้ารับน้อยๆ คล้ายกับว่ารู้กันว่าหมายถึงอะไร

อัลเบิร์ตเองก็อยากรู้ ทว่ามีสิ่งอื่นดึงความสนใจของเขาไปเสียก่อนเมื่อสายตาเหลือบเห็นใครบางคนที่คุ้นตาบนรถวีลแชร์
“ธีโอ...” ริมฝีปากหนาครางออกมา ก่อนที่เขาจะผละไปยังทิศทางที่ชายหนุ่มอีกคนจ้องมองเขาอยู่

ธีโอยังคงใส่เฝือกที่แขนและขา และยังเดินเหินไม่ได้แม้ว่าจะผ่านมาหลายเดือนแล้วเนื่องจากอาการบาดเจ็บค่อนข้างจะสาหัส ทว่าอาการบาดเจ็บก็ไม่ได้ทำให้ความกวนประสาทของอีกฝ่ายลดลงเลยแม้แต่น้อยทันทีที่เขาเห็นอัลเบิร์ต

“ไง เพื่อนสวะของแกโดนล่อจนท้องไปหรือยัง ได้ข่าวว่ามันถูกส่งไปที่เกาะนั่นนี่” เป็นคำพูดที่ไม่ควรเป็นคำทักทายเลยแม้แต่น้อย

อัลเบิร์ตกักเก็บความกรุ่นโกรธ ก้าวไปหยุดยืนตรงหน้าธีโอก่อนปริปาก
“แล้วนายจะอยู่เฉยๆ รอดูเพื่อนฉันถูกฆ่าตายอย่างนี้น่ะเหรอ?”
ธีโอเลิกคิ้วสูงทันควัน “แกอยากจะพูดอะไร”
“อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนร่วมสถาบันกัน ฉันว่านายควรคุยกับพ่อนายเรื่องนี้”

ฟังแล้วธีโอก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “เพื่อนเหรอ? ตลกไปหน่อยแล้ว ฉันจำไม่เห็นได้ว่าเคยไปเป็นเพื่อนกับมันตอนไหน”
“ถือว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ก็ได้ เห็นแก่มนุษยธรรมเถอะธีโอ ช่วยเจมีออกมาจากที่นั่น” ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจู่ๆ อัลเบิร์ตจะขอร้องคนที่เพื่อนตัวเองทำร้ายอย่างนี้

ซึ่งเขาคิดผิด เขาไม่น่าพูดออกมาเลยเพราะนอกจากธีโอจะไม่ฟังแล้ว ยังมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยามอีกต่างหาก
“ฉันจำเป็นต้องช่วยโอเมก้านั่นด้วยหรือไง เดนมนุษย์อย่างพวกมันน่ะไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่หรอก ปล่อยให้มันโดนล่อจนตายน่ะดีแล้ว ทำไม หรือที่นายกระเหี้ยนกระหือรืออยากให้มันกลับมาเป็นเพราะนายก็อยากล่อมันเหมือนกัน?”

อัลเบิร์ตถึงกับขมวดคิ้วจนยุ่ง

กักขฬะ...ชั้นต่ำ...น่ารังเกียจ...เป็นคำที่อธิบายคนตรงหน้าได้เป็นอย่างดี

“ฉันมันโง่เองที่ขอร้องคนอย่างนาย ลืมมันไปซะ” อัลเบิร์ตยุติการสนทนาแทบจะในวินาทีนั้น หันหลังหนีทันควัน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงนั้นลอยมาให้ได้ยินอีก

ถ้าอยากให้มันรอด แกต้องไปบอกพ่อมันให้ยอมลงจากตำแหน่ง ไม่ใช่มาขอร้องฉันให้ช่วยพูดกับพ่อ สำหรับฉันน่ะ การได้เห็นโอเมก้าพวกนั้นตายมันเป็นเรื่องที่สนุกที่สุดแล้ว โดยเฉพาะเจเรมีกับไอ้เวรนั่น”

อัลเบิร์ตถึงกับหันกลับไปมอง

เจเรมีกับไอ้เวรนั่น... ใครกัน?

หากแต่ไม่ได้คำตอบจากอีกฝ่ายเมื่อธีโอเอาแต่ยิ้มเยาะ อัลเบิร์ตรังเกียจเกินกว่าจะทนเสวนาต่อด้วยได้จึงผละจากมาอย่างรวดเร็วทั้งที่ในหัวยังคิดวกวนไม่หยุด

หมายถึงใครน่ะ?



 
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.17[100%][10/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 11-03-2017 22:48:54
Episode 18: กฎมีไว้ให้แหก[2]

หลังจากที่จ่ายค่าเหนื่อยให้คริสจนเป็นที่พอใจของอัลฟ่าหนุ่ม คริสก็ช่วยกันหามหัวท้ายศพที่ห่ออยู่ในผ้าปูที่นอนมาโยนทิ้งที่หน้าผา ก่อนที่ศพนั่นจะถูกคลื่นซัดและจมหายไปในน้ำทะเล

ไม่มีใครตามหาได้แน่นอน แม้แต่ซากก็ไม่น่าจะหาเจอ กระแสน้ำเชี่ยว ซ้ำยังลึกเสียขนาดนั้น พวกเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเกมนรกนี้คงไม่ลงทุนไปงมหาหรอก

กำจัดลูก้าไปได้หนึ่งก็เหลือโอเมก้าอีกสองที่จะเป็นรายต่อไป...

เจเรมีเตรียมตัวที่จะไปตามล่าสองคนนั้นต่อ ขณะที่คริสยังคงไม่มั่นใจนักว่าการที่เขาทำตามแผนของเจเรมีจะเป็นเรื่องดีจนต้องปริปากถาม

“นายแน่ใจเหรอที่จะทำแบบนี้”
“เรื่อง?”
“กำจัดโอเมก้าทั้งหมดจนเหลือนายแค่คนเดียวน่ะ แน่ใจหรือไง”
“ทำไม” เจเรมีหยุดเดิน หันไปถามด้วยสีหน้ารำคาญใจที่คริสถามไม่เลิกสักทีก่อนจะได้คำตอบ
“เพราะถ้านายกำจัดโอเมก้าคนอื่นหมด ก็จะเหลือนายเป็นโอเมก้าแค่คนเดียว ถึงตอนนั้นพวกอัลฟ่าก็จะหันมาล่านาย”
“แล้วมันใช่หน้าที่ฉันที่จะต้องรับผิดชอบหรือไง หน้าที่นายต่างหาก ถ้าไม่อยากให้ฉันเป็นของใครก็ปกป้องฉันสิ”

ถูกสวนมาอย่างนั้น คริสก็ปิดปากเงียบ

จริงของเจเรมี เขามีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องเจเรมี มันช่วยไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นคู่ครองของเขานี่นะ แม้ว่าเจเรมีจะไม่แสดงออกสักเท่าไหร่ว่ายินดีกับการเป็นโอเมก้าของเขาก็เถอะ

“หรือจะไม่อยากนอนกับฉันแล้ว?” จู่ๆ เจเรมีก็ถาม ทำเอาคริสถึงกับย่นคิ้ว
“ฉันพูดเหรอ”
“ถ้าอยากก็อย่าถามอะไรให้มากความ น่ารำคาญ!”

ถูกขึ้นเสียงใส่จนได้ สิ้นเสียง เจเรมีก็เดินนำลิ่วๆ ไป ปล่อยให้คริสมองตามอย่างระอา

ไม่ได้ระอาเจเรมี... ระอาตัวเขาเองนี่แหละ

จะหลงโอเมก้าคนนั้นมากเกินไปแล้ว!

มากกว่าคำว่าหลงใหลแล้วด้วยกระมัง น่าจะเข้าขั้นที่เรียกว่า ‘มีความรู้สึกพิเศษ’ ด้วย ทุกครั้งที่ได้กอด ได้สัมผัสเจเรมี ความหวงแหนก็เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ จนคริสรู้สึกว่าแค่การครอบครองร่างกายอย่างเดียวมันไม่พอ

เขาต้องการครอบครองจิตใจของอีกฝ่ายด้วย...

รู้ว่ามันยากเพราะดูจากท่าทางแล้ว เจเรมีไม่น่าจะคิดอะไรอย่างนั้นกับเขา เพียงแค่ใช้เขาเป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดเท่านั้น เรื่องแค่นี้ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าเจเรมียอมทอดกายให้เขาทำไม

แต่ว่า... เขาก็ยังอยากได้มากกว่าร่างกายอยู่ดี

เดินตามหลังเจเรมีพลางคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นาน ก่อนจะได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้น
“หิวน้ำ ไปหามาให้หน่อย ฉันจะรอตรงนี้”
จู่ๆ ก็โดนใช้โดยไม่ทันตั้งตัว ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร พยักหน้ารับแต่โดยดี
“เดี๋ยวฉันจะรีบกลับมา” ว่าพลางคว้าขวดน้ำแบบพกพาที่เอามาจากห้องพักของผู้คุมติดมือไปด้วย

ความจริงคริสก็ไม่อยากจะทำตามคำสั่งสักเท่าไหร่ด้วยเห็นว่ามันโพล้โพล้ใกล้จะมืดเต็มแก่แล้ว การหาที่ซุกหัวนอนใหม่ในคืนนี้สำคัญกว่าการไปหาน้ำให้เจเรมีดื่มกว่าเยอะ แต่ดูจากท่าทางเหนื่อยอ่อนของอีกฝ่ายก็จำต้องทำตามอย่างไร้ทางเลือก
ที่เจเรมีเหนื่อยล้าขนาดนี้โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเขา ดังนั้นจึงยอมทำตามโดยไม่มีเงื่อนไข

คล้อยหลังคริสไปได้ครู่เดียว เจเรมีก็ทรุดตัวลงนั่งบนท่อนไม้ใกล้ๆ เหยียดขายาว เอื้อมมือไปบีบๆ นวดๆ ที่สะโพก พลันถอนหายใจออกมาเมื่อความเจ็บแปลบแล่นพล่านในบริเวณที่ถูกสัมผัส

“ไอ้เวรนั่น...” โทษคริสอย่างเดียวเลยที่ทำให้เขาปวดเมื่อยเนื้อตัวขนาดนี้

ทว่าก่นด่าในใจได้ครู่เดียว เขาก็ต้องเอื้อมมือไปคว้าชะแลงเหล็กที่วางพิงไว้กับท่อนไม้อย่างรวดเร็วเมื่อหูทั้งสองข้างได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นใกล้ๆ

เป็นเสียงที่เกิดจากการย่ำใบไม้แห้ง แต่ไม่ได้เป็นเสียงที่เกิดจากคนคนเดียว ทว่าหลายคน

กลิ่นไม่ดีแล้ว...

เจเรมีลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ทันที ก่อนที่สายตาจะปะทะเข้ากับผู้เข้าร่วมเกมอีกสามคนที่บังเอิญโผล่มาเจอพอดี

ทั้งสามเองก็ชะงักทันทีที่เห็นเจเรมี ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

โอเมก้าที่ได้ชื่อว่าร้ายกาจที่สุดในเกมนี้!

“โว้ว แจ็คพ็อตพอดีเลยแฮะที่มาเจอหมอนี่ในที่แบบนี้ กำลังตามหาตัวโอเมก้าอยู่พอดี” หนึ่งในนั้นร้องทักขึ้น ก่อนที่อีกสองคนจะพากันผิวปากราวกับได้เจอของดี

“แต่กลิ่นมันทะแม่งๆ ว่ะ มีไอ้หน้าโง่ตัวไหนได้ไปแล้วด้วยแฮะ” อีกคนเปรยขึ้น ทำจมูกฟุดฟิดมาทางเจเรมี

กลิ่นนั่นเป็นกลิ่นของคริส... ก็รู้ๆ กันอยู่ ทว่าใครจะสนกันล่ะ

“จะมีใครครอบครองแล้วก็ช่างหัวมันเถอะ เกมนี้มันต้องแย่งกัน รีบจัดการดีกว่า” อีกคนเสนอ

เจเรมีไม่รู้หรอกว่าทั้งสามคุยเรื่องอะไรกัน แต่พอจะเดาได้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้คิดดีกับเขาอยู่แน่ ซึ่งก็จริงเสียด้วยเมื่อทั้งสามพากันกระจายตัวห้อมล้อมเขาเอาไว้

“เอาล่ะเจเรมี... ชื่อนายใช่ไหม เจเรมี เมอร์ซีน่ะ”

เจเรมีไม่ตอบ กระชับชะแลงเหล็กในมือแน่น ตาจ้องทั้งสามเขม็งอย่างระแวดระวังขณะที่ใครคนนั้นพูดขึ้นมาอีก

“ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร คิดว่านายคงจะเป็นลูกของท่านผู้นำคนนั้น นายคงจะรู้แล้วใช่ไหมว่าพวกฉันมาล้อมนายไว้ทำไม”
ไม่มีคำตอบอีก ก่อนที่จะมีเสียงของใครอีกคนดังตามมา

“เอาเป็นว่าพวกเราไม่อยากทำร้ายนาย มาเข้าร่วมกับพวกเราสิ จะได้รอดไปด้วยกัน”

ฟังแล้วเจเรมีก็แค่นหัวเราะ

รอดไปด้วยกันงั้นเหรอ? โอเมก้าหนึ่งคนกับอัลฟ่าสามคน มันจะรอดไปด้วยกันได้ไง ไอ้สวะพวกนี้ก็คงจะเล่นนอกกฎเหมือนกันสินะ น่าชวนมาร่วมแผนการโกงเกมด้วยเหมือนกัน

เอาแต่หัวเราะ ไม่ยอมพูดอะไรสักที แขกผู้มาเยือนทั้งสามจึงมองหน้ากันคล้ายกับว่าควรเล่นไม้แข็งถ้าคนตรงหน้าไม่ยอม พลันเริ่มเถียงกันว่าใครควรจะได้ครอบครองเจเรมี

การเถียงกันนั้นทำให้เจเรมีรู้ว่าทั้งสามคือกลุ่มคนที่สังหารโอเมก้าคนแรกไป จากความตั้งใจที่จะพูดถึงแผนการของเขาเรื่องการฆ่าโอเมก้าคนอื่นแล้วพากันเอาตัวรอดก็กลายเป็นว่าเขาอยากจะเล่นสนุกขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“ใครจะเป็นคนแรก” เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากริมฝีปากหนา

ทั้งสามหันไปมองหน้าเจเรมีอย่างรวดเร็ว

“ฉันถามว่าใครจะเป็นคนแรก”

เป็นคนแรกเรื่องอะไรคงไม่ต้องให้อธิบาย อัลฟ่าสามคนนั้นเถียงกันอีกนิดหน่อยก่อนจะได้ตัวแทน

“ในฐานะที่ฉันเป็นคนพาพวกนายเดินมาทางนี้ ฉันจะเป็นคนแรก” ว่าพลางแสยะยิ้ม อีกสองคนจำต้องยอมอย่างไม่ยินดีสักเท่าไหร่นัก ทว่าก็คิดไว้ว่าค่อยชิงมาทีหลังก็ยังไม่สายเพราะอย่างไรก็มีแค่อัลฟ่าคนเดียวที่รอดชีวิตอยู่แล้ว ขอแค่ให้ได้ครอบครองโอเมก้าก่อนก็พอ หลังจากนี้ค่อยว่ากัน

“เข้ามาสิ” เจเรมีพยักหน้าเรียก ท่าทางดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดจนอัลฟ่าพวกนั้นไม่ได้ตระหนักถึงความอันตรายเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเจเรมีพ่นประโยคต่อไปออกมา ก็ไม่มีใครฉุกใจคิดสักนิด “อยากให้ฉันอยู่ในท่าไหนดีล่ะ”
คนฟังถึงกับพากันหัวเราะด้วยไม่คิดว่าจะง่ายดายขนาดนี้

ไหนใครบอกว่าเจเรมีเป็นโอเมก้าที่จัดการยากกัน คุยง่ายกว่าโอเมก้าคนก่อนหน้าที่พลั้งมือฆ่าไปเสียอีก

“ขึ้นอยู่กับว่านายถนัดถ่างขาในท่าไหน” ตัวแทนที่ก้าวเข้ามาตามการเรียกของเจเรมีว่าพลางยกมือขึ้นลูบปลายคาง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะแผนการของตนจะดำเนินไปอย่างราบรื่น

หากแต่เขาคิดผิด เพราะทันทีที่ก้าวเข้าหาเจเรมี อีกฝ่ายก็เหยียดยิ้มพราย

“งั้นก็...ท่านี้เป็นไง!”

ไม่เพียงแต่เหยียดยิ้ม ชะแลงในมือก็เหวี่ยงออกไปด้วย แท่งเหล็กฟาดเข้าที่ซีกหน้าของอัลฟ่าคนนั้นอย่างจังจนร่างใหญ่ล้มลงไปท่ามกลางความงุนงงของอัลฟ่าอีกสองคนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่

ท่าที่ว่าไม่ได้หมายถึงท่าทางในการร่วมเพศ แต่หมายถึงท่าทางในการลงทัณฑ์พวกสวะอัลฟ่าต่างหาก!

เจเรมีไม่ปล่อยให้ใครได้ตั้งตัว ฟาดไปทีหนึ่งแล้วก็พุ่งถลาเข้าไปกระหน่ำฟาดตามเนื้อตัวไม่ยั้งอีกชุดใหญ่ เขาเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ก็ไม่ปาน ชะแลงเหล็กถูกเหวี่ยงกระแทกบนร่างกายของอัลฟ่าคนนั้นนับครั้งไม่ถ้วนกระทั่งร่างนั้นแน่นิ่งไป

ยัง...ยังไม่ตาย แต่อาการสาหัสในชั่วพริบตา

เจเรมีถอยห่างออกมา ยกชะแลงที่มีคราบเลือดสีแดงสดขึ้นพาดบ่า เชิดปลายคางขึ้นเล็กน้อยพลันแสยะยิ้ม
“ใครจะเป็นรายต่อไปก็เข้ามา” ว่าจบก็ชูนิ้วกลางด้วยมือข้างที่ว่างขึ้นในระดับสายตา

อัลฟ่าทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่คิดมาก่อนว่าจะมาเจออะไรแบบนี้ ในขณะที่ความเกลียดชังพร่างพรายเข้ามาในใจของเจเรมีจนคับแน่น

คนที่ตัดหน้าฆ่าโอเมก้าก่อนเขา ไม่สมควรมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว

ถ้าจะแหกกฎ ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามแผนของเขาเท่านั้น!
 -----------------------------------
ขุ่นคริสแซ่บเว่อร์ กีสสสส ข่นบ้า ข่นหลงเมีย 555
นี่ถ้ามีลูก ไม่อยากคิดเลยว่าจะหลงทั้งลูกทั้งเมียขนาดไหน
แต่แอบกระซิบบอกไว้ก่อนว่าเจมีจะไม่ท้องจนกว่าจะตอนพิเศษนะคะ เพราะหนูแดงไม่เน้นเรื่องท้องเท่าไหร่ เอาเป็นว่าถ้าใครอยากอ่านตอนนั้น รอติดตามแบบรูปเล่มหรือ Ebook นะ กิกิ (เนียนขายของ)

อันนี้เป็นรายละเอียดการเปิดพรีเซลกับ สนพ.รักคุณ อย่างคร่าวๆ ค่ะ
ที่เหลือรอทาง สนพ.แจ้งอีกทีนะคะ คาดว่ามาสิ้นเดือนนี้หรืออย่างช้าหลังงานหนังสือจ้า
รอกันก่อนนะ

https://www.facebook.com/NooDangzzz/photos/a.162822727106922.46922.122468307809031/1232840493438468/?type=3&theater

ป.ล.ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันด้วยจ้า แม้หน่องเจมีจะโดนด่าตลอดทั้งเรื่อง แต่คนเขียนก็อยากได้กำลังใจอยู่นะ 555

หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PiiNaffe ที่ 12-03-2017 01:37:47
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 12-03-2017 09:30:21
เจมี่เเซบเวอร์  :hao7:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-03-2017 09:43:48
อยากเห็นเดร็กกับธีโอกลายเป็นเศษสวะ รับกรรมที่ทำไว้

พี่คริสที่รัก หลงเมียทุกท่า
เมียที่รักก็แซ่บทุกท่าแม้กระทั่งท่าฟาดหัวคน 555555

เอ๊ะ! เขาไม่ท้อง อย่างนั้นก็แซ่บกันไร้กังวลดิ  :hao6:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-03-2017 15:01:40
นี่แอบกังวลกลัวเจมี่ท้องแล้วบู๊ไม่ถนัด สรุปสบายใจ ขุ่นคริสจะทำแค่ไหนก็ได้ ไม่ท้อง เย่ !  :z2:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 12-03-2017 23:57:03
แซ่ปมาก บอกเลยว่าแซป!!
ปลื้มเจมี่ รักเธอ!!
ขอกรี๊ดดังๆทีนึง กรี๊ซซซซซ!!
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lady_panko ที่ 13-03-2017 22:31:41
โอ้วเยี่ยมไปเรย แซ่บแสบทรวงมาก

ปล พ่อบ้านใจกล้าไปหาน้ำถึงไหนแล้วคะ มาดูเมียหน่อย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 14-03-2017 11:59:51
ไม่รุ้จะเริ่มยังไงดี มันหนักอกหนักใจไปหมดด
เรื่องนี้เป็นธีม dystopia ที่ให้ความรู้สึก cruel เรื่องนึง
รู้สึกว่ามันไม่แฟร์กับลูก้าเลยจริงๆ ความรู้สึกนางต่อหนูเจมี่มันบริสุทธิ์มากๆ พอเจมี่เป็นคนสั่งฆ่าปุ๊บ มันก็เหมือนทรยศความซื่อสัตย์ดีๆ นี่เอง
ในขณะที่หนูเจมี่ไม่ใยดีอะไรเลยหลังจากนั้น บางทีก็อยากสกรีมดังว่านางต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ #อินเหรอ

ธีมตอนแรกดูจะเอียงไปทางเรียกร้องสิทธิ์ด้านชนชั้น พอเข้าเกมแล้วไปฆ่าโอเมก้าโดยที่แรงจูงใจไม่มากพอ และสถานการณ์ไม่บีบคั้น เลยรู้สึกเหมือนหนูเจมกลืนน้ำลายตัวเอง กลืนคำพูดว่านางพร้อมสู้เพื่อคนอื่น เพราะตอนนี้มันกลายเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างนางกับนายพล และครอบครัว จนเหมือนว่าตัวนางมองไปที่เป้าหมายอย่างเดียวโดยไม่สนว่าต้องใช้วิธีการที่ cruel ขนาดไหน

จะไม่พูดว่านางไม่จำเป็นนะคะ ต้องรอด = ต้องฆ่า แต่ต้องฆ่าไม่ได้แปลว่าไม่ผิด ไม่ต้องรับผลของการกระทำ ลูก้ายังไม่หมดเวลา มันยังมีทางเลือกอื่นเพียงแต่นางเลือกทางที่สั้นที่สุดและไม่สนว่าต้องเหยียบหัวใครขึ้นไปบ้าง

ไม่อยากให้นางลอยนวลโดยไม่มีชนักติดหลังค่ะ มันไม่ยุติธรรม จริงจังมากไป ถถถ #อินจัด
                                             
จริงๆ แล้ว เรื่องนี้เป็นงานที่เค้นอารมณ์ได้หนักและกดดันเรื่องนึงเลยค่ะ ชอบมากๆ คล้ายๆ ดู hunger game เวอร์ชั่นย่อส่วนเป็นเล่มเดียว (ที่ออกจะโหดร้ายกว่าหน่อย)

อาจจะเก็บไม่ค่อยละเอียด พลาดเกร็ดเล็กๆืไปมากพอสมควร #ว่าจะไม่พิมพ์ยาว 555
ขอบคุณพี่หนูแดงสำหรับของอร่อยๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 14-03-2017 20:13:13
จริงๆมิอยากให้ลูก้าตายอย่างนี้แฮะ เศร้านิดหน่อย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 15-03-2017 13:29:47
สนุก ลุ้นมาก ยังอ่านตามไม่ถึงตอนล่าสุด เดี๋ยวกลับมาเม้นใหม่
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 15-03-2017 16:34:24
Episode 19: ฉันจะไม่มีวันทิ้งนาย[1]

“ว่าไง ใครจะเป็นรายต่อไป” เจเรมีถามซ้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอัลฟ่าอีกสองคนที่เหลือไม่กระดุกกระดิก
ทั้งคู่มองหน้ากันไปมา รู้กันอยู่ว่าเจเรมีเป็นโอเมก้าที่ร้ายกาจ ผู้คุมเตือนมาแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะร้ายได้ถึงขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอัลฟ่าบางส่วนถึงได้กำชับกันว่าให้จัดการกับเจเรมีทันทีที่มีโอกาสถ้าหากไม่อยากเจอเรื่องยุ่งยากอย่างที่พวกเขากำลังเจออยู่

โชคไม่ดีแล้ว!

“เข้ามาสิพวกสวะ อยากได้ฉันนักไม่ใช่เหรอ มัวรออะไรอยู่” เห็นอีกฝ่ายนิ่ง เจเรมีก็ร้องท้าอีก ดูก็รู้ว่าทั้งสองคนตรงหน้าใจฝ่อไปเรียบร้อยแล้ว

ไม่ใจฝ่อสิแปลก เห็นภาพเพื่อนร่วมทีมนอนหายใจรวยรินอย่างนั้นก็ต้องใจไม่ดีบ้างล่ะ ถึงเจเรมีจะไม่ได้ฆ่า แต่การทำร้ายจนลุกไม่ขึ้นอย่างนั้นก็เสี่ยงต่อการเอาชีวิตไปทิ้งไม่น้อย

ทว่าพวกเขาเป็นอัลฟ่า... กลุ่มคนที่อยู่บนยอดพีระมิดของสังคมในขณะที่คนตรงหน้าเป็นเพียงโอเมก้าชั้นต่ำ พวกเขาจะมาเกรงกลัวเจเรมีไม่ได้

เจเรมีก็แค่โอเมก้าที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีวันเอาชนะอัลฟ่าได้ ไม่จำเป็นต้องกลัว!

ทั้งคู่ฉุกคิดได้ขึ้นมา เพราะรู้ดีแก่ใจจึงสะกดความกลัวลงไป กระชับอาวุธที่อยู่ในมือ
“แกมันแส่หาเรื่องเจ็บตัวชัดๆ” หนึ่งในนั้นพูด ทำเอาเจเรมีถึงกับเลิกคิ้วสูงพลันหัวเราะ

ใครกันแน่ที่หาเรื่องเจ็บตัว

เป็นความมั่นใจเมื่อเห็นแววตาไหวระริกบ่งบอกถึงความหวาดหวั่นของคู่ต่อสู้ แม้ทั้งสองจะเป็นนักโทษคดีอุกฉกรรจ์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้สึกอะไรถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับคนที่ป่าเถื่อนและบ้าดีเดือดกว่า

กระนั้นหนึ่งในนั้นก็ยกอาวุธในมือขึ้น ปากส่งเสียงดังข่มขวัญ
“ตอนแรกก็คิดจะเก็บแกเอาไว้ แต่ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ก็ตายซะ!”

อาวุธในมือซึ่งเป็นปืนหน้าไม้ถูกเล็งมาทางเจเรมีแล้ว หากแต่เจเรมีเร็วกว่า แค่เห็นอาวุธที่สามารถคร่าชีวิตเขาได้จ่อมา เขาก็พุ่งเข้าไปกระโดดถีบอีกฝ่ายในเสี้ยววินาทีเป็นที่เรียบร้อย

เมื่ออัลฟ่าคนหนึ่งล้มลงไป อัลฟ่าอีกคนก็ไม่ปล่อยให้เจเรมีได้โอกาส อาศัยจังหวะที่เจเรมีกำลังเงื้อชะแลงเหล็กเตรียมจะลงทัณฑ์เพื่อนร่วมทีม ใช้ด้ามปืนลูกซองตีเข้าไปที่ท้ายทอยของโอเมก้าหนุ่ม

เจเรมีเซถลาเมื่อความเจ็บแปลบพุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว หันไปเห็นก็แสยะยิ้มออกมา ไม่ใช่ว่าดีใจที่ถูกสวนคืน แต่เป็นเพราะรู้ว่าการต่อสู้ของเขามันง่ายขึ้นก็เท่านั้น

จะไม่ให้ง่ายได้อย่างไรในเมื่อปืนลูกซองที่เขาเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อกี้นั่นมันไม่มีลูก ถ้าหากมีลูกกระสุน ป่านนี้คงจะใช้ยิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่เอามาฟาดเขาให้เปลืองแรงอย่างนี้หรอก

ดูท่าจะใช้จัดการอัลฟ่าด้วยกันเองไปหมดแล้ว แต่เหมือนจะไม่ได้ประโยชน์เท่าไหร่เพราะยังไม่เห็นได้ยินการประกาศจำนวนของผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่รอบใหม่เลย

แต่จะอะไรก็ช่าง ในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวที่เจเรมีต้องระวังซึ่งก็คือปืนหน้าไม้ ตั้งหลักได้ เขาก็พุ่งเข้าไปเตะเอาปืนหน้าไม้ที่หล่นอยู่บนพื้นออกห่างอัลฟ่าพวกนั้น เสียงสบถก่นด่าดังขึ้นไปทั่ว ก่อนที่ทั้งสามจะเปิดฉากต่อสู้กันอีกครั้ง

การกำราบเจเรมีไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็ไม่ได้ยากถ้าหากมีจำนวนเยอะกว่า มีโอกาส อัลฟ่าคนหนึ่งก็รั้งแขนทั้งสองข้างของเจเรมีไปไว้ข้างหลัง เตะตัดข้อพับขาให้ล้มลงในขณะที่อีกคนประเคนหมัดใส่ใบหน้าเข้าอย่างจัง ตามด้วยหน้าท้องอีกหลายหมัดเพื่อให้สิ้นฤทธิ์

มือที่ถือชะแลงอยู่คลายออก ร่างใหญ่ทรุดตัวไปบนพื้น ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ก่อนเขาจะถูกตรึงให้นอนราบกับพื้น คนหนึ่งรั้งแขนทั้งสองข้างของเขาไว้เหนือศีรษะ ในขณะที่อีกคนอยู่ทางปลายเท้า

“ฤทธิ์เยอะนักนะ ร้ายอย่างนี้ ฉันจะทำให้จำไปจนตายเลย” คนที่อยู่ทางปลายเท้าและเป็นคนต่อยท้องเมื่อครู่ร้องบอก พลันกระชากขอบกางเกงของโอเมก้าหนุ่ม มองดูก็รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป

เจเรมีกัดฟันแน่น พยายามข่มความเจ็บปวดให้เร็วที่สุดเพื่อจะดิ้นรนเอาตัวรอดต่อไป ทว่าร่างกายไม่เป็นไปดั่งใจเลย เขายังคงจุกเสียดบริเวณช่องท้องจนขยับตัวได้ไม่ดีนัก ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงทันที

ไอ้เวรคริสมันอยู่ไหนของมันวะ!

พอคิดว่าไม่น่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ในวินาทีนี้ก็พลันนึกถึงคริสขึ้นมา ไม่รู้ว่าไปหาน้ำที่ทวีปไหนถึงได้หายไปนานขนาดนี้ และไม่รู้ว่าอะไรดลใจ พอจะมีแรงขึ้นมาหน่อย เจเรมีก็ร้องตะโกนลั่น

“คริส!” เสมือนจิตใต้สำนึกบอกให้ร้องออกไปอย่างนั้น
อัลฟ่าทั้งสองชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดยิ้ม
“เรียกหาคู่ตัวเองให้มาช่วยหรือไง”

ใช่... เข้าใจถูกแล้ว

เสียงของเจเรมีที่ดังก้องไปทั่วเมื่อครู่ทำให้คริสที่กำลังเดินกลับมายังจุดที่เจเรมีอยู่ออกวิ่งสุดฝีเท้าทันที ข้าวของที่หยิบติดมือไปในตอนแรกโยนทิ้งทั้งหมด มีเพียงปืนยาสลบเท่านั้นที่เอากลับมาด้วย พอกลับมาถึงยังที่หมายและเห็นว่าคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองกำลังถูกรุม เขาก็ไม่รอช้า ถลาเข้าไปหาอัลฟ่าพวกนั้นและจัดการกับคนที่อยู่ทางด้านปลายเท้าของเจเรมีก่อน

สันปืนกลายเป็นอาวุธชั้นดีเมื่อมันกระแทกใบหน้าของคู่ต่อสู้ เลือดสีแดงสดไหลรินจากรูจมูก ความมึนงงจากแรงปะทะทำให้คนถูกทำร้ายมึนงงจนเคลื่อนไหวไม่ได้ไปชั่วขณะ คริสจึงหันไปเล่นงานกับคนที่อยู่ทางศีรษะของเจเรมีได้

เท้าข้างหนึ่งเตะสะบัดออกไป เสยเข้าที่ปลายคางเต็มรัก เจเรมีหลุดออกจากการเกาะกุมได้ก็พลิกตัวไปคว้าอาวุธประจำกายของตัวเองมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าไปห้ามคริสเมื่อเห็นว่าคริสออกอาการบ้าคลั่งยิ่งกว่าตนเสียอีก กระทืบคนที่เพิ่งเตะเข้าไปเมื่อกี้นี้อย่างเดือดดาล

“คริส หยุด” ...เดี๋ยวมันก็ตายหรอก เจเรมีอยากพูดอย่างนี้ตบท้าย

เขาไม่ได้คิดจะฆ่าอัลฟ่าพวกนี้น่ะ แค่อยากจะสั่งสอนเท่านั้นที่บังอาจมาจับกลุ่มกันเล่นตามกติกาของเกมแล้วมาแหยมกับเขา เพียงแต่การสั่งสอนนั่นอาจจะรุนแรงไปสักหน่อย ใจจริงอยากจะเก็บคนพวกนี้ไว้ใช้ประโยชน์มากกว่า ทว่าความคิดของเขาก็แปรเปลี่ยนไปทันทีที่รั้งคริสออกมาได้ แล้วอีกฝ่ายหันมาบอกเขาเสียงเครียด

“มันเป็นคนที่ข่มขืนลูก้านะเจมี!”
เจเรมีหน้าชาวาบ ริมฝีปากหนาขยับเล็กน้อย
“นาย...ว่าไงนะ”
“ฉันบอกว่าไอ้เวรนี่มันเป็นคนที่ทำกับลูก้าคืนนั้น!”

โลกของเจเรมีหมุนคว้าง เขาเชื่อว่าคริสพูดความจริงอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพราะกำลังโกรธที่เขาเกือบจะถูกทำมิดีมิร้าย

อัลฟ่าย่อมได้กลิ่นของอัลฟ่าด้วยกันจากร่างกายของโอเมก้าที่ถูกครอบครอง นอกเหนือจากนั้นก็ยังได้กลิ่นของโอเมก้าจากอัลฟ่าที่ครอบครองโอเมก้าคนนั้นด้วย

คริสไม่ได้โกหก!

มือข้างที่ถือชะแลงเหล็กอยู่สั่นระริกทันที ภาพใบหน้าตื่นตระหนกของลูก้าฉายวาบเข้ามาในความทรงจำ สายตามองไปยังอัลฟ่าที่ถูกเล่นงานจนนอนแบ็บ แต่ก็ยังมีแรงมากพอที่จะหนี ความคิดที่จะใช้ประโยชน์จากอัลฟ่าพวกนี้เลือนหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น จากที่เป็นฝ่ายรั้งคริสไม่ให้ทำร้ายคนตรงหน้าไปมากกว่านี้ กลายเป็นว่าเขาเองนี่แหละที่ระงับโทสะตัวเองไม่ไหว กระโดดเข้าไปฟาดชะแลงเหล็กใส่อย่างรวดเร็ว

“ไอ้สารเลวเอ๊ย!”
จะหนีก็หนีไม่ทัน เจเรมีกระหน่ำเหวี่ยงชะแลงใส่ทั้งศีรษะและใบหน้าเป็นที่เรียบร้อย ท่าทางกราดเกรี้ยวเสียยิ่งกว่าตอนที่สั่งสอนอัลฟ่าคนแรกนั่นเสียอีก มองดูก็รู้เลยว่าจุดประสงค์คือเอาให้ตาย

คริสไม่ทันจะได้พูดอะไรก็ต้องหันไปรับมือกับอัลฟ่าอีกคนที่คว้าเอาปืนหน้าไม้จ่อมาทางเขา เพราะกระโดดหนีได้ทัน ลูกดอกที่ถูกขึ้นลำเอาไว้จึงถากต้นแขนไป แต่มันก็เรียกเลือดได้ดีเลยทีเดียว

คริสขบกรามแน่น ข่มความเจ็บปวด ใช้ปืนยาสลบยิงออกไปบ้าง กระสุนลูกดอกเจาะเข้าที่ต้นขาเต็มๆ อีกฝ่ายร้องโอดโอยเล็กน้อยก่อนจะดึงลูกดอกนั่นทิ้ง ถลาเข้ามาสู้กับคริสแบบตัวต่อตัว ถึงปืนนั่นมันจะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ แต่ก็ช่วยผ่อนแรงให้คริสไปได้อยู่มากโขเมื่อระหว่างที่สู้กัน อัลฟ่าคนนั้นก็เกิดอาการสลึมสลือ ทำให้พลาดท่าถูกคริสใช้สันปืนฟาดเข้าให้ที่กรามข้างหนึ่ง แรงกระแทกส่งผลให้สลบไปในทันที

ร่างใหญ่ล้มตึงลงไป คริสทรุดตัวลงนั่งทางเหนือศีรษะ ใช้มือข้างหนึ่งรั้งที่ปลายคาง อีกข้างประคองท้ายทอยก่อนจะจับพลิกสวนทางกัน จากนั้นถึงลุกขึ้นเมื่อเห็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเหยื่อขาดช่วงไป เดินไปหาร่างที่ถูกเจเรมีทำร้ายไปก่อนหน้าแล้วก็ปล่อยทิ้งเอาไว้อย่างนั้น

อีกไม่นานก็คงจะตาย สาหัสขนาดนี้...

พลันเหลือบไปมองทางเจเรมี ฝ่ายนั้นยังคงกระหน่ำลงชะแลงใส่ร่างที่แน่นิ่งไปแล้วไม่หยุด ทำเอาเขารู้สึกผิดเล็กน้อยที่บอกเจเรมีไปอย่างนั้น

ตอนนั้นมันอยู่ในภาวะโกรธจนไม่อาจคุมตัวเองได้ ทำให้เขาโพล่งออกไปทันทีที่ถูกเจเรมีห้าม มันช่วยไม่ได้ ก็เขาทนเห็นคนของตัวเองถูกใครอื่นแตะต้องร่างกายไม่ได้นี่ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษอัลฟ่าพวกนั้นแหละที่หาเรื่องใส่ตัวเอง

ใบหน้าของเจเรมีเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ปากส่งเสียงร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับระบายความขุ่นแค้นที่อยู่ในใจ ท่าทางคุ้มคลั่งนั่นทำให้คริสเดินเข้าไปหาแล้วดึงแขนให้ออกห่าง

“พอได้แล้ว” เป็นเขาบ้างแล้วที่ต้องออกปากห้าม
อัลฟ่าคนนั้นยังไม่ตายหรอก แต่หายใจรวยรินแล้ว ปล่อยเอาไว้เดี๋ยวก็ตายไปเอง ไม่ต้องเปลืองแรงฆ่าให้เสียเวลา

เจเรมียอมหยุด ร่างกายของเจเรมีสั่นเทาและเหนื่อยหอบ เขามองคนที่นอนจมกองเลือดอย่างเกลียดชัง

ทำไม... ทำไมต้องทำกับลูก้าแบบนั้น!

คำถามมากมายผุดพรายขึ้นในใจ และเขาก็ไม่คิดที่จะให้อภัยกับคนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ขณะที่คริสซึ่งพอจะระงับอารมณ์กรุ่นโกรธของตัวเองได้แล้วรีบปรายตาสำรวจร่างกายของเจเรมี

“ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม” ถามออกไปด้วยความเป็นห่วงอีกต่างหาก
เจเรมีหันมามอง สีหน้ายังคงกราดเกรี้ยวไม่เปลี่ยน จะมีก็แต่แววตาที่แสดงออกชัดเจนว่าเจ็บปวดเพียงใด

เจ็บปวดเรื่องของลูก้า... คริสเข้าใจเป็นอย่างดีจึงได้รั้งร่างคนตรงหน้าเข้ามาสวมกอด

“ไม่เป็นไรเจมี มันผ่านไปแล้ว”
ไออุ่นจากกายของคริสพอจะทำให้ผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังไม่อาจระบายความคับแค้นใจได้ทั้งหมด ตอนนี้ยังมีความตกใจพร่างพรายขึ้นมาอีกด้วยเมื่อเห็นรอยเลือดบนแขนของคริส

“นาย...” มองไปยังบาดแผล แม้จะไม่ได้พูดจนจบประโยค คริสก็รู้ว่าเจเรมีจะพูดว่าอะไร
“นิดหน่อย ฉันไม่เป็นไร”

ไม่เป็นไรบ้าอะไร ไหลจนเลือดจะหมดตัวยังมีหน้ามาทำเท่อยู่ได้!

เจเรมีไม่ยอมปล่อยให้คนใกล้ชิดเขาเป็นอะไรไปอีกคนอย่างแน่นอน เห็นคริสทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จัดการลากคริสไปหาที่พักใหม่อย่างรวดเร็วโดยลืมไปแล้วว่าตัวเองยังกระหายน้ำอยู่และเพิ่งจะผ่านการต่อสู้นองเลือดไป

คริสเองก็ไม่เอ่ยขัดเมื่อเห็นว่าเจเรมีลากเขาดุ่มๆ ไปยังอาคารที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ ถึงมันจะไม่ใช่ที่พักพิงที่ดีสักเท่าไหร่เพราะมีอัลฟ่าคนอื่นป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ควรจะเข้าไปทำแผลหรือหาอาหารประทังชีวิตก่อน

หรืออย่างน้อยก็ให้เจเรมีได้พักสงบสติอารมณ์...

ในหัวของเขามีแต่ความเป็นห่วงเจเรมีเท่านั้น ไม่คิดเป็นห่วงตัวเองบ้างเลยจริงๆ








หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.18[100%][11/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 15-03-2017 16:34:57
Episode 19: ฉันจะไม่มีวันทิ้งนาย[2]
 
เจเรมีไม่มีอารมณ์จะมาสนใจตัวเองหรอกเพราะหลังจากที่พาคริสเข้ามายังอาคารที่ใกล้ที่สุดได้ คริสก็ออกอาการเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงรีบพาอัลฟ่าหนุ่มไปนั่งพักยังห้องที่ใกล้ที่สุดโดยไม่สนใจว่าห้องนั้นคือห้องอะไร ก่อนจะออกไปหาสิ่งของที่พอจะมีประโยชน์มาอย่างรวดเร็ว

อาหารกระป๋องหมดอายุแต่ยังกินได้... กล่องยาและอุปกรณ์ทำแผล... แค่สองอย่างนี้เท่านั้นที่เจเรมีเอากลับเข้ามาในห้อง ก่อนจะปิดประตูล็อก เลื่อนเอาโต๊ะตัวใหญ่มาวางไว้ด้านหลังบานประตูกันไม่ให้ใครพังประตูเข้ามาง่ายๆ ก่อนจะสังเกตเอาในตอนนี้ว่า
ห้องที่เขาอยู่นั้นเป็นห้องทำงานของผู้คุม

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่คริสนั่งพิงตู้เอกสารพร้อมกับเลือดที่ไหลรินไม่หยุด ดูจากอาการของคริสก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก หากไม่นับท่าทางเหนื่อยล้าของเขาที่ทำให้เขาดูเหมือนจะหมดสติไปตลอดเวลามันก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่
“เดี๋ยวทำแผลเสร็จแล้วค่อยนอน” เจเรมีเปรย มือควานหาอุปกรณ์ทำแผลในกล่องเป็นพัลวัน

คริสปรายตามอง พยักหน้ารับช้าๆ

เจเรมีคว้าเอาผ้าสะอาดมาซับของเหลวสีแดงสดไหลอาบแขนเป็นทางยาวอย่างเบามือเป็นการห้ามเลือด เมื่อเลือดแข็งตัวและเริ่มหยุดไหลแล้วถึงได้ลงมือทำแผลและใช้ผ้าก็อซพัน ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรม ไม่ได้เป็นการทำแผลที่ถูกหลักสักเท่าไหร่นัก กระนั้นก็พยายามที่จะรักษาความสะอาดเต็มที่

ไม่นานต้นแขนของคริสก็มีผ้าก็อซพันเรียบร้อย เขาเหลือบมองผลงานของโอเมก้าหนุ่มพลันยกยิ้มเล็กน้อย
“ใช้ได้นี่”
น้ำเสียงแห้งผากเรียกให้เจเรมีตวัดหางตาไปมอง
“หุบปากแล้วอยู่เฉยๆ”

คนถูกดุทำตามที่อีกฝ่ายบอก แต่ก็ไม่วายยิ้มรับอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงทีละน้อย เสี้ยววินาทีเดียว ลำคอแกร่งก็พับไป เข้าสู่ห้วงนิทราทันควัน ทำเอาเจเรมีที่เผลอหันไปทางอื่นแวบเดียวตกใจไม่น้อยเมื่อหันกลับมา
“คริส” ปากร้องเรียกออกไปแผ่วเบาทันที ใจคิดว่าคนตรงหน้าคงจะแค่หลับ

ทว่าเรียกแล้วกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ นั่นทำให้คนมองใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่มทันควัน
“คริส...เฮ้ย คริส” ร้องเรียกอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เท่านั้นก็รีบเอื้อมมือไปเขย่าตัวอีกฝ่าย

ยังไร้ปฏิกิริยาอีกเช่นเคย อาการนั้นทำให้เจเรมีใจไม่ดีเลยแม้แต่น้อย เขาเลิ่กลั่ก คิดเป็นพัลวันว่าควรจะทำอย่างไรกับคนตรงหน้าดี ตอนนี้เขากลัวอย่างเดียวคือกลัวว่าคริสจะได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต แม้ว่ารอยแผลจากการถูกยิงนั่นจะแค่ถากๆ ทว่าก็ทำให้เสียเลือดไปเยอะเลยทีเดียว

ร้ายกว่านั้นคือบัดนี้ใบหน้าคร้ามคมของอัลฟ่าหนุ่มเริ่มซีดขาว ริมฝีปากหนาแห้งผากจนน่ากลัว ยิ่งมองก็ยิ่งเป็นกังวล ทำเอาเจเรมีอยู่ไม่สุขขึ้นมาฉับพลัน
“คริส! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ตื่น!”

ไม่เพียงแต่เขย่าตัวอีกฝ่ายอย่างเดียวแล้ว ใช้ฝ่ามือตบเข้าไปที่หน้าหลายต่อหลายครั้งอีกต่างหาก แรงตบแรงไม่ใช่เล่นเลย แต่มันได้ผล... มันทำให้คริสได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา

“เจมี...” น้ำเสียงแหบแห้งหลุดออกจากเรียวปาก ดวงตาปรือลืมขึ้นมองหนุ่มผมบลอนด์ที่จ้องเขาอยู่อย่างเป็นห่วงเล็กน้อย “ฉันเหนื่อย ขอนอนหน่อยนะ”
“นายจะหลับไม่ได้นะคริส” เจเรมีสวนขึ้นในวินาทีนั้น ตอนนี้ไม่อยากให้คริสหลับแล้ว จู่ๆ เขาก็เกิดกลัวขึ้นมา

กลัวว่าถ้าคริสหลับไปแล้วจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย...

ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนั้น แต่ก็พยายามจะตบใบหน้าคร้ามเพื่อเรียกสติของคริสเรื่อยๆ

หากแต่คริสกลับคว้ามือของอีกฝ่ายไปกุมไว้ ยกยิ้มให้เป็นคำตอบราวกับรู้ว่าคนตรงหน้าคิดอะไรและเขาก็พยายามจะปลอบโยน
“ไม่ต้องห่วง ฉันก็แค่นอนพักน่ะ” จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้งและผล็อยหลับไปในชั่ววินาที
เจเรมีถึงกับอ้าปากค้าง
“นายจะมาหลับอย่างนี้ไม่ได้!” ได้สติก็ร้องเรียกเสียงดัง

หากแต่คริสไม่รับรู้อะไรแล้ว ร่างกายของเขาไม่สามารถทนกับความเหนื่อยอ่อนได้ไหว เจเรมีหัวเสียฉับพลัน ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้นอนจากจะช่วยขยับร่างกายของอีกฝ่ายให้ทอดกายลงนอนเหยียดยาวเพื่อที่จะได้นอนสบายๆ โดยที่ตัวเองนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง

เขากำลังเป็นห่วง...

เป็นห่วงจนจะคลั่งตายอยู่แล้ว!

เป็นอาการที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจตัวเองสักนิดว่าทำไมถึงเป็นห่วงคนที่หลับใหลอยู่ตรงหน้าได้ขนาดนี้ นอกจากนี้ก็ไม่สบายใจด้วยเช่นกัน คิดว้าวุ่นไปไกลว่าคริสอาจจะเป็นอะไรมากกว่าการที่ร่างกายอ่อนเพลีย ถึงจะให้คำตอบตัวเองไม่ได้ว่าเป็นห่วงคนตรงหน้าไปทำไมในเมื่อเขาแค่ใช้คริสเป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอด

กระนั้นก็ยังเป็นห่วง... เป็นห่วงจนไม่อาจละสายตาไปจากผู้ชายคนนี้ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

จะไหวไหมเนี่ย...

นั่งเฝ้าไปก็ถามคำถามนี้กับตัวเองไปไม่รู้จักจบสิ้น กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านเข้ากลางดึก เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าร่างใหญ่ที่นอนทอดยาวอยู่เริ่มคุดคู้และสั่นเทาขึ้นมาทีละน้อย

เจเรมีขยับกาย เอื้อมมือไปอังที่หน้าผากและลำคอของคนตัวใหญ่กว่าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ใบหน้าจะยุ่งเหยิง

ตัวร้อน...

คาดว่าน่าจะเป็นไข้เพราะร่างกายอ่อนเพลียมากเกินไปถึงได้อ่อนแอขึ้นมาอย่างนั้น แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการทำให้ร่างกายของคริสอบอุ่น

ร่างใหญ่สั่นเทิ้มมากกว่าเดิม นอนคุดคู้เสียจนไม่ต่างอะไรจากกุ้ง ทำเอาเจเรมีต้องรีบลุกขึ้นหาผ้ามาห่มกายอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถหาผ้าห่มได้ดีมากกว่าผ้าม่านที่แขวนอยู่ตรงหน้าต่างเลย ทว่าเขาก็ไม่สนใจอะไรแล้ว กระชากผ้าม่านออกจากราว สะบัดไล่ฝุ่นสองสามทีแล้วนำมาคลุมตัวของคริสอย่างรวดเร็ว

มันใหญ่พอที่จะคลุมร่างใหญ่ได้ทั้งหมด แต่ดูแล้วจะไม่สามารถสร้างความอบอุ่นให้กับคริสได้ เขายังคงสั่นเทา...สั่นเสียจนเจเรมีหวั่นใจว่าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป คริสอาจจะเกิดภาวะช็อกได้ จึงตัดสินใจถอดเสื้อของตัวเองออก

...ไม่เพียงแต่เสื้อ กางเกงด้วยเช่นกัน

พริบตาเดียวก็เหลือแต่ร่างกายเปล่าเปลือย ซ้ำยังถลกผ้าม่านขึ้น จัดการถอดเสื้อผ้าของคริสออกอีกด้วย

เปลื้องผ้ากันทั้งคู่...จากนั้นก็เอนกายลงข้างๆ ดึงร่างใหญ่มาแนบชิดกายโดยให้ใบหน้าของคริสซุกอยู่ที่แผ่นอกของตัวเอง ก่อนจะตวัดขาและแขนโอบกอดร่างใหญ่และใช้ผ้าม่านคลุมทับอีกชั้น

ร่างกายของคริสสั่นเทาในอ้อมแขนของโอเมก้าหนุ่มไม่หยุด เจเรมีไม่อาจเบาใจได้เลยว่าการทำแบบนี้จะทำให้อาการของคริสดีขึ้น แต่เขาก็ทำ อย่างน้อยก็ขอให้ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อรักษาชีวิตของผู้ชายคนนี้เอาไว้
มือกดท้ายทอยของคริสให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนมากกว่าเดิม กอดก่ายแน่นที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ไออุ่นจากร่างกายส่งผ่านไปยังคนตรงหน้า ในหัวคิดฟุ้งซ่านไปในแง่ลบสุดกู่

ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ให้ตาย...

จะอาการหนักหนาขนาดไหน ก็ห้ามตายเด็ดขาด!
 
เสียงตามสายของเจ้าหน้าที่ที่ประกาศจำนวนอัลฟ่าและโอเมก้าที่เหลืออยู่ในเกมดังไปทั่วเกาะ ปลุกให้คริสตื่นจากนิทรา

โอเมก้าเหลือสาม อัลฟ่าเหลือห้า...

จำนวนลดลงไปเพราะฝีมือของพวกเขาเมื่อวานนี้ล่ะสินะ

เจ้าหน้าที่พวกนั้นคงจะส่งโดรนไปสำรวจทั่วเกาะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทว่าเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนักนอกจากรู้สึกว่าการตื่นนอนในวันนี้มันช่างไม่สบายตัวเอาเสียเลย

อึดอัด... รู้สึกอย่างนั้น ก่อนจะรู้สึกตัวว่าที่อึดอัดเป็นเพราะเขาอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน

เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่าเจเรมีกำลังใช้คางเกยศีรษะเขาอยู่ขณะหลับปุ๋ย ส่วนเขาเองนอนหนุนแขนข้างหนึ่งของเจเรมีโดยมีแขนอีกข้างของอีกฝ่ายพาดอยู่บนตัว อะไรไม่ว่า เขายังถูกจับแก้ผ้าและหันหน้าเข้าหาร่างกายเปลือยเปล่าของเจเรมีอีกต่างหาก

ไม่รู้หรอกว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น แต่คาดว่าสภาพร่างกายของเขาคงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ถึงได้ตกอยู่ในสภาพนี้ และเขาก็ไม่สนที่จะหาคำตอบด้วย แค่เห็นว่าเจเรมีดูแลเขาเป็นอย่างดี มันก็อดใจไม่ได้ที่จะประทับจูบลงบนแผ่นอกตรงหน้า ก่อนจะกลายเป็นความมันเขี้ยว จากจูบเป็นการทำร่องรอยความเป็นเจ้าของเสียอย่างนั้น

สัมผัสแผ่วเบาจากการดูดดึงของคนในอ้อมกอดเรียกรอยย่นระหว่างคิ้วสวยของเจเรมี เปลือกตาเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติ พอเห็นว่าสิ่งที่ปลุกเขาให้ตื่นจากนิทราคือคริสที่กำลังทำคิสมาร์กบนหน้าอกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงแหบห้าวก็ดังขึ้น

“ทำเวรอะไรของนายอยู่” ไม่ใช่การโวยวาย แต่เป็นการถามด้วยน้ำเสียงงัวเงีย
คริสเหลือบตาขึ้นมองพลันผละริมฝีปากออกมา “ฉันทำให้ตื่นเหรอ?”

ก็เออสิวะ!

แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทำเพียงชำเลืองมองร่องรอยแดงช้ำแห่งใหม่ที่ปรากฏขึ้นบนผิวกายเท่านั้น ก่อนจะใช้มือข้างที่พาดลำตัวของคริสอยู่อังที่หน้าผากคนตัวใหญ่กว่า

ตัวของคริสไม่ร้อนเหมือนเมื่อคืนแล้ว เกือบจะเป็นอุณหภูมิปกติ แต่ก็ยังรุมๆ อยู่นิดหน่อย

ท่าทางนั้นทำให้คริสอดยิ้มออกมาไม่ได้ ยิ่งเห็นสีหน้าจริงจังของเจเรมีตอนวัดอุณหภูมิร่างกายเขา คริสก็ปิดรอยยิ้มไว้ไม่มิดจนถูกเจเรมีดุเอา
“ยิ้มเวรอะไร”

คริสยังคงกอดเจเรมีอยู่อย่างนั้น กัดริมฝีปากตัวเองคล้ายกับว่าพยายามกลั้นยิ้ม หากแต่ก็ทำได้ไม่ดีนักจนต้องกระแอมสองสามที
เพื่อตั้งสติ พลันพูดออกไปเมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของคนในอ้อมแขน
“ฉันคิดว่านายก็มีมุมอ่อนโยนเหมือนกัน”
“ฉันแค่ไม่อยากเห็นใครมาตายเพราะฉัน” เจเรมีเบนสายตาไปด้านข้างขณะพูด

ไม่อยากเห็นใครมาตายเพราะตัวเองงั้นเหรอ? แล้วที่ประกาศจำนวนผู้รอดชีวิตเมื่อเช้านั่นหมายความว่าคนที่ตายไปไม่ใช่เป็นเพราะเขาหรือไง

แต่คริสไม่พูดหรอก เดี๋ยวบรรยากาศดีๆ จะเสีย อีกอย่างเจเรมีก็ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคนด้วย ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะต้องการสั่งสอนและ...แก้แค้นให้ลูก้า

จะด้วยเหตุผลอะไรก็ช่าง เขาไม่อยากจะคิดถึงมันสักเท่าไหร่นัก ก่อนจะขยับกายขึ้นมานอนเหนือกว่าเจเรมีแล้วดึงอีกฝ่ายมากอดไว้ในอ้อมแขนแทน ถือวิสาสะประทับจูบลงบนหน้าผากกว้าง ทำเอาเจเรมีจ้องเขม็ง
“อะไร!”
คริสเหยียดยิ้ม ฉกหอมแก้มไปอีกที
“อะไรของนายวะเนี่ย!” ตอนนี้ถึงขั้นโวยวายแล้ว แต่ก็ต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าคนฉวยโอกาส

“เป็นเพราะนายแท้ๆ อาการของฉันเลยดีขึ้น ขอบใจนะ”
“ฉันแค่ไม่อยากเห็นนายมาตายเพราะช่วยฉัน” เจเรมีพูดในน้ำเสียงระดับปกติ รู้สึกดีระคนเก้อเขินเหมือนกันที่ได้ยินคริสพูดอย่างนั้น

“จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก ที่จู่ๆ ไข้ขึ้นคงเป็นเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ แบบว่าใช้แรงเยอะ...”
“สู้กับพวกสวะนั่นน่ะนะ?”

คริสส่ายหน้าเป็นคำตอบ เจเรมีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้คริสพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นเพราะอะไร

“อย่าบอกนะว่า...”
“อืม มีอะไรกับนายมากไปหน่อย ร่างกายเลยอ่อนเพลียน่ะ พอซัดกับพวกนั้นอีกก็เลยเกินลิมิตที่ร่างกายจะรับไหว”
เท่านั้น เจเรมีก็ผลักคนตรงหน้าออกอย่างรวดเร็ว ก่อนปล่อยหมัดหลุนๆ ใส่ต้นแขนล่ำของคริสทันที
“สมควรปล่อยให้ตายเหมือนหมาจรจัด ไอ้เวรคริส!”

ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระอะไรได้ขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต ถ้ารู้ว่าที่คริสอ่อนแรงเป็นเพราะเอาแต่ทำเรื่องอย่างว่า ป่านนี้เขาปล่อยให้จมกองเลือดตายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว!

คริสถึงกับหัวเราะร่วน เก็บอาการขรึมไม่อยู่เลยทีเดียวขณะที่ใบหน้าของเจเรมีบูดบึ้งเสียจนน่ากลัวว่าอีกครู่เดียวเขาคงจะคว้าอะไรมาทุบหัวคริส โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกเสียจากส่งสายตาหงุดหงิดให้เท่านั้น
“แต่ก็ต้องขอบใจนายจริงๆ ที่ดูแลฉัน ไม่อย่างนั้นคงจะอาการแย่กว่านี้”
“ฉันพลาดเองที่ช่วยนาย” เจเรมีบ่นอุบให้คริสได้หัวเราะอีกเล็กน้อย

น่ารักดี... ถึงจะกระด้างกระเดื่องแต่ก็น่ารักดี

เป็นเขาคนเดียวที่มองเจเรมีอย่างนั้น พลันหัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไปเมื่อเจเรมีเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วไอ้พวกนั้นล่ะ พวกมันเป็นยังไงบ้างแล้ว” ถามถึงอัลฟ่าที่จัดการไปเมื่อวาน เมื่อสักพักเหมือนเขาจะได้ยินเสียงประกาศแต่เพราะหลับลึกพอสมควรเลยฟังไม่ทันว่ามีเนื้อความว่าอย่างไร
“ตายหมด ตอนนี้เหลือโอเมก้าสาม อัลฟ่าอีกห้า รวมนายกับฉันแล้ว”

เจเรมีพยักหน้า เงียบนิ่งไปคล้ายกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

จริงๆ แล้วเขารู้สึกแย่และเสียดาย อัลฟ่าพวกนั้นควรสร้างประโยชน์ให้กับเขาแท้ๆ แต่กลับต้องมาสู้กันจนถึงขั้นตายแบบนี้มันเป็นการตายที่เสียเปล่าไม่ใช่น้อย

ท่าทางนิ่งงันนั้นทำให้คริสได้พูดขึ้นมา
“จำนวนคนลดลงแล้ว แถมไม่เป็นไปตามแผนนายด้วย มันจะลำบากขึ้นนะถ้าเรายังจะทำอย่างนั้น กลับไปใช้วิธีเดิมไหม” เขาหมายถึงกลับไปทำตามกติกาของเกมเพื่อเป็นผู้ชนะ

ไม่ใช่ว่าเจเรมีจะไม่รู้ว่าทุกอย่างจะยากขึ้น แต่พอเขาคิดถึงใบหน้าของลูก้าแล้ว เขาก็จำต้องยืนยันคำเดิม
“ฉันจะทำตามแผนของฉัน”
“แต่นายจะลำบาก...”
“ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง แต่เลิกพูดเถอะ รำคาญ ฉันจะทำตามวิธีของฉัน” หันไปขึ้นเสียงใส่คริสจนได้ เขาไม่ชอบเท่าไหร่ที่คริสมาทำให้ความมุ่งมั่นของเขาเอนเอียง

ความจริงคริสก็อยากจะตอแยให้เลิกล้มแผนการนั้น แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาจริงจังของเจเรมีแล้ว เขาก็ต้องยอมแพ้

ไม่ใช่ยอมเพราะคนตรงหน้าเป็นเจเรมี แต่เพราะรู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไรต่างหาก เขาถึงยอมแต่โดยดี คนอย่างเจเรมีน่ะ แม้จะเป็นคนดื้อดึง ก้าวร้าวและมั่นใจในตัวเองเกินเหตุ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังจนทำเอาตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ทว่าลึกๆ แล้วเขาเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นมากเลยทีเดียว

เมื่อก่อนอาจจะไม่ใช่ แต่เริ่มในตอนนี้... ในหัวของเจเรมีมีแต่คำว่า ‘ต้องรอด’ เท่านั้น นั่นทำให้คริสต้องถอนหายใจออกมา
“นายนี่มันรั้นสุดๆ ไปเลย” พลันเอามือไปดึงแก้มของคนตรงหน้าก่อนพูดขึ้นอีก “แต่นายจะทำตามแผนของนายต่อก็ได้ เพราะยังไงฉันก็จะไม่ทิ้งนาย” คริสย้ำคำที่เขาเคยบอกกับเจเรมีไว้ก่อนที่จะเข้ามาร่วมเกมนี้อีกครั้ง

ความมั่นใจของเจเรมีที่จะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ทวีมากขึ้นไปอีก ความรู้สึกแย่ก่อนหน้าค่อยๆ มลายหายไป กลายเป็นความอุ่นใจขึ้นมา

“ถ้านายทิ้งฉัน นายจะรู้เลยว่านรกมันเป็นยังไง” แทนที่จะขอบคุณหรือตอบรับด้วยคำพูดที่ทำให้คริสชื่นใจ กลับเป็นการขู่เสียอย่างนั้น

คริสหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ปล่อยเจเรมีออกจากอ้อมแขนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดันตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วคว้าเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นขึ้นมาถือเตรียมจะแต่งตัว

หากแต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร น้ำเสียงทุ้มก็ดังมาให้ได้ยิน
“ฉันเองก็จะไม่ทิ้งนายเหมือนกัน ไม่มีวัน...” พูดโดยไม่หันหน้ามามอง

คริสมองแผ่นหลังกว้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแล้วก็หุบยิ้มไม่ได้ เขาไม่รู้หรอกว่าเจเรมีคิดอะไรอยู่ขณะพูดประโยคนี้ออกมา รู้เพียงอย่างเดียวว่าความรู้สึกของเขาที่มีให้กับผู้ชายคนนี้มันทวีมากขึ้นกว่าเดิมเสียจนไม่อาจกักเก็บไว้ได้

เขาไม่ได้หลงเจเรมีแล้วล่ะ แต่มันเรียกว่า...

คิดแล้วก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่าจะรู้สึกอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้ ความคิดจึงหยุดลงแค่นั้น ล้มตัวนอนพักผ่อนต่อเมื่อได้ยินเสียงสั่งจากปากโอเมก้าหนุ่ม

ถ้าหากรอดไปจากที่นี่...

ถ้าหากว่าได้รับอิสระ...

เขาจะพูดคำนั้นให้เจเรมีฟังไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...




 
การเล่นสกปรกของเดร็กทำให้เจอโรมไม่อาจทนอยู่นิ่ง เขาใช้เวลาอยู่หลายวันทีเดียวในการติดต่อพรรคพวกของเขาหลายๆ คนเพื่อหาที่อยู่ของคนกลุ่มหนึ่ง เมื่อได้คำตอบถึงได้เตรียมการเดินทางไปยังสถานที่นั้น

แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นความลับ เรื่องที่เขาทำอยู่จะเข้าหูเดร็กไม่ได้เด็ดขาด

การปลอมตัวจึงจำเป็นในแผนการครั้งนี้ เขาให้คนอื่นมาปลอมตัวเป็นเขาและแฝงตัวอยู่ในบ้านตามปกติ ส่วนเขากลับปลอมตัวเป็นพ่อค้าโอเมก้า ใส่หนวดเคราะปลอมและสวมผ้าคลุมศีรษะ ซ้ำยังให้อัลเบิร์ตปลอมตัวเป็นโอเมก้า สร้างเรื่องว่าเจอโรมซื้อตัวโอเมก้าคนนี้มาบำบัดความเครียดจากปัญหาที่รุมเร้าถึงที่บ้าน จากนั้นก็ให้แมทธิวขับรถพาออกจากมหานครเพิร์ลมุ่งหน้าสู่อาณาเขตปกครองพิเศษดีออน

อาณาเขตปกครองพิเศษดีออนในตอนนี้ดูทรุดโทรมและล้าหลังกว่ามหานครเพิร์ลอยู่มาก ตั้งแต่ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของมหานครเพิร์ล ทุกอย่างในอาณาเขตนี้ก็เหมือนจะแย่ลงไปทันตา

แย่เสียจนประชาชนบางส่วนพากันล้มตายเพราะขาดแคลนอาหาร...

ไม่มีคำใดมาพรรณนาความเลวร้ายของสถานการณ์ในอาณาเขตแห่งนี้ได้ และเจอโรมก็ไม่สนใจที่จะเอาตัวเองไปยุ่งวุ่นวายกับสถานการณ์ของประชาชนที่นี่ด้วย เขาต้องการทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้สำเร็จมากกว่า

ตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองเป็นจุดหมายที่พวกเขาต้องการมา ภายในนั้นมีบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้เรียงรายอยู่เต็มสองฝั่ง มองเผินๆ ก็รู้ว่ามันคือสลัม แต่เขาก็ยังเดินเข้าไปและหยุดลงที่ประตูหน้าบ้านหลังหนึ่ง ครั้นจะเอื้อมมือไปเคาะประตู ชายฉกรรจ์หลายคนที่อยู่ในละแวกนั้นก็เข้ามาขวางพลันถามเสียงแข็ง

“พวกแกเป็นใคร มีธุระอะไรที่นี่”
เจอโรมถอดเครื่องแต่งกายอำพรางหน้าตาออก เปิดเผยตัวเองโดยไม่เกรงกลัว

ไม่ต้องให้แนะนำตัว ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็จำได้ดีว่าเจอโรมเป็นใคร
หนึ่งในตระกูลผู้นำของมหานครเพิร์ล คนที่ทำให้พวกเขามีชีวิตตกต่ำขนาดนี้!
“แก!” ชายคนหนึ่งเกือบจะอดใจไม่ไหว พุ่งเข้ามาหาเจอโรมหมายจะฆ่า ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อแมทธิวซึ่งอยู่ทางด้านหลังชักปืนออกมาจ่อดเตรียมยิง

จังหวะนั้นเองที่เจอโรมได้พูดต่อ “ฉันมาหาผู้นำของพวกนาย”
“กลับไปซะ ที่นี่ไม่ต้อนรับ” ชายฉกรรจ์อีกคนที่เผชิญหน้ากับแขกไม่พึงประสงค์ออกปากบ้าง
เจอโรมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องถูกปฏิเสธอย่างนี้ แต่ในเมื่อเขามาถึงที่นี่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเจอให้ได้
“แต่ฉันต้องคุย”
“กลับไปซะถ้าไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่” พูดไม่ฟังก็ต้องขู่
“ฉันไม่กลับ มันเป็นเรื่องสำคัญ”
“สงสัยจะพูดกันไม่รู้เรื่องซะมั้ง”

อัลเบิร์ตขยับตัวไปหลบหลังบิดาทันทีที่ถูกพยักหน้าเรียก สถานการณ์ดูไม่ดีเอาเสียเลย ถึงแมทธิวจะมีปืนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสู้ชายฉกรรจ์หลายคนที่มีความแค้นต่อผู้นำของมหานครเพิร์ลได้

ทว่าเสียงพูดคุยกันนั้นสร้างความรำคาญใจให้กับคนที่อยู่ด้านในของบ้านเป็นอย่างมาก เขาเกือบจะสั่งให้ชายพวกนั้นจัดการให้เสร็จๆ ไปเสียแล้วถ้าหากว่าไม่ได้ยินเสียงของเจอโรมแว่วมา
“พูดกันรู้เรื่องแน่ถ้าเป็นเรื่องของคริส ฟ็อกซ์”

เท่านั้นประตูบ้านหลังนั้นก็เปิดผางออกมาทันที ชายวัยกลางคนอายุไล่เลี่ยกับเจอโรมหากแต่ท่าทางหน้าเกรงขามปรากฏกายให้เห็น เขาโบกมือไหวเล็กน้อย บรรดาชายฉกรรจ์ที่รายล้อมแขกไม่ได้รับเชิญอยู่ก็พากันถอยออกห่าง เปิดทางให้เขาเข้ามาแทนที่

“มีธุระอะไร” เอ่ยปากถามเป็นที่เรียบร้อย
นั่นแหละคือสิ่งที่เจอโรมอยากได้ยิน ก่อนที่เขาจะว่าจุดประสงค์ของตัวเองออกไปตรงๆ
“ผมต้องการความช่วยเหลือ ถ้าคุณอยากช่วยชีวิตทายาทของตระกูลฟ็อกซ์ เราก็มาคุยกัน”

อีกฝ่ายนิ่งไป ก่อนจะพูดเสียงเบา “เข้ามาก่อน ตรงนี้มันล่อสายตา”

จากนั้นก็เดินเข้าไปในตัวบ้าน ปล่อยให้แขกทั้งสามก้าวตามเข้ามา

ประตูบ้านปิดลง บทสนทนาจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความเคร่งเครียด
-------------------------------------------
เต็มตอนแล้วค่ะ ตอนนี้มีหลายอารมณ์...มั้ง 55
เรื่องนี้สรุปแล้วจะเปิดพรีเซลหลังงานหนังสือนะคะ ใครต้องการรูปเล่ม รอทาง สนพ.ประกาศที่หน้าเพจอีกทีนะ ไปติดตามที่เพจนี้ได้เลย https://www.facebook.com/RakKunPublishing/

ส่วนตอนหน้า เดี๋ยวหนูแดงจะมาอัพตัวอย่างให้ดึกๆ หน่อยนะคะ ขอพักสายตาก่อน
ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจให้กันหน่อยนะงับ ตอนนี้ว่างมาลุยเรื่องนี้ละ อัพรัวๆ เลยจย้า XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.19[100%][15/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 15-03-2017 19:51:58
เจมีเป็นนายเอกที่น่าปวดหัวที่สุด ป่วนที่สุด น่ากระทืบที่สุด และแรดสุดๆ
ลุ้นมาก กลัวเจมีจะก่อเรื่องเพิ่มตลอด
แต่เพราะมีคริส เลยเบาใจไปว่านางเอานังเจมีอยู่แน่ๆ เอาไปแล้วด้วย (โดนเจมีถีบ)
ส่วนช่วงปัจจุบันนี่อารมณ์แบบhunger game เลย
หวังมากว่าจะไม่จบแบบเรื่องนั้น มันโหดร้ายเกินไป
ตอนหลังๆชอบเจมี มากๆ แซ่บ แสบทรวงได้อีก คุมปั๋วอยู่หมัดไปเลย :pighaun:
ฮาคริส หลงหัวปักหัวปำ หรือจริงๆแล้วหื่นหลบใน ทำจนหมดเรี่ยวหมดแรงไข้ขึ้น ฮ่าๆๆๆๆ ถึกไม่สู้เมียสินะ
ส่วนลูก้าผู้น่าสงสาร นี่คิดว่ายังไม่ตาย น่าจะเป็นแผนเจมี แกล้งตายอะไรอย่างนี้ใช่มั้ย ลูก้าควรได้โอกาสจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ สงสาร

คุณพ่อเจอโรมเคลื่อนไหวแล้ว กรี๊ดคุณพ่อ นางเท่ #ทีมคุณพ่อ ช่วยลูกชายได้ลูกเขยพ่วงมาด้วยนะคะคุณพ่อ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.19[100%][15/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 15-03-2017 21:10:02
บีบหัวใจหวะ
ความรู้สึกของพ่อพยายามช่วยลูก
ปวดใจ!!
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.19[100%][15/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-03-2017 22:19:33
โอ้ยเครียดขึ้นทุกตอนนนน  :ling3:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.19[100%][15/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lady_panko ที่ 15-03-2017 23:54:06
ความรักมันเริ่มอบอวน รู้สึกได้
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.19[100%][15/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 16-03-2017 13:12:04
เกือบจะอ่อนหวานแล้วเชียว

ตกลงคริสเป็นเมีย เจมีเป็นผัวใช่ไหม

ทำไมคริสดูอ่อนโยน ในขณะที่เจมี.....เอิ่ม....ไม่มีอะไร (กลัวโดนชะแลงฟาด) 5555
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.19[100%][15/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 16-03-2017 14:11:45
อิอิสลับกันรุกรับกะดีนะ :hao6:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.19[100%][15/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 16-03-2017 15:21:14
บางทีเกมที่แท้จริงอาจจะเริ่มหลังจากคิงเริ่มเดินก็ได้
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.19[100%][15/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-03-2017 17:26:53
Episode 20: ความกังวลไม่มีสิ้นสุด[1]

โอเมก้าเหลือสาม อัลฟ่าเหลือห้า…

โอเมก้าที่เหลือเหมือนจะถูกอัลฟ่าครอบครองไปแล้วด้วย คริสบอกมาว่าอย่างนั้น เจเรมีจึงตัดสินใจที่จะเล่นงานพวกโอเมก้าและอัลฟ่าที่เข้าคู่กันก่อนเพื่อกำจัดคู่แข่ง แต่ก็อย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ว่าการล่าโอเมก้าอีกสองคนพร้อมคู่ครองมันไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกอย่างต้องจัดการไปเป็นทีละคู่ ถึงจะใช้เวลาสักหน่อยแต่ก็ไม่ได้เกินความสามารถของชายหนุ่มทั้งสอง เพียงสามถึงสี่วัน ร่างของอัลฟ่ากับโอเมก้าคู่หนึ่งก็ถูกจับห่อผ้าปูที่นอนแล้วถ่วงทะเล ส่วนอีกคู่ก็ถูกฝังลงดินในบริเวณป่าหากเป็นจุดที่โดรนสามารถสำรวจได้ง่าย

เป็นแผนของเจเรมีอีกเช่นกันที่ไม่ปล่อยศพทิ้งเรี่ยราดอย่างตอนต่อสู้กับอัลฟ่าสามคนก่อนหน้า นับว่าเป็นการเสียเวลาไม่ใช่น้อยที่ทำอย่างนี้เพราะไม่ว่าอย่างไร ตอนสุดท้ายของเกมก็จะมีเจ้าหน้าที่มากำจัดศพอยู่แล้ว กระนั้นเจเรเมีก็ดึงดันที่จะอำพรางศพด้วยวิธีต่างๆ

การกระทำนั้นทำให้คริสหวั่นใจอยู่ไม่น้อย แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่ตอนนี้เหลืออัลฟ่าที่ต้องกำจัดอยู่อีกสอง หากกำจัดได้ พวกเขาก็จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ มีเวลาเหลืออีกหนึ่งสัปดาห์โดยประมาณ คำนวณแล้วก็มากพอที่จะยุติเรื่องทั้งหมดเพราะหลังจากนี้พวกเขาไม่ต้องเป็นฝ่ายไปตามล่าอัลฟ่าสองคนนั้น แต่พวกนั้นจะเป็นฝ่ายมาหาเอง

ก็โอเมก้าที่จะทำให้เป็นผู้ชนะของเกมได้อยู่ที่นี่...

ต่อจากนี้คงต้องเป็นหน้าที่ของคริสที่ปกป้องเจเรมีแล้ว ทว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับคนที่เกิดมาในตระกูลซึ่งมีหน้าที่ปกป้องดูแลคนส่วนมากอย่างคริสอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่สบายใจก็มีแต่สีหน้าบอกบุญไม่รับของเจเรมีในตอนนี้มากกว่า
เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนที่พวกเขาฝังดินกลบศพอัลฟ่าและโอเมก้าคู่นั้นแล้ว หลังจากนั้นเจเรมีก็ดูอมทุกข์ตลอดคล้ายกับว่ากังวลอะไรอยู่ ทำเอาคริสที่เอนกายนอนอยู่ใต้ชะง่อนผาต้องเดินออกมานั่งเป็นเพื่อนชายหนุ่มอีกคนที่ด้านหน้า

“มีอะไรหรือเปล่า” เอ่ยปากถามออกไป ทำเอาเจเรมีที่นั่งดึงหญ้าบนพื้นเล่นชำเลืองสายตาหันมามองคนทางด้านหลัง
“ไม่มีอะไร” ตอบไปอย่างนั้นแต่มือก็ยังไม่หยุดดึงวัชพืชพวกนั้น
คริสมองตามแล้วก็ถอนหายใจ เจเรมีเป็นคนแสดงความรู้สึกไม่เก่ง เวลารู้สึกอย่างไรมักจะไม่พูดแต่เขาก็พอเดาได้ว่าสีหน้ากังวลใจของเจเรมีที่เห็นอยู่นั้นเป็นเพราะอะไร

“นายกำลังกังวลเรื่องแผนของนายว่าจะสำเร็จหรือเปล่าใช่ไหม”

ถูกเผงเลย... คนถูกรู้ทันถึงกับชำเลืองมองอีกครั้ง ขณะที่คริสขยับกายมานั่งข้างๆ แล้วจับไหล่ของเจเรมีให้หันหน้ามาทางเขา ออกแรงขึ้นเล็กน้อยเพื่อยกคนตรงหน้าให้นั่งคร่อมลงบนตัก

“พูดมาสิ” ออกปากให้ระบายความในใจออกมาอีก

ปกติแล้วถ้าถูกทำอย่างนี้ เจเรมีคงจะซัดคริสหน้าหงายไปแล้ว แต่เขากลับย่นคิ้วอย่างรำคาญแทน ก่อนที่จะเอ่ยปากออกมาเมื่อจัดท่านั่งได้เข้าที่

“ฉันกลัวว่าแผนจะไม่สำเร็จ” แล้วก็บอกสิ่งที่รบกวนใจตัวเองอยู่นานออกมา
“หมายถึงถูกจับได้ก่อนน่ะเหรอ” คริสเลิกคิ้วขณะถาม
“ใช่ มาคิดๆ ดูแล้ว แผนของฉันนอกจากจะเสี่ยงแล้ว มันยังดูโง่ด้วย นายว่าคนพวกนั้นจะไม่สงสัยหรือไงที่เห็นพวกเราอำพรางศพกันอย่างนี้”

นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้คริสไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้ตั้งแต่แรก มันเป็นแผนที่ดี แต่ก็แค่ในช่วงแรกเท่านั้น ทำอย่างต่อเนื่องแล้วมันมีช่องโหว่ ถ้าหากสังเกตดีๆ ก็ถูกจับพิรุธได้ไม่ยาก ถ้าหากแผนการนี้ดำเนินไปจนถึงที่สุด แล้วอย่างไรต่อล่ะ มีแผนสำรองที่ดีกว่าที่เจเรมีคิดไว้อยู่ไหม?

มันไม่มี... เจเรมีคิดว่าวิธีนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ต่อให้คริสพูดอะไรหรือจะย้อนกลับไปเล่นตามกติกาของเกมมันก็ไม่ทันด้วยเรื่องของเวลา ถึงตอนนี้พวกเขามีทางเลือกเดียวคือต้องทำมันจนจบเท่านั้น

“มาจนถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก เอาเวลาที่นายกังวลไปคิดเถอะว่าพอเราชนะแล้วจะทำอย่างไรต่อไป” คริสว่าปลอบ

เจเรมีถึงคิดได้ว่าเขาควรจะก้าวไปข้างหน้ามากกว่าหยุดชะงักอย่างนี้
ถ้าพวกเขาชนะ... มันไม่ใช่แค่การขออิสรภาพกลับคืนหรือมีชีวิตรอดอย่างแน่นอน มันต้องเป็นอะไรที่มากกว่านั้น

มากเสียจนทำให้คนที่ดึงพวกเขาเข้ามาอยู่ในเกมอุบาทว์กระอักเลือดตาย...

ใจจริงแล้วเจเรมีอยากจะขอชีวิตของเดร็กเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่มันไม่มีทางเป็นไปได้ เขาเองนี่แหละที่จะถูกเอาชีวิตแทน ดังนั้นแผนการหลังจากนี้ต้องเป็นไปอย่างรัดกุม อย่างน้อยก็ต้องใจเย็นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เย็นให้ได้เหมือนกับคริส...

เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเป็นเหมือนอย่างคริส อย่างดีก็แค่พอจะยับยั้งความใจร้อนของตัวเองลงได้บ้างเวลามีคริสอยู่ข้างๆ
คริสเป็นเสมือนน้ำเย็นที่คอยเข้าลูบไฟอย่างเจเรมี... มันเป็นไปในรูปแบบนั้นมากกว่า

ฟังที่คริสปลอบแล้ว เจเรมีก็พอจะคลายกังวลลงมาได้บ้าง ก่อนจะพยักหน้ารับเล็กน้อย ให้คริสได้ใช้แขนทั้งสองข้างลูบแผ่นหลังคนตรงหน้าเบาๆ

“เลิกกังวลอะไรไร้สาระได้แล้ว” ปลอบโยนมาอีกทีให้เจเรมีได้นิ่วหน้า
“เออ ไอ้คนมีสาระ แล้วนายล่ะ กังวลเรื่องอะไรมากที่สุด”

ถูกถามกลับบ้าง คริสก็นั่งนิ่งคิดไปครู่ก่อนที่จะเลื่อนฝ่ามือข้างหนึ่งมาลูบที่ซีกหน้าของเจเรมี
“กังวลเรื่องนาย” ตอบอย่างไม่คิดเลย ซ้ำยังยิ้มให้บางๆ อีกต่างหาก ทำเอาเจเรมีย่นคิ้วยู่
“ในหัวนายมีแค่เรื่องนี้หรือไง”
“มีแต่เรื่องของนายแล้วมันไม่ดีตรงไหน”

ไม่ใช่ว่าไม่ดี เขาก็ดีใจอยู่หรอกที่คริสคิดถึงเขาเป็นอันดับแรก ยอมรับตามตรงเลยว่าเขารู้สึกดีขึ้นทุกครั้งที่ได้อยู่กับคริส แม้จะเป็นปัญหาใหญ่ที่โผล่เข้ามามีส่วนทำให้ชีวิตเขาพัง ทว่าการที่มีคริสอยู่ด้วยอย่างนี้ก็ทำให้อุ่นใจไม่ใช่น้อย หากได้รับอิสระและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติแล้ว เจเรมีคิดไม่ออกเลยว่าเขาจะมีชีวิตโดยปราศจากคริสได้อย่างไร

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรมาคิดในตอนนี้ เขายังไม่ยอมรับอัลฟ่าหนุ่มคนนี้สักเท่าไหร่ พลันตอบกลับเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งสายตาระยิบระยับมาให้

“ชีวิตคนเรามันต้องมีอะไรมากกว่านี้สิวะ กังวลเรื่องบ้าอะไร”

พูดไปอย่างนั้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขินอายจนต้องการเบี่ยงประเด็นหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้คริสเม้มปากแน่น ครุ่นคิดไปอีกระลอกจนได้ ก่อนจะเลื่อนมือไปประคองใบหน้าลงมาวางยังหน้าท้องของเจเรมี

“ยังมีเรื่องนี้อีกเรื่อง”
เจเรมีขมวดคิ้วเสียจนหน้าย่นราวกับไม่เข้าใจว่าคริสกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แต่แค่แวบเดียวก็เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อขึ้นมาทันควัน

“นาย...ให้ตาย! ก็อย่าให้มันมากเกินไปสิวะ!” เพิ่งตระหนักถึง ‘ความพิเศษ’ ของร่างกายตัวเองได้ในวินาทีนี้
คนตรงหน้าหมายถึงเรื่องลูกในท้องเขาอยู่!

ท้องบ้าท้องบออะไร ถึงโอเมก้าจะเป็นเพศที่ท้องได้ทั้งชายและหญิงแต่ก็ใช่ว่าเขาจะท้องในตอนนี้สักหน่อย!

...แม้ว่ามันจะสุ่มเสี่ยงจากพฤติกรรมของคริสก็ตาม

เจเรมีหน้าแดงซ่านอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าที่ดูกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันตาเรียกรอยยิ้มจากคริสได้เป็นอย่างดี เขาประทับริมฝีปากลงบนเรียวปากของคนในอ้อมแขนแผ่วเบา ผละออกมาอย่างอ้อยอิ่งพลันถาม

“เสียใจหรือเปล่าที่ทุกอย่างมันกลายเป็นแบบนี้”
จู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง ทำให้เจเรมีขมวดคิ้วจนเป็นปม
“อะไรอีกวะเนี่ย”
“ฉันถามว่าเสียใจหรือเปล่าที่ทุกอย่างมันเป็นแบบที่เป็นอยู่”
“ต้องเสียใจอยู่แล้ว ถามบ้าอะไร” เข้าใจว่าคริสหมายถึงสถานการณ์เลวร้ายที่เผชิญอยู่ถึงได้ตอบไปอย่างนั้น
หากแต่ก็ต้องขบคิดหาคำตอบใหม่เมื่อคริสถามเจาะลึกลงไป
“แล้วเสียใจหรือเปล่าที่เราเป็นของกันและกัน”

เลี่ยงที่จะไม่พูดว่า ‘เป็นของฉัน’ ไม่ใช่เพราะว่าเจเรมีไม่ชอบ แต่เป็นเพราะเขาไม่ได้มองว่าเจเรมีเป็นสิ่งของหรือโอเมก้าที่มีหน้าที่เพียงให้อัลฟ่าครอบครองเท่านั้น หากแต่เขามองว่าเจเรมีเป็น ‘มนุษย์’ คนหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีทัดเทียมกับเขา เพียงแต่ต่างเพศกันเท่านั้น เรื่องของระบบชนชั้นที่กำหนดโดยเพศนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ เจเรมีพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแม้เขาจะเป็นโอเมก้า แต่ก็ไม่ได้ด้อยค่าหรือไร้ความสามารถกว่าอัลฟ่าเลย เพียงแต่โอเมก้าส่วนใหญ่เป็นไปในรูปแบบนั้นก็เท่านั้นจนมันกลายเป็นรูปแบบความเชื่อที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคม ตอนนี้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้วว่าโอเมก้าก็สามารถเป็นผู้นำเยี่ยงอัลฟ่าได้ อย่างน้อยก็ในสังคมเล็กๆ นี้

เจเรมีกำลังเป็นผู้นำของเขา... ไม่สิ ต้องบอกว่าของ ‘พวกเขา’

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการรอคำตอบจากอีกฝ่าย
“ตอบสิว่าเสียใจหรือเปล่า” คริสถามย้ำเมื่อเห็นว่าเจเรมีเอาแต่นิ่งเงียบ
โอเมก้าหนุ่มชั่งใจที่จะตอบ แต่สุดท้ายก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่”
“หมายถึง?”
“ฉันไม่เสียใจที่นอนกับนาย...หมายถึง...เป็นคู่ครองของนาย” ตอบทั้งที่จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง

ไร้ซึ่งความเขินอาย มีแต่ความจริงใจเท่านั้น นั่นเป็นข้อดีของเจเรมีที่เวลาจริงจัง เขามักจะซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองซึ่งต่างจากเวลาปกติที่เลี่ยงจะไม่เปิดเผยความรู้สึกสักเท่าไหร่
คริสยิ้มกว้างขึ้นมาฉับพลัน สิ่งที่ได้ยินเป็นคำพูดที่ดีที่สุดเท่าที่เคยได้ยินจากปากเจเรมี เขารวบร่างแกร่งของเจเรมีมากอดแน่น กระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

“ถ้าพวกเรารอดไปจากที่นี่ ฉันสัญญาว่าจะบอกเรื่องนั้นกับนาย”
“เรื่องอะไร” อดอยากรู้ไม่ได้จึงเอ่ยปากออกไปเพราะจู่ๆ คริสก็พูดขึ้นมา

ทว่าคริสไม่ยอมบอก พึมพำเสียงเบา “ความลับ... ถ้านายอยากรู้ ก็มีชีวิตรอดออกไปให้ได้” จากนั้นก็แลบลิ้นเลียปลายหูอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว

เจเรมีหัวเราะในลำคอกับท่าทางเจ้าเล่ห์ระคนขี้อ้อนนั่น เปล่งเสียงออกมาบ้าง
“ถ้าออกไปแล้วนายยังเล่นลิ้นอย่างนี้อยู่ รับรองเลยว่านายจะไม่มีลิ้นไว้เลียฉันอีกแน่”

ขู่มาอย่างนี้ก็เข้าทางคริสเลยสิ

งั้นต้องรีบเลียให้หนำใจก่อนที่จะถูกตัดลิ้นทิ้งเสียแล้วล่ะ

ไม่ใช่แค่คิด เขาจะทำจริงๆ เจเรมีหัวเราะในลำคอเมื่อลำคอของเขาถูกคนเจ้าเล่ห์ละเลงปลายลิ้นชิมความหอมหวานทีละน้อย ก่อนจะผลักคนตรงหน้าออกไม่แรงนัก ประคองใบหน้าคร้ามขึ้นมากระซิบเสียงพร่า

“ฉันจะรอดออกไปฟังความลับของนาย”

จากนั้นริมฝีปากของคริสก็ถูกช่วงชิงโดยจอมวายร้ายคนนี้

ไม่ใช่แค่ริมฝีปาก... ดูเหมือนทุกส่วนของร่างกายคริสจะถูกช่วงชิงไปด้วยเมื่อความเสน่หาพร่างพรายไปทั่วร่างของโอเมก้าหนุ่ม

คนที่ตั้งใจว่าจะเลียอีกฝ่ายให้สาแก่ใจ ตอนนี้เขากำลังเป็นฝ่ายถูกกินเองเสียแล้วล่ะ...
-------------------------------------
ขอแปะครึ่งนึงก่อน ครึ่งหลังค่อนข้างเครียดเพราะต้องค่อยๆ แก้ปม
ไว้พรุ่งนี้จะมานะคะ วันนี้แวบไปเคลียร์งานอื่นมาทั้งวัน ปวดตามาก จ้องคอมฯ นานไป ;w;
ฝากฟีดแบ็กเป็นกำลังใจไว้ให้กันล่วยยย เดี๋ยวมาต่อให้จ้า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.20[50%][17/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-03-2017 17:59:43
ขี้อ้อนสุด ๆ ทั้งคู่เลย

สงสัยวิธีของเจมีแล้วล่ะ คกลงพวกนั้นตายหรือไม่ตาย?

เจอโรมไปทำอะไร
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.20[50%][17/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 17-03-2017 18:06:02
โอ๊ยยยยย ยิ่งอ่านยิ่งติด
มารัวๆเถอะนะ ว๊อนมาก
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.20[50%][17/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 17-03-2017 18:43:43
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.20[50%][17/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 17-03-2017 23:30:11
Episode 20: ความกังวลไม่มีสิ้นสุด[2]

ได้รู้สถานการณ์ความเลวร้ายที่บุตรชายเผชิญอยู่เรียบร้อยแล้ว เดร็กก็หวังว่าจะได้เห็นเจอโรมเป็นเดือดเป็นร้อนจนนั่งไม่ติดกับที่ ทว่าความคาดหวังของเขาก็พังทลายเมื่อไร้ซึ่งการตอบโต้ใดๆ จากเจอโรม

อย่าพูดถึงการตอบโต้เลย แม้แต่การเคลื่อนไหวใดๆ ก็ไม่มี หลายวันที่ผ่านมาเจอโรมเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านเงียบผิดปกติ มีเพียงบางวันเท่านั้นที่เรียกให้คนพาโอเมก้าจากตลาดมืดมาบำบัดความเครียดบ้างก็เท่านั้น

เหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกติ แต่นั่นแหละความผิดปกติ คนอย่างเจอโรมไม่น่าจะเรียกโอเมก้ามาทำเรื่องอย่างว่าเพื่อระบายความเครียด

เขามีลูกเป็นโอเมก้านี่นะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไม่อยากกดขี่โอเมก้าซึ่งเป็นเพศเดียวกับเจเรมีอยู่แล้ว

ถ้าอย่างนั้นเรียกมาทำไมกันล่ะ?

อดสงสัยไม่ได้ พบพิรุธหลายอย่างจนต้องสั่งให้คนไปลอบสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด ในใจก็หวั่นวิตกไม่ใช่น้อยว่าเจอโรมกำลังวางแผนทำอะไรบางอย่างอยู่ด้วยรู้ว่าคนอย่างเจอโรมน่ะ ต่อให้ถูกต้อนจนหลังชนฝา เขาก็ไม่ยอมถอยง่ายๆ อย่างแน่นอน การเงียบในครั้งนี้มันอาจเป็นแผนล่อลวงให้ตายใจและเชื่อว่าเขายอมแพ้แล้วก็เป็นได้

เดร็กคาดการณ์ว่าอย่างนั้นแม้ว่าข้อสันนิษฐานนั่นจะดูง่ายดายไปเสียหน่อยสำหรับคนตำแหน่งใหญ่โตและศักดิ์ศรีค้ำคอจนก้มไม่ลงอย่างเจอโรม แต่มันก็ดูเป็นไปได้เหมือนกันในกรณีที่อีกฝ่ายไร้ทางต่อสู้แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นการดีเพราะเขาจะได้รุกฆาตหมากกระดานเกมนี้สักที

หากแต่เขาก็ทำไม่ได้ดั่งใจคิดหรอกเมื่ออีกไม่กี่วันให้หลัง เรื่องบางอย่างก็มาเข้าหูจากการรายงานของนายทหารคนสนิท มันไม่ใช่เรื่องของเจอโรม เป็นเรื่องของสถานการณ์บ้านเมืองเพราะจู่ๆ ก็การปลุกระดมมวลชนตามอาณาเขตปกครองพิเศษ

จากอาณาเขตหนึ่งสู่อาณาเขตหนึ่ง... เพียงเวลาสั้นๆ จากการปลุกระดมประท้วงธรรมดาก็กลายเป็นการเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ พลันลุกลามใหญ่โตจนความรุนแรงนั้นเข้ามาใกล้ยังมหานครเพิร์ล โดยการก่อจลาจลในแต่ละที่นั้นมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ...การปฏิวัติ

การล้มล้างกลุ่มอำนาจเก่าโดยกลุ่มอำนาจเก่า...ใช่ แกนนำของการก่อการจลาจลครั้งนี้คือเจอโรมและพรรคพวกที่ยังสวามิภักดิ์ต่อตระกูลผู้นำฟ็อกซ์ที่มาจากอาณาเขตปกครองพิเศษดีออน นำโดยสมาชิกวุฒิสภาชั้นผู้ใหญ่ที่เจอโรมไปขอความช่วยเหลือในครั้งนั้น

เป็นเรื่องใหญ่โตเลยทีเดียว ทำเอาผู้นำอีกสามตระกูลที่ยังคงรั้งตำแหน่งอยู่ในมหานครเพิร์ลนั่งไม่ติดเก้าอี้ เพราะรู้ว่าอีกไม่นานมันจะต้องลามมายังใจกลางมหานครเพิร์ลแน่ สิ่งที่พวกเขาควรทำในตอนนี้คือยับยั้งการก่อจลาจลทุกวิถีทาง ในขณะที่เดร็กซึ่งเป็นผู้นำทางด้านกองกำลังทหารถึงกับสั่นเทิ้มไปทั่วร่างทันทีที่ได้ยินข่าว มือคว้าเอาเอกสารรายการสถานการณ์การก่อจลาจลยังอาณาเขตปกครองพิเศษแห่งหนึ่งมาขยำทิ้ง ก่อนสีหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราดเมื่อพอจะเดาได้ว่าใครเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

เขาพลาด...เพียงเวลาไม่กี่วัน เขาก็เดินหมากพลาดเสียแล้ว!

ใครจะไปคิดว่าเจอโรมจะใช้วิธีแยบยลอย่างนี้

ยืมมือมวลชนมาช่วยอย่างนั้นเหรอ? ...ฉลาดไม่ใช่เล่นทีเดียว

ได้สติคืนมาอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงของนายทหารคนสนิทเอ่ยถามว่าจะทำอย่างไรต่อไปด้วยเดร็กได้รับมอบหมายหน้าที่ให้วางแผนควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดภายในสี่สิบแปดชั่วโมง ก่อนที่เขาจะขบกรามแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงน่ากลัว
“เอาพวกมันกลับมา ไม่ใช่เกมที่พวกเบี้ยต้องเดินแล้ว” สิ้นเสียงก็ขบกรามแน่น

หมดเวลาที่เบี้ยบนกระดานจะเดินแล้วอย่างที่เขาว่า ในเวลาอย่างนี้เป็นเวลาของ ‘คิง’

เกมที่แท้จริงมันเริ่มขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก!




 
เหลือเพียงอัลฟ่าอีกคนเดียวที่ต้องกำจัด พวกเขาก็จะเป็นผู้ชนะในเกมนี้ ทว่าแผนการของเจเรมีเป็นไปอย่างราบรื่นเสียเหลือเกิน...ราบรื่นเกินไปจนเขาชักจะสังหรณ์ใจไม่ดีว่าเดร็กคิดวางแผนอะไรเหนือความคาดหมายของเขาอยู่

ก็จะไม่ให้ระแวงได้อย่างไรล่ะ เขากับคริสจัดการกับอัลฟ่าคนสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยเมื่อสองวันก่อน จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการประกาศจำนวนผู้ที่เหลือรอดชีวิต ซ้ำเข้าอาทิตย์ใหม่แล้วก็ไม่มีผู้คุมคนไหนเข้ามาในพื้นที่ของเกาะเพื่อยิงยากระตุ้นอาการฮีทใส่โอเมก้าอย่างที่เขาเคยโดนเลยแม้แต่น้อย

มันเงียบเสียจนเกือบจะเข้าใจไปแล้วว่าคนพวกนั้นลืมว่ามีเกมนรกอยู่บนเกาะแห่งนี้แล้ว

แม้แต่คริสก็ยังออกปากเอ่ยถึงความผิดปกตินี้ โดยส่วนมากเขาจะใจเย็นรอดูสถานการณ์ต่างๆ ก่อน แต่พอเป็นอย่างนี้เขาก็อดเป็นกังวลขึ้นมาบ้างอย่างเสียไม่ได้

“ไอ้เวรนั่นต้องเล่นสงครามประสาทอยู่แน่ๆ” เจเรมีเอ่ยปาก หงุดหงิดกับสิ่งที่เผชิญอยู่ไปหมด ก่อนจะถูกปรามโดยคนข้างๆ
“ใจเย็นๆ ก่อน บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้”
“ถ้าไม่มีอะไร ทุกอย่างมันจะดูสงบอย่างนี้เหรอ ถ้ามันรู้ว่าฉันกับนายกำลังจะเป็นผู้ชนะ ไอ้นรกส่งมาเกิดนั่นมันต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้พวกเราชนะอยู่แล้ว” เจเรมีแผดเสียงคืน

ถูกอย่างที่อีกฝ่ายว่า ถ้าเจเรมีมีแนวโน้มว่าจะชนะ เดร็กคงไม่ปล่อยให้เรื่องมันง่ายอย่างนี้แน่ แต่เพราะอะไรล่ะทุกอย่างมันถึงได้ดูสงบนิ่งจนน่าใจหายอย่างนี้?

บอกตรงๆ ว่าคริสก็ไม่อาจเดาได้เหมือนกัน เขาเองก็อดกังวลใจไม่ได้ที่ชีวิตของพวกเราราบรื่นเกินไป เขาไม่ได้เป็นห่วงตัวเองสักเท่าไหร่หรอก จะเป็นห่วงก็แต่เจเรมีนั่นแหละ เหนือสิ่งอื่นใด เขากลัวว่าแผนการของเจเรมีจะไม่สำเร็จ

เรียกได้ว่าเป็นการกังวลที่ไม่มีสิ้นสุดจริงๆ กังวลเรื่องหนึ่งแล้วก็ลามไปอีกเรื่องจนแทบจะลำดับไม่ถูกแล้วว่าควรกังวลเรื่องไหนก่อนกัน

คริสพยายามควบคุมจิตใจให้นิ่ง มองแผ่นหลังของเจเรมีพลันเอื้อมมือไปแตะบ่ากว้างเบาๆ
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ทุกอย่างจะดี เชื่อสิ”
“มั่นใจหรือไง” เจเรมีสวนกลับ

คริสก็ให้คำตอบไม่ได้หรอก นอกจากการดึงเจเรมีเข้ามากอดเป็นการปลอบใจ แล้วก็ถูกสบถด่าอย่างเคย
“มันใช่เวลามาทำอะไรอย่างนี้ไหมวะ!”

เห็นคนในอ้อมแขนโวยวาย คริสก็หัวเราะในลำคอ ถึงจะโดนหงุดหงิดใส่แต่อย่างน้อยก็ทำให้บรรยากาศระหว่างเขากับเจเรมีดีขึ้นพอสมควรเลยทีเดียว

ก็ไม่ได้ดีมากหรอก เรียกว่าไม่เครียดเท่าวินาทีก่อนหน้ามากกว่า ทว่าแค่แวบเดียวเท่านั้น ความตึงเครียดที่หายไปแวบหนึ่งก็กลับคืนมาอีกครั้งเมื่อหูทั้งสองข้างของคริสได้ยินเสียงประหลาดดังมาจากไม่ไกลนัก เท่านั้นเขาก็รีบส่งสัญญาณให้เจเรมีเงียบเสียงทันที

อีกฝ่ายเบาเสียงตามที่คนตรงหน้าว่า ย่อตัวลงต่ำ หาที่กำบังตามการดึงของคริสอย่างรวดเร็ว
“อะไร” ตั้งหลักได้ก็กระซิบถามเสียงขุ่น
คริสไม่ตอบในทันที สายตาทอดมองไปยังภาพตรงหน้าอย่างระแวดระวัง เมื่อเห็นว่ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เอ่ย
“มีคนมา”

เจเรมีไม่เข้าใจหรอกว่าประโยคนั้นหมายความว่าอะไร หัวคิ้วย่นยู่อย่างสงสัย ปากเตรียมจะอ้าถามแต่ก็ถูกคริสตะครุบเอาไว้ให้เงียบเสียงก่อน เจเรมีไม่ชอบท่าทางนั้นเลยแต่ก็จำต้องทำตาม แล้วก็ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้เงียบๆ พักหนึ่งโดยไร้เสียงพูดคุยใดๆ
ผ่านไปได้เพียงอึดใจ เสียงรัวกระสุนปืนก็ดังมาให้ได้ยิน ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของใครบางคน

เจเรมีหันไปมองหน้าคริสทันที ในขณะที่คริสมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ในหัวของพวกเขามีคำถามเดียวกันด้วยอยากรู้ว่าพวกตนกำลังเผชิญกับสถานการณ์บ้าบออะไรอยู่ แต่ไม่ต้องถามให้เสียเวลา พวกเขาก็ได้ยินเสียงห้าวของใครสักคนดังตามมา
“ตามหาพวกมันให้ครบแล้วจัดการซะ ไปๆๆ!”

เสียงสั่งการจากพวกผู้คุม...

ไม่...ไม่ใช่พวกผู้คุม แต่เป็นพวกทหาร คริสรับรู้ได้จากเสียงการเคลื่อนไหวที่เป็นระบบระเบียบกว่าปกติ แต่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นแล้ว สิ่งที่ควรสนใจในวินาทีนี้คือแผนการของเจเรมีต่างหาก!

เท่านั้นความกังวลใจก็พร่างพรายขึ้นมาจนไม่สามารถเก็บสีหน้าไว้ได้อยู่ คริสเหลือบมองเจเรมี มือคว้าข้อมืออีกฝ่ายทันที ตั้งใจว่าจะพาไปหาที่หลบภัยเพื่อตั้งหลักก่อนเพราะดูท่าแล้วทหารพวกนั้นคงจะถูกสั่งการมาให้กำจัดอัลฟ่าและโอเมก้าทุกคนที่หลง
เหลืออยู่ที่นี่แน่ๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามีจุดประสงค์อื่นด้วยไหม ด้วยนอกจากทหารบนพื้นราบแล้ว เฮลิคอปเตอร์หลายลำก็ถูกนำมาใช้ค้นหาผู้รอดชีวิตในปฏิบัติการนี้เช่นกัน

ตอนนี้คริสเป็นห่วงเจเรมีมากกว่าชีวิตของเขาอีก ถ้าหากผู้ชายคนนี้เป็นอะไรไป เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองแน่!
ทว่าเจเรมีไม่ทันจะได้ฉุกคิดถึงใจคนข้างๆ ว่ากังวลเรื่องเขาเพียงใดเพราะเขาเองก็มีเรื่องให้ต้องกังวลจนอยู่ไม่ติดที่เช่นกัน

ประภาคาร...

ที่ประภาคาร!

คิดแค่นั่นก็สะบัดมือออกจากการเกาะกุมของคริส หันหลังแล้วออกวิ่ง มุ่งหน้าไปยังประภาคารซึ่งใกล้กับจุดที่ทิ้งศพของลูก้าอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้คริสร้องเรียกเสียงดัง ตามมาด้วยสบถอย่างหัวเสียเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ฟังเขาเลยแม้แต่น้อย

“เวรเอ๊ย!”
สบถได้คำเดียวก็ต้องรีบวิ่งตามไป ไม่มีเวลาให้เขาได้คิดอะไรมากแล้ว

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอด...

ต้องรอดไปจากที่นี่!
-------------------------------------
ต่อให้เต็มตอนแล้วค่ะ ทิ้งท้ายไว้อีกแล้วว่าเจมีวิ่งไปที่ประภาคารทำไม
ใครข้องใจเรื่องแผนของเจมี ตอนหน้ามาเฉลยแล้วจ้ะ (ฉะปอยทำไม 555)
ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ล่วยเน้อ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.20[100%][17/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 18-03-2017 00:18:58
เจมี่เป็นคนเดาใจยาก :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.20[100%][17/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 18-03-2017 09:10:48
โอ๊ย ตื่นเต้น นี่รีเฟรชรอจนขำตัวเอง
ตื่นเต้นจนรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในเกมส์
มีอะไรที่ประภาคาร คนที่เหมือนจะโดนฆ่าไปแล้วรึเปล่านะ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.20[100%][17/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-03-2017 17:45:02
มีอะไรอยู่ที่ประภาคาร ?

เดร็กให้กำจัดทุกคนแน่ ๆ แล้วจับคริสกับเจมีมาเป็นตัวต่อรอง
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.20[100%][17/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 18-03-2017 21:34:50
ทุกคนอยู่ที่ประภาคารสินะ
คุณเจอโรมรีบมาช่วยลูกชายกับลูกเขยไวไวละ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.20[100%][17/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-03-2017 21:37:50
ลูก้ายังอยู่แน่ๆ  :hao5:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.20[100%][17/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 18-03-2017 22:54:56
Episode 21: ความลับของเด็กหนุ่ม[1]

วิ่งสุดฝีเท้าเท่าที่จะทำได้ เจเรมีไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่กระนั้นก็ช้ากว่าพวกทหารที่เข้ามาเคลียร์พื้นที่บนเกาะอยู่ดี พอไปเกือบจะถึงที่หมาย เขาก็ต้องชะงักหลบในพุ่มไม้เมื่อสายตาเหลือบเห็นกองกำลังทหารหลายนายตรึงกำลังอยู่บริเวณหน้าประภาคาร อัลฟ่าและโอเมก้ารวมกันสี่ชีวิตที่เจเรมีกับคริสจัดการฆ่าและอำพรางศพไปเมื่อหลายวันก่อนถูกจับมานั่งเรียงหน้ากระดานคุกเข่าอยู่ไม่ไกล

เห็นแล้วเจเรมีก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา

แสดงว่าระหว่างทางพวกทหารไปเจอคนพวกนั้น!?

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าจิตใต้สำนึกบอกกับเขาว่าสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่เรื่องดีแล้ว และก็จริงเสียด้วยเมื่อนายทหารกลุ่มหนึ่งมายืนอยู่ข้างหลังคนพวกนั้น ยกปลายกระบอกปืนขึ้นจ่อและเหนี่ยวไก

เสียงดังปังก้องกัมปนาทไปทั่ว เสียงร่ำไห้ของโอเมก้าที่หวาดกลัวจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขาดช่วงไปแทนที่ด้วยเสียงล้มฟุบของร่างไร้วิญญาณของคนทั้งสี่ ภาพนั้นทำให้เจเรมีรู้สึกราวกับว่าโลกของเขาถล่มจนเป็นผุยผง

แผนการที่เขาดำเนินการมาจนเกือบจะสิ้นสุดพังทลายไปทันตา ความหวังที่หลงเหลือลางเลือนหายไปแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวและความขุ่นแค้น หากแต่เขาก็ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการช่วยชีวิตใครอีกคนที่ยังหลงเหลืออยู่

ใครอีกคนที่ซ่อนตัวอยู่ในประภาคาร!

ใครคนนั้นก็คือ...

“ลูก้า!”

หลุดเรียกชื่อของคนที่อยู่ในประภาคารนั้นออกมาทันใด ก่อนจะต้องเรียกสติกลับคืนมา ตั้งท่าจะวิ่งฝ่าดงทหารพวกนั้นเข้าไปทันทีที่เห็นว่าทหารบางส่วนบุกเข้าไปรื้อค้นในประภาคาร แต่ก็ไม่ได้ทำอย่างใจคิดเมื่อคริสคว้าแขนเขาไว้ได้ทัน ก่อนจะลากมาหลบอีกมุมเพื่อให้พ้นจากสายตาของทหารพวกนั้น

“ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!”
ได้ยินเจเรมีโวยวาย คริสก็ใช้มือตะครุบไว้แทบไม่ทัน
“อย่าเสียงดัง” คริสว่าเสียงเครียด แววตาดุดันบอกให้เจเรมีทำตาม ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือออกจากริมฝีปากของคนตรงหน้า แล้วเอ่ยปากอีกครั้ง “ฉันต้องถามนายต่างหากว่าจะทำบ้าอะไร”

ความจริงไม่น่าจะต้องถาม ก็เห็นอยู่แล้วว่าเจเรมีจะวิ่งไปที่ประภาคารนั่น
เจเรมีสะบัดตัวออก ว่าสั้นๆ “ฉันจะไปช่วยเด็กนั่น”

เด็กนั่นที่ว่า... คริสรู้ดีว่าหมายถึงใคร แต่มันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาคำนึงถึงตอนนี้ ในเวลาอย่างนี้น่ะ พวกเขาควรจะ...
“ช่างหัวเด็กนั่นแล้วเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะเจมี ยังไงลูก้าก็ไม่มีทางรอดแล้ว”

ใช่! พวกเขาควรจะเอาชีวิตรอดก่อน แผนของเจเรมีตอนนี้มันพังย่อยยับไม่มีชิ้นดีแล้ว

แผนการฆ่าและอำพรางศพปลอมที่ประกอบไปด้วยผ้าและก้อนหินห่อด้วยผ้าปูที่นอนเพื่อให้พวกเจ้าหน้าที่เข้าใจว่าผู้เข้าแข่งขันลดจำนวนลงแล้ว ส่วนตัวจริงก็ให้ไปหลบซ่อนตามสถานที่ต่างๆ บนเกาะ มันเป็นแผนที่โง่เง่าสิ้นดี!

ตระหนักรู้ชัดเจนก็ตอนที่เห็นคนที่เขาพยายามช่วยชีวิตถูกฆ่าทิ้งอย่างไร้ปรานีนั่นแหละ และการที่คริสตัดความหวังอันเลืองรางของคู่แห่งโชคชะตาตัวเองก็ไม่ใช่เป็นเพราะเขาเห็นแก่ตัว ต้องการรอดชีวิตไปกับเจเรมีสองคนเท่านั้น แต่เขาพูดตามความน่าจะเป็น

ลูก้าที่ถูกซ่อนตัวไว้ในประภาคาร... หากถูกเจอตัวก็คงมีจุดจบไม่ต่างจากพวกอัลฟ่าและโอเมก้าที่โดนยิงทิ้งข้างหน้านั่น

คริสเองก็จะไม่ตอกย้ำหรือต่อว่าเจเรมีแต่อย่างใดที่ตัดสินใจใช้แผนนี้ด้วย เพราะไม่ว่ามันจะเป็นแผนของเจเรมีหรือแผนของเขา
ถ้าหากเจ้าของเกมกระดานอยากจะล้มเกม กฎกติกาใดๆ มันก็ไม่มีความหมายทั้งนั้น สุดท้ายแล้วจะรอดหรือจะฆ่ากันเอาเป็นเอาตายอย่างไร ผลก็คือถูกฆ่าทิ้งอยู่ดี

สัจจะไม่เคยมีในตัวของเดร็ก...

ไม่...ไม่ใช่แค่เดร็ก แต่เป็นพวกชนชั้นอำนาจของมหานครเพิร์ล คริสรู้ความจริงข้อนั้นดีแต่เขาเองก็ผิดที่ไม่ได้ฉุกใจคิดถึงความจริงข้อนี้เลยแม้แต่น้อย ในใจมีแต่จะปกป้องเจเรมีเท่านั้น ถ้าหากเขารอบคอบกว่านี้อีกสักหน่อย เขาคงจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้เจเรมีเข้ามาร่วมเกมนี้แน่

แต่มันสายไปแล้ว วินาทีต่อจากนี้เขาควรจะหาวิธีปกป้องคนตรงหน้าที่ดูสับสนมากกว่า ดูจากสีหน้าของเจเรมีแล้ว ท่าทางเขาจะยอมรับความจริงที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ เขาโกรธแค้นนายพลคนนั้นเสียจนแทบจะทนไม่ไหวที่จะฆ่าทิ้งด้วยมือของตัวเอง ก่อนจะส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว

“ฆ่ามัน...ฉันจะฆ่ามัน!”
ไม่เพียงแต่เสียงดัง ยังจะคุ้มคลั่งอีก ทำเอาคริสคว้ามากอดไว้อย่างรวดเร็ว ตบเข้าที่ใบหน้าไม่แรงนักเพื่อเรียกสติของอีกฝ่ายให้กลับคืน

“มีสติหน่อยเจมี ตั้งสติไว้!”

เจเรมีมองใบหน้าคร้ามของคนตรงหน้า หายใจหอบหนักราวกับพยายามควบคุมอารมณ์กรุ่นโกรธของตัวเอง ขณะที่คริสเห็นจังหวะก็เปิดปาก

“นับจากวินาทีนี้ นายต้องเชื่อฟังฉันแล้ว...เชื่อฟังทุกอย่าง เข้าใจไหม”
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว ในเวลาอย่างนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาดื้อรั้นอะไร
“ไปจากที่นี่กัน แล้วค่อยหาทางหนีออกจากเกาะนี่”

เป็นแผนการที่มีความเป็นไปได้น้อยมากเลยทีเดียว พวกเขาจะรอดพ้นสายตาพวกทหารร้อยกว่าชีวิตบนเกาะนี้ไปได้อย่างไร

ต้องขโมยเรือ...หรือจะเป็นเฮลิคอปเตอร์... ว่ายน้ำไปหนีไป…

ทุกอย่างที่คิดได้เป็นแผนการที่ทุเรศและไร้สมองสิ้นดี!

แต่คริสก็คิดอะไรที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว นอกจากจะคว้าข้อมือของเจเรมีแล้วเตรียมตัวจะออกวิ่ง เจเรมีเกือบจะก้าวตามอยู่แล้วถ้าหากว่าหูของเขาไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเสียก่อน

“อย่า! ได้โปรด! อย่าทำผม!”
ใบหน้าหันไปมองตามต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสะบัดมือออกจากการเกาะกุมของคริสอีกครั้ง ก้าวไปอีกทางเพื่อไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจมี…โธ่เว้ย!” คริสสบถเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ดั่งใจเขาเลยพลันรีบตามมาอย่างรวดเร็ว

เจเรมีมาหยุดที่หลังพุ่มไม้ที่เขาใช้เป็นที่ซ่อนตัวในตอนแรก พอเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจน เขาก็เบิกตาโต

ภาพตรงหน้า...ลูก้า

ลูก้าถูกใครบางคนกระชากผมลากออกมาจากประภาคารซึ่งเจเรมีรู้ดีว่าเป็นใคร

เดร็ก! ไอ้เวรนั่นก็มาที่นี่ด้วย!

มือทั้งสองข้างกำเข้าหากันแน่นและทวีความรุนแรงมากขึ้นจนนิ้วมือซีดขาวเมื่อลูก้าร้องขอชีวิต หากแต่ถูกตบเสียจนล้มกระเด็นไป ก่อนที่เดร็กจะยกขาขึ้นเหยียบศีรษะ บดขยี้ให้ซีกหน้าข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มจมลงไปบนพื้น

“เศษสวะอย่างแกมันรกโลกชะมัด!”
“ยะ...อย่าทำผม...”
เสียงวิงวอนของลูก้าไม่ได้เข้าหูเดร็กเลย เขาแค่ทอดมองด้วยสายตานิ่งเฉย ก่อนจะออกคำสั่งกับนายทหารที่อยู่ใกล้ๆ
“ไปหาตัวพวกที่เหลือมา...จับเป็นเท่านั้น”

พวกที่เหลือหมายถึงคริสและเจเรมี...

หูของเจ้าของชื่อทั้งสองได้ยินอย่างชัดเจนและมันไม่มีเหตุผลเลยที่พวกเขาจะอยู่ที่นี่ ทว่าคงมีแต่เจเรมีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่คิดหนี

ไม่ใช่ว่าไม่รักตัวกลัวตาย หากแต่เขาไม่เห็นประโยชน์ของการดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากเดร็กอีกแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายพลิกกระดานอย่างนี้ มันก็หมดเวลาที่จะต้องเล่นตามกติกาสักที เขาไม่อยากเป็นผู้ถูกล่าอีกแล้ว!

การเผชิญหน้ากับเดร็กตรงๆ จึงเป็นการตัดสินใจในชั่ววินาทีของชายหนุ่มผมบลอนด์ ยิ่งเขาเห็นใบหน้าของลูก้าที่บวมช้ำไปด้วยรอยนิ้วมือและเปื้อนน้ำตา เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหลบซ่อนอีก โผล่ออกจากพุ่มไม้โดยที่คริสไม่ทันได้ตั้งตัว ตรงเข้าไปหา
พวกทหารตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัวท่ามกลางความตกใจของคริสที่มองอยู่

ให้ตาย ทำอะไรไม่ได้ปรึกษากันบ้างเลย!

เจเรมีก็ยังเป็นเจเรมีอยู่วันยังค่ำ ถึงจะอ่อนข้อลงให้เขาแล้ว แต่เรื่องการทำอะไรโดยไม่ใช้เวลาไตร่ตรองให้ดีก็ยังเป็นนิสัยเสียที่ติดตัว ทว่าคริสก็ไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่าตามออกมาด้วย

เอาเถอะ ไหนๆ นายพลนั่นก็บอกให้จับเป็นอยู่แล้ว มันคงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้หรอก

เอาเท้าโสโครกของแกออกจากหมอนั่นเดี๋ยวนี้!” ไม่โผล่ออกมาอย่างเดียว ยังตวาดเสียงกร้าว

การปรากฏตัวของคนมาใหม่เรียกสายตาของทุกคนไป ก่อนที่เดร็กจะแสยะยิ้มเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
“โอ้ มาเองเลยเหรอ ไม่ต้องเสียเวลาหาเลยแฮะ”
เจเรมีไม่ตอบโต้ เอาแต่จ้องเขม็งด้วยแววตากราดเกรี้ยวสลับกับมองไปที่ลูก้าอย่างเป็นห่วง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอีกที
“ฉันบอกให้เอาเท้าของแกออก!”

เดร็กถึงเพิ่งสำนึกได้ว่าตัวเองยังวางเท้าไว้บนศีรษะของโอเมก้าอยู่ พลันหัวเราะหึ
“แกนี่วุ่นวายใช่ย่อยเลยนะ คิดเหรอว่าแผนตื้นๆ นั่นจะตบตาฉันได้” แทนที่จะยกเท้าออก กลับตอกหน้าชายหนุ่มรุ่นลูกเสียอย่างนั้น “แต่ก็นับว่าเก่งเหมือนกันที่ทำได้แนบเนียน ถ้าฉันไม่สั่งให้คนลงมาก็คงจะหลงเชื่อไปแล้วว่าแกกับคุณฟ็อกซ์ฆ่าคนอื่นเพื่อเอาตัวรอด”

เป็นคำชมจากใจจริงของเดร็ก ทว่าเจเรมีไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เขาใจไม่ดีมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าเดร็กบดขยี้ศีรษะของลูก้าแรงขึ้นขณะพูดจนใบหน้าของเด็กหนุ่มเหยเกเพราะความเจ็บปวด นอกจากใจไม่ดีเพราะเห็นคนที่เขาพยายามปกป้องถูกทำร้ายแล้ว เขายังหวั่นใจอีกว่าลูก้าจะถูกฆ่า

“อย่าทำอะไรหมอนั่น” หลุดปากพูดออกไปจนได้ ทำเอาเดร็กเลิกคิ้วสูง
“ฉันบอกว่าอย่าทำอะไรหมอนั่น ปล่อยลูก้าไปซะ!” เจเรมีย้ำคำ

ชัดเจนเลยทีเดียวว่าเขาไม่ต้องการให้ลูก้าถูกฆ่า ความคิดของเจเรมีทำให้เดร็กอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“เป็นห่วงไอ้เด็กนี่เหรอ?” ไม่ใช่แค่หัวเราะ โน้มตัวลงไปกระชากผมของลูก้าด้วย ส่งผลให้ร่างบางต้องลุกตามแรงดึง มือเรียวทั้งสองข้างรั้งมือใหญ่ที่ทำร้ายตัวเองไว้

เห็นอย่างนั้นแล้วเจเรมีก็แทบจะอดใจไม่ไหว พุ่งเข้าไปหมายจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายคามือ ทว่านายทหารรอบข้างก็จ่อปืนมาทางเขาเสียก่อน กอปรกับคริสรั้งเขาเอาไว้ด้วย ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ดั่งใจ

“แก...” ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโกรธแค้น
ยิ่งเห็น เดร็กก็ยิ่งชอบใจ ท่าทางของเจเรมีเหมือนกับเจอโรมในวันที่เขารู้ว่าลูกชายตัวเองถูกลากลงมาในเกมนรกนี่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“ที่ว่ากันว่าเชื้อไม่ทิ้งแถวเป็นอย่างนี้นี่เอง” จู่ๆ เดร็กก็เปรยขึ้น ไม่มีใครเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อหรอกและชายหนุ่มทั้งสองที่ประจันหน้ากับเขาอยู่ก็ไม่สนใจที่จะทำความเข้าใจด้วยเมื่อเขาเอ่ยประโยคใหม่ออกมา “ถ้าพ่อของแกไม่ทำเรื่อง ป่านนี้พวกแกคงได้กลายเป็นผู้ชนะของเกมแล้ว”

ฟังแล้วคริสก็ฉุกใจขึ้นมาทันที

พูดอย่างนี้หมายความว่าอะไร หรือว่าเจอโรมจะก่อเรื่องข้างนอก?

ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เกมนี่มันเป็นการประวิงเวลาเพื่อหลอกล่อเจอโรมติดกับนี่ ดูท่าแผนการของเดร็กคงจะไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ถึงได้เปลี่ยนแผนกะทันหันอย่างนี้

ยิ่งจำได้ว่าก่อนหน้าเดร็กสั่งให้หาตัวเจเรมีและจับเป็นด้วยแล้วก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปใหญ่ แต่เขาก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงต้องถูกจับเป็นด้วยในเมื่อไม่ได้มีประโยชน์อะไรนอกจากการทำให้เจเรมีแสดงสัญชาตญาณของการเป็นโอเมก้าออกมาเท่านั้น

หากแต่ก็เข้าใจได้ในอีกไม่กี่วินาทีให้หลังเมื่อเดร็กพูดอีก

“ตัวปัญหา ไม่ว่ายังไงก็เป็นตัวปัญหา ในเมื่อไม่ยอมง่ายๆ เห็นทีจะต้องใช้ไม้แข็ง ขอโทษด้วยนะคุณฟ็อกซ์ที่ต้องลากเข้ามาเกี่ยว ตอนนี้คุณถอนตัวไม่ได้แล้วล่ะ ผมต้องใช้คุณเป็นตัวประกัน”

บอกมาสั้นๆ แต่ก็ทำให้คริสเข้าใจได้ในทันทีว่าการเคลื่อนไหวของเจอโรมต้องมีส่วนเกี่ยวพันกับเขาแน่

ไม่...ไม่ใช่เขา เป็นคนของเขา

คนที่ยังสวามิภักดิ์และจงรักในตระกูลผู้นำฟ็อกซ์!

หรือเจอโรมจะยืมมือคนพวกนั้นมาช่วย?

อดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลย ใจจริงแล้วเขาไม่อยากให้คนที่เคยใกล้ชิดกับตระกูลเขามายุ่งเกี่ยวกับอะไรพรรคนี้เพราะไม่ต้องการเห็นการสูญเสียของประชาชนดีออนอีกแล้ว ทว่าเขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากยืนอยู่นิ่งๆ ให้นายทหารมาจับกุมเมื่อเดร็กส่งสัญญาณ

“เอาตัวพวกมันไป!”
คริสเหลือบมองไปเจเรมีเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าอย่าคิดทำอะไรขาดสติโดยเด็ดขาด ซึ่งเจเรมีก็ไม่ทำ ไม่ขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้ตัวเองถูกจับกุมในขณะที่ลูก้าก็ยังถูกรั้งเส้นผมเอาไว้อย่างนั้น

ก่อนจะถูกพาตัวไปที่อื่น เจเรมีก็โพล่งขึ้น
“อย่าทำอะไรหมอนั่น” สายตาและน้ำเสียงยามพูดนั้นจริงจัง

เป็นครั้งที่สามแล้วที่เจเรมีย้ำ ทำเอาเดร็กถึงกับเหยียดยิ้มออกมา
“ฉันเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าแกเคยช่วยไอ้เด็กนี่ไว้ แต่ไม่ยักจะคิดว่าแกจะใส่ใจมันขนาดนี้ ทำไม เพราะเป็นโอเมก้าเหมือนกันเหรอถึงได้เห็นอกเห็นใจกันเสียเหลือเกิน”

ไม่ใช่แค่เพราะเป็นโอเมก้าเหมือนกันหรอก แต่เพราะเป็นลูก้าต่างหาก เขาถึงอยากจะปกป้องให้ถึงที่สุด คนอย่างลูก้า ถึงชีวิตจะไม่มีอะไรดีสักอย่าง แต่อย่างน้อยก็ขอให้รอดชีวิตจากที่นี่

“ปล่อยลูก้าไป ไว้ชีวิตหมอนั่น...ขอร้อง”
ไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะต้องมาวิงวอนอะไรผู้ชายคนนี้

คำพูดที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกจากปากของชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมวายร้ายทำให้เดร็กระเบิดหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะกระชากเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน มือข้างที่ว่างบีบเข้าไปที่แก้มตอบของลูก้า

“เป็นห่วงกันเหลือเกินนะ ไอ้เด็กนี่มันมีอะไรดีนักหรือไง”
ใบหน้าของลูก้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด แค่นเสียงแหบแห้งออกมาพอจะให้ได้ยินว่า ‘ผมเจ็บ’ ก่อนน้ำตาจะไหลพรากออกมาเป็นสาย

ยิ่งเห็น เจเรมีก็ขบฟันแน่นจนกรามขึ้นเป็นสันนูน เขาเกือบจะอดใจไม่ไหว ระเบิดอารมณ์คลั่งออกมาอยู่แล้ว หากแต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร เสียงของเดร็กก็ดังขึ้นมาอีก

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำอะไรมันหรอก มันยังใช้ประโยชน์ได้อีกเยอะ ที่สำคัญ...ใครมันจะฆ่าลูกชายตัวเองได้ลงคอกัน”

ลูกชาย!?

สีหน้ากราดเกรี้ยวของเจเรมีเมื่อครู่แปรเปลี่ยนไปเป็นตะลึงงันทันที เขามองเดร็กกับลูก้าอย่างไม่เชื่อสายตา พลันความทรงจำที่ลูก้าเคยบอกเล่าไว้เกี่ยวกับตัวเองก็พร่างพรายในหัวพลัน

เป็นเด็กที่เกิดจากบิดาซึ่งเป็นอัลฟ่า...

เจ้าของเดิมเป็นอัลฟ่าตระกูลหนึ่ง ถูกขายไปถึงสามครั้งและถูกซื้อกลับไปยังตระกูลผู้ให้กำเนิด

ไอ้ตระกูลสารเลวแฮร์ริสันนี่เอง!

อยากจะบีบคอทั้งเดร็กและลูก้าเสียในวินาทีนี้เพื่อเค้นให้อธิบายมาให้หมดว่าความจริงที่เขาได้รับรู้เมื่อครู่มันคือเรื่องบ้าอะไร แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดแล้วเมื่อท้ายทอยถูกกระแทกเข้ามาเต็มแรง พลันภาพตรงหน้าก็ค่อยๆ เลือนหายไปก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง มีเพียงเสียงของเดร็กเท่านั้นที่ลอยมาให้ได้ยินเป็นเสียงสุดท้าย

“เจอกันที่กระดานใหม่ หมดเวลาเดินเล่นของเบี้ยอย่างพวกแกแล้ว”
-------------------------------------
มาแล้วววว สรุปลูก้ายังไม่ตายนะคะ ยังอยู่แต่เบื้องหลังของนางแอบซับซ้อนนิดนึง
พรุ่งนี้จะมาต่อที่เหลือให้จ้า ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ด้วยนะคะ XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[50%][18/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 19-03-2017 00:25:43
แหม๋ ให้มันได้แบบนี้สิ
สารเลวสุดๆเดร็ก
จุดจบแกให้เลวร้ายที่สุด เลวมาก นี่ลูกแกนะ
ทำได้ลงคอ
อยากจะฆ่ามันจริงๆเชียว
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[50%][18/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-03-2017 10:39:52
คิดไว้เล่น ๆ ว่าลูก้าอาจจะเกี่ยวพันใกล้ชิดกับเดร็ก

แต่พอรู้ก็ประหลาดใจอยู่ดี

เดร็กมันเลวบริสุทธิ์
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[50%][18/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 19-03-2017 15:14:02
Episode 21: ความลับของเด็กหนุ่ม[2]

คริสได้สติอีกครั้งก็ตอนถูกพามาขังในห้องขังเดี่ยวของทัณฑสถานแห่งหนึ่ง เขาไม่อาจรู้เลยว่าพิกัดของพวกเขาในตอนนี้อยู่ที่ไหน รู้เพียงอย่างเดียวคือรอดชีวิตออกมาจากเกาะนรกนั่นแล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีทีเดียวด้วยเป้าหมายของเขาในตอนแรกก็คือการรอดชีวิตออกจากเกาะนั่นพร้อมกับเจเรมี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังจากนี้พวกเขาจะมีชีวิตรอด ดูจากสถานการณ์แล้ว เดร็กคงจะใช้ชายหนุ่มทั้งสองเป็นเครื่องมือต่อรองอะไรบางอย่าง

เจเรมีใช้ต่อรองกับเจอโรม ส่วนเขาถูกใช้ต่อรองกับกลุ่มอำนาจเก่าจากอาณาเขตพิเศษดีออน

เป็นการคาดการณ์ของอัลฟ่าหนุ่มที่นั่งพิงกำแพงอยู่จากสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้า ก่อนที่เขาจะสลัดความมึนงงออกจากหัว เหลือบไปมองยังร่างแกร่งของคนข้างๆ ที่ขยับเล็กน้อยเพราะรู้สึกตัวแล้ว

“เป็นไงบ้าง” ปากร้องถามออกไป มือช่วยพยุงเจเรมีขึ้นนั่ง
“นี่มัน...ที่ไหน” เจเรมีลูบต้นคอตัวเองที่ปวดระบมจากการโดนกระแทกไปมาพลางทำหน้าเหยเกขณะถาม
“รู้แค่ว่าเป็นคุก” คริสตอบสั้นๆ สายตาสำรวจมองยังร่างกายของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับอันตรายตรงไหนก็ผละมานั่งพิงกำแพงอย่างเดิมโดยไม่พูดอะไรออกมา ปล่อยให้เจเรมีได้สาปส่งตัวการที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง

“ไอ้เดนนรกนั่น ฉันน่าจะฆ่ามันทิ้งไปตั้งนานแล้ว”
คริสเหลือบมองทันควัน “หมายถึงใครล่ะ พ่อหรือลูก”

คำถามนั้นทำให้เจเรมีชะงักกึก

นั่นสิ เขาหมายถึงคนพ่อหรือคนลูกกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นเดร็ก ธีโอ หรือลูก้า ล้วนแล้วแต่มีคดีกับเขาทั้งสิ้น และตัวต้นเหตุที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่ก็หนีไม่พ้นสามคนนั้นเสียด้วย

ถูกคริสถามอย่างนั้น เจเรมีก็ปวดขมับหนึบขึ้นมาทันที ขยับตัวมานั่งพิงกำแพงบ้าง เปรยขึ้นเสียงแผ่ว
“เอายังไงกันต่อล่ะทีนี้”

ไม่ได้คำตอบจากคริส มีเพียงสายตานิ่งเรียบเท่านั้นที่ชำเลืองมองไปก่อนจะเบือนกลับมาราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้ยินที่เจเรมีถาม
ท่าทางเฉยเมยของอีกฝ่ายทำให้เจเรมีหันขวับไปหาทันที
“อะไรของนาย”

คริสไม่ตอบ นั่งนิ่งอย่างเดิมจนเจเรมีอึดอัดขึ้นมา
“เป็นบ้าอะไรของนายวะ” เสียงเข้มขึ้นมาเล็กน้อย คราวนี้เรียกสายตาของคริสให้เหลือบไปมองได้
“นายจะถามฉันทำไมในเมื่อพูดอะไรไปก็ไม่เคยฟัง” คริสยอมเปิดปากแล้ว แต่ไม่ใช่คำตอบที่เจเรมีอยากได้ เป็นการค่อนขอดกึ่งประชด

เจเรมีนิ่วหน้าทันที

หรือที่คริสทำเฉยเมยเป็นเพราะระอาใจ?

คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกันมา ไม่ว่าคริสจะเตือนอะไร เขาก็แทบจะไม่ฟังทั้งสิ้น ต่อให้ฟังก็ไม่ได้ทำตามสักเท่าไหร่นัก ครั้งล่าสุดก็เช่นกันที่คริสบอกให้ทิ้งลูก้าแล้วเอาตัวรอดก่อน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามจนมาติดแหง็กอยู่ในห้องขังเส็งเคร็งแห่งนี้

การนิ่งงันไปของเจเรมีทำให้คริสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ช่างเถอะ ถึงนายจะทำตามที่ฉันพูด มันก็ต้องลงท้ายอย่างนี้อยู่ดี หนีไปก็ใช่ว่าจะมีทางรอดเสียเมื่อไหร่ ดีแล้วที่นายตัดสินใจทำอย่างนี้ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าคนที่นายพยายามช่วยมาตลอดแว้งกัดนายได้ทุกเมื่อ”

คริสหมายถึงลูก้า... ถึงจะไม่ชอบใจกับความดื้อแพ่งของเจเรมีในครั้งนี้สักเท่าไหร่นัก แต่ก็นับว่าอีกฝ่ายตัดสินใจได้ถูกต้องทีเดียวเพราะเขาเองก็ไม่ได้มีแผนการที่ดีกว่าแม้แต่น้อย ดีเสียอีกที่เจเรมีทำอย่างนี้ จะได้เลิกเอาตัวเองไปเกี่ยวพันกับลูก้าสักที รู้ว่าเจเรมีเห็นใจโอเมก้าด้วยกัน ทว่ามันหมดเวลาที่จะช่วยเหลือคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ยังเอาไม่รอดแล้ว

เจเรมีมองหน้าคริส พลันรู้สึกผิดขึ้นมา
“ฉันขอโทษ” ปากเอ่ยออกไปโดยไม่ต้องให้ใครมาเตือน

คริสยกยิ้มบางๆ ยื่นมือไปวางไว้บนกระหม่อมของอีกฝ่ายที่ทำท่าสลดเหมือนสุนัขที่ทำความผิดแล้วถูกดุ
“ไม่เป็นไร แต่ต่อจากนี้รู้จักใจเย็นแล้วไตร่ตรองอะไรให้รอบคอบก่อนจะตัดสินใจหน่อยก็ดี”
“นายอยากให้ฉันเชื่อฟังนายใช่ไหม” เจเรมีถาม ไม่ได้ปัดป้องการสัมผัสใดๆ ของคริส
“ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังฉัน แค่คิดถึงเหตุผลให้มากกว่าอารมณ์ก็พอ เพื่อตัวนายและคนรอบข้างของนาย”

ได้ยินอย่างนั้น เจเรมีก็พยักหน้า

จริงอย่างที่คริสว่า ตั้งแต่เรื่องทุกอย่างมันเริ่มต้นจนกระทั่งถึงตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะการใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งทั้งสิ้น ต่อจากนี้เขาคงต้องยึดการตัดสินใจของคริสเป็นหลักเสียแล้วถ้าหากเขายังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้นิ่งได้เวลาตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน

แต่แล้วความคิดของเขาก็ถูกกลบไปเมื่อมีเสียงไขประตูดังมาจากด้านนอก และคนที่โผล่เข้ามาก็เรียกความสนใจไป
“ลูก้า...” เจเรมีครางทันทีที่เห็นใบหน้าบวมช้ำของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงต่ำ “เสนอหน้ามาทำไม”

โกรธ...ยอมรับว่าโกรธที่ถูกหลอก หากแต่ลูก้าไม่ตอบคำถามนั้น ยื่นของในมือมาข้างหน้าเล็กน้อย

“ผมเอาอาหารมาให้”
มันคือขวดน้ำกับก้อนขนมปัง

เจเรมีจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ ไม่พูดอะไร ทำให้ลูก้าต้องวางอาหารพวกนั้นไว้บนเตียงแล้วขยับมาทิ้งตัวลงนั่งบนนั้น ตรงข้ามกับชายหนุ่มทั้งสอง
“แล้วผมก็มีเรื่องอยากจะคุยด้วย”
“ไสหัวไปซะ ฉันไม่อยากจะเสวนากับนาย” ออกปากไล่ทันทีโดยไม่สนว่าลูก้าอยากจะพูดอะไร

ในเวลาอย่างนี้ต่อให้ลูก้ามีคำพูดสวยหรูหรือเหตุผลที่ดีพอมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น เจเรมีก็ไม่อยากฟังอีกแล้ว เขารู้สึกเหมือนถูกหักหลังเสียย่อยยับไม่มีชิ้นดีไปเรียบร้อย ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องฟังลูก้าพูดอีก

เว้นเสียแต่คริสที่เห็นสีหน้าลำบากใจของลูก้าถึงได้พูดขึ้น
“พูดมาสิ”
ลูก้าไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีไหมเพราะเห็นเจเรมีค้อนขวับไปยังคริสอย่างไม่พอใจที่เปิดโอกาสให้เขาได้พูด แต่ในความรู้สึกของเขา คริสมีอำนาจมากกว่าเจเรมี ดังนั้นจึงไม่รีรอที่จะเอ่ยปากไป

“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกว่าเป็นลูกของเขา แต่ถ้าตอนนั้นคุณรู้ว่าผมเข้าร่วมเกมทำไม ผมอาจจะไม่มีโอกาสมานั่งคุยกับพวกคุณตรงนี้ พวกคุณคงฆ่าผมทิ้งไปแล้ว” ก้มหน้าว่าเสียงแผ่ว ทำเอาเจเรมีที่แสร้งเมินเมื่อครู่ขมวดคิ้วยุ่ง
“หมายความว่าอะไร” ยอมปริปากออกมาแล้ว

ลูก้าเหลือบมองเล็กน้อยด้วยท่าทางอึกอัก “ผม...ผมถูกดึงเข้าไปในเกมเพื่อทำให้คุณพลาดครับคุณเมอร์ซี”

ยอมบอกออกไปจนได้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนฟังทั้งสองเข้าใจได้อยู่ดี ลูก้าเองก็ลำบากใจที่จะบอก แต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็คงต้องพูด ทุกอย่างมาไกลเกินกว่าจะเก็บไว้เป็นความลับแล้ว

“คุณจำที่ผมเคยบอกคุณว่าผมเป็นโอเมก้าที่เกิดจากพ่อที่เป็นอัลฟ่าได้ไหมครับ”
เจเรมีพยักหน้ารับช้าๆ
“แล้วคุณจำได้ไหมว่าตอนที่คุณช่วยผมครั้งแรก คุณได้ให้เสื้อคลุมตัวนั้นกับผมไว้”
เจเรมีพยักหน้าอีกให้ลูก้าได้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนค่อยๆ เล่า

“ผมเป็นลูกที่เขาเอาไว้ใช้ทำประโยชน์ทางการเมือง ที่ผมถูกขายไปให้ตระกูลอื่นก่อนหน้าก็เป็นเพราะเขาต้องการแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่ได้จากตระกูลพวกนั้น ขายไปแล้วก็ซื้อกลับ จากนั้นก็ขายอีกครั้ง ครั้งหลังเจ้าของที่ซื้อผมไปไล่ผมออกจากบ้านเพราะผมไปทำเรื่องไม่ถูกใจเข้า ผมไม่มีคนดูแลเลยต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในตลาดมืด เอาตัวแลกอาหารกับที่อยู่ ตอนนั้นผมถึงได้เจอกับเขาอีกครั้งเพราะเขาต้องการให้ผมทำอะไรบางอย่าง...” แล้วก็หยุดเล่าไป สีหน้าดูไม่ดีเอาเสียเลย คล้ายกับว่าลูก้าไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้

หากแต่เจเรมีไม่สน เห็นเงียบไปก็เค้นถาม “มันใช้ให้นายทำอะไร”
“ฆ่า...” ลูก้าว่า “ฆ่าผู้ชายคนนั้นแลกกับการให้ผมกลับไปอยู่ภายใต้การดูแลของเขาครับ”

ภาพข่าวการฆาตรกรรมอัลฟ่าจากตระกูลระดับสูงคนหนึ่งฉายวาบเข้ามาในหัวของเจเรมีทันที

“แสดงว่านายไม่ได้ฆ่าหมอนั่นเพราะถูกบีบคอ?”
ลูก้าพยักหน้ารับ “ผมฆ่าเขาเพราะถูกสั่งให้ฆ่า ถ้าไม่ทำ พ่อก็จะฆ่าผม ขอโทษที่โกหกครับ” ยอมรับอย่างซื่อตรงไปอีก
เจเรมีรู้สึกราวกับว่าเด็กหนุ่มที่เห็นตรงหน้าเป็นคนที่เขาไม่รู้จักเลยแม้แต่น้อย ความอึ้งงันทำให้ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากหนา เปิดโอกาสให้คริสได้เอ่ยถามบ้าง
“นายพลแฮร์ริสันสั่งฆ่าผู้ชายคนนั้นทำไม”

“เขาเป็นคนที่ขายข่าวการเคลื่อนไหวของท่านผู้นำเมอร์ซี พ่อบอกว่าเขาหมดประโยชน์แล้ว และคนที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อพรรคพวกตัวเองก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ เขาเลยส่งผมไปเป็นของตอบแทน สบโอกาสแล้วให้ฆ่า”
“แล้วเรื่องเสื้อของเจมีล่ะ มันเกี่ยวอะไรกับการที่นายถูกลากลงมาในเกม” คริสวนกลับมาเรื่องที่สำคัญกว่าแล้ว

ลูก้าจึงเล่าต่อ “พ่อคิดว่าผมน่าจะมีอิทธิพลอะไรบางอย่างกับคุณเมอร์ซีเพราะเห็นเสื้อตัวนั้น ธีโอก็ไปเล่าให้ฟังด้วยว่าคุณเมอร์ซีช่วยผมจากการกลั่นแกล้งของเขา แล้วคุณก็เล่าว่าคุณเป็นพวกขวางโลกที่มองโอเมก้าเทียบเท่ากับอัลฟ่า พ่อก็เลยคิดว่าความคิดนั้นของคุณมันน่าจะใช้ประโยชน์ได้ ตอนแรกเขาแค่จะให้ผมติดคุกจนกว่ากระแสข่าวฆาตรกรรมผู้ชายคนนั้นซา แต่สุดท้ายก็ให้ผมเข้าร่วมเกมโดยมีเงื่อนไขการรอดว่าผมจะต้องทำให้อย่างไรก็ได้ให้คุณเมอร์ซีไม่ได้เป็นผู้ชนะของเกม ผมเลยต้องตีสนิทอย่างนั้น บอกตามตรงว่าผมตั้งใจจะให้คุณผิดใจกับคุณฟ็อกซ์แล้วทะเลาะกันเอง ส่วนเรื่องที่ผมเป็นฮีท... ผมฉีดยากระตุ้นครับ ไม่ได้เป็นตามธรรมชาติหรอก พวกเขาให้ผมพกติดตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว”

จะมีแค่เรื่องที่ถูกข่มขืนเท่านั้นที่เป็นความจริงเพราะคริสพิสูจน์ได้จากกลิ่นของอัลฟ่าภายในตัวของลูก้า เดาว่าลูก้าคงจะพลาดถูกทำอย่างนั้นเพราะฉีดยากระตุ้นฮีทเข้าไปในร่างกายตัวเอง แล้วกลิ่นนั่นไปดึงดูดให้อัลฟ่าคนนั้นตามมาเจอ ส่วนเรื่องที่ต้องการให้คริสทะเลาะกับเจเรมี คงจะเป็นเรื่องการทำให้คริสพลาดท่ามีความสัมพันธ์ทางกายกับเขาจนผิดใจกับเจเรมีล่ะสินะ

คริสเข้าใจเหตุผลของลูก้าได้ว่าทำไปเพื่อเอาตัวรอด ทว่าเจเรมียิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ ความเห็นใจที่เขามีให้ต่อคนตรงหน้ามลายหายไปหมดจนต้องกัดฟันกรอดเพื่อระงับอารมณ์เดือดดาล

“แสดงว่านายเข้าหาฉันอย่างไม่บริสุทธิ์ใจตั้งแต่แรกแล้วสินะ”
ลูก้าไม่อาจปฏิเสธได้เลย นอกจากก้มหน้าลงต่ำ แก้ตัวอย่างรู้สึกผิด
“แต่เพราะคุณดีกับผม ผมเลยไม่กล้าทำอะไรตามที่ตั้งใจไว้ ขอโทษด้วยครับที่ทำให้ลำบาก”

เจเรมีไม่อยากจะฟังเสียงของเด็กหนุ่มคนนี้อีกแล้ว เบือนหน้าหนีไปพร้อมกับความรู้สึกปวดแปลบที่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย

เขาไม่ได้รู้สึกพิศวาสอะไรลูก้าในทางชู้สาวแม้แต่น้อย มีแค่ความเห็นอกเห็นใจเท่านั้น แต่พอถูกตอบแทนด้วยการหักหลัง เขาก็ไม่อาจจะยอมรับมันได้

เขาเป็นคนโง่งมชนิดที่ว่าลายังฉลาดกว่าเลยทีเดียว...

“ตกลงนายมาที่นี่เพื่ออะไร” มีแต่คริสที่ยังอยู่รับหน้า เขารู้ว่าการที่ลูก้าโผล่มา มันไม่ใช่แค่การมานั่งอธิบายที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดแน่นอน

ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดไว้เมื่อลูก้าเอ่ยปาก
“ผมอยากช่วยพวกคุณ”
“ช่วยอะไร”
“พาออกไปจากที่นี่”
“จะทำยังไง”
“ผมมีวิธีของผมครับ พวกคุณแค่อยู่ที่นี่ รอผมก็พอ พ่อจะไม่ทำอะไรคุณจนกว่าเขาจะได้ในสิ่งที่ต้องการ ตอนนี้เขากำลังใช้พวกคุณเป็นตัวประกันในการต่อรองกับท่านผู้นำเมอร์ซีที่ปลุกระดมมวลชนให้ลุกขึ้นมาประท้วงอยู่ จำเป็นต้องใช้คุณฟ็อกซ์ด้วยเพราะกลุ่มแกนนำเป็นคนจากดีออน” ถูกไล่บี้มากๆ ลูก้าก็ตัดบทเอาดื้อๆ

สิ่งที่คาดการณ์ไว้เป็นอย่างที่คริสคิดไว้เสียด้วย พอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไมเดร็กต้องล้มเกม หากแต่การที่ลูก้าบอกว่าจะช่วยพวกเขาออกไปมันไม่น่าเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย หากแต่วิเคราะห์จากเบื้องหลังของลูก้าแล้ว ลูก้ามีความสามารถในการเอาตัวรอดพอตัวเลยทีเดียวถึงมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ ก่อนจะพยักหน้ารับไป

“ฉันจะรอ”
พูดเพียงเท่านั้นก็เรียกรอยยิ้มจากลูก้าได้บางๆ ในขณะที่เจเรมีหันมามองพลันออกปากถาม
“เชื่อใจมันได้หรือไง”
“เรื่องนั้นนายต้องตัดสินใจเองแล้ว”

เจเรมีเม้มปากแน่นทันที

เขาเพิ่งถูกหักหลังมาหมาดๆ จะให้กลับไปเชื่อใจลูก้าอีกมันไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยแม้แต่น้อย หากแต่ลูก้าไม่ได้ร้องขอให้เขาเชื่อใจ นอกจากยิ้มบางๆ เท่านั้น

“ฝากดูแลคุณเมอร์ซีด้วยนะครับคุณฟ็อกซ์” ว่าจบก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะออกไป ก่อนจะชะงักแล้วหันมาทางเจเรมีอีกครั้ง “ถึงผมจะหลอกคุณมาตลอด แต่วินาทีแรกที่ผมได้เห็นคุณตอนตรวจร่างกาย มันเป็นความรู้สึกของผมจริงๆ นะครับ”
ความรู้สึกยินดีที่ได้เจอคนที่ช่วยเหลือเขา... คนที่มองเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งแม้ว่าจะเป็นแค่โอเมก้า

เขาดีใจที่ได้เจอเจเรมีอีกครั้งจริงๆ...

แต่พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว สิ่งที่ควรทำคือการพิสูจน์ให้เห็นมากกว่าว่าเขาพูดจริง

ทว่าในจังหวะที่เขาหันหลังเตรียมจะเดินออกไป เสียงของเจเรมีก็ฉุดให้ต้องหันกลับมาอีกครั้ง

“นายจะมาช่วยฉันทำไมทั้งที่รู้ว่าถ้าถูกจับได้ นายจะไม่รอด ทุกอย่างที่ทำก็เพื่อเอาตัวรอดไม่ใช่หรือไง”
ลูก้ายอมรับว่าเขาทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของตัวเอง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แล้ว ที่เขาทำไปก็เพราะ...
“เพราะผมอยากเห็นรอยยิ้มของคุณอีกครั้งครับคุณเมอร์ซี”

รอยยิ้มแบบจอมวายร้าย รอยยิ้มอ่อนโยน หรือจะรอยยิ้มแบบไหนก็ตามแต่ที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจเรมี ล้วนแล้วแต่อยากเห็นทั้งนั้น

เจเรมีไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไรแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา นอกเสียจากเอ่ยสั้นๆ
“เจเรมี”
“ครับ?”
“ตั้งแต่นี้ไปเรียกฉันว่าเจเรมี” พูดแล้วก็เบนใบหน้าไปทางตรงกันข้าม ปล่อยให้ลูก้าได้ยิ้มกว้าง
“ครับ คุณเจเรมี” จากนั้นก็ออกจากห้องขังไป

บรรยากาศกลับมาเงียบงันอีกครั้ง ตั้งแต่ลูก้าเข้ามา เพิ่งจะมีเมื่อครู่นี้แหละที่คริสไม่ชอบใจเอาเสียเลยถึงขนาดต้องออกปาก
“เมื่อกี้นี้มันอะไร”
“อะไร”
“ที่นายให้เด็กนั่นเรียกว่าเจเรมี”
“ก็แค่ให้รางวัลหมอนั่นก็เท่านั้น ทำไม ไม่พอใจ?” หันมาถามคริสเป็นที่เรียบร้อยในขณะที่คริสขมวดคิ้วย่น

ใช่สิ ไม่พอใจ จู่ๆ ก็ให้เรียกแบบสนิทสนมขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าใคร เขาก็ไม่พอใจอยู่แล้ว

“ฉันหึง” บอกไปตามตรงเลยทีเดียว คนอย่างเจเรมีน่ะไม่รู้เรื่องหรอกถ้าไม่พูดตรงๆ

และนั่นก็ทำให้คริสถูกแหวเข้าให้
“มันใช่เวลามาพูดอย่างนี้หรือเปล่าวะ!” พลันใบหน้าก็ร้อนวูบวาบเมื่อคริสออกท่าทางฮึดฮัด บ่งบอกว่าเขาไม่ได้พูดเล่นเลยแม้แต่น้อย ทำให้เจเรมีต้องพูดออกมาอีกด้วยท่าทางอึกอัก “ฉันไม่ให้หมอนั่นมาเรียกฉันว่าเจมีเหมือนนายหรอกน่า เจมีมันเป็นชื่อที่ให้คนพิเศษเรียก”

เท่านั้นความไม่พอใจของคริสก็ค่อยๆ จางลงไปทันที มีรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏบนใบหน้าคร้ามให้เจเรมีได้สบถใส่อีก
“หน้าสิ่วหน้าขวานยังมาคิดเล็กคิดน้อยอีก สติยังมีอยู่ไหมไอ้เวรคริส”

มันช่วยไม่ได้นี่ในเมื่อเขารู้ความลับของลูก้าแล้ว ทั้งความลับเรื่องแผนการและความรู้สึกของเด็กนั่นที่มีต่อเจเรมี มันทำให้เขาต้องพูดอย่างนั้น

ลูก้าไม่ได้คิดกับเจเรมีแค่ผู้มีพระคุณ ไม่อย่างนั้นคงไม่ละทิ้งโอกาสในการรอดชีวิตของตัวเอง เสี่ยงมาช่วยพวกเขาอย่างนี้หรอกแม้ว่าก่อนหน้าจะคิดทำลายเจเรมีอยู่บ้างก็ตาม

แต่ก็เอาเถอะ เจเรมีไม่รู้อย่างนี้แหละดีแล้ว พลันคริสก็หัวเราะให้กับความบ้าบอของตัวเองเล็กน้อย เอื้อมมือไปกุมมือใหญ่ของคนข้างกายและนั่งเคียงข้างโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำไปเรื่อยๆ
-----------------------------------------
เต็มตอนแล้ววว ลูก้าเผยตัวสักที
หลังจากนี้ไม่อยากให้เครียดกันมาก (ถึงมันควรจะเครียดก็เถอะนะ 555) หน่องเจมีโดนกระหน่ำหนักหน่วงเหลือเกิน แปะบางฉากในตอนพิเศษที่มีเฉพาะในเล่มมาตัดอารมณ์หน่อยแล้วกัน เดี๋ยวน้องจะโดนทีมขุ่นคริสจวกไปมากกว่านี้ ฮา ไปอ่านกันที่นี่นะคะ https://www.facebook.com/NooDangzzz/posts/1240166902705827
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 19-03-2017 16:22:33
ตอนแรกก็คิดว่าลูก้าต้องเป็นลูกของเดร็กแน่ๆ และก็เป็นจริงๆด้วย ไม่รู้ว่าครั้งนี้ลูก้าจะช่วยให้เฮียคริสกับเจมีออกจากที่นี่ได้จริงรึป่าว
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 19-03-2017 16:24:38
หวายยย ใครจะยอมให้เมียเราไปเป็นปั๋วคนอื่นละ ใช่มั้ยคริส 
ยังคงเห็นใจลูก้าอยู่ดี มีพ่อเลวๆแบบนั้น ทำกับลูกในไส้ได้ลง
ลูก้าจะช่วยยังไงไม่รู้ แต่ช่วยแล้วขอให้ลูก้ารอดด้วย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-03-2017 16:46:29
คริสมองออก เพราะคนที่ชอบเหมือนกันมันย่อมมีสัญชาตญาณ

#หวงเมียเถื่อน

เห็นใจลูก้านะ ไม่เคยมีชีวิตเพื่อตัวเองเลย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 19-03-2017 17:10:09
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 19-03-2017 18:37:35
ว้ายย ท้ายผิด เขินจุงงง คนมันอินหลอออ :o8: :katai5:
ลูก้าเห็นงึ๋มๆ งี้ก็นกต่อเหมือนกันนะ ถถถ คริสเจมี่ยังมีมุมให้ฮาอยู่เรื่อย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 19-03-2017 20:22:02
นั้นไง!! ว่าแล้วว่าลูก้าต้องมีอะไรสักอย่าง :katai1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: กบกระชายไทยนิยม ที่ 19-03-2017 22:47:50
ว่าละว่าลูก้าต้องคิดกับเจมีมากกว่าผู้มีพระคุณ
คริสนี่เป็นเอามากกว่าที่คิด
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: kdds ที่ 19-03-2017 22:59:14
เดาถูกเรื่องพ่อลูก้า ...ถึงนางจะทำไปเพราะต้องเอาตัวรอด แต่ก็ like father, like son อำมหิตพอกัน
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: minduen ที่ 21-03-2017 23:26:01
อ่านทันแล้วว กำลังเข้มข้นน อยากให้ขุ่นคริสขึ้นมาเป็นใหญ่อีกครั้ง  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 21-03-2017 23:26:56
Episode 22: หัวใจของฉัน...มันเต้นเพื่อนาย[1]

ใครจะคาดคิดล่ะว่าการออกเดินของคิงอย่างเจอโรมมันจะส่งผลกระทบต่อการเดินหมากของเดร็กครั้งยิ่งใหญ่ หากจะพูดไป มันไม่ใช่แค่การเดินหมากของเดร็กเสียด้วย ต้องบอกว่าเป็นผลกระทบอย่างยิ่งใหญ่ของบรรดากลุ่มคนที่พยายามจะล้มอำนาจของตระกูลเมอร์ซีเลยก็ว่าได้ เจอโรมใช้พลังมวลชนในการขับเคลื่อนอำนาจของตัวเองโดยที่เขาไม่ได้ออกหน้าเลยแม้แต่น้อย หากแต่ใช้กลุ่มอำนาจเก่าของคนที่ยังภักดีต่อตระกูลฟ็อกซ์เป็นแกนนำในการปลุกระดมและใช้แรงกดดันที่พวกชนชั้นผู้นำแห่งมหานครเพิร์ลเป็นแรงขับเคลื่อนให้อาณาเขตการปกครองพิเศษอื่นๆ ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเพื่อทำการปฏิวัติ

จากอาณาเขตหนึ่ง...ลุกลามไปอีกอาณาเขต เมื่อการออกมาประท้วงของประชาชนมีผลต่อความมั่นคงของรัฐบาลที่ไม่ใช่ของตัวเอง อาณาเขตอื่นๆ ก็ทำตามด้วยไม่ต้องการถูกกดขี่อีกต่อไป

ความจริงแล้วที่ประชาชนออกมาแสดงพลังขนาดนี้มันไม่ใช่ฝีมือของเจอโรมหรอก เขาแค่ใช้สมองผสมกับความเจ้าเล่ห์นิดหน่อยเท่านั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันเป็นเพราะผลพวงจากการบริหารงานของรัฐบาลทั้งสิ้น ที่เขาได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ต้องบอกตามตรงว่าเพราะเขาเป็นฝ่ายค้าน ถึงจะไม่ได้บริหารงานอย่างซื่อสัตย์ มีการทุจริตบ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เข้าพวกกับผู้นำอีกสามตระกูลในการกดขี่ชนชั้นอื่นหรือประชาชนที่มาจากอาณาเขตอื่น

เขาไม่ได้ขาวสะอาด...แต่ก็ไม่ได้ดำเสียจนไม่เห็นข้อดี เรียกว่าเป็นคนสีเทาๆ ที่พร้อมจะทำทุกอย่างในทางตรงกันข้ามหากเขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งนั้น

การออกมาประท้วงของประชาชนในแต่ละอาณาเขตโดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นทำให้เกิดการปะทะครั้งใหญ่กับมหานครเพิร์ลและเริ่มลุกลามเข้ามายังภายใน เดร็กซึ่งได้รับคำสั่งให้หาวิธียุติการชุมนุมในฐานะหนึ่งสมาชิกสภาระดับสูงที่สังกัดอยู่ในกระทรวงความมั่นคงถึงกับต้องปั้นหน้าเครียดตลอดวันด้วยคิดวิธีที่ดีกว่าการใช้ความรุนแรงไม่ออก

ทางรัฐไม่สามารถสลายการชุมนุมได้เนื่องจากการใช้ความรุนแรงจะส่งผลให้เกิดการลุกฮือมากกว่าเดิม

เสียมากกว่าเดิมด้วยถ้าหากคิดจะกำจัดต้นตอของเรื่องทั้งหมดอย่างเจอโรม

หากมีการลอบสังหาร ประชาชนจะต้องลุกฮืออีกแน่เพราะต่อให้เจอโรมไม่ได้ออกหน้า แต่พวกแกนนำก็รู้กันดีว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ถ้าเจอโรมที่เป็นทั้งอัลฟ่าและเป็นหนึ่งในผู้นำแห่งมหานครเพิร์ลเป็นอะไรไป รับรองเลยว่าพวกเขาเดือดร้อนกันยกใหญ่แน่นอน

ดังนั้นผลกรรมจึงต้องมาตกที่ตัวประกันอย่างเจเรมีและคริส

สำหรับคริสนั้นไม่เท่าไหร่ เดร็กไม่กล้าแตะต้องอะไรมากด้วยเขามีอิทธิพลเหนือกว่าเจเรมีในตอนนี้ หากเขาเป็นอะไรขึ้นมา ประชาชนก็พร้อมจะต่อสู้เพื่อเขาทันที หากแต่เจเรมีมีแค่เจอโรมคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ เขาจึงไม่รอช้า ส่งนายทหารหลายนายเข้าไปรุมซ้อมโอเมก้าหนุ่ม ถ่ายวิดีโอส่งไปให้ผู้เป็นบิดาเพื่อข่มขู่ให้เขาหยุดแผนการบ้าๆ นี้เสียที

ทว่าคิงอย่างเจอโรมเมื่อเคลื่อนไหวบนเกมกระดานแล้ว เขาไม่ได้เดินแค่คนเดียว ยังมีหมากตัวอื่นๆ ที่ใหญ่รองจากเขาเคลื่อนไหวด้วย การจะหยุดเดินเพื่อเบี้ยตัวเดียวมันไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ถึงจะเป็นห่วงลูกชายแค่ไหน แต่ก็จำต้องอดทนและเดินหน้าต่อ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เขาทำมามันจะสูญเปล่า

แม้จะเจ็บปวด...แต่เขาต้องเสียสละ

เจเรมีก็เช่นกัน...

และรู้ด้วยว่าการที่เดร็กทำอย่างนี้เป็นเพียงการขู่เท่านั้น เขาไม่กล้าทำอะไรเจเรมีมากกว่านี้แน่นอนเพราะถ้าหากเสียเจเรมีไปแล้ว เจอโรมอาจจะทำเรื่องไม่คาดฝันยิ่งกว่าเดิมได้ และเขาก็จะหมดอำนาจต่อรองถ้าหากไม่มีโอเมก้าหนุ่มคนสำคัญอยู่ในมือ

เจเรมีเองก็รู้...เพราะรู้จึงไม่ปริปากตัดพ้อบิดาสักคำ ได้แต่กัดฟันทนการทรมานนั้นจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมและคิงได้ออกเดินอีกครั้ง

คริสที่ไม่ได้โดนทำร้ายร่างกายใดๆ ทำได้ดีเพียงแค่พยายามช่วยเจเรมีทุกครั้งที่อีกฝ่ายถูกทรมาน และปลอบโยนให้กำลังใจคนรักหลังความโหดร้ายนั้นสิ้นสุดลง

วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ร่างแกร่งถูกนายทหารหลายคนทำร้ายจนสะบักสะบอม เจเรมีทรุดฮวบลงไปกับพื้น ใบหน้าบอบช้ำ เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสีม่วงคล้ำและเขียวถูกถ่ายวิดีโอส่งให้บิดาเป็นจดหมายขู่อีกเช่นเคย กว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดก็ใช้เวลาพอสมควร

ทันทีที่ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการหลังจากที่พยายามเข้าไปช่วยเหลือเจเรมีได้ คริสก็รีบประคองอีกฝ่ายให้หนุนนอนบนตัก ลูบไล้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยปื้นแดงอย่างเบามือ

“อดทนไว้นะเจมี อีกไม่นานมันก็จะจบแล้ว”
เจเรมีปรือตามอง วันนี้เขาไม่ได้เลือดแต่ก็โดนทุบตีหนักไม่ใช่น้อย พลันพยักหน้ารับทั้งที่สติเลือนราง

เขาเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น ขืนโดนทำร้ายอย่างนี้ทุกวัน ต่อให้ไม่รุนแรงหรือร่างกายแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องมีอันเป็นไปบ้างล่ะ
ทว่าทั้งคู่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากภาวนาและรอ

รอให้ลูก้าทำตามที่รับปากเอาไว้เท่านั้น...



 
ผ่านไปแล้วหนึ่งอาทิตย์ ลูก้าก็ไม่อาจเริ่มแผนการช่วยเหลือคนทั้งคู่ตามความตั้งใจได้แม้จะรู้ว่าเจเรมีถูกทรมานวันเว้นวันก็ตาม ยอมรับเลยว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำเนินการทุกอย่างให้รอดพ้นสายตาของเดร็ก ถึงจะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แต่เขาก็ถูกจับตามอง

ยกเว้นวันนี้...วันที่เขายอมพลีกายให้กับทหารยามสองคนที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่ทางด้านหน้าของสถานที่พักซอมซ่อ

ไม่เพียงแต่พลีกาย ลูก้ายังมอบความตายให้กับคนทั้งสองเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่โดนติดตาม

เขาก็ไม่อยากฆ่าหรอกแต่มันจำเป็นต้องทำ ครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปเพราะต้องการเอาตัวรอด หากแต่ต้องการช่วยเจเรมีอย่างเดียวเท่านั้น

สองเท้ารีบพาตัวเองออกมาให้พ้นจากบริเวณพื้นที่ของเดร็ก ทำทุกวิถีทางเพื่อออกจากมหานครเพิร์ลมุ่งหน้าสู่อาณาเขตปกครองพิเศษดีออน

ในเมื่อเงินไม่มีติดตัว ความเป็นโอเมก้าของเขานี่แหละที่เป็นค่าผ่านทางจนพาเขามาถึงยังที่หมาย...

ลูก้าไม่อยากคิดว่าเขาต้องผ่านมือใครมาบ้าง แค่มาหยุดอยู่ตรงหน้า ‘บ้าน’ ที่ได้ยินข่าวลือมาว่าเป็นแหล่งกบดานของบรรดาแกนนำชุมนุมทั้งหมดได้ เขาก็คิดว่ามันคุ้มค่ามากพอแล้ว

คนแปลกหน้าที่โผล่มาโดยไม่ได้รับอนุญาตทำเอาบรรดาชายฉกรรจ์ที่เฝ้ายามอยู่ตื่นตัว ชายร่างสูงหลายคนเข้ามาขวางลูก้าไว้ทันที ก่อนจะกระชากผ้าคลุมศีรษะออกเมื่อเห็นว่าแขกไม่ได้รับเชิญปิดหน้าตาเสียมิดชิดจนมีพิรุธ
“โอเมก้า... เป็นใคร มาทำอะไรที่นี่” ได้กลิ่นประจำตัวของอีกฝ่ายก็เอ่ยถามแต่ไม่ถามว่าใครเป็นเจ้าของเพราะในกายของลูก้านั้นมีกลิ่นของอัลฟ่าหลายคนปะปนอยู่จนจำแนกไม่ได้ว่าใครเป็นใครบ้าง

ลูก้ามองหน้าคนถามด้วยสายตาหวาดๆ ริมฝีปากเผยออ้าตอบเสียงเบา “ผม...ผมชื่อลูก้า มาขอพบท่านผู้นำเมอร์ซีครับ”

ชื่อของเด็กหนุ่มโอเมก้าไม่ได้สำคัญเท่ากับชื่อของคนที่เขาอยากจะพบ บรรดาชายฉกรรจ์มองหน้ากันไปมาเล็กน้อย พลันปฏิเสธ
“ที่นี่ไม่มีท่านผู้นำอะไรอย่างที่นายว่า กลับไปซะ” ไล่อย่างไม่ไยดีด้วย

แต่ลูก้ารู้ว่าคนที่เขาต้องการพบอยู่ที่นี่จึงร้องขอออกไปอีก
“ขอร้องล่ะครับ ให้ผมได้พบเขา มีเรื่องสำคัญมากจะคุยกับเขาจริงๆ”
“กลับไปแล้วไอ้หนู ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่นายจะมาวิ่งเล่น” อีกฝ่ายไม่ไยดีต่อคำขอของเขาเลยแม้แต่น้อย

ลูก้าเห็นท่าทางเฉยเมย ซ้ำยังถูกกีดกันไม่ให้เข้าใกล้บ้านหลังนั้นก็ร้องโวยวาย
“ได้โปรดเถอะครับ ผมมีเรื่องสำคัญจะมาบอกเขาจริงๆ ได้โปรดให้ผมได้พบท่านผู้นำเมอร์ซีด้วย!”
ความดื้อแพ่งทำให้คนเป็นหัวหน้ายามขมวดคิ้วยู่ ตวาดใส่ทันใด
“บอกว่าไม่มีคนที่นายอยากเจออยู่ไง ต้องให้เจ็บตัวก่อนใช่ไหมถึงยอมไสหัวไปง่ายๆ!”

ไม่ใช่ว่าไม่กลัว ลูก้ากลัวคำขู่นั้นมากเลยทีเดียว อัลฟ่าตั้งหลายคน ซ้ำแต่ละคนก็ตัวใหญ่ยักษ์กันทั้งนั้น หากโดนทำอะไรขึ้นมา มีหวังเขาไม่รอดแน่

แต่เจเรมีสำคัญกว่า...

แค่นี้ก็เจ็บตัวมามากพอแล้ว จะเจ็บอีกหน่อยมันจะเป็นไรไป!

คิดถึงใบหน้าของคนที่เขาพยายามช่วย ความกล้าก็ผุดพรายขึ้นมาทีละน้อย พลันตะโกนขึ้นมาอีก
“ผมต้องคุยกับเขา ยังไงก็ต้องคุย! ท่านผู้นำ! ท่านผู้นำครับ! ผมชื่อลูก้า มีเรื่องจะมาบอก!”
อธิบายกับอัลฟ่าพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ สู้ร้องบอกคนที่อยู่ข้างในบ้านเลยดีกว่า

เสียงโหวกเหวกของลูก้าทำให้อัลฟ่าที่รับหน้าที่ยามไม่พอใจ คว้าร่างเล็กเหวี่ยงลงพื้นเต็มแรง ลูก้าล้มกลิ้งไปตามพื้น เงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นว่าตนถูกอัลฟ่ายืนค้ำศีรษะรายล้อมอยู่รอบตัวแล้ว
“สงสัยคงจะพูดกันไม่รู้เรื่องซะแล้วมั้ง บอกแล้วไงว่าไม่มีคนที่นายต้องการเจออยู่ที่นี่”
“ผมรู้ว่าเขาอยู่นี่ ให้ผมได้พบเขาเถอะ มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เป็นเรื่องของคุณเจเรมี ลูกชายของเขาน่ะรู้จักหรือเปล่า!” แผด
เสียงขึ้นมาอีกในขณะที่อัลฟ่าพวกนั้นดัดนิ้วรอเตรียมจัดการเป็นที่เรียบร้อย
“สงสัยต้องโดนจับเอาไปทิ้งซะแล้ว ไอ้หนูน่ารำคาญ”

ลูก้าใจหายวาบ พวกคนตรงหน้าไม่ได้ฟังเขาเลย ถ้าหากเขาถูกลากออกจากที่ตรงนี้ไป ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดมันจะเสียเปล่าเลยทีเดียว

หากแต่พระเจ้าก็ไม่ได้ใจร้ายกับเขามากเกินไปนัก ดลบันดาลให้คนในบ้านได้ยินเสียงร้องของเขาเมื่อครู่ก่อนที่ประตูจะเปิดผางออกมา ทุกชีวิตหันไปมองยังต้นเสียงทันที

คนที่ออกมา...ไม่ใช่เจอโรม แต่เป็นอัลฟ่าหนุ่มท่าทางมีสกุลรุณชาติคนหนึ่ง

...อัลเบิร์ต

เพียงแวบแรกที่เห็นหน้า ลูก้าก็จำได้ดีว่าคนคนนั้นเป็นคนเดียวกับที่เห็นตอนได้เจอเจเรมีครั้งแรก

“คุณ...” ไม่รู้จักชื่อจึงได้แต่เรียกแค่นั้น
คิ้วเรียวของอีกฝ่ายย่นเข้าหากัน ริมฝีปากขยับเล็กน้อย
“นาย...โอเมก้าคนนั้น...” อัลเบิร์ตเองก็จำลูก้าได้เช่นกัน
คนที่เพื่อนเขาช่วยทั้งคนนี่ จะจำไม่ได้ได้อย่างไร

การเจอกับคนตรหน้าสร้างความยินดีให้ลูก้าเป็นอย่างมาก สบโอกาส เขาก็ไม่รอช้า รีบส่งเสียงขึ้นมาทันที
“ผมมีเรื่องจะมาบอก เรื่องของคุณเจเรมี ผมรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ได้โปรดพาผมไปพบท่านผู้นำเมอร์ซีที!”
“ไอ้เด็กนี่ บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าที่นี่ไม่มีคนที่นายตาม...” อัลฟ่าคนเดิมสวนขึ้นทว่าก็ต้องหยุดเมื่ออัลเบิร์ตยกมือขึ้นห้าม
“ให้เขาเข้ามา” แล้วก็ออกปาก สร้างความประหลาดใจให้กับพวกอัลฟ่าคนอื่นๆ เป็นอย่างมาก พอเห็นทุกอย่างยังนิ่งสงบก็เสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย “มัวมองอะไรอยู่ล่ะ ให้เขาเข้ามาเร็ว”

เท่านั้นลูก้าถึงได้รับการเปิดทาง อัลเบิร์ตรีบมาคว้าตัวลูก้าเอาไว้ก่อนจะเป็นฝ่ายลากเข้าบ้านอย่างรวดเร็วโดยไม่ซักถามอะไรเลยแม้แต่น้อย



 
ผ่านเข้ามาอาทิตย์ที่สองแล้วหลังจากจับเจเรมีและคริสเป็นตัวประกัน สถานการณ์การชุมนุมก็ไม่ได้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย รังแต่จะแย่ลงไปเมื่อผู้นำแต่ละตระกูลถูกเปิดโปงในข้อหาทุจริตต่างๆ และเริ่มลามมายังบรรดาสมาชิกสภาระดับสูงหลายคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทำให้ความเกลียดชังจากการกดขี่ทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก

รุนแรงหรือไม่ดูได้จากการที่ชนชั้นเบต้าแห่งมหานครเพิร์ลซึ่งเป็นลูกไล่ของชนชั้นอัลฟ่ามาโดยตลอดลุกขึ้นมาเข้าร่วมการชุมนุมด้วยเพิ่งตระหนักได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น พวกตนโดนเอาเปรียบมาโดยตลอดไม่ต่างจากโอเมก้าเลยแม้แต่น้อย ถึงสถานภาพจะไม่ใช่ ทว่าก็ไม่ได้มีค่าอะไรไปมากกว่าการเป็นกลไกขับเคลื่อนให้พวกอัลฟ่าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเลย ภาษีอากรต่างๆ ที่พวกเขาเสียไปล้วนแล้วไม่ได้ตอบแทนมายังพวกเขาในรูปแบบรัฐสวัสดิการ หากแต่เข้ากระเป๋าของพวกชนชั้นปกครองอย่างอัลฟ่าจนหมดสิ้น

ที่เห็นว่ามีอยู่ล้วนเป็นฉากหน้าเท่านั้น รัฐไม่ได้ดูแลอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อเลยแม้แต่น้อย!

เมื่อพวกเบต้าตระหนักถึงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ พลังมวลชนเพิ่มขึ้น พวกที่มีหน้าที่ควบคุมสถานการณ์จึงเกิดปัญหา เดร็กกลับมาบ้านหลังจากการประชุมหารือในการประคองสถานการณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทุกวัน แรงกดดันจากทั้งทางฝั่งตัวเองและฝั่งปรปักษ์แทบจะทำให้เส้นเลือดในสมองเขาแตกทุกวินาที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...สงครามประสาทระหว่างเขากับเจอโรม

การส่งวิดีโอที่มีภาพการซ้อมลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านผู้นำที่ฝักใฝ่ฝ่ายค้านคนนั้นใช้ไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย เจอโรมไม่ติดกับง่ายๆ เดร็กรู้สึกไม่ต่างอะไรจากคนโง่ที่ใช้แผนชั่วๆ และตื้นเขินเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้มันไม่ใช่สงครามประสาทอย่างที่เขาเคยคุมเกมแล้ว มันเป็นสงครามการเมืองที่ฝ่ายใดมีแผนการที่มีชั้นเชิงกว่า ฝ่ายนั้นจะเป็นผู้ชนะ เจอโรมไม่ได้เดินหมากคนเดียวอีกต่อไป รอบข้างเขามีกูรูหลายคนที่พร้อมจะให้คำแนะนำในทุกย่างก้าวที่เดิน ในขณะที่เดร็กเพิ่งสำเหนียกตัวเองในตอนนี้ว่าเขาไม่ใช่คิงบนกระดานทางฝั่งนี้ หากแต่เป็นหมากตัวหนึ่งที่ถูกคิงที่แท้จริงอย่างผู้นำทั้งสามตระกูลใช้รับหน้าเท่านั้น

มองไปทางไหนก็ยังไม่เห็นหนทางที่จะชนะได้เลย ไปซ้ายก็อาจจะพลาด ไปขวาก็อาจถูกกำจัดออกจากเกมได้ ที่ทำได้ในตอนนี้คือประวิงเวลาโดยถ่วงเวลาคิดไตร่ตรองในการเดินให้นานขึ้นเท่านั้น

ในเมื่อเจเรมีใช้ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องใช้คริส...

หากใช้อัลฟ่าคนนี้เป็นตัวต่อรองน่าจะได้ผลกว่า เขาคงต้องเปลี่ยนเป้าหมายไปยังพวกแกนนำมากกว่าเจอโรมแล้ว ทว่าในระหว่างที่ครุ่นคิดไม่ตกว่าจะจัดการอย่างไรกับคริสดีที่ไม่ก่อให้เกิดการตอบสนองที่รุนแรง ประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดผางเข้ามา สายตาดุดันมองไปยังทหารนายหนึ่งที่โผล่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตทันที

ทหารนายนั้นรีบทำความเคารพอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดละล่ำละลัก
“ขออภัยที่ขัดจังหวะครับ ผมมีเรื่องด่วนจะรายงานให้ท่านทราบ”

เดร็กใช้นิ้วคลึงขมับทันใด

คงจะหนีไม่พ้นการตีโพยตีพายของพวกท่านผู้นำหรือไม่ก็สมาชิกสภาล่ะสินะ...

ช่วงนี้เขาได้ฟังประโยคที่ตบท้ายด้วยคำว่า ‘เรื่องด่วน’ บ่อยเหลือเกิน แต่ก็ไม่เคยมีอะไรมากไปว่าการตื่นตูมของคนพวกนั้น ทว่าก็โบกมือเล็กน้อยเป็นเชิงให้นายทหารคนนั้นได้พูด

“มีอะไรก็ว่ามา”
“มีการบุกแหกคุกช่วยนักโทษครับ”
พออีกฝ่ายบอก ท่าทางเหนื่อยหน่ายของเดร็กก็แทบจะมลายหายไป กลายเป็นความตระหนกฉับพลัน
“หรือว่า...”
“ตัวประกันสองคนนั้นถูกพวกกบฏพาตัวไปแล้วครับ”
เดร็กทุบกำปั้นลงบนโต๊ะเต็มแรงทันทีที่ได้ยิน

ไม่... สิ่งที่เขามีไว้ใช้ต่อรองมันต้องไม่ถูกช่วงชิงไปอย่างนั้น!

เขามั่นใจว่าซ่อนสองคนนั้นไว้ดีแล้ว ใช้ทัณฑสถานร้างที่อยู่ห่างออกไปจากมหานครเพิร์ลและไม่ได้ใช้มานานร่วมทศวรรษเป็นที่กักขังเพราะไม่ต้องการให้เป็นที่สงสัย แล้วทำไมถึง...

หรือว่าจะมีหนอนบ่อนไส้?

จู่ๆ ก็ฉุกคิดขึ้นมา สายตาเหลือบมองไปยังนายทหารคนสนิทที่ยืนฟังมาตั้งแต่เมื่อครู่คล้ายกับว่าคิดเห็นอย่างเดียวกัน ก่อนที่นายทหารคนนั้นจะเปิดปาก

“ท่านคิดว่าพวกนั้นรู้ได้ยังไงครับ”
เงียบนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ไม่นานใบหน้าคร้ามก็เหี้ยมเกรียมขึ้นมา ส่งเสียงกราดเกรี้ยวอย่างสุดจะทน
“ลูก้า...ไอ้เด็กเหลือขอนั่น!”

เขาโดนลูกชังตลบหลังเข้าให้แล้ว!
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.21[100%][19/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 21-03-2017 23:29:51
Episode 22: หัวใจของฉัน...มันเต้นเพื่อนาย[2]

เจเรมีจำได้ไม่ดีนักว่าเขาสลบไปตอนไหน ภาพที่เห็นครั้งสุดท้ายคือภาพของทหารที่ประจำการเฝ้ายามอยู่หน้าห้องขังถูกยิงทิ้งย่างไร้ปรานีและภาพของชายฉกรรจ์โพกผ้าอำพรางใบหน้ามากกว่าสิบชีวิตบุกเข้ามาช่วยเขากับคริสอย่างอุกอาจ

ไม่สิ...ไม่ใช่แค่สิบ มากกว่านั้น อาจจะยี่สิบหรือสามสิบ

กี่คนเขาก็ไม่อาจจะรู้ได้ ร่างกายที่บอบช้ำและพร้อมจะหมดสติทุกเมื่อไม่ได้ทำให้ความจำเป็นปกติสักเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังดีที่ประคองสติมาถึงยังแหล่งกบดานซึ่งเป็นที่ปลอดภัยจากคนของรัฐได้

และมันก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาได้เจอหน้าบิดา...

เจเรมีบรรยายความรู้สึกของตัวเองไม่ถูกเลย เขารู้อย่างเดียวว่าความรู้สึกทั้งหมดมันจุกแน่นอยู่ในอกและลำคอยามเจอหน้าผู้ให้กำเนิด คำพูดประโยคเดียวที่หลุดออกจากปากชายหนุ่มมีเพียงคำว่า ‘ขอโทษ’ ขณะที่เจอโรมไม่พูดอะไร ได้แต่สวมกอดลูกชายแน่นคล้ายกับว่าความภูเขาลูกใหญ่ที่เขาแบกรับมานานถูกวางลงแล้ว

ในที่สุดเจเรมีก็ได้ขอโทษเสียที...

หลังจากนั้นโอเมก้าหนุ่มก็ผล็อยหลับไปด้วยฤทธิ์ยาแก้ปวดเมื่อได้รับการตรวจร่างกาย เขาค่อนข้างอ่อนเพลียมากเลยทีเดียว ทำให้หลับลึกจนดูเหมือนกับว่าจะไม่ตื่นมาอีกอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งมันทำให้คริสไม่สบายใจเลยแม้แต่น้อย หากแต่ทำได้ดีเพียงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงและรอจนกว่าเจเรมีจะตื่นขึ้นมาอีกเท่านั้น

เข้าวันที่สองแล้ว เจเรมีก็ยังหลับสนิทอยู่ คริสเอื้อมมือไปลูบซีกแก้มที่บวมช้ำจากการถูกทำร้ายอย่างเบามือ ใจอยากจะปลุกให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมาเสียให้รู้แล้วรู้รอด ทว่าก็อดใจไว้ ปล่อยให้เจเรมีได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ปากกระซิบส่งเสียงข้างๆ
“ตื่นขึ้นมาคุยกับฉันเร็วๆ นะเจมี ฉันมีเรื่องจะบอกกับนาย”

เสียงนั้นดังเข้าไปในโสตประสาทของโอเมก้าหนุ่มเต็มๆ เขารับรู้ทุกถ้อยคำ ความจริงรู้สึกตัวตั้งแต่ก่อนที่คริสจะสัมผัสใบหน้าเขาแล้วเพียงแต่ยังงัวเงียจึงไม่ยอมลืมตาตื่นเท่านั้น ยิ่งได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็แทบอยากจะลืมตาโพลงมาจ๊ะเอ๋ให้คริสตกใจเล่นทันควัน ทว่าก็ไม่ได้ทำอย่างใจคิดเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดเสียก่อน

“คุณผู้ชาย...”
เสียงของคนสนิทตระกูลฟ็อกซ์ คนเดียวกับที่เจอโรมไปขอความช่วยเหลือ
คริสหันไปเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไร ก่อนที่คนอาวุโสกว่าจะเอ่ยขึ้น
“ขอคุยเป็นการส่วนตัวสักครู่ได้ไหมครับ”

คนถูกถามพยักหน้าตอบรับ พอคนอาวุโสออกไปถึงได้โน้มหน้ามากระซิบกับเจเรมีอีกครั้ง “เดี๋ยวฉันกลับมา” พลันประทับจูบลงบนหน้าผากกว้าง ลุกออกไปนอกห้องตามที่รับปาก

เสียงประตูปิดสนิทดังแว่วมาให้ได้ยิน ตอนนั้นเองที่คนแกล้งหลับเปิดเปลือกตา มือหนาลูบหน้าผากบริเวณที่ถูกจูบเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวขึ้นนั่ง

ไอ้เวรคริส...เล่นทีเผลอตลอด

ก่นด่าอีกฝ่ายในใจอย่างนั้นหากแต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นอนเล่นอยู่บนเตียงอีกหน่อย ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นมาด้วยเบื่อหน่ายที่จะรออัลฟ่าหนุ่มกลับมาเต็มทน ตั้งใจจะไปหาเขาด้วยตัวเองเสียอย่างนั้น

ทว่าเมื่อเดินไปถึงยังห้องโถงที่มีเครืออำนาจเก่าของอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนกับว่าที่ผู้นำคนใหม่นั่งหารือกันอยู่ จเรมีก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยดังลอดออกมาจากห้องนั้น

“พวกเราต้องการให้คุณผู้ชายกลับมาสานต่อปณิธานของท่านผู้นำฟ็อกซ์ ถึงผมจะรู้ว่าคุณผู้ชายไม่ชอบเรื่องยุ่งยากและไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองไม่ว่ากรณีใดๆ แต่ยังไงประชาชนชาวดีออนก็ต้องมีผู้นำ ถือซะว่าเห็นแก่ที่ผมทำงานเคียงข้างพ่อของคุณมาตั้งแต่คุณยังเล็ก รับข้อเสนอของเราเถอะครับ”

คำพูดนั้นทำให้เจเรมีนิ่งคิดไป

แสดงว่าก่อนหน้านั้นคริสเคยปฏิเสธข้อเสนอนี้...

ซึ่งก็จริง ก่อนที่อาณาเขตปกครองพิเศษดีออนจะถูกควบคุม คริสเคยถูกขอร้องให้รับหน้าที่สานต่อปณิธานของผู้เป็นบิดาด้วยบรรดาคนสนิทตั้งใจว่าถ้าหากท่านผู้นำฟ็อกซ์เป็นอะไรไป เขาจะได้เข้ามารับตำแหน่งแทนที่ได้แม้ว่าเขาจะมีพี่ชายอีกหลายคนรับหน้าที่สืบทอดตำแหน่งนี้อยู่แล้วก็ตาม แต่เขาก็ถูกทาบทามด้วยเพราะเกรงว่าถ้าคนอื่นๆ มีอันเป็นไป ไม่ว่าอย่างไรก็มีคนสืบทอด
หากแต่ครั้งนั้นเขายังเยาว์วัยและโง่เขลา ความรักสันโดษทำให้ไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากและบิดาของเขาก็รู้เรื่องนี้ดี มันจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากลายมาเป็นตัวประกัน มันไม่ใช่แค่การรักษาชีวิตลูกชายคนเล็ก แต่ยังเป็นการปลอดปล่อยเขาจากภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ด้วย

ทว่า...สุดท้ายแล้วมันก็วกกลับมา คริสไม่อาจหนีภาระนี้ได้พ้นเลย และในตอนนี้เขาก็ไม่ใช่ชายหนุ่มอายุน้อยที่คิดถึงแต่ตัวเองอีกต่อไปแล้ว เมื่อได้ยินคำขอร้องอย่างนั้น เขาก็ตกปากรับคำโดยไม่คิดไตร่ตรองอะไรให้เสียเวลา

“ถ้าพวกคุณเห็นว่าเป็นเรื่องดี ผมก็ยินดีจะรับข้อเสนอนั้นไว้ครับ ผมเองก็อยากจะปกป้องประชาชนดีออนเช่นกัน นอกเหนือจากนั้น...ผมก็มีคนที่ต้องปกป้อง”

บรรดาผู้อาวุโสยิ้มรับอย่างโล่งใจที่ชายหนุ่มตอบรับแต่โดยดี ไม่สนใจเท่าไหร่นักว่านอกจากประชาชนชาวดีออนแล้ว คนที่เขาอยากปกป้องคือใคร แค่รู้ว่าจะมีผู้นำคนใหม่มาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและเป็นแรงขับเคลื่อน แค่นั้นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากแล้ว จะมีก็แต่ชายหนุ่มที่อยู่หลังประตูเท่านั้นที่รู้สึกประหลาดหลังได้ยินคำพูดนั้น

คริสมีคนที่ต้องปกป้องนอกจากประชาชนชาวดีออน... หมายถึงเจเรมีอย่างแน่นอน เขาเชื่อว่าไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเพราะคริสมักย้ำเสมอว่าเขาคิดอย่างไร คราวนี้มันไม่ใช่แค่การปกป้องในเกมนรกนั่นแล้ว แต่เป็นสนามของทางการเมือง

ความแน่วแน่ยากเอ่ยปากพูดประโยคนั้นและท่าทางที่สง่าผ่าเผย มันทำให้เจเรมีอดคิดไม่ได้เลยว่า...คริสน่ะเจ้าชายชัดๆ!

ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นกระหน่ำรัวและเร็ว เขายกมือขึ้นทาบหน้าอกเพื่อบังคับให้มันสงบลง ก่อนเดินจากมาก่อนที่มันจะดังจนคนในห้องโถงได้ยิน ขณะที่บทสนทนาของคริสดำเนินต่อไป

คริสที่ในวินาทีนี้ไม่ใช่ตัวประกัน แต่เป็นผู้นำของชาวเขตดีออน...



 
หลังจากตกปากรับคำไปวันนั้น คริสก็แทบจะไม่มีเวลาว่างอีกเลยด้วยต้องหารือกับบรรดาคนใกล้ชนิดและเจอโรมเพื่อวางแผนรับมือและจู่โจมฝั่งปรปักษ์ เรียกได้ว่าอยู่ใต้หลังคาเดียวกับเจเรมีแท้ๆ แต่เจอหน้านับครั้งกันได้เลย ซ้ำทุกครั้งที่เจอหน้าก็ไม่ได้คุยอะไรกันนอกจากส่งยิ้มให้เท่านั้น

แน่นอนว่าเป็นคริสคนเดียวที่ยิ้มให้ ส่วนเจเรมีก็ได้แต่มองแล้วหันหนี ทำท่าคล้ายกับว่าไม่พอใจโดยที่คริสไม่รู้ตัวเลยว่าทุกครั้งที่เขามองมายังเจเรมี สายตาคู่นั้นมันทำให้ใบหน้าและร่างกายร้อนวูบวาบ อีกทั้งยังทำให้ใจเต้นแรง

เป็นอาการแปลกประหลาดที่ดูเหมือนจะทวีมากขึ้นทุกวันจนเจเรมีไม่รู้เลยว่าเขาควรจัดการอย่างไรกับอาการนี้ดี มันเป็นอาการที่เรียกว่า...ตกหลุมรัก

เขากำลังตกหลุมรักคริส...

ก่อนหน้าก็พอจะรู้ตัวมาอยู่บ้างว่ารู้สึกพิเศษกับผู้ชายคนนี้ แต่ไม่ยักจะคิดว่ามันจะรุนแรงถึงเพียงนี้

การแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยของเจเรมีทำให้คริสอาศัยเวลาที่เขาว่างก่อนเข้านอนลากเจเรมีที่ร่วมมื้ออาหารเย็นกันเสร็จไปตามทางเดิน จับแยกออกจากอัลเบิร์ตที่เดินเคียงคู่ไปกับเพื่อนสนิทตรงไปยังห้องนอนโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เจเรมีก็อยากจะโวยวายเช่นกันที่ถูกทำอย่างนี้ ทว่าก็ได้แต่เงียบด้วยเขาไม่ต้องการให้เป็นที่เอิกเริก พูดง่ายๆ คือไม่ต้องการให้ใครรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับคริสสักเท่าไหร่นัก แต่หนีไม่พ้นอัลเบิร์ตหรอก จู่ๆ เห็นเพื่อนถูกลากไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างนี้ เขาก็เดินตามฉับๆ มาจนถึงหน้าห้องของคริส ปากถามไปตลอดทาง

“คุณคิดจะทำอะไรน่ะคุณฟ็อกซ์”
และก็ไม่เคยได้คำตอบจากคริสแม้จะถามจนริมฝีปากแทบชาก็ตาม มายืนมองโดยไม่มีปากเสียงใดๆ ก็ตอนที่คริสหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องนอนตัวเอง หันมาถามเจเรมีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“จะเลิกหนีหน้าฉันได้หรือยัง”
“ใครหนีหน้านาย” เจเรมีถามเสียงขุ่นให้คริสได้หัวเราะน้อยๆ
“นายไง หนีทำไมหืม ทำตัวเย็นชาอย่างนี้มีอะไรหรือเปล่า หรือจะโกรธที่ฉันไม่มีเวลาให้?”

จู่ๆ น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงกะทันหัน เจเรมีอึกอักไปทันที เขาอยากปฏิเสธว่าไม่ใช่ แต่ที่แสร้งทำเฉยเป็นเพราะเขาไม่อยากให้คริสรู้ต่างหากว่ารู้สึกอย่างไร ทว่าพอหันไปเห็นอัลเบิร์ตที่ยืนมองอย่างสงสัยอยู่ก็กระแอมไอสองสามที ทำทีเป็นปกติ
“ฉันจะต้องโกรธนายด้วยเรื่องนั้นทำไม พูดบ้าๆ”

คริสหัวเราะอีกที ดูก็รู้ว่าเจเรมีกำลังเฉไฉอยู่เพราะอัลเบิร์ตอยู่ตรงนี้ แต่เอาเถอะ เรื่องท่าทางของเจเรมีนั่นไม่ได้สำคัญเลยถ้าเทียบกับสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้
“ถ้าไม่ได้โกรธก็ดีเพราะฉันจะได้ไม่เสียเวลาตอนบอกความลับนาย”
“ความลับ...?” เจเรมีย่นคิ้วเล็กน้อย ให้คริสได้กระซิบเสียงแผ่ว
“จำได้ไหมที่ฉันบอกตอนเราอยู่บนเกาะนั่นว่าถ้าเรารอด ฉันจะบอกความลับ”

เจเรมีคลายหัวคิ้ว พยักหน้ารับ การตอบรับนั้นทำให้คริสยกยิ้มขึ้นสูงกว่าเดิม ก่อนที่จะถือวิสาสะคว้าตัวเจเรมีลากเข้ามาในห้องนอนของตัวเองโดยไม่สนว่าอัลเบิร์ตจะยืนหัวโด่อยู่และเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่อย่างใด

อัลเบิร์ตก็อยากจะร้องเรียกเพื่อนตัวเองอยู่หรอก อยากถามว่าภาพที่เห็นตรงหน้ามันคือเรื่องบ้าอะไรกันแน่ แต่เห็นอาการคล้อยตามโดยไม่ขัดขืนของเจเรมีแล้วก็ชะงักไว้

ปกติแล้วควรจะต้องร้องโวยวาย หรือไม่งั้นก็ต้องซัดคริสหน้าหงายไปแล้วสิ แล้วทำไมถึง...

ถามทั้งที่รู้ กลิ่นของอัลฟ่าหนุ่มจากอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนนั้นฉุนกึ้กในกายของเพื่อนสนิทเขาอย่างกับอะไรดี ไม่เพียงแค่กลิ่นของคริสในตัวเจเรมี กลิ่นของเจเรมีในตัวของคริสก็ชัดเจนเช่นกัน เขาสังเกตมาตั้งแต่วันแรกที่เจเรมีกับคริสมาที่นี่แล้ว เพียงแต่แปลกใจเท่านั้นแหละที่สุดท้ายแล้วลงเอยอย่างนี้

อาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ทั้งคู่ต้องเดินเคียงข้างกัน...

แต่จะอะไรมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา ทำท่าทางอึกอักคล้ายจะเรียกเจเรมีแต่ก็ไม่เรียกในตอนแรก แล้วก็พ่นลมหายใจยาวออกมา ยิ้มให้กับประตูบานใหญ่ที่ถูกปิดสนิทและเดินจากไปทางอื่นแทน




 
เมื่อพ้นสายตาของคนนอกมาได้ คริสก็จับเจเรมีหันหลังชนกับผนัง ประทับจูบลงบนริมฝีปากนุ่มอย่างไม่อาจอดใจได้ไหว เจเรมีไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เผยอปากตอบรับการจูบนั้นอย่างโหยหา สองมือตวัดโอบรอบลำคอแกร่งให้อัลฟ่าหนุ่มได้แนบชิดขึ้นกว่าเดิม

แม้จะอยู่ใต้หลังคาเดียวกัน แต่ก็ไม่สามารถทำให้ทั้งคู่หยุดคิดถึงกันและกันได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ไม่ว่าจะคิดถึงใบหน้าหรือสัมผัสทางร่างกายก็ล้วนแล้วแต่คิดถึงทั้งนั้น

คิดถึงทุกอย่างที่เป็นของอีกฝ่ายทุกวินาทีที่หายใจ...

ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัด ผลัดกันตักตวงความหอมหวานของกันและกันเป็นพัลวันจนภายในกายเริ่มร้อนผะผ่าวและทุกอย่างมันเริ่มเลยเถิดไปนอกเหนือจากการจูบเมื่อเจเรมีเริ่มดึงทึ้งเสื้อผ้าของคนตรงหน้า คริสรีบคว้ามือของคนรักไว้ก่อนที่ตัวเองจะถูกจับเปลื้องผ้า พลันผละจูบออกมาอย่างอ้อยอิ่ง เปลี่ยนมาเป็นไล้ริมฝีปากที่ซีกแก้มทั้งสองข้างและปลายจมูกอย่างแผ่วเบาในขณะที่เจเรมีทำหน้าขัดใจ

“หยุดก่อนที่ฉันจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ดีไหม” กระซิบถามอย่างขบขันที่จู่ๆ การบอกความลับก็กลายเป็นการกอดจูบกันอีรุงตุงนังอย่างนี้

เจเรมีเม้มริมฝีปาก ฉุกคิดได้ในตอนนี้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของคริสที่ทำให้เขาถูกลากเข้ามาในห้องนี้เป็นเพราะอะไร พลันคลายหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันออก

“ถ้านายไม่เริ่ม แล้วฉันจะเริ่มหรือไง”
โดนย้อนกลับเต็มๆ อย่างนี้ คริสก็ได้แต่หัวเราะแก้เขินพลางยกมือขึ้นลูบต้นคอตัวเอง
“บรรยากาศมันพาไปน่ะ”
เห็นท่าทางเขินอายชนิดไร้มาดของคริสแล้ว เจเรมีก็หลุดขำออกมาเหมือนกัน ดีที่กลับเข้าเรื่องได้
“แล้วตกลงนายจะบอกได้หรือยัง ไอ้ความลับอะไรนั่นน่ะ”

คริสกระแอมสองสามที สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดพลันพยักหน้า

“จะบอกแล้ว ความจริงฉันอยากจะบอกนายตั้งแต่อยู่บนเกาะนั่นแล้ว”
เจเรมีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกว่ารอฟังเต็มที่ ก่อนที่คริสจะเปิดปากอีกครั้ง
“รู้ใช่ไหมว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย”
“รู้สึกยังไง” พอจะเดาได้อยู่แหละแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไปงั้น

คริสว่าอยู่แล้วว่าเจเรมีจะต้องมาอีหรอบนี้ แววตาพราวระยับเชียว แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาไปก็เท่านั้น เขารู้ทันหรอกว่าเจเรมีอยากให้เขาพูด แต่เขาก็ตั้งใจจะบอกอยู่แล้ว ก่อนจะคว้ามือข้างหนึ่งของเจเรมีมาวางไว้บนหน้าอกข้างซ้าย กระซิบถามเสียงพร่า
“รู้สึกไหม”
“อะไร”
“การเต้นของหัวใจ...รู้สึกไหม” กดฝ่ามือของอีกฝ่ายให้แนบชิดกับแผ่นอกมากขึ้นไปอีก

ทำไมจะไม่รู้สึกล่ะ แรงสั่นไหวภายใต้หน้าอกนั่นแรงเสียอย่างกับกลัวว่าคนตรงหน้าจะรับรู้ไม่ได้อย่างนั้นน่ะ

“รู้สึกหรือยัง” คริสถามขึ้นมาอีกแล้ว
คราวนี้เจเรมีพยักหน้า ก่อนที่จะใจเต้นแรงขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินเสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง
“ต่อจากนี้หัวใจของฉัน...มันจะเต้นเพื่อนาย”

ความร้อนแล่นพล่านขึ้นมายังใบหน้าของเจเรมีทันที แม้จะแสร้งทำหน้าตาเคร่งเครียดแต่ซีกแก้มทั้งสองข้างก็แดงเรื่อขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ตื่นเต้น...รู้สึกดี...เลือดสูบฉีดดีเลยทีเดียว

คริสหัวเราะให้กับท่าทางนั้น ยิ่งเห็นเจเรมีกัดริมฝีปาก สบตาเขาตรงๆ ด้วยแล้วก็อดไม่ได้ที่จะประทับจูบลงบนปลายจมูกโด่งเบาๆ
“ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อนาย...เจมี”

ที่กัดริมฝีปากน่ะไม่ได้เป็นการเขินอายใดๆ เลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะเจเรมีกำลังข่มความรู้สึกของตัวเองไม่ให้พวยพุ่งจนปะทุออกมาแล้วหน้ามืดไปเป็นฝ่ายปล้ำคริสต่างหาก แต่พอถูกจูบ ได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างนั้น ความอดทนก็สิ้นสุดลง เขาคว้าคริสเข้ามาบดจูบทันที มือทั้งสองข้างดันร่างคนตัวใหญ่กว่าไปที่เตียง ผลักให้ลงไปนั่งอย่างไม่ทันตั้งตัว คริสเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเจเรมีจัดการถอดเสื้อของตัวเองออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ปากจะร้องห้ามแต่ก็ไม่ทัน เขาถูกอีกฝ่ายผลักอีกครั้งแต่คราวนี้ให้ล้มตัวลงนอน พลันถูกทาบทับ เรียวปากถูกช่วงชิงไปอีกครั้ง เจเรมีมอบจุมพิตหอมหวานให้โดยไม่สนใจว่าคริสจะอยากได้มันหรือไม่

เรียกได้ว่าหายใจหายคอไม่ทันเลยทีเดียว ผละริมฝีปากออกมาได้ เจเรมีก็ลากไล้ปลายลิ้นไปตามลำคอแกร่ง มือสาละวนกับการแกะกระดุม...ไม่... ไม่ได้แกะ กระชากสาบเสื้อบนตัวของคริสออก

กระดุมหลายเม็ดกระเด็นตกบนเตียงและพื้น เสียงของพลาสติกเล็กๆ ไม่ได้ทำให้เจเรมีสนใจเลยแม้แต่น้อย จากซุกซนที่ซอกคอก็มาละเลงปลายลิ้นบนอกแกร่ง จู่โจมคนตัวใหญ่ด้วยการกระตุ้นเร้ายอดอก ทำเอาคริสที่ไม่ค่อยจะได้ถูกทำอย่างนี้ถึงกับเกร็งตัวแข็ง และแทบจะสติหลุดเมื่อตุ่มไตเล็กๆ นั่นถูกขบเม้มแรงสลับเบา

“เจมี...เดี๋ยว...” ถึงกับขบกรามแน่น ข่มอารมณ์ได้ก็เรียกสติของเจเรมี
หากแต่เจเรมีไม่สนใจแล้ว กระเถิบถอยลงต่ำ จัดการปลดเปลื้องอาภรณ์ช่วงล่าง มือกอบกุมความเป็นชายที่แข็งขืน รูดรั้งตามจังหวะอย่างช้าๆ แล้วแตะริมฝีปากลงไปเบาๆ บนปลายยอด

ความเสียวซ่านทำให้คริสหายใจดังเฮือก รีบเอื้อมมือไปคว้ามือของเจเรมีที่กอบกุมแก่นกายเขาอย่างรวดเร็ว ทว่ากลับถูกปัดออกเต็มแรง ทำให้เขาได้ร้องเรียกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเครือ
“เจมี...”

อยากจะบอกว่าให้เป็นฝ่ายมานอน การกระทำของเจเรมีแทบทำให้เขาขาดใจตายอยู่แล้ว และเขาก็ไม่ถนัดกับการเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างนี้ด้วย หากแต่เจเรมีในตอนนี้สวมบทจอมวายร้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือบตามองพลางหยักยิ้ม
“ต่อให้แทบขาดใจตาย ก็จงมีชีวิตอยู่เพื่อฉันซะ”

จากนั้นก็แลบลิ้นตวัดไล้ ‘ของ’ อุ่นร้อนที่อยู่ในมือ เผลอแวบเดียวก็ดันเข้าไปในโพรงปาก ความวาบหวามที่แล่นพล่านบริเวณหน้าขาและช่วงท้องทำให้มือทั้งสองข้างของคริสกำผ้าปูที่นอนแน่นทันที

จะขาดใจตายให้ได้...

นี่เขาพลาดที่พูดไปอย่างนั้นล่ะสินะ

แต่หัวใจก็เต้นแรงขึ้นตามการสัมผัสของเจเรมีที่มากขึ้นเช่นกัน

หัวใจของเขา...เต้นเพื่อเจเรมีจริงๆ

ทว่าสำคัญกว่าการที่หัวใจของเขาเต้นเพื่อคนรัก เขาควรจะเตือนเจเรมีไว้ก่อนที่เจเรมีจะลืมตัวไปมากกว่านี้
“ฉันเป็นอัลฟ่านะ อย่าลืมแล้วกัน”

จะทำอะไรกับร่างกายเขาในตอนเริ่มก็ย่อมได้ แต่ถ้าถึงขั้นตอนสุดท้ายเมื่อไหร่ หวังว่าเจเรมีคงจะรู้ถึงตำแหน่งที่แท้จริงของตัวเอง...
----------------------------------------
มาเต็มตอนแล้วววว เย่
อีหนูเจมียังยั่วเก่งเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือขุ่นคริสเริ่มระแวงว่าตำแหน่งตัวเองจะถูกแย่งแล้วค่ะ 555 แต่ขุ่นคริสบอกรักเจมีละ บอกอ้อมๆ แต่กร๊าวใจมาก อยากได้ขุ่นคริ-- #โดนฟาด
พรุ่งนี้ช่วงเช้าหน่อยจะมาแปะตัวอย่างตอนต่อไปให้นะ
ฝากฟีดแบ็กให้หน่อยจ้า คนเขียนส่งการบ้านเรียบร้อย หนีไปนอนละ XD
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.22[100%][21/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 22-03-2017 00:02:29
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.22[100%][21/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 22-03-2017 04:32:28
กิ้วๆ ที่ทำแบบนั้นไปคือวิธีแก้เขินเหรอมีมี่~ ฮ่าๆ :impress2: ทำเอาพี่คริสไม่มั่นใจถึงตำแหน่งขนาดนี้
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.22[100%][21/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 22-03-2017 08:52:58
ทำไมเขินขนาดนี้  หวงตำแหน่งเชียว
สนุกมากๆค่ะ รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะคะ :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.22[100%][21/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 22-03-2017 08:59:48
เขินนนนนนน
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.22[100%][21/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 22-03-2017 10:11:59
ตัดแบบบบบบ โคตรค้างคาชิบหายยย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.22[100%][21/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-03-2017 11:41:40
โอ้ยเขินนนนน รู้สึกเอ็นดูเจมีมาก
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.22[100%][21/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: YADA ที่ 22-03-2017 16:16:15
ออกจากนรกนั่นมาได้แล้ว ฮืออออ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.22[100%][21/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 22-03-2017 22:12:02
Episode 23: รุกฆาต[1]

เช้านี้ฟ้าใสกว่าปกติ...

อาจเป็นเพราะข้างกายมีร่างใหญ่อยู่เคียงข้างก็เป็นได้

เจเรมีตะแคงศีรษะเล็กน้อย เหลือบมองคริสที่นอนหลับหันหน้ามาทางเขานิ่งๆ ก่อนปรายตามองไปตามลำตัวและเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยรอยแดงเป็นจ้ำซึ่งเกิดจากฝีมือของเขาเมื่อคืนนี้ เท่านั้นมุมปากก็หยักยกขึ้น

เป็นการร่วมรักครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าอิ่มเอมมากที่สุดเท่าที่เคยกอดกับคริสมา เพราะมันไม่ได้เป็นไปตามสัญชาตญาณการสืบพันธุ์หรือเพราะอารมณ์กำหนัดเท่านั้น หากแต่เป็นไปด้วยความรัก

ใช่...ความรัก เขาสามารถพูดคำนี้ได้เต็มปากว่าเขารักคริส แม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่ในใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกนี้
เจเรมีส่งปลายจมูกโด่งไปแตะเข้ากับซีกแก้มของอีกฝ่าย สูดกลิ่นหอมของคริสเข้าปอดฟอดใหญ่ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้คนที่ยังอยู่ในนิทราก่อนจะทิ้งตัวลงจากเตียง คว้าเสื้อผ้ามาสวม เดินออกจากห้องนอนหมายจะไปหาอะไรรองท้องเป็นมื้อเช้า

หากแต่พอเปิดประตูออกมา เขาก็ต้องชะงักเมื่อสายตาปะทะเข้าให้กับลูก้าที่เดินผ่านมาพอดี

...ไม่ใช่เดินผ่านมาหรอก ลูก้าป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้มาพักใหญ่แล้วหลังจากที่เขาถามหาเจเรมีจากอัลเบิร์ตและได้ความว่าอยู่ที่ห้องนอนของคริส

พอเห็นคนที่ตัวเองรอคอยโผล่หน้ามาให้เห็น รอยยิ้มก็ประดับพรายบนใบหน้าทันที ก่อนจะออกปากทัก
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณเจเรมี”
“อรุณสวัสดิ์” เจเรมีทักคนที่ไม่ค่อยได้เจอหน้ากลับ

ความจริงจะว่าไม่ค่อยได้เจอหน้าก็ไม่ถูก ลูก้าเองก็อยู่ในบ้านหลังนี้เช่นเดียวกัน แต่ที่เจเรมีรู้สึกว่าไม่ค่อยได้เจอหน้าอีกฝ่ายเพราะเขามัวแต่คิดถึงคริสตลอดเวลาจึงไม่ได้สังเกตว่ามีใครอีกคนคอยแอบมองเขาอยู่มากกว่า ลูก้าเองก็ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าเจเรมีจังๆ เช่นเดียวกันด้วยเขายังประหม่ากับการอาศัยร่วมกับฝ่ายปรปักษ์ของบิดาตนเอง

อย่าว่าแต่เจเรมีเลย กับคนอื่นๆ เขาก็ไม่กล้าเผชิญหน้า ส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการเก็บตัวอยู่ในห้องพักเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เลยถ้าเขาจะมีอาการระแวดระวังตัวค่อนข้างมากเพราะเขาถูกบิดากรอกหูมาตลอดว่าคนที่ไม่ซื่อสัตย์กับพวกพ้องไม่สมควรมีชีวิตอยู่นี่นา มันจะแปลกอะไรถ้าเขากลัวว่าตัวเองจะถูกฆ่าถ้าหากไว้ใจคนพวกนี้มากเกินไปแม้ว่าหัวเรือใหญ่อย่างเจอโรมจะเป็นคนเอ่ยปากเองว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุดและสั่งไม่ให้เขาออกจากบ้านไปไกลเพื่อความปลอดภัย

ขนาดบิดาเขาแท้ๆ ยังเชื่อใจไม่ได้ แล้วในโลกนี้จะมีใครที่เชื่อใจได้อีกกัน

เว้นก็แต่เจเรมีเท่านั้นที่เขาไว้ใจ มันคงเป็นเพราะการกระทำของเจเรมีกระมังที่ทำให้เด็กหนุ่มสบายใจทุกครั้งที่อยู่กับเจเรมีอย่างนี้
เสียก็แต่ครั้งนี้ที่เขาไม่สบายใจเอาเสียเลย ตอนได้ยินอัลเบิร์ตบอกว่าเจเรมีอยู่ที่ห้องนอนของคริส ใจก็หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ยิ่งได้เห็นกับตาตัวเอง บอกได้เลยว่าเขารู้สึกแย่ไม่น้อยทีเดียว

กระนั้นก็แสร้งยิ้มกลับไป
“เหมือนเมื่อคืนนี้คุณจะนอนผิดห้องนะครับ” ถามคล้ายกับว่าหยอกเล่น แต่ไม่ใช่เลย
เจเรมีได้ยินแล้วก็หน้าร้อนวูบ ยกมือลูบต้นคอแก้เขินอายทันควัน
“พอดีฉันมีเรื่องต้องคุยกับคริสนิดหน่อยก็เลยมานอนที่นี่”

มีเรื่องคุยยาวเสียด้วย...ยาวจนฟ้าสาง

แต่ลูก้าไม่ใช่เด็กอมมือที่จะเชื่อคำโกหกอย่างนั้น เห็นสีหน้าเขินอายของเจเรมีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแล้วก็ดูออก เขายิ้มบางๆ เล็กน้อย พลันพูดออกมาตรงๆ

“ตกลงคุณเลือกคุณคริสสินะครับ”
เจเรมีเหลือบมองพลางเลิกคิ้วเป็นคำถามให้ลูก้าได้พูดซ้ำอีก
“ผมหมายถึงว่าตกลงคุณเลือกคุณคริสเป็นคู่ชีวิตสินะครับ” ขยายความให้เสร็จสรรพ ทำเอาเจเรมีถึงกับย่นคิ้ว
“นายจะพูดอะไรกันแน่” รู้ในตอนนี้เลยว่าที่ลูก้าโผล่มาให้เห็นอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว น่าจะตั้งใจมากกว่า ยอมรับเลยว่าในหัวของเจเรมีหงุดหงิดพอดูเลยทีเดียวที่ถูกดักรออย่างนี้

ทว่าความหงุดหงิดนั้นก็มลายหายไปเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงเบา
“คุณคิดว่ามันจะเป็นไปไหม”
“อะไรนะ”
“โอเมก้ากับโอเมก้าน่ะ คุณคิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมครับ”

นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ตีความคำถามของลูก้า ก่อนจะฉุกใจคิดได้ว่าลูก้าหมายความเช่นไร

ที่มาดักรอและพูดอะไรแปลกๆ ก่อนหน้านั้นไม่ได้เป็นเพราะอีกฝ่ายหมายปองคริสแต่อย่างใด หากแต่คนที่ลูก้าหมายปองน่ะ...คือเขาคนนี้ต่างหาก

ดวงตาเบิกโตขึ้นเล็กน้อย ไม่อยากจะเชื่อหูว่าคนตรงหน้ารู้สึกกับเขามากกว่าที่เขารับรู้ พลันริมฝีปากก็ขยับขึ้นเล็กน้อย
“ลูก้า...หรือว่านายจะ...” พูดต่อไม่ออกกะทันหัน
ลูก้าเองก็ไม่ตอบเช่นกัน ได้แต่ยิ้มรับบางๆ ด้วยคิดว่าเจเรมีคงจะเข้าใจความรู้สึกของตนที่มีต่อเขาหมดแล้ว และเพราะต่างคนต่างเงียบงัน ลูก้าจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ
“เป็นไปไม่ได้สินะครับ”
ถามทั้งที่หน้ายังมีรอยยิ้ม หากแต่มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าที่สุดเท่าที่เจเรมีเคยเห็นมาเลย เจเรมีก็พูดอะไรต่อไม่ถูกและทำหน้าไม่ถูกมากกว่าเดิมเสียอีกเมื่อลูก้าเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“ระหว่างผมกับคุณมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยใช่ไหมครับ” ถามทั้งที่รู้คำตอบดี
เจเรมีนิ่งงันอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ

มันไม่ใช่เพราะเขากับลูก้าเป็นโอเมก้าทั้งคู่ แต่มันเป็นเพราะในหัวใจของเขามีแต่คริสเท่านั้น เขารู้มาพักหนึ่งแล้วว่าตัวเองแล้วว่ารู้สึกกับคริสเช่นไร เพียงแต่มันชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาก็เมื่อคืนนี้นี่เอง และที่ตอบรับลูก้าไปตรงๆ อย่างนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไม่สงสารลูก้า แต่เขาโกหกตัวเองไม่ได้ ลูก้าเองก็เข้าใจความจริงข้อนี้ดี พลันพ่นลมหายใจออกมา

“คิดไว้อยู่แล้ว” พึมพำเสียงเบา ส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าจะหัวเราะกับความโง่เขลาของตัวเองหรือหัวเราะให้กับโชคชะตาอันน่าสมเพชของตัวเองดี...
หัวเราะไป น้ำตาก็เอ่อปริ่มขอบตาก่อนจะไหลอาบใบหน้า เขาพยายามกลั้นแล้วแต่มันอดไม่ได้ ทั้งที่บอกตัวเองให้อดทนตั้งแต่ก่อนจะมาเผชิญหน้ากับเจเรมี แต่สุดท้ายก็ทนแบกรับความผิดหวังระคนความเจ็บปวดไว้ไม่ไหว

...เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้เลยว่าหัวเราะทั้งน้ำตามันเป็นอย่างไร

ผู้มีพระคุณที่เขาชื่นชมจนสุดท้ายมันกลายมาเป็นความรักจนเขาสามาถทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้อีกฝ่ายรอดไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลยนอกจากคำว่า ‘สงสาร’…นั่นเป็นสิ่งที่ลูก้าตระหนักรู้ดีตั้งแต่แรกแม้ว่าเขาจะเผลอคิดเข้าข้างตัวเองไปบ้างก็ตาม
แต่สุดท้ายมันก็สูญเปล่า... ความรู้สึกของเจเรมีที่มีต่อเขามันไม่เคยเป็นอื่นเลยนอกจากคำว่าสงสารคำเดียวเท่านั้น
ยิ่งคิด น้ำตาก็ยิ่งไหลมากกว่าเดิมจนคนร่างบางสะอื้นตัวโยน เจเรมีมองภาพนั้นแล้วก็อยากจะกอดปลอบอย่างที่เคยทำ ทว่าเขาก็ยับยั้งมือที่กำลังจะขยับไว้

ไม่ควร...เขาไม่ควรทำอย่างนั้น มันไม่เหมือนกับการปลอบประโลมอย่างเช่นทุกทีแล้ว ครั้งก่อนๆ มันเป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาจะปกป้อง แต่ในครั้งนี้มันจะกลายเป็นการให้ความหวัง

การให้ความหวังทั้งที่เป็นไปไม่ได้มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำ…

เจเรมีรู้ดีจึงได้แต่มองลูก้าด้วยสีหน้านิ่งเรียบเท่านั้น ปล่อยให้ลูก้าได้ระบายความเสียใจออกมาเท่านั้น

บรรยากาศน่าอึดอัดหลั่งไหลอบอวลรอบตัวของเขาทั้งคู่ ไร้ซึ่งคำพูดคุยอยู่พักใหญ่ทีเดียวกระทั่งลูก้าเริ่มตั้งสติได้แล้วตัดบท

“ผม...ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ” มือปาดน้ำหูน้ำตาเร็วๆ สิ้นเสียงก็เดินจากไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับมามองเจเรมีอีกเลย
เจเรมีถอนหายใจยาว เช้านี้ของเขาไม่สดใสเอาเสียแล้ว แต่ก็ไม่ได้คิดจะโทษลูก้าหรอก ดีเสียอีกที่เขารู้อย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะเผลอทำอะไรให้ลูก้าได้หวั่นไหวจนถลำลึกกว่านี้แน่ๆ

คิดอยู่ลำพังแล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแหบห้าวดังขึ้นจากทางด้านหลัง
“ไม่ตามไปเหรอ”
หันไปก็เห็นว่าเป็นคริสในสภาพนุ่งกางเกงขายาวตัวเดียวยืนกอดอกมอง พอเห็นเจเรมีไม่ตอบก็ถามอีก
“ทำไมล่ะ”
“อยากให้ฉันตามไปหรือไง” อีกฝ่ายถามเสียงขุ่น

แน่นอนว่าไม่อยาก คริสส่ายหน้าทันควัน

“แล้วจะพูดทำบ้าอะไร”
“ก็นึกว่านายจะใจดีอย่างที่เคยทำ”
ถูกคริสย้อนกลับบ้าง เจเรมีก็ส่งสายตาดุดันให้

“เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะใจดีด้วย ไม่เห็นหรือไงว่าหมอนั่นคิดเลยเถิดกับฉันขนาดไหน”

ทำไมจะไม่เห็น เห็นเต็มๆ สองตาเลยล่ะ รู้เรื่องนี้ก่อนเจเรมีจะรู้เสียด้วย แต่ก็เอาเถอะ คนตรงหน้าเขาทำถูกแล้วที่ไม่ไปให้ความหวังอย่างนั้น อย่างน้อยก็ไม่ทำให้เขาต้องมาคอยหึงหวงคนตรงหน้า จะว่าเขาเห็นแก่ตัวที่คิดจะครอบครองเจเรมีไว้คนเดียวก็ได้ แต่หากคิดในทางกลับกันแล้ว การที่เจเรมีชัดเจนอย่างนี้ก็ทำให้ลูก้าไม่ต้องเสียใจกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้

ลูก้าควรได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียทีโดยไม่เอาชีวิตตัวเองไปผูกไว้กับใคร...

คริสไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น มีแต่เจเรมีเท่านั้นที่มองคนตัวสูงกว่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วก็หัวเสีย
“แล้วจะยืนโชว์อย่างนี้อีกนานไหม เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หมดว่าเมื่อคืนนายถูกฉันปล้ำ!”
คริสเหลือบมองแผ่นอกของตัวเองแล้วก็เพิ่งรู้สึกตัวในตอนนี้ว่าตัวเองเปลือยช่วงบนอยู่ ร่องรอยความรักที่เจเรมีฝากไว้ปรากฎให้เห็นบนผิวเนื้ออย่างชัดเจน เท่านั้นคริสก็คว้าคนตรงหน้าเข้ามาใกล้ กระซิบเสียงพร่า
“อายเหรอ?”

ก็ใช่น่ะสิ!

แต่คนอย่างเจเรมีไม่มีวันที่จะหลุดพูดไปอย่างนั้น ถูกคริสหยอกล้อก็ผลักออกเต็มแรง ตามด้วยต่อยเข้าไปที่แผงอกอีกที
“ต้องให้ได้เลือดก่อนใช่ไหมถึงจะพูดกันรู้เรื่อง”
คริสยกมือทั้งสองข้างขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ หัวเราะกับท่าทางดุๆ ของเจเรมีก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปอย่างว่าง่าย ทิ้งให้เจเรมีหันหลังกลับไปมองยังทางที่ลูก้าเดินจากไปเพียงลำพังด้วยความเป็นห่วง

ลูก้า...จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?




 
ความผิดหวังเป็นเรื่องที่เขาคุ้นชินมาตั้งแต่เล็ก... ไม่สิ ต้องเรียกว่าตั้งแต่เกิดมากกว่า ตั้งแต่ที่เกิดมาเป็นโอเมก้าแห่งตระกูลแฮร์ริสัน ชีวิตเขาไม่เคยได้สัมผัสกับความสมหวังเลยแต่ครั้งเดียว

ทั้งที่ควรจะชินชาได้แล้ว แต่เมื่อแสงแห่งความหวังอย่างเจเรมีที่ดูเหมือนจะเป็นแสงที่ส่องประกายสว่างที่สุดในชีวิตเขาดับมอดลง ลูก้าก็เหมือนคนตาบอด มองไปทางไหนก็ไม่เห็นหนทาง

ความเจ็บปวดที่ประดังประเดเข้ามาเกาะกุมจิตใจมันกำลังจะทำให้เขาตาย...

ไม่ได้ตายในทันทีเสียด้วย มันค่อยๆ กัดกินเขา ทรมานให้ตายอย่างช้าๆ

ไม่ใช่เพราะเขารับความจริงไม่ได้ถึงรู้สึกปวดร้าวขนาดนี้ แต่เป็นเพราะยอมรับความจริงนี่แหละที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับความเจ็บปวดที่สุดในชีวิต

สองขาเรียวพาร่างกายผอมบางออกมาจากบ้าน ไม่สนว่าตัวเองจะถูกห้ามไม่ให้ออกจากที่นี่อย่างไร

มันช่วยไม่ได้... ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขาไม่อาจทนเห็นหน้าคนที่เขารักสุดหัวใจไม่ไหว ความจริงแล้วสถานที่นี้ก็ไม่ใช่ที่ของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้มีพื้นที่ให้กับคนอย่างเขาด้วย ถึงคนพวกนั้นจะต้อนรับ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้รับการยอมรับ

ถึงจะได้รับการยอมรับในฐานะโอเมก้า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการยอมรับในเรื่องของฝ่ายเพราะเขามีสายเลือดของศัตรู
ลูก้าจึงตัดสินใจที่จะไปจากที่นี่โดยการหลอกพวกที่เฝ้ายามว่าเบื่อที่จะอุดอู้อยู่ในบ้าน ขอไปเดินเล่นละแวกนี้ ทว่าพอได้รับอนุญาต เขากลับหลบหนีออกจากตรอกแห่งนั้น มุ่งหน้าสู่ชายแดนของอาณาเขตปกครองพิเศษดีออน ตั้งใจว่าจะไปจากที่นี่แม้จะไม่มีจุดหมายปลายทางที่แน่ชัดก็ตาม

โชคดีที่การเดินทางในครั้งนี้เขาไม่ต้องใช้ตัวเองเป็นค่าแลกเปลี่ยนอีกแล้วด้วยคริสพอจะให้เงินไว้ติดตัวอยู่บ้าง

เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้...เป็นสิ่งที่คริสแอบทำโดยไม่บอกใครด้วยไม่ต้องการให้ใครมองว่าลูก้าเป็นตัวถ่วงเนื่องจากพวกเขาก็ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะแบ่งปันไปให้ใครใช้ส่วนตัวเหมือนกันเพราะเงินส่วนใหญ่ต้องใช้เป็นเงินทุนในการขับเคลื่อนทางการเมืองในด้านต่างๆ

มือเรียวล้วงเอาธนบัตรออกมานับ แบ่งเป็นสัดส่วนเพื่อใช้เป็นค่ารถในการมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตอื่น อีกส่วนหนึ่งใช้เป็นค่าอาหารและที่พัก

วันนี้ฟ้ามืดแล้ว เขาคงต้องหาที่พักก่อนแล้วเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้

ทว่าในระหว่างที่เดินไปยังโรงแรมขนาดเล็กซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ลงรถเมื่อครู่ ลูก้าก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติจากทางด้านหลัง
มีคนกำลังตามเขาอยู่...

เหลือบไปมองก็เห็นว่าเป็นชายฉกรรจ์หลายคน ความไม่ชอบมาพากลพร่างพรายทันที ลางสังหรณ์บอกให้เขารู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแล้วที่เขาจะมาเดินเตร็ดเตร่ตามลำพังบนถนนอย่างนี้ ทำให้เขารีบออกวิ่ง แต่ไม่ทันแล้ว ชายฉกรรจ์พวกนั้นมารุมล้อมหน้าหลังไว้หมด เห็นหน้าคนพวกนั้นแล้วก็พอจะจำได้

คนของบิดาเขา...

ใบหน้าซีดขาวด้วยความหวาดกลัวทันที ก่อนที่ใครบางคนจะเอ่ยขึ้น
“พ่อให้มารับกลับบ้านแล้วไอ้หนู”

นั่นเป็นเสียงแรกที่เขาได้ยินก่อนลำตัวจะโก่งงอเพราะความจุกเสียดจากหมัดที่พุ่งเข้ามากระแทกท้อง แล้วตามมาด้วยแรงกระแทกที่ต้นคออีกที เท่านั้นสติปชัญญะที่เขามีอยู่ก็ถูกช่วงชิงไป ถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดในชั่วพริบตา
----------------------------------
แปะให้ครึ่งตอนก่อนค่ะ ครึ่งหลังยังเขียนไม่เสร็จ ต้องใช้พลังชีวิตเยอะ
ใกล้จะจบเรื่องแล้ว หลายคนกลัวใจคนเขียนมาก กลัวลูก้าตาย ไซโคกันใหญ่ 555 ต้องขอบอกไว้ก่อนว่าหนูแดงก็จะเขียนตามบทนะคะ ขอให้ทุกคนใจเย็นๆ แล้วผ่านช่วงนี้ไปให้ได้ ส่วนใครที่เชียร์ให้ลูก้ากับอัลเบิร์ตได้กัน...เรือผีจงล่ม! 555 #โดนตบ
ความจริงหนูแดงก็เอากลับไปคิดเหมือนกัน แต่ดูจากพล็อตที่เขียนมาจนจะจบอยู่แล้วมันไม่เหมาะเลยถ้าให้ลูก้ารอดชีวิตแล้วได้กับอัล แต่อย่างที่บอก รออ่านแล้วกันค่ะ
ผ่านมันไปให้ได้นะทุกคนนนน สู้ๆ 555 อย่าเพิ่งกลัวตับไตจะพังแล้วเลิกอ่านกันก่อนนะ XD
ป.ล.ฝากฟีดแบ็กไว้ให้ล่วยยย
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[50%][22/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 22-03-2017 23:20:40
สะเทือนตับไต
ลูก้าาา
โอ๊ย ชีวิต
ปล.ดีใจกับเจมคริส
เอ้ย ผิดๆ คริสเจมี่ 55+
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[50%][22/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 22-03-2017 23:42:43
ลูก้าชีวิตบัดซบสุดๆ  :z3:
มาถึงตอนนี้นางจะอยู่หรือตายก็ไม่เถียงแล้วค่ะ  สมควรแก่เวลา :katai5:j
#เอ๊ะเดี๋ยวว ถถถ
เอาเข้าจริงแอบเชียร์ลูก้ากับธีโอ  เรือผีกว่า ถถถถถถ #ทีมแม่ยกที่อวยแต่ตัวประกอบ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[50%][22/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-03-2017 07:41:36
สงสารลูก้า
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[50%][22/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 23-03-2017 12:34:32
สงสารลูก้าง่ะ  :mew4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[50%][22/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 24-03-2017 01:58:46
โถ่ ลูก้าผู้อาภัพ โดนคนเขียนรังแกอยู่เรื่อย (โดนคนเขียนตบ)
เมื่อไหร่พ่อชั่วของลูก้าจะม่องซะทีละ
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[50%][22/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-03-2017 05:23:23
Episode 23: รุกฆาต[2]

บ้านพักของตระกูลแฮร์ริสันไม่สามารถอยู่ได้อีกต่อไป เดร็กจำต้องพาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนและภรรยาอพยพมากบดานยังที่ที่ปลอดภัยเนื่องจากมันเสี่ยงต่อการถูกฝูงชนโจมตีได้ทุกเมื่อ และส่งธีโอหลบหนีไปก่อนในขณะที่เขายังคงพำนักอยู่ที่โกดังบริเวณท่าเรือรับ-ส่งสินค้าเพิร์ลเพื่อรอทำตามแผนการที่วางไว้ ความจริงเขาควรจะอพยพหนีออกจากเมืองไปตามผู้นำทั้งสามตระกูลแล้ว ทว่าเพราะยังมีเรื่องที่ยังไม่ได้จัดการจึงทำให้ยังไปไหนไม่ได้

ความแค้นยังไม่ได้สะสาง จะหนีไปไหนได้อย่างไรกัน!

ในตอนนี้ไม่ว่าใครจะได้รับชัยชนะทางการเมืองมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะเขากำลังจะทำให้เจอโรมได้จดจำไปอีกนานว่าไม่ควรมาไล่ต้อนคนอย่างเขาให้หมดทางสู้

แผนการหลอกล่อให้ ‘ของมีค่า’ ของเจอโรมออกจากที่หลบซ่อนถูกดำเนินการไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันก่อน ไม่รู้หรอกว่าแผนการของเขามันจะสำเร็จไหม แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเจเรมีจะต้องมาที่นี่ตามที่ทิ้งโน้ตไว้ให้เพราะรู้ดีว่าเจเรมีกับลูกชายของเขาอีกคนที่ถูกมัด นอนคุดคู้อยู่บนพื้นรอการช่วยเหลือมีความรู้สึกบางอย่างต่อกัน แต่จะความรู้สึกแบบใดมันก็ไม่สำคัญกับเขาเลยแม้แต่น้อย รู้เพียงอย่างเดียวว่าถ้าหากแผนการของเขาสำเร็จ เขาจะฝากบาดแผลในใจขนาดใหญ่ให้กับเจอโรมได้

เดร็กรอการมาถึงของเจเรมีอย่างใจจดใจจ่อหลังจากที่ออกคำสั่งให้บรรดาพลแม่นปืนที่ยังอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขากระจายไปทั่วทุกจุดของท่าเรือแห่งนี้ เขาไม่ได้จะให้คนพวกนั้นปลิดชีพเจเรมีหรอก เขาจะลงมือฆ่าด้วยตัวเองนั่นแหละแต่พอจะเดาได้ว่าเจเรมีจะต้องไม่ได้มาที่นี่คนเดียวแน่ ดังนั้นจึงต้องเผื่อแผนสำหรับการกำจัดพวกเหลือบไรน่ารำคาญตัวอื่นๆ ด้วย

และตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลานัดหมายแล้ว เดร็กนั่งรออย่างใจเย็น ปรายตามองยังร่างบางที่พยายามจะเค้นเสียงออกมาหลังจากได้ยินใครบางคนร้องบอกเวลาห้าทุ่มให้รู้ว่าถ้าถึงเวลานัดแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงา คนที่นอนแบ็บอยู่ตรงนี้ก็หมดเวลาที่จะหายใจ
ทว่าลูก้าไม่ปล่อยให้เวลานั้นมาถึง เปล่งเสียงออกมาจนได้

“ผมขอร้อง...ฆ่าผมเถอะ อย่าไปยุ่งกับเขา”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูก้าเอ่ยเช่นนี้ มันสร้างความรำคาญใจให้กับคนเป็นบิดาไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว เท้าที่สวมรองเท้าหนังคอมแบทยกขึ้นวางบนหน้าอก ออกแรงกดลงไปจนสร้างความเจ็บปวด กระทั่งได้ยินเสียงหายใจติดขัดของคนบนพื้นถึงได้เอ่ยปากพูด
“ถ้ามันไม่มา แกก็ได้ตายสมใจแน่” จากนั้นก็ยกเท้าออก ปล่อยให้ลูก้าได้ไอโขลกออกมาระลอกใหญ่

เดร็กเหลือบมองอย่างรังเกียจ ไม่ว่าอย่างไร เด็กหนุ่มตรงหน้าก็ไม่ได้สร้างความเอ็นดูให้กับเขาได้เลย นั่นก็เพราะเขาเป็นโอเมก้า...

ที่มีชีวิตอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะสามารถใช้ประโยชน์ได้นี่แหละ แต่ตอนนี้มันสิ้นสุดแล้ว เขาไม่อาจทนมองเศษชิ้นเนื้อที่เป็นกาฝากของตระกูลได้อีก ยิ่งถูกหักหลังด้วยแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเก็บเอาไว้ เพียงใช้ประโยชน์เป็นครั้งสุดท้ายเสร็จสิ้น เขาก็จะฆ่าทิ้งให้พ้นหูพ้นตา

ลูก้ารู้ชะตากรรมของตัวเองดี แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าการกระทำของตัวเองเป็นการกระทำที่ผิด การถอยห่างจากเจเรมีมาอย่างนั้นน่ะมันถูกต้องแล้ว อย่างน้อยก็ทำให้เจเรมีไตร่ตรองสักหน่อยว่าควรเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับเขาอีกหรือไม่

ทั้งรู้สึกเกินเลยกว่าผู้มีพระคุณ ทั้งเคยคิดร้ายซ้ำยังเป็นตัวถ่วง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่ายุ่งเกี่ยวด้วยทั้งนั้น

ลูก้าค่อนข้างมั่นใจมากทีเดียวว่าเจเรมีคงไม่เสี่ยงชีวิตตัวเองมา ความรู้สึกของเจเรมีที่มีต่อเขามันชัดเจนอยู่แล้ว นอกจากความสงสาร มันก็ไม่มีอะไรอื่นอีกเลย

มันคงได้เวลาที่เขาควรทิ้งโลกแสนโสมมนี้ไว้เบื้องหลังสักที...

เปลือกตาปิดลง นับถอยหลังในใจรอความตายช้าๆ ทว่าก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงนายทหารคนสนิทของเดร็กพูดขึ้น
“มาถึงแล้วครับ”

ลูก้ากระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที สายตาจับจ้องไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินมายังหน้าประตูโกดัง ถูกสั่งให้หยุดอยู่ตรงนั้น พลันทหารหลายนายก็กรูกันเข้าไปตรวจร่างกายว่ามีอาวุธติดตัวหรือไม่ ก่อนที่เดร็กจะร้องทัก

“อีกสิบนาทีจะเที่ยงคืน ถ้ามาช้ากว่านี้อีกสักหน่อย พวกแกคงได้ศพของเด็กนี่ไปนอนกอดแล้ว”
เจเรมีส่งสายตาเกลียดชังไปให้ ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าคนตรงหน้าเรียกตัวเองว่า ‘พ่อ’ ไปได้อย่างไร

รักแต่เพียงธีโอ ส่วนลูก้าจะอยู่หรือตายก็ไม่สนใจทั้งสิ้น

เดนนรกชัดๆ!

แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยืนมองเดร็กกระชากผมลูก้าให้เข้ามาใกล้ก่อนออกปาก
“เอาไปสิ” พลันเหวี่ยงไปตรงหน้า
ร่างของลูก้ากระแทกเข้ากับพื้นซีเมนต์เต็มแรง เจเรมีรีบปรี่เข้ามาแก้มัดให้ ก่อนจะถอดเสื้อแจ็กเก็ตของตัวเองคลุมร่างเปลือยเปล่า
ทันทีที่เสื้อแจ็กเก็ตสัมผัสลงบนผิวเนื้อ ลูก้าก็หลั่งน้ำตาออกมาทันใด

ความรู้สึกนี้มัน...เหมือนกับครั้งแรกที่เขาได้เจอเจเรมีเลย

“คุณมาช่วยผมทำไม” ใบหน้าเปื้อนน้ำตาเงยขึ้นถามเสียงพร่า
เจเรมีไม่สนใจที่จะตอบคำถามเท่าไหร่นอกจากพยุงให้ลุกขึ้น “อย่ามาถามอะไรตอนนี้เลย รีบไปจากที่นี่กันดีกว่า”
“แต่เขาไม่ให้คุณไปง่ายๆ หรอกนะครับ เขาจะฆ่าคุณ ทิ้งผมไว้แล้วรีบหนีไปเถอะ”
“ถ้าฉันจะหนีแล้วฉันจะโผล่หัวมาที่นี่ทำไม บอกแล้วไงว่าอย่าพูดมาก สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของนายมันพังไปหมดแล้วหรือไง ลุกขึ้น!” ถูกเซ้าซี้มากๆ เจเรมีก็เสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย ดึงลูก้าให้ลุกขึ้นยืนเสียจนตัวลอย

เรื่องที่เดร็กจะฆ่าเขาอะไรนั่น เขารู้อยู่แล้วล่ะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอธิบายอะไรให้ลูก้าฟัง เขาต้องรีบออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดต่างหาก

เดร็กที่นั่งอยู่ที่เดิมยกขาขึ้นไขว่ห้าง มองชายหนุ่มพาลูก้าไปพลันหัวเราะ

คิดว่าจะไปไหนพ้นหรือไง แค่ก้าวออกไปที่ลานกว้างข้างหน้า พวกสไนเปอร์ก็พร้อมที่จะยิงทิ้งแล้ว...

ใช่ มันเป็นแผนการของเดร็ก ที่ปล่อยออกไปง่ายๆ อย่างนั้นก็เพื่อจะรอชมการแสดงนี้ต่างหาก

ทว่าความคาดหวังของเขาไม่เป็นดั่งตั้งใจ แทนที่จะได้ยินเสียงร่างไร้วิญญาณของสองคนนั้นล้มไปกับพื้น กลับได้ยินเสียงรัวกระสุนปืนดังแทน

มันประหลาดที่สไนเปอร์จะรัวกระสุนเป็นปืนกลขนาดนี้ ทำเอาเดร็กรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ลุกพรวดอย่างรวดเร็ว คว้าปืนจากข้างเอวมาถือในขณะที่เสียงรัวกระสุนยังดังไม่หยุด พลันสายตาก็จับจ้องไปยังเจเรมีรีบพาลูก้าไปหาที่หลบ ก่อนที่ความสนใจจะถูกเบี่ยงเบนไปเมื่อมีกลุ่มชายฉกรรจ์อีกกลุ่มใหญ่พากันกรูเข้ามายังท่าเรือแห่งนี้พร้อมอาวุธครบมือ พลันการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น
คนพวกนั้น...ไม่ใช่คนของเจอโรมอย่างแน่นอนเพราะเดร็กดูออกว่าชายฉกรรจ์พวกนี้เป็นอดีตทหารจากอาณาเขตปกครองพิเศษอื่นๆ ที่ถูกปลดประจำการโดยคำสั่งจากมหานครเพิร์ล และเป็นคนของคริส

ถูกต้อง...คนของคริส ทันทีที่คริสขอความช่วยเหลือไปเมื่อวาน ผู้นำอาณาเขตอื่นก็เต็มใจส่งคนมาช่วยโดยไม่มีการซักถามอะไรให้มากความ เพียงคริสบอกว่าเป็น ‘ภารกิจช่วยชีวิตโอเมก้าคนสำคัญ’ เท่านั้นทุกสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการก็มาอยู่ในมือแล้ว
เดร็กสบถเสียงลั่น หลบลูกกระสุนที่ถูกส่งมาเฉียดศีรษะเป็นพัลวัน ไม่นึกเลยว่าเรื่องที่เขาคิดว่าง่ายจะกลายเป็นเรื่องยากอย่างนี้ และดูท่าทางเป้าหมายของคนพวกนี้คือเขาเสียด้วย แต่มันเรื่องอะไรที่เขาจะยอมให้ตัวเองต้องจนมุมกัน!

“ไม่ได้การแล้วครับ หนีเถอะท่านนายพล!” นายทหารคนสนิทร้องบอกด้วยดูจากสถานการณ์แล้ว ฝั่งของเดร็กเสียเปรียบอยู่เห็นๆ ในเรื่องของจำนวนคน

ทว่าเดร็กเหมือนคนโง่เง่า เขาไม่ต้องการจนมุมจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน อย่างน้อยถ้าจะหนีก็ขอให้เขาได้กำจัดไอ้โอเมก้าสวะสองคนนั้นก่อน เท่านั้นมือใหญ่ก็ผลักนายทหารคนสนิทออกห่าง โผล่ออกจากที่กำบัง รัวกระสุนปืนใส่ฝั่งตรงข้ามอย่างชำนาญ

ก่อนที่จะมาเป็นนายพล เขาผ่านศึกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เรื่องความแม่นปืนของเขานั้นเรียกได้ว่าเป็นที่โจษจันเลยทีเดียว

เมื่อทางถูกเปิดโล่ง ร่างใหญ่ก็รีบวิ่งไปตามทางที่ชายหนุ่มรุ่นลูกมุ่งหน้าไป อาวุธถูกสับเปลี่ยนระหว่างทางกับร่างไร้วิญญาณของฝั่งตรงข้ามที่เขาคร่าชีวิตอย่างไร้ปราณี

การฆ่าคนพวกนี้มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจเลยแม้แต่น้อย เขาจะพอใจก็ต่อเมื่อได้ฆ่าโอเมก้าสองคนนั้นเองกับมือ!

เจเรมีที่พาลูก้าหลบการต่อสู้มุ่งหน้าไปยังจุดที่นัดหมายกับคริสไว้โดยไม่แม้แต่จะหันมามองทางด้านหลัง เกือบจะถึงที่หมายอยู่แล้วทว่าก็ต้องชะงักเมื่อลูก้าสะดุดเข้าขาตัวเองเข้าให้อย่างจัง ด้วยความที่ช่วงขาของเขาสั้นกว่าเจเรมีทำให้ก้าวตามไม่ทัน ทำเอาเจเรมีหันขวับไปมอง ร้องบอกอย่างร้อนรน

“ลุกขึ้นเร็วเข้า!”
ไม่เพียงแต่จะกระชากให้ลุกขึ้นเท่านั้น ยังดึงให้ออกวิ่งอีกรอบ หากแต่การล้มลงไปเมื่อครู่ทำเอาข้อเท้าข้างหนึ่งของลูก้าพลิกเข้าอย่างจัง แค่ก้าวขา ความปวดแปลบก็แล่นขึ้นมาทำให้ร่างบางทรุดลงไปอีก

“โอ๊ย!”
เสียงร้องทำให้เจเรมีรีบปล่อยมือในขณะที่ลูก้าจับข้อเท้าบวมเป่งของตัวเองพลันว่า
“คุณเจเรมีหนีไปก่อนเถอะครับ ทิ้งผมไว้ตรงนี้ เอาตัวรอดก่อน”
“อย่ามาทำตัวแสนดีนักเลย ถ้าฉันจะเอาตัวรอดแล้วจะเสี่ยงมาช่วยนายทำไม ลุก!” สวนคืนแล้วออกแรงดึงลูก้าขึ้นมาอีก ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเจ็บปวดแต่อย่างใด

เวลาอย่างนี้ในเมื่อวิ่งด้วยขาของตัวเองไม่ได้ เขาก็จะแบกลูก้าไปเอง!

ทว่ายังไม่ทันที่จะได้อุ้มอีกฝ่าย เสียงลูกกระสุนถูกยิงสวนมาโดนกับเสาเหล็กที่อยู่ข้างๆ ทำให้เจเรมีต้องชะงัก ทอดสายตามองไปยังทิศทางของกระสุนก็เห็นว่าเป็นเดร็กที่ตามมาทัน เขาถึงกับสบถออกมาทันที

ซวยชะมัดเลย ให้ตายเถอะ!

แต่ถึงอย่างนั้นก็โน้มตัวหมายจะอุ้มลูก้า ทว่าก็ไม่ได้ทำตามความตั้งใจเมื่อเดร็กเหนี่ยวไกใส่อย่างไม่หวังผลอีกครั้ง
“ถ้าขยับแม้แต่นิดเดียว หัวแกถูกเจาะเป็นรูแน่ไอ้เด็กเหลือขอ”

ไม่แน่ใจว่าคำว่าเด็กเหลือขอที่หลุดออกจากปากของเดร็กหมายถึงเจเรมีหรือลูก้ากันแน่ แต่ก็ทำให้สองคนนั้นไม่กล้าเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

เจเรมีไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะกลัวว่าลูก้าจะถูกยิง ส่วนลูก้าเองก็กลัวว่าเจเรมีจะถูกยิงเช่นกัน จึงพากันทำตามคำสั่งของคนอาวุโสกว่าอย่างไร้ทางเลือก

“พวกแกนี่ก็เก่งนะที่มาถึงขั้นนี้ได้ แต่ต้องเสียใจด้วยที่แผนของพวกแกไม่เป็นผล คิดจะเอาชนะคนอย่างฉันได้ง่ายๆ งั้นเหรอ” ว่าพลางหัวเราะในลำคอ มือถือปลายกระบอกปืนจ่อมาที่โอเมก้าทั้งสอง

มองเผินๆ ไม่รู้เลยว่าเดร็กตั้งท่าจะยิงใครกันแน่ แต่มันก็สร้างความหวั่นใจให้กับทั้งคู่ได้โดยเฉพาะกับเจเรมีที่เหลือบมองลูก้าในสภาพตัวสั่นเทาแล้วก็ต้องออกปาก

“เป้าหมายของแกคือฉันใช่ไหม”
การที่จู่ๆ ก็ถามทำให้เดร็กแสยะยิ้ม “แกอาจจะต้องเรียนรู้จากพ่อแกอีกเยอะทีเดียว หัวขี้เลื่อยของแกถึงจะทำงานได้ดีขึ้น และใช่...เป้าหมายของฉันคือแก อ้อ ไม่สิ พ่อแกต่างหาก”

คำพูดของเดร็กกำกวมอยู่ไม่ใช่น้อย แต่เจเรมีก็ไม่สนแล้ว เป้าหมายจะเป็นเขาหรือบิดามันก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับคนที่นั่งอยู่บนพื้นซึ่งพยายามจะยันตัวขึ้นมา เจเรมีขยับเข้าไปหาเล็กน้อยหมายจะช่วยพยุง แต่ก็ถูกเดร็กปล่อยกระสุนถากเข้าที่ต้นแขนเสียก่อนจนต้องถอยหลังกรูดไป

“บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าขยับ ไอ้พวกสมองกลวง”
เจเรมีถึงกับกัดฟันกรอด ข่มทั้งความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วต้นแขนข้างขวาและความเจ็บใจที่พลาดท่าให้ตัวเองถูกยิง ถึงกระสุนมันจะโดนแค่ถากๆ แต่ก็เรียกเลือดให้ไหลอาบได้ไม่น้อย

ลูก้าเห็นภาพนั้นแล้ว สีหน้าก็ทวีความหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก

กลัวจะต้องเสียเจเรมีไป... ทำให้เขาต้องรีบวิงวอนออกมา

“ขอร้องล่ะครับ อย่าทำอะไรคุณเจเรมี”
เสียงนั้นเรียกสายตาของเดร็กไปทันที “ฉันฆ่าแกแน่อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ตอนนี้” พูดจบก็จ่อปลายกระบอกปืนไปยังเจเรมีอีกครั้ง “เอาล่ะ เรามาจัดการให้จบๆ กันเถอะ ฉันจะได้ไปจากที่นี่สักที”

ปลายกระบอกปืนที่จ่อมาทางบริเวณส่วนศีรษะของเจเรมีทำให้เขารีบคิดหาทางเอาตัวรอดโดยเร็ว แต่ก็คิดไม่ออกเลยว่าเขาจะเอาตัวรอดจากที่นี่ได้อย่างไร ลำพังพาตัวเองหนีไปยังพอเป็นไปได้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นแล้วลูก้าล่ะจะเป็นอย่างไร การมาที่นี่ของเขาจะไม่เสียเปล่าเหรอ?

เพราะคิดอย่างนั้นจึงได้แต่ยืนเป็นเป้านิ่ง ลูก้าเห็นเจเรมีไม่เคลื่อนไหวก็เป็นห่วงจับใจ รีบส่งเสียงไปอีกครั้ง
“ถ้าจะฆ่าใครสักคนก็ฆ่าผมเถอะ ผมเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเอง ได้โปรดครับพ่อ ปล่อยเขาไป”
คำสรรพนามนั้นทำให้ใบหน้าของเดร็กย่นยู่ฉับพลัน
“ฉันรู้สึกขยะแขยงทุกครั้งที่แกเรียกฉันว่าพ่อ สงสัยต้องจัดการไอ้ตัวเกะกะอย่างแกซะก่อนล่ะมั้ง” แล้วก็หันปลายกระบอกปืนมาที่ลูก้าแทน

เห็นแล้วก็ใจเสียฉับพลัน แต่สำหรับลูก้าแล้วมันเป็นเรื่องที่ดีเพราะถ้าหากเขาตายๆ ไป เจเรมีจะได้หนี ทว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อเจเรมีเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี เขาก็ไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปหาเดร็ก กระโดดเข้าใส่อีกฝ่าย กระแทกร่างแกร่งจนเซไปกระแทกกับผนังด้านข้างด้วยหมายจะแย่งปืน

การจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เดร็กไม่ทันได้ตั้งหลัก ถลาไปตามแรงกระแทกนั้นก่อนจะถูกหมัดหลุนๆ ของเจเรมีจะบันเข้าหน้าเต็มรัก ความมึนงงประดังประเด ปืนเกือบจะหลุดมืออยู่แล้วถ้าหากไม่ประคองสติไว้ ก่อนจะได้ยินเสียงแหบห้าวดังเข้ามาในหู
“ฉันก็ขยะแขยงทุกครั้งที่รู้ว่าแกเป็นพ่อของลูก้า แกนี่มันขยะชัดๆ ไอ้แก่นรก!”

เจเรมีสวมวิญญาณจอมวายร้ายอีกแล้ว เห็นเดร็กกำลังจะหยัดยืนอีกครั้งก็พุ่งเข้าไปตะบันหน้าอีกระลอก ตามด้วยยกฝ่าเท้าขึ้นถีบเข้าไปกลางลำตัวเสียเต็มรัก

การที่ถูกชายหนุ่มรุ่นลูกประเคนหมัดและฝ่าเท้าให้เต็มเหนี่ยวอย่างนี้ทำให้เดร็กรับมือไม่ทันเลยทีเดียว ซ้ำจังหวะที่ถูกถีบจนล้มหงายไป ปืนที่อยู่ในมือก็หลุดกระเด็นไปบนพื้นอีก เจเรมีมองตามก็รีบผละจากเดร็กไปยังปืนนั้นในขณะที่เดร็กเองก็ไม่รอช้า รีบพลิกตัวไปคว้าปืนเช่นกัน สุดท้ายเลยกลายเป็นการปลุกปล้ำปล่อยหมัดใส่กันอุตลุตอย่างไม่มีใครยอมใครเพื่อแย่งปืนนั้นมาครอบครอง

หากแต่เจเรมีดูจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่สักหน่อยด้วยเขาได้รับบาดเจ็บและเดร็กเองก็เป็นคนรุ่นพ่อที่แข็งแรงน้อยกว่าเขาเสียเหมือนไหร่ ถึงอายุจะย่างเข้าเลขห้าแล้ว แต่กำลังวังชากลับไม่ต่างอะไรจากชายหนุ่มไม่มีผิดเพี้ยน พลาดท่าเพียงเล็กน้อย เจเรมีก็ตกอยู่ใต้ร่างของเดร็กทันที ทำเอาลูก้าที่มองอยู่รีบกระเสือกกระสนเข้าไปห้ามเมื่อเห็นว่าบิดาของตนใช้ด้ามปืนตบเข้าที่ใบหน้าของผู้มีพระคุณอย่างไม่เบามือหลายต่อหลายครั้งจนเลือดไหลกบปากและไหลออกจากจมูก

“พ่อ! อย่า! อย่าทำเขา!”
“ไสหัวไปไอ้เศษเดน!” สะบัดมือเล็กน้อย ด้ามปืนก็ตบเข้าที่ใบหน้าของลูก้าอย่างจัง

ลูก้าเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่ต่างจากเจเรมีเลยแม้แต่น้อย ทว่าเขาก็ไม่ละความพยายามที่จะช่วยคนตรงหน้า ในเมื่อห้ามแล้วไม่เป็นผลก็ถลาเข้าไปคว้าแขนล่ำมาออกกัดสุดแรง เดร็กร้องลั่นพลันหันมาต่อยเข้าที่ซีกหน้าของลูก้าจนล้มกระเด็นไปอีกทาง

ใบหน้าชาดิกจนแทบไม่รู้สึกแต่ก็ดีแล้วที่ทำให้เดร็กเบนความสนใจมาที่ตนเอง พลางมองผู้เป็นพ่อหยัดกายขึ้นยืน จ่อปืนมาทางเขา

“ไอ้เด็กเวรเอ๊ย! อยากตายมากนักใช่ไหม ได้! ฉันจะสงเคราะห์แกก่อนเลยคนแรก!”
ดูจากท่าทางแล้ว เดร็กคงจะไม่ลังเลที่จะยิงลูกชายคนนี้เลย ลูก้าไม่มีคำถามใดๆ มาถามผู้ให้กำเนิดคนนี้หรอกว่าเขากล้าทำลูกในไส้ได้อย่างไร

ก็เขาน่ะ...เคยถูกมองว่าเป็นลูกเสียที่ไหน คำว่า ‘พ่อ-ลูก’ นั้นเป็นเพียงสถานะความสัมพันธ์ที่เป็นเพียงชื่อเท่านั้น

ดวงตากลมทอดมองไปยังเจเรมีที่มองมาทางเขาอยู่ รอยยิ้มบางปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของลูก้า

ถ้าเขาจะตายก็ขอให้ภาพสุดท้ายที่เจเรมีเห็นคือใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขา...

แต่ใครมันจะไปปล่อยให้คนที่อุตส่าห์พยายามช่วยตายง่ายๆ กัน ยิ่งเห็นพวกหัวแข็งอย่างเจเรมีด้วยแล้ว เขาไม่ยอมให้ใครมาทำลายความตั้งใจของเขาง่ายๆ หรอก!

ไม่รอช้าที่จะพุ่งเข้าไปคว้าข้อเท้าของเดร็กแล้วออกแรงดึงทันที เดร็กล้มคะมำ สบถทุกถ้อยคำหยาบคายเท่าที่จะคิดได้ออกมา ขณะที่เจเรมีใช้โอกาสนี้ยันตัวลุกขึ้น วิ่งเข้าไปจะอุ้มลูก้าแล้วหนีไปยังจุดที่นัดหมายกับคริสไว้
“ไปเร็ว!”
“แต่...”
“นายต้องรอด ยังไงก็ต้องรอด ไปเดี๋ยวนี้!”
ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะแย้งแล้ว

ในเมื่อเจเรมีอยากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อ เขาก็จะอยู่!

หากแต่ในขณะที่เจเรมีฉุดลูก้าลุกขึ้นอยู่นั้น เดร็กก็เหนี่ยวไกเสียแล้ว ลูกกระสุนพุ่งมาทางเจเรมี ลูก้าซึ่งเหลือบเห็นภาพนั้นรีบผลักคนตัวใหญ่กว่าออกห่างสุดแรง แรงผลักทำให้ร่างกายเขาเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ลูกกระสุนจึงพุ่งเข้ามาเจาะเข้าที่หน้าอกอย่างพอดิบพอดี

“ลูก้า!” เจเรมีร้องลั่นเหมือนคนเสียสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดแสดงสีหน้าตกใจสุดขีดออกมา ทิ้งตัวลงประคองร่างเล็กไว้ในมือ ส่งเสียงเรียกคนที่กระอักเลือดกองใหญ่อย่างร้อนรน “ลูก้า...นายต้องไม่เป็นไร ได้ยินฉันไหม นายต้องไม่เป็นอะไร”
“นะ...หนีไปครับ หนีไป...” เสียงของเจเรมีไม่ได้เข้าหูเลยด้วยอาการบาดเจ็บทำให้เขาเริ่มไม่ได้สติ มีเพียงจิตใต้สำนึกเท่านั้นที่สั่งการให้ริมฝีปากขยับพูดไปอย่างนั้น

เจเรมีเองก็ไม่ฟังสิ่งที่ลูก้าพูดเช่นกัน นอกจากจะตบเข้าที่ซีกหน้าอีกฝ่ายไม่แรงนักเพื่อคอยเรียกสติไว้
“อย่าหลับนะ!”
ลูก้าไม่เคยรู้สึกหนาวยะเยือกอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต เขารู้ตัวว่าคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้ แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวเขามันก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมาใส่ใจอีกแล้ว นอกจากส่งเสียงบอกให้คนที่โอบอุ้มร่างเขาอยู่ไปให้พ้นจากที่ตรงนี้
“หนีไป...”

เจเรมีหงุดหงิดเต็มทน พลันพยายามหาหนทางเอาตัวรอดอีกครั้ง เดร็กหัวเราะให้กับภาพที่เห็น ค่อยๆ ย่างเท้าเข้ามาใกล้ก่อนจะยกปืนในมือขึ้นจ่อข้างขมับของเจเรมี

“พวกโอเมก้าไม่ว่าจะเกิดหรือจะตายก็น่าสมเพชทั้งนั้น” จากนั้นก็เหนี่ยวไก “ฉันจะรับหน้าที่เล่าให้พ่อแกฟังเองว่าแกตายได้น่าสมเพชแค่ไหน ตายซะไอ้พวกทุเรศ”

เสียงปืนดังขึ้นทันทีหลังจากสิ้นเสียงนั้น เจเรมีหลับตาปี๋ คิดว่าตัวเองจะต้องตายเสียแล้ว ทว่าก็ต้องประหลาดใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตนยังอยู่ในท่าเดิม มีแต่เดร็กเท่านั้นที่ผงะถอยหลังไปเมื่อกระสุนเจาะเข้าที่แขน ทำเอาปืนที่อยู่ในมือหลุดกระเด็น

คนที่ถูกยิงไม่ใช่เจเรมี แต่เป็นเดร็กต่างหาก!

หันไปมองยังทิศทางของกระสุนก็เห็นว่าเป็นฝีมือของคริสที่มาพร้อมกับพรรคพวกอีกจำนวนหนึ่ง

ด้วยความที่เขาเห็นว่าเจเรมีใช้เวลามายังที่นัดหมายนานกว่าที่คาดการณ์ไว้จึงอดทนรอไม่ได้จนต้องออกมาตามหาด้วยร้อนใจ และเขาก็คิดถูกจริงๆ ที่ตัดสินใจอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงได้ร่างไร้วิญญาณของเจเรมีกลับคืนไปแน่ๆ

เดร็กพยายามจะสู้อีกครั้ง แต่ก็ไม่รอดเมื่อถูกรุมกระหน่ำยิงอีกหลายนัดทันทีที่ขยับร่าง กระสุนพุ่งทะลุเข้าจุดสำคัญหลายจุดทำให้เขาทรุดฮวบลงไปกับพื้น กระตุกสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไป

รุกฆาต!

หมากตัวสำคัญบนกระดานถูกกำจัดแล้ว คริสส่งสัญญาณให้พรรคพวกเข้าไปตรวจดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมดลมหายใจด้วยการจับจุดชีพจร พอได้คำตอบ เขาก็ไม่รอช้าที่จะตรงเข้ามาหาเจเรมีทันที

“คริส...ช่วยลูก้าด้วย” เจเรมีเอ่ยทันทีที่เห็นหน้าของคนรัก
สภาพของลูก้าร่อแร่ขนาดนั้น มีหรือที่เขาจะปฏิเสธ ออกปากสั่งใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ทันที
“รีบตามรถพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย!”

ไม่มีใครรอช้า รีบปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว เจเรมีพอจะเบาใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่พอเห็นลูก้าที่พยายามจะจับมือเขาด้วยมืออันสั่นเทา เขาก็ใจไม่ดีขึ้นมา

“คะ...คุณเจเรมี...ผม...ไม่ไหว...”
“นายต้องรอดลูก้า ต้องรอด...” เจเรมีย้ำคำ ท่าทางกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด
หากแต่ลูก้าไม่ได้สนใจอีกต่อไปแล้ว สิ่งเดียวที่เขาอยากได้ยินจากปากของเจเรมีก็คือ...
“คุณว่า...ระหว่างโอเมก้ากับโอเมก้ามันจะเป็นไปได้ไหม...”
“มาถามบ้าอะไรตอนนี้” หัวคิ้วของคนถูกถามย่นยู่ฉับพลัน แต่ลูก้าก็ไม่วายถามย้ำอีก
“เป็น...ไปได้ไหม...” ดวงตาปรือปิดลงมากกว่าเดิมแล้ว

เจเรมีรีบตบเข้าที่ใบหน้าทันใด “ลูก้า...อย่าหลับ เฮ้! ฉันบอกว่าอย่าหลับไง!” เสียงดังมากกว่าเดิมเมื่อเห็นดวงตาอีกฝ่ายค่อยๆ ปรือลง ทว่าริมฝีปากแห้งผากก็ยังขยับอยู่
“...ได้ไหม”
“ได้สิ เป็นไปได้” จำต้องตอบแล้วคราวนี้ด้วยไม่ต้องการให้ลูก้าสนใจเรื่องอื่น พลันร้องเรียกอีกครั้ง “นี่! ฉันบอกว่าอย่าหลับ”
ลูก้าฟังเสียที่ไหน เขาก็ไม่อยากจะหลับหรอก แต่ร่างกายไม่อาจฝืนต่ออาการบาดเจ็บได้ ดวงตาปิดลงสนิท ใบหน้าซีดเซียวกว่าเดิมแต่ก็ยังมีรอยยิ้มให้เห็นบางๆ ก่อนเสียงแผ่วเบาจะดังมาให้ได้ยินพอจับใจความได้
“ผม...อยากจะมีชีวิตอยู่จนถึงวันนั้นจัง...”

เป็นครั้งแรกที่ลูก้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อจริงๆ ไม่ใช่อยู่เพื่อเอาตัวรอดจากสังคมอันโหดร้ายไปวันๆ อย่างที่ผ่านมา

เจเรมีฟังแล้วก็ใจไม่ดีทันควัน “นายก็มีชีวิตอยู่ต่อสิ สู้มาขนาดนี้เพื่ออะไร จะมาตายอย่างนี้ไม่ได้นะ แข็งใจเอาไว้…ลูก้า?”
จู่ๆ น้ำเสียงก็ขาดช่วงไปเมื่อเห็นว่าร่างในอ้อมแขนแน่นิ่งไป เจเรมีมองอย่างไม่เชื่อสายตา พลันออกแรงตีเข้าที่ซีกหน้าของลูก้าไม่แรงนัก
“ลูก้า... ลูก้า! ตื่นขึ้นมาสิเว้ย! ตื่นเดี๋ยวนี้!”

ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนองกลับมาเลย มีเพียงความนิ่งงันเท่านั้นที่เป็นปฏิกิริยาที่เขาได้รับ
“ลูก้า! ตื่น!” เจเรมีไม่เคยรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มอย่างนี้มาก่อน เขาโกรธเกลียดบรรทัดฐานของสังคม เกลียดชังระบบชนชั้นที่แบ่งแยกโดยเพศขึ้นมาจับใจ

ทำไม… กับแค่ให้โอเมก้าที่มีชีวิตบัดซบมาตั้งแต่เกิดได้เริ่มต้นชีวิตใหม่แค่นี้ ทำไมพระเจ้าถึงไม่เห็นใจบ้าง!?

น้ำตาไหลอาบใบหน้า โกรธแค้นทั้งเดร็กที่ทำให้ลูก้าต้องมีชะตากรรมอย่างนี้ โกรธทั้งตัวเองที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ โกรธชะตากรรมของลูก้าที่โหดร้ายกับเขาเกินไป

หลังจากลูก้าแน่นิ่งไปไม่นานนัก หน่วยแพทย์เคลื่อนที่มาถึงจุดเกิดเหตุพอดี คริสซึ่งยืนมองอยู่นานจำต้องเข้ามาแยกเจเรมีออกจากร่างแน่นิ่งนั้นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้จัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้น พลางกระซิบเบาๆ ข้างหูโอเมก้าหนุ่มที่ยืนมองเจ้าหน้าที่พวกนั้นปั๊มหัวใจให้ลูก้า
“ทำแผลก่อนนะเจมี”

คนถูกเรียกหันไปมองหน้าคริสได้ก็โผเข้ากอดร่างใหญ่ทันควัน ปลดปล่อยความเสียใจที่มีออกมาอย่างไม่อาจกักเก็บไว้ได้
เขาพยายามแล้ว...พยายามเต็มที่แล้ว แต่ก็ไม่อาจช่วยลูก้าได้

แค่ขอให้ได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โอเมก้าพวกนี้ถึงกับต้องแลกด้วยชีวิตเลยหรือไง!
มีคำพูดมากมายเลยทีเดียวที่เจเรมีอยากจะระบายมันออกมา แต่ก็ทำได้แค่กอดคนตรงหน้าแน่น ร้องไห้จนตัวโยนอย่างหมดมาดเท่านั้น

คริสโอบกอดเจเรมีตอบ ปลอบโยนให้คนในอ้อมแขนสงบลง ก่อนจะเอ่ยออกมา
“สงครามมันยังไม่จบหรอกนะเจมี มันเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น”

ถูกอย่างที่คริสพูด...สงครามของพวกเขามันยังไม่สิ้นสุด

ตราบใดที่คำว่า ‘ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์’ มันยังไม่ปรากฏขึ้นในสังคม พวกเขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป

เดินต่อไป...จนกว่าการกดขี่จะเลือนหายไป

ตลอดกาล...
-----------------------------
เอาล่ะ อ่านมาจนถึงตอนนี้แล้วอย่าเพิ่งแท็กทีมกันรุมตบคนเขียนนะ ใจเย็นๆ รออ่านบทส่งท้ายกันก่อน บอกตามตรง...เสียววูบวาบมาก 555 ถามว่าตอนแรกหนูแดงตั้งใจเขียนให้ลูก้าต้องมาเจออะไรแบบนี้ในตอนสุดท้ายมั้ย? ตอบเลยว่านี่ก็เขียนตามพล็อตที่วางไว้ตั้งแต่แรกแหละค่ะ ลูก้าถูกพ่อตัวเองยิง เดร็กตาย แล้วลูก้าก็ไม่ได้กับอัลเบิร์ต ตรงตามพล็อตที่วางไว้เป๊ะๆ ชีวิตนางบัดซบมากตั้งแต่เริ่มยันตอนสุดท้าย ก๊ากกก

พรุ่งนี้จะมาอัพบทส่งท้ายให้ ผ่านตอนนี้ไปให้ได้นะคะแล้วจะเจอแสงแห่งความหวังเอง
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[100%][24/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: INK@PANTIP ที่ 24-03-2017 09:27:43
ดีงามสร้างสรรมากเป็นกำลังใจให้ผู้แต่ง :haun4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[100%][24/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 24-03-2017 12:13:21
อ่าวจบแล้วเหรอออออ ยังเหมือนไม่อยากให้จบเลย  :hao5: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[100%][24/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-03-2017 12:27:03
อิน ลุ้น(เจเรมี่ไม่ให้ใจร้อน งี่เง่า) สนุก ตื่นเต้น
รักร้อนแรง เศร้า  :mew1: :mew1: :mew1:
มีครบทุกรส สงสารลูก้า มีพ่อ อย่างเดร็ก
ที่เอาแต่พะนอลูกอัลฟ่าธีโอ ที่ไม่ได้เรื่อง
ก็นึกอยู่เหมือนกันว่าลูก้า คงไม่ได้เทิดทูนเจเรมี่ แบบไอดอลเฉยๆ
คริสเฉลียวใจเร็วมากเรื่องนี้
แล้วเจม ก็ตกหลุมรักคริส  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ไม่ใช่แค่คู่แห่งโชคชะตาเฉยๆ และ  ยอดไปเลย 
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[100%][24/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 24-03-2017 18:50:37
ปั๋มขึ้นไม๊
เดร๊กตายง่ายไป
เลวขนาดนี้!!
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Ep.23[100%][24/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 24-03-2017 23:00:53
Epilogue

จากวันนั้นก็ผ่านมาหลายเดือน การปฏิวัติเป็นไปตามความตั้งใจของคณะปฏิวัติที่ต้องการให้กลุ่มอำนาจเก่าลงจากตำแหน่งที่ครอบครองไว้อย่างยาวนาน ทว่าหลังการปฏิวัติเสร็จสิ้น ความสงบเรียบร้อยก็ยังไม่อาจคืนสู่มหานครเพิร์ลได้

ไม่...ไม่ใช่มหานครเพิร์ลอีกต่อไปแล้ว อาณาเขตเพิร์ลต่างหาก

ถึงจะเกิดการปฏิวัติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มผู้มีอำนาจเก่าที่หลบหนีออกจากอาณาเขตไปจะยอมรามือโดยง่าย แม้จะถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมดและปลดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการเมืองออกจากตำแหน่ง ทว่าพวกเขายังคงหาทางกลับมาครองอำนาจเช่นเดิมเพียงแต่ในเวลาอย่างนี้มันไม่ง่ายนักเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ไม่ยอมอยู่ภายใต้การปกครองแบบกดขี่อีกต่อไปแล้ว แต่ก็มีผู้ที่ยอมพ่ายแพ้ต่อสงครามครั้งนี้เช่นกัน

เช่น ตระกูลแฮร์ริสัน... ธีโอ บุตรชายไม่เอาอ่าวเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตและอพยพไปพึ่งพาญาติในอาณาเขตห่างไกลไม่มีความสามารถมากพอที่จะกู้เกียรติยศของบิดากลับคืนมาก็จำต้องรามือและใช้ชีวิตอย่างเก็บตัวแทนเพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามองของทางการมากนักด้วยรู้ดีว่าเจอโรมต้องไม่ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายดังเช่นที่ผ่านมาแน่

ส่วนอาณาเขตปกครองพิเศษอื่นๆ ที่เคยอยู่ภายใต้อำนาจของอดีตมหานครเพิร์ลก็แยกตัวออกไปเป็นอาณาเขตอิสระ ไม่ขึ้นตรงต่อกันไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม ทว่ายังมีการสานสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรอยู่ มีเพียงบางอาณาเขตที่ไม่สามารถปกครองตัวเองด้ยไร้ซึ่งผู้นำสืบทอดเท่านั้นที่ยังอยู่ภายใต้การดูแลของอาณาเขตเพิร์ล แต่เป็นไปในลักษณะของการเกื้อกูลกันโดยมีการตัดระบบเลือกผู้แทนจากประชาชนของอาณาเขตนั้นๆ โดยการออกความเห็นของประชาชนให้ขึ้นมารับตำแหน่งแทนการเข้าไปแทรกแซงอย่างที่ผ่านมา

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของระบบชนชั้นทางสังคม เป็นครั้งแรกที่สภาระดับสูงมีสมาชิกวุฒิสภาเป็นชนชั้นนอกจากอัลฟ่าเช่นเบต้าและโอเมก้า

หนึ่งในนั้นคือเจเรมี เมอร์ซี...โอเมก้าผู้ซึ่งได้ชื่อว่านักเคลื่อนไหวในการเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคให้กับโอเมก้า เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในการดำรงชีวิตอย่างอิสระของโอเมก้าโดยไม่ขึ้นตรงกับใคร
เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอาณาเขตเพิร์ลเลยทีเดียวที่มีการออกมาเรียกร้องสิทธิ์ความเท่าเทียมให้กับโอเมก้าอย่างเป็นทางการ จะว่าเจเรมีสานต่อปณิธานของผู้เป็นพ่อก็ได้เพราะเจอโรมเองก็เคยมีนโยบายนี้เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้ดำเนินการผลักดันอย่างจริงจังนักด้วยเขามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้รับผิดชอบ อีกทั้งเขาเป็นอัลฟ่า แม้จะเข้าใจถึงความสำคัญในการมีตัวตนของโอเมก้าเพราะมีลูกชายเป็นโอเมก้าดี แต่เขาจะเข้าใจความสำคัญของมันได้ดีเท่ากับคนที่เป็นโอเมก้าตั้งแต่กำเนิดได้อย่างไร

ว่ากันตามตรง การใส่สูทผูกไทและทำรายงานแผนงานต่างๆ มาเสนอต่อที่ประชุมในสภานั้นไม่ใช่วิธีที่เจเรมีถนัดเลยแม้แต่น้อย เขาใช่คนที่เก่งด้านการใช้สมองเสียที่ไหน ถ้าเป็นเรื่องพละกำลังก็ว่าไปอย่าง ขนาดผ่านมาครึ่งปีที่เขาก้าวเข้ามาเป็นแกนนำในการจัดการเรื่องนี้ เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับมันเสียที อะไรๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจเขาเลยแม้แต่น้อย กว่าที่แต่ละนโยบายจะได้รับความเห็นชอบก็ทำเอาเขาเกือบจะเผลอใจพังการประชุมให้รู้แล้วรู้รอดอยู่หลายต่อหลายครั้ง

แต่ก็ไม่ได้ทำ...

ถึงจะยังเป็นคนอารมณ์ร้อน โผงผางและแสดงอาการทุกครั้งที่พบเจออะไรไม่ถูกใจ ทว่าเขาก็มีสติพอที่จะควบคุมอารมณ์และคิดไตร่ตรองก่อนจะลงมือทำอะไรได้บ้างแล้ว ถึงมันจะไม่ดีนัก แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลง

เพราะตระหนักรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าการใช้อารมณ์นำมาซึ่งปัญหาประหนึ่งน้ำผึ้งหยดเดียว เขาจึงพยายามที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีกแม้ว่าสมาชิกวุฒิสภาระดับสูงหัวคร่ำครึตรงหน้าเขาจะแสดงความเห็นต่อนโยบายที่เขานำมาเสนอได้อย่างน่าหมั่นไส้ก็ตาม ซ้ำยังตามมาด้วยการเหยียดเพศต้นกำเนิดอีก ทำเอาเขากำมือแน่น อดทนจนถึงที่สุด เมื่อได้เวลาพักระหว่างการประชุม เขาก็ตัดสินใจทำตัวเกเร หนีออกจาการประชุมดื้อๆ เสียอย่างนั้น ฝากฝังให้อัลเบิร์ตซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาของเขารับช่วงต่อแทน

เขายอมรับว่าใจร้อนและยังควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยการทำเสียมารยาทอย่างนี้ก็ยังดีกว่าเขาอาละวาดพังการประชุมจนวงแตกกระเจิงก็แล้วกัน

สถานที่สงบเงียบร้างไร้ผู้คนจึงเป็นจุดหมายให้เขาแวะเวียนมาผ่อนคลายสมองจากเรื่องยุ่งยากทั้งปวง ขายาวก้าวเข้าไปในสุสานขนาดใหญ่ที่มีรั้วเหล็กรอบล้อม ก่อนจะหยุดลงหน้าแท่นหิน ทรุดตัวนั่งยอง วางช่อดอกไม้ในมือที่ซื้อติดมาตั้งแต่ในเมืองลงบนนั้น พลันลูบไล้ฝ่าปลายนิ้วลงไปบนชื่อที่สลักอยู่อย่างเบามือ ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมา

น่าอิจฉาคนที่นอนหลับอยู่ในหลุมพวกนี้ชะมัดที่ไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยาก

อดคิดอย่างนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ความคิดไร้สาระของเขาก็ต้องยุติลงเมื่อมีเสียงของใครบางคนเรียกความสนใจไป
“ว่าแล้วว่าต้องมาที่นี่”
หันไปมองก็เห็นว่าเป็นชายในชุดสูทท่าทางภูมิฐานเดินเข้ามาหาพร้อมกับส่งยิ้มมาให้

คริส ฟ็อกซ์... ต้องเป็นท่านผู้นำฟ็อกซ์สิ

ไร้ซึ่งภาพลักษณ์นักโทษกบฏอย่างที่เคยเห็นในตอนแรกที่พบหน้าอย่างสิ้นเชิง คริสในตอนนี้มีเพียงแต่ภาพลักษณ์เจ้าชายเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวที่เนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหรือท่วงท่า เขาก็ดูดีไปหมด

เจเรมีอดชื่นชมเขาไม่ได้เลย ภาพของคริสที่เห็นตรงหน้าคงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ขณะเดียวกันก็คิดย้อนด้วยว่าตัวเองไม่เหมาะกับการใส่สูทแบบนี้เลยแม้ว่าคริสจะมองว่ามันดูดีมากก็ตาม

เจเรมีไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ตอบรับนอกจากจะหันหน้ากลับมามองชื่อที่สลักบนแท่นหินนั้นเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทรุดตัวลงนั่งยองข้างๆ บ้างเมื่อเดินมาใกล้

“คิดถึงคนบนฟ้าเหรอ”
เจเรมีเหลือบมองเล็กน้อย ตอบเสียงแผ่ว “ก็ต้องคิดถึงอยู่แล้ว ไม่ได้เจอหน้ากันพักใหญ่แล้วนี่นะ” ก่อนจะถาม “แล้วนายมาที่นี่ทำไมล่ะ มีงาน?”

หมายถึงมาที่อาณาเขตเพิร์ล ปกติแล้วคริสจะใช้เวลาอยู่ที่อาณาเขตดีออนมากกว่า ถ้ามีการเดินทางไปไหน แสดงว่าเป็นเรื่องงานทั้งสิ้น

“วันนี้มีประชุมใหญ่นี่ ช่วงเย็นมีการประชุมของพันธมิตรระหว่างอาณาเขต ฉันในฐานะผู้นำก็ต้องมาเข้าร่วมเป็นธรรมดา”

การประชุมที่คริสว่าเริ่มหลังจากการประชุมสภาระดับสูงของอาณาเขตเพิร์ลสิ้นสุดลง...

ตามอย่างที่คาดเดาไว้ไม่มีผิด เจเรมีไม่ได้สนใจนัก ทอดสายตามองไปยังป้ายหินสลักนิ่งๆ ทำให้คริสต้องมองตาม

มาเรีย เมอร์ซี... เกือบจะครบปีแล้วสินะที่เจเรมีสูญเสียมารดาไป จะคิดถึงก็ไม่แปลก และคนข้างกายเขาคงจะเหนื่อยล้าสุดจะทนด้วยล่ะมั้งถึงได้โผล่มาที่สุสานแบบนี้

คริสรู้ดี เจเรมีมักทำอย่างนี้ทุกครั้งที่ต้องการจะหาความสงบจากเรื่องวุ่นวายภายนอก พลันเอื้อมมือไปวางบนศีรษะของอีกฝ่าย ออกแรงเขย่าเบาๆ

“วันหลังน่ะถ้าไม่สบายใจอะไรก็มาหาฉันก็ได้ มาที่นี่นายก็ไม่มีใครคุยเป็นเพื่อน มาหาฉัน อย่างน้อยก็มีฉันที่รับฟัง”
“นายอยู่ไกล แถมยังไม่ค่อยมีเวลา ไปหานายมันต่างอะไรกับมาหาแม่ฉันล่ะ” เจเรมียอกย้อน

จริงอย่างที่โอเมก้าหนุ่มว่า ตั้งแต่ที่การปฏิวัติโดยประชาชนเป็นผลสำเร็จและอาณาเขตดีออนได้รับการปลดแอกจากการควบคุมของมหานครเพิร์ล เขาซึ่งดำรงตำแหน่งในฐานะผู้นำคนใหม่ก็แทบจะไม่มีเวลาว่างเลยแม้แต่น้อยด้วยต้องวางแผนปฏิรูปการปกครองและฟื้นฟูอาณาเขตใหม่ทั้งหมด เรียกได้ว่าเขาหายใจเข้าออกเป็นเรื่องงานตลอดเวลาเลยก็ว่าได้

และคริสก็ไม่ปฏิเสธความจริงข้อนั้น เขายิ้มรับเล็กน้อย ถอนหายใจออกมาคล้ายกับว่ายอมจำนน

“แต่การที่เจอหน้านายนับครั้งได้แบบนี้นี่มันก็ทำฉันเหงาเหมือนกันนะ”
เจเรมีเหลือบมองหน้า เห็นใบหน้าคร้ามเปื้อนยิ้มอยู่ก็หัวเราะออกมา
“พูดบ้าอะไร”

เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน คริสมักจะออดอ้อน มันดูน่ารำคาญที่เห็นผู้ชายตัวใหญ่พูดจาเหมือนเด็กขี้งอน แต่เจเรมีก็ชอบใจเป็นพิเศษเพราะนอกจากมันจะทำให้เขาคลายความเครียดจากเรื่องงานทั้งหมดแล้ว มันยังทำให้เขารู้ว่าตัวเองคิดถึงคริสมากแค่ไหน เพียงแต่ไม่เคยพูดออกไปเท่านั้น และสุดท้ายมันก็จะจบลงด้วยความเงียบงันหรือไม่ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปเป็นเรื่องอื่น
ว่ากันตามตรง ตั้งแต่ที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เจอหน้ากันแทบนับครั้ง ยิ่งสถานะของคริสเปลี่ยนไปด้วยแล้ว ไม่ต้องบอกเลยว่าเจเรมีวางตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าคริส มีแค่ความรู้สึกที่เขามีต่อคริสเท่านั้นที่ยังเหมือนเดิม
คริสก็เช่นกัน ได้ยินเจเรมีตัดพ้ออย่างนั้นก็เลื่อนมือลงมาลูบซีกแก้ม

“งั้นย้ายมาอยู่ด้วยกันไหม”

ไม่ใช่ครั้งแรกที่คริสเอ่ยปากชวนให้เจเรมีไปอยู่ที่อาณาเขตดีออนกับเขา และไม่ใช่ว่าเจเรมีไม่อยากไป

อยากไปจะตาย!

แต่ว่า...

“งานฉันล่ะจะทำยังไง”

คริสกะไว้อยู่แล้วว่าเจเรมีต้องกังวลเรื่องนี้ ทุกครั้งที่ปฏิเสธก็เอาเรื่องงานมาอ้างทั้งนั้น

ไหนใครบอกว่าเกลียดงานที่ทำอยู่กัน แล้วมาทำเป็นว่าเขาว่าบ้างาน ตัวเองก็พอกันแหละ...

“ถ้าเป็นห่วงเรื่องนั้น ฉันจะหาคนมาดูแลให้”
ได้ยินแล้ว หัวคิ้วของเจเรมีก็ย่นยู่ “แต่มันเป็นงานของฉัน”
“ฉันรู้ แต่บางครั้งนายก็ไม่ต้องเอาตัวลงไปลุยทั้งหมดหรอก หัดวางตัวให้เป็นกัปตันเรือบ้าง กัปตันเรือเขาไม่ทำทุกอย่างบนเรือเองหรอกจริงไหม”

พูดมาอย่างนี้ เจเรมีก็พอจะเข้าใจ เหมือนกับที่เจอโรมพูดเลย ทว่าเพราะเขาตั้งใจจะทำทุกอย่างเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้โอเมก้าทุกคน ทำให้เขาไม่สามารถไว้วางใจอัลฟ่าหน้าไหนได้เลย

เขากำลังกลัว...กลัวว่าระบบชนชั้นนรกนั่นจะกลับคืนมาอีกหลังจากที่มันเริ่มจะคลายความตึงลงบ้างแล้ว

...เขาไม่ต้องการเห็นโอเมก้าคนไหนมีชีวิตน่าสังเวชเกินกว่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะรับได้ไหวอีก

คริสเข้าใจดี ธรรมชาติของเจเรมีคือเกิดมาเพื่อเป็นผู้ปกป้อง ไม่ใช่คนถูกปกป้องแม้ว่าจะเป็นเพศอ่อนแออย่างโอเมก้า อุดมการณ์ของเขามั่นคงเกินกว่าที่ใครจะทำให้สั่นคลอนได้ ยิ่งหลังจากมีเรื่องของลูก้า เขาก็ตั้งมั่นว่าจะยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของโอเมก้าทุกคน

การกระทำของเขาในตอนนี้ไม่ใช่เพื่อการปกป้องลูก้าเพียงคนเดียวอีกต่อไป มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องแสดงศักยภาพของความเป็นโอเมก้าให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเพศไหน

คริสชื่นชมความกล้าหาญของเจเรมีอยู่ในใจ และเขาก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับความตั้งใจของอีกฝ่ายจนทำให้เจเรมีมองเขาในแง่ไม่ดี กระนั้นเขาก็ยังอยากจะช่วย อย่างน้อยก็ช่วยให้เจเรมีไม่ต้องหน้าดำคร่ำเครียดทุกครั้งที่เจอหน้ากันอย่างนี้
หากแต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เจเรมีก็ถามขึ้นมาก่อน

“แล้วหมอนั่น...เป็นยังไงบ้างล่ะ”
เขาถามถึงลูก้าที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาตั้งแต่ที่คริสรับตัวอีกฝ่ายไปรักษาตัวที่อาณาเขตดีออนหลังจากผ่านความตายชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดด้วยในตอนนั้นใจกลางอาณาเขตเพิร์ลวุ่นวายเกินกว่าจะรับรองความปลอดภัยให้ลูก้าได้

ใช่...ลูก้าไม่ตาย เขารอดตายมาอย่างหวุดหวิด ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร แต่เขาก็ยังรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้ เขาถึงได้ตระหนักรู้ว่าชีวิตของเขามีค่ามากเพียงใดเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในวันที่รู้ว่าตัวเองได้รับอิสระในการใช้ชีวิตแล้ว

เพราะได้รับอิสระ หลังจากรักษาตัวจนหายดี ลูก้าก็ขออาศัยในฐานะเด็กรับใช้ในบ้านของคริสเพื่อตั้งหลักว่าต่อจากนี้ควรใช้ชีวิตอย่างไร แต่ก็ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนดีเขาก็ได้คำตอบ ขอย้ายออกด้วยอ้างเหตุผลว่าเขาอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพาใครอีก คริสก็ไม่ได้ห้าม ปล่อยให้อีกฝ่ายไปแม้ว่าเจเรมีจะเป็นห่วงอยู่บ้างก็ตาม

แต่ลูก้าก็ต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าเขามีคุณค่าหลังจากนี้เหมือนกัน...

เจเรมีจึงยอมรามือ อีกอย่าง...ในตอนนี้เขาไม่ได้มีลูก้าคนเดียวที่ต้องปกป้องแล้ว แต่เป็นโอเมก้าทุกชีวิต ถึงอย่างนั้นก็ยังถามไถ่ความเป็นอยู่ของลูก้าอยู่บ้างโดยผ่านคริสเพราะลูก้าปฏิเสธที่จะติดต่อกับเจเรมีด้วยตัวเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูก้าคิดว่าการอยู่ใกล้เจเรมี เขารังแต่จะสร้างปัญหาให้ ต่อให้รักมากเพียงใด แต่การทำให้คนที่รักไม่ต้องเดือดร้อนเพราะเขาอีกจะเป็นการดีกว่า
รักโดยไม่ต้องครอบครอง รักโดยการเฝ้ามองอยู่ห่างๆ แค่นี้ก็ทำให้ลูก้ามีความสุขมากแล้ว

โชคดีที่คริสเข้าใจเจเรมีดีว่าความรู้สึกที่อีกฝ่ายมีต่อลูก้าไม่ได้เกินเลยไปมากกว่าคำว่าอยากปกป้องเลย จึงทำให้เขาเต็มใจที่จะรับหน้าที่เป็นคนส่งข่าวให้ทุกเมื่อที่เจเรมีต้องการ

“สบายดี ฝากฉันมาบอกนายว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้เห็นว่าไปเป็นผู้ช่วยอยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าที่เป็นโอเมก้าในดีออน”
เจเรมียิ้มให้กับคำตอบนั้น เบาใจได้แล้วที่คนอ่อนแอคนนั้นเข้มแข็งในทางที่ถูก
“หมอนั่นคงเข้าใจแล้วสินะว่าชีวิตตัวเองมีค่าแค่ไหน”
คริสพยักหน้าเล็กน้อย มองเจเรมีที่ดูผ่อนคลายลงกว่าเดิม ก่อนจะแสร้งว่าหยอกเย้า
“คิดถึงคุณนายเมอร์ซี คิดถึงลูก้า แล้วเมื่อไหร่นายจะคิดถึงคริส ฟ็อกซ์ซะทีหืม?”
เจเรมีถึงกับหลุดหัวเราะเสียงดัง “อะไรของนายเนี่ย”

ดูท่าทางจะหายเครียดแล้ว ทำให้คริสได้ถามเข้าประเด็นก่อนหน้าอีกครั้ง
“ถ้าคิดถึงคริสก็ตอบหน่อยว่าตกลงจะไปอยู่กับฉันไหม”
เจเรมีผ่อนเสียงหัวเราะมาเม้มริมฝีปากแน่นคล้ายกับว่าครุ่นคิด

เขาอยากไปอยู่กับคริส...เป็นสิ่งที่เขาโหยหามาตลอด ทว่าก็ได้แต่อ้ำอึ้งด้วยภาระที่ค้ำคอ แต่แล้วก็ต้องใจอ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งลนไฟเมื่ออีกฝ่ายถามออกมาอีก

“ว่าไง ไม่คิดถึงฉันเหรอ?”

คิดถึงจนแทบจะขาดใจตายให้ดูตรงหน้าได้อยู่แล้ว!

เจเรมีเอื้อมมือไปสอดที่หลังลำคออีกฝ่าย โน้มใบหน้าของคริสเข้ามาจูบทันที สัมผัสนุ่มนวลที่จู่โจมเข้ามากะทันหันทำให้คริสอดใจไม่ไหว จูบตอบอย่างกระหายด้วยร้างราจากการสัมผัสร่างกายของคนตรงหน้ามาระยะใหญ่

แต่คนที่ดูท่าจะทนไม่ไหวมากกว่าคริสน่าจะเป็นเจเรมี เพราะทันทีที่ปลายลิ้นของเขาทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกัน เจเรมีก็สอดมือเข้าไปใต้เสื้อสูทของอีกฝ่ายทันที ทำเอาคริสตะครุบไว้แทบไม่ทัน

ริมฝีปากผละออกมา ยิ้มอย่างขวยเขินระคนขำ “ตรงนี้...ไม่ดีมั้ง”

ไม่ดีอย่างแน่นอนเพราะนอกจากจะเป็นกลางแจ้งแล้ว ยังเป็นกลางสุสานอีกด้วย

เจเรมีหัวเราะให้กับความระห่ำของตัวเอง ดันตัวลุกขึ้นยืนแล้วออกปาก
“ในรถได้ไหมล่ะ แล้วฉันจะตอบว่าจะไปอยู่กับนายไหม”
คริสลุกขึ้นยืนตาม ลูบหลังต้นคอ หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามาโอบเอวของเจเรมี
“ไปสิ...ถ้านายต้องการ” ไม่เคยปฏิเสธคำร้องขอของเจเรมีเลยสักครั้ง

เจเรมีโอบเอวหนาของอีกฝ่ายคืน พากันเดินไปยังรถที่จอดรออยู่ด้านนอก ทันทีที่คริสจัดการให้คนขับรถติดเครื่องเอาไว้และไล่ให้ไปรออยู่อีกทางแล้ว บทรักของทั้งคู่ก็ดำเนินขึ้น

ฟิล์มที่ติดกระจกรถมืดพอที่จะทำให้คนข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็น แต่ถึงจะมองเห็น เจเรมีก็ไม่สนใจ ขยับตัวขึ้นมานั่งคร่อมชายคนรักไว้ ริมฝีปากประกบจูบไม่ห่างขณะที่มือก็จัดการดึงทึ้งเสื้อสูทของคริสออก ก่อนจะมาถอดเสื้อสูทของตัวเองออกบ้าง
คริสไม่ปล่อยให้เจเรมีได้กระทำเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเจเรมีออก ทันทีที่ยอดอกสีสวยปรากฎให้เห็นตรงหน้า ปลายลิ้นอุ่นร้อนก็ตวัดไล้หยอกเย้า เข้าครอบครองเมื่อตุ่มไตเล็กๆ ชูชันตอบสนองกับการกระตุ้นเร้าของเขา

เจเรมีขบกรามแน่น บริเวณกลางลำตัวของเขาคับแน่นเสียจนแทบจะปะทุออกมา ก่อนที่จะเป็นฝ่ายปลดเปลื้องพันธนาการของตัวเองอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังใจดีมาช่วยคริสจัดการกับเข็มขัดและซิปกางเกงอีกต่างหาก

คริสเหลือบมองการกระทำของเจเรมีแล้วก็หัวเราะ เจเรมีส่งสายตาดุดันให้เล็กน้อย
“หัวเราะอะไร”
คนถูกถามส่ายหน้า ตะปบเนื้อหนั่นบริเวณบั้นท้ายของอีกฝ่ายแล้วยกขึ้นมานั่งบนตัก
“นายยังน่ารักเหมือนเดิมเลยเจมี” ว่าพลางขบเม้มใบหูของอีกฝ่าย

กลิ่นกายของเจเรมีทำให้เขาคิดถึงร่างกายของคนตรงหน้าขึ้นมาจับใจ เจเรมีเองก็เช่นกัน เขากำลังกระหายไออุ่นจากคริส

กระหายในความรักของคนตรงหน้า...กระหายรสสัมผัส

ก่อนจะครางเสียงแหบต่ำออกมาเมื่อช่องทางด้านหลังถูกรุกรานด้วยปลายนิ้วแกร่ง
“ก็ฉัน...เป็นเจมีของนายนี่...” เพิ่งจะได้ตอบรับคำพูดประโยคเมื่อครู่นี้ก็ตอนที่ร่างกายของเขากลืนกินนิ้วของคริสไปจนหมดแล้ว

จากนั้นก็เริ่มส่งเสียงออกมาไม่เป็นภาษาทันทีที่คริสขยับปลายนิ้วไปโดนจุดอ่อนไหวเข้า...

เป็นน้ำเสียงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่คริสได้ยินมาในช่วงนี้...

ปลายแกนกลางลำตัวของเจเรมีไหวสั่น ความอัดอั้นที่กักเก็บไว้ถูกปลดปล่อยออกมาเร็วกว่าปกติ ร้ายกว่านั้นยังทำหน้าท้องของคริสเปรอะเปื้อนเพราะนั่งหันหน้าเข้าหากัน หากแต่คริสไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ออกจะชอบเสียอีกที่เห็นคนในอ้อมแขนหายใจหอบหนักได้เพราะเขา

“แล้วนายจะเป็นเจมีของฉันตลอดไปไหม” ริมฝีปากกระซิบถามอีกครั้ง
เจเรมีพยักหน้า สบดวงตาเรียวสวยได้รูปนิ่ง “จนกว่าจะตายจากกัน...ฉันจะเป็นเจมีของนาย”

ไร้ซึ่งคำบอกรัก ไม่เคยมีคำว่ารักหลุดออกจากปากของเจเรมีเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าคริสกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของคนตรงหน้าอย่างชัดเจน

รัก...

รักมากจนไม่อาจจะอยู่ห่างกันได้แม้แต่วินาทีเดียวอีกแล้ว...

การเอ่ยปากชวนคริสให้เข้ามาในรถเป็นการตัดสินใจผิดพลาดของเจเรมีทันทีเพราะมันทำให้เขารู้สึกอย่างนั้น คริสเองก็เช่นกัน ยิ่งร่างกายของพวกเขาผนวกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ลมหายใจของทั้งคู่ก็แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

“ฉันขาดนายไม่ได้อีกแล้ว” คริสกระซิบเสียงพร่าขณะจับสะโพกของคนบนตัวให้ขยับไปตามจังหวะ
เจเรมีบดจูบลงบนริมฝีปากหนา เอ่ยด้วยถ้อยคำที่หวานล้ำที่สุดเท่าที่คริสเคยได้ยินมา

“ฉันจะไปอยู่กับนาย แต่ช่วยหุบปากแล้วตั้งใจทำเถอะ ฉัน...อา...ตรงนั้น...อีกคริส...อีกหน่อย...” ตามด้วยเสียงกระเส่าอีกระลอกใหญ่

เป็นการจินตนาการของคริสเองแหละที่คิดว่าเจเรมีจะเอ่ยถ้อยคำหวานๆ ออกมาให้ได้ยิน

ทั้งที่เมื่อกี้ก็หลุดปากพูดออกมาแล้วแท้ๆ จะพูดต่ออีกสักประโยคก็ไม่ได้...

เสียดายไม่ใช่น้อย แต่เสียงแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน

มันช่วยไม่ได้ นี่แหละตัวตนของเจเรเมี โอเมก้าที่เขามอบกายและใจให้

รักโดยปราศจากการทำตามสัญชาตญาณดิบของคู่แห่งโชคชะตา...

จะเป็นอัลฟ่า โอเมก้าหรือชนชั้นไหนๆ มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วถ้าหากคนที่เขารักคือจอมวายร้ายคนนี้

เจเรมี เมอร์ซี...

ไม่...ไม่ใช่อีกแล้ว

เจเรมี ฟ็อกซ์... คู่ชีวิตของคริส ฟ็อกซ์

จากนี้...และตลอดไป
------------------------------
ยังไม่จบนะคะ ยังเหลือ Extra อีกตอนสั้นๆ แล้วเดี๋ยวจะมาอัพตัวอย่างตอนพิเศษอีก 4 ตอนให้ ตอนแรกจะเขียน 3 แต่เพิ่มมาอีกตอนเพราะลูก้ายังอยู่ค่ะ จะได้เล่าต่อไปว่าหลังจากนี้ชีวิตของนางเป็นยังไง

ขอบคุณทุกคนมากที่ตามกันมาจนถึงตอนนี้ เจมีโดนด่าพรุนมาก รองลงมาคือลูก้ากับเดร็ก 555

เดิมทีหนูแดงไม่อินแนวโอเมก้าเวิร์สค่ะ ใช้เวลาสักพักใหญ่ถึงจะเริ่มอินขึ้นมาบ้างเลยมาเขียน ส่วนแนวดิสโทเปียนี่อยากเขียนมานานแล้ว มันท้าทายดี เคยเขียนเป็นนอร์มอลแล้วเมื่อหลายปีก่อนแต่ไม่รอด มันยากกก ;w; ถึงตอนนี้ก็ยังยอมรับว่ายากอยู่เพราะต้องคุมไม่ให้ตัวละครหลุดคาร์แร็กเตอร์ (ถ้าหลุด เจมีกับลูก้าก็คงไม่โดนแม่ยกขุ่นคริสหมั่นไส้กันขนาดนี้ 555)

ถามว่าพอใจกับเรื่องนี้มั้ย...พอใจนะคะ ทำลูกสาวถูกจวกจนพรุนถือว่าสอบผ่านแล้ว 555

ขอบคุณอีกครั้งที่ติดตามค่ะ ส่วนเรื่องนี้ถ้าอัพจนจบแล้วและทาง สนพ.รักคุณ เปิดขายเมื่อไหร่  Ebook น่าจะมาก่อนเพื่อนเลย หลังจากนี้หนูแดงจะแวบไปเขียนแนวคอมเมดี้บ้างแล้ว เขียนแนวหนักๆ ติดกันหลายเรื่องแล้วชักล้า ก๊ากกก

ฝากฝังลูกชายทั้งสองไว้ในอ้อมอกอ้อมใจกันด้วยเน้อ แล้วเจอกันในฉบับหนังสือกับ Ebook เร็วๆ นี้นะคะ ^^

หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Epilogue[100%][24/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: empty102153 ที่ 24-03-2017 23:14:53
ประทับใจมากเลยค่ะ
เจมีถึงจะไม่ได้พูดว่ารักแต่การแสดงออกชัดเจนมาก
น่ารักและน่าอิจฉาคริสจริงๆเลย ยิ่งฉากสุดท้ายเจมีในแบบร้อนแรง

ชอบมากเลยค่ะ เป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่งจริงๆ
ขอบคุณมากนะคะที่เขียนให้อ่านกัน
จะรอติดตามตอนพิเศษนะคะ
 :L1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Epilogue[100%][24/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 24-03-2017 23:53:11
จบได้น่าประทับใจมากค่ะ ขอบคุณนะคะ
จะรออ่านตอนพิเศษนะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Epilogue[100%][24/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Caramella ที่ 25-03-2017 00:03:36
จบหวานจูเลออออ แอร๊ยยย
ใจนึงก็ชอบ อีกใจก็ดันเกลียดเวลาทุกคนสมหวังซะงั้น  :hao7:

ปกติไม่อ่านงานแนวฟิลกู๊ดค่ะ เลยไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมเยียนหลายเรื่องของพี่หนูแดงเท่าไหร่ แต่งานนี้ถือว่าประทับใจมากๆ ส่วนตัวชอบอ่านงานที่มีจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวเพราะรู้สึกว่ามันตีความได้หลากหลายแล้วก็น่าจดจำกว่า เหมือนมีอะไรให้ถก 555 มันมีเสน่ห์

เลยจะแอบมาบอกว่า ยังมีคนรอติดตามแนวนี้อยู่นะคะ ถถถ อย่าพึ่งทิ้งเลาปัย

สุดท้ายก็ขอบคุณเมนูอร่อยจากพี่หนูแดง เดี๋ยวแว่บไปส่องงานใหม่พี่ก่อนค่ะ อารมณ์ยังค้าง ถถถ :mew1:
หัวข้อ: Re: Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Epilogue[100%][24/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 25-03-2017 04:14:02
Extra

กว่าสามเดือนแล้วที่มีเสียงดังปึงปังลอดออกมาจากโรงยิมภายในบ้านพักของผู้นำตระกูลฟ็อกซ์รุ่นปัจจุบันทุกเช้าตั้งแต่ว่าที่ ‘ภรรยา’ ของผู้เป็นเจ้าของบ้านย้ายเข้ามาอยู่

ความจริงจะเรียกว่าภรรยาก็ไม่ถูกนักด้วยอีกฝ่ายเป็นผู้ชายที่มีเพศเป็นโอเมก้า แต่ด้วยความพิเศษของร่างกายทำให้ถูกเรียกไปอย่างนั้น เรียกว่า ‘คู่ครอง’ น่าจะฟังดูรื่นหูกว่า

ทว่าเจเรมีก็ไม่ได้สนใจว่าใครจะเรียกเขาอย่างไร เขารู้เพียงแต่เพียงว่าการเอาชนะชายตรงหน้าด้วยการต่อสู้มือเปล่านั้นไม่ง่ายเลย ทั้งที่เขาขอร้องให้คริสซึ่งเก่งในเรื่องศิลปะการต่อสู้หลายแขนงช่วยฝึกฝนให้ ก็เรียกได้ว่าเจเรมีเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็วเลยทีเดียว เสียอย่างเดียวที่ใจร้อนเกินไป เผลอทีไรเป็นต้องพยายามจู่โจมเพื่อเอาชนะคนรักทุกที แต่มีหรือที่คริสจะยอมเป็นฝ่ายถูกล้มง่ายๆ ตอบโต้กลับ รับได้ทุกกระบวนท่าอย่างชำนาญ

เห็นเจเรมีออกอาการฮึดฮัดที่จับเขาทุ่มไม่ได้ก็หัวเราะน้อยๆ อดคิดไม่ได้เลยว่าเจเรมีจะต้องฝึกอีกเยอะโดยเฉพาะในเรื่องของการควบคุมอารมณ์ ก่อนจะนึกสนุกจับเอาเจเรมีทุ่มลงกับเบาะนวมเมื่ออีกฝ่ายจู่โจมเข้ามา

ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่เขาจับเจเรมีทุ่มอย่างนี้ เหงื่อเม็ดเป้งไหลอาบใบหน้าและร่างกายกำยำของชายหนุ่มทั้งสอง ทั้งคู่พากันหอบหายใจจนตัวโยน พลันคริสก็เหลือบมองนาฬิกาบนผนังแล้วเอ่ยปาก

“จะได้เวลามื้อเช้าแล้ว เลิกเถอะ”
“ฉันไม่ยอมแพ้นายง่ายๆ หรอกคริส!” จากนั้นก็พุ่งเข้าหาคริสอีก
คริสเอี้ยวตัวหลบ เจเรมีหันขวับ ร้องเสียงดัง
“ถ้าไม่ให้ฉันจับทุ่มก็ไม่ต้องมากอด อย่าได้หวังว่าจะเห็นฉันแก้ผ้าอีก!”
คริสถึงกับเลิกคิ้วสูง “สู้ไม่ได้เลยเอาเรื่องนี้มาขู่เหรอ?”

เจเรมีไม่เถียง หัวเราะแต่ก็แสร้งทำกระฟัดกระเฟียด พลันพุ่งเข้าใส่คริสอีก คราวนี้ถูกคริสจับแขนแล้วพลิกรั้งไปด้านหลังก่อนจะดึงตัวเจเรมีเข้ามาแนบแผ่นอก กระซิบที่ใบหูแผ่วเบา
“อย่ามาขู่ฉันหน่อยเลยเจ้าคนขี้โกง”
“ถ้านายไม่ให้ฉันทุ่มก็ลองดู” เจเรมียังไม่วายขู่อีก

คริสจึงยอมปล่อยมือแต่โดยดี เปิดโอกาสให้เจเรมีได้จับเขาทุ่มลงเบาะสมดั่งตั้งใจ แต่คริสไม่ยอมล้มไปคนเดียวหรอก ดึงเอาเจเรมีล้มลงมาด้วยเลยกลายเป็นว่าตอนนี้เจเรมีนอนคว่ำอยู่บนตัวเขา ก่อนทั้งคู่จะพากันหัวเราะกับการฝึกที่ดูจะกลายเป็นการกลั่นแกล้งกันเสียแล้ว

“เจ้าเล่ห์นักนะเจมีตัวแสบ” จากนั้นก็จูบประทับลงไปบนริมฝีปากหนาของเจเรมีทีหนึ่ง
“ก็นายอยากเก่งกว่าฉันทำไม ยอมอ่อนข้อให้บ้างสิวะ”
“แล้วใครบอกให้ฉันอย่าออมมือหืม?”

ถูกคริสยอกย้อน เจเรมีก็เถียงไม่ออก เขาเป็นคนพูดเองแหละเพราะไม่ต้องการให้คริสแสร้งพ่ายแพ้แก่เขา เขาอยากจะเอาชนะอีกฝ่ายด้วยความสามารถที่แท้จริงของตัวเองมากกว่า ทว่าในวันนี้ต้องยอมแพ้แล้วด้วยร่างกายเขาเหนื่อยล้าเกินจะทนไหว พลันพลิกตัวลงไปนอนบนเบาะนวมข้างๆ กับชายคนรัก

“หิวหรือยัง ไปกินมื้อเช้ากันเถอะ เดี๋ยวฉันต้องไปประชุมต่อ” ออกปากชวนอีกครั้งด้วยเกรงว่าจะสายกว่าเวลานัดหมายด้วยมัวแต่มาเล่นกับเจเรมีอยู่อย่างนี้

เจเรมีพยักหน้ารับ หากแต่ไม่ลุกขึ้นตามเมื่อเห็นคริสดันตัวขึ้นยืน ก่อนออกปากไล่
“นายไปเถอะ ฉันขอพักอีกหน่อย ยังไม่หายเหนื่อย”
คริสมองท่าทางของเจเรมีที่ดูเหนื่อยล้าอย่างที่ปากพูดก็พลันสงสัยขึ้นมา
“วันนี้นายดูอ่อนเพลียแปลกๆ ไม่สบายหรือเปล่า”

อ่อนเพลียจริงๆ ปกติแล้วเจเรมีจะไม่แสดงอาการเหนื่อยอะไรอย่างนี้เท่าไหร่กับการออกกำลังกายเพียงชั่วโมงเดียว ความจริงไม่ใช่แค่วันนี้ด้วยที่เจเรมีมีอาการอย่างนี้ เป็นมาพักหนึ่งแล้ว หากสังเกตก็น่าจะสักสองสามอาทิตย์ได้

เจเรมีไม่ตอบคำถามในทันที ส่งมือไปข้างหน้าให้คริสได้ฉุดขึ้นนั่ง
“สบายดี แต่พักนี้ฉันแค่เหนื่อยๆ น่ะ” เจเรมีตอบไปตามจริง ทำเอาคริสยู่หน้า เป็นห่วงเจเรมีขึ้นมาทันควัน
“ถ้าปกติดี แล้วทำไมเหนื่อยง่าย นอนไม่พอหรือไง”
“พอ” คิดดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับการนอน เขานอนหลับดีเป็นปกติทุกวัน เพียงแต่... “มันเหนื่อยง่ายเฉยๆ น่ะ สงสัยช่วงนี้จะทำงานหนักไป”

คริสพยักหน้า เข้าใจว่าเจเรมีหมายถึงงานเกี่ยวกับการผลักดันกฎหมายคุ้มครองโอเมก้าที่เจเรมีรับผิดชอบอยู่ พลันทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อีกฝ่าย ยกมือไปขยี้เส้นผมอย่างมันเขี้ยว

“งั้นก็ทำงานให้มันน้อยลงหน่อย โหมไปมันจะทำให้ป่วยเปล่าๆ นะ”
“นายไม่ต้องสนใจฉันหรอก ทำหน้าที่ของตัวเองไปเถอะ ฉันไม่เป็นไร” เจเรมีสะบัดหน้าหนีเล็กน้อยขณะตอบ “แค่ช่วงนี้ร่างกายฉันมันแปลกๆ”

ได้ยินเจเรมีพูดอย่างนั้นก็ชักสงสัยขึ้นมาแล้ว ถ้าเจ้าตัวยังรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเปลี่ยนไป แสดงว่ามันต้องมีระบบไหนในร่างกายทำงานผิดพลาดแน่ ทำเอาคริสที่พยายามจะไม่เป็นห่วงอดถามออกมาอย่างร้อนรนไม่ได้ด้วยกลัวว่าคนข้างกายจะไม่สบาย
“แปลกยังไง” พูดไปก็เอามือไปอังหน้าผากและลำคออีกฝ่ายไปด้วย

ครั้งนี้เจเรมีไม่ได้ปฏิเสธการสัมผัสแต่อย่างใด นึกถึงอาการของตัวเองแล้วอภิปรายออกมาทีละข้อ
 “ก็เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ง่วงบ่อย แต่ไม่ใช่ไม่สบายอย่างที่นายเข้าใจ”

ฟังแล้วคริสก็ย่นคิ้ว อาการนั้นมันค่อนข้างจะคุ้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ง่วงบ่อยงั้นเหรอ?

“มีอาการอื่นร่วมด้วยไหม” ถามเพิ่มเติมให้เจเรมีได้ครุ่นคิด
“บางครั้งก็มึนหัวแบบไม่มีสาเหตุ ช่วงนี้จะมึนตอนตื่นนอน บางครั้งก็หน้ามืดแต่ไม่บ่อย”

อาการนี้มัน...

สีหน้าของคริสเคร่งเครียดขึ้นมาฉับพลัน ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย รีบถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม
“เหม็นอะไรด้วยไหม”
“ถามทำไม”
“ตอบมาเถอะน่า”
“เหม็น...เป็นบางอย่าง”
“แล้วฉันล่ะเหม็นไหม” จู่ๆ ก็ยื่นแขนตัวเองไปให้เจเรมีดม ทำเอาเจเรมีปัดออกเสียเต็มแรง
“เหม็นขี้หน้านายมากกว่าอีก เล่นบ้าอะไร ตัวเหนียว!”

ได้ยินอย่างนั้นคริสก็มีสีหน้าโล่งใจขึ้นมาทันตาที่เจเรมีไม่เหม็นเขา ขณะเดียวกันก็โกรธตัวเองที่ไม่ได้สังเกตอาการของเจเรมีเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากเจเรมีไม่ออกอาการให้เห็น เขาก็คงไม่ได้เฉลียวใจเลยแม้แต่น้อย

“เป็นมาสักสองสามอาทิตย์แล้วใช่ไหม”
“โดยประมาณ”
ยิ่งฟังก็ยิ่งใจเต้นแรงกว่าเดิม ใจภาวนาขอให้เป็นอย่างที่เขาคิดแต่ก็ยังมั่นใจ กระทั่งหลุดถามคำถามต่อไปออกมา
“แล้วนายไม่ได้เป็นฮีทมากี่เดือนแล้ว”

ถามว่าไม่ได้กอดกันมากี่เดือนคงไม่ได้เพราะเขากับเจเรมียังมีความสัมพันธ์ทางร่างกายกันตามปกติ เพียงแต่เพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ว่าเจเรมีไม่มีอาการฮีททั้งที่ควรจะมีทุกเดือนเลยแม้แต่น้อย

เจเรมีเองก็ชะงักไปทันที ย่นคิ้วถามคริสกลับ
“ถามทำไม”
“อยากรู้ ตอบมาเร็วเข้า” เห็นเจเรมีท่ามากก็เร่งเร้าให้ตอบด้วยท่าทางเหมือนสุนัขที่คะยั้นคะยอให้เจ้าของขว้างจานร่อนให้ก็ไม่ปาน

เจเรมีไม่เห็นเลยว่ามันสัมพันธ์กับอาการที่เขาเป็นตรงไหน แต่ก็นั่งนึกแล้วตอบไป
“สอง...ไม่สิ สามแล้วมั้ง ตั้งแต่ที่มาอยู่กับนาย ฉันก็ไม่เป็นฮีทมาสามเดือนแล้วถ้านับรวมเดือนนี้ด้วยน่ะนะ”

เท่านั้นคริสก็เบิกตาโตทันที ใบหน้าดูตื่นตกใจประหนึ่งได้ยินเรื่องคอขาดบาดตาย มือไม้สั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ แต่ก็ยังพยายามประคองสติ ทว่าประคองได้ไม่เท่าไหร่ก็สติแตก โวยวายขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“นั่งอยู่เฉยๆ ตรงนั้นเลย!” จากนั้นก็มีท่าทีลุกลี้ลุกลนจนเจเรมีรำคาญตา
“เป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย” ไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย ดันตัวลุกขึ้นจากพื้น

คริสเบิกตาโต ถลาเข้ามาคว้าแขนล่ำไว้อย่างรวดเร็ว
“บอกว่าให้นั่งอยู่เฉยๆ ไง!” เสียงดังใส่อีกต่างหาก หน้าตาดูตกใจกว่าเดิมหลายเท่าตัวขณะที่ใบหน้าของเจเรมีมีเครื่องหมายคำถามผุดพรายขึ้นมาเต็มไปหมด

ยอมรับตรงๆ ว่าท่าทางกับน้ำเสียงนั้นทำเอาเจเรมีอึ้งงันไปด้วยเป็นครั้งแรกเลยที่คริสขึ้นเสียงใส่เขาจริงจังขนาดนี้ ก่อนที่สีหน้าของอัลฟ่าหนุ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด ทว่าไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเจเรมีนอกจากประคองให้มานั่งยังโซฟาใกล้ๆ เท่านั้น
คราแรกเจเรมีก็ไม่ยอมทำตามหรอก ขัดขืนเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจว่าคริสมีปฏิกิริยาอย่างนี้เพราะอะไร พอถูกอีกฝ่ายดุ

“อย่าดื้อนะเจมี!”
เจเรมีถึงได้ยอมเดินตามมานั่งแต่โดนดี และพอทิ้งตัวนั่งลงได้ คริสก็ออกคำสั่งตามมา
“คราวนี้ห้ามลุกไปไหนเลยนะ ห้ามเด็ดขาด ห้ามขยับด้วย”
“อะไรของนายวะ” ถูกสั่ง เจเรมีก็ต่อต้านตามสัญชาตญาณทันควันเพราะโดยธรรมชาติของเขาแล้วเขาเกลียดการโดนบงการที่สุด อะไรไม่ว่า คำสั่งของคริสมันไร้สาระ

ห้ามขยับเนี่ยนะ... บ้าไปแล้ว!

คริสไม่ให้คำตอบใดนอกจากชูมือข้างหนึ่งขึ้นมาเป็นเชิงบอกให้หยุด ถลึงตาทำหน้าดุใส่ พอเห็นเจเรมีนิ่งถึงได้หุนหันออกจากประตูไป ตะโกนโหวกเหวกเสียงดังลั่น พอจะจับใจความได้ว่าบอกให้คนในบ้านเอารถออกให้เร็วที่สุด ก่อนจะเดินเร็วๆ กลับเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรนระคนยิ้มท่ามกลางความประหลาดใจของเจเรมี

บอกตรงๆ ว่าตอนนี้เจเรมีเดาใจคริสไม่ถูกเลยว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ ดูสภาพแล้วอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกับคนมีอาการทางประสาทก็ไม่ปาน

ก่อนหน้าตะคอก ตอนนี้ยิ้มร่า เป็นบ้าอะไรของมันกันแน่

แต่ไม่ทันได้ถามก็ถูกคริสยื่นหน้าเข้ามาจูบที่หน้าผาก พอจะอ้าปากสบถก็ถูกช่วงชิงจุมพิตที่ริมฝีปากอีก

“หัวใจของฉันจะมีแค่นาย...เจมี”
ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อยก็ถูกคริสบอกรักอ้อมๆ ไปเรียบร้อย

เจเรมีที่ไม่คุ้นชินกับการบอกรักของอีกฝ่ายสักทีหน้าร้อนวูบขึ้นมา ฉับพลันมันก็ร้อนไปทั้งร่างเมื่อคริสถลาเข้ามากอดแน่น จากนั้นก็รีบปล่อย พึมพำอยู่คนเดียวว่า ‘ระวัง...ต้องระวัง’ พลางส่งสายตาจับจ้องที่บริเวณหน้าท้องของอีกฝ่าย ทำให้เจเรมีหงุดหงิดขึ้นมาที่ไม่รู้ว่าคริสเป็นอะไรถึงได้มีท่าทางแปลกๆ อย่างนี้

“นายจะบอกฉันได้หรือยังว่านายทำบ้าอะไรอยู่!”
เสียงที่แผดดังออกมาทำให้คริสรีบส่งสายตาดุให้เจเรมีทันที สวนขึ้นแทบจะในวินาทีนั้น
“อย่าอารมณ์เสียสิเจมี มันไม่ดีนะ”
“งั้นนายก็รีบพูดมาสักทีว่าเป็นบ้าอะไร มัวทำท่าประหลาดๆ อยู่ได้ รำคาญ!” ตะคอกออกมาอีกแล้ว

คริสก็อยากจะบอกอยู่หรอก แต่จู่ๆ เขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้เลยชูนิ้วชี้ขึ้นมาตรงหน้าของเจเรมีเป็นเชิงบอกให้รอก่อน พลันหุนหันออกไปข้างนอกห้องอีกระลอก ตะโกนบอกให้คนรับใช้เอารถเก็บเข้าโรงรถดังเดิมแล้วเปลี่ยนเป็นเรียกรถพยาบาลให้มาที่นี่แทน พร้อมกับสั่งยกเลิกการประชุมทันควัน แต่อะไรก็ไม่ทำให้เจเรมีเอะใจเท่ากับประโยคแรกที่คริสร้องบอกคนรับใช้

เรียกหมอมางั้นเหรอ?

เจเรมีนิ่วหน้า ครุ่นคิดหาคำตอบด้วยตัวเอง ประกอบกับท่าทางเพี้ยนๆ ของคริส เท่านั้นก็ได้คำตอบขึ้นมาฉับพลันว่าสาเหตุที่คริสเพี้ยนขึ้นมาเป็นเพราะอะไร

หรือว่าเราจะ...?

มือใหญ่วางลงบนหน้าท้องของตัวเองอย่างเบามือใบหน้าเหลอหลาขึ้นมาทันควัน ใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งสติได้ก็มีรอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่ใบหน้าพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอกับความโง่เง่าของตัวเองที่หัวช้าเสียเหลือเกิน ก่อนจะหัวเราะที่เห็นคริสตื่นตูมจนเกินเหตุด้วย

ก็ควรต้องตื่นตูมอยู่หรอก ก่อนหน้านี้จับเขาทุ่มเอาๆ ตั้งหลายรอบนี่นา ไม่ตาลีตาเหลือกไปตามหมอมาสิแปลก
“ไอ้เวรคริส ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ดีใจมากเกินไปแล้ว” เจเรมีพึมพำ แสร้งทำเป็นก่นด่าคู่ครองของตนกลบเกลื่อนความเขินอายทั้งที่หัวใจพองโตและหุบยิ้มไม่ได้เลย

เขาเองก็ดีใจไม่แพ้กัน... ดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดีใจที่สุดคือการได้รับรู้ว่าภายในตัวของเขามีหลักฐานความรักชิ้นสำคัญระหว่างเขากับคริสอยู่

ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้...จากคู่แห่งโชคชะตา กลายมาเป็นตัวปัญหา ตามมาด้วยคู่ครองและสุดท้ายก็คือคู่ชีวิต ต่อให้ฝืนธรรมชาติของตัวเองแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับสัญชาตญาณดิบของตัวเองล่ะสินะ

แต่นี่กระมังที่เป็นข้อดีของการเป็นโอเมก้า... มันมีความสุขอย่างนี้นี่เอง

เจเรมีทอดมองคริสที่กลับเข้ามาในห้องอีกครั้งด้วยสีหน้าดีใจสุดๆ ปรี่เข้ามาตระกองกอดเขาอย่างเบามือราวกับว่าผู้ชายรูปร่างบึกบึน ทั้งตัวเต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างนี้เป็นแก้วเจียระไนที่พร้อมจะแตกหักทุกวินาทีที่สัมผัสก็ไม่ปาน เห็นแล้วก็นึกขำขึ้นมาไม่ได้

“เลิกทนุถนอมฉันเสียทีน่า ขนลุกเป็นบ้า” แสร้งทำเสียงหงุดหงิดว่าออกไป
คริสผละออกมาเล็กน้อย จ้องหน้าอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ฉันไม่ได้ถนอมนายสักหน่อย แต่ถนอมจอมวายร้ายตัวน้อยต่างหาก” ว่าพลางลูบไปที่หน้าท้องแกร่งเบาๆ

เจเรมีหลุดหัวเราะออกมาอีกแล้ว เขากักเก็บความสุขที่พร่างพรายขึ้นในใจด้วยการไม่แสดงออกไม่ไหวอีกต่อไป
“ให้ตาย นายกำลังจะทำให้ฉันเป็นบ้า”

ทำให้รักแทบจะเป็นบ้า... ความจริงอยากจะพูดอย่างนี้ต่างหาก

แต่ไม่ต้องบอก คริสก็รู้ว่าเจเรมีคิดอย่างไร ประทับจูบที่ริมฝีปากแผ่วเบา กระซิบเสียงพร่า
“ฉันก็กำลังจะเป็นบ้าเพราะนายเหมือนกัน ฉันจะคลั่งตายอยู่แล้ว”

คลั่งตายอย่างที่ปากพูดแน่ๆ ถ้าได้ยินคำยืนยันจากปากหมอที่กำลังเดินทางมาที่บ้านว่าในตัวของเจเรมีมีทายาทคนสำคัญของตระกูลฟ็อกซ์และเมอร์ซีอยู่จริง

เจเรมีไม่พูดอะไรออกมาอีก รู้อย่างเดียวว่าเขามีความสุข... สุขจนไม่สามารถพรรณนาออกมาเป็นคำพูด ได้แต่โอบกอดคริสตอบ ซุกใบหน้าลงบนไหล่กว้างโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้คริสได้กอดตอบท่ามกลางความเงียบงัน มีเพียงไออุ่นจากร่างกายของทั้งสองที่ส่งผ่านกันและความรักของทั้งคู่เท่านั้นที่อบอวลอยู่ในโรงยิมแห่งนี้

ผู้ชายคนนั้นบ้ามากเลยทีเดียวที่รักเขาได้มากถึงขนาดนี้ และเขาก็บ้ามากเช่นกันที่ยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามเลยเถิดจนกู่ไม่กลับ...ทั้งหมดมันเริ่มต้นจากการที่เขากับคริสเป็นคู่แห่งโชคชะตากันแท้ๆ

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เพราะในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ...พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อกันและกัน

คริสมีชีวิตอยู่เพื่อเจเรมี...

เจเรมีก็มีชีวิตอยู่เพื่อคริส…

เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสองมีชีวิตอยู่เพื่อจอมวายร้ายตัวน้อยที่รอวันลืมตามาดูโลก...

ความสุขหลังจากวินาทีนี้ไป ขอให้คงอยู่ตราบนิจนิรันดร์...
-----------------------------
Extra มาแล้ว โผล่มาตอนเกือบเช้า ใครรีเควสตอนเจมีท้อง เอาท้องอ่อนๆ ไป 555
ตอนพิเศษหลังจากนี้จะลงให้อ่านเฉพาะตัวอย่างเท่านั้นนะคะ ใครอยากอ่านเรื่องของลูก้าต่อก็ไปตามในฉบับ Ebook กับหนังสือเอา ออกหลังงานหนังสือ ไปตามเพจนี้ไว้นะ https://www.facebook.com/RakKunPublishing/ บอกได้เลยว่าเคะแก่ ห่างกัน 18 ปี ลูก้าจะเป็นอมตะ เนื้อคู่เพิ่งเกิด ก๊ากกก XD

จบจริงๆ แล้วจ้า ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้ ไว้ตื่นแล้วจะมาอัพตัวอย่างตอนพิเศษให้นะ ^^
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Extra[100%][25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: tear0313 ที่ 25-03-2017 17:09:41
ดีใจที่ทั้งสองมีลูก
แต่ดีใจมากกว่าที่เนื้อคู่ลูก้ากำลังจะเกิดแล้ว :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Extra[100%][25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-03-2017 17:32:46
ว้าวๆ.......เจมี่ ท้อง จะมีเจ้าวายร้ายตัวน้อย  :ling1: :ling1: :ling1:
แม่ เป็นตัวป่วนซะขนาดนี้   
ลูกเจมี่ จะร้ายขนาดไหนนะ  :katai1:
แต่ไม่เป็นไร คริสเอาอยู่  :mew1:
ก็ คริส "เอา" แม่อยู่มาแล้ว งายยย  :hao3:
แม่เจมี่ ก็ต้องเอาลูกอยู่เหมือนกัน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Extra[100%][25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-03-2017 19:38:03
หายไปทำงานตอนเดร็กจัดการกับพวกที่ไปอยู่ที่เกาะ
 กลับมาอีกทีเจมีท้อง! ต๊ายยยยยยย ฉันหายไปนานขนาดนั้น!

แต่งได้ดีมากเลย น้ำตาไหลตอนลูก้าถูกยิง มันบีบหัวใจมาก ความหวังธรรมดา ๆ ที่ไม่มีวันเป็นจริง
แม้แต่ลมหายใจสุดท้ายก็ยังคงหวัง

ขอบคุณที่เขียนดีขนาดนี้
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Extra[100%][25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 25-03-2017 20:08:46
ตัวอย่างตอนพิเศษที่มีในรูปเล่มและ Ebook นะคะ
ไม่ลงให้อ่านเต็มตอน มีเพียงบางส่วนเท่านั้น
อัพเดตการเคลื่อนไหวได้ที่ สนพ.รักคุณ ค่ะ หลังงานหนังสือเจอกัน ^^
https://www.facebook.com/RakKunPublishing/
-----------------------------------------

[ตัวอย่าง]Special Episode 01: ของขวัญที่ดีที่สุดของคุณปู่

“ผมรักลูกชายคุณครับ” จู่ๆ คริสก็โพล่งขึ้นมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาเจอโรมที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามย่นหัวคิ้วทันควัน
“อย่าบอกนะว่าธุระที่คุณฟ็อกซ์จะคุยกับผมคือเรื่องนี้?”
เห็นคริสพยักหน้ารับน้อยๆ เจอโรมก็รู้สึกเสียเวลาชีวิตขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว”

ใช่...รู้อยู่แล้ว รู้ตั้งนานแล้วด้วย เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน ทำไมจะมองไม่ออกว่าคริสคิดอย่างไรกับเจเรมี อีกอย่าง ถ้าเจเรมีไม่มีใจให้เช่นกันก็คงไม่ตัดสินใจย้ายไปอยู่ด้วยอย่างนั้นหรอก

“เสียเวลาน่า กลับเถอะ” แม้แต่เจเรมีเองยังอดคิดไม่ได้เลยว่าการกระทำของคริสมันน่ารำคาญ
ทว่าคริสไม่ฟัง หันไปกุมมืออีกฝ่ายที่นั่งอยู่ข้างกายทันควัน
“ขออีกห้านาที ฉันยังไม่ได้พูดเรื่องสำคัญ”
“นายมันงี่เง่าชะมัด” ถึงจะหงุดหงิดและไม่อยากให้คริสทำอะไรเป็นทางการสักเท่าไหร่แต่ก็ต้องยอม มันช่วยไม่ได้เพราะดันติดกับลูกอ้อนของคริสจนเผลอรับปากไปแล้ว

เจอโรมมองชายหนุ่มทั้งสองคุยกันแล้วก็ยื่นมือไปยกถ้วยกาแฟขึ้นมาจ่อปาก “ถ้ามันสำคัญมากก็พูดเถอะครับคุณฟ็อกซ์” ก่อนจะจิบของเหลวในแก้ว

คริสหันกลับมาพลันว่า “เจมีท้องครับ”

พรวด!

สำลักกาแฟทันใด เจอโรมไอโขลกระลอกใหญ่ทีเดียว พอตั้งสติได้ก็วางถ้วยกาแฟ ถามเสียงเครียด
“หมายความว่ายังไงที่ว่าเจมีท้อง?”
“คุณกำลังจะมีหลาน”
ได้ยินคริสว่าอย่างนั้น สายตาของคนเป็นพ่อก็หันไปมองยังเจเรมีพลัน ขณะที่เจเรมีเบือนหน้าไปทางอื่น ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ให้คริสรับหน้าไป

ก็มันไม่ใช่ความผิดของเขานี่ที่จู่ๆ ก็ท้องขึ้นมา ต้องโทษคริสต่างหากที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจแม้ว่าบางครั้งเขาจะเป็นคนเริ่มบทรักเองก็เถอะ

เจอโรมนิ่วหน้าไปทันที เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องจริง เขาเลี้ยงเจเรมีให้โตขึ้นมาแบบอัลฟ่าทุกประการ แล้วทำไมถึง...

แต่ก็อย่างที่บอกว่าเขารู้ว่าชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้ารักกัน มันไม่แปลกที่จะมีความสัมพันธ์ทางกาย เพียงแต่เขาติดใจตรงที่เจเรมีมากกว่า เห็นแรกๆ เกลียดขี้หน้าคริสอย่างกับอะไรดี แล้วสุดท้ายมาลงเอยกันมันดูแปลกไม่น้อย ทว่าคิดในอีกแง่มันก็ไม่แปลกเพราะทั้งคู่ร่วมหัวจมท้ายผจญกับอะไรๆ มาด้วยกัน ถ้าความสัมพันธ์จะพัฒนาลึกซึ้งกว่าเดิมก็เป็นเรื่องปกติ

ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะฟังจากปากเจเรมีว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมขอคุยกับเจมีตามลำพังหน่อยนะครับคุณฟ็อกซ์”
“คริสครับ” แทนที่จะตอบรับ คริสกลับสวนขึ้นมาอย่างนั้น

เจอโรมมองอย่างไม่เข้าใจกระทั่งคริสเอ่ยขึ้นมาอีก “เรียกผมว่าคริสเถอะครับคุณพ่อ”

เจเรมีถึงกับหลุดหัวเราะด้วยขำกับการรุกไม่หยุดของคริสกับสีหน้าเหลอหลาของบิดา ขณะที่เจอโรมซึ่งถูกไล่ต้อนให้ยอมรับคริสเป็นสมาชิกในครอบครัวคนใหม่อึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ผู้ชายคนนี้จะจริงจังเกินไปแล้ว!
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Extra[100%][25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 25-03-2017 20:14:18
ตัวอย่างตอนพิเศษที่มีในรูปเล่มและ Ebook นะคะ
ไม่ลงให้อ่านเต็มตอน มีเพียงบางส่วนเท่านั้น
อัพเดตการเคลื่อนไหวได้ที่ สนพ.รักคุณ ค่ะ หลังงานหนังสือเจอกัน ^^
https://www.facebook.com/RakKunPublishing/
-----------------------------------------

[ตัวอย่าง]Special Episode 02: บทเรียนของว่าที่คุณพ่อ

ไม่-ชอบ-เด็ก!

สามพยางค์นี้ผุดพรายขึ้นมาในหัวของเจเรมีเลย ยิ่งเห็นเด็กผู้ชายตัวป้อมมาวุ่นวายใกล้ๆ เขาด้วยแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะออกปากไล่
“ไป” ไล่สั้นๆ

เด็กน้อยมองหน้าคนอาวุโสกว่าตาแป๋วอย่างสงสัยให้เจเรมีได้พ่นลมหายใจแล้วออกปากไล่อีกที
“บอกให้ไปไงเล่า!” เสียงดังขึ้นมาหน่อย หน้าตาดุดันด้วย

เด็กน้อยถึงกับปล่อยมือจากเชือกรองเท้าของเจเรมี เบะปาก น้ำตาคลอทันควัน
“ฮึก...”

อย่านะ...ไม่ๆๆ อย่าร้อง!

เจเรมีขมวดคิ้วยุ่ง ในใจภาวนาขอให้สิ่งที่เขาเกลียดกว่าเด็กตรงหน้าอย่าได้เกิดขึ้น

แต่พระเจ้าเกลียดเขา...

คำภาวนาไม่เป็นผล เด็กคนนั้นระเบิดเสียงร้องไห้จ้าด้วยหวาดกลัวหน้าตาของเจเรมี

ใช่...หน้าตาของเจเรมียามมีสีหน้าดุดันน่ะ

ก่อนขาอวบทั้งสองข้างจะวิ่งออกห่างจากคนหน้าเหี้ยมทันที ทว่าวิ่งได้ไม่ทันถึงสามก้าวก็ล้มหน้าคว่ำเพราะสะดุดขาตัวเอง จากที่ร้องไห้ดังอยู่แล้ว ตอนนี้ดังยิ่งกว่าเดิมอีก

เจเรมีแทบจะโขกหน้าผากเข้ากับเสาปูนข้างๆ ด้วยหมดความอดทน เสียงร้องของเด็กทำเขาปวดประสาทเหลือเกิน คริสก็ไม่โผล่มาเสียที ส่วนเขาเองก็ไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร

ยิ่งเฉยก็ยิ่งตกเป็นเป้าสายตา

ยิ่งเฉย เด็กอ้วนนั่นก็ยิ่งร้องดังขึ้น

เวรเอ๊ย! กลับมาเมื่อไหร่จะทุบให้ตายคามือเลยไอ้ทุเรศคริส แล้วไอ้เด็กนี่จะร้องอีกนานไหม!?

ทุบให้ตายไปพร้อมๆ กับไอ้เวรนั่นเลยก็แล้วกัน!

แต่ก็ไม่ได้ทุบเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นรอยถลอกเป็นทางยาวบนหัวเข่าเล็กๆ นั่น

นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ร้องไห้เหมือนมารดาเสีย?

คิดอย่างนั้นแล้วก็เม้มริมฝีปากแน่น มองซ้ายทีขวาทีก่อนที่จะขยับที่นั่งเล็กน้อย โน้มตัวเข้ามาคว้าขอบกางเกงของเด็กน้อยจากทางด้านหลังลอยละลิ่วมานั่งแหมะบนม้านั่งยาวข้างๆ เขา พลันว่าโดยไม่มองหน้า
“แผลไกลหัวใจตั้งเยอะ ร้องซะอย่างกับใครตาย ไม่เป็นอะไรแล้ว หยุดร้อง”

เป็นคำปลอบโยนที่ไม่น่าจะใช้กับเด็กอายุไม่พ้นห้าขวบเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ทำให้เด็กคนนั้นเบาเสียงร้องไห้ลงได้

เจเรมีเหลือบมอง เห็นคราบน้ำตามากมายไหลอาบใบหน้าก็นึกหงุดหงิด หันมาจับร่างเล็กหมุนมาทางเข้า ถลกชายเสื้อเด็กคนนั้นขึ้นมาเช็ดน้ำหูน้ำตาให้เป็นการใหญ่

“เป็นผู้ชายแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่งอย่างนี้ ใครหน้าไหนจะมาชอบ ฮึบ เอ้าฮึบ ฮึบสิวะ” ส่งเสียงบอกให้เด็กตรงหน้ากลั้นสะอื้นอีกต่างหาก

เด็กน้อยทำตามอย่างไร้เดียงสา ในขณะที่คนตัวใหญ่ซึ่งแอบมองจากทางด้านหลังอยู่นานหลุดหัวเราะพรืด

ไหนบอกว่าไม่ชอบเด็กไง แล้วไอ้ฮึบนั่นมันอะไรกัน?

กว่าจะหยุดร้องสนิทได้ก็เล่นเอาเจเรมีเหงื่อแตกซิกเลยทีเดียว เขาผละออกจากเด็กอ้วนตัวเล็กคนนั้น พิงพนักม้านั่งอย่างอ่อนแรง
เข้าคลาสคุณพ่อมือใหม่ไม่พอ ยังต้องมานั่งเลี้ยงเด็กหลงอีกเหรอวะเนี่ย

หากแต่นั่งพักได้ครู่เดียวเท่านั้น ความเหนื่อยใจก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกเมื่อเด็กคนนั้นเอื้อมมือมาคว้าชายเสื้อของเจเรมีไว้ พอชายหนุ่มหันไปมอง ดวงตาใสแป๋วก็จับจ้องมาที่ใบหน้าของเขา

“ฉี่”
“ฮะ?”
“ปวดฉี่” จากนั้นก็ดันตัวขึ้นยืนบนเก้าอี้ มือเล็กๆ พยายามถอดกางเกงแล้วหันมาทางเขา ทำเอาเจเรมีร้องเสียงหลง
“เฮ้ย! อย่ามาปล่อยตรงนี้!” คว้าเด็กน้อยขึ้นอุ้ม วิ่งสี่คูณร้อยไปที่ห้องน้ำสาธารณะแทบไม่ทัน ในใจก็ขุ่นแค้นคนที่พาเขามาเจอเรื่องบ้าๆ อย่างนี้ไปด้วย

กลับมาเมื่อไหร่จะฟาดให้หัวแบะเลยไอ้เวรคริส!
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Extra[100%][25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 25-03-2017 20:15:41
ตัวอย่างตอนพิเศษที่มีในรูปเล่มและ Ebook นะคะ
ไม่ลงให้อ่านเต็มตอน มีเพียงบางส่วนเท่านั้น
อัพเดตการเคลื่อนไหวได้ที่ สนพ.รักคุณ ค่ะ หลังงานหนังสือเจอกัน ^^
https://www.facebook.com/RakKunPublishing/
-----------------------------------------

[ตัวอย่าง]Special Episode 03: แผนเผด็จศึก

เรื่องหงุดหงิดง่ายหรือหัวเสียตลอดเวลายังไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ทำให้เจเรมีรำคาญกว่าก็คือเขาต้องการเจอหน้าคริสบ่อยกว่าปกติ
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่อยากเจอคริสบ่อยกว่าเดิม เขาอยากทำอย่างอื่นกับคริสมากกว่า ก็ตั้งแต่รู้ว่าในร่างกายของตัวเองมีเจ้าตัวเล็กอยู่ คริสก็แทบจะไม่สัมผัสร่างกายเขาเลย

ความจริงจะว่าไม่สัมผัสก็ไม่ได้ ยังคงกอดจูบกันปกติ จะมีก็แต่ความสัมพันธ์ทางกายแบบลึกซึ้งที่ห่างหายไป

ใช่แล้ว...เซ็กส์ เจเรมีต้องการมีเซ็กส์กับคนรัก ทว่ากลับถูกปฏิเสธทุกครั้งด้วยคริสเกรงว่าจะกระทบกระเทือนถึงคนในท้อง ได้ฟัง
ข้ออ้างนั้นแล้ว เจเรมีก็ถึงกับทึ้งผมตัวเอง

ใครสั่งใครสอนมันว่าคนท้องมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้วะ!

อยากจะจับคริสมาเขย่าเค้นเอาคำตอบนัก แต่ก็ทำไม่ได้ด้วยอีกฝ่ายยังไม่กลับจากที่ทำงานในเวลานี้ ถึงเจเรมีจะดูไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการตั้งครรถ์ของตัวเองสักเท่าไหร่ มันก็ใช่ว่าเขาจะไม่ศึกษากรณีอย่างนี้

น้ำหนักตัวก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นกว่าเดิมเยอะ ซ้ำท้องก็ไม่ได้ใหญ่เหมือนพวกผู้หญิงเวลาท้องด้วยเนื่องจากร่างกายของเจเรมีเต็มไปด้วยมัดกล้ามแบบนักกีฬา ดังนั้นเขาจึงดูเหมือนลงพุงนิดๆ เท่านั้นเอง ดูอย่างไรก็ไม่น่าเป็นปัญหากับการทำเรื่องอย่างว่า

...และไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอนถ้าเขาอยู่ด้านบน

ข้อนี้ค่อนข้างมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็นั่นแหละ คริสไม่ยอมท่าเดียว ทำเอาเจเรมีซึ่งเป็นผู้ชายและมีความต้องการถึงกับหัวเสีย

ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ก็ต้องเผด็จศึกคริสให้ได้!

ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเป็นฝ่ายจ้องปล้ำอัลฟ่าเสียอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็ทำเมื่อได้ยินเสียงของคนรับใช้ร้องบอกว่าคริสกลับมาถึงบ้านแล้ว เท่านั้นหัวก็คิดวุ่นทันทีว่าจะใช้แผนการตะล่อมอย่างไร

ขู่กรรโชกก็แล้ว บังคับก็แล้ว แสร้งโกรธก็แล้ว ล้วนไม่ได้ผล ถ้าอย่างนั้นคงต้อง...

คิดแล้วก็ยิ้มเผล่ ในใจคิดว่ามันได้ผลอย่างแน่นอน ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา รอการมาถึงของอีกฝ่าย คริสเดินเข้ามาในห้องโถง ถอดเสื้อสูทและเนกไทออกก่อนจะมานั่งข้างๆ เจเรมี พลันเอ่ยทักทายอีกฝ่าย

“เป็นไงบ้าง วันนี้จอมวายร้ายตัวน้อยของฉันดื้อไหม”
จะเรียกว่าทักทายเจเรมีก็ไม่ถูก ถามเจเรมีถึงเจ้าตัวเล็กในท้องมากกว่า

เจเรมีเหลือบมอง หมั่นไส้เต็มประดา แต่ก็ข่มใจไม่สวนคำพูดใดๆ กลับไปนอกจากเอนศีรษะพิงไหล่แกร่งของคนข้างกาย
คริสเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นท่าทางประหลาด ปกติแล้วเจเรมีจะไม่ทำกับเขาอย่างนี้ วันนี้มันดูแปลกไป

แปลกจริงๆ ยิ่งเจเรมีเอ่ยขึ้นมาอีก
“คิดถึงนายชะมัดเลยคริส”
มือใหญ่ยกขึ้นไปอังหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว “ไม่สบายหรือเปล่า”
เจเรมีต้องใช้ความพยายามมากทีเดียวที่จะไม่ปล่อยหมัดตะบันหน้าอีกฝ่าย แต่ใช้ใบหน้าซุกซอกคอแทน
“หอม...”

คริสถึงกับเบิกตาโต ก่อนจะถูกเจเรมีเอื้อมแขนมาโอบกอดไว้ขณะที่ปลายจมูกโด่งรั้นซุกไซ้ซอกคอเขามากขึ้นไปอีก
“ได้กลิ่นนายแล้วรู้สึกดีสุดๆ เลย”

แปลก...แปลกมาก ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะ เขาชอบเลยล่ะเวลาถูกออดอ้อนอย่างนี้ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าการกระทำของคนข้างกายมันมีแผนการบางอย่างเคลือบแฝงอยู่ ทำให้เขาตั้งท่าจะผละออก หากแต่ไม่ทันจะได้เคลื่อนไหวก็ถูกอีกฝ่ายงับเข้าที่ปลายหูแล้ว

ความกำหนัดของชายหนุ่มที่อดทนมานานพวยพุ่งทันที ความหวาดระแวงเมื่อครู่นี้มลายหายไปหมดแล้ว กระนั้นก็ยังข่มใจ หันไปมองและออกปากถาม
“เป็นอะไร ทำไมวันนี้ดูอ่อนโยนจัง หรือว่ากำลังคิดจะเล่นสนุกอะไรอยู่”

ถูกรู้ทัน แต่เจเรมีไม่กระโตกกระตาก ช้อนสายตาขึ้นมองแล้วว่าด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ฉันอยากจะกอดนาย อยากได้กลิ่นนายก็เพราะคิดถึงนาย มันจำเป็นต้องมีเหตุผลอื่นเสริมด้วยหรือไง”

เห็นสายตาเย้ายวนคู่นั้นแล้ว คริสก็ไม่อยากจะทำให้เจเรมีเสียอารมณ์เลยรีบส่ายหน้าทันควัน
“ไม่จำเป็นหรอก ฉันแค่ไม่ชินน่ะ”

เจเรมีหยักยิ้มออกมา

จะไปชินได้อย่างไร ก็เขาเคยทำอย่างนี้กับคริสเสียที่ไหน แต่ก็เอาเถอะ ดูแล้วท่าทางแผนน่าจะได้ผล พลันเขาก็เริ่มขั้นตอนต่อไป ดันตัวขึ้นมานั่งคร่อมร่างใหญ่ไว้ ยื่นใบหน้ามาประทับจูบที่ริมฝีปากคนรักแผ่วเบาก่อนว่าเสียงกระซิบ

“คริสครับ...” คำพูดสุภาพที่ไม่เคยหลุดออกจากปากของเจเรมีเลยทำให้คริสใจเต้นระส่ำ และมากขึ้นกว่าเดิมอีกเมื่อเจเรมีเอ่ยประโยคต่อไปออกมา “มีอะไรกันเถอะ”

นั่นไง! มีอย่างอื่นแอบแฝงจริงๆ ด้วย!

แต่กว่าจะรู้ตัวคริสก็เสียท่าเข้าให้แล้ว มือยื่นไปตะปบเนื้อหนั่นบริเวณบั้นท้ายของเจเรมีเป็นที่เรียบร้อย ปากก็ครางตอบรับออกไปราวกับคนไร้สติด้วย
“ครับ...”

เสร็จโจร! หลงกลลูกอ้อนของเจเรมีเป็นที่เรียบร้อย!
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Extra[100%][25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: NooDangzz ที่ 25-03-2017 20:17:56
ตัวอย่างตอนพิเศษที่มีในรูปเล่มและ Ebook นะคะ
ไม่ลงให้อ่านเต็มตอน มีเพียงบางส่วนเท่านั้น
อัพเดตการเคลื่อนไหวได้ที่ สนพ.รักคุณ ค่ะ หลังงานหนังสือเจอกัน ^^
https://www.facebook.com/RakKunPublishing/
-----------------------------------------

[ตัวอย่าง]Special Episode 04: เจคอบ ฟ็อกซ์

จะเดินออกจากห้องอยู่แล้วแต่ก็ต้องชะงักไว้เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียก
“รอก่อนครับ อย่าเพิ่งไป!”

หันไปมองก็เห็นว่าเป็นชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบสถาบันพัฒนาฯ ที่เขามาบรรยายกึ่งวิ่งกึ่งเดินกระหืดหอบเข้ามาใกล้ ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งมองผ่านๆ ก็รู้ว่าเป็นหนังสือที่เขาเขียน แต่ดูท่าทางคนตรงหน้าจะไม่ได้มาฟังที่เขาบรรยายก่อนหน้านี้เพราะไม่อย่างนั้นคงมาทันตอนที่เขาตั้งโต๊ะแจกลายเซ็น

ทว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่าแวบแรกที่ลูก้าเห็นใบหน้าของผู้ชายคนนี้ ภาพใบหน้าของใครบางคนก็ฉายขึ้นมาทับซ้อนทันควัน
“คุณเจเรมี...” ปากครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่แล้วภาพใบหน้านั้นก็มลายหายไปเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้กว่าเดิม

ไม่...ไม่ใช่เจเรมีเพราะสีผมไม่เหมือน เจเรมีมีผมสีบลอนด์สว่างในขณะที่ชายหนุ่มตรงหน้ามีผมสีน้ำตาลเข้ม แค่ใบหน้าคล้ายเท่านั้น

ความจริงจะว่าใบหน้าคล้ายก็ไม่ถูกเท่าไหร่ มีเพียงเค้าโครงบางส่วนและสีตาเท่านั้นที่เป็นสีฟ้าสว่างเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้น...แววตา

แววตาเหมือนกับเจเรมีราวกับถอดแบบกันมาอย่างไรอย่างนั้น

ไม่เพียงแต่แววตา...สีหน้าก็เหมือน ดูร้ายกาจและหยิ่งยโสเหมือนกันเลยทีเดียว

อย่างกับจอมวายร้าย...

ลูก้าถูกเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปาก
“ก่อนไปรบกวนช่วยเซ็นให้ผมได้ไหมครับ”
“ได้สิครับ” ลูก้ายิ้มรับบางๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง รับหนังสือจากคนตรงหน้ามาเปิดออก หยิบปากกาออกจากกระเป๋าเสื้อสูท เตรียมจะจรดปลายปากกาลงไป ทว่าก็ต้องชะงักอีกระลอกเมื่อเสียงแหบห้าวดังขึ้น
“ผมชอบคุณมานานแล้วครับ”

ลูก้าถึงกับเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเหลอหลาทันควันขณะที่คนพูดนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป ก่อนจะรีบแก้ต่าง
“ผมหมายถึแนวคิดของคุณในหนังสือน่ะ ผมชอบมาตั้งนานแล้ว” พูดพลางลูบต้นคอของตัวเองแก้เขินเล็กน้อย
คราวนี้ลูก้าถึงได้ร้องอ๋อ หัวเราะเล็กน้อย
“เริ่มอ่านหนังสือผมตั้งแต่ตอนไหนล่ะ”
“น่าจะตั้งแต่เล่มแรกที่คุณเขียนแล้วล่ะครับ พอดีพ่อของผมเขาเอามาให้อ่าน ผมก็เลยมีหนังสือของคุณทุกเล่ม แล้วผมก็ติดตามผลงานของคุณทางอื่นด้วยนะ อย่างพวกเทปบันทึกภาพการบรรยาย ผมฟังครบทุกอันเลยครับ แนวคิดของคุณยอดเยี่ยมจริงๆ”

ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง ดูท่าทางจะชอบสิ่งที่ลูก้าต้องการบอกให้โลกรู้จริงๆ ทว่าลูก้าไม่ได้สนใจในสิ่งที่ชายตรงหน้าพูดเลยนอกจากจับจ้องใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเดียวเท่านั้น

ยิ่งอีกฝ่ายยิ้ม ลูก้าก็ยิ่งอดคิดไม่ได้เลยว่าแม้แต่รอยยิ้มก็ดูคล้ายกับเจเรมี พลันความคิดถึงก็แล่นพล่านขึ้นมาในอก

กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้เจอคุณเจเรมี...ยี่สิบปีเห็นจะได้มั้ง?

แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ตวัดปากกาในมือเซ็นชื่อตัวเองพลางเอ่ยถามคนตรงหน้าไปเรื่องอื่น
“เห็นคนรุ่นใหม่อย่างคุณสนใจอะไรพวกนี้ ผมก็ดีใจครับ ว่าแต่คุณอายุเท่าไหร่”
“ยี่สิบครับ คุณอายุสามสิบแปดใช่ไหม”

ลูก้าพยักหน้าให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ
“พ่อผมบอกว่าคุณเป็นคนที่เก่งแล้วก็เข้มแข็งมากทีเดียว เวลาเขาพูดถึงคุณ เขาชอบทำเหมือนกับว่ารู้จักคุณดียังไงยังงั้น มันตลกมากเลยล่ะครับ”

พูดไปเรื่อย จ้อไม่หยุด ลูก้าก็ยิ้มรับไปตามเรื่อง เขาไม่มีอารมณ์จะมาฟังเรื่องอย่างนี้สักเท่าไหร่ด้วยในหัวมีแต่ภาพความทรงจำเก่าๆ ระหว่างเขากับเจเรมีผุดพรายขึ้นมารบกวนจิตใจ ก่อนจะตัดสินใจตัดบทระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังพูดอยู่
“แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ ผมจะได้เขียนลงไปในนี้ให้ด้วย”
“เจคอบครับ” ชายหนุ่มตอบอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะเอ่ยชื่อเต็ม “เจคอบ ฟ็อกซ์”

ลูก้าชะงักไปอีกครา คราวนี้เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปจากครั้งแรก

เจคอบ ฟ็อกซ์... หรือว่า...?

“คุณเป็นลูกของเขา...” ครางออกมาอย่างไม่รู้ตัว ฉับพลันน้ำตาก็เอ่อคลอปริ่มขอบตา

คุณเจเรมี...มีความสุขดีสินะครับ

เจคอบเลิกคิ้วสูงเล็กน้อยด้วยได้ยินไม่ชัด “ว่าไงนะครับ?”
ลูก้ารีบสะกดกลั้นความรู้สึกนั้น ส่ายหน้าเล็กน้อย
“ไม่มีอะไรครับ”
“แต่คุณ...ร้องไห้?” เจคอบเห็นดวงตาแดงๆ ของอีกฝ่ายก็ย่นคิ้ว

ลูก้าไม่ตอบอะไรนอกจากรีบเขียนชื่อของเจคอบลงในนั้นแล้วยื่นหนังสือคืนให้ เจคอบเห็นท่าทางของบุคคลที่ตนชื่นชอบดูแปลกๆ ก็อดไม่ได้ที่จะยืนมองนิ่งๆ

ในเมื่อเจคอบไม่ยอมรับหนังสือคืนไป ลูก้าจึงวางไว้บนโต๊ะแล้วว่าเร็วๆ “ผมขอตัวก่อนนะครับ”

เป็นอีกครั้งที่เขาจะหนีจากเจเรมี ในใจของเขายังชัดเจนในความรู้สึกว่ายังคงรักและคิดถึงผู้ชายคนนั้นไม่เสื่อมคลาย ทว่าการหนีของเขาในครั้งนี้ไม่เป็นผลอีกต่อไปเมื่อเจคอบยื่นมือมาคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณลูก้า”

หันไปมองก็เห็นสายตาเป็นห่วงของชายหนุ่ม ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้นึกถึงเจเรมี ทำให้ลูก้าบอกกับตัวเองว่าเขาไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะอดใจหาทางไปพบหน้าเจเรมีอีกครั้งไม่ได้

การที่เจเรมีมีเขาอยู่ในชีวิตมันจะทำให้อีกฝ่ายเจอกับเรื่องยุ่งยาก...ลูก้ายังคงคิดอย่างนี้มาตลอด ก่อนจะบิดข้อมือออกจากการเกาะกุม
“ผมไม่เป็นไร ขอตัว...” หากแต่ในจังหวะที่ดึงมือกลับ เขาก็รู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมากะทันหัน พลันร่างกายก็ร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มิหนำซ้ำจมูกยังได้กลิ่นหอมหวานฟุ้งกระจายไปทั่วซึ่งกลิ่นนั้นทำให้บริเวณช่วงกลางลำตัวของเขาตอบสนองขึ้นมา

เป็นฮีท!

ลูก้ารู้ตัวทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ขณะที่เจคอบเองก็เริ่มได้กลิ่นหอมหวานประหลาดจากคนตรงหน้าเช่นกัน มันหอมเสียจนทำมือไม้เขาสั่นระริก

ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้า...เจคอบรู้ดีเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้า แต่กับกลิ่นนี้มันต่างออกไป มันรุนแรงเสียจนทำเขาประคองสติไว้แทบไม่ได้ ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ลูก้า กลิ่นนั้นก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ก่อนที่สถานการณ์จะวิกฤตไปมากกว่านี้ ลูก้าก็สะบัดมือหลุดออกจากการเกาะกุมของเขาแล้ว พริบตาเดียวอีกฝ่ายก็รีบสาวเท้าหนีออกจากห้องนั้นไป ทิ้งให้เจคอบมองตามอย่างงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ดวงตาเรียวมองตามแผ่นหลังบางที่ผลุบหายออกไป เท่านั้นใจก็เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ ร่างกายที่รุ่มร้อนบอกกับเขาชัดเจนว่าต้องการลูก้าเพียงใด

ต้องการแบบที่ไม่ได้ต้องการเจอหน้าในฐานะบุคคลที่เขาชื่นชอบอะไรอย่างนั้น แต่...ต้องการสัมผัสร่างกายของลูก้า

ต้องการมาก... ต้องการจนเขาแทบคลั่ง...

หรือว่าเรากับคุณลูก้าจะเป็น...

คิดแล้วก็แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งสติได้ก็รีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาใครบางคนอย่างรวดเร็ว
 
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:Extra[100%][25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 25-03-2017 20:33:33
เจคอบลูก้า....อะไรก้อไม่สู้คู่นี้...ฟินหนักมาก
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 25-03-2017 21:15:54
แฮปปี้เอนดิ้งมากๆ
คุณพ่อคริส คุณพ่อเจมี หรือเจมีจะให้ลูกเรียกว่าแม่ดี
อยากจะไปส่องบ้านตระกูลฟ็อกในอนาคตมาก คงเต็มไปด้วยผู้ชายแซ่บๆเดินกันเต็มบ้าน
ก็ดูพ่อพันธุ์แม่พันธุ์สิ แซ่บแค่ไหน  :o8:
และลูก้าผู้เป็นอมตะ  กรี๊ดด
คุณพ่อทั้งสองจะทำหน้ายังไงนะถ้ารู้เรื่องนี้

ขอบคุณคนเขียน เรื่องนี้สนุกมาก เราชอบเจมีนะ รักในความเถื่อนและความแซ่บของนาง
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 25-03-2017 23:11:47
ชอบเรื่องนี้มากกกรอเรื่องต่อไปค่า :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 25-03-2017 23:32:34
แดร็กตายไม่สะใจเราเลยค่ะ 5555555

ดีใจที่เจมี่ได้หลัวดีคอยสั่งสอน คุณคริสแบบปริ๊นซ์ชาร์มมิ่งมากค่ะ งานดีออร่าเข้าชายคีพคูลสุด อิจฉา  :hao7:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: lady_panko ที่ 26-03-2017 15:54:20
รอคอยนิยายรูปเล่ม
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 27-03-2017 21:26:27
ปลื้ม เรื่องนี้ไปอีกกก ก่อนมาอ่าน ไปอ่านการ์ตูนแนวนี้มา

พอมาในรูปแบบนิยาย ฟินนนนนน
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 27-03-2017 22:32:26
เจมีน่าตีทุกงานเลย
ยกเว้นตอนฮีทกับยั่วนะ 5555
คุณคริสคีพลุคมากกกกก
ยกเว้นตอนเจมียั่วนี่กลายเป็นทาสเฉย
เป็นเรื่องที่แปลกใหม่มาก
สนุกมากจ้า
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-03-2017 06:48:44
เป็นตอนพิเศษที่พิเศษมากจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-03-2017 12:42:16
ได้อ่านตอนสั้นๆ หลายตอนแล้ว ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
เจอโรม รู้ว่าตัวเองจะมีหลาน  :katai1:
เจมี่ วางแผนมีเซ็กส์กับคริส  :ling1:
ลูก้า เจอคู่แห่งโชคชะตา เจคอบ ฟอกซ์ อะจ๊ากกกก
แถมเป็นอัลฟ่า ลูกชายของเจเรมี่  :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-03-2017 21:59:30
เจคอบลูกของเจมีกับเฮียคริสเป็นคู่พันธะของลูก้า โอ้โห ลูก้าจะเป็นอมตะจริงๆด้วยค่ะ 555555  :hao7: ขอบคุณสำหรับตัวอย่างตอนพิเศษนะคะ
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: monkey_saru ที่ 29-03-2017 22:28:10
สอยแน่นอนนนน  อยากอ่านเรื่องยาวๆนิดนึงของเจคอบลูก้าเลยจ้าทีนี้   :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: yokibear ที่ 02-04-2017 03:22:52
หูยยยย มันส์มากก
ลุ้นตลอดเลย ในที่สุดก็มีเบบี๋จนโตพร้อมเคลมลูก้า :laugh:
ขอบคุณนะคะ สนุกมากๆเลย
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 03-04-2017 21:04:14
เป็นเรื่องที่สนุกและตื่นเต้นมากๆ ชอบเจเรมี่ ฟ็อก ลูก้า อยากอ่านตอนพิเศษอีกอ่ะ ยิ่งมาเจอตอนเจคอบเป็นคู่แห่งโชคชะตาของลูก้ายิ่งอยากอ่าน o13
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 14-04-2017 20:25:44
ขอบคุณเรื่องราวดีๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 16-04-2017 19:39:08
 o13  o13
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 20-04-2017 01:07:40
ชอบเริ่องนี้มากๆเลยค่ะ เป็น ดิสโทเปียที่หวานละมุนมาก สนุกมากๆจริงๆค่ะ ทั้งพล๊อต การดำเนินเรื่อง ความสัมพันธ์ พระ-นาย 5555 มันกร๊าวใจค่ะ สมเป็นคู่แห่งโชคชะตา คู่ชีวิตจริงๆ แม้ไม่เอ่ยคำว่ารักตรง แต่ต่างก็ีบรู้ได้ นิสัยเจมีหลังๆน่ารักมาก นางปากตรงกับใจจริง แถวสปอยล์ตอนพิเศษมีอ้อนยั่วคริสอีกต่างหาก ยังก็จะซื้อหนังสือแน่ค่ะ อยากอ่านตอนพิเศษ ตอนเจมีท้อง 555 จะรออุดหนุนค่าาา  :pig4:   o13
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sukiraw ที่ 22-04-2017 14:05:26
งื้ออออออออออ สนุกมากเลยยยยยยย *0*/~~~~
คนเขียนดีมากเลยค่ะ นี่อ่านตั้งแต่สามทุ่มถึงตีสี่รวดเดียวจบ 555555 :impress2:
ไม่เคยติดนิยายเรื่องไหนเท่าเรื่องนี้เลย ตัวอย่างตอนพิเศษสั้นๆก็ฟินสุดๆ จะไปตามต่อในe-bookแน่นอนค๊าาาาา >0</~ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: rakkie ที่ 28-05-2017 16:43:42
สนุกมากก อ่านแบบวางไม่ลงจริงๆ ต้องอดข้าวเช้ากับเที่ยงมาลงมื้อเย็นอย่างเดียวเพื่ออ่านเรื่องนี้ อะไรจะขนาดนั้น! 5555
แต่มันส์มากกก ทุกตอนเข้มข้นเจ้มจ้นจริงๆ ชอบคู่นี้มาก เคมีดีมาก ชอบแบบกล้ามชนกล้ามด้วย ฟินดี คิคิ
อยากบอกว่าเปิดใจอ่านเรื่องนายเอกท้องได้เป็นครั้งแรกกับเรื่องนี้เลย บอกเลยโคตรติด งานดีสุดด
รักคริสกับเจเรมี่ค่ะ <3
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 29-05-2017 14:13:32
อ่านแล้วติดมากกก อย่างสนุก  :m1:
 :L2:  :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 17-07-2017 22:16:36
เป็นนิยายสไตล์อัลฟ่า-โอเมก้าที่สนุกมากๆ ลุ้นอยู่ตลอดๆว่าเจมีจะไปกระทืบใครบ้าง
ยิ่งตรงช่วงเกมส์การเมืองนี่ดีค่ะ สนุกชอบ
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Napa ที่ 19-07-2017 23:07:15
เจมีห้าวได้ใจ   :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mickeyz.min ที่ 19-09-2017 20:08:22
ชอบมากกกกกก :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: mouymai ที่ 20-09-2017 21:02:09
อ่านแล้วติดมากกก
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: sangzaja122 ที่ 31-10-2017 07:52:23
สนุกมากค่ะ ตอนแรกเคยเห็นรูปเล่มแต่ไม่กล้าซื้อ พอมาอ่านแล้วความไม่มั่นใจหายไปหมดเลย ขอตัวพุ่งไปซื้อหนังสือก่อน  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: เมียงู ที่ 13-01-2018 22:29:52
อยากจับเจเรมีมาหยิกให้ก้นช้ำ คุณฟ็อกซ์ลุคเจ้าชายนี่ฮอตเว่อ

รุ่นลูกคือดีย์ ลูก้านี่แค่ช้ำรักต้องกินเด็กบำรุงร่างกายกันเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 19-01-2018 10:57:53
สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 26-01-2018 16:02:57
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 04-07-2018 11:11:25
Thank You :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 30-09-2018 01:04:26
สนุกมากกกกก ชอบที่เอาเรื่องประเด็นทางการเมืองต่างๆมาเล่น ทำให้ไม่ใช่เป็นนิยายหวานจ๋าอะไร ตื่นเต้น ลุ้นมาก ตลอดเรื่องเลย o13
ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้ออกมาให้ได้อ่าน :กอด1: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Stmmltww ที่ 07-10-2018 21:15:20
ชอบมากๆเลยค่ะ ประเด็นการเมืองก็น่าสนุกมาก อยากเห็นลูก้ากับเจคอบอีกจังเลยค่ะ555
สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Ujeen ที่ 13-10-2018 13:46:38
สนุกมากๆเลยค่ะ ชอบมากทั้งพล็อตเรื่องและคาแรกเตอร์แต่ละคน  แล้วเรายิ่งชอบพล็อตแนวดิสโทเปียด้วยเรื่องนี้คือรักเลย ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่านนะคะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 04-08-2019 18:35:25
เขียนดีมากๆเลย ชอบคุณคริสมากกกกกก เจมีก็คือไฟที่ถูกน้ำอย่างคริสดับ ขิบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 19-08-2019 21:05:21
 :z10:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Blood Queen ที่ 24-08-2020 12:13:06
ชอบมากๆๆๆๆๆ ลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบ มีบ้างที่ขัดใจนิสัยของเจเรมี แต่เข้าใจว่านิสัยคนเราไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆ ยังดีที่เชื่อฟังคริสบ้างทุกอย่างถึงจบลงด้วยดี ชอบคู่ลูก้ากับเจคอด้วย ถึงจะมาแค่ตอนพิเศษ แต่ก็ปลื้มปริ่ม เหมือนได้ส่งลูกสาวเข้าหอ555+
ขอบคุณที่แต่งนิยายสนุกๆ ให้อ่านนะคะ
:mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: nano ที่ 03-10-2020 23:48:13
สนุกมากกกกกก
10/10 ไปเลยจ้า
หัวข้อ: Re: [END]Omega's Instinct สัญชาตญาณดิบ[Omegaverse]#คริสเจมี่:ตย.ตอนพิเศษ[25/3/60]
เริ่มหัวข้อโดย: Maeo ที่ 06-01-2022 13:35:49
สนุกมากค่ะ ครบทุกรสชาติ
จะคอยติดตามทุกผลงานเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ค่ะ
 :pig4: