Dear, My customer.
ตอนที่2 ลูกค้าสูงศักดิ์ที่ชวนปวดหัว โชคดีของกอร์ดอน ที่เขาจับรถม้ามาทันเตรียมชุดลองของเอิร์ลแห่งอัลบานี และมีเวลามากพอจะแต่งตัวใหม่ให้สมกับเป็นเจ้าของร้าน ‘กอร์ดอนเทเลอร์’ ร้านสูทที่ดีที่สุดร้านหนึ่งของลอนดอน
เขาไปถึงคฤหาสน์ของท่านเอิร์ลตรงเวลานัดเปะๆ ห้าโมงเย็นไม่ขาดไม่เกิน
เอิร์ลแห่งอัลบานีเป็นชายวัยกลางคนที่มีลำคอสั้น ชุดสูทของเขาจึงต้องทำคอให้ลดลงมาหน่อยหนึ่ง เพื่อให้ดูมีคอขึ้น ท่านเอิร์ลดูพึงพอใจกับสูทชุดใหม่ เขาออกปากชมไม่หยุดปาก และบอกกับกอร์ดอนว่าเขาตัดสินใจจะใส่สูทตัวนี้ไปงานเลี้ยงของมาควิสแห่งบาธที่จะจัดขึ้นในวันศุกร์ที่จะถึง ซึ่งก็คือวันพรุ่งนี้ กอร์ดอนรับปากว่าจะแก้ไขจุดบกพร่องที่มีเพียงเล็กน้อยในชุดสูทตัวหรู และนำมาส่งให้ท่านเอิร์ลก่อนเที่ยงวันพรุ่งนี้
คืนนั้นกอร์ดอนกลับมาที่ร้าน แก้สูทตัวนั้นจนเกือบสามทุ่ม จึงเข้านอน เขาตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะให้เด็กนำเอาชุดไปส่งตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนตัวเองจะจัดการชุดอื่นที่ยังค้างอยู่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเร่งงานมากนัก
------------------------------------
ทว่า เช้าวันรุ่งขึ้น กอร์ดอนถูกปลุกด้วยเสียงออดตั้งแต่เช้าตรู่ เช้าเกินกว่าเวลาที่นาฬิกาปลุกของเขาตั้งไว้เสียอีก เขาลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อคลุม พลางนึกสงสัยว่าใครที่มากดออดที่ร้านเอาเวลาป่านนี้ บางทีอาจจะเป็นคนมือบอน หรือพวกคนจรจัดที่สติไม่ดีก็ได้
เด็กรับใช้วิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมาหลังจากนั้นไม่นาน “มีคนมาขอพบคุณครับ”
“ใคร?”
“เขาบอกว่าชื่อจอห์น”
------------------------------------
กอร์ดอนเดินลงบันไดมา พลางนึกสงสัยว่าลอร์ดหนุ่มคนนั้นได้อย่างไรว่านี่คือร้านของเขา ครั้นจะไม่ออกไปต้อนรับ ทางนั้นก็อาจเป็นถึงลูกชายของมาร์ควิสแห่งบาธ ถ้าเกิดไม่พอใจอะไรขึ้นมาอาจจะมีผลกับร้านของเขาได้ ถึงแม้กอร์ดอนจะมั่นใจในฝีมือตัดเสื้อของตัวเอง แต่จะให้เขาเอาฝีมือมางัดข้อกับฝีปากของลอร์ดจอมจุ้น เขาไม่ขอลองดีกว่า ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงจำต้องเปิดประตูร้านตั้งแต่ยังไม่รุ่งเช้า เพื่อต้อนรับการมาของท่านลอร์ดปากมากคนดังกล่าว
“ว้าว ผมเดาถูก ที่นี่ร้านคุณจริงๆ ด้วย” นั่นคือคำแรกที่ลอร์ดหนุ่มทักทายเขา กอร์ดอนพยายามทำสีหน้าต้อนรับลูกค้าเต็มที่ “อรุณสวัสดิ์ครับท่านลอร์ด ไม่ทราบว่าคุณมีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้”
“อรุณสวัสดิ์” ฝ่ายนั้นทักทายตอบเขา ก่อนจะพูดต่อ “โทษทีผมมัวแต่ตื่นเต้น ไม่คิดว่านี่จะเป็นร้านคุณจริงๆ เห็นว่าชื่อเหมือนคุณก็เลยลองเรียกดู”
กอร์ดอนไม่แน่ใจว่านี่เป็นโชคร้ายของเขา หรือโชคดีของลอร์ดหนุ่มกันแน่ที่กดออดเรียกถูกคน
“เชิญคุณเข้ามาข้างในก่อนดีกว่า” เขาเปิดประตูให้ฝ่ายนั้นตามมารยาท ก่อนจะพบว่านอกจากตัวท่านลอร์ดแล้ว ไม่มีใครตามมาอีก
“มาคนเดียวหรือครับ” กอร์ดอนถาม ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟ แสงจากหลอดไฟแบบใหม่สว่างวาบขึ้นขึ้นมาทันที
“อือ ผมขี้เกียจรอโอลิเวอร์ เลยขับรถออกมาเอง กลัวใช้เวลาหาร้านคุณนาน” ลอร์ดหนุ่มพูด ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้สำหรับรับรองแขกโดยไม่ต้องรอคำอนุญาต
“คุณขับรถมาเอง?” กอร์ดอนทวนคำ ฝ่ายนั้นพยักหน้า “ใช่ แปลกหรือ? ก็เห็นคุณบอกว่าร้านอยู่ในตรอกแคบๆ ผมเลยคิดว่าเอารถมาดีกว่า ยังไงก็จอดไว้ข้างทางได้”
กอร์ดอนนึกถึงพาหนะเดินทางรุ่นใหม่ที่ใช้เครื่องยนต์ไอน้ำขับเคลื่อนแทนม้า ก่อนจะพยักหน้า “ผมน่าจะตื่นตั้งแต่ได้ยินเสียงรถคุณแล้ว”
“ฮ่าๆ ผมว่าวันนี้ทุกคนแถบนี้คงตื่นเช้า” ลอร์ดหนุ่มดูจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับคำเหน็บแนมของฝ่ายตรงข้าม เขาใช้ดวงตาสีเขียวสดใสมองกอร์ดอน ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ ร้าน
“ร้านคุณสวยนะ เปิดมานานแล้วหรือยัง?”
“ประมาณห้าสิบปีครับ”
“ห้าสิบ? ผมดูยังไงคุณก็น่าจะอยู่ไม่เกินสามสิบ” ฝ่ายนั้นทวนคำด้วยท่าทางพิศวง กอร์ดอนตอบด้วยท่าทางเรียบๆ “ผมรับช่วงต่อมาจากปู่ ปีนี้ผมอายุสามสิบหกแล้ว”
“ว้าว!” คู่สนทนาของเขาร้องอุทานออกมา “คุณแก่กว่าผมรอบนึงพอดี เหลือเชื่อเลย”
กอร์ดอนยิ้มและตัดสินใจตัดบท “ว่าแต่ท่านลอร์ดมีธุระอะไรหรือครับ ถึงได้รีบมาแต่เช้า”
“คุณเรียกผมว่าท่านลอร์ดอีกแล้ว” อีกฝ่ายทักเขายิ้มๆ “รู้ได้ไงผมเป็นลอร์ด”
“อ้าว ก็เมื่อวานคุณเชิญผมเข้าไปในคฤหาสน์ท่านมาร์ควิสแห่งบาธ แล้วคนรับใช้เรียกคุณว่านายน้อย คุณก็ต้องเป็นลูกชายเขาสิครับ”
“ว้าว นั่นสินะ เรื่องมันง่ายแค่นี้เอง” ลอร์ดหนุ่มหัวเราะชอบใจ “ถูกของคุณ ผมเป็นลูกชายเขา จอห์น คาเวดิช เอิร์ลแห่งโทรว์บริด ในที่สุดผมก็ได้แนะนำตัวกับคุณอย่างเป็นทางการเสียที”
กอร์ดอนพยักหน้า “ผม กอร์ดอน โอเดนเบิร์กครับ คุณมีธุระอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ?”
“ผมอยากได้สูทตัวใหม่” เขาตอบ แล้วพูดต่อ “พ่อบ่นว่าสูทที่ผมเอามาจากอเมริกาดูไม่เข้ากับที่นี่ งานก็ไม่เรียบร้อย ผมขี้เกียจรำคาญเลยบอกว่าจะออกมาหาร้านตัดเอง พ่อต้องแปลกใจแน่ๆ ที่ผมรู้จักร้านคุณ เขาเพิ่งบอกว่ามีร้านตัดประจำอยู่ เดี๋ยวผมจะดูว่าสวยสู้ที่คุณตัดได้มั้ย”
กอร์ดอนยิ้มแบบแบ่งรับแบ่งสู้ แม้อยากจะพูดว่าร้านที่มาควิสแห่งบาธพูดถึงก็คือร้านที่ท่านเอิร์ลกำลังยืนอยู่นี่แหละ
“แล้วคุณจะใช้เมื่อไหร่ล่ะครับ?”
“เย็นนี้ พ่อบอกว่าร้านเก่งๆ ทำทัน ผมว่าคุณต้องเก่งแน่ เลยมาตั้งแต่เช้าไง”
รอยยิ้มของกอร์ดอนค้างอยู่บนใบหน้า เขานึกถึงคำพูดของเอิร์ลแห่งอัลบานี มาควิสแห่งบาธเชิญเขาไปงานเลี้ยงเย็นวันนี้ คงเป็นงานเลี้ยงฉลองการกลับมาของลูกชายนั่นแหละ ทำไมเขาถึงไม่คิดมาก่อนนะ
“ผมเกรงว่า...” กอร์ดอนพยายามเลือกใช้คำที่ดูเหมาะสมและไม่น่าเกลียดเกินไปนัก เขาไม่อยากตัดชุดให้เอิร์ลคนนี้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
“ว่าอะไรล่ะ?”
“คือมันเป็นงานเร่ง” กอร์ดอนตัดสินใจตอบตามตรง “ผมคงต้องให้คุณอยู่ที่นี่เพื่อวัดตัวตลอด ซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” อีกฝ่ายตอบ แล้วยิ้ม “ผมอยู่นี่ยันเย็นเลยยังได้ เอางี้ คุณตัดชุดเสร็จก็ไปงานเลี้ยงกับผมเลย ผมเชิญเอง”
กอร์ดอนอยากจะตบปากตัวเองจริงๆ ทำไมเขาถึงใช้บรรทัดฐานคนทั่วไปตัดสินคนคนนี้กันนะ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ... คุณอาจจะต้องไปธุระ...”
“ไม่มีแล้วล่ะ ธุระของผมวันนี้มีแค่เรื่องชุด หรือว่าคุณไม่อยากตัดชุดให้ผม”
“ผมเปล่าครับ”
“งั้นเป็นอันตกลงเลย คุณมีผ้าให้ผมดูไหม ผมอยากเลือกผ้าก่อน”
กอร์ดอนจำใจต้องรับงานเร่งชิ้นนี้ เขาพาลูกค้าใหม่ไปเลือกผ้าที่ด้านในร้าน “คุณอยากได้สูทโทนสีอะไรครับ”
“พ่อผมอยากให้มันดูเป็นอังกฤษ” ฝ่ายถูกถามพูด ขณะขมวดคิ้วมองม้วนผ้าหลายม้วนที่วางอยู่ “แต่ผมไม่อยากได้สีดำ มันดูเป็นทางการเกินไป นี่เป็นแค่งานเลี้ยงฉลองสนุกๆ เท่านั้น คุณว่าสีน้ำตาลทองเป็นไง”
“ไม่ดีครับ ผมว่า” กอร์ดอนออกความเห็น “คุณเป็นคนร่างใหญ่ ต้องใส่สีทึบถึงจะดูดี เป็นสีน้ำตาลเข้มดีไหมครับ ผ้าตัวนี้ผมเพิ่งได้มาใหม่” เขาพูดและยกม้วนผ้าแคชเมียร์สีน้ำตาลที่ได้มาจากท่าเรือเมื่อวานออกมาวางบนโต๊ะ “ลองคุณจับดูก่อนครับ”
ลอร์ดโทรว์บริดลองจับผ้าผืนนั้น หลังลูบคลำอยู่หลายครั้ง เขาก็พูดออกมา “อือ ผืนนี้แหละ ดูแล้วน่าจะใส่สบาย แล้วเสื้อกั๊กด้านในคุณว่าใช้ผ้าอะไรดี ไม่เอาผ้าสีเดียวกับสูทนะ ผมว่ามันน่าเบื่อ”
“ผืนนี้แล้วกันครับ เข้ากันดี” กอร์ดอนหยิบผ้าสีน้ำตาลแก่ออกมาเทียบกับผ้าม้วนที่วางอยู่บนโต๊ะ เจ้าของชุดเห็นแล้วก็ตอบตกลงทันที “ดี เอาตามนี้เลย”
“งั้นเดี๋ยวเชิญคุณตรงแท่นวัดตัวเลยครับ” ชายหนุ่มเจ้าของร้านตัดเสื้อเดินนำลูกค้าของเขาไปยังอีกห้องหนึ่ง ซึ่งมีแท่นยืนเตี้ยๆ วางอยู่ พร้อมกระจกเต็มตัวอีกสามบาน แสงสว่างจากดวงไฟที่อยู่ภายในห้องทำให้กระจกสะท้อนภาพคนสองคนออกเป็นสามภาพในมุมต่างกัน
“ผมต้องขึ้นไปยืนบนนี้หรือ?” เอิร์ลหนุ่มพูดอย่างไม่แน่ใจนัก “คุณไม่น่าจะวัดตัวผมถึงนะ”
“ผมมีวิธีครับ ไม่เป็นไร คุณขึ้นไปยืนเถอะ” กอร์ดอนพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น จะว่าไปแล้ว นี่คงเป็นลูกค้าชั้นสูงที่มารยาทแย่และพูดมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา
ลอร์ดโทรว์บริดมองเขาอึดใจหนึ่ง ก่อนจะขึ้นไปยืนบนแท่นวัดตัว เขาดูสูงเข้าไปอีกเมื่อทำแบบนั้น กอร์ดอนลากเก้าอี้ตัวเตี้ยที่วางอยู่ตรงมุมห้องมา ลูกค้าสุภาพบุรุษของเขามีจำนวนไม่น้อยที่ตัวสูงมาก ดังนั้นเขาจึงไม่มีปัญหากับการรับมือด้านความสูง แต่ลอร์ดโทรว์บริดนอกจากจะสูงแล้ว ยังตัวหนาอีกด้วย ไม่ใช่อ้วน แต่เพราะกล้ามเนื้อโตๆ พวกนั้นต่างหาก
“ท่าทางคุณชอบเล่นกีฬานะครับ” กอร์ดอนพูดขณะวัดตัว เขามักชวนลูกค้าพูดคุยบ้างเพื่อไม่ให้เกิดบรรยากาศอึดอัดมากนัก อีกฝ่ายตอบเขา “อือ ผมชอบเล่นทุกอย่างแหละ รักบี้ คริกเก็ต ขี่ม้า ฟุตบอล โปโลผมก็ชอบ”
กอร์ดอนพยักหน้าไปตามเรื่อง เขาตวัดสายรัดไปรอบลำคอของฝ่ายนั้น เอานิ้วคั่นเอาไว้นิ้วหนึ่ง ดูตัวเลข ก่อนจะปลดสายรัดออกมาพาดเอาไว้กับคอของตัวเอง แล้วหยิบสมุดบันทึกออกมาจากอกเสื้อเพื่อจดขนาด
“ให้ผมถือสมุดให้คุณมั้ย?” คนที่ถูกวัดตัวอยู่เสนอความช่วยเหลือ กอร์ดอนสั่นศีรษะ ปกติเขาจะมีผู้ช่วยคอยจดให้ แต่เพราะลูกค้ารายนี้มาที่ร้านตั้งแต่ยังไม่มีใครตื่น เขาเลยต้องลงมือจดเองด้วยสภาพอย่างที่เห็น
“คุณต้องอยู่นิ่งๆ ครับ ไม่งั้นเดี๋ยวเวลาวัดตัวแล้วมันจะพลาดเอา”
“อ้อ...”
“ช่วยกรุณายกแขนขึ้นหน่อยครับ ผมจะได้วัดรอบอกคุณ”
เอิร์ลหนุ่มยกมือขึ้นอย่างว่าง่าย กอร์ดอนเอื้อมมือไปเพื่ออ้อมสายวัดรอบตัวเขา แต่เพราะฝ่ายตรงข้ามตัวใหญ่จริงๆ เขาจึงต้องเอื้อมมากกว่าปกติ แทบจะต้องเอาหน้าแนบไปกับหน้าอกของฝ่ายนั้นเพื่อให้สามารถเอื้อมมือถึงสายวัดที่อ้อมไปด้านหลังได้ ขณะที่ก้มลงจดตัวเลข เสียงของลอร์ดโทรว์บริดก็ดังขึ้น “ผมล่ะคิดว่าคุณจะกอดผมซะแล้ว”
กอร์ดอนเงยหน้ามองฝ่ายนั้นด้วยความแปลกใจ และได้รอยยิ้มตอบกลับมา “คุณทำท่าอย่างกับจะกอดผมแน่ะ”
“คุณตัวใหญ่ครับ” อีกฝ่ายตอบ แต่ท่านเอิร์ลดูเหมือนจะมีข้อสงสัยอีก “ผมว่ามีคนอีกหลายๆ คนในลอนดอนที่ตัวใหญ่กว่าผมนะ อย่างน้อยๆ ก็รอบอกใหญ่ นี่คุณทำท่าเหมือนจะกอดเขาทุกคนเลยหรือ?”
กอร์ดอนคิดว่าเขาต้องพยายามอดทนให้เต็มที่ ชายหนุ่มตอบฝ่ายนั้นเสียงเรียบๆ “ปกติแล้วผมมีผู้ช่วยครับ เพียงแต่ตอนนี้พวกเขายังมาไม่ถึง”
“อ๋อ... โล่งไปที” ท่านเอิร์ลพูดแล้วหัวเราะ กอร์ดอนมองเขาอีกครั้ง ก่อนจะก้มศีรษะ “ผมต้องขอโทษด้วยนะครับถ้าทำให้คุณอึดอัด”
“เปล่าเลยๆ” ลอร์ดโทรว์บริดรีบพูด “ผมไม่ได้อึดอัด จะว่าไงดี... ผมแค่คิดว่ามันไม่ดีเลยถ้าคุณจะไปเที่ยวทำท่ากอดใครต่อใคร”
“ผมไม่ได้ทำท่ากอด... ปกติแล้วผมมีผู้ช่วย เพียงแต่คุณมาเช้าเกินไปเท่านั้นครับ” กอร์ดอนคิดว่าน้ำเสียงของเขาคงฟังดูกระด้างขึ้นบ้างแล้ว ฝ่ายตรงข้ามผงกศีรษะ “เข้าใจล่ะ”
ชายหนุ่มลงจากม้านั่ง เพื่อวัดรอบเอว และช่วงสะโพก โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้สายตาจับจ้องการกระทำของเขาในทุกอิริยาบถ
“ปลายขากางเกงคุณอยากจะให้กว้างขนาดไหนครับ” กอร์ดอนพูด ขณะอ้อมสายวัดไปรอบช่วงเท้าของอีกฝ่าย “ประมาณนี้ดีมั้ยครับ?” เขาวงสายรัดเอาไว้ แล้วขยับให้อีกฝ่ายดู เอิร์ลหนุ่มก้มมอง แล้วพยักหน้า
“ช่วงต้นขาให้หลวมหน่อยก็ได้ เข้ารูปเกินไปเวลาเดินมันขยับลำบาก”
“ครับ”
“เรียบร้อยครับ” กอร์ดอนพูด และรู้สึกโล่งใจเป็นที่สุด เขาหันหน้ากลับมาหาลูกค้ารายใหม่ “เดี๋ยวผมจะเขียนแบบเสื้อ ระหว่างนี้คุณกลับไปทานมื้อเช้าที่คฤหาสน์ก่อนก็ได้ครับ สักราวๆ สิบเอ็ดโมงค่อยมาอีกที”
“แล้วคุณไม่ทานมื้อเช้าหรือ?” ฝ่ายนั้นย้อนถาม กอร์ดอนสั่นศีรษะ “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวช่วงสายๆ จะมีแม่บ้านเข้ามาทำอาหารให้”
“อ้อ...” ลอร์ดโทรว์บริดส่งเสียงในคอ “งั้น เดี๋ยวผมรีบกลับมาแล้วกัน ขอโทษด้วยนะที่มารบกวน”
“ไม่เป็นไรครับ หน้าที่ของผมอยู่แล้ว”
----------------------------------
กอร์ดอนเดินออกไปส่งลอร์ดโทรว์บริดที่หน้าร้าน ก่อนจะสั่งให้เด็กรับใช้ไปตามตัวช่างตัดเสื้อที่ประจำอยู่ที่ร้านของเขาสองคนให้รีบมาก่อนเวลา หลังจากนั้นเจ้าตัวจึงลงมือเลือกผ้าซับในที่จะใช้กับสูท และเขียนแบบลงไปบนผ้าที่ใช้ทำตัวเสื้อ ตอนที่ช่างอีกสองคนมาถึง เขาก็ตัดผ้าเสร็จพอดี
“งานด่วนของลอร์ดโทรว์บริด” เขาบอกทั้งคู่หลังจากทักทายกันตามมารยาทเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนเลิกคิ้ว “ลอร์ดโทรว์บริด? ใครครับ?”
“ลูกชายของท่านมาร์ควิสแห่งบาธน่ะ” กอร์ดอนว่า “เขาเป็นเอิร์ลแห่งโทรว์บริด”
“เอ๋? ลูกชาย?” อีกคนทวนคำ ก่อนจะร้องออกมาอย่างนึกได้ “นึกออกแล้ว ลอร์ดโทรว์บริด เขาเคยเป็นนักรักบี้ชื่อดังเมื่อหลายปีก่อน เห็นว่าไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เรียนจบจากอ็อคฟอร์ดใหม่ๆ คงสักสามสี่ปีได้แล้วมั้ง”
กอร์ดอนพยักหน้า ก่อนจะเข้าใจได้เสียทีว่าทำไมเขาถึงไม่เคยเห็นลอร์ดโทรว์บริดมาก่อน เพราะลอร์ดบาธเพิ่งมาตัดเสื้อกับเขาได้แค่สองปี
อีกสองคนพยักหน้าบ้าง “ว่าแต่ลอร์ดโทรว์บริดจะรีบใช้ชุดไปไหนครับเนี่ย ผมคิดว่าอย่างเขาน่าจะมีชุดเหลือเฟือเลยนะ”
“เย็นนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับ” กอร์ดอนตอบ “เขาอยากจะได้ชุดแบบอังกฤษเพื่อที่จะได้ใส่ไปงานน่ะ”
-------------------------------------------
ลอร์ดโทรว์บริดกลับมาที่ร้านก่อนสิบเอ็ดโมงเล็กน้อย คราวนี้เขามากับรถม้า ที่มีโอลิเวอร์คนรับใช้ประจำตัวของเขาเป็นสารถี เอิร์ลหนุ่มดูอารมณ์ดีและไม่มีมารยาทเหมือนเดิม เขาออกปากขอเข้าไปดูขั้นตอนการเย็บชุดโดยอ้างว่านั่งรอเฉยๆ นั้นน่าเบื่อ กอร์ดอนเลยสั่งให้เด็กรับใช้ขนหนังสือทั้งหมดบนชั้นของเขาออกมาให้ท่านเอิร์ลอ่าน ส่วนตัวเองขอตัวไปหลังร้าน เพื่อเย็บงานร้อนๆ นั่นต่อ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ร้านของกอร์ดอนทำงานเร่งขนาดนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าของเสื้อนั่งรอลองเสื้อตลอดทั้งวัน ชายหนุ่มยอมรับว่าอย่างน้อยเขาก็ยังโชคดี ด้วยลักษณะรูปร่างของลอร์ดโทรว์บริด ที่คงจะเล่นกีฬามาหลายชนิด จึงเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ มันคงดูสวยในสายตาใครหลายๆ คน แต่ในสายตาช่างตัดเสื้อ มันคืองานยาก ด้วยกล้ามเนื้อช่วงไหล่ที่ใหญ่กว่าคนทั่วไป ช่วงหลังหนา ทำให้ต้องคำนวณสัดส่วนตอนที่เขียนลงในผ้าให้ดี ถ้าเขียนแบบลงในผ้าไม่ดีแล้วชุดที่ออกมาจะทำให้คนสวมดูแย่ไปเลย หนำซ้ำยังขยับยากอีกด้วย
หลังผ่านการลองและแก้อีกหลายครั้ง ในที่สุดชุดสำหรับไปงานเลี้ยงของลอร์ดโทรว์บริดก็เสร็จทันตามกำหนด ก่อนเวลาห้าโมงเย็นไม่กี่นาที ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สวมสูทชุดนั้นแล้วมองตัวเองในกระจกสามบานที่ตั้งอยู่ ก่อนจะยิ้มออกมา
“สวยมาก ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองใส่สูทแล้วจะดูดีขนาดนี้มาก่อนเลย”
กอร์ดอนยิ้มออกมา “ขอบคุณครับ”
“ผมจะสวมกลับบ้านเลย คุณคิดค่าเหนื่อยมา” เขาพูด แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา กอร์ดอนเขียนรายละเอียดค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วยื่นให้ ก่อนจะพบว่าฝ่ายนั้นให้เงินเกินมาอีกเท่าหนึ่ง
“ค่าที่ผมมาปลุกคุณตั้งแต่เช้าไง” ลอร์ดโทรว์บริดพูดเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของอีกฝ่าย กอร์ดอนมองเขา แล้วสั่นศีรษะ “เยอะเกินไปครับ ผมคิดค่าเสียเวลาเพิ่มไปแล้ว คุณจ่ายเท่าที่เห็นนี่ล่ะครับ”
“ก็ผมอยากจ่ายให้คุณเท่านี้ คุณมาห้ามไม่ให้ผมจ่ายเงินของตัวเองไม่ได้หรอกนะ” เอิร์ลหนุ่มบอกเขา สุดท้ายกอร์ดอนจึงจำต้องรับเงินจำนวนนั้นมา “ขอบคุณนะครับ ขอให้สนุกกับงานเลี้ยง ฝากความห่วงใยถึงท่านมาร์ควิสด้วยครับ”
ลอร์ดโทรว์บริดพยักหน้า “คุณก็ไปแต่งตัวสิ คุณคงไม่คิดจะไปงานเลี้ยงทั้งสภาพอย่างนี้หรอกนะ”
“?”
“อย่าบอกนะว่าคุณไม่มีชุดสูทสวยๆ แบบที่ตัดให้ผมไว้ใส่สักตัว”
กอร์ดอนอ้าปากค้าง อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เสียงไม่ออกจากลำคอ ฝ่ายนั้นเร่งเขาอีก “เร็วสิ ถ้าผมไปสาย ผมจะโทษคุณนะ”
----------------------------------------
สุดท้ายกอร์ดอนก็ต้องแต่งตัวและขึ้นรถม้ามากับลอร์ดโทรว์บริดอย่างงงๆ พลางนึกสงสัยว่าลอร์ดโทรว์บริดจ่ายค่าตัวของเขารวมไปกับค่าเสื้อผ้าด้วยรึเปล่า
“คุณดูดีมากเลย ผิดกับที่ผมเจอเมื่อวานลิบลับ สรุปแล้วคุณไปทำอะไรที่ท่าเรือน่ะ?” อีกฝ่ายเอ่ยชมหลังจากที่ทั้งคู่ขึ้นรถม้ามาได้ไม่นาน กอร์ดอนตอบด้วยน้ำเสียงแบบไม่ปิดบังความเหนื่อยล้า
“ผมไปเลือกผ้า...”
“อ๋อ”
“ผืนที่คุณใส่อยู่ตอนนี้แหละ”
“จริงหรือ?”
“ครับ”
“ผมโชคดีจัง แสดงว่าเป็นคนแรกที่ได้ใช้ผ้าผืนนี้”
“ครับ...”
“คุณดูเหนื่อยๆ นะ”
“ครับ” กอร์ดอนจงใจทำเสียงให้เหนื่อยเข้าไปอีก ลอร์ดหนุ่มควรจะรู้ตัวว่าเขาเหนื่อยมากขนาดไหนกับการต้องเร่งเย็บชุดสวยให้ฝ่ายนั้นใส่ไปให้ทันงานเลี้ยง
“งั้นคืนนี้ค้างที่บ้านผมแล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมาส่ง”
กอร์ดอนถลึงตามองฝ่ายนั้นเหมือนเห็นของแปลก แทนที่จะคิดว่าควรจะปล่อยเขากลับไปพักผ่อน ดันบอกให้นอนค้างที่บ้านตัวเองเนี่ยนะ เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าต้องมีปัญหาด้านการเข้าใจชีวิตของคนอื่นแน่ๆ
“ผมต้องการพักผ่อน”
“ก็นี่ไง... ไปงานเลี้ยงก็เป็นการพักผ่อนไม่ใช่หรือ?”
ชายหนุ่มใช้ดวงตาสีฟ้าของเขาจ้องใบหน้าฝ่ายนั้นอย่างอ่อนล้า “คุณรู้สึกอย่างนั้นหรือ... โชคร้ายนะที่ผมไม่ได้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์แบบคุณ ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นการพักผ่อนหรอกครับ”
“อืม... อันที่จริงมันก็ไม่ใช่การพักผ่อนเสียทีเดียวหรอกนะ” ลอร์ดโทรว์บริดพูดขึ้นเบาๆ “ผมเองก็ไม่ค่อยชอบเวลาต้องทำตัวมีมารยาทต่อหน้าเพื่อนๆ ของคุณพ่อเหมือนกัน เกิดเป็นคนในสังคมชั้นสูงมันก็ลำบากนะ”
“อย่างนั้นคุณควรจะให้ผมลงตรงนี้ครับ ผมจะได้กลับไปพักผ่อน”
แต่ยังไม่ทันที่ลอร์ดโทรว์บริดจะทันได้พูดอะไร รถม้าก็หยุดลง ก่อนที่คนรับใช้จะเดินมาเปิดประตูให้
“สงสัยไม่ทันแล้วล่ะ” เอิร์ลหนุ่มพูด ก่อนจะดึงอีกฝ่ายให้ลงมาจากรถ “ขอต้อนรับสู่งานเลี้ยงของบ้านคาเวดิช”
-------------------------------------
(จบตอน)
** มาแล้วนิยายรายวัน ฮ่าๆ (อุต๊ะ อิฉันทำด้ายยย

) สนุกสนานกับการเขียนคาแรคเตอร์ของลอร์ดคาเวดิชมาก สารภาพว่าตอนนี้ในสมองมีแต่เรื่องราวความเพี้ยนของท่านลอร์ด ฮ่าๆๆ ที่จริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พระเอกหล่อนายเอกสวย แต่ว่าพอเขียนมาแล้วเหมือนไม่มีความรู้สึกอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ฮ่าๆๆ
.
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
