14
ยุทธนาชะงักเท้า เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วเจอใครอีกคนกำลังนั่งหน้ายุ่งอยู่บนเตียง เสียงเปิดปิดประตูเรียกให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนเสียงทุ้มห้าวจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือความเป็นห่วง
“พี่ยุทธ หายไปไหนมาครับ” ยุทธนายิ้มบาง ก่อนจะชูกล้องถ่ายรูปในมือให้อีกฝ่ายดูแทนคำตอบ เขาเดินเข้าไปในห้อง วางกล้องถ่ายรูปไว้บนเตียงก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆอีกคน
“เป็นห่วงรึไง” ถามยิ้มๆ มองอีกคนที่ยังขมวดคิ้วไม่เลิก
“ห่วงสิครับ ถามพี่หินก็บอกไม่รู้ไม่เห็น โทรศัพท์ก็ไม่พกไป เกิดเป็นอะไรขึ้นมาแล้วจะติดต่อคนอื่นได้ยังไงล่ะครับ”
“ขี้บ่นว่ะ” ว่าพลางหัวเราะเบาๆ ทว่าอีกคนกลับไม่ขำด้วย
อันที่จริงเขาบอกไอ้หินแล้วว่าจะแวะไปถ่ายรูปสักหน่อย ฝากให้มันเอากับข้าวกลับมาที่บ้านพักก่อน แต่ดูเหมือนสารที่ฝากมันส่งให้คนทางนี้จะไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ อีกอย่างเขาก็ไม่คิดว่าจะเพลินมือจนค่ำมืดขนาดนี้ด้วย
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย แล้วนี่กินอะไรมารึยังครับ”
“ยังเลยครับ หิวมาก”
“ทำไมไม่รู้จักหาอะไรกินรองท้องก่อนล่ะครับ ปวดท้องมาจะลำบากเอานะ…”
“ขี้บ่นจริงๆด้วย” ยุทธนาว่ายิ้มๆ พลางโยกหัวอีกฝ่ายไปมา เดือนสิบเบี่ยงตัวออกก่อนจะหันมาย่นจมูกใส่คนเป็นพี่
น้องบ่นให้เขาอีกนิดหน่อยก่อนจะไปยกเอากับข้าวที่แบ่งไว้มาให้ พอกินเสร็จก็ถูกสั่งให้ไปอาบน้ำ ออกมาอีกทีก็เห็นว่าอีกฝ่ายนอนตาแป๋ว จ้องเขม็งมาทางประตูห้องน้ำอยู่บนเตียง แต่พอเห็นว่าเขาพันผ้าเช็ดตัวออกมาผืนเดียวเจ้าตัวก็หน้าตาตื่นรีบเบือนหน้าหนีเป็นพลันวัน แถมยังเอาผ้าห่มคลุมโปงอีกต่างหาก ยุทธนาหัวเราะในลำคอมองลูกแมวที่ตอนนี้กลายเป็นเต่าหดหัวเข้ากระดองไปซะแล้ว
กระทั่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยอีกคนก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่ม ยุทธนาสาวเท้าเข้าไปใกล้ก่อนจะนั่งลงบนเตียงเดียวกัน แรงยวบของเตียงทำให้คนแกล้งหลับถึงกับเผลอเกร็งตัวไปชั่วขณะ เดือนสิบหลับตาปี๋ยึดผ้าห่มไว้แน่นเมื่อรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังดึงมันออก
“แฟนพี่กลายเป็นดักแด้ไปซะแล้ว ไหนออกมาคุยกันก่อนเร็ว” เสียงทุ้มเจือหัวเราะดังใกล้หู ยิ่งส่งผลให้อีกคนยื้อแย่งผ่าห่มไว้แน่น เดือนสิบครางฮือ ส่ายหัวปฏิเสธอยู่ในผ้าห่มเอาเป็นเอาตาย แต่คนเป็นพี่ก็ไม่คิดยอมให้
“ถ้าไม่ออกมาพี่จะมุดเข้าไปแล้วนะ” ไม่ว่าเปล่าแต่ยังทำเหมือนจะมุดเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกันจนเดือนสิบถึงกับหน้าตาตื่น สุดท้ายก็ต้องยอมโผล่หน้าออกมาจนได้ ยุทธนาหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิงของอีกฝ่าย หน้าตายับยู่มองเขาอย่างค้อนๆ
“ทำไมถึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้เนี่ยพี่ยุทธ” บ่นพลางกระชับผ่าห่มในมือแน่น ไม่วายคนพี่ยังตามมายื้อยุดจนสุดท้ายก็ต้องมานั่งหน้างอเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยไร้ปราการผ้าห่มขวางกั้นจนได้ แล้วตาพราวๆนั่นอีก มันน่าจิ้มให้บอดนัก เมื่อก่อนไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้เลย
“เป็นยังไงครับ หืมม?”
“หึยย.. ไม่ต้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้เลย” ว่าพลางดันหน้าคนเป็นพี่ออก ทว่าอีกคนกลับไม่ยอมถอยห่าง มือหนาเลื่อนมาจับมือเขาออกแล้วกุมเอาไว้หลวมๆ
“อยากจูบ” คำพูดโต้งๆเล่นเอาเดือนสิบถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่อ้าปากหวอตาเหลือกมองคนเป็นพี่อย่างอึ้งๆ ยุทธนามองแก้มใส
ที่ค่อยๆปรากฏริ้วแดงขึ้นจางๆ อย่างน่ารักน่าชัง ก่อนจะฉวยจังหวะนี้กดริมฝีปากแนบเข้ากับกลีบปากอิ่มโดยที่น้องไม่ทันตั้งตัว เขาไม่ได้รุกล้ำเพียงแค่จูบเบาๆแล้วผละออก มองน้องที่กำลังจ้องกลับมาไม่ต่างกัน
“ถ้าจ้องนานกว่านี้พี่ไม่รับประกันความปลอดภัยแล้วนะ” เขาว่ายิ้มๆ เกลี่ยผิวแก้วใสเบาๆ กระทั่งดวงตากลมโตเริ่มกระพริบปริบคล้ายเพิ่งได้สติ แต่ยังไม่ทันจะได้ละมืออกเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อน้องเป็นฝ่ายขยับเข้ามาชิดจนแทบเกยขึ้นมาบนตัก ซ้ำลำแขนเรียวยังเลื่อนขึ้นมาเกาะเกี่ยวอยู่ที่บ่ากว้าง ม่านตากลมจ้องสบกับเขา มีทั้งแววไม่มั่นใจและแน่วแน่สลับผสมปนเปกันไปหมด และเหนือสิ่งอื่นใดคือใบหน้าเนียนใสที่ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ ใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รินรดกันและกัน
“สิบ..” เขาเรียกน้องเสียงแผ่ว ก้อนเนื้อในอกเริ่มเต้นกระหน่ำไม่เป็นจังหวะ ยิ่งน้องขยับเข้ามาใกล้มากเท่าไหร่ใจเขาก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเท่านั้น อดยอมรับไม่ได้จริงๆว่ากำลังรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาไม่รู้ว่าน้องกำลังคิดจะทำอะไร แต่ต่อให้รู้ เขาก็แน่ใจว่าจะไม่มีทางหยุดมัน
ชั่วขณะที่ยุทธนาเผลอกลั้นลมหายใจยามม่านกลมไหวระริกซ้อนมอง เสี้ยวนาทีที่เปลือกตาบางปิดลง ก่อนที่ริมฝีปากสีสดจะค่อยๆกดแนบลงมา เพียงแค่แตะค้างไว้อย่างนั้นโดยไม่มีการรุกล้ำใดๆ แต่น่าแปลก ที่มันกลับทำให้เขาอุ่นซ่านไปทั่วทุกอณูของร่างกาย ไม่เว้นแม้แต่ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายที่กำลังลิงโลดด้วยความยินดี
ครั้งแรก เป็นครั้งแรกที่น้องเป็นฝ่ายเริ่มจูบเขาก่อน ท่าทีที่ค่อยๆรุกเข้าหาอย่างกล้าๆกลัวๆทำให้ยุทธนาต้องข่มใจไม่ให้ตัวเองสติหลุดและเผลอรุกน้องกลับไปซะก่อน กลีบปากที่เริ่มขยับช้าๆเร่งให้อัตราการเต้นของหัวใจสั่นไหวรุนแรง ในเมื่อน้องอยากลองเป็นฝ่ายริเริ่ม เขาก็จะปล่อยให้เจ้าตัวได้ทำตามใจ แม้จะไม่รู้เหตุผลว่าอะไรทำให้เดือนสิบกล้ารุกเขาถึงขนาดนี้ก็ตาม
สัมผัสเชื่องช้าดำเนินไปเรื่อยๆโดยที่ยุทธนาเป็นฝ่ายรอคอยอย่างใจเย็น เขาวางฝ่ามือไว้ที่แผ่นหลังเล็ก ลูบเบาๆเพื่อให้น้องรู้สึกผ่อนคลาย ก่อนจะเผลอกลั้นลมหายใจเป็นครั้งที่สอง เมื่อความนุ่มหยุ่นของปลายลิ้นเล็กค่อยๆแตะลงที่กลีบปาก สัมผัสเชื่องช้าแต่กลับเรียกความรู้สึกร้อนรุ่มยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าท่าทางเงอะงะดูไม่มั่นใจของอีกฝ่ายเริ่มดึงสติเขาให้ขาวโพลน เสี้ยวนาทีต่อมาที่ความอดทนขาดสะบั้น เมื่อปลายลิ้นแตะกันเบาๆ ไม่ปล่อยให้อีกคนได้มีโอกาสผละออกเขาก็รวบกายเล็กเข้าหาแล้วเป็นฝ่ายมอบจูบร้อนแรงกลับไป
“อื้อม!” ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกรั้งจนขึ้นมานั่งเกยอยู่บนตักแกร่ง สัมผัสบางเบาที่ตนเป็นฝ่ายริเริ่มถูกสนองคืนด้วยความร้อนแรงอีกเป็นเท่าตัว เดือนสิบไม่ได้ขัดขืน หากแต่ฝ่ามือเล็กกลับเกร็งแน่นอยู่ที่บ่ากว้าง เขาหลับตาปี๋ เอียงหน้ารับสัมผัสจาบจ้วงตามที่อีกฝ่ายมอบให้อย่างกล้าๆกลัวๆ ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่จูบกัน แต่ครั้งนี้กลับดูจะร้อนแรงกว่าครั้งไหนๆ ก้อนเนื้อในอกเต้นระส่ำยามเมื่อเรียวลิ้นถูกกวาดต้อนให้จนมุม เกี่ยวกระหวัดพัวพันอย่างชำนาญจนความคิดในหัวเริ่มพล่าเบลอ
“สิบ..” ร่างสูงเอ่ยเสียงพร่าชิดกลีบปากมันวาว กดจูบซ้ำๆทั่วใบหน้าเนียนของคนที่ยังหอบหายใจจนทั้งร่างไหวสะท้าน เขากอดกระชับร่างเล็กเข้าหา สัมผัสแนบสนิทจนไม่เหลือพื้นที่ว่างระหว่างกัน จับแขนน้องให้เกี่ยวรอบลำคอ สบตากลมวาวไหวก่อนจะเป็นฝ่ายแนบริมฝีปากเข้าหาอีกครั้ง เสียงจูบดังก้องขึ้นในหูก่อนที่เดือนสิบจะขย้ำเสื้อยืดตัวบางของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อระบายความรู้สึกปั่นป่วนที่เกิดขึ้น
ยุทธนายกร่างเล็กขึ้นเล็กน้อย จัดแจงให้นั่งคร่อมตักเขาโดยที่ริมฝีปากไม่ยอมผละห่าง ฝ่ามือสากระคายลูบไล้ไปตามแผ่นหลังเนียน ชอนไชผ่านเนื้อผ้าบางเบาเข้าสัมผัสผิวเนื้อนิ่ม มอมเมาให้น้องลุ่มหลงไปกับจูบร้อนแรงที่เฝ้าป้อนให้ไม่ขาด เปิดโอกาสให้หายใจเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเข้าสานต่อด้วยความหนักหน่วงจนอีกฝ่ายเริ่มอ่อนระทวย ลิ้นร้อนกวาดต้อนทุกความหวานล้ำในโพรงปาก ก่อนจะหยอกล้อเกี่ยวพันเข้ากับลิ้นเล็กที่พยายามตอบสนองกลับมาอย่างน่ารักน่าชัง
“อื้ออ! พะ พี่ยุทธ!” เป็นเดือนสิบที่แทบขาดใจหากร่างหนาไม่ยอมผละริมฝีปากออกมา ร่างเล็กหอบหายใจหนักหน่วงจนตัวโยน มือเล็กเกาะเกี่ยวอยู่ที่บ่ากว้าง โดยมีสายตาล้ำลึกของอีกฝ่ายเฝ้ามองอยู่ตรงหน้า มือแกร่งลูบไล้อยู่ที่เอวบาง เค้นคลึงหนักเบาสลับกันตามห้วงอารมณ์ที่กำลังปะทุ ขนกายลุกเกรียว เมื่อสัมผัสได้ถึงความต้องการของอีกฝ่ายที่ตัวเองกำลังนั่งทับ ร่างเล็กกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เผลอกลั้นหายใจยามที่ลมหายใจอุ่นๆเคลื่อนเข้ามารินรดผิวแก้ม
“หยุดพี่ที” เสียงสั่นพร่าไม่ต่างกันเอ่ยชิดกลีบปากที่เริ่มบวมเจ่อ เดือนสิบเอียงหน้าหนีก่อนที่มันจะได้ประกบลงมา มือเล็กขย้ำอกเสื้ออีกฝ่ายแน่นยามที่ริมฝีปากร้อนผ่าวเปลี่ยนเป้าหมายจากริมฝีปากเขาเคลื่อนผ่านทั่วใบหน้า แนบจูบซ้ำๆราวกับหลงใหลนักหนา เผลอสะดุ้งเฮือก เมื่อจุดที่โดนสัมผัสกลายเป็นช่วงลำคอขาว ฟันคมขบกัดลงไปแผ่วเบา แนบริมฝีปากร้อนผ่าวสร้างรอยรักเจือจาง เดือนสิบครางแผ่ว ก้อนเนื้อในอกไหวกระหน่ำราวกับจะหลุดออกมาเสียให้ได้ อยากเอ่ยห้ามอีกฝ่ายหากเสียงที่เปล่งออกมากลับแผ่วเบาราวกระซิบ
“พี่ยุทธ…” มือบางจิกเข้าที่แผ่นหลังกว้างไม่เบานัก ยิ่งกลีบปากร้อนแนบเข้าหาผิวเนื้อมากเท่าไหร่ร่างกายก็ยิ่งสั่นไหวอย่างไม่อาจควบคุม
ยุทธนารับรู้ว่าน้องกำลังตัวสั่นและตัวเขาเองก็กำลังรู้สึกไม่ต่างกัน เพียงแต่น้องสั่นเพราะกำลังกลัว ผิดกับเขาที่สั่นเพราะกำลังต้องการ… เขาลูบแผ่นหลังเล็กไปมาอย่างปลอบประโลม กดจูบซ้ำๆที่ลำคอขาว ขบกัดแผ่วเบาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะซบหน้าลงกับลาดไหล่เล็ก สูดเอากลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำยาปรับผ้านุ่มผสมกลิ่นแป้งเด็กเข้าจนเต็มปอด หวังให้มันช่วยคลายอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้นมาอย่างหนักหน่วง
“พี่ยุทธ” มือบางทาบลงที่ต้นแขนแกร่ง ร่างสั่นสะท้านและลมหายใจหอบหนักอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ของคนเป็นพี่ทำยิ่งให้เดือนสิบรู้สึกผิด ทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการเขามากแค่ไหน แต่เพราะความกลัวไม่เข้าเรื่องก็ทำให้เขาเลือกที่จะหยุดมัน หยุดทั้งๆที่ตัวเองเป็นฝ่ายริเริ่ม
“พี่… พี่โอเค” น้ำเสียงกะท่อนกะแท่นขัดกับถ้อยประโยคที่เอ่ยออกมา ยุทธนาลูบแผ่นหลังเล็กไปมา พรมจูบซ้ำๆลงบนลาดไหล่แคบ ข่มตาหลบซ่อนความต้องการมากมายที่ปะทุจวนจะระเบิด
ขนาดแค่ได้สัมผัสเพียงภายนอกเขายังเป็นมากขนาดนี้.. ถ้ามากกว้านี้เขาคงได้สำลักความสุขตาย“ผมขอโทษ… พี่อย่าโกรธผมนะ อย่าเพิ่งเบื่อผม” น้ำเสียงทุ้มห้าวเจือแววสำนึกผิดดังขึ้นข้างหู ก่อนที่น้องจะกอดรัดแผ่นหลังเขาไว้แน่น ซุกหน้าเข้าหาบ่ากว้างไม่ต่างกัน ยุทธนาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่นึกโกรธที่น้องเลือกจะหยุดทั้งๆที่เป็นฝ่ายเริ่มมันขึ้นมาเอง เขารู้ว่าน้องยังกลัวและยังไม่เชื่อใจในตัวเขาร้อยเปอร์เซ็น ยอมให้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว..
“พี่จะโกรธเราทำไมฮึ แค่นี่ก็รักจะแย่อยู่แล้ว” ถึงแม้ว่าร่างกายจะต้องการมากขนาดไหนแต่ในเมื่อน้องไม่พร้อมเขาก็ไม่อยากฝืน …แต่จะให้ทนอยู่แบบนี้ต่อไปเขาก็ชักทนไม่ไหวเหมือนกัน ไอ้ที่คิดว่าจะสงบลงง่ายๆแต่ยิ่งมาได้สัมผัสกันแนบชิดแบบนี้กลับยิ่งเตลิดไปใหญ่
คิดได้ดังนั้นยุทธนาก็ค่อยๆดันตัวอีกฝ่ายออก น้องมองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก ม่านตากลมใสยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม เขาเลยลูบกลุ่มผมนุ่มเบาๆ ยกยิ้มให้น้องสบายใจ บอกเพียงสั้นๆว่าเดี๋ยวมา ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการกับอะไรๆที่กำลังเกรี้ยวกราดให้มันสงบลง เดินกลับออกมาก็เห็นว่าน้องยังคงนั่งกอดเข่าหน้าเครียดอยู่ที่เดิม เขาเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ รั้งเอวบางเข้าแนบชิดจับให้พิงกับแผ่นอกกว้าง เจ้าตัวดูจะตกใจหน่อยๆก่อนจะโอนอ่อนผ่อนตามในเสี้ยวนาทีถัดมา
“เครียดอะไรฮึ?” เอ่ยถามพลางลูบหัวทุยสวยไปด้วยอย่างเคยมือ เดือนสิบส่ายหัว เอนหลังพิงกับอกกว้างอย่างผ่อนคลาย จับมือหนาอีกข้างของคนพี่มากอดไว้แนบอก หลับตาพริ้มรับสัมผัสอ่อนโยนที่เลื่อนมาเกลี่ยเล่นที่ผิวแก้มนุ่ม ท่าทางออดอ้อนเหมือนลูกแมวทำให้ยุทธนาหลุดยิ้ม บีบมือเล็กของน้องที่กุมมือเขาไว้เบาๆ
“อย่าเพิ่งเบื่อผมนะครับ” เอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ หากแต่ระยะห่างไม่ถึงฝ่ามือกั้นจึงทำให้ยุทธนาได้ยินมันชัดเจน เขากระชับกอดแน่นขึ้น กดจูบหนักๆลงที่ข้างขมับเนียน เน้นย้ำคำตอบด้วยสัมผัสและคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึก
“พี่รักสิบ พี่รอได้”
เสียงพึมพำขอบคุณดังขึ้นให้ได้ยิน นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่เขานั่งกอดน้องอยู่ในท่านั้น กระทั่งคนในอ้อมกอดผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ มือที่เคยจับกุมมือเขาเอาไว้แน่นเริ่มคลายออก ยุทธนาหลุดยิ้มเอ็ดดู ค่อยๆขยับให้อีกฝ่ายนอนดีๆ แต่ในจังหวะที่กำลังจะลุกกลับไปนอนที่เตียงตัวเองมือของคนที่คิดว่าหลับไปแล้วกลับยึดชายเสื้อเขาเอาไว้แน่น เลื่อนขึ้นไปมองหน้าก็เห็นว่าน้องกำลังมองมาที่เขาตาแป๋ว กลีบปากอิ่มเม้มเข้าหากันน้อยๆ คล้ายจะพูดอะไรแต่เหมือนยังลังเล เขายิ้มให้ ลูบหัวน้องเบาๆ
“อยากได้อะไรครับ” เอ่ยถามไปแบบนั้น แต่ถ้าหากไม่คิดเข้าข้างตัวเองจนเกินไปก็พอจะรู้ว่าน้องต้องการอะไร เพียงแค่เดือนสิบเอ่ยปาก..
“….”
“….”
“นอนด้วยกัน.. ได้ไหมครับ” ยุทธนาแทบจะหลุดยิ้มกว้าง ดีที่สะกดกลั้นความดีใจจนออกนอกหน้าไว้ได้ทันจึงมีเพียงยิ้มน้อยๆเท่านั้นที่หลุดออกมาให้อีกฝ่ายได้เห็น เขาแกะมือน้องออกก่อนจะเดินผละออกมา แอบเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าเสียไปเล็กน้อย ตากลมมองตามแผ่นหลังกว้างละห้อย ดูน่าสงสารระคนเอ็นดูจนทนใจแข็งแกล้งต่อไม่ไหว
กดปิดไฟก่อนจะเดินเร็วๆมาหาคนตอนนี้นอนหันหลังให้กันไปซะแล้ว แรงยวบเบาๆทำให้เดือนสิบหันมามอง พอเห็นว่าเป็นใครก็เผยยิ้มจาง ดวงตาเป็นประกายสะท้อนแสงจันทร์ไหวระริกหมดคราบท่าทางเหงาหงอยเมื่อครู่ไปเสียสิ้น ยุทธนาไม่ได้พูดอะไร เขายิ้มตอบก่อนจะล้มตัวลงนอนข้างๆน้อง สอดตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกันที่อีกฝ่ายใจดีแบ่งให้ซะเกินครึ่ง กอดกระชับเอวบางเข้าหาอย่างถือวิสาสะจนใบหน้าน่ารักซุกแนบเข้ากับอกกว้าง
ความกว้างของเตียงไม่ได้มีมากนัก ผู้ชายสองคนมานอนเบียดกันแบบนี้อาจทำให้รู้สึกอึดอัด แต่เชื่อเถอะ ว่าต่อให้แคบกว่านี้ถ้ามีร่างเล็กอยู่ในอ้อมกอดยุทธนาก็เต็มใจ…
“ขอบคุณครับ” เดือนสิบพำพำกับอกกว้าง หลับตาพริ้ม ฟังเสียงก้อนเนื้อในอกที่เต้นระรัวอยู่ข้างหู รู้สึกดีจนเผลออมยิ้มเล็กๆออกมาโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว
“อ้อนบ่อยๆแบบนี้ใจพี่จะแย่เอานะ” เอ่ยชิดกระหม่อมบาง
“ใจดีบ่อยๆแบบนี้ใจผมจะแย่เอานะ” ตอบกลับอู้อี้อยู่กับอกกว้าง เล่นเอาคนฟังถึงกับเหวอค้างไปไม่เป็น ไม่คิดว่าน้องจะตอบกลับมาในรูปประโยคแบบเดียวกัน ซ้ำยังมีออฟชั่นเสริมเป็นหัวทุยที่ส่ายไปมาอย่างอ้อนๆอยู่กับอกเขาอีกต่างหาก ถ้อยเจรจาน่าเอ็นดูจนอดใจไม่ไหวต้องกอดรัดร่างของอีกฝายแรงๆ ทั้งหมั่นเขี้ยวและถือเป็นการลงโทษที่กล้ามาทำตัวน่ารักใส่โดยไม่เกรงใจความอดทนอดกลั้นกันแบบนี้ ไม่รู้จะทนไปได้อีกนานแค่ไหน
“น่ารักเกินไปแล้วเดือนสิบ”
.
.
“เอาไงเชี่ยปืนจะแดกต่อหรือจะนอน กูง่วงแล้วนะเนี่ย” ปกรณ์บ่นใส่รุ่นน้องหน้ายุ่ง ก่อนจะอ้าปากหาวหวอดยืนยันความง่วงของตัวเอง ไม่รู้มันคึกอะไรนักหนาถึงได้ชวนเขามานั่งดื่มจนดึกดื่นขนาดนี้ ไอ้พวกที่เหลือก็ดันพากันสลบเหมือดแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมันไปหมดแล้ว
“ผม… เครียดว่ะพี่” ไอ้คนเมาที่เอาแต่ซดน้ำเมาเงียบๆมาตลอดพูดพึมพำในลำคอ แต่ไม่วายคนหูดีอย่างเขาก็ได้ยินมันชัดเจนอีก
“เครียดห่าไรมึง นกเขาไม่ขัน?” คำถามกวนอวัยวะเบื้องล่างของรุ่นพี่ตัวเล็กเล่นเอาไอ้ปืนถอนหายใจพรืด
“ไม่ใช่ดิ… เพื่อนพี่..” มันเงียบไป ยกเบียร์ขึ้นซดอีกอึกใหญ่ “เพื่อนพี่แม่ง.. คิดยังไงกับผมกันแน่วะ” คำถามของมันเล่นเอาปกรณ์ขมวดคิ้ว
“ใครวะ”
“อึก.. พี่พีท” มันซดเบียร์อีกอึกใหญ่
“ไอ้พีท? มันทำไมวะ” ปกรณ์เกาหัวแกรก มองหน้าแดงๆของรุ่นน้องอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่ามันไปมีเรื่องอะไรกับเพื่อนตัวเองตอนไหน เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมายังนั่งดื่มด้วยกันอยู่ดีๆ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะขอตัวไปอาบน้ำนอนเมื่อยี่สิบนาทีก่อน
“ทำให้.. หงุดหงิด ทำไมต้องไป.. อึก อ้อร้อกับคนอื่น..” ไอ้ปืนพูดอ้อแอ้จนคนฟังฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“เดี๋ยวๆเชี่ยปืน มึงตั้งสติดีๆดิไอ้สัด กูฟังไม่รู้เรื่อง อ้าวเฮ้ย! แล้วนั่นมึงจะไปไหน” เป็นอีกครั้งที่ปกรณ์ได้แต่เกาหัวงงๆ มองตามหลังรุ่นน้องที่อยู่ดีๆมันก็ลุกขึ้นปุบปับ เดินบ่นพึมพำตลอดทางจนหายลับเข้าไปในห้อง
“แม่ง.. ชวนกูมาแดกแต่เสือกทิ้งกูไปไม่ลาซักคำอีก” ปกรณ์บ่นตามหลังรุ่นน้องอย่างเซ็งๆก่อนจะเดินเซๆกลับเข้าห้องตัวเองไป
.
.
“พี่พีท.. อึก พี่จะเอายังไงกันแน่วะ… ชอบนักหรือไง… ที่ได้ปั่นหัวคนอื่นเล่นแบบนี้ อึก! คิดว่าน่ารักแล้วจะทำอะไรก็ได้หรอ!”
“เป็นห่าอะไรของมึงเนี่ยเชี่ยปืน”
พีท หรือพีระ ที่กำลังเช็ดผมของตัวเองอยู่หันมามองรุ่นน้องตัวสูง ที่อยู่ดีๆก็เดินเซๆเข้ามาหาเขาก่อนจะพ่นคำพูดยืดยาวด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ ใบหน้าหล่อเหล่าแดงก่ำหนักกว่าตอนที่เขาแยกออกมาบ่งบอกว่าหลังจากนั้นตัวมันคงดื่มไปไม่น้อย คาดว่าอาจถึงขั้นสติไม่เต็มเต็ง มันถึงได้ทำใจกล้าแบกหน้าหล่อๆเข้ามาหาเรื่องเขาแบบนี้
“ที่มาแกล้งมาแหย่… อึก นี่จริงๆแล้วชอบผมใช่ไหม หรือแค่เพราะคิดว่า… ตัวเองน่ารักแล้วจะเที่ยวไปทำให้ใครหวั่นไหวง่ายๆก็ได้หรอ พี่แม่ง… นิสัยไม่ดีชิบหาย ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ… ทำไม.. อึก ต้องมายุ่งกับผม! ทำไมต้องมาทำให้หงุดหงิด!” ไอ้ปืนสาวเท้าเข้ามาใกล้แต่ด้วยสติไม่เต็มร้อยมันถึงได้เซไปเซมาจนต้องยึดเสาเตียงไว้ ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ ม่านคมปรือปรอยจ้องเขม่งมาที่เขาไม่ลดละ
พีทสูดหายใจลึก ความรู้สึกดีใจระคนตื่นเต้นเล็กๆเกิดขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดที่คนเมาพร่างพรูออกมาหมดสิ้น เขาโยนผ้าเช็ดผมไว้บนเตียงลวกๆ ก่อนจะเป็นฝ่ายสาวเท้าเข้าไปหามันแล้วผลักร่างสูงโย่งไม่เบานัก จนไอ้ปืนนอนหงายไปกับเตียง เขาขึ้นคร่อมมันไว้ทั้งตัว ก่อนจะจับประคองใบหน้าเห่อแดงจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ให้มองกัน มันดูตกใจเล็กๆแต่ไม่ได้ผลักเขาออก
“กูชอบมึง” ตาปรือๆของมันเบิกขึ้นเล็กน้อย
เขาไม่ได้โกหก ที่บอกว่าชอบคือชอบมันจริงๆ อย่างที่บอกว่าไอ้ปืนมันดูดี มันยิ้มง่าย มันคุยเก่ง มันทำให้เขาละสายตาจากมันไปไหนไม่เคยได้นาน และเหนือสิ่งอื่นใดคือมันตรงสเป็คเขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าตาหรือบุคลิกนิสัย
เขาเจอมันครั้งแรกในผับ มันเมามากหากแต่ความเป็นสุภาพบุรุษกลับเต็มเปี่ยม วันนั้นเขาไปเที่ยวกับเพื่อนตามปกติ หากแต่โชคไม่ดีเพราะดันไปมีเรื่องกับแฟนเก่าที่จบกันไม่สวย แต่จะเรียกว่าจบกันได้หรือเปล่า ในเมื่อฝ่ายนั้นไม่เคยแม้แต่จะออกปากเลยซักครั้งว่าเราเป็นอะไรกัน
‘รังแกคนไม่มีทางสู้แบบนี้ได้ไงวะพี่’ น้ำเสียงอ้อแอ้ของใครสักคนดังขึ้นด้านหลัง เรียกให้ทั้งเขาและ’พี่โต้ง’ที่กำลังยื้อยุดกันอยู่หน้าห้องน้ำหันไปมอง ใบหน้าหล่อเหลาของผู้ชายคนนั้นแดงก่ำ ดวงตาคมกริบหากแต่ปรือปรอยหรี่มองมาที่ข้อมือเขาที่กำลังถูกพี่โต้งยื้อไว้แน่น
‘เรื่องของผัวมึงเสือกเหี้ยไรวะ!’ คนที่มีสภาพเมามายไม่ต่างกันสวนกลับ ถ้อยคำเรียกขานทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในสถานะนั้นแล้วทำให้พีทปฏิเสธกลับไปเสียงแข็ง
‘ไม่ใช่นะ!’ เขาพยายามยื้อแขนกลับหากแต่อีกฝ่ายฉุดรั้งไว้แน่น
‘ก็เห็นอยู่ว่าน้องเขาไม่เต็มใจ ผมว่าพี่ปล่อยเขาไปดีกว่า’ ผู้ชายคนนั้นพูดดีๆ หากแต่อีกคนกลับตอกกลับด้วยโทสะที่เริ่มเดือดดาล
‘เสือกไอ้สัด!’
“อ้าว นี่ผมคุยด้วยดีๆนะ คนไม่เต็มใจยังจะไปบังคับเขา นี่พี่ยังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่าวะ”
“แล้วมึงเสือกเหี้ยไร จะเอาหรอไอ้สัด!!”
“เอาก็เอาดิวะคิดว่ากูกลัวหรอไอ้เหี้ย!”
พลั่ก!
โครม!
“เฮ้ย!” เขาได้แต่อุทานอย่างตกใจ เมื่อคนมาใหม่ที่ดูเหมือนจะเป็นคนอารมณ์เย็นในทีแรกเป็นฝ่ายเปิดฉากกระโจนเข้าต่อยพี่โต้งก่อนจนพี่มันล้มโครมลงไปกระแทกพื้น เท่านั้นไม่พอมันยังเข้าไปเตะอัดซ้ำๆเข้าที่ชายโครงจนแฟนเก่าเขาถึงกับร้องโอดโอยยกมือยอมแพ้และเป็นฝ่ายถอยออกไปในที่สุด
‘ขอบคุณนะ’ เขาว่าพลางลูบข้อมือตัวเองที่แดงเถือกไปหมดเพราะแรงกระชาก แต่ก็ต้องตกใจเมื่อคนที่มีแรงเตะอัดคนอื่นป้าบๆอยู่เมื่อครู่เซแท่ดๆทำท่าจะล้มลงไปจนต้องเข้าไปช่วยประครอง กระทั่งฝ่ายนั้นยืนตัวตรงด้วยตัวเองได้แล้วยกมือขึ้นทำท่าบอกว่าไม่เป็นอะไร เขาเลยถอยออกมา
‘ไม่เป็นไร คราวหน้า… คราวหลังก็ระวังตัวหน่อย ดูดิ หน้าตายิ่งดูล่อเสือล่อตะเข้อยู่ด้วย แล้วทีหน้าทีหลัง… มาเที่ยวที่แบบนี้จะมาเข้าห้องน้ำต้องพาเพื่อนมาด้วยรู้เปล่า… เกิดเจอแบบเมื่อกี้อีกจะแย่เอา ตัวก็ผอมบางแค่นี้… อึก จะเอาแรงที่ไหนไปสู้ ดูดิเนี่ย… ผิวช้ำหมด’ เขาได้แต่พยักหน้าหงึกหงักยอมรับ ทั้งที่นิสัยจริงๆไม่ใช่พวกที่จะยอมอยู่นิ่งให้คนอื่นมาชี้นิ้วสั่งสอน ยิ่งกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันยิ่งแล้วใหญ่ แต่กับคนๆนี้กลับต่างออกไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอีกฝ่ายเข้ามาช่วยเขาไว้ หรือเป็นเพราะสัมผัสอ่อนโยนที่แตะลงบนผิวเนื้อแดงเถือกและตาคมๆที่จ้องมาดุๆนี่กันแน่ ที่ทำให้เขาเผลอนิ่งไปจนยอมให้อีกฝ่ายสั่งสอนราวกับเด็กน้อยอยู่แบบนี้
‘ไป.. กลับโต๊ะไปได้แล้ว กลับเองได้ใช่ไหมหรือต้องให้ไปส่ง’ อีกฝ่ายปล่อยข้อมือเขา เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงห้วนๆแต่กลับเจือความเป็นห่วงเล็กๆอยู่ในนั้น
‘ไม่เป็นไรครับผมกลับได้เองได้ แล้วก็ขอบคุณมากๆที่เข้ามาช่วย’ เขายิ้มให้ อีกฝ่ายโบกมือพึมพำบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะรุนหลังเขาเบาๆให้เดินกลับมาที่โต๊ะ ส่วนตัวเองก็เดินหันหลังเข้าห้องน้ำไป ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่เขายืนจับจ้องแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้น
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกดีๆกับใครซักคนโดยไม่ต้องมีเรื่องเซ็กเข้ามาเกี่ยวข้อง
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกวูบไหวไปกับความเป็นห่วงเป็นใยจากคนที่ไม่รู้จัก
เป็นครั้งแรกที่เขานึกโทษตัวเองที่ไม่หาทางติดต่อกับคนอื่นจนต้องมานั่งเสียดายทีหลัง
เป็นครั้งแรก… ที่เขารู้สึกดีใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
และเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเหมือนอกหักทั้งๆที่ยังไม่แม้แต่จะเริ่มจีบ…
เขาเจอไอ้ปืนอีกครั้งที่ห้องเชียร์คณะในวันสุดท้าย ด้วยความที่เป็นรุ่นพี่ปีสามและไม่มีหน้าที่อะไรในส่วนนั้นให้ต้องรับผิดชอบเขาเลยไม่เคยแม้แต่จะย่างกรายเข้าไปในห้องเชียร์ แต่เพราะวันนั้นเป็นวันสุดท้ายของการว้าก เป็นวันที่รุ่นพี่จะส่งมอบธงรุ่นต่อให้รุ่นน้อง จากความเบื่อหน่ายที่ต้องมานั่งฟังเพื่อนตัวเองตะคอกจนคอแทบแตกพลันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกตื่นเต้นระคนดีใจปนประหลาดใจผสมมั่วไปหมด เมื่อเห็นร่างสูงของใครบางคนที่ติดอยู่ในห้วงความทรงจำจนยากจะสลัดให้หลุดปรากฏขึ้นในคลองสายตา
เขาคนนั้นยังคงดูดี ท่าทางอกตั้งตัวตรงยามตอบคำถามรุ่นพี่ดูสง่าผ่าเผย ‘N’ปืน’ เป็นชื่อที่เด่นหราอยู่บนอกเสื้อนักศึกษา ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นน้อง เผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆยามนึกไปถึงสภาพของอีกฝ่ายในคืนนั้นที่ช่างแตกต่างกับตอนนี้ลิบลับ
‘สวัสดีครับผมชื่อนายธงรบ เกียรติบริภักดิ์ รหัส 0220 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาเครื่องกล ขอลายเซ็นหน่อยครับ’ เสียงทุ้มชัดถ้อยชัดคำดังขึ้นก่อนที่สมุดลายเซ็นจะถูกยื่นมาจ่อตรงหน้า ท่าทีนิ่งสงบของอีกฝ่ายทำให้เขามั่นใจว่ามันคงจำเขาไม่ได้ เผลอๆอาจจะจำเรื่องคืนนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่คิดที่จะรื้อฟื้น…
หลังจากวันนั้นเขาก็เฝ้ามองมันมาเรื่อยๆ ไม่ได้ถึงกับเข้าไปตีสนิทแต่ก็คอยวนเวียนไปให้เห็นอยู่บ่อยๆ อย่างที่บอกว่าไอ้ปืนมันเป็นคนอัธยาศัยดี เที่ยวคุยกับคนโน้นคนนี้ไปทั่วจนคนอื่นเขารู้จักมันเกือบทั้งคณะ และอีกเห็นผลที่ทำให้เขาไม่กล้าเข้าใกล้มันมากเกินไปคือไอ้ปืนไม่ได้ชอบผู้ชาย มันเป็นคนเจ้าชู้ คารมณ์มันดีไม่แพ้หน้าตาจึงทำให้สาวๆจากหลายคณะเข้ามาติดพันธ์ ไหนจะมีแบคอัพเสริมเป็นนามสกุลดังของนักธุรกิจใหญ่ที่พ่วงท้ายชื่อเท่ห์ๆของมันมานั่นอีก แค่ได้ยินก็คร้านว่าใครต่อใครจะรีบวิ่งเข้าหา
มีต่อ
.
.
.