ตอนที่ 19 ครบ
ปึก! ปึก!
เดือนสิบยืนมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้จะอธิบายออกมายังไงดี เมื่อเห็นว่าต้นเสียงที่ดังปึงๆ ลั่นไปถึงในครัวจนต้องออกมาดูคือคนตัวสูงที่กำลังตอกตะปูลงบนกิ่งต้นกัลปพฤกษ์อยู่บนบันไดอลูมิเนียมทรงเอ โดยมีน้องขายของเขาเป็นคนจับตัวบันไดให้มันนิ่งๆ อยู่ด้านล่าง เยื้องไปอีกหน่อยจะเห็นคนอายุมากสุดกำลังชื่นชมกล้วยไม้และไม้ดอกนานาพันธุ์ที่วางกระจายอยู่บนพื้นข้างรถของคนที่ปีนอยู่บนบันได ท่าทางถูกอกถูกใจแบบไม่เหลือมาดทำเอาคนมองอย่างลูกชายคนโตถึงกับส่ายหัว
“ทำอะไรกันน่ะพ่อ” เดือนสิบเดินเข้าไปใกล้ เสียงของเขาทำให้ทั้งสามคนหันมามอง
“มาพอดีเลยเอ็ง ช่วยเอานี่ไปแขวนไว้ตรงนั้นให้พ่อที” คนเป็นพ่อไม่ได้ตอบคำถามแต่ยื่นของในมือมาให้เขา เดือนสิบรับเอาเอื้องเขากวางอ่อนที่ถูกพันติดกับท่อนไม้จากคนเป็นพ่อมาถือไว้ ตากลมมองกล้วยไม้หลากพันธุ์หลายสิบต้นที่วางเรียงกันอยู่กับพื้นก่อนจะหันไปมองคนซื้อซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังมองมาทางเขาอยู่พอดี ยุทธนายกยิ้มอ่อน คิ้วเข้มข้างหนึ่งยกขึ้นเหมือนกับจะอวดว่าของฝากที่ตนลงทุนขนมาเป็นที่ถูกอกถูกใจพ่อของเขาแค่ไหน
“พ่ออย่างเห่ออ่ะสิบ นี่ลงทุนเข้าไร่ตั้งแต่เช้ามืดไปขนเอาไม้มาเลยนะ น้ำเนิ้มก็ไม่ยอมอาบ” ท่อนไม้น้อยใหญ่ที่วางเกลื่อนอยู่โดยรอบยืนยันคำพูดของน้องชายได้เป็นอย่างดี เดือนสิบหัวเราะออกมาเบาๆ นั่งลงไม่ไกลจากผู้เป็นพ่อหลังเอากล้วยไม่ไปแขวนไว้ตามที่อีกฝ่ายบอก มือเรียวจับกระถางกล้วยไม้ต้นหนึ่งขึ้นมาดู อันที่จริงเขาไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับพวกไม้ดอกไม้ประดับมากนัก แต่เพราะพ่อกับแม่ชอบมากเลยเคยหาข้อมูลไว้บ้าง เจ้าต้นที่อยู่ในมือถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นรองเท้านารี แต่ไม่แน่ใจว่าสายพันธุ์ไหน เพราะตอนที่พี่ซื้อเขาไม่ได้ดูด้วย เจ้าต้นนี้ที่บ้านมีอยู่หลายพันธุ์เหมือนกันเพราะแม่ชอบมาก เรียกได้ว่าแทบจะเป็นนักสะสมเลยก็ได้
“ต้นนี้พันธุ์เหลืองกาญจน์ แม่เอ็งเขาบ่นว่าอยากได้นานแล้วแต่พ่อไม่มีเวลาพาไปหาซื้อซักที นี่ถ้าออกมาเห็นคงดีใจ” พ่อพูดไปมือก็พันลวดอ่อนรอบเอื้องสายเพื่อให้มันยึดติดกับท่อนไม้ไปด้วย “ต้องขอบคุณรุ่นพี่เอ็ง” พ่อเงยหน้าขึ้นมาพูดยิ้มๆ ดวงตาที่ผ่านอะไรมาเกือบห้าสิบปีมองไปทางลูกชายคนเล็กและชายหนุ่มอีกคนที่อยู่ไม่ไกล
“แล้วนี่กำลังทำอะไรกันเหรอครับ” เดือนสิบมองตาม เห็นคนเป็นพี่กำลังรับโซ่เส้นใหญ่จากน้องชายของเขาขึ้นไปพันรอบกิ่งไม้ที่เพิ่งตอกตะปูกันสายโซ่เคลื่อนลงไป เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าชิงช้าตัวเก่าที่เคยห้อยอยู่ตรงนั้นถูกเอาออกไปแล้ว
“แม่เอ็งอยากได้ซุ้มชิงช้าใหม่ ไปเห็นที่บ้านยายแจ่มมาคราวก่อนบ่นกรอกหูข้าอยู่ทุกวันแต่ก็ไม่มีเวลาทำให้ซักที” เดือนสิบรู้ เพราะพ่อทำงานหนัก
“ไม่มีเวลาแต่เตรียมของไว้หมดแล้วเนี่ยนะพ่อ” ลูกชายคนเล็กที่หูดีได้ยินบทสนทนาว่าขึ้นเหมือนจะล้อ คนเป็นพ่อหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพึมพำว่ารู้มาก
ของที่เตรียมไว้หมดแล้วของเดือนอ้ายก็คือชิงช้าตัวใหม่ที่ทำจากไม้สักทาสีย้อมไม้และลงแลคเกอร์เคลือบอย่างดี ใกล้กันเป็นเถาวัลย์ไม้เลื้อยขนาดกว้างประมาณสองนิ้วยาวเท่าไหร่ไม่แน่ใจ ที่เอาไว้เชื่อมระหว่างกัลปพฤกษ์สองต้นเพื่อทำเป็นซุ้ม ประจวบเหมาะกับของฝากที่ได้มาจากคนต่างถิ่นเป็นไม้ประดับพอดี ที่เหลือก็แค่ประกอบให้เข้าที่เข้าทาง
“ก็เตรียมไว้ให้เอ็งกับพี่กลับมาช่วยกันทำไงเจ้าอ้าย ข้าทำคนเดียวไหวที่ไหนชิงช้านั่นก็ได้ไอ้เจ้าเพชรมันมาช่วยเลื่อยไม้ให้ สีมันก็ช่วยทา ไม่อย่างนั้นคนแก่อย่างข้าเจอกลิ่นฉุนๆ ได้เป็นลมเป็นแล้งกันพอดี …เอาคีมตรงนั้นมาให้พ่อที” ประโยคหลังหันมาบอกลูกชายคนโต เดือนสิบยื่นคีมตัดลวดให้พ่อ
“แล้วนี่แม่ไม่รู้เลยเหรอพ่อ” คนถูกถามหัวเราะในลำคอ วางคีมตัดลวดลงพลางเอ่ยกับลูกชาย
“รู้สิ แต่แม่เอ็งเขาแกล้งไม่รู้”
สองพ่อลูกหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขเรียกความสนใจจากชายหนุ่มอีกสองคนที่เพิ่งทำสายห้อยชิงช้าเสร็จ ยุทธนาปีนลงจากบันไดก่อนที่เดือนอ้ายจะพับมันแล้วเอาไปพิงไว้กับต้นไม้ ช่วยกันเก็บเครื่องมือลงกล่องก่อนจะเดินมาหาสองพ่อลูกที่นั่งคุยกันอย่างถูกรส
“แอบนินทาแม่กันอยู่ใช่ไหม อ้ายจะฟ้อง” ไอ้คนตัวเล็กนั่งลงได้ก็ทำตัวน่าหมั่นไส้ในสายตาพ่อมันขึ้นมาทันที เลยถูกเขกกะบานจนต้องร้องโอดโอย “โอ้ย พ่ออ่ะ!”
“เอ็งมันรู้มาก” โดนเขกแค่เบาๆ แต่มันดันร้องซะลั่น เดือนอ้ายหน้างอ เบียดกระแซะเข้าไปใกล้พี่ชายมากกว่าเดิม
“สิบดูพ่อดิ ยิ่งแก่ยิ่งชอบใช้กำลังอ่ะ ไม่น่ารักเล้ย …โอ้ยพ่อ! มันเจ็บนะ” ประโยคท้ายแทบจะร้องเสียงหลงเมื่อโดนคนถูกนินทาในระยะเผาขนลงมือซ้ำที่เดิม
“เนี่ย พูดยังไม่ทันขาดคำเลยอ่ะ สิบดูพ่อดิ” แทนที่จะรู้สึกสงสารเจ้าของหัวทุยที่กำลังเกลือกกลิ้งอยู่บนไหล่ เดือนสิบกลับแกล้งผลักมันออกอย่างไม่ใยดี
“สมควรโดน”
คำพูดเหมือนจะไร้เยื่อใยของพี่ชายทำเอาเดือนอ้ายอ้าปากหวอ ท่าทางเศร้าอกเศร้าใจอย่างที่ใครก็ดูออกว่าแกล้งทำก่อนที่เจ้าตัวจะขยับห่างจากพี่ชายไปนั่งเบียดชายหนุ่มอีกคน ไม่เบียดเปล่าแต่มันยังทิ้งตัวพิงไหล่ของคนที่เอาแต่นั่งยิ้มไปด้วยทั้งตัว
“พี่ยุทธช่วยด้วย” หน้ามนช้อนมองรุ่นพี่ที่ตนทึกทักเอาเองแล้วว่าสนิทหลังคุยกันได้ไม่นาน ด้วยท่าทางที่ถ้าคนไม่รู้จักเห็นก็คงต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าน่าเอ็นดู ทว่าพ่อกับพี่ชายที่เห็นกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกนอกจากจะเอ็นดูแล้วยังมีความรู้สึกหมั่นเขี้ยวระคนหมั่นไส้ปนมาด้วย โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อที่ถึงกับส่ายหัวระอา
“พอเลยเอ็ง พี่เขาทำงานมาเหนื่อยๆ อย่าไปกวน” ตั้งแต่ขนกล้วยไม้ลงจากรถ แล้วเข้าไร่ไปช่วยเขาขนพวกท่อนไม้รากไม้ตั้งแต่เช้าตรู่ ไหนจะอาสาช่วยรื้อและทำสายห้อยชิงช้าให้จนมาถึงตอนนี้เพิ่งจะได้พัก แม้อากาศบนเขาจะเย็นแต่ใบหน้าคมก็มีเหงื่อซึมออกมาให้เห็น
“ผมกวนเหรอพี่ยุทธ”
คนถูกถามก้มมองเจ้าของใบหน้าหงอยๆ ทว่านัยน์ตาพราวระยับอย่างเด็กซนแล้วส่ายหัว เขาไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับแค่ต้องเป็นโซฟากิตติมศักดิ์ให้ไอ้ตัวเล็กนี่ทิ้งน้ำหนักใส่แบบไม่เกรงใจ ดีเสียอีกที่คนในครอบครัวของเดือนสิบเริ่มเปิดใจให้ และมองเขาเป็นเหมือนคนในครอบครัว
โดยเฉพาะคนเป็นพ่อที่ถึงแม้ต่อหน้าลูกชายจะไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขามากนัก แต่เมื่อเช้าตอนเข้าไร่ด้วยกันก็ซักประวัติเขาซะแทบขาวสะอาด ถึงจะทำเหมือนคุยเรื่องทั่วไปแต่เขาก็รู้สึกได้ว่ากำลังถูกอีกฝ่ายซักประวัติอยู่แน่ๆ ยุทธนาไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือมองว่ามันเป็นการละลาบละล้วงอะไร ดีเสียอีกที่พ่อน้องอยากรู้เรื่องของเขา ถึงอีกฝ่ายจะทำทีเหมือนถามไปงั้นๆ ก็เถอะ
“เห็นไหมพ่อ พี่ยุทธยังไม่ว่าอะไรซักคำ”
“เอ็งมันมึน” บ่นใส่ลูกชายที่ยิ้มร่ารับก่อนจะมองขึ้นไปสบสายตาไอ้หนุ่มคราวลูกอีกคน “อย่าไปตามใจมันให้มากนัก เห็นหน้ามันซื่อๆ อย่างนี้แต่ดื้ออย่าบอกใคร”
“โหยพ่อ ทำไมว่าแต่อ้ายคนเดียวอ่ะ สิบมันก็ดื้อเหมือนกันนะ” บุ้ยปากใส่พี่ชาย ไม่ยอมถูกว่าคนเดียว
“พอกันทั้งพี่ทั้งน้องนั่นแหละพวกเอ็ง” ไอ้คนน้องดื้อโผงผางไม่ยอมใคร ส่วนไอ้คนพี่ก็ไม่น้อยหน้า ถึงปากจะรับคำครับๆ เหมือนยอมแต่ก็แอบดื้อเงียบ ดื้อตาใสให้เอาผิดไม่ลง รู้จักโอนอ่อน รู้ว่าทำยังไงถึงจะผ่อนผิดตัวเองให้กลายเป็นเบา ผิดกับน้องชายที่ดื้อแพ่งหัวชนฝา นิสัยมุทะลุขัดกับหน้าตาจนเขากับภรรยาต้องคอยเป็นห่วง
ช่วยกันประกอบชิงช้าอยู่ไม่นานร่างเล็กของผู้หญิงคนเดียวในบ้านก็เดินออกมาเรียกให้เข้าไปทานข้าว อย่างที่พ่อบอกว่าแม่ทำเป็นไม่รู้เรื่องที่พ่อแอบทำชิงช้าให้ ตอนออกมาเรียกถึงจะเห็นว่าพวกเขาสี่คนทำอะไรกันอยู่แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากทักท้วง ดวงตาเป็นประกายอีกทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้มขณะพูดชักชวนไปเรื่องอื่น สองพี่น้องลอบสบตาแล้วยิ้มให้อย่างรู้กัน เพราะแม่น่ารักอย่างนี้พ่อถึงขัดใจไม่ได้ซักที
ครอบครัวชาวสวนใช้ชีวิตเรียบง่าย ข้าวปลาอาหารทำเองจากวัตถุดิบที่หาได้จากไร่จากสวน ทั้งปลาที่ถูกเลี้ยงไว้เพื่อประกอบอาหารและส่งขาย พืชผักปลูกกินเองและเผื่อแผ่เพื่อนบ้าน บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอบอวลไปด้วยความสุขแม้ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่มีทุกอย่างช่วยอำนวยความสะดวก ถึงจะไม่ได้ตกเป็นหัวข้อสนทนาบ่อยนัก แต่ยุทธนาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอื่น ทั้งน้องและครอบครัวเอาใจใส่เขา พ่อที่ถึงจะไม่ค่อยพูดอะไรเหมือนแม่ แต่การที่เลื่อนจานอาหารมาตรงหน้าเขาแล้วบอกให้ลองชิมก็เป็นการแสดงออกที่สัมผัสได้ว่าเอาใจใส่มากแล้ว
ตกเย็น สายลมเอื่อยพัดปะทะหน้าบางเบา สองร่างกำลังเดินทอดฝีเท้าอย่างไม่เร่งรีบไปตามคันดินซึ่งเป็นทางเท้า สองข้างทางขนาบด้วยไม้ผลยืนต้นที่ให้ผลตามฤดูกาล ในมือของคนเป็นน้องถือลำไยพวงใหญ่ที่ทั้งคอยปลิดกินเองและยื่นให้คนเป็นพี่ที่ถือคันเบ็ดตกปลาเดินเคียงข้าง สองฝั่งพื้นที่ยาวสุดสายตาเป็นทุ่งนากว้าง ต้นกล้าสีเขียวขจีเอนไหวตามแรงลมให้ความรู้สึกสบายตาสบายใจจากคนที่ได้พบเห็น
“เพราะใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ดีแบบนี้หรือเปล่า ผิวถึงได้ดีแบบนี้” ดีแบบนี้ของคนตัวสูงคือผิวขาวเนียนละเอียดของคนเป็นน้องที่กำลังยื่นลำไยที่ถูกแกะเปลือกออกครึ่งหนึ่งมาให้ ยุทธนาจับข้อมือเล็กไว้แล้วใช้ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยไปมา
“อยากลองมาอยู่ดูไหมล่ะครับ บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องทนรถติดทั้งเช้าสายบ่ายค่ำ บ้านเรา ที่เรา อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องกลัวสายตาคนอื่น ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกใครมองเป็นตัวตลกหรือแปลกประหลาด”
เสียงพูดเอื่อยๆ พอๆ กับสองเท้าที่ผ่อนจังหวะการก้าวเดินจนในที่สุดก็หยุดลง เดือนสิบยิ้มให้คนเป็นพี่ที่กำลังยกยิ้มตาม มือใหญ่กระชับมือเขาแน่นขึ้นแล้วแกว่งมันเบาๆ ขณะออกเดินอีกครั้ง ตาคมละจากใบหน้าเนียนของคนเป็นน้องแล้วทอดมองไปยังหนทางเบื้องหน้า รอยยิ้มยังไม่จางหายไป กลับกันมันยิ่งคลี่ออกกว้างขึ้นเรื่อยๆ ยามฟังเสียงคนข้างตัวพูดไปเรื่อยแล้วนึกภาพตาม
“ตื่นเช้า เข้าไร่ ปลูกผัก เลี้ยงปลาไว้ทำอาหารกินเองง่ายๆ ตกเย็นก็กลับบ้านพักผ่อนกับครอบครัว นั่งล้อมวงกินข้าวพร้อมหน้า พูดคุยสัพเพเหระ”
สายลมเอื่อยพัดเอาปอยผมปลิวไปด้านหลัง เดือนสิบแหงนมองเสี้ยวหน้าเปื้อนยิ้มของคนตัวสูง คล้ายรู้ตัวว่าถูกจับจ้องรอยยิ้มนั้นถึงได้กลับมาเป็นของเขาอีกครั้ง
“เอาไว้แก่ตัวลง หรือให้อะไรเข้าที่เข้าทางกว่านี้แล้วเรามาอยู่ที่นี่กันดีไหม ปลูกบ้านอีกหลังอยู่ใกล้ๆ พ่อกับแม่ ทำไร่ทำสวน ปลูกผักเลี้ยงปลากินกันง่ายๆ ถ้าสิบอยากมีลูกซักคนเราก็รับเด็กมาเลี้ยง หรือจะขอจากพี่ยิมกับพี่นาวมาซักคนก็ได้ถ้าสิบไม่สบายใจจะเลี้ยงลูกคนอื่น”
คิดไปถึงพี่ชายกับพี่สะใภ้ที่ถึงจะแต่งงานกันมาเกือบสองปีแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมมีลูกซักที อันที่จริงคือพี่เขาน่ะอยากมีเต็มแก่ ติดก็แต่พี่สะใภ้ที่อ้างว่าอายุยังน้อยบออกว่าอยากทำงานก่อน แต่มันก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าเพราะพี่สะใภ้เขาเพิ่งจะยี่สิบห้าเท่านั้นผิดกับพี่ชายที่ใกล้จะสามสิบอยู่รอมร่อ หน้าที่การงานก็มั่นคงเป็นถึงรองประธานบริษัทอยากมีลูกก็คงไม่แปลก
ยุทธนาพูดไปเรื่อยตามความคิดที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวทว่าคนฟังนิ่งไปแล้ว ก้อนเนื้อในอกคล้ายทำงานผิดจังหวะ ถึงจะเคยคิดเผื่ออนาคตไว้บ้างแต่เขาก็ไม่เคยมองกาลไกลถึงขนาดนี้ แม้ไม่ได้มองถึงวันที่ต้องเลิกรากันแต่ก็ไม่ได้คิดไปถึงยามที่คบกันจนแก่เฒ่า เดือนสิบมองเสี้ยวหน้าเปื้อนยิ้มของคนเป็นพี่ ความรู้สึกมากมายตีรวนอยู่ภายในจนบอกไม่ถูก มันทั้งอึ้ง ตื่นเต้น แปลกใจระคนดีใจจนยากจะแยกแยะ
“ดีไหม” เสียงทุ้มเอ่ยย้ำ มาพร้อมกับรอยยิ้มและแววตาจริงจังที่สบมอง เดือนสิบค่อยๆ ยิ้มตอบคนเป็นพี่ มือเล็กกว่าสอดประสานเรียวนิ้วเข้าด้วยกันกับมือใหญ่แล้วบีบกระชับ เหมือนเป็นการย้ำคำพูด
“ครับ แล้วเราจะมาอยู่ที่นี่ด้วยกัน”