ปราบซ่า
ตอนที่18
[ซ่า]
หลังจากเกิดเรื่องโดนไล่ออกจากงาน ผ่านมาได้สองอาทิตย์ ผมก็โดนโทรเรียกให้กลับมาบ้านตั้งแต่สองวันที่แล้ว วันนี้ไม่ต้องไปทำงานผมก็เลยแวะมาที่บ้านตอนเย็น
แต่รู้สึกว่าผมจะเลือกวันผิด เพราะที่บ้านกำลังวุ่นวายได้ที่ ผมเลยนั่งรออยู่แถวๆหน้าประตูรั้ว ไอ้มิวก็นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ใกล้ๆ
“เขาทะเลาะอะไรกัน” ผมถามไอ้มิว
“พี่แนนจะเลิกกับพี่เบิร์ด คือกูว่าก็เลิกไปเถอะ พี่เบิร์ดมันก็นิสัยไม่ดี มีผู้หญิงอื่นด้วย ส่วนพี่แนนก็เจอผู้ชายคนใหม่ที่ทำงานไง แต่ตกลงเลิกกันไม่ได้ เพราะไอ้พี่เบิร์ดไม่ยอมรับว่ามีผู้หญิงคนอื่น ก็เลยพากันที่นี่มาให้แม่ช่วย” ไอ้มิวเล่าอย่างออกรสออกชาติ ผมมองเข้าไปในบ้าน พี่แนนกับพี่เบิร์ดเถียงกันเสียงดังจนน่าปวดหัว
“แล้วแม่จะช่วยอะไรได้วะ”
“มึงเข้าใจคนขี้ฟ้องป่ะ คือต่างคนก็มาบอกว่าอีกคนมีคนอื่นไง ไอ้พี่เบิร์ดไม่ยอมเลิก แต่พี่แนนมันจะเลิก หู้ว กูเบื่อ”
“ขี้ฟ้องเหมือนมึงอ่ะนะ”
“ไอ้เหี้ยซ่า กูไม่ได้ขี้ฟ้องเว้ย” ไอ้มิวโมโห ผมทำหน้าล้อเลียนมัน
“อ่อเหรอออ”
“ไปไกลๆตีนกูเลยไป” ไอ้มิวยกเท้าขึ้นจะถีบผม
“เหอะ” ผมแค่นเสียงไปที
นั่งรออยู่เกือบชั่วโมง แต่ดูว่าปัญหาจะตกลงกันไม่ได้ ผมเลยฝากไอ้มิวบอกแม่ว่าผมจะกลับแล้ว และที่เรียกผมกลับมาก็คงไม่ใช่ธุระสำคัญอะไร ไว้ว่างๆค่อยกลับมาใหม่อีกรอบ
ผมขี่มอเตอร์ไซค์ที่งอแงมาตั้งแต่เมื่อวานกลับห้องพัก ยังไม่ทันได้หน่อยก้นลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ไอ้ตูนก็โทรมาชวนผมไปเตะบอล ทีแรกผมไม่อยากไป เพราะไม่อยากทำอะไร อยากอยู่เงียบๆคนเดียวในห้อง แต่ไอ้ตูนก็คะยั้นคะยอ บอกว่ายิ่งเศร้ายิ่งอกหัก ยิ่งต้องหาอะไรทำ ผมก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วตอบตกลง
นึกถึงวันที่ได้ต่อยมวยกับพี่ปราบ ผมก็ออกไปต่อยอีก แต่ช่วงนี้พี่ปราบก็ยุ่งๆเรื่องงาน ทำงานงานเดียวก็ว่าเหนื่อยแล้ว พี่ปราบต้องดูแลถึงสามสี่งาน เวลามีเรื่องอะไรผมก็เลยไม่อยากจะรบกวนพี่ปราบสักเท่าไหร่
ถึงพี่ปราบจะบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ แต่เอาเข้าจริงผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้
สนามบอลที่มาเตะกันอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียน ที่จริงมันก็เป็นสนามปล่อยร้างนิดนึง แต่พวกเด็กช่างก็มาปรับปรุงจนมันสามารถเตะได้
ผมมาถึงสนามแล้ว แต่พวกมันยังมาไม่ครบเลย ไอ้คนชวนนี่ตัวดี ผมยังไม่เห็นหัวมันเลยด้วยซ้ำ
“ไอ้กิ่ว ไอ้ตูนมันอยู่ไหน” ผมตะโกนถามเพื่อนร่วมภาพที่วอร์มร่างกายอยู่กลางสนาม บ้านไอ้กิ่วกับไอ้ตูนอยู่ซอยเดียวกัน
“มันกำลังมา แวะไปส่งสาวอยู่”
“เออ”
ระหว่างรอเพื่อนๆมา ผมก็เลยเปิดอ่านข้อความ ชื่อแรกที่อยู่บนสุดเป็นของคนที่แสนจะเพอร์เฟค
MuePrab : ทำอะไร อยู่หอหรือยัง
ข้อความส่งมาเมื่อ 20 นาทีที่แล้ว
ออกมาเตะบอลกับไอ้ตูนครับ : Patcharakan
ผมกดส่งข้อความไป นั่งจ้องหน้าจอแค่เดี๋ยวเดียว ข้อความที่ผมส่งก็ขึ้นว่าอ่านแล้ว จากนั้นพี่ปราบก็ตอบข้อความกลับมา
MuePrab : เออ ดีๆ
MuePrab : ออกไปหาอะไรทำบ้าง มึงจะได้เลิกคิดเรื่องนั้น
ครับ : Patcharakan
แต่เผลอเมื่อไหร่ ผมก็คิดถึงมันทุกที คิดถึงความเจ็บปวดที่ตัวเองได้รับ คิดถึงความรักที่ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นทั้งชีวิตของผม แต่วันนี้มันไม่มีแล้ว
MuePrab : ดูแลตัวเองด้วย
MuePrab : เดี๋ยวกูต้องเข้าไปคุยงานกับลูกค้าละ
ค้าบผม : Patcharakan
คุยกับพี่ปราบเสร็จ ผมก็กดปิดโทรศัพท์ เปิดเพลงฟังไปเรื่อยจนไอ้ตูนกับไอ้หวายเดินเข้ามาตบหัวผม
“มันเจ็บนะเว้ย!” ผมด่าแล้วยกขาถีบคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด นั่นก็คือไอ้ตูน
“ฮ่าๆๆ เจ็บกว่าอกที่หักไหมวะมึง จะได้ลืมๆซะ” ไอ้หวายว่าแทงใจดำ มันสองตัวดูจะกะดี๊กะด๊าที่ผมเลิกกับพลอยได้สักที
มันรู้เรื่องได้เพราะไอ้หวายไปเสือกมาจากพี่ปราบ เนื่องจากเช้าวันถัดมาผมไม่ไปเรียน แล้วนอนเมาอยู่ที่หอ ตกเย็นพวกมันก็เลยมาถล่มห้องผม พอถามเท่าไหร่ผมก็ไม่ตอบเพราะไม่มีแรงจะพูดหรือคิดอะไร ไอ้หวายก็สวมตัวเป็นอับดุล เดาว่าพี่ปราบจะต้องรู้เรื่อง พอพี่ปราบบอกว่าผมเลิกกับแฟนแล้วเท่านั้นแหละ พวกมันร้องเฮกันเสียงดัง
ก่อนจะสั่งให้ไอ้นุ๊กกับไอ้กานออกไปซื้อเบียร์พร้อมกับแกล้ม มาเลี้ยงฉลองความโสดให้ผมยันเช้า วันต่อมาพี่ปราบก็โทรไปลางานกับอาเจให้ เพื่อให้ผมพักฟื้นจิตใจ
“ไปมึง เตะบอลกันได้และ วันนี้เครื่องร้อนโว้ย” ไอ้ตูนสะบัดแข้งขา แล้วลากคอผมลงสนาม
จากทีแรกไม่อยากออกมา แต่พอได้ลงเล่นผมก็สู้ตาย เรื่องความรักตอนนี้กูขอยามแพ้ก่อน แต่เรื่องแย่งลูกบอลมันยอมกันไม่ได้ เสียเมียเจ็บไม่เท่าเสียหน้าโว้ย!
และแล้วผลก็ออกมาเป็นอย่างที่หวัง ฝั่งผมชนะด้วยคะแนนสี่ประตูต่อสอง การแข่งขันในวันนี้เดิมพันด้วยการเลี้ยงหมูกระทะ เย็นนี้ผมก็เลยไม่ต้องเสียเงินค่าข้าว คิดถูกจริงๆที่ออกมา
พอทุกคนมาอยู่ที่หน้าเตา จากที่แย่งลูกบอล ก็เปลี่ยนมาแย่งหมู หมึก กุ้งบนกระทะ เพราะมากันหลายคน แถมวันนี้ดูที่ร้านคนจะเยอะเป็นพิเศษ โต๊ะที่ว่างโดยส่วนมากห่างกัน พวกผมกับไอ้พวกอีกทีมที่แพ้ เลยต้องนั่งแยก แต่ก่อนจะแยก พวกมันให้เงินพวกผมไว้แล้ว ตอนนี้บนโต๊ะผมก็เลยมีแค่สี่คนเท่านั้น
“ไอ้กิ่ว มึงแย่งหมูกู” ไอ้หวายโวยทันทีเมื่อไอ้กิ่วคีบหมูบนเตาเข้าปากหน้าตาเฉย
“อ้าวเหรอ กูก็คิดว่าของกู อ่ะ งั้นเดี๋ยวกูคืนให้” ไอ้กิ่วทำหน้าซื่อ จะคายหมูที่อยู่ในปากให้ ไอ้หวายรีบร้องยี้ด่ากลับไปอีกดอก
“ไม่ต้องคืน อย่าคายออกมานะไอ้สัด ต่อไปห้ามแย่งหมูกูอีก!” ไอ้หวายหน้าเง้าหน้างอ ไอ้ตูนเลยต้องบริจาคหมูของตัวเองให้ไอ้เปี๊ยกไปหนึ่งชิ้น
กินกันจนอิ่มอืด ไอ้กิ่วก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ เพราะที่กินเข้าไปกำลังจะออก ไอ้นี่ท่อตรงตลอด ใครๆก็จำไอ้กิ่วได้ เพราะชอบออกไปเข้าห้องน้ำระหว่างเรียน
โทรศัพท์ของผมดังตอนที่กำลังจะตักน้ำแข็งใสเข้าปาก ชื่อที่ขึ้นโชว์คือพี่ปราบสุดหล่อ ผมรีบรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป
“ว่าไงพี่ คุยกับลูกค้าเสร็จแล้วเหรอ” ผมจำได้ว่าเมื่อเย็นพี่ปราบติดธุระคุยกับลูกค้า
“อืม คุยเสร็จแล้ว ที่จริงจะเสร็จตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว แต่ลูกค้าแม่งกวนส้นตีน ดึงเชิงอยู่นั่น” พี่ปราบบ่นใหญ่
“แล้วตอนนี้พี่อยู่ไหน” ผมถาม ตาก็เหลือบมองไอ้หวายที่แทบจะเอาหูมาแนบกับโทรศัพท์ของผม
“พี่ปราบเหรอวะ” ไอ้หวายถามคิ้วขมวด
“อืม” ผมรับคำไปสั้นๆ
“กูอยู่บนรถ กำลังจะกลับบ้าน” เสียงพี่ปราบฟังดูล้าๆ
“พี่ขับรถอยู่เหรอ”
“เปล่า คนขับรถที่บ้านขับ แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน ทำไมเสียงดัง”
“ผมอยู่ร้านหมูกระทะ วันนี้ผมเตะบอลชนะไง แล้วพนันไว้ว่าทีมไหนแพ้เลี้ยง นี่ตอนนี้ผมอิ่มมากเลยอ่ะ”
“กินเยอะๆ มึงผอมเกินไปแล้วช่วงนี้”
“ครับๆ”
“งั้นกูวางสายแล้วนะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“โอเคพี่ บาย”
ผมกดวางสายพี่ปราบ แล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ตลอดการสนทนากับพี่ปราบ ไอ้เพื่อนทั้งสองคนของคนจ้องผมไม่วางตา แถมสายตาของมันยังเคลือบแคลงแปลกๆ
“มองอะไรของพวกมึง ไม่เคยเห็นคนคุยโทรศัพท์หรือไง” กับไอ้ตูนนี่ไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้หวายนี่หน้ามันกวนส้นตีนมากๆ
“คนคุยโทรศัพท์นะเคยเห็น แต่ที่ไม่เคยเห็นก็คือ มึงไม่เคยคุยจ้อแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเพิ่งอกหัก ทำตัวเงียบๆนิ่งๆหรอกเหรอ เวลาคุยกับคนอื่นล่ะหงอยเลย แต่เวลาคุยกับเฮียปราบทำไมมึงดูสดใส” ไอ้ตูนอธิบายอาการของผมเป็นฉากๆ
“อะไร กูก็ปกติ มึงจะให้กูทำเสียงนิ่งใส่พี่ปราบหรือไง” ผมย้อนถาม
“ไอ้พัช กูถามจริงๆนะ มึงกับพี่ปราบเป็นอะไรกัน” คนอื่นเข้าขำๆ ไอ้หวายมาซะเครียด
“อะไรของมึงหวาย กูกับพี่ปราบก็เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องไง หรือมึงไม่ใช่”
“กูกับพี่ปราบอ่ะ รุ่นพี่รุ่นน้องกันแน่ๆ แต่กับมึงกูว่าไม่ใช่”
“มันจะไม่ใช่อะไร พวกมึงหมายความว่ายังไง”
“ความหมายของพวกกูก็คือ กูว่าความสัมพันธ์ระหว่างมึงกับพี่ปราบ เป็นอะไรมากกว่าคนรู้จักหรือรุ่นพี่รุ่นน้อง ถ้าคนอื่นมองเขาก็คงคิดว่ามึงกับพี่ปราบคบกัน”
“คบกันห่าอะไร มึงพูดอะไรของมึงเนี่ย”
“ไอ้ตูนพูดถูก กูสงสัยมานานแล้ว กูรู้จักพี่ปราบมาก่อนมึง แต่เขาไม่เคยดูแลกูเท่ากับที่ดูแลมึง พี่ปราบงานยุ่งมากนะเว้ย เวลานอนแทบไม่มี แต่เขามาหามึงบ่อยมา มาหาที่โรงเรียน และมึงกับเขาก็ไม่ไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ อย่าคิดว่ากูไม่รู้ พี่กี่เล่าให้กูฟังเอง อีกอย่างวันนั้นที่มึงถูกซ้อม พี่ปราบก็รีบมาหามึง แถมยังอยู่เฝ้ามึงเองอีก มึงบอกกูสิว่าทั้งหมดที่กูกับไอ้ตูนพูดมาเนี่ย มันหมายความว่ายังไง”
ผมกับพี่ปราบดูเป็นแบบที่พวกมันว่าเหรอวะ
“กูกับพี่ปราบไม่มีอะไร” ผมจ้องพวกมันจริงจัง แต่ในใจมันสั่นๆ
“มึงจะบอกว่ามึงไม่ได้คิดอะไรกับพี่ปราบ” ไอ้หวายเลิกคิ้วสูงพอๆกับเสียงของมัน
“มึงจะให้กูคิดอะไร กูเห็นเขาเป็นพี่ชายกูคนหนึ่ง”
“มึงแน่ใจ”
“เออ กูแน่ใจ” ผมรักและเคารพพี่ปราบมาก ผมเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง ไม่มีทางคิดแบบนั้นกับพี่ปราบแน่นอน
“แต่กูว่าพี่ปราบไม่ได้คิดแบบนั้น เขาต้องชอบมึงแน่ๆ”
“มึงหมายความว่ายังไง” พี่ปราบนี่ดูยังไงก็โคตรของโคตรแมน ไม่มีทางชอบผู้ชายหรอก อย่างไอ้มิวก็ว่าไปอย่าง
“พวกกูคิดว่าพี่ปราบกำลังจีบมึงอยู่” ไอ้ตูนตอบแทนไอ้หวาย
“เหี้ยแหละ พวกมึงบ้าหรือเปล่าเนี่ย คิดหาอะไรบ้าๆ” ผมร้องเสียงหลงกับความคิดของพวกมัน
“พวกกูไม่ได้บ้า พวกกูสังเกตมาสักพักแล้ว และตอนนี้ยิ่งมั่นใจว่าพี่ปราบชอบมึงแน่ๆ ไม่งั้นเขาไม่ดีกับมึงขนาดนี้หรอก ดีแบบที่คนรักกันทำให้กันอ่ะ”
ผมส่ายหน้าใส่พวกมัน
พี่ปราบดีกับผมมากๆก็จริง ดีแบบที่ไม่เคยมีใครดีกับผมมากก่อน และคิดว่านอกจากพี่ปราบก็คงไม่มีอีกแล้ว แต่ว่า...ผมไม่คู้ควรหรอกที่พี่ปราบจะมารู้สึกเชิงนั้นด้วย
ผมขอแค่ความหวังดีจากความสงสารก็พอแล้ว
“มึงอาจจะไม่อยากเชื่อนะเว้ย แต่กูจะบอกอะไรให้ว่า พี่ปราบน่ะเป็นเสือไบ ได้ทั้งชายและหญิง ไม่เกี่ยวเพศ”
“มึงรู้ได้ไง” ผมถาม ผมไม่คิดว่าพี่ปราบเป็นแบบนั้น คือผมไม่เคยเห็นเขามองผู้ชายเลย แต่มองผู้หญิงนี่เคยเห็นบ้าง
“เอ้า กูจะไม่รู้ได้ไง กูรู้จักพี่ปราบมาก่อนมึง เคยเห็นเขาคบกับผู้ชาย และความจริงเรื่องนี้พี่ปราบเขาก็ไม่ได้ปิดบัง เพียงแต่คงไม่ได้บอกมึง”
ผมนั่งนิ่งไปเลยเมื่อได้ฟังความจริงจากปากไอ้หวาย
“ความจริงกูว่าพี่ปราบเขาก็ดีนะเว้ย เขาทำให้มึงดีขึ้น ถ้าเขาจะจีบมึงกูก็โอเค” ไอ้ตูนพูด
“เออจริง พี่ปราบนี่กูโคตรเคารพ กูเชียร์เขาเหมือนกัน ดีกว่าพลอยเยอะอ่ะกูบอกเลย” ไอ้หวายเห็นดีเห็นงามกับคำพูดของไอ้ตูน
“กูว่ามึงเป็นแฟนพี่ปราบนี่สบายไปทั้งชาติอ่ะ”
“มึงพูดถูก กูเริ่มอิจฉามันละไอ้ตูน”
“เดี๋ยว พวกมึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย” ผมรีบเบรกพวกมัน ก่อนที่ไอ้สองคนนี้จะเลอะเทอะมากไปกว่านี้ “ไม่มีใครจะคบกับใครทั้งนั้นแหละ”
“อ้าว ทำไมวะ พี่ปราบไม่ดีเหรอ” ไอ้หวายถามเสียงหลงเลย แต่ที่หลงยิ่งกว่าเสียงก็คือประเด็นสำคัญ
“ไม่ใช่ไอ้หวาย พวกมึงตั้งสตินะ พี่ปราบเป็นคนดี คนดีมากๆ แต่คือกูชอบผู้หญิง ก็ไม่ได้ชอบผู้ชายไง และอีกอย่าง ถึงพี่ปราบจะชอบผู้ชาย กูไม่ได้รังเกียจ แต่เขาควรเจอคนที่ดีกว่านี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่คนๆนั้นจะเป็นกู กูที่ไม่มีเหี้ยอะไรดีเลยสักอย่าง พวกมึงเข้าใจไหม”
ไอ้หวายกับไอ้ตูนนิ่งเงียบคิดตามในสิ่งที่ผมกำลังพูด และพวกมันก็ไม่ได้แย้ง
“เพราะฉะนั้น เรื่องกูกับพี่ปรางจึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และพวกมึงห้ามคิดอะไรแบบนี้อีก พี่ปราบเป็นคนดี อย่าเอาเขามาเกลือกกลั้วกับคนแบบกูในแง่นั้น”
พี่ปราบเหมือนคนที่ผมยกขึ้นไว้บนหิ้ง ผมจะไม่มีทางทำให้เขาสกปรกเพราะผมเป็นอันขาด
“เออๆ ก็แล้วแต่มึง แต่ถ้าวันหนึ่งใจมึงบอกว่าพี่ปราบคือคนที่ใช่ กูอยากให้มึงซื่อสัตย์ต่อใจตัวเอง” ไอ้หวายพูด
ผมเพียงแสยะยิ้มแล้วไม่คิดจะตอบอะไรกลับไป
ไม่สำคัญว่าพี่ปราบจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เรื่องระหว่างผมกับเขา เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้
ชีวิตของผมไม่เคยอยู่อย่างสุขสบายได้นาน แม้ว่าความเจ็บจากการเลิกกับพลอยจะยังส่ออาการอยู่ทุกวันและบ่อยครั้ง แต่ผมก็ชินชาแล้วและอยู่กับมันได้ ก็แค่กดมันให้ลึกที่สุด ยังไงมันก็เป็นสิ่งที่ผมพบเจออยู่บ่อยๆกับการไม่เป็นที่ต้องการของคนในครอบครัว
และทั้งๆที่ผมปล่อยมือจากผู้หญิงคนนั้นแล้ว แค่ไอ้ปาร์คมันก็ยังไม่เลิกจองล้างจองผลาญผมเสียที ครั้งก่อนที่ผมและพี่ปราบบุกไปถึงโรงแรมม่านรูด มันคงแค้นผมมาก วันนี้มันก็เลยยกพวกมาหาเรื่องผม ขณะที่ผมกำลังจะขึ้นไปเปลี่ยนชุดบนหอเพื่อไปทำงาน
ผมคนเดียวกับพวกมันเกือบสิบคน ผมรู้แค่ว่าในหัวคิดถึงแต่หน้าพี่ปราบ ถ้าพี่แกรู้เรื่องว่าผมมีเรื่องอีกแล้ว ไม่รู้ว่าแกจะทำหน้ายังไง มากกว่าความเจ็บปวดจนชาหนึบบนร่างกาย คือผมกลัวว่าพี่ปราบจะเสียใจที่ผมคอยแต่จะสร้างปัญหาอยู่ตลอด
ไหนจะคนที่บ้านอีก คราวนี้ผมต้องโดนด่าจนหูชาไปจนถึงชาติหน้า ข้อหาสร้างความเดือดร้อนที่ต้องหาเงินมารักษาผม
เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน คือเสียงของป้าเจ้าของหอที่ตะโกนโหวกเหวกอะไรสักอย่าง จากนั้นผมก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกเลย
“พวกมึงกลับไปได้แล้วไป เดี๋ยวกูเฝ้ามันเอง”
“เอางั้นเหรอเฮีย”
“หรือพวกมึงมีปัญหาล่ะ”
“ไม่มีปัญหาหรอกเฮีย ดีเสียอีก เดี๋ยวที่บ้านมันจะมา พวกผมไม่ค่อยอยากอยู่เจอสักเท่าไหร่ ขี้เกียจฟังเขาบ่น ยิ่งไอ้พัชยังไม่รู้สึกตัวแบบนี้ แม่มันก็จะหันมาบ่นพวกผมแทน”
“พวกผมฝากมันด้วยนะพี่ แม่งโคตรซวยเลย อยู่ดีๆก็มีตีนไปเสิร์ฟถึงที่”
“พวกมึงไม่ต้องห่วง กูจะดูแลมันเอง”
“งั้นพวกผมกลับแล้วนะ”
“พวกกูก็กลับล่ะ จะเอาอะไรก็โทรบอกล่ะกัน”
“อืม ขอบใจพวกมึงมาก”
จะว่ายังไม่รู้สึกตัวก็ไม่ใช่ แต่ผมไม่มีแรงแม้แต่จะลืมตาหรือทำอะไรทั้งนั้น ได้ยินเสียงพูดอยู่รอบๆตัว แต่จับใจความไม่ได้ ในความเป็นจริงกับสติที่ล่องลอย ผมไม่รู้ว่าคนที่กำลังอยู่กับผมคือใคร แต่ผมหวังให้ใครคนนั้นเป็นพี่ปราบ เพราะเขาเป็นเทวดา ที่มักอยู่กับผมยามที่ผมต้องการใครสักคน
ผมหลับลึกไปอีกครั้ง ตื่นมาอีกทีก็รู้สึกตัวมากขึ้น ขยับลืมตาได้กว่าครั้งแรก จนกระทั่งผมลืมตาได้เต็มตา ก็กวาดมองไปทั่ว ผมรู้ตั้งแต่ก่อนจะสลบว่ายังไงตัวเองก็จะต้องมาฟื้นที่โรงพยาบาล เพราะถ้าผมไม่ถูกพามาโรงพยาบาลผมก็จะไม่มีทางฟื้น หมายความว่าตายไปแล้วนั่นเอง
ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องแปลกในความคิด แต่ที่แปลกก็คือผมอยู่ในห้องเดี่ยว ไม่ใช่ห้องป่วยรวม ใครมันเป็นคนจัดการวะ ค่าห้องแม่งต้องแพงแน่ๆ โดนแม่ด่าหูดับแน่นอน
“ซ่า มึงฟื้นแล้ว!”
“พี่ปราบ” และคนที่อยู่ตรงหน้าผม ก็คือคนที่ผมหวังเอาไว้ ว่าอยากให้เขามาอยู่ตรงนี้
ซึ่งพอพี่ปราบมาอยู่ต่อหน้าผม แทนที่จะดีใจ ผมกลับรู้สึกกังวล พี่ปราบจะต้องรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาจะรู้สึกยังไง ใกล้จะเอือมระอาจนอยากเลิกสนใจผมแล้วหรือยัง
เมื่อก่อนตอนเด็กๆผมแค่ไม่เป็นที่สนใจของคนในบ้าน ยิ่งผมโตและมีเรื่องบ่อยขึ้น เกเรมากขึ้น ที่บ้านก็เริ่มเบื่อหน่ายและระอาคนอย่างผม หลายต่อหลายครั้งที่แม่พูดว่าผมเป็นภาระ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผมจะต้องได้รับสิ่งเหล่านั้นจากคนที่ผม...
พี่ปราบเขาเป็นเหมือนพี่ชายของผม เป็นเหมือนคนในครอบครัวที่เข้าใจผม และตอนนี้พี่ปราบจะยังเข้าใจผมอยู่ไหม
“ซ่า เป็นอะไร ได้ยินที่กูพูดหรือเปล่า”
ใบหน้าของผมถูกมือหนาทั้งสองข้างประคองให้เงยขึ้น คราวนี้ผมไม่สามารถหลบสายตาของพี่ปราบได้ เพราะผมกลัวว่าจะเห็นความผิดหวัง
แต่เปล่าเลย ผมกลับเห็นแต่แววตาของคนที่เป็นห่วงและเป็นกังวล
“พี่ปราบ” ผมเรียกเขาอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจว่าผมไม่ได้ฝันไป
“อืม กูเอง เจ็บตรงไหนเป็นพิเศษไหม กูเรียกหมอเข้ามาดูอาการมึงแล้ว ตอนนี้ก็ดื่มน้ำก่อน”
ผมไม่ได้ตอบอะไร เพราะรู้สึกชาไปทั้งตัว ได้แต่อ้าปากงับหลอดดูดน้ำที่ส่งมาจ่อถึงปาก ผมดื่มจนเกือบหมดแก้ว ทันทีที่น้ำไหลลงคอ ถึงได้รู้ว่าลำคอนั้นแห้งผากเหลือเกิน รวมไปถึงความรู้สึกด้วย
ไม่นานหมอและพยาบาลก็เข้ามา พี่ปราบออกไปข้างนอก หมอยังไม่ทันตรวจเสร็จ เสียงจอแจก็ดังที่นอกห้องพักผู้ป่วย ก่อนที่ประตูจะเปิดออกแล้วตามมาด้วยเสีบงบ่นของแม่และพี่แนน แต่พอหมอดุว่าให้เบาเสียง ทุกคนก็เงียบ แต่สายตาที่มองมายังผมนั้น เต็มไปด้วยแววตาของการตำหนิ
ทันทีที่หมอตรวจเสร็จ ผมก็ได้แต่หลับตาลงแล้วทนฟังคำด่าว่าต่างๆนาๆที่ผมได้ยินมาจนชินชา
“ถ้าออกจากโรงพยาบาลแล้ว ก็ไปหาหลวงพ่อสักหน่อย ไปให้เขาดูด้วยให้ ฉันว่าช่วงนี้ซ่ามันดวงตก ถึงได้เกิดเรื่องบ่อยๆ” ยายฝนแม่ของพี่จี้พูดขึ้น ทำให้ผมลืมตาขึ้นมองหลังจากที่นอนหลับตานิ่งมาพักใหญ่
“มันเกิดเรื่องบ่อยๆก็เพราะมันหาเรื่องตัวมันเองนั่นแหละ คบเพื่อนแต่ละคนดีๆทั้งนั้น ไม่พากันกินเหล้าเมายา ก็พากันไปต่อยตี”
“เอาน่า เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เอ็งก็ไม่ต้องไปด่ามันแล้ว มันไม่เจ็บหนักมากกว่านี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว” ยายฝนพูดกับพี่แนนเสียงเครียด ก่อนจะหันมามองผม
“ว่าไงซ่า บวชสักหน่อยไหมลูก ให้บุญกุศลได้ปัดเป่าเรื่องที่ไม่ดีออกไปจากชีวิต บุญกุศลจากการบวชนั้นสูงมาก พ่อแม่ก็ได้บุญด้วย เราเองก็ได้บุญ ชีวิตซ่าก็จะดีขึ้นนะลูก”
ผมฟังยายฝนพูดแล้วก็คิดตาม
ถ้าผมบวชชีวิตผมจะดีขึ้นจริงๆน่ะหรือ
“โอ๊ยน้าฝน พูดไปก็เท่านั้น มันไม่บวชหรอก” พี่แนนพูดขัดความคิดของผมขึ้น ผมตวัดตามองพี่แนนทันที แต่เขาไม่ได้มองผมอยู่ ผมถึงได้ดึงสายตากลับมาทัน ก่อนที่เขาจะเห็นสายตาของลูกไม่รักดีอย่างผม
แม่พ่อ พี่แนน และคนอื่นๆกลับไปแล้ว สักพักพี่ปราบก็กลับเข้ามาพร้อมด้วยถุงของกินสองถุงใหญ่ พี่ปราบมองหน้าผมแล้วไม่ได้พูดอะไร เอาของกินไปวางไว้บางโต๊ะ และของบางอย่างก็เอาใส่ไว้ในตู้เย็น
ท่ามกลางความเงียบ ผมเผลอหลับไปอีกครั้ง ตื่นขึ้นอีกทีก็เย็นแล้ว มีอาหารวางอยู่บนโต๊ะเลื่อนตรงหน้า
“ตื่นแล้วก็กินข้าวซะ จะได้กินยา” พี่ปราบเข้ามาจัดโต๊ะอาหารให้เลื่อนเข้ามาใกล้ผม ก่อนที่จะพยุงตัวผมลุกขึ้นนั้น ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเจ็บบริเวณท้อง จนต้องร้องซี๊ดออกมา
“เจ็บท้องเหรอ” พี่ปราบถาม
“ครับ ผมโดนอะไรบ้างเนี่ย”
ตอนไม่ขยับตัวมากมันก็ไม่เจ็บหรอก แค่รู้สึกตึงๆชาๆ แต่พอขยับก็เริ่มเจ็บและปวดร้าวไปทั้งตัว
“มึงโดนแทงเข้าที่ท้อง แต่ไม่ลึกไม่โดนส่วนที่สำคัญ จะมีก็กระดูกซี่โครงร้าว นอกนั้นก็แผลฟกช้ำตามตัวตามร่างกาย” พี่ปราบพูดจบก็ส่งช้อนให้ผม
ผมรับช้อนมาถือไว้ มองหน้าพี่ปราบ และเมื่อพี่ปราบยักคิ้วแล้วพยักหน้าไปทางชามข้าว ผมถึงได้เริ่มก้มหน้ากินอาหารที่ไร้รสชาติแบบเงียบๆจนหมด จากนั้นก็กินยาแก้ปวดแก้อักเสบตามหลัง
พี่ปราบเองก็กินอาหารที่ซื้อมาเงียบๆ ภายใตความนิ่งเฉย ผมไม่รู้ว่าพี่ปราบคิดอะไรอยู่ และจินตนาการของผมก็บอกผมว่า พี่ปราบกำลังผิดหวังในตัวผม สายตาที่จับจ้องพี่ปราบที่กำลังเก็บจานข้าวค่อยๆก้มต่ำลง จนกลายเป็นนั่งจ้องมือตัวเองที่บีบเข้าหากัน
“เป็นอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” พี่ปราบเดินเข้ามาถามไถ่ผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ แต่ผมกลับรู้สึกไปเองว่ามันแสนจะนิ่งเฉย
“ว่าไงซ่า ปวดแผลเหรอ” พี่ปราบถามอีกครั้ง
คราวนี้ผมส่ายหน้า “เปล่าครับ”
“แล้วเป็นอะไร สีหน้ามึงไม่ดีเลย” พี่ปราบลูบหัวผม และจับหน้าผมให้เงยขึ้น
“พี่ปราบ” พี่เรียกผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า อยู่ๆก็รู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา
“ว่าไง”
“ผมขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” ผมก้มหน้าลงอีกครั้ง ไม่อยากเห็นแววตาที่อาจฆ่าผมให้ตายได้
พี่ปราบนิ่งเงียบไป ก่อนที่เขาจะขยับขึ้นมานั่งข้างๆผมบนเตียง แล้วโอบไหล่ผมไปกอดไว้
“ช่างมันเถอะ กูไม่ได้โกรธอะไร”
“ผมแม่งโคตรแย่เลยพี่ คนอย่างผมไม่น่าเกิดมาเลย”
เพราะเกิดมาแล้ว ไม่ได้ทำให้ใครรู้สึกดีเลยสักคน มีแต่จะคอยทำให้คนอื่นผิดหวัง
“มึงตั้งใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้หรือเปล่า ไหนบอกกูสิว่ามึงเป็นคนไปหาเรื่องพวกมันก่อนหรือเปล่า ถึงได้โดนเขากระทืบมาขนาดนี้”
ผมผงกหัวขึ้น รีบส่ายหน้าทันทีเพื่อเป็นการปฏิเสธ “ผมกลับหอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อไปทำงาน แต่พวกมันมาดักรอ ผมยังไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ รู้ตัวอีกทีก็มาโผล่ที่โรงพยาบาลแล้ว” ผมรีบพูดรีบเล่าจนเกือบจะเข้าข่ายลนลาน พอเล่าจบก็แอบกังวลว่าพี่ปราบจะคิดว่าผมแก้ตัว แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้เริ่มก่อนจริงๆ
“ถ้ามึงบอกว่าไม่ได้เริ่มก่อน กูก็จะไม่โกรธมึงเรื่องนี้ แม้ว่ากูจะไม่ชอบที่มึงต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ก็ตาม ไอ้เด็กเวรพวกนั้น สงสัยต้องให้เจอดีสักทีจะได้รู้สำนึกซะบ้างว่าอะไรควรก็ไม่ควร มึงก็เหมือนกันนะซ่า หายดูแล้วย้ายออกจากหอนั้นเลย แล้วกูจะหาหออื่นให้อยู่ กูบอกแล้วว่าแถวนั้นมันไม่ปลอดภัย เพราะมันเปลี่ยวถึงได้กลายเป็นสถานที่ให้พวกมันยำตีนมึงจนสนุกสนาน พูดแล้วกูขึ้น”
ผมปล่อยให้พี่ปราบบ่นยาวเหยียด แม้ว่าจะคัดค้านเรื่องย้ายหออยู่ในใจก็ตามที แต่ก็ไม่ได้พูดขัดหรือเถียงแต่อย่างใด เวลานี้ผมควรนั่งเงียบๆแล้วปล่อยให้พี่ปราบอารมณ์เย็นลงจะดีกว่า
“แล้วที่บ้านมึงมาเยี่ยม เขาว่ายังไงบ้าง” พอพี่ปราบถามถึงที่บ้าน คำพูดของยายฝนก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
“ผมก็ถูกด่าสิพี่ ผมก่อเรื่องขนาดนี้” ผมหัวเราะขื่นใส่ตัวเอง
“แล้วมึงได้เล่าให้เขาฟังเหมือนที่เล่าให้กูฟังหรือเปล่า”
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เอ้า แล้วทำไมมึงไม่พูดล่ะ”
“ก็เขาไม่ถาม”
พี่ปราบถอนหายใจเหมือนได้ยินคำตอบจากปราบผม และเขาคงเข้าใจผมมากพอที่จะไม่ถามอะไรต่อว่าทำไม
คนไม่อยากรู้ ไม่อยากรับฟัง พูดไปก็เหมือนแก้ตัว สู้ไม่พูดเลยเสียยังดีกว่า
“พี่ปราบ ผมว่าผมจะบวชวะพี่”
พี่ปราบแสดงอาการตกใจจนออกนอกหน้ากับสิ่งที่ผมบอก ผมแสยะยิ้มเล็กน้อย เพราะเข้าใจว่าทำไมพี่ปราบถึงแสดงท่าทางไม่เชื่อ
เพราะคนอยากผมพอพูดว่าอยากทำความดี มันมักเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสายตาคนอื่นอยู่แล้ว แต่ว่า...ตัวผมเองก็อยากที่จะมีชีวิตที่ดีอย่างคนอื่นเข้าเหมือนกัน ผมไม่รู้หรอกว่า ถ้าผมบวชแล้วชีวิตผมจะดีขึ้นไหม แต่คำพูดของยายฝนกลับจุดไฟแห่งความหวังให้กับผม
ถ้าการสร้างบุญจะทำให้สิ่งแย่ๆในชีวิตผมหลุดออกไป ผมก็อยากจะลอง
“มึงคิดดีแล้วเหรอซ่า มึงพูดเล่นๆไม่ได้นะ”
“ครับ ผมอยากบวช ผมไม่อยากอยู่กับชีวิตแย่ๆแบบนี้อีกแล้ว พี่ปราบว่าผมจะทำได้ไหม”
ผมอยากได้ยินคำพูดสักอย่าง ที่จะลบล้างคำพูดของพี่แนนพี่บอกว่าผมไม่มีทางทำได้
“ถ้ามึงตั้งใจ กูเชื่อว่ามึงจะทำได้”และยังเป็นคนๆนี้เสมอ ที่ยังคงเชื่อในตัวผม
.....................................
แอบย่องมาลง
ถ้าใครที่ตามเพจก็น่าจะพอรู้ว่าคนเขียนหายหัวไปไหนมา ด้วยยุ่งจัดส่งหนังสือพี่งูด้วย ติดเทรนด้วย พร้อมกับได้ผ่านช่วงเวลาที่แสนเศร้าโศกของคนไทยทั้งประเทศมาแล้ว
วันนี้ริริก็เลยเอาพี่ปราบน้องซ่ามาให้อ่าน
ตอนนี้กับตอนหน้า ก็เป็นจุดเปลี่ยนจุดใหญ่ในชีวิตของน้องซ่า กับจุดเปลี่ยนสุดท้ายที่กำลังจะตามมา เนื้อหาจำต้องเศร้าเพื่อปูทางไปสู่แสงสว่างที่ยั่งยืน
ไม่รู้จะยังมีคนรออ่านมา แต่ถ้าใครยังรออ่านแล้วอ่านมาจนถึงตอนนี้
ริริขอขอบคุณด้วยใจจริงเลยค่ะ
และหวังว่าเราจะเจอกันอีกในตอนต่อไปนะคะ
ด้วยรัก
ริริ