ผมหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักที่ผมลงทุนซื้อ เพียงเพื่อปล่อยให้เด็กคนหนึ่งเช่าในราคาที่เด็กคนนั้นจะยอมรับมันจากผมได้ และผมก็เอาเงินตรงนั้นที่มันให้มา ซื้อของกินต่างๆยัดใส่ไว้ในตู้เย็นไม่ให้ขาด ไม่อย่างนั้น เด็กซ่าอาจจะได้เป็นโรคขาดสารอาหารพร้อมกับโรคไต เพราะวันๆเอาแต่กินมาม่า ไม่กินแบบต้มก็กินแบบแห้ง
ผมเคาะประตูห้องสามที แล้วรอให้คนในห้องมาเปิด แต่ก็เงียบ ไม่มีเสียงอะไรเลย ผมลองเคาะอีกครั้ง แล้วก็ยืนรออย่างใจเย็น
ความจริงผมมีกุญแจและคีย์การ์ดอีกชุด เพียงแต่ผมอยากจะให้คนข้างในเปิดประตูให้ผมด้วยตัวเอง เพราะที่ผ่านมา ผมดึงดันเข้าหามันมามากพอแล้ว ถึงเวลาที่ซ่าจะต้องเปิดต้อนรับผมด้วยตัวเองบ้าง
ก่อนที่ผมจะเคาะประตูเป็นครั้งที่สาม ประตูห้องก็แง้มเปิดออก แต่เปิดออกแค่ครึ่งเดียว คนข้างในโผล่หน้าออกมาให้ได้เห็นแค่ครึ่ง แถมยังก้มหน้าไม่มองหน้าผมอีกด้วย
“เข้าไปได้ไหม” ผมถามหาคำอนุญาต เพราะประตูที่เปิดไว้ ถึงจะเปิดแต่ก็น้อยเกินกว่าที่ผมจะแทรกตัวเข้าไปได้ ผมต้องการให้มันเปิดออกให้กว้างกว่านี้
ซ่าดูจะลังเลในทีแรก แต่สุดท้ายมันก็ยอมเปิดประตูออกกว้าง ให้ผมได้เห็นสภาพของมันและห้องที่เคยเรียบร้อยเต็มตา
ช่วงที่ผมไม่อยู่ ซ่าคงปล่อยปะละเลยทุกอย่าง ทั้งห้องและตัวเอง
ผมกลับเข้ามายืนในห้องนี้อีกครั้ง แทบไม่ต้องกวาดตามองก็เดาได้ว่าที่ช่วงที่ผมถอยออกมา ซ่ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่แย่แค่ไหน และผมหงุดหงิดทุกครั้งที่รู้ว่ามันรักตัวเองไม่พอ
“มึงควรจะต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้นะซ่า” และก็อดไม่ได้ที่จะดุ ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรตอบกลับมา พอหันไปมอง ก็เจอกับใบหน้าที่แดงก่ำและขอบตาบวมช้ำ แสดงว่าก่อนที่ผมจะมา มันคงร้องไห้หนักพอสมควร
“มีอะไรอยากจะพูดไหม” ผมถามคนที่เอาแต่ยืนก้มหน้า แม้กระทั่งผมก้าวไปยืนอยู่ตรงหน้า ซ่าก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้น ระยะระหว่างเราก็เพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น เหมือนจะใกล้ แต่ความจริงคือยังไกล
“ทำไม...เราเป็นแค่คนรู้จักกันเหรอ”เสียงของคนตรงหน้าไม่ได้ดังไปกว่าเสียงของลมหายใจ แต่ผมก็ได้ยินชัดเจนจากความเงียบรอบตัว
“เพราะนั่นคือสิ่งที่มึงอยากให้เป็นไม่ใช่เหรอ” ผมย้อนถาม เพราะเป็นคนรักก็ไม่ได้ เป็นพี่ชายที่คอยอยู่ใกล้แต่ใจคิดไม่ซื่อก็ไม่ได้ แล้วผมจะเป็นอะไรได้อีกนอกจากคนรู้จักของมัน
“ไม่ใช่..ไม่ใช่แบบนี้”
“แล้วมึงต้องการแบบไหน”
“พี่กำลังเอาคืนผมใช่ไหม” และเมื่อมันเงยหน้ามองผม ดวงตาของมันเศร้าจนผมอยากจะดึงมันมากอด แล้วบอกว่าผมจะไม่ไปไหนอีกแล้ว ติดอย่างเดียวที่ว่า...ผมยังไม่มีสิทธ์
“ทำไมถึงคิดว่ากูทำอย่างนั้น” ผมถามเพราะอยากเข้าใจความคิดของมัน
“...” ไม่พูด เป็นคนที่ใช้ความเงียบได้เก่งจริงๆ
“มึงคิดว่ากูทิ้งมึงใช่ไหม คิดว่าพอผิดหวังกูก็เลิกทำดีและเมินเฉยใส่มึงใช่ไหม อาจคิดว่ากูมีคนใหม่เพื่อตัดใจจากมึง คิดว่ามันง่ายที่จะเดินจากคนที่ตัวเองบอกว่าชอบงั้นเหรอซ่า”
ถ้ามันเจ็บปวด ผมเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน เพียงแต่คนอ่อนแอมีได้แค่คนเดียว ถ้ามีคนอ่อนแอสองคน ใครจะเป็นคนประคับประคองความสัมพันธ์ที่แสนคลุมเครือนี้ให้ผ่านไปได้ คำตอบคือไม่มี
“ใช่แล้ว ทั้งหมดที่กูทำก็เพื่อเอาคืน”
ดวงตาที่หม่นแสงค่อยๆขยายกว้างด้วยความตกใจ
“ทำไม” เสียงถามที่สั่นจนไม่เป็นคำ
“กูต้องเอาคืนอยู่แล้ว คืนทั้งคำปฏิเสธและการผลักไส กูจะคืนให้มึงทั้งหมด เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่กูต้องการ สิ่งที่กูต้องการก็คือมึง มึงที่ไม่โกหกตัวเองและเปิดใจให้กู”
ผมไม่เคยอยากจะบังคับมันหรือทำให้มันลำบากใจ ดังนั้นนี่จึงเป็นวิธีเดียวที่ผมจะทำได้ เพื่อพิสูจน์ว่าซ่าคิดยังไงกับผม
“ทำไมกูต้องทำแบบนี้น่ะเหรอ มึงอาจจะคิดว่ากูกำลังล้อเล่นกับความรู้สึกของมึง แต่มึงเคยคิดไหมว่า ถ้ากูไม่ทำแบบนี้ วันนี้มึงจะรู้ใจตัวเองไหม ว่ามึงต้องการหรือไม่ต้องการกูกันแน่ ถ้ากูยังอยู่ใกล้ๆมึง มึงจะรู้ไหมว่าอยู่ได้หรือไม่ได้ถ้าไม่มีกู มึงจะรู้ตัวหรือเปล่าว่ามึงเองก็ต้องการกูเหมือนกัน ที่ผ่านมากูมองเห็นในแววตาของมึงว่ามึงก็อาจจะรู้สึกดีกับกู เพียงแต่กูยังไม่แน่ใจ ดังนั้นกูจึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ความรู้สึกของมึงชัดเจน และกูวางเดิมพันครั้งนี้ไว้สูงมากเหมือนกัน”
“...”
“มึงคิดว่ากูไม่กังวลเหรอ ถ้าบังคับความรู้สึกได้ กูคงตัดใจไปนานแล้ว แต่กูก็ยังคงชอบมึงและเก็บงำมันมาได้เพราะความหวังดีที่กูมีให้มึงมันมากกว่า แต่พอวันหนึ่งความลับมันแตก และการกระทำของมึงก็บังคับให้กูต้องเลือกว่ากูควรอยู่หรือกูควรไป กูไม่ได้รู้สึกดีกับการที่อยู่ใกล้ๆมึงแบบพี่ชายคนหนึ่ง ในขณะที่มึงตัวเกร็งแล้วไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งกูคิดว่ามึงคงรังเกียจ”
“ผมไม่ได้รังเกียจ!” ซ่ารีบแย้งเสียงดัง ที่แม้แต่ตัวมันเองยังตกใจเสียงของตัวเอง
“โอเคๆๆ ไม่ต้องโวยวาย มึงไม่ได้รังเกียจ กูรู้แล้วครับ มึงแค่เขิน งั้นกูพูดต่อนะ โอเคไหม” ผมถามความเห็นของเด็กที่ยืนน้ำตาไหลเงียบๆ ซึ่งมันไม่ตอบ เอาแต่พยักหน้า แล้วเม้มปากที่กำลังสั่นเอาไว้แน่น
“นั่นแหละ ตอนนั้นกูคิดว่ามึงรังเกียจกู ตอนอยู่ที่กาญจนบุรี กูให้ครั้งนั้นเป็นตัวตัดสินว่ากูควรต้องวางตัวยังไง กูสามารถทำให้มึงแบบเดิม ดูแลมึงแบบเดิมได้ แต่เพราะอะไรมันถึงไม่เหมือนเดิม เพราะมึงรู้แล้วว่ากูคิดยังไงและท่าทีของมึงในตอนนั้น มันทำให้เราทั้งคู่เข้าหากันไม่ติด ยิ่งพอถูกเพื่อนแซว และกูขอโทษอีกครั้งที่ไอ้กี่มันปากหมาไปหน่อย จากนั้นมึงก็ทนแรงกดดันไม่ไหว กูไม่รู้ว่ามึงคิดยังไง แต่สุดท้ายมึงก็ปฏิเสธกู จำได้ไหมว่าคืนนั้นพูดอะไรกับกูไว้” คำถามของผมอาจจะจี้จุดตรงไปหน่อย น้ำตาเม็ดโตเลยล่วงผล็อยลงมาทันที ก่อนที่เจ้าตัวจะพยักหน้าอีกครั้ง
“ไหนมึงลองพูดอีกครั้งสิ” ผมบอก แล้วจากที่พยักหน้า มันก็ส่ายหน้าทันที
“พูดสิ กูอยากรู้ว่ามึงจำได้จริงๆไหม”
“ไม่...” เสียงของมันแหบพร่าอย่างน่าสงสาร แต่ผมจะไม่ปล่อยให้ความน่าสงสารของมันครอบงำผม ไม่อย่างนั้นวันนี้เราจะยังไม่เข้าใจกัน
“พูดสิ ไม่เชื่อใจพี่หรือไง” ผมลองพูดเพราะเผื่อว่ามันจะยอม และไอ้เด็กแสบของผมก็เอาแต่เม้มปากแน่น ผมค่อยๆลูบมือของมันทั้งสองข้าง ให้เวลามันทำใจ จนในที่สุดมันก็ยอมพูดออก”
“อย่ายุ่งกับผม อย่ามาใกล้ผมอีก ผมไม่ได้เป็นเกย์”
ผมยิ้ม เพราะมันจำได้ทุกคำที่เคยทำร้ายความรู้สึกของผมอย่างสาหัส
“และนั่นคือสิ่งที่มึงขอจากกูใช่หรือเปล่า...กูเคยขัดใจมึงสักครั้งไหมซ่า ไม่ว่ามึงขออะไรกูก็ทำให้ใช่ไหม แล้วตอบหน่อยสิ กูทำไม่ดีหรือเปล่า มึงพึงพอใจกับคำขอของตัวเองหรือยัง”
คำตอบที่ได้ยังคงเป็นการส่ายหน้า ผมคิดว่าถ้ามันยังส่ายหน้าติดต่อกันอีกสักพัก หัวมันได้กระเด็นหลุดลงไปกลิ้งที่พื้นแน่
“แล้ววันนี้ ยังอยากให้กูไปไกลๆอีกไหม”
“ไม่...”
ผมเงียบ ไม่ถามหรือพูดอะไรต่อ เพราะผมคิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ที่ซ่าควรต้องเป็นฝ่ายพูดสิ่งที่อยู่ในใจมันออกมาบ้าง มากหรือน้อยก็ยังดี
การลองใจมันไม่ได้ทำไปเพราะนึกสนุก ผมบอกว่าไง มันคือการเดิมพัน ถ้าผมเลือกเดินออกมา แล้วมันไม่อะไรกับผมเลย ผมคงไม่มีหน้ากลับไปอีกแล้ว เพราะคงเห็นได้ชัดเลยว่า ถ้าผมอยู่ใกล้มัน ซ่าจะอึดอัด แต่ถ้าผมถอยออกมา มันกลับมีความสุขดี ใครจะมีหน้ากลับไปทำให้คนที่ตัวเองรักต้องเป็นทุกข์ ผมจะไม่ทำแบบนั้นเด็ดขาด
ในทางกลับกัน ถ้าผมถอยออกมา มันรู้ใจตัวเองจากช่วงเวลาที่ไม่มีผม ว่ามันเองก็ชอบผมและต้องการผมเหมือนกัน ในทางนี้ เป็นไปได้สองทาง นักลงทุนอย่างผม ทำอะไรก็ต้องประเมินความเสี่ยง แต่ถามว่าครั้งนี้ความเสี่ยงมีสูงมาก ที่มันอาจจะรู้ใจตัวเอง แต่ก็ไม่คิดจะก้ามข้ามความยึดติดเรื่องเพศ ผลลัพธ์ก็จะกลายเป็นศูนย์ และผมกับมันก็จะกลายเป็นเส้นขนานอยู่ดี ดังนั้นแล้ว เหลือเพียงยี่สิบห้าเปอร์เซ็นหรือน้อยกว่านั้นที่ผมมีโอกาสจะสมหวัง ผมกล้าพูดอย่างไม่อายเลยว่า ผมเองก็กลัวว่าผมจะเสียมันไปเหมือนกัน แต่คนรอบตัวก็ช่วยผมไว้ได้มากจริงๆ
อย่างน้อย วันนี้ผมก็รู้แล้วว่า มันสามารถยอมรับผมและความรู้สึกของตัวเองได้แล้วจริงๆ เพียงแต่ก็อาจจะต้องทำความเข้าใจกันสักหน่อย เพื่อให้ซ่าได้คิดถึงข้อเท็จจริงของการกระทำของผม
ผ่านมาราวห้านาทีที่มันเอาแต่ยืมก้มหน้าขบปากตัวเองจนแอบเห็นว่ามีเลือดซิบ แต่ผมก็ยังรอ ผมรอมานานแล้ว รออีกนิดก็ไม่เป็นไร มันทนไม่ได้เดี๋ยวมันก็พูดออกมาเอง
เพียงแต่ว่า พอยืนนานๆแล้วมันก็รู้สึกเมื่อย ผมเลยหมุนตัวหันหลังเพื่อที่จะเดินไปนั่งที่โซฟา แต่ชายเสื้อกลับถูกดึงเอาไว้ไม่ให้ผมไปไหน
“อย่าไป ไหนพี่บอกว่า พี่...ชอบผม”
สาบานได้ว่าที่ผมหันหลังให้มันไม่ใช่เพราะว่าจะไปไหน กูแค่จะไปนั่งครับเด็กน้อย แต่การกระทำที่พยายามจะรั้งผมไว้ ก็ทำให้ผมยิ้มได้กว้างที่สุดในรอบเดือนกว่าที่ผ่านมา
เอาเป็นว่า ผมจะยอมทนเมื่อยต่ออีกสักพักก็แล้วกัน
“แล้วยังไง” พอโดนผมย้อนถามไป มันก็เริ่มทำเสียงอึกอัก จนต้องถามไปอีกรอบ ถึงได้ยอมเปล่งเสียงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ผมอยากให้พี่อยู่กับผม”
“เพราะอะไร” ผมถามต่ออีก เด็กแบบนี้ต้องต้อนให้จนมุม
“...”
“...”
ซ่าสบตากับผม จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกมาก แล้วปล่อยลมออกมาอีกทีพร้อมกับคำพูดที่ผมรอคอยที่จะได้ยินจากปากมันที่สุด
“เพราะ...ผมว่าผมก็ชอบพี่เหมือนกัน”
อยู่ๆหัวใจของผมก็เต้นแรง และแรงขึ้นเรื่อยๆจนน่ากลัว ก่อนที่จะล่องลอยกับความสุขไปมากกว่านี้ ผมต้องรีบดึงสติตัวเองกลับมาเพื่อคุยกับซ่าให้เข้าใจตรงกันเสียก่อน
“มึงต้องแน่ใจก่อนนะซ่า ว่าต้องการให้กูอยู่เพราะมึงรักกูจริง แต่ถ้าไม่ กูก็เจ็บนะ จะให้กูเข้าไปในชีวิตมึงเพื่อเป็นทางผ่าน แต่เมื่อสุดท้ายมึงรู้ใจตัวเองว่าไม่ได้ชอบกู เพราะมึงบอกเองว่าไม่รักชอบผู้ชายด้วยกัน ถึงเวลานั้นกูควรทำยังไง”
“ผมไม่รู้” ซ่าแสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังสับสนอย่างมาก
“งั้นมึงก็ควรต้องทำให้ตัวมึงรู้ หาคำตอบซะ”
“ผมไม่รู้ต้องทำยังไง” มันก้มหน้ามองปลายเท้าอีกแล้ว ท่าประจำที่จะทำเวลาที่ตัดสินใจอะไรไม่ได้
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ แต่คงแรงไปหน่อย ไอ้เด็กซ่าเลยหน้าเสีย
“ผม...ผม...”
“จริงๆเลยมึง มานี่” ผมเรียกผมเข้ามาใกล้ แล้วกอดมันไว้ ไม่ยอมพูด ก็ใช้การกระทำเป็นตัวหาคำตอบก็แล้วกัน น่าจะง่ายกว่าให้มันหรือเอาเอง
“รังเกียจไหมที่กูกอดแบบนี้” ผมถามชิดใบหูนิ่ม
“หึ” ซ่าส่ายหน้าช้า ผมจึงทำขั้นต่อไป ด้วยการจูบหน้าผากเบาๆ
“แลวแบบนี้รังเกียจไหม ถ้าไม่ชอบก็บอกกู อย่าฝืน”
“เปล่า” ตอบเบาเหมือนจะไม่มั่นใจ
“เปล่าอะไร” ผมกระเซ้าเอาคำตอบ
“ไม่ได้รังเกียจ”
จุ๊บ
ต่อไปก็หอมที่แก้ม ซ่าสะดุ้งนิดหน่อย เพราะระยะที่ใกล้กันเพราะร่างกายที่แนบชิด ผมว่าผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวของคนตรงหน้า
“ผมไม่ได้รังเกียจนะ”
ผมยังไม่ทันได้ถามเลย มันก็รีบตอบเสียแล้ว ผมได้แต่แอบยิ้มขำไม่ให้มันเห็น พอมันเงยหน้ามองตา ผมก็รีบเก็กหน้านิ่งต่อ เริ่มพิสูจน์ขั้นต่อไป
“แล้วถ้ากูจูบ มึงจะยอมไหม” คราวที่แล้วที่ผมขอจูบ มันผลักผมออกอย่างแรง ทำเอาใจแป๋วไปพักใหญ่เลย ทั้งชีวิตเกิดมาไม่เคยมีใครปฏิเสธจูบของผมมาก่อน มันเป็นคนแรกเลย
ซึ่งครั้งนี้มันก็ใช้เวลาคิดนานเหมือนกัน นานจนอยากจะแกล้ง
“แสดงว่ามึงไม่ต้องการ”
ผมทำท่าจะปล่อยมือที่โอบเอวออก แต่ซ่ารีบจับแขนของผมทั้งสองข้างไว้แน่นไม่ให้ปล่อยตัวมัน แล้วเอาแต่ยืนเงียบ บางทีผมก็ไม่ควรเข้าใจอาการที่ซ่าไปเสียทุกเรื่อง ไม่อย่างนั้นมันจะเคยตัว คิดว่าไม่พูดไม่บอกแล้วผมจะต้องเข้าใจทุกอย่าง
“กูเบื่อโรคไม่ยอมพูดของมึงจริงๆ”
ผมหัวเสียกับนิสัยของมันเล็กน้อย ไม่รอให้มันอนุญาต จัดการคว้าคอมันมาจูบด้วยแรงที่ไม่เบา แต่ผมไม่ได้ขยับริมฝีปาก เพียงแค่แนบไว้ เพื่อรอให้อีกคนคิดและตัดสินใจว่าควรจะเอายังไงต่อ จะผลักผมออกเหมือนครั้งก่อน หรือจะจูบตอบกลับมา และเมื่อริมฝีปากอิ่มที่ผมแนบเอาไว้เริ่มขยับโต้ตอบ ผมก็ไม่คิดอะไรอีกแล้ว นอกจากกลืนกินสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้สมกับความคิดถึงและความปรารถนาที่เก็บซ่อนลึกไว้ข้างใน
ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยขยับปากพูด แต่เวลาที่ได้จูบอย่างลึกซึ้ง ริมฝีปากที่มักปิดเงียบกลับให้ความรู้สึกที่ดีเกินบรรยาย
ยามที่ผมใช้ลิ้นสัมผัสอีกคนอย่างหยาบโลน ร่างกายผอมบางก็เริ่มสั่นสะท้าน แต่ก็ยินยอมให้ผมล่วงล้ำโดยไม่ขัดขืน ของเหลวใสช่วยให้การจูบในครั้งมันลื่นไหลมากขึ้น และบางทีผมอาจจะป่าเถื่อนกับมันเกินไปหน่อย รสชาติของเลือดถึงได้กระจายซ่านอยู่ในปาก เนื้อตัวก็สั่นระริกอย่างไร้เดียงสา แต่บางครั้งก็กล้าที่จะขบเม้มริมฝีปากของผมกลับมาให้กระชุ่มกระชวยหัวใจ
และก่อนที่จะหยุดตัวเองไม่ได้ ผมจำต้องปล่อยให้ริมฝีปากที่เริ่มปริแตกทั้งจากฝีมือมันและฝีปากของผมให้เป็นอิสระ
“โอเคไหม” ผมถามอย่างเป็นห่วง มองคนที่หายใจหอบแต่ก็ยังพยักหน้าตอบว่าไหว
“มันแปลก” มันว่าหลังจากที่เริ่มหายใจสะดวก
“เดี๋ยวก็ชิน” ผมลูบแผ่นหลังที่ไม่ค่อยจะผึ่งผาย มักจะโค้งงอตลอดทำให้บุคลิกภาพมันกลายเป็นคนไม่มั่นใจ ซึ่งซ่าก็ไม่เคยมั่นใจในตัวเองตามลักษณะภายนอกที่แสดงออก
“พี่...จะไม่หายไปอีกใช่ไหม”
“อยากให้กูไปอีกไหมละ”
“ไม่” มันตอบในทันที และผมพอใจกับคำตอบในระดับหนึ่ง แต่ยังวางใจทั้งหมดไม่ได้ ถ้าผมจะเผื่อใจไว้บ้าง ก็คงไม่ผิดอะไร
“งั้นก็คบกับกู เป็นคนรักของกู ตกลงไหม” ผมก้มใบหน้าลงให้ระดับสายตาของเราตรงกัน ถึงมันจะตอบสนองว่ามันก็ต้องการผม แต่ดูเหมือนจะยังมีอะไรให้ลังเล
“แต่ว่าพี่กับ...พี่การ์ตูน”
จนป่านนี้แล้ว มันก็ยังคงเป็นเด็กที่ไม่ฉลาดอยู่ดี แต่ช่างเถอะ ผมชินเสียแล้วกับซ่าในฉบับอ่อนแอ คนๆนี้ไม่มีตรงกลาง ยามปกติมันจะแสบและซ่าสุดๆ แต่ยามอ่อนแอก็เหมือนจะกลายเป็นอีกคนไปเลย แต่เรื่องบางเรื่อง ก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจกัน ผมอาจจะเดาอารมณ์หรือความคิดของมันได้ แต่มั่นใจว่าไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด
“จำเอาไว้อย่างนะซ่า กูไม่ใช่เทวดาที่จะสามารถอ่านใจมึงได้ทุกอย่าง ความรู้สึกมันเป็นเรื่องซับซ้อน ที่ถ้ามึงไม่พูด กูไม่อาจเข้าใจมึงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ กูรู้ว่าการที่เราจะคบกันมันไม่ง่ายสำหรับมึง นั่นหมายความว่ามันจะมีอีกหลากหลายเรื่องที่มึงสามารถเอามาเป็นปัญหาได้ ซึ่งนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับกู เข้าใจไหม ที่กูจะพูดก็คือ กูสามารถช่วยมึงก้าวข้ามปัญหาต่างๆที่มึงอาจจะสร้างเอง หรือกูทำ หรือคนอื่นทำ กูช่วยแก้ได้ ขอแค่มึงพูดออกมา พูดความรู้สึกนึกคิดของมึงให้กูได้รับรู้บ้าง พูดออกมาเลยว่ามึงหึงและไม่พอใจที่กูอยู่กับการ์ตูน และมึงสงสัยว่ากูกับการ์ตูนอาจจะนอนด้วยกันไปแล้ว คิดเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหน เพราะถ้ามึงไม่พูด กูไม่รู้ แล้วกูจะตอบคำถามมึงได้ยังไง แล้วกูจะช่วยแก้ได้ยังไง จริงไหม”
“แล้วทำไมพี่รู้”
ผมคงต้องขอกรอกตามองบนสักหนึ่งรอบ
“มึงคงคิดว่ามึงแอบเนียน แต่ความจริงแล้วกูเห็นมึงตั้งแต่กูขับรถเข้ามาในคอนโดแล้ว”
“แต่พี่...”
และดูมัน...ขนาดผมบอกให้มันพูด มันก็ยังไม่กล้าที่จะพูด เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาฝึกกันยาว คืนนี้ผมจะปล่อยผ่านไปก่อน แค่นี้มันก็สะบักสะบอมพอสมควรแล้ว
“เพราะว่าตอนนั้นมึงไล่กูแล้วไง สิ่งที่กูทำได้คือโทรไปบอกไอ้หวายให้ไปดูมึง ส่วนเรื่องการ์ตูน กูไม่ได้พาเขาขึ้นคอนโด เอาเป็นว่ากูจะไม่ลงลึกว่าทำไมเขามาที่คอนโดกับกู เพราะมันอาจฟังดูไม่ดี ยังไงเขาก็ผู้หญิง แต่กูพาเขาไปนั่งรอที่ล็อบบี้ ไม่ได้พาขึ้นห้อง ส่วนกูก็ขึ้นไปเอาเอกสารลงมาให้เขา จากนั้นเขาก็แยกย้ายกลับไป ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”
“...”
ผมเดินเข้าไปใกล้มันจนปลายเท้าของเราชิดกัน พร้อมกันนั้นแขนทั้งสองข้างของผมก็โอบกอดเอวแห้งๆของมันเข้ามาใกล้อีกรอบ ซ่าดูเกร็งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดีดตัวหนี เรื่องแบบนี้ผมรู้ว่าผมต้องให้เวลากับซ่าเยอะๆ เพราะมันไม่เคยต้องมือผู้ชายคนไหนมาก่อนและผมจะเป็นคนแรก
“มึงวางใจเถอะ ไม่มีใครเคยได้นอนบนเตียงหลังนั้นกับกูนอกจากมึง”
“...”
“สบายใจหรือยัง”
“ยัง”
“อ่ะว่ามา”
“แล้วที่พี่ไปอิตาลีกับเขา ไม่บอกผมด้วย”
อืม นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งสินะ แต่ผมแปลกใจอยู่อย่างว่า...พี่ริชไม่ได้บอกซ่าเหรอ ทำไมมันยังสงสัย ผมว่าผมโดนบุพการีเล่นคืนซะแล้ว เดี๋ยวจะกลับไปบอกให้ป๊าจัดการซะให้เข็ด แต่ก่อนจะให้ป๊าจัดการพี่ริชที่แกล้งผม ผมต้องไขข้อข้องใจให้คนขี้สงสัย อยากรู้แต่ไม่กล้าถามก่อน
“กูไปเรื่องงาน และไปเยี่ยมญาติที่นู่นด้วย ส่วนการ์ตูน เขาเองก็ไปกับทีมงานบริษัทเขา ทีมงานทั้งหมดมากกว่ายี่สิบชีวิตไปที่นั่น และกูนอนบ้านญาติ ส่วนพวกเขานอนโรงแรมที่แทบจะอยู่คนละฝั่งกับเมือง มีไปเที่ยวกันบ้าง แต่ก็ไปเป็นกลุ่ม เพราะกูคุ้นเคยที่นั่นมากที่สุด ไม่มีอะไรที่มึงต้องเป็นกังวล และถ้ามึงจะถามว่าทำไมกูไม่บอกมึง ก็เป็นเพราะกูตอนนั้นมีเด็กบางคนไล่กูไง บอกไม่ให้กูไปยุ่งวุ่นวาย กูรู้สึกงอนมากก็เลยไม่บอก เพราะฉะนั้น กูง้อมึงแล้ว มึงง้อกูหรือยัง” ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่มัน ต้องขอบคุณไฟในห้องที่สว่างพอให้ผมเห็นแก้มแดงๆทั้งสองข้าง
ผมได้อธิบายความจริงไปแล้ว อยู่ที่ว่ามันจะเชื่อหรือไม่ พอได้ยินมันถอนหายใจแล้วหลุบตาต่ำอมยิ้มให้กับตัวเองคล้ายจะโล่งอก ทำให้ผมเบาใจได้อย่างหนึ่งว่ามันก็ไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยาก ซึ่งนั่นมันดีต่อสิ่งที่ผมจะพูดต่อไป
“ถ้าเข้าใจแล้ว กูกับมึงก็คบกันได้แล้ว โอเคไหม”
ถึงจะนิ่งไปเกือบเสี้ยวนาที แต่มันก็ตอบตกลง “ครับ”
“ถ้าจะคบกัน หลังจากนี้มึงต้องกล้าที่จะเข้าหากูในรูปแบบของคนรักบ้าง ตบมือข้างเดียวมันไม่มีทางดัง ความรักจะเกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียวไม่ได้ จะให้คนๆหนึ่งพยายามเข้าหาอีกคนฝ่ายเดียวตลอดไม่ได้ นั่นไม่ใช่ความรัก ความรักคือเรื่องของคนสองคน ที่คนสองคนจะต้องช่วยกันสร้างมันขึ้นมา มึงและกูต้องพยายามไปด้วยกัน มึงเข้าใจใช่ไหม”
“ผมจะพยายาม” ซ่าไม่ได้พูดแค่คำพูด แต่พูดผ่านแววตาที่มุ่นมั่นและเอาจริงเอาจัง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่ผมต้องการ
“แค่นี้ก็ขอบคุณมากแล้ว”
แค่มันบอกว่าจะพยายาม ผมก็รู้แล้วว่ามันจะต้องทำได้อย่างแน่นอน
หลังจากปรับความเข้าใจกันได้ ซ่าก็บอกให้ผมไปอาบน้ำเตรียมนอน ออกมาอีกทีห้องที่เคยรกเละเทะก็เก็บเรียบร้อย ไม่ถึงกับสะอาดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ดีกว่าทีแรก
ตู้เย็นของมันโล่งเตียน เหลือเพียงน้ำดื่มขวดเดียวและไม่เต็มขวดด้วย พอผมหันไปมองซ่าก็รีบหันหน้าหนี แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เปิดตู้เก็บของเหนือหัวดูก็มีแต่มาม่า ผมบอกกับตัวเองเลยว่าพรุ่งนี้ผมคงต้องพามันไปซื้อของเข้าตู้เย็นหน่อยแล้ว
ก่อนจะนอนผมมองไปที่เตียงกับโซฟาสลับกัน ล่าสุดถ้าไม่รวมที่ไปเที่ยวกาญจนบุรี ซ่ามันเลี่ยงที่จะนอนเตียงเดียวกับผม มาดูกันสิว่าคืนนี้มันยังอยากจะเลี่ยงอยู่ไหม
“จะให้กูนอนไหน โซฟา?” ผมถาม ซ่าที่ล้มตัวนอนบนเตียงไปแล้วผุดลุกขึ้นนั่งทันที
“เอ่อ...”
“ว่าไง”
“เตียงครับ”
“แน่ใจนะ”
“ครับ”
โอเค มันอนุญาตแล้วผมก็ไม่เกรงใจ ปิดไฟแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆมัน แอบตื่นเต้นเบาๆเพราะตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับซ่ามันต่างไปจากเดิม แต่ก่อนเป็นแค่รุ่นพี่ ทำได้อย่างมากก็แค่จับมือ โอบและกอด แต่ต้องดูตามสถานการณ์ด้วย ไม่ใช่นึกจะทำก็ทำ แต่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว ผมคิดว่าผมน่าจะมีสิทธิ์อยากจะทำก็ทำได้
เมื่อคิดแล้วก็ต้องทำ ผมพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาซ่า ที่นอนหันหลังให้ผมอีกที ร่างกายค่อยๆเขยิบเข้าไปใกล้ คนที่ยังไม่หลับสะดุ้งตกใจ แต่ก็ปล่อยให้ผมดึงเข้ามากอด ผมไม่ได้รัดแน่นจนหายใจไม่ออก เพียงกอดไว้หลวมๆเท่านั้น
ท่ามกลางความมืดกับเสียงของลมหายใจ ตอนที่ใกล้จะเคลิ้มหลับ เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นเรียกสติของผมให้ตื่นตัว
“พี่ปราบ”
“หืม” ผมส่งเสียงอื้ออึงในลำคอตอบรับ ยังคงปิดตาหลับแล้วรอฟังมันพูด
“ผมเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลย”
“รู้แล้ว”
ผมต้องการแค่คนธรรมดาที่จะช่วยเติมเต็มชีวิตและความสุขให้กับผมเท่านั้น
“และบางครั้งผมก็แค่คนไร้ค่า”
คนทุกคนมีค่าอยู่ในตัวเอง แม้จะน้อยนิด แต่ก็ต้องมี ผมเชื่ออย่างนั้น อย่างน้อย ซ่าก็มีค่าต่อความรู้สึกของผม
“จนอดคิดไม่ได้ว่า...ถ้าผมหายไปจากโลกนี้ หายไปแบบเงียบๆ ก็คงไม่มีใครสังเกตเห็น และทุกคนก็ยังจะใช้ชีวิตอยู่ต่อได้อย่างสบายดี”
“ไม่หรอก ถ้าซ่าไม่อยู่ พี่คงเสียใจ”
ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น กอดเด็กคนหนึ่งที่ภายนอกก้าวร้าวและแข็งกระด้าง แต่ภายในบอบช้ำจนแทบแหลกสลายจากชีวิตที่ผ่านมา เพื่อให้มั่นใจว่าเขาอยู่กับผมตรงนี้ และผมก็อยู่กับเขาที่นี่ไม่ได้ไปไหนเช่นกัน
“ผมขอโทษนะ”
“ไม่เป็น ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว นอนซะ คืนนี้มึงจะฝันดี”
ใครเล่าจะรู้ว่าผมชอบซ่าเพราะอะไร
สำหรับความรัก ผมไม่ได้ต้องการคนที่เพียบพร้อมเพื่อมาอยู่เคียงข้าง ไม่ต้องการคนเก่งหรือฉลาด บ้านไม่ต้องรวย ชีวิตไม่ต้องสวยหรู นั่นไม่จำเป็นเลย
ผมแค่ต้องการคนๆหนึ่งที่ผมอยากจะใช้หัวใจและสองมือของผมดูแลเขาให้ดีที่สุด ให้เหมือนพี่พ่อดูแลพี่เค้ก ทั้งๆที่พี่เค้กเคยตาบอดมาก่อน หรือแม้แต่ป๊าที่ไม่เคยสนว่าพี่ริชจะไม่มีอะไรติดตัวแม้กระทั่งครอบครัว ยิ่งกว่านั้น ความรักของพวกเขาก็ยังเอื้อเฟื้อมาถึงผม เด็กที่ถูกทิ้งมาตั้งแต่เกิด นอกจากชีวิตแล้วก็ไม่มีอะไรติดตัว
เพราะฉะนั้นความรักของพ่อ ป๊า พี่เค้ก พี่ริช จึงเป็นความรักที่ผมอยากเอาเป็นเยี่ยงอย่างมากที่สุด
ความรักที่ขาดหายไปจากชีวิตของซ่า ผมจะเติมเต็มให้เอง
.......................................................................................
สวัสดีค่ะ
ตอนนี้มาไว เพราะทุกคนเรียกร้อง ฮ่าๆๆๆ ไม่ค้างแล้วเนอะ ทุกคนดูอินมาก มีหลายฝักหลายฝ่าย บางคนบอกซ่าสมควรโดนแล้ว บางคนว่าให้ปลดพี่ปราบจากการเป็นพระเอก แต่ก็มีคนที่เข้าใจว่ามันต้องวิน-วินด้วยกันทั้งคู่ ทำให้ต้องรีบปล่อยตอนนี้ออกมาเลยทีเดียว อิพี่มันร้าย แต่มันก็รักของมันนะเอ้อ แกล้งบ้างอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ไปหรอก มั้งนะ ฮาๆๆ
ตอนนี้ยังมีใครร้องไห้หรือเปล่า ที่รู้ๆคนเขียนนี่แหละที่ร้องเอง ก็มันซึ้ง
หลังจากนี้พี่ปราบจะสั่งสอนเด็กซ่าคนนี้ยังไงบ้าง ก็ขอให้ติดตามกันก่อนนะคะ อย่าเพิ่งหนีหายไปก่อนน้า
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
จุ๊บๆ
ริริ