ปราบซ่า
ตอนที่10
[ซ่า]
แดดบ่ายไม่เป็นมิตรกับผมในตอนนี้ที่ต้องขนของขึ้นรถเพื่อเอาไปขาย ปิดเทอมผมกลับมาช่วยพ่อกับแม่ทำงานเกือบทุกวัน ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ชีวิตผมเรื่อยๆ กับพลอยก็เหมือนจะดีขึ้น เมื่อวานก็เพิ่งมากินข้าวกับแม่ วันนี้เห็นว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อนก็เลยไม่ได้คุยอะไรกันมาก
“ซ่า เดี๋ยวน้าไปกับพ่อเอง” น้าตั้มที่หายไปไหนเกือบสองชั่วโมงขณะที่ผมกับพ่อและลูกน้องคนอื่นยกของจู่ๆก็โผล่มา โคตรรู้เวลา
“แล้วแต่” ผมบอก ยกแขนขึ้นใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ ก่อนจะเดินเข้าบ้าน
“เสร็จงานแล้วเหรอซ่า” แม่ที่นั่งดูโทรทัศน์หันมาถาม ข้างๆมีไอ้มิวนั่งนวดขาอยู่
“ครับ เสร็จแล้ว”
“แล้วใครเอาของไปขายอ่ะ” แม่ถาม ผมนั่งลงที่โซฟาหยิบส้มมาปอกกินรองท้อง กลางวันกินข้าวไปนิดเดียวเพราะพ่อเร่งต้องขนของให้เสร็จไม่งั้นเอาไปขายให้โรงงานไม่ทัน
“พ่อกับน้าตั้ม”
“อีกแล้วไอ้ห่านี่ งานการไม่ทำชอบหายหัว ตอนไปขายของทีไรเสนอหน้า ไม่แบ่งเงินให้ก็มาว่ากูอีก” พอรู้ว่าใครไปกับพ่อ แม่ก็บ่นคำใหญ่
ผมเห็นแม่ก็พูดอย่างนี้ทุกที บ่นอย่างนี้แต่ไม่เห็นเคยสั่งน้าตั้มได้เลยสักครั้ง
ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน เย็นนี้ผมนัดกับเพื่อนไว้ว่าจะออกไปนั่งกินข้าวจิบเบียร์เบาๆ ก็ไม่ใช่ร้านใครที่ไหน ร้านเฮียบีทรุ่นพี่ไอ้หวายนี่แหละ ง่ายดีแถมได้ราคาพิเศษ เหมาะกับพวกผมที่มีเงินน้อยเป็นที่สุด
“แม่ขอเงินหน่อย” ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่แล้วก็ลงมาขอเงินแม่ คือทุกครั้งที่ผมทำงานผมก็จะได้เงินเป็นค่าตอบแทน
“มิว ไปหยิบกระเป๋าตังแม่ในห้องนอนมาดิ” แม่ใช้ไอ้มิว แต่แทนที่มันจะไปหยิบ มันกลับทำหน้าบึ้งบ่นใส่ผม ถึงมึงจะมีศักดิ์เป็นน้ากู แต่ยังไงมึงก็อายุน้อยกว่ากูอยู่ดี
“มึงมาขออะไรแม่กู ไปขอแม่มึงนู่น”
“นี่ก็แม่กูเหมือนกัน” ผมแย้ง แม่เลี้ยงผมมา เขาก็คือแม่ผม
“ไม่ใช่เหอะ นี่แม่กูพ่อกู แม่มึงอ่ะพี่แนนนู่น ส่วนพ่อมึงก็ตายไปแล้ว อย่ามามั่ว”
“ไอ้เหี้ยมิว!!!” ผมเรียกชื่อมันเสียงดังด้วยความโมโห ขยับก้าวเข้าไปใกล้ไอ้มิว สองมือกำแน่น ทำไรมันไม่ได้หรอกแม่ยังอยู่ตรงนี้ ไม่งั้นอาจมีฟาดปากกันสักหมัดสองหมัด
“เรียกชื่อกูหาพ่อมึงเหรอ” ไอ้มิวยังไม่รู้สำนึก ทำหน้ายียวนใส่ผม พี่จี้ที่เดินเข้ามาในบ้าน ในมือมีจานกับข้าวหยุดยืนดูผมกับไอ้มิวตีกัน
“เงินที่กูขอแม่กูควรได้ เพราะวันนี้กูทำงานทั้งวันไม่เหมือนมึง” ผมพูดใส่หน้าไอ้มิว
“ทะเลาะอะไรกันอีก มิวก็อย่าไปหาเรื่องซ่ามันได้ไหม พูดจาแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะ” พี่จี้ดุไอมิว มันหน้าเสียที่ถูกดุ
“ดูมันนะจี้ ตีกันทุกวัน ป้าล่ะปวดหัว” แม่หันไปพูดกับพี่จี้ “เอ็งก็ไปหยิบกระเป๋าตังมาได้แล้ว นั่งหน้างอเป็นส้นตีนอยู่ได้”
ไอ้มิวที่ทำอะไรไม่ได้เดินกระฟัดกระเฟียดเดินไปหยิบกระเป๋าตังมาให้แม่ แม่หยิบเงินส่งให้ผมสามร้อย จำนวนปกติที่ผมจะได้หากว่าผมช่วยงาน ผมไหว้แม่ก่อนจะลากลับ
“ซ่า” พี่จี้เรียกผมไว้ขณะที่ผมกำลังเดินผ่านบ้านของพี่จี้ “อย่าไปคิดอะไรมากกับคำของพูดของมิวมัน มันก็แค่แหย่เราเล่นเท่านั้นแหละ”
แต่ผมไม่ขำสักนิด
“อืม” ผมทำเพียงแค่ตอบรับเสียงในคำคอสั้นๆ
“ปากมันไม่ดี อย่าไปถือสา”
“ช่างเถอะพี่จี้ ผมขี้เกียจจะใส่ใจ”
“ดีแล้ว”
“ผมไปก่อนนะ”
“อืม ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
ผมเดินออกมาโบกรถสองแถวนั่งกลับบ้านพี่แนน ตอนมาถึงยังไม่มีใครกลับมาที่บ้าน ผมก็เลยขึ้นห้องไปนอนพักหลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวัน จนได้เวลาไอ้นุ๊กโทรมาเรียกว่าพวกมันกำลังจะออกไปที่ร้านเรื่องเหล้าหรือร้านของเฮียบีท
ผมไม่ได้อาบน้ำใหม่อีกรอบเพราะเพิ่งอาบมา เปลี่ยนแค่เสื้อผ้าเท่านั้น เหลือบมองเห็นนาฬิกาของพี่ปราบ ตั้งแต่วันนั้นที่พี่ปราบให้ผมมา ผมก็ไม่ได้ใช้มันอีกเลย แม้ว่าเจ้าของมันจะเต็มใจให้ใช้ก็ตาม และไม่รู้ว่านึกยังไง คืนนี้ผมหยิบนาฬิกาของพี่ปราบมาใส่ไว้ที่ข้อมือข้างซ้าย
ลงมาชั้นล่างเห็นพี่แนนกับพี่เบิร์ดนั่งคุยกันหน้าเครียด ผมยกมือไหว้พี่เบิร์ดกับพี่แนน อยู่ร่วมกันมาสักพักหนึ่งยังไม่สามารถทำให้รู้สึกสนิทใจได้ ระหว่างผมกับพี่เบิร์ดเหมือนมีกำแพงขนาดใหญ่ขวางกั้นเอาไว้ ผมพยายามที่จะเข้าหาเขาตามคำแนะนำของพี่ปราบ แต่มันยากเพราะพี่เบิร์ดแสดงออกให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่ต้องการเป็นครอบครัวเดียวกับผม เพราะอย่างนั้นผมก็ไม่แคร์ บ้านหลังนี้ก็แค่ที่ซุกหัวนอนเท่านั้น
“จะไปไหนซ่า” พี่แนนทักเรียกผมที่กำลังจะออกจากบ้าน
“ไปกินข้าวกับเพื่อน” ผมตอบ
“ไปเอาเงินมาจากไหนล่ะ ถึงจะได้ออกไปกินข้าวข้างนอกกับเพื่อน” พี่เบิร์ดพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง
หน้าผมตึงเมื่อได้ฟัง เอาเงินมาจากไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขา ในเมื่อผมไม่ได้ขอเงินเขามาใช้ “ผมทำงานหาเงินใช้เอง”
“พี่เบิร์ดใจเย็น เดี๋ยวแนนถามซ่าเอง” พี่แนนลูบแขนพี่เบิร์ดให้เขาสงบลง พี่เบิร์ดเลยพ่นลมหายใจเสียงดัง ทำให้ผมสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“มีอะไรอ่ะพี่แนน”
“วันนี้ได้พาใครมาที่บ้านไหมซ่า” พี่แนนลุกขึ้นมายืนข้างๆผม
“เปล่า ผมไม่เคยพาเพื่อนมาที่นี่อยู่แล้ว”
เพราะปกติผมจะพาเพื่อนไปที่บ้านแม่มากกว่า เพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่มีใครว่า แต่กับบ้านของพี่แนนผมไม่เคยคิดจะชวนเพื่อนมาต่อให้คนๆนั้นจะเป็นคนดีอย่างพี่ปราบก็เถอะ
“แล้วเมื่อเช้าก่อนออกจากบ้าน ปิดบ้านดีหรือเปล่า” พี่แนนถามต่ออีก ผมนิ่งคิดก่อนตอบ
“ผมล็อคดีแล้ว” ผมออกจากบ้านเป็นคนสุดท้าย ก่อนออกก็ดูจนถี่ถ้วนแล้วว่าปิดหน้าต่างล็อคประตูเรียบร้อย ตอนกลับมาผมก็ต้องไขกุญแจเข้ามา ประตูไม่ได้ถูกเปิดทิ้งไว้
“เงินพี่เบิร์ดหายไป เอ็งเห็นบ้างไหม”
อ่อ นี่สินะเรื่องสำคัญที่ทำให้ผมถูกสอบสวนอยู่ในตอนนี้
“ไม่เห็นครับ” ผมตอบตามความจริง
“เอาเงินไปก็พูดมา จะได้ไม่ต้องหาตัวการ” พี่เบิร์ดพูดเสียงแข็ง ผมคิ้วกระตุกทันที
“พี่หมายความว่าไง” ผมถามกลับไปทันที รู้สึกโกรธกับประโยคเมื่อสักครู่นี้
“เงินหายไปจากบ้าน ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเอาไป รู้ไหมว่าเงินก้อนนี้จะเอาไว้โปะค่าบ้านหลังนี้” เสียงของพี่เบิร์ดเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์ของผมก็พุ่งสูงขึ้นตามเสียงของเขาเช่นกัน
“ก็เลยจะหาว่าผมขโมยไปเหรอ”
“พี่เบิร์ด ซ่าใจเย็นๆ” พี่แนนพยายามจะห้าม
“ใจเย็นได้ไง! เงินแสนกว่าจะหามาได้ไม่ใช่ง่ายๆ ปกติอยู่กันสองคนวางเงินไว้ตรงไหนไม่เคยหาย ถ้าไม่ใช่ลูกแนนเอาไปแล้วใครจะเอาไป แนนเอาไปเหรอไง!” พี่เบิร์ดหันไปหาเรื่องพี่แนน
“จะบ้าหรือไง เงินค่าบ้านแนนจะเอาไปทำไม” พี่แนนปฏิเสธทันที บรรยากาศตอนนี้มีแต่ความตึงเครียด
“ก็นั่นสิ เงินพี่หาย ถ้าแนนไม่ได้เอาไป แล้วใครจะเอาไปล่ะ บ้านนี้มีอยู่กันกี่คน” คำพูดของพี่เบิร์ดยังคงเจาะจงว่าต้องเป็นผมที่เอาเงินไปแน่นอน ไม่ใช่ใครอื่น
“ผมไม่ได้เอาไป” ผมยืนยันหนักแน่น “ถึงผมจะเหี้ย ทำตัวไม่ดี ผมก็ไม่เคยขโมยเงินใคร”
ผมมองจ้องหน้าพี่แนน เขาเป็นแม่ผม ควรเชื่อผมสิ ถึงตลอดทั้งชีวิตที่ผมโตมาเขาจะไม่ได้เป็นคนเลี้ยงแล้วอยู่กับผมทั้งวันทั้งคืน แต่เขาจะไม่รู้จักผมเลยเหรอ หรือเขาจะเชื่อผู้ชายคนนี้มากกว่าลูกของตัวเอง
“ซ่า...” พี่แนนเหมือนจะพูดอะไร แต่โทรศัพท์ของผมดังขึ้นผมล้วงออกมาดู เป็นเบอร์ไอ้กาน
“เดี๋ยวกูโทรกลับ” ผมรีบตัดบทแล้ววางสาย แต่ยังไม่ทันได้เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ข้อมือซ้ายของผมก็ถูกพี่เบิร์ดกระชาก
“พี่ทำอะไร!” ผมดึงแขนกลับจ้องหน้าพี่เบิร์ดอย่างไม่ยอม อะไรๆผมก็ยอมลงให้ได้ แต่เรื่องนี้ผมไม่มีทางยอมเพราะผมไม่ได้เป็นคนทำ
“ไม่ได้ขโมยเงินไปงั้นเหรอ แล้วนาฬิกาเรือนเกือบแสนนี่ไปเอามาจากไหนห๊ะ”
ข้อมือของผมถูกพี่เบิร์ดบีบจนเจ็บ เขากระชากแขนผมแล้วยื่นไปให้พี่แนนดู พี่แนนก้มมองนาฬิกาบนข้อมือผมก็ทำหน้าอึ้งๆ ดวงตาเบิกกว้างก่อนจะช้อนตามองผมเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง
ผิดหวังเพราะคิดว่าผมขโมยเงินไปซื้อนาฬิกาหรือไง
“ผมไม่ได้ขโมยเงินพี่ และนาฬิกานี้ก็มีคนให้ผมยืมใช้” ผมไม่มีทางยอมเป็นคนผิดเพราะผมไม่ได้เอาเงินเขามา ทุกอย่างผมพูดความจริง
“มีคนให้ยืม เหอะๆ ไปหลอกเด็กอนุบาลเหอะวะ ใครเชื่อก็บ้า”
“ให้ผมโทรหาคนให้มาไหมล่ะ”
“พวกเอ็งก็คงเตี้ยมกันมา เชื่อก็โง่” พี่เบิร์ดยืนกรานอย่างเดียวว่ายังไงก็ไม่เชื่อผม ผมก็เลยหันไปหาพี่แนน
“พี่แนน ผมไม่ได้เอาไป”
“แล้วซ่าไปเอานาฬิกามาจากไหน”
“รุ่นพี่ให้มา พี่แนนก็เคยเจอแล้วนี่”
“ซ่า มันแพงมากเลยนะ ถ้าเอาเงินไปก็บอกแม่มาเถอะ ยอมรับผิดจะได้ช่วยกันแก้ไขปัญหา”
“พี่แนนไม่เชื่อผมเหรอ”
“คือ...” พี่แนนไม่ยอมตอบ ได้แต่อ้ำๆอึ้งๆ
ผมไม่คิดเลยว่า พี่แนนจะไม่เชื่อผม
“ผมไม่ได้เอาไป จะให้ยอมรับหรือยังไง” ผมก้าวถอยหลัง หัวร้อนไปหมด ร่างกายค่อยๆสั่นเทิ้ม ผมพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้อาลาวาด และไม่ให้ร้องไห้
ถึงจะไม่ได้เลี้ยงผมมา แต่เกือบยี่สิบปีมานี้ เห็นผมเป็นเด็กขี้ขโมยหรือไง
“ไม่ต้องพูดมาก หลักฐานก็เห็นๆกันอยู่ ก็ไอ้นาฬิกาเรือนนี้ ไหนจะยังมีเงินออกไปเที่ยวกินข้าวข้างนอก เอานาฬิกาไปขายซะแล้วเอาเงินมาคืนพี่ จากนั้นพี่จะไม่เอาเรื่อง” พี่เบิร์ดสรุปแล้วก็สั่ง
ผมส่ายหน้ากัดปากแน่น “ผมไม่ขาย เพราะผมไม่ได้ขโมยเงินพี่มาซื้อ”
ของๆพี่ปราบ เรื่องอะไรจะต้องเอามาชดใช้
“เอ๊ะ ไอ้นี่ ฟังพี่นะแนน ถ้าไม่หาเงินมาคืน ต่อให้เป็นลูกแนนพี่ก็จะแจ้งตำรวจจับ”
“พี่เบิร์ด!” พี่แนนร้องเสียงหลง “แนนว่า ใจเย็นก่อนนะ ค่อยๆคุยกันก่อนนะ”
“ยังจะคุยอะไรอีก ลูกแนนเอาเงินพี่ไป แสนหนึ่งเลยนะไม่ใช่ร้อยสองร้อย”
“ผมไม่ได้เอาเงินไป นาฬิกานี้เป็นของรุ่นพี่ผม” ผมกำหมัดแน่น รู้สึกอยากต่อยหน้าคนให้แหก
“ยังไม่ยอมรับอีกหรือไง”
“เงินใครหายก็ไปหากันเอาเอง ผมไม่ได้เอาไป อยากเรียกตำรวจก็เชิญ”
ก่อนที่จะทนไม่ไหว ผมรีบเดินหนีออกจากบ้าน ก้าวเท้าให้เร็วที่สุด ไม่สนใจเสียงเรียกจากพี่แนนที่ดังไล่หลังมา ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ก้มหน้าไม่มองอะไรจนเกือบโดนรถเชี่ยว
“เดินห่าไงไม่ดูทางวะ อยากตายหรือไง!” เสียงกรนด่าของเจ้าของรถไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกอะไร มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่พี่แนนทำกับผม
ทำไมไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด
“กูไม่ได้เอาเงินไป กูไม่ได้ขโมย” ผมเฝ้าบอกตัวเองไปตลอดทาง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อผมเดินอยู่ริมถนนใหญ่ ผมหยิบออกมาดูก็เห็นเป็นเบอร์ไอ้หวาย ผมไม่รู้ว่าควรรับดีไหม ตอนนี้ผมทำอะไรไม่ถูก การถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยทำให้ผมมึนตึ้บ กระทั่งสายตัดไปหนึ่งสายและมันโทรกลับมาอีกรอบ
ผมกดรับสาย “เออ ว่าไง”
“มึงเมื่อไหร่จะมาเนี่ยไอ้พัช พวกกูรอนานแล้วนะ”
“กำลังไป” ผมตอบนิ่งๆ ถ้าอารมณ์ปกติคงกวนตีนมันกลับไปสักประโยค แต่ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์
“เออ รีบๆมา”
ผมกดวางสาย หายใจเข้าปอดลึกๆ บอกกับตัวเองไว้ ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก โบกรถได้ก็มุ่งหน้าไปหาพวกมันที่ร้านเหล้า
ไปถึงผมก็ทักทายพวกมันแค่คำสองคำ ก่อนจะยกแก้วเหล้าที่ไอ้กานชงส่งมาให้ไม่พูดไม่จา พวกมันดูสนุกสนานต่างจากผม
นั่งกินเหล้าเคล้าเรื่องตลกที่ไอ้กานกับไอ้นุ๊กผลัดกันหยิบยกมาพูด ผมฟังบ้างไม่ฟังบ้าง หัวเราะตามบ้างเพราะไม่อยากให้ใครผิดสังเกต แม้ว่าไอ้หวายกับไอ้ตูนจะมองผมหลายครั้งก็ตาม
“อะแฮ่ม สวัสดีหนุ่มๆ” เสียงหวานจากบุคคลอื่นเรียกความสนใจ พวกผมหันไปมอง ดูแล้วก็ยังไม่โตเท่าไหร่ แต่ก็เดาอายุไม่ได้
“มีอะไรเหรอคนสวย” ไอ้กานเริ่มเตาะ
“คือ เราสนใจเพื่อนนายอ่ะ” เธอพูด บิดตัวแบบอายๆ พวกผมมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองหน้าไอ้ตูน
ผมกระตุกยิ้ม “ของมึงอ่ะ”
“ชอบใครล่ะ” ไอ้หวายเป็นคนถามผู้หญิงคนนั้น
เธอไม่ตอบ แต่ชี้มาทางไอ้ตูน เท่านั้นพวกผมก็หลุดขำ ไม่แปลกใจเพราะไอ้ตูนมันหน้าตาดี ใครเห็นใครก็ชอบ แต่เพราะมันหน้าตาดี เลยไม่ยอมหยุดอยู่ที่ใคร ไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน สนองได้หมดถ้าเสนอ
“คิดดีแล้วเหรอสนใจเพื่อนผมคนนี้ หน้าตาดีก็เท่านั้น แต่ฟันแล้วทิ้งนา” ไอ้กานยังคงไม่เลิกแหย่สาวสวย ส่วนไอ้ตูนก็หลุดขำกับคำพูดของไอ้คนผมแสกกลาง
“อย่ามาหลอกกันหน่อยเลย” สาวเจ้ายังคงไม่เชื่อ
“เอ้า พูดจริงก็หาว่าหลอก จะหาคนจริงใจอยากพี่กานคนนี้ไม่มีอีกแล้วน้องเอ้ย”
ผมส่ายหัวให้กับไอ้เพื่อนตัวแสบ พูดกวนประสาทจนผู้หญิงเดินกลับโต๊ะตัวเองแทบไม่ทัน ไอ้กานแสดงสีหน้าเสียดายเล็กน้อยก่อนจะกลับมาชนแก้วเหล้าแล้วบ้าบอตามเดิม
“เป็นกูกูก็กลัว ไอ้ห่า แซวซะขนาดนั้น” ไอ้นุ๊กขำไม่หยุด
“กูออกจะคารมดี” ไอ้กานยังคงไม่สำนึก
“ดีกับผีสิมึง” ไอ้หวายพูดต่อ
“อิจฉากูสิพวกมึง แล้วมึงนี่เป็นอะไรไอ้พัช นั่งนิ่งเป็นหิน ทะเลาะกับเมียมาอีกเหรอไง”
ผมคิดว่าจะรอดแล้วนะ แต่สุดท้ายพวกมันก็ไม่ปล่อยให้ผมรอด
“เปล่า ไม่มีอะไร” ผมพูดปัด ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกมัน ดีแต่จะทำให้อารมณ์ขึ้น เพราะผมรู้ว่าพวกมันไม่มีทางยอมให้ผมโดนปรักปรำและจะต้องหาทางช่วยผม แต่เรื่องนี้ยังไงก็เป็นเรื่องในครอบครัว ผมต้องจัดการเอง
ถึงเขาจะไม่เชื่อว่าผมไม่ได้ขโมย แต่หากพูดออกไปพวกมันจะต้องรุมว่าพี่แนนแน่ๆ เพราะงั้นก็อย่าพูดดีกว่า
“คิดว่ากูเชื่อไหม มึงพูดว่าไม่มีนั่นคือมี” ไอ้หวายจริงจังทุกครั้งเมื่อเป็นเรื่องผม
“เออน่า กูทะเลาะกับพี่แนน มึงไม่ชินหรือไง”
“มึงดื้อใส่เขาล่ะสิ” ไอ้ตูนพอรู้ว่าเรื่องอะไร มันก็ดูวางใจขึ้น ทุกคนเคยชินแล้วเรื่องผมทะเลาะกับพี่แนน แต่ว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ถึงอย่างนั้น ผมก็ยินดีให้พวกมันเข้าใจเพียงแค่นี้
“มึงไม่ดื้อใส่แม่มึงเลยมั้ง” ผมย้อนเข้าให้มั้ง ไอ้ตูนเงียบทันที
“เออจริง มึงน่ะดื้อกับแม่มากกว่าใครในกลุ่มเลยไอ้ตูน แม่มึงบ่นให้กูฟังทุกวัน ล่าสุดนะ แม่มันมาบ่นกับกูว่าไอ้ห่านี่แอบเอารถออกไปขับแล้วเฉี่ยวจนเป็นรอย ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วยนะ สองครั้ง โคตรเหี้ย”
“แม่กูบอกมึงเหรอ” ไอ้ตูนทำหน้าตกใจ มันคงไม่คิดว่าแม่มันจะเอาเรื่องมันไปเล่าให้ไอ้นุ๊กฟัง บ้านพวกมันอยู่ใกล้กัน เลยเจอกันบ่อย
เวลาผ่านไปจนเกือบสี่ทุ่ม โทรศัพท์ผมมีสายเข้าสองสายจากพี่แนน แต่ผมไม่ได้รับ มีอีกหนึ่งข้อความจากพลอย ผมกดเปิดอ่าน
-คืนนี้มาหาไหม ไม่มีใครอยู่บ้าน-
นานนับเดือนแล้วเหมือนกันที่ผมไม่ได้ไปนอนค้างที่บ้านพลอย ผมเลยส่งข้อความกลับไปว่าจะรีบไปหา
“พวกมึง กูกลับก่อนนะ จะไปหาพลอยที่บ้าน”
พอพวกมันได้ยินก็ทำหน้าเบื่อหน่ายพร้อมถอนหายใจแรง
“จะไปไหนก็ไป รำคาญมึงไอ้โง่”
ในเมื่อมันไล่แล้ว เราก็ไม่ต้องอยู่ต่อ ผมรีบออกจากร้าน โบกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ต่อรถสองแถวแล้วเดินเท้าเข้าซอยบ้านพลอย
เจอหน้ากันปุบก็ไม่ต้องพูดให้มากความ พลอยลากผมขึ้นห้องจากนั้นก็เต็มที่กับชีวิต ผมระหว่างที่ทำผมยังไม่คลายความเครียดทำให้ผมไม่สามารถมอบความสุขให้พลอยได้อย่างเต็มที่
“เป็นอะไรซ่า วันนี้ดูจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” พลอยถามผมที่นอนหงายอยู่ข้างๆ
ผมกับพลอยไม่เคยมีอะไรปิดบัง ผมเป็นยังไงรู้สึกยังไงผมมักบอกพลอยเสมอ เพราะเธอคือแฟนคือคนที่ผมรัก แม้ว่าหลังๆมานี้ความรู้สึกของพลอยอาจจะเปลี่ยนไป หรืออาจจะเป็นความรู้สึกของผมด้วย ที่ถึงแม้จะรัก แต่ก็เหนื่อยหน่ายเต็มที
“พี่เบิร์ดหาว่าซ่าขโมยเงินไป ซ่าไม่ได้ทำ”
“แล้วทำไมเขาหาว่าซ่าขโมยเงิน” พลอยขยับตัวลุกขึ้นมองหน้าผม
“เงินเขาหายไป เขาก็เลยหาว่าซ่าขโมย พอดีกับรุ่นพี่ให้นาฬิกาเรือนนี้มาเพราะอันที่พลอยให้มันเสีย เขาเลยหาว่าซ่าเอาไปซื้อนาฬิการาคาแพง”
“เงินเขาหายไปเท่าไหร่”
“แสนหนึ่ง” เท่าที่จับใจความได้ พี่เบิร์ดบอกเท่านี้ แต่ใครจะรู้ว่าความจริงแล้วมันเท่าไหร่ แล้วหายจริงไหม ในเมื่อผมไม่ได้เอาไป
“ห๊ะ! แสนหนึ่งเลยเหรอ”
“อืม พลอยคิดว่าซ่าขโมยไปหรือเปล่า”
“พลอยว่าซ่าไม่ได้มีนิสัยแบบนั้น”
ผมจ้องหน้าพลอย นึกขอบคุณที่เธอยังเชื่อใจผม ต่อให้พวกเพื่อนจะพูดยังไงว่าพลอยไม่ดีว่าพลอยนอกใจ แต่พลอยก็ยังเป็นคนหนึ่งที่รู้จักผมดีว่าผมไม่มีทางขโมยเงินขโมยของใคร
แล้วทำไม...พี่แนนไม่เชื่อ
เพราะผมมันก็แค่เด็กที่เขาไม่ได้ตั้งใจให้เกิด จะไปสู้อะไรกับผัวที่นอนเคียงข้างกันทุกคืน
ผมควรชินได้แล้ว
“แล้วซ่าจะทำยังไงต่อ”
“ไม่ทำอะไร ก็ไม่ได้เอาไป”
“แล้วถ้าเขาเรียกตำรวจมาจับล่ะ”
“เรียกแล้วไง ก็ไม่ได้เอาไป” คำพูดผมเหมือนไม่แย่แส แต่ไม่ใช่ไม่รู้สึก
“ซ่าไม่เอานาฬิกาเรือนนี้ไปขายล่ะ แล้วเอาเงินไปให้เขา จะได้จบๆไป” พลอยเสนอความเห็นที่เหมือนจะพยายามช่วย แต่ทำให้ผมรู้สึกแย่และรับไม่ได้
“ทำแบบนั้นไม่เท่ากับยอมรับหรือไง แล้วนี่ก็ของของคนอื่น เอาของเขาไปขายจะบอกเขาว่ายังไงพลอย พูดอะไรคิดหน่อย” บอกแล้วไง ถึงผมจะเหี้ย ผมก็ทำเหี้ยแค่ตัวผมไม่ได้คิดทำเหี้ยใส่ใคร
“ก็บอกว่าซ่าทำหายไง พี่เขาคงไม่ว่าหรอก ดีกว่าโดนตำรวจจับนะ” ยิ่งพลอยพูดก็ยิ่งฟังดูแย่
“หยุดพูดเลยพลอย ซ่าจะไม่เอานาฬิกาของพี่ปราบไปขาย ต่อให้ตองติดคุกก็ช่าง บอกแล้วไงว่าไม่ได้เอาไป เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ซ่าต้องมารับผิดชอบ”
ผมตัดบทแล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้พลอย เราต่างคนต่างเงียบ ผมไม่ชอบเลยที่พลอยมีความคิดแบบนั้น เรื่องจบแล้วยังไง แต่ต้องกลายเป็นคนผิดและจากนั้นผมก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นเด็กขี้ขโมยไปจนตาย ถึงผมจะไม่ฉลาด แต่เรื่องนี้ก็ไม่โง่
อีกอย่าง ของๆพี่ปราบก็เป็นของพี่ปราบ เขาให้ผมรักษานาฬิกาเรือนนี้ให้ดี ต่อให้จะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะดูแลมันอย่างดีให้สมกับที่พี่ปราบไว้ใจให้ยืม
พลอยหลับไปแล้ว ผมลุกออกจากเตียง คืนนี้คิดว่าจะนอนที่นี่ แต่จิตใจผมไม่สงบเลย ปกติเวลามีเรื่องไม่สบายใจถ้าผมได้พูดคุยกับพลอย ผมก็จะรู้สึกดีขึ้น แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน จิตใจผมยังไม่สงบ ผมอยากคุยกับใครอีกคน
คนที่อาจจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้
ผมลุกออกจากเตียง ห่มผ้าห่มให้พลอยก่อนจะเดินออกมาจากบ้านของพลอย กลับไปนอนบ้านแม่น่าจะสบายใจที่สุดแล้วในตอนนี้
มาถึงบ้านแม่ ทุกคนก็หลับกันหมด ผมไขบ้านเข้าไปอย่างเงียบเชียบแล้วปิดประตูล็อคไว้เหมือนเดิม เดินขึ้นห้องนอนตัวเองแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ผมไม่อาจข่มตาหลับได้
ผมคิดว่าผมอยากคุยกับพี่ปราบ
ชั่งใจอยู่หลายนาที นาฬิกาบอกเวลาว่าดึกแล้ว อีกฝ่ายอาจจะนอนหลับฝันดี แต่ถึงอย่างนั้นนิ้วโป้งก็ยังกดโทรออก ยกโทรศัพท์แนบหูอยู่ไม่นานอีกฝั่งก็รับสาย
“ว่าไง ดึกแล้วทำไมยังไม่นอน” เสียงของพี่ปราบยังคงทุ้มน่าฟังทุกครั้ง และไม่น่าเชื่อว่าแค่ได้ยินเสียงใจผมก็สงบลงได้เยอะ
“พี่ปราบยังไม่นอนเหรอ” ผมถามกลับ
“กูเพิ่งทำงานเสร็จ เลยออกมานั่งจิบไวน์ฟังเสียงคลื่นทะเล มึงได้ยินไหม”
“อืม ผมได้ยิน อารมณ์ดีจังเลยเนอะ”
“กูน่ะอารมณ์ดี แต่เสียงมึงฟังดูไม่ดีเลยนะ มีอะไรไหนเล่าให้พี่ปราบฟังสิครับ”
“ทำไมพี่ถึงรู้” ผมถามเสียงแผ่ว ก้อนหินหนักที่ถ่วงอยู่บนบ่าถูกคำพูดพี่ปราบยกออกไป
“ถึงจะรู้จักมึงไม่นาน แม้จะแค่น้ำเสียงแต่กูก็เดาออกว่ามึงต้องมีเรื่องไม่สบายใจ”
“พี่ปราบ”
“หืม”
“พี่ปราบจะกลับมาเมื่อไหร่” แทนที่ผมจะเล่าเรื่องวันนี้เลย ผมกลับถามเรื่องอื่นก่อน
“อีกสามวัน ทำไม คิดถึงกูเหรอ”
ได้ยินเสียงพี่ปราบขยับตัวเบาๆ แทรกตามมาด้วยเสียงลม ถ้าได้อยู่ตรงนั้นคงจะรู้สึกดี
“เงียบเลยนะมึง ไม่พูดว่าคิดถึง กูไม่กลับนะ”
“เรื่องของพี่สิ ตลกหรือไง ผู้ชายที่ไหนบอกว่าคิดถึงกัน” มันแปลก ผมไม่พูดหรอก คิดถึงเหรอ ชวนขนลุกจะตายไป
“งั้นเหรอน้องซ่า”
“อืม แต่ว่า..ผมอยากเจอพี่นะ”
“หึหึ กูจะรีบกลับแล้วกัน สรุปโทรมานี่มีอะไร”
คราวนี้ผมเงียบจริงๆ ทั้งอยากเล่าและไม่อยากเล่า เหมือนเด็กที่กำลังจะโทรไปฟ้องพี่ปราบว่าตัวเองถูกรังแก แต่ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง ผมไม่ได้ทำผิด ไม่จำเป็นต้องเดือดเนื้อร้อนตัว แต่การที่คนในครอบครัว คนที่ให้กำเนิดผมมาทำเหมือนเชื่อว่าผมทำผิด มันทำให้ผมรับไม่ได้
ยากที่จะยอมรับว่าพี่แนนเชื่อคนอื่นมากกว่าลูกตัวเอง
“ซ่า...เล่าให้พี่ฟังสิครับ”
เพียงแค่ถ้อยคำที่พร้อมจะรับฟังกับน้ำเสียงอ่อนโยน ผมก็เล่าออกไปจนหมดเปลือก แถมเผลอแสดงความอ่อนแอให้พี่ปราบรับรู้เป็นครั้งที่สอง ไม่ไหวเลยจริงนะมึง
................................
ขอบคุณคนอ่านที่ยังติดตามและคอมเม้นมาให้นะคะ ริริอ่านทุกคอมเม้นนะคะ
มารอดูกันว่า ดอกบัวใต้โคลนตมดอกนี้ จะโผล่พ้นน้ำและผลิบานอย่างบริสุทธิ์ได้หรือไม่
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ