。◕‿◕。❤ เอื้อมใจให้รัก ❤ 。◕‿◕。 >>>UP side story:เรื่องราวของโจม (จบแล้ว) 10/06/10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 。◕‿◕。❤ เอื้อมใจให้รัก ❤ 。◕‿◕。 >>>UP side story:เรื่องราวของโจม (จบแล้ว) 10/06/10  (อ่าน 77284 ครั้ง)

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
โอ่ยยย รอบตัวอิพี่เอื้อรวมถึงพี่เอื้อมีแต่ปัญหา
เห้อมมม คบพี่ว่านไหมปูนลูกก

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
บทที่ 21
เมื่อน้องปูนยอมแพ้


“แน่ใจนะว่าจะไปตอนนี้” โจมถามขณะที่ผมกำลังหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ตอนนี้เป็นเวลาตีสามกว่าๆ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะสว่างแล้ว เพื่อนๆ แยกไปนอนกันตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว มีเพียงแค่ผมกับเจ้าของห้องเท่านั้นที่ยังคงตาสว่างกันอยู่

เรานอนไม่หลับกันทั้งคู่ แม้จะดื่มไปมากขนาดไหน แม้พวกผมจะง่วงเท่าไหร่ แต่พอหลับตาลงแล้วในสมองมันกลับวิ่งไม่หยุดจนผมไม่สามารถหลับลงได้ ผมกะว่าจะแอบออกไปเงียบๆ แต่ก็เจอโจมเสียก่อน

“อือ กลับไปที่ห้องกูอาจจะหลับก็ได้” ว่าแล้วก็เดินมาใส่รองเท้าที่หน้าประตู พยายามทำให้เงียบเสียงที่สุดเพื่อนไม่ให้กวนกล้ากับบอกที่นอนอยู่บนโซฟา “มึงไม่ต้องไปส่งกูหรอก กูกลับเองได้”

“ไม่ล่ะ กูอยากไปขับรถเล่นด้วย” อยากจะรู้จริงๆ ว่ามันจะได้ขับรถเล่นสักกี่นาที ในเมื่อหอเราสองคนถ้าขับรถไปเวลาแบบนี้คงไม่ถึงสิบนาทีหรอก

ผมสองคนออกมาจากห้องกันอย่างเงียบๆ แล้วลงมาอยู่ข้างล่างหอในอีกไม่กี่นาทีต่อมา โจมบอกในผมรอในร่มก่อนมันจะเดินแยกไปที่รถ ตอนนี้ฝนยังคงตกปอยๆ คาดว่าอีกไม่นานก็คงหยุด น้ำบนถนนเจิ่งนองเฉอะแฉะไปหมด ทุกย่างก้าวที่เดินทำให้เกิดเสียง

แฉะ...แฉะ…

เสียงแบบนี้เลย…

“ปูน…”

ผมสะดุ้งสุดตัวก่อนจะตวัดสายตาไปมองยังต้นเสียงที่คุ้นเคย แล้วก็ต้องเบิกตากว้างกับร่างสูงที่เปียกปอนไปทั้งตัว เสื้อนักศึกษาสีขาวแนบไปกับเนื้อ ผมสีเข้มลู่ลงไม่เป็นทรง ริมฝีปากของอีกฝ่ายสั่นระริกและซีดเผือด มือทั้งสองข้างกอดตัวเองเอาไว้แน่น ผิวขาวที่สะท้อนกับแสงไฟทำให้ดูเหมือนกระดาษ

ผมคงเมาแล้วแน่ๆ ที่เห็นว่าเอื้อยืนตัวสั่นอยู่ตรงนี้

“ปูน…”

ไม่ ผมไม่ได้เมา

ผมกลืนก้อนน้ำลายที่จุดลงคอ แล้วเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น…

“มึงมา...ทำอะไร”

“มารอ…” น้ำเสียงอีกฝ่ายช่างแผ่วเบาเหรอเกิน

นี่ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย รอ...รอผมน่ะเหรอ รอจนป่านนี้?

“ดึกแล้ว...กลับกัน…” เอื้อเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้ มันเย็นจัดจนผมสะดุ้ง “โทษที...กู…”

“หยุดพูดได้แล้ว! มึงบ้าหรือไง ประสาทแล้วเหรอ มาตากฝนรอกูทำไม!” ผมสงสารเอื้อ ทั้งที่ผมควรจะใจแข็ง ไม่ต้องสนใจว่ามันจะทำอะไร จะรอผมนานขนาดไหน

“แค่นี้เอง...เล็กน้อยน่า”

“แค่นี้บ้าอะไรเล่า!”  เอื้อทำให้ผมเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับในตอนนี้ที่ผมโกรธการกระทำโง่ๆ ของมัน

เอื้อยิ้ม ก่อนจะเดินเข้ามาหาผมช้าๆ “เคยบอกไว้แล้วนี่ว่าจะรอจนกว่าจะเจอ…”

“...”

หมับ…

ตัวผมถูกดึงเข้าไปกอดไว้หลวมๆ “ตอนนี้ได้เจอแล้ว…”

“...”

“...”

“...เอื้อ…”

“...”

“เอื้อ! ตื่นสิ” ผมเขย่าร่างของอีกคนเบาๆ ก่อนจะเพิ่งแรงเมื่อมันไม่ตอบสนอง ตัวผมแทบล้มเพราะตอนนี้เอื้อหมดสติ น้ำหนักทั้งหมดจึงทิ้งมาทีผม ดีที่ว่าโจมมันเข้ามาช่วยพยุงไว้ทันเวลา

“ไปโรงพยาบาลกันเถอะ ตัวเย็นขนาดนี้อาจจะช็อคก็ได้”

เราสองคนช่วยพยุงเอื้อไปขึ้นรถของโจมที่จอดเทียบฟุตบาทไม่ไกล ดีที่เอื้อไม่ใช่คนตัวใหญ่มาก โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเป็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยที่ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึง เอื้อถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที และไม่นานพยาบาลก็เดินมาบอกว่าไม่ต้องห่วง เอื้อไม่เป็นอะไรมาก รอให้น้ำเกลือเสร็จก็กลับได้เลย

ในเวลาตีสามครึ่ง ผมกับโจมจึงมานั่งรอเอื้อที่โรงพยาบาล ระหว่างที่นั่งรอผมก็ควานหามือถือขึ้นมาเปิดเครื่อง ข้อความแจ้งคนโทร.เข้าเตือนไม่หยุด เอื้อเพียรโทร.หาผมตั้งแต่ที่ผมปิดเครื่องจนถึงเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว อีกทั้งยังมีข้อความในแอปพลิเคชั่นไลน์ และข้อความโทรศัพท์อีกเป็นสิบๆ

‘อยู่หน้าหอเพื่อนปูนนะ’ ข้อความนี้ถูกส่งมาตั้งแต่ตอนเที่ยงคืน ซึ่งเป็นข้อความที่ผมไม่ได้สนใจจะดู

‘ลงมาหาหน่อย แค่แปบเดียวก็ได้’

‘ปูนครับ ลงมาหาหน่อยครับ’

‘พี่จะรอนะ จนกว่าจะเจอปูน…’

นี่ไง...ได้เจอแล้ว

ผมกำโทรศัพท์แน่น โกรธตัวเองที่ทิฐิมากเกินไปจนไม่ยอมรับรู้อะไรเลย ถ้าผมอ่านข้อความที่เอื้อส่งมาทุกข้อความเอื้อ ไม่ก็รับสายอีกฝ่ายสักห้านาที เอื้อคงไม่ต้องรอจนต้องตากฝนนานขนาดนี้ แค่ลงมาไล่มันก็คงยอมกลับหอไปดีๆ แล้ว โชคดีที่เอื้อไม่เป็นอะไรมาก ไม่อย่างนั้นผมต้องรู้สึกผิดกว่านี้อีกหลายเท่า

“พี่เอื้อของมึงไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก” โจมพูดราวกับอ่านใจได้ว่าผมกำลังคิดอะไร “ถึงตอนนี้มึงยังกล้าบอกกูอีกหรือเปล่าว่ามึงยังโอเค”

ผมเม้มปากแน่ พร้อมส่ายหัวเป็นคำตอบ

ไม่ ผมไม่เคยโอเค ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือก่อนหน้านี้ มันทำให้ผมสงสัยในตัวเองว่าผมยอมให้คนเพียงคนเดียวมามีอิธิพลต่อผมได้อย่างไรตั้งมากมายขนาดนี้ ไม่ว่ามันจะทำอะไร ก็มีผลต่อความรู้สึกของผมทั้งสิ้น ทั้งในทางที่ดีและไม่

“กูถามมึงตรงๆ นะปูน...มึงชอบเขาแล้วใช่มั้ย”

ผมส่ายหน้าอีกครั้ง “กูยังไม่ได้ชอบหรอก”

“แต่มึงหวั่นไหวแล้วสินะ”

“...กูไม่อยากยอมรับ แต่ก็ใช่…กูคงหวั่นไหวจริงๆ ทั้งที่กูก็รู้อยู่ว่ามันเป็นใคร” ผมยกมือลูบหน้าตัวเอง จนป่านนี้ผมยังรู้สึกถึงความเย็นจากเอื้ออยู่เหมือนเดิม “ตอนที่มันใจดีด้วย ตอนที่มันเข้ามาใกล้ กูก็เผลอใจเต้นทุกครั้งทั้งที่รู้ว่ามันไม่ควร”

“อะไรคือไม่ควรวะปูน”

“ไม่รู้สิ… ไม่ควรเพราะเป็นมันมั้ง มันเคยเป็นคนที่ทำให้กูต้องอกหัก มันเลว มันทำเรื่องเหี้ยๆ มาเยอะ จนสุดท้ายมันก็ทำให้กูเดือดร้อน” ผมบีบมือทั้งสองข้าเข้าหากัน อะไรที่อยู่ในใจก็พลั่งพลูออกมาหมด ปกติผมเป็นคนที่ได้แต่เก็บทุกอย่างเอาไว้ แต่ในตอนนี้ผมคิดว่าควรจะให้บางคนได้รับรู้มันบ้าง “กูอยากจะใจร้ายกว่านี้ อยากจะโกรธมัน อยากจะเกลียด ไม่อยากมานั่งสนใจมัน กูไม่อยากรู้สึกผิดหรือสงสารมัน แต่กูก็ทำไม่ได้”

“มึงไม่ใช่คนใจร้ายปูน...ไม่ว่ายังไงมึงก็เกลียดเขาไม่ลงหรอกแม้ว่าเขาจะทำร้ายมึงกี่ครั้ง...อีกอย่าง...ตั้งแต่ตอนนี้ไปมึงคงไม่มีวันเกลียดเขาได้แล้ว”

“...”

“มึงแพ้เขาตั้งแต่ที่เขาทำมึงใจเต้นแรงแล้วปูน...”

ก็คงจะเป็นอย่างที่โจมบอก ผมแพ้เอื้อเสมอ แพ้มันตลอด และแพ้มันทุกอย่างจริงๆ…

..
.
เอื้อถูกพาออกมาจากห้องฉุกเฉินตอนเกือบๆ ตีสี่ สีหน้าของอีกฝ่ายดีขึ้นมาก ตอนนี้มันมีสติแล้วแต่ยังคงเบลอเพราะฤทธิ์ยาและอาการอ่อนเพลีย หมอบอกแค่ว่าช่วงนี้ให้พักผ่อนมากๆ และคืนนี้อย่าลืมทำให้ร่างกายอุ่นเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นอุณหภูมิอาจจะลดต่ำลงจนช็อคก็เป็นได้

“ขอบใจมึงมากนะโจม” ผมเดินออกมาคุยกับโจมหน้าห้องของเอื้อ ตอนนี้มันกำลังนอนอยู่บนเตียงหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย “ถ้าไม่มีมึงคงแย่กว่านี้”

“หมายถึงพี่เอื้อ หรือหมายถึงมึง”

ผมยิ้ม แน่นอนว่าต้องหมายถึงผมอยู่แล้ว

โจมกลับหอไปแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังคงยืนลังเลไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อกับชีวิตดี ผมควรจะหนีกลับห้องไปเลยโดยปล่อยคนป่วยที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเอาไว้ตามลำพัง หรือจะกลับเข้าไปอยู่เฝ้าอาการของมันดี ผมมองประตูห้องของเอื้อ สลับกับประตูลิฟต์ซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความลังเล พรุ่งนี้ตอนสิบโมงผมมีเรียน ตอนนี้ก็ตีสี่ครึ่ง ทางที่ดีผมควรกลับไปนอนได้แล้ว

ผมตัดสินใจล่ะครับ…

ในสิบนาทีต่อมา ผมก็เปิดประตูเข้าไปในห้องของเอื้อ ร่างสูงที่นอนอยู่ยนเตียงยังไม่หลับแม้ว่าสภาพร่างกายจะดูอิดโรยก็ตามที มันส่งยิ้มอ่อนแรงมาให้เมื่อเห็นว่าผมปรากฏอยู่ในห้องอีกครั้ง

“ทำไมยังไม่นอนอีก” ผมถามพร้อมเดินไปที่เตียงแล้วนั่งลงข้างๆ เอื้อ ก่อนจะยกมือขึ้นทาบหน้าผากอีกฝ่ายเพื่อวัดอุณหภูมิ “ตัวยังเย็นอยู่เลย…”

“มือปูนอุ่นดี…” พูดพร้อมแนบหน้าลงกับฝ่ามือของผม “อยู่แบบนี้สักพักนะ อย่าเพิ่งไปเลย อยู่ด้วยกันก่อน…”

“...ไม่ได้…”

“นะปูน...ขอร้อง”

และผมก็ต้องมานั่งถามตัวเองอีกครั้งว่าเพราะอะไรผมถึงใจอ่อนให้ผู้ชายคนนี้อยู่เรื่อยไป…

..
.
ผมสามารถลากสังขารตัวเองมาเรียนได้ในตอนสิบโมงของเช้าวันใหม่ และสามารถกลับห้องด้วยสภาพสมบูรณ์ในตอนบ่ายของวัน แต่คนที่เก่งและแกร่งกว่าผมมากนัดเป็นไอ้กล้า ไอ้บอย และโจม ไอ้กล้ามันเมาหัวราน้ำ โจมก็นอนเช้าไม่ต่างจากผม แต่มันก็ไปเรียนและตอนเย็นยังไปลงแข่งกีฬากันได้อย่างสบายๆ โดยมีกองเชียร์เป็นสองสาวกับอีกหนึ่งชายที่เหลือ

แล้วทำไมผมถึงไม่ไปเชียร์มันน่ะเหรอ...เพราะผมมีคนป่วยให้ต้องดูแลไงล่ะ

เมื่อเช้าเอื้อไข้ขึ้นครับ วันนี้ทั้งวันมันเลยไม่ได้ไปเรียน ผมต้องโทร.ไปหาพี่เดียวแต่เช้า (ไม่กล้าโทร.หาพี่ฟิ้งครับ) เพื่อรายงานอาการของเอื้อให้เพื่อนมันรู้ เผื่อมีสอบหรืออะไรจะได้ลาป่วยได้ พี่เดียวก็บอกมาว่าวันนี้เอื้อมีเรียนแค่เลคเชอร์อย่างเดียวไม่ต้องเป็นห่วงอะไร และยังบอกว่าเดี๋ยวตอนกลางวันจะแวะมาดูมันให้

ผมเปลี่ยนชุดก่อนจะขึ้นไปหาเอื้อที่ห้อง แต่พอเปิดประตูออกไปก็พบว่ามันยืนรออยู่ข้างหน้า “ลงมาทำไม จะขึ้นไปอยู่แล้ว”

“ก็คิดว่าจะไม่ไปหา เลยลงมารอ” ว่าพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ผม “ขอเข้าไปได้มั้ย”

ผมถอนหายใจ ก่อนจะเบี่ยงตัวให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาอย่างง่ายดาย ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเตียงนอนของผมเหมือนกับเป็นเจ้าของห้อง มันตวัดขาทั้งสองข้างขึ้นบนเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอน

“เดี๋ยวๆ ไม่ได้บอกว่าจะให้นอนในนี้นะ”

“ขอนอนด้วยไม่ได้เหรอ”

“ห้องตัวเองก็มี…”

“แต่ไม่มีปูน” สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความขอร้องและอ้อนวอน เอื้อยื่นมือมาตรงหน้าผม ก่อนจะเอ่ยเรียกให้เข้าไปหา ซึ่งผมก็ทำตัวเป็นเด็กว่าง่าย เดินไปนั่งข้างมันช้าๆ

“ไข้ลดลงบ้างหรือเปล่า”

“ดีขึ้นแล้ว” เสียงที่ตอบกลับมาราวกับกำลังกระซิบ นั่นคงเป็นเพราะเราไม่ได้อยู่ห่างกับเท่าไหร่ พูดเบาๆ ก็ได้ยิน

“ทีหลังห้ามทำแบบนั้นอีก ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง”

“ไม่คิดว่าฝนมันจะตกนี่”

“แล้วพอฝนตกแล้วทำไมไม่กลับ โง่หรือเปล่าตากฝนรออยู่แบบนั้น ดีเท่าไหร่แล้วที่แค่เป็นลมแล้วไข้ขึ้นน่ะ” ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่พอใจ ยิ่งไม่พอใจมันผมก็ยิ่งสงสาร ยิ่งสงสารก็ยิ่งรู้สึกผิด “ทีหลังอย่าทำอีกนะ…”

“ไม่ได้หรอก ถ้ากูไม่รอก็คงไม่ได้เจอมึงอีก เรื่องของเราอาจจะต้องจบ เหมือนอย่างที่มึงบอกไว้” แล้วมือของผมก็ถูกกุมไว้ช้าๆ “ซึ่งกูยอมให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ปูน”

“แล้วจะให้มันเป็นยังไง”

“เมื่อวานมึงเป็นคนพูดอยู่ฝ่ายเดียว วันนี้กูขอพูดส่วนของกูบ้างได้หรือเปล่า” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยการของร้อง มันสั่นเครือและแหบพร่าราวกับอีกคนกำลังจะร้องไห้

“...” ผมไม่ตอบ แต่นั่นก็แปลได้ว่าตกลง

“รู้มั้ยว่ากูเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องทนฟังมึงบอกว่าให้เราหยุดทุกอย่าง… มึงให้เราสองคนพอแค่นั้นแล้วกลับมาเป็นแค่คนที่ไม่รู้จักกัน…”

“...”

“รู้มั้ยปูนว่ากูทำไม่ได้ กูจะทำแบบนั้นได้ยังไงใจเมื่อหัวใจของกูมันเอาแต่บอกว่าต้องมีมึง มันต้องการแค่มึงคนเดียว”

ผมพยายามหาความโลเล หรืออะไรที่บ่งบอกว่าสิ่งที่เอื้อพูดเป็นเรื่องโกหก ทว่าให้หายังไงผมก็หาไม่เจอ “ทำไมต้องเป็นกูด้วย”

“เพราะกูชอบมึง”

วะ ว่าไงนะ...

“กูชอบมึงว่ะ...ชอบมึงตอนไหนก็ไม่รู้ รู้ตัวอีกทีกูก็คอยมองหาแต่มึงไปแล้ว…"

"..."

"กูมีความสุขที่ได้อยู่กับมึงนะปูน ไม่เคยมีใครที่ทำให้กูรู้สึกเท่ามึงมาก่อน”

เอื้อหยุดแล้วสูดลมหายใจ ร่างสูงก้าวขึ้นมาใกล้ผมมากขึ้น และผมก็ไม่ได้ขยับหนีอย่างที่ควรทำ

“มึงเป็นคนแรก...ที่กูรู้สึกว่าอยากจะให้เป็นเจ้าหัวใจ”

“...”

“กูอาจจะเหี้ย แต่กูไม่เคยเสียใจที่เมื่อก่อนกูทำอะไรไว้ เพราะความเหี้ยของกู มันเลยทำให้กูรู้จักมึง ได้ใกล้มึง”

“...”

“แต่ถ้าเลือกได้ กูอยากให้เรารู้จักกันใหม่ คราวนี้กูจะไม่ทำพลาดเหมือนครั้งแรกอีกแล้ว”

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกเอื้อ เราย้อนเวลาไม่ได้” เวลาคือหนึ่งสิ่งที่ไม่อาจจะย้อนคืน แม้ว่าเราอยากจะให้เวลาเดินหมุนกลับไปแค่ไหนก็ไม่มีทางทำได้ เช่นเดียวกับความรู้สึกของผมที่ก็ไม่อาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมกับเอื้อได้อีกแล้ว

ผมมันก็คนที่เก่งแต่ปาก บอกให้กลับไปเป็นคนไม่รู้จักกัน ทั้งที่ใจผมก็ไม่ได้ต้องการแบบนั้นเลย

“กูรู้...”

หัวใจของผมเต้นแรงกว่าเดิมเมื่อได้รับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายเอื้อนเอ่ยออกมา แววตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจที่ถูกส่งมาให้ทำให้ตัวผมไม่สามารถหลบสายตาไปไหนได้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เอื้อขยับเข้ามาใกล้ผมขนาดนี้ และแทนที่ผมจะขัดขืน ผมกลับนั่งเฉย

“กูขอโทษ...ที่ทำให้มึงต้องเสียใจ”

“...”

“กูเคยบอกหรือเปล่าว่ากูไม่ชอบเลยเวลามึงเศร้า...กูชอบรอยยิ้มของมึงนะ”

“...” ผมก็ไม่ชอบเลยเวลาที่ตัวเองเศร้า ไม่มีใครชอบทั้งนั้น...แต่ใครกันที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้

“สักวันกูจะทำให้มึงมีความสุขนะปูน”

“...”

“ให้โอกาสกูได้หรือเปล่า”

“กู…”

“ยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ ถ้ามึงยังไม่แน่ใจ กูรอมึงได้เสมอ แค่มึงเว้นที่ตรงนี้...ข้างๆ มึงเอาไว้ แล้วอย่างเพิ่งให้ใครเข้ามา” มืออันอบอุ่นยกขึ้นลูบใบหน้าของอย่างแผ่วเบา “แล้วกูจะทำให้มึงเป็นว่ากูคู่ควรจะได้ยืนข้างมึงหรือเปล่า”

“...”

“พอถึงตอนนั้น ค่อยมาบอกว่ากูมีโอกาสทำให้มึงมีความสุขมั้ย”

“...”

“แต่ขอร้องเถอะ อย่าให้กูเลิกยุ่งกับมึงเลย”

เอื้อขี้โกง...มันเป็นคนที่เจ้าเล่ห์และขี้โกงที่สุด มันก็รู้ว่าผมเป็นคนใจอ่อนขนาดไหน มันก็ยังมาขอร้องผม นี่ไม่ต่างจากการบังคับผมเลยสักนิด

“เมื่อวานที่กูพูดไปตั้งมากมาย มึงไม่เข้าใจเลยเหรอ” ผมปัดมืออีกฝ่ายทิ้ง

“เข้าใจ...เข้าใจว่ามึงกลัว เข้าใจว่ามึงไม่แน่ใจในตัวกู และก็เข้าใจว่าตอนนี้...มึงก็คงจะเริ่มชอบกูบ้างแล้ว”

“หลงตัวเอง”

“...แต่ต่อไปคงหลงแต่มึง”

“เหอะ คนอย่างมึงก็ดีแต่พูด ป้อนคำหวานๆ ให้คนอื่นมีความหวังลมๆ แล้งๆ”

“จากนี้มึงจะได้รู้ว่าคนอย่างกูดีแต่พูดจริงๆ หรือเปล่า” เอื้อเอื้อมมือมากุมมือผมไว้หลวมๆ อีกครั้งหนึ่ง “เรามาเริ่มกันใหม่ นับหนึ่งกันใหม่ แต่ความรู้สึกที่กูให้มึงไปยังจะเท่าเดิม”

“...”

“มึงจะเริ่มนับหนึ่งกับกูได้หรือเปล่า”

“...”

“ปูนครับ…”

“กูไม่ได้ใจดีอย่างที่มึงคิดนะเอื้อ” ผมดึงมือออกมา เอื้อมีสีหน้าแย่ลงในทันตา ซึ่งผมไม่อยากเห็นมัน “แต่...กูก็ไม่ใจร้ายขนาดนั้น”

ผมไม่ได้อธิบายอะไรต่อ และนั่นก็ทำให้เอื้อเข้าใจแล้วว่าผมหมายความว่าอย่างไร

“...ขอบใจปูน ขอบใจ...ขอบใจ”

เอื้อส่งยิ้มให้ผมพอดีกับที่ผมหันกลับมา เป็นยิ้มที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายดีใจขนาดไหนที่ได้รับโอกาส ไม่สิ...ที่ได้รับ เอื้อยังไม่ได้รับโอกาศนั้น แค่ผมตกลงว่าเราจะมาเริ่มกันใหม่ แบบที่ตรงข้างๆ ผมจะไม่ให้ใครเข้ามาได้ก็แค่นั้น

ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเอื้อแล้วว่าจะพิสูจน์ให้ผมเห็นได้หรือเปล่าว่ามันสมควรได้รับโอกาสจากผม

อย่าหาว่าผมใจง่ายเลย...ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาผมไม่ได้รู้สึกอะไรเสียหน่อย ผมก็หวั่นไหวกับเอื้อเหมือนกันนั่นแหละ จะให้ผมตัดใจหันหลังเลย ผมก็ไม่อยากทำร้ายตัวเองขนาดไหน ทว่าใครจะรู้ล่ะ ครั้งนี้ผมอาจจะตัดสินใจพลาดก็ได้ใช่มั้ย

แต่ถึงมันจะพลาดพลั้งมากมายขนาดไหน นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมได้เลือกแล้ว

เลือกที่จะเชื่อผู้ชายคนนี้ คนที่เคยเลวร้ายกับใครต่อใครมามากมาย ผมเลือกที่จะเชื่อว่าเขาจะไม่เลวร้ายกับผม เมื่อเขาทำไม่ได้อย่างที่พูด ผมคงเจ็บอีกครั้ง

มันก็แค่เจ็บล่ะนะ

ก็ชอบพูดกันนักนี่...อกหักดีกว่ารักไม่เป็น

ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าสุดท้ายผมจะอกหักก่อนที่จะได้รักเป็นหรือเปล่า

♣♣♣♣♣
[/size]

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป

การแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยกำลังดำเนินเข้าสู่โค้งสุดท้ายเรียบร้อย ตอนนี้ผมอยู่ทามกลางบรรยากาศอันคึกคักของเหล่ากองเชียร์คณะเกษตรศาสตร์ที่ขนคนมาเกือบทั้งคณะ เพื่อมาให้กำลังใจนักบาสเก็ตบอลที่กำลังลงแข่งอยู่ในสนาม ในศึกชิงชนะเลิศกับคณะบริหารฯ

เกมดำเนินมาถึงควอเตอร์ที่สี่นักกีฬาทุกคนจดจ่อกับการแข่งขัน ขณะนี้คณะของผมทำคะแนนนำอีกฝ่ายอยู่สี่แต้ม แค่รักษาระยะห่างไว้ได้อย่างนี้จนจบเกมพวกเราก็จะเป็นฝ่ายได้รับชัย

ฟึบ!

แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ

“ไอ้เชี่ยเอ้ย! เบอร์สามมันทำแต้มอีกแล้ว!!!” ฟ้าที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมร้องลั่น

“โอ๊ยยยย หัวใจกูจะวาย ผัวโจมขาสู้ๆ นะคะ!!!” เอ่อะหนูนา มึงนี่ไม่คิดจะอายใครจริงเหรอวะ คนที่นี่ไม่ใช่น้อยๆ นะมึง

“ไอ้กล้าอย่าน้อยหน้าเขานะเว้ย!!!!” บอย...กล้าไม่ได้ลงว่ะ มันเพิ่งถูกเปลี่ยนมานั่งพักเมื่อกี้เอง

บอกแล้วว่าเราขนคนมาทั้งคณะ รอบตัวผมเลยมีแต่เพื่อนๆ คนสนิท ผมเองก็ลุ้นจนตัวเกร็งไปหมดแล้ว ถ้าเราได้ชนะการแข่งขันนี้ เราจะได้เป็นเจ้าเหรียญทอง แต่ถ้าเราแพ้ ตำแหน่งจะตกเป็นของวิศวะทันที

อย่าแพ้นะทุกคน!!!

“อย่าแพ้เขานะ นะ นะ เพราะฉันเชียร์อยู่ เชียร์อยู่ เชียร์อยู่!”

ว้าววววว ความเด็ดดวงนั่นมันคืออะไรกัน ทำไมสาวๆ บริหารฯ ที่สนามฝั่งตรงข้ามถึงได้น่ารักแบบนี้! เสียงก็เพราะ ท่าเต้นก็ฟุ้งฟิ้ง!

“ไอ้บอย! ไอ้ฟ้า! ไอ้ปูน! พวกมึงอย่ามัวแต่มองชะนีฝั่งนั้น หันกลับมาเชียร์เพื่อนเราก่อนเว้ย!!!”

“หนูนา มึงจะด่าผัวมึงก็ไม่ต้องลากกูกับไอ้ปูนเข้าไปเกี่ยวสิวะ!”

ฮาๆๆๆ กูเห็นด้วยเลยไอ้ฟ้า

“ผัวกูแข่งอยู่โน่น”

“ใช่สิ กูมันก็แค่ชู้มึงนี่!” เดี๋ยวนะบอย เมื่อกี้มึงว่าไงนะ แล้วไอ้ท่าทางกอดอกสะบัดหน้าเชิดลดๆ นั่นมันคืออะไร แม่งงงง อย่างฮาครับ

“โอ๊ยอีห่าเป็นชู้ก็เงียบๆ ไป เดี๋ยวผัวกูในสนามเข้าใจผิดหมด อ๊ายผัวขา ชู๊ตเลยค่ะอย่าช้า!!”

ฟึบ!

เยสสสส คะแนนห่างเท่าเดิมแล้วครับ โจมนี่มันเก่งจริงๆ ขนาดเป็นตัวสำรองนะ

“กรี๊ดดดดดดดด”
“น้องโจมมมมม”
“เท่สุดๆ เลยค่าาาาาา”

ไม่ต้องเดาเลยว่าหลังจากแมทช์นี้ความนิยมของมันจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน

“แหมชะนีพวกนี้ เห็นผู้ชายหล่อหน่อยไม่ได้เลยนะ”

“มึงด้วยแหละ!!!” ทั้งบอยทั้งฟ้าต่างพูดขึ้นมาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

เกมดำเนินต่อไปเรื่อยๆ บริหารฯ ก็ทุ่มกำลังเพื่อจะทำแต้มกันอย่างเต็มที่ ทางฝั่งพวกผมก็ไม่น้อยหน้า นอกจากการป้องกันที่ดีเยี่ยมแล้วยังทำแต้มทิ้งระยะห่างอย่างเรื่อยๆ และในที่สุดเสียงนกหวีดก็ดังขึ้น

ปรี๊ดดดดดด!

จบเกม!!! คณะผมได้เป็นเจ้าเหรียญทอง!!!

“กรี๊ดดดดดดดดดดด”
“วู้วววววววววววว”
“เกษตร! เกษตร! เกษตร!”
“โว้วววววววววว”

เสียงโห่ร้องดีใจดังไปทั่ว ก่อนที่พวกเราบางส่วนจะกรูกันลงไปในสนามเพื่อแสดงความยินดีกับนักกีฬา ผมสี่คนก็เป็นหนึ่งในนั้น ก็แหม เพื่อนสนิทลงเล่นตั้งสองคนนะ

“อ๊ากกกกกกก ไอ้กล้าโคตรเจ๋งงงง”

หมับ!!!

ผม บอย หนูนามองไอ้ฟ้าที่วิ่งเข้าไปกระโดดกอดไอ้กล้าอย่างอึ้งๆ หน้าไอ้กล้าก็เหวอพอกันครับ มันดูเบลอๆ แต่ก็กอดตอบกลับ

“เออออ ฮาๆ เป็นไงพี่กล้าเก่งใช่มั้ยจ๊ะ” แหนะ ได้ที่ก็เต๊าะเลยนะมึง

“มากๆๆๆๆ มึงเก่งที่สุดอ่ะ” สงสัยฟ้ามันลืมตัวครับ ปกติมันเป็นอย่างนี้เสียเมื่อไหร่

“กูเอามั่งดีกว่า”

หือ มึงว่าไงนะหนูนา

“อ๊ายยยยยยย โจมโคตรเท่เลยยยยย”

แปะ!!

“เอ๊ะ ทำไมกูไม่ได้กอดเหมือนไอ้ฟ้าอ่ะ!”

หนูนาร้องโวยวายเมื่อมันถูกดันหน้าผากไว้ไม่ให้เข้าไปกอดไอ้โจมได้ ผมกับไอ้บอยนี่แทบลงไปขำกับพื้น หน้าไอโจมโคตรฮาอ่ะ หน้ามันแบบ ‘มึงอย่าเข้ามานะ กูกลัว’

“หนูนา ผัวไม่รักก็ไปหาชู้มึงโน่น!” เสียงไอ้กล้าของเราเองครับ หลังจากกอดไอ้ฟ้าเสร็จมันก็หันมาแซวหนูนาที่ยังไม่เลิกพยายามจะเข้าให้ถึงตัวโจม

“ไม่เอาๆ จะกอดผัววววว”

“อย่า ตัวมีแต่เหงื่อ”

“งั้นเรากลับไปอาบน้ำแล้วกอดกันบนเตียงเถอะ”  สาบานสิว่ามึงเป็นผู้หญิง พูดมาแต่ละอย่างนี่กูอายแทน

“โอ๊ยยย ใครก็ได้เรียกคนมาดึงนอมันออกทีเถอะ กูอนาจใจ”

“มึงหึงเหรอบอย” โจมตอบกลับมาด้วยประโยคเด็ดพร้อมรอยยิ้มขำๆ ที่มุมปาก

“เออ!”

อุ๊ยยยย หมายความว่ายังไงนะ พี่ปูนสงสัยจังเลย

“ไอ้โจมไอ้กล้า มาถ่ายรูปรวมเร็วๆ! พวกมึงก็ด้วยนะเว้ย มาๆๆ มาให้หมดทุกคนเลย!”

พี่บุ๊คผู้ห่างหายจากสายตาผมไปนานเรียกพวกเราไปถ่ายภาพรวม หน้าพี่มันเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ ยินดีด้วยครับพี่ ที่พยายามมาตลอดไม่สูญเปล่า

ผมถูกเรียกให้เดินไปถ่ายรูปกับสายรหัสต่อจากนั้น อ้อ ยังไม่แนะนำพี่ปีสี่ให้รู้จักเลยสินะ งั้นก็ขอแนะนำสาวสวยหนึ่งเดียวในสายเราครับ พี่จิ๊บ พี่รหัสสุดสวยของผม

เอ้า ปรบมือออออ

เฮ้!!!

“คิดถึงพี่จิ๊บที่สุดอ่ะ” ผมรีบเข้าไปอ้อนเลยครับ พี่บุ๊คกับพี่สามอ้อนไม่ค่อยได้เรื่องหรอก ได้แต่ตีนพวกพี่มันมากกว่า

“พี่ก็คิดถึงปูน บุ๊คกับสามมันดูแลปูนดีมั้ย”

ผมเหลือบตามองพี่บุ๊คกับพี่สาม พี่มันสองคนส่งสายตามาให้ประมาณ ‘ตอบดีๆ นะมึง’

“ดีครับ แต่พี่จิ๊บเลี้ยงดีกว่าเยอะ”

“เดี๋ยวเหอะมึง! วันนั้นกูก็เพิ่งเลี้ยงไป เดะๆ” วันนั้นของพี่บุ๊คมันผ่านมาเกือบๆ เดือนแล้วเหอะ พี่สามนี่ก็ไม่เลี้ยงผมเลยตั้งแต่ต้นเทมอ

“บุ๊คเดี๋ยวเถอะมึง จะทำอะไรน้องกูหะ” อ้อ ลืมบอกไปว่าพี่จิ๊บเป็นผู้หญิงห้าวไม่ต่างจากหนูนา ผิดกันตรงที่พี่จิ๊บคอแข็งกว่าเพื่อนผมเยอะ “งั้นวันพรุ่งนี้ไปเลี้ยงกันเลยมั้ย ร้านเติมนะ วันนี้พวกมึงคงไปฉลองแชมป์กันใช่ป่ะ”

“ใช่เลยย พรุ่งนี้เจอกันนะครับพี่” ทีอย่างนี้ล่ะไวเลยนะพี่สาม

“ห้ามหายนะ พี่จะบอกกอล์ฟด้วยไปเลี้ยงพร้อมกันเลย” พี่กอล์ฟเป็นแฟนพี่จิ๊บ แล้วสายพวกเราก็โคกันด้วย ถ้าพี่จิ๊บเลี้ยงทีไรพี่กอล์ฟก็จะไปด้วยกันตลอด “เอาล่ะเด็กๆ พี่ไปทำโปรเจคต่อล่ะ แยกย้ายๆ”

“คร๊าบบบบบบ”

=====================================================
======================================
คิดถึงจังเลยยยย เหมือนหายไปนานมาก
ต่อไปนี้พี่เอื้อจะเป็นคนดีแล้วนะคะ
น้องปูนของเราน่าเอ็นดูจริงๆ เลย ใจดีอะไรเบอร์นี้นะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
รักทุกคนนะ :)


ออฟไลน์ nolirin

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +274/-5
พิสูจน์ตัวเองซะ พี่เอืื้อ :L2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :เฮ้อ: :L2: :L1: :pig4:

คิดถึงปูน
อิเอื้อ ดีสักทีเถอะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ได้เวลาพิสูจน์ตัว

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
โอกาสมาแล้วก็ทำเต็มที่
ทุ่มสุดตัวสุดใจนะเอื้อ
เพราะน้องปูนน่ารัก

ออฟไลน์ มะเขือม่วง

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 435
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Peung002

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 870
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
เพิ่งมีโอกาสได้เข้ามาอ่านค่ะ
บอกเลย อิพี่เอื้อคะ ความร้ายกาจของพี่ เราเขียนใส่เอสี่ห้าแผ่นยังไม่พอ
จากนี้ไปช้วยชัดเจนและเร่งทำคะแนนจีบน้องปูนด่วนๆค่ะ  :hao3:

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
โอกาสมาแล้วก็ทำให้มันดี ๆ ล่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ถึงจะหมั่นไส้เอื้อไปบ้าง แต่ก็ยังแอบเอาใจช่วย แบบรุ้ว่าเลวก็ยังรักอะไรแบบนี้
ดีใจนะที่ปูนให้โอกาส แม้บางทีจะอยากยกปูนให้พี่ว่านไปบ้างก็เถอะ

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
เอื่อนี่สมเป็นพ่อปลาไหล จัดการอะไรไม่เด็ดขาด ไม่ชัดเจนเอาซะเล๊ยยยยยยยย
เด๋วก้อมีเรื่องของ 'ฟิ้ง' อีก ไม่รู้เอื้อจะจัดการอะไรได้ไหม #พระเอกกาก =_=

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
บทที่ 22
เมื่อน้องปูนอยากขอโทษ


4 โมง 49 นาที

ไอ้พี่บุ๊คนะไอ้พี่บุ๊ค ไอ้พี่บ้าอำนาจ ไอ้พี่เผด็จการ ไอ้คนใจร้าย!!

สงสัยมั้ยว่าทำไมผมต้องมานั่งด่ามันอย่างนี้

ก็จะไม่ให้ผมด่ามันในใจได้ยังไงครับ! มันใช้อำนาจสั่งให้ผมอยู่เฝ้ากระติ๊กน้ำแข็งให้ แล้วมันก็หายไปเลย! เหอะ ยังมีหน้าโทร.มาถามผมด้วยว่าผมยังรออยู่มั้ย พอผมบอกไปว่ารอ พี่มันก็บอกว่าลืมไปว่าต้องกลับมา แล้วให้ผมเดินกลับคณะพร้อมกระติกน้ำไปเลย

สลัดผัก!!

พรุ่งนี้ผมจะเอาไปฟ้องพี่จิ๊บให้เข็ดเลย!

ล้อเล่นครับ ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก ขืนฟ้องไปพี่บุ๊คมันตามมาเล่นผมทีหลังแน่ ไว้ใจพี่มันไม่ได้หรอกครับ

แม่งงง แล้วคณะกับสนามแข่งนี่มันใกล้กันมากเลยอ่ะ ผมต้องเดินฝ่าแดดร้อนๆ เป็นระยะทางเกือบๆ หนึ่งกิโลเมตร! อย่างนี้ไม่ให้ผมเคืองพี่มันได้ไงครับ

ผมยกกระติกขึ้นทั้งสองมึง (มึงนะมึงไอพี่บุ๊ค!) กระติกก็อย่างหนัก แล้วกูต้องถือคนเดียว เมื่อกี้ผมเพิ่งไล่โจมมันกลับไปด่อนด้วยครับ เพราะคิดว่าพี่บุ๊คมันจะมาแต่มันก็หักหลังผม

ขอด่าอีกทีเถอะ ไอ้พี่บุ๊ค ไอ้คนชั่วร้าย ไอ้…

“ปูน”

ผมหันไปตามเสียงเรียก ไม่ใช่ใครอื่นครับ เอื้อยืนอยู่ข้างหน้าในสภาพเหงื่อโทรมกาย พร้อมกับชุดกีฬาที่อีกฝ่ายเพิ่งแข่งมา ไม่ใช่ฟุตบอลหรอก อันนั้นมันตกรอบไปนานล่ะครับ (โธ่ น่าสงสาร) แต่ที่มันแข่งวันนี้เป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่เล่นเดียวก็ได้ คู่ก็ได้ มีคำว่าเทนนิสอยู่ในชื่อ

อ่าฮะ ปิงปองครับ

ก็เทเบิ้ลเทนนิสไง

(ฮิ้วววววว มึงไปเล่นที่อื่นไป)

ผมก็เพิ่งรู้ว่านอกจากฟุตบอลที่รู้ว่ามันชอบแล้วมันยังลงปิงปองอีกหนึ่งอย่าง แต่ผมไม่ได้ไปดูหรอกครับ มันบอกว่าไม่อยากให้เห็นตอนมันแพ้เหมือนฟุตบอลที่แข่งกับวิศวะ แต่สุดท้ายเอื้อก็มาถึงรอบชิงชนะเลิศจนได้ ส่วนผลเป็นยังไงผมก็ไม่รู้ครับ มันแข่งตรงกับเพื่อนๆ ผมแช่งบาสฯ พอดี ผมก็ต้องเลือกเชียร์เพื่อนๆ ดิ

“แข่งเสร็จนานแล้วเหรอ”

“สักพักแล้ว เอามาเดี๋ยวช่วยถือ” นักกีฬาที่เนื้อตัวยังเต็มไปด้วยเหงื่อเข้ามาแย่งกระติกน้ำในมือผมไป อย่าคิดว่าผมจะแล้งน้ำใจปล่อยให้คนที่กำลังเหนื่อยถือนะครับ ผมก็ยังเป็นคนดีอยู่นะเออ

“ไม่ต้องถือเอง” แต่พอผมยื้อกลับมา เอื้อก็ไม่ยอมปล่อยเลย “โอเค งั้นถือคนละครึ่ง”

กลายเป็นว่าเราสองคนถือกระติกเดียวกันไปแล้ว

แม้จะผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่เราสองคนก็ยังไม่ก้าวไปไหน เราเจอกันน้อยลงไปมาก เอื้อยุ่งกับงานกีฬาของมัน ผมก็ยุ่งกับงานคณะผมและยังจะต้องสรุปผลงานแฟร์ที่เพิ่งจัดไป เรียกว่าเป็นช่วงที่เราหัวหมุนพอสมควร การไม่ได้เจอหันหนึ่งอาทิตย์ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกโหยหาอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ผมอยู่ได้ ใช้ชีวิตปกติ แต่สิ่งที่ผมว่ามันแปลกไปคือ ความรู้สึกโหวงๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

หรือที่โจมบอกว่า ‘ผมดูเหงาๆ’

ลองคิดถึงว่าถ้าเรามีสัตว์เลี้ยงสักตัวแล้วบังเอิญว่ามันออกไปเล่นนอกบ้านนานหน่อย เราก็คงต้องเหงาเป็นธรรมดา

ส่วนเอื้อ...บอกไม่ได้เต็มปากว่าอีกฝ่ายเหมือนเดิม แต่ก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันเปลี่ยนไป เอื้อก็ยังคงเป็นเอื้อ เป็นคนที่โด่งดัง เป็นคนที่ถูกพูดถึง เป็นเดือนมหาวิทยาลัยที่ต้องดูดีในสายตาใครๆ เป็นที่หลงไหลของสาวๆ หลายคน

‘ช่วงนี้พี่เอื้อไม่ค่อยยิ้มเลยนะ’ ฟ้าตั้งคำถามกับผม ตอนแรกผมก็ไม่สังเกตหรอก อยู่กับผมมันก็ปกติ ยิ้มละมุนส่งให้เป็นประจำ และยังคงกวนตีนบ้างบางครั้ง

‘มึงว่างั้นเหรอวะ’

‘เออดิ ตั้งแต่วันนั้น…’ วันที่เรามีเรื่องกับพี่น้ำ ‘พี่เอื้อก็ไม่ค่อยยิ้มเลย ยกเว้นตอนอยู่กับมึงอ่ะ’

นั่นทำให้ผมรู้ว่าเอื้อเปลี่ยนไป รอยยิ้มที่มักจะใช้บ่อยๆ ถูกสงวนเอาไว้เพื่อให้ผมเพียงคนเดียว ถ้าถามว่าผมดีใจหรือเปล่า...บอกเลยครับว่าเฉยๆ

โอเค ยอมรับก็ได้ว่าดีใจลึกๆ แต่ผมตกลงกบตัวเองเอาไว้ว่าผมไม่ควรจะหวั่นไหวกับการกระทำของอีกฝ่ายง่ายๆ เพราะถ้าเสียใจขึ้นมามันไม่คุ้มกับความใจง่ายของผมเลย

นี่เพิ่งผ่านไปแค่หนึ่งอาทิตย์ ยังบอกอะไรไม่ได้หรอกครับ

“สรุปว่าผลการแข่งเป็นยังไงบ้างอ่ะ ไม่เห็นบอกเลย” ผมถามระหว่างที่เดินมาเรื่อยๆ เอื้อมันเงียบมาตลอดเลยครับ ผมเดาเอาไว้ว่ามันคงชนะ แต่ท่าทางจ๋อยๆ แบบนี้อาจจะไม่ก็ได้

“เพิ่งนึกได้เหรอว่าต้องถาม”

“อ้าว ก็คิดว่าอยากจะบอกเอง” เห็นป่ะว่ามันกวนตีนเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด แต่ก็ดี ผมชอบอะไรที่เป็นธรรมชาติ

“พี่ก็รอให้ปูนถามอยู่” แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างคือตั้งแต่วันนั้นเอื้อไม่เคยพูดคำหยาบกับผมเลยครับ

“ที่จริงกลับไปพูดแบบเดิมก็ได้นะ”

“อะไร แบบพูด มึง-กู เหรอ” มันเลิกคิ้ว ก่อนส่ายหน้า “ไม่อ่ะ พี่กำลังจีบปูนอยู่นะ ต้องสร้างความประทับใจกันหน่อย แต่ถ้าปูนไม่ชินจะพูดแบบเดิมพี่ก็โอเคนะ”

ใครจะไปทำได้ลงล่ะ ถ้าเอื้อไม่พูดได้ ผมก็ทำได้เหมือนกัน แต่ให้เรียก ‘พี่เอื้อ’ เลยก็ไม่ไหวครับ กระดากปากจริงๆ

“แล้วสรุปผลเป็นไง” ผมว่าเรานอกเรียกกันไปพอควรเลยนะ อยู่กับมันแล้วผมก็แบบนี้ทุกที ชอบออกทะเลไปเรื่อยเฉื่อย

“ลองเดา” ไม่เคยหรอกจะบอกเลย

“ดูจากสภาพแล้ว…” ผมแกล้งทำเป็นมองมันขึ้นๆ ลงๆ อยากกวนตีนมันบ้างครับ “แพ้แบบผ้าไม่ได้รีด”

“อะไร”

“แพ้ยับ”

เอาล่ะ ถือว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน ไม่ต้องทำหน้าเอือมกันขนาดนั้นก็ได้ โดยเฉพาะมึงไอ้เอื้อ! ไม่ขำก็ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นได้ป่ะวะ กูเสียเซลฟ์นะเว้ย

“พี่จะถือว่าไม่ได้ยิน” อยากจะกราบขอบพระคุณงามๆ “อะไรทำให้คิดว่าพี่แพ้”

“ก็...หน้าตาดูไม่สดชื่น ไม่ค่อยดีใจ แล้วก็ไม่ค่อยพูดด้วย” ผมตอบไปถามที่เห็นให้อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปาก เหอะ คิดว่าทำแบบนี้แล้วเหรอมากเหรอ ไม่ได้ขี้เล็บพี่ปูนเลยสักนิด “ก็ตอบมาสักทีดิ”

“ที่หน้าตาดูไม่สดชื่น ไม่ค่อยดีใจ แล้วก็ไม่ค่อยพูดเพราะพี่กำลังเสียใจอยู่...”

อ่า...แพ้จริงๆ สินะ

ผมกำลังเตรียมสรรหาคำพูดมาปลอบใจอีกฝ่าย เอายังไงดีล่ะ เป็นประโยคเบสิคแบบ ‘ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวปีหน้าเอาใหม่’ หรือ ‘ช่างมันเถอะน่า ไม่ต้องคิดมากหรอก’ หรือจะเป็น...

“ไม่ได้เสียใจที่แพ้ แต่เสียใจที่ปูนไม่ได้เห็นตอนพี่ชนะ” รอยยิ้มดีใจถูกส่งมาให้จากอีกคน เป็นยิ้มที่ทำให้ผมอยากจะเผลอยิ้มตาม “พี่ชนะนะครับปูน”

ไม่น่าเชื่อ...ที่มีคนเคยบอกว่าเอื้อเก่งทุกอย่างไม่คิดว่าจะเป็นจริง

“จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ หรือว่าช็อกตายไปแล้ว”

ที่ชมไปเมื่อกี้กูขอเอาคืน!

“ดีใจด้วย”

“ถ้าไม่เต็มใจก็ไม่ต้องพูดหรอก” แหมะ ทำเสียงและท่าทีน้อยใจเราอีก ก็ใครล่ะที่มันพูกจากวนประสาทเมื่อกี้อ่ะ

“ขอโทษๆ ก็เมื่อกี้กวนตีนใส่ทำไมล่ะ”

อ้าว งอนกูไปแล้วครับ พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย แถมยังมองไปทางอื่นอีก แล้วคิดว่าคนอย่างผมจะง้อ? ไม่มีทางหรอกครับ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย เรื่องอะไรจะต้องไปง้อมันล่ะ

“เอื้อ”

“...” เงียบ

“เอื้อ” ลองเรียกให้ดังกว่าเก่า แต่ก็ยังเงียบ “เออ ไม่อยากหันมาก็ไม่ต้องหัน”

“...”

“แค่อยากจะให้ฟังว่า...ยินดีด้วยนะครับพี่เอื้อ”

“เหอะ อย่างนี้ค่อยหน้ารักหน่อย” ไม่ต้องมายิ้มแล้วลูบหัวเลยเว้ย บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ใช่หมา

แล้วทำไมสุดท้ายผมต้องไปง้อมันด้วยวะ!

♣♣♣♣♣

วันถัดมา

ร้านพี่เติม

3 ทุ่ม 30 นาที

ผมมาสายเข้าเต็มๆ เลยครับ พี่ๆ นัดกันสามทุ่มแต่ผมดันมาเลทไปครึ่งชั่วโมง นั่นไม่ใช่เพราะอะไรอื่น...รถผมมันเกเร คาดว่าครั้งนี้มันคงไม่รอดแล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยไปดูมันอีกที แต่ก็เป็นบุญของผมที่ได้นั่งรถคันใหญ่แอร์เย็นฉ่ำ

ครับ ถูกต้องแล้ว เอื้อเป็นคนมาส่งผมครับ

“ถ้าเลิกแล้วก็โทร.มาหาพี่นะ อย่าดื่มจนเมาไม่ได้สติ ระวังตัว แยู่ให้ไอ้สามกับพี่บุ๊คเอาไว้ แล้วก็…”

“พอแล้ว ผมไม่ใช่เด็กสามขวบนะครับคุณ”

“ถ้าสามขวบจริงๆ จะอุ้มกลับห้องเลย” มันยักคิ้วมาให้ กวนตีนแล้วครับ หลานเขามีตามียายนะจะมาอุ้มกลับห้องเลยได้ไง ต้องไปขอก่อนดิ

เอ่อะๆ ไม่ใช่ประเด็นแล้ว

“กลับไปเลย แล้วไม่ต้องรอก็ได้ เดี๋ยวให้พี่สามไปส่ง”

“บอกว่าให้โทร.ก็โทร.ดิครับ ทำไมชอบดื้อจังวะ เดี๋ยวจับจูบเลย”

“ทะลึ่ง” ผมถลึงตาใส่มัน ก่อนจะบอกลาอีกครั้งแล้วหันหลังเดินออกมาเลย คุยกับมันนานเดี๋ยวได้พาผมกลับห้องจนได้ มันไม่ค่อยอยากให้ผมมาเท่าไหร่ แต่เพราะเห็นว่าพี่ๆ สายรหัสเป็นคนเลี้ยงจะไม่ไปก็น่าเกลียด

ผมเดินเข้าข้างใน ร้านพี่เติมยังคงครึกครื้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โต๊ะที่พี่ๆ นั่งอยู่ด้านในสุดเลยครับ ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงชอบจังนั่งมุมๆ ห้องเนี่ย ผมเข้าไปสวัสดีพี่ๆ ทีละคน ก่อนจะเดินไปนั่งข้างพี่สาม ในที่นี้ผมมาสายสุดอ่ะ พี่บุ๊คมันมองมาตาเขียวเลยครับ อย่าโหดใส่น้องดิ น้องก็ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ

“ไร้มารยาทจริงๆ ให้คนอื่นเขารอ” ผมชะงักมือแล้วเงยหน้าขึ้นมอคนพูด

เชี่ยยยย กูลืมไปได้ไงว่าพี่น้ำเป็นน้องรหัสพี่กอล์ฟ!!

“ทำไมไปว่าน้องอย่างนั้นล่ะ” พี่กอล์ฟแฟนพี่จิ๊บต่อว่าพี่น้ำ แต่เธอหาได้สนใจไม่ กลับหันมองไปทางอื่น

ผมพลาด! พลาดมากๆ พลาดโคตรๆ เลยที่ไม่ได้เอะใจเรื่องพี่น้ำแม้แต่นิดเดียว ถ้าผมเปลี่ยนใจกลับหอตอนนี้ทันมั้ยครับ ผมไม่อยากนั่งให้พี่น้ำจิกกันทางสายตา วาจา และท่าทางแบบนี้! แค่เรื่องวันนั้นเราก็ไม่อยากจะมองหน้ากันแล้ว แต่ดูเหมือนพี่ๆ แต่ละคนยังไม่รู้เรื่องผมกับพี่น้ำนะ หรือว่ารู้แล้วแต่ทำเป็นเงียบไม่สนใจวะ

“ขอโทษครับ รถเสีย”

“อ้าว แล้วมึงมาไงอ่ะ” พี่สามถามขึ้นขณะที่ผมกำลังนั่งลงข้างๆ

“นั่งเพื่อนมาส่งครับ”

“ไม่โทร.หากูวะจะได้ไปรับมา กูก็เพิ่งมาเมื่อกี้นี้เหมือนกัน”

“ใครมันจะไปรู้อ่ะ ผมไม่ได้มีญาณหยั่งรู้ไปทุกเรื่องนะ”

“กวนตีนไอ้ปูน” อูยยย เสียงเข้มมาเชียว

ผมส่งยิ้มแห้งๆ ให้ พี่สามมันถลึงตาใส่ผมใหญ่ แต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะพีจิ๊บคุมเชิงอยู่ สักพักก็มีคนส่งแก้วมาให้ หือ? ทำไมแก้วผมเป็นน้ำส้มอ่ะ

“พี่บุ๊คส่งให้ผิดแก้วป่ะ”

“ไม่ผิด มึงแดกๆ ไปไม่ต้องถามมาก แล้วมานั่งชงให้พวกกูด้วยโทษฐานมาช้า”

ผมรับแก้วมาอย่างงงๆ อะไรทำไมผมถึงได้น้ำส้มคนเดียวอ่ะ ทีพี่น้ำ พี่จี๊บ และไอ้มาร์ค (ปีหนึ่งสายพี่กอล์ฟ) ยังได้ดื่มแอลกอฮอล์เลย แต่ไม่เป็นอะไรครับ ไอ้พี่บุ๊คมันให้ผมเป็นคนชง ถ้าอย่างนั้นผมก็มีโอกาสที่จะแอบเติมเหล้าได้

“แต่กูคิดอีกทีไอ้สามมึงชงไปดีกว่าว่ะ เดี่ยวเชี่ยปูนมันแอบแดกเหล้า”

น้องเหล้าจ๋า อย่าเพิ่งจากพี่ไปปปป แล้วแม่งจะไม่อะไรเลยถ้าไม่ใช่แบล็ค นั่นแบล็คนะเว้ยย แบล็คที่ต่อให้อยากเหล้าแค่ไหนผมก็ไม่มีทางสั่งแน่นอน

“พี่บุ๊ค! ทำไมทำกับน้องแบบนี้อ่ะ ผมทำอะไรผิด”

พี่บุ๊คไม่ใช่คนตอบครับ เป็นไอ้พี่สามที่เข้ามาคว้าคอผมไว้แล้วลากให้ไปนั่งตรงกลางระหว่างมันกับพี่บุ๊ค ทำไมกูต้องโดนพวกมึงประกบด้วยวะพี่ แล้วทำไมต้องใกล้กูขนาดนั้น กูอึดอัดนะเว้ย

“ความผิดของมึงยิ่งใหญ่นัก” พี่มันพูด เล่นเอาผมงงเป็นไก่ตาแตกเลย กูไปทำอะไรผิดไว้วะ เท่าที่จำได้ผมก็เป็นน้องที่น่ารักมาตลอด

“ความผิดอะไรอ่ะพี่”

“ความผิดโทษฐานที่มึงมีความลับกับพวกกู” ความลับ? ความลับอะไร ผมไม่เคยมี “แนะ...แนะ ทำเอ๋ออีก”

“แล้วผมทำไรอ่ะ ผมปิดบังไร”

“ก็เรื่องมึงกับไอ้เอื้อไง ปล่อยให้กูโง่เชียร์ไอ้ว่านอยู่ตั้งนาน” พี่มันผลักหัวผมซ้ำไปซ้ำมา พอเถอะครับพี่กูมึน “ทำไรไม่ปรึกษากูเลยนะ แล้วไหนจะเรื่องน้ำอีก ดูมองมึงดีอย่างกับจะเข้ามาแหกอก”

ผมเหล่มองพี่น้ำ เธอมองผมจริงๆ ด้วยอย่างที่พี่สามบอกด้วยครับ ถึงว่าพี่มันลากผมมานั่งตรงนี้ เพราะที่ว่างอีกทีคือข้างพี่น้ำแล้ว

ไม่เอาอ่ะ ผมยังไม่อยากตาย

“แล้วมันถึงขนาดต้องให้ผมกินน้ำส้มเลยเหรอครับพี่”

“เปล่าหรอก ไม่เกี่ยวอะไร” อ้าว

“แล้วทำไม…”

“มึงก็พูดอ้อมโลกไปอยู่ได้ไอ้สาม บอกมันไปเลยดิว่าว่าที่ผัวสั่งมา”

ว่าที่ผัว? กูไปมีว่าที่ผัวตอนไหน!!

“ทำหน้าเอ๋อกว่าเดิมอีก ก็ไอ้เอื้อไงเป็นคนสั่งอ่ะ”

หน้าผมร้อนขึ้นมาทันที โชคดีที่ร้านพี่เติมไม่ได้สว่างมากนักเลยไม่มีใครเห็นว่าตอนนี้ผมหน้าแดงขนาดไหน “ไม่ใช่พี่ มั่วแล้ว”

“มั่วเชี่ยไร หรือจะบอกว่ามึงเป็นผัวไอ้เอื้อ” ไอ้พี่บุ๊ค มึงพูดได้หน้าตาเฉยมาก

“นั่นก็ไม่ใช่เว้ยพี่ เรายังไม่ได้เป็นไรกัน”

“เดี๋ยวก็เป็นเองแหละ เอื้อมันอ่อยเก่งจะได้ ไม่นานมึงจะตกหลุมรักมันแน่”

มึงบอกมาเลยไอ้พี่บุ๊ค มันจ่ายมึงเท่าไหร่ มึงถึงเชียร์มันออกนอกหน้าขนาดนี้!!

“ไงมึง”

ผมหันไปมองตามเสียงเรียกจากน้องเล็กสุดของสายพี่กอล์ฟ มันชื่อมาร์คครับ อยู่สาขาสัตวศาตร์ เลยไม่ได้เจอกันเท่าไหร่ มันไม่ค่อยถูกกับไอ้กล้าด้วยแหละ เคยไปเหล่หญิงคนเดียวกันไว้ สุดท้ายก็แห้วทั้งคู่ เพราะสาวเจ้าสนใจหนุ่มวิศวะรูปงาม

“เออ” ไม่รู้จะพูดอะไรอ่ะ

“ยังหยิ่งเหมือนเดิมนะ”

“กูไม่ได้หยิ่งเว้ย” แต่กูไม่รู้จะคุยอะไรไง มึงกับกูก็ไม่ได้สนิทกันป่ะ

“เฮ้ยไอ้มาร์คครับ อย่ามาหาเรื่องน้องกูนะ เดี๋ยวให้พี่บุ๊คสั่งซ่อม” นี่ก็ขู่ป็นอยู่อย่างเดียวเลยหรือไงครับพี่สาม

“ไม่เป็นอะไรไอ้มาร์ค ถ้าบุ๊คสั่งซ่อมจริงๆ เดี๋ยวกูจัดการมันให้” คนที่พูดคือพี่ปีสาม ชื่อพี่ตั๋ง พี่เขาสนิทกับพี่บุ๊คเพราะอยู่ชมรมกีฬาคณะเหมือนกัน แถมยังออกกินเหล้าด้วยกันบ่อย

“โอ้โหกูกลัวมึงมากครับ”

“ลองมั้ยล่ะ”

“เอาล่ะๆ พวกมึงๆ ทั้งหลายนี่นะ ไม่เถียงกันสักครั้งมันจะตายมั้ย!”

แม่ก็คือแม่ครับ ถ้าแม่ขึ้นแล้วห้ามขัด เดี๋ยวแม่จะไม่ลง

พวกเรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องส่นวตัวบ้าง เรื่องเรียนบ้าง เรื่องงานบ้าง เม้าอาจารย์ ไม่ก็พูดถึงเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจกันอยู่ตอนนี้ ไม่เว้ยแม้แต่เรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง เวลาจะเข้าเรื่องเครียดๆ พี่ๆ เขาก็จะดึงไปสายฮาอีกตามเคย เอาเป็นว่าสาระอะไรไม่ต้องพูดถึงเน้นมันอย่างเดียว

นั่งไปสักพักผมก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ร้านพี่เติมนี่ยิ่งดึกคนยิ่งเยอะจริงๆ ครับ ยิ่งเป็นคืนวันศุกร์แบบนี้ด้วย นักท่องราตรีทั้งหลายก็ต่างออกมาหาสีสันให้ชีวิต ร้านนี้ถือเป็นร้านดังประจำมอ พี่เจ้าของร้านเป็นกันเอง เครื่องดื่มราคาย่อมเยา อาหารก็รสชาติดี ดนตรีไพเราะ

ด้วยคนที่เยอะจนอัดแน่นเป็นปลากระป๋องทำให้ผมไม่ได้ขยับไปไหนสักที โอ๊ย! แล้วคืนนี้ผมจะได้ไปเข้าห้องน้ำกับเขาป่ะวะ

ปึก!

“เอ๊ะ ขอโทษครับๆ” ผมรีบขอโทษคนที่ตัวเองเพิ่งเดินชนไปทันที อึดอัดโคตรๆ หายใจไม่ออกแล้วเว้ย!

“ไม่เป็นอะไรครับ” อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ ผมก็เลยยิ้มตอบกลับไป แต่รออยู่นานเขาก็ยังไม่เดินไปทางไหนสักที

“ขอทางด้วยครับ”

“ไปไหนอ่ะ” กูไปไหนแล้วเกี่ยวอะไรกับมึงวะครับ

“เอ่อ ไปห้องน้ำครับ”

“ให้ไปส่งมั้ย ดูเหมือนเดินไม่ค่อยไหวนะ เมาแล้วหรือเปล่า” กูไม่ได้เมาเว้ย! ยังไม่ได้แตะเหล้าสักหยดเลย

“เปล่าครับ ผมไม่ได้เมา”

“คนเมาชอบบอกว่าตัวเองไม่ได้เมานะ” ก็กูไม่ได้เมาจริงๆ เนี่ย มึงจะเอายังไง

“ขอทางด้วยครับ” ผมย้ำอีกครั้งแล้วเป็นฝ่ายเดินเลี่ยงมันออกมาเองเลย ไอ้หน้าม่อเอ้ย

หมับ!

“ถ้าไม่ให้ไปล่ะ”

ว๊ากกก อย่ามายุ่งกับกูววววววว

ผมพยายามสลัดมือที่จับให้หลุด แต่มือมันคงอาบด้วยกาวตาช้าง ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่ยอมปล่อยเลยครับ

“ปล่อยเหอะครับ!”

“อย่าดุสิ พี่แค่อยากรู้จักเฉยๆ”

“แต่ผมไม่อยากรู้จักพี่ครับ” บอกออกไปตรงๆ เนี่ยแหละจะได้เลิกยุ่งกันสักที แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะดื้อด้านไม่เบา

“หยิ่งซะด้วย” ไม่ตอบแม่งล่ะ ขี้เกียจจะพูดด้วยแล้ว “แค่ไปนั่งคุยกับพี่แปบเดียวเอง”

“พี่ครับผมไม่ได้ชอบผู้ชาย” ผมบอกพี่เขาด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้อารมณ์โมโหกูมาล่ะ ถ้ามึงยังเซ้าซี้ไม่เลิกกูต่อยจริงๆ อ่ะ

“แล้วทีกับไอ้เอื้ออ่ะ น้องกิ๊กกับมันไม่ใช่เหรอ” มาเสือกเรื่องอะไรของกูวะ

“พี่ปล่อย!”

“ไปกับพี่เถอะครับ เร็วๆ”

ได้!!! ไม่ฟังกูใช่มั้ย อย่าหาว่ากูโหดนะเว้ย!

พลั่ก!

เปล่านะ นั่นไม่ใช่ผม!

“ก็เขาบอกอยู่ว่าไม่ไปยังจะเซ้าซี้อยู่ได้นะมึงอ่ะ” ผมลดมือที่กำลังจะง้างขึ้นเพื่อจะต่อยไอ้หมอนั่นลงแล้วหันไปข้างหลัง แต่ทว่ามือที่พาดที่ตรงไหนทำให้ผมไม่สามารถทำได้ “แล้วก็รู้นี่ว่าเขากิ๊กกับใคร ยังจะยุ่งกับเขาอีกหรือไง”

พี่ว่าน...โคตรบังเอิญเลย

“มึงเสือกอะไรวะ!” มันลุกขึ้นมาก่อนจะเดินเข้ามาหา แต่พี่ว่านก็เข้ามาบังผมไว้จากผู้ชายคนนั้น เขาขยับเข้าไปใกล้มัน ก่อนจะตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ “เชี่ยไรของมึงเนี่ย!”

“มึงเห็นนั่นป่ะ” พี่ว่านชี้นิ้วไปที่โต๊ะใหญ่สุดทางด้านซ้าย คนในโต๊ะนั้นก็มองมาทางนี้เช่นกัน “ถ้าไม่อยากโดนตีนเด็กวิดวะก็อย่ามายุ่งกับพวกกู”

“คิดว่ากูกลัว?”

“ลองหรือเปล่าล่ะ” พี่ว่านยิ้มร้ายๆ แบบที่ผมไม่เคยเห็น ทำหน้าหน้าพี่เขาโหดขึ้นอีกเท่าตัว ผมแอบเห็นว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นตัวสั่นขึ้นมาเลยครับ

“ฝากไว้ก่อนเถอะมึง” มันปัดมือพี่ว่านออกแล้วลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะเดินแทรกฝูงชนหายไป

พี่ว่านหันกลับมาส่งยิ้มให้ผม “ไปห้องน้ำใช่มั้ย งั้นไปด้วยกันเลย”

เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ผมเลยพยักหน้ารับ แล้วเดินตามพี่ว่านไป

..
.
ผมออกมาจากห้องน้ำก็ไม่เห็นพี่ว่านแล้วครับ แต่พอเดินออกไปอีกหน่อยซึ่งเป็นประตูเปิดสู่ทางหลังร้านก็เห็นพี่ว่านยืนสูบบุหรี่อยู่

“ขอบคุณนะครับพี่ว่านที่ช่วยผมไว้” ผมเดินเข้าไปบอก พี่ว่านรีบหันไปดับบุหรี่ทันที

“ไม่เป็นอะไรๆ แล้วนี่มากับเพื่อนเหรอ”

“เปล่าครับ มากับสายรหัส แล้วพี่ว่านล่ะครับ”

“พี่มาเลี้ยงทีมฟุตบอลอ่ะ ก็โต๊ะนั้นแหละ” เป็นโชคของไอ้ผู้ชายคนนั้นจริงๆ ที่เลือกจะเดินหนีไป “คราวหลังระวังตัวหน่อยนะปูน ปูนคงยังไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่มีเรื่องปูนกับเอื้อแล้วพวกเก้งกวางมันเล็งปูนเยอะขึ้นขนาดไหน”

ผมพยักหน้ารับแล้วพึมพำบอกขอบคุณพี่ว่านไปอีกครั้ง ผมก้ไม่รู้ตัวจริงๆ นั่นแหละ ผมก็ใช้ชีวิตปกติของผมไปเรื่อย ไม่ได้สังเกตอะไรทั้งนั้น

“ปูน”

“ครับ?”

“ปูนกับเอื้อ...เป็นอะไรกันแน่” พี่ว่านเงยหน้าสบตาผม ก่อนจะถามคำถามที่เจาะจงความสัมพันธ์ไปอีกขั้น “เป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย”

“...เปล่าครับ…”

“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้พี่ก็ยังมีความหวังใช่หรือเปล่า”

“...” ผมไม่ได้ชอบพี่ว่านแบบนั้น สำหรับผมพี่ว่านให้ความรู้สึกคล้ายพี่สาม เป็นเพียงพี่ชายอีกคนของผม แต่แววตาที่เป็นประกายของพี่ว่านทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก

“พี่ยังจีบปูนได้หรือเปล่า พี่ยังมีความหวังอยู่ใช่มั้ย”

“...”

“อย่าเงียบสิปูน บอกพี่มาเถอะ” ดวงตาที่เคยเป็นประกายได้เพียงแค่ครู่หม่นแสงลง “พี่อยากได้ยินจากปากปูนว่าตอนนี้พี่ควรทำยังไง”

“...ขอโทษนะครับพี่ว่าน”

“ปูนจะ...ขอโทษพี่ทำไม” พี่ว่าเลิกคิ้วถาม แต่ดวงตาเศร้า “ก็ไหนว่ายังไม่ได้เป็นแฟนมัน?”

“ถึงผมจะไม่ได้เป็นแฟนเอื้อ แต่ผมก็ไม่ได้คิดกับพี่ว่านแบบนั้นครับ” ผมสบตาพี่เขา เพื่อถ่ายทอดว่าสิ่งที่ผมบอกคือความจริงทั้งหมด “สำหรับผมพี่ว่านเป็นเหมือนพี่สาม พี่บุ๊ค เป็นเหมือนพี่ชายอีกคน…”

“แต่พี่ไม่ได้อยากเป็นพี่ชายปูน…”

“ขอโทษครับ แต่ไม่ว่า…”

“ลองดูก่อนได้หรือเปล่าปูน แค่ลองดู…” พี่ว่านเดินเข้าใกล้ผมเรื่อยๆ และเรื่อยๆ จนเราสองคนอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ “รู้สึกอะไรหรือเปล่าปูน ตื่นเต้นแบบที่พี่รู้สึกมั้ย”

ไม่เลยสักนิด...ผมไม่รู้สึกอะไรเลยแม้ว่าเราจะใกล้กันมาก กลับกัน ถ้าคนข้างหน้าผมเป็นเอื้อก็คงไม่เป็นแบบนี้ นั่นเพียงพอแล้วที่จะบ่งบอกว่าผมไม่ได้คิดกับพี่ว่านในทำนองนั้น

“ไม่ครับ…”

“ถ้าเราเจอกันเร็วกว่านี้...พี่คงเป็นคนที่โชคดีที่สุด”

ไม่เกี่ยวเลยว่าเราจะเจอกันตอนไหน เมื่อเราตัดสินใจจะชอบใครสักคน มันมีอะไรอีกหลายอย่างที่สำคัญกว่าเรื่องเวลา…

อย่างเช่น หัวใจของเรา...

ผมเหลือบตามองมืออุ่นจัดที่ค่อยๆ วางลงบนแก้มของผมอย่างบรรจง มีพี่ว่านหยาบกร้านเหมือนคนทำงานหนัก ต่างจากือที่แสนจะนุ่มและเรียบเนียนของใครบางคน

“ให้พี่พยายามก่อนได้หรือเปล่าปูน อย่าเพิ่งรีบปิดกั้นตัวเองได้มั้ย”

ผมว่าผมปล่อยให้ตัวเองอยู่ใกล้พี่ว่านเกินไปแล้ว แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะดันตัวออกห่าง แววตาของพี่ว่านสะท้อนแต่ความเศร้าเสียใจ ผมเห็นมันราวกับเป็นเพียงลูกแก้วบางเบาที่เมื่อโดนกระทบเพียงนิดหน่อยจะแตกสลาย

“ถึงพี่จะรู้ว่าอาจจะไม่ได้ผลเหรอครับ”

“ไม่แน่หรอก...โลกนี้มันไม่มีอะไรแน่นอน วันหนึ่งปูนอาจจะหันมามองพี่ก็ได้ใครจะรู้”

“หรือวันหนึ่งพี่ว่านจะพบว่าคนนั้นของพี่ว่านไม่ใช่ผมก็ได้ใช่มั้ยครับ”

“นี่จะบอกให้เลิกหวังมันทุกทางเลยใช่มั้ย”

“ผมแค่อยากให้พี่ว่านต้องเสียเวลาเปล่า”

พี่ว่านลดมือลงแล้วก้าวถอนยหลังไปสองก้าว ก่อนที่ร่างสูงจะส่งยิ้มจริงใจให้ผม “พี่เชื่อวว่าการที่เรารอใครสักคนมันไม่ใช่การเสียเวลาเปล่าหรอก”

“แต่…”

“อย่าเพิ่งบอกให้พี่ยอมแพ้ตอนนี้เลยนะปูน”

“...”

“และคำขอโทษของปูนพี่ก็ไม่อยากได้ยิน”

พี่ว่านจากไปแล้ว เหลือแต่ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี สายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของพี่ว่านยังลอยวนเวียนอยู่ในหัวโดยที่ผมไม่อาจจะลบมันออกไปได้ เป็นครั้งแรกที่ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าผมเจอพี่ว่านก่อนมันจะเป็นอย่างไร ถ้าคนที่เข้าใกล้ผมตั้งแต่ตอนแรกคือพี่ว่านเรื่องราวมันจะไปทางไหน ผมยังจะหวั่นไหวกับเอื้ออยู่หรือไม่

ผมไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ ทำได้เพียงแค่ยอมรับในสิ่งที่มันเป็นไป

ผมทำได้แค่ยอมรับว่าวันนี้ผมได้ใจร้ายต่อผู้ชายคนหนึ่งไป

และถึงอยากจะขอโทษเขาเท่าไหร่ เขาก็คงไม่อยากจะรับฟัง


===============================================================
===============================================
พี่ว่านนนนนน คนดีของน้องงง
คิดถึงทุกคนมากค่ะ ช่วงนี้ห่างหายไปขอให้รู้ว่ากำลังเจอมรสุมชีวิต
มิดเทมอนั่นเองงงงง  :hao5:
นี่มาอัพตอนตีสี่แบบนี้ไม่ใช่ตื่นเช้านะคะ ยังไม่ได้นอนเลย 5555
 :sad4: :o12:
ขอบคุณนะคะที่ติดตาม รักทุกคนเลยน้าา

ออฟไลน์ MeWeaw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :o12:  พี่ว่าน

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
พระรองที่แสนดี พี่ว่านนนน  :sad4:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
เรื่องหัวใจไม่เกี่ยวว่าจะเจอก่อนเจอหลัง
สำหรับคนที่ไม่โลเลเผื่อเลือกอ่ะนะ

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
ฟีโรโมนออกสินะ ตัวผู้เริ่มมาตอม เอื้ออกแตกตายแน่ เวรกรรมจะตามทันแล้ว

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
พี่ว่านของบ่าว น่าสงสารเหลือเกิน  :hao5: :hao5: :hao5: อีเอื้อดีกับ้องปูนเยอะๆนะ ถ้าทำน้องเสียใจพี่ว่านรอเสียบแน่ๆ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
มีพี่ว่านเข้ามาแล้วสมน้ำหน้าเอื้อเบาๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ fyfh34

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 18
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พึ่งมาอ่านค่ะ สนุกมากเลย จะคอยติดตามนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :L1: :pig4:

รักพี่ว่าน สงสารด้วย

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
จริงๆก็สงสารพี่ว่านนะ พี่แกเปิดตัวเป็นคนดีหนุ่มอบอุ่นซะขนาดนั้น
แต่คนดีมักเป็นแค่พระรองไง เสียใจนิดนุง แอบเชียร์นะแต่ก็ชอบเอื้อมากเหมือนกัน

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ LadySaiKim

  • ▫▪□Dezine'Kim□▪▫
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1703
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
พระรองก็คือพระรอง ทำดีแค่ไหน เขาก็รักไม่ได้ //หาคู่ให้พี่ว่านหน่อยครับ ^^

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
บทที่ 23
เมื่อพี่เอื้อหวั่นใจ


ตลอดมาผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าสิ่งที่ผมทำมันเลวร้ายขนาดไหน เดียวมันชอบด่าว่าผมเหี้ย เพื่อนคนอื่นๆ ก็บอกว่าผมเลว แต่ผมไม่เคยสนใจ ผมจะเลวหรือจะเหี้ยแล้วมันยังไงล่ะ นั่นคือความสุขของผม และมันก็ไม่ได้หนักหัวใคร

ครับ ไม่ได้หนักหัวใคร แต่กลับทำให้คนบางคนต้องเจ็บปวดกับการกระทำของผม และผมก็ยังไม่ใส่ใอยู่ดี เพราะคนที่เจ็บมันไม่ใช่ผม

เหี้ยไม่มีใครเกินผมหรอก

แต่ตอนนี้ผมก็ไม่รับรู้แล้วว่าสิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดนั้นมันส่งผลยังไงเมื่อผมได้มาเจอกับปูน

เวลาผมมองปูนทีไร ผมก็คิดว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปตอนที่เราเจอกันครั้งแรกอีกหน ถ้าผมรู้ว่าตอนนี้ปูนจะกลายมาเป็นคนที่สำคัญ ผมก็อยากจะทำความรู้จักกับปูนใหม่

มิ้มเป็นเรื่องที่ผมพลาด แต่น้ำเป็นเรื่องที่ผมพลาดที่สุดในชีวิต

ทว่าในเมื่อผมย้อนเวลากลับไม่ได้สิ่งที่ผมทำได้ก็คือการทำตอนนี้ให้ดีที่สุด

ผมอยากจะขอบคุณปูนอีกหลายร้อยครั้งสำหรับสิ่งที่ปูนให้กับผม มันเคยบอกว่ามันไม่ใช่คนใจดี แต่เปล่าเลย ปูนใจดีกับผมเสมอ ไม่ว่าผมจะทำผิดต่อมันกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เอาแต่ใจกับมันกี่หน ปูนก็ไม่เคยโกรธและมีรอยยิ้มให้เสมอ

ปูนคงไม่รู้ตัวหรอกว่ามันความใจดีครั้งแล้วครั้งเล่าของมันทำให้ผมรู้สึกผิดมาก จนบางครั้งผมก็อยากจะปล่อยปูนให้ไปเจอคนที่ดีกว่าผม อย่างไอ้ว่านนั่นก็ได้ มันดีกว่าผมเป็นร้อยเท่า ทั้งที่ผมไม่คู่ควรกับปูนเลยสักนิด แต่ผมไม่อาจจะปล่อยปูนไป

ผมรักปูน

คนที่ดีที่สุดของผม

..
.
“ไหนบอกว่าจะดูมันให้ไง ทำไมมันเมาขนาดนี้” ผมขมวดคิ้วถามพี่บุ๊คและไอ้สามหลังจากที่จับปูนใส่รถไปเรียบร้อยแล้ว

“กูก็ว่ากูดูแล้วนะ แต่แม่งจู่ๆ เสือกยกขวดมาแดกซะงั้น” รุ่นพี่เป็นคนตอบ “มึงอ่ะแหละไอ้เอื้อ ไปทำอะไรมันไว้หรือเปล่า”

ทำไว้เยอะพี่ แต่กูเคลียร์กันมันแล้ว

“เปล่า”

“แล้วทำไมมันทำงั้นวะ เล่นเอาพวกกูตกใจเลยนึกว่ามันกำลังอกหัก แต่ติดที่ว่ามึงเพิ่งบอกจะจีบมันไปเมื่อเช้า”

ผมหันกลับไปมองปูนที่คอพับคออ่อนออยู่ในรถ บอกลาพี่บุ๊คและไอ้สามก่อนเตรียมจะกลับหอ ทว่าพอกำลังปิดประตู มือบางก็ยื่นเข้ามาขวางเอาไว้เสียก่อน

“ไงเอื้อ…” เสียงหวานพอๆ กับรอยยิ้มส่งมาให้ผม แต่มันไม่ได้ทำให้ผมเคลิ้มเลยสักนิด ผมไม่สนใจ ทำท่าจะปิดประตูใส่หน้าแต่อีกฝ่ายออกแรงรั้งไว้ก่อน “เดี๋ยวสิ จะรีบไปไหนล่ะ”

“...”

“นี่ใจคอจะไม่พูดกับเราเลยเหรอ”

“ผมว่าเราไม่มีอะไรต้องคุยกันนะ”

“เย็นชาจังเลยนะ ไอ้เราก็กะว่าจะให้ดูอะไรดีๆ เสียหน่อย จะได้ตาสว่างมากขึ้น…” น้ำยิ้มมุมปากพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา การลากเสียงยาวๆ ท้ายประโยคของเธอเป็นการกระตุ้นความอยากรู้ของผมได้อย่างดี “อยากเห็นอะไรดีๆ หรือเปล่าล่ะ”

“ไม่”

“ทั้งๆ ที่มันเกี่ยวกับไอ้เด็กนั่นน่ะเหรอ”

“จะให้ดูอะไร” ทุกอย่างที่เกี่ยวกับปูนกระตุ้นการอยากรู้ของผมทั้งสิ้น แม้มันจะเป็นเพียงเรื่องโกหกของน้ำก็ตาม

“เอาโทรศัพท์มาสิ”

“ไม่ เอาของน้ำมาให้ผม” เธอกรอกตาแต่ก็ยอมยื่นโทรศัทพ์มาให้ผมจนได้โดยไม่ลืมบอกว่าให้เข้าไปดูในคลังภาพ พอผมกดเข้าไปก็พบภาพที่น้ำเพิ่งถ่ายไว้ไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง

เป็นภาพที่ทำให้ผมต้องกำโทรศัพท์เครื่องสวยแน่นขึ้น

รูปปูนกับไอ้วิศวะหน้าโหดนั่นกำลังยืนอยู่ด้วยกัน ทั้งสองใกล้กันมาก และมือว่านก็ว่างอยู่บนใบหน้าด้านข้างของปูน ผมแกล้งทำเป็นดูรูปด้วยความสนใจแต่จริงๆ แล้วกำลังจัดการลบรูปทั้งหมดและฟอร์แมตที่ไฟล์ขยะ ก่อนจะยื่นมือถือคืนให้น้ำ

“เป็นไง หายโง่ขึ้นมาบ้างหรือยังล่ะ”

“ไร้สาระ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่านะน้ำ” ผมดันน้ำออกห่างก่อนจะปิดประตูรถใส่หน้าเธออย่างจังแล้วขับออกไปในที่สุด

ไม่...มันไม่ไร้สาระเลยสักนิด

ผมอยากระรู้ใจแทบขาดว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมปูนถึงปล่อยให้ไอ้ว่านมันอยู่ใกล้ปูนได้ขนาดนั้น ทั้งคู่กำลังทำอะไรกันอยู่ คุยกันเรื่องอะไร แล้วต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้น

แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้...

ผมตั้งสติ ปัดเรื่องที่มันรกสมองออกไปให้หมด หันมาแบกปูนขึ้นหลังพากลับห้องของตัวเอง กลิ่นเหล้าจากตัวมันทำให้ผมต้องเบ้หน้า ท่าทางที่ไอ้พี่บุ๊คบอกว่ามันดื่มจากขวดคงเป็นเรื่องจริง

“ปูน...ได้ยินพี่หรือเปล่า” เรียกเบาๆ “ปูนครับ…”

“อื้อ…” อีกฝ่ายครางท้วงการขัดขวางการนอนหลับ นั่นทำให้ผมเลิกล้มความคิดที่จะปลุกมัน แล้วลุกขึ้นไปเตรียมน้ำอุ่นและผ้าจะอาดเพื่อจะได้ก็จัดการทำความสะอาดร่างกายให้คนไม่ได้สติ เป็นครั้งที่สองแล้วที่ผมได้ดูแลปูนตอนเมา แต่ผิดกันที่ครั้งนี้ผมเต็มใจ

ถ้าได้ดูแลมันตลอดไปก็คงดี

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ปูนจะตกลงให้โอกาสผม และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ปูนจะเลิกเชื่อในตัวผม เพราะแบบนั้นผมจึงต้องทำทุกวินาทีให้คุ้มค่าที่สุด

ปูนยังคงหลับตาพริ้ม แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ขมวดคิ้วไม่ชอบใจในความเปียกชื้นที่เกิดขึ้น พอเช็ดแขนขาเสร็จผมก็จัดถอดเสื้อกับกางเกงยีนส์สีอ่อนของมันออก  ตัวของปูนขาวเนียน แม้จะไม่เท่าผมแต่ก็ถือว่าขาวอยู่ดี (ผมว่าผมจะต้องไปอาบแดดให้ผิวมันเข้มขึ้นเสียหน่อยจะได้ดูแมนๆ กว่านี้) ตอนนี้ขึ้นสีแดงงระเรื่อจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

ร่างกายอันเย้ายวนเบื้องหน้าทำให้ผมต้องพยายามอย่างหนักที่จะหักห้ามหัวใจ

ผมมองตั้งแต่ใบหน้าน่ารักที่ใคนเห็นก็ต้องเอ็นดู ดวงตาสีเข้มที่เวลายิ้มจะปิดสนิททั้งที่เป็นคนตาสองชั้น แก้มที่ชอบขั้นสีระเรื่อเวลาผมเอ่ยคำหวาน ปากที่เถียงผมไม่หยุดแต่ก็ไม่ทำให้ผมโกรธเลย ลำคอขาว...ไหล่ราด หน้าอกขาวเนียน หน้าท้องแบนราบ ไล่ลงมาจนถึงแอ่งสะดือสวย

และ…

พอเถอะ ผมว่าผมควรไปหาเสื้อผ้าให้ปูนใส่ก่อนที่มันจะหนาวจนเป็นหวัดเอา

พอจัดการปูนเรียบร้อยแล้วผมก็เข้ามาอาบน้ำ ภาพจิตนาการของร่างบางบนเตียงทำให้ผมร้อนรุ่มขึ้นจนต้องปลดปล่อยตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ กว่าจะออกมาจากห้องน้ำผมก็เสียเวลาไปหลายนาที

ผมสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับปูน มองหน้าที่ซุกกับหมอนของมันแล้วอมยิ้ม ชะโงกหน้าเข้าไปจูบเบาๆ ตรงหน้าฝากมน ก่อนจะผละออกมาอย่างเสียดาย อยากจะดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้ แต่ตอนนี้ยังก่อน…

แค่ให้ได้ตื่นมาแล้วเห็นมันอยู่ใกล้ๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ

วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกท้อที่สุดเท่าที่เป็นมา เมื่อนึกถึงความใกล้ชิดของปูนกับผู้ชายคนอื่นที่ไร กำลังใจของผมก็แทบไม่เหลือ

“ไม่รู้ว่าคืนนี้ปูนจะฝันถึงใคร แต่ขอให้ในนั้นมีพี่ด้วยนะปูน…”

..
.
ในเช้าวันถัดมาที่อากาศค่อนข้างเย็นกว่าปกติ ผมลงไปซื้ออาหารที่ร้านป้าหน้าหอให้ปูน เพื่อรอให้คนขี้เมาตื่นมากิน ปูนไม่ใช่คนตื่นสาย แม้ว่าจะนอนดึกขนาดไหนมันก็ไม่เคยตื่นเกินเก้าโมง วันนี้ก็เช่นกัน ถึงปูนจะไม่มีเรียนมันก็ตื่นตอนแปดโมงกว่าๆ โดยที่ผมไม่ทันปลุก

ร่างโปร่งค่อยๆ ลุกจากเตียงพร้อมกับขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นกุมหัวทั้งสองข้าง ผมเดาว่ามันคงปวดหัวจากอาการเมาค้าง

“เชี่ย...กูแดกไปขนาดไหนเนี่ย” มันพึมพำ ยังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ห้องตัวเอง แม้กระทั่งอีกฝ่ายจะมองเห็นผมแล้วก็ตาม “เอื้อ…?”

“เรียกทำไม กลัวจำชื่อไม่ได้?” อดกวนมันไม่ได้จริงๆ ครับ

มันเบ้ปาก “เปล่าสักหน่อย แค่สงสัยว่าทำไมมาอยู่ในห้องผมได้”

ผมขมวดคิ้ว ไม่ชอบให้ปูนแทนตัวเองว่า ‘ผม’ เท่าไหร่ มันดูห่างเหินยังไงไม่รู้ สู้กลับไปพูดกูมึงเหมือนเดิมยังดีกว่า

“ปูน”

“อะไร”

“อย่าแทนตัวเองว่า ‘ผม’ ได้ป่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นจะให้แทนตัวเองว่าไงอ่ะ ถ้าไม่ใช่ ‘ผม’ ก็คิดไม่ออกแล้ว ไม่ชินเหมือนกันแหละ”

“ไม่รู้ดิ เค้ากับตัวเองดีมั้ย” ผมอมยิ้ม

“ประสาท” มันคว้าหมอนใกล้ๆ ขว้างมาหาผม เรื่องกลบเกลื่อนความเขินแบบนี้มันถนัดครับ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแนวโวยวายมากกว่า ไม่ค่อยใช้กำลัง

“งั้นก็กลับไปใช้กูมึงได้ พี่ไม่ถือหรอก”

“ไม่เอา” มันส่ายหน้าไปมา สักพักก็หยุดแล้วนิ่วหน้า สงสัยจะปวดหัว “นึกออกล่ะ...จะแทนตัวเองด้วยชื่อให้ก็แล้วกัน”

หึ...นั่นแหละที่ผมต้องการ ผมอยากจะยิ้มนะ แต่เดี๋ยวมันรู้ทันว่าผมคิดเอาไว้แบบนี้แล้ว

“ก็ได้นะ ฟังดูดีกว่าผมเยอะ”

“อ่า...งั้นจะตอบได้หรือยังว่ามาทำอะไรที่ห้องปูน” ฟังแล้วมันชื่นใจจริงๆ ใคร เวลาแทนตัวมันด้วยชื่อแล้วน่ารักกว่าเดิมอีกเท่าตัว

“ปูนดูดีๆ ว่านี่ห้องใคร”

ปูนกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะอ้าปากค้าง “นี่กูเมาแล้วมานอนห้องมึงอีกแล้ว! เอ่อะ...โทษที ลืมตัวอ่ะ”

ไม่ถือสาหรอก เพราะมันก็ดูเป็นปูนดี

“พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดีแล้ว...ทำไมเมื่อคืนเมาเละขนาดนั้น” ผมแสร้งตีหน้าตึง เผื่อเด็กดื้อมันจะกลัวขึ้นมาบ้าง และก็คงได้ผล ปูนเสหลบสายตาไปทางอื่น

“ไม่มีไรหรอก เผลอกินเฉยๆ”

“พี่บุ๊คกับสามบอกว่าปูนดื่มจากขวดเลย มีเรื่องอะไรให้กลุ้มใจขนาดนั้นเหรอ” ปูนยังคงเงียบเหมือนเดิม ผมจึงต้องเข้าไปกดดันมันใกล้ๆ โดยการนั่งลงบนเตียงข้างอีกฝ่าย “ปูนครับ...ที่ปูนกลุ้มใจเกี่ยวกับเรื่องของพี่หรือเปล่า”

“เปล่า...ที่จริงไม่ได้กลุ้มใจอะไรทั้งนั้น แค่…”

“แค่?”

“ไม่มีอะไรหรอก”

ร่างโปร่งถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วหันมามองผม แต่ปูนคงไม่รู้สึกตัวว่าเราใกล้กันขนาดไหน เลยไม่ทันระวัง และใบหน้าของเราทั้งคู่ก็ห่างกันไม่ถึงไม้บรรทัด ดวงตาลูกกวางแวววาวเบิกกว้าง คนตรงหน้าตกใจแต่ก็ไม่ยอมถอยหนีเหมือนแต่ก่อน

“ไม่ต้องใกล้ขนาดนั้นก็ได้”

“โกหกไม่เนียนนะ” ผมจ้องเข้าไปในดวงตาของปูน “เรื่องเมื่อคืนบอกพี่ไม่ได้เหลยเหรอ”

“เรื่องอะไร”

“ปูนกับว่าน…” ปูนเงียบไป เหมือนกำลังตกใจว่าผมรู้เรื่องเมื่อคืนได้อย่างไร แต่ก็ไม่ยอมเป็นถามออกมา “พี่เห็นปูนกับว่าอยู่ด้วยกัน”

ผมเลี่ยงที่จะบอกว่าน้ำเป็นคนเอารูปมาให้ผมดู ปูนคงไม่ชอบที่ต้องยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นอีก

“มันไม่มีอะไร” ตอบพร้อมกับหลบตา นั่นก็พอแล้วที่จะบอกว่าสิ่งที่ปูนพูดออกมามันคือเรื่องโกหก

“แล้วทำไมต้องใกล้กันขนาดนั้น อีกนิดเดียวก็จะจูบกันแล้วมั้ง” ด้วยความน้อยใจที่อีกฝ่ายโกหก ผมเลยเผลอประชดประชันออกไป กว่าจะรู้ตัวอีกที่ก็ทำให้ปูนไม่พอใจแล้ว

นิสัยเอาแต่ใจแย่ๆ แบบนี้คงต้องใช้เวลากว่าจะปรับให้ดีขึ้นได้

“ถ้าจะพูดแบบนี้ก็ถอยไปเลยไป” ปูนผลักอกผมออกแรงๆ

“พี่ขอโทษ พี่แค่อยากรู้แค่เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น ว่านมันทำอะไรปูนหรือเปล่า แล้วทำไมปูนต้องเมาขนาดนั้น”

“...”

“ไม่พูดก็ไม่เป็นอะไร” ผมเข้าใจและยอมรับว่าตอนนี้ผมยังไม่มีสิทธิ์ใจตัวปูน เรายังเป็นคนแค่ที่กำลังศึกษากัน ผมไม่กล้าทำอะไรให้ปูนเบื่อหรือรำคาญ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปูนเพียงคนเดียว

ปูนจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าผมยอมปูนแล้วทุกอย่าง

ผมกำลังจะลุกขึ้นจากเตียง รู้สึกว่าปล่อยให้ปูนอยู่คนเดียวตอนนี้คงดีที่สุด แต่ทว่ามือของอีกฝ่ายกลับรั้งเสื้อชายเสื้อของผมเอาไว้

“เวลาที่หักอกคนอื่น...รู้สึกยังไงเหรอ”

คำถามของปูนทำให้ผมเข้าใจว่าเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ว่านคงบอกชอบปูนหรืออะไรสักอย่าง หึ รู้มาตลอดว่าตัวเองมีคู่แข่ง แต่ไม่เคยไม่มั่นใจอะไรขนาดนี้ ต้องยอมรับว่าว่านเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวคนหนึ่ง พูดกันตามตรงแล้วผมไม่มีอะไรสู้ผู้ชายคนนั้นได้สักอย่าง

มีเพียงความรู้สึกของผมเท่านั้นที่ผมมั่นใจว่าผมให้ปูนได้ไม่แพ้ใคร

“ว่านใช่มั้ย”

“อือ” สุดท้ายมันก็พยักหน้า คนตัวเล็กกว่าซบหน้ากับไหล่ของผม ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงดีใจที่ปูนเผลอตัว ปล่อยให้เราได้ใกล้กันมากกว่าเดิม แต่ครั้งนี้ไม่เลย “พี่ว่านมาบอกว่าชอบ แล้วก็ขอโอกาส”

เชี่ยเหอะ...ทำไมมือผมมันสั่นแบบนี้วะ ผมค่อยๆ วางมือลงบนแผ่นหลังของคนที่ซบผมอยู่

ผมกลัว...จะทำยังไงถ้าปูนเกิดสงสารว่านแล้วให้มันเข้ามามีบทบาทในชีวิตปูนมากขึ้น ผมจะทำยังไงดีถ้าวันหนึ่งปูนรู้ว่าผมสู้อะไรว่านไม่ได้เลยสักอย่าง ผมมันโคตรเหี้ย ประวัติเสียๆ ก็เยอะ และเท่าที่ผมรู้มาว่านมันไม่มีอะไรแย่สักอย่าง

ทุกคนต่างเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง และถ้าปูนต้องเลือก...ผมกลัวว่าปูนจะไม่เลือกผม


“ทำไมแม่งมีแต่คนเข้ามาตอนนี้วะ ทีว่างๆ ล่ะหายเงียบไปเลย” มันพึมพำกับตัวเอง ออกแนวหัวเสียเล็กๆ ด้วย ปกติผมคงจะตลก แต่ตอนนี้ตลกไม่ออกครับ

กูเครียด

“แล้วปูนตอบมันไปว่าไง ได้ให้โอกาสมันหรือเปล่า”

“...เปล่าสักหน่อย ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” คนเด็กกว่าเงยหน้าขึ้นจากไหล่ (แอบเสียดายที่ปูนไม่ซบต่อ) คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากัน “อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นดิ ไม่ได้ตกลงคบกับพี่ว่านสักหน่อย”

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่พอปูนพูดแบบนั้นแล้วมันทำให้ผมใจชื้นขึ้นกว่าเดิม

“ไม่ได้ตกลงเมื่อคืนต่อไปก็ห้ามตกลงเด็ดขาด เลิกชอบคนของพี่ได้แล้ว” มีกำลังใจดำเนินชีวิตต่อล่ะครับ ช่วงดราม่าเมื่อกี้นี้ถือว่าเปลืองบรรทัดเล่นๆ

“อะไรคือ ‘คนของพี่’ ครับ ไม่ทราบว่าผมไปเป็นคนของคุณตอนไหน”

“ก็ทุกตอนแหละ ตอนนี้ปูนเป็นคนของพี่แล้ว เหลือแต่เมื่อไหร่พี่จะได้เป็นคนของปูน” เนื้อเพลงท่อนฮุคของกะลาแวบเข้ามาในหัวผมทันที

‘เธอเป็นแฟนฉันแล้ว รู้ตัวบ้างไหม แล้วเมื่อไหร่หนอฉันจะได้เป็นแฟนของเธอ’

“ไปบอกกับไอ้ว่านให้ตัดใจจากปูนเลย บอกไปว่าชาตินี้ทั้งชาติปูนก็ไม่มีทางชอบมันหรอก เพราะปูนเป็นของพี่”

ปูนเบ้ปากไม่เห็นด้วยครับ อะไร ผมพูดความจริงนะ เห็นไหมว่าน้องไม่เถียงผมสักคำ

“บอกไปแล้ว แต่พี่เขาไม่ยอม…” ปูนดูหนักใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ มันแสดงออกทางสีหน้าและแววตอย่างชัดเจน “อีกอย่างใครมันจะไปบอกพี่ว่านยังไง ผมไม่ได้เข้าไปในความคิดใครแล้วบังคับเขาได้เหมือนโปรเฟสเซอร์เอ็กซ์นะครับ”

ผมหลุดหัวเราะ เด็กดื้อประชดกลับ ให้กวนตีนได้นี่ผมยอมปูนคนเดียว ช่างหาคำมาเปรียบเปรยเหลือเกิน โปรเฟสเซอร์เอ็กเหรอ เจอแม็กนีโต้เข้าไปจะหนาว เดี๋ยวรู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร

“ครับๆ เข้าใจแล้วครับโปรเฟสเซอร์”

“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงเล่า” ว่าแล้วก็ถลึงตาใส่ผม “แล้วการที่คุณเสียใจ…” แนะยังไม่จบครับ มีการเอานิ้วมาจิ้มที่ไหล่ของผมหนักๆ หลายครั้ง “...มันเกี่ยวอะไรกับผมคนนี้เหรอครับ ดีเสียอีกจะได้รู้ไงว่าเวลาคนอื่นเขาโดนคุณทิ้งมันรู้สึกยังไง”

หน่อยแน่ ยอมให้หน่อยทำเก่งเลยนะครับ ผมจัดการรวบมืออีกฝ่ายไว้ แล้วดึงปูนให้เข้ามาใกล้จนหน้าเราห่างกันน้อยกว่าหนึ่งไม้บรรทัด

“จะใจร้ายกับผมขนาดนั้นเลย?”

“ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่คนใจดี” ดวงตาลูกกวางแวววาวทอประกายซุกซน คงสนุกที่ได้แกล้งผม

“งั้น…”

“จะทำอะไรอ่ะ!!” อีกฝ่ายโวยลั่นตาโตกว่าเดิมในตอนที่ผมก้มเข้าไปหา คราวนี้หล้าเราห่างกันน้อยลงจนเหลือแค่ฝ่ายมือกัน อีกนิดเดียวปากนุ่มๆ นั่นก็จะโดนผมสัมผัสแล้ว “ทะลึ่งแล้ว ถอยออกไปเลย”

ทะลึ่งตรงไหน นี่ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรนอกจากจับมือปูนเฉยๆ เลยนะ น้องปูนของคุณๆ คงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ

“ไม่ได้จะทำอะไร กำลัง...อ้อนคนใจร้ายอยู่...”

ปูนหน้าแดงแปร๊ดเมื่อผมเบี่ยงหน้าจนริมฝีปากเราได้องศาที่จะประกบเข้าหากัน มันไม่กล้าโวยวายหรือพูดอะไร เพราะขยับแค่นิดเดียวปากเราก็สัมผัสกันแล้ว และนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ

“เผื่อว่าเร็วๆ นี้…” เป็นผมเสียเองที่ขยับ และผมฝีปากเราก็กระทบกันเบาๆ “...ปูนจะใจดีกับพี่...มากกว่านี้หน่อย”

แล้วผมก็เลื่อนหน้าให้สูงขึ้น ก่อนจะแตะจูบแผ่วเบาลงบนแก้มนวลที่เปล่งสีแดงสด

“ฝากไว้แค่นี้ก่อนนะ วันหลังจะมาทวงคืน…”

“...!!”

“หวังว่าจะรออีกไม่นาน”

“ฝะ ฝันไปเถอะ!!!”

เดี๋ยวก็รู้ว่าได้ฝันอย่างเดียวหรือเปล่า

ผมหัวเราะกับท่าทางของปูน มันยกมือขึ้นปิดปากแน่น ถลึงตาขู่ผมเสียยกใหญ่ คงคิดว่าน่ากลัวมากมายทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เลยสักนิด กลับตลกเสียมากกว่า พาให้ผมต้องวางมือบนหัวอีกฝ่ายแล้วขยี้ด้วยความเอ็นดู

ปูนเป็นคนพิเศษ เดี๋ยวก็ทำให้ผมกังวล เดี๋ยวก็ทำให้ผมกลัว เดี๋ยวก็ทำให้ผมยิ้ม แต่ทุกอย่างมันทำให้ผมมีความสุขในทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ

♣♣♣♣♣

ต่อด้านล่าง

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ผมกำลังนั่งระดมสมองเพื่อทำ conference หรรษาอยู่ครับ สงสัยเหรอว่ามันคืออะไร...อธิบายง่ายๆ ก็คือ พวกเราเป็นกลุ่มๆ จะได้รับโจทย์ซึ่งในที่นี้ก็คือเคสฯ ของผู้ป่วย ส่วนใหญ่ก็เป็นอาการผิดปกติต่างๆ ของระบบร่างกาย ที่เราต้องมาประชุมกันว่าไอ้คนนี้มันเป็นโรคอะไร และส่งผลยังไงต่อต่อระบบการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย มีวิธีรักษาหรือบรรเทาอย่างไร แล้วไปนำเสนอกับอาจารย์และเพื่อนๆ ให้เข้าใจ

ฟังดูเหมือนยากใช่เปล่าครับ จริงๆ แล้วยากกว่านั้นเยอะ ไม่ได้ยากตรงเคสหรอก ยากตรงคำถามจากอาจารย์และเพื่อนที่เกี่ยวกับเคสเราเท่านั้นเอง

เป็นยังไงครับ หรรษาหรือเปล่า บอกเลยว่าสนุกสนานมาก อยากให้คุณมาเจอะเจอกัน (ยิ้มละมุน)

“มึงดูนาฬิกาหลายรอบแล้วนะเอื้อ มีธุระอะไรหรือเปล่า” ผมเหลือบตามองฟิ้ง มันอยู่กลุ่มเดียวกับผมครับ แล้วนอกนั้นก็มีเพื่อนอีกสามคน ซึ่งตอนนี้ทุกคนกำลังนั่งตั้งใจทำงานอยู่

“เปล่า กูแค่เผลอไปเท่านั้น” ผมไหวไหล่แล้วก้มลงทำงานต่อ อ่า...เชี่ยอะไรเนี่ย คนไข้มีอาการตาพร่า เหงื่อไม่ออกและรู้สึกชาๆ ที่หน้าด้านขวา รวมถึงมือและเท้าทางด้านซ้าย…? อ้อ ลืมบอกไปว่าเคสของเราเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดครับ เมื่อกี้ผมแปลให้เรียบร้อยแล้ว “มึงว่ามันเป็นโรคอะไรเนี่ยแก้ว”

“รู้แล้วจะมานั่งตบยุงแบบนี้เหรอคะคุณเอื้อ” ไม่มีเสียหรอกที่แก้วมันจะพูดกับผมดีๆ พวกมันอาจจะลืมไปว่าผมนี่ระดับเดือนมอนะครับ คำพูดคำจาควรจะให้เกียรติ (เกลียด) หน้าหล่อๆ ของผมหน่อยเถอะ

“กูว่าเราพักก่อนดีมั้ย จะอ้วกออกมาเป็น Textbook แล้ว” แชมป์สมาชิกอีกคนในกลุ่มถาม

แก้ว แชมป์ และฝันเดินออกไปหาอะไรกินที่ร้านสะดวกซื้อข้างๆ คณะ ในขณะที่ผมกับฟิ้งเลือกจะนั่งรออยู่ที่โต๊ะ ผมถอนแว่นสายตาที่ใส่อยู่ออก ผมสายตาสั้นครับ แต่ไม่มากเท่าไหร่ ถ้าปกติก็มองเห็นอยู่ (ไม่งั้นผมจะมองเห็นความน่ารักของปูนได้ไง ฮิ้ววววว) จะใส่ก็ต่อเมื่อต้องทำงานกับคอมพ์ฯ ไม่ก็อ่านหนังสือตัวเล็กๆ เท่านั้น

“น่ะ มึงมองนาฬิกาอีกแล้ว มีอะไรก็ไปทำก่อนได้นะ กูว่าวันนี้แม่งก็ไม่รู้หรอกว่าอีคุณนายคนนี้เป็นโรคอะไร” ฟิ้งหยิบโทรศัพท์มาเล่น

“กูเผลอเฉยๆ” ผมตอบแบบเดิม ปกติแล้วตอนนี้ผมต้องไปรับปูนที่คณะ ไม่รู้ว่าป่านนี้มันจะกลับหอหรือยัง แล้วมันจะกลับยังไง มอ’ไซต์มันดับอนาจไปแล้วครับ ขายเป็นเศษเหล็กอย่างเดียวเท่านั้น “เออฟิ้ง มึงได้ถ่ายรูปตอนกูแข่งปิงปองครั้งสุดท้ายไว้ป่ะวะ”

“ถ่ายๆ แปบนะเดี๋ยวเอาให้ดู” มันพลิกโทร.ศัพท์ให้ผมดู ฟิ้งถ่ายได้ทุกซ็อตเลยครับ บางรู้หน้าผมโคตรแย่อ่ะ เบี้ยวไปมาเหมือนกับโดนต่อย

รูปนี้หล่อว่ะ ผมกำลังกำหมัดสะใจที่ได้คะแนนจากไอ้ก้างฝั่งตรงข้าม

“ถ่ายขนาดนี้ไม่อัดวิดีโอไว้เลยวะ”

“กูอัดไว้เหมือนกัน นี่บางรูปก็ตัดมาจากวิดีโอ” กูถามประชดเสือกทำจริงครับ นับถือใจมึงเลยฟิ้ง สมล้วที่เป็นเพื่อนกูตั้งแต่มัธยม เสียดายที่ฟิ้งกับเดียวดันมาทะเลาะกัน ผมคนกลางเลือกใครไม่ได้เลย “มึงจะเอาเหรอ ปกติแข่งอะไรก็ไม่ค่อยสนใจอยากได้ไปเก็บไว้นี่”

“กูไม่ได้จะเก็บ แต่จะเอาไปให้คนอื่นดู”

“ใคร?” เสียงฟิ้งห้วนกว่าปกติจนต้องเงยหน้าขึ้นมามอง มันจ้องผมนิ่ง แต่ผมก็เป็นฝ่ายหลุบตาลงมองจอโทรศัพท์ที่กำลังทักไปถามเด็กดื้อว่ากลับหอหรือยัง “เอื้อกูถามว่าใคร”

“ไอ้เดียว”

“โกหก มันจะเอารูปมึงไปทำไม วันนั้นมันก็ดูมึงแข่งด้วย”

“ไม่รู้ดิ เอาไปบูชามั้ง จะได้หล่อเหมือนกู” ผมเล่นมุก แต่อีกฝ่ายไม่ขำ เลยต้องบอกความจริงไปในที่สุด “จะเอาไปให้ปูนดู วันนั้นมันไม่ได้มาดูกูแข่งเพราะเพื่อนมันก็ชิงบาสฯ เหมือนกัน”

หน้าฟิ้งนิ่งเรียบกว่าเดิมแต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ ปูนยังไม่อ่านข้อความของผมเลยครับ

“มึงกับน้องปูนนี่สนิทกันนะ กูนึกว่าจะจบตั้งแต่ตอนไปบ้านน้องเขาแล้ว”

“ตอนแรกก็นึกไว้แบบนั้นเหมือนกันแหละ” ผมตอบฟิ้งส่งๆ ไป “มึงส่งรูปมาสักทีดิฟิ้ง เอาทุกรูปเลยนะ วิดีโอด้วยก็ดี”

ผมอยากให้ปูนเห็นตอนผมชนะครับ เหรียญรางวัลยังไม่ได้ต้องรอสโมสรนักศึกษาส่งมาให้ก่อน ถ้าได้แล้วจะให้ปูนเก็บไว้ ถือว่าเป็นของขวัญจากความพยายามของผม และผมก็จะพยายามเพื่อนชนะใจมันให้ได้เหมือนกัน (ใครจะอ้วกเชิญเลยครับ มีเวลาว่างอยู่)

“แล้วทำไมต้องเอาไปให้น้องมันดูด้วย”

“เรื่องของกู” ผมยักคิ้วกวนมัน หวังว่าจะเปลี่ยนเรื่องไปได้ ไม่อยากให้ฟิ้งมันซักไซ้อะไรมาก ไม่อยากปิดมันเหมือนกัน ที่จริงผมอยากบอกมันทุกเรื่องนะ แต่ติดที่มันไม่หวงผมมากเกินไป ถ้าไม่เพราะเรื่องนี้ผมคงสนิทใจกับมันเหมือนกับไอ้เดียว

“แล้วสรุปมึงเป็นอะไรกับน้อง” แต่ดูเหมือนฟิ้งมันจะรู้ความตั้งใจของผม มันไม่ยอมเบี่ยงไปประเด็นอื่นเลย “มึงชอบน้องมันเหรอ”

“เมื่อไหร่จะส่งรูปวะฟิ้ง ถามอยู่นั่นแหละ”

“มึงก็ตอบคำถามกูมาสักข้อดิ” ฟิ้งไม่ได้พูดด้วยอารมณ์ไม่พอใจที่แสดงออกมาทางสีหน้า น้ำเสียงของฟิ้งออกแนวนิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยความกดดัน “มันจะเลี่ยงไปถึงเมื่อไหร่วะเอื้อ ยังไงมึงกูก็ต้องรู้อยู่ดีถ้ามึงกับน้องคบกัน กูเพื่อนรักมึงนะ ไม่มีเรื่องอะไรของมึงที่กูไม่รู้”

“ถ้าไม่มี แล้วเรื่องที่มึงถามๆ กูมาอ่ะ มึงจะถามทำไม”

“หน้ากูดูให้มึงกวนตีนได้เหรอ” ฟิ้งเริ่มจะใส่อารมณ์ในน้ำเสียงบ้างแล้วเมื่อผมยียวนไม่ยอมตอบคำถามมันเสียที “ตอบมาสักทีสิเอื้อ มึงชอบน้องเหรอ”

“เออ ชอบ”

“แล้วน้องมันชอบมึงมั้ย”

“ชอบมั้ง”

“สรุปว่าเป็นคบกัน?”

“กูต้องตอบขนาดนั้นเหรอ” เอ๊ะ ปูนอ่านไลน์แล้วครับ แถมตอบมาแล้วด้วย มันยังไม่เลิกแฮะ อาจารย์ขอสอนต่ออีกสิบนาที

“มึงต้องตอบ มึงกับปูนเป็นอะไรกันแน่”

“เป็น...คนที่กำลังดูๆ ใจกันมั้ง ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร มันยังไม่มีสถานะระบุชัดเจน รู้แค่ว่ากูกับปูนมีกันก็พอ” ผมคิดไปเองครับ โคตรแถเก่งอ่ะ ที่จริงแล้วเรายังไม่ได้เป็นอะไรกันเลยเถอะ ปูนไม่แม้แต่จะบอกมาสักครั้งว่าคิดยังไงกับผม

“แล้วเมื่อไหร่จะเบื่อ นี่มันก็เกินเดือนมานานแล้วนะที่มึงดูอะไรๆ กับน้อง ปกติมึงต้องจบเรื่องได้แล้ว”

ผมขมวดคิ้วมุ่น ไม่ค่อยชอบใจกันคำถามของฟิ้งมันเท่าไหร่ “ทำไมกูต้องเบื่อวะ”

“อ้าว...นี่มึงยังไม่ได้กับน้องมันเหรอ กูก็นึกว่าจะเสร็จมึงไปนานแล้ว”

“ฟิ้ง มันไม่เกี่ยวกับเรื่องนั้นสักหน่อย แล้วกูก็ชอบปูนแบบที่รู้สึกดีๆ ด้วย ไม่ได้หวังฟัน อีกอย่างปูนไม่ใช่คนใจง่ายแบบนั้น มึงคิดอะไรของมึงเนี่ย”

“จะบอกว่าคนนี้มึงจริงจัง?”

“เออ กูจริงจัง”

“แบบที่เป็นแฟนมึงได้”

“กูรอปูนตกลงอยู่”

ฟิ้งเงียบไปแล้ว มันดูเหมือนกำลังตกใจ และไม่เชื่อในทุกสิ่งที่ผมตอบไป ถึงมันไม่พูดออกมา แต่สายตามันดันฟ้องว่าฟิ้งกำลังประท้วงเรื่องนี้อยู่ในใจ

“น้องมัน...เป็นผู้ชายนะเอื้อ ปกติมึงก็ไม่ได้มีแววว่าจะเบี่ยงเบนไปจากผู้หญิง”

“กูว่ามันเป็นเรื่องของความรู้สึกว่ะฟิ้ง ตอนแรกก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันที่ต้องมาชอบผู้ชาย แต่กูไม่ใช่พวกชอบโกหกความรู้สึกตัวเอง” ผมเกือบพลาดที่ทำเป็นไม่สนใจปูนไปครั้งหนึ่งแล้ว และมันก็ทำให้ผมรู้ว่าเราควรยอมรับหัวใจของเรา “ปูนเป็นผู้ชายแล้วยังไง กูสบายใจและมีความสุขที่ได้อยู่กับปูนก็พอแล้ว”

“...”

“มึงมีอะไรจะถามอีกหรือเปล่าฟิ้ง”

“ไม่มี” ฟิ้งก้มลงมองโทรศัพท์ในมือตัวเองอีกครั้ง มันจิ้มหน้าจอรัวๆ ผมว่าผมต้องเคลียร์กับฟิ้งให้รู้เรื่องก่อนที่เรื่องมันจะแย่ไปมากกว่านี้

“ฟิ้ง”

“อะไร กำลังเลือกรูปอยู่รอก่อน”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น” อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วถาม ผมเลยพูดต่อ “ฟิ้ง กูอยากบอกมึงว่าถึงกูจะมีปูนแต่ความสำคัญของมึงยังเหมือนเดิมนะ มึงยังเป็นเพื่อนคนสำคัญของกู ”

“...”

“สัญญากับกูได้หรือเปล่าว่ามึงจะไม่ทำแบบที่แล้วๆ มา กูไม่อยากเสียปูนไป แล้วกูก็ไม่อยากเลิกเป็นเพื่อนกับมึง” ให้ผมเลือกใครสักคนบอกเลยว่าผมทำไม่ได้จริงๆ “มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับกูนะฟิ้ง”

“มึงคงชอบน้องมันมาก...ปกติกูจะทำอะไรยังไงมึงก็ไม่เคยเข้ามาพูดกับกูแบบนี้”

“อือ” คำว่าเพื่อนไม่สามารถหาอะไรมาทดแทนได้ และเพื่อนอย่างฟิ้งก็มีคนเดียวในโลก “แต่มึงก็เพื่อนรักกู”

“ย้ำจังนะคำนี้”

“ก็เพื่อนกัน” ผมยักคิ้วให้มันอย่างกวนๆ ซึ้งมันก็ยกนิ้วกลางให้ผมเป็นคำตอบ

ฟิ้งกดที่หน้าจอ ก่อนจะชะงัก แล้วหงายโทรศัพท์ให้ผมดูอีกครั้ง “ขอโทษว่ะ เมื่อกี้กดผิดเลยเผลอลบไปแล้ว”

“จริงดิ กูว่าจะเอาไปให้ปูนดูสักหน่อย”

“ถ้ากูกลับหอแล้วเดี๋ยวส่งให้อีกที”

ผมพนักหน้ารับ เป็นจังหวะเดียวกับเพื่อนๆ ที่หายไปนานกลับมาพอดี มันสามคนนั่งลงประจำที่เดิน แล้วเราก็เริ่มทำงานกันต่อ มันดูไม่ค่อยคืบหน้า ทว่าเราก็ขอหาโรคที่ผู้หญิงคนนี้เป็นได้คร่าวๆ แล้ว งานเราเดินไปเยอะพอควรเมื่อเพื่อนๆ เลิกจะโอเอ้กันเหมือนครั้งแรก

ระหว่างนั้นโทรศัพท์ของผมก็สั่นด้วยข้อความทางไลน์ ปูนส่งมาว่าเลิกได้สักพักแล้ว แต่กำลังเดินไปวินมอ’ไซต์กลับหอเพราะเพื่อนคนอื่นต้องไปธุระกันต่อ พออ่านแล้วผมก็รวบของทุกอย่างลงประเป๋า ฟิ้งมองผมทุกการกระทำ แต่มันไม่ถามอะไร แล้วก้มจับดินสอเขียนงานต่อ

“มึงมีอะไรอีกป่ะวะ กูขอตัวกลับก่อนได้มั้ย” ผมถามแก้ว มันหันไปมองเพื่อนที่เหลือ

“ได้ๆ แปลเปเปอร์ตั้งหลายอัน กลับก่อนเลยพวกกูจัดการที่เหลือเอง” แชมป์เป็นคนตอบ ผมเลยไม่ลังเลยที่จะสะพายกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน

ผมเดินออกมาพร้อมยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทร.ออกหาปูน มันก็รับสายในการเตือนครั้งแรก “ปูน…”

เป๊าะ!!

“ฟิ้ง จะรุนแรงอะไรขนาดนั้นวะแก”

“โหดมากฟิ้ง ดินสอหักคามือเลย”

ผมหันหลังกลับไปมองแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรแล้วคุยกับปูนต่อด้วความเบิกบาน ผมเชื่อใจฟิ้ง ตั้งแต่แรกที่เราเป็นเพื่อนกันมาฟิ้งไม่เคยทำให้ผมรู้สึกแย่ที่ได้เป็นเพื่อนกับมัน

และหวังว่าครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน



==========================================================
=======================================
พี่เอื้อมาทีนี่ยาวๆ ทั้งนั้นเลยนะคะ นางมีเรื่องจะพูดเยอะ  :laugh:
พี่ฟิ้งจะกลับใจแล้วค่ะ ต่อไปนางจะเป็นคนดีตามเพื่อนนางไป  :hao3:
คิดถึงทุกคนมากกกกกก
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
เลิฟๆ เยยย  :pig4: :mew1:

ออฟไลน์ หมอตัวเปียก

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-3
ฟิ้งแอบชอบเอื้อปะเนี้ย แลดูแปลก ๆ นะ

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
ไอ้ฟิ้งกิ้งก๊องนี่ต้องชอบ แลดูมันจิตๆ ต้องมีอาการทางประสาทชัวร์เลย
น้องปูนจะเจ็บตัวอีกไหมเนี่ย.

ออฟไลน์ เจเจจัง

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ฟิ้งคงนอยด์ชอบเอื้อมานานแต่เอื้อไม่สนผู้ชายงัยเลยได้แต่แอบรัก ที่ไหนได้เอื้อดันชอบปูน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด