。◕‿◕。❤ เอื้อมใจให้รัก ❤ 。◕‿◕。 >>>UP side story:เรื่องราวของโจม (จบแล้ว) 10/06/10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 。◕‿◕。❤ เอื้อมใจให้รัก ❤ 。◕‿◕。 >>>UP side story:เรื่องราวของโจม (จบแล้ว) 10/06/10  (อ่าน 77119 ครั้ง)

ออฟไลน์ Toon_TK

  • เ ด็ ก อ้ ว น
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 742
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-1
ลุ้นไปกับเอื้อออออ

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Side story: ตอน ต่างกรรม ต่างวาระ
ครึ่งแรก
 
คุณเคยรอใครบางคนหรือเปล่า รอแบบตั้งความหวัง แล้วความหวังที่ตั้งมาทั้งหมดก็พังทลายลงในพริบตา ผมเป็นคนหนึ่งที่รอคอยมาหลายปี รอคนๆ หนึ่งที่สัญญากับผมว่าจะกลับมา ผมวาดฝันทุกอย่างไว้อย่างสวยหรู เมื่อเธอกลับมา เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกัน มีความรักที่มั่นคง และไม่มีอุปสรรคอะไรกับเรื่องราวของเรา

แต่แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างที่ผมคิด เมื่อผมเจอเธอคนนั้นในวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันที่ผมกำลังจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัดด้วยเครื่องบิน ระหว่างที่ผมกำลังนั่งรออยู่ ผมก็บังเอิญหันไปเห็นหญิงสาวหน้าตาคุ้นเคยเดินเข้ามาในสนามบิน ผมนึกว่าตัวเองตาฝาดไปเอง แต่ไม่ว่าจะเพ่งมองกี่ทีก็ใช่เธอแน่นอน

อารมณ์ตอนนั้นมันผสมปนเปกันไปมอง ทั้งแปลกใจ ตกใจ ดีใจ โกรธ น้อยใจ แต่ที่มากที่สุดคงเป็นความดีใจที่มันเอ่อล้นออกมาจากในอก

ผมตรงไปหาเธอ จินตนาการถึงการมีเธออยู่ในอ้อมกอด อยากโอบเธอไว้ด้วยสองแขนของผม ทำให้เธอรู้ว่าผมคิดถึงเธอมากขนาดไหน

แต่แล้วทุกอย่างที่วาดฝันไว้ก็ถล่มลงมาเมื่อข้างกายเธอมีผู้ชายอีกคน เขาคนนั้นเดินเข้ามาหา โอบกอดเธอ จูบเธอ และเดินเคียงข้างเธอ

เหมือนทั้งโลกของผมพังทลาย ผมเสียศูนย์ และที่สำคัญ ผมเสียใจ

..
.
“โอ๊ยพี่โจม ทำไมมานอนอยู่อย่างนี้เล่า” แจม น้องสาวตัวดีของผมเองครับ เธอยืนเท้าเอวยืนอยู่ตรงหน้าผมที่กำลังนอนเอกเขนกบนโซฟาตัวยาว “แล้วเมื่อไหร่จะลุกมาแต่งตัว จะไปงานพี่อรหรือเปล่า”

แค่ได้ยินชื่อผมก็เจ็บในหัวใจ ‘อร’ หญิงสาวคนที่ผมรอมานานกับลังจะแต่งงานในไม่ช้า

ครับ อีกสองชั่วโมงข้างหน้านี่เอง

“...” ผมเงียบไม่ตอบ ตาจ้องโทรศัพท์ตรงหน้าไม่หันเหความสนใจไปที่อื่น

“พี่โจม!”

“อะไร”

“ตกลงพี่จะไปเป็นเพื่อนแม่หรือเปล่า หนูไม่ว่างนะวันนี้ ต้องไปเรียนพิเศษ” ก็เห็นไปเรียนทุกวันนั่นแหละ น้องสาวผมอยากเป็นหมอฯ ครับ พอเห็นผมยังนิ่งแจมก็ถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วใช้มาตรการเด็ดขาดกับผม “แม่!! มาดูพี่โจมหน่อย พี่เขาจะบ้าตายอยู่แล้ว!”

ผมขมวดคิ้วไม่ชอบใจ เรื่องแค่นี้ทำไมต้องเอาแม่มายุ่งด้วย! “แจม!”

จะดุอะไรน้องก็ไม่ทันแล้วครับ แม่เดินเข้ามาแล้ว วันนี้แม่สวยกว่าทุกวัน ชุดที่แม่ใส่ก็เป็นชุดออกงานที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าก็แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างบรรจง เตรียมพร้อมจะไปงานแต่งงานที่กำลังจะเริ่ม

แม่มองสภาพผมตั้งแต่หัวจรดเท้า แค่เห็นสายตาแม่ผมก็ต้องลุกขึ้นมานั่งตัวตรง ไม่กล้าดื้อด้านหรืออะไรทั้งนั้น

“ทำไมยังไม่ไปแต่งตัว” แม่ถามเสียงเรียบ แม่ไม่ใช่คนดุ เป็นคนใจดีด้วยซ้ำ ติดที่แม่เป็นคนพูดน้อย แถมยังเป็นคุณครู เลยทำให้คนอื่นค่อนข้างเกรงใจ

“ผมไม่อยากไป” บอกตรงๆ แม่ไม่ชอบคนโกหก

คราวนี้เป็นแม่ที่ถอนหายใจออกมา เขาบอกว่าถอนหายใจจะอายุสั้นลง ผมคงเป็นลูกที่ไม่ดี ทำให้แม้ต้องถอนหายใจแบบนี้

ท่านนั่งลงที่โซฟาตัวเดียวกันกับผม “แม่เข้าใจนะโจม แต่วันนี้โจมต้องไปเจอหน้าเขาสิ ไปเจอเขา เพราะถ้าโจมหลบเขาตอนนี้ โจมก็ต้องหลบเขาไปตลอด การไปเจอเขามันจะทำให้โจมเข้มแข็งขึ้นนะ”

“ผมแค่ไม่อยากเจอ” กับแม่ผมเป็นเด็กเสมอ

“นั่นสิพี่โจม พี่โจมต้องไปงานแต่งพี่อรนะ พี่ต้องไปดูหน้าผู้หญิงใจดำ เหอะ! แจมล่ะอยากไปนักเชียว อยากจะเห็นนักว่าหัวใจพี่อรทำด้วยอะไร ตัวเองมีความสุขแต่ทิ้งให้คนอื่นเสียใจแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน สักวันเถอะพี่อรต้องได้รับบทเรียน!”

“แจม คิดแบบนี้ไม่ดีเลยนะลูก”

“ก็แจมโกรธแทนพี่โจมนี่ มีอย่างทีไหนมาบอกให้รอ ตัวเองกลับไปมีผะ…” แจมเกือบหลุดพูดออกมาแล้วครับแต่ตะครุบปากตัวเองไว้ได้ทัน เจ้าตัวยิ้มแห้งๆ ก่อนจะแก้ตัวใหม่ “ตัวเองกลับไปมีแฟนใหม่หน้าตาเฉย”

แม่ดุแจมทางสายตา ก่อนจะหันมาหาผม “แม่แล้วแต่โจมนะ แม่จะไปแต่งตัวรอในห้อง ถ้าอยากไปก็ไปเคาะเรียกแม่แล้วกัน”

แม่เดินเข้าห้องไปแต่งตัวขณะที่แจมไปเรียนแล้ว ทว่าผมกลับนั่งอยู่คนเดียวที่โซฟาตัวเดิมนานหลายนาที คิดทบทวนสิ่งที่แม่สอนและได้คำตอบว่า…

ผมจะไปดูหน้าผู้หญิงใจร้ายให้เห็นกับตา

..
.
อรตกใจมากที่เห็นผมในงานแต่ง เป็นไปตามที่ผมคาดการณ์ไว้ เธอดูลนลานไม่เป็นตัวของตัวเอง สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความหวาดระแวง หลายครั้งที่อรเหมือนจะเดินมาหาผม แต่ก็ทำไม่ได้

ผมแอบแปลกใจตัวเอง ผมคิดว่าเมื่อผมเจอหน้าอร ผมคงจะเจ็บจนแทบทนไม่ไหว ทว่าเปล่าเลย หัวใจของผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น จะมีก็เพียงอยู่ในช่วงที่รับได้ สิ่งที่มีมากกว่าความเจ็บปวดเสียใจคือความโกรธ และความเสียดาย แต่ถึงอย่างนั้น...ผมก็ไม่สามารถส่งยิ้มให้อรได้แม้แต่น้อย

เวลาหลายปีของผมหมดไปเพราะผู้หญิงใจดำคนนี้

เวลา...สิ่งมีค่าที่ไม่สามารถทวงคืนได้

ระหว่างที่ผมกำลังยืนอยู่ในมุมมืดๆ ของตัวเองที่ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจ มองคู่บ่าวสาวบนเวทีที่กำลังส่งยิ้มหน้าตาชื่นบาน และหัวเราะกับเรื่องราวตลกๆ ที่เพื่อนๆ ขนมาเล่าถึงความรักอันสวยงามของเขาทั้งคู่ ผู้ชายคนหนึ่งก็มายืนข้างกายผม ตอนแรกไม่คิดจะสนใจ ทว่าเสียงพูดของเขาสะกิดใจผมเหลือเกิน

“เจ้าสาวสวยมากเลยนะ คิดเหมือนกันมั้ย” เสียงแหบต่ำอันมีเอกลักษณ์แบบนี้ผมเคยได้ยินมาก่อน และผมก็ต้องแปลกในเมื่อหันไปมองแล้วพบว่าคนถามคือใคร เขาส่งยิ้มมาให้ผม “หน้าคุ้นๆ เหมือนจะเคยเจอกันมาก่อนนะ”

ผมพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปมองเวทีเหมือนเดิม เราสองคนเคยเจอกันมาก่อนจริงครับ ที่นับได้ก็ประมาณสองสามครั้งแล้วมั้ง นี่ยังไม่นับเวลาเดินสวนกันอีกนะครับ

“ก็คิดว่าเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ไม่คิดว่าจะไม่พูดขนาดนี้”

“พี่มาได้ยังไงครับ รู้จักกับสองคนนั้นเหรอ” เพราะตำเหน็บแนมนั่นทำให้ผมเป็นฝ่ายถามเสียก่อน

“อือ รู้จักกับเจ้าบ่าว”

ผมพยักหน้ารับ ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะในใจก็ไม่อยากรู้รายละเอียดมากนัก

“แล้วเราล่ะ...ชื่อ...อะไรนะ” กะแล้วว่าเขาคงจำผมไม่ได้ ในหัวของเขาเวลาเจอผมคงมีแต่ใครอีกคนที่เขาชอบนั่นแหละ “ไม่คิดจะเฉลยหน่อยเหรอ”

“จำเป็นเหรอครับ ยังไงเราก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แล้ว พี่อกหักจากเพื่อนผมแล้วครับ”

“รู้แล้วไม่ต้องย้ำก็ได้” เสียงอีกฝ่ายดูหมดแรงขึ้นมาดื้อๆ “ไม่คิดจะทำความรู้จักไว้บ้างเหรอ connection น่ะรู้จักหรือเปล่า”

“...” รู้จักน่ะรู้ แต่ไม่เห็นความจำเป็นว่าจะต้อง connect กับผู้ชายคนนี้เลย ยังไงก็คนละสายอาชีพกันอยู่แล้ว แค่เป็นเพื่อนกับรุ่นพี่ในคณะหลายคนเท่านั้นเอง

“มนุษสัมพันธ์เข้าขั้นติดลบเลยนะเรา”

“คนที่ขนาดชื่อยังจำไม่ได้กล้ามาว่าคนอื่นแบบนี้ด้วยเหรอครับ”

“พูดแบบนี้แสดงว่าเราจำชื่อพี่ได้เหรอ” ผมเงียบ ไม่ตอบ รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องคุยอะไรกับเขาอีกต่อไป “โอเคๆ ที่จริงที่พี่มาทักเพราะพี่เหงานิดหน่อย”

“...” จะมาไม้ไหนวะ

“พี่มางานคนเดียว เป็นตัวแทนที่บ้านเพราะเจ้าบ่าวคนนี้เป็นคู่ค้ากับที่บ้านพี่ แต่คนอื่นไม่ว่าง แล้วพี่ก็ปิดเทมอพอดีเลยถูกส่งมา”

“ผมไม่ได้ถาม”

“แค่อยากเล่าน่ะ ปกติพี่เป็นคนเฟรนลี่ แล้วก็ talkative” ไปเอาความรู้สึกแบบนั้นมาจากไหนนะ “พอมาอยู่ในงานที่ไม่รู้จักใครเลยแบบนี้มันไม่มีคนให้พูดเลยอึดอัด”

“ผมเป็นที่ระบาย?”

“อันนี้ก็ตรงเกินไป พี่ไม่ได้อยากมาระบายอารมณ์อึดอัด แค่อยากหาเพื่อนคุยด้วย”

“แต่ผมไม่อยากคุย”

“รู้แล้วน่า เห็นท่าทางก็รู้แล้ว แต่ช่วยคุยเป็นเพื่อนพี่หน่อยไม่ได้หรือไง”

คราวนี้ผมตวัดสายตามองหน้าคนที่พูดอะไรก็ไม่รู้อยู่คนเดียว จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีเข้มบนในหน้าหล่อเหลาแบบแมนๆ ที่เคยได้ตำแหน่งเดือนคณะวิศวกรรมศาสตร์

“พี่ครับ ถึงพี่เข้าทางผมก็ไม่ได้ช่วยให้พี่จีบปูนติดหรอกครับ ยังไงปูนก็เป็นของพี่เอื้ออยู่ดี”

“...”

“อย่าทำอะไรที่มันไร้ประโยชน์เลยครับ พี่ว่าน”

ร่างที่สูงกว่าผมไปประมาณสิบกว่าเซนติเมตรนิ่งเงียบ แววตาทอประกายความโกรธชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอ่อนแสงลง มุมปากยกยิ้มขืนๆ ขึ้น

“รู้แล้วล่ะ ไม่ต้องย้ำก็ได้ รู้ว่ายังไงก็สู้ไม่ได้อยู่ดี”

“ครับ เพราะอย่างนั้นก็กลับไปที่โต๊ะพี่ได้แล้ว คนอื่นๆ รอพี่อยู่”

ที่ผมรู้ว่าเขาต้องการอะไร เพราะผมจับโกหกเขาเรื่องนี้ได้ พี่ว่านไม่ได้มางานแต่งงานนี้คนเดียว เขามากับคนรู้จักซึ่งก็ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไร สารภาพตามตรงว่าผมเห็นอีกฝ่ายตั้งแต่เข้ามาข้างในห้องจัดเลี้ยง เพียงแต่ไม่เห็นความจำเป็นใดๆ ที่ต้องเข้าไปทักทาย

“โอเค รู้เรื่อง พี่พลาดเองสินะ”

“...”

“แต่ก็ขอบคุณที่อยู่เป็นเพื่อนคุยแก้เซ็งให้พี่นะครับ”

แล้วผมก็กลับมาอยู่ในมุมมืดๆ คนเดียวอีกครั้ง ได้จมอยู่กับตัวเอง เฝ้ามองคนทั้งสองบนเวที ถึงผมจะไม่ยินดีกับงานแต่งงานนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งสองบ่าวสาวเหมาะสมกันขนาดไหน

ผมได้แต่อวยพรให้อรในใจ

ขอให้อรมีความสุขกับทางทีตัวเองเลือกนะ

..
.
ตอนเลิกงาน ในขณะที่ผมเตรียมจะกลับบ้านอยู่นั้น ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้าว่าเป็นเพื่อนกับเจ้าสาวในงานก็วิ่งมาหาผม ก่อนจะบอกให้ตามเธอไปด้วยกัน

“โจม” ดาวเด่นของงานยืนอยู่ตรงนั้น...ข้างหน้าผม เธอยังคงสวยเหมือนเดิมอย่างในความทรงจำ และวันนี้เธอก็สวยกว่าทุกวันที่เราได้รู้จักกัน อรเดินเข้ามาหาผม ก่อนที่เธอจะสวมกอดผมเอาไว้ “อึก…”

“ปล่อยผมเถอะครับ ใครมาเห็นเข้าคงไม่ดี”

“อย่าเย็นชากับอรแบบนี้สิ” ผมอยากจะถามเธอเหลือเกินว่าถ้าไม่ให้ผมทำแบบนี้แล้วจะให้ผมทำอย่างไร ให้กลับไปปฏิบัติกับเธอเหมือนเดิมน่ะหรือ “อรขอโทษ…”

“ถ้าอรเลือกเขาแล้วอรก็ไม่ควรทำแบบนี้” ผมดันร่างบางให้พ้นตัว มองเธอด้วยสายตาเรียบเฉย และนั่นทำให้ดวงตาคู่สวยเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆ “ตัดบัวอย่าเหลือใย”

“อรขอโทษ” เธอปล่อยโฮออกมา ก่อนจะพรั่งพรูสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ “อรไม่ได้อยากแต่งงาน แต่อรเลือกไม่ได้ อรอยากเลือกโจมนะ แต่…” อรหันมามองผม “โจมเข้าใจอรใช่หรือเปล่า”

“...” ผมเข้าใจ ระหว่างเด็กน้อยที่ยังไม่มีอานาคตอย่างผม กับเจ้าบ่าวที่ดูแลอรได้ "เข้าใจสิ เข้าใจ ระหว่างผมกับเขา อรก็ต้องเลือกเขา"

“แต่อรยังรักโจมนะ…” ผมพยายามเค้นหาความจริงในคำพูดของเธอ "ที่อรทำเพราะอรไม่มีทางเลือกจริงๆ อร...อรไม่ได้รักเขาเลยสักนิด ในหัวใจอรมีแต่โจมคนเดียว โจมต้องเชื่ออรนะ"

"..."

"นะโจม...อรรักโจม...เชื่ออร..."

“คุณโกหกคุณอร” นั่นไม่ใช่เสียงของผม แต่เป็นร่างสูงคุ้นตาที่เราได้สนทนากันไปในงานแต่ง พี่ว่านเดินล้วงกระเป๋าเข้ามาด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะหยุดยืนข้างผม อรเบิกตากว้างหันมองรอบตัว “ไม่ต้องตกใจหรอกครับ นอกจากผมก็ไม่มีใคร”

คำตอบที่ทำให้อรถอนหายใจโล่งอก ก่อนดวงตาคู่สวยจะตวัดมองพี่ว่านด้วยความไม่พอใจ “ฉันไม่ได้โกหก ฉันรักโจม”

“แต่คุณรักตัวเองมากกว่า ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่เลือกทางที่ทำให้ตัวเองมีความสุข จนทิ้งคนที่รักคุณมากเหลือเกินไว้ข้างหลังหรอก”

คำพูดของพี่ว่านจี้ใจดำผมอย่างจัง มันทำให้ผมได้สติหลังจากได้ฟังคำว่ารักจากอร สารภาพว่าเมื่อครู่ผมเกือบเอื้อมมือไปหาเธอ กอดปลอบประโลมเธอไว้ และบอกกับเธอว่าไม่เป็นอะไร

“ไม่จริง”

“คุณรู้อยู่แก่ใจคุณอร” คนข้างๆ ผมมองอรด้วยแววตาคล้ายกับว่ากำลัง...สมเพช ก่อนจะหันมาเลิกคิ้วมองหน้าผม “เอาไงล่ะเรา
 จะอยู่ฟังคำหลอกลวงของผู้หญิงคนนี้ หรือจะไปกับพี่ตอนนี้เลย”

“ทำไมผมต้องไปกับพี่”

“งั้นแสดงว่าจะอยู่”

“ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะอยู่นะ” พูดผมก็สาวท้าวเดินออกมาจากตรงนั้น ผ่านร่างบางที่พยายามจะรั้งผมไว้ด้วยสองมือและคำพูดหวานหู

“โจม...อย่าไปนะ”

“ปล่อยเถอะอร อรกำลังทำผิดซ้ำสองกับคนที่เขารักอรนะ ไม่รู้สึกผิดกับผม ก็รู้สึกผิดกับสามีที่รออรอยู่บ้างเถอะ”

“โจม…”

“ขอตัวนะครับ คุณอร”

ผมแกะมือทั้งสองข้างของอรทิ้ง แล้วเดินจากมาโดยไม่หันมองกลับไปอีกเลย

“ใจเด็ดเหมือนกันนี่ ตอนแรกนึกว่าจะเชื่อเขาแล้ว” ผมเหล่มองที่วิ่งมาจนทันกัน

“ผมไม่ได้โง่นะครับ รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ยังฝืน”

“น้องเกลียดอะไรพี่หรือเปล่า ทำไมพูดแต่ละทีมีแต่ด่ากัน” คนที่สูงกว่ายกมือขึ้นเกาหัว “ว่าแต่อย่างนี้เราก็เหมือนกันเลยเนาะ”

“ยังไงครับ”

“ก็อกหักเหมือนกันไง”

ผมหยุดเท้าลง ก่อนจะหันไปหาพี่ว่านในตอนที่เราสองคนยืนอยู่หน้าประตูโรงแรมพอดี ผมได้มองพี่ว่านเต็มๆ ตา ร่างสูงในชุดสูทสีเข้มดูดีราวกับเป็นคนละคนกับคนที่ใส่เสื้อชอปเดินไปเดินมาที่มหาวิทยาลัย ผมเผ้าที่ส่วนมากจะยุ่งราวกับไม่ได้หวีมานานก็ถูดจัดทรงให้เป็นระเบียบ แต่ยังไม่ทิ้งความเซอร์อันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าตัว

“เราสองคนไม่เหมือนกันครับ”

“ไม่เหมือนตรงไหน ก็ไม่สมหวังทั้งคู่”

“ไม่เหมือนตรงที่ผมไม่คิดจะรัก ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ มาถึงวันนี้ผมก็ไม่คิดจะรออรอีกแล้ว ไม่ว่าเธอจะกลับมาหรือเปล่าผมก็จะไม่กลับไปหาเธอ…”

“...”

“ผมไม่ใช่คนที่รอความหวังลมๆ แล้งๆ แบบพี่ครับ”

“...”

“ต่างกรรมต่างวาระ หวังว่าพี่คงเข้าใจคำนี้นะครับ"

หมายเหตุ ต่างกรรมต่างวาระ ใช้ในแง่ที่พูดถึงกรณ๊ใดกรณีหนึ่งขึ้นมาแล้วเอาไปเทียบกับกรณีอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะใกล้เคียงกันแต่ไม่สามารถชี้ชัดว่าผลจะออกมาเหมือนกัน เพราะเหตุ ปัจจัยหลัก และเหตุ ปัจจัยประกอบ สถานการณ์ไม่เหมือนกัน ต่างกรรม ต่างวาระกัน

======================================================
=====================================
มาแล้ววววววว ครั้งนี้ช้าสุดเลยอ่ะ รู้สึกผิดจังค่ะ  :hao5:
กำลังจะสอบไฟนอลอีกแล้วววว ฮือออ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
รักทุกคนเล้ยย  :mew1: :กอด1: :L2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
อื้อหือ ...

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
น้องปูนพี่เอื้อ เขาแซงแล้วนะ กล้าฟ้าน่ะ
แต่ก็ไม่รีบนะ รอปูนมั่นใจในรักโน่นแหล่ะ

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
อ่านรวดเดียววว เรา fc โจมมม ดาร์กเงียบ ๆ ดีชอบบบ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SOMCHAREE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
3 เดือนที่ห่างกันนนนน

กล้าฟ้า

ว่านโจม

สินะ

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
บทที่ 30
เมื่อน้องปูนเปิดเทมอ


ช่วงเวลาปิดเทมอของผมผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึก ผมเอาแต่นั่งดูปฏิทินว่าเมื่อไหร่กันที่จะเปิดเทมอเสียที ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากอยู่บ้าน แต่เพราะผมดันไปคิดถึงคนที่อยู่ห่างออกไปเกือบสามร้อยกว่ากิโลเมตร ทั้งที่การคุยโทรศัพท์กับใครคนนั้นกลายมาเป็นเรื่องปกติของผมไปแล้ว

ตลอดทุกวันเอื้อโทร.หาผมไม่ได้ขาด อีกฝ่ายจะมีเรื่องราวต่างๆ มาชวนผมคุยได้เสมอ และมันก็ชอบถามความเป็นอยู่ของผมเช่นกัน มันจะชอบให้ผมเล่าว่าวันนี้ไปทำอะไร ที่ไหน กับใครมา แม้ว่าเรื่องราวจะน่าเบื่อและซ้ำซากกันทุกวันแต่เอื้อก็ไม่เคยที่จะบอกให้ผมหยุด

การที่เราห่างกันแบบนี้ก็ทำให้ผมกังวลเหมือนกัน ผมไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่เอื้อบอกผมในแต่ละครั้งนั้นเป็นความจริงมากแค่ไหน และผมก็ไม่รู้เช่นเดียวกันว่าเวลาเกือบสามเดือนที่ผ่านมาเอื้อจะเปลี่ยนใจจากผมไปบ้างหรือเปล่า มันจะมีใครใหม่เข้ามาในชีวิตหรือไม่ และความรู้สึกของมันที่มีต่อผมเหมือนเดิมหรือเปล่า

ส่วนความรู้สึกของผมนั้น...ไม่เหมือนเดิมเลยสักนิด

ระยะทางที่ห่างไกลและระยะเวลาที่ห่างกันพิสูจน์ความรู้สึกของผมที่มีต่อเอื้อได้แล้ว และผมหวังว่ามันจะพิสูจน์ความจริงใจที่เอื้อมีต่อผมได้เช่นกัน

คำตอบสำหรับคำถามของเอื้อนั้น...ผมพร้อมจะให้มันกับอีกฝ่ายแล้ว

ผมลงจากรถขนส่งสาธารณะหลังจากที่นั่งมาเป็นเวลาราวๆ สามชั่วโมงกว่า คนที่อาสามารับผมเมื่อวานนี้ยืนรออยู่ที่บาทวิถีฝั่งตรงข้ามกับทางที่รถจอดเทียบ เอื้อส่งยิ้มเจิดจ้าก่อนจะข้ามถนนมาหาผมทันทีที่เห็นผมกำลังจะก้าวลงจากรถ และพอผมได้รับสัมภาระ อีกฝ่ายก็มียืนตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อย

เอื้อเอาแต่ยิ้ม ไม่พูดอะไร อีกฝ่ายดูลนลานอย่างไรชอบกล จนผมอดถามออกมาไม่ได้

“เป็นอะไร”

“พี่อยากจะกอดปูน แต่คิดว่าตรงนี้คงไม่เหมาะ” คำตอบที่ทำเอาผมหน้าแดง คนเยอะขนาดนี้ก็ลองมากอดสิ จะต่อยให้ตาเขียวเลย

“ไม่ว่าจะตอนไหนก็ไม่เหมาะทั้งนั้นแหละ”

“โธ่ปูนครับ อย่าใจร้ายกับพี่นักเลย”  ผมน่ะเหรอใจร้าย ใจดีกว่าผมก็พ่อพระแล้วล่ะ

เอื้อดึงกระเป๋าสัมภาระส่วนใหญ่ของผมไปถือ ก่อนจะหันมาจูงมือผมแล้วพาเดินไปขึ้นรถคันสวยที่จอดรออยู่ไม่ไกล ก่อนที่เราสองคนจะพากันกลับหอ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงห้องที่คุ้นเคยก็ปรากฏในสายตา

“ห้องไม่เห็นสกปรกเลยแฮะ” ผมวางของลงบนพื้น สำรวจห้องแล้วสะอาดกว่าที่ควร ผมไม่อยู่เกือบสามเดือนแต่ไม่มีฝุ่นเลยสักนิด “ป้าแม่บ้านเขามาทำให้เหรอ”

“ป้าแม่บ้านที่ไหน พี่ต่างหาก”

“อย่างเอื้อเนี่ยะนะ” หันไปมองอย่างสงสัย คุณชายเอื้อน่ะเหรอจะทำความสะอาดห้องให้ผมเองกับมือ

“ใช่ พี่นี่แหละที่เป็นคนพาแม่บ้านมาทำความสะอาดให้”

โธ่ ไอ้เราก็นึกว่าจะทำเอง ผมคาดหวังอะไรอยู่กัน และดูสิครับ ยืดอกภูมิใจอย่างกับเป็นคนจัดไม้กวาดมาทำความสะอาดให้เสียอย่างนั้น เห็นแล้วอดเบ้ปากใส้ไม่ได้

“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง”

“ปูนก็น่าจะรู้ว่าเอื้อไม่ทำเรื่องแบบนี้หรอก”

เอื้อหัวเราะแล้วก้าวเข้ามาใกล้กว่าเดิม นั่นทำให้ผมได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของอีกฝ่ายชัดๆ ผิวสีขาวราวน้ำนมของอีกฝ่ายดูแทนขึ้นเล็กน้อย กล้ามเนื้อแขนและหน้าอกก็เพิ่มขึ้นกว่าเื่อเทมอที่แล้ว แต่ใบหน้ายังคงหล่อหมดจดราวกับคุณชายเหมือนเดิม

เหมือนเอื้อจะ...ดูแมนขึ้นหรือเปล่านะ

หมับ!

ระหว่างที่ผมกำลังสำรวจอีกฝ่ายไปพลางๆ ร่างกายของผมก็ถูกแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตวัดโอบกอดเอาไว้ หน้าของผมแขนไปกับอกกว้างแบบที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เอื้อโยกตัวของผมไปมาราวกับผมเป็นเด็กน้อย

“ปูนตัวเล็กลงหรือเปล่า”

“ปกติ” เรื่องจริงที่น้ำหนักผมลดลงไป แต่ผมไม่มีทางบอกหรอก เดี๋ยวเอื้อก็หาเรื่องมาขุนผมเหมือนเทมอที่แล้ว

“ไม่จริง พี่กอดแล้วมันไม่เต็มไม้เต็มมือเหมือนเดิม อย่างนี้สงสัยต้องพาไปขุนแล้ว” ดูเหมือนผมก็ไม่รอดอยู่ดี

อ้อมกอดนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมคิดถึงอีกฝ่ายมากแค่ไหน ผมแอบยิ้มกับตัวเอง หลับตาและซบหน้ากับอกของเอื้อมากขึ้นไปกว่าเดิม ที่จริงอยากจะยกมือขึ้นมากอดตอบ แต่ไม่เอาหรอก...เดี๋ยวมันได้ใจ

“พี่คิดถึงปูนนะครับ” ผมพยักหน้าตอบรับ แต่ไม่มีคำพูดอื่นใดออกมา “ไม่คิดถึงพี่บ้างเหรอ”

“...” ผมยังไม่ตอบ ยังไงก็ไม่อยากพูดออกไป มันน่าอาจจะตายที่ต้องมาบอกอะไรแบบนี้

“ถ้าปูนไม่บอกพี่ งั้นแค่ส่ายหน้าหรือพนักหน้าก็พอ…”ฟังดูเป็นข้อเสนอที่เข้าท่าดี ดูเหมือนเอื้อจะรู้วิธีจัดการกับความขี้อายและปากหนักของผมแล้ว “ถ้าคิดถึงพี่...ให้ส่ายหน้า…”

ผมหัวเราะ ก่อนจะทำตามที่เอื้อบอก แต่ทำได้ไม่มาก เพราะหน้าติดอยู่กับอกของมัน… เดี๋ยวนะ แบบนี้ก็เหมือนผมเอาหน้าถูกกับอกอีกฝ่ายอ่ะดิ

ร้ายนักนะ!!

“พอเลยไม่เล่นแล้ว” ผมดันตัวออก พยายามดิ้นรนแต่อีกคนก็ไม่ยอมแพ้ “เอื้อปล่อย”

“ไม่ปล่อย ไม่ได้เจอกันตั้งนานกอดแค่นี้มันไม่พอหรอก” เอื้อกอดผมแน่ขึ้นไปอีกเหมือนกับกำลังแกล้งกัน มันโยกตัวไปมาแรงขึ้นจนผมเริ่มเวียนหัว

อุ๊ก!

“จะ จะอ้วก...เหวอ!”

ตุบ!

อะ อะ โอยยยยย

ผมนั่งลูบก้นตัวเองอยู่บนพื้น นี่เหรอวะคนที่บอกว่ารักกันคิดถึงกันหนักหนา! พอบอกว่าจะอ้วกแค่นี้ปล่อยถึงกับปล่อยให้นั่งแหละกับพื้นห้องแข็งๆ เลยนะ!

“เป็นไรมั้ยปูน”

ก็เจ็บสิโว้ยถามได้!!

..
.
แล้ววันเปิดเทมอก็วันมาถึง แต่แม้ว่าเราจะเปิดเทมอกันวันนี้ เพื่อนส่วนใหญ่ก็กลับมาแสตนด์บายที่มอตั้งแต่หนึ่งอาทิตย์ก่อนแล้วครับ เพราะระหว่างช่วงที่น้องมารายงานตัว ทางเราก็มีกิจกรรมไว้ต้อนรับและกระชับมิตรกับน้องๆ ด้วย หนึ่งในนั้นคือกิจกรรมประชุมเชียร์ บอกเลยว่าผมโคตรเกลียดอ่ะ ตอนปีหนึ่งก็โดดบ่อยเหมือนกัน พี่บุ๊คมันมาบ่นทีหลังว่าไม่ค่อยเห็นหน้าผมตอนลงวินัยเท่าไหร่

อีกกิจกรรมหนึ่งที่ฮอตฮิตไม่แพ้กันคือเรื่องการประกวดดาวเดือนครับ เฟรชชี่ไนท์กำลังจะมีถึงในวันเสาร์นี้แล้ว ทางมหาวิทยาลัยเสื่อนกิจกรรมเข้ามาให้ไวขึ้น เนื่องจากเทมอนี้วักหยุดเยอะ กลัวว่าจะกระทบกับการเรียน ตอนนี้น้องๆ ดาวเดือนกำลังเก็บตัวซ้อมกันอย่างเต็มที่

ผมได้เห็นน้องดาวแล้วครับ โคตรสวยเลย ยิ้มทีนี่ผมละลาย (ห้ามเอาไปห้องเอื้อเด็ดขาดนะครับ!)

“แหม หน้าตาชื่นบานเชียวนะครับ ไม่ทราบว่าได้น้ำดีหรือเปล่าครับ”
 
อย่าคิดว่าเสียงที่แซวนี่จะเป็นการแซวผมแต่อย่างใด ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เป้าหมายของพวกเพื่อนๆ ดันเปลี่ยนเป็นไอ้ฟ้า และแทนที่มันจะโกรธ...กลับหน้าแดง
 
“เงียบไปเลยไอ้บอย!” แถวบ้านผมเรียกโวยวายกลบเกลื่อนครับผมทำบ่อย
 
“ก็ต้องได้น้ำดีสิวะไอ้บอย...เมื่อคืนได้ไปกี่น้ำ บอกเขาไปสิจ๊ะที่รัก” ไอ้กล้าที่นั่งข้างๆ ไอ้ฟ้ารับมุก ก่อนจะวาดแขนโอบรอบเอวคนตัวเล็กกว่าแล้วดึงให้มาแนบชิด
 
“อย่ามามั่วนะเว้ย!”
 
ผมเลิกคิ้ว มันแปลกๆ นะครับสองคนนี้ ทั้งที่ก็หยอกกับเล่นเหมือนวันวาน แต่ไม่เหมือนก่อนคือไอ้ฟ้าดันเขินหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ในขณะที่ไอ้กล้ายิ้มแกล้มปริ
 
“โอ๊ะๆ มีโอบครับ”
 
“บอกให้เงียบไงไอ้บอย”
 
“เขินเหรอครับที่รัก” แน่ะ มีเชยคางด้วยเว้ย
 
“มึงก็เงียบนะไอ้กล้า!” มึงจะทุบจะดีมันก็ทำแรงกว่านี้หน่อยดิวะ ไม่ใช่แค่เอามือไปแตะๆ แบบนี้แถวบ้านกูเรียกหยอกกันเว้ย
 
ว่าแต่นี่ผมผมพลาดอะไรไป?
 
“ทำหน้าอย่างนั้นยังไม่รู้เรื่องสินะ” จี๊ดที่นั่งอยู่ข้างๆ กระซิบถามผม
 
“เราพลาดเรื่องใหญ่ไปสินะ”
 
“ไปซื้อขนมกับเรา เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”  ผมพยักหน้า ก่อนที่เราสองคนจะเดินไปยังร้านขายขนมที่อยู่ถัดไปไม่ไกลพอถึงร้านจี๊ดก็เริ่มเล่า “วันที่พวกเราไปฉลองสอบเสร็จแล้วปูนไม่ได้ไปด้วยอ่ะ กล้ากับฟ้ามันเมาแล้วก็ได้กัน”
 
“ฮะ?!! มะ มันสองคน...ได้กัน?”
 
“อือ พวกเราทุกคนรู้เรื่องหมดเลย เพราะวันนั้นเราไปค้างที่ห้องโจม แล้วห้องมัน...ไม่เก็บเสียงอ่ะ เข้าใจป่ะ” จี๊ดพูดไปหน้าก็แดงไป แต่เหนือสิ่งอื่นใดมันมีความฟินซ่อนอยู่
 
“อ่อ…” ผมพยักหน้า รู้สึกพลาดสุดๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์สำคัญ “แล้วพวกมันคบกันเหรอ”
 
จี๊ดส่ายหน้า “เรื่องนี้เราไม่รู้อ่ะ พวกนั้นไม่ยอมบอก แต่แอบได้ยินกล้าคุยกับโจมว่ากำลังจีบๆ อยู่”
 
พอได้ฟังที่จี๊ดพูดผมก็หันไปมองที่โต๊ะ โฟกัสกล้ากับฟ้าโดยเฉพาะ ถ้าไม่สังเกตดีๆ จะไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมันทั้งคู่เลยครับ ถึงจะเล็กน้อยแต่ก็ยังพอรู้ว่ากล้าพยามเอาใจฟ้า สักพักก็เปลี่ยนไปแกล้งกัน แล้วก็ส่งยิ้มให้กัน
 
นี่มันบรรยากาศคนเป็นแฟนกันชัดๆ
 
ไม่น่าเชื่อเลยครับ ล้อกันเล่นกลับกลายเป็นเรื่องจริงเฉย
 
ถ้าอย่างนั้นหนูนากับบอยก็มีสิทธิ์?
 
ผมเสสายตาไปยังคนทั้งคู่…ก่อนจะเห็นหนูนากำลังตบหัวไอ้บอยอย่างแรง!
 
เชี่ย ผู้หญิงสายโหด
 
“เราว่าคู่นั้นน่าจะยากกว่านะ”
 
“เราก็คิดงั้นแหละ”
 
เราสองคนเดินกลับไปที่โต๊ะ จี๊ดวางขนมที่ซื้อมากองไว้ ไม่ถึงหนึ่งนาทีมือที่มองเห็นจะๆ ของไอ้พวกตะกละก็คว้าไปหยิบแกะกิน
 
“พวกมึง นี่ของจี๊ดนะเว้ย” ผมอดไม่ได้พูดขึ้น ดูไอ้บอยดิครับ แกะยัดใส่ปากเฉยเลยอ่ะ
 
“จี๊ดยังไม่ว่า มึงจะเดือดร้อนเพื่อ? เอานี่กินๆ ไปซะ”
 
“อื้อ!!!”
 
ไอ้เห็บหมา!! ไอ้กล้ามันยัดขนมเข้าปากผมครับ ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย ดีไม่หลุดเข้าไปในคอ
 
“ว่าแต่มึงกับแฟนย้ายมาอยู่ด้วยกันแล้วใช่ป่ะ” ไอ้กล้าถาม ด้วยเพราะขนมยังเต็มปากเต็มคำ ผมเลยพยักหน้าแทน “โหยดีว่ะ ฟ้าเมื่อไหร่มึงจะย้ายมาอยู่ห้องกูวะ”
 
“ทำไมกูต้องย้ายมาอยู่กับมึง”
 
“เอ้า ก็เราเป็นแฟ...อ๊อก!”
 
สมน้ำหน้าไอ้กล้ามันครับ โดนฟ้ายัดขนมใส่ปากเลย ไอ้แบบนี้แสดงว่ามันยังไม่คบกัน แล้วหนทางคงอีกยาวไกล แต่ไม่เป็นไรเพื่อน กูเป็นกำลังใจให้
 
“โจมขาาา ป้อนกูแบบนี้บ้างสิคะ”
 
เดี๋ยวๆ หนูนา มึงจะคะขาก็แทนตัวเองให้น่ารักๆ หน่อยสิวะ แล้วป้อนอย่างไอ้ฟ้าเนี่ยไม่จุกหลอดลมตายก็บุญแล้ว
 
“จะเอาแบบนั้นเหรอ” โอ้...ไอ้โจมมาเต็มครับ มันหยิบขนมมาเป็นกำมือ ยื่นให้หนูนาพร้อมรอยยิ้มละมุน “มาสิเดี๋ยวป้อน”
 
“เอ่อ...กูเกรงใจอ่ะโจม มึงเก็บไว้กินเองนะ”
 
ฮาาาา
 
“เขาไม่ป้อนมึง ตัวสำรองอย่างกูป้อนให้ก็ได้นะ”
 
“มึงก็เก็บไว้กินเองเถอะไอ้บอย”
 
เออ เป็นผมก็ไม่กินหรอก เปลือกขนมทั้งนั้นนน
 
โอ๊ยยย อยู่กับพวกมันแล้วเพลียใจ แต่ก็สนุกดี :)

♣♣♣♣♣

สัปดาห์ที่สองของเปิดเทมอก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ จะมีเปลี่ยนบ้างเล็กน้อยก็ตอนนี้ไม่ค่อยมีเด็กปีหนึ่งมาทำอะไรแปลกๆ กันแล้วครับ ที่คณะของผมเริ่มมีพี่วินัยลงจริงจังแล้ว อ้อ ไอ้พี่สามได้รับเลือกเป็นหนึ่งในพี่วินัยด้วยนะ พี่บุ๊คนั่นแหละที่เลือกพี่มันเป็นทายาทอสูรคนต่อไป ถามว่าผมกลัวหรือเปล่าที่ทั้งสายเป็นพี่วินัยหมดเลย…

ตอบว่าไม่ครับ เชื่อว่าพี่สามมันไม่คิดสั้นเลือกผมเป็นหรอก คิดดูสิ มีพี่วินัยอย่างผมน้องคงไม่เชื่อฟังอะไรแล้วล่ะ

“ปีหนึ่งปีนี้หน้าตาดีว่ะ น้องผู้หญิงก็เยอะขึ้นด้วย แต่ทำไมน้องรหัสกูเสือกเป็นผู้ชายวะ” ไอ้กล้ามันนั่งท้าวคางทำหน้าเซ็งๆ กล้าพูดนะมึง เห็นหน้าคนที่นั่งข้างมึงป่ะครับ

“เออ น้องกูก็เป็นผู้ชาย” อ้าว มึงไม่ห้ามมันหน่อยเหรอฟ้า

“ใคร!?” ผมกับไอ้โจมสะดุ้งขึ้นมาพร้อมกัน ไอ้ผมน่ะสะดุ้งนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร โดยปกติเป็นคนขวัญอ่อนอยู่แล้ว แต่ไอ้โจมเนี่ยนะจะตกใจ มึงเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ

“มึงจะเสียงดังทำไมเนี่ยกล้า”

“ก็บอกมาดิว่าใครเป็นน้องมึง หน้าตาเป็นยังไง นิสัยเป็นยังไง หล่อมั้ย หรือว่า…”

“แล้วมึงจะรู้ไปทำไม”

“กูเป็นแฟนมึงไง กูก็ต้องรู้เรื่องทุกอย่างของมึงนะ!” เท่านั้นแหละครับ ไอ้คนขี้เขินอย่างฟ้าก็หน้าแดงเป็นดอกเบญมาศ...เอ่อ...เปลี่ยนๆ มันจะสยองไปนิด เอาเป็นว่าหน้าแดงก็แล้วกัน

“กูยังไม่ได้ตกลง”

“งั้นเปลี่ยนเป็นว่ามึงเป็นเมียกูก็ได้ ปฏิเสธไม่ได้หรอกมึงอ่ะ หลักฐานคาห้อง”

“อะไรวะ” ผิดหรือเปล่าที่ผมสงสัย ก็งงนี่ครับหลักฐานคาห้องมันคืออะไร

“ก็ซากถุงยางของกูไง ใช้เมื่อคืนยังไม่ได้ทิ้งเลย”

“ไอ้กล้าาาา!!!”

โอเค ไว้อาลัยให้กับชีวิตไอ้กล้าด้วยครับ เอาเรื่องอะไรมาพูดก็ไม่รู้ บ้าบอจริงๆ เลย

“มึงไม่ต้องเขินหรอกปูน ยังไงสักวันมึงก็ต้องเจอ” ไอ้โจม ไอ้เลวไอ้เพื่อนนิสัยแย่ เหอะ กูขอแช่ง ขอให้มึงได้ผัวไม่ใช่เมีย!!

ระหว่างที่ผมกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นั้นก็มีมือที่ผมไม่เห็นมาสะกิดข้างหลังยิกๆ พอหันไปก็พบกับสาวสวยที่พ่วงตำแหน่งเดือนสาขาของผมเอง

ก็หนูนาไงครับ ทุกคนลืมเหรอว่ามันเป็นเดือนสาขาอ่ะ ว้ายๆ หนูนามันไม่สวยแล้วใช่มั้ยครับ (ผัวะ!! โดนหนูนาตบหัวทิ่ม)
 
“ปูนๆ ไปกับกูหน่อยดิ อาจารย์เพชรเรียกไปเอารายงานคืนอ่ะ”

“รายงานไรวะ” ฟ้าที่เลิกทำการฆาตกรรมไอ้กล้าแล้วถามขึ้น บอกทีว่ามึงไม่ได้ติดนิสัยขี้เสือกจากผัวตัวเองมา

“รายงานที่ส่งไปเมื่อไฟนอลครั้งที่แล้วอ่ะ อาจารย์เขาจะคืนให้ เมื่อกี้เจอเขาที่ทางเดินเขาเลยบอกให้เอาเพื่อนไปช่วยขน”

“แล้วทำไมต้องเป็นไอ้ปูนวะ” นั่นสิฟ้า กูก็คิดเหมือนมึง

“ก็แหม จะให้กูเอาพวกมึงสองคนไปหรือไง” มองไปทางฟ้ากับกล้าที่นั่งใกล้กัน “กูไม่อยากอยู่เป็นก้างขวางคอนะ ไอ้บอยก็ไม่อยู่ จี๊ดก็ไปซื้อขนม (อีกแล้ว?)”

“อ้าว แล้วไอ้โจมล่ะ” นั่นสิ แล้วไอ้โจมล่ะ

“กูไม่อยากให้ผัวกูลำบากไง”

ถุยยยยยย

จ้าาาา แม่คุณหนูนา กระผมทราบแล้วครับ สุดท้ายมันก็ต้องเป็นกูใช่มั้ยล่ะ เหอะ!

“มึงแหละปูน ไปกับกูเลย” ได้ฟังเหตุผลของหนูนาแล้วก็ต้องยอมลุกไปกับมันครับ ถึงแม้เหตุผลข้อสุดท้ายจะทำให้รู้สึกหมั่นไส้มากก็ตามที

เราสองคนเดินไปหาอาจารย์เพชรที่ห้องพัก รายงานการเพาะปลูกที่เราทำวางกองอยู่ตรงพื้น ผมกับหนูนาหยิบมาคนละกอง หนักเอาเรื่อง ถ้าให้จี๊ดมากับหนูนาสองคนก็ไม่ไหวครับ สงสารเพื่อน

ว่าแต่ให้มาแต่รายงาน แล้วต้นไม้ล่ะ

“ต้นไม้พวกคุณผมเอาไปให้คนสวนจัดการที่สวนคณะแล้วครับ ว่างๆ ก็ไปเดินเล่นเยี่ยมมันได้นะ” อ๋อ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าจะแอบขโมยต้นไม่ของผมกลับห้องก็คงได้สินะ “อือ...จะเอากลับไปก็ได้นะ ยังไงผมก็ทวงคะแนนคืนไม่ได้อยู่ดี”

เชรดดดด อาจารย์อ่านความคิดผมออกป่ะเนี่ย หรือเป็นเอ็ดเวิร์ค คัลไลน์ ปลอมตัวมา!

เหอะๆ บ้าบอได้อีกกู

ผมกับหนูนาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะไหว้ลาอาจารย์แล้วเดินออกจากห้องมา เราก็อาศัยความระมัดระวังขึ้นสุดเพื่อไม่ให้สะดุดล้มไประหว่างทาง

ทว่า…

ปึก!

ตุบ!!

กองหนังสือให้มือผมหล่นกระจายเต็มพื้น ส่วนตัวผมก็ล้มลงไปนั่งอยู่บนปูนแข็งๆ ก้นกระแทกไปเต็มๆ

อูย…เจ็บตัวอีกแล้วกู

“ปูนมึงเป็นไรบ้างวะ” เจ็บดิวะถามได้ ทำไมต้องเป็นกูตลอดที่ซวย ทำไมต้องเป็นกูตลอดที่เจ็บตัวหรือมีแผล โอ๊ยยยย ชีวิตหนอชีวิต งงตัวเองว่าอยู่มาจนอายุเท่านี้ได้อย่างไรโดยที่ไม่ตายเสียก่อน “ไม่ระวังเลยวะมึง เย็นนี้กูฟ้องพี่เอื้อแน่”

“ห้ามมึงบอกเอื้อเด็ดขาด” คุณว่าที่เภสัชกรเขาจะค่อนข้างซเรียสกับอาการบาดเจ็บของผมครับ มดกัดนิดเดียวพ่อคุณเล่นใหญ่ยิ่งกว่าละครเวทีของค่ายดังอีก

“มึงว่าพี่เขาไม่รู้เหรอ ตัวมึงมีรอยถลอกอีกแล้ว” หนูนามันจับแขนผมพลิกไปมา โธ่รอยเท่าเข็มทิ่มแบบนี้ปิดลาสเตอร์ก็ไม่เห็นแล้ว แล้ววันนี้กูก็ช่างดวงดีที่สุด เสือกใส่เสื้อแขนสั้นมาด้วยนะ

“เอาเป็นว่าห้ามบอกเอื้อเด็ดขาด” ถึงจะเจ็บแค่ไหนต้องข่มใจขู่มันไว้ครับ ผมกันหนูนาช่วยกันเก็บรายงาน (ที่ผมทำ) หล่นกระจายอยู่เต็มพื้น

“เฮ้ยเล่มนั้นนี่รายงานเราป่ะ”  หนูนาชี้นิ้วไปยังหนังสือที่กางแผ่อยู่บนพื้นเยื้องๆ ไปทางซ้าย ผมเลยเอื้อมมือไปหยิบมา เป็นรายงานของพวกผมเองครับ

เห? ชื่อไอ้บอย

“อยากรู้ป่ะว่ามันปลูกอะไร” ผมถาม

“มึงนี่ก็ขี้เสือกนะปูน แต่กูก็อยากรู้ว่ะ คนอย่างมันจะปลูกอะไร”

ผมเสียมารยาท (แต่จริงๆ ไอ้เจ้าของมันก็ไม่ค่อยมีมารยาทอยู่แล้วครับ เรื่องนี้มันไม่ถือหรอกครับ) เปิดดูภาพในรายงานของไอ้บอย มันทำงานเรียบร้อยกว่าที่ผมคิดไว้ครับ ตัวหนังสือเรียงเป็นระเบียบ ส่วนต้นไม้ที่มันเลือกปลูกก็ผิดกับที่ผมคิดไว้ ผมเดาว่ามันจะปลูกอะไรง่ายๆ อย่างคุณนายตื่นสาย ไม่ก็พลูด่าง แต่ที่มันเลือกปลูกจริงๆ กลับเป็น…

“กุหลาบแดง?”

ผมค่อยๆ เปิดหน้ากระดาษอย่างระมัดระวัง บอยดูแลกุหลาบอย่างดีเชียวครับ ออกดอกออกใบสวยงาม สมกับคะแนนที่เขียนไว้ที่หน้าปก

“หือ? ‘อยากรู้เหตุผลที่ผมปลูกหรือเปล่าครับ ถ้าอยากรู้พลิกหน้าต่อไปเลย’ มีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ” ว่าแล้วผมก็จับกระดาษแผ่นนี้ไว้ เตรียมจะพลิกมือ แต่หนูนากลับยื่นมือมาจับมือผมไว้

“ดะ เดี๋ยว…”

“อะไร ไม่อยากรู้เหตุผลเหรอ” ผมถาม ใบหน้าสวยที่อยู่ใกล้กันดูตื่นเต้น จนผมอดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้ “มึงโอเคป่ะเนี่ย”

“ปูน…”

“ว่า?”

“กะ กูชอบดอกกุหลาบ…”

“...”

“โดยเฉพาะสีแดง”

อย่าบอกนะว่า…

ผมพลิกไปอีกหน้า ภาพในกระดาษแผ่นสุดท้ายคือหนูนาที่กำลังก้มลงดอกกุหลาบแดงบนแปลงดอกไม้ของคณะ เป็นภาพถ่ายตอนที่เจ้าตัวเผลอ ใบหน้ามีรอยยิ้มเล็กๆ แต้มตรงมุมปาก แลดูละมุนละไมจนอดยิ้มตามไม่ได้

บอยชอบหนูนา

“บอยชอบมึง…”

ใบหน้าหนูนาขึ้นสีแดงจัด มันรีบหยิบรายงานในมือผมไปถือแล้วแทรกไว้กับเล่มอื่นในกอง ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนพร้อมถือรายงานไว้อย่างเดิม ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“มึงอย่าบอกใครนะ”

หึๆ...หึๆๆๆๆๆ มึงเสร็จกูแน่นอนหนูนาเอ๋ยยยยยย

“กูจะไม่บอกใคร ถ้ามึงไม่บอกเอื้อเรื่องวันนี้”

หนูนามันถลึงตาใส่ผมก่อนจะกระแทกเสียงตอบ “เออ!!”

“แล้วช่วงนี้มึงก็ต้องมาเป็นเบ้ให้กูด้วย” หึๆๆๆ

“มากไปแล้วมึง”

“หรือจะให้กูบอก ได้นะ เรื่องขยายข่าวนี่กู…”

ผัวะ!! ไอ้หนูนามันเอารายงานตึหัวผมมมม ผมจะฟ้องตากับยายคอยดู!!

“ถ้าเรื่องนี้หลุดไป มึงได้กลายเป็นซากให้หมาแทะแน่” ไอ้เชี่ยยย บอยมึงชอกนางแม่ดอย่างหนูนาเข้าไปได้ยังไงวะ!

“แล้วมึงจะเอายังไงวะ”

หนูนาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบ “ถ้ามันชอบกูจริงๆ มันต้องกล้าบอก”

“แล้วไงต่อ ถ้ามันบอกมึงแล้วมึงจะทำไง”

“แล้ววันนี้กูจะบอกมันเอง”

 ถึงจะยังตกใจแต่ก็อดยินดีกับเพื่อนไม่ได้ (ไม่นับเรื่องที่มันตีหัวผมเมื่อกี้นะ) แล้วดูจากท่าทางของหนูนาตอนนี้ ผมคิดว่าถ้าบอยมันมีความกล้าอีกสักนิด รับรองมันได้ฟังข่าวดีแน่

อ่า...นี่เพื่อนๆ ผมกำลังจะมีความรักกันทุกคนแล้วใช่หรือเปล่าครับเหลืออีกสองคนสินะ...จี๊ดกับโจม

เดาไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะเป็นรายต่อไป

สาวที่ชอบให้ผู้ชายได้กัน

กับหนุ่มที่มนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นน่าเป็นห่วงที่เหมือนยังไม่ลืมคนเท่า

..
.
======================================================
========================================
ฮัลโหลทุกคนนนนน พาน้องปูนมาส่งค่ะ และในส่วนของโจมนั้นนน ขอติดไว้ก่อนเนาะ
เรากำลังสอบค่ะ (สอบอีกแล้ว สอบอะไรนักหนา) และถ้าสอบเสร็จคราวนี้เราจะปิดเทมอแล้วนะ
ขอโทษค่ะที่หายไปนานมากก
รักทุกคนนะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ  :bye2:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
 :pig4: :pig4:
เทอมเขียนแบบนี้จ้า

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
 :pig4: ชอบหนูนาโหดดี

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
บทที่ 31
เมื่อน้องปูนน้อยใจ


ตอนเย็นของวันนี้ผมต้องมานั่งเฝ้าเหล่าชายหนุ่มทั้งหลายนัดเตะฟุตบอลกระชับสัมพันธ์เกษตรฯ-เภสัชฯ แม้ว่าจะมีมนุษย์ที่เรียนเภสัชฯ สองคนในสนามก็ตามที

อ้อ แล้วทำไมพวกเขาเหล่านี้ถึงนึกคึกลงสนามกันได้น่ะเหรอ… เรื่องมันเริ่มจากเมื่อสองคืนก่อนที่ไอ้บอยกับไอ้กล้ามันอยากจะกินหมูกระทะขึ้นมากระทันหัน พวกผมเลยเฮโลไปตามมัน แล้วบังเอิญว่าวันนั้นมีบอลฯ ลีกสำคัญที่พวกเราชื่นชอบ ทว่าพี่เดียวกับน้องชายสุดที่รักหรือก็คือไอ้กล้าและเมียมันดันเชียร์คนละฝั่ง ไปๆ มาๆ ก็เลยทาดวลเข้งกันเสียอย่างนั้น โจมกับเอื้อก็เอากับเขาด้วย มันบอกว่าเรื่องพวกนี้เป็นศักดิ์ศรีของชีวิต

กู และอีกสามชีวิตผู้ซึ่งไม่มีส่วนข้องเกี่ยวอะไรเลยก็ต้องมานั่งเป็นงกองเชียร์โง่ๆ ให้พวกมัน กลางแดดอ่อนๆ ของเวลาประมาณห้าโมงเย็น

กลับหอไปหาอะไรทำอย่างอื่นไป!!

จากการแข่งขันเล็กๆ ระดับเด็กประถมที่มีผู้ร่วมเล่นฝั่งละสามคน (มึงก็ยังเลือกจะแข่งกันนะ) ตอนนี้เร่งขยายใหญ่ขึ้นเป็นฝั่งละห้าคน (ยังห่างไกลจากของจริง) ไม่ใช่ใครอื่นครับ พี่บุ๊ค พี่มิว พี่สาม พี่โก้ เจ้าเก่าเจ้าประจำของเราเอง วันนี้พวกพี่ๆ มันไม่ได้ลงวินัยน้อง ก็เหมือนเป็นดังพรหมลิขิตที่ขีดเขี่ยให้...คนหล่อทั้งหลายมารวมตัวกัน

“ช่วงนี้เรียนหนักหรือเปล่าคะพี่ฟิ้ง ว่ากันว่าปีสามนี่ปีนรกเลยใช่มั้ย” จี๊ดที่นั่งข้างพี่ฟิ้งชวนคุย ปกติจี๊ดมันเป็นคนไม่ค่อยพูดหรอกครับ แต่แม่นางถูกใจในความ ‘เคะ’ ของพี่ฟิ้งเป็นอย่างมาก ผมก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ ‘เคะ’ นี่มันแปลกว่าอะไร แต่คงไม่ปลอดภัยกับชีวิตพี่ฟิ้งแน่นอน

“ก็หนักอยู่นะ เพิ่งสองอาทิตย์งานก็ล้มมือแล้ว” พี่ฟิ้งเป็นคนยิ้มสวยมาก หน้าตาหน้ารักเหมือนกับตุ๊กตา เสียอย่างเดียวมาเป็นเพื่อนกับเอื้อและพี่เดียวนี่แหละ คนดีๆ อย่างนี้น่าจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับสองคนนั้น (ผมล้อเล่นครับ แหะๆ)

“เรียนหนักขนาดนี้พี่ฟิ้งมีคนดูแลหรือยังคะ หนูช่วยหาให้เอาหรือเปล่า” น้ำเสียงกระตือรือล้นนี่คืออะไรกันจี๊ด บอกตามตรงแอบกลัวแทนพี่ฟิ้งนะ

พี่ฟิ้งหัวเราะ “ยังหรอก อีกนานกว่าจะมี ตอนนี้ก็ต้องดูแลตัวเองไปก่อน”

“โธ่...แล้วพี่ฟิ้งไม่เหงาเหรอคะ”

“ไม่หรอก พี่มีเพื่อนดีน่ะ อยู่กับพวกมันพี่ก็ไม่เหงาแล้ว” ตอบได้พระเอกมากๆ ครับพี่ฟิ้ง “ถ้าไม่ติดว่ามันมีแฟนแล้วทิ้งพี่ไปกันหมดนะ”

ประโยคสุดท้ายของพี่ฟิ้งทำให้ผมสะอึก อยากจะหันไปมองว่าคนพูดยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเหมือนเคยหรือเปล่า หรือตอนนี้เขาทำให้แบบไหนกัน ประโยคเมื่อกี้มันไม่ได้หมายถึงผมใช่มั้ย…

‘ฟิ้งมันหวงพี่มาก…’

“แฮ่กๆๆๆๆ” ผมหลุดจากความคิดบ้าๆ เมื่อฟ้ามันวิ่งหอบออกมาจากในสนามแล้วนั่งแปะอยู่ที่พื้นหญ้าตรงหน้าผม สภาพโคตรน่าสงสารครับ ลิ้นห้อยเป็นหมาเลย “ไอ้เชี่ยโคตรเหนื่อยยย”

“ฟ้า!! เป็นอะไรหรือเปล่า” ผัวมันตามมาหาถึงที่ครับ ก่อนจะส่งขวดน้ำเย็นเฉียบที่พวกผมเพิ่งเดินไปซึ่งมาให้กรอกปากล้างหน้าล้างตามัน แล้วใช้ชีทเรียนของวันนี้พัดให้ความเย็น

“เหนื่อยดิไอ้เชี่ยถามมากได้” ปากมถึงยังร้ายเหมือนเดิม “กูไม่ไหวแล้ว ให้เล่นต่อกูต้องเป็นลมแน่”

ก็ดีดิ พวกกูจะได้เย็น ตะลึงตึงโป๊ะ!

ขอโทษครับ ผมจะไม่เล่นอะไรแบบนี้อีกแล้ว (_ _)

“ก็สมควร เมื่อคืนพวกมึงก็หนักไม่ใช่เหรอ”

พอฟ้ามันจะเป็นลม พวกที่เหลือก็ได้โอกาสเข้ามาพัก แต่ละคนนี่สภาพไม่ไหวครับ ตัวเปียกชุ่มเหงื่อมาก แต่ความหล่อลากยังคงระดับพระเอก ยิ่งเอื้อนี่ออร่ายิ่งพุ่ง มันไปตัดผมมาใหม่ด้วยครับ ทำให้ดูลุกคุณชายเพิ่มมากอีกแปดเท่า บวกกับความล่ำและผิวที่เข้มขึ้นเล็กน้อยยิ่งทำให้ดูมาดแมนแบบที่สาวๆ ต้องเหลียวหลังกันตาค้าง

คนที่ผมนินทาอยู่ในใจทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ผมโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ใช่อะไรครับ มันกำลังหอบอยู่ พอผมส่งน้ำไปให้ก็รีบเอาไปราดหัวทันที แถมยังสะบัดขน เอ้ย ผมใส่อีกแน่ะ สกปรกกกก

“เงียบปากไปเลยไอ้บอย”

“อะไร นี่พวกมึงได้กันแล้วหรอกเหรอ!” พี่บุ๊คแม่งไม่เจอกันสามเดือนเสียงยังคงเป็นโทรโข่งเหมือนเดิม “ไม่บอกพวกกูบ้างวะ”

“มึงคิดว่าเรื่องแบบนี้มันอยากป่าวประกาศหรือไง” พี่มิวคนเดิมเพิ่มเติมคือผมสีใหม่ ปกติพี่มิวเขาทำสีผมตลอดครับ เป็นสีโทนอ่อนทำให้พี่เขาดูเป็นคนละมุม แต่ครั้งนี้พี่มิวเปลี่ยนสีผมเป็นสีน้ำตาลเข้ม ยิ่งทำให้หน้าพี่เขาขาวขึ้นกว่าเดิม เป็นผู้เป็นคนขึ้นมากต่างกับพี่รหัสของผมโดยสิ้นเชิง

“แค่นี้ฟ้ามันจะก็งับหัวผมทุกวันอยู่แล้ว” นี่ก็เอารางวัลผัวดีเด่นไปเลย ประคบประหงมจนมันจะนอนตักอยู่แล้ว

“แล้วพวกมึงอ่ะเมื่อไหร่จะได้กันวะ เชี่ยกล้าแม่งแซงหน้าไปไกลแล้วนะ” พี่สาม มึงปล่อยกูไว้เฉยๆ ได้หรือเปล่าล่ะ ไม่ต้องดึงกูเข้าไปเกี่ยวหรอกเว้ย

“มึงเคยได้ยินป่ะสาม ช้าๆ ได้พร้าเล่มงามอ่ะ” อ้าว นึกว่าจะไม่พูดแล้วนะเนี่ย “กูยังไม่รีบเว้ย พวกกูเน้นความรู้สึก ไม่ได้เน้นความหื่นเหมือนไอ้กล้า”

“อ้าวพี่เอื้อ ผมก็รู้สึกนะครับ”

“รู้สึกหื่นสิมึงอ่ะ อยากไม่พักเลย ” ไอ้ฟ้ามันด่าผัวมันครับ แต่มันคงลืมไปว่าไม่ได้อยู่กันแค่สองคน

“...”

เชี่ยยยยยยย ทำไมผมต้องหน้าแดงด้วยวะ แล้วไม่ใช่แค่ผม แต่จี๊ดกับหนูนาก็เช่นกัน ส่นวไอ้คนพูดนี่เหมือนจะรู้ตัวแล้วครับ

“ไอ้ฟ้าร้ายนะมึง” พี่โก้แซวเลยครับ ก่อนพี่มันจะบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “เมื่อไหร่วันจะยอมบ้างวะ”

ผัวะ!!

“เดี๋ยวกูฟ้องวันเลยไอ้สัด!” เห็นแบบนี้พี่บุ๊คมันก็ห่วงเพื่อนมันเหมือนกันครับ ใครมารังแกพี่วันมันไม่ยอมหรอก แต่ถ้ามันแกล้งเองก็อีกเรื่อง

“คือผมหมายถึง…”

“เอาน่าน้องฟ้า เรื่องแบบนี้มันเรื่องธรรมชาติครับใครก็เป็น” พี่เดียว สายตาและรอยยิ้มมึงหน้าถีบยอดหน้ามากอ่ะ “กล้ามันทำเยอะๆ ก็ดีแล้ว น้องฟ้าจะได้ชินไง”

“พี่เดียว!!”

“ไปๆ เล่นต่อเลยพวกมึง จะได้รู้ผลไปสักที” มึงจะรีบไปไหนเนี่ยไอ้พี่บุ๊ค

“ฟ้ามันไม่ไหวแล้วพี่”

“มึงอ่ะไอ้ปูน ลงแข่งแทนเพื่อนเลย” อ้าว...เกี่ยวอะไรกับผมวะครับ ผมก็นั่งของผมอยู่เฉยๆ “ถ้ามึงไม่เล่นกูตัดมึงออกจากสาย!”

“เกี่ยวไรอ่ะ!”

“เกี่ยวดิ ตอนนี้กูเป็นพี่ใหญ่ กูจะทำอะไรก็ได้เรื่องของกู”

ผมอยากจะไปกรี๊ดใส่กหน้า (มันใช่เหรอกู) แต่ที่ทำได้คือเงียบไว้ครับ บอกเลยสภาพผมตอนนี้พร้อมลงสนามมาก รองเท้าผละเก่าๆ กับชุดนักศึกษา ใบคณะที่คนอื่นแม่งจัดเต็มด้วยกางเกงบอลและรองเท้าสตั้น

ขอบคุณกูเองที่เตรียมตัวมาดี แต่ไม่เป็นอะไรครับ ทักษะการเตะบอลของผมไม่แพ้ใครหรอก…

“ไอ้เชี่ยปูน มึงวิ่งตามบอลสิวะไม่ใช่วิ่งหนี!!” ก็วิ่งตามแล้วมันตามไม่ทันนี่หว่า

“ไอ้ปูนเอ้ย!! มึงเคยเล่นบอลป่ะวะ” ตอนกูอีกป.สองกูยังเล่นอยู่นะ ก่อนจะพบว่ามันไม่ใช่ทางเว้ย

“โอ๊ยไอ้นี่ ไปเป็นโกลว์ไปมึงอ่ะ!” โอเค กูไปเป็นผู้รักษาประตูก็ได้ แต่ว่านะ...มึงเล่นกับฝั่งเดียวไม่ใช่เหรอวะ แล้วจะมีกูไปเพื่อน

“ปูนๆ บอลไปแล้ว”

เอ๊ะ!?

ตุบ!

แล้วลูกบอลมันก็มาอยู่ใต้ส้นเท้าของสุดหล่อจนได้ แต่ว่ากูได้ลูกแล้วต้องทำไงต่อวะ จะเตะไปข้างหน้า หรือจะส่งไปข้างๆ ดีกว่า

ติ๊ก...ต่อก…

“มึงจะยืนให้ลากงอกเลยเหรอวะ! ส่งบอลต่อสิโว้ย!!” พี่บุ๊คมึงจะจริงจังห่าไรนักหนาเนี่ย กูชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ!!

ผมเลือกที่จะเลี้ยงลูกบอลไปข้างหน้าเพื่อประเคนให้ถึงฝ่าตีนท่านพี่บุ๊ค แต่ก้าวได้เพียงสองก้าวร่างสูงที่คุ้นเคยก็เข้ามาขวางเอาไว้

“ขอบอลให้พี่ได้มั้ย” เอื้อส่งยิ้มมาให้ แต่บอกเลยระหว่างเอื้อกับไอ้พี่บุ๊คกูเลือกผมก็ต้องพี่บุ๊คป่ะวะ แม้จะอยากส่งบอลให้เอื้อใจจะขาด

“ไม่ได้ ถอยไปเลย” โอ้โห อย่างกับว่าพูดไปแล้วเอื้อจะยอมถอยให้อย่างนั้นแหละกู

“น่านะ...ถ้ายอมให้ดีๆ วันนี้จะพาไปกินข้าว”

“เลี้ยงเปล่า”

“ขี้งก” มือหนายื่นมาบีบจมูกผมเบาๆ ก่อนผละออก “ยังไงก็ต้องเลี้ยงอยู่แล้วล่ะครับ”

“งั้นไปกินอาหารทะเลกัน อยากกิน” น้องปูตัวโตๆ น้องกุ้งตัวใหญ่ๆ และน้องหอย...ตัวอวบๆ หึๆๆๆ

“โว๊ย!! พวกมึงจะจีบกันก็ไปจีบกันนอกสนามโน้น!!” ไอ้พี่บุ๊คไอ้คนใจบาปหยาบช้า! ไม่เห็นเหรอว่าคนเขาคุยกันอบู่ เสียมารยาทจริงๆ เลย เอื้อมันอาศัยจังหวะที่ผมกำลังหันไปหาพี่บุ๊คแย่งลูกไปเฉยเลยครับ! ใจปาบกว่าพี่รหัสผมก็มันเนี่ยแหละ!! “เฮ้ออออ กูไม่น่าบังคับมึงมาเล่นเลยจริงๆ”

เห็นมั้ยล่ะ สมควรปล่อยผมไว้ข้างสนามน่ะดีแล้ว

จบเกม ฝ่ายผม อันประกอบไปด้วย พี่บุ๊ค พี่โก้ ไอ้กล้า ไอ้บอย และไอ้ฟ้า แพ้ยับยู่ยี้เหมือนกระดาษในถังขยะ และฝ่ายที่แพ้ต้องเป็นคนออกเงินค่าเหล้าคืนนี้ด้วย...กูว่าล่ะว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง และแม่งมีจริงๆ ด้วย เพราะว่าพอผมลงสนามไปก็ทำให้แต้มนั้นถอยหลังลงคลอง เพื่อนๆ ในทีมเลยมารุมบอกรักผม

“มึงนะมึง เพราะมึงเลยเนี่ย”

“โทษผมไม่ได้นะพี่บุ๊ค พี่บังคับผมเองอ่ะ”

“กูก็นึกว่ามึนจะพอเล่นได้ ที่ไหนล่ะ...ถามจริง ตอนเด็กๆ มึงเล่นอะไรวะ” พี่มันเหล่กอดอกมอง “เคยเล่นบอลฯ บ้างป่ะ หรือโดดแต่หนังยาง เล่นแต่หมากเก็บ”

“ก็ไม่ขนาดนั้นพี่ พอดีบ้านผมรวยอ่ะ เลยต่อหุ่นยนต์ตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อิอิ”

ผัวะ!!

ผมยกมืมอกุมหัวตัวเอง อิเชี่ยยย เจ็บบบบ

ก่อนที่พี่รหัสสุดที่รักจะได้ทำร้ายผมไปมากกว่านี้ เทพบุตรคนดีของผมก็วางแขนพาดไว้ที่ไหล่ก่อนจะดึงตัวผมให้เข้าไปหา

“วันนี้ดุปูนหลายครั้งแล้วนะพี่” ใช่ๆ ตั้งแต่ลงสนามไปกูโดนมึงตวาดมากี่ครั้งแล้วเนี่ยพี่บุ๊ค พวกมึงด้วยเลยไอ้กล้าไอ้บอย พี่ปูนไม่ยอมมมม

“แตะนิดแตะหน่อยนี่ไม่ได้เลย?” พี่มันกวนตีนครับ

“สงสารน้องเถอะ บอกแล้วว่าเล่นไม่เก่งจริงๆ” แกล้งตีหน้าเศร้าเข้าไว้พี่บุ๊คมันจะได้สงสาร

“เออๆ วันหลังกูไม่ให้มึงแข่งกีฬาห่าอะไรอีกเด็ดขาด”

เท่านี้พี่ปูนก็พอใจแล้วล่ะ

พวกเราแต่ละคนทยอยกันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอ ก่อนจะร่วมตัวอีกครั้งที่บ้านพี่เดียว (เปลี่ยนที่บ้างก็ดี ผมเบื่อร้านพี่เติมกับห้องไอ้โจมจะตายแล้ว) พี่บุ๊คมันให้เหตุผลว่าอยากฉลองที่ได้เปิดเทมอ สาบานว่าพวกคุณๆ แต่ละคนดีใจกันจริงๆ แต่ผมว่าไม่ใช่หรอก แค่หาเรื่องแดกเหล้ากันมากกว่า ค่าเหล้าไม่เสีย (ผมไม่ต้องออกแหละ ไชไย!) แถมมีเจ้ามือกับบแกล้มเป็นพี่บุ๊คกับพี่มิว (เพราะพี่มันแก่สุดครับ) อีกด้วย บอกเลยว่าโคตรคุ้ม ไปกินฟรีอย่างเดียว ทว่าความผิดที่ทำให้ทีมแพ้ก็ต้องชดใช้ด้วยการเป็นคนซื้อของทุกอย่างในเย็นวันนี้ บอกเลยว่าผมมีผู้ช่วยมือดีอย่างคุณชายเอื้ออารีย์อยู่แล้วครับ เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ

“ไหนบอกจะพาไปกินอาหารทะเล” แกล้งงอแงไปงั้นแหละ รู้ว่าถ้ากินอาหารทะเลจริงๆ พี่บุ๊คพี่มิวหมดตัวแน่ เลยเปลี่ยนจากของทะเลสดๆ เป็นหมูกระทะกับสุกี้แทน

“เอาไว้ไปกินกันสองคนนะ” ร่างสูงส่งยิ้มให้ผมขณะหยิบลูกชิ้นใส่รถเข็น เอื้อทำให้ผมแปลกใจ เห็นคุณชายแบบนี้แต่มันเป็นคนจัดการของทั้งหมดในรถเข็นคนเดียว ทั้งเลือกเนื้อ เลือกผัก พี่เอื้อของคุณๆ เหมาหมดเลย พอถามก็ได้ความว่างตอนปิดเทมอมันว่างครับ เลยเข้าครัวช่วยแม่ทำอาหารบ่อยๆ

‘ฝึกไว้ทำให้ปูนกินนั่นแหละ’ โอ๊ยยยย ชาติที่แล้วขายขนมครกเหรอ หยอดกันอยู่นั่นแหละ นี่ใจอ่อนจนจะขอเป็นแฟนเองแล้วนะ

“ปูนเอาอะไรอีกมั้ย”

“ไม่แล้วอ่ะ”

“แล้วมึงล่ะฟิ้ง เอาอะไรอีกหรือเปล่า” ครับ เราไม่ได้มากันสองคนหรอก เอื้อแวะพี่รับพี่ฟิ้งมาด้วยแต่เพราะพี่ฟิ้งไม่มีความสามารถในการทำอาหารใดๆ ทั้งสิ้น ผมกับพี่ฟิ้งจึงไร้ประโยชน์พอๆ กัน

“ไม่เห็นมีปลาหมึกเลย” พี่ฟิ้งชะโงกหน้ามาดูในรถเข็น “ของโปรดกูนะ ลืมได้ไง”

“ไม่ได้ลืม แต่ปูนไม่กินกูเลยไม่ได้หยิบ” หูย จำได้ด้วยอ่ะว่าผมไม่กินอะไร ขนาดผมยังไม่ได้นึกถึงเลย “แต่เดี๋ยวกูไปหยิบให้ รอนี่แหละ” แล้วเอื้อก็เดินออกไปหาซื้อปลาหมึกตามที่ได้บอกไว้ ทิ้งผมไว้กับพี่ฟิ้งสองคน

คุณเคยมีความรู้สึกอึดอัดเวลาต้องอยู่กับใครบางคนตามลำพังบ้างหรือเปล่า แบบว่าคุณแอบภาวนาในใจตลอดว่าขออย่าให้ได้อยู่กับเขาเลย ไม่อยากอยู่กับเขาแค่สองคน มันไม่รู้จะคุยอะไร เหมือนมีกำแพงเล็กๆ ก่อขึ้นอยู่ในหัวใจ สารภาพเลยว่าผมรู้สึกแบบนี้กับพี่ฟิ้ง เวลาอยู่กับพี่เขาผมจะทำตัวไม่ถูก และไม่รู้จะคุยอะไรด้วยทุกครั้ง พี่ฟิ้งเองก็ไม่ค่อยชวนผมคุยเท่าไหร่ ทั้งที่พี่เขาเป็นคนคุยเก่งและอัธยาสัยดีคนหนึ่ง

พี่ฟิ้งกับพี่เดียวต่างเป็นเพื่อนสนิทเอื้อ แต่บรรยากาศของทั้งสองคนสำหรับผมมันต่างกัน บอกเลยว่าผมชอบพี่เดียวมากกว่า ถึงพี่เขาจะเป็นคนโผงผางขี้แกล้ง ทว่ากลับเข้าถึงได้ง่าย ผิดกับพี่ฟิ้งที่เหมือนพี่เขามีอะไรในหัวใจตลอดเวลา

“ปูนกับเอื้อคบกันหรือยัง” ผมสะดุ้งที่พี่ฟิ้งถามขึ้นตอนผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ เห็นหน้าเอ๋อๆ ของผมแล้วพี่ฟิ้งคงรู้ว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้ฟัง เลยถามใหม่อีกรอบ “พี่ถามว่าปูนกับเอื้อเป็นแฟนกันหรือยัง”

“...ยังไม่ได้เป็นแฟนกันครับ” เอื้อยังไม่เคยเอ่ยปากเรื่องนี้เลสักครั้ง ตอนแรกผมคิดว่ามันจะขอทันทีที่ผมกลับมามอ เสียอีก แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร ดูกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ดี มันแน่นอนดี

“ก็แปลกดีนะ ไม่คิดว่าเอื้อจะรอได้นานขนาดนี้” พี่ฟิ้งส่งยิ้มมาให้ แต่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีเลยในเมื่อดวงตาของพี่เขายังคงเรียบเฉย “ถ้าเป็นเอื้อเมื่อก่อนคงไม่สนใจไปนานแล้ว มันเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรยุ่งยาก เอื้อมันเป็นคนขี้เบื่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไร” ผมยังคงเงียบและฟังว่าพี่ฟิ้งจะพูดอะไรต่อ ตอนนี้รอยยิ้มที่พี่ฟิ้งมีให้ผมมันได้เลือนหายไปแล้ว “ปูนเป็นคนโชคดีมากเลยนะ...โชคดีมากจริงๆ”

ผมกำลังจะตอบขอบคุณพี่ฟิ้งไปอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเสียงพูดของผู้หญิงกลุ่มข้างๆ เราดังขึ้นมาเสียก่อน

“มึงจะยอมโดนแย่งเหรอ”

“กูจะยอมได้ยังไง” อีกคนตอบกลับมาด้วยเสียงหนักแน่น “กูไม่มีทางยอม กูรักของกู ยังไงเขาก็ต้องกลับมาเป็นของกูให้ได้”

อือ ช่างเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวดีแท้

“อย่างนี้สิวะ ของๆ ใคร ใครก็รัก ไม่มีทางยอมให้คนอื่นเอาไปหรอก” เพื่อนเธอตอบกลับมา ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากรัศมีการได้ยินของเรา

“ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวนะครับ หมดยุคนางเอกแสนดีแล้ว” ผมหันไปส่งยิ้มให้พี่ฟิ้งแต่สายตาที่มองกลับมาทำให้ผมชะงัก

“มันก็ถูกของเขาแล้วไม่ใช่เหรอ ใครจะยอมปล่อยให้ของๆ เราไปเป็นของคนอื่นได้”

“...นะ นั่นสินะครับ”

“ของๆ ใคร ใครก็หวง...อะไรที่มันเป็นของเรา เราก็ต้องได้คืน”

ในหัวของผมว่างเปล่าไปชั่วขณะ ประมวลผลในสิ่งที่พี่ฟิ้งพูดและการแสดงออกทางสายตาของเขา รอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากบ่งบอกว่าผู้ชายคนนี้ต้องคิดอะไรไม่ดีอยู่อย่างแน่นอน แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรกลับไป เอื้อก็เดินกลับมาพร้อมกับปลาหมึกถุงใหญ่ที่รู้ว่าต้องซื้อมาเอาใจพี่ฟิ้งแน่นอน

“มึงซื้ออันนี้มาเลยเหรอวะ แพงนะ พี่บุ๊คได้ด่ามึงแน่”

“ไม่เป็นไร อันนี้กูออกให้ก็ได้ เพื่อมึงโดยเฉพาะ”

“กูต้องดีใจมั้ยเนี่ย”

“หึๆ ก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว”

วันนี้ผมเพิ่งได้รู้ว่าการหาเสียงตัวเองไม่เจอชั่วขณะมันเป็นยังไง

..
.
บ้านพี่เดียวจัดว่ากว้างขวางเลยทีเดียว ทั้งที่อยู่ในกลางเมืองแต่อาณาบริเวณที่มีก็มากพอให้เราจัดปาร์ตี้คนเซี่ยนเหล้าได้ แถมพ่อกับแม่พี่เดียวก็ใจดีมากๆ เลยครับ ต้องรับพวกผมดีมาก แถมทะขนมให้พวกผมกินเล่นอีกต่างหาก พวกท่านบอกดีใจที่พี่เดียวมีเพื่อนสักที (โธ่ พี่เดียว) พี่เขาเป็นลูกคนเล็ก มีพี่สาวหนึ่งคนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ ด้วยความที่พ่อกับแม่กลัวเหงาเลยไม่ให้พี่เดียวไปเช่าหออยู่เอง

พวกเรานั่งเล่นกันที่สวน บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รอยยิ้ม และเสียงดนตรีจากกีตาร์โปร่งตัวเก่งของโจมซึ่งบรรเลงโดยไอ้บอย และขับร้องโดยหนูนา เพลงที่บอยเลือกจะเล่นเป็นเพราะของนักร้องสาวที่มีเสียงเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าใครฟังก็ต้องจำได้ และเนื้อหาของเพลงก็เป็นเนื้อหาของการแอบรักเพื่อน

ครับ...เพลง ‘เพื่อนสนิท ของ endrophine’ นั่นเอง

ทำไมรู้สึกว่ามึงร้องเพลงจีบกันเลยวะ

“...ปิดบังอยู่ตั้งนาน แหละมันอัดอั้นใจ
ยิ่งเราใกล้ชิดกัน ยิ่งหวั่นไหว
เธอสบตา กลับหลบตาเธออยู่เรื่อยไป

ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันก็แสนไกล
ยิ่งเธอเป็นเหมือนเพื่อนสนิท ยิ่งไม่มีสิทธิ์จะบอกไป (ว่ารักเธอ)”

มองพวกมันสองคนก็ได้แต่อมยิ้มครับ สายตาที่บอยมองหนูนามันหวานซึ่งเสียอย่างกับว่าในโลกนี้มีแค่พวกมันอยู่สองคน บอกตามตรงว่าทนดูนานๆ มันก็เลี่ยนพอสมควร คิดได้อย่างนั้นผมเลยหันมองไปทางอื่น และก็ต้องหยุดสายตาไว้ที่ใครคนหนึ่งที่มองตามร่างของใครอีกคนอยู่ตลอดเวลา

“ห่างแค่เพียงเอื้อมมือ แต่มันก็แสนไกล
ยิ่งเธอเป็นเหมือนเพื่อนสนิท
ยิ่งไม่มีสิทธิ์จะบอกไป ว่ารักเธอ”

เพื่อนสนิท : Endrophine

สายตาที่สื่อความหมายไม่ต่างอะไรจากบอยเลยสักนิด สายตาที่เต็มไปด้วยความรักและชื่นชม สายตาที่เป็นประกายสุกใสระยับยามเมื่อได้มองเขาคนนั้น แต่ก็หม่นแสงในบางครั้ง และหลบสายตาไปมองทางอื่นเมื่อเขาหันมามอง

สายตาของคนแอบรัก…

หมับ…

สัมผัสหนักๆ เกิดขึ้นที่หัวของผมก่อนที่เจ้าของสัมผัสจะลูบหัวผมเบาๆ แล้วนั่งลงข้างกันที่เดิม เป็นจังหวะเดียวกับที่สายตาของ ‘ใครคนนั้น’ มองมาทางผม

ซึ่งนั่นหมายความว่า…

“นั่งเหม่ออะไร แอบคิดถึงใครหรือไง” เสียงทุ้มคุ้นหูถามขึ้น ผมหันไปมองเอื้อก่อนจะส่ายหน้า “ดีมากที่ไม่ได้คิดถึงใคร”

“ที่ส่ายหน้าหมายถึงไม่ได้แอบคิด แต่คิดถึงเลยต่างหาก

“คิดถึงใคร” เปลี่ยนเสียงเป็นเข้มขึ้นทันที ผมอมยิ้มแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง อยากแกล้งคนขี้หึงขึ้นมา แต่มันยิ่งทำให้เอื้อคุกคามผมมากขึ้น ใบหน้หล่อเหลาโน้มมาหา จ้องมองไม่วางตา “บอกมาว่าคิดถึงใคร”

“ไม่บอก”

“ให้โอกาสอีกครั้ง จะบอกไม่บอก…”

“ไม่...บอก...!” และผมก็พบว่าการแกล้งให้เอื้อหึงเป็นอะไรที่โคตรไม่ควรกระทำเลย โดยเฉพาะตอนที่เราอยู่กันในที่สาธารณะแบบนี้

จุ๊บ…

เอื้อจุ๊บปากผม!! ผมรีบหันไปมองรอบด้านทั้ง โชคดีเหลือเกินที่ไม่มีใครสนใจเราสองคน คนอื่นเอาแต่ไปรวมกลุ่มกันนั่งฟังพี่บุ๊คแหกปากร้องเพลงต่อจากไอ้บอยอยู่

“ทำอะไรเนี่ย!” ผมกระซิบดุ คิดว่าตอนนี้หน้าต้องแดงมากๆ แน่นอน “ไม่ได้อยู่กันแค่สองคนนะ”

“แสดงว่าถ้าอยู่สองคนก็ทำได้เหรอ”

“ไม่ใช่อย่างนั้น แล้วอย่ามายิ้มสิ ทำไมเวลาทำผิดชอบยิ้มกลบเกลื่อนอยู่เรื่อย” ใช้มือดันหน้าที่ประดับรอยยิ้มล้อเลียนของอีกฝ่ายออกไปห่างๆ ไม่อยากเห็นครับ มันเขินไม่ไหวแล้ว แต่คุณชายเขาไม่ยอม กลับแกล้งจูบฝ่ามือของผมที่แปะอยู่ตรงปากของมันซ้ำๆ “เอื้อ!”

จะหื่นใหญ่แล้วนะ! โคตรอันตรายเลย นี่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันนะลืมแล้วเหรอ

“เสียงดังทำไม เดี๋ยวคนอื่นก็หันมามองหรอก” อยากจะเถียงเหลือเกินว่าคนอื่นจะมองก็เพราะท่าทางล่อแหลมของคุณนั่นแหละครับ! “ตกลงจะบอกหรือยังว่ามัวแต่คิดถึงใครอยู่ หรืออยากโดนลงโทษอีก”

“นี่ ไม่ต้องมาแกล้งทำเป็นโหดเลยนะ ก็รู้นี่ว่าเมื่อกี้ปูนแกล้ง”

คนถูกจับได้แจกยิ้มกว้าง “ยอมรับว่าแกล้งกันแบบนี้คงต้องโดนลงโทษแล้วล่ะ”

ผมตาโตรีบลุกขึ้นเตรียมจะเดินหนี แต่ติดที่หันไปเห็นใครบางคนยืนอยู่ข้างหลังเอื้อเสียก่อน “พะ พี่ฟิ้ง…” เมื่อกี้เห็นป่ะวะ เห็นฉากที่เอื้อมันแอบจุ๊บผมหรือเปล่า

“หือ?” เอื้อครางในลำคอก่อนจะหันไปมองบุคคลที่สาม “มีอะไรหรือเปล่า”

“กูอยากกลับแล้วอ่ะ รู้สึกมึนๆ ยังไงไม่รู้” พี่ฟิ้งบอกพร้อมยกมือขึ้นกุมหัว

“เมาเหรอ”  ร่างเล็กกว่าพยักหน้าแบบขอไปที ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ จะผิดหรือเปล่าถ้าในใจผมประท้วงไม่อยากให้พี่ฟิ้งเข้ามาภายในบริเวณที่เป็นของเราสองคน

ความหวาดระแวงในใจมันก่อตัวมากขึ้นทุกที ผมไม่เคยอยากเป็นคนขี้ระแวง และไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนแบบนี้ด้วย ปกติถึงผมจะเป็นคนคิดอะไรเยอะ แต่ก็ไม่เคยคิดใส่ร้ายใคร แต่กับพี่ฟิ้งมันมีอะไรบางอย่างที่ต้องทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เขาคิดไม่ซื่อ

 เอื้อหันมาส่งยิ้มละมุนให้ผม ถ้าเป็นปกติผมคงเขินอายหรือเคลิ้มไปกับมัน แต่ตอนนี้ไม่เลยสักนิด “กลับกันเถอะ”

“...” ผมนิ่ง ไม่ยอมขยับไปไหน บอกตามตรงว่าไม่อยากให้เอื้อไปจากตรงนี้เลย ผมไม่เข้าใจ ทำไมเอื้อจะต้องยอมพี่ฟิ้งตลอด ถ้าผมขอไม่กลับ เอื้อจะทำหรือเปล่า

“เป็นอะไร ยังไม่อยากกลับเหรอ”

“อือ” ผมพยักหน้ารับ อยากลองเอาแต่ใจดูบ้าง อยากรู้ว่าระหว่างผมกับพี่ฟิ้งนั้น เอื้อจะเลือกใครก่อนกัน

“งั้นเดี๋ยวกูกลับเอง”

เอื้อลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะตอบกลับมาว่า “เอางี้ เดี๋ยวพี่ไปส่งฟิ้งก่อนแล้วกลับมาหาปูน”

เอื้อก็คงจะต้องเลือกพี่ฟิ้งก่อนอยู่แล้ว… ผมน่าจะเดาได้ เขาเป็นเพื่อนรักกัน มิตรภาพที่เหนียวแน่นจนไม่มีใครสามารถแยกได้

“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวปูนกลับกับโจม จะได้ไม่ต้องวนไปวนมา เสียเวลา”

“ไม่เอาดิ เดี๋ยวพี่กลับมาหา ที่จริงก็ยังอยากสนุกกับเพื่อนอยู่ด้วย”

แล้วทำไมไม่ให้พี่ฟิ้งกลับเองล่ะ… ผมได้แต่ถามอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดออกไปเพราะรู้ว่ามันงี่เง่าสิ้นดีแ ล้วสุดท้ายก็ได้แต่ส่งยิ้มให้เอื้อและพยักหน้ารับแบบขอไปที

ผมเดินมาส่งทั้งคู่ที่รถ ได้แต่ยืนมองพี่ฟิ้งขึ้นไปนั่งตรงตำแหน่งประจำที่เป็นของผม นั่งตรงที่ๆ ได้ใกล้กับเอื้อมากที่สุด แม้ว่าเอื้อจะหันมาส่งยิ้มให้ มันก็ไม่ได้ทำให้หัวใจผมรู้สึกสงบลงเลย เมื่อเอื้อเปิดประตูรถ ในใจก็ประท้วงให้ห้ามเอาไว้ ทว่าขาทั้งสองข้างกลับไม่ขยับไปไหน ผมเหมือนโดนสะกดให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ล้วมองสองคนจากไปจนสุดสายตา

แย่…

ผมโคตรรู้สึกแย่ จนอยากจะร้องไห้ออกมา

“มึง…” เสียงเรียกนั้นไม่ได้ทำให้ผมหันไปมอง ฟังจากเสียงก็รู้ว่าเป็นโจม “โอเคหรือเปล่า”

“โอเคกูก็เก่งเกินไปแล้ว” เป็นครั้งแรกที่ผมยอมรับออกมาง่ายดาย เพราะข้างในมันรู้สึกแย่จริงๆ “กูแม่งโคตรงี่เง่าเลยว่ะ เขาเป็นเพื่อนกันแท้ๆ กูยังคิดบ้าบออะไรก็ไม่รู้”

“...”

“กูคิดว่าพี่ฟิ้งชอบเอื้อ” แค่คิดถึงตรงนี้ ขาผมก็ไม่มีแรงแล้วได้แต่ทรุดตัวลงนั่งที่ฟุตบาท “กูเห็นสายตาที่เขามองเอื้อ  ทุกสิ่งที่เขาทำมันบอกทั้งหมดว่าเขาคิดยังไง สำหรับพี่ฟิ้งเอื้อไม่ใช่แค่เพื่อน...และกูว่าไม่ใช่มาตั้งนานแล้ว”

“แต่สำหรับพี่เอื้อแล้วพี่ฟิ้งก็เป็นแค่เพื่อน”

ผมเค้นยิ้มกับสิ่งที่โจมพูด “ทำไมกูไม่คิดอย่างนั้นเลยวะโจม”

ตอนนี้ใจในของผมมันสับสน มันแบ่งออกเป็นสองข้าง ข้างหนึ่งคือเชื่อว่าเอื้อไม่คิดอะไรกับพี่ฟิ้ง อีกข้างมันกลับไม่แน่ใจ และคิดว่าจริงๆ เอื้ออาจจะยังไม่รู้ใจตัวเอง

“วันนี้พี่ฟิ้งเขาบอกกับกูว่า ‘อะไรที่มันเป็นของเรา เราก็ต้องได้คืน’ มึงว่าพี่เขาหมายถึงอะไรวะโจม”

“...”

“ถ้าพี่ฟิ้งทวงเอื้อคืนไป...” แค่คิดถึงตรงนี้ผมก็ใจหาย แค่คิดว่าจะต้องคืนเอื้อไป แค่คิดว่าตัวเองจะไม่มีเอื้อหัวใจก็ปวดขึ้นมาเสียอย่างนั้น

นี่ผมตกหลุมรักที่ผู้ชายคนนี้ขุดไว้เรียบร้อยแล้วจริงๆ สินะ ข้างในมันถึงได้เจ็บจนต้องร้องไห้ออกมา

ตอนที่ผมรู้สึกรักอีกฝ่ายไปแล้ว และผมรู้สึกว่าสุดท้ายผมจะต้องเสียงเอื้อไป…

“กูไม่รู้จะทำยังไงให้มึงดีขึ้น” เพื่อนของผมสารภาพออกมา “แต่กูจะนั่งตรงนี้เป็นเพื่อนมึงจนกว่ามึงจะโอเคแล้วกัน”

..
.

ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ผมมันเป็นพวกชอบหนีปัญหา ชอบหนีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และเป็นพวกชอบพึ่งพาคนอื่นอยู่เรื่อยไป

ปังๆๆๆๆ!!

ประตูห้องนอนถูกเคาะเสียงดังลั่น มันไม่ใช่ฝีมือเจ้าของห้องอย่างโจมแน่นอน

“ปูนอยู่ในนั้นใช่มั้ย!!” เอื้อจริงๆ ด้วย ผมคิดไว้แล้วไม่มีผิด “ปูน!!!”

“มันคงหลับไปแล้วล่ะพี่” เสียงโจมดังแทรกขึ้นมา

“หลับแล้วก็ต้องออกมาคุยให้รู้เรื่อง!” เอื้อตะคอกกลับ “โจมมีกุญแจหรือเปล่า เอามาเปิดให้พี่เดี๋ยวนี้!”

“...ถ้าปูนมันไม่ออกมาเจอพี่ แปลว่ามันคงไม่อยากคุยอะไรกับพี่”

“แต่พี่ต้องคุย...โจม พี่ต้องคุยกับปูน”

เสียงของโจมเงียบไปสักพัก ผมได้แค่ภาวนาขอให้โจมเดินเข้าห้องแล้วปิดประตูนอนไปเลย ไม่ต้องสนใจเอื้อที่กำลังบ้าคลั่งในตอนนี้ แต่แล้วโจมก็ทำให้ผมผิดหวังเมื่อประตูห้องเปิดออกในที่สุด

ผมซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม จิกมือเอาไว้แน่น แม้แต่หายใจยังไม่กล้า

“คุยกันดีๆ แล้วอย่าลงมือกับเพื่อนผม”

“พี่ไม่มีทางทำร้ายปูน” เสียงทุ้มตอบกลับ ตามมาด้วยเสียงบานประตูที่ปิดลง

พรึบ!!

ผ้าห่มผืนหนาถูกกระชากออกจากตัวอย่างรวดเร็ว ร่างสูงก้าวมาหาผมอย่างรวดเร็วก่อนจะกระโจนลงมาบนเตียง ขึ้นคร่อมผมเอาไว้ มือหนาตรึงมือผมไว้เหนือหัวทั้งสองข้าง อีกมือหนึ่งยกขึ้นมาปิดปากไม่ให้ผมส่งเสียอะไรออกมาได้ ผมรู้สึกกลัวเอื้อ สีหน้าดุดันและสายตาโกรธจัดของอีกฝ่ายทำให้ผมไม่กล้าต่อต้านหรือขัดขืน กลิ่นแฮลกอฮอล์ที่สัมผัสได้ดูฉุกกว่าเก่า

ที่บอกว่าจะไม่ใจร้ายด้วย...ลืมไปแล้วหรือเปล่านะ

“ทำแบบนี้ทำไมปูน” ถึงจะถามผม แต่มือ็ยังปิดปากผมไว้เหมือนเดิม “ไม่พอใจอะไรพี่ถึงได้หนีมาแบบนี้”

“...”

“สนุกมากหรือเปล่าที่ได้ปั่นหัวกันน่ะหา!!” ผมสะดุ้ง เอื้อไม่เคยตวาดผมแบบนี้ ไม่เคยเสียงดังใส่ ไม่เคยดูเลยแม้แต่ครั้งเดียว สิ่งที่เอื้อทำ มันเรียกน้ำตาที่แห้งหายไปของผมให้ไหลออกมาอีกครั้ง ร่างสูงชะงัก ดูจะแปลกใจไม่น้อยที่ผมร้องไห้ง่ายๆ ทั้งที่ปกติไม่เคยมีน้ำตาให้เห็น “ปูน พี่…”

“ออกไป!” เอ่ยปากไล่ ความน้อยใจผสมปนเปกับความโกรธจนรู้สึกไม่อยากเห็นหน้าอีกฝ่าย ผมพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการจากมือทั้งสองข้างแต่ก็ยากเหลือเกิน ยิ่งมาดิ้นมาเท่าไหร่ เอื้อก็ยิ่งกดแขนทั้งสองข้างของผมไว้แน่เท่านั้น “ปล่อย…!”

“ใจเย็นก่อนปูน” กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเป็นฝ่ายที่โกรธแทนเอื้อ “ปูน!!”

“บอกให้ออก...อื้อออ!!”

บ้าที่สุด!! แบบนี้ผมก็ไม่มีทางชนะเอื้อเลยน่ะสิ ทำไมผมต้องเป็นฝ่ายประทำอยู่ฝ่ายเดียวด้วย แบบนี้มันเกินไปแล้วนะ ทำไมต้องมาจูบกันด้วย รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่สามารถต้านทานสัมผัสเหล่านี้ได้เลย น้ำตาผมยังคงไหล แม้ว่าจะตอบรับจูบจากเอื้อแล้วก็ตาม จากที่ขัดขืนในตอนแรกก็กลายมาเป็นโอนอ่อนตามจังหวะการชักนำของอีกฝ่ายจนได้

ผมเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้ เกลียดที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ห้ามใจกับเอื้อไม่ได้เลย ยิ่งเอื้อให้ผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งต้องการมันมากเท่านั้น แล้วผมจะทำอย่างไรหากวันนี้จะไม่มีเอื้ออีกต่อไป…

เสียงแลกน้ำลายดังก้องไปทั่วห้อง เรียกความเขินอายให้กับผมได้เป็นอย่างดี แต่คงไม่ใช่สำหรับเอื้อ เพราะยิ่งได้เสียงเสียงครางมากเท่าไหร่ ความร้อนแรงให้รสจูบก็ยิ่งเพิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

“อือ...อ่า…” ร่างสูงเปลี่ยนเป็นจู่โจมที่หลังใบหู ก่อนจะจูบซับเรื่อยมาถึงต้นคอ ผมนิ่วหน้าเมื่อเอื้อกััดลงไปรอบๆ บริเวณนั้นเบาๆ ความเจ็บที่ได้รับยิ่งทำให้ผมตื่นเต้นมากกว่าเก่า

ผมมีสติอีกครั้งตอนที่มือหนาเลื่อนเข้ามาในเสื้อ และสัมผัสที่หน้าท้องอย่างจงใจ

“ยะ อย่า…”  แม้ปากจะห้าม แต่ก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการขัดขืน ไม่ว่าตัวเองจะโดนอีกฝ่ายสัมผัสที่ใด มันก็อ่อนระทวยไปเสียทุกครั้งจนไม่อาจจะห้ามความต้องการที่มีอยู่ลึกลงไปในหัวใจได้

ส่วนเอื้อก็เหมือนจมลงในความลุ่มหลง และยากที่จะถอนตัว… แต่แล้วทุกอย่างก็เหมือนหยุดนิ่งเมื่อผมดันไปนึกถึงคำพูดของตัวเองที่บอกกับโจมเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา

‘พี่ฟิ้งชอบเอื้อ’

ถ้าเป็นคนอื่นผมจะไม่มีทางยอมเสียเอื้อไปเลย เป็นใครผมก็จะสู้ แต่ถ้าเป็นพี่ฟิ้ง ผมไม่รู้จะสู้อย่างไร

“อึก...ฮือ…”

เอื้อหยุดทุกการกระทำแล้วเงยหน้าขึ้นมองผมที่สะอื้นไห้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ร่างสูงโยนเสื้อที่แขนทิ้งลงข้างเตียงแล้วพุ่งตัวขึ้นมาปลอบประโลมผมไว้ด้วยอ้อมกอดอบอุ่น

“เป็นอะไรปูน กลัวเหรอ…”

“...” ส่ายหน้าแต่ก็พยักหน้าในตอนสุดท้าย ผมไม่ได้กลัวที่เอื้อจะทำอะไร แต่ผมกลัวว่าถ้าเกิดเรื่องในคืนนี้มันเกิดขึ้นแล้วผมต้องเสียเอื้อไปต่างหาก

“ชู่...ไม่ร้องนะ ทำไมวันนี้ขี้แยจังเลย”

ผมอยากจะถามกลับว่ามันเป็นเพราะใครกันเล่าที่ทำให้ผมต้องเป็นคนขี้แยแบบนี้ แต่ส่งที่ทำได้กลับเป็นคำพูดสั้นๆ เพื่อขอร้องอีกฝ่ายว่า “อย่าโกรธปูนนะ”

“ไม่โกรธหรอก พี่เคยโกรธปูนลงที่ไหน” ว่าแล้วก็บรรจงจูบหน้าผาก

“ไม่...อึก...ไม่จริง เมื่อกี้เอื้อดุ…”

“ที่พี่ดุเพราะพี่เป็นห่วงปูนต่างหาก พอรู้ว่าปูนหายไปพี่ก็กังวล กลัวว่าปูนจะเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงเอื้อเหมือนกำลังเล่านิทานกล่อมเด็กน้อยซึ่งก็คือผม “พอเจอหน้าปูนก็เบาใจ แต่ยอมรับว่าตอนนั้นมันโมโหมาก ทำได้ยังไงปล่อยให้พี่ตามหาปูนแทบบ้า ตัวเองมานอนห่มผ้าสบายใจ”

“ไม่ได้สบายใจสักหน่อย” ผมเถียง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควรปากดีออกไปเลย

“หือ? ไม่สบายใจเรื่องอะไร” เอื้อรอฟังคำตอบจากปากผม แต่รอนานขนาดไหนผมก็ไม่ยอมพูดออกมาสักทีอีกฝ่ายเลยไม่คาดคั้นอะไรต่อ “โอเค วันนี้จะยอมปล่อยไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวเด็กขี้แยร้องไห้อีก”

ผมเม้มปากแน่น คำก็ขี้แย สองคำก็ขี้แย ผมเพิ่งร้องไห้ให้เอื้อเห็นแค่ครั้งเดียวเองเถอะ

“เสียดายจัง ทั้งที่เกือบจะ ‘ได้’ แล้วเชียว” แกล้งกระซิบข้างหูแล้วเป่าลมร้อนๆ ใส่ ให้ผมได้อายเล่น “สัญญาว่าคราวหน้าจะไม่พลาดแบบนี้อีก”

งื้ออออ มันจะไม่มีครั้งหน้าอีก ผมจะไม่ปล่อยให้ตัวเองเผลอใจง่ายๆ อีกแล้ว!

เอื้อขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่จะติดรถไว้ทุกครั้ง วันนี้เราสองคนตกลงกันว่าจะนอนค้างที่ห้องโจม หนึ่งคือมันดึกมากแล้ว สองคืนเอื้อขับรถไม่ไหว (และผมก็ขี้เกียจด้วย) ผมอดรู้สึกผิดไม่ได้ ทั้งที่เอื้อก็บอกอยู่แล้วว่าตัวเองมึนๆ (และเหมือนว่าจะเมาด้วยครับ) แต่เอื้อก็ยังอุตส่าห์ขับรถออกมาหาผมถึงหอโจม ระหว่างนั้นก็โทร.หาผมเป็นหลายสิบสาย แต่ผมจงใจที่จะไม่รับเลยสักสาย

พรุ่งนี้ผมต้องตาบวมแน่ๆ วันนี้ร้องไห้ไปกี่รอบแล้ววะ ตุ๊ดฉิบหาย ดีนะคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบคือไอ้โจม ถ้าเป็นไอ้กล้าล่ะก็ผมโดนล้อยันแก่เลยล่ะ

“บอกให้นอนไปก่อนไง” เอื้อแทรกผ้าห่มเข้ามานอนข้างกันแล้ว เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเอื้อเข้าห้องน้ำไปกว่าครึ่งชั่วโมง!

“เข้าไปทำอะไรนาน” ด้วยความสงสัยก็เลยหลุดปากถามไปอย่างรวดเร็ว

“ยังจะถามอีก ไม่รู้สึกๆ เหรอว่าพี่เข้าไปทำอะไร” อะไรวะ ใครมันจะรู้ ไม่ได้เข้าไปช่วยอาบเสียเมื่อไหร่ พอเห็นว่าผมคงคิดไม่ออกแน่ๆ เอื้อก็เลยเฉลย “เล่นยั่วพี่ให้อยากแล้วก็มาจากไปขนาดนั้น...คิดว่าพี่จะต้องทำยังไงถึงได้กลับมานอนข้างปูนใหม่ได้ล่ะ”

ทำยังไง…

อย่าบอกนะว่า…!!

“ทะลึ่ง!” ผมต่อว่าทั้งที่หน้าร้อนผ่าว เรื่องแบบนี้ยังจะเอามาบอกกันอีกนะ (ได้ข่าวว่าเป็นคนถามเขาเอง)

“ก็ถึงบอกไงว่าคราวนี้พี่ไม่พลาดแน่ รับรองเลยว่าพี่จะไม่ไปทำเองแบบนี้เด็ดขาด”

ผมส่งค้อนวงใหญ่ๆ ใส่หน้าที่กำลังยิ้มทะเล้นของอีกฝ่ายแล้วพลิกตัวหันหน้าไปอีกฝั่ง ก่อนจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมทั้งตัว เหลือแค่จมูกไว้ใช้หายใจ

หมับ

แรงกอดรัดถูกส่งมาจากด้านหลัง ก่อนที่ตัวผมจะถูกดึงให้ไปติดกับอกกว้างและอุ่นของอีกคน และเพราะผมหนาวหรืออะไรก็ไม่รู้ ทำให้ผมไม่ขยับตัวหนี กลับเป็นฝ่ายที่เบียดเข้าหาแทน

“พี่อยากกอดปูนแบบนี้ทุกคืนเลย”

“...” ผมปิดตาลงรับสัมผัส พลางคิดไปว่าตัวเองก็อยากรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ทุกคืนเหมือนกัน

“ฝันดีนะครับ เด็กขี้แยของพี่”

ผมหลับตาลง ทั้งที่ภายในใจยังไม่สงบเท่าที่ควร

=============================================================
============================================
สอบเสร็จแล้วค่าาาาาาาา เยยย้!!
มาบอกแค่นี้แหละค่ะ ฮ่าๆๆ
ขอบคุณที่ยังติดตามนะคะ
รักทุกคนเลยนะะะ :)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3333
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ว่าละว่าไม่ใช่อาการหวงเพื่อนธรรมดา  :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
เจอแบบปูนไม่อึดอัดให้รู้ไป :katai1:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
สุดท้ายฟิ้งทำไปทั้งหมดก็เพราะแอบรักเพื่อนอย่างเอื้อ
แล้วเอื้อล่ะรู้ สงสัย หรือแค่แกล้งทำเป็นไม่รู้
จะว่าไปการกระทำของเอื้อต่อฟิ้ง ก็ชวนให้คิด
ชวนให้เข้าข้างตัวเองอยู่นะ และที่แน่ๆ
ให้ฟิ้งคิดว่าที่ผ่านมาเอื้อเป็นของตัวเอง

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เอื้อไม่ใช่สิ่งของค่ะฟิ้ง

คน ไม่ใช่ ทำยังไงก็ ไม่ใช่


ออฟไลน์ Maitre

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
Side story: ตอน ต่างกรรม ต่างวาระ

ครึ่งหลัง

สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือความบังเอิญ

“โจม นี่พี่ว่านนะ หลานชายลุงชู” สายวันหนึ่งขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่ในสวนหลังบ้าน แม่ก็ให้แจมมาเรียก ก่อนจะพาชายหนุ่มคุ้นหน้า แต่ไม่คุ้นเคยมาแนะนำ “เห็นว่าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน เคยเจอกันบ้างหรือเปล่า”

“ไม่ครับ/เคยครับ” คำตอบแรกเป็นของผม บ่งชี้ชัดเจนว่าไม่อยากสานต่อความสัมพันธ์กับอีกฝ่ายไม่ว่าจะกรณีใดๆ ทั้งสิ้น

“เอายังไงหนุ่มๆ เคยหรือไม่เคยเจอ”

“...” พี่ว่านเงียบ ผมก็เงียบ

“ยังไงกันนี่สองคนนี้” แม่มองเราสองคนสลับกันด้วยความสงสัย ก่อนจะกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา “สวัสดีพี่เขาเสียโจม”

ผมเก็บสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะยกมือไหว้และก้มหัวสวัสดีตามมารยาทไทยที่แม่ได้อบรมมาตั้งแต่เด็ก ยังไงเสียผมก็อายุน้อยกว่าพี่ว่าน ตามธรรมเนียมไทยแล้วต้องไหวัทักทายพี่เขา

“สวัสดีครับ”

“อ่า...สวัดดีครับ” พี่ว่านยกมือไหว้รับ ก้มหัวลงมาด้วย ท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ทำให้ผมหลุดยิ้ม “ออ แหะๆ บังเอิญว่าผมไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้น่ะครับ” ว่าแล้วก็ยกมือเกาหัวพร้อมกับส่งรอยยิ้มแห้งแล้งมาให้

“ไม่เป็นอะไรจ้ะ ค่อยๆ เรียนรู้กันไปนะ ให้โจมช่วยสอนก็ได้” แม่ยิ้มพยักหน้ารับ แล้วหันมาหาผม “ว่านเขามางานแต่งงานของอรน่ะ เลยแวะมาเยี่ยมคุณลุง แล้วว่าจะอยู่เที่ยวที่ี่นี่ช่วงปิดเทมอ ยังไงก็รู้จักกันแล้ว พาพี่เขาไปเที่ยวด้วยแล้วกันนะ”

ในใจผมประท้วงเลยว่าไม่เชื่อเรื่องที่แม่บอก ยิ่งมองหน้าพี่ว่านที่ส่งยิ้มมาให้ก็ยิ่งไม่เชื่อเข้าไปใหญ่ แต่สิ่งที่ทำได้คือตอบตกลงไปก่อน

“เย็นนี่ว่านกับลุงชูก็มาทานข้าวกับที่บ้านเราเลยนะ” พูดไว้แค่นั้นก่อนที่แม่จะเดินหายเข้าไปในบ้าน ทิ้งผมไว้กับพี่ว่านสองคน

“บอกความจริงมา” ผมจ้องหน้าอีกฝ่ายเพื่อเค้นหาความจริงทั้งหมด

“ความจริงอะไร” อีกฝ่ายตีหน้าซื่อตาใส ยิ่งทำให้ผมหมั่นไส้เข้าไปใหญ่

พี่ว่านยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำท่ายอมแพ้ “โอเคๆ จริงๆ แล้วพี่กับลุงชูไม่ได้เป็นญาติกันหรอก ลุงชูเคยทำงานให้ที่บ้านพี่ สนิทกันมาก พี่มางานแต่งก็เลยแวะเยี่ยมแก บังเอิญว่าบ้านลุงชูอยู่ข้างบ้านโจมพอดีพี่เลยเดินมาทักทาย”

“...”

“นี่เรื่องจริงแล้ว ทุกอย่างเลยจริงๆ เมื่อคืนก่อนที่งานแต่งพี่ก็ไปกับลุงชูนี่แหละ พ่อส่งพี่มาจริงๆ นะ”

“ครับ รู้แล้วครับ”

“โจมกำลังทำอะไรอยู่เหรอ ให้พี่ช่วยหรือเปล่า เรื่องใช้แรงงานพี่ถนัดนะ”

ตอนแรกผมกำลังจะปฏิเสธ แต่อะไรความคิดบางอย่างกลับผุดขึ้นมาเสียก่อน “จะดีเหรอครับ พี่ว่านอาจจะทำไม่ไหว”

“ไม่จริงน่า พี่เรียนวิศวะฯ เรื่องใช้แรงงานมันงานถนัดพี่อยู่แล้ว”

“งั้นดีเลยครับ ผมจะจัดสวนหลังบ้านใหม่ รบกวนพี่ด้วยนะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว…”

หึ...เสร็จผมล่ะ

..
.
เวลาผ่านไพอสมควร คนปากเก่งก็นั่งหอบลิ้นห้อยอยู่ที่พื้น ผมที่โดนแม่ดุทางสายตาจึงจำเป็นต้องเดินไปหยิบน้ำเปล่าที่ใส่น้ำแข็งไว้เย็นฉ่ำมาให้พี่ว่าน พอนั่งลงข้างๆ ก็รินน้ำส่งให้ พี่ว่านรับไปดื่นทันทีจนผมต้องรินให้อีกแก้ว

“เหนื่อยแล้วหรือครับ” ผมลองถาม อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับอย่างไม่มีฟอร์มใดๆ “อย่างนั้นก็พอ กลับบ้านพี่ไปซะ ที่เหลือผมทำต่อเอง”

“ให้นั่งพักสักหน่อยพี่ก็หายเหนื่อยแล้ว”

“ถ้าพี่ทำต่อไม่ไหวก็ไม่เป็นอะไรนะครับ ผมก็ไม่คิดว่าจะทำให้เสร็จวันนี้” สวนไม่ใช่เล็กๆ ให้ผมทำเองคงไม่เสร็จในวันเดียวแน่นอน ดีที่พี่ว่านมาช่วย งานเลยเดินไปมากกว่าครึ่ง

“พูดแบบนี้หมายถึงให้พี่มาช่วยวันอื่น?”

“ผมหมายความว่าพี่ไม่ต้องช่วยแล้วต่างหาก”

พี่ว่านส่งแก้วน้ำคืนมาให้ เขาจ้องเข้ามาในดวงตาของผมแล้วเอ่ยปากถาม “ทำไมชอบไล่พี่นัก ถามจริงๆ โจมไม่ชอบพี่เหรอ”

“ผมบอกพี่ไปแล้ว”

“แล้วถ้าพี่บอกว่าพี่อยากรู้จักโจมเพราะว่าโจมคือโจม ไม่ได้อยากรู้จักเพราะว่าโจมเป็นเพื่อนปูน...จะยอมทำความรู้จับกับพี่ได้หรือเปล่า”

ความเงียบคือคำตอบสำหรับพี่ว่าน...ทว่าถึงแม้ผมจะไม่พูดแะไร แต่ในใจกลับกำลังหวั่นไหวกับคำถามของเขาว่าเราจะรู้จักกันใหม่ได้หรือเปล่า

พี่ว่านไม่ใช่คนเลวร้าย...พูดตามที่เห็นเขาคือเขานิสัยดี มีน้ำใจ และพึ่งพาได้ เขาเพียงแค่ไปหลงรักคนมีเจ้าของแล้ว แต่นั่นก็ทำให้รู้ว่าพี่ว่านเป็นคนไม่ชอบยอมแพ้กับอะไรง่ายๆ รวมทั้งเป็นคนดื้อรั้นพอสมควร

“อ่า...โจมมีอะไรให้พี่ช่วยอีกหรือเปล่า พี่ว่าถ้าช่วยๆ กันวันนี้น่าจะเสร็จแล้วนะ” ว่าแล้วก็ลุกขึ้น โดยไม่ลืมส่งมือมาให้ผมจับเพื่อช่วยดึงให้ยืนขึ้น ผมมองมือที่ยื่นมานิ่งๆ จนพี่ว่านเกือบจะชักมือกลับ แต่ในที่สุดแล้วผมก็จับมันเอาไว้ พี่ว่านออกแรงเพียงนิดเดียว ตัวผมก็ยืนขึ้นได้อย่างสบายๆ

“ผมชื่อโจม เรียนคณะเกษตรฯ กำลังจะขึ้นปีสอง ยินดีที่ได้รู้จักกันใหม่นะครับ”

“หึ…เล่นอย่างนี้เลยเหรอ” พี่ว่านอมยิ้มมุมปาก ก่อนจะแนะนำตัวเองกลับ “พี่ชื่อว่าน วิศวะฯ เครื่องกล ปีสอง...กำลังจะขึ้นปีสาม ยินดีที่ได้รู้จักน้องโจมนะครับ”

กำลังจะดีอยู่แล้ว ติดอยู่ที่ได้คำว่า ‘น้องโจม’ เนี่ยแหละ

========================================================
===================================================
มาต่อของนุ้งโจมค่ะ แต่ทั้งคู่ไม่ได้มีแค่นี้แน่นอน
มาดูกันว่าหนุ่มมนุษยสัมพันธ์เข้าขั้นติดลบคนนี้จะมีความรับแบบไหนกัน
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
รักทุกคนเลยนะ  :mew1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด