หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว  (อ่าน 71322 ครั้ง)

ออฟไลน์ about

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 254
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ Abella

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 58
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ทำลายความรัคนอื่นมีความสุขมากรึเปล่าจะได้ผลกรรมไหม เลวทุกชาติทุกภพ มีความดีในจิตใจบ้างรึเปล่า นี่เกิดมาเพื่อทำลายหัวใจและชีวิตคนอื่นโดยเฉพาะรึป่าว ไม่คิดจะปรับปรุงเลยเหรอ สำนึกในใจสักนิดไม่คิดจะมีเลยเหรอ  :ruready

ออฟไลน์ mam.nalok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ้ยยยยย อึดอัด เฮียเราโง่จริงๆให้เขาวางยาได้ นังผู้หญิงก็เลวววววววว สงสารเปรม :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อีรามอีเหี้ยนานะแพศยา
้่คือทำไมต้องสารเลวขนาดนี้วะ
ถ้าตอนจบอีรามไม่ตายแบบทรมานนี่จะรำมาก
ทำทุกอย่างเพื่อแย่งเมียคนอื่น
อีนานะ แหม เป็นคนดีเหลือเกิน

ถ้าเปรมไปหวั่นไหวกับอีรามเราจะเลิกอ่านเลยอะ

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ตอนที่ ๒๒



“โธ่เว้ย!!”

อสุเรนทร์ยืนหัวเสีย ชกหมัดใส่ผนังห้องพักจนเกิดรอยแตกร้าว หยาดน้ำตาใสโรยรารายรินอาบแก้มตอบอย่างน่าสงสาร เรื่องทุกอย่างไม่ควรจบลงอย่างนี้ ดวงตาของน้องยามจับจ้องมาที่เขามันมีแต่ความเสียใจ ความผิดหวังจนยากจะอภัยให้ได้โดยง่าย...เปรมจากเขาไปแล้ว...และอาจจะจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

“คุณทศคะ”

“ออกไป” เสียงที่เคยอ่อนละมุนกลับแหบพร่าและดุดันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 “ฉันแค่จะมา...”

“เธอจะไปไหนก็ไป ไปตายเลยยิ่งดี”

“นี่คุณ! มันจะมากไปแล้วนะคะ ฉันก็บอกแล้วว่าฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ทุกอย่างมันเป็นเพราะความผิดพลาด”

“ผิดพลาดงั้นเหรอ” อสุเรนทร์ยิ้มเหยียด “ใช่ มันผิดมาตั้งแต่เธอเลือกที่จะเข้ามายุ่งย่ามในชีวิตของพวกฉันแล้วล่ะนานะ ถ้าหากไม่มีคนอย่างอย่างเธอ ชีวิตฉันก็คงไม่ต้องกลายมาเป็นแบบนี้” เนื้อกายชายหนุ่มสั่นด้วยความกรุ่นโกรธ กราดเกรี้ยว ขณะแสงทิวากรกระทบดวงตาคมกริบ เส้นแสงสะท้อนให้เห็นประกายสีเขียวเจิดจ้าพลุ่งโพล่งอยู่ภายใน ฉายแววโกรธเกรี้ยวสุดขีด
ดวงตาสีเขียวดุดันนั่น เขาเป็นปีศาจอย่างนั้นหรือ

หญิงสาวก้าวเท้าร่นถอยหนีไปทางด้านหลังแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับล็อกตัวเธอเอาไว้แล้วดันติดบานประตูห้อง ร่างงามสั่นระริกหวาดกลัวจับใจเมื่ออสุเรนทร์เลื่อนมือแกร่งมาบีบคอเธอเบาๆ

“ฉันเตือนเธอแล้วใช่ไหม ว่าถ้าเธอคิดทำลายชีวิตคู่ของฉันกับเปรม ฉันจะทำให้ชีวิตเธอไม่มีความสงบสุขเหมือนตกนรกทั้งเป็น จำได้ไหม”

“ฮึก...ฉันขอโทษ”

“คำขอโทษของเธอมันช่วยให้เปรมกลับมาหาหรือไง!”

“ขอโทษ ฉันขอโทษ”

“เธอรู้ไหม ฉันต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าจะได้ความรักจากเขา”

“อึก...ฮือ...”

“เรื่องของเรากำลังไปได้ดีแต่เธอกลับทำมันพัง”

“ปล่อยฉันเถอะ อั่ก!”

“ฉันไม่ใช่คนดี ฉันสามารถฆ่าเธอได้ถ้าต้องการ” ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยนเป็นแดงจัด ดีดดิ้นทุรนทุรายจากการขาดอากาศหายใจเฉียบพลัน พยายามเปล่งเสียงขอร้องคนใจโหดเหี้ยมให้หยุดทว่าสรรพเสียงที่ต้องการเอื้อนเอ่ยล้วนถูกกลืนหายลงสู่ลำคอ

“ปล่อย...อึก...ฉันไป...เถอะ อึก!”

“เปรมจากฉันไปแล้ว ได้ยินไหมเขาจากฉันไปแล้วยัยสารเลว!”

“คุณ อึก! ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ”

อสุเรนทร์เหวี่ยงร่างสะโอดสะองลงพื้นราวกับเป็นเศษผ้าไร้ราคาไม่มีคุณค่า นัยน์ตาของหล่อนสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวจับใจยามเผชิญหน้าร่างสูง นิ้วมือแกร่งบีบปลายคางมนแล้วจับให้มันเชิดขึ้น  ความเจ็บจากแรงบีบแล่นริ้วจนเธอต้องขบกัดริมฝีปากตนเองอย่างแรงเพื่อกลั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกมา

“ใครเป็นคนสั่งให้เธอทำ”

“ฮือๆ...”

“ฉันถามก็ตอบ!”

“คุณรามค่ะ คุณราเมนทร์เป็นคนสั่งให้ฉันทำ”

“!”

“ขะ...เขาบอกให้ฉันช่วยเขาแยกคุณเปรมออกจากคุณ ฉันสงสารฉันก็เลยคิดจะช่วย โดย...โดยเขาให้ฉันพาคุณมาที่นี่เพื่อจัดฉากว่าคุณมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฉัน ละ...แล้วก็จ้างนักข่าวมาทำข่าวเราสองคนเพื่อให้คุณเปรมเข้าใจผิด คุณทศ ได้โปรดอภัยให้ฉันด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

“เธอบอกฉันไม่ตั้งใจแล้วเธออาสาช่วยมันทำไม!”

“เพราะฉันสงสารเขา”

“ฉันล่ะ เธอไม่สงสารหัวอกฉันบ้างเลยเหรอ” น้ำตาของอสุเรนทร์ไหลลงเรื่อยเหมือนสายน้ำ...

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา...ผู้ชายคนหนึ่งที่ใช้ความอดทนรอคอยแค่คนเพียงคนเดียว พยายามทุกอย่างเพื่อให้เขาเห็นและหันมารักในสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นเป็น เธอมาทีหลังเธอไม่รู้หรอกกว่าพวกเขาสองคนจะกลายมาเป็นอย่างนี้ต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง” ถึงตรงนี้น้ำคำของอสุเรนทร์เริ่มสะดุด...เพราะความรู้สึกตนพลุ่งพล่าน และแม้จะระงับไว้สักปานใด รอยชื้นบางๆก็ยังปรากฏอยู่ในดวงตา

“ฉันไม่สนอีกแล้วว่าเธอจะอโหสิกรรมให้อภัยกันหรือไม่ แต่จงไปเสีย ไปให้ไกล ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวลงมือฆ่าเธอจริงๆ”

นานะจ้ำพรวดออกมาจากประตูบ้านพักโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายพูดซ้ำ หัวใจเต้นกระหน่ำเพราะความขลาดกลัว ถ้ารู้ว่าจะต้องเจอกับถานการณ์เลวร้ายเสี่ยงตายเช่นนี้เธอจะไม่ยอมช่วยราเมนทร์เด็ดขาด ทว่าเมื่อรู้ตอนนี้ก็สายเกินแก้ สิ่งเดียวที่เธอทำได้ตอนนี้คือขอโทษและอโหสิกรรมให้เขาภายในใจ กลับบ้านรีบไปเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเดินทางแล้วกลับนิวยอร์กให้เร็วที่สุด เธอไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วเพราะคนที่นี่น่ากลัวเหลือเกิน โดยเฉพาะผู้ชายที่ชื่ออสุเรนทร์ เธอขอสาบานต่อหน้าพระเจ้า เธอจะไม่กลับมาให้เขาเห็นหน้าอีกตลอดชีวิต

บุรุษกายสูงใหญ่ยกมือเสยผมสีน้ำตาลเข้มของตนที่ยาวปรกใบหน้าให้พ้นสายตา เดินโซซัดโซเซ กวาดสิ่งของทุกชิ้นบนโต๊ะให้หล่นกระจาย เปลือกตาเข้มปิดลงด้วยอาการถอนใจลึก คล้ายเหนื่อยอ่อนแทบไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินไปอย่างนั้นโดยไม่คิดเช็ดออก


  สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง   ยามสาย
        สายบ่หยุดเสน่ห์หาย       ห่างเศร้า
        กี่คืนกี่วันวาย              วางเทวศ ราแม่
           ถวิลทุกขวบค่ำเช้า           หยุดได้ ฉันใด ฯ


เปรมจ๋า...พี่จักอยู่ได้เยี่ยงไรหากปราศจากนวลเจ้าข้างกาย

ได้โปรดเถิด กลับมา...พี่รักเจ้าเหลือเกิน...



ดวงอาทิตย์ใกล้ยามสนธยาส่องแสงสีส้มสาดส่องเรืองรองไปทั่วริมเขาและชายหาดสีขาวบริสุทธิ์ ดูประหนึ่งลูกคลื่นสีทองอร่ามตาบนสรวงสรรค์ หากอสุเรนทร์ยังคงนั่งนิ่งประหนึ่งรูปสลักอยู่เช่นนั้นตราบนานเท่านาน น้ำตามากมายเหือดแห้งไปหมดเหลือแต่ความว่างเปล่า ความคิดลอยล่องอย่างไร้จุดหมาย ล่องลอยไปกับสังหรณ์ที่กรายเข้าสู่หัวใจตนเหมือนสายน้ำหลาก
ราวกับไม่นานจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

และมันคงไม่น่าตกใจสักเท่าไหร่หากเขาไม่ได้นึกถึง...’เปรม’ น้องน้อยอันเป็นที่รักคนเดียวและคนสุดท้ายที่เขาปรารถนาอยู่ครองคู่ตราบชั่วฟ้าดินสลาย กำไลทองในมือส่งความร้อนราวไฟบรรลัยกัลป์จากนรกอเวจีวูบวาบอยู่ในอุ้งมือใหญ่

“พี่ทศ...” เสียงที่ดังมาจากข้างหลัง ทำให้อสุเรนทร์ตื่นจากภวังค์ความคิด ประกายแห่งความโศกเศร้าฉายผ่านนัยน์ตาของชินกฤต คนร่างสูงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและแรง

“เปรม...”

คนฟังเบิกตากว้างนิ่งไปชั่วขณะ

“เกิดอะไรขึ้นกฤต”

“เปรมเขา...”



-โรงพยาบาลเอกชน-


“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อยแค่เป็นลมธรรมดาเอง”

“เห็นไหมไอ้แก่ ข้าบอกแล้วว่าหลานมันไม่ได้เป็นอะไร” ยายนวลตีไหล่ผู้เป็นสามีเบาๆ พยายามบอกแล้วบอกอีกจนน้ำหมากแทบกระเด็นกระดอนออกจากปากก็ไม่มีใครเชื่อสักคน เชื่อแต่ไอ้หมาเสที่ชอบพูดจาเกินความจริงไปมากโข ทีนี้คนทั้งบ้านก็แตกตื่นกันหมดน่ะสิ รีบพาคนเป็นลูกเป็นหลานมาส่งโรงพยาบาลทันที

“ก็ข้าเห็นหลานรักล้มลงไปนอนหมดสติต่อหน้าต่อตาเลยนะเว้ย เอ็งไม่อยู่ในเหตุการณ์เหมือนข้าเอ็งไม่เข้าใจหรอกนังแก่”
“สติน่ะมีไหม คิดวิเคราะห์หน่อย ไม่ใช่สักมีสมองเอาไว้คั่นกบาลเหี่ยวๆของเอ็งอย่างเดียว”

“ด่าข้าโง่เรอะนังนวล”

“อย่างเอ็งด่าว่าโง่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

“ฮิ ฮิ สมน้ำหน้าโดนเมียด่า”

“หุบปากเอ็งไปเลยไอ้ไม้” ไอ้นี่เผลอเป็นไม่ได้ชอบตอกย้ำเขาทุกที ทั้งที่ตัวมันเองเนี่ยแหละที่แหกปากป่าวประกาศให้คนในบ้านรู้โดยทั่วถ้วน แต่คนที่โดนด่ากลับกลายเป็นเขาเสียเอง จำเริญไหมล่ะพ่อ

“ฮิฮิ”

“ทำเป็นขำ เฮอะ ไม่ต้องไปด่าคนอื่นเลยไอ้ลูกคู่สนับสนุนรายใหญ่”

“อุ้ย แม่จ๋า” บุรุษผมดอกสีเลาสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเมียสุดที่รักเท้าสะเอวจิกตาใส่เหมือนไก่แจ้ข้างบ้าน ก็ได้แต่ส่งยิ้มหัวเราะร่วนกลับไปพอเป็นพิธี ผู้หญิงบ้านนี้มันชักจะเอากันใหญ่ ขี้บ่น ขี้วีนแถมมือเท้ายังหนักขึ้นทุกวัน อยู่ด้วยกันมาตั้งยี่สิบสามสิบปีเพิ่งจะรู้ว่าตนไม่ได้ตบแต่งเมียผู้แสนอ่อนหวานงามแฉล้มประดั่งนางบุษบาหรือจินตะหราวาตี ทว่ากลับกลายเป็นนางยักษ์ขมูขีแสนเกรี้ยวกราดแปลงกายมาหลอกล่อให้หลงใหล...กรรมของเอ็งแท้ๆไอ้ไม้

“กำลังด่าข้าในใจใช่ไหมไอ้ไม้”

“เปล่าจ๊ะแม่จ๋า พ่อจ๋ากำลังชมแม่จ๋าเหมือนโสนน้อยเรือนงามต่างหากเล่าจ๊ะ”

“ก็แล้วไป”

ฟู่ว...รอดตายแล้วกู

“แล้วเป็นยังไงบ้างลูก ปวดหัว เจ็บหน้าอก เจ็บหัวใจหรือมีอะไรที่คิดว่าผิดปกติบ้างไหม” ดวงดาวเอ่ยถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวนขณะยื่นจานผลไม้ที่แกะสลักอย่างสวยงามให้ทานเล่น

“ไม่ครับแม่ เปรมสบายดี”

“ถ้าเป็นอะไรก็รีบบอก อย่าเก็บเงียบคนเดียวอีกรู้ไหม”

“ชอบทำให้พ่อแม่ ปู่ย่าตายายเป็นห่วงมันบาปรู้ไหมไอ้แสบ”

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับพ่อ พอดีเมื่อวานนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่”

“มีเรื่องกังวลหรือไง”

“ก็นิดๆหน่อยๆน่ะครับไม่มีอะไรมาก”

“หัดดูแลตัวเองบ้างนะเปรม พ่อไม่อยากเห็นแกเป็นอะไร”

ชายวัยห้าสิบยีกลุ่มผมนิ่มสลวยของลูกชายอย่างอ่อนโยน ไม่รู้เขาคิดมากไปเองหรือไม่ แต่พักหลังๆนี้เปรมชอบป่วยบ่อย ไม่เป็นนู่น ก็ต้องเป็นนี่ แม้จะเล็กน้อยก็อดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกัน...หันมองโดยรอบอย่างนึกแปลกใจ

“วันนี้พวกตาอิน ตาทศติดงานเหรอเปรม พ่อไม่เห็นเขามาเยี่ยมเราเลย”

มือเรียวบางที่กำลังจับขอบแก้วพลันอ่อนแรง ส่งผลให้แก้วน้ำที่ถืออยู่ร่วงหล่นลงสู่พื้น แตกกระจายเป็นวงกว้างราวคลื่นยักษ์ลูกใหญ่ ดวงดาวมองหน้าผู้เป็นสามี รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปแบบกะทันหัน กระแสเย็นวาบแล่นพล่านไปทั่วนิ้วมือทั้งสิบ เปลือกตาสีอ่อนปวดร้าวและร้อนผ่าวทำให้คนร่างบางเลือกจะปิดมันลง

อีกแล้ว...ความรู้สึกนี้กลับมาอีกแล้ว

“เปรม...” อสุเรนทร์เคยพูดบางประโยคและเขาก็จำมันได้ขึ้นใจ “ฉันเนี่ยแหละจะเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่คิดทำร้ายเธอ”


โกหก หลอกลวง


เปรมเคยมั่นหมายว่า ‘วันหนึ่ง’ แม้จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตและเหลือเวลาสั้นๆ เพียงน้อยนิด เขาก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างอสุเรนทร์ไม่จากจรไปไหน เชื่อใจ ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อคนมากวัยกว่าไม่ต่างจากสุนัขที่นอนซุกซบอยู่กับฝ่าเท้าของผู้เป็นนาย...เปรมคิดอย่างนั้นมาโดยตลอด หากบัดนี้ เวลานี้ทุกอย่างพังภินท์ด้วย แหลกร้าวจนยากจะนำมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเหมือนเดิม ด้วยการกระทำไม่หักห้ามใจของอสุเรนทร์เอง...


เปรมรักอสุเรนทร์ และอสุเรนทร์ก็รักเปรมเช่นกัน แต่ทว่า...เรื่องที่เกิดขึ้นในครานี้มันยากจะเปิดใจยอมรับโดยง่าย เขาไม่ใช่คนเข้มแข็งอย่างที่ใครอื่นคิด โดยเฉพาะหัวใจที่บอบบางเมื่อมันโดนทำร้าย แม้จะเพียงเล็กน้อยก็สามารถแตกเป็นเสี่ยงๆได้โดยพลัน

“อยากเล่าอะไรให้พ่อกับแม่ฟังหรือเปล่า”

“ไม่ครับ...ไม่มีครับ”

“ทะเลาะกับคุณทศมาใช่ไหม”

“...”

“เปรม อย่าเงียบกันแม่”

“เปรมเลิกกับคุณอสุเรนทร์ เราเลิกกันแล้ว”

“ทำไม” เป็นคำตอบที่ทำเอาผู้ใหญ่ในห้องต่างพากันอึ้ง ตกใจระคนสงสัย ยังเห็นรักกันหวานชื่นชนิดน้ำเชื่อม ผลอ้อยต้องเรียกพี่ เหตุไฉนตอนนี้กลับมาตัดความสัมพันธ์กันได้ ตาเสมาขมวดคิ้วแทบชิดติดกัน รู้สึกถึงกลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลลอยมาตงิดๆ

“ใครบอกเลิกใครก่อนล่ะหลานเปรม”

“ไอ้เฒ่าเส”

“ต้องเป็นหลานตาเสมาแน่ๆเลยใช่ไหม หูย ถูกใจ”

ฝ่ามือเหี่ยวทว่าแข็งแรงฟาดลงบนบ่ากว้างของผู้เป็นสามีอย่างแรงจนคนถูกฟาดถึงกับน้ำตาซึม มองรอยมืออรหันต์ที่ค่อยๆขึ้นสีชัดเจน

“ตีข้าทำไมเนี่ย”

“ก็เพราะปากเอ็งมันพาซวยไง พูดจาแต่ละอย่างมันน่าเลาะฟันทิ้งออกให้หมดทั้งปาก มานี่ ไปนอกห้องกับข้าเลยไอ้เสหมา!”

“ข้าเสมาโว้ย เดี๋ยวสิอีแก่ ข้าเจ็บ โอยหูข้า”

ดวงดาวเหลือบมองคนเป็นพ่อเป็นแม่กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากห้องชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมากุมมือลูกชายเอาไว้อย่างต้องการปลอบประโลมและให้กำลังใจ เธอไม่คิดจะตอกย้ำหรือถามถึงความเป็นมาเป็นไป เพราะแค่นี้เด็กน้อยก็ดูเหมือนปวดร้าวมากพอแล้ว

“แม่เป็นแม่ของลูก ในคราที่ลูกเจ็บแม่กับพ่อย่อมเจ็บกว่า แม่ไม่รู้หรอกนะเรากับคุณเขาทะเลาะอะไรกัน แต่ขอถามอย่างหนึ่ง”

“...”

“ที่พูด...หนูตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม”

ความเงียบย่างกรายเข้ามาเยือนเนิ่นนาน คนร่างบางสูดลมหายใจลึก อีกครั้งที่เจ้าตัวต้องระงับอาการสั่นไหวในหัวใจของตน เปรมแหงนหน้ามองพ่อ แม่ ปู่และย่าด้วยสายตาและแววตาเด็ดขาด หากทว่าเจือไปด้วยความเจ็บช้ำไม่น้อย

“จบแบบนี้ก็ดีแล้วครับ”

เพราะยังไงสุดท้าย....เราสองคนก็ต้องลาจากกันอยู่ดี

“เปรม! เอ่อ...ขอโทษครับ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมวงหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรยืนปรากฏตรงหน้า ราเมนทร์ยกมือไหว้คนในครอบครัวของร่างบาง

“สวัสดีครับคุณปู่ คุณย่า คุณน้า คุณลุง”

“ไหว้พระเถอะจ๊ะ เป็นเพื่อนเปรมเหรอ แม่ไม่เคยเห็นหน้าเลย”

“ผมชื่อราม เป็นรุ่นพี่เปรมครับคุณน้า”

“งั้นก็คุยกันตามสบายแล้วกันจ๊ะ พวกน้าคงต้องขอตัวก่อนเพราะมีธุระที่จะต้องทำ ฝากดูแลลูกชายน้าสักพักนะ เดี๋ยวเย็นๆน้าจะกลับมาใหม่” ดวงดาวส่งยิ้มอ่อนโยนให้ชายหนุ่มร่างสูงขณะอีกฝ่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ

“ครับ ผมจะดูแลเปรมให้จนกว่าคุณน้าจะกลับมา”

“ดูแลแค่ทางสายตานะไอ้หนุ่ม ห้ามสัมผัสห้ามจับต้อง ห้ามทำหลานข้าเสื่อมเสีย” บุรุษวัยใหญ่กระแอมกระไอ เชิดหน้ากอดอกประดั่งราชาผู้สูงศักดิ์

“ปู่”

“ถ้ามันทำอะไรหลานโทรมาบอกปู่เลยนะ เดี๋ยวปู่จะจ้างวินดีเซลหน้าปากซอยซิ่งมอเตอร์ไซด์มาหาที่นี่ทันที”

“คุณพ่อก็” ลูกสะใภ้ยิ้มขำ ก้มลงจูบหน้าผากเล็กของลูกชายเบาๆ “ไม่ต้องคิดมากนะลูก นอนพักซะและเดี๋ยวตอนเย็นแม่จะซื้อของโปรดมาฝาก”


เมื่อบรรดาพ่อแม่ ญาติของร่างบางทยอยกันเดินออกไปจนหมดสิ้น ในห้องกว้างจึงเหลือเพียงแค่เปรมและราเมนทร์สองคนเท่านั้น ทั้งสองนิ่งเงียบปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วทว่าสุดท้ายผู้มาเยือนรับไม่ไหวกับความอึดอัดที่แล่นริ้วขึ้นก็ราวกับจะจุกทั่วอก จึงเป็นคนเปิดบทสนนาเสียเอง

“ได้ข่าวนายเป็นลมหมดสติก็เลยมาเยี่ยม”

“อ้อ ขอบคุณนะครับ” รอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้า “แต่ไม่เห็นจะต้องลำบากมาเยี่ยมผมเลย”

“ต่อให้ลำบากยังไงพี่ก็ต้องมาเยี่ยมนาย” คำตอบปนยิ้มน้อยๆ

“คุณมาคนเดียวหรือครับ”

“ลักษณ์ยังไม่ว่างฉันเลยมาเยี่ยมก่อน แต่เดี๋ยวเจ้าตัวจะมาตอนเย็นๆเนี่ยแหละ”

“ทำไมไม่มาพร้อมกันเลยละครับ”

“ก็” ราเมนทร์อึกอัก ไม่รู้พูดไปแล้วอีกคนจะรับฟังหรือไม่ หากสุดท้ายจึงโพล่งคำ “พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย”

คนป่วยชะงักก่อนช้อนสายตามองร่างสูงช้าๆ

“เรื่องอะไรครับ?”

ผู้มาเยือนเว้นระยะด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นประสานตากับอีกฝ่าย จากนั้นจึงเอ่ยคำช้าชัด

“เปรม...”

“พูดมาเลยครับ” คนร่างบางกล่าววาจา หากหลบสายตาของอีกฝ่ายด้วยการก้มลงมองฝ่ามือตนเอง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเปรมพอจะเดาออกว่าว่าเจ้าตัวต้องการบอกสิ่งใด สิ่งที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของราเมนทร์ มันแสดงออกอย่างชัดเจนมิต่างจากวันนั้นแม้แต่น้อย

“เปรมเลิกกับอสุเรนทร์แล้วเหรอ”

“ใครบอกครับ”

“นานะ พี่ได้ยินเธอบอกกับลักษณ์ก่อนจะขึ้นไปเก็บกระเป๋าเดินทางและขับรถออกไป...ที่เธอบอกมันเรื่องจริงหรือเปล่า” คำถามยังคงแผ่วเบา ขณะคนฟังนิ่งงัน ใช้การนิ่งเงียบเป็นคำตอบ

“เปรม”

“คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่คุณราเมนทร์” เปรมเงยหน้าถามอีกฝ่าย

“พี่อยากขอโอกาสให้พี่ได้ดูแลเปรมแทนมันได้ไหม”

“ไม่ครับ”

“ทำไม” ราเมนทร์อ้อนวอน “ทำไมเปรมไม่เปิดโอกาสให้พี่บ้าง พี่รักเปรม รักจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว...แต่ทำไมเปรมถึงเลือดเย็น ใจร้ายกับพี่อย่างนี้”

“ผมเสียใจ แต่ผมไม่อยากให้คุณต้องมาปวดใจเพราะคนอย่างผม คุณรับได้หรือหากใจของผมนั้นไม่สามารถรับความรักจากคุณได้ ยอมรับได้หรือครับถ้าตัวของผมอยู่กับคุณแต่ใจมันดันไปอยู่กับคนอื่น”

“...”

“ขอบคุณที่รักผม แต่ผมทำตามสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้จริงๆ”

“แล้วถ้าหากพี่ยอมทุกอย่างล่ะ”

“...”

“ยอมเป็นฝ่ายที่รักเปรมอยู่ฝ่ายเดียว ยอมให้เปรมคิดถึงคนอื่น ให้ใจกับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ แบบนี้จะยอมเปิดทางให้เป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างเราได้ไหม”

“คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้”

“พี่เลือกแล้ว จะไม่เปลี่ยนใจเป็นอันขาด ขอให้พี่เป็นคนของเรานะเปรม...นะครับ”

คนร่างผอมบางยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด สายตาก็ดันเหลือบเห็นร่างเงาร่างหนึ่งคลับคล้ายว่าจะเป็นอสุเรนทร์กำลังยืนมองพวกเขาอยู่ด้วยสายตาแดงก่ำเสมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ริมฝีปากบางเม้มปิดสนิทพร้อมกับเปลือกตาอ่อนวัย

“พี่รักนายจริงๆนะเปรม”

“เปรมครับ ได้โปรดให้โอกาสพี่สักครั้งเถอะ”

“ผมจะไม่ห้ามคุณนะคุณราม แต่ขอเวลาผมอีกหน่อยได้ไหม ผมไม่สามารถตอบมันได้ภายในเวลานี้ได้จริงๆ”

รอยยิ้มแห่งความหวังฉายขึ้นบนสีหน้าของคนผิวขาวเหลืองร่างสูงโปร่ง มองคนในดวงใจด้วยสายตาและความรู้สึกอ่อนโยน...ฝ่ามือใหญ่สัมผัสปลายนิ้วของเปรมก่อนรั้งอีกฝ่ายเข้ามาหาตัวอย่างช้าๆ ริมฝีปากหยักจูบซับกระหม่อมบางอย่างแสนรัก สูดดมความหอมราวหมู่มวลบุปผานับร้อยชนิดของร่างบางด้วยความตื้นตันใจ

“แค่เปรมเปิดใจให้พี่ก็ดีมากพอแล้ว...ไม่ว่าเมื่อไหร่ นานอีกสักแค่ไหนพี่ก็จะรอ”








ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0






หนึ่งเดือนผ่านไป...

ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้อสุเรนทร์เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่เหลือเพียงน้อยนิดหากเทียบกับกองเอกสารที่สูงพะเนินราวเขาพระสุเมรุในช่วงเช้าตรู่ ตามด้วยบานประตูแง้มเปิดออกพอให้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือนอย่างชัดเจน มือใหญ่จัดการตวัดเซ็นลายเซ็นลงบนเอกสารที่อ่านค้างไว้อยู่และเงยขึ้นใหม่ ชินกฤตวางถาดกาแฟและขนมน่ารับประทานลงตรงมุมโต๊ะด้านขวาของพี่ชาย

สีหน้าจริงจังของอสุเรนทร์ทำเอาชินกฤตอยากจะถอนใจเหนื่อยหน่ายสักร้อยสักพันรอบ ดวงพักตร์ที่เคยมีน้ำมีนวลสุขภาพดีกลับมาทรุดโทรมอีกหนหลังจากคราวนั้นที่ทะเลาะกับเปรมครั้งแรก แต่ทว่า...ครั้งนี้ดูเหมือนจะแย่กว่าเก่า ผิวพรรณดำคล้ำไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม ดวงตาแดงก่ำคล้ายคนอดหลับอดนอนมาหลายคืนรวมถึงร่างกายที่ซูบผอมจนน่าตกใจ

“ท่านพี่ควรทานข้าวฤาพักผ่อนบ้างหนาขอรับ เดี๋ยวงานที่เหลือข้าจักเป็นคนทำเอง”

“ขอบใจเจ้านักน้องข้า แต่มิเป็นอันใดดอก เหลืออีกมิมากแล้วกะเดี๋ยวพี่จักทำเอง”

“แต่ท่านยังมิได้มีสำรับตกถึงท้องเลยหนาขอรับ”

อสุเรนทร์เอื้อมหยิบแฟ้มเอกสารอีกเล่มมาอ่าน สายตาไล่อ่านรายละเอียดของโปรเจคนำเสนอทุกบรรทัดทุกตัวอักษร ทว่าปากก็ยังเอ่ยกับชินกฤตอยู่ “อาหารจักทานเพลาใดก็ได้ แต่งานพวกนี้ข้าต้องเร่งทำให้เสร็จ”

“ท่านพี่ทศ”

“เจ้าอินไปไหนเสียเล่า ว่าจักถามถึงเรื่องนัดทานข้าวพูดคุยงานกับผู้ประสานงานคนใหม่ที่มาแทนนานะ เจ้าพอรู้ฤาไม่กฤต”

“หนึ่งทุ่มครึ่งที่ร้านอาการลาแกรงค์ขอรับ”

“งั้นข้าก็ยังมีเวลาทำงานต่ออีกสักสองสามงาน วานเจ้าช่วยบอกเลขาของข้าทีว่าให้เตรียมชุดสูทให้พร้อมก่อนหกโมงครึ...”

“พอได้แล้วขอรับ!” รองประธานหนุ่มตะโกนสุดเสียง “ท่านจักทำตัวเยี่ยงนี้ไปอีกเมื่อใดกัน”

ดวงเนตรแห่งพญารากษสสั่นระริกและเริ่มแดงก่ำอย่างปวดร้าว พยายามฝืนยิ้มส่งไปยังชินกฤตที่ยืนน้ำตาคลอเบ้าเพราะสงสารพี่ชายจับใจ

“ข้าทำมิได้ดอก เมื่อใดที่หยุดให้สมองได้พักผ่อน ข้าจักคะนึงถึงใบหน้าของเปรม น้ำเสียงของเปรม ดวงตาสวยของเปรม ทุกๆอย่างๆที่เป็นเขาเสมอ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าเกรงมิอาจจักหยุดน้ำตาและความเศร้าให้คลายลงได้”

“...”

“ข้าพยายามฝืนแล้วกฤตมิให้คะนึงถึงเขา แต่ข้าทำไม่ได้...ไม่ได้สักนิด”

“ครานี้ท่านพี่ทำผิดหนักหนานัก ข้ามองมิเห็นเส้นแสงที่บรรจบกันเลยแม้แต่น้อย”

“มันจักไปบรรจบกันได้อย่างไร ในเมื่อข้าเลือกที่จักทำให้เปรมเสียใจ แลตัวเขาเองก็เลือกที่จักมีชีวิตใหม่กับคนใหม่” อย่างพระราม...

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่วันนั้นอสุเรนทร์ก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอกับเปรมอีกเลย แม้จะอยากพบหน้ามากแค่ไหนก็เหมือนมีมาร มีกรรมมาบดบังไว้ตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลดละความพยายาม ยังคงให้รณพักตร์คอยเฝ้าดูแลเปรมอยู่ห่างๆในช่วงเช้าถึงเย็น ส่วนเขาจะใช้เวลาตลอดช่วงค่ำยันรุ่งเช้าเฝ้ามองคนร่างบางผ่านบานหน้าต่างที่ปิดทึบไม่เห็นแม้กระทั่งแสงไฟจากภายในห้องนั้น

เปรมกำลังทำอะไร อยู่กับใคร ยิ้มให้ใครชายหนุ่มรู้หมด ทว่าก็มิอาจทำอะไรได้เลยนอกจากมองภาพเหล่านั้นด้วยความเจ็บปวดเสมือนหัวใจถูกบีบขย้ำจนช้ำ...ภาพยามเปรมส่งยิ้มพูดคุยกับราเมนทร์มันทำให้เขาจุกจนทรมานทั่วทั้งสรรพางค์กาย น้องน้อยดูมีความสุข ยิ้มสดใส ต่างจากเขาที่เศร้าตรมอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ระทมมิรู้จักจบจักสิ้น

ให้ทำอย่างไรอสุเรนทร์ก็มิอาจทำใจได้เลย...

“แต่ข้ามีเรื่องสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งขอรับ”

“กระไรฤา”

“ข้ามิแน่ใจนัก แต่ในนิมิตของข้าเหมือนเขากำลังวางแผนจะกระทำบางอย่าง” คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน พยายามนึกถึงสิ่งที่แวบเข้ามาในสมองโดยบังเอิญ มันเป็นภาพที่เลือนรางเหลือเกิน...เลือนรางเสียจนยากต่อการประติดประต่อเป็นเรื่องราวทั้งหมด

“ทำกระไร”

“ข้ามิอาจทราบได้ขอรับ ภาพในครานี้เลือนรางเหลือเกิน มัน...ในมือเขาถือบางสิ่ง...ข้ายังเห็นเลือด”

“เลือด?”

!!!

ลมหายใจแห่งพญารากษสทศกัณฐ์ขาดห้วงลงชั่วขณะหลังจากฟังเสียงทุ้มนุ่มลึกกล่าวจนจบประโยค ชายหนุ่มปรายตามองชินกฤตเล็กน้อย

“เลือดจากผู้ใด เปรมรึ เขาเป็นกระไร” อสุเรนทร์เริ่มเปล่งเสียงเข้มขึ้น “ช่วยบอกข้าให้ละเอียดกว่านี้ได้ฤาไม่...พิเภก!”

“ข้ามิรู้ขอรับ ข้าพยายามที่สุดแล้ว ขอขมาเถิดท่านพี่”

ความเงียบเข้าปกคลุมเนิ่นนาน มีเพียงเสียงจากเครื่องปรับอากาศที่ดังพอจะได้ยินผะแผ่วพอๆกับเสียงของลมหายใจเข้าออก...และในที่สุดก็เป็นชินกฤตที่เปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง...ราบเรียบ ช้าชัด

“ถึงนิมิตข้ามิอาจเล็งเห็นได้หมด ทว่าข้าก็อยากแนะท่าน ข้ามิรู้สิ่งที่ข้าเห็นจักเกิดฤาไม่ฤาเมื่อใด แต่ท่านพี่ควรหาโอกาสดูแลปกป้องเขาตราบเท่าที่จักกระทำได้”

“ใจข้าพร้อมดูแลปกป้องน้องน้อยเสมอ ทว่าข้าจักทำเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อโอกาสพบปะกันแทบมิมีด้วยซ้ำ”

“เรื่องนั้นมิต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าพอจักเห็นช่องทางให้ท่านเจอกับเปรมได้อย่างที่ใครหน้าไหนก็มิอาจขวางกั้นท่านได้”

“ข้าจักได้เจอเปรมแน่ฤา เปรมเขา...”

“เขามิได้เกลียดท่าน โปรดทำใจให้สบายเสียเถิด เพราะท่านพี่ยังต้องบากเอาหน้าคล้ายคนป่วยของท่านไปพบปะผู้ประสานงานจากอเมริกา หากเครียดไปมากกว่านี้เกรงว่าคนผู้นั้นจักหนีกลับเสียก่อน เพราะนึกว่ามาคุยงานกับศพ”

“ไอ้น้องเวร”

“อ้อ ข้าจ้างช่างแต่งหน้ามาให้ท่านพี่แล้ว รับรองหล่อเกินร้อยเหมือนเดิม”

“จักไปไหนก็ไปไป๊ เสนียดหูข้ายิ่งนัก”

“ไปอยู่แล้วขอรับมิต้องไล่ดอก แต่อย่าลืมหนาขอรับทำใจให้สบาย”

“ข้ารู้แล้ว”

ฝ่ามือบางของผู้เป็นน้องชายวางไว้บนบ่ากว้างอย่างให้กำลังใจ เอาเป็นว่ามันก็พอช่วยให้จิตใจอันเหี่ยวเฉาของเขาชุ่มชื่นขึ้นมาสักเล็กน้อย

“อ้อ มีอีกอย่างที่ข้าอยากบอกท่านพี่”

และหัวใจก็พองโตขึ้นอีกนิดเมื่อชินกฤตกล่าวอีกประโยคหนึ่งก่อนประตูห้องจะปิดลง

“หัวใจของเขายังคงเป็นของท่านพี่เสมอ”




“เปรมครับ วันนี้รีบกลับหรือเปล่า”

ราเมนทร์เอ่ยถามคนร่างบางขณะเจ้าตัวกำลังเก็บข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋าสะพายที่แบกมาเพื่อช่วยงานบริษัทจิวเวอร์รี่ของเขาโดยเฉพาะ คิดแล้วก็อดยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุขไม่ได้ นับประมาณสองอาทิตย์แล้วที่ดูเหมือนเปรมจะเปิดใจให้เขาเข้ามาและแสดงความสนิทสนมมากขึ้น ยอมให้เขาจับมือและกอดเป็นบางครั้ง มันอาจจะดูน้อยนิด แต่สำหรับคนที่เคยโดนอีกฝ่ายปฏิเสธมาตลอดอย่างเขา มันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี...ไม่แน่อีกไม่นานเปรมอาจจะเปิดรับเขาเข้ามาอยู่ใจเต็มร้อย แทนที่ของเก่าที่ไร้ค่าน่าสงสาร...ก็เป็นได้

“มีอะไรหรือครับ”

“ว่าจะชวนไปกินข้าวเสียหน่อย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

“แหงล่ะว่าพี่ต้องเลี้ยง ก็ผมมาช่วยพี่ทำงานนี่นา”

‘พี่’ คำเรียกองเปรมที่ราเมนทร์ฟังทีไรเป็นอันกลั้นยิ้มไม่อยู่ทุกที ฝ่ามือกว้างกดทับบนศีรษะทุยและออกแรงลูบมันเบาๆด้วยความเอ็นดู

“ตกลงไปใช่ไหม”

“เอาสิครับ แล้วคุณลักษณ์กับคุณลมล่ะครับไปด้วยกันกับเราไหม”

“เราไปกันแค่สองคน คนอื่นติดงานกันหมด”

เปรมพยักหน้ารับรู้ก่อนออกเดินตามแรงจูงของร่างสูง ภาพที่พวกเขาสองคนเดินออกมาด้วยกัน รอยยิ้มหวานที่หาได้ยากยิ่งของท่านประธานผู้หล่อเหลาก็ทำเอาพนักงานต่างตั้งข้อสงสัยว่าคนที่เดินข้างท่านประธานเป็นใคร ทำไมถึงได้ทำให้เสือยิ้มยากยิ้มอ่อนโยนได้ขนาดนี้

ไม่แน่ เร็วๆนี้อาจมีข่าวดี



ร้านอาหารที่คนมากวัยกว่าเลือกอยู่ไม่ไกลจากตัวบริษัทมากนักจึงใช้ระยะเวลาในการทางเพียงสิบห้านาที หากรถติดก็อาจจะใช้เวลาสักประมาณสามสิบถึงสี่สิบห้านาที เปรมเงยมองแสงไฟสีส้มอ่อนที่ตกแต่งทั่วทั้งร้านอย่างชอบใจ รู้สึกถึงความอบอุ่นเป็นกันเองระหว่างผู้บริการและผู้รับบริการ

“เชิญนั่งครับ”

“ขอบคุณครับพี่ราม” เปรมยกมือไหว้ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่อีกคนเลื่อนให้อย่างขลาดเขิน แสร้งทำเป็นยกเล่มเมนูขึ้นอ่าน ทั้งที่จริงแล้วอยากหลบสายตากรุ่มกริ่มจากคนตรงข้ามเสียมากกว่า

“อยากทานอะไรก็สั่งเลยนะ”

“ผมจะสั่งให้พี่หมดตัวเลย”

“ถึงพี่จะสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงขั้นต้องขายไตพี่ก็ยอมทั้งนั้น”

“หยุดพูดจาเลี่ยนสักทีเถอะครับ”

“เขินพี่รามหรือคะ”

“ใครเขาเขินพี่กัน อย่าคิดไปเองสิ” ร่างบางยื่นเมนูกลับไปให้พนักงาน ก่อนสายตาจะมองสำรวจรอบร้านอีกครั้ง ที่นั่งล้วนถูกจองจนเกือบเต็ม แสดงถึงคุณภาพของเครื่องปรุงและรสชาติของอาหาร ถ้าอร่อยวันหลังคงต้องหาเวลาว่างพาพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายมานั่งทานอาหารพร้อมดื่มดำกับบรรยากาศอิ่มเอมสบายใจที่นี่น่าจะดีไม่น้อย

“เปรม”

“ครับ”

“อ่ะพี่ให้”

ช่อกุหลาบสีแดงแซมสีขาวช่อใหญ่ที่ถูกตกแต่งจนสวยถูกยื่นมาเบื้องหน้าคนงาม และเป็นเวลาเดียวกันที่นักดนตรีสองคนมายืนสีไวโอลินข้างโต๊ะ บรรเลงเสียงเพลงหวานเสนาะโสต

เปรมตั้งใจจะก้มหน้าหลบสายตาของอีกฝ่าย หากทว่าวินาทีนั้นยามสบดวงตาคู่คมดุจพระยาอินทรีย์ของราเมนทร์คล้ายมีอำนาจบางประการแผ่ซ่านอยู่ในใจ และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนมือหนายื่นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินให้เปรม คนร่างบางค่อยๆแง้มเปิดเผยให้เห็นสร้อยข้อมือที่มีจี้เพชรเป็นรูปดวงตะวันโอบล้อมพระจันทร์เสี้ยว

“พี่ราม”

“ตัวพี่เปรียบเสมือนทิวากร ส่วนตัวน้องเปรียบเสมือนนิศามณี  แต่ก่อนตะวันและจันทราเคยรักและอยู่เคียงข้างซึ่งกันและกันอย่างมีความสุข แต่เพราะเหตุบางประการเลยทำให้ทั้งสองต้องพลัดพรากจากกัน”

“...”

 “และเมื่อเส้นแห่งโชคชะตานำตะวันและจันทรากลับมาพบกันใหม่ ตะวันก็เลยอยากขอโอกาสจากจันทราอีกครั้ง ขอโอกาสได้ดูแลจันทราดวงเดียวในใจอย่างเต็มที่ในฐานะบุรุษคนหนึ่งที่ยึดมั่นรักจันทรามาโดยเสมอ...” คนกล่าวชะงักคำเพราะมีก้อนแข็งวิ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ เขาพยายามกลืนมันลงอย่างยากเย็น ค่อยเอ่ยคำเหมือนกระซิบ


“เป็นแฟนกับพี่นะครับ”





ตอนหน้าดราม่ากว่าเดิม รอติดตามกันได้นะคะ
แล้วเจอกันใหมจ้าาา :mew1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ตอนหน้ามาม่าหนักกว่าตอนนี้อีกเหรอ สงสารพี่ทศ :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

โอ๊ยเครียด

เกลียดราเมนทร์มาก


ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
มาม่ารสแซ่บ ฮืออออ

ถือเป็นบทลงโทษท่านทศนะ ไม่เชื่อคำเตือนภิเภกนัก

ปล.อิราม ชั้นเกลียดแกกก โอ้ย มันอิน

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
นี่คนแต่งยังดราม่าได้อีกเหรอคะ555555
อีนานะนี่รักตัวกลัวตายดีจริงๆ
ไปแบบไม่แม้แต่จะสารภาพค.ผิดตัวเอง
อีรามเหี้ยมากอะ หมดคำจะด่าละ จริง
สงสารพี่ทศ เพลียเปรม สาปแช่งอีราม
น้องเปรมคิดจะฟังคำผัวละเลิกคบคนชั่วๆเมื่อไหร่บอกนะ จะรอ .มองบน
เหมือนตอนนี้คือวังวนเดิมๆของพระนางรามสีดาละมีตัวร้ายแบบทศกัณฐ์เป็นคนผิด
แอบมีหมั่นเปรมอะ เอาจริง
เชื่อทุกคนยกเว้นผัว เข้าใจเว่ยว่าภาพมันฟ้อง แต่จะไม่ฟังกันเลยช้ะ อืม
ความจริงเปิดเผยเมื่อไหร่ #ทีมพี่ทศ จะสาปส่งให้ไล่ฆ่าทุกคนเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
โอ้ย!....ทำไมมันเป็นอย่างนี้ไปได้ เครียดๆๆๆๆ :ling1:

ออฟไลน์ llmaumill

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
นี่คนแต่งยังดราม่าได้อีกเหรอคะ555555
อีนานะนี่รักตัวกลัวตายดีจริงๆ
ไปแบบไม่แม้แต่จะสารภาพค.ผิดตัวเอง
อีรามเหี้ยมากอะ หมดคำจะด่าละ จริง
สงสารพี่ทศ เพลียเปรม สาปแช่งอีราม
น้องเปรมคิดจะฟังคำผัวละเลิกคบคนชั่วๆเมื่อไหร่บอกนะ จะรอ .มองบน
เหมือนตอนนี้คือวังวนเดิมๆของพระนางรามสีดาละมีตัวร้ายแบบทศกัณฐ์เป็นคนผิด
แอบมีหมั่นเปรมอะ เอาจริง
เชื่อทุกคนยกเว้นผัว เข้าใจเว่ยว่าภาพมันฟ้อง แต่จะไม่ฟังกันเลยช้ะ อืม
ความจริงเปิดเผยเมื่อไหร่ #ทีมพี่ทศ จะสาปส่งให้ไล่ฆ่าทุกคนเลย
เม้นนี้พูดถูกใจทุกประโยคเลยค่ะ

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0




ตอนที่ ๒๓





“เป็นแฟนกับพี่นะครับ”


ความเงียบมักบังเกิดขึ้นเสมอเมื่อมนุษย์อับจนคำพูด อย่าว่าแต่เปรมเลย แม้แต่ราเมนทร์ที่เหมือนมีอะไรมากมายในความคิดและจิตใจ ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

“พูดอะไรบ้างสิครับเปรม”

“ผม...”

“อ้าวเปรม มากินข้าวร้านนี้ด้วยหรือเนี่ย บังเอิญจังเลย”

เปรมผินหน้าไปมองตามทิศทางของเสียงก็พบร่างเล็กสันทัดของรณพักตร์ยืนยิ้มแฉ่ง โบกมือหย็อยๆให้เขาอย่างเริงร่า ใกล้กันนั้นก็มีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งราวนายแบบชื่อดัง ใบหน้าคมคายออกแนวลูกครึ่ง คุณชินกฤตที่แต่งสูทีดำเรียบหรูเป็นทางการ และคนสุดท้ายที่กำลังมองเขานิ่งค้างไม่ขยับเขยื้อนไปไหน...

อสุเรนทร์

แววตาคมจ้องมองตรงมาอย่างที่เขาเองก็จับความรู้สึกของคนมากวัยกว่าไม่ถูก

“นั่นสินะครับ บังเอิญจังเลย”

“ขอโทษนะครับคุณราเมนทร์ ผมคุยกับเพื่อนผมอยู่อย่าสอดครับอย่าสอด”

“หึ ปากดีเหมือนเดิมเลยนะรณพักตร์” ดวงตาหยีเป็นรูปประจันทร์เสี้ยว กรีดยิ้มพริ้มพรายน่ามองทว่าเนื้อด้านในล้วนอาบไปด้วยยาพิษชั้นดี

“ปากผมมันดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เชื่อก็กลับไปถามน้องชายคุณสิ”

“!”

“อุ้ย นี่ผมหลุดพูดอะไรไปเนี่ย แย่จังเลย”

“แก” ราเมนทร์ทำท่าจะลุกขึ้นไปต่อยเจ้ายักษ์แคระสักหมัดสองหมัด แต่ร่างบางกลับยื้อยึดเอาไว้พร้อมส่ายหน้าไม่อยากให้มีเรื่องกันภายในร้านอาหารแห่งนี้ จำต้องหย่อนตัวลงนั่งตามเดิม หากแต่ยังขบปราบแน่นตีหน้าถมึงตึงใส่เจ้าลูกยักษ์แคระอย่างไม่ยอมแพ้

“เปรมคบคนนิสัยไม่ดีแบบนี้ได้ยังไง คิดผิดคิดใหม่นะ”

“ไม่หรอกครับอิน เห็นขี้ใจร้อนโกรธง่ายอย่างนี้ แต่ ‘พี่’ รามเขาก็ใจดีมากเลยนะครับ”

เปรมแอบได้ยินเสียง ‘หึ’ คล้ายเสียงพ่นลมหายใจแรงๆจากคนที่ยืนใกล้เขาที่สุด เขาทำเพียงเหลือบมองแวบหนึ่งและหันกลับมาอย่างรวดเร็ว

“ว้าว จริงเหรอเนี่ย อ่า...ไหนๆเราก็รู้จักกัน เปรมกับคุณรามผู้แสนจิตใจดีราวเจ้าชายขี่ม้าขาวคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมหากพวกผมขอนั่งร่วมโต๊ะด้วย”

“พวกคุณมากันตั้งสี่คน โต๊ะพวกผมมีสี่...นั่งไปแล้วสองก็เท่ากับว่าเหลืออีกแค่สอง แค่นี้คุณรณพักตร์ก็คงคิดได้ใช่ไหมครับว่าที่นั่งมันไม่พอให้คนอย่างพวกคุณมานั่งได้หมด”

“คุณรามนี่ไม่มีสมอง เอ้ย คิดน้อยเกินไปหรือเปล่าครับ ถ้าไม่พอก็แบ่งเอาสิครับจะไปยากอะไร ผมกับแด๊ดดี้นั่งกับพวกคุณ ส่วนอากฤตและมิสเตอร์ คริส อู๋ จะไปนั่งโต๊ะเล็กตรงนั้นที่มีเก้าอี้เพียงแค่สองตัว” รากษสหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ รวบแขนเพื่อนคนสนิท (ควบตำแหน่งเมียพระบิดา) ไปกอดแล้วเอาแก้มถูไปมาอย่างออดอ้อน “ให้อินนั่งด้วยนะเปรมนะ...นะครับ”

“เปรม” ราเมนทร์ส่ายศีรษะห้าม

“นะเปรมนะ”

“เจ้าอิน ถ้าคนใจดำเขาไม่ให้นั่งจะไปขอเขานั่งทำไม”

คนใจดำอย่างนั้นเหรอ...

“พระบิดา! หุบปากเดี๋ยวนี้”

“ก็มันจริงไหมล่ะ อ้อนวอนไปก็เท่านั้นในเมื่อเขาไม่ใส่”

“ถ้าอินกับคุณอสุเรนทร์อยากจะนั่งผมก็ไม่ห้ามอะไรหรอกครับ แต่ถ้านั่งด้วยกันแล้วเกิดอึดอัดขึ้นมา...คงจะลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย”

พอเริ่มเห็นท่าไม่ค่อยดีรณพักตร์จึงออกแรงดึงมือผู้เป็นพ่อให้นั่งลงข้างๆรา-เมนทร์ และตนเป็นคนนั่งใกล้เพื่อนร่างสูงเอง เมื่อสถานการณ์ตรงหน้าเริ่มคลี่คลาย(?) ชินกฤตจึงเลือกหันไปส่งยิ้มบางให้ คริส อู๋ ตัวแทนคนใหม่ที่มาแทนที่นานะ ก่อนผายมือนำร่างสูงไปนั่งอีกโต๊ะเยื้องกับโต๊ะของเปรมไม่ไกลนัก

ระหว่างนั้นคนทั้งสี่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก รณพักตร์พลิกดูรายการอาหารขณะอสุเรนทร์ เปรมและราเมนทร์ต่างเลือกที่จะนั่งนิ่งประดั่งตอไม้ไร้ชีวิต บรรยากาศอึมครึมแผ่ขยายปกคลุมทั่วทั้งโต๊ะ...เนิ่นนานจนสุดท้ายรากษสหนุ่มผู้ทนอยู่เฉยอีกต่อไปไม่ไหวจึงโพล่งพูดรัวออกมาเพื่อทำลายความเงียบโดยไม่สนคนฟังจะฟังทันหรือไม่

“เปรม หมู่นี้นายสบายดีไหม ฉันไม่ค่อยเห็นนายเลย พอโทรไปนายก็ไม่ค่อยรับสาย คิดจะตัดเพื่อนกับฉันแล้วใช่ไหม”

“ผมช่วยพี่รามเขาทำงานที่บริษัทน่ะครับก็เลยไม่มีเวลารับสาย ขอโทษนะ”

“อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันหน่อย ปล่อยให้เราเป็นห่วงตั้งนาน”

“โทษที เวลาผมอยู่ในเวลาทำงานผมมักเป็นแบบนี้แหละ”

“เป็นเพราะงานแน่หรือครับ”

ร่างบางขมวดคิ้วมองอสุเรนทร์ด้วยความไม่พอใจ รู้ดีว่าประโยคนั้นมันมีแต่ความประชดประชัน แต่ยังไงเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดแบบนี้ โดยเฉพาะคนที่เคยคุ้นเคย

“คุณจะบอกว่าผมไม่รับสายอิน ไม่ติดต่ออินเป็นเพราะผมอยู่กับพี่รามหรือครับ”

“แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรอื่นอีกล่ะ”

“มีสิ แต่คุณไม่เคยรับรู้ถึงมันเลยต่างหาก”

ริมฝีปากงดงามราวกลีบกุหลาบคลี่ยิ้มเย็น เอื้อมกุมมือหนาของราเมนทร์ที่วางบนโต๊ะเป็นการประกาชัด ไม่อนาทรต่อสายตาของคนที่เหลือ ยิ่งสายตาคมของอสุเรนทร์จ้องเขม็งมายังมือที่กุมประสานกันอยู่

“รักกันหวานชื่นดีนะ”

“คนคบกันไม่หวานชื่นจะให้นั่งร้องไห้ช้ำใจตายหรือครับคุณอสุเรนทร์”

“พึ่งเลิกกับคนเก่าไม่นาน ดันคบกันคนใหม่ได้อย่างหน้าตาระรื่น เธอเก่งจริงๆ”

“ไม่ใช่เพราะผมเก่ง แต่คนเก่ามันไม่ดีทั้งที่เชื่อใจให้ใจไปเต็มร้อย แต่ตัวเขาเองกลับไม่มีความอดทนอดกลั้น ห้ามใจไม่อยู่ แล้วแบบนี้คุณจะให้ผมทนคบกับคนแบบนั้นต่อไปหรือครับ แค่คำขอโทษคำเดียวมันไม่พอกับความรู้สึกของผมที่สูญเสียไปหรอก”
ราเมนทร์ผินมองหน้าพญารากษสเล็กน้อย ก่อนจะลุกไปนั่งยองๆใกล้คนร่างบางและเกลี่ยหยาดน้ำตาสีใสออกจากพวงแก้มนวล
“อย่าร้องนะเปรม พี่ไม่ชอบเห็นเราร้องไห้เลย”

“อืม”

“แฟนพี่อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวพี่สั่งให้”

อสุเรนทร์ฝืนยิ้มให้ทั้งสองอย่างชื่นมื่น หากรสชาติของอาหารมื้อนี้มันกลับฝืดคอเสียจนแทบกลืนไม่ลง ภาพที่ราเมนทร์คอยเอาอกเอาใจ คอยตักกับข้าวใส่จานให้น้องน้อยมันไม่ต่างอะไรกับการถูกเข็มร้อยพันเล่มคอยทิ่มแทงเนื้อตัวและหัวใจให้เจ็บปวดเมื่อหวนคิดถึงห้วงเวลาที่เขาเองก็เคยทำเช่นนั้น รอยยิ้มหวานกับสีหน้าสีตาราวคนมีความสุขทำเอาอสุเรนทร์หงุดหงิดอยากลากน้องน้อยกลับไปกักขังที่บ้านเสียเดี๋ยวนี้ ท้ายสุดเมื่อทนไม่ได้ก็ทิ้งช้อนในมือกระทบจานกระเบื้องจนเกิดเสียงดัง ก่อนจะยกแก้วน้ำดื่มด้วยความรุ่นร้อนในจิตใจ

“อิ่มแล้วหรือครับคุณอสุเรนทร์”

“อืม อาหารมันเลี่ยน ฉันกินไม่ลง ถ้ายังไงขอตัวไปสูดอากาศด้านนอกหน่อยล่ะกัน”



ฝ่ามือเรียวเล็กควักน้ำขึ้นมาสาดใส่เรียวหน้าของตนอย่างเร็วรี่และบ้าคลั่ง สายตาสุดแสนจะเย็นชาและคำพูดเหยียดหยันของอสุเรนทร์มันทำให้เขาสุดจะทน นิ้วทั้งห้าขยำอกเสื้อจนยับย่น รู้สึกถึงหัวใจดวงน้อยกำลังปวดร้าวลึก หายใจไม่ค่อยออกคล้ายร่างทั้งร่างดำดิ่งลงสู่ใต้มหาสมุทร ริมฝีปากอ้าออกทว่ากลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย หยาดน้ำสีใสไหลรินประดุจสายธาราระเรื่อยรื่น เจ็บ...เจ็บเหลือเกินพ่อจ๋าแม่จ๋า เปรมเจ็บหัวใจยิ่งนัก

โกรธสวรรค์ที่ทำให้เขาต้องมาพบเจออสุเรนทร์กะทันหัน

โกรธตนเองที่พูดโกหกว่าคบหาดูใจกับราเมนทร์ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่

โมโหกับกริยาและคำพูดแสนดูถูกของอีกฝ่าย

เสียใจกับความทรงจำมากมายที่เคยทำร่วมกัน

และน้อยใจอสุเรนทร์ที่...ปากบอกว่ารัก บอกเราคือคนสำคัญที่สุดในชีวิต แต่เวลาที่ผ่านมากลับหายเงียบ ไม่โผล่หัวมาทำให้เขารู้สึกว่าควรให้อภัย

นัยนาหวานหม่นแสงทอดมองผ่านเงาตนเองในกระจก สะท้อนให้เห็นโครงหน้ารีเรียวและน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมาเป็นทางผสมปนเปไปกับหยดน้ำที่ถูกควักสาดใส่ก่อนหน้าอย่างชัดเจน หนึ่งเดือนที่ผ่านมา...ไม่ต้องถามว่าเป็นอย่างไรเพราะช่วงเวลาที่ห่างกันมันไม่ได้ช่วยให้เปรมรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังคิดถึงคนคนนั้นมากเข้าไปอีก...แต่สิ่งที่ได้รับวันนี้มันทำให้ความคิดความกังวลต่างๆนาๆแทบมลายหายไปหมดสิ้น

สงสารตัวเองที่คิดผิดมาโดยตลอด

“ว่าแล้วต้องแอบมาร้องไห้ในนี้”

“พ...พี่ทศ”

ปรากฏร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกพิงไหล่กับขอบประตูห้องน้ำด้วยแววตาเรียบเฉย เปรมรีบปาดคราบน้ำตาอย่างลวกๆและเตรียมเดินหนีคนคนนี้ให้เร็วที่สุด หากทว่าแขนเรียวเล็กกลับถูกมือใหญ่คว้าไว้ทันเสียก่อน อสุเรนทร์จัดการล็อกกลอนประตูห้องน้ำป้องกันคนภายนอกที่จะเข้ามา คนร่างบางกระวนกระวานรีบผลักอีกฝ่ายออกด้วยความตื่นตระหนก

“คุณคิดจะทำอะไร ออกไปให้ห่างจากผมซะ”

อสุเรนทร์ทำเป็นหูทวนลมไม่เข้าใจ ก้าวเท้าเข้าหาใกล้เรื่อยๆจนเหยื่อตัวน้อยต้องขยับถอยหลังทีละก้าว...ทีละสองก้าวจนสุดท้ายแผ่นหลังเล็กก็ชิดติดไปกับอ่างล้างหน้าหินอ่อน

“บอกสิว่าเปรมร้องไห้เพราะพี่”

“อย่าหลงตัวเองให้มากครับคุณอสุเรนทร์ คุณไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับผมถึงขั้นต้องแอบมาร้องไห้เงียบๆคนเดียวในห้องน้ำ”

“อย่าโกหก”   

“หน้าผมมันบอกว่าโกหกหรือครับ”

“แต่เปรมเป็นเมียพี่!”

คนร่างบางถึงกับหลุดยิ้มสมเพส ดวงตาเรียวคลอไปด้วยน้ำตาหยดใสช้อนขึ้นมองอีกคนอย่างเจ็บปวดในหัวใจ

“อย่าลืมสิครับเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เราเลิกกันแล้ว”

“พี่ไม่เลิก ยังไงพี่ก็ไม่เลิก ต้องให้พี่พูดยังไงชดใช้ยังไงเปรมถึงจะพอใจและยอมอภัยให้พี่”

“ไม่ต้องพูดอะไรแค่ไปให้ไกลจากผมก็พอ”

“เกลียดฉันมากหรือไง ตอบสิเปมทัต”

“ใช่ผมเกลียดคุณ”

นัยเนตรราชสีห์ทอประกายสีเขียวเรืองโรจน์หลังจากร่างบางพูดประโยคนั้นออกมา “จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม เราจะจบกันอย่างนี้ใช่ไหม”

“อย่าคิดมาโทษผม เพราะที่จบลงอย่างนี้คุณทำตัวของคุณเอง”

“ก็พี่บอกไปแล้วไงว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่โดนวางยา”

“คำขอโทษเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ แต่คุณไม่เคยคิดจะแก้ที่ต้นเหตุ”

“...”

“คุณไม่ยอมอดทน หรือคุณจะบอกอดทนแล้วแต่ไม่สำเร็จอย่างนั้นหรือ” เปรมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ปลายจมูกรั้นแดงก่ำ ดวงตารีเรียวสะท้อนผ่านคนตรงข้ามผ่านม่านน้ำตา “เรื่องของผมกับคุณขอให้จบกันเพียงเท่านี้เถอะ”

“แล้วถ้าพี่ไม่ยอมล่ะ”

อสุเรนทร์เอ่ยถามด้วยแววตาเย็นเยียบ พออีกฝ่ายยืนสู้ตากับเขาอย่างดื้อดึงพญารากษสก็ตวัดร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด กอดรัดแนบแน่นเสียจนแทบจะไม่มีช่องว่างให้อากาศไหลผ่าน

“คุณอสุเรนทร์ ปล่อมผมนะ ผมบอกให้ปล่อยไง!”

“พี่ไม่ปล่อย”

“คุณทำเกินไปแล้วนะ”

“ทำไม กลัวไอ้ราเมนทร์แฟนเธอมาเห็นภาพของเราหรือไง เรียกมันมาสิพี่จะทำมากกว่ากอดให้ดู”

“คุณมันทุเรศ”

“เพิ่งรู้หรือไงเมียรัก”

ว่าแล้วท่อนแขนแข็งแรงก็ช้อนใต้ขาเรียวเพื่อยกร่างบอบบางขึ้นไปนั่งบนอ่างล่างหน้า ก่อนจะฉกวูบลงมายังริมฝีปากอิ่มตึงโดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้ตั้งตัว เปรมทุบกำปั้นไปที่อกแกร่ง พยายามเบี่ยงหน้าหนีหากทว่าอสุเรนทร์กลับไม่สะทกสะท้าน เดินหน้าบดขยี้ริมฝีปากสีสดต่อไปอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งนึกถึงตอนที่น้องน้อยยิ้มให้กับราเมนทร์ จับมือถือแขน พูดจาหวานแหววใส่กัน ความโกรธในใจก็ยิ่งพอกพูดขึ้นมาไม่มีที่สิ้นสุด ถึงเขาจะยอมถอยห่างออกมาแต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมให้เปรมไปจู๋จี๋ เป็นคู่รักชูชื่นกับมัน
ปลายลิ้นหนาสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากหวาน ดูดกลืนน้ำเกสรที่เขาโหยหามานานสองนาน เขารักเปรม รักเกินกว่าจะให้ใครหน้าไหนมาแย่งเจ้าตัวไป

เปรมเป็นของเขาคนเดียว!!

“หยุดนะ อื้อ!”

อสุเรนทร์ระดมจูบอีกฝ่ายจวบจนพอใจ เขาก็ผละออกมองดวงหน้าเนียนของน้องน้อยที่กำลังบูดเบี้ยวด้วยความโกรธ

เพี๊ยะ!

ซีกหน้าคมหันไปตามแรงกระทบจากฝ่ามือเรียวเล็กของคนที่เขารักด้วยความแรง และตามมาอีกครั้งหนึ่งทว่าเปลี่ยนจากข้างซ้ายมาเป็นข้างขวา แก้มสากทั้งสองข้างของอสุเรนทร์จึงขึ้นรอยแดงเป็นรูปมือชัดเจน

“เลว”

อสุเรนทร์กระตุกยิ้มหลังปาดเลือดที่มุมปากมาดู...อยากเล่นอย่างนี้ใช่หรือไม่ยอดรักของพี่...พี่ก็จะจัดให้น้องเสียเดี๋ยวนี้

“ผมเกลียดคุณ ผมเกลียด...อื้อ!”

เขากระชากร่างบางเข้ามาจูบอีกครั้งอย่างรุนแรง ถ้าอีกฝ่ายยังคิดจะฟาดรอยนิ้วทั้งห้าประดับบนแก้มเขาอีกรอบเขาก็จะคว้ามาจูบอย่างดูดดื่ม ตบอีกก็จูบอีก จูบให้หลาบจำ วินาทีที่เปรมคิดถอยหนีอสุเรนทร์ก็รีบรวบร่างบางมาไว้ในอ้อมแขน กระชับกอดและซุกหน้าคมเกยบนลาดไหล่เล็ก จมูกดอมดมกลิ่นหอมอันคุ้นเคยซ้ำแล้วซ้ำแล้วด้วยความคิดถึง โหยหา

“ปล่อย!”

“พี่จะไม่ยอมเสียเปรมไปอีกแล้ว ขอร้องล่ะให้โอกาสให้พี่...”

“โอกาสองคุณมันหมดไปนานแล้ว อย่าคิดอ้อนวอนขอจากผมอีก”

“ไม่เอานะเปรม...เปรมจ๋า...ฮึก อย่าทิ้งพี่ได้ไหม พี่ ฮึกๆ อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเปรมนะ”

“หนึ่งเดือนที่เลิกกันคุณก็อยู่ได้นี่”

“ถ้าพี่อยู่ได้พี่คงไม่ไปนั่งดูเปรมผ่านบานหน้าต่างทุกคืนหรอก”

“!!”

“เปรมจ๋า...ได้โปรดเถิด”

เบ้าตาแน่งน้อยร้อนผ่าว ความเสียใจระคนปวดใจพุ่งตรงออกจากดวงตาอย่างไม่มีปิดบัง คนอ่อนวัยกว่าดีดดิ้นขลุกขลักทว่ายิ่งดิ้นมันกลับยิ่งรัดแน่นขึ้นไปอีก

“ปล่อย”

“พี่รักเปรมนะ รักเปรมมาก เรากลับมารักกันเหมือนเดิมได้ไหมครับ”

“เปรม...”

ดวงเนตรคมจับนิ่งอยู่ที่ดวงหน้างามผุดผาด มือแข็งแรงยังคงโอบเอวคอดกิ่วไม่ยอมถอยห่างไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ ฝ่ามือสากขาดการดูแลลูบไล้แก้มเนียนอย่างรักใคร่ ก่อนโน้มตัวจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน เปรมสุดจะกลั้นทุบกำปั้นลงอกแกร่งรัวแรงจนไม่กลัวอีกฝ่ายเจ็บ

“ไอ้คนบ้า นิสัยไม่ดี”

“...”

“ผมเกลียดคุณ...ผมไม่รักคุณแล้ว ฮือ คุณมันคนเฮงซวยผมจะไม่รักคุณอีกต่อไปแล้ว”

“เปรม...”

“ผมไม่รักพี่อีกแล้ว”

อสุเรนทร์ดึงคนรักเข้ามากอดอีกครั้ง แม้อีกฝ่ายจะทุบตี บอกไม่รักเขาเสียงดังแค่ไหนหากน้ำเสียงที่ถูกถ่ายทอดออกมามันกลับตรงข้ามกับที่เจ้าตัวบอกโดยสิ้นเชิง หัวใจที่ห่อเหี่ยวมานานก็ชุ่มชื้นโดยทันใด...น้องน้อยยังรักเขาเหมือนเดิม...รักเขาเพียงคนเดียว

“พี่รักเปรมมากเหลือเกิน...มากเสียจนหากน้องไม่ยอมกลับมาหาพี่ พี่จะฆ่าตัวตายเสียสิ้นไม่ให้น้องต้องมานั่งปวดใจเพราะผู้ชายเลวๆคนนี้อีก”

“พี่ทศ!”

“ในเมื่อคนที่พี่รักไม่รักพี่แล้วก็ไม่รู้อยู่ไปเพื่ออะไร สู้ตายจากโลกนี้มันน่าจะดีเสียกว่า เปรมว่าอย่างนั้นไหม”

“พี่มันบ้า ถ้าอยากตายนักก็ตายไปเลย ไม่ต้องมาเห็นหน้ากันอีกตลอดชีวิต” เปรมตอบกลับด้วยเสียงแข็งกร้าว หากวงแขนกลับยกกอดตอบอีกคนแน่น ซุกหน้ากับอกแข็งแรงร้องสะอึกสะอื้นแทบขาดใจ อสุเรนทร์คลี่ยิ้มบรรจงจุมพิตขมับ เลื่อนลงมายังพวงแก้มทั้งสองข้างและตีตราประทับบนริมฝีปากอ่อนนุ่มเนิ่นนาน

ปัง! ปัง! ปัง!

“เปรมครับ เปรมอยู่ในนั้นใช่ไหม ตอบพี่หน่อยสิเปรม!” เสียงเคาะประตูดังรัวพร้อมเสียงตะโกนเรียกจากด้านนอกทำให้เปรมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ พยายามสะบัดแขนให้หลุดจากพันธนาการที่แข็งแกร่ง แต่อสุเรนทร์ยุดยื้อเอาไว้ ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกจากปากหยัก หากแววตานั้นกำลังขอร้อง อ้อนวอนไม่ให้เขาตอบรับเสียงเรียกจากด้านนอก

“เปรม พี่รู้ว่าเปรมอยู่ในนั้น เปรมอยู่กับไอ้ทศใช่ไหม ตอบพี่สิตอบ”

“พี่ทศ”

“พี่ไม่ปล่อยเราเด็ดขาด”

“เปรม!”  ราเมนทร์ตะโกนสุดเสียงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนใช้แรงทั้งหมดกระแทกประตูบานหนาอยู่สองสามครั้งจนมันเปิดออกกว้าง ภาพยักษ์ชั่วกำลังตระกองกอดคนรักของเขาทำเอาเนตรคมแทบลุกเป็นไฟ ขึงขังเต็มไปด้วยโทะแรงกล้า ไม่รอช้ารีบเดินดุ่มๆเข้าไปคว้าไหล่กว้างของอสุเรนทร์ให้หันมาแล้วซัดหมัดเข้าเต็มโหนกแก้มตอบเสียงดังผลัวะ คนโดนต่อยถึงกับเซถลาลงไปนั่งกับพื้น ราเมนทร์ทำท่าจะเข้าไปซ้ำทว่ารณพักตร์วิ่งเข้ารั้งตัวไว้ทันเสียก่อน

“ปล่อยกู บอกให้ปล่อย!”

“ปล่อยให้แกเข้าไปทำร้ายพระบิดาฉันเพิ่มน่ะเหรอไอ้หมาบ้า”

“มึงมายุ่งกับคนของกูอีกทำไมไอ้ทศ เปรมเป็นของกูแล้วไม่ใช่ของมึง!”

“แน่ใจฤาว่าเปรมอยากจักเป็นของมึงจริง มิใช่ทำเพื่อประชดรักกูดอกรึ”

“ไอ้ยักษ์ชั้นต่ำ!” ลมหายใจร้อนพ่นผ่านจมูกโด่งสันออกมาแรงๆ กรามเหลี่ยมได้รูปขบกันเป็นสันนูนเมื่อต้องระงับความโกรธที่พุ่งพล่านอยู่ในใจ เบือนสายตาไปยังคนที่เพิ่งเป็นแฟนหมาดๆ อย่างอ้อนวอน

“เปรมมาหาพี่”

“อย่านะเปรม อยู่กับพี่ทศนะ”

“เปรม พี่เป็นแฟนเปรมนะ เดินมาหาพี่สิ”

“พระราม...มึงมันก็เป็นได้แค่แฟนหลอกๆแต่ตัวกูนั้นไซร้...คือผัวตัวจริงเสียงจริง อย่างไรเสียเปรมก็ต้องเลือกอยู่กับกูมากกว่าคนเลวอย่างมึงเป็นแน่แท้”

“คนเลวน่าจักเป็นมึงเสียมากกว่าหนาทศกัณฐ์”

“กระนั้นคนดีอย่างมึงเหตุใดต้องวางแผนเอายาปลุกกำหนัดมาให้กูกินยามที่อยู่หัวหินกับนานะเล่า อธิบายเปรมไปเสียสิว่ามึงกระทำเช่นนี้เพราะอยากให้น้องเลิกรากับกูแลหันไปคบคนชั่วอย่างมึงแทน”

“จริงหรือครับ” ร่างบางถามเสียงแผ่ว

“ไม่จริงนะเปรม อย่าไปเชื่อมัน มันใส่ร้ายพี่ ไอ้ทศไอ้ชาติชั่วสารเลว”

“อยากฟังเสียงคำสารภาพที่นานะส่งมาฤาไม่เล่า เสียงดังฟังชัดทุกถ้อยคำเชียวหนา”

“กูจักเอามึงให้ตาย!”

“ก็เข้ามา!!”

กษัตริย์แห่งอโยธยาและกรุงลงกาหมายพุ่งเข้าใส่กันอีกอย่างเดือดดาล หากเป็นเปรมเองที่ไม่สามารถทนเห็นทั้งสองห้ำหั่นกันได้จึงรีบผลักร่างของอสุเรนทร์ไปข้างๆ แล้ววิ่งไปยืนขวางอยู่หน้าราเมนทร์ราวต้องการปกป้องอย่างไรอย่างนั้น พญารากษสเบิกตาค้าง คำพูดมายมายที่อยากจะพูดถูกกลืนหายจนหมดสิ้น

“เปรมปกป้องมันเหรอ”

“ผมไม่ได้ปกป้องใครทั้งนั้นทั้งพี่รามและคุณอสุเรนทร์”

คำเรียกห่างเหินกลับมาอีกครั้ง...

“แต่ผมไม่อยากให้พวกคุณมีเรื่องกันเพราะมีผลเป็นตัวต้นเหตุ ผมไม่ชอบ”

“...”

“ต่างคนต่างอยู่แล้วกันนะครับ ผมขอโทษแทนพี่รามด้วยที่ต่อยคุณ ถ้าเป็นไปได้อย่าได้มาเจอกันอีกเลย” มือน้อยคว้ามือราเมนทร์ไปจับ ผงกหัวขอโทษให้รากษสสองพ่อลูกก่อนจะออกแรงดึงพากันเดินออกไปนอกห้องน้ำโดยไม่สนใจสายตาเจ็บเจียนคลั่งของอีกคนแม้แต่น้อย

นิ้วโป้งปาดคราบเลือดจากแรงต่อยเมื่อครู่ บาดแผลนี้ยังไม่เจ็บเท่าใจของเขายามน้องน้อยเลือกเดินเคียงข้างไปกับมัน

“พระบิดาปล่อยให้เปรมไปกับมันหน้าตาเฉยได้ไง ถ้าคิดจะปล่อยก็น่าจะเข้าไปต่อยมันคืนให้ได้สักแผลหนึ่งสิ เล่นยืนเฉยแบบนี้โคตรขัดใจอินเลยว่ะ”

“เข้าไปต่อยมันแล้วให้พระมารดาเจ้าเกลียดหนักกว่าเดิมรึ”

“ไอ้นู่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้แล้วพระบิดาจะทำไงต่อล่ะ ขืนอยู่เฉยแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆมีหวังเปรมได้มีผัวอีกคน”



“เชื่อเถอะ อย่างไรเปรมก็ต้องมีพ่อเป็นผัวคนเดียว”





อย่าเพิ่งด้วยสรุปความคิดของน้องน้าาา น้องเขามีเหตุผล แล้วการกระทำทุกอย่างมันเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวในอดีต อย่าลืมนะคะน้องมีภารกิจที่ต้องทำจากคุณสีดา


เอาล่ะค่ะ มาอ่านกันต่อเลยดีกว่า


ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0



รถสัญชาติยุโรปสีดำเงาเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าโรงแรมห้าดาวในเครือบริษัท RAVANA  ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานครที่มีไว้เพื่อรองรับลูกค้าตั้งแต่ระดับชั้นปานกลางถึงระดับผู้บริหารแต่ละประเทศ พนักงานต้อนรับในชุดราชปะแตนนุ่งผ้าม่วงเรียบกริบเดินมาเปิดประตูรถให้อย่างเบามือ ประนมมือไหว้แสดงถึงเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยอย่างน่าประทับใจ

ชายหนุ่มร่างสูงสง่าก้มตัวลงเล็กน้อยเมื่อกระจกหน้าต่างรถลดระดับเลื่อนลงจนเห็นหน้าคนใจดีที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งถึงที่ ดวงหน้าคมสันตามสัญชาติจีน-แคนาดา คิ้วเข้มหนาเฉียงขึ้นบนคล้ายด้ามกระบี่ตามซีรี่ย์กำลังภายในของทางประเทศจีน ดวงตาสีน้ำตาลอมทองและรอยยิ้มกว้างที่ทำให้ใครต่อใครต่างพากันหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

“ขอบคุณที่มาส่งนะครับมิสเตอร์ครีด(กฤต) เลี้ยงอาหารต้อนรับผมแล้วยังอุตส่าห์มาส่งถึงน่าโรงแรมด้วย เกรงใจแย่”

“ไม่เป็นไรครับคุณคริส ยังไงบริษัทพวกเราก็ต้องทำงานร่วมกัน ผมเองเป็นเจ้าบ้านก็ต้องต้อนรับดูแลคุณอย่างดีสิครับ”

“ถึงจะแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมก็อดเกรงใจไม่ได้อยู่ดี”

“ถ้าเกรงใจมากนักก็ช่วยขยันทำงานแล้วมาสร้างโปรเจคใหม่ให้มันประสบความสำเร็จไปทั่วโลก น่าจะถือเป็นของตอบแทนที่วิน-วินกันทั้งสองฝ่าย”

คริส อู๋กระตุกยิ้มทีเล่นทีจริง “สมแล้วที่ได้ฉายา ‘ท่านรองยี่สิบสี่ชั่วโมง” สมองคุณนี่คงมีแต่เรื่องงานอย่างเดียวสินะ ไม่มีเรื่องอื่นมาพูดบ้างเลยหรือไงครับ”

“มันก็มีบ้างแต่ผมไม่คิดจะพูดต่างหาก” รอยยิ้มหวานพราวระยับประดับอยู่บนริมฝีปากบางพร้อมลักยิ้มบุ๋มตรงสองข้างแก้ม สำหรับคนเพิ่งรู้จักชินกฤตเช่นคริส เขาคิดว่าคนตรงหน้าช่างน่ามองเหลือเกิน สวยและเก่งเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่รองประธาน ยักษ์ใหญ่และ...หนุ่มโสด

“แวะขึ้นไปพักดื่มน้ำที่ห้องผมก่อนไหมครับ กาแฟก็มีนะถ้าคุณต้องการ”

“ไม่ล่ะครับ ที่บ้านผมก็มี”

“อ่า นั่นสิ...งั้นพรุ่งนี้ว่างหรือเปล่าครับ”

ชินกฤตหรี่ตาสงสัย “จะชวนผมทานข้าวหรือไง”

“แหม มองคนเก่งจัง”

“พรุ่งนี้ผมมีนัดกับท่านครูท่านหนึ่งแล้ว คงไปตามคำชวนของคุณคริสไม่ได้”

“ผมขอไปด้วยได้ไหม” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วสงสัยจึงรีบพูดอธิบายต่อ “พอดีเวลาว่างๆผมไม่ชอบอยู่ในห้องพักแล้วก็ไม่ค่อยชอบไปเที่ยวคนเดียวสักเท่าไหร่ จะเป็นอะไรไหม...หากผมไปกับคุณด้วย ผมจะทำตัวดีๆไม่ให้ครีดไม่พอใจสักนิดเดียว สาบาน”
สีหน้าและท่าทีขึงขังของชายหนุ่มลูกครึ่งทำเอาชินกฤตหลุดหัวเราะในลำคอ เอื้อมหยิบกระดาษโพสอิทหนึ่งใบ จดปลายปากกาเขียนหมายเลขครบสิบจำนวนก่อนจะส่งไปให้คนร่างสูง

“หน้าฟร้อนตอนสิบโมงห้ามสาย แต่ถ้าคุณตัดสินใจไม่อยากไปแล้วก็ช่วยโทรมาบอกผมล่วงหน้าสักสองสามชั่วโมงตามเบอร์นี้เลยล่ะกัน”

ริมฝีปากหยักตึงค่อยๆคลี่ยิ้มก่อนจะกลายเป็นยิ้มกว้าง “นี่เบอร์คุณ?”

“เบอร์ท่านนายกราชอาณาจักรอังกฤษละมังครับ”

“ผมจริงจังนะ”

“ไม่ใช่เบอร์ผมจะเบอร์ใครล่ะ” คนพูดยิ้มน้อย “รีบขึ้นไปพักเถอะครับ เพราะถ้าเกิดตื่นสายมาขึ้นมาผมคงไม่อยู่รอ”

“โอเค ผมจะรีบขึ้นไปอาบน้ำและนอนทันที”

“พรุ่งนี้เจอกันครับคุณคริส”

“ครับครีด...”

ร่างสูงมองตามรถของชินกฤตที่เคลื่อนตัวออกไปไกลจนสุดสายตา ยกกระดาษโพสอิทที่มีหมายเลขโทรศัพท์อีกคนขึ้นมาจูบ

แล้วเจอกันนะครับ (ว่าที่)มายเลดี้ของผม


หลังจากมื้อค่ำวันนั้น อีกสองวันต่อมาราเมนทร์ก็ได้โทรมาที่บ้านเปรมเพื่อขออนุญาตพ่อแม่ปู่ย่าตายายทั้งหลายให้คนเป็นลูกชายและหลานชายไปเที่ยวเป็นเพื่อนที่อยุธยาและนอนค้างที่บ้านส่วนตัวของตนสักหนึ่งคืน ตอนแรกบรรดาคุณผู้ชายของบ้านล้วนแล้วแต่ค้านหัวชนฝาเพราะมีความไม่ไว้ใจชายหนุ่มผู้นี้อย่างแรง หากเมื่อฟังคำอธิบายที่ดูเหมือนจะเป็นการเกลี่ยกล่อมเสียมากกว่า เจ้าหนุ่มปลายสายฉลาดไม่ฉลาดดูจากการใช้กลยุทธ์นักธุรกิจชักแม่น้ำทั้งห้า หรืออาจจะมากกว่านั้นมาทำให้พวกเขาเออออคล้อยตาม และกว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็ตอนที่เจ้าหนุ่มนั่นตอบกลับมาว่า...

‘ขอบคุณนะครับคุณพ่อคุณแม่ที่ไว้ใจให้เปรมไปเที่ยวอยุธยากับผม’

เป็นอย่างไรเล่า...สุดท้ายต้องมายืนเกาะรั้วโบกมือร่ำลาลูกชายอย่างเศร้าซึม ไม่รู้เพราะเหตุใดหัวอกคนเป็นพ่อถึงได้รู้สึกตงิดตะง่วนยามเห็นลูกเดินตีคู่กับประธานหนุ่มรูปหน้าหน้าดูดีพอๆกับอสุเรนทร์ อดีตแฟนหนุ่มของลูกชาย เขาไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่หรืออะไรที่ทำให้ลูกชายเลิกคบกับคนก่อนแล้วหันมาคุยกับคนนี้แทน แต่บางทีมันก็อดสงสัยไม่น้อยถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ประธานหนุ่มจิวเวอร์รี่ก็ดูใช้ได้ มีความเคารพผู้ใหญ่ พูดจาสุภาพ นิสัยก็อยู่ในเกณฑ์เข้าขั้นราวคนที่ถูกอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่ทว่า...ยังไงสำหรับชายวัยใหญ่อย่างเขาอสุเรนทร์ยังถือเป็น(ว่าที่)ลูกเขยอันดับหนึ่งในใจเหมือนเดิม

“ดูทำหน้าเข้าอย่างกับคนแก่โดนลูกหลานอุ้มไปทิ้งหน้าบ้านพักคนชรา ลูกแค่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับแฟนสองวันนะคะคุณไม่ได้เดินทางไปแต่งงานเข้าบ้านสามี”

“ดาวอย่าลืม ลูกเราเป็นผู้ชาย”

“แล้วคุณจะให้ลูกแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนล่ะคะ ในเมื่อแต่ละคนที่เข้ามาจีบมาเป็นคนรักของลูกก็เป็นเพศเดียวกันทั้งนั้น”
“ทำไมชอบย้ำเรื่องนี้กับผมนักล่ะที่รัก”

“ก็คุณชอบบ่นแต่เรื่องเดิมๆไง”

ดวงดาวแอบขำในท่าทีของชายวัยสี่สิบปลายย่างห้าสิบปีที่เกิดอาการถอนใจหนัก เชิดหน้างอนใส่เธอราวเด็กน้อยเวลาถูกพ่อแม่ขัดใจก็มิปาน

“ยังไงผมก็อยากให้เปรมมันมีเมียมากกว่า”

“พวกเราได้แค่เลี้ยงเขาเพื่อให้เป็นคนดีของสังคม ส่วนตัวเขาจะทำอะไรจะรักใครนั้นปล่อยให้เจ้าตัวเป็นคนเลือกเองเถอะค่ะ แต่ลูกมีแฟนหนุ่มก็ดีนะคะเราจะได้ไม่ต้องเสียค่าสินสอดหลายล้าน”

“หัวสมัยใหม่เกินไปไหมที่รัก”

“เวลาเปลี่ยน คนก็ย่อมเปลี่ยนเช่นกัน หัดทำใจอย่างที่คุณพ่อท่านเคยบอกเถอะค่ะ ชีวิตนี้ลูกเราคงไม่มีโอกาสได้เป็นเขยใคร”
กษิดิษเงียบไปสักพักคล้ายใช้ความคิด

“แล้วคุณคิดยังไงกับเจ้าประธานจิวเวอร์รี่นั่น”

“เขาชื่อราเมนทร์ค่ะ”

“จะชื่ออะไรก็ช่าง สรุปว่าไงล่ะ”

“ก็ถือว่าใช้ได้หลายส่วนเลยค่ะ รูปหล่อ ฐานะมั่นคง นิสัยก็ดีอยู่นะคะแต่ฉันว่ามันแปลกๆนิดหน่อย”

“คุณก็คิดเหมือนผมงั้นเหรอ นั่นแหละผมก็รู้สึกแปลกกับเจ้าหนุ่มราเมนทร์คนนี้เหมือนกัน”
 
มือใหญ่ยื่นรับแก้วน้ำเย็นจากเด็กรับใช้ในบ้านส่งให้ภรรยาแสนสวยตัวก่อนตัวเองจะหยิบมาถืออีกแก้วหนึ่ง ค่อยๆหย่อนกายนั่งลงบนพื้นไม้ที่ถูกเช็ดอย่างสะอาดหมดจด ชมทัศนียภาพร่มรื่นสองฝากฝั่งแม่น้ำรจนาเนิ่นนาน ยกน้ำขึ้นจิบอีกสักอึกใหญ่และกล่าวต่อ

“แววตามั่งคงและจริงใจดีแต่คับคล้ายมีอะไรบางอย่างซ่อนไว้อยู่ข้างใน”

“ซ่อนอะไรหรือคะ”

“ไอ้ตัวผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แค่ไม่ค่อยชอบเท่านั้น”

“คุณจะบอกคุณไม่ชอบขี้หน้าคุณราเมนทร์ แต่ชอบคุณทศมากกว่างั้นหรือคะ?”

“มันก็แค่ความคิดผมล่ะน่า” กษิดิษชายตาไปยังปลาตัวใหญ่ที่แหวกว่ายทวนกระแสธาราเข้ามาแทรกกลางระหว่างปลาอีกสองตัว ปลาตัวผู้สองตัวเริ่มพุ่งชนฟาดฟันกันจนน้ำแตกกระเซ็นดังซู่ พวกมันแข่งกันรุกและตั้งรับ ตัวแรกที่อยู่ปลาตัวเมียก่อนหน้าคล้ายจะเสียเปรียบอยู่มากโข หากทว่านานคดีพลิกเพราะท้ายเจ้าปลาตัวแรกดันฮึดสู้สามารถเอาชนะปลาตัวผู้ตัวที่สองได้อย่างน่าอัศจรรย์
ขนาดปลามันยังมีการต่อสู้แย่งชิงปลาตัวเมีย แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์อันเป็นสัตว์ประเสริฐ

“ฉันได้ข่าวคุณทศไปมีผู้หญิงอื่นลูกเรารับไม่ได้ก็เลยบอกเลิก เฮ้อ น่าเสียดายจังเลยนะคะ ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้นเรื่องก็คงไม่ลงเอยเช่นนี้”

“ถึงหน้าตาจะดูเจ้าชู้ออกแบดบอย แต่ผมว่าตาทศไม่คิดนอกใจเจ้าเปรมหรอกเพราะทุกครั้งที่มองสายตาของเจ้านั่นมันมักจะเต็มไปด้วยความรัก เทิดทูนเหนือสิ่งใด...เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ เชื่อผมสิ”

“ดูละครหลังข่าวมากไปหรือเปล่าคะคุณ”

“คอยดูก็แล้วกันว่าสิ่งที่ผมพูดจริงหรือไม่จริง”



รถคันหรูวิ่งผ่านประตูรั้วสูงใหญ่ลายเครือเถาเข้าสู่บ้านพักอีกหลังหนึ่งของตระกูลอัศวรานนท์ เส้นทางที่ผ่านเข้ามาร่มรื่นด้วยต้นไม้และสวนหย่อมที่จัดตกแต่งกลมกลืนกับธรรมชาติ...ความสง่างามทรงคุณค่าแผ่กระจายออกมาจากตัวบ้านเรือนไทยหลังงามราวถอดพิมพ์มาจากภาพวาดในวรรณคดีไทย ทั้งหลังทำจากไม้สักตั้งเด่นตระหง่านในพื้นราวหนึ่งไร่เศษ หลังคาจั่วแหลม แกะสลักลวดลายวิจิตรเป็นลายเปลวกนก ชายหลังคาบ้านมีกันสาดทำจากไม้ชนิดเดียวกันทอดยาวตลอดแนวเพื่อป้องกันแสงแดดและหยาดพิรุณ

ตัวบ้านก่อสร้างอย่างประณีตด้วยช่างไทยสมัยใหม่ทว่าฝีมือดี ยึดไม้เรือนไทยหลังงานนี้โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ดอกเดียวแต่จะใช้การเข้าเดือยไม้แทน หน้าต่างหลาบสิบบานแกะสลักรูปกินรีสลับลายเปลวกนกเอาไว้ทุกบ้านสวยงาม และรอบๆบริเวณบ้านยังปลูกไม้ดอกไม้ประดับร่มรื่น ที่เห็นจะเด่นสะดุดตาก็คือต้นปีบต้นใหญ่ข้างเรือนที่ออกดอกขาวโพลน ส่งกลิ่นหอมขจรกำจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าในเฉพาะเวลายามเย็น

ดวงตาหวานสุกสกาวเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างตื่นตะลึง ไม่คิดว่าบ้านเก่านอกชานเมืองจังหวัดอยุธยาที่ราเมนทร์บอกจะสวยกว่าที่คาดอยู่หลายเท่า เปรมเห็นหญิงชราในชุดกระโปรงผ้าถุงถักทออย่างประณีตและเสื้อแขนสั้นระบายลูกไม้สีเหลืองอ่อนมายืนคอยต้อนรับ

“มิเห็นหน้าเสียนายนะคะคุณชาย”

“จัดห้องเรียบร้อยหรือยังครับแม่พิม”

หญิงชรายิ้มกว้าง “ดิฉันจัดให้อย่างดีตามคำสั่งของคุณชายเลยค่ะ” พิมพาเลื่อนสายตามายังชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งทว่าอีกทางหนึ่งกลับดูบอบบางน่าทะนุถนอมข้างกายคุณชายของเธอ


“แม่พิม นี่เปรม...เป็นคนรักของผมเองครับ ส่วนเปรมนี่แม่พิมพาเป็นคนที่ดูแลฉันมาตลอดน่ะ”

“สวัสดีครับแม่พิม”

“ไหว้พระเถอะจ๊ะพ่อ” มือเหี่ยวย่นสัมผัสซีกแก้มเนียนอมชมพู “หน้าเรานี่ดูทางหนึ่งก็หล่อราวเทพบนชั้นสวรรค์ อีกทางหนึ่งก็ดูสวยคมคล้ายนางสีดาในเรื่องรามเกียรติ์ที่ดิฉันโปรดปราน คุณหนูเปรมเหมาะสมแล้วล่ะค่ะที่เป็นคนรักของคุณชายของดิฉันหาใช่ทศกัณฐ์”

“!”

ราเมนทร์อึกอัก รีบประคองหญิงชราไปส่งให้เด็กรับใช้ในบ้าน “แม่พิมครับ แดดในตอนบ่ายยังค่อนข้างแรง รีบกลับไปพักในเรือนก่อนเถอะครับประเดี๋ยวจะไม่สบายล้มหมอนนอนเสื่อเอาได้ ถ้าเกิดมีอะไรเดี๋ยวผมจะเรียกแม่พิมมาเอง ชิดเอาแม่พิมไปพักซะแล้วค่อยกลับมาช่วยแก้วยกของ”

“ค่ะคุณชาย”

เมื่อหญิงชราวัยเกือบแปดสิบปีเดินหายลับไป ร่างสูงก็หันกลับมาส่งยิ้มราวกับไม่มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้น เอื้อมคว้ามือขาวบางขึ้นมากุมไว้แน่นแล้วออกแรงเดินไปหยุดตรงชานบันไดที่ทอดยาวขึ้นจากพื้นดินไปจนถึงตัวเรือน พลางก้มตัวลงหยิบกระบวยไม้ขึ้นมาตักน้ำสะอาดในตุ่มเล็ก

“ถอดรองเท้าสิเปรม”

“ครับ?”

“ถอดเถอะน่า”

แม้ว่าจะงุนงงกับคำพูดของอีกคนแต่เปรมก็ยอมถอดถุงเท้าและรองเท้าตามที่คนมากวัยกว่าสั่ง ท่ามกลางความงุนงงของแขกผู้มาเยือนราเมนทร์ค่อยๆย่อตัวลงรินรดน้ำใสเย็นจากกระบวยไม้ลงสู่เท้าคู่เรียวสวยของคนรัก เปรมทำท่าจะชักเท้าหนีทว่ามือแกร่งกลับจับยึดไว้แน่น เอื้อมไปตักน้ำอีกครั้งทำซ้ำเช่นเดิมก่อนจะหยิบผ้าแห้งใกล้กันมาเช็ดเท้าของร่างบางจนแห้ง...คนถูกล้างเท้าถึงกับพูดอะไรไม่ออก หัวใจรู้สึกดีและตื้นตันในสิ่งที่อีกคนทำให้ไม่น้อยทีเดียว

เป็นครั้งแรกที่มีคนล้างเท้าให้

“ขอบคุณนะครับ”

“เปรมเป็นคนรักของพี่ ยังไงพี่ก็ต้องดูแลให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ขึ้นไปนั่งพักบนเรือนก่อนนะเดี๋ยวพี่ตามไป”
สัมผัสอุ่นจากริมฝีปากประทับแผ่วเบาบริเวณขมับน้อย ก่อนจะดันร่างบางให้เดินขึ้นไปด้วยอาการยิ้มแย้มมีความสุข เห็นเช่นนั้นก็อดรู้สึกผิดกับอีกฝ่ายไม่ได้ เขารู้ราเมนทร์ก็รักเขาไปต่างจากอีกคนหนึ่ง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อหัวใจเขามีแค่ดวงเดียวและมันยังคงยึดมั่นในรักเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ขอโทษนะครับพี่ราม...


ดวงแก้วทิวาวารเริ่มเคลื่อนคล้อย เปล่งแสงราแรงประกอบกับสายลมเย็นพัดพาเอาความร้อนให้มลายหายไป สำรับอาหารมากมายถูกลำเลียงออกมาวางบนโต๊ะ...คนร่างบางเกิดอาการประหม่าเล็กน้อยเมื่อเจ้าของบ้านตักกับข้าวหลายชนิดใส่ในจานของเขาอย่างเอาอกเอาใจ

“ท่านเยอะๆนะเปรม ฝีมือแม่บ้านที่นี่เยี่ยมยอดไม่น้อยหน้าเชฟในภัตตาคารระดับห้าดาวเลยนะ...”

เปรมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะตักชิมรส

“โอ้โห อร่อยจริงด้วยครับ เห็นทีมื้อนี้ผมต้องกินเยอะเป็นพิเศษเสียแล้ว”

“พูดจริงหรือเปล่า”

“เรื่องอาหารผมไม่เคยพูดเล่น”

“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่กินด้วยกันที่นี่ตลอดชีวิตเลยสิ”

เปรมมองสบตาคนที่ส่งตรงมายังเขา...ในแววตานั้นส่อความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่กล้าจะคิดต่อ...ราเมนทร์ส่งมันออกมาอยากชัดเจน...แสร้งทำเป็นยิ้มตอบกลับ ลงมือรับประทานอาหารต่อเงียบๆ

ตลอดชีวิต...จะให้นับช่วงเวลาของราเมนทร์หรือของเขากันล่ะ เพราะถ้าเป็นชั่วชีวิตของเขา...อาจจะเหลือเวลาอยู่รับประทานอาหารด้วยกันน้อยกว่าที่คิด

หลังอาหารเย็นตบท้ายขนมหวานไทยแท้ดั้งเดิม เจ้าของบ้านก็พาเขาเข้ามาดูห้องนอนก่อนจะขอตัวแยกไปคุยโทรศัพท์กับลูกค้ารายใหญ่ที่โทรมาขอคำปรึกษาเร่งด่วน มือเรียววางกระเป๋าเสื้อผ้าบนปลายเตียงไม้สักเก่าแก่และล้มตัวลงนอนเพราะความเพลียจากการเดินทางและอุณหภูมิที่ค่อนข้างร้อนจัดของประเทศไทย

หลับตา...ใช้เวลาไปกับการนอนนิ่ง ไม่ขยับไหวหรือเอื้อนเอ่ยแม้แต่คำใด จากกรุงเทพสู่ชานเมืองอยุธยามันไม่ได้ห่างกันสักเท่าไหร่แต่เหตุไฉนเขาจึงมีอาการคล้ายหายใจไม่ออก เจ็บจี๊ดบริเวณหัวใจเป็นพักๆและมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เท้าแรกเหยียบพื้นกระดานในห้องนอนแห่งนี้

คล้ายมีอะไรผิดปกติ...

‘พ่อเปรม...ได้ยินข้าฤาไม่’

‘ที่นี่...’

‘จงตามหา’

‘อยู่ที่นี่แหละหนา มันอยู่ที่นี่’


ลมวูบใหญ่พัดผ่านหน้านวลไปมาค่อนข้างแรง  ในภาพแห่งความฝันขมุกขมัวเปรมเห็นสีดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด พร้อมชี้นิ้วไปยังบานประตูไม้ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม 

‘ช่วยข้าด้วยเถิดหนา’

‘พ่อเปรม...’




‘เฮือก!’

ร่างบางพลันลืมตาตื่นด้วยอาการหัวใจเต้นแรง รีบเหวี่ยงขาลงจากเตียงเหยียบพื้นเย็น แม้สายตายังปรับสภาพได้ไม่ดีนักหากเจ้าตัวยังคงฝืนเดินต่อไปเพื่อที่จะดึงบานประตูห้องให้เปิดออกกว้าง...วันนี้ วินาทีนี้อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่ทำให้สิ่งที่เขาคิดเอาไว้ล่วงหน้าบรรลุขึ้นมาอีกก้าวหนึ่งก็เป็นได้

“โอ๊ะ เปรม...”

“พี่ราม!”

รอยยิ้มกว้างหุบลงในทันทีที่ประตูเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้างามผุดผ่องซีดเซียวผิดปกติ ฝ่ามือใหญ่ประคองแก้มนุ่มไล้นิ้วหัวแม่มือบนหน้าผากที่ชื้นไปด้วยเหงื่อกาฬอย่างเป็นห่วง

“เกิดอะไรขึ้น ไม่สบายหรือ”

“นิดหน่อยครับ แต่พี่ไม่ต้องห่วงผมยังสบายดี”

“สบายยังไง หน้าซีดอย่างไก่ต้มขนาดนี้ กินยาไหมพี่จะรีบวิ่งไปเอามาให้”

“อย่าเลยครับ ผมไม่เป็นอะไรมากจริงๆ”

“จะมาเกรงใจทำไม เปรมเป็นแฟนพี่พี่ก็ต้องดูแลสิ” คิดแล้วก็เอามืออังหน้าผากคนรักอย่างเป็นกังวล “ตัวร้อนจี๋ขนาดนี้ยังบอกว่าไม่เป็นอะไรมากอีกเหรอเด็กดื้อ”

“ผมเปล่าดื้อนะ”

“ดื้อเงียบ ดื้อมากด้วย”

“อย่ามาว่าผมนะ”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายกอดอกเถียงคอเป็นเอ็นทั้งที่ร่างกายโอนเอนแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว อดไม่ได้จึงแสร้งตีสีหน้าเคร่งแล้วดีดหน้าผากเล็กเบาๆเป็นเชิงทำโทษ ก่อนวงแขนกว้างจะตวัดอุ้มร่างแน่งน้อยขึ้นมาแนบอกอย่างรวดเร็ว คนที่โดนอุ้มฉับพลันถึงกับทำตาโตตกใจรีบวางมือบนไหล่แข็งแรงด้วยความกลัวตกจากที่สูง

“พี่ราม!”

“คะ”

รอยยิ้มกว้างปรากฏ สองขาก้าวเดินจนไปถึงเตียงใหญ่และทอดวางอีกคนลงบนที่นอนนุ่ม คว้าเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของคนรักอย่างละเมียดละไม ราเมนทร์โน้มตัวเข้าใกล้หมายจะหอมแก้มแดงระเรื่อแต่ทว่าเหมือนเจ้าตัวจะรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะทำเช่นนี้เลยเบี่ยงหน้าหันหนีไปอีกทาง ทำให้ริมฝีปากของเขาประทับลงตรงลำคอระหงแทน คนมากวัยกว่าหัวเราะเบาๆในลำคอ แอบสูดกลิ่นเนื้อหอมสักเล็กน้อย  ก่อนยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มนุ่มของคนบนเตียงเล่นสองสามครั้ง

“คนป่วยต้องรีบนอนพัก พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้มีแรงไปเที่ยวด้วยกัน”

“พี่ราม”

“ครับ”

คนอายุน้อยกว่าถอนใจลึกอย่างคิดไม่ตก เม้มปากแน่นสนิทก่อนดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองสบกับดวงตาคมช้าๆ ความคิดหลายตีพันกันจนยุ่งเหยิง ด้านหนึ่งกำลังปฏิเสธความคิดของเขา อีกด้านหนึ่งกลับสนับสนุนให้เดินทำได้เต็มที่ ใช้เวลาคิดอยู่นานพอสมควร

“ว่ายังไง”

เพื่อให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย

เพื่อนางสีดา


“จะเป็นอะไรไหม...”

เพื่อพระสุริยาและจันทรา

เพื่อบ่วงกรรมที่ตามติดกันนับแต่ชาติปางก่อน...


ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจแล้ว...


“ถ้าหากวันนี้ผมขอนอนกับพี่...จะได้ไหมครับ”



กระแสลมยามดึกพัดโบกโชยชาย...ดวงจันทร์แขวนตัวลอยเด่นอยู่บนนภาผืนกว้างเหนือทิวไม้ส่องแสงผ่องอำพัน เบื้องนอกเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมหายใจดังเข้าออกสม่ำเสมอของร่างสูงที่นอนอยู่ข้างๆ ทำให้เปรมมีโอกาสขยับกายยันตัวลุกขึ้นจากเตียง ลงน้ำหนักเท้าเดินออกจากห้องนอนเจ้าของบ้านเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้...และไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์คู่ใจติดไปด้วย

ในห้องพระขนาดเล็กที่มีแสงมลังเมลืองของเทียนไขเพียงคู่เดียวหน้าโต๊ะหมู่บูชา กับกลิ่นกำจายของกำยานและกลิ่นหอมของดอกไม้คล้ายดอกกุหลาบกระทบส่วนนาสิก เปรมรู้ได้ทันทีว่าใครมารอเขาก่อนหน้า อาจจะดูน่าขนลุกไปบ้างหากคงเป็นเพราะเขาคือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณนางสีดา และเคยพบเจอกันมาแล้วจึงไม่แปลกที่คนร่างบางจะสงบนิ่งไม่มีอาการตกใจยามเห็นร่างเงาสะโอดสะองปรากฏให้เห็นเพียงรางเลือน

‘ตรงนั้น ออเจ้า ตรงนั้น’

เสียงหวานใสเอ่ยกระชั้นพร้อมชี้ตรงไปยังกรอบรูปวาดขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางห้อง เครื่องหน้างามแฉล้ม ดวงตาหวานคม จมูกเรียวเล็กรับกับริมฝีปากหยักตึงสีชมพูราวกลีบดอกปทุม(โกกนท) ...ไม่ต้องบอกก็รู้คนในรูปภาพนั้นคือคนคนเดียวกับที่ยืนกระวนกระวายด้วยความร้อนใจอยู่ทิศทางเบื้องหน้า

ครั้นขาเรียวยาวก้าวประชิดภาพวาดสีน้ำมันมากเท่าไหร่ หัวใจดวงน้อยก็ยิ่งเจ็บปวดราวเข็มนับหมื่นนับแสนคอยทิ่มแทงให้ทรมานก็มิปาน เหงื่อเม็ดเล็กซึมผุดตามหน้าผากและฝ่ามือ เนื้อกายอ่อนแรงทว่าเจ้าตัวยังฝืนทน ใช้แสงสว่างจากโทรศัพท์เป็นตัวช่วยให้การค้นหาในครั้งนี้ให้เร็วขึ้น

ฝ่ามือเรียวคลำไปตามส่วนต่างๆของรูปวาดและกรอบรูปสลักกนกลายดาวล้อมเดือน พลางกวาดสายตามองสำรวจไปทั่ว จนกระทั่งปลายนิ้วสะดุดตรงช่องโหว่เล็กๆที่พอให้แรงลมเล็ดลอดผ่านเข้าไปได้...เปรมไม่รอช้ารีบใช้สองมือดึงกรอบรูปให้เปิดออกกว้าง


“คุณสีดา ผมเจอมันแล้ว”



เปรมเจออะไร  โอยยยยย :katai1: :katai1:
OMG ต้องลุ้นๆๆๆ
โอ้ยอ่านไปเครียดไป ลุ้นไป
ตอนต่ไปเราจะมาดูกันสิว่าน้องเปรมหาอะไรเจอแล้ว กำลังทำอะไรกันแน่
เปิดโอกาสให้ลองเดากันดูนะคะว่าน้องกำลังจะทำอะไร ถ้าใครทายถูกนี่ยกนิ้วโป้งให้เลย  o18

อืม...แล้วนี่ก็ตอนที่23 แล้ว อยากจะบอกว่าอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วน้าาา รู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมากเลย
ขอบคุณทุกคนที่ร่วมติดตามกันมาโดยตลอดนะ พอเห็นทุกคนรู้สึกอินกับนิยายที่เราแต่งก็ดีใจมากๆ
ไม่พรุ่งนี้ก็อีกวันเราจะมาลงตอนที่24ให้น้าาา
วันนี้ขอตัวก่อนจ้า :mew1: :bye2:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

โอ๊ย........

ลุ้น

ลุ้นมาก

จะเกิดอะไรต่อจากนี้นะ

รอขอรับ


ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0

ออฟไลน์ rayaiji

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 812
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
    • ray's deviantart
อาจจะ....เป็นอะไรที่จะปลดปล่อยสีดาได้รึเปล่านะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เปรมเจออะไรไม่รู้ รู้แต่เราก็กลัวรามเจอเปรมเนี่ยแหละ :ling3: :ling3: :ling3:
นี่ถ้ารามรู้ว่าเปรมเข้าหาตัวเองเพราะเป็นแผนรามจะทำอะไรเปรมบ้างนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
ภารกิจอันนี้บอกพี่ทศไม่ได้เลยอ่อ
พี่ทศนี่คิดแง่บวกเว่อ ไม่ถอดใจอีก
ดีใจกับคุณน้องเปรมนะคะที่ผัวรักผัวหลงขนาดนี้ ไม่เคยทิ้ง มีแต่ทิ้งผัวเอง
อยากรู้ว่าเปรมเชื่อยังว่าอีรามมันชั่วจริงๆ
#สติลทีมพี่ทศ คลดีย์

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ เล็กต้มยำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0

ออฟไลน์ insunhwen

  • FREEDOM!!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
ลุ้น...น้องเปรมจะทำสำเร็จหรือเปล่า.เปรมสู้ๆๆๆๆ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
อย่าบอกนะว่าเป็นหัวใจสีดา

เราว่างานนี้ยากนะ ถ้าพระรามรู้ เปรมงานเข้าแน่ๆ

แล้วเปรมพูดเหมือนตัวต้องตายเลยอ่ะ ไม่นะ

ออฟไลน์ mam.nalok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ใครเป็นเหมือนเราบ้างงงง โอ้ยยยยยยยยเค้าอึดอัด เค้าหายใจไม่ออก เค้าอยากร้องไห้  :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ jjasu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 งือ น้องเปรมกำลังจะทำอะไรอ่ะ ลุ้นๆ

เหมือนเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมเลยอ่ะ อย่าให้อะไรไม่ดีเกิดขึ้นเลยหนาา :mew2:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อ๊ายยย อ๊ายยย
อะไร เจออะไร
โอ๊ยยยยย ตาย
ติดหนึบติดหนับกับเรื่องนี้

ปล. รีบต่อเถอะค่ะ อกจะแตก!

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ตอนที่ ๒๔




นับตั้งแต่เข้ามาเหยียบในโรงละครใหญ่แห่งชาติ คริส อู๋ก็เอาแต่ทำตาลุกโต ร้องโอ้ มาย ก๊อด ยอดเยี่ยม อิส อะเมซิ่ง พูดวนอยู่นานเกือบสิบห้านาที ชายหนุ่มต่างชาติล้วนชื่นชอบและถูกใจกับสิ่งที่พบเห็นมากถึงขนาดขอร้องให้ชินกฤตช่วยถ่ายรูปเก็บไว้ให้เขาเยอะๆหน่อย จะได้เอาไปลงอินสตราแกรม ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊คและเว็บไซต์ส่วนตัวอื่นๆ สำหรับตัวเขานั้นเคยเห็นสิ่งเหล่านี้ผ่านจอโทรทัศน์ เว็บไซต์ชื่อดังมาบ้างแล้ว หากมันเทียบไม่ติดกับสิ่งที่เห็นด้วยตาตนเองสักนิด มันสวยงาม ทรงคุณค่าและถ่ายทอดให้เห็นถึงเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง

เสียงบรรเลงดนตรีไทยจากด้านบนเวที พร้อมพรั่งด้วยนักแสดงชายหญิงมากมายนับสิบนุ่งผ้านุ่งสีแดงขยับเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอ่อนพลิ้วสวยงามทว่ายังคงความแข็งแรงในตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ นิ้วมือกรีดกราย ฝ่าเท้าย่ำลงบนพื้นไม้ตามการให้จังหวะของกรับและตะโพน คริส อู๋พยักหน้ายิ้ม ไม่เสียใจทีเดียวที่ยอมตื่นเช้าเพื่อติดรถรองประธานหนุ่มหน้าสวยคนนี้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ 

“ดูเหมือนคุณจะชอบมากเลยนะครับคุณคริส”

“Of course! ทุกอย่างมันดูน่าทึ่งไปเสียหมด ทั้งเสียงดนตรี หัวโขน แล้วไหนจะท่วงท่าการร่ายรำของพวกเขามันค่อนข้างน่าดึงดูดให้จ้องมองอยู่อย่างนั้น โอ้ว ว้าว...นี่ขนาดซ้อมยังดีเท่านี้ ถ้าแสดงจริงมันต้องดูยิ่งใหญ่อลังการมากแน่ๆเลยใช่ไหมครับ”

“มากกว่าที่คุณคาดคิดหลายเท่านัก”

“ครีด คุณคงไม่คิดอำผมเล่นใช่ไหม”

“อย่าลืมนะครับครอบครัวของผมไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องเพชร เสื้อผ้าหรือโรงแรมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเป็นบริษัทผู้รับหน้าที่จัดการแสดงโขนและผู้เรียบเรียงบทประพันธ์ที่โด่งดังและเป็นที่กล่าวขานของมากมายอย่าง ‘กำเนิดทศกัณฐ์’ คุณคิดว่าผมจะโกหกไปเพื่ออะไรล่ะ”

“อ้า ใช่! ผมเคยได้ยินชื่อเรื่องนั้นอยู่พักหนึ่ง ผมจำได้ล่ะเพื่อนผมที่มีโอกาสไปดูเธอบอกสนุกและน่าตื่นเต้นมาก และหลายๆคนก็บอกผมประมาณนี้เหมือนกัน”

“คำบอกเล่าจากปากคนอื่นมันไม่ได้อารมณ์เท่าดูด้วยตาตนเองหรอกครับ”

“ผมก็คิดเหมือนคุณครีดเนี่ยแหละ น่าเสียดาย ถ้าไม่ติดงานด่วนของบริษัทผมคงไปดูโขนเรื่องนี้กับเพื่อนนานแล้ว”

“แต่ถึงจะพลาดในครั้งนั้นก็ใช่ว่าจะต้องพลาดครั้งต่อไปนี่ครับคุณคริส” ชายตามองนิดๆเป็นเชิงให้อีกคนสนใจ

“หืม อย่าบอกนะว่า...”

ชายหนุ่มสองสัญชาติถึงกับเบิกตาโพล่ง เผลอรวบมือขาวนุ่มของชินกฤตมากุมไว้โดยไม่รู้ตัว พร้อมพร่ำถามซ้ำไปซ้ำมา ‘จริงหรือครับ’ ‘ไม่ล้อผมเล่นนะ’ ‘จะเปิดให้ชมอีกแน่ใช่ไหม’

 “นี่แหละคือจุดประสงค์ที่ผมมาหาท่านครูวันนี้ ก็เพื่อคุยเรื่องการเปิดรอบแสดงละครโขนเรื่องหทัยทศกัณฐ์อีกครั้งหนึ่ง”


ภายในห้องพักส่วนตัวของบรมครูชั้นเอกอย่างท่านครูเหนือ เครื่องดนตรี ตู้โชว์หัวโขนฝ่ายลิง ฝ่ายมนุษย์และฝ่ายยักษ์ยังคงจัดวางอย่างเป็นระเบียบ สวยงามเหมือนแต่ก่อนมิมีมีผิดเพี้ยน ชินกฤตละสายตาจากงานศิลปะชั้นสูง ก่อนหันมาประนมมือไหว้ชายชราที่นั่งเอนพิงหมอน เหยียดขาตรงอยู่บนไม้สักทอง...ในท่าเดิมเช่นทุกครั้งที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียน

“สวัสดีครับท่านครู”

ชายชรายิ้มรับ ผายมือให้อีกคนนั่งได้ตามสบายไม่ต้องพิธีรีตอง “ไม่เจอกันนานหลายเดือนทีเดียว สบายดีหรือไม่คุณกฤต”

“ดีบ้างไม่ดีบ้างตามประสาคนมีงานท่วมหัวแหละครับ แล้วท่านครูสบายดีไหม”

“กระผมสบายดีกินอิ่มนอนหลับง่ายเหมือนเดิม ว่าแต่...” ปู่เหนือหรี่มองไปทางชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งขัดขัดสมาธิเก้ๆกังๆอยู่บนพื้นแข็งอย่างไม่เคยชิน ส่งยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบดูน่าตลกขบขัน “ไอ้หล่อข้างคุณกฤตนี่เป็นใครรึ เพื่อน แฟน...หรือผัว”

“ปัดโธ่ท่านครู ผมกับเขาเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเฉยๆ”

“ไม่มีก็ไม่มี อุแหม...เจ้านี่หน้าตามันหล่อเหลาเอาการทีเดียว ดวงตาคมกริบประดั่งเหยี่ยวนภา ไม่สิ...เหมือนพญาครุฑเสียมากกว่า ให้ความน่าเกรงขาม ดุดัน...อืม ท่าทางจะเป็นคนใจร้อน เอาแต่ใจไม่น้อย” ชายชราพยักหน้าขึ้นลง “อนาคตภายภาคหน้าต้องกลายเป็นคนใหญ่คนโตอย่างไม่ต้องสงสัย เห็นพ้องต้องกันกับกระผมบ้างไหม”

ริมฝีปากยกยิ้มน้อยแทนคำตอบ

คิ้วคมเข้มเฉียงขึ้นบนขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ สะกิดเรียกเพื่อนร่วมงานกระซิบถามดังแผ่ว “ครูท่านนี้พูดอะไรหรือครับครีด”
“ท่านบอกคุณหน้าตาดี เติบใหญ่ขึ้นมาน่าจะกลายเป็นมหาโจรที่คนทั้งโลกต่างเกรงกลัว”

“What!? ที่พูดมาจริงจังใช่ไหม?” เมื่อเห็นอีกคนยิ้มหัวเราะโชว์ลักยิ้มที่แก้มบุ๋มลงไปทั้งสองข้างก็ถึงกับทดถอนหายใจหนักหน่วง ตวัดแขนกอดรักลำคอขาวให้ลงมาใกล้ชิดมากกว่าเดิม “ไหนคุณบอกไม่ชอบพูดโกหก”

“ไม่ชอบก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่พูดเลยนี่ครับ”

“คิดจะเล่นกับผมใช่ไหม”

“แล้วคุณอยากเล่นอะไรล่ะ?” ชินกฤตเลิกคิ้วและยิ้มนิดๆตรงมุมปาก...นัยน์ตาสีดำสนิทดูลึกลับราวหลุมดำบนห้วงจักรวาล น่าค้นหา ดึงดูดให้หนุ่มนิวยอร์กศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดหลงใหลไปกับเสน่ห์อันน่าเย้ายวนใจอย่างร้ายกาจ คริส อู๋ไม่เคยถูกใจผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนตั้งแรกพบเท่ารองประธานหนุ่มข้างกายแม้แต่ครั้งเดียว คนนี้คือคนแรก...และอาจจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิตก็ได้ที่ทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนหัวใจและอยากครอบครองเป็นของตนตราบนานเท่านาน

“คุณต้องยื่นคำค้านแน่ๆถ้าผมพูดมันออกไป”

“ก็ลองพูดมาสิครับ บางทีผมอาจจะรับไว้พิจารณาเป็นพิเศษ...”

“หึ”

“อะแฮ่ม! เจ้าประคุณเลือดร้อนทั้งหลายถ้ายังไม่ได้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ขี้หลงขี้ลืมก็ช่วยเบิกพระเนตรดูสักนิดเถิด ว่ายังมีคนแก่ใกล้ลงโรงอย่างกระผมนั่งอยู่อีกคน...เฮ้อ สมัยนี้เพื่อนร่วมงานเวลาพูดต้องยื่นหน้าไปใกล้ขนาดนั้นเชียวเรอะ”

รากษสหนุ่มเพียงกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย หาได้แสดงทีท่ากระมิดกระเมี้ยนหรือปฏิกิริยาอื่นที่ส่อไปในทางขลาดเขินอย่างที่ควรจะเป็น เอาแต่นั่งนิ่ง หูแว่วฟังท่วงทำนองระเรื่อยของเพลงไทยเดิม เป็นเรื่องง่ายสำหรับอดีตโหรหลวงแห่งกรุงลงกาจะล่วงรู้ความคิดความอ่านคนอื่นแค่ปราดตามอง อีกอย่างคนอย่างคริส อู๋อ่านง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วย เพราะเจ้าตัวมักคิดมันแสดงออกผ่านทางสายตาจนหมดสิ้น

ยังอ่อนหัดมากนักเจ้านกน้อยเอ๋ย

“แล้วที่คุณกฤตอยากคุยกับกระผมมันเรื่องอะไรล่ะครับ”

“ผมอยากจัดแสดงหทัยทศกัณฐ์รอบพิเศษครับ”

“รอบพิเศษ? หมายถึงนำมาสร้างใหม่หรือ”

“ก็ประมาณนั้นครับท่านครู แต่ในที่นี้ผมจะเพิ่มบทเข้าไปด้วยในช่วงท้ายของเรื่องเพื่อเป็นการสรุปเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบว่าทำไมถึงต้องใช้ชื่อเรื่องว่าหทัยทศกัณฐ์”

“กระผมเองก็ว่าจะพูดเรื่องนี้กับพวกคุณๆอยู่ เพราะมีผู้ชมจำนวนไม่น้อยร้องเรียกให้ทางกรมศิลป์เปิดแสดงละครโขนเรื่องนี้อีกรอบ และในเมื่อคุณกฤตเอ่ยปากออกมาเช่นนี้ทางผมเองก็ขอน้อมรับพร้อมจะจัดการเรื่องต่างๆให้อย่างเต็มที่ ว่าแต่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า นักแสดง เพลงหน้าพาร์ท อุปกรณ์จัดฉาก?”

คนถูกถามพยักหน้าไม่ตอบคำ “เรื่องอุปกรณ์และดนตรีค่อยคุยกันทีหลังนะครับ แต่สำหรับนักแสดงผมขอเปลี่ยนแค่บางส่วน”
“ตัวละครโขนตัวไหนล่ะ หลักหรือรอง”

“ตัวหลักของเรื่องครับ”

“ก็ใครเล่าครับ กระผมขี้เกียจมานั่งเล่นถามตอบยี่สิบคำถามกับคุณเหมือนสมัยหนุ่มแล้วนะ”

ความเงียบย่างกรายปกคลุมหลังจากบรมครูชั้นเอกแห่งนาฏกรรมไทยเอ่ยจนหมดสิ้น วงหน้าคมทว่าติดหวานพระอนุชาแห่งกรุงลงกาสะท้อนแสงไฟสีนวลที่เปิดอยู่ตรงกลางเพดานห้องจนเกิดเป็นเส้นเงาโค้งเว้าสวยงามแทบให้ใครบางคนลืมหายใจ
“ทศกัณฐ์ผู้นำทัพฝ่ายยักษ์และพระรามผู้นำฝ่ายมนุษย์และฝ่ายลิง”

“เจ้าพจกับเจ้าสินธุพวกมันแสดงไม่ดีกระนั้นรึ”

“พวกเขาแสดงใช้ได้ แต่ครั้งนี้ผมจำต้องให้คนที่ผมต้องการมาแสดงแทน...อย่าถามให้มากความเลยนะครับ เพราะยังไงผมก็ไม่สามารถบอกท่านครูได้อยู่ดี”

นัยน์ตาขุ่นหรี่มองชินกฤตเล็กน้อยขณะยกแก้วน้ำชาขึ้นกระดกดื่ม ต่างคนต่างจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทว่าไม่ท้ายสุดกลับเป็นชายผมสีดอกเลาที่ขอถอดใจยอมแพ้ไปเอง “ก็ได้ ๆ...ในเมื่อคุณกฤตไม่อยากบอกกระผม กระผมเองก็จะไม่รบเร้าให้รำคาญใจ”

“แล้วคนที่คุณเลือกไว้เป็นใคร กระผมรู้จักหรือไม่”

“ยิ่งกว่ารู้จักอีกครับท่านครู และนี่คือรายชื่อนักแสดงทั้งหมดที่ผมต้องการ”

ชินกฤตส่งแฟ้มประวัตินักแสดงปึกหนาและหนักพอควรไปให้ชายชรา มือหยาบกร้านจากการทำงานอย่างหนักมาตลอดหลายสิบปีชะงักเมื่อเห็นโฉมหน้าคนที่จะมารับบทเป็นพระรามและทศกัณฐ์ “ถึงกระผมจะเคยเห็นฝีไม้ลายมือพวกเขามาบ้างก็เถอะ แต่แน่ใจหรือว่าจะเอาสองคนนี้”

“ครับ ผมแน่ใจ” เพราะสิ่งที่ชินกฤตเห็นในนิมิตอันเรือนลาง เชื่อได้เลยว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน อาจส่งผลกระทบกับคนสองสามหรือไม่...ก็มากกว่านั้นหลายเท่า...ฉะนั้นเขาจึงต้องเตรียมการป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า อย่างน้อยมีสองคนนั้นคอยดูแลใกล้ชิด ก็น่าจะเป็นการดีกว่าการที่เปรมอยู่คนเดียว

“จะเอาให้ได้เลยใช่ไหม”

“ฝากท่านครูช่วยกระจายข่าวไปยังนักแสดงแต่ละท่านตั้งแต่ตัวประกอบยันตัวหลักของเรื่องทั้งหมด ย้ำนะครับบทอื่นสามารถเปลี่ยนตัวนักแสดงได้ แต่นางสีดาต้องเปรมคนเดียวเท่านั้น คนอื่นผมไม่เอา”

“...”

“อาทิตย์หน้าเราจะเริ่มทำการพบปะนักแสดงด้วยกัน และเริ่มซ้อมบทอย่างเป็นทางการ”



ท่วงทำนองเพลงในจังหวะบอสซาโนวาภายในร้านกาแฟดังคลอเบาๆไปกับบรรยากาศเย็นสบายในวันฝนตกปรอย ชินกฤตหลับตาพริ้มโยกหัวไปตามเสียงดนตรี พร้อมขยับก้านนิ้วเรียวเล็กคนกาแฟในแก้วที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอย่างใจเย็น หนุ่มลูกครึ่งจีน-แคนาดาที่เพิ่งเดินกลับมาจากเข้าห้องน้ำชะงักงัน...หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติ ทว่าตอนนี้ วินาทีนี้มันกลับทวีความเร็วและแรงขึ้นจนก้อนเนื้อส่วนสำคัญที่ตั้งอยู่ระหว่างปอดซ้ายและปอดขวาแทบจะทะลุออกมาด้านนอก

ศิลปะอันเลื่องชื่อที่สุดของยุคเรอเนซองส์อย่างภาพวาดบนเพดานและฝาผนังของโบสถ์ซิสติน (Sistine) ในพระราชวังวาติกันประเทศอิตาลี ยังมิอาจเทียบเท่าความงามจากบุคคลตรงหน้าภายใต้สายฝนอันเย็นฉ่ำได้เลย

It's not about who I’ve been with,
It’s about who I end up with.
Sometimes the heart doesn't know what it wants
Until it finds what it needs.



ไม่สำคัญว่าผมเคยคบใครมาก่อน
สำคัญที่ผมหยุดที่ใครต่างหาก
บางครั้งหัวใจก็ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร
จนกระทั่งมันได้ค้นพบบางสิ่งที่ทำให้รู้ว่า
นี่แหละคือสิ่งที่หัวใจค้นหามานาน



คริส อู๋แอบอมยิ้มน้อย ขณะสาวเท้าตรงไปยังโต๊ะไม้โต๊ะเล็กที่ถูกคนร่างผอมบางนั่งจับจองมาได้สักพัก เสียงขาเก้าอี้ขูดกับพื้นกระเบื้องทำให้คนที่กำลังหลับตาดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงจังหวะเบาสบายค่อยๆลืมตาตื่น ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากทั้งสองฝ่าย มีเพียงประกายจากดวงตาและรอยยิ้มที่สื่อความรู้สึกถึงกัน

“คุณจ้องผมนานไปแล้วนะคุณคริส มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่ครับ...ไม่มี”

“แต่สายตาคุณมันไม่ได้บอกอย่างนั้น”

“แล้วมันบอกแบบไหนล่ะ” ร่างสูงเอนพิงพนักเก้าอี้ กอดอกรอคอยคำตอบจากอีกฝ่าย ชินกฤตกระตุกยิ้มมุมปากยกกาแฟขึ้นจิบ รสชาติหอมหวานเข้ามาทักทายเป็นอันดับแรกก่อนถูกตีรวนด้วยรสขมกำลังพอดี

“บอกผมสิ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน”

“ตัวคุณเองยังไม่รู้ นับประสาอะไรจะให้คนอื่นมาเดาสุ่มสี่สุ่มห้า”

“ครีดอยากรู้จริงเหรอ”

“ก็ขึ้นอยู่กับคุณจะกล้าบอกผมหรือเปล่า”

ให้ตายสิ เหมือนเขากำลังถูกท้าทาย!

เสียงเพลงจากลำโพงดังระเรื่อยท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและการจราจรแออัดบนท้องถนน คริส อู๋คว้าเครื่องดื่มในแก้วกระดาษจรดริมฝีปากพร้อมกับใช้สายตาจับจ้องไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยประกายวาบหวาม...และถ้าสายตาของชินกฤตไม่ได้ผิดปกติกะทันหัน เขาเห็นเงาบุรุษผู้หนึ่งซ้อนทับชายร่างสูงเอาไว้

สูงศักดิ์...องอาจ...สง่างาม เสมอเหมือนพญาครุฑเวนไตย บุตรแห่งนางวินตา

คล้ายกันมากเหลือเกิน

คล้ายจนเผลอคิดถึงเรื่องราวอันน่าเศร้าในอดีตที่เคยมีร่วมกัน...


ท้องฟ้าเริ่มกระจ่างใส แสงแห่งตะวันสาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่างครั้นหยาดพิรุณจากชั้นฟ้าหยุดโปรยปรายได้สักระยะ  สะท้อนให้เห็นเป็นเงาทอดยาวของคนสองคนบนพื้นถนนเปียกแฉะ

คริส อู๋เปิดปากร้อง ‘ว้าว’ เงยมองกำแพงสูงสีขาวสะอาดตาโอบล้อมรอบตัววัดพระแก้วที่เขาต้องใช้ความพยายามขอร้องให้คนร่างผอมบางพามาเยือนที่นี่ให้จงได้

ในรูปถ่ายว่าสวยตระการตาแล้ว แต่เมื่อได้เห็นของจริงมันยิ่งกว่าความฝัน  ชายหนุ่มรู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างน่าแปลกประหลาด และไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะหลงใหลในสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมของประเทศเล็กๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนืออย่างประเทศไทยมากถึงขั้นอยากย้ายมาอยู่ที่นี่และใช้บั้นปลายชีวิตมีความสุขไปกับคนที่เขารักอย่างถาวร

“ดูคุณตื่นเต้น” ชินกฤตเอ่ยถามพร้อมยื่นตั๋วเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติให้ขณะพากันก้าวเดินผ่านประตูวิเศษไชยศรีหรือเรียกแบบสามัญว่าประตูฉนวนวัดพระแก้ว

“ใครๆก็ตื่นเต้นกันทั้งนั้น โอ๊ะ what’s that? (นั่นอะไรน่ะ?)” คริส อู๋ชี้ไปยังรูปปั้นยักษ์สองตนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูวัดถือกระบองเพชรทำหน้าที่เหมือนทวารบาล ปกป้องปูชนียสถานด้วยสีหน้าค่อนข้างดุร้าย

“คุณคริสอาจจะยังไม่รู้ นี่คือยักษ์สองในสิบสองตนที่คอยทำหน้าที่เสมือนทวารบาล ผู้รักษาการณ์ประจำวัดพระแก้ว ยักษ์ตนสีขาวคือสหัสเดชะ และตนสีเขียวคือทศกัณฐ์”

“อ้อ ผมรู้จักทศกัณฐ์ หนึ่งในตัวหลักของละครโขนที่บริษัทคุณจัดแสดงใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“เห็นแบบนี้นิสัยคงดุร้ายน่าดู”

“ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดาหรือสัตว์อสูรล้วนมีทั้งด้านดีและด้านร้าย สิ่งที่คุณเห็นมันก็แค่ด้านหนึ่งของเขาเท่านั้น ถ้าหากคุณคริสรู้จักตัวตนของเขาจริงๆแล้วล่ะก็จะไม่พูดอย่างนี้เลย”

“ผมควรเชื่อคุณ”

ข้าควรเชื่อคำเจ้า...

“พญาครุฑที่ใครต่อใครว่าเป็นเทพจิตใจดีหนักหนาสุดท้ายก็ยังกล้าทำเรื่องเลวร้ายไม่มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป แล้วใยยักษ์อย่างพวกผมจะผันตัวเป็นคนดีบ้างไม่ได้”

“เดี๋ยวนะ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่คุณพูดสักเท่าไร่ แล้วพญาครุฑคืออะไร”

ชินกฤตแสร้งยกกล้องเดินถ่ายรูปตามจุดต่างๆของวัด ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนครุ่นคิดตามลำพัง แต่ทว่ายังไม่ทันจะก้าวไปไหนไกลแข้งขากลับไร้เรี่ยวแรงฉับพลัน ทรุดฮวบลงไปนอนกุมหัวใจ เบิกตาค้างบนพื้นอิฐมอญ เจ็บ...เจ็บเหมือนมีใครเอาของแหลมคมมาทิ่มแทงลึกถึงหัวใจ

“เฮ้ ครีด คุณเป็นอะไร ได้ยินผมหรือเปล่า ครีด!”

รูม่านตาขยายใหญ่ โลกในปัจจุบันของรากษสหนุ่มดับวูบ สติโรยตัวสู่ห้วงแห่งความมืดมิด หากมีบางอย่างกระจ่างขึ้น...
ม่านไหมสีแดงปักเลื่อมดิ้นทองเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นฉากยิ่งใหญ่อลังการภายในพระราชวังกรุงลงกาแห่งพญารากษสผู้เกรียงไกร ผู้ชมต่างพากันปรบมือยามร่างสูงใหญ่ของทศกัณฐ์และพระรามปรากฏแก่สายตา สองราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ ณ ดินแดนอันไกลโพ้นยืนประจันหน้ากันโดยมีกายาสะโอดสะองของนางสีดายืนร่ำไห้อยู่ระหว่างกึ่งกลาง ฝ่ามือนวลนางสั่นระริก กำบางสิ่งบางอย่างไว้แน่นจนสิ่งนั้นบาดลึก เลือดไหลซึมหยดลงพื้นเม็ดแล้วเม็ดเล่า

‘ทำไมถึ....ง....นี้’

‘...ย่.....เด็ด..ข..ด!’

‘ผม...........แล้ว.....’

ริมฝีปากแดงสดคลี่ยิ้มเศร้า หยาดน้ำตาเม็ดใสไหลรินผ่านพวงแก้มจรดคางมนและหยดลงสู่พื้นเบื้องล่างแตกซ่านกระเซ็นเฉกเช่นดวงตาที่เจ็บปวดของพระราม

‘เรื่องขอ...เ...รา.....จ....ลง.....’

‘ไม่!’

‘ลา....น......’

‘ใจ......พี่.......น้....อ....ง’

‘พระบิดา!’

‘อย่.....ทิ.....พี่....ยอด.....ก....’

‘พี่รักเจ้า...’

‘ไม่.....................!!!!’




‘เฮือก!’

“เฮ้ ครีด! คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ลืมตาสิมาบอกผมสิ ครีด! Well...excuse me miss...Hey! You there! There’s been an accident, please call... (เอ่อ...ขอโทษนะครับคุณ...เฮ้! คุณคนนั้นน่ะ ตรงนี้เกิดอุบัติเหตุช่วยเรียก...)”
ดวงตาของชินกฤตเริ่มพร่าเบลอ สติการรับรู้ต่างๆพากันสูญสลาย พร่าเลือนจนผิดเพี้ยน เสียงรอบข้างหรี่เบาลงทีละนิดอย่างเชื่องช้า ความคิดสุดท้ายผุดขึ้นมาในสมองก่อนสติดับวูบลง


หรือนี่จะคือจุดจบของเรื่องราวทั้งหมด?



“แม่ว่ายังไงนะครับ ปู่เหนือติดต่อให้เปรมกลับไปเล่นบทนางสีดาเรื่องหทัยทศกัณฐ์อีกรอบหนึ่ง? ...ทำไมทางกรมศิลป์ถึงได้จัดรอบแสดงใหม่ล่ะ” คิ้วเรียวขมวดมุ่น ปกติเมื่อละครโขนเรื่องใดก็ตามที่ทำการแสดงจนครบรอบที่ผู้จัดกำหนดเอาไว้ก็จะไม่นำมากลับมาแสดงซ้ำอีก นอกเสียจากมีการเปลี่ยนแปลงบทที่ต่างไปจากเดิมหรือไม่ก็เป็นความต้องการของผู้ชมที่เรียกร้องกันเข้ามา แต่ทว่า...จำนวนความต้องการนั้นห้ามต่ำกว่า 75% ซึ่งถ้าจะหาเหตุผลใดมารองรับ ข้อแรกก็น่าจะเข้าเกณฑ์มากที่สุด

“แม่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดมากนัก เห็นบอกแค่ว่าทางผู้จัดคนใหม่...คุณชินกฤตนะจ๊ะอยากจะนำหทัยทศกัณฐ์กลับมารีรันอีกรอบเพราะเห็นกระแสตอบรับจากเหล่าแฟนคลับโขนทุกช่วงวัยค่อนข้างดีไปถึงดีมาก รวมไปถึงบทละครนักแสดงบางส่วนที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน”

ดวงดาวรินน้ำจากเหยือกที่เพิ่งเอาออกมาจากตู้เย็นใส่แก้วของตนและลูกชาย รับจานข้าวเหนียวมะม่วงโรยถั่วทองน่ารับประทานจากเด็กรับใช้ในบ้าน หย่อนกายนั่งลงด้านข้าง

“ตัวท่านครูเองก็ไม่ได้อยากรบกวนลูกหรอกนะแต่ฝั่งผู้จัดเขาเนี่ยสิบังคับมาว่าคนที่จะเล่นเป็นนางสีดาต้องเป็นเปรม เปมทัตเท่านั้น แม่ก็ไม่รู้จะตอบยังไงดีก็เลยวางสายจากท่านมาถามลูกก่อน”

“แล้วปู่เหนือพูดอะไรอีกไหมครับ”

“ถ้ารับเล่นก็ให้จัดกระเป๋าเสื้อผ้าไปนอนค้างที่โรงละครได้เลย เพราะงานนี้เป็นงานเร่ง มีเวลาซ้อมแค่เดือนเดียวเพราะฉะนั้นเปรมของแม่จะไม่สามารถกลับมาพักที่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์ได้จนกว่างานทุกอย่างจะจบลง”

ฟันขาวขบริมฝีปากล่างของตนอย่างครุ่นคิด ยังมีบางสิ่งที่เขาไม่เข้าใจอยู่

“แม่ไม่สงสัยบ้างหรือครับว่าทำไมจู่ๆคุณกฤตถึงเอาหทัยทศกัณฐ์กลับมารีเมคใหม่ทั้งที่มันเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงห้าเดือนดี เปรมเข้าใจนะว่ามีคนเรียกร้องอยากดูอีก แต่เท่าที่ติดตามและดูโขนมาโดยตลอดชีวิต เปรมยังไม่เคยเห็นละครโขนเรื่องไหนเปิดรอบการแสดงใหม่เร็วเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว”

“ในเมื่อได้รับผลตอบรับมากมายขนาดนี้ คนลงทุนก็อยากเพิ่มเวลาเพิ่มรอบแสดงกันทั้งนั้น ถ้ามันทำแล้วเกิดผลกำไรมหาศาลเป็นแม่แม่ก็ทำนะ”

“งั้นเหรอครับ แต่สำหรับเปรมมันแปลกๆยังไงพิกล”

“แล้วสรุปเราจะรับเล่นเหมือนเดิมหรือว่าปฏิเสธล่ะหือ?” ผู้มากด้วยวัยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ก็คงต้องเล่นแหละครับ ย้ำชื่อเปรมซะขนาดนี้ไม่รับเล่นก็คงไม่ได้” หยิบส้อมจิ้มไปที่ชิ้นมะม่วงสุกสีเหลืองทองน่ารับประทานเข้าปากหนึ่งคำตามด้วยข้าวเหนียวมูลรสชาติกลมกล่อม “อีกอย่างถ้าเปรมปฏิเสธนะแม่ ร้อยทั้งร้อยปู่เหนือก็ต้องหาวิธีให้เปรมกลับไปรับบทนางสีดาอยู่ดี”

“ผู้ใหญ่เขาเห็นแวว เขาเลยสนับสนุน ไม่ชอบหรือไง”

“ชอบนิดหนึ่ง”

“เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย” คนมากวัยไม่พูดเปล่า ยกมือขึ้นบีบแก้มลูกชายตัวเองอย่างหมั่นเขี้ยว

“โอ้ยแม่เจ็บนะ”

“เจ็บสิดี...อ้อ ตอนเย็นทำตัวให้ว่างเข้าไว้นะเปรม เดี๋ยวแม่กับยายจะนั่งดูแล้วก็ทวนท่ารำตัวนางให้”

“แม่รีบหรือครับ”

คำตอบของลูกชายเล่นเอาคนเป็นแม่ถึงกลับตวัดสายตามอง หันมาเท้ายืนสะเอวอย่างนึกเอาเรื่อง “แล้วจะฝึกไหมล่ะ ถ้าไม่อยากฝึกก็ไม่ต้องฝึก คงหวังดีจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”

“โธ่ ก็ต้องฝึกสิครับ ครูดวงดาวผู้มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศไทยคิดจะฝึกรำให้ทั้งที ใครไม่ตอบตกลงก็บ้าแล้วเนอะแม่เนอะ”
อดไม่ได้ที่จะตีลงเนื้อแขนเนียนเบาๆ ยกมือบีบแก้มนุ่มนิ่มของลูกชายด้วยความหมั่นเขี้ยว “เดี๋ยวเถอะเจ้าเด็กคนนี้...แม่ไปทำกับข้าวก่อนแล้วกัน ถ้าเสร็จเมื่อไหร่จะให้สุดามาตาม นุ่งผ้าแดงรอไว้เลย เข้าใจไหม”

“ครับคุณผู้หญิง”

รอยยิ้มค่อยๆหุบลงอย่างแช่มช้าเมื่อร่างของผู้เป็นแม่หายลับไปจากคลองสายตา เปรมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก...ระหว่างผินมองไปทางฝั่งห้องนอนของตนเอง สถานที่เก็บสิ่งสำคัญที่ได้มาจากบ้านของราเมนทร์ หัวใจก็พลันหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม...

ถึงเวลาที่ตัวเขาต้องทำมันจริงๆแล้วสินะ...



ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0



แม้จะอยากปฏิเสธสิ่งที่นางสีดาขอร้อง แต่ทว่าเมื่อรับปากไปแล้ว สัจจะวาจาบุรุษก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้เพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง

ไม่ว่าจะมนุษย์ เทพหรือสัตว์เดรัจฉานล้วนแล้วแต่มีกรรมเป็นแดนเกิด

และอันตัวเขาที่มีเวรกรรมเป็นผู้ติดตาม ก็จำต้องชดใช้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตทั้งชีวิตก็ตาม!



เปรมก้าวลงจากรถที่ยืมแม่มาใช้หลังจากแล่นเข้าไปจอดในบริเวณลานจอดรถเฉพาะของทีมงานและนักดนตรี นักแสดงของทางกรมศิลป์ ร่างบางเหลียวมองสรรพสิ่งที่คุ้นเคยอย่างช้าๆและเนิ่นนาน

เรื่องราวมากมายล้วนเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ ทั้งการเป็นผู้ชายคนเดียวที่มีโอกาสได้รับบทเด่นเป็นนางสีดา มิตรภาพอันดีระหว่างพี่น้อง ครูลูกศิษย์ และ...การได้พบกับผู้ชายสองคนที่รักเขามากที่สุด ภายนอกโรงละครแห่งชาติอาจมีเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หากภายในยังคงตกแต่งเช่นเดิมประดุจวันแรกที่ก้าวเข้ามา

เปรมสูดลมหายใจเข้าลึก เดินเข้าไปยังห้องซ้อมรำที่มีคนจำนวนไม่น้อยตั้งใจฝึกฝนอย่างเงียบเชียบ โจงประเบนสีแดงเข้มคาดด้วยเข็มขัดนาคและเสื้อคอบัวสีขาวขยับยามเจ้าของร่างยกเท้าขวาเหนือพื้น วงแขนมีน้ำมีนวลยกตั้งฉากพร้อมมือซ้ายจีบปรกข้าง มือขวาจีบหงาย แขนตึงระดับไหล่และเอียงศีรษะไปทางขวา

“ดี...อย่างนั้นล่ะจ๊ะ...หนูนา เข็มทิศเธออย่าเกร็ง บิดตัวมาด้านขวาอีกนิด นั่นแหละดีมาก...อ่ะ เอาใหม่อีกรอบนะ”

“จ่ะ โจ้ง จ่ะ ทิง โจ้ง...ง...ง ทิง....กานดา อย่ายกเท้าสูงแบบนั้น มองดูตัวเองในกระจกด้วย เฮ้อ มีสมาธิกันหน่อย สอนอะไรไม่ค่อยจะจำกันเลย เอ้า เริ่มใหม่”

“นี่ อัปสรย่อตัวลงอีก พวกเธอฟังฉันบ้างหรือเปล่าหือ...โอ้ยเด็กพวกนี้สู้พ่อเปรมไม่ได้เลยสักนิด”

“จริงเหรอครับครูจันทร์”

สตรีวัยกลางคนหยุดชะงักกลางคันก่อนหันหลังไปตามเสียงเรียกตรงประตูทางเข้า พยายามเอาชนะความพร่ามัวในสายตาที่ถดถอยไปตามวัยด้วยการเพ่งมองผู้มาเยือนจนคิ้วขมวด

“พ่อเปรม?”

“ไม่เจอกันนานครูจันทร์ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ” คนพูดเอ่ยวาจาประจบประแจงกับผู้มากวัยกว่าพร้อมก้มหัวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อ้อมกอดและรอยยิ้มอันอบอุ่นจากหญิงวัยสามสิบปีเศษ เปรมอดไม่ได้ที่จะยกวงแขนกอดรัดตอบชั่วครู่หนึ่ง ก่อนผละตัวออก...ฝ่ามือขาวมีริ้วรอยเล็กน้อยลูบแก้มข้างหนึ่งของเขาอย่างอ่อนโยน

“ครูดีใจที่พ่อเปรมกลับมา”

“ผมก็ดีใจเช่นกันครับทีได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง”

“แล้วช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่”

“ผมสบายดีครับครู แต่อาจจะมีเรื่องบางเรื่องรบกวนจิตใจอยู่บ้างเล็กๆน้อย”

“ชีวิตของมนุษย์ก็แบบนี้แหละจ๊ะ มีสุขย่อมมีทุกข์ จะให้สุขอย่างเดียวหรือทุกข์อย่างเดียวก็คงไม่ใช่ที...ว่าแต่พ่อเปรมไปหาท่านปู่มาหรือยัง เห็นเมื่อครู่ใหญ่ท่านก็เดินมาบ่นๆว่าเมื่อไหร่ลูกศิษย์คนโปรดจะมาเสียที”

“ยังเลยครับ ว่าจะมาทักทายครูจันทร์คนสวยให้หายคิดถึงก่อน ปู่เหนือน่ะจะหาตอนไหนก็ได้แต่ครูจันทร์ผมไม่มาหาไม่ได้” คนถูกชมฉีกฉีกยิ้มกว้าง เกิดอาการขำขันยามนัยนาสวยประดั่งลูกแก้วล้ำค่ากระพริบปริบ มองเธอราวกับเจ้าแมวตัวน้อยที่กำลังคิดออดอ้อนเจ้าของ

“ระวังท่านปู่มาได้ยินแล้วจะยุ่ง”

“ผมกลัวที่ไหนล่ะครับ ครูจันทร์ก็รู้”

“จ้าๆ พ่อลูกศิษย์คนโปรด ท่านปู่รัก ท่านปู่หลง...งั้นขอเวลาครูสอนพวกเด็กหัวขี้เลื่อยพวกนี้รำให้คล่องสักประเดี๋ยวจะได้ไหมแล้วค่อยไปพบท่านปู่พร้อมกัน”

“ตามสบายเลยครับครู ยังไงผมก็ไม่รีบอยู่แล้ว”


ชายหนุ่มผู้รับหน้าที่เป็นนายระนาดเอกขยับข้อมือบรรเลงคลอไปพร้อมกับเครื่องประกอบจังหวะอย่าง ฉิ่ง ฉาบและกลองแขก เสียงดนตรีดังเร่งเร้าทวีความฮึกเหิมมากเป็นลำดับเมื่อนักแสดงผู้สวมหัวโขนลิงและยักษ์ต่างพุ่งปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร หนุมานกระโดดหลบ ขณะอินทรชิตรากษสผู้เลือดร้อนหมายมาดฟาดคันธนูใส่ พญาวานรเผือกกอดอกยักไหล่หัวเราะด้วยท่ายียวนกวนประสาท โอรสแห่งพญารากษสหายใจฟึดฟัด เริ่มทนไม่ไหวจึงก้าวเท้าซ้ายเหลื่อมไปข้างหน้า มือขวาเท้าสะเอว มือซ้ายยกขึ้นระดับใต้ใบหูพร้อมกับย่อตัวกระทืบเล็กน้อยเท้าซ้ายลงพื้นอย่างแรงเพื่อแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อศัตรูตรงหน้า...เปรมมองภาพบนเวทีด้วยสายตาชื่นชม

“คนแสดงเป็นหนุมานกับอินทรชิตยังใช่พี่เอก พี่อัฐอยู่หรือเปล่าครับครูจันทร์”

“เจ้าเก่าเจ้าเดิมนั่นแหละจ๊ะ”

“พี่เขาแสดงเก่งกว่าก่อนเยอะเลยนะครับ ดูแล้วมีอารมณ์ร่วมไม่น้อยทีเดียว”

“แต่กว่าจะได้ขนาดนี้ครูกับท่านปู่ก็แทบแย่ ทนสอนทนฝึกให้จนเลือดตาแทบกระเด็น” คนเป็นครูพูดปนยิ้ม “เวลาซ้อมก็ชอบเอาแต่เล่นจนโดนท่านปู่ลงโทษไปหลายรอบ สมกับบทลิงและก็ลูกยักษ์จริงๆ”

“นิสัยพวกพี่เขาเลยล่ะครับ”

“อ้าว พ่อเปรม” ลูกศิษย์หนุ่มแห่งกรมศิลป์หันไปตามเสียง เห็นชายชราเอามือไพล่หลังเดินเข้ามาหาโดยมีรุ่นพี่สาวอย่างนิดตามมาติดๆ เปรมยกมือประนมไหว้ทักทายทั้งสองคนอย่างอ่อนน้อม

“สวัสดีครับปู่เหนือ สวัสดีครับพี่นิด”

“น้องเปรม พี่นิดคิดถึงน้องเปรมจังเลย สีดาคนสวยของพี่” หญิงสาวเตรียมปรี่ตัวเข้ามากอด หากทว่าหน้าแข้งของบรมครูอาวุโสดันยกขึ้นขวางทางไว้พร้อมผลักหัวลูกศิษย์สาวไปหนึ่งทีจนเจ้าตัวเซถลาไปด้านหลัง

“อย่าเยอะนังนิด”

“ก็แหมท่านครูเจ้าคะ นิดไม่ได้เจอน้องเปรมมาตั้งหลายเดือนก็อยากแสดงความคิดถึงบ้างไม่ได้เลยหรือไง”

“ไม่ได้ นี่ลูกศิษย์คนโปรดของข้าห้ามใครแตะต้อง”

“ท่านครูรักลูกศิษย์ไม่เท่ากัน” คนพูดอุบอิบ “ดูท่าจะต้องรีบทำบุญใส่ตัวเยอะๆแล้วกระมัง”

“บ่นอะไรของเอ็งนังนิด แน่จริงก็พูดให้คนแก่อย่างข้าได้ยินสิวะ”

“โธ่ ท่านครูล่ะก็...”

รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนริมฝีปากของชายหนุ่มร่างผอมบางดุจเดิม ปู่เหนือเชิดหน้าหาได้สนใจในตัวลูกศิษย์สาวอีก มิหนำซ้ำยังโบกมือไล่ราวกับอีกฝ่ายเป็นแมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญ 

“ผมขอถามปู่เรื่องหนึ่งได้ไหมครับ”

“จะถามอะไรข้าล่ะ” ชายชราหันมาหลังจากไล่ตะเพิดแม่นกกระจิบแห่งโรงละครออกไปเรียบร้อย

“ทำไมถึงนำเรื่องหทัยทศกัณฐ์มาเล่นใหม่อีกรอบล่ะครับ”

“ตอนโทรไปแม่เอ็งไม่ได้บอกหรือไง” ปู่เหนือเลิกคิ้วถาม

“บอกครับ แต่ผมอยากได้ยินเหตุผลจากปากของปู่มากกว่า”

ปู่เหนือใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดชั่วครู่หนึ่ง “มันก็มีเหตุผลหลายข้อล่ะนะ หนึ่งผู้ชมรอบที่แล้วรวมถึงคนที่ยังไม่เคยดูเขาเรียกร้องให้เปิดแสดงอีกรอบ สองบทละครมีการเปลี่ยนแปลงเรียบเรียงเกือบใหม่ทั้งหมด สามนักแสดงตัวพระอย่างพระรามและยักษ์ทศกัณฐ์มีการเปลี่ยนคนใหม่เข้ามาเล่นซึ่งอีกสักพักก็คงมาถึง สี่ทางผู้จัดเขาขอร้องให้ข้าจัดรอบแสดงใหม่และพร้อมจะยอมทุ่มทุนให้กับทางกรมศิลป์อย่างเต็มที่ ถ้าเราสามารถเปิดรอบการแสดงได้ภายในเวลาที่เขาต้องการ”

“แค่หนึ่งเดือน มันจะทันหรือครับ”

“ก็นั่นแหละปัญหาใหญ่ยักษ์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีเวลาซ้อมและเตรียมตัวจริงแค่สามอาทิตย์กว่าเท่านั้น คิดว่าไหวหรือเปล่า...แต่ถึงเอ็งไม่ไหวข้าก็จะบังคับเอ็งให้ไหวเอง”

“ทำไมต้องเจาะจงให้ผมเล่นด้วยล่ะครับ คนอื่นแสดงดีกว่าผมก็มีอีกตั้งมากมาย”

“ดีกว่าแล้วอย่างไร ไม่เหมาะกับบทบาทข้าก็ไม่ให้แสดงอยู่ดี ฉะนั้นเอ็งก็ยอมเล่นบทตัวนางต่อเถอะ อีกอย่างข้าแก่แล้ว ข้าเหนื่อย”

“ผมปฏิเสธไม่ได้?”

“ถูกต้อง”

คนเป็นลูกศิษย์กัดปากยืนยิ่ง...เรื่องซ้อมหนักมีเวลาเตรียมตัวแค่หนึ่งเดือนก่อนเริ่มการแสดงเขาไม่มีปัญหาหรอก เพียงแต่ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมชินกฤตต้องเร่งรัดให้มันเร็วขนาดนี้ 

“ตกลงเอายังไง”

“ก็เตรียมกระเป๋าเสื้อผ้ามาแล้วนี่ครับ ไม่รับเล่นก็คงมาเสียเที่ยว”

“ปัดโธ่ เจ้าเด็กคนนี้ปล่อยให้ข้าใจไม่ดีอยู่นานสองนาน นิสัยกวนเบื้องล่างถอดแบบจากไอ้ไม้ไม่มีผิด”

คนร่างบางหัวเราะในลำคอเบาๆและถามต่อ “แล้วเนื้อเรื่องที่ว่ามีการเปลี่ยนแปลง ลดลงหรือเพิ่มขึ้นเยอะไหมครับ”

“ไม่เยอะเท่าไหร่หรอกจ๊ะพ่อเปรม แค่เปลี่ยนช่วงท้ายจากที่นางสีดาย้ายกลับไปอยู่กับพระรามที่กรุงอโยธยาครั้นสำเสร็จศึกชิงนางสีดาคืนจากทศกัณฐ์ เพิ่มให้เป็นนางสีดาวางอุบายร่วมกับพิเภกเพื่อกลับไปหาทศกัณฐ์ที่กรุงลงกาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเกิดศึกชิงนางครั้งที่สองที่เป็นเหตุให้ทศกัณฐ์ต้องตายเพราะโดนหนุมานขยี้กล่องดวงใจแหลกสลายไปในอากาศ”

“!”

นะ...นี่มัน

“ใครเป็นคนเพิ่มบทใหม่หรือครับ” เปรมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“โอ๊ะ นั่นไงมากันพอดี”

ลมหายใจขาดห้วงลงกะทันหันยามหางตาเหลือบเห็นชายหนุ่มตระกูลอมาตยสูรทั้งสามคนก้าวเท้าเข้ามายืนตรงหน้า ขอบตาบอบบางร้อนผ่าว ร่างกายเกิดอาการเกร็งเฉียบพลันเมื่อสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมายังตนอย่างไม่ลดละ เป็นอีกครั้งที่เปรมต้องระงับความสั่นไหวในหัวใจ ค่อยๆช้อยสายตาไล่มองกลุ่มผู้มาใหม่ทีละคนจนหยุดลงที่คนสุดท้าย ‘นิ่ง’ และ ‘นาน’ นับอึดใจ

“เปรม...”

บางครั้ง หมื่น แสน ล้านคำพูด…ก็มิอาจเทียบเท่าหนึ่งความนัยแห่งดวงตาที่สามารถกล่าววาจาแทนความรู้สึกที่ซ่อนลึกอยู่ในห้วงจิตใจของคนสองคน

“เอ็งน่าจะรู้จักคนพวกนี้ดีอยู่แล้วใช่ไหม คุณชินกฤตเป็นผู้เพิ่มบทใหม่ให้กับเรื่องหทัยทศกัณฐ์และจะมาช่วยข้าดูการซ้อมและแก้ไขบทตลอดหนึ่งเดือนเต็ม”

เปรมละสายตาคนคนนั้น ก่อนหันไปส่งยิ้มให้ชินกฤต

“สวัสดีครับคุณกฤต”

“ดีใจที่ได้เจอกัน ขอบคุณที่ยอมตอบรับคำชวนของผมนะ”

“ยินดีครับ”

“ผมเองก็เช่นกัน”

“มาจนได้ไอ้ตัวจอมวายร้าย” รณพักตร์เบ้ปากมองบน

ราเมนทร์ก้าวขายาวประชิดกายบางของเปรม วงแขนแข็งแรงกระชับเอวน้อยแนบแน่นเพื่อบอกให้ใครต่อใครได้รู้ทั่วถ้วนว่าคนผู้นี้คือคนรักของเขา นัยน์ตาหวานลุกโพล่งตกใจ

“พะ...พี่ราม”

“ไม่เห็นบอกพี่เลยนะคะว่าจะมาที่นี่”

“ก็เปรม...”

“ก็เปรมคิดว่าตัวโกงอย่างพี่ไม่สมควรที่จะรู้ไง เลยไม่ได้บอก...เปรมจะพูดอย่างนี้ใช่ปะ” รณพักตร์ตอบแทนพร้อมดึงเพื่อนตัวออกจากมือปลิงของร่างสูง ยักคิ้วท้าทายอีกนิดก่อนจะดันเปรมไปยืนใกล้ๆกับอสุเรนทร์ คนร่างบางถึงกับสะดุ้งเมื่อนิ้วอุ่นสัมผัสเนื้อแขนเล็กน้อย

“รู้สึกเป็นเกียรติที่คุณรามตอบรับคำเชิญของผม”

ราเมนทร์พ่นลมหายใจไม่พอใจ ตวัดสายตาดุดันหันกลับมาคุยกับผู้จัดคนใหม่ที่มาแทนที่อสุเรนทร์ “อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากมารับบทตัวพระตัวนี้สักเท่าไหร่ แต่ได้ยินข่าวเปรมของผมเขาจะมารับเล่นเรื่องนี้ด้วยก็เลยถือโอกาสมาดูแลอย่างใกล้ชิดเสียหน่อย เพราะเดี๋ยวเกิดวันดีคืนดีดันมีพวกแมลงผู้บางตัวคิดมาแย่งเขาไปจากผม ผมจะแย่เอาได้”

“โอ้โห มั่นมาก หน้าต้องหนาเท่าไหร่เนี่ยถึงจะพูดประโยคนี้ออกมาได้ มีความกล้าเนอะทั้งที่แย่งของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ข้าน้อยขอคารวะพร้อมติดแฮชแท็ก #แบบนี้ก็ได้เหรอ ให้เลยว่ะ”

“เจ้าอิน หุบปากน่า” ชินกฤตปรามหลานชาย

“What did I say wrong? (ผมพูดอะไรผิดเหรอ?)”

“พี่รามครับ หมายความว่าไง...สรุปพี่จะมารับบทพระรามแทนพี่พจอย่างนั้นหรือ”

“ใช่”

“ถ้าอย่างนั้น...” เปรมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแห้งหายกว่าปกติ ปรายตาไปยังอสุ-เรนทร์ที่ยืดกาย อกผายทรงสง่าราวราชนิกูลผู้สูงศักดิ์

“ใช่ ฉันคือทศกัณฐ์”






หลังจากหายไปหลายวัน เดี๋ยวเราจะมาลงชดเชยอีกตอนให้ช่วงค่ำๆนะคะ
 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ mam.nalok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตกลงพ่อเปรมเจออะไร แล้วตอนจบที่กฤตเห็นมันเป็นแบบไหน โอ้ยยยยยค้าง :katai1: :katai1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด