หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว  (อ่าน 66480 ครั้ง)

ออฟไลน์ ketekitty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
บทที่ ๑๕
[/size]



สถานการณ์ตกอยู่ในความอลหม่าน นัยน์เนตรพญารากษสอย่างทศกัณฐ์วาวโรจน์ แสดงเจตนารมณ์ถึงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน อินทรชิตยืนผงาดอยู่เบื้องหน้าบานประตูไม้สีทอง สลักลวดลายทรงวิจิตร ร้องคำรามในลำคอราวประกาศศักดา อำบาจบารมีของตนต่อหน้าเหล่าศัตรูผู้มิเกรงกลัวต่อความสวรรค์นรก

เสียงโห่ร้องของกองทัพพระรามจากด้านนอกพระราชวังได้ทำลายความสงบสุขให้พังยับ แทนที่จะเลือกต่างคนต่างอยู่ดันเสือกรนหาที่ตายราวผู้โง่เขลา พระรามยังไงก็คงเป็นพระรามอยู่วันยังค่ำ ต่อหน้าเหล่าประชาราษฎร์ทำเป็นคนดีมีคุณธรรม จิตใจสูงส่ง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันก็เลวไม่ต่างจากยักษ์ร้ายอย่างเขาเลยแม้แต่น้อย

เอาความดีเข้าตัว เอาความชั่วเข้าผู้อื่น...วาจานี้คงสามารถทดแทนตัวตนขององค์รามผู้นั้นได้

ทศกัณฐ์ยืนเด่นท่ามกลางขุนศึกและพลยักษ์นับร้อยนับพัน....สง่างาม...น่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน บานประตูใหญ่ถูกกระชากเปิดออกด้วยแรงมหาศาลพร้อมเหล่าผู้มาเยือนในยามดึกดื่น ดวงตาแสนเด็ดเดี่ยว อัดแน่นไปด้วยโทสะคุกรุ่น ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่ามันมาดีหรือร้าย

“จักมาก็มิบอกกล่าวกันเสียหน่อยเล่าพระราม ข้าจักได้เตรียมพื้นที่ให้วิ่งเล่นเหมาะสมกับตำแหน่งพระโอรสแห่งแดนอโยธา ดูสิ พื้นที่กระจ้อยร่อยเพียงเท่านี้ ยามปะทะกันมีแต่ลำบากเปล่าๆ”

“วันนี้ข้ามิได้มาเพื่อทำการศึกกับเจ้า แต่ข้ามาเพื่อทวงเมียของข้าแลคืนของชั้นต่ำของเจ้าด้วย” ประโยคแรกยังพอเข้าใจ แต่ไอ้ประโยคหลัง คืนของของเขา มันหมายถึงสิ่งใดกันแน่

“ข้ามิใคร่จำได้ว่าข้าลืมของพรรณนั้นไว้กับเจ้าด้วย”

“มันเป็นของที่หนีเจ้าของอย่างเจ้ามาอย่างไรเล่า ของที่ข้าเคยไว้ใจ...แต่สุดท้ายกลับโดนมันหักหลังให้เจ็บช้ำเสียหลายวัน”
คิ้วเข้มยังคงขมวดงุนงงไม่เข้าใจกับคำของศัตรู หากไม่กี่วินาทีต่อมา ดวงตาของพญารากษสกลับเบิกกว้างด้วยความตกใจ มหาบุรุษแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก เมื่อของที่พระรามว่านั้นถูกผลักออกมาให้เดินออกไปข้างหน้าอย่างโซซัดโซเซ ค่อยๆเงยขึ้นสบตาตนอย่างอ่อนแรง

พิเภก!

“ท่านพี่ทศ”

“พิเภก...เหตุใดเจ้า” ทศกัณฐ์ละล่ำละลักเสียงสั่นเครือ มองหน้าน้องชายที่ตนเคยตัดเยื้อใยสะบักสะบอม เต็มไปด้วยบาดแผลทั่วหน้าและลำกายแกร่ง ทั้งรอยแผลเหวอะจากการถูกเฆี่ยนซ้ำกันหลังครั้ง รอยคมมีดที่กรีดเฉือนเนื้อเป็นทางยาวบริเวณสีข้าง น้ำตาที่เขาไม่เคยเห็นหน้าประดับหน้าอดีตโหรหลวงกรุงลงกา กลับไหลหลั่งอาบแก้มไม่ขาดสาย

พวกมันทำอะไรน้องของเขา!

“พี่มันชั่วอย่างไร น้องมันก็ชั่วเช่นนั้น”

“มึงทำกระไรน้องกู!!”

พระรามไม่ยอมตอบเอาแต่ยกรอยยิ้มหยันอย่างถือดี พยักหน้าให้พลลิงตนหนึ่งกดตัวพิเภกลงนั่งกับพื้นหินอันเย็นเยียบ ทศกัณฐ์อยากกระโดดไปบีบคอไอ้ชั่วนั่นให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องข่มใจห้ามไว้

“พระบิดา ให้ลูกฆ่ามันดีฤาไม่”

ทศกิริวัน และ ทศกิริธร โอรสฝาแฝดของทศกัณฐ์กับนางพญาช้าง ทั้งสองมีศีรษะเป็นช้าง ร่างเป็นยักษ์ ทรงพลังมหาศาล เอ่ยกระซิบถามหลังจากตรงดิ่งเข้ามาสมทบกับพระบิดาตนได้สักพักหนึ่ง

“อย่าเพิ่งวู่วาม มันมิทำกระไรอาเจ้าไปกว่านี้ดอก” หากมันทำ...เขานี่แหละจะเป็นคนฆ่ามันก่อนเอง

พญารากษสเหลือสำรวจพิเภกอีกครั้ง และกล่าวถามฝ่ายพระรามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งติดดุดัน

“น้องข้าทำผิดอันใด ใยจึงทำร้ายเขาเจ็บปางตาย”

“หึ” พระรามเค้นหัวเราะเบาๆ “ข้าก็ทำในสิ่งที่สมควรกระทำ อยู่ดีมิว่าดีน้องเจ้าดันหาเรื่องใส่ตนเองนัก รวมหัวกับสีดาหลอกข้าแลทุกคนว่าเด็กที่อยู่ในครรภ์นางคือหน่อเนื้ออโยธยา แลยังวางแผนส่งนางยักษีชั่วมาเพื่อให้ข้าตัดหัวควักหัวใจเมียตนเองอีก เจ้าคิดว่ามันสมควรแล้วรึ”

“แล้วสิ่งที่เจ้าทำกับสีดามันถูกต้องแล้วรึ”

“!!”

พญารากษสยกยิ้มเยาะหยัน “ข้าจักบอกกระไรให้ ทุกสิ่งมันเป็นเพราะเจ้าเองพระรามเอ๋ย หากเจ้ารักแลเชื่อใจเมียของเจ้าให้เท่ากับปากว่า เจ้าจักมิมาดีดดิ้นทวงเมียคืนอยู่บนผืนแผ่นดินกรุงลงกาของข้าดอก”

“...”

“แรกเริ่มข้านั้นแสนอิจฉาเจ้านักที่ได้หัวใจของนางไป ทุกวันคืนนางเอาแต่พร่ำถึงเจ้า บอกรักเจ้าน้ำตานองหน้าทั้งๆที่ข้าคอยเอาอกเอาใจ คอยดูแลนางมิห่างกาย ให้ความรักกับนางมาตลอด แต่นางกลับเมินเฉยมิสนใจใยดี...พระรามเอ๋ย...เจ้าควรดีใจหนาที่สีดาเคยรักเจ้ามากถึงเพียงนี้”

เคย?

“เจ้าพูดอย่างกับเพลานี้นางรักเจ้ามิใช่ข้า”

“น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน แล้วนับประสากระไรกับใจนาง ต่อให้สีดาเคยโกรธเกลียดข้ามากเพียงใด แต่ถ้าหากข้านั้นคอยดูแล คอยให้ความรักความเอาใจใส่แก่นางทุกวัน ความเกลียดก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอื่นที่ดีกว่าได้เช่นกัน” ทศกัณฐ์ยกแขนกอดอกส่งยิ้ม “เจ้าลองไตร่ตรองดูสิ หากนางมิรักข้า ใยจึงกลับมาหาข้าทั้งที่ไอ้ลิงหน้าขนตนนั้นพานางกลับเมืองของเจ้าไปนานแล้ว แลที่สำคัญ...นางยังใจดีมีบุตรสืบสกุลให้ข้าอีก”

“ทศกัณฐ์....” พระรามกัดฟันกรอด

“ขึ้นชื่อว่าเมีย...ย่อมต้องการความรัก ความไว้ใจจากผัว มิใช่ความหวาดระแวงว่าเมียตนจักไปมีผัวมีชู้ใหม่หลบซ่อนอยู่แห่งหนใด”

“...”

“เห็นแก่ความเป็นผัวเก่าเมียข้า ข้าจักบอกเจ้าสักนิดถือว่าทำทานให้แก่ชายผู้โง่เขลาในความรัก ถ้าเจ้าดีต่อสีดาเหมือนครั้นก่อน รักนางจริง นางคงมิคิดหวนคืนสู่อ้อมอกข้าดอก”

พระรามขบกรามแน่น จนเส้นเลือดเริ่มปูดโปนตามขมับ เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตกซ่านจนแดงก่ำราวปีศาจนรกภูมิ ไม่เคยคิดเลยว่าต้องมายืนฟังคำสอนของศัตรูเช่นนี้

“เจ้าจักรู้ดีไปกว่าตัวข้าได้เยี่ยงไร ใจข้า ตัวข้า ข้ารัก รักนางมาโดยตลอด มิเคยทำให้นางผิดหวังช้ำใจเลยสักครา”

“มิทำให้เสียใจ เจ้าช่างกล้าพูดมิเคยทำให้นางเสียใจ...จงตื่นฟื้นสติเสียทีพระราม การกระทำของเจ้ามันทำให้สีดาเสียใจมาโดยตลอด เจ้ามันโง่ มิเคยนึกถึงความรักความซื่อสัตย์ เทิดทูนบูชาที่นางมีให้ต่อเจ้า สิ่งที่เจ้าคิดอย่างเดียวคือความรู้สึกของตนเอง แลต่อให้เจ้าสำนึกถึงความผิดได้ ข้าก็มิมีวันยกน้องให้เจ้าอีกเป็นอันขาด”

“ข้าจักพานางกลับคืน!”

“คงทำได้แค่ฝัน”

เส้นแสงเหลืองทองอร่ามโอบรอบกายกำยำเพียงเศษเสี้ยววินาทีก่อนจะถูกกลืนหายไปพร้อมกับสายลมพัดแผ่ว เครื่องทรงใหญ่ประจำกายพญารากษสปรากฏขึ้นแทนที่ชุดดั้งเดิม แลด้วยเขี้ยวสีขาวมุกยาวโค้งรับกับมุมปากทั้งสองด้าน ดวงตาสีเขียวมรกตทอแสงกล้ายามดวงแก้วบนนภาสาดส่องกระทบ ถึงแม้จะไม่ได้กลับคืนรูปลักษณ์เดิมแบบสมบูรณ์ แต่พญารากษสก็มั่นใจฝีมือตนดี ไม่มีทางพลาดหรือหลงกลอุบายของฝ่ายตรงข้ามอีกแน่

“ช่างสามหาวนักเจ้ายักษ์!” พระลักษณ์กระทืบเท้าชี้หน้าต่อว่าทศกัณฐ์ด้วยสีหน้าฉุนเฉียว น้าวศรหมายยิงใส่ตัวกษัตริย์กรุงลงกาให้ตายแดดิ้นตรงหน้า แต่พระรามกลับมายืนขวางไว้เสียก่อน

“พระลักษณ์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เถิด”

“แต่มันพูดจาเยาะเย้ยท่าน”

“ช่างปะไรเล่า พี่หาได้สนใจคำของมันไม่ เพราะอย่างไรเสีย สีดาก็จักคืนสู่เราอยู่ดี”

“มั่นใจเหลือเกินหนาพระราม เมื่อครู่ข้ายังเอ่ยมิชัดดอกรึ ว่าหัวใจนางอยากอยู่กับผู้ใดมากกว่ากัน”

“ข้าเป็นพระสวามีของนาง!”

“ข้าก็เป็นผัวนาง เราต่างกันอย่างไรฤาพระราม”

“ข้ามาก่อน”

“มาก่อนแล้วอย่างไร เจ้าทำนางท้องได้เหมือนข้าฤาไม่ หึหึ... ของจริงมิต้องพูดให้เปลืองเขฬะ*  ไอ้หนุมานก็หาทำได้ไม่ แลคนอย่างเจ้าก็อย่าหวังเลย”


*เขฬะ= น้ำลาย


“ต่ำ! ข้ามิเคยเห็นพ่อคนใดกระทำย่ำยีลูกในไส้เช่นเจ้าเลย”

“ข้าก็มิเคยเห็นผัวคนใดระยำควักหัวใจเมียให้น้องนำมาถวายเช่นกัน” ทศกัณฐ์สูดลมหายใจฟูดฟาด พยายามระงับอารมณ์ที่ค่อยๆพุ่งสูงขึ้นทุกวินาที กระตุกยิ้มเหยียดอย่างเย้ยหยัน “แหม...แหม...เพียงเห็นเห็นรูปอันหล่อเหลาของข้าใต้หมอนนอนประหน่อยเดียว กลับโมโหโกรธาสั่งให้พระลักษณ์นำเมียตัวเองไปฆ่าในป่า...ไตร่ตรองดูสิผู้ใดต่ำกว่ากัน”

ทศกัณฐ์ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะทำท่าทีอย่างไรหลังจากเขาพูดจบ เบนสายตาไปยังน้องชายที่เคยถึงขั้นตัดพี่ตัดน้องเพราะช่วยเหลือฝั่งศัตรูมั่นหน้าอย่างพระราม รอยฟกช้ำ บาดแผลและเลือดเกรอะกรังทำเอาเขาเผลอแผ่รังสีอำมหิตออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้ปากจะบอกว่าตัดขาด แต่ในใจของเขาไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย พี่น้องร่วมสายเลือด ต่อให้คนใดทำผิดจนบาดหมางมองหน้ากันไม่ติด ทว่าอย่างไรเสียความเป็นพี่น้องก็ยังคงอยู่

 หยาดน้ำตาโหรหลวงอย่างพิเภกถึงกับหลั่งริน บุรุษกายสีเขียวแสนทรงสง่ายืนหน้าเรียบนิ่งมิส่อเค้าความรู้สึกใด ทว่าหากเพ่งพินิจในดวงเนตรสีเขียวกระจ่างอีกนิดจะเห็นถึงความอ่อนโยนและความห่วงใยจากพี่สู่น้อง เพิ่งตระหนักได้ในวันนี้ ว่าจะคนหรือยักษ์หรือสัตว์เดรัจฉาน ย่อมมีทั้งความดีและความชั่วปะปนกันไป ขึ้นอยู่กับว่าจะแสดงทางด้านไหนออกมามากกว่าก็เท่านั้น

“หากเจ้าอยากกลับบ้าน พี่พร้อมจักเปิดประตูต้อนรับเจ้า...พิเภก”

“ท่านพี่ทศ”

“ขอบน้ำใจเจ้านักสำหรับทุกสิ่งอย่าง ต่อจากนี้พี่จักการเอง”

ชั่วเวลาประเดี๋ยว เสมือนฟ้าดินต่างจ้องมองลงมาอย่างลุ้นระทึก การประชันหน้าระหว่างพญารากษสและพระนารายณ์อวตาร เสียงอสุนิบาตรร้องดังครืนครานสะเทือนไปถึงปฐพี บรรดาพลยักษ์และพลลิงต่างย่อไปด้านหน้าตัวเตรียมบุกทะยานหาคู่ต้อสู้สุดกำลัง รอคอยเพียงแค่...สัญญาณเปิดศึกของเจ้านายพวกมันเท่านั้น...




“เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นหรือครับ”

สีดาส่ายหัว “ข้ามิรู้แจ้งเท่าใดนัก ข้าเพียงได้ยินแค่เสียงอึกทึกจากด้านนอกแลคำบอกเล่าจากนางกำนัลที่แอบดูจากด้านใน พวกนางเล่าให้ข้าฟังว่าทั้งสองพระองค์ต่างสู้รบตบมือกันเสียยกใหญ่ ข้าวของแตกพังเสียหายไปทั่วอาณาบริเวณ มีทหารจำนวนไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสมเพชเวทนา”

“ข้ากลัว...กลัวมากเทียวพ่อเปรม”

“ไม่เป็นไรนะครับ” เปรมเอ่ยแผ่วเบา...เบาเหมือนสายลมกระซิบ

หญิงสาวจับศีรษะของลูกน้อยทั้งสองวางลงบนหมอนนุ่มอย่างอ่อนโยน ยืดตัวลุกขึ้นและเดินก้าวไปผลักบานหน้าต่างออกกว้างรับอากาศอันบริสุทธิ์เบื้องนอก เธอมองความงดงามแห่งธรรมชาติไปยังทิวเขาและความเวิ้งของนภากว้างในยามราตรีด้วยอาการสงบนิ่ง

“ข้านั้นทั้งรักพระรามแลทศกัณฐ์ รักทั้งสองพระองค์มิต่างกัน แต่ข้ามิรู้จักทำเช่นไรเพื่อให้หยุดข้อพิพาทเหล่านั้นภายในราตรีเดียว”

“...”

“ข้ารู้สึกหวาดกลัวแลทำกระไรมิถูก ข้าต้องคอยฟังเสียงโหยหวน กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทั้งที่ต้นเหตุของเรื่องราวบาดหมางทั้งหมดมาจากข้าเอง”

“อย่าโทษตัวเองสิครับ ไม่มีใครกำหนดโชคชะตาได้หรอกว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง คุณไม่มีทางเลือก”

“ข้ามีทางเลือกหลายทางออเจ้า แต่ข้ากลับเลือกเส้นทางที่ยากที่สุดแลอันตรายที่สุด” สีดายิ้มเศร้าเมื่อภาพความทรงจำนับไม่ถ้วนไหลรินเข้ามาไม่ขาดสาย “แต่ข้ามิเคยรู้สึกเสียใจดอกหนาที่ได้เลือกเดินเส้นทางนี้”

“ถึงแม้มันจะทำให้ชีวิตคุณประสบพบเจอแต่ความยากลำบาก ความบาดหมางไม่รู้จักจบจักสิ้น...”

“แลความตายที่มิอาจหวนคืน”

เปรมนิ่งอึ้ง มองวงหน้าสะสวยสะท้อนแสงจันทราประกายสีเหลืองหม่นพอๆกับจิตใจเบื้องลึกของเธอ เขาไม่คิด...ไม่สิ ไม่เคยแม้แต่จะคิดสักนิดว่าชีวิตอันสุขงอมของพระรามและนางสีดาจะกลับกลายเป็นเรื่องน่าเศร้า สงสารและเห็นใจเธอไม่น้อยที่ต้องแบกรับเรื่องพวกนี้โดยที่ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้ หากเปรมเป็นนางสีดาในตอนนั้น เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำอย่างไรเพื่อยุติเรื่องราวบ้าๆนี่ให้หมด

รักสามเศร้าของคนสามคน จบลงด้วยความตายที่ไม่อาจหลุดพ้น

“คุณตายเพราะอะไรกันแน่”

“ข้าเลือกจักให้ความตายเป็นตัวหยุดยั้งสงครามระหว่างสองเผ่าพงศ์ มันเป็นสิ่งที่ข้าคิดว่าดีที่สุดในเพลานั้น” หญิงหันมาหาเปรม ยกมือขึ้นมากอบกุมมือเรียวยาวของจิตวิญญาณหนุ่มและบีบเบาๆ “ข้ารู้ข้าช่างเลือกทางที่โง่เขลา แต่ข้าจำเป็นต้องทำ ...เพราะข้ามิอยากเห็นทั้งสองพระองค์ต้องห้ำหั่นกันอีกแล้ว”

“ใจเย็นนะครับ คุณไม่ผิด คุณทำดีที่สุดแล้ว”

หยดน้ำตาแห่งความอัดอั้นนานนับสหัสวรรษ บัดนี้มันได้ไหลทะลักออกมาในรูปแบบหยดน้ำสีใสจากสองเบ้าตาที่แสนบวมช้ำ มีแต่ความเจ็บปวดทุกข์ระทม ก้านนิ้วเรียวปาดคราบน้ำตาบนดวงหน้าหวาน พร้อมดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบประโลม เขาปล่อยให้เวลาดำเนินไปอย่างเงียบงัน ฝ่ามือก็คอยลูบหัว ลูบหลังให้อาการสะอื้นไห้สงบลงบ้าง



ถ้าว่าด้วยความรักที่มีให้ทศกัณฐ์...เป็นการผิดสัญญา คำสาบานที่ได้ให้ไว้กับพระราม
การดับชีวิตตน...ก็คงเป็นจุดกำเนิดแห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น
ระหว่าง...หนึ่งหญิงสองชาย
เป็นชะตากรรม...และลิขิตกรรมที่มิอาจเปลี่ยนแปร!




แม้เป็นเพียงศึกเล็กๆภายในพระราชวังอันใหญ่โต แต่มันกลับสร้างความฉิบหายวายวอดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ทศกัณฐ์มองกองไฟที่ลุกโหมกระหน่ำทำลายพระราชวังที่งดงามวิจิตรให้ไม่ต่างจากเศษซากไร้มูลค่า เหล่ายักษียักษาต่างวิ่งวุ่นอลหม่าน ทั้งคอยต่อสู้กับศัตรูและดับเพลิงพิโรธที่เผาวอดไปทั่วกรุงลงกา

เขาปล่อยให้พวกมันทำลายเมืองอันล้ำค่ามากขนาดนี้เชียวหรือ!

ความแค้นเพิ่มพูนนับร้อยเท่าพันเท่า ทศกัณฐ์เกณฑ์พลทหารยักษ์มากฝีมือโหมพลังความโหดร้ายทำลายล้างให้พวกศัตรูได้ประจักษ์ เดินหน้าบดขยี้กองทัพของพวกมันให้ย่อยยับทีละตัว สองตัว บ้างก็ตายเป็นสิบด้วยพลังระเบิดในครั้งเดียว

พระรามหวดคันศรฟาดใส่กลางตัวทศกัณฐ์กระเด็นไปกระแทกเสาจนแตกหัก พังครืนลงมาทับตามแขนขาลำตัว หากพญารากษสกลับไม่สะทกสะท้าน ปัดซากปรักหักพังออกพร้อมแยกเขี้ยวขู่คำราม แผลงศรใส่บุรุษผู้มีกายเขียวเฉกเช่นเดียวกับตนเป็นห่าฝน อาวุธกล้าครอบคลุมทั่วผืนฟ้า

เมืองพังยังสร้างใหม่ได้ แต่ถ้ามันไม่ตาย เขายอมไม่ได้

ไม่มีผู้ใดคำนวณนับได้แม้แต่ตัวของพระรามเองว่าพญารากษสทศกัณฐ์ผู้นี้มีฤทธิ์เดชสังหารไพล่พลวานรไปมากเท่าใด ทศกัณฐ์ครั้นคร้ามในอำนาจศรวิเศษ หากไม่มีมันพระรามก็คงไม่เก่งกาจถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรก...ที่ทั้งสองต่างประมือสู้รบกันอย่างจริงจัง
ทศกัณฐ์จับจ้องแล้วขว้างจักรแรงฤทธิ์ดั่งไฟบรรลัยกัลป์ ทว่าพระรามเลือกแผลงศรปะทะทำลายจักรเสียงกึกก้องกัมปนาท

ฉึก ฉึก ฉึก!

ศรของพระรามพุ่งเข้าปักตรึงทศกัณฐ์เต็มร่าง พญารากษสร้องด้วยความเจ็บปวดสุดทานทน ร่ายพระเวทถอนศรและลูบกายให้บรรเทา...การทำศึกกับพระรามนั้นแสนสาหัสและหายนะเกิดคาดคิด แต่! เกียรติภูมิในฐานะกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาไม่มีวันยอมแพ้หรือถอยให้แก่มันเป็นอันขาด เรื่องอื่นยังพอพูดคุยกันได้ แต่เรื่องเมีย อย่าหวังว่าจะเอานางกลับคืนไปได้!

“ยอมแพ้ฤาไม่ทศกัณฐ์”

“ข้ามิยอมแพ้เจ้าดอกพระราม”

เคร้ง เคร้ง ฉึก!!

“อั่ก!!!!”

ลูกศรตรงเข้าปักกลางลำตัวอีกครั้ง เลือดไหลทะลักส่งกลิ่นคาวฟุ้งไปทั่วบริเวณ หนุมานได้โอกาสจึงยืดหางยาวเหยียดแล้วค่อยๆขมวดหางกระชับวงแคบเข้า

อินทรชิตที่คอยจับตาดูอยู่ไกลๆรีบพุ่งทะยานเข้ามาบดบังร่างบาดเจ็บของพระบิดา ฉับพลันหางของหนุมานก็รวดมัดตัวรากษสไว้ได้แล้วเหวี่ยงหาดกับกำแพงหน้าจนแตกพังทลายทับร่างเล็กต่อหน้าต่อตา

“ไอ้พวกชั่ว!”

ทศกัณฐ์อัดอั้น เพราะยักษ์พ่ายแพ้มาโดยตลอด จึงหวังสาปแช่งทัพพระรามให้ย่อยยับ รีบฉวยหอกทะยานเข้าสู้กับพระรามและหนุมาน ดวงตาทั้งสิบสอดส่ายมองความเคลื่อนไหวของศัตรู ใช้โอกาสอันแม่นเหมาะจู่โจมพระรามด้วยหอกกบิลพัททรงอานุภาพหมายปลิดชีวิตพระราม หากพระลักษณ์กลับโถมกายเข้าปัดป้องแทน ด้วยความรวดเร็วเกิดหยั่งถึง หอกแหลมคมจึงพุ่งปักอกพระลักษณ์จนกระเด็นกระดอนไปไกล

แม้พลาดเป้าจากบุคคลที่ต้องการทศกัณฐ์ก็ยังสามสมใจ มองดูพระรามที่ค่อยๆเคลื่อนหาผู้เป็นน้องชาย ทรุดลงกับพื้นน้ำตาอาบหน้า ทรมานใจสงสารน้องที่ต้องมาร่วมชะตากรรม ระหกระเหินทุกข์ทนจนบัดนี้คล้ายจะสิ้นชีวิต

“บังอาจนักเจ้ายักษ์ชั่ว!”

“ตัวข้านั้นชั่วก็ชั่วที่ตัว แต่เจ้านั้นชั่วทั้งกาย วาจาแลใจ”

“!”

“เจ้าทำกับน้องข้าเจ็บปวดอย่างไร ข้าก็ยิ่งปรารถนาให้น้องเจ้าเจ็บเจียนตายมากฉันนั้น”

พระรามถึงกับหัวร่อกู่ก้องไปทั่วทั้งพระราชวัง คิ้วเข้มของพญารากษสขมวดมุ่นไม่เข้าใจแลไม่พอใจเป็นอย่างมาก สายตาของพระรามตอนนี้กลับกลายเป็นดั่งเดิมแล้ว เมื่อหนุมานเหาะขึ้นกลางหาวให้ทศกัณฐ์เห็น ดวงตามรกตเบิกโพล่งตกใจราวถูกสายฟ้าฟาด เย็นเยียบไปทั่วร่างเมื่อพญาวานรเอกทำท่ายั่วเยาะชูกล่องใส่ดวงใจขึ้น

“อันใดหนาอยู่ในกล่องนี้”

“ตั้งแต่เมื่อใด!!”

“อยากได้ฤาไอ้ยักษ์ชั่ว”

“ส่งกล่องดวงใจมาให้ข้า”

“ส่งง่ายๆก็มิใช่ข้าสิทศกัณฐ์ หากเจ้ายังรักตัวกลัวตายก็จงคืนนางสีนางแก่พระรามเถิด หากเจ้าคืน ข้าจึงจักมอบกล่องดวงใจนี้คืนให้แก่เจ้า”

ทศกัณฐ์รู้สึกโกรธเป็นอย่างมากกับวาจาอันหยามหยันของวานรเผือกทิ่มแทงใจ หยัดกายสูงสง่าประกาศกร้าวว่าจักขอสู้จนตัวตาย

พระรามน้าวศรพรหมาสตร์ด้วยพละกำลังที่มีแลด้วยบุญญาธิการที่สั่งสมไว้ตั้งแต่เป็นพระนารายณ์อยู่บนสรวงสวรรค์ ชั่วขณะหนึ่ง เสมือนกาลเวลาทั่วทั้งจักรวาลได้หยุดลงฉับพลัน...หนุมานจับจ้องมองเห็นจุดจบอันใกล้ของทศกัณฐ์ในวินาทีข้างหน้า

“หากเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จักสนองให้”

“พระบิดา!”

“ท่านพี่ทศ”

“หยุดประเดี๋ยวนี้พระราม”

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0


น้ำเสียงนี้ก้องอยู่ในความคิดคำนึงในทุกลมหายใจเข้าออก มิเพียงเท่านั้น วงพักตร์และดวงเนตรของนางยังคงลอยเด่นอยู่ในจิตทุกเวลานาที แม้จะซีดเซียวไร้สีเลือด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามของนางลดลงเลย

“วางศรลงประเดี๋ยวนี้”

นางยังคือรัก

รักแรกและรักตลอดไปของเขา


“ได้โปรด วางศรลงเพคะ”

ความรักเป็นเพียงใยที่บางเบา หากแน่นกว่าสายใยในโลก พระรามมองสีหน้าพระชายาของตนอย่างนึกเสียใจ ทิ้งคันศรลงกับพื้นก่อนจะเข้าไปตระกรองกอดนางอันเป็นที่รักท่ามกลางสายตาเจ็บปวดของพญารากษส

“สีดา”

“ปล่อยข้า”

“พี่ขอโทษที่ทำกับเจ้าอย่างนั้น แต่ทุกอย่างเป็นเพราะพี่รักเจ้าจอมขวัญ พี่มิอยากให้น้องคะนึงถึงชายอื่นน้องจากพี่”

“ปล่อยข้าเสียพระราม”

“เหตุใดน้องจึงกล่าววาจาเหินห่างราวพี่เป็นคนแปลกหน้า พี่ยังคงเป็นพระสวามีของน้อง สีดา...ได้โปรด กลับคืนสู่อโยธยากับพี่เถิด”

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร หากผละตัวออกจากวงแขนแกร่งของผู้ที่เคยเป็นพระสวามีที่รักยิ่งด้วยแรงกำลังที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด

“สีดา...”

“หากพระองค์รับปากหม่อมฉันว่าจักยุติสงครามกับทศกัณฐ์ หม่อมฉันจักไปเพคะ”

“พี่มิให้น้องไปสีดา!”

หญิงร่างบางเบือนสายตามองไปยังพญารากษสที่นั่งกอบกุมหัวใจอย่างเศร้าสร้อย นางไม่มีทางเลือก หากนางไม่ตอบพระรามไปเช่นนั้น ทศกัณฐ์อาจจะต้องตายอย่างไม่มีวันหวนกลับ นางยอมจากไปตอนนี้เพื่อให้ได้พบกันในภายภาคหน้า

“รับปากหม่อมฉัน...พระราม รับปากจักปล่อยทศกัณฐ์ไป”

“พี่รับปากเจ้า ขอเพียงน้องกลับไปกับพี่”

“สีดา!” ทศกัณฐ์ร้องลั่นแทบขาดใจ หัวใจของพญารากษสคล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบหัวใจจนปวดหนึบ กระนั้นก็พยายามคุมตนให้นิ่งดูสถานการณ์ต่อไป

“หนุมานสั่งให้คนของเราหยุด ปล่อยตัวพิเภกแลดูแลพระลักษณ์น้องข้าด้วย ประกาศให้ทราบโดยทั่ว ข้าพระรามหาได้มีเวรกรรมต่อทศกัณฐ์ผู้นี้อีก” แม้จะประกาศกร้าวหากดวงเนตรคมคายกลับดูเป็นประกาย คล้ายมีความลับบางอย่างซ่อนเร้นอยู่
ไม่น่าไว้วางใจ

“ด้วยเกล้ากระหม่อมพะยะค่ะองค์ราม”

สีดาสบตากับทศกัณฐ์ ในแววตาของนางนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความห่วงใยที่มีให้เขาเป็นล้นพ้น แม้พระรามก็มิอาจสู้ได้ พญารากษสพอเข้าใจแล้ว ทำไมนางถึงต้องทำเช่นนี้

นางกำลังปกป้องเขาและลูกน้อยจากความตาย

ความหวังดีของนางเขาซาบซึ้งนัก แต่ถ้าจะให้เอาตัวไปง่าย...ก็คงไม่ใช่ทศกัณฐ์

พลวานรเริ่มถอยกำลังออกตามคำสั่งผู้เป็นนาย แต่กระนั้นอินทรชิตยังไม่ไว้วางใจ แกล้งหรี่ตาทำเป็นนอนสลบอยู่ใกล้หนุมานที่ยืนสั่งการและถือกล่องดวงใจของพระบิดาอยู่...พยายามขบคิดหาทางชิงกล่องนั่นกลับคืนมาให้ได้ ครั้นพญาวานรหันมา อินทรชิตก็แกล้งปิดตาสนิทพร้อมลมหายใจสม่ำเสมอ เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาข้างใบหูก่อนสัมผัสอุ่นๆไม่หนักไม่เบาประทับลงที่หน้าผากและแก้ม

“ถ้าเจ้ามิใช่ลูกเจ้ายักษ์นั่น ข้าคงจับเจ้าทำเมียแล้วน้องอินเอ๋ย”

เมีย!

เจ้าบ้านี่!

งั้นสัมผัสเมื่อครู่ก็คงเป็นริมฝีปากเน่าๆของเจ้าวานรชั่วน่ะสิ อินทรชิตกรุ่นโกรธในใจ แต่ก็ ตอบโต้ไม่ได้เนื่องจากหนุมานยังอยู่ใกล้ๆพร้อมเอามือมาลูบพวงแก้มของเขาเล่น

“แต่มิต้องห่วงไป อีกเดี๋ยวพ่อเจ้าก็ตาย ข้าจักรับเจ้ามาเลี้ยงดูปูเสื่อเอง”

มิต้องมาเลี้ยงข้าไอ้เวรตะไล...คิดฆ่าพระบิดากูใช่ฤาไม่ มึงต้องเจอกูสักตั้ง!

“เจ้าจักรับเลี้ยงข้ารึ”

“ใช่ เฮ้ย!”

“ท่านอาพิเภก กล่องดวงใจ!”

อินทรชิตคว้ากล่องดวงใจจากมือหนุมานส่งไปให้พิเภกที่นั่งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ก่อนผลักร่างของมันให้ล้มลงนอนนาบกับพื้น และนั่งคร่อมกดไว้ไม่ให้ดิ้นขยุกขยิกไปไหน

“อินทรชิต”

“ไหน...ผู้ใดบอกจักฆ่าพระบิดากู”

“ใจเย็นๆสินวลเจ้า”

ความอดทนอดกลั้นของอินทรชิตมักแสดงผ่านสีหน้า นัยน์เนตรเรียวสวยเฉกเช่นผู้เป็นพระมารดาดุดันแต่ทว่าในสายตาหนุมานกลับมองเป็นเนตรที่น่าหลงใหล และที่ทำให้มันปฏิเสธไม่ได้ว่าแอบพึงใจคือเขี้ยวคุดที่งอกกลับด้านผิดจากพี่น้องรากษสตนอื่น งุ้มเข้าเหมือนกลีบดอกมะลิ แลน่ารักน่าชังนัก

“ยิ้มกระไรไอ้หน้าขน”

“ทำเป็นแอบหลับเพื่อขโมยกล่องดวงใจพระบิดาเจ้าใช่ฤาไม่ แหมๆ มิธรรมดาน้องรักของพี่”

“กูมิใช่น้องมึงหนุมาน แล้วอย่าคิดว่ามึงแลนายมึงฉลาดอยู่ผู้เดียว”

“ก็มิได้ว่าเจ้ามิฉลาด แต่เทียบกับพี่แล้วไซร้...อย่างไรเสียน้องก็สู้ฝั่งพี่มิได้ดอก”

“มึงคิดกระไร จงตอบมา!!” อินทรชิตชี้นิ้วปราดทว่าหนุมานมัวแต่แย้มยิ้มหยอกเย้า หอกที่เคยปักบนอกพระลักษณ์กลับพุ่งกลับมาปักเจ้าของมันรวดเร็วยากจะหลบทัน ทศกัณฐ์ทรุดตัวลงกับพื้น เห็นรอยยิ้มหยันปรากฏบนริมฝีปากของพระราม

“พระบิดา!”

“พี่ท่าน!” สีดาร้องเรียกด้วยความตกใจ สองเท้าพาก้าวเดินเร็ว เยื้องย่างสรรพางค์กายไปหาชายอันเป็นที่รัก ทว่าพระรามกลับรวบจับไว้อย่างรู้ทัน หญิงสาวดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขน อีกทั้งพยายามบิดข้อมือออกจาการจับกุม นางรู้ทศกัณฐ์ไม่มีวันตายหากหัวใจยังได้รับการป้องกัน แต่ดูจากสีหน้าของพญารากษสคงเจ็บไม่น้อย

“ปล่อยข้า...ปล่อย!”

“พี่ไม่ปล่อยให้เจ้าหลุดมืออีกแล้วสีดา เจ้าต้องกลับเมืองกับพี่”

“ไม่...ข้ามิกลับ ปล่อยข้าสิ”

“สีดา”

“หากพระองค์มิปล่อย ข้าจักกลั้นใจตายประเดี๋ยวนี้!”

“...น้องรังเกียจพี่ถึงเพียงนี้เชียวฤา” พระรามยอมปล่อยตัวนางออกจากพันธนาการ มีรอยถอนใจปนความน้อยเนื้อต่ำใจ หากสีดาได้ย้ำ...

“ข้ามิได้รังเกียจ แต่ข้ามิได้รักพระองค์แล้ว”

“ข้ามิเชื่อ!” พระรามตะโกนก้องกรุงลงกา “เหล่าสตรีต้องรักบุรุษที่มาเป็นอันดับแรกเสมอ”

“ข้าเคยรัก”

“แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนผัน”

“เพราะข้ามิมีใจให้พระองค์อีกต่อไปแล้วอย่างไรเล่า...คิดจักทำกระไร” สีดามีหน้าหวาดหวั่นขึ้นมาโดยฉับพลัน เมื่อเห็นท่าทีของอดีตพระสวามีเปลี่ยนไป

“กลับกับพี่สีดา”

“อย่าแตะต้องตัวข้า ข้าจักอยู่แลตายที่นี่”

“มันดีกว่าข้าตรงไหน ทั้งที่ข้าก็รักเจ้ามิต่างจากมัน”

“เพราะทศกัณฐ์ไว้ใจข้า จริงใจต่อข้า แลมิเคยคิดฆ่าข้าเหมือนกับพระองค์”

“เจ้าเชื่อลมปากมันรึ”

“ข้ามิได้เชื่อใจลมปาก หากข้าเชื่อในหัวใจตนเอง”

“ห่วงมันมาก รักมันมากใช่ฤาไม่” หน่อเนื้อแห่งกรุงอโยธยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ มันยากจะเชื่อ...สตรีตรงหน้าที่ขึ้นชื่อเป็นพระชายาจะกล้าปฏิเสธเขาเพียงเพราะต้องการสมสู่อยู่กับเจ้ายักษ์หน้าตาอัปลักษณ์นั่น สิ่งที่ผ่านมามันไม่มีค่าในสายตานางอีกแล้วสินะ

ว่าจะไม่ใช้วิธีการสุดท้าย แต่ก็ต้องนำออกมาใช่อย่างไม่มีทางเลือก

“เอามาให้ข้าหนุมาน”

พญาวานรเผือกหาวเป็นดาวเป็นเดือน ไหวกายประดุจสายลมพัดพัดโบกสมเป็นลูกของพระพาย ชูกล่องแก้วสลักลวดลายกรกนก(กอน-กะ-หนก)ไว้รอบทิศ และวางมันไว้บนมือของผู้เป็นอย่างอย่างสะใจ

ทั้งทศกัณฐ์ อินทรชิต พิเภกและสีดาต่างตกตะลึงไปตามๆกัน ไม่ต้องเสียเวลาดูก็รู้ว่ามันคือกล่องเก็บดวงใจของจริงแท้แน่นอน

“เลือกมาเจ้าจักไปกับพี่ ฤาดูมันสิ้นชีพแล้วค่อยไป”

“พระองค์ใจร้าย”

“เจ้าใจร้ายกับข้าก่อนสีดา ว่ามาจักไปดีๆฤาไปพร้อมน้ำตา”

สีดา ณ ตอนนี้แสนกังวลใจ กวาดมองรอบด้าน ในหัวก็พยายามคิดหาทางออก เวลาการตัดสินใจเหลือน้อยเต็มที นางไม่รู้ต้องทำเช่นไร ไม่อยากให้ทศกัณฐ์ต้องมาตายจาก...ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ไม่สมควรโดนพรากชีวิตเพราะสตรีสองผัวผู้นี้อีกแล้ว
ถ้าใครจะตาย ก็ขอให้นางเป็นคนสุดท้ายแล้วกัน

ฉับพลันสายตากลับหยุดลงที่อาวุธชิ้นหนึ่ง สีดาไม่รีรอก้มตัวลงหยิบกริชคมวาวที่ตกหล่นอยู่บนพื้นแล้วจ่อที่หน้าอกตนเองทันที

“วางมันลงเสียสีดา”

“ส่งกล่องดวงใจให้อินทรชิต” หญิงสาวสั่ง

“สีดา”

“หากท่านมิส่งคืนตามที่ข้าเอ่ย ข้าจักแทงกริชลงที่หัวใจข้า” วิธีการพูดจาของหญิงผู้เลอโฉมพลันเย็นเยียบลง “ข้ามิได้พูดเล่น ข้าเอาจริง”

“เจ้ามิกล้าดอก”

นิ้วเรียวกดตัวกริชเข้าเนื้อขาวผุดผ่องจนมีเลือดไหลซึมออกมา พระรามมองภาพนั้นด้วยความตื่นตระหนก แต่ก็ไม่ได้ส่งกล่องคืนอินทรชิตตามที่นางร้องขอ

“น้องเอ๋ย วางมันลงประเดี๋ยวนี้” ทศกัณฐ์เอ่ยขอร้องเสียงแหบพร่า

“ข้าจำต้องทำพี่ท่าน หากข้ามิรอด ได้โปรดช่วยเลี้ยงดูพระสุริยาแลพระธิดาจันทราแทนข้าด้วย”

และนั่นก็ทำให้พญารากษสได้รู้ว่าลูกของเขาที่เกิดจากนางสีดา มิได้มีเพียงหนึ่ง

พระรามเดาะลิ้นอย่างขัดใจ “คำสาบานที่เจ้าให้ไว้กับข้าคงมิมีความหมายสินะ” ทั้งที่เขายืนตรงนี้ แต่นางกลับคร่ำครวญถึงมัน ดี.... ตายกันไปเสียให้หมด หญิงชั่วชายเลว

“ในเมื่อน้องมิรักษาคำพูด นี่ก็คงเป็นเวรกรรมที่น้องต้องชดใช้เพราะมิรักษาคำสาบาน” พระรามสูดลมหายใจ ซ่อนความเจ็บปวดในดวงตา “ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกอีกใหม่อีกแค่ครั้งเดียว”

“ข้าเลือกแล้ว”

รอยยิ้มปรากฏบนมุมปากร่างโอดสะอง กริชที่เคยปักเพียงผิวเนื้อชั้นนอก บัดนี้กลับแทงลึกตัดไปถึงขั้วหัวใจ ร่างอันบอบบางแห่งพระธิดากรุงมิถิลาอ่อนระทวยลงในบัดดล โลหิตที่ซึมออกทรวงอก คือคำตอบ

ทำไม....ทำไม!!!!

บุรุษกายาเขียวอร่ามตะโกนกู่ก้องร้องด้วยความเศร้าโศกโทมนัส* สุดจะกลั้น รอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนหวาน...ต่อจากนี้เขาจะไม่ได้ยินจากนางอีกต่อไปแล้ว จมูกและดวงตาที่แดงก่ำ พระรามกำมือแน่นจนขึ้นห้อเลือด

*โทมนัส= เสียใจ


“เป็นเพราะมึงผู้เดียวทศกัณฐ์”

พญารากษสดีดดิ้นทุรนทุรายแสนเจ็บปวด มือหนาไขว่คว้าอากาศอย่างร้าวราน ทันทีที่พระรามบีบกล่องดวงใจที่ฝากไว้กับแมลงภู่จนใกล้ปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อินทรชิตคำรามลั่นพุ่งเข้าหาหนุมานด้วยความเร็วมหาศาลโกรธ บีบคอวานรเผือกและอัดแรงถีบจนมันลอยหวือไปชนร่างของพระรามจนกล่องแก้วกระเด็นหลุดออกจากมือ พิเภกรีบวิ่งเข้าไปคว้าไว้ก่อนอีกฝ่ายจะหยิบทัน

ดวงตาแสนเย็นชา ราบเรียบ...ไร้ความรู้สึก

ความเป็นมิตรจางหายอย่างไม่มีวันหวนคืน

“เรื่องของเจ้าแลเผ่าพงศ์ยักษ์จบลงแล้ว...พระราม”[/i]


“เพื่อทศกัณฐ์คุณยอมแลกด้วยชีวิต ยอมผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับพระรามเลยเหรอครับ แล้วคำสาบานนั่นมันมีส่งผลกระทบต่อคุณหรือเปล่า”

“หากมิมีผล จิตวิญญาณของข้าจักแบ่งออกเป็นสองส่วนเพื่อชดใช้เวรกรรมในที่นี่ฤา” คนตอบถอนหายใจยาว

“แต่ทำไมถึงแบ่งเป็นสองส่วนล่ะครับ มันต้องมีเหตุผลแน่ล่ะ”

“ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้าเอง การฆ่าตัวเองถือเป็นบาปมหันต์เลยต้องวนเวียนชดใช้กรรม รอผู้มาปลดปล่อย อีกส่วนคือออเจ้า แบ่งไปเกิดในภพภูมิอื่นตามแรงอธิษฐานของพระรามแลทศกัณฐ์”

“!”

“ในศึกสุดท้ายทั้งสองพระองค์ต่างเลือกทำสัญญาสงบศึก ยอมอยู่เป็นอมตะเพื่อรอคอยจิตวิญญาณของข้าให้กลับไปเกิดใหม่ทุกชาติภพ ด้วยแรงอธิษฐานมีมากมหาศาล มันจึงแบ่งตัวตนของข้าออกเป็นสองส่วน การที่ออเจ้าคุ้นเคย รับรู้สิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับข้าอย่างรวดเร็ว นั่นหมายถึงออเจ้าคือส่วนหนึ่งที่ขาดหายไป”

“คุณ...เคยพบจิตวิญญาณของคุณที่ไม่ใช่ผมมาก่อนหรือเปล่าครับ”

“หาไม่ ออเจ้าคือคนแรก”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

ถึงกับตกใจไม่น้อยกับคำพูดของเธอ แบ่งออกเป็นสองส่วนเพราะแรงอธิษฐานจากชายหนุ่มผู้มั่นในรักถึงสองคน!! มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
 
“ผมพอเข้าใจนะครับว่าผมคือตัวตนหนึ่งของคุณ แต่ที่ไม่เข้าใจ...ผมเคยเจอทศกัณฐ์กับพระรามด้วยเหรอครับ ผมคือส่วนหนึ่งของคุณ ถ้าผมเจอพวกเขาผมต้องรู้สิ”

“ลองคิดดูเถิดออเจ้า ผู้ใดที่เจ้าคุ้นเคยราวพบกันมานมนาน ผู้ที่มีจิตเสน่หาแรงกล้าต่อเจ้าทั้งๆที่เพิ่งเคยพบพาน ผู้ที่พร้อมทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ขอให้ได้เจ้ามาเป็นพอ นั่นแหละหนาคือทศกัณฐ์แลพระราม”

“ผมจะมั่นใจได้ยังไครับ”

“เจ้าจักรู้เองเมื่อเจ้ากลับไปยังภพภูมิเดิม”

ทยุมณี ...แห่งทิวาวารเคลื่อนตัวขึ้นเหนือทิวเขา แสงแห่งปฐมวาร เรื่อเรืองรองดุจเปลวไฟสีแดงปนส้ม สลายละไอหมอที่ครอบคลุมอาณาบริเวณลงช้าๆ ความอบอุ่นกลับมาเยือนปฐพีอีกครา...

“แล้วผมจะต้องทำยังไงเพื่อให้จิตวิญาณสองส่วนกลับมารวมกัน”

มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่ทำได้




 “คิดจักทำกระไรราเมนทร์”

ชายหนุ่มร่างสูงเค้นยิ้มเหยียด เล็งศรพรหมาสตร์มาทางอสุเรนทร์ แน่วแน่แล้วว่าจะต้องยิงให้เข้าหาหัวมันให้จงได้ ต่อให้ศุภลักษณ์คิดมาห้ามปราม เขาก็ไม่ฟังอีกต่อไปแล้ว

“เจ้าอยากฆ่า อยากกระทำสิ่งใดก็เรื่องของเจ้า แต่ข้าจักมิยอมให้มันเกิดขึ้นที่นี่เป็นอันขาด” เขาชี้ไปที่ร่างบางที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงขาวสะอาด “หากเจ้ายังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ จงแหกตาดูสักหน่อยจักเกิดกระไรขึ้นกับทุกคนในห้องนี้ มิเพียงแค่ตัวข้า ลูกข้า น้องแลทาสรับใช้เจ้า แต่ยังมีเปรมอีกผู้หนึ่งที่จักต้องรับผลที่เจ้าก่อตามไปด้วย มีสมองก็เอาออกมาใช้หน่อยเถิดพ่อคุณ”

“!”

“นี่นี่ฤาสิ่งที่เจ้าเอื้อนเอ่ย บอกน้องว่ารักนักรักหนา สำหรับตัวข้า แค่ชายมองเพียงเศษเสี้ยววินาที ข้าก็รู้เจ้ามิได้รู้สึกเช่นนั้นเลย เจ้ารักตัวเจ้าเองพระราม เจ้าหวังจักเอาชนะข้า โดยลืมเลือนข้อตั้งมั่นของตนว่าจักรักผู้เป็นที่รักด้วยหัวใจอันแท้จริง...ข้าแลเจ้าต่างมีศักดิ์เป็นศัตรู ย่อมมีวันปะทะกันอยู่เป็นนิจ แต่เจ้าลองไตร่ตรองสักนิด สถานการณ์ตอนนี้เหมาะสมแล้วฤาที่ข้าแลเจ้าต้องมาปะทะกัน ต่อหน้าน้องน้อยที่มิรู้ว่าจักตื่นขึ้นมาเมื่อใด มันใช่ฤาไม่พระราม”

“...”

“หนึ่งพันปีที่ผ่านมาเจ้าเป็นอย่างไร ก็คงเป็นอย่างนั้นเสมอ”

“ทศกัณฐ์!”

ศุภลักษณ์โพล่งตาตกใจไปกับวาจาอันมีสำนวนของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพญารากษสทศกัณฐ์ มีความเหี้ยมโหด รุนแรง ป่าเถื่อน แข็งกระด้าง เอาแต่ใจและไม่เคยมีเหตุผลกับใครอื่น แต่ทว่าบัดนี้เขากลับเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ มันเป็นเพราะสิ่งใดกันที่ทำให้ชายร่างสูงตรงหน้ามีความอ่อนโยน ละมุนละม่อม และมีเหตุผลรองรับมากกว่าการใช้กำลังตัดสินเหมือนในกาลก่อน คิดสงสัย เพราะความรักอย่างนั้นหรือ ถึงเปลี่ยนพ่อยักษ์ร้ายกลายเป็นคนละคนผิดหูผิดตา...อย่าว่าแต่อสุเรนทร์เลยที่เปลี่ยน พี่ชายของเขาก็เช่นกันที่มีนิสัยผิดแผกไปจากเดิม

ซึ่ง....

เขาไม่ชอบเลยสักนิด

ร่างผอมบางสบตากับรณพักตร์ แม้จะไม่ได้คุยกันแต่เขารู้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนเมื่อก่อน ดูได้จากการยืนสงบอารมณ์นิ่งๆใช้ตัวเองเป็นเกาะกำบังปกป้องร่างงามให้พ้นจากสถานการณ์อันตรายเบื้องหน้า นิสัยเก่าแก่ของรณพักตร์หรืออินทรชิตไม่ใช่แบบนี้ เขาโหด เขาเข่นฆ่าทุกคนที่เข้ามากวนใจ หากเจ้าตัวยังคงนิสัยเดิมอยู่ ศุภลักษณ์ไม่แน่ว่าจะได้ยืนดูตัวเอกสองตัวทะเลาะกันหรือเปล่า

“Damn! I fu**ing hate your bro (ให้ตายสิ! ฉันโคตรจะเกลียดพี่นายเลยว่ะ) ลากกลับบ้านไปเลยได้ปะ เบื่อขี้หน้ามาก”

“ถ้าฉันทำได้ฉันทำไปแล้ว”

“แต่พี่นายกำลังเอาศรจ่อหัวพระบิดาฉันอยู่ นายเป็นน้องก็ออกไปห้ามสิหรือจะรอให้ฉันเข้าร่วมวงจัญไรนี่ด้วย”

“นายก็รู้อินทรชิต ถ้าพี่ฉันเขาต้องการทำอะไร เขาไม่มีทางเลิกราเด็ดขาด”

“อ่อ ความชั่วมันครอบงำจิตใจหมดแล้วสินะ”

“นายกล่าวเกินไปแล้วนะ!”

“ฉันพูดความจริง ฉันผิดตรงไหน พวกนายนั่นแหละผิด โดยเฉพาะนายผิดมากสุดเพราะมัวแต่เอาอกเอาใจ ตามใจพี่นายจนเสียคน จากพระรามจิตใจดีพระเอกโทรทัศน์ช่องหลากสี...แต่อันที่จริงก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก กลับกลายเป็นไอ้ชั่วโรคจิตคนหนึ่งที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะ ใช้เล่ห์เพทุบายเอ็กซะเลินทฺ(ยอดเยี่ยม)เสียยิ่งกว่าชูชก โคตรยอมใจเลยว่ะ”

“อย่าว่าพี่รามของฉัน” ศุภลักษณ์เชิดหน้าสูงราวผู้สูงศักดิ์ ดวงตาแวบวาบดุดัน หากทว่าในสายตารณพักตร์มันก็แค่เด็กที่ขู่อยากเอาของเล่นเท่านั้นแหละ

“แตะต้องไม่ได้เลยสินะพี่ชายเนี่ย” ยักษ์ร่างเล็กกอดอกเหยียดยิ้มเยาะหยัน “พระลักษณ์เอ๋ย...ทำไมช่วงนี้อ่อนปวกเปียกจังครับ ต้องการคนช่วยดูแลหรือเปล่า”

“อินทรชิต”

“เรียกชื่อเก่าพี่ทำไมหรือน้องสาว”

“ไอ้...!”

“ดูๆไปหน้าตานายก็...น่ารักดีนะ ขอเบอร์ได้ปะ เดี๋ยวไลน์ไปคุยด้วย”

หมอนี่!!

“มันใช่เวลามาเล่นไหม”

“ใครว่าเล่น ฉันเอาจริง” รณพักตร์ย่างสามขุมเข้าหาอีกคนด้วยความรวดเร็วจนคนร่างผอมตั้งตัวไม่ทัน สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจพลางเบิกตาจ้องหน้าของอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง ก้านนิ้วเรียวลูบซีกแก้มใสแผ่วเบา ยื่นหน้าให้ปลายจมูกสัมผัสกัน

“อิน...”

“นายเป็นคนดีนะลักษณ์ ดีกว่าคนเลวๆอย่างฉัน”

“...”

“แต่นายควรจะรู้นะ ว่าสถานการณ์แบบนี้ควรทำยังไง”

ศุภลักษณ์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาดำขลับทว่าประกายล่อแสง ถึงชายหนุ่มตรงข้ามไม่บอก เขาก็ต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว มันบ้าเอามากๆที่คนสองคนต้องมาทะเลาะกันต่อหน้าคนป่วย เขารักพี่ชาย ยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่ชาย แต่ครั้งนี้...คงปล่อยเลยตามเลยอีกไม่ได้

“พี่ราม ได้โปรดกลับกันเถิด”

“อย่ามาห้ามพี่ ลักษณ์ก็รู้ดีพี่ทำเพราะ...”

“เมื่อไหร่พี่จะฟังผมบ้าง!”

ราเมนทร์ตวัดสายตาน้องชายขวางๆ ศุภลักษณ์ถอนหายใจแล้วสูดเข้าไปใหญ่เต็มปอด ขอบตาเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำใส

“พี่ไม่เห็นเหรอ เปรมเขานอนอยู่ เขากำลังป่วย การที่พี่กับอสุเรนทร์ทะเลาะกันต่อหน้าเขาแบบนี้ เขาควรดีใจหรือเปล่า และ...และถ้าเกิดเขาโดนลูกหลงจากการกระทำบ้าบอนี่ พวกพี่จะรับผิดชอบชีวิตเขายังไง”

“...”

“อสุเรนทร์...นายรักเปรมหรือเปล่า”

“ใช่ ฉันรักเขา รักยิ่งกว่าชีวิตของฉัน”

ร่างบางยิ้มและหันไปหาอีกคน “แล้วพี่ล่ะ พี่รักเปรมหรือเปล่า”

ราเมนทร์เงียบนิ่ง เนิ่นนาน...

“ทำไมไม่ตอบผมล่ะ รักหรือไม่รัก”

“ขอร้องอย่าเพิ่งมาคาดคั้นพี่”

“พี่รู้ตัวไหมว่าราศีของพี่มันหม่นหมองลงจากเดิมมากแค่ไหน ผมไม่อยากได้พี่ชายที่กระหายแต่ชัยชนะ ผมอยากได้พี่ชายคนเดิมกลับมา”

“ลักษณ์!”

“พวกเราไม่เหมือนก่อนแล้วพี่ราม”

“...”

“พี่ราม ผมเชื่อฟังพี่มาตลอด แต่ครั้งนี้ขอเถอะ พอเหอะ”

ราเมนทร์ขบกรามแน่นเพื่อระงับโทสะ มองหน้าน้องชายและศัตรูอาฆาตอย่างอสุเรนทร์สลับกันไปมา ศุภลักษณ์ไม่เคยห้ามเขา แต่วันนี้กลับขอร้องในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ ทั้งๆที่มีโอกาสกำจัดแต่กลับให้ปล่อยมันไปอย่างนั้นเหรอ...เขาเกลียดมัน เกลียดไอ้ทศกัณฐ์เข้าไส้ ทำไมมันถึงไม่รีบตายๆไปจากชีวิตสักที

“พี่ราม...”

ชายหนุ่มไม่ตอบ และศรวิเศษยังคงน้าวอยู่บนคันธนูสีทองอร่าม

“พี่ราม”

กำจัด...ต้องกำจัด!

“พี่รามอย่า!”

ศุภลักษณ์เอ่ยปากห้ามดังสนั่น วิ่งถลาหาคนเป็นพี่ชายทันที ไม่ต่างจากรณพักตร์ ผลักพญาวานรเผือกที่พยายามคว้าตัวเขาล็อกคอทุ่มลงกับพื้นกระแทกเต็มแรง ก่อนกระโจนเข้าไปขวางทางพร้อมร่ายมนต์ป้องกันศรที่กำลังถูกยิงออกมา

ทำอะไรกันน่ะ

“ปู่ไม้!!”




ตายละหว่าาาา ปู่ไม้มา!!! :hao7: เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อนั้น โปรดติดตามกันได้ในตอนต่อไป อิอิ
ถูกใจหรืออยากเม้นบอกอะไร เม้นไว้เลยน้าาา เราอยากอ่านความคิดเห็นของทุกคน หากมีคำผิดก็ขออภัยนะจ๊ะ
วันนี้ไปล่ะ ว้เจอกันใหม่จ้า บ้ายบายยยยย :mew1:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0


อั๊ยย่ะ.......

งานงอกล่ะ

ปู่จัดการเลย

เอาให้จบไปเลยนะ

รอขอรับ


ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อิรามนี่ผชชั่วมากอะ

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ลุ้นๆๆๆๆๆจะเป็นยังไงต่อ พระรามนับวันยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกวัน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ drqam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านจบถึงกับตะโกน 'ปู่ไม้!!!!' :z3:
โอ้ยยยยยย ลุ้นเกินไปแล้ว
แล้ววิธีไหนที่สีดาบอกว่ามีวิธีเดียว โอยยย
------
ชอบความเกี้ยวของอินที่เกี้ยวลักษมณ์ :-[
รอนะคะ

ออฟไลน์ ketekitty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0

ออฟไลน์ jjasu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หนูเปรมตื่นสักทีเถอะ พี่ใจจะขาด

พี่รามนี่เห็นแก่ตัวได้โล่ รักเปรมหรือเปล่าก็ไม่รู้

รักพี่ทศ :impress2:

ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
เกลียดพระราม ทำตัวต่ำทรามมาก มึงเป็นเด็กรึไงห๊ะ

ปู่ตบไอ้รามราเขียวนั้นเลย :beat:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เล็กต้มยำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0


เราตามอ่านอยู่ในเด็กดี แวะมาให้กำลังใจค่ะ สู้ๆ
 o13 o13

ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
พึ่งมาอ่านนน สนุกมากกกก

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
นี่ถ้าปู่ไม่มา โรงพยาบาลคงพินาศ
ราเมนทร์ไม่ได้รักเปรม แค่อยากจะชนะอสุเรนทร์แค่นั้นแหละเราว่านะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2017 17:40:53 โดย Poseidon »

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
บทที่ ๑๖




“ทำอะไรกันน่ะ”

“ปู่ไม้!!”
 
อสุเรนทร์เบิกตากว้างครั้นเห็นบุรุษอาวุโส ผู้มีศักดิ์เป็นปู่ของคนรักผลักบานประตูห้องพักผู้ป่วยออกกว้าง คล้ายลมหายใจถูกช่วงชิงไปในพริบตาโดยนายนิรยบาลจากนรกภูมิผู้โหดเหี้ยม สายตาคมกริบประกายแข็งกล้าหากทว่าในตอนนี้กลับราบเรียบ เฉกเช่นเดียวกับสรรพางค์กายที่นิ่งขึงประดุจหุ่นขี้ผึ้ง รณพักตร์กลืนน้ำลายดัง เอื๊อก ขณะร่นถอยออกมายืนหลบอยู่หลังคนเป็นพ่อและร่ายมนต์กลับคืนสู่ร่างเดิม ไม่รู้ทำไมถึงต้องกลัวคนคนนี้ เพียงเพราะเห็นร่างที่แท้จริง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใส่ใจทำไมกับสายตาเข้มที่กวาดไปทั่วอาณาบริเวณ ใช่ว่าบุคคลมากด้วยวัยผู้นี้เป็นคนแรกที่รู้ความลับขั้นแอดวานซ์เสียหน่อย ยังมีคนอีกหลายคนในอดีตที่รู้และหลบหนีหายไป ไม่ก็ตายไม่ตามกาลเวลา แต่พอมาเป็นตาแก่คนนี้ ใยเขาจึงสั่นกลัวราวสบพระพักตร์กับท่านปู่ลัสเตียน

มีองค์ประทับ ก็ไม่น่าจะใช่....

คงต้องบอกก่อนว่ามันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ  ส่วนจะจัดการยังไงเขาขอมอบหน้าที่ให้พระบิดาและท่านอาล่ะกัน

คนร่างสูงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและแรง เขาเข้าใจ ความลับไม่มีในโลก แต่ ณ เวลานี้เขายังไม่อยากให้สิ่งที่ปกปิดผู้คนมาตลอดหลายร้อยปีให้ใครได้ล่วงรู้ โดยเฉพาะคนจากบ้านโรจนวาทิตย์...ไม่ต้องเป็นครอบครัวนี้ครอบครัวเดียวก็ได้ เพราะโดยพื้นฐานมนุษย์ที่เกิดมาล้วนมีความกลัวเป็นที่ตั้ง กลัวผี กลัวความมืด กลัวต่างๆนาๆ อาจมีบางกลุ่มที่รับได้ แต่มันค่อนข้างน้อยเหลือเกิน

แค่อีกฝ่ายมีคนรักใหม่หรือป่วยตายอสุเรนทร์ก็แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายปีจากวันแรกจนถึงกาลบัดนี้ ตัวอสุเรนทร์เองก็มีความกลัวไม่ต่างจากคนอื่นเสียเท่าไหร่ แต่ในความกลัวที่ว่าคือกลัวการไม่ถูกยอมรับในตัวตนแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้กายหยาบของมนุษย์ มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักนิดกับการที่ต้องถูกปฏิเสธตัวตนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเนื้อแท้คือยักษ์...

‘อย่ามายุ่งกับลูกสาวข้า ออกไปไอ้ผีร้าย อย่ามาเหยียบบ้านกู'

'ไปห่างจากลูกสาวกูเสีย เป็นยักษ์ชั้นต่ำริมารักครุฑ น่าสมเพชเสียนี่กะไร'

'ยักษ์มันก็ชั่วเหมือนกันหมด มิมีตัวไหนดีดอก'

'ออกไปนะ ได้โปรด อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันกลัวแล้ว'


ถึงตรงนี้อสุเรนทร์จำต้องทอนถอนลมหายใจอีกครั้ง เพราะวันนี้ตนตัดสินแล้วแม่นมั่น จะอยู่รอดหรือตายทั้งเป็นก็ต้องทำให้ปู่ไม้ยอมรับในตัวตนเขาให้ได้ อีกคนเป็นถึงปรามาครูนาฏกรรม แถมยังพูดคุยกันบ่อยครั้ง น่าจะเข้าใจและรับรู้ถึงหัวอกเขาไม่มากก็น้อย


ถ้าพลาดครั้งนี้อีก ดวงหทัยพญารากษสคงแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี


“เอาไงดีพระบิดา ความลับต้องแตกแน่ๆ” รณพักตร์ป้องปากกระซิบ

“อย่าพูดเป็นลางสิไอ้ลูกหมา ถ้ามิมีสิ่งดีๆแนะนำก็ช่วยปิดหูรูดบนปากเจ้าด้วย” อสุเรนทร์เอ็ดลูกชายตัวแสบ และหันไปสบตากับชายชราที่หันมาทางเขาพอดี จากการคาดคะเน อาจจะไม่แม่นยำเต็มหนึ่งร้อย แต่...แววตาที่เคยขี้เล่น ประกายยามกลั่นแกล้งคนอื่นกลับเรียบนิ่ง ไร้การแสดงออกทางความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง คล้ายกำลังโกรธ ไม่เข้าใจนิดๆ ประมาณ ถ้าพวกเอ็งไม่เล่าความจริงให้ฟัง ข้าจะกระทืบเอ็งจนตาย

ไม่...มันต้องไม่ได้เป็นอย่างที่คิดสิ

“พระบิดาไม่เห็นสายตาผู้เฒ่าคนนั้นมองมาทางเราหรือไง โคตรเหมือนตำรวจเอฟบีไอกำลังสืบสวนบุคคลต้องสงสัยในคดีปริศนาข้ามโลกอ่ะ” รากษสร่างเล็กพูดอย่างหน้าตาตื่น...และพยายามทำเสียงให้เบาที่สุดเพราะกลัวชายชราจะได้ยิน...จะมีสักครั้งไหมที่ไม่แสดงโอเวอร์แอคติ้ง

“เจ้าอิน ตกลงพ่อมีลูกเป็นยักษ์หรือเป็นหมาพันธุ์บีเกิ้ล เห่าไม่หยุดเชียว”

“ก็อินพูดจริงนี่พระบิดา ไม่เคลือบแคลงหน่อยเหรอว่าทำไมตาแก่คนนี้ถึงได้ทำหน้าตาดุนัก”

“เพราะเขารอให้เราอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นยังไงล่ะ”

ชินกฤตก้าวเท้ามายืนประกบข้างพี่ชายและหลานชาย “เขากำลังสงสัยเราอยู่ครับ” พยักหน้าอีกครั้งเพื่อตอกย้ำในคำพูดที่ได้ลั่นออกไปเมื่อครู่ ไม่ต้องใช้ญาณทิพย์ ไม่ต้องใช้จิตสัมผัส ชายหนุ่มก็สามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของชายชราได้เป็นอย่างดีว่ากำลังคิดหรือสะท้อนให้เห็นสิ่งใดอยู่

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ผมไม่แน่ใจนัก”

“ไม่แน่ใจน่ะเมื่อไหร่”

“อาจจะเริ่มตั้งแต่พี่ไปเหยียบบ้านหลังนั้นเลยก็ได้”

“ไม่มีทางอ่ะ” จะรู้ได้ยังในเมื่อเขาร่ายมนต์ปกปิดไว้อย่างดี ต่อให้คนคนนั้นมีบุญฤทธิ์ หรือมีผีพรายกระซิบ ก็ไม่มีทางรู้ได้แน่จนกว่าเขาจะเป็นคนทำให้เห็นเอง

“เอาเป็นว่าท่านพี่ถามปู่เองดีกว่านะ...เพราะเขาเองก็มีเรื่องอยากถามพวกเราเช่นกัน”

อสุเรนทร์นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ท้ายสุดคล้ายตัดสินใจได้ เจ้าตัวเงยหน้าหน้าสบประสานสายตากับชายชราอีกครั้ง...เอาวะ ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้ พญารากษสอย่างเขาก็ไม่ได้อยากปิดบังอยู่แล้ว ถ้าอยากรู้ก็จะบอก ขอแค่อย่าเป็นมนุษย์จำพวกด่ากราด ขับไสไล่ส่ง หรือไม่ก็ตาลีตาเหลือกตกใจ ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเหมือนในชาติก่อนๆก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องกรอกตามองบนสามตลบด้วยความปวดหนึบในใจ

“สวัสดี มีอะไรอยากสารภาพไหมพ่อทศ พ่ออิน พ่อกฤต และก็....” หันมองไปฝั่งของราเมนทร์ “เจ้าพวกคนแปลกหน้า”

ศุภลักษณ์ท่าจะอึ้งกับคำทักทายไม่น้อย “สวัสดีครับผมลักษณ์ นี่พี่ชายผมราม และนี่คือลม เราเป็นเพื่อนของเปรม พอดีได้ข่าวเปรมเข้าโรงพยาบาลก็เลยแวะมาเยี่ยมเสียหน่อยน่ะครับ”

“ใคร...”

“ครับ?”

“ใครอยากไปรู้ชื่อเสียงเรียงนามของพวกเอ็งวะ เอาไว้ก่อนๆ” ปู่ไม้ยกมือห้าม ไม่ได้สนใจสีหน้าอึ้งๆของอีกฝ่ายสักนิด ก่อนจะหันมาถามอสุเรนทร์แทน “ตกลงมันยังไงพ่อทศ”

“พวกผมจะบอกถ้าคุณปู่ต้องการ แต่ตอนนี้ขอให้รอไปก่อน” ชินกฤตเน้นประโยคช้าและชัดจริงจังกว่าเคย ทำให้อีกฝ่ายเคร่งขรึมขึ้นมาทันที คิ้วของบุรุษมากวัยขมวดมุ่นออกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอยากรู้โจ่งแจ้งขนาดต้องรู้ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ คำตอบน่ะเขารอได้เสมอ ขอแค่อธิบายถึงสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่อย่างซื่อสัตย์ก็พอ

“นี่ไอ้หนุ่มหูกาง พ่อแม่ไม่ได้สอนหรือไงว่าห้ามเอาอาวุธมาเล่นในห้องพักคนป่วยน่ะ”

“คุณเห็นมันด้วยหรือครับ” ราเมนทร์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนักเมื่อชายชราพยักพเยิดทักถึงสิ่งที่อยู่ในมือของเขา คันศรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทรงอานุภาพ มนุษย์ทั่วไปไม่อาจเห็นมันได้...นอกเสียจากว่าคนคนนั้นต้องเป็นผู้อยู่ในศีลในธรรม หรือมีสัมผัสที่หกรับรู้ได้ถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน...แต่ไม่แน่ชัดว่าชายแก่เบื้องหน้าคนนี้เป็นใคร และมีความเกี่ยวข้องกับร่างบางบนเตียงคนไข้หรือไอ้ยักษ์ตนนี้หรือเปล่า

“ถ้าข้าไม่เห็นข้าจะถามหรือไงวะ” ปู่ไม้กวาดมองคนหนุ่มกว่าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายรองเท้า “ไม่ว่าจะของจริงหรือของเด็กเล่น ข้าก็ไม่อยากให้เอาเข้ามาทั้งนั้น ถ้าขืนครั้งต่อไปเอ็งมาเยี่ยมหลานข้าแล้วยังพกมาอีก ข้าจะเอามันมาฟาดหัวเอ็ง”

“ไม่เห็นกับต้องใช้กำลังกันเลยนี่ครับ ผมก็แค่มาเยี่ยมน้องเปรมเขาเฉยๆ”

“พี่ราม” ศุภลักษณ์ยกมือบีบไหล่กว้างเบาๆ

“น้องเปรม? หลานข้าเป็นญาติฝ่ายไหนของเอ็งรึถึงได้เรียกสนิทชิดเชื้อเสียขนาดนั้น หรือเอ็ง...เป็นผัวน้อยหลานข้าอีกคน”
ราเมนทร์นิ่งอึ้ง

ผัวน้อย?

“ตกลงเอ็งเป็นผัวอีกคนหรือเปล่า”

“แหม ท่านปู่คนหล่อไปจี้ถามคุณรามเขาอย่างนี้ ใครจะกล้าตอบล่ะครับ” รณพักตร์หัวเราะคิกคัก “แม้ว่าในใจจะอยากตอบว่าเป็นก็ตามที”

“เจ้าอิน” ชินกฤตคำรามขู่ มองสบกับฝ่ายตรงข้ามนิดๆและกล่าวต่อ “ไม่ใช่เวลามาเล่น”

“โธ่อา...พี่กฤตก็ ผมแค่หยอกเล่น”

“ตบปากไปร้อยที”

“โห่ ไรอ่ะ”

“ตบไปจนกว่าจะครบหนึ่งร้อยครั้ง”

“แล้วสรุปเป็นหรือไม่เป็นวะไอ้หนุ่ม” ปู่ไม่เริ่มฮึดฮัดขัดใจเมื่ออีกคนไม่ยอมตอบเสียที จนสุดท้ายอสุเรนทร์ต้องขอเป็นฝ่ายตอบคำถามแทน

“ถึงเขาอยากเป็นก็ไม่มีทางหรอกครับ ผมเป็นแฟนหลานปู่นะ ปู่คิดว่าผมจะยอมหรือไง ถ้ามีคนมาคิดแย่งย่าไปจากปู่ ปู่จะยอมหรือเปล่าล่ะ”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่...แต่ตอนนี้ยกให้ฟรีพร้อมข้าวสารสิบกระสอบ” ตอบไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ยอมยกอีแก่หนังเหี่ยวขี้บ่นให้ใครง่ายๆหรอก

อสุเรนทร์หัวเราะในลำคอเล็กน้อย หันหลังกลับไปมองคนรักที่นอนไม่รู้เรื่องราวอยู่บนเตียงพักผู้ป่วยพิเศษ มือหยาบและหนาค่อยๆบรรจงลูบศีรษะทุยก่อนก้มลงจูบหน้าผากหอมแผ่วเบา

“แต่สำหรับผมนะไม่ว่าจะเปรมตอนนี้หรือเปรมในอีกห้าสิบปีข้างหน้า ผมไม่ทางยอมให้หมาตัวไหนมาชิงเขาไปจากผมแน่นอน และถ้ามันคิดเล่นสกปรกผมก็ไม่เอามันไว้เหมือนกัน ...ผมคิดถูกหรือเปล่าครับคุณราเมนทร์”

ราเมนทร์ถึงกับกระตุกยิ้มมุมปากกับคำท้าทายของคู่แข่งตัวฉกาจ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้ายที่คอยแย่งชิงนางเอกไปจากพระเอกอย่างไรอย่างนั้น บางทีก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้ ทุกคนมองเขาไปทางแง่ร้ายเสียเกือบหมด ไม่มีใครเข้าใจหัวอกของเขาที่กำลังเจ็บปวดและโหยหาความรักไม่ต่างจากทศกัณฐ์เลย มันดียังไง เขาก็ดีอย่างนั้น มันทำให้เปรมรักได้ เขาเองก็ทำได้เช่นกัน

แต่เปรม...กลับไม่เคยมองเห็นถึงความรู้สึกของเขาเลย

ตัวชายหนุ่มเองไม่ใช่คนชั่ว ไม่ใช่คนร้ายกาจ แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศไปหมดเสียทุกอย่าง ในเมื่อมนุษย์มีด้านดีก็ย่อมมีด้านชั่วควบคู่กัน จึงไม่แปลกใจถ้าเขาจะเผลอกระทำในสิ่งที่ผิดพลาดต่อคนรักไปบ้าง ราเมนทร์คิดเสมอ ในเมื่อรักใครก็อยากได้คนนั้นมาครอบครองเป็นคู่ชีวิตอยู่แล้ว เขาผิดตรงไหนที่ปรารถนาคนรักมายืนเคียงข้างบ้าง ใช่...ตอนแรกเขาทำเพื่อชัยชนะ อยากเห็นไอ้ยักษ์ทศกัณฐ์มันตายอย่างทุกข์ทรมาน เหมือนกับที่เขาเคยทุกข์มาแล้วเพราะสีดา แต่เมื่อลองได้พูดคุยกับเปรมแล้ว เขากลับรักในตัวตนสีดาในชาตินี้มากกว่าชาติอื่นๆ เปรมทำให้ความคิดและความรู้สึกของเขาเปลี่ยนอย่างชัดเจน ไม่ได้ทำไปเพราะกระหายชัยชนะอีกต่อไปแล้ว แต่ทำเพื่อครอบครองหัวใจของอีกคน

เพราะเหตุนี้ยังไงล่ะเขาถึงต้องทำทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องชั่ว เพื่อให้ได้อยู่กับคนที่รักให้นานที่สุด

มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าเขาได้เจอเปรมก่อนมัน

“เพราะปากเอ็งมันหวาดหยดย้อยเหมือนน้ำผึ้งสินะ หลานข้าถึงไม่เคยพูดเรื่องคนอื่นให้ฟังเลย จะมีก็แต่เรื่องของผัวมันนี่แหละ พูดกรอกหูเช้าเย็น”

“จริงดิปู่ เขินจุงเบย” ชายชราเลิกคิ้วเหลือบมองหลานเขยตัวใหญ่ดั่งยักษ์ปักหลักที่ยิ้มเขินอายประดุจเจ้าหญิงที่ถูกเจ้าชายสารภาพรัก...อะไรกัน เดี๋ยวนี้ชายหนุ่มศตวรรษที่21มันต้องตอแหล โอเวอร์แอคติ้งมากถึงขนาดนี้เชียวเหรอ

“นี่ ไอ้หนุ่มหูกาง”

“ผมชื่อรามครับ”

“เออ นั่นแหละ จะชื่ออะไรก็ช่าง” ปู่ไม้บอกปัด “ข้าจะขอแนะนำเอ็งอยู่อย่างความรักน่ะ มันไม่จำเป็นต้องครอบครองก็ได้ ขอให้เขามีความสุขเราก็มีความสุขแล้ว การที่จะแย่งของคนที่มีเจ้าของแล้วมันคงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก เพราะสุดท้ายคนที่เจ็บปวดสุดก็คือเอ็ง”

“คุณจะไปเข้าใจดีกว่าตัวผมเองได้ยังไง”

“ลดศักดิ์ศรีลงบ้างก็ดี ถ้าเขาเป็นของเอ็งยังไงก็หนีกันไม่พ้น แต่ถ้าเขาไม่ใช่ดื้อดึงรั้งตัวเขาไว้ก็เท่านั้น

“...”

ราเมนทร์ได้แต่เชิดหน้าข่มอารมณ์ขมุกขมัวที่ซุกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าอันหล่อเหลาและเป็นมิตร พยายามกล้ำกลืนก้อนแข็งที่วิ่งจุกขึ้นคอลงด้วยความยากเย็น เข้าใจ...เข้าใจดีเลยล่ะ แต่จะให้เขายอมแพ้อะไรง่ายๆเขาทำไม่ได้หรอก ศักดิ์ศรีแห่งกษัตริย์อโยธยาที่แบกเอาไว้มาเนิ่นนาน จะให้ทิ้งลงกลางคันก็คงน่าอับสูเหลือแสน ราเมนทร์ยังคงเชื่อ...สักวันเปรมก็ต้องหันมาเลือกเขาแทนมัน

ขอแค่โอกาสอีกครั้งเดียวก็พอ

“เข้าใจที่ข้าพูดนะ”

ปรับสีหน้าและกล่าวเสียงอ่อน

“ครับ”

“แล้วนี่มานานหรือยังล่ะ”

“มานานแล้วครับคุณปู่” ศุภลักษณ์ยิ้มแย้มตอบชายมากวัยพร้อมทั้งดึงแขนพี่ชายและกบินทร์มาประชิดตัว “และพวกเราก็กำลังจะกลับพอดี ใช่ไหมพี่ราม”

“อืม”

“พ่ออิน” รณพักตร์สะดุ้งน้อยๆเมื่อปู่ไม้เรียกชื่อตน

“ส่งแขก!”

จากสีหน้างวยงงกลายเป็นฉีกยิ้มกว้าง โค้งตัวรับคำเมื่อปู่ไม้สั่งการเสียงเข้ม เดินไปหน้าประตูห้อง ยักคิ้วกวนประสาทพลางผายมือเชิญให้คนแปลกหน้า(?) เดินออกจากห้องอย่างสมเกียรติ นี่ถ้ามีพรมแดงจะรีบปูทางถีบส่งกลับไปเร็วๆเลยนะ

“เฮลโหล ไฮ แอนด์กู๊ดบายโฟเอฟเวอร์ ไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมาอีกเลยนะจ๊ะพ่อยอดใบชาเขียว”

“มันไม่ใช่เรื่องของนาย” น้ำคำของราเมนทร์ ‘ขุ่นข้อง’ จากกึ่งกลางไปถึงมาก เรื่องความกวนฝ่าเท้าเบื้องล่างคงต้องยกให้เจ้ายักษ์เตี้ยนี่เลย นี่ถ้าไม่เห็นผู้ใหญ่ยืนมองอยู่ เขาไม่นิ่งเฉยอย่างนี้หรอก

“อ้อ เยส! But... I couldn’t give a damn what you say to me (แต่ฉันไม่แคร์หรอกว่าแกจะพูดอะไร)”

“...”

“Because I hate you (เพราะฉันเกลียดแกยังไงล่ะ) so go away from me? (ฉะนั้นช่วยรีบไปไกลๆเลยได้ไหม?)”

“ไม่ต้องมาทำเป็นกระแดะพูดภาษาอื่นใส่”

“ก็จบนอกมา จะให้มานั่งพูดภาษาสล็อตหรือไงวะ”

“ไอ้...!”

“พี่ราม พอเถอะ”

คนถูกขอร้องส่ายหน้าน้อย ดูมันทำสิ แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ คิดว่าน่ารักน่าเอ็นดูมากหรือไง เห็นแล้วหมั่นไส้ อยากคีบปากแดงๆของมันมาบดขยี้ให้หนำใจ

ขยี้ด้วยมือนะ ไม่ได้ขยี้ด้วยปาก

แค่คิดไปถึงคราวก่อนตอนที่เมาก็อยากจะบ้าตาย เขาไปเอาความกล้ามาจากไปถึงได้ดึงเจ้ายักษ์แคระไปจูบอย่างนั้น ...ขนลุกพิลึก

สาบานได้จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

“พี่รามเขาไล่เราแล้วนี่”

“ไม่ได้ไล่นะครับน้องลักษณ์ พี่แค่จะบอกว่าที่นี่ไม่ต้อนรับอดีตพ่อพระเอกแสนดีอย่างคุณราเมนทร์และขี้ข้ากบินทร์ผู้ไร้เทียมทาน...ส่วนน้องหนูน่ะ อย่าคิดว่าเล่นตัวไม่ยอมให้เบอร์แล้วอินจะไม่รู้น้า...ถ้าแอดไปแล้วกดรับด้วยนะครับคนดีพี่จะรอคุยกับเราทุกคืน” ยักษ์เจ้าเล่ห์ขยิบตาให้อย่างขี้เล่น เป็นการบอกนัยๆเขาเอาจริงนะ

มือเรียวขาวผ่องฟาดเข้าไหล่เล็กดังสนั่นเรียกเสียงโอดครวญของคนถูกกระทำได้เป็นอย่างดี ศุภลักษณ์เม้มปากแน่นสนิทรีบก้าวเท้าเร็วหลบสายตาจับผิดของบุคคลซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายเลือด จนรณพักตร์โบกมือลาแทบไม่ทัน

“อย่ามายุ่งกับลักษณ์”

“งั้นคุณก็อย่ามายุ่งกับเมียชาวบ้านเขาก่อนสิครับ ไม่เคยได้ยินหรือไงเป็นชู้ผัวเมียคนอื่นตกนรกภูมิปีนต้นงิ้วไม่ได้ผุดได้เกิด แต่ถ้าสนใจปีนล่ะก็...อยากจะทำอะไรก็ทำ”

ราเมนทร์ตวัดตาไปทางอสุเรนทร์อย่างขุ่นเคือง ในเมื่อสู้ไม่ได้ก็ต้องถอยหนีออกมาตั้งหลัก แต่มันจะเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆที่เขาต้องทนรับความอัปยศอดสูแบบนี้

“ในเมื่อฉันเจ็บ พ่อแกก็ต้องเจ็บเหมือนกันจำไว้”



ชายอาวุโสที่นั่งเงียบมานานเริ่มขยับกาย มือหยาบกร้านลูบเรือนผมดำเงาดั่งเส้นไหมชั้นดีของหลานชายอย่างนึกเป็นห่วงและสงสาร เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เหมือนคนหมดเรี่ยวแรง เขาคล้ายมีคำพูดอีกมากมายที่อยากจะกล่าวผ่านทางปาก หากเหมือนมีก้อนแข็งแล่นมาจุกที่ลำคอจนไม่สามารถพูดออกมาได้ ปู่ไม้หลับตาลงด้วยอาการถอนใจลึก คล้ายเหนื่อยอ่อน นานเท่านานหลายอึดใจจนกระทั่งแขกผู้มาเยือนที่เขาไม่รู้จักมักคุ้นลับหายไปได้สักพัก

“ข้าเป็นคนเก่าคนแก่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน ทั้งเรื่องปกติและไม่ปกติตั้งแต่เปรมเขากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว”

ปู่ไม้ยังจดจำวันนั้น...วันที่เป็นจุดเริ่มต้นของความแปลกประหลาดครั้งใหญ่ในชีวิต การกำเนิดของสิ่งมีชีวิตตัวน้อยของตระกูลโรจนวาทิตย์ กลิ่นหอมของหมู่มวลบุปผากำจายไปทั่วห้องพักผู้ป่วย มันเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์และผิดแผกไม่เหมือนเด็กคนไหนบนโลก เปรมเกิดมาพร้อมกับรอยปานกุหลาบสีแดงหลังใบหูขวา ตอนแรกเขาก็นึกมันเป็นเรื่องปกติของเด็กแรกเกิดที่จะมีกลิ่นหอมติดตัว แต่เรื่องราวมันไม่ได้หยุดแค่นั้น...ชายชรามักได้ยินเสียงบางอย่างคล้ายการประสานเสียงอวยพรแสนนุ่มนวล ยืดยานทว่าเพราะพริ้งราวกังสดาลแก้ว หวานใสราวสายน้ำจากเทือกเขาหิมาลัย

 คงไม่มีเด็กธรรมดาไหนเกิดมาแล้วเป็นเช่นนี้หรอก นอกเสียจากคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ไม่ก็...คนสำคัญของใครสักคนที่ลงมาเกิดตามลักษณะเทียบเคียงกับของดั้งเดิมเพื่อให้อีกฝ่ายคุ้นตาหรือจำได้

ชายชรามักเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของหลานตนเองบ่อยครั้ง เปรมมักจะเป็นเด็กช่างพูด ซุกซนตามประสาเด็กผู้ชาย มีความสดใสร่าเริงไปตามวัย แต่จะมีบางครั้งที่เจ้าตัวแสดงออกผิดแปลกไป เวลาเห็นหัวโขนยักษ์ทศกัณฐ์ หลานเขาจะร้องไห้แทบปานขาดใจราวกับว่ามีใครเอามีดกรีดกล่องฤทัยดวงน้อย บ้างก็นั่งซึมกระทือราวชีวิตนี้ไร้ซึ่งความสุข หรือแม้กระทั่งนอนละเมอเอ่ยชื่อของบุคคลที่มีตัวตนอยู่เพียงในหนังสือ

ชายชรายังจำได้แม่นมั่นถึงคำพูดของพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งในวันที่ทุกคนในครอบครัวดั้นด้นไปกราบไหว้พระประธานชื่อดังในตัวจังหวัดเชียงใหม่

‘หลานโยมเขาเกิดมาพร้อมบุญและกรรมที่ต้องชดใช้ ต่อให้มีบุญมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า อย่างไรหลานของโยมก็จำต้องใช้กรรมในส่วนนั้นเสียก่อน ชีวิตจึงจะสงบสุข อยู่กับคู่ชีวิตได้อย่างราบรื่น’

‘แล้วพวกกระผมต้องช่วยเขายังไงบ้างครับ’

‘ชีวิตของเขา เขาแก้เองได้ พวกโยมแค่อยู่เฉยๆและรอจนกว่าวิกฤตนั้นหมดไป’

‘ไม่มีทางอื่นเลยหรือครับหลวงตา’

‘ไม่มี มีแค่ทางนี้ทางเดียว แก้ได้คือหมดกรรม แก้ไม่ได้ต้องกลับไปเริ่มต้นชดใช้เวรกรรมใหม่’

‘โธ่ หลานปู่’

‘พวกโยมอย่าได้ห่วงไป...คนที่รอหลานโยมมานานเขาจะช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้เอง’

‘ใครหรือครับหลวงพ่อ’

‘หลานโยมรักชอบใครก็คนนั้นแหละ อาตมาบอกได้เพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนั้นก็รอดูเอาเอง’


ปู่ไม้เงยหน้าขึ้นมองว่าที่หลานเขยที่ตอนนี้กำลังส่งความรักความห่วงใยไปยังร่างขาวซีดผ่านดวงตาสีเข้ม ชั่วพริบตาหนึ่งยามเส้นแสงทิวากรเหลืองอร่ามสาดกระทบเข้ากับเรือนร่างสูงใหญ่ที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง เครื่องหน้าคมคายแบบฉบับชายไทยถูกอาบชโลมด้วยละอองอาทิตยา ปรากฏเขี้ยวยาวสีขาวเหลือบมุกโค้งขึ้นมาจากมุมริมฝีปากหยักตึง ผิวกายเขียวอร่ามประดุจเทพจากชั้นฟ้าชั้นสวรรค์ เครื่องทรงชุดใหญ่แขนยาวประดับดิ้นด้ายสีเงินเดินทอง พรั่งพร้อมด้วยถนิมพิมพาภรณ์โบราณตามลักษณะตัวยักษ์ในวรรณคดีชื่อดัง...เป็นถึงปรมาครูนาฏกรรม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไอ้เครื่องทรงกายแบบนี้มันคือตัวละครตัวใด

‘ไม่ว่าจะคนรวย คนจน ผีสาง เทวดา หรือยักษ์ต่างก็มีหัวจิตหัวใจกันทั้งนั้น อย่าได้ตัดสินกันที่ชาติกำเนิด ให้ตัดสินจากสิ่งที่โยมเห็นก็เป็นพอ’

แจ่มกระจ่าง ชัดเจนโดยไม่ต้องเปลืองน้ำลายถามให้มากความ

“รักหลานข้ามากหรือเปล่า”

“รักครับ”

“มากแค่ไหน”

“ผมพร้อมจะตายแทนเขาได้ทุกครั้ง แม้กระทั่งครั้งนี้”

“แล้วรอมานานเท่าไหร่”

“...”

“เอ็งรอหลานของข้ามานานเท่าไหร่แล้ว”

“ปู่จะรับได้เหรอ”

“ถ้าข้ารับไม่ได้ ข้าคงวิ่งเตลิดไปไหนต่อไหนแล้วเหอะ”

“ก็ดีครับ”

“เมื่อไหร่เอ็งจะตอบคำถามข้าสักทีวะ เดี๋ยวก็ยันด้วยฝ่าเท้ากลางหน้าเลยนิ”

“โหยปู่ไม้ ใจเย็นๆสิ” อสุเรนทร์ย่อตัวไปนั่งข้างชายอาวุโส ใช้มือบีบนวดต้นขาอันแห้งกร้านเบาๆ “ถามว่านานไหม ผมคงต้องตอบว่านานมากจนปู่คิดไม่ถึงเลยล่ะครับว่าจะอดทนรอได้นานขนาดนี้”

ชายชราคลี่ยิ้มน้อย กุมมือหลานชายแน่นไม่ยอมปล่อย “พวกเราทุกคนล้วนกับเรื่องประหลาดมานับไม่ถ้วน จนตอนนี้ถึงจะมีเรื่องให้น่าตกใจหรือตื่นตะลึงเพิ่มเข้ามาอีก มันก็คงไม่ทำให้พวกข้าอกแตกตายหรอก อย่างมากก็แค่ตกใจสลบไปคืนหนึ่ง”

“ปู่”

“แต่ถึงข้าจะ (พยายาม) รับได้ ก็ใช่ว่าข้าไม่ต้องการฟังคำอธิบะ...”

“ผมจะเล่าให้ฟังทุกอย่างเท่าที่จะเล่าได้ ขอแค่ปู่และทุกคนให้โอกาส”

รอยยิ้มขำปรากฏบนมุมริมฝีปากของชายชราทันทีเมื่อว่าที่หลานเขยรีบพูดแทรกพร้อมกระพริบตาปริบๆอย่างออดอ้อน

ความมืดเริ่มคลี่คลุมพสุธา ดวงแก้วแห่งทิวาวารเริ่มลาลับอย่างแช่มเชื่อง เหลืองเพียงแสงสีแดงปนม่วงจางๆอยู่ริมขอบฟ้า หากปู่ไม้กลับนั่งนิ่ง ทอดมองทัศนียภาพของตึกสูงใหญ่นอกกระจกตัวอาคารพยาบาล

“เปรมน่ะ...คือสิ่งมหัศจรรย์ของพวกเรา ข้า...รวมถึงทุกคนรักเปรมอย่างสุดหัวใจ คอยประคบประหงม ทำตัวเป็นพ่อนกแม่นกคอยกางปีกปกป้องตลอดเวลา ข้าคิดเสมอ ถ้าจะมีใครมาดูแลเขาต่อจากพวกข้า ข้าก็อยากได้คนที่เหมาะสมและคู่ควร”

“...”

“ข้าไม่รู้หรอกนะเอ็งสองคนหรือสามคนทำเวรกรรมอะไรร่วมกันมาถึงต้องมาเป็นอย่างนี้ แต่ถ้านี่คือลิขิตของสวรรค์ ข้าก็จะยอมรับไม่ค้านติงสิ่งใด”

พญารากษสถึงกับน้ำตาปริ่ม แรงสัมผัสที่กดทับลงมาบนกลุ่มผมเต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ ความปิติยินดี ปู่ไม้ยิ้มกว้าง

“และไม่ว่าเอ็งจะเป็นอสุเรนทร์ ประธานบริษัทโขน หรือจะเป็นทศกัณฐ์ ข้าก็เต็มใจส่งมอบเปรมให้เอ็งดูแล”

“...”

 “เอาเปรมกลับคืนมาให้ได้นะหลานเขย






บอกได้คำเดียว ปู่ไม้เจ๋งมากกก  :katai2-1:
ไปอ่านกันต่อด้านล่างได้เลยค่ะ

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0



ท่ามกลางความเงียบสงัดในยามราตรี ท่วงทำนองเสนาะเพราะพริ้งแห่งผืนป่ากังวานก้องในความเงียบสงบเย็นเยียบ โดยเฉพาะฝากฝั่งซ้ายของเรือนทรงไทยหลังงาม เสาและคานแกะสลักประณีตพิสมัย พื้นห้องอันเป็นไม้กระดานปูแผ่นโตปูพรมทอมือเป็นส่วนๆ ใกล้กับหน้าต่างคือเตียงนอนที่คลุมด้วยผ้าแพรผืนบางอบร่ำด้วยดอกไม้นานาพันธุ์

เปลวเทียนไสวที่ถูกจุดรอบห้องฉายชัดให้ชายหนุ่มร่างสูงทว่าผอมบางที่นั่งอยู่บนเตียงนั้นดูเด่นกว่าสรรพสิ่งอื่น ก้านนิ้วเรียวยาวลูบกลุ่มผมของเด็กตัวน้อยทั้งสองที่นอนหนุนอยู่บนตักนุ่มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวหลับสนิทไปนานแล้ว...รอยยิ้มสวยจึงค่อยๆระบายอยู่บนริมฝีปากแดงระเรื่อ 

เปรมที่โตมาแบบลูกคนเดียว ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีหลานคอยวิ่งเล่นส่งเสียงเจี้ยวจ้าวอยู่ในบ้าน พอมาเจอฝาแฝดแสนจะน่ารักน่าชังถึงกับหลงไปมากทีเดียว โดยเฉพาะพระสุริยาที่ดูเหมือนจะติดเขามากกว่าวันแรกๆ ทุกวันมักจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ บ้างก็แอบมองอยู่หลังผู้เป็นแม่ บ้างก็ทำทีเป็นเล่นวิ่งไล่จับกับน้องสาวอยู่บริเวณที่เปรมนั่งอยู่ พักหลังนี่ถึงกับส่งเสียงเริงร่ากระโดดมานั่งตักเต็มรักทันที แถมยังเอาแต่เรียก แม่จ๋าข้าอย่างนั้น ข้าอย่างนี้ แม่จ๋าๆอยู่ตลอดเวลา พอปฏิเสธว่าไม่ใช่แม่จ๋าก็เริ่มเบะปากเตรียมร้องไห้ เดือดร้อนถึงเขาที่ต้องรับบทเป็นแม่ของเด็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้

และไม่มีใครคิดจะช่วยด้วย

“เป็นอย่างไรบ้างออเจ้า กับการเลี้ยงลูกลิงทโมนทั้งสองตัว”

ประตูห้องเปิดกว้าง พร้อมกับเงาร่างคุ้นเคยของสตรีวัยใกล้เคียงก้าวเข้ามา เปรมดีดตัวลุกขึ้นยืนจากเตียง...รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรปรากฏอยู่บนสีหน้าชัดเจน...

“เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่เลยล่ะครับว่าเลี้ยงลูกมันเหนื่อยแค่ไหน”

สีดาได้แต่ยิ้มตอบ เหลือบสายตาไปยังลูกชายและลูกสาวที่นอนหลับตาพริ้มสบายด้วยความรักอันบริสุทธิ์ที่เปี่ยมล้นไปทั้งหัวใจ เธอรู้สึกเสียใจและสงสารลูกนักที่ต้องมาติดอยู่ในวังวนของความยุ่งเหยิง บ่วงแห่งความเสน่หาของผู้ใหญ่ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันเปรียบเสมือนตราบาปที่คอยตามหลอกหลอนอยู่ในใจ ต่อให้เวลาล่วงเลยผ่านไปนานสักแค่ไหน แผลเป็นเหล่านั้นก็ไม่มีวันจางหาย...เธอคงจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าเป็นเธอคนเดียวที่ต้องรับชดใช้ผลกรรมที่ก่อ

“แต่ออเจ้าก็มีความสุขดีมิใช่รึ”

“ครับ ถึงแม้เจ้าตัวเล็กซนไปบ้างตามประสาเด็กๆแต่ผมก็มีความสุขมากที่ได้มีส่วนช่วยดูแลพวกเขา...บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวผมคือส่วนหนึ่งของคุณด้วย ก็เลยรู้สึกรักและผูกพันมากกว่าปกติ”

“พระสุริยาและจันทราเองก็เห็นออเจ้าเป็นดั่งแม้แท้ๆเช่นกัน ถึงจันทราจักมิได้ใกล้ชิดออเจ้า เล่นกับออเจ้าเฉกเช่นเดียวกับพระสุริยา หากข้ารู้ในใจนางนั้นรักเจ้ามิน้อยเทียว”

“ผมก็พอรู้มาบ้างแหละครับ เด็กแบบนี้ต้องเข้าหาบ่อยถึงจะยอมเล่นด้วย แต่จันทราก็น่ารักมากเลยนะครับ ถ้าพ่อแม่ ปู่กับยายผมมาเห็นคงเอ็นดูเธอไม่ต่างจากผม”

“ดูทำหน้าเข้า มิรู้เพลานี้ออเจ้าติดลูกข้า หรือลูกข้าติดออเจ้ากันแน่” เล่นทำตัวติดกันทั้งวันทั้งคืน จากแต่ก่อนพระสุริยามักให้เธอป้อนข้าว อาบน้ำ แต่งตัวให้ตลอด บัดนี้กลับออดอ้อนให้พ่อเปรมเป็นผู้ทำหน้าที่นั้นแทน จะกินก็ต้องกินจากมือพ่อเปรม จะนั่งก็ต้องนั่งที่ตักพ่อเปรม ส่วนจันทราจากเด็กหญิงเรียบร้อย ขี้อาย ก็เริ่มกล้าพูดกล้าคุยมากขึ้น ที่สำคัญชอบหนีเธอไปนอนฟังนิทานกับพระสุริยาที่ห้องฝั่งตรงข้ามอยู่บ่อยๆ

สงสัยแม่คนเก่าอย่างเธอคงตกกระป๋องเสียแล้วกระมัง

“ก็พวกเขาน่ารักนี่ครับ ถ้าเกิดผมมีลูกผมก็อยากได้แบบนี้บ้าง” ชายร่างผอมบางแสดงอาการยิ้มเศร้า “แต่น่าเสียดายผมกับคนรักเราต่างเป็นเพศเดียวกันทั้งคู่ ถ้าคิดจะมีก็คงต้องรับเลี้ยงเอา”

“สวรรค์คงมิใจร้ายต่อออเจ้าดอกพ่อเปรม เมื่อถึงเวลาเดี๋ยวก็มีมาเอง”

“แต่พวกผมเป็นผู้ชายนะครับ”

“เชื่อข้าเถิด มิว่าจักเพศไหน หากสวรรค์เห็นใจ เปิดทางให้พวกออเจ้า อย่าว่าจักมีลูกสักคนสองคนเลย ออเจ้าอยากได้มากกว่านี้ก็ย่อมเป็นผล”

“พูดอย่างกับผมท้องได้”

“อนาคตเป็นสิ่งมิแน่นอน”

“คุณสีดา...อย่าแกล้งผมเล่นสิครับ คุณก็รู้ผมเป็นผู้ชาย ผมท้องไม่ได้...” เปรมละล่ำละลักบอกด้วยความเขินอาย ถ้าจะบอกว่าต้องมีใครสักคนท้องได้ มันก็คงต้องเป็นเขาสถานเดียวล่ะเพราะอย่างอสุเรนทร์คงไม่ยอมท้องแทนแน่ๆ ยิ่งคิดถึงคำที่เจ้าตัวเคยกล่าวเอาไว้ จนกว่าน้องจะท้องพี่จะไม่ยอมหยุด ก็ยิ่งทำเอาเปรมขนลุกเกรียวเข้าไปใหญ่ ถ้าเกิดเป็นจริงอย่างนั้นจริง...
ไม่อยากจะคิดไปไกลเลย

“กระไรๆก็เกิดขึ้นได้หนาพ่อเปรม”

“คุณสีดาก็” เขารีบโพล่งทันควัน พร้อมก้มหน้าหลบซ่อนพวงแก้มสีแดงจัด อีกคนก็เอาแต่หัวเราะชอบอกชอบใจ ทำเอาคนโดนล้อเริ่มหน้ามุ่ย เผลอส่งตาขุ่นขวางไปเป็นของตอบแทน “มันไม่ตลกเลยนะครับ”

“คิดมากไปใยเล่าออเจ้า หากท้องมันก็ท้อง หากมิท้องมันก็มิท้อง”

“พูดอีกทีผมโกรธจริงๆนะครับ”

“มีท้องก็ดีหนา ผิวพรรณผุดผ่อง ขาวเป็นยองใย ผัวรักผัวหลง”

“คุณสีดา!”

“กระไร...ฤาออเจ้าอายข้า กระนั้นรึ” หญิงสาวเย้าแหย่อย่างนึกสนุก

“ใครไม่อายบ้างครับ เฮ้อ ผมไม่น่าเล่าเรื่องของผมให้คุณฟังเลย” คนนั่งฝั่งตรงข้ามพยายามซ่อนอาการกลั้นขำไว้ที่มุมปาก พยายามอย่างมากที่จะไม่ให้มันหลุดออกมาให้คนบึ้งตึงเห็นพลางยกมือตบไหล่กว้างกว่าสองสามที เธอล่ะชอบนักเวลาเปรมหน้าแดง มันทั้งดูน่าแกล้ง น่าหยิก น่าเอ็นดู อีกสารพัดความน่าที่จะสรรหามาได้...ถึงว่า คนคนนั้นถึงกับยอมทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจเพื่อให้ได้ความรักจากเขามา

เพราะความรัก มนุษย์เราจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อได้มันมา ประโยคสั้นๆที่เกิดอยู่ในใจของสีดา พร้อมความสลดสังเวชแผ่ซ่าน เธอสังเวชทศกัณฐ์พอๆกับสังเวชตนเอง ไม่มีวันไหนเลยที่เธอจะลืมเลือนเรื่องราวในอดีตกาล อยากอยู่เคียงข้าง อยากแนบกายซบลาดไหล่อันอบอุ่น หากทำได้แค่มองดูอยู่ห่างๆ รอดูอีกครึ่งหนึ่งของตนเป็นผู้ทำหน้าที่นั้นแทน

แม้นจะยังรักอยู่มิเสื่อมคลาย แต่ทว่าอะไรที่เป็นความสุขของทศกัณฐ์ ก็คือความสุขของเธอด้วย

อีกอย่าง... เพราะเป็นเปรม เธอจึงยินยอมและพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ และเธอก็เชื่อ ความรักของพวกเขาต้องผ่านไปได้อย่างราบรื่นและมีความสุขตราบนานเท่านาน

“พ่อเปรม”

“ถ้าจะพูดล้อผม ไม่ต้องพูดแล้วนะครับ”

“ข้าจักพูดเรื่องอื่นต่างหากเล่า”

รอยยิ้มสวยเริ่มเลือนหายไปในบัดดล คนเป็นเจ้าของเรือนไม้หลังใหญ่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สัก สูดลมหายใจเข้าปอดลึก สายตาจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยเห็น จับจ้องไปยังชายหนุ่มซึ่งเป็นจิตวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของตนอย่างแน่วแน่ นานหลานอึดใจจึงกล่าวคำช้า ๆ...

“ออเจ้าคิดถึงครอบครัวใช่ฤาไม่” สีดาเอ่ยถามราวอ่านหัวใจคนร่างสูงทะลุ ซึ่งอีกฝ่ายยิ้มหม่น นิ้วเรียวยาวเขี่ยผ้าแพรบนเตียงเล่น
“ครับ ผมคิดถึงพวกเขา” อยากนอนหนุนตักแม่ อยากคุยกับปู่กับย่า อยากยิ้มออดอ้อนให้อสุเรนทร์เอาใจ อยากกอดพวกเขาให้สมกับความคิดถึงเหลือเกิน

“ผู้ใดที่ออเจ้าคิดถึงมากที่สุด”

อสุเรนทร์...

นั่นเป็นสิ่งแรกที่เขาคิด ใช่เขาคิดถึงพี่ทศยิ่งกว่าสิ่งใด   

หากเป็นไปได้ ในยามที่ตื่นเขาก็อยากจะเห็นใบหน้าคมคายของคนรักเป็นคนแรก ไม่ใช่ว่าไม่อยากเห็นหน้าพ่อ แม่หรือคนในครอบครัว แต่ความร้อนรุ่ม กระวนกระวายใจ มีเพียงอสุเรนทร์คนเดียวเท่านั้นที่บรรเทามันลงได้

สีดาแย้มสรวล แม้เจ้าตัวจะไม่ได้กล่าววาจาออกมา หากเธอก็รับรู้ได้ว่าคนที่พ่อเปรมคิดถึงมากที่สุดคือใคร แววตาเปรมมองออกง่ายจะตายไป

“แลออเจ้าจำได้ฤาไม่ มาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว”

เปรมเงียบครุ่นคิดและตอบกลับ

“น่าจะประมาณสี่สิบกว่าวัน ว่าแต่ถามทำไมหรือครับ

ในห้องมีเพียงแสงสว่างมลังเมลืองจากเทียนไขสี่คู่ตั้งไว้ตามมุมห้อง กลิ่นหอมระรินของดอกมะลิที่กรุ่นกลิ่นกำจายตลบอบอวลไปทั่วห้อง และเสียงกระพือปีกของหิ่งห้อยกลางคืนที่กลบความเงียบสงัดอันน่าอึดอัดได้อย่างชะงัก

“หากนับรวมวันนี้ก็สี่สิบแปดวัน...เป็นสี่สิบแปดวันที่ออเจ้าติดอยู่ในภพภูมิแห่งนี้” น้ำเสียงที่จริงจังกว่าเคยทำให้เปรมเงียบในทันที เขาเอ่ยถามด้วยอาการน้ำเสียงสะดุด

“หมายความว่า...”

“ทุกๆสี่สิบเก้าวัน หรือเจ็ดวันบนโลกของออเจ้า ประตูแห่งพิภพจักเปิดเพื่อรับคนชั่ว คนบาปฤาคนตายให้ลงมารับผิด หากเป็นคนที่ยังไม่ถึงที่ตายเช่นออเจ้า...จักได้กลับไปยังภพภูมิเดิม” ประโยคหลังของสีดาเริ่มแผ่วหาย “ถึงเวลาที่ออเจ้าต้องกลับแล้วหนา”

“!”

ดวงตาเรียวซึ่งในเงากำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีประดังเข้ามา มีทั้งความดีใจ เสียใจ ตื่นเต้น เหงาหงอยผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก เปรมดีใจที่จะได้กลับบ้าน กลับไปเจอครอบครัวและคนที่เขารัก แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ที่จะต้องจากคนทางนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

นับตั้งแต่วันแรกจนถึงกลางดึกในคืนนี้ก็ร่วมเดือนเศษๆที่เปรมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับสามแม่ลูกคนดังในวรรณคดีชื่อดัง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องรู้สึกผูกพันกันและกัน ยิ่งกับพระสุริยาแล้ว เขาบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เขารักเหลือเกิน อดใจหายไม่น้อยที่จำต้องจากเด็กน้อยอันเป็นที่รักไป เขารักพระสุริยา รักหนูน้อยจันทรา รักประดั่งลูกแท้ๆที่เกิดจากตัวของเขาเอง ถ้าเด็กน้อยรู้เข้าว่าเขาจะต้องจากไป ไม่ร้องห่มร้องไห้แทบขาดใจตายเลยเหรอ

“ข้ารู้ออเจ้าเป็นห่วงเด็กๆ แต่ชีวิตของออเจ้าจำต้องดำเนินต่อ”

“คุณไปกับผมไม่ได้เหรอครับ”

“มิได้ดอก ข้าก็อยู่ชดใช้เวรกรรมที่นี่”

“แล้ว...”

“พ่อเปรมเอ๋ย ในเมื่อฟ้าให้โอกาสแลคนทางนู้นก็หาหนทางช่วยเหลือเจ้าเต็มที่ เจ้าจักรีรออยู่ลำบากที่นี่เพื่อกระไร”

“คุณสีดา...”

“คนรอเขารอออเจ้ามานานแล้ว อย่าปล่อยให้เขาต้องทุกข์ใจแทบตรอมตรมเพราะตัวออเจ้าอีกเลย อย่าได้ห่วงฤาเป็นกังวลว่าข้า พระสุริยาแลจันทราจักเป็นอย่างไร เมื่อก่อนพวกข้าก็มิได้มีออเจ้าอยู่ร่วมด้วยข้าก็ยังอยู่ได้ นับประสากระไรกับการต้องอยู่กันเพียงสามคนอีกครา” หญิงสาวกอบกุมฝ่ามือใหญ่กว่าเอาไว้และกระชับแน่น “มิต้องคิดให้มากความ หากออเจ้ารักข้า รักลูกของข้า แลรักคนในครอบครัว ออเจ้าต้องรีบกลับไป...กลับไปเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่ค้างคามาเนิ่นนาน”

“...”

“ยิ่งออเจ้าแก้ไขมันได้เร็วเท่าใด มันก็ยิ่งส่งผลให้ชีวิตของออเจ้าปลอดภัยจากอันตรายมากเท่านั้น”

“คุณสีดา...”

นวลนางยิ้มพร้อมกับรอยยิ้มละมุนละไมผุดขึ้นบนริมฝีปากหยักตึง ความรื้นคลอฉาบอยู่ในดวงตาหวานล้ำ วาดแขนออกไปโอบคนตัวใหญ่กว่าเข้ามากอด ลูบแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบประโลม

“ข้ามีความสุขที่ได้เจอออเจ้าหนาพ่อเปรม”

“ผมก็เหมือนกันครับ”

“เราทั้งคู่ต่างมีกรรมร่วม มีหน้าที่ต้องทำ ข้าอยากให้ออเจ้าโปรดอโหสิกรรมให้แก่ความผิดพลาดของข้าก่อนจากกันได้ไหม เพราะข้า...ออเจ้าจึงต้องเจอกับความยากลำบากแลความเจ็บปวด ทั้งที่ชีวิตควรอยู่มีแต่ความสุขเฉกเช่นผู้อื่นเขา”

“ผมไม่เคยถือโทษโกรธคุณเลย พร้อมอโหสิกรรมให้ถ้าคุณต้องการ แต่อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ คุณทำดีที่สุดแล้ว” น้ำตาของทั้งสองไหลเรื่อยเหมือนสายน้ำ...เปรมสูดลมหายใจเข้าลึก “แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะรีบแก้ไขมันให้เร็วที่สุด เพื่อทุกคนและเพื่อพวกเรา”

“ขอบน้ำใจเจ้าเหลือเกินพ่อเปรมที่เข้าใจข้า คนดีเช่นออเจ้าสวรรค์ย่อมคุ้มครอง...แลมิว่าเจ้าจักอยู่ที่ใด ขอให้พึงระลึกไว้เสมอ ข้าจักคอยอยู่ดูแลเจ้าเสมอ”


ลาก่อน...มิตรสหายที่ดีที่สุดสำหรับข้า




ควันธูปลอยตัวเบื้องสูง ก่อนม้วนตัวสลายไปตามกระแสลมที่พัดผ่านเล็ดลอดเข้ามาตามช่องเขาและแง่หิน หากยังคงทิ้งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วสารทิศ คนร่างสูงใหญ่แต่งกายเป็นดาบสอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว นั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งไม้สลักลวดลายงามวิจิตร ลักษณาการ ของร่างสูงใหญ่ทำให้ชินกฤตและรณพักตร์ที่เพิ่งเข้ามาต้องจรดปลายเท้าเพื่อป้องกันมิให้เขาตื่นจากภวังค์แห่งการเข้าสมาธิ สองอาหลานก้มลงกราบพระปฏิมากรอันเป็นรูปสมมุติแห่งพระบรมศาสดาที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะหมู่ด้วยอากัปกิริยานอบน้อม ก่อนเลื่อนสายตาไปยังร่างบางร่างหนึ่งที่นอนนิ่งไม่ไหวติ่งอยู่บนโขดหินทรงเหลี่ยม ลมหายใจดังแผ่วสม่ำเสมอบ่งบอกว่าดวงจิตของเจ้าตัวยังไม่กลับมา

นี่คงเป็นอีกผลที่เขาต้องยอมรับความปรารถนาของพี่ชาย เป็นไปดั่งที่คาดเมื่อเวลาร่วงเลยเข้าสู่วันที่เจ็ด ร่างสูงก็ทำเรื่องย้ายเปรมออกจากโรงพยาบาลเร่งด่วน ขับรถมุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงสู่กาญจนบุรี จุดหมายปลายทางของเขาคือถ้ำเก่าแก่บนเส้นทางเก่าตัดออกอำเภอสังขะบุรี สถานที่ลับที่มีเพียงคนในตระกูลอมาตยสูรเท่านั้นที่ล่วงรู้และสามารถเข้าไปได้ มันเป็นมากกว่าถ้ำหินงอกหินย้อยธรรมดา แต่มันคือจุดศูนย์รวมพลังแห่งผู้ปฏิบัติดีแล้ว... อสุเรนทร์ไม่ต้องการสิ่งใดอีกนอกเสียจากขอให้น้องน้อยกลับมาหาเขาเป็นพอ รู้ว่ามันยาก แต่ก็พร้อมจะเสี่ยงเพราะอะไรเขาย่อมรู้หัวใจตัวเองดี

เพราะรัก...

บุคคลที่มีอิทธิพลต่อพญารากษสทั้งกาย วาจาและใจ

สำหรับคนใจร้อนอย่างอสุเรนทร์โดยเฉพาะเรื่องรัก ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด เสี่ยงอันตรายมากแค่ไหน เขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ามันเพื่อให้บรรลุผลในสิ่งที่ต้องการ

ครั้งนี้ชินกฤตไม่คิดห้ามเพราะถึงห้ามอย่างไรอีกคนก็ไม่ฟังอยู่ดี และไม่ว่าใครหน้าไหน แม้กระทั่งปู่ไม้คนที่น่ากลัวที่สุดก็ยังต้องยอมตบปากรับคำอย่างไม่มีเงื่อนไขเช่นกัน รู้สึกเห็นใจในความกล้าหาญนี้ไม่น้อยแต่ก็มิอาจทำได้มากไปกว่าการเออออตามในสิ่งที่เจ้าตัวปรารภ อสุเรนทร์เป็นคนที่มุ่งมั่นต้องการทำสิ่งใดก็ต้องทำให้ได้ สำเร็จหรือไม่ก็ต้องมาลุ้นผลกันอีกดี เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย กล้าเสียจนเขาและหลานชายต่างกลัวไปตามๆกัน

ชินกฤตเคยเอ่ยห้ามไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ถูกตอกกลับมาด้วยประโยคแสนกินใจ 

‘เปรมคือคนรักของข้า ข้ายอมสูญเสียพลังทั้งหมดดีกว่าสูญเสียเขาไปตลอดกาล’

และนั่นคือคำตอบที่ทำให้ชินกฤตยอมเปิดทางให้อย่างง่ายดายโดยไม่ขัดข้องแม้แต่นิดเดียว


เสียงน้ำ...โถมถั่งจากที่สูงลงแผ่นน้ำเบื้องล่าง ดุจเสียงสังคีตเสนาะโสต...ปทุมชาติชูช่อ...ลออตา...ลมพัดรำเพยพากลิ่นหอมละมุนละสัมผัสปลายจมูกโด่งสันเป็นรูป

ดวงตาที่เคยหลับพริ้มก็ลืมขึ้น....พร้อมอาการขยับตัว

“ข้าขอถามอีกสักครา ท่านพี่แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะทำแบบนี้” ผู้น้อยวัยหันมาถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น

“ต่อให้ตัวข้าต้องสูญสลายกลายเป็นฝุ่นผง ข้าก็จักทำ”

“ความรักทำให้ท่านต้องลงทุนมากถึงเพียงนี้เชียวฤา”

“ครั้นถึงเพลาที่เจ้ามีคนรัก เจ้าจักรู้เองชินกฤต”

“พอเถอะครับอากฤต อาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนอย่างพญารากษสทศกัณฐ์ผู้นี้เมื่อตัดสินใจแล้วจะไม่กลืนน้ำลายของตนเองเด็ดขาด แล้วอินก็เชื่อนะทั้งพระบิดาและเปรมจะต้องรอดปลอดภัย” รณพักตร์เอ่ยวาจานุ่มนวลทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นอันแรงกล้า

“แต่ขอให้มันเป็นครั้งสุดท้ายนะครับพระบิดา เพราะอินคงทนไม่ได้ถ้าพระบิดาเป็นอะไรขึ้นมา”

“พ่อรับปากเจ้า”

“ข้าจักขอเตือนท่านพี่อีกสักนิด ทุกอย่างล้วนเกิดแต่กรรมของเจ้าตัวทั้งสิ้น ถึงเราจักช่วยให้เขารอดจากบ่วงกรรมสาหัสในครั้งนี้ แต่กรรมที่ติดตัวมาไม่มีใครสามารถลบล้างได้ อย่างมากก็แค่บรรเทา” ชินกฤตเอ่ยคำด้วยอาการถอนใจลึก

“แค่นั้นข้าก็ดีใจแล้ว”

“แลท่านพี่อย่าลืมหนา”

“...”

ลมหายใจนิรันดร์กาลสามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”


ฟ้ามืดมัวหม่น แสงทิวาที่เล็ดลอดผ่านแง่หินเลือนลับไปนานแล้ว และกำลังเคลื่อนคล้อยรุดหน้าต่อไปเหมือนสายน้ำที่มิอาจไหลย้อนคืน หลายชีวิตบนผืนปฐพีก้าวสู่นิทราตามธรรมชาติแห่งสัตว์โลก หาก...ณ เวลานี้ เหล่าผู้นำเผ่าพงศ์รากษสกลับใช้เวลาทั้งหมดไปกับการรอคอยใครคนหนึ่ง

รอยยิ้มยักษ์...ยังคงเหลือเงาจางๆ เป็นรอยยิ้มแห่งความสุขที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจ

การมอบลมหายใจนิรันดร์กาลให้ใครสักคน ในแง่ของยักษ์นั่นหมายถึงรักอันบริสุทธิ์ รักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน รักที่เทียบออกมาเป็นมูลค่าไม่ได้ อสุเรนทร์เลือกแล้วที่จะรักและใช้ชีวิตที่เหลือมีเปรมเป็นคู่ครองตราบชั่วฟ้าดินสลาย

“ลมหายใจครึ่งหนึ่งของพี่ ฝากเจ้าดูแลด้วย”

ทันทีที่คำสุดท้ายของประโยคจบลง เสียงอสุนีบาตฟาดลงอย่างรุนแรง คนที่อยู่ด้านนอกจะคงจะนึกแปลกใจที่จู่ๆท้องฟ้าที่เคยเงียบสงบกลับส่งเสียงครืนคราน...เมฆหนารวมตัวดำทะมึนบวกกับประกายเจิดจ้าของอสุนีบาตที่ปลาบแปลบขึ้นเป็นระยะๆ ทำให้แลดูน่าสะพรึงกลัว

สองมือใหญ่โอบอุ้มร่างบางนั้นวางแนบอก พรมจูบทั่วทั้งใบหน้างามงดอย่างรักใคร่ ก่อนริมฝีปากอุ่นจัดจะทาบทับลงบนกลีบปานหวานเย็นชืดอย่างไม่ลังเล น้ำตาแห่งกษัตริย์แห่งกรุงลงกาหลั่งไหล

ชินกฤตและรณพักตร์มองภาพเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลายคละเคล้ากันไป พี่ชายของเขาคงรักมนุษย์คนนี้เอามาก...มากถึงขั้นยอมเสียสละพลังกายที่สั่งสมมานานนับตั้งแต่เกิดเป็นโอรสแห่งเผ่าพงศ์กษัตริย์กรุงลงกา มันเป็นการเสียสละที่ใหญ่ยิ่ง ต่อให้เป็นพระรามเขาก็เชื่อว่าคงไม่ลงทุนยอมทำถึงเพียงนี้หรอก

แสงสีทองเรืองรองคลอบคลุมทั้งสองร่างเอาไว้และค่อยๆเคลื่อนมากระจุกรวมกันเป็นเส้นทางเดียวอยู่บริเวณช่วงลำและริมฝีปาก  อ่อนโยน...เนิ่นนาน...เต็มไปด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ เปรมจะเป็นคู่ชีวิตเพียงคนเดียวของเขา น้องน้อยที่เขารอคอยมาแสนนาน

พี่รักเจ้า....เปมทัต

เสียงน้ำกระโจนลงจากที่สูงผ่านโสตอีกครั้ง ผิวแห่งบึงกว้างแตกซ่านกระเซ็นเป็นฟูฝอยลอยอวลเหมือนม่านหมอก
แก้วมุกดา ชมนาด พุดตะแคง มหาหงส์ บุหงาส่าหรี ชูก้านเบ่งบานโชว์กลีบสบายส่งกลิ่นหอมละมุน เย็นชื่นมากระทบนาสิกเป็นระยะๆ หมู่มวลหิ่งห้อยนับร้อยนับพันตัวกระจายไปตามบริเวณต่างๆส่องแสงระยิบระยับจนทั่วอาณาเขตแดน

‘นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี’ ชินกฤตกล่าวในใจ เพราะบรรยากาศกับทัศนียภาพอันวิจิตรตระการตาซึ่งต่างจากเมื่อครู่ลิบลับราวกับภาพเบื้องหน้านี้ถูกเสกสรรปั้นแต่งโดยเทพนิรมิต

และเขา...ก็เห็นอนาคตของเปรมชัดเจนแล้วด้วย!

ประกายสีทองเรืองรองรอบสรรพางค์กายของทั้งสองและค่อยๆเลือนหายไป...พร้อมๆกับคนร่างบางในอ้อมกอดของอสุเรนทร์ขยับตัว เสียงหัวใจที่เต้นตึกตักดังหนักและชัดเจนสะท้อนโสตของพญายักษ์

แพขนตางามงอนเทียบเท่าอิสตรีกระพือไหวราวกับผีเสื้อตัวน้อยที่มีชีวิต ค่อยๆเปิดออกเผยสิ่งที่ซึกซ่อนอยู่ภายใต้แพสีเข้มมาตลอดระยะเวลาเจ็ดวัน ดวงตาเรียวปราดมองเขาอย่างอ่อนแรง ก่อนรอยยิ้มที่อสุเรนทร์ต้องการเห็นมากที่สุดปรากฏเด่นชัดบนดวงหน้าขาวกระจ่าง

หยดน้ำสีใสหลั่งกระทบพวงแก้มน้อย

อสุเรนทร์คลี่ยิ้มมุมปากก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างขึ้น...กว้างขึ้น รวบร่างบางของคนที่เพิ่งฟื้นมากอดแนบอกแกร่ง

“เจ้ากลับมาแล้ว น้องน้อยของพี่” เสียงงึมงำที่อยู่ข้างแก้มและสัมผัสที่นุ่มนวลดุจแพรไหมทำให้ใบหน้าที่ซีดเซียวแดงระเรื่อ เปรมพยักหน้ายิ้มรับ โผกอดตอบอีกฝ่ายเต็มรัก คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน

“พี่ทศ”

“จ๋า”

“เปรมกลับมาแล้ว”

“พี่รู้...พี่รู้แล้ว”

“ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกอย่าง...ขอบคุณที่เรียกเปรมกลับมาหา”

ร่างสูงก้มศีรษะ ริมฝีปากแนบชิดใบหูร่างบางอันเป็นที่รักยิ่ง เอื้อนเอ่ยเบาๆราวพระพายรำเพยพัด...

“พี่ไม่มีวันทอดทิ้งน้องไปไหน เพราะหัวใจของพี่ ลมหายใจของพี่ กายของพี่ล้วนเป็นของน้องเพียงคนเดียว พี่รักเปรมนะ” อสุเรนทร์ปาดคราบน้ำตาออกจากพวงแก้มน้อยอย่างเบามือ ไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นพูดได้อย่างไรอีก มันทั้งหนักอึ้งแต่ก็โล่งเปราะในคราเดียวกัน ดีใจ...ดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นยินเสียงหวานหูอีกครั้ง

“เปรม...ก็มีบางอย่าง...บอกพี่เหมือนกัน”

มือหนาเข้ามาปัดผมที่บดบังใบหน้าแล้วทัดหูให้อย่างเบามือ ช้อนสายตาตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“มันเป็นสิ่งที่เปรมคิดมานานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกออกไป”

“...”

“เพราะเปรมเชื่อ การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด” คนในอ้อมกอดแกร่งหายใจเข้าปอดลึกและปล่อยออกมา เงยหน้าสบดวงตาคู่คมพร้อมใช้ก้านนิ้วเรียวสัมผัสบางเบาที่ข้างแก้มตอบ

“เปรมไม่เคยบอกความรู้สึกนี้กับใคร จงรู้เอาไว้ว่าพี่คือคนแรกและจะเป็นคนสุดท้ายที่เปรมคิดจะบอก”

เปรมรั้งท้ายทอยของอสุเรนทร์ให้เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ... ปลายจมูกเล็กคลอเคลียจมูกโด่งสันไปมาอย่างสร้างความคุ้นเคยก่อนประทับจูบลงบนคางเขียวครึ้ม จบด้วยริมฝีปากหนาและอุ่น นานแสนนาน...

พร้อมกับคำกระซิบแผ่วเบา ทว่าหนักแน่นและชัดเจน

เปรมรักพี่ทศครับ

เคยได้ยินไหม...คนเรามักจะแสดงสีหน้าที่ดีที่สุดในยามที่พวกเขารู้สึกมีความสุขสุดในชีวิต และตอนนี้อสุเรนทร์ก็เป็นหนึ่งในหลายร้อยล้าน พันล้านบนโลกที่มีความสุขมากที่สุด สุขที่ได้คนรักกลับคืน และสุขที่ได้ยินคำบอกรักแสนวาบหวามในดวงหทัย

“ช่วยบอกอีกทีได้ไหมยอดดวงใจของพี่”

“เปรมรักพี่ทศมากนะครับ”

“...”

รักยักษ์จอมเจ้าเล่ห์คนนี้เพียงคนเดียว




ฮืออออ รักอันหวานซึ่งนึ่งข้าวเหนียว(?) เขาบอกรักกันแล้วค่ะท่านผู้อ่านนนนนนน  :z3: :z2:
ใครอยากกรีดร้องไปพร้อมกับคนเขียน เม้นกันมาได้เลยน้าาา เราจะร่วมหวีดไปด้วยกัน 55555+
วันนี้คงต้องขอตัวไปก่อน แล้วเจอกันหม่นะคะ
สุขสันต์วันปีใหม่ 2560 ค่าาาา :L1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
เราอยากให้สวรรค์เมตตาทำพ่อเปรมท้องได้ซะจริงเชียว
เผื่อพระสุริยากับจันทราจะตามมาเกิดด้วย :mew1:

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ jjasu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 84
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
งืออ น้องเปรมฟื้นแล้ววว อยากเห็นน้องมีเจ้าตัวเล็กๆจังเลย คงน่ารักมากแน่ๆ

อินกับลักษณ์นี่ยังไงกันน้าาาาา

พี่รามขาตัดใจเถอะค่ะ หนูยังว่าง :hao7:

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
บทนี้ยกให้ปู่ไม้ชนะเลิศ

ชอบปู่จัง

น้องเปรมกลับมาแล้ว.......


ออฟไลน์ ZYSQ_

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
เริ่ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:

ออฟไลน์ blankmkmejj

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :impress2:รู้สึกฟินกะคู่หลักมากๆน้องเปรมบอกรักยักษ์เจ้าเล่ห์แล้ว ขอคู่รองเป็นเจ้าอินกับศุภลักษณ์พ่อคนดีมีเหตุผลอีกสักคู่นะคะนักเขียน :กอด1:น ชอบเจ้าอินแสบสนิท แต่ได้ใจสุดเนี่ยปู่ไม้เลยค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
ดีต่อใจมากทั้งท่านทศและครอบครัวของพ่อเปรม :hao6:

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
พระรามนี่น่าเอาไปโบยแล้วราดด้วยน้ำเกลือเสียจริง

ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
น้องเปรมจะท้องมั้ยน้าาาา

ออฟไลน์ mam.nalok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ้ยยยยยยย พ่อเปรมบอกรักพี่ทศของเราแล้ว คือดีงามมากมายคะ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ drqam

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 4
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อยากจะกรี๊ดให้ลั่น มันกร้าวใจ :impress2:
เขินมาก ภาวนาให้น้องเปรมท้อง จะได้สาแก่ใจพี่ทศและสาแก่ใจคนอ่าน

สวัสดีปีใหม่นะคะ

ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
สี่วันแล้ว โอ๊ย! คิดถึง

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1227
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0

ยัง.......

ยังไม่มา.......

แม้พี่ทศจะรอน้องเปรมได้

แต่คนอ่านอยากอ่านต่อแล้ว

มาต่อเถิดขอรับ


ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
อุกรี้ดๆๆๆๆๆ :hao7: เค้าว้านหวานกันเงอะ  :o8:

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
มาลงให้แล้วน้าาาา ขอโทษที่ลงช้าจ้าาาาาา
ไปอ่านกันเลยยยย



บทที่ ๑๗
[/b]



   ดวงแก้วแห่งรัตติกาลลอยสูงอยู่กลางเวหา แสงจันทร์มลังเมลืองทาบทับบรรยากาศให้ดูเหงาหงอย เศร้าซึม กระแสลมยามดึกพัดโบกโชยชาย ประหนึ่งหัตถาเย็นฉ่ำลูบไล้ผิวกาย หากบุรุษร่างสูงที่ยืนเหม่อมองทิวทัศน์ด้านนอกอยู่ตรงริมหน้าต่างกลับรู้สึกร้อนรุ่มและเจ็บปวด แหงนมองท้องนภายามไร้ซึ่งแสงระยิบระยับพร่างพราวจากหมู่ดาวนับล้านดวง...

สิบวันแล้วสินะ ที่เขาไม่ได้เจอเปรมเลย

คิดถึง...คิดถึงยอดรักเจียนขาดใจ

ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปพบไปเจอะเจอ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้มันหาได้เอื้ออำนวยตามแบบที่เขาต้องการ...ลมหายใจนิรันดร์กาล หนึ่งในความสามารถพิเศษแห่งเผ่าพงศ์ยักษ์ มันทำให้เขาสูญเสียพลังเกินความจำเป็น ร่างที่เคยใช้ซ่อนตัวตนแท้จริงเอาไว้จึงสูญสลาย กลับกลายมาเป็นกายาแห่งพญารากษเฉกเช่นเดิม...กระจกเงาสะท้อนชายผู้หนึ่ง ใบหน้าที่เคยสง่างามปานเทพบุตร บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาสีเขียวเจิดจ้าประหนึ่งอัญมณีล้อแสงไฟ โดยเฉพาะริมฝีปากที่แยกออกเนื่องจากเขี้ยวที่โผล่พ้นจากมุมปากทั้งสองด้าน

อสุเรนทร์ไม่อยากให้เปรมต้องมาเห็นสภาพของตนในตอนนี้ เขากลัว...กลัวจับใจว่าถ้าน้องน้อยเห็นเข้าจะรู้สึกอย่างไง หวาดกลัวหรือตกใจหรือเปล่า หากสิ่งที่เคยเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลับแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์ที่มีใบหน้าอันน่ากลัว มีเขี้ยวโค้งยาวแสนน่าเกลียดน่าชัง...เขากลัวจริงๆ...

พญารากษสถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อยกนิ้วขึ้นนับวันที่เขาต้องอยู่บำเพ็ญเพียรโดยไร้คนรักข้างกาย และเทียบกับจำนวนที่ต้องนั่งเดียวดายอยู่ในห้องบ้านี่อีกต่อไป

“เหลือแค่สี่วันเท่านั้น” หลับตาพูดกับตัวเองดังแผ่วคล้ายเสียงกระซิบ อีกเพียงสี่วันเขาจะกลับไปหาน้องน้อยอันเป็นที่รักอย่างที่หวังเสียที...ป่านฉะนี้ เปรมจะเป็นอย่างไรบ้าง อยู่อย่างไร กินดีหรือไม่ ในวันๆหนึ่งคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า...ในสมองล้วนมีแต่คำถามที่อยากจะถามอีกคนเต็มไปหมด

การรอคอยช่างเป็นอะไรที่สร้างความทุกข์ทรมานในดวงแด เหลือเกิน แม้ชีวิตเขาล้วนประสบพบเจอกับการรอคอยมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าทุกครั้งก็นำพามาซึ่งความเจ็บปวด ความโหยหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อสุเรนทร์ไม่ได้อยากทำร้ายตัวเองด้วยวิธีงี่เง่าเช่นนี้ด้วยซ้ำ แต่อดีตเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าควรคิดให้ดีเสียก่อน เพราะถ้าพลาดจากรักครั้งนี้อีก...คงวายชนม์

 “ท่านพี่ทศขอรับ” ร่างสูงหันกลับมามองร่างสมส่วนของน้องชายที่เปิดประตูบานไม้เข้ามาช้าๆ ชินกฤตวางถาดน้ำและนมบนตั่งไม้ตัวเล็กข้างเตียง ขณะแสงจันทร์สาดกระทบดวงตาของอสุเรนทร์พอดิบพอดี สะท้อนให้เห็นประกายสีเขียวเจิดจ้าพลุ่งโพลงอยู่ภายใน

“มีกระไรฤากฤต”

“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง ยังมีอาการเจ็บอยู่หรือฤาไม่ขอรับ”

“ข้า...มิเป็นอันใด ว่าแต่เจ้าเถอะ มาทำกระไรดึกดื่นป่านฉะนี้ มิไปนอนพักเสียเล่า”

“ข้าใคร่มาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับท่านพี่...ข้ากลัวท่านจักเหงา”

“อยากจักอยู่เฝ้าข้าก็ตามแต่ใจเจ้าเถิด” คนตอบถอนหายใจยาว “หากพอจันทร์ขึ้นสูง ข้าคงต้องทำพิธีต่อคงมิอาจอยู่คุยกับเจ้าได้อีก ว่าแต่ไปครานี้...เปรมเป็นอย่างไรบ้าง เขา...สบายดีหรือ”

“กายอาจใช่ หากแต่ใจมิใคร่สบายนัก”

“ทำไม”

“ท่านพี่ย่อมตระหนักดีว่าเพราะเหตุใด”

สีหน้าราชันย์แห่งกรุงลงกาหม่นหมอง...เศร้าสร้อยลง

“ข้าจำเป็นต้องทำ”

“จำเป็นรึ มันมิได้สำหลักสำคัญเลย...หากท่านพี่เลือกเผชิญหน้ามากกว่าหลบอยู่ในกระดองเต่า ข้าขอถามเหตุผลหน่อยเถิด เหตุใดท่านพี่จึงคิดปกปิดตัวตันที่แท้จริงกับเขาอีก ในเมื่อทุกคนรอบตัวล้วนทราบโดยสิ้น”

“ใช่ว่าทุกคนจักยอมรับได้ เราแตกต่างจากคนอื่นกฤต...พวกเราเป็นยักษ์ ที่ข้ามิอยากให้เปรมรู้เพราะข้ากลัวน้องจักตกใจแลหนีหายข้าไปอย่างคนในวันวาน ข้า...ข้ากลัวเหลือเกิน”

อสุเรนทร์ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยอาการน้ำตาซึม มันเป็นสัจจะธรรมของโลกใบนี้ สิ่งใดที่ล้วนแปลกแยกต่างจากที่เห็น มนุษย์มักจะเกิดความกลัวเป็นที่ตั้ง เขาทราบดีความลับนี้อย่างไรสักวันเปรมก็ต้องรู้ แต่เขายังไม่พร้อมจะบอกกับเจ้าตัวตอนนี้จริงๆ เพราะถ้าหากน้องรู้แล้วหนีเขาไปในที่ไกลแสนไกล...ไกลจนเขามิอาจเอื้อมคว้าถึง เขาก็คงต้องขาดใจตายอย่างน่าสมเพชเวทนา

ร่างร้อย อรชร อัปสรสวรรค์
สามโลก หาทัน เทียบไม่
พิสุทธิ์ เฉกปัท-มาลัย
สุดคว้า สุดหมาย ได้แต่มอง


-เถ้ากุหลาบ-

“เหตุใดท่านจึงมิคิดลอง”

“ลองแล้วได้กระไร ในเมื่อผลลัพธ์ก็คงออกมาเช่นเดิม รับมิได้ เกลียดชัง หนีหาย...แลต่อจากนั้นข้าก็ทนเจ็บปวดคนเดียวอย่างมิมีทางรู้ได้เลยจักกลับมามีความสุขอีกครั้งเมื่อใด...สู้ข้าเก็บมันเอาไว้เป็นความลับแลทำให้ชีวิตที่เหลือมีแต่ความสุขมิดีกว่าหรือ...เจ้าก็รู้กฤตว่าข้านั้นรักเปรม ขาดเปรมมิได้ หากน้องตีจากข้าจักทำเช่นไรเล่า”

“พอเป็นเรื่องเปรมทีไร ท่านมักกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวทุกทีล่ะหนา”

“!”

“ข้าเข้าใจท่านพี่ ทว่าความกลัวหาใช่อุปสรรคไม่ หากความใจเสาะขี้แพ้ของท่านพี่ต่างหากที่จักผลักเปรมให้ถอยห่างไปเอง” มือเรียวผอมยกแตะท่อนแขนของผู้มากวัยกว่า และเป็นแทบทุกครั้งเพียงสัมผัสเบาๆ เขารู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มประหนึ่งไฟสุมในร่างกายอสุเรนทร์

“คนรักกันมิว่าอีกฝ่ายจักเป็นคน เป็นผี เป็นปีศาจร้ายฤายักษ์ เขามิมานั่งสนดอกว่าจักรับได้ฤาเลือกจักห่างหายไป ท่านพี่เชื่อใจเปรมฤาไม่?” ชินกฤตเอ่ยถามพี่ชาย หากอีกฝ่ายส่ายหน้า

“ข้าเชื่อใจเปรมเสมอ”

“ถ้าเชื่อใจใยต้องกลัว ความจริงเป็นสิ่งมิตายแลความลับเองก็เช่นกัน มันมิเคยมีอยู่ในโลก หากคิดจักอยู่เป็นคู่ชีวิตกับเปรมจริงๆ ท่านพี่ต้องลองพิสูจน์แลข้ามผ่านสิ่งต่างๆไปให้ได้สิขอรับ”

“ต้องให้ข้ากล่าววาจาอีกสักกี่พันกี่หมื่นหน เจ้าย่อมเห็นที่ผ่านเป็นเช่นไรบ้าง คนที่ข้ารักแลคิดว่ารักข้าล้วนหนีหายไปหมดเพียงเพราะข้าเป็นยักษ์ที่แสนน่าเกลียดน่ากลัว มิใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป ข้าเข็ดหลาบมามากพอแล้วน้องรัก”

ความเงียบกรายเข้ามาเนิ่นนาน ชินกฤตถอยหลังไปยืนกอดอกพิงผนังตรงฝั่งประตู ปล่อยให้พี่ชายยืนมองความเวิ้งว้างของท้องนภาโดยลำพัง

“พวกนางก็คือพวกนาง หาได้เกี่ยวข้องกับเปรมสักนิด โปรดจงเชื่อมั่นในความรักของตนเองหน่อยเถิดขอรับ แลข้าก็เชื่อเปรมจักต้องเข้าใจแลยอมรับในตัวท่านพี่ได้เป็นแน่”

“...”

“ท่านพี่ทศ...”

อสุเรนทร์เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะกล่าวตอบ

 “ขอเวลาอีกแค่สี่วัน...สี่วันเท่านั้นแลข้าจักไปบอกเปรมด้วยตัวข้าเอง”

“อย่าเห็นแก่ตนสิขอรับ ไฉนต้องรอให้ครบสี่วันด้วย...ข้ามิอยากเสวนาคนดื้อดึงเช่นท่านพี่อีกแล้ว เชิญคุยปรับทัศนคติกันเอาเองก็แล้วกัน”

“หมายความ...”

“เขาอยู่ที่นี่...ยืนฟังพวกเราพูดตั้งนานแล้ว”

แสงแห่งดวงแก้วกลางคืนสาดส่องผ่านม่านผืนบาง สายลมที่โบกโชยชายพลันหยุดนิ่ง....ความเงียบมาเยือนชั่วขณะ...ไม่มีสรรพสำเนียงใดเล็ดลอดออกมา แม้กระทั่งลมหายใจของอสุเรนทร์

ประหนึ่งโลกทั้งใบหยุดนิ่ง

“เปรม...” ริมฝีปากขยับ ขณะโลกคล้ายหมุนทวนกลับ...สติลอยควะคว้าง ก่อนโรยตัวลงต่ำประดุจขนนกร่วงหล่นจากเบื้องสูง สายตาอันพร่ามัวราวมีหมอกหนาขวางกั้นค่อยๆกระจ่าง ชัดเจน...ร่างบางขยับเยื้องเข้ามาใกล้ทีละนิด...ทีละน้อยอย่างแช่มช้า ดวงหน้าหวานที่เขาหลงใหลหนักหนาบัดนี้กลับอยู่ตรงหน้า อยู่เพียงเอื้อม...ดวงเนตรสุกสกาวเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาและรินรดอาบแก้ม

อสุเรนทร์อยากจะเดินถอยห่างออกไป หากวินาทีนั้นดวงตาเรียวสวยของเปรมคล้ายมีอำนาจบางอย่างแผ่ซ่านออกมาสะกดหัวใจของพญารากษสไว้สิ้น ชายร่างสูงนิ่งชั่วขณะ ถอนหายใจ...ท้ายสุดมือแข็งแรงพลันขยับยื่นไปเบื้องหน้า ค่อยๆสัมผัสพวงแก้มของอีกฝ่าย ปาดคราบน้ำตาให้อย่างเบามือ

“เพราะแบบนี้สินะ พี่ทศถึงไม่ยอมไปหาและไม่ยอมให้เปรมมาที่นี่”

“...”

“ส่งให้คุณชินกฤตมาบอกแต่ตัวคนฝากกลับไม่เคยมาหาสักครั้ง”

“เปรม”

“พี่เห็นเปรมเป็นอะไร มีอะไรก็บอกกันบ้างสิ ไม่ใช่เก็บมันไว้อยู่คนเดียว”

“พี่ขอโทษ...”

“ฮึกๆ...รู้ไหมมันเจ็บนะ”

“พี่ขอโทษ อย่าร้องไห้เลย...ได้โปรด”

ก้านนิ้วใหญ่สัมผัสปลายนิ้วของคนรักก่อนรั้งอีกฝ่ายเข้าหาตัวอย่างช้าๆ มันเป็นกอดแรกในสิบวันที่ห่างกัน คิดถึง...คิดถึงแทบขาดใจ

“ทำไมไม่บอกกันตรงๆ”

“เพราะพี่กลัวไง” ริมฝีปากหนาขยับ “พี่กลัวน้องจะจากพี่ไป”

“แล้วเปรมไปหรือเปล่า”

“...”

“เปรมไม่ได้ไปไหน เปรมยังอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างพี่และเฝ้ารอทุกวันว่าเมื่อไหร่พี่จะมาหาเสียที แต่พี่ก็ไม่มา”

“พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ” อสุเรนทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ วงแขนแข็งแรงโอบคนร่างบางเข้ามากอดเอาไว้แนบอก เปรมหลับตายกเรียวแขนกอดตอบพร้อมซุกหน้าตรงลำอกอุ่นแล้วสะอื้นเบาๆ ถ้าวันนี้เขาไม่ขอร้องคุณชินกฤตให้พามาด้วย ก็คงต้องรอต่อไปอย่างคนไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยสินะ

“มีอะไรก็บอกกันสิครับ”

“ก็พี่กลัวเปรมจะหนีพี่”

“เปรมบอกแล้วไงครับว่าจะไม่หนีไปไหน ฟังนะ เปรมรู้...รู้หมดทุกอย่างแล้ว พี่ไม่จำเป็นต้องปิดบังมันอีกต่อไป...และไม่ต้องกลัวว่าเปรมจะรับไม่ได้ด้วย เพราะเปรมรักพี่ในแบบที่พี่เป็นอยู่อย่างนี้ ต่อให้กายของพี่คืออสุเรนทร์ นักธุรกิจหนุ่มชื่อดังของประเทศ หรือเนื้อแท้คือทศกัณฐ์ พญายักษ์ผู้ปกครองกรุงลงกา...”

“...”

“สำหรับเปรมก็รักทั้งนั้น”

ช้อนดวงตาหวานมองสบใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มให้ทุกครั้ง ดวงตาคมที่มักจ้องมองเพียงแค่เขาเสมอ สองมือที่คอยกอบกุมกันทั้งในยามสุขสมหวัง เหนื่อยล้า หรือสิ้นหวัง และหัวใจแกร่ง....ที่มั่นคงต่อเปมทัตคนเดียว

รักผู้ชายคนนี้....รักอย่างไม่มีเงื่อนไข

เปรมรู้ทุกอย่างนับตั้งแต่วันที่ดวงจิตกลับเข้าร่าง เพราะในวันนั้นวันที่ตนตื่นขึ้นมาสิ่งที่ได้ประจักษ์เต็มสองตาก็คือร่างกายที่เปลี่ยนไปของคนรัก เครื่องทรงสีเขียวทองยิ่งใหญ่ ดวงตาสีมรกตเจิดจ้า เขี้ยวมุกสีขาวบริสุทธิ์โค้งรับสมดุลกับมุมปากและทรงมงกุฎชัย เพียงแค่นี้มันบ่งบอกด้วยตัวมันเองอยู่แล้วตัวตนที่แท้จริงของอสุเรนทร์คือใคร ถามว่าตกใจไหม...เปรมก็คงตอบไม่ตกใจสักเท่าไหร่ เนื่องจากตัวเขาเองก็นึกสงสัยตั้งแต่ฟังเรื่องราวต่างๆจากสีดา เอะใจอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้คอนเฟิร์มว่าเป็นเรื่องจริง เพราะด้วยคำพูดคำจา ท่าทางการแสดงออกบวกนิสัยขี้ใจร้อน ขี้โมโห โดยเฉพาะรักแรงหวงแรงของอสุเรนทร์ มันไม่ต่างไปจากนิสัยของทศกัณฐ์สักนิดเดียว

ดีใจเสียอีกที่อสุเรนทร์คือทศกัณฐ์ ไม่ใช่พระราม

“น้องไม่กลัวเหรอ พี่เป็นยักษ์นะ”

“ยักษ์แล้วไงครับ พี่ทศเป็นคนบอกเองนี่นาว่ายักษ์บางตนก็ใจดี แถมหล่อมากด้วยอ่ะ” อสุเรนทร์ถึงกับหลุดยิ้มในคำพูดของคนในอ้อมกอด “ถ้าเปรมกลัว เปรมคงไม่ขอร้องให้คุณกฤตเขาพาเปรมมาที่นี่ตอนนี้หรอก”

หันไปหาน้องชาย ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านพี่ต้องเข้าใจหนา พอดีข้าเป็นคนแพ้ลูกอ้อนคนหน้าตาดี”

“แล้วอยากเจอลูกอ้อนข้าหน่อยฤาไม่”

“อุ้ย อย่าดีกว่าขอรับ ข้าเกรงใจ” ชินกฤตบอกมือปฏิเสธพัลวันเมื่อพี่ชายยกเท้าเตรียมเตะ ตัวที่ลีบเล็กอยู่แล้วพลันเล็กลงกว่าเดิม จนเปรมต้องตีไหล่หนาไปหนึ่งฉาด...กร่างจริงเชียว

“พี่นั่นแหละจะโดนไม่น้อย”

“อ้าว”

“ถ้าคุณกฤตไม่พามาก็จะปิดไปเรื่อยๆใช่ไหม”

“ก็....”

“เอาเป็นว่าเปรมรับได้ ไม่กลัวด้วย อีกอย่าง...มีแฟนเป็นยักษ์เท่จะตาย แถมเป็นราชายักษ์กรุงลงกา มีพลังทำลายล้างเหมือนเหล่ายอดมนุษย์ในมาร์เวล เจ๋งจะตาย” เปรมชูนิ้วโป้งยักคิ้วกวนใส่ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มหวานทำให้อสุเรนทร์รู้สึกโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาจากอกจนหมดสิ้น...เพราะอีกฝ่ายเป็นคนอย่างนี้สินะ พญายักษ์อย่างเขาเลยไปไหนไม่รอด

อสุเรนทร์คลี่ยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกในรอบสิบวัน ยื่นจับปอยผมที่ปรกหน้านวลแล้วบรรจงทัดหูให้อย่างแผ่วเบา สายตาที่ประกายระยิบระยับทำเอาร่างบางเผลอหลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนความแดงที่ปรากฏบนพวงแก้มโดยไม่ได้ตั้งใจ ร่างสูงใหญ่เชยคางมนขึ้นมองสบตาอีกครั้ง หัวใจดวงน้อยและหัวใจแกร่งพองโตเสมือนถูกเติมเต็มด้วยรักจนล้น รักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากคนคนนี้
ริมฝีปากอวบตึงทาบทับจูบแสนหวานลงบนหน้าผากเนียน เปลือกตาซ้ายและขวา แก้มแดงทั้งสองข้าง ปลายจมูก ปลายคางและปิดท้ายด้วยริมฝีปากที่บอบบางดั่งกลีบดอกไม้งาม หอมหวาน นุ่มละมุนจนอยากจะชิมมันอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ


แม้นโซ่ตรวนผูกมัดสักร้อยทุน
ใจมั่นมุ่งยังคลายทลายได้
แต่ใยรักบางเบาสักเท่าใด
ผูกพันไว้แนบสนิทนิจนิรันดร์



ชินกฤตที่ยืนมองดูอยู่ก็อดยิ้มดีใจออกมาไม่ได้ แค่เห็นพี่ชายมีความสุขเขาก็รู้สึกมีความสุขตามไปด้วย พยายามที่จะก้าวถอยออกมาเงียบเชียบที่สุด...เพราะไม่อยากเป็นกว้างขวางคอคนอื่นยามดอกรักผลิบานหวานชื่นเสียเท่าไหร่ ปล่อยให้พวกเขาใช้เวลาร่วมกันสองต่อสองน่าจะดีกว่า

นึกอิจฉาพี่ชายตนมิน้อย เมื่อไหร่กันนะที่เขาจะพบได้ใครสักคนที่รักเขาโดยไม่สนตัวตนแท้จริงเช่นนี้บ้าง ไม่จำเป็นต้องแสนดีเลิศเลอเท่าพ่อเปมทัต ไม่จำเป็นต้องสวยดั่งนางสีดา ขอเพียงมีใจรักมั่นแค่เขาก็พอแล้ว

“ฮ้าว...ไปนอนดีกว่าเรา”



จันทราที่เคยทอแสงมลังเมลืองเริ่มฉาดฉายกระจ่างใส ทอทาบองคาพยพของร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยความแข็งแรงแห่งมัดกล้าม สวยสมบูรณ์ดุจรูปสลักในเทพนิยายกรีก ผิวกายเขียวนวลผ่องอำพันยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งมวลบนโลกใบนี้ เปรมเคยเห็นรูปลักษณ์เช่นนี้มาก่อนตอนประสบอุบัติเหตุ แม้จะห่างไกลและเลือนรางแต่เปรมก็จำได้อย่างแม่นยำ

มีรักมากเป็นทุนเดิมก็ยิ่งรักเพิ่มเท่าทวีคูณ

“เปรมจ๋า” น้ำคำนุ่มหูก้องกังวานอยู่ในจิตของเปรม ร่างสูงเปลือยท่อนบนแสดงกล้ามเนื้อสมส่วนเยี่ยงชายชาตรี และเครื่องประดับวาวบนนิ้วทั้งสิบนิ้ว

“ครับ”

“น้องมีความสุขไหม”

“มากที่สุด” คนร่างบางเน้นคำช้าชัด “พี่ทศล่ะ”

“พี่มีความสุขทุกครั้งที่มีเปรมอยู่เคียงข้าง ขอบคุณที่เข้าใจ”

“เพราะความรักที่พี่ทศให้เปรมมา มันก็มากพอจะกลบเกลื่อนเรื่องต่างๆลงได้ รูปลักษณ์มันเป็นสิ่งนอกกาย แต่ใจพี่ต่างหากเป็นตัวตัดสิน”

อสุเรนทร์คลี่ยิ้มหวานยื่นสัมผัสข้อมือเล็กก่อนแสงแวววับและความเย็นวาบจากบางสิ่งจะทำให้เปรมต้องก้มมองดู
นั่น...!

“พี่เก็บมันไว้ เพื่อรอคอยวันที่ได้สวมให้กับเจ้าของของมันอีกครั้ง”

“พี่ทศ” ร่างบางเอ่ยด้วยสีหน้าตกใจเมื่อกำไลที่เขาคิดว่ามันน่าจะแตกเสียหายไปแล้วกลับยังคงสภาพเดิมไม่มีเปลี่ยน...ใบหน้าคมเข้มอมยิ้มก่อนก้มตัวประทับรอยจูบบนกำไลงามและแอ่งชีพจรหัวใจ

 “โอ้ความรัก      เสลาสลัก สวยใส
งามใดเล่างามใด      เทียบได้งดงามความรัก
จรดลึกในความทรงจำ    ลึกล้ำย้ำรอยสลัก
นิรันดรนั้นนานนัก       แต่รักนี้นานกว่านั้น”

“...”

“เปรมจ๋า”

“จ๋า...” ขานตอบรับด้วยน้ำเสียงหวานกังวานแว่ว

“ลมหายใจครึ่งหนึ่งของพี่เป็นของเจ้าแล้ว โปรดเก็บรักษามันไว้ให้ดีๆล่ะ”



ต่อด้านล่างเน้อ

ออฟไลน์ Lalita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ดวงหทัยแห่งจอมยักษ์พยักหน้ายิ้มรับคำ โผเข้ากอดคนรักของตนไว้แน่นด้วยอาการน้ำตารวยริน แค่นี้แหละที่อสุเรนทร์ต้องการ
ดวงแก้วโคจรขึ้นกลางฟ้า อาบโลกด้วยสีเหลืองนวลงามตานัก...แต่ทว่าแสงนั้นก็มิอาจเทียบเคียงได้กับเจ้าของเรือนร่างเพรียวบางที่อยู่ตรงเบื้องหน้า เรือนผมดำมะเมื่อมเป็นประกายเงาล้อมคลอเคลียใบหน้างามรูปประดั่งรูปปั้นประติมากรรมชั้นเอก ผิวกายขาวผุดผ่องเนียนละเอียด ริมฝีปากสีแดงระเรื่อเชิญชวนให้ลิ้มลอง...

อสุเรนทร์โน้มตัวลงมาบรรจงพิมพ์รอยประทับบนริมฝีปากหวานฉ่ำ เปรมหลับตาเงยรับความต้องการของอีกคนด้วยความเต็มใจ มือหนาเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางระหว่างประพรมจูบไปตามใบหน้า ขากรรไกรและซอกคอระหง เขาค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเปรมออกทีละชิ้น...ทีละชิ้นอย่างไม่รีบร้อน

อยากสำรวจประติมากรรมชั้นเอกที่โลกต้องจารึกอย่างละเอียดถี่ถ้วน...ทุกซอก...ทุกมุม

ร่างกายขาวนวลที่เคยเห็นมาหลายครั้งแต่ก็ยังชวนให้หลงใหลทุกครั้งชวนใจพญายักษ์เต้นตื่นระรัว มือข้างหนึ่งโอบรัดกายน้อยให้แนบชิด ขณะอีกมือหนึ่งเลื่อนไปตามสันหลังจนกระทั่งเอวถึงบั้นท้าย เนียนละเอียดยิ่งกว่าแพรพรรณชั้นเลิศ ขาวยิ่งกว่าไข่มุกจากใต้บาดาลของนางมัจฉา...และหอมเสียยิ่งกว่าหมู่มวลดอกไม้ เสียงครวญครางแสนหวานดังอื้ออึงในโสตคลอเคลียไปกับเสียงกรีดปีกร่ำร้องของแมลงกลางคืน...

หากเปรียบเทียบเปรมเป็นของหวานก็คงเป็นขนมเสน่ห์จันทร์ที่มีผลสุกสีเหลืองเปล่งปลั่ง  สวยงามและมีกลิ่นหอมชวนให้หลงใหล ยิ่งกินเท่าไหร่ก็อยากกินอีกไม่รู้จักเบื่อ เขาคิดอย่างนั้นมาโดยตลอด

ความนุ่มละมุนและหอมหวานมันยังคงแผ่ซ่านอยู่ในบนริมฝีปาก ลมหายใจอุ่นรินรดปลายจมูกเล็ก ปลุกเร้าให้อีกคนเสียวซ่านและถวิลหาเพียงแต่เขาคนเดียว สองมือลูบไล้ไปตามโครงร่างงาม แผ่วเบา...อ่อนโยน...เชื่องช้า แสงจันทราอร่ามที่อาบไล้เรือนกายเปลือยเปล่า มันยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าอสุเรนทร์ดูน่าหลงใหล เคลิบเคลิ้มและติดตราตรึงไปแสนนาน

พญายักษ์รั้งท้ายทอยเล็กขึ้นมาบดจูบด้วยความโหยหา ปลายลิ้นร้อนบดคลึงกลีบกุหลาบแดงและไล้ชิมความหวานจากโพรงปากน้อย มันช่างหวานลึกล้ำจนแทบจะเจียนคลั่ง

“อือ...พี่...ทศ”

เปรมหลับตาเม้มปากแน่นยามใบหน้าคมไล่เลียไปตามขากรรไกร ปลายคาง ลำคอ ไหปลาร้า ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ยอดสัตตบงกชที่ชูชันล่อตาล่อใจผึ้งภมรให้มาดอมดมและคลอเคลียไม่ห่างหาย ร่างบางบิดพลิ้วไปตามอารมณ์หวามไหว และยิ่งกระสันซ่านเมื่อก้านนิ้วหนาทั้งสองลากผ่านจุดสำคัญบริเวณด้านหลัง ดึงดันเข้ามาจนสุดแล้วก็แน่นิ่งอยู่ในร่างของเขา

เปรมอ้าปากหอบหายใจ

“อืม...”

เขาหอบหายใจเสียงดัง ทุกอย่างพร่ามัว สมองไร้การรับรู้จากสิ่งอื่นเว้นเพียงเสียงและสัมผัสของคนตรงหน้าเท่านั้น นิ้วใหญ่เริ่มเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ จากช้าก็ค่อยเพิ่มระดับความเร็วไปเรื่อยๆจนเปรมต้องกรีดร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ อสุเรนทร์กำลังทำให้เขาเป็นบ้า! 

สะโพกสวยบิดตัวเสียวกระสันเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถูกจุด มือข้างหนึ่งจิกเกร็งลงบนผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ ส่วนอีกข้างโอบไหล่กว้างเอาไว้ราวกับกลัวว่าร่างกายจะร่วงหล่นลงสู่ชั้นฟ้า เปรมพยายามหอบเอาอากาศเข้าปอดมากที่สุด...ปลายนิ้วที่รุกรานนั้นถอนออกไปแล้ว แต่ทว่าไม่นานนักก็ถูกแทนด้วยความยิ่งใหญ่สอดเข้ามาในร่างกายอย่างช้าๆ

“อ๊ะ!”

“พี่รักเปรมนะ”

“อ๊า พี่ทศ”

ท่วงทำนองแห่งความรักถูกบรรเลงไปอย่างอ่อนโยน ละมุนละไม ดวงหน้าสวยเงยขึ้นรับจูบก่อนปรือตามองรอยยิ้มของคนตัวโตกว่าด้วยพวงแก้มแดงจัด อสุเรนทร์โน้มตัวจูบอย่างแผ่วเบาที่หน้าผาก สองกายาที่สอดประสานเป็นท่วงทำนองเดียวกันนำพามาซึ่งเสียงครวญครางที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามันช่างเป็นเพราะพริ้งเสียเหลือเกิน ร่างน้อยหลับตาพริ้มปล่อยให้ใจล่องลอยไปดั่งสายน้ำหลาก ดื่มด่ำไปกับความสุขสมที่ได้รับ อสุเรนทร์ทำให้เขามีความสุขมากจนยากจะเปรียบเปรยออกมาเป็นคำพูดได้
ยอม...ยอมหมดแล้วทั้งตัวและหัวใจ

ห้องทั้งห้องร้อนระอุเมื่อไฟรักของทั้งสองโหมกระหน่ำลุกโชนอย่างไม่มีสิ่งใดสามารถดับไฟนั้นลงได้ ความคิดต่างๆนาๆแตกกระเจิง มีเพียงความรู้สึกจากการสัมผัส...เพียงแค่เรา

มือใหญ่วาดลงดึงรั้งกายบางอันร้อนรุ่ม เพิ่มกระแสความปรารถนาถึงขีดสุดก่อนสายธาราจะหลั่งไหลสาดกระจายจนหมดสิ้น อสุเรนทร์ล้มตัวทับคนร่างเล็กกว่า ใบหน้าซุกอยู่กับไหล่ของเขา


ข้างนอกยังคงมืดและเงียบสงัด เปรมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน สัมผัสหนักจากด้านหลังบ่งบอกว่าอีกคนยังอยู่ เขาใช้เวลาไปกับกับพลิกตัวหันเข้าหาอีกฝ่ายและสบตาคมอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที โครงหน้าที่ชอบ ดวงตาที่หลงใหล เปรมอยากจะเห็นมันทุกๆวัน

“พี่ทศ”

“...”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ขอให้พี่รู้ไว้ เปรมรักพี่เสมอและไม่มีวันเปลี่ยนใจเด็ดขาด” ดวงตาคู่สวยหวานหยดย้อยคลอไปด้วยน้ำตา ปลายนิ้วเกลี่ยเคราเขียวเบามือ ยื่นหน้าประทับจูบบนริมฝีปากอวบตึง

“เพื่อความรักของพวกเราเปรมจำเป็นต้องทำ”

“...”

“พี่รอเปรมหน่อยนะ”

“...”

“เปรมสัญญาเปรมจะรีบจัดการทุกอย่างโดยเร็วที่สุดและจะกลับมาหา กลับมาอยู่กับพี่ตลอดไป”


สุดท้ายรามเมนทร์ก็ทำได้เพียงมองดูอยู่ห่างๆ....

เจ็บปวดไหม....มันจะมีคำตอบอื่นอีกหรือนอกเสียจากเจ็บมากถึงมากที่สุด

เขาจำมันได้ดี....คำพูดของน้องชายยังคงกังวานมิรู้ลืม....


‘ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีความสุข หรือยอมเจ็บต่อไปอย่างไม่มีวันจบเพื่อให้ได้คู่กับเขา’

‘ไม่ว่าจะเลือกทางไหน...ยังไงคนที่เจ็บที่สุดคือตัวพี่เอง’

   

แพ้งั้นเหรอ....คนอย่างเขาเนี่ยนะกำลังพ่ายแพ้

“ไม่มีทาง”

ราเมนทร์สูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ก่อนผ่อนลมออกช้าๆ จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นมายาวนานสักเท่าใด ก็มิอาจทำให้หัวใจของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงได้

แต่ทำไมถึงไม่เป็นเขา...คนที่ได้รับโอกาสนั้น ทำไมต้องเป็นมันด้วย

เขามีอะไรดีน้อยกว่าไอ้ชาติพันธุ์ยักษ์นั่นหรืออย่างไร กี่ครั้งกี่หนแล้วที่นางสีดาแต่ละชาติภพเลือกรักมันมากกว่าคนดีๆอย่างเขา หากไม่ติดว่ามันเป็นอมนุษย์ เวรกรรมของพวกนางทั้งหลายที่ต้องเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร หรือถ้าเขาจิตใจดีมากพอที่จะยอมหลีกทางขอยอมเป็นผู้แพ้...มันผู้นั้นก็คงได้มีชีวิตคู่สุขสมดั่งปรารถนาตั้งแต่ชาติที่ห้าแล้วกระมัง!

ทศกัณฐ์ดีกว่าตรงไหน

และตัวเขาจะต้องเป็นผู้แพ้ไปถึงเมื่อไหร่

ราเมนทร์ย้ำถามกับตัวเอง มันมิใช่ครั้งแรกที่บังเกิด หากมันปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วน มันเจ็บปวด...จนต้องก้มหน้ากล้ำกลืนน้ำตา  บางครั้งก็อยากจะเลิกเกมบ้าๆนี่เสียที เพราะถึงดันทุรังแข่งต่ออย่างไร คนคนนั้นก็ไม่มีทางหันกลับมามอง หากที่สุดแล้ว...ก็มิอาจตัดใจได้ ด้วยความรู้สึกประการเดียว

เพราะรัก....

ผืนธรณิน อุทกธารา มหาสมุทร นภาลัยอันกว้างขวาง....ก็มิอาจเทียบได้กับความรักของเขาที่มีแด่บุรุษหนุ่มชื่อเปมทัต โอ้อกเอ๋ย....ตระหนักโดยแท้จริง... ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์เสมอ

แต่คนที่ทุกข์ต้องไม่ใช่เขา!!

ชายหนุ่มรูู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำผิดไปในกาลก่อนด้วยความหึงหวงและเอาแต่ใจของตน รู้สึกผิดที่ทำให้สีดาต้องร้องไห้และตีจากอย่างไม่มีวันหวนคืน

ส่วนหนึ่งมันก็คงเป็นเพราะเขาเอง....

อยากขอโทษ อยากขอโอกาสแก้ตัวสำหรับสิ่งที่เคยกระทำ รู้ว่าไม่อาจย้อนคืนวันเวลากลับไปแก้ไขเรื่องเหล่านั้นหรือเปลี่ยนใจคนร่างบางได้ แต่ก็อยากทำสักอะไรอย่างเพื่อพิสูจน์ให้น้องน้อยเห็นว่าเขาเองก็โหยหาและรักน้องน้อยไม่ต่างไปจากความรักที่ทศกัณฐ์มีให้เลยแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเดียว


พระน้องเอยเสียดายนัก ...พระวรพักตร์ดั่งดวงเดือน
หาไหนจะได้เหมือน.........ไม่มีแล้วในโลกีย์
มาตรแม้นจะหาดวง..........วิเชียรช่วงเท่าคีรี
หาดวงพระสุริย์ศรี............ก็จะได้ดุจดังใจ
จะหาโฉมให้เหมือนนุช......จนสุดฟ้าสุราลัย
ตายแล้วและเกิดใหม่........มิได้เหมือนเจ้านฤมล


-กาพย์นางลอย-


“คุณราม” เสียงแหลมใสดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างหนุ่มร่างสูงโปร่งที่นั่งกระดกน้ำสีอำพันอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์กะทัดรัดสำหรับติดตั้งในบ้านต้องเอี้ยวตัวหันมองคนมาใหม่ด้วยสายตานิ่งๆและหันกลับไปโดยไม่คิดสนใจอีก

ร่างเพรียวระหงของหญิงสาวยี่สิบเศษ ลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกันทรุดตัวลงนั่งข้างๆพี่ชายผู้มีพระคุณของเธอ เหลือบมองขวดเหล้าชื่อดังจากนอกที่เหลือไม่ถึงครึ่งกับใบหน้าแดงก่ำแสนราบเรียบ แววตาไร้ประกาย มีแต่ความเจ็บปวด เศร้าหมอง...มีเรื่องอะไรให้เครียดหนักหนากันนะ ตอนเช้ายังเห็นพูดกัดเธออยู่เลย

ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ราเมนทร์ก็เอาแต่เมินเฉยเธอราวกับว่าเธอเป็นธาตุอากาศที่มองไม่เห็น ไม่มีตัวตน ไร้ค่า จะพูดจะคุยแต่ละทีก็ต้องฝากคุณลักษณ์ไปบอกทุกครั้ง และสายตาคมนั่นเวลาสบกันทีไร มันมักแสดงออกมาในรูปแบบเดียวกันเสมอ...คือเกลียดชัง
นี่เธอทำอะไรให้เขาไม่ชอบใจอยู่หรือเปล่า

“ฉันอยากอยู่คนเดียว”

“ฉันก็ไม่ได้อยากเสวนากับคุณรามหรอกค่ะ แต่คุณลักษณ์เขาฝากให้ฉันมาบอกคุณว่าช่วยเลิกดื่มไอ้น้ำบ้าๆกลิ่นแรงนี่สักทีเถอะ กินตั้งแต่หัววันจนตอนนี้หัวค่ำยังไม่พออีกเหรอ อยากเป็นโรคตับแข็งตายหรือไง”

“ฉันรู้ประโยคสุดท้ายลักษณ์ไม่ได้เป็นคนพูด”

ชิ ฉลาดจริง....

“ก็นั่นแหละค่ะ แค่เตือนไว้ก่อน”

“นี่มันชีวิตของฉัน อยากทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน คนขออาศัยอย่างเธออย่ามายุ่ง” คนมากวัยกว่าตวัดเสียงใส่อย่างหงุดหงิดและหันกลับไปสนใจแก้วเหล้าของตนเองต่อ นานะเลยได้แต่แอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้แล้วลุกจากเก้าอี้ตวัดสายตาตอบกลับ

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับชีวิตสุขีของคุณนักหรอกนะคะถ้าคุณลักษณ์ไม่ขอมา คนอุตส่าห์พูดจาดีด้วยกลับทำนิสัยเสียใส่ รู้บ้างหรือเปล่าคะการที่คุณทำตัวขวางโลก มั่นหน้าแบบนี้แหละถึงไม่มีใครอยากอยู่ด้วย ต่อให้คุณมีแฟน หึ เชื่อเถอะคงไม่มีใครทนนิสัยคุณได้นานหรอก”

แก้วในมือชะงักก่อนจะถึงริมฝีปาก... ริมฝีปากระบายยิ้มเหยียดเจือปนด้วยความเศร้า นัยน์ตาสีเข้มแสนเย็นชา “ใช่สิ...เพราะฉันมันเป็นคนแบบนี้ไง ถึงไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ เป็นแค่คนเลวคนหนึ่งที่พ่ายแพ้ให้กับไอ้ยักษ์บ้านั่นมาโดยตลอด”

“...”

“ฉันผิดเหรอ...ตอบสิ ฉันผิดหรือไงเปรมถึงไม่รักฉัน ไม่เคยมองฉันเลย!”

เพล้ง!

“คะ...คุณราม”

นานะเบิกตากว้างด้วยความตกใจชะงัก เมื่อราเมนทร์ปาแก้วเหล้าลงบนพื้นเต็มแรง เศษแก้วชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ล้วนแตกกระจายไปทั่วสารทิศ ดวงตาแดงก่ำและเส้นเลือดที่ปูดโปนบริเวณขมับหนาทั้งสองด้านมันทำให้เธอกลัวจับใจ เรียวขาขาวก้าวถอยหลังไปตั้งหลักอยู่ห่างๆ เธอไม่เคยเห็นชายหนุ่มตรงหน้าแสดงกิริยาโผงผางดุดันราวสัตว์ป่าขนาดนี้มาก่อนสักครั้งจึงตั้งตัวไม่ถูกว่าควรทำอย่างไร และที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือน้ำตาสีใสลูกผู้ชายหยดแหมะลงไปในแก้วเหล้าพอดิบพอดี

“เฮ้คุณ ยังสบายดีใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงเบาหวิว

“เปรมบอกรักมันแล้ว รักไอ้ยักษ์ชั่วตนนั้นแล้ว...เขาไม่รักฉัน”

“คุณราม...”

“ต้องทำยังไงถึงให้ได้เขากลับมา เธอบอกฉันสิ ฉันควรทำยังไง”

“ใจเย็นๆนะคะ”

ราเมนทร์ก้มหน้ามองดูฝ่ามือตนเอง เพราะเจ้าตัวมิอาจทนดูเงารื้นที่แล่นขึ้นฉาบอยู่ในดวงตาตนผ่านกระจกสะท้อนได้อีก
ในวันที่กบินทร์เข้ามาบอกว่าเปรมบอกรักมันแล้ว บอกรักทั้งในร่างของอสุเรนทร์และทศกัณฐ์ อวัยวะสำคัญเช่นหัวใจก็เจ็บช้ำ ปวดร้าวระบมอย่างแสนสาหัสจนยากเกินพรรณนา นานหลายคืนต้องนอนนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลรินและซึมเข้าใบหมอนจนเปียกชุ่ม

คนทางนั้นจะรู้บ้างไหม พี่เจ็บ...เจ็บหัวใจเหลือเกิน

เปรมเลือกมัน...เลือกมาตั้งแต่แรก โดยที่เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูดหรือเข้าใกล้เพื่อแสดงความรักความจริงใจสักนิดเดียว เป็นแค่ตัวประกอบที่โฉบไปโฉบมาเพื่อเรียกสีสันให้คู่พระนางเท่านั้น ราเมนทร์อยากอ้อนวอนต่อองค์อินทร์เหล่าเทวาแลนางอัปสร โปรดจงช่วยเหลือให้รักนี้สมหวังด้วยเถิด เพราะลำพังแค่ตัวเขาเองก็ยากจะเอาใจนางคืนมาได้เหมือนเดิม

ความเงียบย่างกรายเข้ามาเยือนทั้งสองเนิ่นนาน จะมีบ้างคือเสียงถอนหายใจที่ดังเป็นระยะๆ ไม่ขาดตอน สุดท้ายหญิงสาวทนไม่ไหวจึงเอ่ยคำ

“นี่คุณ จะเงียบอีกนานไหม”

“ถ้าคนที่รัก เขาไปรักกับคนอื่น เธอจะทำยังไง” จู่ๆร่างสูงก็เอ่ยถามขึ้นมาเสียดื้อๆ นานะนิ่งชะงัก คล้ายใช้ความคิดก่อนจะตอบกลับไป

“ในความคิดเห็นของฉัน...มันขึ้นอยู่กับคุณด้วยว่ารักคนคนนั้นมากน้อยเท่าไหร่ ถ้ารักมากก็อาจต้องลองเสี่ยงดูอีกสักตั้ง หากรักน้อยหรือเป็นเพียงแค่ความคิดเผลอไผลก็ปล่อยเขาให้มีความสุขกับคนที่เขารักเถอะค่ะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา การตัดใจเป็นทางออกที่ดีที่สุด”

“ตัดใจ หึ เธอจะให้ฉันตัดใจทั้งๆที่ทนรอเขามานานอย่างนั้นเหรอ”

“ก็คุณถามความคิดเห็นของฉัน ฉันก็ต้องตอบไปตามในสิ่งที่ตัวเองคิดสิ...เอาจริงๆนะปล่อยคนนั้นไปเถอะค่ะ ถ้าเขารักคุณ สนใจคุณก็คงไม่ไปกับคนอื่นหรอก”

“แต่ฉันไม่อยากยอมแพ้”

“ความรักไม่ใช่เกมการแข่งขันที่จะหาผู้แพ้ชนะ แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึก ทุกอย่างล้วนถูกตัดสินจากหัวใจของคนกลางซึ่งแน่นอนต่อให้คุณแสนดีแค่ไหน ถ้าเขาไม่เลือกก็จบ”

“รู้ดีจังเลยนะ”

“ประสบการณ์สอนให้ฉันคิดเป็นน่ะ ว่าแต่...เขา เนี่ย ผู้ชายเหรอ คุณแอบรักผู้ชายเพศเดียวกันเหรอ”

“ผู้ชายแล้วยังไง” ราเมนทร์หรี่ตาอย่างนึกเอาเรื่อง

“แหม ก็ไม่ทำไมหรอกค่ะ แค่มันอะไรที่คาดไม่ถึงมาก่อนโดยเฉพาะผู้ชายหน้าตาดีเป็นถึงท่านประธานบริษัทมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างคุณ”

“ความรักมันไม่ได้กำหนดเพศนี่ว่าชายต้องคู่กับหญิง”

“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรคุณรามนี่นา”

“เธอพูดเหมือนหาเรื่อง”

“หาเรื่องตรงไหน”

“...ช่างมันเถอะ”

อะไรกัน....

นานะอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้วกรีดร้องออกมาดังๆเสียเหลือเกิน ทั้งชีวิตเธอพบปะพูดคุยกับผู้คนมาแล้วทุกเพศทุกวัย มีคุยง่ายบ้างยากบ้าง แต่ให้ตายสิจอร์จ ไม่มีคนไหนเลยที่กวนประสาทและเข้าใจยากเท่าผู้ชายที่ชื่อราม ฉายามิสเตอร์ซีจอมโฉด!

“เฮ้อ ฉันว่าคุณเมามากแล้ว ไปนอนเถอะค่ะ”

“ช่วยฉัน”

“คะ?” คิ้วเล็กขมวดมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ

“ได้โปรดช่วยฉัน”

“คุณจะให้ฉันช่วยอะไร”

“แยกเปรมออกจากมันให้ที”

“คุณว่าไงนะ”

“จะใช้วิธีไหนก็ได้ ขอแค่เขากลับมาหาฉัน”

 “No way! ไม่เด็ดขาด ฉันไม่ทำหรอกกับการขัดขว้างเส้นทางรักคนอื่น” หญิงสาวแหวใส่ทันที ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าขอความช่วยเหลืออะไรทุเรศๆ แบบนี้มาก่อน “คุณบ้าไปแล้วหรือไง มีสามัญสำนึกบ้างไหมเนี่ย”

“ก็เธออยากให้ฉันลองเสี่ยงดูสักตั้ง ฉันก็ทำตามสิ่งที่เธอแนะนำแล้วไง”

คนเสนอทางออกถึงกับสะอึกไปไม่เป็นเลยทีเดียว

“ที่ฉันบอกฝังนู้นต้องเล่นกับคุณด้วย คุณรามคะ...คุณจะขอร้องให้ฉันทำอะไรก็ได้ แต่สำหรับงานนี้ให้ฉันไปตัดสัมพันธ์รักคนอื่นฉันทำไม่ได้”

“แค่ครั้งเดียว อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

“...”

“ฉันอยากลองพิสูจน์อะไรบางอย่าง ถ้าหากมันผู้นั้นยังมั่นคงต่อรัก ไม่สนใจคนคุ้นเคยอย่างเธอ ฉันก็จะยอมตัดใจขั้นเด็ดขาดและไม่ไปวอแวหรืออยู่เป็นก้างขวางคอคนพวกนั้นอีก”

พระเจ้า นี่เขาเอาจริงใช่ไหม

“ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ไม่มีครั้งอื่น ฉันสัญญา” วิธีพูดและน้ำเสียงแสดงให้นานะรู้ว่า ชายหนุ่มจริงจังมากแค่ไหน แม้เธอจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับรักสามเศร้าเคล้าน้ำตานี้เลย แต่พอเห็นดวงตาอันเศร้าสร้อยก็อดสงสารและเห็นใจไม่ได้

“คุณรักคนคนนั้นมากเลยเหรอ”

“ทั้งรักและรู้สึกผิด ฉันอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการไถ่โทษเขา และฉันจะได้ไม่รู้สึกผิดไปมากกว่านี้”

“...”

“ขอร้องล่ะนานะ”

“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณเรียกชื่อฉันเลยนะคุณราม” นานะยกยิ้มกริ่มเล็กน้อยเมื่อร่างสูงเอ่ยออกมา เธอเขยิบเข้าใกล้และกอดอกถาม “แล้ว...ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ”

“เพราะเป็นเธอคนเดียวที่สามารถไขข้อพิพาทเหล่านั้นได้ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วฉันจะไม่ขอร้องอะไรเธออีกเลย” ราเมนทร์เงยมองหญิงสาวตรงหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมเหสีเอกของทศกัณฐ์ คนที่เคยแสดงความตัดพ้อ ตรอมใจจนตายเพราะสามีงี่เง่าเอาแต่นั่งเศร้าระทมเพราะการจากไปของนางสีดา...และยังเป็นคนที่เป็นผู้ให้กำเนิดพระชายาแห่งองค์ราม

นางมณโฑคือไพ่ใบเดียวที่เหลืออยู่ของเขา เป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ดวงฤทัยของพญารากษสแห่งกรุงลงกาและตัวชี้ชัดถึง
โศกนาฏกรรมความรักในตำนานระหว่างทศกัณฐ์ สีดาและพระรามว่าจะจบลงเช่นไร

นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ราเมนทร์จะเอาเปรมกลับคืนมาได้...ขอเหนื่อยอีกสักหน หากมันยังปรากฏผลเช่นเดิม เขาจะเป็นคนยอมแพ้เดินถอยออกมาเอง

“คุณ...อยากให้ฉันทำอะไร”

ราเมนทร์หยัดกายยืนขึ้นเต็มความสูง ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้มดีใจเจือความเศร้าน้อย

“งานเปิดตัวเครื่องเพชรของบริษัทรามาจิวเวอร์รี่สัปดาห์ที่จะถึง ฉันอยากให้เธอช่วยสวมเครื่องเพชรชุดสุดท้ายเดินปิดงานให้หน่อย”

“คุณคะ ฉันเป็นดีไซเนอร์นะคะไม่ได้เป็นนางแบบ ลองติดต่อคนอื่น...”

“ไม่...ต้องเธอเท่านั้น”

ประโยคของชายหนุ่มช้าชัดและขึงขัง โดยเฉพาะท้ายประโยค ‘เธอเท่านั้น’ ผู้พูดเน้นเสียงเสียจนเธอรู้สึกประหลาดใจ
“งั้นฉันขอเหตุผลหน่อย ทำไมถึงเลือกฉันให้เดินปิดงานของคุณ”

เพราะไม่มีใครเหมาะสมและคู่ควรกับถนิมพิมพาภรณ์ แห่งจอมนางลงกาเท่าเธอไงล่ะ



นั่นไง เอาแล้วไง
ในหัวมีอแแต่คำว่าปัญหา ปัญหา....พระรามนี่ยังไม่เลิกรา  :เฮ้อ:
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาต่อตอนใหม่ให้เน้อ
หากมีคำผิดบอกได้น้า
วันนี้ขอตัวไปก่อนเน้อออ  :bye2: :bye2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด