พิมพ์หน้านี้ - หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Lalita ที่ 10-12-2016 21:49:32

หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 10-12-2016 21:49:32
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 


สวัสดีทุกท่าค่าาา เราชื่อแตงกวา จะเรียนเราสั้นๆว่ากวาก็ได้
เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เรานำเอามาลงที่นี่(มือใหม่ฝุดๆ) หวังว่าทุกคนจะคอยเป็นกำลังและสนับสนุนผลงานของเรานะคะ

หากผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ ^^

เรื่องนี้เป็นกึ่งพีเรียด เกี่ยวกับโขนและตัวละครในรามเกียรติ เนื้อเรื่องจะเข้มข้น กินใจแค่ไหน ติดตามกันได้เลยค่าาา ^^








อารัมภบท







“พระราม หากวันนี้ข้ามิได้คร่าชีวิตเจ้า ข้าจักมิขอยอมตายเป็นอันขาด!” น้ำเสียงแผดกล้าเต็มไปด้วยโทสะยังคงดังกึกก้องไปทั่วอาณาเขตกว้างขวางสุดลูกหูลูกตา นัยเนตรสีเขียวมรกตดุดันและเกรี้ยวกราด หากวันนี้ไม่ได้สะสางความแค้นต่อกันจนถึงความตาย อย่าได้เรียกเขาว่า ทศกัณฐ์!

สองทัพใหญ่ระหว่างฝ่ายยักษ์ ผู้มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขาไกรลาส มีสีผิวหลากหลายทั้งแดง เขียว เหลือง ดำ แต่ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นสุดเห็นจะเป็นเขี้ยวอันแหลมคมที่โผล่พ้น ประดับอยู่มุมปากทั้งสองข้าง แผ่รังสีอำมหิต ความดุร้ายกระจายไปทั่วผืนธรณี จนทหารฝ่ายศัตรูบางส่วนถึงกับสั่นงกด้วยความกลัว

ฝ่ายมนุษย์และกองทัพลิงหากจะเทียบทางรูปร่างกับฝั่งตรงข้ามยังตกเป็นรองอยู่มาก ทว่าความเข้มแข็งของทหาร กำลังใจที่ได้จากผู้นำทัพอย่างเต็มเปี่ยม รวมถึงบรรดาผู้ติดตามผู้ซึ่งแข็งแกร่งดุจหินผา ฉลาด มีฝีมือมิยิ่งหย่อนไปกว่ากองทัพยักษ์แม้แต่น้อย ทำให้พวกทหารทั้งหลายต่างเชื่อมั่นและศรัทธาว่า ศึกในครานี้ฝ่ายตนต้องชนะฝ่ายพวกยักษ์อย่างแน่นอน

“อย่ามัวมุดหัวอยู่แต่ในกระดอง รีบเดินทัพมาให้ข้าได้ฆ่าเจ้าเสียพระราม เพราะเจ้า เจ้ามันมิสมควรอยู่ให้แผ่นดินแปดเปื้อนอีกต่อไป”

ร่างกำยำในรูปลักษณ์ที่แท้จริงปรากฏสู่สายตากองทัพยักษ์และกองทัพศัตรู เขามีกายสีเขียว มีสิบหน้า ยี่สิบกร ทรงมงกุฎชัยพร้อมเครื่องทรงสีทอง บ่งบอกถึงอำนาจบารมีของผู้นำทัพในครานี้ ไม่ต่างกันนักกับบุรุษอีกคนผู้ซึ่งมีผิวกายสีเขียวมรกต หากทว่ามีสองกรเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป ถือคันศร ซึ่งเป็นอาวุธที่ได้ประทานมาจากพระอิศวร รอยยิ้มน้อยปรากฏบนมุมปากหยัก

“ทศกัณฐ์เอ๋ย เหตุใดเจ้าถึงกล้าเอื้อนเอ่ยเช่นนั้นอีก ข้ามิใช่ฤาที่ต้องเป็นฝ่ายบอกเจ้า สีดาคือเมียข้า เป็นคนของข้า ส่วนเจ้า...ทศกัณฐ์...เจ้ามันคือตัวต้นเหตุที่ทำให้เรื่องทุกอย่างเลวร้ายลงอย่างมิน่าให้อภัย”

“เมียกระนั้นรึ” กษัตริย์แห่งกรุงลงกาพ่นลมลอดไรฟัน เก็บความหงุดหงิดไว้ในใจและกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน “สีดาก็เมียข้าเหมือนกัน เจ้าต่างหากที่เป็นผู้ผิดพระราม หากในวันนั้นเจ้ามิลอบบุกเข้าไปในวังข้ากลางดึก พร้อมพรั่งด้วยกำลังพลหน้าขนของเจ้า แลหากสีดามิวิ่งมาห้ามทัพเราทั้งสองฝ่าย นางก็คงมิต้องมาตายเช่นนี้ดอก” ดวงตาของทศกัณฐ์อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนึกถึงหน้านางอันเป็นที่รัก แม้นตัวเขาจะเจ้าชู้ มีเมียมายมายนับพันนับหมื่น ทว่านวลนางที่อยู่ในหัวใจเขามาโดยตลอดคือสีดาเพียงคนเดียว

กริชที่ปักลงบนอกซ้ายของนางยังคงฉายชัด ติดตราตรึงในส่วนลึกของดวงหทัย แววเนตรอันอ่อนโยน รอยยิ้มแลหยาดหยดน้ำตาอันไหลอาบแก้มนวลนางซ้ำแล้ว...ซ้ำเล่า ราวกับกำลังบอกเขาว่า นางรักเขา สีดารักทศกัณฐ์ มิใช่พระราม

มันทำให้เขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส...เจ็บปวดที่มิอาจรักษานางไว้ข้างกายได้

“ข้ารู้...เจ้ามาก่อน ส่วนตัวข้ามาทีหลัง หากแต่ความรักที่ข้ามีให้กับนางนั้น มันมิเคยยิ่งหย่อนไปกว่าเจ้าเลยสักเศษเสี้ยวเดียว” ทศกัณฐ์ปรายตามองศัตรูหัวใจแวบหนึ่งแล้วเงยมองท้องฟ้า "ถ้าจัดโทษ ก็ควรโทษสวรรค์ที่ช่างโหดร้ายกับข้านัก ให้นางมาเกิดเป็นลูกข้ายังมิพอ ยังต้องให้ข้าหลงรักนางในฐานะผู้เป็นเมียของฝ่ายศัตรูอีก"

“เจ้าอยากพูดอันใดกันแน่ทศกัณฐ์” พระรามหรี่ตามองผู้นำทัพฝั่งยักษ์อย่างสงสัย ปลายนิ้วสัมผัสจับคันศรมาวางขนาบข้างลำตัว

“ให้เกล้ากระหม่อมจัดการมันเลยฤาไม่” หนุมานที่ยืนทนฟังบทสนทนาทั้งสองมานานเกิดอาการกระวนกระวาย ร้อนในใจ อยากทะยานตัวเข้าไปซัดหน้าหนาๆของเจ้าทศกัณฐ์ใจหยาบ ที่มัวแต่พิรี้พิไรพูดจาวกไปวนมาจนน่ารำคาญรูหู จะปล่อยให้พญาวานรเผือกอย่างเขานิ่งเฉย คงเป็นไปไม่ได้

“นี่เป็นเรื่องระหว่างข้ากับทศกัณฐ์ เจ้ามิต้องยุ่ง”

“แต่...”

“เชื่อฟังข้าหนุมาน” เมื่อเห็นลูกน้องแสนซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อตนก้มหน้ายอมทำตามอย่างเงียบๆ พระรามจึงหันกลับไปเจรจาพาทีกับกษัตริย์แห่งกรุงลงกาอีกครั้ง “สิ่งที่เจ้าอยากพูดจงพูดมันเสียบัดนี้”

“ข้าแลเจ้า พวกเราต่างเป็นสามีนางทั้งคู่ ทว่าผู้ใดกันเล่าที่ครอบครองหัวใจของนาง”

“แน่นอนต้องเป็นข้า”

พระรามเอ่ยด้วยความมั่นใจ

“อย่ามั่นให้มากพระราม ข้าก็เป็นสามีนาง” พญายักษ์หนุ่มยืดตัวผายอกดูสง่า พระรามยืนนิ่ง ทว่าแววตากลับขุ่นลงอย่างชัดเจน

“ไหนๆเราทั้งสองฝ่ายต่างก็ได้รับพรจากพระอินทร์ให้มีชีวิตเป็นอมตะ มิมีวันตาย เหตุไฉนเรามิใช้ศึกในครานี้เป็นตัวตัดสิน ชี้ขาดกันไปเลยเล่า ว่าผู้ใดกันแน่ที่เหมาะสมแลคู่ควรกับสีดามากกว่ากัน” ทศกัณฐ์ยื่นข้อเสนอตามที่พิเภกวางแผนเอาไว้ ภายในใจร่ำร้องอ่อนแรง เขาไม่อยากสูญเสียอะไรมากกว่านี้แล้ว ทั้งกรุงลงกา ชีวิตพี่น้องร่วมสายเลือด บรรดาลูกๆ รวมถึงทหารที่เป็นข้าทาสบริวารคอยรับใช้ ทศกัณฐ์รับรู้ชะตากรรมอันใกล้ของตน หากเขายังเลือกที่จะทำศึกสงครามกับพระราม ชีวิตคงได้ดับสูญตลอดกาล

 “ศึกรักรึ น่าสนใจ...น่าสนใจ” พระลักษณ์กอดอกยืนยิ้ม ไม่เคยคิดคนอย่างทศกัณฐ์ที่มีนิสัยหุนหันพลันแล่น โมโหร้ายจะคิดอะไรดีๆเป็นเหมือนคนอื่นเขาด้วย คับคล้ายเจ้ายักษ์กำลังบอกเป็นนัยๆว่าฝ่ายมนุษย์และฝ่ายยักษ์ควรยุติลงเสียที ไม่มีการต่อสู้ให้เสียเลือดเสียเนื้อกันอีก นอกจากเสียเวลาคิดแผนการเกี้ยวพาราสีแม่นางสีดาในภพชาติต่อๆไป

เพราะอำนาจแห่งรัก จึงทำให้คนคนหนึ่งเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนี้เชียวหรือ ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก

“น้องว่าอย่างไร” พระรามเอ่ยถามน้องชายของตน

“ตามความคิดข้า สิ่งใดที่ทำให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุดต่อประชาชนเรา บ้านเมืองเรา ข้าเห็นด้วยทั้งนั้น”

“...”

“หากท่านพี่รักสีดา อยากครอบครองทั้งหัวใจแลกายนางอีกครั้ง ท่านพี่ต้องตอบรับคำมันผู้นั้น” สีดาคือคนเดียวที่พระรามรัก แน่นอนเขาย่อมพยักหน้าตอบตกลงทศกัณฐ์ทันทีที่ปรึกษากับพระลักษณ์จนแน่ใจแล้ว

เขาจะไม่ยอมให้นางตกเป็นของไอ้ยักษ์เจ้าเล่ห์นั่นอีกเป็นอันขาด ศึกแห่งศักดิ์ศรีที่เดิมพันด้วยความรักและหัวใจ

“ตกลง แต่ข้ามีข้อแม้ แลเจ้าต้องรับปากข้าข้อหนึ่ง”

ทศกัณฐ์ยืนกอดอกฟังอย่างเงียบๆ

“ถ้านางรักเจ้า ข้าจักขอมิยุ่งเกี่ยวกับพวกเจ้าอีก” เว้นวรรคลมหายใจชั่วครู่ “แต่ถ้านางรักข้า ทศกัณฐ์...เจ้าต้องให้นางเป็นคนปักกริชลงบนหัวใจเจ้าด้วยตนเอง”

“พระราม เจ้า! สามหาวนัก!” อินทรชิตเท้าสะเอว ชี้หน้าใส่พระรามอย่างโมโหโกรธา ต่ำช้านัก บังอาจตั้งข้อบังคับขู่เข็ญให้พระบิดาเขาต้องตอบตกลง ช่างเป็นมนุษย์ที่มีดีเพียงเปลือกนอกเสียจริง

“ได้ ข้าน้อมรับคำขอของเจ้า”

“พระบิดา! เหตุใดจึงตอบรับคำของมันเช่นนั้น โปรดคิดดูใหม่เถิด”

“พ่อมิเป็นกระไรอินทรชิต” คนมากวัยกว่ายิ้มอ่อนให้ลูกชาย

“แต่ข้ามิใคร่เห็นด้วย ที่มันอาจหาญกล่าววาจาเช่นนี้เป็นเพราะมันอยากฆ่าพระบิดาให้ตายต่างหากเล่า!”

“เจ้ามิเชื่อมั่นในตัวพ่อเจ้าฤาอินทรชิต มิว่าอย่างไรพ่อก็ต้องได้ครอบครองหัวใจของนางอยู่แล้ว” ขนาดชาตินี้เขายังสามารถทำให้นางปันใจให้ได้ นับประสาอะไรกับชาติต่อๆไปล่ะ 

“แต่พระบิดา...”

“อย่าลืม พ่อเจ้าเป็นผู้ใด มิว่าต้องใช้เล่ห์กล มารยาร้อยเล่มเกวียนเฉกเช่นอิสตรี หากมันทำให้พ่อได้ครอบครองทั้งกาย วาจาและใจนาง พ่อก็จักทำ”

ทศกัณฐ์ยกยิ้มมุมปาก



ศึกนี้พ่อต้องชนะพระราม





ถูกใจก็เม้นให้กำลังใจด้วยน้าาาา ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา^^
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่ ๑:
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 10-12-2016 22:02:24
บทที่ ๑






พิธีกร: สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน บทสัมภาษณ์ของเราในวันนี้ ต้องขอออกตัวบอกไว้ก่อนเลยค่ะว่า เอ็กซ์คลูซีฟสุดๆ เพราะวันนี้ทางนิตยสาร Man Look ของเราได้เชิญแขกพิเศษคนหนึ่งมาเพื่อร่วมพูดคุยแบบส่วนตั๊วววววว ส่วนตัว ฮั่นแน่ อยากรู้ใช่ไหมคะว่าเขาคือใคร งั้นเราไปร่วมพูดคุยกับหนุ่มหล่อคนนี้กันดีกว่าค่ะ สวัสดีค่ะคุณทศ

อสุเรนทร์: สวัสดีครับ

พิธีกร: แนะนำตัวกับผู้อ่านหน่อยสิคะ

อสุเรนทร์: อ่า ครับ ผม อสุเรนทร์ อมาตยสูร เรียกสั้นๆว่าทศก็ได้ครับ อายุก็...แก่มากแล้ว(หัวเราะ)

พิธีกร: แหม เป็นการแนะนำตัวที่สั้นมากเลยนะคะ แต่ที่ว่าแก่เนี่ย ยี่สิบปลายๆหรือเปล่าคะคุณทศ

อสุเรนทร์: ผมสามสิบเจ็ดแล้วครับ

พิธีกร: ไม่อยากจะเชื่อว่าอายุเลยเลขสามไปแล้ว แต่เอาเถอะค่ะ ต่อให้คุณห้าสิบ พวกผู้หญิงอย่างเราก็ยังรักและคลั่งไคล้คุณอยู่ดี

อสุเรนทร์: คลั่งไคล้ได้ แต่อย่ารักผมเลยครับ

พิธีกร: ทำไมล่ะคะ

อสุเรนทร์: ผมก็ผู้ชายทั่วไป ไม่ได้มีดีอย่างที่ทุกคนคิดหรอกนะครับ

พิธีกร: ค่ะไม่ดีก็ไม่ดี งั้นเรามาเริ่มคำถามแรกเลยดีกว่า ได้ข่าวว่าบริษัท RAVANA Ent. ของคุณทศนั้นได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการจัดแสดงโขนที่สร้างชื่อเสียงล้นหลามทั่วโลกอย่าง กำเนิดทศกัณฐ์ มาคราวนี้คุณกลับมาใหม่อีกครั้งหลังจากหายหน้าหายตาไปนาบเกือบห้าปี ช่วงที่คุณหายไปคุณไปทำอะไรหรือคะ

อสุเรนทร์: ผมใช้เวลาห้าปีที่ผ่านมาไปกับการศึกษาค้นคว้า ประวัติของตัวละครที่ชื่อทศกัณฐ์อย่างละเอียด ว่าตัวละครนี้มีลักษณะอย่างไรบ้างทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญทั้งในประเทศและต่างประเทศ เมื่อผมมีข้อมูลมากพอ ผมก็เลยอยากนำเสนอเรื่องราวของเขาให้ทุกคนได้รู้จักมากขึ้นน่ะครับ

พิธีกร: ดูคุณจะให้ความสนใจในตัวทศกัณฐ์มากเลยนะคะ

อสุเรนทร์: ครับ ผมสนใจเรื่องราวของเขามากกว่าตัวละครอื่นๆ ถึงแม้คนทั่วไปจะรู้จักเขาในนามพญายักษ์ผู้ครองกรุงลงกา ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ โหดร้าย แต่พวกคุณรู้ไหม สิ่งที่ผมค้นพบ มันทำให้ผมประหลาดใจ จะมีใครรู้บ้างว่าต้นฉบับ ตัวตนแท้จริงของทศกัณฐ์ก็ไม่ต่างอะไรกับพระลักษณ์ พระรามเลย ทรงคุณค่าและมีความดีงามซ่อนอยู่ ผมเลยใช้โอกาสนี้เตรียมจัดการแสดงโขนเรื่องใหม่ โดยใช้ชื่อว่า หทัยทศกัณฐ์ เพราะอยากให้ทุกคนมองเห็นถึงหัวใจของผู้นำฝ่ายยักษ์บ้าง

พิธีกร: งั้นคุณทศช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมคะ ว่า หทัยทศกัณฐ์ มีเรื่องราวเป็นยังไง แล้วแตกต่างกับโขนเรื่องอื่นมากน้อยแค่ไหน

อสุเรนทร์: หทัยทศกัณฐ์ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากกำเนิดทศกัณฐ์ แต่ทว่าเน้นและเจาะจงให้เห็นลักษณะนิสัยของตัวละครที่ชื่อทศกัณฐ์มากกว่าเดิม นำเสนออีกด้านของตัวละครตัวนี้ที่ยังไม่ค่อยมีใครเคยได้รู้ ว่าสิ่งที่เขาเป็น ที่ทุกคนเคยเห็นกันในเรื่องรามายณะ นั้น มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของทศกัณฐ์ทั้งหมด ไม่แน่นะครับ หลังจากดูการแสดงจบ พวกคุณอาจจะหลงรักทศกัณฐ์อย่างที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้ก็ได้

อสุเรนทร์: และถ้าจะให้ผมเล่าย่อๆ ก็คงจะพูดถึงตัวเอก ทศกัณฐ์ที่เป็นพญายักษ์ผู้เกรียงไกร แต่หัวใจเขากลับหลงใหลและรักในรูปงามของนางสีดา ซึ่งก็คือพระชายาของพระราม ด้วยความปรารถนามาเป็นของตนจึงให้มารีศปลอมเป็นกวางทอง และใช้โอกาสพระราม พระลักษณ์ไม่อยู่ลักตัวนางไปอยู่กรุงลงกา

พิธีกร: อ้าว ก็ไม่เห็นต่างจากต้นฉบับเลยนี่คะ

อสุเรนทร์: ผมก็ไม่ได้บอกว่าเปลี่ยนเนื้อเรื่องนี่ครับ แค่เน้นเรื่องราวของทศกัณฐ์มากขึ้นเท่านั้น

พิธีกร: เหตุผลหลักคือคุณทศต้องการสื่ออีกแง่มุมหนึ่งของทศกัณฐ์ให้คนหลายคนได้เห็นใช่ไหมคะ ถึงจะเป็นยักษ์ร้ายแต่ก็ยังมีมุมอ่อนโยน ไม่ได้มีแค่ความแข็งกร้าว ดุดันอย่างเดียว ใช่หรือเปล่า

อสุเรนทร์: ใช่ครับ(ยิ้ม) สำหรับผมทศกัณฐ์น่ะ...แม้จะทำตัวร้าย แสนโหดเหี้ยมต่อศัตรู ฆ่าผู้อื่นได้อย่างเลือดเย็น ทว่าเมื่อใดที่เขาอยู่กับนางสีดา เขาจะเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่ยอมทำทุกอย่างให้คนรักมีความสุข(ยิ้มหวาน) แม้กระทั่งเรื่องน่าอายที่ผู้ชายเขาไม่ทำกัน(หัวเราะ) นี่ถ้าพวกคุณได้ดูโขนเรื่องนี้นะ รับรองคุณจะต้องหลงรักทศกัณฐ์มากกว่าพระรามอย่างแน่นอน

พิธีกร: แหม ย้ำกันเสียขนาดนี้ ไม่ไปดูคงพลาดมากแน่ๆ แล้วแบบนี้นางสีดาในเรื่องคงตัดสินใจยากแล้วสิเนี่ย จะเลือกใครดีระหว่างทศกัณฐ์กับพระราม ถ้าเป็นดิฉันนะคะคุณทศ ฉันจะเลือกคุณ

อสุเรนทร์: ผมไม่เกี่ยวหรือเปล่าครับ(หัวเราะ) ผมก็แค่ทศ เจ้าของบริษัทที่จัดแสดงโขนให้ทุกคนได้ร่วมชมก็เท่านั้น ไม่ได้เป็นทศกัณฐ์ผู้ยึดมั่นต่อความรักคนนั้นเสียหน่อย

พิธีกร: ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร ผู้หญิงทั่วประเทศก็ยังอยากเป็นของคุณอยู่ดีแหละค่ะ ว่าแต่มีคนรู้ใจหรือยังคะ

อสุเรนทร์: ถามอย่างนี้เลยเหรอครับ(หัวเราะ)

พิธีกร: แน่นอนสิคะ Man Look ของเราเสียอย่าง

อสุเรนทร์: ถ้ากล้าถามผมก็กล้าตอบ

พิธีกร: ฉันใช่ไหมคะ

อสุเรนทร์: ผมมีใครบางคนอยู่ในใจแล้วล่ะครับ เหลือแค่เจอกันแล้วให้เธอตอบรับรักของผมแค่นั้นเอง

พิธีกร: ว้าว อย่างนี้ผู้หญิงที่หลงรักคุณก็ใจสลายหมดสิคะ


อสุเรนทร์: ต้องขอโทษด้วยนะครับ หัวใจผมไม่สามารถรับใครไว้ได้อีก

พิธีกร: อิจฉา อิจฉาเธอคนนั้นอย่างแรงเลยล่ะค่ะ ถ้ายังไงก็ขอให้เธอตอบรับรักคุณทศเร็วๆ ไม่แน่นะคะท่านผู้อ่าน อาจจะมีงานแต่งของประธานบริษัทรูปหล่อเกิดขึ้นในเร็ววันก็เป็นได้

อสุเรนทร์: ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น ชีวิตโสดมันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่เลย

พิธีกร: แค่รับรักดิฉันก็ไม่โสดแล้วค่ะคุณทศ

อสุเรนทร์: ไม่ดีกว่าครับ เกรงใจ

พิธีกร: ช่างโหดร้ายเหลือเกิน เอาเถอะค่ะ ดิฉันยังมีผู้ชายในฝันอยู่ในหัวใจอีกเยอะแยะ สุดท้ายนี่ มีอะไรอยากจะฝากกับผู้อ่านหรือเปล่าคะ

อสุเรนทร์: เราจะเปิดการแสดงหทัยทศกัณฐ์รอบแรกในสามเดือนข้างหน้า ผมอยากให้ทุกคนลองเข้าไปชมการแสดงโขนเรื่องนี้ จะได้รู้ว่ายักษ์ที่ใครว่าร้ายนั้น ก็มีความดี ความน่ารักซ่อนอยู่เหมือนกัน

พิธีกร: ขอบคุณที่เสียสละเวลาอันมีค่าให้เราทำการสัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟนะคะ วันนี้ดิฉัน รินดาและคุณทศ ขอตัวไปก่อน แล้วพบกันใหม่กับบทสัมภาษณ์คราวหน้า สวัสดีค่ะ




ท่วงทำนองดนตรีไทยบรรเลงขับขานเป็นเพลงหน้าพาทย์ดังแว่วออกมาจากด้านในหอประชุม ชายหนุ่มในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์เนื้อดีกำลังยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้าประตูทางเข้า นิ้วมือทั้งสิบล้วนแข็งเกร็ง ฟันขาวสะอาดเรียงตัวสวยขบริมฝีปากล่างด้วยความประหม่า

ถ้าไม่ได้งานนี้ ปู่ต้องไล่เขาออกจากบ้านแน่ๆ

เพราะทางบ้าน เรียกว่าทั้งตระกูลเลยดีกว่าต่างสืบทอดศิลปวัฒนธรรมที่คนไทยทุกคนรู้จักกันดีในนาม โขน จากรุ่นสู่รุ่น และตอนนี้มันก็ถึงคิวของชายหนุ่มที่จะต้องสืบสานต่อจากบรรพบุรุษต่อเสียที

เปมทัต โรจนวาทิตย์ หรือเปรม ชายผู้ซึ่งมีความลึกซึ้งและผูกพันกับศิลปวัฒนธรรมไทยแขนงนี้มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจากท้องแม่ เขาถูกเสี้ยมสอนจากคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย รวมถึงคนเป็นพ่อแม่ให้รู้จักคุณค่าของนาฏกรรมโบราณ พวกท่านเคยบอกเขา
อย่าทิ้งสิ่งมีค่าที่บรรพบุรุษให้มา ต่อให้คนอื่นเลือกที่จะลืมเลือน แต่เราจงเป็นคนสานต่อความตั้งใจของคนรุ่นเก่าสืบไป
เปรมทราบดี ต่อให้ปู่ไม่บอกกล่าว เขาก็เลือกที่จะสืบสานต่ออยู่แล้ว การที่เกิดและโตมากับสิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเห็นถึงคุณค่าของมันดีกว่าใครอื่น ต่อให้โลกเจริญก้าวหน้า มีสื่อยุคใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ไหนเลยจะสร้างความประทับใจได้เท่ากับศิลปะเก่าแก่ที่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่โบราณหลายร้อยปี

“ใครชื่อเปมทัตครับ”

ทีมงานกรมศิลป์เอ่ยเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด เปรมยกมือขึ้นโชว์เหนือหัว “ผมครับ ผมชื่อเปมทัต”

“อ่า...อย่างนั้นตามผมเข้ามาเลยครับ ท่านครูกำลังรอคุณอยู่”

“ครับ”

ทันทีที่เดินตามทีมงานชายเข้ามาด้านหลังโรงละครใหญ่ เปรมรู้สึกขนลุกเพราะบรรยากาศที่หนาวซู่ซ่า ไม่รู้ทางทีมงานตั้งใจเร่งเครื่องปรับอากาศให้มันหนาวเหน็บอย่างนี้หรือเป็นเพราะอย่างอื่นกันแน่ ตลอดทางเดินเปรมไม่ได้พูดหรือซักไซ้ถามอะไรเลยสักอย่าง ทางผู้ชายคนนั้นก็เช่นกัน บางทีเขาก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย

“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ามีคนเข้ามาสมัครเยอะหรือเปล่า” เปรมตัดสินใจถามหลังจากทนเดินเงียบมาตลอดทางไม่ไหว

“แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ”

“ผมถามคุณอยู่นะคุณทีมงาน ไม่ได้ให้คุณถามกลับ”

“ก็เยอะ”

“คุณพอรู้ไหม ว่ายังมีบทไหนที่ยังว่างอยู่บ้าง”

“ถ้าหมายถึงบทละครของกรมศิลป์ ก็...เต็มทุกบท”

“อ้าว” เปรมเผลออุทาน ชะงักการเดินและหันมองทีมงานหนุ่มที่เดินนำห่างออกไป ในเมื่อรับคนเต็มทุกบท อย่างนั้นการที่เขามาส่งใบสมัครในวันนี้ก็ไม่มีความหมายน่ะสิ

“อย่ากังวลไป ถึงบทละครโขนทุกเรื่องของเราจะเต็มหมด แต่บทละครของผู้จัดท่านอื่นก็ยังเปิดรับสมัครนักแสดงอยู่นะครับ” ทีมงานพูดเสียงเรียบก่อนจะบิดลูกประตูออกเล็กน้อย พอให้แสงเรืองรองจากด้านในโผล่พ้นจากช่องแคบๆนั่น “เดี๋ยวเดินเข้าประตูทางด้านขวาได้เลยนะครับ ผมขอส่งคุณเปมทัตแค่นี้”

“อ่าครับ ขอบคุณมาก”

แล้วเจ้าตัวก็หันหลังเดินกลับออกไปเฉย ไม่มีแม้แต่ยิ้มตอบรับคำขอบคุณจากเขาเลยสักนิด เล่นเอาคนที่กำลังส่งยิ้มให้นี่สิถึงกลับต้องหุบยิ้มฉับพลัน คนอะไรมนุษย์สัมพันธ์แย่จัง



สิ่งที่สะดุดตานับตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้ามาในห้องกว้างขวาง  นักดนตรีหลายชีวิตนั่งประจำเครื่องดนตรีของตนเองอย่างเป็นระเบียบ ตู้โชว์หัวโขนฝ่ายมนุษย์ ฝ่ายลิงและฝ่ายยักษ์เก็บไว้ตามมุมห้องทั้งสี่มุม โดยหัวโขนยักษ์แยกกับหัวโขนลิง  หรือไม่ก็ต้องวางไว้คนละด้าน คั่นกลางด้วยหัวโขนฤๅษี 

เปรมพอรู้จากปู่มาบ้าง ตามความเชื่อโบราณหัวโขนทั้งสองฝ่ายห้ามนำมาเก็บรวมกันโดยเด็ดขาด เพราะยักษ์และลิงเป็นปริปักษ์ต่อกัน อาจทำให้เกิดเรื่องไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

ผ้าม่านสีน้ำตาลแซมลายกนกสีทองบางเบาปลิวไสวไปตามแรงลมของเครื่องปรับอากาศ  ความงดงามพิจิตรของหัวโขนแต่ละหัวทำให้เปรมลอบมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ ถ้ายกโทรศัพท์มาถ่ายเก็บเอาไว้ได้ เขาจะขอถ่ายจนกว่าแบตจะหมดเลย

“ดูท่าเอ็งจะสนใจหัวโขนมากกว่าข้านะเจ้าหนุ่ม” ชายชราเอ่ยทักในขณะนั่งเอนพิงหมอน เหยียดขาตรงอยู่บนตั่งไม้สักทอง เปรมที่มัวแต่สนใจสิ่งของรอบด้านยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อยก่อนจะยกมือไหว้ชายชราด้วยท่าทีนอบน้อม

“สวัสดีครับครู”

“ชื่ออะไรล่ะ”

“เปมทัต โรจนวาทิตย์ ครับครู หรือจะเรียกว่าเปรมก็ได้” เปรมตอบเสียงเบา แต่ก็ทำให้ชายชรายิ้ม

“ผู้ให้ความรักงั้นเรอะ ไม่เลวๆ” เจ้าของชื่อลอบยิ้ม มันเป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ เปรมรู้สึกภาคภูมิใจ เพราะเขาคือผู้ที่ให้ความรัก และคนที่รับความจากเขาก็ล้วนมีความสุข อิ่มเอมใจกันแทบทุกคน “นี่เจ้าหนุ่ม...เอ็งเป็นอะไรกับครุฑ โรจนวาทิตย์หรือเปล่า”

“เป็นปู่ผมเองครับ”

“จริงเรอะ ฮ่าๆ โลกนี้ช่างกลมแท้ พอดีข้าเป็นเพื่อนเก่าแก่มันเอง ว่าแต่มันสบายดีใช่ไหม”

“คุณปู่สบายดีครับ” เขายิ้มตอบชายชรา รู้สึกตะลึงไม่ใช่น้อย เมื่อชายชราตรงหน้า บรมครูชั้นเอกมีชื่อเสียงแห่งกรมศิลป์ เจ้าของโรงละครโขนรู้จักกับปู่ของเขา โลกมันคงกลมอย่างที่ครูท่านว่าจริงๆ

“ข้าชื่อเหนือ เอ็งจะเรียกข้าว่าครูเหนือ หรือปู่เหนือก็ได้” ยกยิ้มเพิ่มเล็กน้อย “แต่ใจจริงข้าอยากให้เอ็งเรียกข้าว่าปู่มากกว่า ไหน...ลองเรียกข้าปู่เหนือสิ”

“ครับ ปู่เหนือ”

ชายชราเปล่งเสียงหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ “เออ ดีๆ เรียกต่อไปนะข้าชอบ”

“ครับ”

“ข้าล่ะแปลกใจนักที่เห็นคนรุ่นใหม่ หน้าตาดีอย่างเอ็งมาที่นี่ด้วย โดนปู่เอ็งบังคับมาล่ะสิใช่ไหม”

“ไม่เลยครับ ผมเต็มใจมาเอง”

บรมครูกรมศิลป์เลิกคิ้วสูง “คนรุ่นใหม่อย่างเอ็งเนี่ยนะ สนใจศิลปะเก่าแก่ โบราณ คร่ำครึ? เป็นไปได้หรือวะ”

“ก็ไม่เห็นจำเป็นที่คนรุ่นใหม่ต้องลืมเลือนสิ่งมีค่าที่บรรพบุรุษมอบให้เลยนี่ครับ ใครจะหาว่าเป็นของเก่า ควรเก็บไว้บูชาบนหิ้งก็ช่างเขา แต่ผม...ผมภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านี้และอยากสืบสานต่อไปถึงลูกถึงหลาน”

ดวงตาชายชราประกายวาบวาบอย่างถูกใจในคำตอบ “ตอบได้ดีๆ แล้วเอ็งอยากแสดงอะไรให้ข้าดูล่ะเจ้าหนุ่ม”

“หนุมานครับ”

“งั้นก็แสดงมา”

เปรมเดินไปคุยกับนักดนตรีเรื่องเพลงตอนที่ต้องการแสดง สูดลมหายใจเข้าและปล่อยออกมายาวเหยียด ยกมือไหว้ครูบาอาจารย์ ไม่นาน...เสียงปี่ในก็ดังขึ้น

การแสดงโขนชุดเล็กตอนหนุมานจับนางเบญจกายเปิดฉากขึ้น ถึงแม้จะไม่มีนางเบญจกายให้ไล่ตามหากเปรมกลับสามารถแสดงท่วงท่าของหนุมานออกมาได้ดี ด้วยลีลา ท่วงท่ากระฉับกระเฉงไปตามทำนองเพลงเชิดนอก

ชายชราอมยิ้ม มองดูอย่างประทับใจ ไม่เลวทีเดียวสำหรับเด็กรุ่นใหม่ แม้จะดูไม่ค่อยแข็งแรงนักเมื่อเทียบกับบทอันกระฉับกระเฉง แข็งแรงของหนุมานที่ต้องใช้กระบวนท่ารำแบบลิง ประกอบไปด้วย ท่าเก็บ ท่าหย่อง ท่ายืดกระทบ กระโดดขึ้นกระโดดลง เจ้าหนุ่มคนนี้ยังต้องฝึกอีกเยอะ แต่มีแววน่าจะไปได้ไกล

เปรมย่อเข่าก่อนจะตั้งวงบน เดินไปหลบตรงมุมห้องเมื่อการแสดงจบลง ชายหนุ่มยกยิ้ม ดึงแขนเสื้อมาซับเหงื่อที่เกาะพราวบนหน้าผากตนเอง

“ใช้ได้ทีเดียวสำหรับบทหนุมาน แต่มันยังดีไม่พอ”

“...”

“ข้าคิดว่าบทลิงไม่เหมาะกับเอ็งหรอกเจ้าหนุ่ม แค่นิสัยของเอ็งก็ยังแตกต่างกับบทลิงอยู่มากโข ถ้าเป็นตัวพระยังดูเข้าท่ากว่า นี่ถ้าข้าเลือกให้เอ็งเล่นเป็นบทลิง ข้าคงต้องพิจารณาสมองตัวเองสักหน่อย”

เปรมทำหน้างอง้ำเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา “ผมสามารถเล่นได้นะครับปู่เหนือ”

“วะ อย่ามาเถียงบรมครูชั้นเอกอย่างข้าเชียวนะ ข้าบอกไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ” ชายชราเอ็ดจนชายหนุ่มกลัวหน้าหงอ คนอาวุโสนี่ยังไงนะ ชอบดุจริง “บอกตามตรง หน้าสวยเกินชายอย่างเอ็ง รูปร่างผอมกะหร่องต่ำกว่ามาตรฐานตัวยักษ์ ตัวลิง ทำให้ข้าคิดหนัก ผลงานที่เขียนแนบมาในใบสมัคร หรือการแสดงสด ไม่ได้ช่วยให้ข้าตัดสินใจได้ง่ายเลย” ชายชรายันกายลุกนั่งหลังตรง เอามือมาประสานกันตรงหน้าแล้วก้มมองชายหนุ่มนิ่ง

ด้วยเครื่องหน้าคมคายติดหวานราวอิสตรี ดวงตาเรียว นิ้วมือเรียวสวย ก่อนจะสะดุดที่ปานกุหลาบดอกเล็กสีแดงตรงใบหูขวา มันทำให้ชายชรานึกถึงบทสนทนาที่คุยกับประธานบริษัท RAVANA ผู้จัดแสดงโขนที่โด่งดั่งไปทั่วโลก

‘คนที่แสดงเป็นนางสีดา ผมขออย่างเดียว ขอให้มีปานรูปกุหลาบสีแดงตรงหลังใบหูด้านขวา และต้องเป็นปานที่ติดมาแต่เกิดเท่านั้น ไม่ใช่การสักเอา หวังว่าครูเหนือคงจะหาให้ผมได้’

นี่คงเป็นลิขิตของสวรรค์กระมังที่จงใจให้เด็กคนนั้นได้เล่นบทที่ไม่เคยมีผู้ชายคนใดได้เล่นมาก่อน

 “เจ้าหนุ่ม ปานตรงหลังหูเอ็ง...” เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก

เปรมยกมือจับหลังใบหูตนเอง “อ้อ ครับ ปานนี้ผมมีตั้งแต่เกิดแล้วล่ะ แม่บอกมันคือปนที่ติดมาแต่ชาติปางก่อน”

“ยากจะเชื่อโดยแท้...เอาล่ะ ข้ามีทางเลือกให้เอ็งสองข้อ”

“อะไรหรือครับปู่” เปรมถาม

“หนึ่ง ข้าจะให้เอ็งผ่าน แต่ต้องยอมเป็นตัวละครที่ข้าเสนอให้ หรือสอง...”

“...”

“กลับบ้านไปบอกปู่เอ็งซะ ว่าผมไม่ผ่านการคัดเลือกในครั้งนี้”

กลับบ้านมือเปล่า เหอะ แบบนี้ มีหวังเปรมคงหูชาเพราะโดนปู่บ่นเช้า กลางวัน เย็นแน่ๆ เรื่องอะไรเขาจะหาเรื่องใส่ตัวเองล่ะ สู้ยอมรับบทที่ชายชรามอบให้ ต่อให้เป็นตัวประกอบไม่โดดเด่น อย่างน้อยก็ยังได้เป็นส่วนหนึ่งของกรมศิลป์ที่เด่นดังเรื่องโขนที่สุดในประเทศไทย เอาวะ คิดเสียว่ามันคือจุดเริ่มต้นที่ดีของชีวิต

“ได้คำตอบหรือยัง”

“ครับ ผมขอเลือกข้อหนึ่ง ปู่อยากให้ผมแสดงเป็นอะไร ผมยอมทั้งนั้น ขอแค่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงโขนอันยิ่งใหญ่ก็พอ”

“กลับคำไม่ได้แล้วนะพ่อเปรม” เป็นครั้งแรกที่ชายชราเรียกชื่อเขาแถมยังส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้อีก

“ผมทราบครับ”

ชายชรานั่งนิ่งอยู่สักพักก่อนจะตะโกนเรียกใครสักคนจากนอกห้องให้เข้ามา เป็นทีมงานหนุ่มคนเดิม แต่คราวนี้เขามาพร้อมกับหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เปรมเผลออ้าปากค้างเพราะความสวยของเธอ เครื่องหน้างดงามราวกับถอดพิมพ์มาจากนางในวรรณคดี เธอยิ้มอ่อนให้เขา

“มาแล้วเรอะ แม่จันทร์”

“ค่ะ ท่านปู่”

“ปู่เจอแล้วนะ เจ้าหนุ่มนี้แหละ พอจะไหวบ้างไหม”

หญิงวัยสามสิบกว่าลอบสำรวจชายหนุ่มอย่างเงียบๆ หากดูจากรูปร่างและหน้าตาก็พอได้อยู่ แต่...คงต้องขัดเกลา ติวเข้มกันยกใหญ่

“คิดว่าพอได้ค่ะ”

“งั้นปู่ฝากดูแลพ่อเปรมด้วย อยากให้เขาแสดงออกมาให้ดีและเข้าถึงจิตวิญญาณตัวละครให้มากที่สุด” เว้นวรรคหายใจช่วงหนึ่งและหันไปคุยกับอีกคนที่ยืนเงียบตรงประตูทางเข้า “เจมส์ ข้าฝากบอกไปทางบริษัท RAVANA ที ตอนนี้เราได้นักแสดงที่เขาต้องการแล้ว”

“ครับครู”

“เอ่อ...ปู่ครับ พออธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหม” พูดอะไรกันก็ไม่รู้ ฟังแล้วงงไปหมด อะไรคือไหว ไม่ไหว บทที่เขาต้องแสดงมันยากขนดนั้นเลยเหรอ

“ทำหน้าเป็นหมางงเชียวเอ็ง” ปู่เหนือหัวเราะเสียงดัง ถูกอกถูกใจ ในขณะเปรมที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยก็ยังทำหน้าหมางงต่อ “งั้นข้าจะบอกให้ก็ได้ จงไปบอกพ่อแม่เอ็งซะ สามเดือนต่อจากนี้ เอ็งต้องย้ายมาอยู่ในโรงละครแห่งนี้พร้อมกับนักแสดงคนอื่น ส่วนบทของเอ็ง ข้าขอแสดงความยินดีด้วย”

ดวงตาเรียวสวยเบิกโพล่งอย่างตกใจเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของบรมครูชั้นเอก หากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะขอเลือกตอบข้อสอง ยอมโดนปู่กับพ่อบ่นหูชา ดีกว่ารับเล่นตัวละครที่บรมครูชั้นเอกอย่างปู่เหนือวางไว้ให้

หมดกัน ชีวิตไอ้เปรม



“หวังว่าบทนางสีดาที่ข้าเลือกคงถูกใจเอ็ง”




ถูกใจไหมล่ะหนูเปรม งานนี้มีเฮ 555

หนึ่งเม้นเท่ากับหนึ่งกำลังใจ ไว้จะมาลงตอนใหม่ให้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่าาา
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒:
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 10-12-2016 22:18:25
บทที่ ๒
[/b]





 รถเมอร์เซเดสเบนซ์สีเทาควันบุหรี่ขับเคลื่อนอย่างไม่รีบร้อนนักเมื่อเข้าสู่ถนนสายเดี่ยวที่ค่อนข้างเงียบสงบ สองข้างทางเรียงรายด้วยต้นสนที่ปลูกไว้อย่างตั้งใจ ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านเข้าออกมานัก นอกจากรถภายในคฤหาสน์หลังใหญ่กลางซอยที่ห่างจากปลายถนนเพียง 500 เมตร

ประตูรั้วสีทองสลักลายเครือเถา ค่อยๆเคลื่อนเปิดออกอย่างแช่มช้า เผยให้เห็นถึงบริเวณที่เรียกว่าบ้านได้ถนัดตา ผืนหญ้าเขียวชอุ่มทอดร่างอยู่ภายใต้ผืนฟ้ายามเย็น บ่อน้ำพุรูปปั้นนางมัจฉาตั้งตระหง่านตรงลานหน้าบ้าน พุ่งทะยาน แตกออกเป็นเส้นสาย ยามต้องแสงแดดจะแวววาวระยิบระยับดั่งเพชรจินดา

ความสดชื่นของต้นไม้ ดอกไม้นานพันธุ์แผ่กิ่ง ขยายก้านส่งความร่มรื่นปรกพื้นหญ้า และทางลาดปูด้วยดินเผาต่างสีช่วยส่งผลให้บ้านดูกึ่งเก่ากึ่งใหม่ ใครๆที่พบเห็นต่างตั้งคำถามว่า บนพื้นที่ 5 ไร่ ใครกันหน้าช่างสร้างบ้านได้งดงามวิจิตรและกลมกลืนไปกับธรรมชาติได้เพียงนี้

เมอร์เซเดสเบนซ์สีเทาวิ่งผ่านประตูเปิดรับอัตโนมัติ มาตามทางที่ปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนลายสวย ซึ่งจัดวางอย่างมีศิลปะ รถจอดสนิทตรงหน้าบันไดที่ตั้งระดับลาดเอียงสู่ประตูตัวบ้านที่เปิดกว้างไว้อย่างเปิดเผย เสมือนเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศอันโอ่โถง ประตูคนขับเปิดออกพร้อมกับชายวัยกลางคนใส่เสื้อสีกรมท่า กางเกงสีดำ รีบกุลีกุจอลงมาเปิดประตูด้านหลัง หากทว่ายังไม่ทันความตั้งใจของอีกคน เพราะบัดนี้ประตูสีเทาบานนั้นเผยให้เห็นผู้ที่เปิดออกมา...ประธานบริษัท RAVANA ผู้ครอบครองธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากมายทั้งบ้าน คอนโด ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร รวมถึงนายหน้าจัดการแสดงโขนทั่วโลกและยังเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกทองคำและจิวเวอร์รี่อันดับหนึ่งของประเทศ อสุเรนทร์ อมาตยสูร ชายวัยกลางคนรับกระเป๋าเอกสารที่ผู้เป็นเจ้านายยื่นให้อย่างนอบน้อม

“ท่านจะขึ้นไปพักเลยหรือไม่ครับ”

ชายวัยกลางคนซึ่งทำหน้าที่คนขับรถถามเพื่อให้แน่ใจในการเอากระเป๋าไปเก็บถูกตำแหน่ง

“ยัง นายไปเก็บกระเป๋าแล้วก็ไปทำอย่างอื่นเถอะ”

ชายวัยสามสิบเจ็ดที่ใบหน้ายังดูหล่อเหลาอ่อนกว่าวัยอยู่มาก เดินขึ้นบันไดพลางถอดสูทสีดำออกพาดแขน และดึงเนคไทขยายคอเสื้อก่อนเข้าประตูบ้าน หญิงแม่บ้านรีบวิ่งมารับเสื้อและเนคไท พร้อมรอรับรองเท้าที่กำลังถอดอย่างรู้งาน

“นายท่านเจ้าคะ คุณกฤตรอพบท่านอยู่บนเรือนเล็กเจ้าค่ะ เห็นบอกมีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกท่าน”

“นานหรือยัง”

“สักพักเห็นจะได้ค่ะ”

“ขอบใจ”

เธอยิ้มรับอย่างนอบน้อมก่อนก้มหยิบรองเท้าแล้วถอยจากไปทำหน้าที่ประจำของเธอต่อ

อสุเรนทร์เปลี่ยนจุดหมายจากขึ้นบันไดสู่ตัวบ้านชั้นบนเป็นเดินออกจากตัวบ้านหลังใหญ่ มุ่งหน้าผ่านต้นไม้ร่มรื่นสู่เรือนไทยวิจิตรงดงามด้านหลังตึกใหญ่

เรือนเล็กที่อสุเรนทร์จงใจปลูกไว้สำหรับมานั่งพักผ่อนหย่อนใจเพื่อซึมซับสิ่งที่คุ้นเคย เขาออกจะชอบบรรยากาศเช่นนี้มากกว่าความล้ำหน้าของเทคโนโลยีและมนุษย์  เรือนไทยเป็นโครงสร้างดั้งเดิมยกสูง  บนตัวเรือนเป็นชานกว้างทว่าร่มรื่นด้วยต้นไม้ต้นไทยที่แทงลำต้นสู่ผืนฟ้า...ผ่านกลางชานบ้านที่เจ้าของเปิดช่องให้ลำต้นของต้นจัน แผ่กิ่งก้านอวดโฉมได้อย่างอิสระ สงบท่ามกลางความวุ่นวายของยุคเทคโนโลยี

เวลานับพันปีที่ อสุเรนทร์ หรือนามเดิม ทศกัณฐ์ ใช้เวลาไปกับการดูแลทำนุบำรุงบ้านเมือง ยุติสงครามระหว่างฝ่ายยักษ์และฝ่ายมนุษย์ของพระราม ยกตำแหน่งผู้ครองกรุงลงกาให้พิเภกให้สืบสานต่อ ส่วนตนเองขอปลีกตัวไปพักรักษาใจ คอยอยู่เป็นที่ปรึกษาอยู่หลังม่าน ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ ทว่ามีเพียงสิ่งเดียว...ใจของเขามันยังคงร่ำร้องถึงนางอันเป็นที่รัก อยากเจอ อยากครอบครอง อยากสูดดมกลิ่นหอมบนเรือนกายงามราวนางอัปสรสวรรค์จากชั้นดาวดึงส์ แม้จะรู้นางคือลูกแท้ๆของเขากับนางมณโฑ แต่ทว่าในเมื่อรักยกหัวใจให้นางไปทั้งดวงแล้ว ต่อให้ผิดศีลธรรมเท่าไหร่ เขาก็ไม่สน

และอีกอย่างนางกลับชาติมาเกิดใหม่ ความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกย่อมยุติไปด้วย

อสุเรนทร์เคยเจอนางสีดาทุกชาติ แม้นกายหยาบอาจเปลี่ยนแปลง ทว่าความงดงามและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาจำนางได้อย่างแม่นยำ พยายามเกี้ยวพาราสี ทำทุกอย่างเพื่อทำให้นางรัก ทว่าดันมีอุปสรรคมาขัดขวางตลอดทุกชาติภพ ถ้านางไม่แต่งงานมีลูก...เกิดอาการวิปลาส ก็สิ้นชีวี

รู้เลยการรอคอยใครบางคนเป็นเวลานานๆ ถึงจะเป็นหัวใจยักษ์ก็มิอาจหลุดพ้นจากความเจ็บปวดอันเกิดจากเสน่หาได้
อสุเรนทร์ก้าวขึ้นบันไดเรือนไม้อย่างแผ่วเบาจนถึงชานบ้านที่ร่มรื่น เก้าอี้ไม้รายล้อมต้นจันต้นใหญ่ ความหอมของมันคลายความตึงเครียดจากการทำงานได้เป็นอย่างดี

 ชินกฤต หรือโหรหลวงพิเภกละสายตาจากหนังสือตรงหน้า มองมายังพี่ชายด้วยใบหน้าแย้มยิ้มละมุน

“ดูท่าเจ้าคงว่างมากกระมัง มีเวลาอ่านหนังสือต่างกับข้าทำงานจนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด”

“เพราะข้าเป็นคนพิเศษไงล่ะท่านพี่”

“เจ้ามันหลงตน ยักษ์เจ้าเล่ห์” อสุเรนทร์ยกยิ้ม “ไหน เจ้ามีอันใดจะบอกข้ารึ”

คราวนี้ชินกฤตปิดหนังสือ วางบนตั่งไม้สักทอง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นกว่าเดิมจนอสุเรนทร์ต้องทำหน้าขรึมจริงจังตามไปด้วย

“ทางกรมศิลป์แจ้งมาว่า ได้ตัวนางสีดาแล้ว

อสุเรนทร์นิ่งอึ้งหลังจากชินกฤตกล่าวจบ ความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมน้ำ หัวใจเต้นแรงกระแทกทรวงอกจนปวดหนึบ การรอคอยตลอดหนึ่งร้อยปีเพื่อรอให้นางเกิดใหม่ก็สิ้นสุดลงเสียที ริมฝีปากค่อยเผยอยิ้มออกมา ดวงตาคมคายบัดนี้เปล่งประกายจนคนที่เห็นอดหัวเราะด้วยความขำขันมิได้

หนึ่งพันปีเป็นเช่นไร ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น

ผู้เป็นน้องชายหยิบแฟ้มสีขาวบางส่งให้อสุเรนทร์ “ประวัติของคนที่มาเล่นเป็นนางสีดา ผู้มีปานแดงรูปกุหลาบหลังหูด้านขวา ตรงตามที่ท่านพี่ต้องการ” ชินกฤตพ่นลมหายใจ “ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ชาติ นางก็ยังคงเป็นนาง คงความงามได้มิมีเปลี่ยน แม้นเป็นชายก็ยังงามงดเสียยิ่งกว่าอิสรี”

อสุเรนทร์หาได้สนใจคำพูดของชินกฤตอีกต่อไป ตั้งหน้าตั้งตาอ่านประวัติบนหน้ากระดาษสีเหลี่ยมผืนขาวทีละบรรทัดอย่างละเอียด 

“เปมทัต...” เอ่ยเสียงผะแผ่ว “นามเจ้าช่างเพราะนัก”

ภาพถ่ายหลายอิริยาบถ ดวงตาเรียวสวยวาววาบประดั่งดวงดาราบนฟากฟ้า  ริมฝีปากอวบอิ่ม ลำคอระหงและไหนจะผิวขาวละเอียดลออนวลเนียนน่าชม เป็นชาติที่สามที่นางได้กลับมาเกิดเป็นชาย ทว่าเขาหาได้สนใจเรื่องเพศไม่ ขอแค่เป็นนางไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉานหรือปีศาจ เขาก็ยังรักนางไม่เปลี่ยนแปลง 

“ท่านพี่เปลี่ยนไปมากนะขอรับ”

“ข้าเปลี่ยนเยี่ยงไรรึ”

“การที่ท่านยึดมั่นต่อนางเพียงผู้เดียวตลอดพันปีที่ผ่านมา มันสามารถเป็นข้อพิสูจน์ได้แล้วว่าท่านพี่รักนางจริง ข้าภูมิใจในตัวท่านนะ มันยากที่จะให้ยักษ์ตนหนึ่งกระทำสำเร็จ แต่ท่านก็ทำสำเร็จ ต่อจากนี้ข้าจักทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านสมหวัง”

“ขอบน้ำใจเจ้านักน้องข้า”

“แล้วนี่ท่านพี่จักทำอันใดต่อ”

“เจ้ารู้ข้าคิดทำเช่นไร”

“หากในความคิดของข้า การที่ท่านปรี่ตัวเข้าไปหานางทันทีแล้วบอกรักช่างเป็นการกระทำที่บุ่มบ่ามและน่ากลัวนัก บอกตามตรงข้าเป็นนาง ข้าก็หนีขอรับ” บุรุษผู้มีญาณหยั่งรู้อนาคตเอนกายพิงพนักอย่างขำขัน “มนุษย์อ่อนไหวและตื่นตระหนกได้ง่าย ทางที่ดีท่านพี่ควรเริ่มต้นจากการทำความรู้จักช้าๆ”

“แต่ข้าอยากให้นางรักข้าเร็วๆ”

“ไม่มีประโยชน์อันใดหากท่านไม่เชื่อคำข้า ท่านพี่ต้องสูญเสียนางอีกครั้ง และเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ด้วย”

ชินกฤตพูดตามที่เขาเห็นและวิเคราะห์

“อย่าบอกนะ พระราม...”

“ขอรับ เขาซุ่มรอโอกาสจากเราอยู่”

อสุเรนทร์ไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องพรรณนั้นอย่างแน่นอน

สีดา...ไม่สิ เปมทัตในเมื่อเจ้าปรากฏกายต่อหน้าข้าแล้ว ข้าจักมิยอมให้ผู้ใดพรากเจ้าไปจากข้าอีกเป็นอันขาด

“น้องข้า จงเตรียมรถให้พร้อม”

“...”

“ข้าจักไปโรงละครโขน”


-โรงละครแห่งชาติ-

“จ่ะ โจ้ง จ่ะ ทิง โจ้ง..ง..ง ทิง....ดี...ดีแล้วพ่อเปรม ข้อมือด้านซ้ายบิดไปข้างนอกนิดหนึ่ง นั่นแหละ สวย...สวยมาก”

โจงกระเบนสีแดงคาดด้วยเข็มขัดนากเสียดสีกับเสื้อยืดสีขาวสะอาดด้านบนจนเกิดเสียง ปลายเท้าเปล่าย่ำลงพื้นแผ่วเบาตามจังหวะกรับเสภา เอี้ยวตัวอ่อนช้อยตามบทบรรเลงเสนาะหู ครูจันทร์ฉีกยิ้มพึงพอใจกับความหัวไวของลูกศิษย์ เปรมเป็นคนเรียนรู้เร็ว ไม่ว่าสอนอะไรให้เขาก็สามารถจำและทำตามได้แบบต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยน จะแก้ก็ต้องแก้ตรงความอ่อนช้อยเล็กน้อย ยังดูแข็งเกร็งตามแบบผู้ชายอยู่มาก ซึ่งเธอเข้าใจดี จะให้ผู้ชายมารำตัวนางก็ลำบากมิใช่น้อย

แก้มเนียนใสปรากฏสีแดงระเรื่อเพราะความร้อนที่สั่งสมมาตลอดครึ่งวันที่ฝึกซ้อมท่ารำตัวนางอย่างหนัก กล้ามเนื้อแขนและขาร้องโอดครวญด้วยความปวดระบม หนึ่งอาทิตย์ที่ตรากตรำ ขอใช้คำนี้เลยแล้วกันเพราะมันเหมาะกับสารรูปเปรมในตอนนี้จริงๆ โดนดัดโน่น ดัดนี่ทั้งตัว ทั้งๆที่เขาก็ถูกปู่กับตาจับให้ทำตั้งแต่เด็ก นี่ยังนึกถึงวันแรกที่กลับไปบอกพ่อ แม่ ปู่ ตา ยายได้อยู่เลย ว่ารับเลือกให้เล่นบทนางสีดา  ตัวหลักในเรื่องหทัยทศกัณฐ์ แต่ละคนถึงกับตะลึงกันเสียยกใหญ่ ยิ่งปู่นี่เป็นลมหมดสติข้ามวันเลยทีเดียว

ยกเว้นแค่มารดาผู้บังเกิดเกล้าที่ต่างจากคนอื่น

‘ดูๆไปลูกแม่ก็เหมาะกับบทนางสีดาดีนะ หนุมานไม่เหมาะหรอก’

ปัดโธ่...ถ้าแม่จะพูดกับเขาอย่างนี้ อย่าพูดเลยดีกว่า

“พักดื่มน้ำ ดื่มท่าก่อนเถิดพ่อเปรม” ครูจันทร์บอกเมื่อเห็นทีท่าอีกฝ่ายเริ่มไม่ไหว

“ขอบคุณครับครูจันทร์”

เปรมรับขวดน้ำเย็นจากมือหญิงวัยกลางคน ยกขวดเปิดฝากระดกอย่างรวดเร็วแก้กระหายพลางทรุดตัวนั่งลงพิงเสาและหลับตาลงอย่างหมดแรง

“รู้สึกยังไง”

“เหนื่อยมากครับครู ไม่เคยฝึกหนักอย่างนี้มาก่อน”

“ถ้าไม่ได้จำกัดเวลา ครูคงไม่ต้องเคี่ยวเข็ญเธอหนักขนาดนี้หรอกจ๊ะ” ครูจันทร์ยิ้ม “แต่คิดเสียว่ามันส่งผลดีต่อตัวเธอในอนาคต บทละครโขนที่เธอต้องเล่นผู้จัดเขาเน้นย้ำมาเลยนะ นักแสดงทุกคนต้องเข้าถึงจิตวิญญาณตัวละครและต้องเล่นให้เหมือนกับเราเป็นตัวละครนั้นจริงๆ ครูรู้ว่ามันยาก แต่เรา...คงทำได้อยู่แล้วใช่ไหม”

“ผมจะพยายามทำให้เต็มที่แล้วกันครับ”

“อยากรู้หรือเปล่า ทำไมท่านปู่ถึงเลือกเธอเล่นบทนี้”

“อยากครับ” เปรมรีบตอบทันควัน ความอยากรู้อยากเห็นเขามีมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อนหน้าแล้ว พอถามชายชรา ท่านก็เอาแต่ยิ้มลูกเดียว จะถามคนอื่นก็ไม่กล้าเพราะไม่ได้สนิทเท่าไหร่นัก จะเหลือก็ครูจันทร์คนเดียวที่ดูจะถามไถ่ได้ พอครูมาถามก่อนเช่นนี้เลยเข้าทางเขาพอดี

“เพราะปานหลังหูของเธอ”

“ปานเหรอครับ” บทนางสีดาเกี่ยวอะไรกับปานของเขาด้วย

“ครูก็ไม่รู้รายละเอียดสักเท่าไหร่ ทางบริษัทผู้จัดเขารีเควสมาน่ะว่าต้องเป็นคนลักษณะนี้เท่านั้น ตอนแรกเราก็หมดหวัง แต่พอได้เจอเธอ...มันเลยทำให้ครูและคนอื่นๆรู้สึกว่าเธอคู่ควรกับบทนางสีดาจริงๆ”

“ผู้จัดเหรอครับ”

“RAVANA เธอเคยได้ยินหรือเปล่า”

“อ่า...ที่ประธานบริษัทสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศโดยการนำโขนไปแสดงที่ต่างประเทศใช่ไหมครับ”

ครูจันทร์พยักหน้า “ใช่จ๊ะ เขานั่นแหละ”

“ทำไมเขาต้องเจาะจงเลือกคนที่มีปานแบบผมด้วยล่ะ”

“ครูไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ท่านปู่บอกครูมาว่านางสีดาฉบับต้นแบบมีปานรูปกุหลาบที่ต้นคอจริงๆ”

เปรมชะงักชั่วครู่...ขนลุกซู่บริเวณท้ายทอยลามไปถึงหลังหูด้านขวา ลมหายใจติดขัดแล้วดวงตาก็พร่ามัวลง เขาไม่รู้ว่าเกิดผิดปกติอะไรในดวงตาหรือเป็นเพราะแสงพระอาทิตย์ที่แยงเข้ามาด้านในห้อง ทำให้เขาเห็นภาพบางอย่าง มีสันสันเสมือนจริง

‘เจ้างามดั่งกุหลาบแรกแย้ม งามพิศยิ่งกว่ามวลกลีบผกามาศที่พานพบ พี่ขอได้ฤาไม่ หากพี่จักประทับรอยกุหลาบเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของนวลเจ้า’

‘พี่ท่าน...’

‘เปรียบเสมือนพันธะสัญญาเราสอง หากเมื่อใดข้าแลเจ้าพบพานกันอีกครั้งในชาติพบหน้า ข้าจักได้จำได้ว่าเจ้าคือจอมขวัญของพี่คนเดียว’




“เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะพ่อเปรม”

ครูจันทร์ทักขึ้นเมื่อลูกศิษย์หนุ่มปิดตา

ถึงภาพจะพร่ามัว หากเปรมกลับเห็นหญิงสาวรูปบอบบางสวมใส่สไบสีชมพูผืนยาว ชายผ้าตกลู่ไหล่ เผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าและผิวขาวนวลของเนินอกกว้าง ร่างสูงใหญ่กำยำของชายผู้หนึ่ง ผู้มีผิวกายสีเขียวมรกตเข้ามานอนอิงแอบอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน แม้จะเห็นเพียงไม่กี่ชั่ววินาที เปรมกลับรู้สึกคุ้นเคยราวกับภาพในหัวได้เกิดขึ้นกับเขามาก่อน เมื่อ...นานมาแล้ว

 “ไม่...ไม่เป็นไรครับ...ผมอาจจะเหนื่อยมากไปหน่อย...เลยเห็นภาพหลอน” เปรมรีบหาข้ออ้าง เพราะเขารู้ว่าสิ่งที่ตนเห็นในความคิด คงไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอนถ้าเขาเล่ามันออกไป

“ไปพักให้หายเหนื่อยเถอะพ่อเปรม บ่ายๆค่อยกลับมาซ้อมต่อ”

“ขอบคุณมากครับครู ไว้ผมจะซื้อของกินมาฝาก”



บรรยากาศร้อนอบอ้าวของช่วงกลางวันทำให้เปรมรู้สึกเหนอะหนะและรู้สึกไม่สบายตัว ทว่าเสียงท้องที่ร้องดังโครกครากเพราะความหิวเอาชนะได้ทุกอย่าง ชายหนุ่มจำใจต้องเดินออกไปนอกโรงละครเพื่อหาของกินประทังชีวิตทั้งที่ยังนุ่งผ้าแดงอยู่

“ป้าครับขอข้าวห่อหมกห่อหนึ่งแล้วก็น้ำเปล่าขวดหนึ่งด้วย”

“รอแปปนะอีหนู เดี่ยวป้ารีบทำให้จ๊ะ” แม่ค้าวัยเกินห้าสิบปีบอกเขาเสียงแปร๋นสะเทือนหู

“ป้าครับ ผมไอ้หนูครับ ไม่ใช่ใช่อีหนู” เปรมรีบแก้ต่าง ขืนไม่บอกสิ ป้าแกคงได้เรียกอีกหนูๆต่อไปทุกครั้งที่มาซื้อหรือเดินผ่านหน้าร้านแน่ แค่เกิดมาหน้าหวานเกินผู้ชายด้วยกันก็สร้างความทุกข์ใจให้เขามากพอแล้ว

“อ้าวเหรอ ก็หน้าเอ็งมันหวานเหมือนผู้หญิงนี่นา ป้าเองก็แก่แล้ว ตาเลยฝ้าฟางไปบ้าง งั้นเดี๋ยวป้าแถมน่องไก่ให้น่องหนึ่งแทนคำขอโทษ”

“ขอบคุณครับ”

เปรมยิ้มตาหยี ยกมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อม ของฟรีใครไม่อยากได้บ้างล่ะ

“เป็นนักแสดงใหม่เหรอ ป้าไม่เคยเห็นหน้าเลย”

“ครับ ผมเพิ่งมาใหม่อาทิตย์เดียวเอง”

“งั้นคงเป็นนักแสดงเรื่องใหม่ที่เขากำลังเปิดรับสมัครอยู่ล่ะสิ เอ...ชื่อเรื่องอะไรนะ”

“หทัยทศกัณฐ์ครับ” เปรมตอบแทน คนเป็นแม่ค้าถึงกับตบมือหนึ่งฉากราวนึกขึ้นได้

“เออ นั่นแหละว่าแต่...เอ็งเล่นเป็นใครล่ะ”

“ผมเล่น...”

ขณะชายหนุ่มเตรียมตอบคำถามแม่ค้าวัยสาวใหญ่ รุ่นพี่หนึ่งในนักแสดงโขนโผล่หน้าจากบานประตูทางเข้าโรงละครตะโกนเรียกเขาเสียก่อน

“เปรม! ครูเรียกรวมตัวนักแสดงด่วน”

“มีอะไรหรอครับพี่สินธุ” ตะโกนถามกลับ

คุณทศมา

“รีบไปเถอะพ่อหนุ่ม อย่าปล่อยให้คุณเขารอนาน พยายามตั้งใจซ้อมเข้าล่ะ นักแสดงที่นี่ได้ดีกันทุกคน”

ชายหนุ่มส่งยิ้มน้อยพลางยื่นเงินจ่ายค่าอาหารและใช้มืออีกข้างรับถุงใส่ข้าวจากแม่ค้าจิตใจดี ถึงเธอจะพูดเยอะไปบ้างแต่ก็ทำให้เขาผ่อนคลายมากทีเดียว

“ขอบคุณนะครับ ไว้จะมาอุดหนุนใหม่”

“เดี๋ยว พ่อหนุ่ม”

เปรมที่กำลังหันหลังเตรียมตัวเดินไปทางอื่นต้องหยุดชะงัก เอียงคอมองแม่ค้าอย่างสงสัย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“จะเชื่อไม่เชื่อก็ตามใจนะ แต่อีกไม่นานจะมีคนเข้ามาให้เอ็งเลือกถึงสองคน และสองคนนั้นเขาก็รักเอ็งมากด้วย ฉะนั้น...ป้าแนะนำให้เชื่อหัวใจตัวเอง ดีเลวไม่สำคัญ สำคัญที่เอ็งรักใครมากกว่ากัน...โชคดีนะพ่อหนุ่มหน้าหวาน”


 
ชายชรานั่งมองความอลหม่านหลังโรงละครเล็กที่แยกออกมาอีกทีจากโรงละครใหญ่ เหล่านักแสดงวุ่นวายกับการซ้อมบทก่อนจะขึ้นแสดงต่อหน้าผู้ตัดสินกิตติมศักดิ์เพื่อทำการประเมินผลครั้งแรก

การที่อสุเรนทร์มาเยือนแบบไม่ได้บอกกล่าว ทำเอาทุกคนในกรมศิลป์ต่างวิ่งวุ่นกันหัวหมุนจัดการเรื่องต่างๆให้เสร็จโดยพลัน เพราะชายหนุ่มเจ้าของบทประพันธ์เรื่อง หทัยทศกัณฐ์ ควบตำแหน่งประธานบริษัท RAVANA ซึ่งเป็นผู้จัดแสดงโขนชั้นนำของประเทศ ต้องการดูความคืบหน้าของตัวนักแสดงว่ามีความพร้อมมากแค่ไหน ณ เวลานี้ ใครไม่พร้อมก็ต้องพร้อม ดูได้จากการร่วมงานกันในครั้งที่ผ่านมา ประธานหนุ่มคนนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเนี้ยบ สมบูรณ์แบบและค่อนข้างเอาแต่ใจมากถึงมากที่สุด ขนาดบรมครูชั้นเอกอย่างปู่เหนือยังต้องขอยอมแพ้

นัยน์ตาขุ่นเหลือบมองหลานชายของเพื่อนเก่า บัดนี้กลับนิ่งสงบกว่าคนอื่น ท่วงท่าสุขุมหลังเหยียดตรงอกผายไหล่ผึ่ง ราวผู้ที่ถูกอบรมมาดี ในความคิดชายชรา  หากเป็นหญิงคงงดงามเทียบเคียงนางในวรรณคดี ทว่าเป็นชายก็มิต่างไปต่างตัวพระผู้สูงส่ง

“เจ้าว่าพ่อเปรมเป็นอย่างไรบ้างแม่จันทร์”

“ใช้ได้ทีเดียวค่ะ จันทร์รู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้อย่างไรชอบกล คล้ายกับ...เขามีอะไรมากกว่าที่เราเห็นแต่จันทร์ก็บอกออกมาไม่ได้ว่ามันคืออะไร เขาเรียนรู้ได้เร็วกว่าคนทั่วไป แต่...แต่มันมีความพิเศษมากกว่านั้น หรือคงเป็นเพราะเขาอยู่กับสิ่งพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก”

“ใช่ เด็กคนนี้หัวไว แต่ไม่ได้หมายความเขาฉลาดหรือขยันซ้อมมากกว่าบุคคลทั่วไป” ทอดสายตามองเปรมด้วยสายตาชื่นชม “เท่าที่ปู่สังเกตมันเกิดจากความรู้สึกภายใน จิตวิญญาณของเขากำลังสวมรอยเป็นตัวละครนั้นๆที่เขาแสดงอยู่ มันเลยทำให้เขาไปได้ไกลและเร็วกว่าคนอื่นๆ”

“...”

ครูจันทร์ไม่ได้พูด หากพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

“โดยเฉพาะบทของนางสีดา เล่นดีจนน่าขนลุกทั้งที่เพิ่งฝึกซ้อมแค่หนึ่งอาทิตย์”

เกิดความเงียบโรยตัวในฉับพลัน ต่างคนต่างเงียบ ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปตามความคิดของตน จนกระทั่งเสียงประกาศเรียกชื่อนักแสดงคนแรกดังขึ้น จึงทำให้ปู่หลานคู่นี้กลับเข้ามาสู่ห้วงเวลาปัจจุบัน

“หากจันทร์ไม่ได้คิดไปเอง จันทร์คิดว่านางสีดากับพ่อเปรมคือคนคนเดียวกัน



อสุเรนทร์นั่งเท้าคาง ทำหน้าเบื่อหน่ายขณะมองดูการแสดงของนักแสดงบทหนุมานบนเวที แค่ท่วงท่ากระโดด ตีลังกา เกาหลัง เกาหัวก็ผิดไปจากต้นฉบับลิบลับ ขนาดอินทรชิตลูกชายของเขายังเลียนแบบได้ดีกว่าเลย

“ทำหน้าตาให้มันดีๆหน่อยสิพี่ทศ” ชินกฤตป้องปากกระซิบ “ทำอย่างกับเขาแสดงไม่ดีอย่างนั้นแหละ”

"ก็ใช่น่ะสิ ข้าเบื่อตายชัก"

ลำตัวหนาเอนพิงกับพนักเก้าอี้ทรงสูงแล้วถอนหายหนักหน่วง ก่อนหางตาคมเหลือบเห็นใครบางคนเสียก่อน บุคคลกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยชายสามคน กำลังเดินตรงมานั่งแถวเดียวกับเขา พร้อมทั้งส่งยิ้มแสร้งเป็นมิตร ต่อให้อยู่ไกลสักร้อยเมตร พันเมตรหรือใกล้แค่เอื้อม อสุเรนทร์ยังคงจำได้อย่างแม่นมั่น

“ช่วงนี้เราไม่ค่อนเจอกันเลยนะทศกะ...อ่อ ไม่สิ คุณอสุเรนทร์”

นัยน์ตาคมกริบสีเขียวมรกตลุกโชนขึ้นชั่วครู่และเลือนหายไป ชายหนุ่มรูปงามในชุดสูทเรียบหรูขนาบข้างด้วยผู้ชายท่าทางดุคนหนึ่งและอ่อนโยนอีกคนหนึ่ง ข้อนิ้วเรียวยาวยื่นมาข้างหน้าหวังจับทักทายตามธรรมเนียมสมัยใหม่ หากกลับโดนอีกฝ่ายปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“ราเมนทร์...” เขาเค้นคำรามในลำคอ

“ขอบคุณที่ยังจำชื่อใหม่ของฉันได้”

“เจ้ามาทำอันใด”

“ฉันก็มาดูลูกศิษย์ของฉันน่ะสิ”

อสุเรนทร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนปราดตาไปยังเจ้ามนุษย์ลิงร่างพิการบนเวทีแล้วยกยิ้มเยาะที่มุมปาก “นั่นน่ะหรือ ลูกศิษย์ ก็เหมาะดีนะ บทต่ำๆก็คู่ควรกับนักแสดงต่ำๆ”

“เจ้าทศกัณฐ์!”

ชายด้านซ้ายมือเตรียมพุ่งมาหา หากราเมนทร์กลับยกมือห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน

“ยังเหมือนเดิมเลยหนาเจ้าลิงแก้มกลม...หนุมาน อ้อ ชื่อล่าสุด ลมเส็งเคร็ง สินะ โทษทีพอดีช่วงนี้ ข้ามักขี้หลงขี้ลืมกับเรื่องรกสมอง”

“เจ้ายักษ์ใจคด ข้าชื่อกบินทร์ต่างหาก!”

อสุเรนทร์ยักไหล่ตอบด้วยรอยยิ้มเรียบๆ เรื่องแกล้งเจ้าลิงเลือดร้อนเขาชอบนัก เวลาเห็นมันโมโหหน้าแดงกล่ำเขายิ่งชอบ อยากให้ลูกอินทรชิตมาจริงเชียว รายนั้นชอบแกล้งชอบแหย่มันมากกว่าเขาอีก

“คุณอสุเรนทร์ดูมีความสุขนะครับ”

“แน่นอนสิครับคุณราเมนทร์ ในเมื่อยอดจากการค้าขายไตรมาสนี้กระผมกอบโกยกำไรมากกว่าคุณมากโขนัก แถมยังได้ สัมปทานเหมืองเพชรที่คุณต้องการครอบครองอีกด้วย ถ้ากระผมไม่มีความสุข คุณราเมนทร์จะให้กระผมทำหน้าเศร้าโศกาเหมือนปลากระเบนหรืออย่างไร”

“อ่อ...ที่แท้ก็เป็นบริษัท RAVANA นี่เองที่เสนอเงินซื้อเหมืองเพชรจากเจ้าสัวกรรชัยมากกว่าบริษัทของฉัน เรื่องหลอกล่อ โน้มน้าวคนด้วยวาจากลิ้งกลอก คุณอสุเรนทร์ช่างเก่งจริงๆนะครับ นับถืออย่างสุดหัวใจ” ราเมนทร์ตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่าดวงตากลับเจือกรุ่นด้วยความแข็งกร้าว ไม่พอใจ

“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝีมือ สีดาเองก็เช่นกัน” นางย่อมเป็นของเขาผู้เดียว

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกทศกัณฐ์”

“รอดูเอาเองก็แล้วกัน”

“เจ้า...”

 “พี่ราม เรามาเพื่อดูพวกเขาแสดง เราไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับอสุเรนทร์นะครับ” ศุภลักษณ์เอ่ย และหันมาผงกศีรษะเล็กน้อยให้กับพวกเขา “ข้าคงต้องขอขมาเจ้าด้วย”

อสุเรนทร์กอดอก พ่นลมออกทางจมูก “น้องชายยังรู้จักมารยาท หัดสอนสั่งพี่เจ้าหน่อยหนาพระลักษณ์”

“พี่ทศ ท่านก็ด้วย เงียบเสียที” ชินกฤตเอ็ดเบาๆ

“มันหาเรื่องข้าก่อน”

“แล้วท่านจำต้องเถียงตอบรึ”

“...”

“สงสัยพี่ทศคงมิใคร่ดู”

“ดูกระไร” อสุเรนทร์ถามเสียงขุ่น ก่อนจะเข้าใจสิ่งที่น้องชายร่วมสายเลือดบอก

เสียงดนตรีไทยเริ่มบรรเลงในจังหวะสองชั้นพร้อมผู้ขับเสภาดังเสนาะหู ท่วงทำนองคุ้นหู อสุเรนทร์รวมถึงคนทั้งหมดต่างหันไปมองผู้แสดงอย่างรวดเร็ว

ทศกัณฐ์เกี๊ยวนางสีดา...ช่างเลือกมาเอาใจพี่นักนวลเจ้า

การปรากฏกายของผู้เล่นบทนางสีดาสร้างความตื่นตะลึงเหลือแสน หัวใจยักษาปวดหนึบทันทีที่นัยน์ตาหวานสบเข้ากับดวงตาของตน คล้ายมีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดให้พวกเขาจ้องมองกันและกันด้วยความหลงใหล อสุเรนทร์นึกถึงครั้งแรกที่เจอนางในป่า




พิศพักตร์ผ่องพักตร์ดังจันทร พิศขนงก่งงอนดังคันศิลป์
พิศเนตรดังเนตรมฤคินทร์ พิศทนต์ดังนิลอันเรียบราย
พิศโอษฐ์ดังหนึ่งจะแย้มสรวล พิศนวลดังสีมณีฉาย
พิศปรางดังปรางทองพราย พิศกรรณคล้ายกลีบบุษบง
พิศจุไรดังหนึ่งแกล้งวาด พิศศอวิลาสดังคอหงส์
พิศกรดังวงคชาพงศ์ พิศทรงดังเทพกินรา
พิศถันดังปทุมเกสร พิศเอวเอวอ่อนดังเลขา
พิศผิวผิวผ่องดังทองทา พิศจริตกิริยาจับใจ


แม้นกายมิสะโอดสะองเทียมอดีตชาติ หากข้ากลับหลงใหลเจ้า หลงรักเจ้ายิ่งกว่าเดิม พี่จักทำเช่นไรกับเจ้าดีหนา


หากอสุเรนทร์ตกอยู่ในห้วงความรัก ราเมนทร์ก็ไม่ต่างอะไรกันนัก เหมือนหัวใจอันเฉี่ยวเฉาถูกชโลมด้วยน้ำทิพย์จากสวรรค์จนชุ่มชื่นเบ่งบาน หลังจากใช้เวลารอคอยมานานกว่าร้อยปี

“ศึกครานี้ เห็นทีข้ากับเจ้าต้องเป็นศัตรูกันจริงจังเสียแล้วกระมัง”

อสุเรนทร์ยกยิ้มให้กับคำตอบของอีกฝ่าย ในเมื่อประกาศศึกกันเช่นนี้ เห็นทีเขาจะมัวแต่พิรี้พิไรเล่นอยู่ไม่ได้แล้ว ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ตายเป็นตาย!


“หึ อย่างกับข้าเห็นเจ้าเป็นอย่างอื่นนอกเสียจากศัตรู ในเมื่อเจ้าท้ามา ข้าก็น้อมรับ เตรียมใจยอมรับความแพ้ไว้ได้เลยราเมนทร์”






โอ้ยย มีความมันส์พะยะค่ะ เห็นเขาฉะกันเพื่อแย่งนายเอกแล้วบอกคำเดียว อยากให้มีคนมาแย่งเราแบบนี้บ้าง  :hao7:

เรื่องนี้ทั้งเรื่องจะมีกาพย์ กลอนเป็นส่วนประกอบเพื่อมเสริมอรรถรสในการอ่านให้ดียิ่งขึ้น

เราตั้งใจแต่งเรื่องนี้มาก ฉะนั้นขอกำลังใจหน่อยน้าา เพื่อปลุกปั้นพลังในตัวนักเขียน

โอเค เราจะไปปั่นต่อล่ะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน :pig4:

เจอกันใหม่คราวหน้าจ้า   :hao3:  :bye2:

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 11-12-2016 05:09:21
มาต่อให้ไวน่ะคะ สำนวนการแต่งดีทีเดียว อ่านแล้วไม่ตะขิดตะขวงใจ สอดแทรกกลอนและแสดงภาพพจน์เนื้อเรื่องได้ค่อนข้างชัดเจนดี เหมือนนักเขียนมืออาชีพ ชวนติดตาม เป็นกำลังใจให้ค่ะ กำลังรอเรื่องที่ใช้ภาษาที่ดีและลื่นไหลอยู่เชียว ในเล้านี้มีเรื่องแต่งที่สนุกหลายเรื่อง แต่บางทีก็ติดขัดความสมจริง การสื่อสาร อารมณ์ หรือแม้แต่การใช้คำ เรื่องสนุกหาไม่ยาก แต่เรื่องที่ดีที่ถูกใจหาไม่ง่าย บางเรื่องดีคนแต่งก็ไม่มาต่อเสียดายมาก หวังว่าจะไม่ปล่อยให้ตั้งตารอเก้อน่ะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 11-12-2016 07:33:38
หาอ่านยากมากค่ะสำหรับนิยายอิงวรรณคดี ชอบมากเลย
พยายามเข้านะคะเก่งมากอ่ะ สู้ๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๓: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 11-12-2016 21:04:02
บทที่ ๓
[/size]



ท้องพระโรงกรุงลงกาคลาคล่ำไปด้วยเหล่าเสนาอำมาตย์ วาจาวิจารณ์เซ็งแซ่เมื่อนางสำมนักขาผู้เป็นภคินีน้อง ของเจ้าแผ่นดินกรุงลงกา บัดนี้กลับนั่งร้องห่มร้องไห้โศกเศร้าโศกาเล่าถึงความตายของพระยาทูษณ์ พระยาขร และพระยาตรีเศียรที่มาช่วยตนเอาไว้จากมนุษย์พวกหนึ่ง

พญารากษส กายสีเขียวทรงชุดเครื่องใหญ่ประดับดิ้นด้ายสีเงินเดินทองสง่างามราวเทพดาวดึงส์ สวมชฎาเก้าพักตร์เต็มยศดูเปี่ยมอำนาจบารมีล้นพ้น ทุกนิ้วมือพราวด้วยแหวนทองคำและอัญมณีเจิดจรัส ดวงแก้วมรกตคมคายฉายแววพิโรธอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่บุรุษผู้นี้ปรากฏกายขึ้น อากาศรอบตัวก็ดูเหมือนจะละลายกลายเป็นตะกั่วหนักทับศีรษะข้าราชบริพารยักษีแลยักษาให้จมลงพื้นพรมท้องพระโรง

“น้องสำมนักขา เจ้าหยุดเศร้าโศกก่อนได้ฤาไม่ ข้าฟังมิใคร่ถนัดหูนัก...ไหนเจ้าลองบอกข้าอีกสักครา เรื่องทั้งหมดเป็นเช่นไร”

“เพลานั้น ข้าออกเที่ยวในป่าอย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่ข้ากลับไปเจอสตรีนางหนึ่ง นางงดงามราวกับนางอัปสรบนชั้นฟ้า คราแรกข้าคิดจักพานางมาถวายเสด็จพี่ ทว่าข้ากลับโดนบุรุษเพศแปลกหน้าข่มขู่ มิหนำซ้ำยังทำร้ายข้าโดยการตัดมือ ตัดเท้า จมูก และหูให้เป็นที่น่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก” นางแสร้งก้มหน้าเศร้าเคล้าน้ำตา “และพวกมันยังใช้แรงกำลังราวช้างศาล กระทำย่ำยี...เหยียดหยามน้ำใจราวกับข้ามิใช่อิสตรี...ข้านั้นแสนอับอายมากเหลือเกินจึงต้องไปทูลขอความช่วยเหลือจากพี่ทั้งสาม (พระยาทูษณ์ พระยาขร และพระยาตรีเศียร) ท่านพี่ทั้งสามต่างต่อสู้เพื่อข้าด้วยกำลังที่มี หากเจ้ามนุษย์แปลกหน้ากลับใช้เล่ห์กลหลอกลวงจนท่านพี่ทั้งสามตกหลุมพรางพ่ายแพ้ให้แก่พวกมันอย่างน่าอดสูจนถึงแก่ความตาย”

“มันเป็นผู้ใด”

“ฮึก...มันผู้นั้น...ฮึกๆ”

“ข้าถามมันเป็นผู้ใด!”

ขุนนางทั้งหลายต่างสะดุ้งโหยงเมื่อทศกัณฐ์ ผู้ครองกรุงลงกาฟาดฝ่ามือลงบนตั่งไม้ใกล้แท่นบัลลังก์จนแตกหักกระจายเป็นเศษส่วนน้อยใหญ่ แม้แต่นางสำมนักขาเองต้องรีบละล่ำละลักเอ่ยต่อด้วยความเกรงกลัว

 “ผู้นั้นมีกายสีเขียวเฉกเช่นเสด็จพี่นาม พระราม แลผู้เป็นพระอนุชามีกายสีเหลืองดั่งทองทานาม พระลักษณ์ ทั้งสองล้วนสวมชุดทรงที่ข้าแน่ใจว่าจักต้องเป็นโอรสจากเมืองใดเมืองหนึ่งที่ห่างจากกรุงลงมาไปไม่มากเพคะ”

ดวงตาขุ่นมัวด้วยความไม่พอใจ หนอย พระราม เป็นเพียงมนุษย์ตัวจ้อยร่อย ยังหาญกล้าหยามเหยียดวงศ์ยักษา เราคงต้องได้เห็นดีกัน ใบหน้าทรงอำนาจที่แฝงความเหี้ยมโหดหันไปทางภคินีน้องร่วมสายเลือด เพียงแค่ปรายหางตามอง นางสำมนักขาก็รู้สึกหนาววาบไปทั่วแผ่นหลัง

“มันอยู่ที่ใด ข้าจักไปฆ่ามัน” ดวงเนตรของพญารากษสเปี่ยมด้วยโทสะที่กำลังโหมกระพือขึ้นเรื่อยๆ น้องชายตายคนหนึ่งยังพอควบคุมอารมณ์ได้ แต่นี่! ตั้งสามคน เสียท่าให้มนุษย์ตัวกะจ้อยร่อยสองตัว! มันคุ้มแล้วรึ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น “จงบอกพี่มาน้องสำมนักขา พวกมันอยู่ที่ใด!”

“อย่าเลยเพคะเสด็จพี่!”

“เจ้ากล้าห้ามข้า”

นางเม้มริมฝีปาก ช้อนตัวตาขึ้นมองหน้าทศกัณฐ์อย่างกล้าๆกลัว ถ้าเกิดพระเชษฐาฆ่าพระรามแล้วนางจะได้อยู่ครองรักฉันท์ผัวเมียกับเขาได้อย่างไร นางจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้เด็ดขาด “เพราะเขาเป็นสามีข้าแล้ว ข้าไม่อยากให้เขาตายเพคะ...และตอนนี้ข้า....”

“ข้า? จงเร่งกล่าววาจา อย่าได้โป้ปดมดเท็จ”

“ข้ารักพระราม”

ใบหน้าพญารากษสสั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโพล่งเต็มด้วยฉุนเฉียว“รัก เจ้าบอกเจ้ารักมันกระนั้นรึ”

“ใช่เพคะ ข้ารักพระราม”

“ทั้งที่เจ้าถูกมันตัดหู ตัดจมูกเจ้า?”

“มันเป็นความผิดของข้าเองที่คิดลักพาเมียของเขามาให้เสด็จพี่ได้เชยชม สุดท้ายกลับต้องมานั่งทุกข์โศกเพราะหน้าตาแสนอัปลักษณ์ของตน ไหนจักต้องมนต์หลงใหลในรูปงามนั้นอีก ข้าอดสูยิ่งนัก แต่เสด็จพี่มิคิดดอกรึ ความตายที่ท่านหมายมอบให้มันผู้นั้นถือเป็นความทรมานน้อยสุด ข้ายังอยากเห็นพระรามตายอย่างทรมานมากกว่านี้”

ทศกัณฐ์ที่ได้สดับฟังถึงกับยกยิ้มถูกใจ เขาลืมคิดถึงข้อนี้ไปเสียสนิท ปล่อยให้มันถูกทรมานไปเรื่อยๆทั้งชีวิตน่าจะช่วยให้ความกรุ่นโกรธเขาเบาบางลงได้ไม่ยาก

“ข้ามีแผนที่ดีกว่าการที่ต้องให้มือของท่านเปื้อนเลือดพวกคนชั่วใจบาปเพราะเรื่องน่าละอายของข้า”

“เจ้ามีแผนการอันใด”

“อย่างที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่ หญิงงามท่านจำได้ฤาไม่”

“จำได้สิ” เรื่องผู้หญิง ทศกัณฐ์มิเคยหลงลืมอยู่แล้ว

“ข้ารู้มาว่านางมีชื่อว่าสีดาเพคะ  เป็นเมียของพระรามที่หยามเกียรติข้า...ความงามของนางเป็นที่ลือลั่น รูปร่างหน้าตาสะโอดสะอง สะสวยสะคราญโฉมอย่างหาที่เปรียบเปรยไม่ได้ สวยงามที่สุดและงดงามยิ่งกว่าพระอุมา พระรัศมีหรือนางใดในโลกนี้ แม้แต่ข้ายังต้องยอมแพ้” นางยังคงบอกเล่าถึงความงามของนางสีดา มีการใส่สีปั้นแต่งเพื่อให้ผู้ประทับบนแท่นบัลลังก์เกิดอาการคล้อยตาม และนางก็ทำสำเร็จเมื่อทศกัณฐ์ที่ได้ยินถึงกับละเมอเพ้อพก เกิดความลุ่มหลงในตัวสตรีฝ่ายศัตรูเข้าให้อย่างจัง แค่คำพูดที่ออกมาจากลมปากยังน่าหลงใหล หากเขาได้พบตัวจริง มิครั่นเนื้อครั่นตัวเสียจนอยากได้นางเป็นเมียหรอกรึ

“เจ้าพอมีวิธีลักพานางมาให้ข้าได้หรือไม่”

นางสำมนักขายิ้มกริ่ม สิ่งที่ตนวางอุบายเอาไว้ประสบผลเป็นอย่างดี “ข้าต้องมีแน่นอนเพคะ”

“เจ้าจักทำเยี่ยงไรน้องสำมนักขา”

“เสด็จพี่ทศกัณฐ์โปรดวางพระทัย ขอให้ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเอง ท่านแค่แปลงกายเป็นมนุษย์ไปอยู่รอในอาศรมร้างฤๅษีใกล้สายธารธาราก็พอ”



เสียงน้ำตกไหลเย็นและธารน้ำใสแลเห็นฝูงปลายแหวกว่ายไปมาอยู่ไหว...ไหว ปลุกให้ทศกัณฐ์รู้สึกตื่นตาตื่นใจได้ไม่ยากนัก อีกไม่นานจากคำบอกของภคินีน้องแล้ว มารีศจะแปลงกายเป็นกวางทองเพื่อหลอกล่อให้พระรามออกตามกวางเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของป่าหิมพานต์ตามความปรารถนาของนางอันเป็นที่รัก  แล้วไซร้จึงเหลือเพียงนางสีดาและพระลักษณ์นั่งคอยอย่างเงียบเชียบในอาศรมร้างของฤๅษีตนหนึ่ง

ถึงทศกัณฐ์จะเป็นคนขี้โมโหและเลือดร้อน ทว่าเขากลับควบคุมอารมณ์ได้ดีในยามที่ตั้งใจทำสุดความสามารถ พยายามควบคุมอารมณ์ดิบเถื่อนที่พลุ่งพล่านในกายามิให้หลั่งใหลออกมาก่อนทำสำเร็จผลที่ตั้งเป้า รอใช้โอกาสตอนพระลักษณ์เร่งรุดเข้าไปในป่าลึกตามเสียงเรียกที่มารีศใช้อุบายดัดแปลงเป็นพระราม แล้วปล่อยให้นางสีดารออย่างโดดเดี่ยว เมื่อนั้นแหละเขาจะลักพานางไปสมสู่กันที่กรุงลงกา

ความงามของนางสีดาเป็นไปตามที่นางสำมนักขาบอกทุกอย่าง อาจจะดูงามมากกว่าด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับกายจริงของนาง ผิวนวลนางผุดผาด เรียบเนียนน่าสัมผัสลูบไล้ ดวงตาหวานฉ่ำ...หวานเสียยิ่งกว่าน้ำผึ้งจากนางพญา ริมฝีปากเรียวบางสีชาดช่างน่าละเลียดอยู่นานสองนาน

ทศกัณฐ์เลือกแปลงกายเป็นฤๅษีหนุ่มรูปงาม ผิวกายขาวเหลืองผ่องตัดกับสีเขียวเข้มของแมกไม้ในดงป่าหิมพานต์ ดวงตาสีนิลคมคายรับกับคิ้วโก่งดั่งคันศร จมูกโด่งสันได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่มที่เย้ายวน หากคลี่ยิ้มในคราใด สตรีในกรุงลงกาหรือแม้แต่หญิงงามจากเมืองอื่นต่างอ่อนระอวย ตกอยู่ในวังวนทั้งสิ้น

“เจ้าเป็นผู้ใด”

นางสีดาหันมองตามเสียงเรียก พบฤๅษีหนุ่มตนหนึ่งยืนสงบนิ่ง เอามือไพล่หลังอย่างสง่างามสมผู้ทรงศีล นางย่อกายก้มลงกราบเขาด้วยความเลื่อมใสพร้อมเชื้อเชิญให้นั่งพักด้านในอาศรม

“ท่านอาศัยอยู่ที่อาศรมแถวนี้ฤาเจ้าคะ”

“หาไม่ อาศรมข้าห่างไกลจากที่นี่มากนัก หากเพลานี้ข้าออกบำเพ็ญตบะเสริมสร้างบุญให้ตนเองแลคอยช่วยเหลือผู้ทุกข์ร้อน ก่อนจะมาเจอเจ้า” ทศกัณฐ์ในร่างฤๅษียิ้มน้อย “เจ้าอาศัยที่นี่ฤา”

“มิได้เจ้าค่ะ ข้าแค่ใช้เป็นที่พักพิงชั่วคราวเท่านั้นระหว่างรอพระสวามีของข้าแลพระลักษณ์กลับมาจากล่ากวางป่าสีทอง”

“พระสวามีเจ้าหรือ เขาเป็นผู้ใดกันเล่า”

“พระสวามีของข้าชื่อพระรามเจ้าค่ะ” คำว่า ‘ของข้า’ ทศกัณฐ์รู้สึกคันหัวใจขึ้นมาตงิดๆ โกรธที่นางสีดาเอาแต่ชื่นชม ยกยอปอปั้นผัวของตนประหนึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าที่ชาตินี้ทั้งชาติจะหาได้เพียงหนึ่งเดียว

“พระรามรึ” ฤๅษีหนุ่มเจ้าเล่ห์ส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย “เหตุใดเจ้าเลือกมาอยู่กับพระรามในป่า มิบังควร มิได้เหมาะสมแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียว...ข้าขอเตือนออเจ้าอยู่ห่างบุรุษผู้นี้ มิเช่นนั้นชีวิตเจ้าเป็นทุกข์ มิมีความสงบสุข จักสร้างความฉิบหายเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า”

“จริงฤาเจ้าคะ” นางสีดาเลิกคิ้วถามอย่างสงสัย

“ข้าเป็นผู้มีศีลมีธรรม เหตุใดข้าต้องหลอกเจ้าล่ะ”

“...”

“ตามดวงชะตาของเจ้า เจ้าน่าจักเป็นเมียทศกัณฐ์เสียมากกว่า พญารากษสตนนั้นทั้งหล่อเหลาคมคาย เป็นเจ้าเมืองลงกาแลยังมีสมบัติพัสถานมากมาย คอยเลี้ยงดูเจ้าให้อิ่มหนำสำราญ หากได้ใช้ชีวิตร่วมกันฉันท์ผัวเมียจนถึงบั้นปลาย ชีวิตเจ้าจักมีแต่ความสุข”

คราวนี้สายตาอันอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว นางลุกขึ้นยืนด้วยโทสะแรงกล้า  “ทศกัณฐ์ฤาที่คู่ควรกับข้า ท่านช่างโป้ปดนักท่านผู้ทรงศีล! ผู้ใดก็ล่วงรู้ทศกัณฐ์นั้นเลวมากเพียงใด บรรดาน้องชายทั้งหลายของมันล้วนปรลัยด้วยฝีมือพระสวามีของข้ากันทั้งสิ้น รากษสผู้อ่อนแอเช่นนั้นจักคู่ควรกับข้าเยี่ยงไรเจ้าคะ”

อารมณ์ในกายเดือดพล่านมิอาจควบคุมได้อีกต่อไป ทศกัณฐ์แปลงกายกลับเป็นร่างเดิม และนั่นทำให้นางสีดาตื่นตระหนกสุดขีด คิดจะวิ่งหนี หากทว่าแขนกำยำฝ่ายศัตรูช่างมีแรงมหาศาลตวัดโอบรอบเอวคอดกิ่วและรั้งนางไว้อย่างแน่นหนา

“ปล่อยข้า เจ้ายักษ์ใจชั่ว”

“ข้ายอมชั่วเพื่อได้เจ้ามาครอบครอง คราแรกที่เห็นเจ้าข้าก็ตกหลุมรักเจ้าเหลือเกินจอมขวัญของพี่ พี่จักประคองกอดเจ้าทุกคืนวันแทนที่พระรามผู้เป็นพระสวามีเจ้าเอง”

“ปล่อยข้า!”

“รอให้ข้าตายเพราะอิ่มเอมความสุขที่เจ้ามอบให้เสียก่อน ข้าถึงจักปล่อยเจ้าไป”

“อย่าทำข้าเลย ได้โปรดเถิดทศกัณฐ์!!”

ต่อให้นางร้องจนเสียงแหบแห้ง ก็มิอาจห้ามความปรารถนาของพญารากษสได้อีกแล้ว ทศกัณฐ์ซุกไซร้ดอมดมกลิ่นหอมจากเนินอกอวบอิ่ม มือหนาลูบไล้เสียผิวเนื้อกายแสนเนียนละเอียด  คิ้วเข้มและหนาขมวดเข้าหากัน มิอาจทนต่อสิ่งเร้าได้อีกต่อไป รีบอุ้มนางสีดาด้วยสองแขนแข็งแรง เขจร ตรงไปกรุงลงกาทันที





ถึงจะเป็นการพบเจอกันครั้งแรกที่ไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่ หากมันกลับทำให้เขามีความสุขจนน้ำทิพย์แตกกระเซ็นซ่านไหลรินเต็มแท่นบรรทมแลกายนาง

อสุเรนทร์ยิ้มเยาะตัวเองในใจ ต่อให้กาลเวลาผ่านไปนานสักแค่ไหน เวลาเจอหน้านางทีไร เขาเป็นอันต้องอยากลักพานางไปสมสู่ด้วยจิตใจลุ่มหลงในตัณหาทุกครา

พี่ไม่ผิดนะพ่อเปรม ความงามของเจ้าทำให้พี่เป็นเช่นนี้เอง

ทางด้านเปรมเองเริ่มรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหน้า...ยามชายแปลกหน้าสองคนจ้องมองเขาราวกับมองทะลุผ่านไปถึงข้างใน หากให้เดาทั้งสองคงเป็นคนที่มาประเมินการแสดงที่คุณจันทร์และปู่เหนือบอกไว้หรือไม่ก็เป็นครูฝึกของของเหล่านักแสดงที่ผ่านการคัดเลือกให้เล่นบทละครโขนเรื่องใหม่ เปรมลอบถอนลมหายใจระหว่างย่ำเท้าหมุนตัวไปทางทางด้านหลัง นัยน์ตาสวยหยาดเยิ้มเสมองไปยังทิศทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการเล่นเกมจ้องตากับคนเหล่านั้น ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เปรมรู้สึกคุ้นเคยใบหน้าพวกเขาเหลือเกิน โดยเฉพาะผู้ชายหน้าคมคายสองคนที่ยืนใกล้กัน

เราเป็นอะไรไปนะ เปรมถามกับตัวเองขณะร่ายรำในทำนองช่วงสุดท้ายของการแสดงทศกัณฐ์ลักนางสีดา แม้จะรำเพียงคนเดียวปราศจากทศกัณฐ์ข้างกาย ทว่าเขากลับสามารถเข้าถึงจิตวิญญาณและอารมณ์ของตัวนางสีดาได้ดี จนอดแปลกใจไม่ได้ว่าเกิดขึ้นอะไรกับตนหรือเปล่า

ตั้งแต่รับบทเป็นสีดา ทุกครั้งที่เขาฝึกซ้อม ร่างกายจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างรวดเร็วว่าควรกระทำอย่างไร แสดงออกแบบไหนถึงจะพอเหมาะในฐานนะตัวเอกของเรื่อง เพราะเหตุนี้แหละที่เปรมแปลกใจมากที่สุด บอกตามตรงท่าทางที่เขาแสดงออกไปทุกครั้ง บางทีเขายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าทำออกไปแล้ว ราวกับเปรมเคยชินกับสิ่งเหล่านั้นมานานนม

ดนตรีไทยบรรเลงถึงช่วงสี่ห้องสุดท้าย ชายหนุ่มยกลำแขนทั้งสองข้างตั้งขึ้นเป็นวงโค้ง โดยนิ้วทั้งสี่ชิดปลายนิ้วอยู่ในระดับหัวเข้มขัด เอียงหน้าชายตาไปยังผู้ชมก่อนจะยกส้นเท้าเล็กน้อยแล้วย่ำเท้าซ้าย เท้าขวาสลับถี่เตรียมเคลื่อนผ่านเข้าไปหลังม่านสีแดงตามแบบที่ซ้อมก่อนหน้า หากทว่า!

จู่ๆฉากไม้ที่ถูกเซทไว้อย่างดิบดีกำลังล้มครืนพังลงมา เปรมเงยมองด้วยความตกใจ อยากขยับหนีทว่าร่างกายกลับนิ่งชะงักไม่ไปไหน ได้แต่หลับตาปี๋ยกแขนป้องกันตัวเองด้วยความกลัวสุดขีด

“ระวัง!”

หมับ!

เสียงเตือนดังพร้อมๆกับลำแขนแกร่งโอบล้อมกอดรัดกายเล็กไว้แนบอกกว้างแล้วดึงไปหลบบริเวณที่ปลอดภัยก่อนฉากไม้จะหล่นถึงตัว เสียงหัวใจของคนที่ช่วยชีวิตเขาเต้นตึกตักดังเข้ามาในหูชัดเจน กลิ่นหอมอ่อนๆและลมหายใจร้อนรินรดอยู่บนกลุ่มผมดำเงา เปรมสะอึกสะอื้นด้วยความตกใจกับอุบัติเหตุเมื่อครู่ หากไม่มีคนช่วยเขาคงต้องไปนอนอ้าปากพะงาบๆ ให้สายน้ำเกลืออยู่โรงพยาบาลเป็นแน่ เสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนกำลังกรูมาทางเขาด้วยความตกใจไม่แพ้กัน เปรมยังคงนั่งอยู่ในท่าเดิม ภายในอ้อมกอดแสนอบอุ่นของผู้ชายแปลกหน้าคนนี้

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงไม่ยอมผละกายออก มันอุ่นมากจนอยากจะพิงหัวหลับ

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงทุ้มนุ่มลึกดังแผ่วราวกระซิบ มือหนาค่อยลูบหลังปลอบประโลมอย่างอ่อนโยน เปรมหลับตาเอนศีรษะเข้ารูปพิงอกแกร่งอย่างอ่อนแรง

“พ่อเปรม! เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรมากหรือเปล่า” ครูจันทร์โพล่งร้อง วิ่งถลามาดูอาการลูกศิษย์บนเวทีอย่างนึกเป็นห่วง เปรมยิ้มพร้อมส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ

“ผมไม่เป็นไรครับครู"

“ขวัญเอ้ยขวัญมา” เธอถอนหายใจ ลูบหัวไปมาปลอบโยนและหันหน้าไปพูดกับอีกคน “ขอบคุณคุณทศมากเลยนะคะที่ช่วยพ่อเปรมเอาไว้ทัน ถ้าไม่ได้คุณทศช่วย เด็กคนนี้ต้องแย่แน่ๆ”

คุณทศ?

เปรมตัดสินใจเงยหน้ามองผู้ช่วยชีวิต เพียงพริบตาเดียวแล้วก็ต้องก้มหน้างุดลงไปอีกครั้ง แก้มนวลทั้งสองข้างพลันร้อนผ่าวแดงระเรื่ออย่างไม่ทราบสาเหตุ ก่อนกระจายไปทั่วจนเจ้าตัวต้องรีบหันหน้าหนีสายตาคมกริบที่สร้างความเขินอายให้ ไม่น่าเลย...ไม่น่ามองเลย

คุณทศที่ว่าคือหนึ่งในคนที่มองเขาด้วยแววตาแสนวาบหวาม

“ขอบคุณมากเลยนะคะคุณทศ พ่อเปรมขอบคุณคุณเขาสิจ๊ะ”

เปรมยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ขอบคุณมากเลยนะครับที่คุณช่วยผมเอาไว้”

“ฉันเต็มใจช่วยเธอ...เปรม”

เจ้าของชื่อสะดุ้งโหยงเมื่ออสุเรนทร์ก้มหน้าลงแล้วส่งยิ้มละมุนให้แก่เขา นิ้วโป้งคนตัวโตกว่ายกปาดคราบน้ำตาที่อยู่บนแก้มใสออกอย่างอ่อนโยน ทำไงดี...ไม่กล้าสบตาเลย เปรมกระวนกระวายในใจขณะอีกคนยิ้มขันอย่างอารมณ์ดี

ราเมนทร์กำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูนออกมาอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ เมื่อเห็นนางอันเป็นที่รัก (ในอดีตชาติ) ถูกอสุเรนทร์ประคองกอดอย่างรักใคร่ รอยยิ้มเหยียดหยันของพญายักษ์ทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี

“พี่ราม” ศุภลักษณ์เอ่ยเรียกแผ่ว

“หากข้าไปเร็วกว่านี้...” ตวัดดวงตาแดงกล่ำไปทางคู่แข่งหัวใจตลอดพันปีอย่างดุดัน เรื่องอื่นราเมนทร์ยอมได้ แต่เรื่องของนางสีดา เขาไม่มีทางยอมเด็ดขาด!

เพียงสบตากันครั้งแรก ราเมนทร์ก็จำได้แล้วว่าชายหนุ่มผู้นั้นคือสีดาที่กลับชาติมาเกิด เขาอยากโผไปดึงร่างบอบบางนั้นเข้ามากอดด้วยความคะนึงหา ระดมหอม ระดมจูบทุกอณูผิวให้ชื่นอุรา  แต่เขากลับทำไม่ได้ เพราะมันคนเดียว...ทศกัณฐ์

“พี่ราม กลับกันเถอะ”

“...”

“มันยังไม่ถึงทีของเรา กลับเถอะครับ”

ราเมนทร์พ่นลมออกจากจมูกอย่างอดทน ทำใจเย็น เดินกลับหลังหันจากไปอย่างเงียบๆ และคิดทุกวินาที มันยังไม่ถึงเวลาของเรา นี่แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ถึงจุดสำคัญ เขาจะปล่อยให้เจ้ายักษ์ใจคดได้ใจไปก่อน  พอถึงคราวของเขาเมื่อไหร่ มันจะไม่มีสิทธิ์แตะต้องนางแม้กระทั่งปลายเล็บ

อสุเรนทร์หันกลับมาสนใจร่างในอ้อมกอดเช่นเดิมหลังจากเห็นศัตรูหัวใจเดินกระทืบเท้าออกไปแล้ว เขาลูบหัวอีกฝ่ายอย่างเอ็นดูก่อนจะสังเกตถึงความผิดปกติบนใบหน้าของอีกฝ่าย

“เจ้า...เธอเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บตรงไหนบ้างไหม”

“เอ่อ...” เปรมอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ ขณะยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบขมับปูดบวมของตน “ผมแค่เจ็บนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”

“ตรงไหน”

“ครับ?”

“ฉันถามว่าเจ็บตรงไหน”

อสุเรนทร์เหลือบมองลงล่าง ข้อเท้าของเปรมปูดบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปลายนิ้วหนากำลังเอื้อมแตะลงบนลูกมะนาวลูกเล็กที่กำลังเขียวช้ำได้ที่ หากอีกฝ่ายกลับถดหนีเสียก่อน

“ตรงนี้ใช่ไหม” อสุเรนทร์ถามย้ำ

“คะ...ครับ”

“ครูจันทร์ครับ ฝากบอกท่านครูด้วยว่าผมขอยืมตัวนักแสดงคนดีไปทำแผลที่โรงพยาบาลก่อน ถ้ามีอะไรให้แจ้งไว้กับชินกฤต น้องชายผมคนนี้” ชี้ไปทางชายหนุ่มที่หล่อไม่แพ้พี่ชาย “เขายังอยู่ที่นี่ต่อเพื่อทำการประเมินให้จบ...กฤต ฉันฝากนายดูแลด้วยนะ”

“วางใจได้เลยครับพี่ทศ”

“เดี๋ยว คุณอุ้มผมทำไมเนี่ย ละ...แล้วจะพาไปไหน ถ้าไปโรงพยาบาลผมไม่ไปนะ ผมกลัว” เปรมพูดรัวจนลิ้นแทบพันกันขณะอสุเรนทร์ช้อนอุ้มร่างบอบบางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน ผ่านทุกคนที่กำลังมองพวกเขาด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

อสุเรนทร์ไม่เคยเห็นใจใครหรือช่วยเหลือนักแสดงที่บาดเจ็บจากการซ้อมบทเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นประธานหนุ่มสุดเนี้ยบอุ้มนักแสดงโขนรุ่นน้องไปส่งโรงพยาบาลด้วยตัวเอง!

“พูดมาก”

“ขะ...ขอโทษครับ”

“ทำไมเธอถึงไม่อยากไปโรงพยาบาล”

“ผม...ไม่ชอบ”

เปรมเกลียดโรงพยาบาลยิ่งกว่าอะไรดี เพราะเคยมีประสบการณ์ไม่น่าจดจำเกิดขึ้นกับสถานพยาบาลพวกนี้ ไหนจะกลิ่นสะอาด ที่สะอาดจนแสบจมูก เสียงโอดครวญของคนไข้ เสียงเด็กร้องไห้ มันเป็นสถานที่ที่รวมทุกสรรพสิ่งแห่งความน่ากลัวไว้ในที่เดียวกัน

“เด็กน้อย”

“ผมอายุยี่สิบสอง ไม่เด็กแล้วนะครับ” เปรมเบะปาก หันหน้าหนีไปทางอื่น อสุเรนทร์เลิกยิ้มและหัวเราะให้กับความน่ารักน่าเอ็นดู
ของสีดาเวอร์ชั่นปัจจุบัน

“ช่วยหยิบกุญแจรถในกระเป๋าเสื้อให้ฉันหน่อย มือไม่ว่าง”

“ตรงไหนครับ ปล่อยผมลงเดินก็ได้นะ”

“ไม่ ฉันอยากอุ้มเธออย่างนี้แหละ หยิบให้หน่อยสิ”

“อะ...อ่า” คำพูดของร่างสูงทำเอาเปรมไปไม่ถูกเลยทีเดียว อาการเห่อร้อนบนใบหน้าปรากฏบนแก้มซ้ายขวาอีกครั้ง เขาใช้มือล้วงหยิบกุญแจรถจากกระเป๋าเล็กด้านในเสื้อสูทสีดำของอสุเรนทร์ โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าอีกฝ่ายกำลังก้มลงหอมเส้นผมของเขาอย่างเงียบๆ


เรณูนวลหวนหอมมารวยริน          พระพายพัดประทิ่นกลิ่นหวาน
เฉื่อยฉิวปลิวรสสุมามาลย์                 ประสานสอดกอดหลับระงับไป


แค่ได้ดอมดมวันละนิดวันละหน่อย พี่ก็สุขใจแล้ว

“เจอแล้วครับ” เปรมบอกพร้อมเงยหัวขึ้นมา อสุเรนทร์เลยพลาดโอกาสแปลงกายเป็นพญาผึ้งดอมดมกลิ่นหอมอย่างน่าเสียดาย

“ขอบใจ”

อสุเรนทร์รับกุญแจมาถือไว้ รีบปลดล็อกประตู วางร่างของเปรมลงบนเบาะรถแล้วรีบสตาร์ทเครื่องออกรถทันที

“คุณจะพาผมไปโรงพยาบาลจริงๆเหรอ ผมไม่ไปได้ไหม”

“แล้วเธออยากไปไหน ฉันพันแผลให้เธอไม่เป็นหรอกนะ”

“แวะแค่ร้านขายยาก็พอครับ”

“มีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน หืม เด็กน้อย” อสุเรนทร์เหลือบมองร่างบางตอนช่วงรถติดไฟจราจร ที่จริงเขาแกล้งทำเป็นดุไปเท่านั้น บอกมาเสียสิ สิทธิ์ความเป็นเมีย พูดเลย เขาจะยอมศิโรราบในบัดดล

“ผมไม่มีสิทธิ์หรอกครับ” เปรมยิ้มแห้ง ได้โปรดอย่าทำหน้าเศร้าเคล้าน้ำตาได้ไหม เห็นทีไรหัวใจอ่อนยวบลงทุกที

“โกรธฉันเหรอ”

“...”

เงียบ

“...”

“...”

“เปรม...เธอชื่อเปรมใช่ไหม” อสุเรนทร์ทนไม่ไหวเลยแกล้งถามเพื่อทำลายความเงียบที่สร้างบรรยากาศอึดอัดภายในรถให้กับพวกเราสองคน

“ครับเปรม เปมทัต”

“ชื่อเพราะดีนะ แปลว่าอะไรล่ะ”

“เปมทัต แปลว่าผู้ให้ความรักครับ พ่อกับแม่คงอยากให้ผมเป็นเด็กที่ให้ความรักกับผู้อื่น แล้วคุณทศชื่ออะไรหรือครับ”

"ฉันชื่ออสุเรนทร์ หมายถึงพญายักษ์"

"เพราะจังเลยนะครับ แต่แปลว่ายักษ์ไม่ดีเลย"

"ทำไมล่ะ"

"ยักษ์มักใจร้าย น่ากลัวด้วย" เปรมเปรยออกมา

"ยักษ์บางตนก็ใจดีนะ แถมหล่อมากด้วย"

“ผมจะพยายามเชื่อตามคุณแล้วกัน"

"แล้วสรุปชอบไหมล่ะ"

"ชอบสิครับ" รอยยิ้มกว้างหุบลงฉับพลัน "ผม...ผมหมายถึงชอบชื่อคุณเฉยๆนะ"

"ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย" อสุเรนทร์ยกยิ้มมุมปากเมื่อเห็นอาการตื่นตระหนกเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆ "ว่าแต่ความหมายชื่อเธอคือผู้ให้ความรัก แล้วเธอเคยให้ความรักคนอื่นหรือยัง”

 “ให้สิครับ...แต่ถ้าหมายถึงสถานะคนรัก ผมไม่เคยให้หรอก เพราะไม่เคยมี พ่อบอกมันยังไม่ถึงเวลาและยังไม่เจอคนที่เหมาะสมกับผม”

"เรื่องแบบนี้มันต้องตัดสินใจด้วยตัวเองหรือเปล่า พ่อเธอ...คงมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นใช่ไหม"

"แม่เคยเล่าให้ผมฟัง ประมาณผมอายุได้หนึ่งขวบ ระหว่างไหว้พระประธานในโบสถ์ จู่ๆก็มีพระสงฆ์รูปหนึ่งทักพ่อกับแม่ว่า ต่อไปลูกชายจะมีหน้ามีตาทางสังคม เชิดชูวงศ์ตระกูล แต่ช่วงอายุยี่สิบต้นๆจะมีอุปสรรคครั้งใหญ่ที่อาจถึงแก่ชีวิตเพราะเรื่องคู่ครอง ถ้าผ่านมันไปได้ชีวิตจะมีแต่ความสุข เรื่องแบบนี้ผมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนะ แต่ถ้าทำให้พ่อหรือคนในครอบครัวสบายใจผมก็ยอมขึ้นคาน"

"เธอไม่มีทางขึ้นคานหรอก เชื่อฉันสิ" เพราะต่อให้ขึ้นไป เขาก็จะลากร่างแน่งน้อยลงมาอิงแอบแนบชิดกายเขาดังเดิม

"ทำไมล่ะครับ หรือคุณอยากขึ้นคานเสียเอง"

“ถ้าขึ้นแล้วได้อยู่กับเธอ ฉันก็ยอมนะหนุ่มน้อย” นัยน์ตาหวานรีบผลุบลงต่ำเมื่อโดนหยอดคำหวานจากชายหนุ่ม ประธานบริษัทยักษ์ใหญ่พ่วงด้วยตำแหน่งผู้จัดการแสดงโขนที่เป็นเจ้านายของเขา ทำเอาเปรมทำอะไรต่อไปไม่ถูก ยิ่งตอนช่วงเผลอเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายซึ่งกำลังจ้องเขาอยู่พอดีพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก เจ้าค่าเอ้ย! หัวใจเต้นกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ แทบเทกระจาดยกให้ฟรีแบบไม่คิดเงินสักแดงเดียว

ไม่...ไม่นะเปรม นายเป็นอย่างนี้กับคนที่เพิ่งเจอกันได้ยังไง

“เปรม”

 “ค...ครับ” ตะกุกตะกักพูดแทบไม่ออก

อสุเรนทร์เปิดไฟ หักเลี้ยวพวงมาลัยเข้าไปจอดรถในลานจอดรถของร้านขายยาร้านหนึ่ง ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยออกมา บรรยากาศเงียบเชียบเสียจนอสุเรนทร์ได้ยินเสียงหัวใจของคนข้างกายชัดเจน เฉกเช่นเดียวกับกับหัวใจของเขาที่ยังคงเต้นกระหน่ำ ไม่หยุดหย่อนนับตั้งแต่เจอหน้านวลลออ

เมื่อไหร่หนอจะได้เคียงข้างกัน

สิ่งที่เขาคิดกระทำอาจจะเร็วไปนักสำหรับเปรม ผู้ไร้เดียงสา บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทว่ามันยาวนานมากทีเดียวสำหรับคนที่รอแล้วรอเล่าอย่างเขา พญารากษสผู้ยิ่งใหญ่พร้อมรับความเสี่ยงหากมันทำให้แม่นางสีดาคนงามหันมารักทศกัณฐ์หมดทั้งดวงใจสักชาติหนึ่ง

“ฉันขอถามเธอสักข้อได้ไหม”

“อะไรครับ”

ฝ่ามือหนาวางทับลงบนพวงแก้มใสสวย ใช้นิ้วโป้งลูบไล้เบาๆ ดวงตาสองคู่สบกันต่างความคิดความรู้สึก หากดึงดูดกันและกันจนยากจะถอดถอน



“ถ้า...อสุเรนทร์อยากจะขอความรักจากพ่อเปมทัตจะให้ได้หรือเปล่า”






พี่ทศมีความอ้อยแรงงงงง ถ้าเราเป็นหนูเปรม เรายอมค่ะ ยอมให้หมดทั้งตัวและหัวใจ ฮิ้ววววว  :ling1:

มีความเขินเล็กน้อย สำหรับสกิลจีบของยักษ์ แน่นอนว่ามันจะเสี่ยวขึ้นเรื่อยด้วย ฮ่าๆๆๆ

ชอบใจก็คอมเม้นให้กำลังใจกันได้เลยนะค๊าาาาา

ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ไว้เจอกันใหม่ในตอนหน้าค่าาาาา  :z2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๓: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)11/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 12-12-2016 02:10:29
ขายอ้อยมันทั้งไร่จริงๆ งานนี้เสี่ยทศทุ่มทุนสร้าง :hao6:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๓: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)11/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ChabaSri ที่ 12-12-2016 03:53:56
งื้ออออดีอ่ะ เราก็เป็นแฟนรามเกียรติ์เหมือนกัน รออ่านน้าาาาาาา
สำนวนดีมากเลย ชอบๆ

อยากแนะนำนิดหน่อยเวลายกบทคำกลอนมาอยากให้ใส่ที่มาด้วยเพื่อที่เวลาคนอื่นที่ไม่เคยอ่านรามเกียรติ์มาอ่านแล้วอยากต่อยอดไปหามาอ่านบ้าง เช่นตอนบทชมโฉมนางสีดาก็อาจลงท้ายวงเล็บเล็กๆว่า "บทละครเรื่องรามเกียรติ์ สมุดไทยเล่มที่ ๒๘ บทชมโฉมนางสีดา ตอนทศกัณฐ์ลักนางสีดา" จะเพิ่มอรรถรถและความมีเสน่ห์ให้นิยายมากขึ้นค่ะ  ^^

คนเขียนสู้ๆ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๓: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)11/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: DPAENGD ที่ 12-12-2016 04:20:31
พี่ทศรุกเร็วมากเลยกลัวว่าเดี๋ยวพ่อเปรมจะเตลิดไปเสียก่อน แต่ยังไงก็เชียร์พี่ทศนะ
ภาษาน่ารักมากเลยค่ะ ชอบที่ทุกตัวละครเรียกเปรมว่าพ่อเปรมมากเลย เห็นถึงความเอ็นดูมากมายนัก พ่อเปรม พ่อเปรม
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๓: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)11/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 12-12-2016 08:29:25

ชอบขอรับ

ภาษาสวย

ยักษ์ก็รักเป็น

รอต่อขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๓: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)11/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: awila ที่ 12-12-2016 10:46:27
โอ้ยยย ชอบเรื่องแนวนี้มากกกก
หยอดแบบไม่เกรงใจกันเลยนะพี่ทศ ฮือออออ
รอๆๆๆๆ อย่าดราม่าเยอะนะ ใจบาง5555
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๓: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)11/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 12-12-2016 11:33:35
ชอบบบ ดีงามมาก
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๔: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)12/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 12-12-2016 12:57:22
บทที่ ๔
[/size]




 ‘ถ้า...อสุเรนทร์อยากจะขอความรักจากพ่อเปมทัตจะให้ได้หรือเปล่า’


‘ถ้า...อสุเรนทร์อยากจะขอความรักจากพ่อเปมทัตจะให้ได้หรือเปล่า’


‘ถ้า...อสุเรนทร์อยากจะขอความรักจากพ่อเปมทัตจะให้ได้หรือเปล่า’



นี่มันคำขอบ้าอะไรกัน!!


เปรมทำหน้ามุ่ย ทึ้งหัวตัวเองจนยุ่งเหยิง ชี้ไปคนละทิศคนละทาง นอนเอาหน้าซบหมอนกลิ้งตัวไปมาบนเตียง จิกหมอนพลางดีดดิ้นใต้ผ้าห่มไปมาจนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ ต้องโทษตัวเองที่เลือกจำ ไม่เลือกที่จะลืม เปรมยังจำแววตาแสนอาทรนั้นเวลาพูดกับเขาได้ ถึงจะมองคนไม่ค่อยเก่ง ทว่าการแสดงออกอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนของอสุเรนทร์ ต่อให้เป็นคนโง่เรื่องความรู้สึกอย่างเปรมก็ต้องรู้ว่า ประธานหนุ่ม RAVANA คิดจะสร้างสัมพันธ์ที่มากกว่าเจ้านายกับลูกน้อง

เขาสงสัยนักว่าอสุเรนทร์คิดอะไรอยู่ คนที่หล่อ รวย มีชาติตระกูล มีทุกอย่างในชีวิตพร้อมเพรียง ไม่น่าแปลกหน่อยเหรอที่มาสนใจผู้ชายธรรมดา ไม่มีอะไรให้น่าภูมิใจอย่างเขา

“เปรม! ออกมากินข้าวลูก”

เสียงแม่ดังมาจากด้านนอกห้องนอน เปรมค่อยๆยันตัวลุกจากที่นอน เหลือบมองไปยังผ้าพันแผลบริเวณข้อเท้า คนที่บอกตลอดการเดินทางไปร้านขายยาว่าพันผ้าไม่เป็นกลับเป็นคนทำให้เขาเสียอย่างนั้น แถมยังทำออกมาเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้วขนาดเภสัชในร้านยังต้องยกนิ้วให้

อสุเรนทร์มาส่งถึงที่บ้านพร้อมบังคับให้อยู่รักษาตัวแต่ในบ้าน และจนกว่าจะหาย ห้ามหนีไปซ้อมที่โรงละคร ถ้ารู้ว่าไปเขาจะทำโทษเปรมขั้นเด็ดขาด

เหอะ เป็นผู้ชายประเภทเอาแต่ใจตัวเองสูงสินะ ตาบ้าเอ้ย

“เปรม!”

“รู้แล้วครับแม่ กำลังไป!”


การรับประทานอาหารในยามเช้าในวันนี้พิเศษกว่าทุกครั้งเมื่อหลานชายคนดีของปู่ไม้และตาเสมาแห่งคณะละครนาฏย*โรจนวาทิตย์ กลับมาเสียทีหลังจากหายหน้าหายตาไปหนึ่งอาทิตย์เต็ม ความคิดถึงหลานล้นอก พอรู้ข่าวว่าจะกลับมาพักที่บ้านเพราะข้อเท้าบวมซ้อมรำไม่ได้ คนแก่หลงหลานสองคนถึงกับยืนรอต้อนรับอยู่หน้าประตูบ้านอย่างใจจดใจจ่อ

ตั้งแต่เกิดเปรมเป็นเด็กที่นำพาความเจริญมาให้แก่ครอบครัว ไม่ว่าหยิบจำอะไรล้วนประสบความสำเร็จ เป็นเงินเป็นทองไปเสียหมด ขนาดเชิญพระสงฆ์มาทำพิธีรับขวัญ*ที่บ้านตอนเปรมยังเป็นเด็กแรกเกิด มีคำพูดหนึ่งของท่านพระท่านหนึ่งที่ทุกคนในบ้านจำได้อย่างขึ้นใจ


*นาฏย์ = เกี่ยวกับการฟ้อนรํา เกี่ยวกับการแสดงละคร เช่น นาฏยศาลา
*พิธีรับขวัญเด็กแรกเกิด 1 วัน ถึง 3 วัน


กลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ ปานกุหลานสีแดง นัยน์ตาหวานฉ่ำ อืม...ลักษณะดีทีเดียว ดูแลเขาให้ดีแล้วกัน เขามาเกิดเพื่อสร้างคุณให้เรา คนเป็นพ่อเป็นแม่ควรหมั่นทำบุญ ไหว้พระให้มากเพื่อเสริมบุญให้แก่ตนเอง เพราะเขาอยู่สูงกว่าเราเยอะ อะไรที่ทำให้เขามีความสุขก็จงทำเสียเถิด มันมักมีแต่ผลดี ผลร้ายไม่เกิด  และถ้าเขารักใครก็ขอให้พวกโยมรักด้วย อาตมาบอกได้เพียงเท่านั้น จะทำตามหรือไม่ล้วนอยู่ที่พวกโยมตัดสินใจ

เพราะเหตุนี้ไม่ว่าเขาอยากทำอะไร ต้องการสิ่งไหนล้วนมีคนคอยตามใจตลอดเวลา หากทว่าเปรมกลับเป็นเด็กที่แสนดี เลี้ยงง่ายสอนง่าย ไม่เคยนอกลู่นอกทาง หรือเกเรอย่างเด็กบ้านอื่นๆเขาปฏิบัติกัน เปรม...ค่อนข้างพิเศษและแตกต่าง เขาเป็นเด็กที่อาจจะบอกได้เลยว่ามีความไม่ธรรมดาปรากฏตั้งแต่วันแรกที่เกิด ทันทีที่เสียงร้องของเด็กทารกเปล่งออกมา กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้หลากหลายชนิดคละเคล้ากันลอยโชยมาแตะจมูกปรีชา ดวงดาว รวมถึงหมอและนางพยาบาลที่ทำคลอดในห้องนั้น เด่นชัดสุดเห็นจะเป็นกลิ่นกุหลาบ หอมแรงทว่าไม่ฉุน คล้ายมีใครมาพรมน้ำหอมใกล้ๆ

ใบหน้ายามเกิดแลดูงดงามปานเทพเทวา เส้นผมสีดำดกหนา ผิวกายาขาวผุดผ่องทว่าคล้ายๆจะมีรัศมีสีทองเปล่งประกายออกมารอบนอก ดวงตารีเรียวแวววาว พราวระยับประดุจดั่งมีดวงดาวนับร้อยดวงแข่งกันอวดแสงอยู่ในนั้น และไหนจะปานกุหลาบแดงหลังใบหูด้านขวาที่ต่อให้พลิกแผ่นดินหาทั้งประเทศหรือทั้งโลกก็คงมีแค่เด็กน้อยเปมทัต โรจนวาทิตย์คนนี้คนเดียว

ถ้ามีใครคิดจะมาเป็นลูกสะใภ้ หลานเขยตระกูลนี้คงต้องผ่านด่านจากบรรดาคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายสาหัสสากรรจ์พอควร

“เอ่อ...ทำไมทุกคนจ้องเปรมอย่างนั้นล่ะครับ” เปรมกล่าวอ้อมแอ้มเมื่อพวกผู้ใหญ่ต่างพากันจ้องเปรมเป็นตาเดียว ชายหนุ่มยกมือลูบทั่วใบหน้า “มีอะไรติดอยู่หน้าเปรมหรือยังไง”

“เปล่าหรอกลูก พวกแม่แค่...”

“...”

“โถๆๆ เอ็งก็บอกลูกมันไปสิว่า ลูกเปรม ลูกมีอะไรปกปิดพวกแม่อยู่ไหมจ๊ะ” ปู่ไม้แกล้งดัดเสียงแหลมเลียนแบบลูกสะใภ้คนงามที่อายุล่วงเลยเกือบเข้าเลขห้ามะรอมมะร่อ หากยังคงเปล่งความงามเหมือนสาวแรกรุ่น

“ปกปิด?” เปรมทำหน้างง “ปกปิดเรื่องอะไรครับ นี่ปู่กับแม่ทำเปรมงงไปหมดแล้วเนี่ย” ดูแต่ละคนทำหน้าเข้าสิ อย่างกับเขาไปทำผิดมาแล้วกำลังถูกจับได้

“อย่ามาทำไขสือไอ้ตัวแสบ คนที่มาส่งเมื่อวานน่ะเป็นใคร”

จู่ๆพ่อก็เงยหน้าจากหน้าหนังสือพิมพ์ในมือ มีการกระแอมเก๊กเสียงให้ดูขรึมลงเล็กน้อย “รู้จักกันเหรอ”

“โธ่ เปรมนึกว่าเรื่องอะไร...ครับ เขาชื่ออสุเรนทร์หรือคุณทศ เป็นประธานบริษัท RAVANA ผู้จัดแสดงโขนเรื่องกำเนิดทศกัณฐ์และก็ทหัยทศกัณฐ์ที่ผมรับบทเป็นสีดาเนี่ยแหละครับ พอดีข้อเท้าผมมันบวมมาก คุณทศเห็นใจเลยพามาส่ง”

“เห็นใจ หรือมากกว่าเห็นใจกันแน่เจ้าเปรม”

“พ่อจะถามอะไรเปรมมากเนี่ย”

“ลูกชายหายไปแค่อาทิตย์เดียว แต่ดันมีผู้ชายมาส่งถึงหน้าบ้านเสียแล้ว สนิทกันถึงขั้นไหนล่ะ เจ้านาย...เพื่อนร่วมงาน หรือคนรู้ใจ”

“พ่ออ่ะ!” เจอกันแค่วันเดียว หน้าก็เพิ่งเห็นกันด้วยซ้ำ แล้วเปรมกับเขาจะมาสนิทชิดเชื้ออย่างที่พ่อกำลังเข้าใจอยู่ได้ยังไงล่ะ บ้าที่สุดเลย “เขาแค่มาส่งเฉยๆ พ่ออย่าคิดมากสิ”

“ถามเจ้าหนุ่มนั่นหรือยังว่ามาส่งเฉยๆ...หรือคิดอะไรกับลูกพ่อมากกว่านั้น”

“พ่อ!”

“พ่อพูดผิดตรงไหน เราก็โตพอแล้วที่จะรู้ว่าสิ่งไหนที่พ่อเตือนควรหรือไม่ควรทำ”

เพี้ยะ!


“โอ้ยคุณ!” กษิดิษร้องตะโกนทันทีที่เมียรักฟาดมือลงบนท่อนแขนแกร่งอย่างถือโทษ “ตีผมทำไมเนี่ย”

“ลูกอายุยี่สิบสองแล้ว คุณจะห้ามแกให้ทำตามคำสั่งโน้นนี่นั่นเหมือนตอนเด็กๆไม่ได้นะคะ ควรบอกตัวเองก่อนไหม สิ่งไหนควรพูดหรือไม่พูดต่อหน้าลูก อยากให้ลูกมันเครียด คิดสั้นกระโดดน้ำคลองหลังบ้านตายเพราะถูกพ่อบังคับให้อยู่ขึ้นคานหรือไง”

“เปล่าสักหน่อย...คุณก็” แสร้งดื่มน้ำตอบแบบอ้อมแอ้ม

“เปล่าอะไร เห็นชัดๆ”

เอาล่ะสิ พอแม่ดวงดาวคนงามเริ่มเข้าสู่โหมดโหด กษิดิษถึงกับรีบยกไม้ยกมือปฏิเสธ “ผมไม่ได้อยากห้ามลูกสักหน่อย แค่เตือนในสิ่งที่ถูกต้อง อยากให้ลูกยืนด้วยลำแข้งตัวเองให้มั่นคงก่อน ถึงตอนนั้นจะมีแฟน มีกิ๊ก มีเมียลูกสองก็ว่าไป”

“สีข้างถลอกหรือยังคะคุณ ไม่เนียนเลยค่ะไม่เนียน เปรม...อย่าไปเชื่อฟังพ่อเขามากนะลูก นี่เป็นชีวิตลูกอยากทำอะไรก็ทำ อยากคบใครก็คบ เข้าใจไหม”

เปรมได้แต่อ้าปากพะงาบๆราวกับน้ำท่วมปากขึ้นมาเสียดื้อๆ ตาเสมานั่งหัวเราะคิกคักในลำคออย่างถูกใจก่อนจะพูดแทรกด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“พ่อว่าเจ้าเปรมหลานรักมันคงไม่มีเมียหรอก”

ทุกคนหันมองชายชราเป็นตาเดียว แถมยังส่งกระแสจิตคาดคั้นต้องการคำตอบเต็มที่ ไม่มีเมีย? ให้เขามีอะไรล่ะ

“ทำไมเหรอครับพ่อ”

“ทำไมวะไอ้เสมา”

“เปรมมันคงมีแต่ผัวไง”

“พ่อ!/ตา!”

สิ่งที่ตาเสนาบอกทำเอาเปรมชักอยากเป็นลม มือสากมีริ้วรอยตามกาลเวลาบีบแก้มหลานชายจนปากยู่ ให้หันไปตามแรงของตน ซ้ายที ขวาที เชิดขึ้น กดลงต่ำ

“เอ็งดูสิ ดู๊! หน้าอย่างนี้รึ จะมีผู้หญิงคนไหนกล้าเดินด้วย หน้าผัวสวยกว่าหน้าเมียอีก ข้ารับประกัน ต่อให้ตามหาทั้งชาตินี้หรือชาติหน้าก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนเอาหลานข้าเป็นผัวหรอกหรอกนอกจากเพศเดียวกันเอง...มองทำไม ข้าพูดผิดตรงไหน เดี๋ยวนี้สังคมมันเปิดกว้างกันแล้ว พวกเอ็งก็หัดทำใจยอมรับเหมือนข้าหน่อยสิวะ”

“ไอ้เสมา เอ็งมันช่างทันกระแสโลกเหลือเกิน” ปู่ไม้ส่ายหน้าเอือมระอา

“ไอ้แก่ข้า เป็นเอามาก” ขนาดยายยังขยาด

เปรมตบหน้าผากตัวเองดังป้าบด้วยความเซ็งจิต ช่างเป็นผู้อาวุโสที่สตรองมาก มองการไกลไปถึงชาติหน้า นี่ถ้าบอกเขาว่าไม่มีเมียเพราะขึ้นคาน ยังดีกว่าไม่มีเมียเพราะมีผัว! ตานะตา คิดก่อนพูดบ้างก็ได้

“คุณเปรมคะ มีแขกมาขอพบค่ะ” แม่บ้านวัยสี่สิบเดินเข้ามาบอกด้วยความนอบน้อม ขณะยกถาดของหวานวางบนโต๊ะ ซึ่งมีแต่ของที่เปรมล้วนโปรดปรานทั้งสิ้น

“ใครเหรอครับ”

“เห็นเขาบอกชื่ออสุเรนทร์ค่ะ”

ป้าบ!

“ฮ่า ฮ่า นั่นปะไร! ต้องเป็นเจ้าหนุ่มคนเมื่อวานแน่ๆ โอ้ยๆ อีแก่ อย่าดึงหู เจ็บ โอ้ยเจ็บ!”

“เดี๋ยวนี้พูดมากเหลือเกินไอ้แก่ ข้าจะดึงให้หูยานไปถึงไส้ติ่งเลย!” ยายดึงหูตาแล้วตบไม่ยั้ง คนถูกทำร้ายร่างกายได้แต่ร้องโอดครวญอย่างน่าสงสาร ทว่ากลับไม่มีใครสนใจและคิดจะช่วยเหลือสักราย

เปรมขมวดคิ้วเข้าหากัน มาทำไมกันนะ

“ไปเถอะจ๊ะเปรม เดี๋ยวคุณเขารอนาน” ดวงดาวเอ่ยกับลูกชาย “วันนี้บรรยากาศดี พาเขาเดินเล่นรอบบ้านเราด้วยก็ได้นะ”

“ดาว! เจ้าเปรมมันขาเดี้ยงอยู่ จะพาคนอื่นเดินเล่นได้ยังไง” กษิดิษแหวใส่คู่ร่วมชีวิตอย่างไม่เห็นด้วย 
“เดี๋ยวก็มีคนช่วยพยุงเดินใช่ไหมแม่ดาว” แหนะ มีการยักคิ้วเจ้าเล่ห์ใส่เขาอีก คุณตานะคุณตา น่าให้คุณยายทุบตีจนน่วมไปทั้งตัวเลยเชียว



 รถเบนซ์สีเทาจอดสนิทอยู่หน้าเรือนไทยหลังงามหลังหนึ่ง ร่มรื่นด้วยต้นไม้แลสวนหย่อมที่จัดตกแต่งอย่างดีกลมกลืนกับธรรมชาติ อสุเรนทร์เห็นหญิงวัยกลางคนซึ่งน่าจะเป็นแม่ของเปรม คาดเดาได้จากการแต่งกายในชุดผ้าไหมเรียบหรูสีน้ำเงินเข้มขับกับผิวขาวผ่องและโครงหน้าที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันกับลูกชายที่เครื่องหน้างดงามราวเทพเทวานางฟ้าบนสวรรค์ ก้มหน้าเดินตามหลังผู้เป็นแม่ลงมาจากเรือนไม้ อสุเรนทร์ฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับเดินปรี่เข้าไปหาโดยลูกหลานเจ้าของบ้านไม่ต้องเดินมารับถึงที่ เปรมชะงักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม

“คุณทศมีธุระอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”

“ทุกครั้งที่มาหาเธอต้องมีธุระด้วยเหรอ” ยกมุมปากยิ้มน้อย ก่อนหันไปประนมมือไหว้ทักทายคนเป็นผู้ใหญ่กว่า (แม้อายุของอสุเรนทร์จะมากกว่าหลายเท่าก็ตาม) อย่างดวงดาว ในเมื่อเข้าทางลูกมันช้านัก ก็เข้าทางแม่เนี่ยแหละ ประจบประแจง โน้มน้าวสักเล็กน้อย ขี้คร้านไม่นานคงได้เป็นยอดลูกเขยบ้านโรจนวาทิตย์

“สวัสดีครับคุณแม่...ของเปรม”

อสุเรนทร์ลากคำว่าแม่ยานยาวและกระชับคำหลังให้สั้นลง เพื่อบ่งบอกว่าเขาต้องการสานสัมพันธ์กับครอบครัวนี้(เป็นพิเศษ) ดวงดาวรับไหว้ด้วยรอยยิ้มหวาน

“ไหว้พระเถอะค่ะคุณอสุเรนทร์ ดิฉันได้ยินชื่อเสียงของคุณมานาน ตอนแรกนึกว่าจะแก่กว่านี้เสียอีก ที่ไหนได้ยังหนุ่มแน่นพอๆกับเปรมลูกของดิฉันเลย”

“ขอบคุณที่ชมนะครับ นี่ผลไม้ ผมเห็นมันน่าทานเลยซื้อมาฝาก”

“ขอบใจจ๊ะ”

ดวงดาวรับถุงผลไม้ถุงหนึ่งจากมืออสุเรนทร์ แม่บ้านสองสามคนที่เดินอยู่ละแวกนั้นเดินมารับของทั้งหมดจากมือผู้เป็นนายไปเก็บอย่างรู้งาน เปรมชายตามองตามถุงผลไม้หลายถุงที่แม่บ้านเดินถือออกไป

“นี่คุณยังไม่ตอบผมเลยนะว่ามาที่นี่อีกทำไม”

“เปรม ทำไมพูดกับคุณเขาอย่างนั้นล่ะจ๊ะ ไม่ดีเลย”

อสุเรนทร์หัวเราะ “ไม่เป็นไรหรอกครับ พอดีผมกลัวเขาจะบาดเจ็บจนไม่สามารถเข้าร่วมซ้อมบทกับคนอื่นได้ เลยแวะมาเยี่ยมเยียนคนป่วยสักหน่อยด้วยความเป็นห่วง แต่เห็นเขาไม่เป็นอะไรมาก...ผมก็คงต้องขอลากลับเลยแล้วกันนะครับ”

“ได้ยังไงกันคะคุณอสุเรนทร์ ขับรถมาตั้งไกลคงเหนื่อยแย่ ดิฉันว่าแวะทานน้ำทานท่าให้สบายตัวสักหน่อยเถิดแล้วค่อยกลับก็ยังไม่สาย หรือว่าติดงานเร่งด่วนคะ”

“แม่..”

“เงียบไปเลยเรา ตกลงได้ไหมคะ”

“ได้สิครับ วันนี้ผมว่าง...ว่างทั้งวัน” อสุเรนทร์เหลือมองคนหน้าบึ้งด้วยสายตากรุ้มกริ่ม ทำเอาคนโดนจ้องต้องเสมองไปทางอื่นเพื่อหลบหนีแววตาวาบหวามของอีกฝ่ายแทน แพ้...แพ้ราบคาบเปรมเอ๋ย

“งั้นก็ดีเลยค่ะ ถ้ายังไงดิฉันจะให้เปรมพาคุณไปนั่งเล่นบนศาลาริมน้ำก่อน และเดี๋ยวจะให้แม่บ้านยกถาดขนมไปให้”

“ขอบคุณนะครับ”

“แม่แต่เปรมขาเจ็บอยู่นะ ละ...แล้วก็ปวดด้วย เดินมากๆไม่ค่อยไหวหรอก” เปรมละล่ำละลักพยายามหาข้ออ้างสารพัดเพื่อก่ายเกี่ยงที่จะไปกับอสุเรนทร์ แค่ยืนคุยตรงนี้พร้อมกับแม่เขาก็ไม่รู้จะทำตัวยังไงแล้ว ขืนให้อยู่กันสองต่อสองอีก เปรมคงไม่ต้องทำอะไรนอกจากนั่งบิดตัว หน้าเห่อร้อนเพราะโดนหยอดคำหวานไม่เว้นสักนาที

“ถ้าเดินไม่ไหวเดี๋ยวผมช่วยพยุงให้เองครับ”

“มะ...”

“งั้นก็ดีเลยค่ะ เปรม...ดูแลคุณเขาดีๆด้วยนะลูก แม่ขอตัวไปเตรียมของว่างก่อน เสร็จแล้วจะให้เด็กยกไปให้ ไปนะคะคุณอสุเรนทร์”

“เรียกผมทศก็ได้ครับคุณน้า”

“จ๊ะ”

“แม่!”

เปรมส่งเสียงเรียกแม่ของตนที่เดินห่างออกไปทุกขณะ วันนี้มันวันอะไรของเขา ถึงได้มีแต่คนพูดไม่เข้าหูให้ได้ยินอยู่เรื่อย ตั้งแต่ตาเสมา พ่อ แล้วยังจะมีแม่เสริมทัพเข้ามาอีก และดูตัวต้นเหตุสิ ยืนฉีกยิ้มเหมือนคนบ้าก็มิปาน


บ้านเรือนไทยหลังนี้ร่มรื่น...แม้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน หากแต่เงาของร่มไม้ ด้วยผังสถาปัตยกรรมอันแยบยลของหลังคาทรงเรือนไทย ทำให้ความร้อนระอุแผ่กระจายออกไป ทั้งยังมีสายลมพัดให้เย็นสบายไม่เหนียวตัวเหมือนในห้องปรับอากาศ
เปรมพาอสุเรนทร์มานั่งพักผ่อนหย่อนใจที่ศาลาริมน้ำ ทั้งคู่เหยียบย่ำพื้นไม้ที่ถูกเช็ดอย่างสะอาดด้วยเท้าเปล่า ครอบครัวโรจนวาทิตย์ต้อนรับอสุเรนทร์ด้วยน้ำกระเจี๊ยบที่หอมหวานชื่นใจ เขายืนมองวิวทิวทัศน์สองฝากฝั่งแม่น้ำอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเข้าไปนั่งตามสบายบนพื้นที่มันปลาบซึ่งเปรมได้ลงไปนั่งอยู่ก่อนหน้าแล้ว

“บ้านเธออากาศดีมากเลยนะ”

“ใช่ครับ ใครๆที่มาก็บอกว่าบ้านผมอากาศดี ลมพัดเย็น ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ทั้งวัน เคยมีคนมาขอซื้อด้วยนะครับแต่ถูกพ่อเอาปืนไล่ยิงเอา”

“ขนาดนั้นเชียว” อสุเรนทร์ทำเสียงสูงไม่เชื่อ

“ตอนนั้นผมเห็นคนที่คิดจะมาซื้อวิ่งออกจากบ้านแทบไม่ทันแหนะ” เปรมกวาดตามองโดยรอบ “บ้านหลังนี้พ่อหวงมากเพราะเป็นบ้านหลังเดียวในละแวกนี้ที่ยังคงสภาพเหมือนเก่าได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน พ่อกับแม่รับซื้อจากคนรู้จักคนหนึ่งแล้วเริ่มต่อเติมเสริมแต่งจนมันน่าอยู่ขึ้นมาถนัดตา นี่คงเป็นเหตุผลที่พ่อไม่ยอมขายให้คนอื่น แม้จะถูกเสนอราคาหลายร้อยล้านก็ตาม”

“เพราะบ้านเธอสวยไงล่ะ อีกอย่าง...ลูกหลานเจ้าของบ้านก็สวยด้วย ใครๆก็อยากได้ทั้งนั้น

“งั้นคนที่มาขอซื้อบ้านก็คงต้องโดนกระสุนปืนอัดใส่ปากก่อนจะก้าวเท้าออกจากบ้านทันแล้วล่ะครับ” เปรมตอกกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากอสุเรนทร์ยังคงนั่งนิ่งสงบ

“งั้นเหรอ แสดงพ่อคงหวงเธอน่าดูสินะ”

“ลูกใครใครก็หวงนี่ครับ”

“เป็นฉันก็หวงเหมือนกัน”

“..!!”

อสุเรนทร์อ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่ “เอ่อ...ฉันหมายถึงถ้าเป็นลูกฉัน ฉันก็หวง”

“อ่อ ครับ” เปรมไม่ได้ถึงขั้นหลงเชื่อคำพูดแก้ตัวเหล่านั้น แค่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่ได้ถามต่อแม้ภายในอกกำลังเต้นตึกตักโครมคราม คล้ายมีใครมาจุดพลุเล่นใกล้ๆ

“หน้าเธอเหมือนไม่เชื่อคำพูดฉัน”

“เอาตามตรงไหมครับ”

“...”

“ไม่เชื่อ”

“หึ” อสุเรนทร์กระตุกยิ้มร้าย “แล้วเธอเชื่อแบบไหนล่ะ”

เปรมกระตุกยิ้มตาม แต่แทนที่มันจะดูร้ายนิดๆเหมือนอสุเรนทร์กลับน่ารักน่าชังเสียได้ “แล้วคุณคิดกับผมแบบไหนล่ะ”

จากคำตอบกลายเป็นคำถามข้อใหม่ ร่างสูงกอดอกเอนพิงเสาต้นข้างๆ สายลมพาดผ่าน พัดกลิ่นหอมฟุ้งของดอกจันทร์หอมแตะจมูก

“เธอไม่ใช่คนโง่เปรม เธอรู้ฉันคิดยังไง”

“คุณกับผมเพิ่งเจอกันแค่สองครั้ง เมื่อสามวันที่แล้วและวันนี้ คุณไม่คิดว่าเร็วไปหน่อยเหรอ”

“สำหรับฉันไม่เร็วเลย” ไม่เร็วเลยสักนิด ออกจะช้ามากเกินไปด้วยซ้ำ คนที่ถูกลบเลือนความจำแล้วกลับมาเกิดใหม่จะรู้สึกเหมือนคนที่รอแล้วรอเล่าอย่างเขาได้ยังไง

“ผมห้ามความรู้สึกคนอื่นไม่ได้หรอก”

“นี่คือคำตอบใช่ไหม”

เปรมหันหน้าหนี หากเป็นผลให้อสุเรนทร์แววตาวับขึ้นทันที

“พูดแล้วนะ”

“...”

“ห้ามคืนคำทีหลังล่ะ”

เปรมกลั้นหายใจยามสบตาคมที่ส่งตรงมายังเขา...ในแววตาคมคายนั้นมีความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่กล้าคิดต่อ...อสุเรนทร์ส่งออกมาชัดเจน

“นายคงไม่ว่าใช่ไหม หากฉันขอขึ้นไปบนเรือน เพื่อทักทายคนในครอบครัวเธอสักเล็กน้อยก่อนกลับ”


เปรมเงียบ และนึกในใจ มันคงไม่จบแค่การทักทายประโยคสั้นๆน่ะสิ



ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๔: อัพเดท ต่อ (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)12/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 12-12-2016 12:58:45
ต่อค่ะ




นับตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันนนี้ อสุเรนทร์ได้กลายมาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวโรจนวาทิตย์อย่าง(ไม่)เป็นทางการ ในสายของเปรม อสุเรนทร์เป็นคนช่างจ้อ เอาใจเก่งและกะล่อนมากกว่าที่คิดเอาไว้(มาก) ร่างสูงเป็นคนที่ค่อนข้างมีมนุษย์สัมพันธ์ดีเยี่ยมกับคนอื่นๆโดยเฉพาะคนแก่คนเฒ่า รู้ว่าคนแบบนี้ต้องการแบบนี้ อีกคนชอบแบบนั้น ถ้าบอกเปรมว่าอสุเรนทร์เป็นนักจิตวิทยาเขาก็เชื่อ เขาเกลี้ยกล่อมคนเก่งเหลือเกิน ดูได้จากเสียงหัวเราะชอบใจจากการชวนปู่กับตาที่เข้าหายากมากที่สุด(สำหรับคนนอก) คุยเรื่องนางในวรรณคดีที่สาวๆสวยๆ แถมยังอธิบายลักษณะของแต่ละนางเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ละเอียดเสียจนชายชราทั้งสองนั่งฟังไปตาลุกวาวไปเหมือนเด็กที่แม่มักเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน หรือกับย่าและยายก็ชวนพูดคุยถึงความหลังในอดีตแบบจัดหนักจัดเต็ม เรียกคะแนนจากผู้อาวุโสในบ้านได้ไม่ยากเย็นนัก จนเปรมแปลกใจเหลือเกิน คนยุคใหม่อย่างอสุเรนทร์ทำไมถึงพูดเรื่องราวในอดีตที่คนรุ่นหลังส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้ได้มากมายนัก

ในตัวอสุเรนทร์มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้คนแล้วคนเล่าหลงใหลและคล้อยตามในสิ่งที่เขาพูดหรือชักจูงเสมอ แม้แต่พ่อ ตอนแรกพยายามทำเป็นนิ่งขรึม ไม่สนใจ หากคำพูดเพียงไม่กี่คำที่ออกมาจากปากร่างสูงกลับเปลี่ยนแปลงพ่อเขาให้กลายเป็นคนละคนได้อย่างชะงัก ถึงขั้นพาไปดูของสะสมในห้องเก็บของที่ว่าหวงนักหวงหนา หวงยิ่งกว่าลูกในไส้

การที่พ่อให้คนนอก ซึ่งเจอกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงเข้าไปดู แสดงว่าต้องเป็นคนพิเศษในสายตาพ่อมากๆ

“พ่อทศ จะกลับแล้วเรอะ ไม่อยู่ต่ออีกสักนิดล่ะ” ยายนวลเอ่ยถามขณะอสุเรนทร์สวมรองเท้าเตรียมตัวกลับบ้าน

“ครับ เห็นใกล้มืดแล้ว เกรงว่ากว่าจะถึงบ้านคงดึกดื่น”

“ถ้าดึกมากนักก็อยู่ค้างที่นี่เลยเสียสิ นอนห้องเปรมก็ได้นะ เพราะไม่มีห้องว่างเหลือแล้ว”

“พ่อ!”

ไม่น่าเชื่อว่าประโยคเหล่านี้จะดังมาจากปากของผู้ชายที่เข้มงวดและหวงลูกเสียยิ่งกว่างูจงอาง ตาเสมาแอบหัวเราะล้อเลียนกับปู่ไม้อยู่ทางด้านหลัง ส่วนแม่ก็เอาแต่ยิ้มไม่พูดหรือคัดค้านใดๆสักคำ

ทุกคนเป็นอะไรกันหมด!

หรือต้องมนต์เสน่ห์ของอสูรผู้ร้ายกาจเข้าจนถอนตัวไม่ขึ้น

“คืนนี้...รบกวนหน่อยนะครับ...เปรม”




ลมเย็นๆ ยามตะวันคล้อยต่ำลงเหลือเพียงแสงเหลืองอ่อน คอยพัดพาความชุ่มฉ่ำจากแม่น้ำลำคลองรจนาที่ไหลผ่านหน้าบ้านมาปะทะวงหน้า น้ำในลำคลองที่นี่ใสสะอาดกว่าคลองทั่วไป ตอนเด็กเปรมมักแอบแม่มาเล่นดำผุดดำว่ายตรงท่าน้ำริมศาลาริมน้ำตลอด

เปรมถือผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้าชุดใหม่ที่เป็นชุดนอนสะอาดตัวใหญ่ที่ได้มาจากพ่อ ขันน้ำที่มีสบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน เดินมาหยุดยืนดูสภาพเปลือกอกของอสุเรนทร์แบบกึ่งเขินกึ่งไม่เข้าใจ ประธานหนุ่มรูปหล่อหันมาเห็นก็ยิ้ม

“น้ำเย็นดี ฉันชอบ”

“คุณอาบในห้องน้ำในบ้านไม่ดีกว่าเหรอ”

“ไม่ล่ะ อาบแบบนี้สนุกกว่ากันเยอะ”

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเอาของวางตรงขั้นบันไดแรก “นี่นะครับ ผมเอาของมาให้ เดี๋ยวผมขอตัวไปอาบน้ำก่อน จะได้เตรียมห้องให้คุณทศเสียใหม่”

“อาบด้วยกันที่นี่สิ” อสุเรนทร์เอ่ยชวน

“ไม่ล่ะครับ เชิญคุณอาบให้สบายใจเถอะ”

“หรือเธออายฉัน...เปมทัต”

“ผมเปล่าอาย!”

เมื่ออีกฝ่ายสวนกลับ อสุเรนทร์ก็ยกยิ้มพรายราวพรานป่าผู้กระหายกระต่ายน้อยทันที “ถ้าเปล่า ก็ลงมาอาบด้วยกันสิ น้ำคลองใสสะอาด เย็นสบาย ไม่เปลืองน้ำประปาในบ้าน แถมยังได้ซึมซับบรรยากาศธรรมชาติอีก เธอไม่คิดว่าสิ่งที่ฉันพูดคือความจริงเหรอ”

“...”

“ถ้าฉันจะทำอะไรเธอ ฉันทำไปนานแล้ว”

“อ...อาบเสร็จขึ้นไปบนบ้านได้เลยนะครับคุณทศ ผมขอตัว”

“เดี๋ยวเปรม”

“อะไรอีกล่ะครับ”

ชายหนุ่มกลับหลังหันมองยามเร่งฝีเท้าก้าวขึ้นบันไดปนหงุดหงิดเล็กน้อย หากอสุเรนทร์ยันกายขึ้นเหนือน้ำ คว้าแขนเรียวเล็กให้ตกลงไปในน้ำคลองดัง ตู้ม! เปรมไอคอกแคก ใบหน้าแดงก่ำเพราะสำลักน้ำเนื่องจากตกลงไปในลำคลองอย่างไม่ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว เอื้อมมือตีแขนคนชอบแกล้งอย่างแรง

“คุณเล่นบ้าอะไรเนี่ย ผมเปียกหมดแล้วนะ!” ริมฝีปากสีสวยคว่ำลงอย่างไม่ชอบใจ

“เปียกก็ดีสิ จะได้อาบน้ำพร้อมกัน”

“ถ้าผมหัวใจวายตายขึ้นมาทำยังไง”

“ฉันคงต้องตายก่อน”

“ห๊ะ”

กลิ่นหอมที่มาจากเจ้าของร่างตรงกันข้ามกำลังล่อลวงให้กายเขาปั่นป่วนจนยากจะหักห้ามใจ คนชื่อเปมทัตช่างเป็นคนที่อันตรายต่อ(หัวใจ)พญารากษสเหลือเกิน

“คุณมันบ้า คุณทศ”

“ใช่ฉันบ้า...บ้าแค่กับเธอเท่านั้นแหละพ่อเปรม”

“..!!”

ใบหน้าหวานเห่อร้อนจนลามไปยันลำคอและใบหูจนต้องหันมาวักน้ำใส่อย่างหมั่นไส้ เอาอีกแล้ว วันๆนอกจากหยอดคำหวานให้เขาหน้าเห่อร้อน ทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์เป็นบ้างไหม

ฝ่ามือหนาเหนี่ยวแขนรั้งเอวคอดกิ่วเข้าใกล้ตัว เปรมแทบจะปลิวไปตามแรงดึงนั้นอย่างรวดเร็ว...มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อศีรษะกระแทกอกแกร่งสีน้ำผึ้งนวลผ่อง ลมหายใจอุ่นจัดรินรดหลังใบหูย้ำให้รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้เพียงใด

“พ่อเปรม...”

เสียงทุ้มนุ่มลึกฟังดูกังวานกว่าปกติ อสุเรนทร์จับให้ร่างแข็งทื่อหันมาหาตน แม้ร่างแน่งน้อยจะตกน้ำ ผมลู่ลงไปตามรูปศีรษะ หากในสายตาของยักษ์หนุ่ม พ่อเปรมก็ยังคงความงามมิมีเปลี่ยน ยิ่งเจ้าตัวก้มหน้าหลุบตาลงผืนน้ำพร้อมใบหน้าแดงจัดก็ยิ่งทำให้หัวใจพญารากษสแห่งกรุงลงกาเต้นไม่ส่ำ

รักเจ้า...

ข้ารักเจ้าเหลือเกินน้องพี่...


รสใดไม่เหมือนรสรัก
หวานนักหวานใดจักเปรียบได้
แต่มิได้เชยชมสมใจ
ขมใดไม่เทียบเปรียบปาน

-ท้าวแสนปม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว-


มิทันตั้งตัว...อสุเรนทร์ก็ปิดปากหยุ่นด้วยแรงเสน่หา เปรมรู้สึกตกใจระคนเกิดความรู้สึกประหลาดแทนที่เขาจะผลักใสไล่ส่งกลับคล้อยตามเสียกระนั้น รสชาติหวานลิ้นที่ได้ครอบครองยิ่งฉุดให้อารมณ์ความต้องการร่างสูงเพิ่มมากขึ้น


เชยชมชู้ปากป้อน           แสนอมฤตรสข้อน
สวาทเคล้าคลึงสมร ฯ
กรูเกี้ยวกรกอดเกื้อ           เนื้อแนบเนื้อโอ่เนื้อ
อ่อนเนื้อเอาใจ ฯ

-ลิลิตพระลอ-


เนิ่นนาน...สัมผัสวาบหวามจากอสุเรนทร์ทำร่างบางแทบไร้เรี่ยวแรง กลีบกุหลาบเต่งตึงบวมเจ่ออย่างเห็นเด่นชัดยามอีกฝ่ายถอนริมฝีปาก ดวงตาคมที่จ้องมองมีแววเสน่หาอย่างสุดซึ้ง อสุเรนทร์มิอาจหักห้ามใจทำเช่นนี้ได้เลย นี่เขาก็ยอมอ่อนลงมากแล้ว หากเป็นเมื่อก่อนคงจับร่างเน่งน้อยแล่นเรือสำเภา* ปล่อยให้คลื่นลมมรสุมโหมซัดกระหน่ำข้ามวันข้ามคืนจนเรือเทียบท่าเข้าฝั่งด้วยความสมอุรา


*แล่นเรือสำเภา = คำที่ใช้เรียกแทนการความสัมพันธ์ลึกซึ้งของคนสองคน:โดยคนเขียนเอง -.,-


ความปวดหนึบกลางกายเร่งสติให้อสุเรนทร์จำต้องผละเปรมออกด้วยความเสียดาย ไม่ได้...ข้าจักทำบัดสีเช่นนั้นกับพ่อเปรมไม่ได้ เย็นไว้ลูกพ่อ แม่เจ้ายังไม่พร้อม อย่าเพิ่งกระวนกระวายนัก ถึงเวลาเจ้าคงได้ออกมาโลดแล่นสู่โลกภายนอกเอง อสุเรนทร์เตือนตนเองพลางลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก พยายามควบคุมสติที่คงขาดผึ่งในอีกไม่กี่วินาที หากยังได้กลิ่นหอมบุปผามาลา ผิวพรรณขาวผ่อง ยอดสัตตบงกช*ที่โผล่พ้นจากเสื้อยืดตัวบางอยู่


อันตัวพี่จะหักอื่นขืนหักได้ หากแต่หักมิให้ซัดคลื่นคลั่งใส่เจ้านั้นสุดจะทน


*สุตตบงกช = บัวหลวงชนิดหนึ่ง มีเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "ฉัตรชมพู" มีสีชมพูอมม่วงสวยงาม
*คลื่นคลั่ง = ความปรารถนาอันแรงกล้า


“เอ่อ...ฉ...ฉันขอตัวก่อน”

ร่างสูงรีบว่ายขึ้นฝั่ง หยิบผ้าขนหนูมาปิดคุมส่วนล่าง หยิบชุดนอนที่เปรมเตรียมมาให้พร้อมเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าบ้านเต็มกำลัง เปรมตาค้าง ยกมือแตะริมฝีปากของตนเองท่ามกลางความเงียบสงบยามค่ำคืน ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนเพิ่งโดนโจรลักขโมย(จูบ)แล้ววิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จูบแรกของเขา...

ฝ่ายอสุเรนทร์เมื่อมาถึงห้องนอนของเปรมก็จัดการเดินตรงไปเข้าห้องในทันที พร้อมล็อกกลอนอย่างแน่นหนา ค่อยๆปล่อยลมหายใจออกมายาวเหยียด ภาพเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวมิเสื่อมคลายสักนิดเดียว กายสีน้ำผึ้งร้อนผ่าวประหนึ่งมีไฟสุมความเร้าร้อนรุนแรงอารมณ์ภายในใจยิ่งยวด สองมือหนาประคองดาบใหญ่ออกจากฝักแล้วลูบยาวเป็นทางจนสุดปลาบดาบคมกริบ

“อา...”

อสุเรนทร์เม้มปากกลั้นเสียงร้องที่กู่ก้องกังวานทั่วห้องน้ำ

นวลน้องหนานวลน้อง เล่นเอาพี่ทศต้องมาลับคมดาบเองแบบลับๆ หากถึงคราหน้าเมื่อใดข้าจักให้เจ้ามาลับคมคาบของข้าเสียให้เข็ด!







กร๊ากกกกกกกกก คุณพี่ทศเจ้าขา อันใดคือลับ-คม-ดาบเจ้าคะ หุๆๆๆ ถูกใจแท้
เราบอกแล้วพี่ทศของเราเป็นคนดี ไม่หื่น(น้อย)เลยสักนิด 5555
แต่งเองเขินเอง โอยยย  :ling1:
ถูกใจคอมเม้นให้กำลังใจกันน้า
ไว้เจอกันในตอนต่อไป ซารางเฮ~~~~~~~~~~~


หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๔: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)11/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 12-12-2016 14:42:32
นึกว่าเกิดมาแล้วมีแค่เราคนเดียวที่ไม่ชอบพระราม  :m11: :m11:

โอ๊ย!ดีต่อใจมาก รักทศกัณฐ์ ท่านทศของนางสีดา นางสีดาของท่านทศ  :oni2: :oni2:

ชอบทศกัณฐ์มากจริงๆ ชอบตรงที่ยอมที่จะเปิดสงคราม ยอมสูญเสียญาติพี่น้องและยักษ์บริวารเพื่อนางที่ตนรัก

โคตรใจอ่ะ ยอมทำทุกอย่างได้เพื่อคนที่ตนรัก

โอ๊ย! ทำไมไม่เป็นกูไม่เกิดเป็นนางสีดากูจะรักท่านทศให้หมดใจเลย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๔: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)11/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Asmknrt ที่ 13-12-2016 06:56:52
สนุกมากกกกก รอๆๆ เนื้อหาดีมากๆ o13
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๔: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)11/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Biwty... ที่ 13-12-2016 07:17:34
สนุกมากค่ะะะ ติดตาม เป็นกำลังใจให้นะคะ :L2:
ชอบมากกกก คุณทศ กรีดร้องงง ฉันชอบเขา
น้องเปรมของพี่ :hao7: :hao6:
ติดตามอยู่ตลอดนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๔: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)11/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 13-12-2016 11:58:58
 :z1: โอยท่านทศแซบหลายแท้น่อ อันนี้แหละ"เจ้าชู้ยักษ์" ของจริงต้นตำรับมาเอง คนแต่งนี่เก่งจังมีความรู้ภาษาไทยดี แทรกวรรณคดีอีก ชอบ!!! กระแทกไลค์ให้เลย
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๕: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)13/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 13-12-2016 14:24:20
บทที่ ๕
[/size]





ร่างสูงสมส่วนชายไทย จอดรถหน้าตึกใหญ่อย่างรีบร้อน เร่งฝีเท้าเล็กๆเข้าในตัวบ้านทั้งที่ยังไม่ได้ถอดรองเท้าดีดวงตารีเรียวกวาดหาใครบางคนภายใต้กรอบแว่นกันแดดราคาแพง

“คุณอินคะ หาอะไรอยู่หรือคะ” แม่บ้านอาวุโสวัยห้าสิบเจ็ดปีประจำตระกูลอมาตยสูรเอ่ยถามเจ้านายอีกคนของบ้านนอกจากอสุเรนทร์และชินกฤตอย่างนอบน้อม สายตาที่เธอมองมีแต่ความปลื้มปริ่ม อิ่มเอม ในที่สุดนายน้อยก็กลับมาแล้ว...

“พ่ออยู่ไหน”

“คะ”

“ฉันถามว่าพ่อฉันอยู่ไหนจวง”

ร่างเล็กหรี่ตาเท้าสะเอวอย่างเอาแต่ใจ วันนี้กะมาเซอร์ไพรส์คนในบ้านเสียหน่อย เพราะตั้งแต่ไปเรียนอยู่เมืองนอกเมื่อหลายปีก่อน เขาก็แทบไม่ได้ติดต่อกลับมาหาที่บ้านเลย จะมีแค่โทรมาขอเงินเพิ่มไม่ก็ปรึกษาเรื่องการลงทุนธุรกิจในต่างประเทศกับอาชินกฤต พอกลับมาบ้านก็หวังจะเจอการต้อนรับอันแสนอบอุ่นจากคนในครอบครัว ได้วิ่งเข้าไปรับอ้อมกอดจากคนเป็นพ่อ รับรอยยิ้มละมุนละไมของอาชาย ทว่าตอนนี้ ณ เวลานี้...เขากลับยืนเคว้งคว้างอยู่ท่ามกลางห้องโถงที่โอ่อ่าเกินกว่าจะยืนเท้าสะเอวทำหน้านิ่งพร้อมคนรับใช้

เจ้าของบ้านหายหัวกันไปหมด

“คุณทศไปทำธุระข้างนอกตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ ยังไม่กลับมา ส่วนคุณกฤตกำลังกลับจากบริษัท คาดว่าอีกห้านาทีคงมาถึง...น้ำค่ะคุณหนู”

“ขอบใจ” ชายหนุ่มรับแก้วน้ำจากแม่บ้านยกดื่มดับความร้อนในใจลงได้บ้าง “พ่อบอกหรือเปล่าว่าไปไหน”

“จวงไม่ทราบค่ะคุณอิน”

“อืมๆ มีอะไรก็ไปทำเถอะ”

“ค่ะ”

ร่างเล็กถอดเสื้อโค้ทวางพาดบนแขน ก้าวเท้าเตรียมขึ้นบันไดเชื่อมต่อระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสอง  แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงรถแล่นจอดเทียบหน้าบันไดหินอ่อนประตูบ้าน มุมปากที่เรียบตรงมานานยกสูงขึ้นเมื่อได้เห็นใบหน้าหล่อคมแบบไทยแท้ของคนเป็นอาก้าวลงจากรถ แทบจะในทันที ร่างเล็กวิ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายเต็มรักเสียจนเกือบหงายหลัง ชินกฤตหัวเราะเบาๆ

“ไง”

“อากฤต!”

ฝ่ามืออาชายยีหัวหลานตัวแสบเล่นด้วยความเอ็นดู

“ถึงเวลากลับแล้วรึไงเจ้าอิน เรียนจบมาตั้งเกือบปีเพิ่งโผล่หัวกลับบ้านติดแหม่มหรือติดผัวแหม่ม”

“พูดจาน่าเกลียดน่าอากฤต อินแค่แวะโน่นนี่หาประสบการณ์ใหม่ๆให้กับตัวเองก่อนกลับเมืองไทย อาไม่เชื่อเหรอ...นี่อินทำเพื่อหาแรงบันดาลใจ ช่วยพัฒนาบริษัทของเราในอนาคตข้างหน้าเลยนะ” กอดอกทำหน้าจริงจังให้กับชินกฤตที่มองมาอย่างขำๆ

“นิสัยฉอเลาะเหมือนใครกันนะไอ้หลานชาย”

“พระบิดาไง อินได้มาเต็มๆ”

อิน หรือ รณพักตร์ อมาตยสูร ดีกรีผู้บริหารคนใหม่ไฟแรงที่กลับมาเพื่อช่วยสานต่อธุรกิจของครอบครัว แถมยังเป็นลูกชายคนเดียวของอสุเรนทร์ อมาตยสูร ประธานบริษัท RAVANA Ent. ทว่าช่างมีน้อยคนนักที่รู้ว่าเขาคือลูกของชายหนุ่มที่รั้งอันดับหนึ่ง Handsome Man Award สามสมัยซ้อน ไม่ใช่อสุเรนทร์อยากปิดบังเรื่องที่รณพักตร์เป็นลูกชายของเขา หากรณพักตร์เองต่างหากที่เป็นคนห้ามเอาไว้

‘หน้าตาพระบิดากับหน้าตาอินในตอนนี้ ไม่มีใครเขาเชื่อกันหรอกว่าเราสองคนเป็นพ่อลูกกัน ถ้าจะคิดก็คิดว่าเป็นน้องชายเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ บางทีการปกปิดความลับเรื่องของอินไว้อาจส่งผลดีกับพระบิดาในอนาคตก็ได้’

นี่จึงเป็นข้อตกลงกันระหว่างพ่อและลูก จะไม่มีการพูดเรื่องนี้จนกว่าอสุเรนทร์ต้องการบอกนางสีดาคนงามด้วยตัวเอง

“อากฤต รู้หรือเปล่า พระบิดาอยู่ที่ไหน ทำไมถึงยังไม่กลับมาบ้านอีก”

“มาก็ถามถึงพระบิดาเลยนะ ถามอาก่อนดีไหมเจ้ายักษ์พันธุ์เตี้ย” ชินกฤตอมยิ้ม

“โธ่ อากฤตก็....” รณพักตร์ฉีกยิ้มกว้างจนตาหยี “อาสบายดีหรือเปล่าครับ”

“เฮ้อ ก็ไม่ค่อยสบายหรอก” ส่งกระเป๋าทำงานและรองเท้าให้คนรับใช้ไปเก็บ “อาแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลยหลานรัก ช่วงนี้โหมทำงานหนักถึงรุ่งเช้าตลอด”

“ทำไมล่ะครับอา มีคนติดต่องานบริษัทเราเยอะขึ้นหรือไง” รณพักตร์ขมวดคิ้วถาม

“เปล่าหรอก พ่อหลานน่ะทิ้งงานแล้วหนีไปเกี้ยวพาราสีแม่หญิงในดวงใจ สุดท้ายงานทั้งหมด หลานคิดว่าใครต้องรับผิดชอบ...อาไง รองประธานบริษัทที่ประธานบริษัทไม่คิดจะเหลียวแล”

ร่างเล็กส่ายหัวกึ่งสงสารกึ่งขำขัน ใช้สองแขนกอดท่อนแขนเรียวของชินกฤตแล้วเอาแก้มถูไถไปมาราวแมวน้อย “คุณอาของอินช่างน่าสงสารจัง อินคงต้องสละเวลาอันมีค่าไปช่วยสักหน่อย”

“ให้จริงเถอะเจ้าอิน”

“ว่าแต่แม่หญิงนี่ใช่นางสีดาหน้าสวยหรือเปล่าครับ...โอ้ว อร่อยดีจริง” รณพักตร์ถามขณะหย่อนตัวนั่งลงบนโซฟานุ่มนิ่มในห้องนั่งเล่น หยิบถาดขนมที่แม่บ้านยกมาเสิร์ฟขึ้นวางบนตัก อ้าปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย

“แล้วเราคิดว่าใช่ไหมล่ะ” ชินกฤตย้อนถาม

“โหย ต้องใช่ดิอา พระบิดาเนี่ยเคยสนใจหญิงคนอื่นด้วยหรือนอกจากสีดาเวอร์ชันร้อยปีก่อน...แล้วนางเป็นยังไง รูปร่างสะโอดสะองเลิศสะแมนแตนเหมือนเดิมปะ”

ชินกฤตพยักหน้ายิ้มรับ นึกจินตนาการถึงร่างสูงเพรียวร่ายรำบนเวที

“สวยสิ สวยราวประติมากรรมชั้นเอกจากบรมครูผู้รังสรรค์งานศิลป์ แต่น่าเสียดายไปหน่อย ดันเกิดมาเป็นชายหาได้เกิดเป็นหญิงเนี่ยแหละ อาว่าถ้าได้เกิดเป็นหญิงคงงามหยดย้อยชนิดคนที่งามที่สุดในโลกยังต้องชิดซ้าย”

รณพักตร์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “เรื่องเพศอินคิดว่าไม่ใช่ข้อสำคัญ พระบิดาเลือกมองจิตวิญญาณภายในของนางมากกว่าภายนอก ต่อให้เป็นเกย์ เป็นทอม เป็นสาวประเภทสอง พระบิดาก็รักเหมือนเดิม”

คนเป็นอาเบิกตาลุกวาวอย่างถูกใจ “พูดได้ดีนี่รณพักตร์ ไม่น่าเชื่อคนอย่างเจ้าจะพูดจามีเหตุมีผลกับเขาเป็นด้วย”

“นี่ใครครับ นี่ รณพักตร์ผู้หล่อและปราดเปรื่องในสามโลก ถ้าอินยังเลือกใช้แต่อารมณ์ตัดสินปัญหาอย่างเมื่อก่อน จะมีสมองไว้ใช้เพื่ออะไร แค่คั่นหูหรือ... เหอะ อินคงกลายเป็นคนที่หล่อและโง่ที่สุดในโลกแน่”

“หล่อหรืองาม คำสองคำมีเส้นกั้นขั้นบางๆอยู่นะหลานรัก”

“อากฤต!”

ชินกฤตหัวเราะ วางมือแหมะบนหัวหลายชายแล้วออกแรงขยี้ด้วยความเอ็นดู เจ้ารณพักตร์จะรู้ตัวบ้างไหม ยิ่งเวลาเดินผ่านไปนานเท่าไหร่ ความสง่าสมชายชาตรีกลับถูกความงามเยี่ยงสตรีบดบังจนเกือบมิด รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผิวขาวนวล นัยน์ตาเรียวมีน้ำหล่อเลี้ยงสะท้อนแสงเป็นประกาย แลดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด

เมืองฝรั่งกินอยู่อย่างไร เหตุไฉนเจ้าอินถึงสวยวันสวยคืน

“แล้วเรื่องคู่แข่งเราล่ะอา พวกมันยังลอบกัดเราอยู่หรือเปล่า”

“พวกไหนล่ะ”

“ถามได้...จะใครเสียอีก ก็นายพระรามแปดคู่แค้นแสนรักของพระบิดาไง”

“เขาชื่อราเมนทร์...เฮ้อ ก็เหมือนเดิมแหละเจ้าอิน แต่ตอนนี้ออกจะดุเดือดขึ้นมาหน่อยเพราะทั้งท่านพี่ทศแลราเมนทร์เจอนางแล้วทั้งคู่”

“เป็นศึกชิงรักหักสวาทที่ไม่ธรรมดา งั้นผมขอร่วมแจมด้วยคน ไม่ได้ประมือมานาน” พูดพร้อมหักนิ้วดัง กร๊อบ ราวประกาศให้รู้โดยทั่วกัน รณพักตร์พร้อมลุยขย้ำฝ่ายศัตรูเต็มที่

“ระวังจะโดนฝั่งนั้นเล่นงานเอา”

“อย่างอินเล่นไม่ง่ายนะขอบอก”

“งั้นก่อนจะเล่น อันดับแรกมาช่วยงานที่บริษัทก่อนเลย อาจะบ้าตายกับงานเอกสารกองโตอยู่แล้ว คิดผิดคิดถูกเป็นรองประธานบริษัท รู้อย่างนี้อาขอใช้สิทธิ์เป็นที่ปรึกษาทำนายดวงชะตาบริษัท แล้วนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านให้สบายใจดีกว่า”

“โอเคๆ เดี๋ยวอินจะช่วยอากฤตดูแลบริษัทแทนพระบิดาเอง ดีกรีนักเรียนนอก เกียรตินิยมอันดับหนึ่งด้านบริหารธุรกิจอย่างผมพร้อมรับใช้ด้วยความเต็มใจ...ปล่อยให้โคแก่เกี้ยวพานแม่โคอ่อนพันธุ์ดีไปเถอะครับ ถ้าพลาดชาตินี้ไปอีกซวยเลยนะอา”

“ไม่หรอก ลงเอยกันในชาตินี้แหละ”

“สรุปพระบิดาได้นางสีดาปะ”

“อนาคตมันเป็นสิ่งไม่แน่นอน รอดูของจริงดีกว่า”

“พูดอย่างกับพระบิดาจะแพ้มัน”

ชินกฤตแค่อมยิ้ม “ปัจจุบันยังเปลี่ยนได้ แล้วนับประสาอะไรกับอนาคตล่ะ”

ภาพนิมิตที่ชินกฤตเห็นมันเป็นเพียงภาพเลือนรางที่เขาไม่คิดจะใส่ใจ เพราะมันไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้อนาคตของคนทั้งสามคน มันก็แค่เป็นเส้นทางเส้นแรกที่สามารถถูกตัดหรือปรับแต่งให้เลี้ยวกลับหรือหักมุมไปทางอื่นได้ เพราะการมีอยู่ของตัวเขา ผู้มีญาณทิพย์รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า จึงทำให้อีกฝ่ายเริ่มไม่ไว้วางใจและหวาดกลัว

ชินกฤตไม่ใช่ยักษ์จิตใจเหี้ยมโหดที่คิดจะทำเพื่อชัยชนะของเผ่าพงศ์ แต่เขาอยากทำเพื่อความสุขของพี่ชายร่วมสายเลือด สำหรับการทนรอมานานนับพันปีโดยไร้คนรักข้างกายถือเป็นความทรมานสูงสุดของพญารากษส และนี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ชายหนุ่มก้าวเท้าเข้ามาช่วยอย่างเต็มตัว เขาไม่เคยคิดว่าคนคนหนึ่งจะสามารถรอใครได้นานถึงเพียงนี้  แต่อสุเรนทร์กลับทำมันสำเร็จ เพื่อคนในครอบครัวแล้วชินกฤตาพร้อมยอมทำทุกอย่าง พยายามช่วยทุกวิถีทางเพื่อให้ทั้งคู่ได้ครองรักกัน ต่อให้ต้องผิดคำมั่นสัญญาที่ลั่นไว้กับพระลักษณ์เมื่ออดีตกาล รบรากับฝ่ายราเมนทร์ถึงขั้นตัวตาย เขาก็ยอมทั้งสิ้น

เปมทัต...เธอช่างเกิดมาเพื่อให้ชายได้แย่งชิงกันเสียจริง



อสุเรนทร์ยืดตัวเต็มความสูง ลากนัยน์ตาสีมรกตดวงจรัสไปยังร่างที่นอนกอดหมอนข้างหลับตาอย่างมีความสุขไม่ได้รับรู้เรื่องรู้ราวอะไรต่อจากนี้เลย

หน้าต่างที่เปิดกว้างออกไปทำให้เห็นบรรยากาศภายนอกถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่สีเขียว มีลมพัดเย็นระเรื่อ ใบไม้ปลิวไสวล่องลอยไปสายลมอ่อน หากอสุเรนทร์ไม่ได้ตาฝาดหรือแก่จนสุกงอมมองภาพทุกอย่างฝ้า ท้องฟ้าที่เคยเงียบสงบพลันแปรปรวน ลิงเผือกตัวหนึ่งพุ่งกระโจนเผ่นโผนออกมาจากต้นไม้ใหญ่


เขี้ยวแก้ว กุณฑล* แลขนเพชร
หาวเป็นดาวเป็นเดือน
ถ้าถูกฆ่าตาย เมื่อลมต้องกาย ก็ฟื้นคืนดังเดิม

*กุณฑล = ตุ้มหู


ลิงเผือกชักตรีเพชรออกจากหน้าอกมากวัดแกว่งสำแดงเดช เขี้ยวแก้วส่องแสงแวววับเข้าตาอย่างท้าทาย ชายหนุ่มมองด้วยแววตาเรียบนิ่ง พร้อมแสยะยิ้มร้าย

“กล้ามากที่มาที่นี่ ทั้งที่ข้ายังอยู่”

การปรากฏตัวของเจ้าลิงเผือกตัวแสบหนุมาน ที่เปลี่ยนชื่อให้ทันสมัยขึ้นเป็นกบินทร์ สร้างความรำคาญใจให้อสุเรนทร์มิใช่น้อย การที่มันรู้ที่อยู่เปรม ราเมนทร์ก็ต้องรู้เช่นกัน เพราะเหตุนี้ไงล่ะเขาถึงต้องรีบตีสนิทกับเปรมและครอบครัวโรจนวาทิตย์ให้เร็วที่สุด ใครบอกพระรามเป็นคนดี แตกต่างกับยักษ์ทศกัณฐ์ผู้ชั่วร้าย มันผู้นั้นจงก้าวเท้าออกมาตบกับเขาประเดี๋ยวนี้...พวกมนุษย์ตัวจ้อยนี่ไม่ค่อยรู้เรื่องกันบ้างเลย มัวหลงเชื่อแต่สิ่งผิดๆ ต้องลองให้ปะหน้ากันสักสหัสวรรษหนึ่งอย่างเขากระมัง จะได้รู้พ่อพระรามแสนดีตาโตนิสัยเป็นเช่นไร

อสุเรนทร์คืนร่างเดิมครั้นยังเป็นทศกัณฐ์ผู้มีกายสีเขียวกำยำ เครื่องทรงชุดใหญ่ปักด้วยดิ้นทองดิ้นเงินแวววับตระการตา ปากพึมพำท่องมนต์บางอย่าง แสงสีทองเรืองรองก็สว่างวาบ ครอบคลุมทั่วทั้งห้องนอนของเปรมและบ้านทั้งหลังราวกับมันเป็นเครื่องคุ้มกันอันตรายที่อาจจะเกิดนับจากนี้

แผ่นหลังเหยียดตรงสง่างาม ทองกรและกำไลข้อเท้าส่งเสียงดังกลบความเงียบยามร่างพญารากษสเหาะเหินเดินอากาศไปทางลิงเผือกด้วยแววตาไม่เป็นมิตร

“เจ้ามาทำกระไรที่นี่เจ้าลิงเผือก”

“มาก็ดูไอ้ยักษ์ตนหนึ่งที่คิดจักครองนางของผู้เป็นนายแห่งข้าอย่างไรเล่า เครื่องหน้าอัปลักษณ์ อ้วนตุตะราวหมี ยังมีหน้ามาต่อกรกับองค์รามผู้ทรงสง่าของข้าอีก” กบินทร์ย่อตัวแล้วเชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจ หากอสุเรนทร์กลับยิ้มขำในความโอ้อวดของมัน ถ้าอย่างเขาเรียกอัปลักษณ์ มนุษย์ทั่วแดนโลกาคงอัปลักษณ์กันหมด

“อย่ามั่นหน้าให้มากนัก ประเดี๋ยวอาจเจอลูกเตะสะท้านโลกันต์”

“คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือไงทศกัณฐ์”

“จุ๊ๆๆ” นิ้วชี้ยาวประดับประดาแหวนทองแกะสลักลดลายกนกยกขึ้นแนบริมฝีปาก “อย่าเสียงดังไป เกรงพ่อเปรมเมียข้าจักจับไข้นอนซมหนา หากต้องตื่นมาหลังจากเราแล่นเรือสำเภาเข้าฝั่งด้วยกันมาทั้งคืน”

“เจ้ามันโป้ปด!”

“รู้ได้อย่างไรข้าโป้ปด นี่เจ้ามิได้เห็นข้ากับพ่อเปรมอิงแอบแนบชิด แล่นสำเภาผ่านมรสุมขึ้นไปสู่สวรรค์ชั้นฟ้าท่ามกลางแสงจันทร์ดอกรึ” พญารากษสหนุ่มทำหน้าเศร้าอย่างเห็นใจ “แหมๆ น่าเสียดายแทนเจ้าจริงเทียว แต่จักให้ข้าเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นก็พอได้อยู่ เจ้าอยากฟังไหมเล่า จักได้นำไปกราบทูลนายเหนือของเจ้าได้ถูกแบบละเอียดเจาะลึก ถึงพริก...ถึงขิง...” 

“ทศกัณฐ์” กบินทร์คำรามหนัก

“กลัวลืมชื่อข้าหรืออย่างไรถึงได้เรียกมันซ้ำไปซ้ำมา”

“เห็นทีข้าคงต้องปลิดชีวิตเจ้าเพื่อนำไปถวายแด่พระรามเสียแล้ว”

“ถ้าทำได้ก็เอา”

ใบหน้าทรงอำนาจแฝงความเหี้ยมโหดในดวงตาเรียวคม กบินทร์ในชุดทรงสีขาวคาดแดงปักเลื่อมดิ้นเงินเหาะปราดเข้าหาอสุเรนทร์ กวัดแกว่ง ตรีเพชร อาวุธคู่กายพุ่งทะยานหมายบั่นคอศัตรูให้ขาดสะบั้น ทว่ายังไม่ทันถึงตัวพญารากษสก็แผลงฤทธิ์ ปรากฏกรสิบพักตร์ ยี่สิบกร หยุดยั้งตรีเพชรเทพของกบินทร์ได้อย่างง่ายดาย อสุเรนทร์พลิกตรีเพชรสำรวจดูนิดหน่อยก่อนส่งมันกลับคืนสู่เจ้าของเดิม หากจะพูดแบบโอ้อวดคือ การจะทำลายอาวุธเทพด้วยกำลังเพียงหยิบมือช่างง่ายนิดเดียว แต่แบบนั้นจะไปสนุกอะไรล่ะ อสุเรนทร์ยังอยากเล่นอยู่ ไม่ได้ออกกำลังมานาน เล่นผ่อนคลายอารมณ์สักตั้งน่าจะดีไม่ใช่น้อย

“เจ้ามีของแค่นี้ฤาเจ้าลิงเผือก ไม่น่าสนุกเลย”

“ข้ามีดีกว่าที่เจ้าคิด”

“งั้นก็บุกมาสิ รอช้าอยู่ไย”

“ศึกของข้ากับเจ้าเริ่มตรงนี้ต่างหาก!”

เคร้ง!

การต่อสู้ระหว่าพญารากษสและพญาวานรเผือกเริ่มต้นด้วยเสียงอึกทึกกึกก้องกัมปนาทไปทั่วผืนนภาอันมืดมิด เวลานี้ไม่มีใครเหนือไปกว่าใคร อสุเรนทร์มียี่สิบกร ถืออาวุธครบครัน โจมตีครั้งหนึ่งสร้างความเสียหายเป็นหย่อมใหญ่ หากกบินทร์ได้เปรียบในความเร็ว ทั้งถีบทั้งกัด แผลงฤทธิ์ หลบหลีกวูบไหวราวสายลม แตะต้องไม่ได้

ยักษ์รึจะสู้บุตรของพระพายผู้แกร่งกล้าได้ ไม่มีทาง!

เพียงอึดใจเดียว กบินทร์ก็บุกมายืนหน้าพญายักษ์กายสีเขียว โจนทะยานขึ้นถีบอีกฝ่ายกระเด็นลงไปเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น อสุเรนทร์กุมท้องใช้หอกฟาดกบินทร์จนเซซวน  มันผุดลุกตั้งหลักรวดเร็ว ยื่นหางยาวสีขาวหวังตวัดจับพญารากษส ทว่าต้องตีเข่าอย่างเจ็บใจเพราะหนึ่งในยี่สิบกรของอสุเรนทร์ดันปัดการเคลื่อนไหวของมันได้ทันแถมยังดึงขนที่ปลายหางให้เจ็บเล่นอีกต่างหาก 

“โอ้ย! ขนข้า!!”

“อ้าว นี่ข้าดึงผิดรึ เมื่อครู่ข้าเห็นว่ามีเห็บหมัดเกาะเลยคิดจักดึงออกให้ ไม่คิดว่าจักดึงขนเจ้าติดมือมาด้วย”

“สะเออะมิเข้าเรื่อง”

“ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ”

ต่างชาติพันธุ์ต่อสู้กันอย่างดุเดือด แรงปะทะกันส่งเสียงกัมปนาทไปทั่วบริเวณ อสุเรนทร์เอี้ยวตัวหลบไปทางด้านซ้าย ย่อตัวหลบความแหลมคมของตรีเพชร ใช้กรที่สามปัดหมัดของกบินทร์ อีกกรกระแทกไปที่หัวไหล่เล็กแล้วรวบขาจับฟาดลงกับแผ่นหินก้อนโตจนมันแตกละเอียดเป็นผุยผง หากกบินทร์กลับไม่ระคายผิวชักตรีรุกไล่ ผุดลุกสู้ยิบตา

ฝ่ายยักษ์ฝ่ายลิงย่ำลงบนผืนหญ้าชอุ่มแผ่วเบาด้วยปลายเท้า เดินวนรอบเป็นวงกลม สำรวจท่าทีของฝ่ายตรงข้ามอย่างมีชั้นเชิง อสุเรนทร์เช็คคราบเลือดที่มุมปาก กุมช่องท้องที่เป็นผลมาจากการต่อสู้ ไม่ต่างกันนักกับกบินทร์ที่ฟกช้ำระบมไปทั่วร่าง ก่อนฝ่ายพญาวานรเองจะเป็นคนบุกเข้ามา ทั้งคู่ปล่อยหมัดใส่กันไม่ยั้ง ผลัดกันรุกผลัดกันรับไม่มีใครยอมใคร อสุเรนทร์เอี้ยวตัวหลบด้านขวา หากความเร็วประดุจลมพายุโหมกระหน่ำทำให้เขาเผลอ เปิดช่องโหว่ให้กบินทร์เข้ามาโจมตี พญาวานรกระโดดขาคู่ถีบหน้าท้องแกร่งอย่างรุนแรง ส่งผลให้อสุเรนทร์ล้มลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้งหนึ่ง ความแรงของลูกถีบทำภายในปั่นป่วนจวนสำรอก ตวัดตาจ้องเขม็งฝ่ายศัตรูที่กำลังเต้นโยกย้ายไปมาอย่างชอบใจ ย่อตัว เอียงหัวเกาขนที่ลำคอด้านขวาอย่างเมามัน

คันมากเดี๋ยวส่งไบติคอล น้ำยากำจัดเห็บหมัดไปให้

“มีดีแค่นี้ฤาทศกัณฐ์” กบินทร์พูดเยาะเย้ย

“ของดีไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ”

อสุเรนทร์กวัดแกว่งหอกซัดสำแดงฤทธิ์เดชจนอากาศปั่นป่วน รอบร่างกายสูงกำยำเปล่งแสงสีทองประกายออกมาไม่ขาดสาย เจิดจ้า สว่างวาบราวกับเปลี่ยนกลางคืนให้เป็นกลางวัน เสียงสนั่นสั่นไหวดังก้องกังวานไกลถึงแดนห้องหกสวรรค์ชั้นฟ้า*ยามพญารากษสยกฝ่าเท้ากระทืบลงบนผืนพสุธา ดวงเนตรลิงเบิกกว้าง เสียการทรงตัวไปนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นใกล้ต้นไม้ใหญ่ อาณาบริเวณกว้างขวางล้วนสั่นคลอนด้วยพละกำลังมหาศาล ทุกอย่างเกิดความเสียหายรุนแรง ยกเว้นเสียแต่บ้านเรือนไทยหลังงามเท่านั้นที่ยังคงเป็นปกติดีจากการร่ายมนต์ป้องกันของอสุเรนทร์

*ห้องหกสวรรค์ชั้นฟ้า = สวรรค์ ๖ ชั้น ได้แก่ ๑. จาตุมหาราชิก ๒.ดาวดึงส์ ๓.ยามะ ๔.ดุสิต ๕.นิมมานรดี ๖.ปรนิมมิตวสวัดดี


พญาวานรเผือกหอบหายใจถี่ ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อรู้สึกถึงของเหลวอุ่นไหลยาวเป็นทางตั้งแต่ช่วงหัวไหล่จนถึงข้อมือ หอกซัดอันแหลมคมปักคาหัวไหล่ทะลวงทะลุโคนต้นไม้ เครื่องทรงสีขาวถูกย้อมให้กลายเป็นสีแดงสดโลหิตแดงฉานแผ่กระจายเป็นรัศมีวงกว้าง ความเจ็บแล่นเข้าสู่โสตประสาท กบินทร์ยกมือกุมแผลด้วยความโกรธเคือง

ต...ตั้งแต่เมื่อใดกัน!!!

ทุกก้าวที่อสุเรนทร์เหยียบย่ำ ก่อเกิดเป็นกองไฟขนาดย่อม เผาผืนหญ้าให้ไหม้เกรียมในชั่วพริบตา นัยน์เนตรมรกตเรืองรองทรงอำนาจดุจเจ้าแห่งโลกย* กบินทร์กระอักเลือดคำโตเมื่ออีกฝ่ายยกฝ่าเท้าใหญ่เหยียบย่ำลงบนหน้าอกแล้วบดขยี้ซ้ำไปซ้ำมา
 
*โลกย = โลก

กบินทร์ไม่คิดเลยว่าพญารากษสผู้นี้ยังคงความแข็งแกร่งไว้เฉกเช่นเดิม แถมยังมีลูกเล่นใหม่เข้ามาเพิ่มจนต้องพลาดเสียทีอย่างไม่น่าให้อภัย และเพราะความแข็งแกร่ง ความน่ายำเกรงเหล่านั้นทำให้พญาวานรเผือกรู้สึกไม่ชอบใจเอาอย่างแรง

ปลายเท้าบดขยี้เข้าไปอีก

“อึก เจ้า!”

“เห็นฤทธิ์รากษสอัปลักษณ์อย่างข้ารึยัง” ก้มตัวลงมา มองหน้าอย่างท้าทาย “ฝากคาบข่าวไปถึงราเมนทร์ด้วยว่า ชาตินี้ต่อให้มันคิดแย่งชิงพ่อเปรมไปจากข้า คิดใช้แผนสกปรก ลอบเล่นงานอย่างที่แล้วมา...จงจำใส่กบาลเอาไว้เถิด ข้า...ทศกัณฐ์ผู้นี้จักมิยอมพ่ายแพ้ต่อกลลวงมนุษย์หน้าซื่อใจคดอย่างพวกเจ้าอีก นี่เป็นการเตือนครั้งสุดท้าย หวังว่าสมองเจ้าคงมิได้มีไว้ประดับกลางกบาลอย่างเดียว คงรู้ว่าข้าหมายถึงสิ่งใด”

“...”

ดวงตาวานรแข็งกร้าว หากคิดไม่ผิด นี่คงเป็นสาสน์ท้ารบจากเผ่าพงศ์ยักษ์เป็นแน่แท้ และจะต้องเป็นศึกชิงชัยที่ใหญ่ที่สุดในรอบหนึ่งสหัสวรรษ






ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๕: ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)13/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 13-12-2016 14:26:11
ต่อค่าาาาาาา





ความเย็นของลมในคืนนี้ไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกร้อนรุ่มในใจของราเมนทร์ดับลงได้ เครื่องหน้าคมคายเงยมองพระจันทร์ดวงโตลอยเด่นบนท้องนภาท่ามกลางหมู่ดาวระยิบระยับ ไม่ว่ายามใดที่มองดวงบุหลัน* ใบหน้างามของชายผู้นั้นมักปรากฏอยู่เมื่อเชื่อวัน เพียงพบสบตาแค่ครั้งเดียว กลับทำให้หัวใจกษัตริย์อย่างเขาถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำ และไม่รู้ด้วยครั้งนี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ที่รามเมนทร์ได้ตกหลุมรักคนคนเดียวมานานนับพันพันปีครั้งแรกครั้งเล่า

*บุหลัน = เดือน, พระจันทร์ 


อดอะไรจะเหมือนอดที่รสรัก
อกจะหักเสียด้วยใจอาลัยหา
ไม่เห็นรักหนักดิ้นสิ้นชีวา
จะเป็นบ้าเสียเพราะรักสลักทรวง
-พระอภัยมณี สุนทรภู่-


ท้าวชนกเมื่อเห็นว่าสีดาถึงวัยจะมีคู่ครองแล้ว จึงตัดสินใจจัดพิธียกศร มหาธนูโมลี ของพระอิศวร เพื่อหากษัตริย์ผู้มีบุญาธิการมาอภิเษกสมรสกับสีดา บุตรบุญธรรมของตน

และในพิธีนี้พระราม พระลักษณ์ได้ติดตามอาจารย์มาชมมหาธนูโมลีด้วย ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง พระอิศวรเคยใช้ปราบยักษ์ตรีบูรัม ผู้หวังเป็นใหญ่ในสามโลก จึงคิดมาพิสูจน์ด้วยตาตนเอง

ขณะพระรามกำลังเดินชมความยิ่งใหญ่ของเมืองมิถิลา สายตาก็บังเอิญมองไปที่หน้าต่าง มิใคร่รู้ว่าเหตุใดจึงมอง ซึ่งในขณะนั้นสีดาผินหน้ามาพอดี ทั้งสองจึงได้สบตากัน พระรามจึงหยุดมองนางอยู่นานสองนาน ด้วยรูปร่างโอดสะองค์ เอวเป็นเอว เครื่องหน้าล้วนปั้นเสริมเติมแต่งราวกับนางมิใช่มนุษย์ หากจะเทียบกับนางอักสรบนสวรรค์ นางผู้นี้ยังงามล้ำกว่า

บุพเพสันนิวาสดลใจให้ทั้งสองรักกันตั้งแต่แรกพบ...

“เสด็จพี่รามพระเจ้าค่ะ เป็นกระไรฤาไม่”

พระรามที่ตกอยู่ในภวังค์ฟื้นคืนสติ หันมาตอบผู้เป็นพระอนุชาเสียงอ่อนโยน

“มิเป็นอันใด เดินทางต่อเถิดน้องข้า” แม้วาจากล่าวเช่นนั้น หากสายตากลับยังเหลียวมองนางสีดาจนสุดท้ายความห่างไกลทำให้ภาพนางแลลับอย่างน่าเสียดาย

ไม่ต่างกระไรกับนางผู้ผู้เลอโฉมนัก...

นิ้วเรียวงามดึงม่านไหมให้ปิดลง แก้มนวลเนียนผ่องระเรื่อกลายเป็นสีชาด*อ่อนๆเมื่อคิดถึงดวงตาคู้นั้น อยากจะยกยิ้ม ทว่านางกลับต้องเม้มเก็บเอาไว้เสียแน่น เกรงจะดูไม่งามนักเมื่ออยู่ต่อหน้านางสนองพระโอษฐ์ รวมถึงนางกำนัลทั้งหลาย

“ชายผู้นั้น...นมรู้ฤาไม่จ๊ะ ว่าเป็นโอรสจากเมืองใดกัน” สีดาเอ่ยถามแม่นมที่เลี้ยงตั้งแต่อ้อนแต่ออกด้วยจิตพิสมัย นางมิเคยเจอชายใดรูปงามเท่าคนผู้นี้มาก่อน

“พระองค์สนพระทัยหรือเพคะ”

“เปล่าสักหน่อย” ตอบเสียงอ่อน “ข้าแค่...ใคร่รู้เฉยๆ”

แม่นมปิดปากอมยิ้ม “รอให้ถึงวันยกศรมหาธนูโมลีเถิดเพคะ พระองค์จักรู้ทุกอย่างว่าเขาเป็นผู้ใด”


ในวันงานเหล่าผู้ร่วมท้าทายยกคันศรต่างกรูกันเข้ามายืนตรงหน้ามหาธนูโมลีอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพราะใบหน้าอันงดงามยากหาหญิงใดเปรียบในสามโลกทำให้บรรดากษัตริย์จากทั่วทุกสารทิศต่างผลัดดันเข้ายกศร บ้างดึง บ้างงัดจนสุดกำลัง แต่กลับไม่มีใครทำให้ศรขยับได้เลยแม้แต่น้อย ท้าวชนกจึงสั่งให้พระลักษณ์ พระรามลองยกดู

พระรามปรารถนาตั้งจิตอธิษฐาน หากพระองค์เป็นเนื้อคู่ของนางสีดาขอให้ยกขึ้น

พระลักษณ์ที่เข้ามายกศรก่อนเห็นแรงเสน่หาที่พระเชษฐามีให้ต่อนางสีดาคนงาม จึงแค่หยั่งดูว่าหนักเพียงใด เมื่อพระลักษณ์จับ คันศรก็ขยับ จึงถอยออกมา พระรามเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มและเข้ายกศรด้วยความปิติยินดี

ท้าวชนกดีใจเหลือแสนเมื่อหนึ่งในสองที่พระองค์พึงให้อภิเษกกับนางสีดายกธนูโมลีสำเร็จ นางสีดาแย้มยิ้มให้ว่าที่พระสวามี ใบหน้าที่เมียงมองกันในที่แสนไกล บัดนี้กลับอยู่ใกล้จนใจของนางเต้นหนัก แทบกระเด็นกระดอนออกจากอก มือใหญ่ประคองมือน้อย จรดริมฝีปากกลางเนื้อมือขาวนวล

มิมีสิ่งใดสำคัญเท่านางตรงหน้าอีกแล้ว ในที่สุดความปรารถนาพระองค์ก็เป็นจริง กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์พุ่งแตะจมูก มันช่างหอม...หอมจนพระรามหยุดยั้งชั่งใจไว้ไม่หวาดไม่ไหว


ในคืนวันอภิเษกสมรส วันที่พระรามรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ห้องโถงโอ่อ่า รายล้อมด้วยเทียนส่องแสงสว่างนับพันเล่ม เปลวเทียนปลิวพลิ้วไหวเอนไปเอนมาตามสายลม ดวงตาคมคายของพระรามจับจ้องนวลนางอันเป็นที่รักราวกับจะกลืนกินให้สมอุรา มือข้างหนึ่งช้อนคางกลมมน อีกข้างหนึ่งรวบเอวบางเข้ามาประชิดตนแล้วออกแรงผลักให้นอนราบลงกับเตียง

ดวงตาสบดวงตา

“สีดา”

“เพคะ” หญิงสาวตอยอย่างเอียงอาย

“เมื่อใดที่ได้ยินเสียงนี้ จงอย่าลืมว่าพี่คือพี่รามที่รักเจ้าหมดหัวใจ”

ริมฝีปากชายชาตรีลิ้มรสความหวานจากกลีบกุหลาบบางอย่างเนิ่นนาน ท่ามกลางดวงจันทร์และหมู่ดาวเป็นพยานรักให้ทั้งคู่ได้เสพสมอารมณ์หมาย


พลางอิงแอบแนบน้องประคองเคล้า        คอยต้องเต้าเต่งอุรามารศรี
พระเชยปรางค์ทางฉะอ้อนอ่อนอินทรีย์        ร่วมฤดีเดือนหงายสบายใจ

พลาหกเทวบุตรก็ผุดพุ่ง            เป็นฝนฟุ้งฟ้าแดงดังแสงเสน
สีขรินทร์ อิสินธรก็อ่อนเอน            ยอดระเนนแนบน้ำแทบทำลาย
-พระอภัยมณี-

*พลาหก = เมฆ หรือ ฝน
*สีขรินทร์ = เทียบเป็นเขาพระสุเมรุ, อิสินธร = เขารอบพระสุเมรุ


พระรามประคองร่างแน่งน้อยที่หลับตาพริ้มมีความสุขอย่างหวงแหน จมูกซุกไซ้ดอมดมกลิ่นบุษบงราวผึ้งภมรผู้หลงใหลในกลิ่นหอม มือร้อนลูบผิวกายเนียนละเอียดด้วยความปรารถนา

“หากพี่มิได้เคียงกายเจ้า เผ่าพงศ์อื่นก็อย่าหวังจักได้เชยชมเจ้าเช่นกัน”





“พี่ราม...พี่รามขอรับ”

ศุภลักษณ์เอ่ยทักเมื่อเห็นดวงเนตรของพี่ชายมีหยาดน้ำเอ่อคลอแทบล้นจากเบ้า สีหน้าราเมนทร์ตอนนี้ช่างเศร้าโศกา เขารู้สึกสงสารจับใจ

ราเมนทร์เป็นบุรุษทรงสง่างามสมเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์และมีใบหน้าที่หยุดสายตาได้ทั้งผู้คนและสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ผิวกายขาวผ่องราวแสงจันทร์ในยามค่ำคืน ไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องทรงแบบใดล้วนโดดเด่นไปเสียหมด  ราเมนทร์มีพร้อมทุกอย่างทั้งหน้าตา ฐานะ เงินทองล้นฟ้า ไหนจะหน้าที่การงานที่ครบเครื่องสมบูรณ์ หากยังขาดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่เรื้อรังมานาน
คู่ครอง...

หากกล่าวถึงความรักของทศกัณฐ์ผู้มีต่อนางสีดา พญารากษสรักนางมากเท่าไหร่ ราเมนทร์รักนางยิ่งกว่านั้นหลายพันหลายหมื่นเท่าทวี

“พี่ว่าศึกนี้พี่ต้องแพ้อสุเรนทร์แน่ๆ”

“เหตุใดพี่จึงพูดราวยอมแพ้เช่นนั้น”

ราเมนทร์ยิ้มเศร้า “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม พี่มักจะก้าวตามหลังทศกัณฐ์ก้าวหนึ่งเสมอ พี่ท้อแท้และสิ้นหวังเหลือเกินลักษณ์ แถมเวลานี้นางยังดูเหมือนมีใจให้อสุเรนทร์ทั้งๆที่พี่ยังไม่ได้แม้แต่เอื้อนเอ่ย ใกล้ชิดนางเลยสักครั้ง พี่เหมือนทหารที่แพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกรบ”

 “พี่...”

“เจ้าก็เห็น นางยอมให้มันจับตัว อ้อล้อหยอดคำหวานสารพัด ยอมมอบยิ้มอันมีค่าให้แก่มัน ทั้งๆที่พี่ควรเป็นคนได้รับมิใช่หรือ”

“ทุกอย่างเริ่มต้นจากศูนย์ นางไม่ใช่สีดาคนเดิม นางแค่มีจิตวิญญาณของสีดา ถ้าพี่มัวแต่มานั่งโศกเศร้าเคล้าน้ำตาเหมือนคนบ้า ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าหวังว่าจะได้นางกลับคืน”

น้ำตาชายหนุ่มหยดลงอาบแก้มทั้งสองข้าง ร่างกายสั่นเทิ้มเพราะความรัก ความโหยหา ราเมนทร์ไม่ต้องการความพ่ายแพ้ ไม่อยากเสียนางให้กับมหาบุรุษกายสีเขียวผู้ซึ่งเป็นคู่แข่ง ศัตรูคู่อาฆาต อสุเรนทร์เป็นปัญหาหลักปัญหาเดียวที่เขารู้สึกหนักใจที่สุด ถ้าหากไม่มีมัน เขาคงได้ครองรักกับสีดาไปตั้งแต่พันปีก่อน ไม่ต้องมานั่งรอคอยจวบจนปัจจุบันกาล

“หน้าตา ฐานะ นิสัย ความสามารถของพี่ ล้วนไม่ได้แตกต่างไปจากอสุเรนทร์สักนิด ได้โปรด...อย่าล่าถอยเหมือนพวกขี้ขลาดที่ทำได้แค่คิดแต่ไม่กล้าลงมือ...พี่รามที่ผมรู้จักเข้มแข็งกว่านี้มากนัก พี่ควรเชื่อมั่นในความรักของพี่ และผมก็เชื่อ...ภายใต้จิตวิญญาณของนางจะต้องเปิดรับพี่ในฐานะพระสวามีดังเดิม”

“ขอบใจนะลักษณ์”

“เก็บคำเหล่านี้ไว้บอกผมตอนชนะก็ยังไม่สาย”

ราเมนทร์หัวเราะในลำคอ ยิ้มแย้มด้วยรอยยิ้มอบอุ่นประดั่งแสงจันทรา คำพูดของน้องชายทำให้ม่านหมอกหนาทึบที่ห้อมล้อมรอบดวงตาค่อยๆเลือนหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่เหมือนดับมืดไปครั้งหนึ่งกลับพลันสว่างไสวอีกครั้ง

เพล้ง!

จู่ๆ เสียงคล้ายวัตถุบางอย่างแตกหล่นดังมาจากในห้องนอนของราเมนทร์ ทั้งสองรีบรุดวิ่งเข้าไปดูทันทีด้วยความตื่นตระหนกตกใจ

บานหน้าต่างถูกเปิดออกกว้างพร้อมกับแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาภายในห้องแรงกล้า ซึ่งทำให้พวกเขาเห็นร่างของพญาวานรนอนไร้สติตัวซีดเซียวอยู่บนพื้นเย็นเฉียบ เลือดไหลซึมออกจากปากแผลไหลนองพื้นเป็นแอ่ง

“กบินทร์!!”

เสียงแว่วดังผ่านโสตประสาทปลุกเรียกสติรับรู้ เปลือกตาค่อยๆ ปรือเปิด “พระราม....” พูดออกมาพร้อมกระอักเลือดคำโต
ราเมนทร์ทรุดนั่งข้างกายลูกน้องที่เปรียบเสมือนพี่น้อง คนในครอบครัว มือเอื้อมแตะแก้มขาวซีดแทบจะไร้สีเลือดอย่างเบามือ ตอนพลบค่ำเห็นบอกจะออกไปธุระ ซึ่งรามเมนทร์คาดไม่ถึงมาก่อนว่าธุระใดของกบินทร์ถึงกลับมาแล้วเจ็บหนักปางตายเช่นนี้

“ใครทำเจ้า”

“...”

“ข้าถามว่าใครทำ!” กดเสียงต่ำพร้อมใบหน้ามึนตึง

“ทศกะ....”

ปึง!!

ยังไม่ทันให้พญาวานรเอ่ยจนจบ ด้วยแรงหมัดทำให้พื้นหินอ่อนข้างกบินทร์แตกพังทลายเป็นวงกว้าง เศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยระเบิดกระจายตัวคละคลุ้งขึ้นไปในอากาศ ศุภลักษณ์ที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆถึงกับกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง ราเมนทร์เป็นบุคคลที่รักพวกพ้องยิ่งกว่าใคร การที่เขาเห็นคนสนิทชิดเชื้ออยู่ในสภาพเจียนตาย อารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ส่วนลึกจึงถูกปล่อยออกมาในรูปแบบโกรธเกรี้ยว เดือดดาลอย่างหาที่สุด แน่นอนไม่มีใครหยุดยั้งได้นอกจากตัวของเขาเอง

“ลักษณ์ พี่ฝากเจ้าช่วยดูแลกบินทร์ด้วย”

“พี่ราม...”

บัดนี้เปลวไฟแห่งความพิโรธได้สถิตในกายราเมนทร์เต็มเปี่ยม ดวงตาแดงก่ำของบุคคลที่ขึ้นชื่อความสุขุมเยือกใหญ่กลับแปรเปลี่ยนเป็นดุดัน น่ากลัว


“ในเมื่ออยากเปิดศึกกับข้านัก ข้าก็จะทำให้มันพ่ายแพ้แล้วมานอนตายอยู่แทบเท้า!”






เดี๋ยวนะเจ้าคะพระราม ได้ข่าวว่าส่งคนไปหาเรื่องเขาก่อนนะ(มีเข้าข้างพี่ทศอย่างแรง 555)

และก็ขอเปิดตัวพ่ออินของไรท์หน่อย เป็นตัวละครหนึ่งที่หลังจากนี้จะมีความสำคัญมากคนหนึ่ง ถ้าอยากรู้ว่าสำคัญยังไงต้องติดตามกันนะจ๊ะ
เม้น=กำลังใจ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
ไว้เจอกันใหม่เน้อ บุยยยยย  :katai5:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๕: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)13/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 13-12-2016 14:47:53
ทีมทศกันต์คะ อีพระรามนี่ส่งคนไปหาเรื่องเค้าแล้วยังจะไปว่าเค้าอีก นิสัยอันธพาลแล้ว
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๕: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)13/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 13-12-2016 16:33:14

ตอนแรกก็หวาน........

กลางๆมาเริ่มโรมรัน

ตอนปลายนี่.........

ไม่เข้าข้างใคร

นั่งดูท่าทีก่อน

แบบว่าเป็นคนรักพี่ เสียดายน้อง

55+

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๕: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)13/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 13-12-2016 17:42:06
ท่าทางพระรามจะกลายเป็นคนพาลเสียกระมัง
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๕: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)13/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 13-12-2016 21:37:07
หนุมาน ไปเสนอหน้าและหาเรื่องก่อนเองนะจ๊ะ อวดอ้างว่าตนนั้นเก่งหนักหนา เก่งเทียบพญายักษ์ แพ้แล้วเป็นยังไงล่ะ

พระราม เจ้าไม่ใช่คนดีอย่างที่ใครหลายคนคิดเลย พาลคนอื่น ลูกน้องตัวเองผิดยังไปโทษท่านทศอีก

พระลักษมณ์ เป็นคนดีมีเหตุมีผลดี แต่อย่ามาดีแตกทีหลังนะไม่อย่างนั้นแม่จะตบให้!!!

พิเภก ปกติด่าเจ้าตลอดว่า ไอ้ทรยศ! แต่ตอนนี้รักเจ้า ที่เจ้ารักท่านทศมากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อท่านทศ

อินทรชิต พ่อยักษ์เขี้ยวมะลิของฉัน ภพนี้ทำไมสวยอะไรถึงเพียงนี้ ว่างๆไปเมียพระลักษมณ์นะลูก

พ่อเปมรักท่านทศมากๆนะจ๊ะ :impress2: :impress2: :impress2:


ทีมทศกัณฐ์
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๕: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)13/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 14-12-2016 05:54:39
 :-[โอยๆๆๆ ศึกชิงนายจะบังเกิดแล้วเจ้าข้าเอ้ย รีบปูเสื้อจองขนอนเกาะขอบเวทีโดยพลัน
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 14-12-2016 23:08:07
 
บทที่ ๖
[/size]




อสุเรนทร์พลิกภาพซึ่งมีตัวอักษรสลักหลังไว้ “พ.ศ. 2457 รำลึกแด่นาง” เขาละสายตาจากหลังภาพมาพินิจภาพของสตรีนางหนึ่ง อยู่ในกิริยายืนตรง ใบหน้าฉีกยิ้มสดใสดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาว ผมสีดำขลับยาวปะบ่าดัดลอนสลวย อยู่ในชุดเดรสลายลูกไม้พร้อมสายผ้าคาดศีรษะประดับมุกโอบล้อมด้วยเพชร ข้อมือขวามีกำไลวงหนึ่ง ลวดลายฉลุสุดวิจิตรบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์ มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก

อสุเรนทร์หยุดชะงักเมื่อคิดอะไรได้บางอย่าง วางแผ่นรูปขาวดำไว้ข้างตัวแล้วจึงหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งขึ้นมาจากกำปั่น ...เขาเปิดมันออก

ภายในกล่องไม้บุด้วยผ้าสักหลาดสีน้ำตาลอ่อนทั้งสี่ด้านพร้อมฝากล่อง แม้จะซีดไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังช่วยส่งให้กำไลเส้นเล็กที่นอนแน่นิ่งภายในกล่อง ส่องประกายสู้สายตาผู้แอบมองได้อย่างชัดเจน...อสุเรนทร์หยิบมันขึ้น ฉีกยิ้มเศร้าเมื่อคิดถึงภาพในวันวาน

‘อรต้องขอประทานโทษคุณทศด้วยนะคะ ที่อร...ไม่สามารถรับสิ่งมีค่าชิ้นนี้จากคุณทศได้ อรผิดเองที่ไม่พูดให้ชัดเจน แต่คุณทศยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่ออรเสมอ อรเชื่อนะคะ อนาคตข้างหน้าคุณทศจะต้องเจอผู้หญิงที่ดีพร้อมกว่าอรแน่นอน’

คำพูดตัดเยื้อใยที่เคยทำให้เขาเจ็บปางตาย วันนี้กลับรู้สึกดีไม่น้อยที่หล่อนไม่ได้เลือกเขา เพราะหากหล่อนเลือก เขาคงไม่ได้มาเจอคนที่คู่ควรกว่าและเหมาะสมกว่าอย่างพ่อเปรม

เสียงกุกกักจากด้านนอกเรือนเล็กทำให้อสุเรนทร์หันไปมอง หากในมือยังคงถือกำไลเส้นนั้นอย่างหวงแหน ประตูห้องถูกเปิดออกโดยชายหนุ่มในเสื้อยืดสีฟ้าอ่อนลายขวางกางยีนส์สามส่วน รณพักตร์กอดอกเอนพิงขอบประตูห้องนอน จ้องบุคคลที่สะท้อนผ่านนัยน์ตาอย่างหมั่นไส้

“ดูมีความสุขนะครับ”

“กระไรของเจ้า”

ร่างเล็กไม่ตอบกลับมองไปยังกำไลที่อสุเรนทร์ถืออยู่ เดินมานั่งลงข้างๆแล้วตั้งใจจะจับดูสักครั้งแต่ก็ต้องชะงักมือไว้

“เจ้าอิน” อสุเรนทร์ห้ามโดยการย้ำเรียกชื่อเสียงเข้ม

“ห้ามอะไรนักหนา อินขอดูบ้างไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้” คนหวงของปฏิเสธเสียงแข็ง

“พระบิดาใคร ขี้หวงว่ะ ดูนิดดูหน่อยก็ไม่ได้”

“นี่ไง เจ้าก็ดูมันอยู่เต็มสองตา ยังไม่พอใจอีกเรอะ”

“โห่...เดี๋ยวเถอะ คิดจะเล่นกับอินใช่ไหม ได้...ถ้าพระบิดาเผลอเมื่อไหร่ อินจะแอบขนเอาไปไว้ในห้องอินให้หมดเลย”

อสุเรนทร์หัวเราะชอบใจที่ได้ยินลูกชายพูดย้อนตนเอง เรื่องขี้งอน อยากให้พ่ออ้อน พ่อรัก ต้องยกให้รณพักตร์เป็นที่หนึ่ง ต่อให้ช่วงเวลาเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน วัฒนธรรมเปลี่ยน เจ้ายักษ์ต้วมเตี้ยมก็ยังคงทำตัวเป็นเด็กติดพ่อเหมือนเดิม

“แล้วนี่พระบิดาจะไปไหน แต่งตัวหล่อเชียว”

“ไปดูซ้อมบทละคร อยากไปด้วยกันไหมล่ะ”

“หทัยทศกัณฐ์ของพระบิดาน่ะหรือ”

“ใช่”

“แบบนี้อินก็ต้องได้เจอนางสีดาหนุ่มของพระบิดาน่ะสิ” รณพักตร์พูดด้วยสีหน้าเบิกบานใจ “จะไปดูเสียหน่อย สวยราวนางฟ้านางสวรรค์อย่างที่อากฤตเคยบอกหรือเปล่า”

“อากฤตของเจ้าเกี่ยวอะไรด้วย” ดวงตาคมกริบหรี่มองลูกชายอย่างคาดคั้นและจับผิด ช่างเป็นผู้ชายที่ขี้หวงกระไรเช่นนี้ กับพี่น้อง ลูกเต้าด้วยกันยังทำเป็นหึงหวง

“อาแค่บอกว่าพ่อเปรมของพระบิดางามแค่ไหนเท่านั้นเอง พระบิดาจ้องงาบเขาเป็นเมียนานขนาดนี้ อากฤตคงไม่กล้าแย่งว่าทีเมียพี่ชายตัวเองหรอก”

“แล้วไป...” อสุเรนทร์ว่า “อย่าให้รู้ว่าหวั่นไหวกับพ่อเปรมเชียว เป็นน้องเป็นลูกก็ไม่เว้นโทษตาย”

“หวงเหลือเกิน หวงที่สุด”

“ทั้งหวงทั้งเครียด” อสุเรนทร์พ่นลมหายใจแรง “ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงฉุดกระชากลากถูจับไปทำเมียที่กรุงลงกานานล่ะ ไม่ต้องทำตัวเป็นสุภาพบุรุษแล้วมานั่งลับคมดาบเองทุกวันให้เมื่อยมือ”

“พระบิดามีอะไรให้เครียด แค่ความหล่อของพระบิดาก็น่าจะทำให้พ่อเปรมคนงามยอมศิโรราบได้ไม่ยากนี่ครับ”

“กับคนอื่นคงใช่ แต่คนนี้...”

“...”

“เรายังมีเสี้ยนหนามคอยตำแข้งตำขา ตำหัวใจเราอยู่ พวกมันคงไม่ปล่อยให้พ่อได้ใจพ่อเปรมไปง่ายๆแน่”

“อ่า...” ถึงกับเข้าใจแจ่มแจ้ง ไม่ต้องเอ่ยชื่อศัตรูเขาก็รู้ว่ามันเป็นใคร...เสี้ยนหนามใหญ่ที่คอยเป็นอุปสรรคขวากหนาม คอยกั้นความรักระหว่างพระบิดากับนางสีดามาช้านาน

“แล้วพระบิดาคิดจะทำยังไง”

“มิรู้” อสุเรนทร์ตอบอย่างง่าย

“What? ไม่รู้! โอ มาย ก๊อด ไม่รู้เนี่ยนะ” ถึงกับปิดปากด้วยท่าจริตจะก้าน สบถออกมาเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงบริติชแท้อย่างลืมตัว “มันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ใช่”

“เก็บท่าทางหน่อยเจ้าอิน”

“ไม่ใช่ประเด็นเลยพระบิดา อยากได้เขาเป็นเมียแต่ยังไม่มีแผนเนี่ยนะ Oh god, I can’t believe”

“เจ้าอิน อย่ากระแดะ” อสุเรนทร์กลอกตามองอย่างไม่สบอารมณ์ ตั้งแต่กลับมาจากต่างประเทศ เรื่องมั่นหน้า กล้าแสดงออก ถ้าเต็มร้อยเขาจะให้สักพัน

“ชิ...นั่นแหละ” ทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดในลำคอ “อินพอมีทางอยู่บ้าง แต่ไม่รู้พระบิดาจะชอบหรือเปล่า”

“แล้วมันเป็นยังไงล่ะ”

“หนึ่ง พระบิดาต้องเป็นสุภาพบุรุษ”

“พ่อเป็นอยู่แล้ว”

“ฟังก่อนสิ อินยังพูดไม่จบ” เมื่อเห็นคนเป็นพ่อกอดอกฟังนิ่งจึงพูดต่อ “สอง ห้ามรุกอีกฝ่ายมากเกินไป...คิดเอาไว้ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ต่อให้พระบิดาอยากกระโจนปล้ำเขาแค่ไหนก็ต้องห้ามใจเอาไว้ แต่ถ้าไม่เข้าใจย้อนไปดูข้อหนึ่ง”

“...”

“สาม พยายามทำยังไงก็ได้ให้อยู่กันสองต่อสองบ่อยๆ แค่นี้แหละ ไม่เกินหนึ่งเดือนพระบิดาได้พ่อเปรมเป็นเมียสมใจอยากแน่”

“ก็...มิได้ยากเท่าไหร่” ยักไหล่ตอบอย่างสบายๆ

“ส่วนเรื่องอื่น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอินจัดการเอง”

“อย่าให้เสียชื่อลูกชายพญารากษสทศกัณฐ์ล่ะ”

ในเมื่อคนเป็นพ่อเปิดทางให้ขนาดนี้ เห็นทีต้องต้องงัดแผนเด็ดๆมาประชันกับฝ่ายนู้นสักตั้ง ให้เห็นกันไปเลยใครเหนือกว่าใคร โดยเฉพาะราเมนทร์ อยากได้นางสีดามากนักใช่ไหม เดี๋ยวจัดให้

“คอยดูฝีมืออินแล้วกัน”



ในเวลาเจียนบ่าย มีเสียงของครูจันทร์ดังไปทั่วห้องกระจก ทว่ากลับดูเร่งรัดและเคร่งเครียดมากกว่าคนอื่นๆ พร้อมทั้งเสียงเคาะจังหวะไม้เรียวด้ามยามซึ่งใช้เฉพาะวันนี้เป็นพิเศษ...ชายหนุ่มในเสื้อคอกลมผ้าขาวบางขนาดใหญ่กว่าตัวกับโจงกระเบนสีแดงกำลังกรีดกรายนวยนาดตามจังหวะฉิ่งฉับของเครื่องดนตรีกำหนดจังหวะ ถึงแม้จะรำได้อย่างพลิ้วไหวไม่แพ้นักแสดงโขนมืออาชีพ หากยังมีข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่จะต้องเร่งแก้ไขให้ทันวันงานแถลงข่าวเปิดตัวนักแสดง หทัยทศกัณฐ์ ในหนึ่งเดือนข้างหน้า

“ยกมือขึ้นจีบหงายมือขวา โน้มตัวไปข้างหน้า เอียงศีรษะ ดี...ดี...ก้าวขาย่อแล้วม้วนตั้งวง ขวาคว่ำลงซ้ายตั้งขึ้น เอี้ยวตัวโยกช้าๆ ขวาตั้งวงล่างซ้ายจีบขึ้น ยกเท้าขวา...ดีจ๊ะพ่อเปรม...ดีแล้ว”

เปรมยิ้มกว้างเมื่อถูกชมจากผู้เป็นครู ถึงจะพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่ได้มาซ้อมนานร่วมสองอาทิตย์ แต่เขาก็สามารถทำมันได้ดีทั้งๆที่ยังสวมผ้ารัดเท้าป้องกันการเกิดอาการบาดเจ็บซ้ำบริเวณที่เดิม ใบหน้าหวานแดงก่ำมีเหงื่อเม็ดเล็กๆเกาะพราวจากการซ้อมมาเกือบทั้งวันถูกเช็ดออกลวกๆ แล้วตั้งท่าเตรียมซ้อมรำต่อ

“พักสักหน่อยเถิดพ่อเปรม”

“ผมคิดว่ายังทำได้ไม่ดีเลยครับครู ขอซ้อมต่อดีกว่า”

“พอๆ โหมมากไปก็ไม่ดี มานั่งพักตรงนี้ให้หายเหนื่อยก่อน”

“แต่...” เปรมทำท่าจะแย้ง แต่พอเห็นไม้เรียวถูกยกขึ้นเหนือหัวก็เก็บปากเก็บคำเสียสนิท...หยุดรำ เดินเข้าหลบมุมเสาห้อง ปาดเหงื่อที่ไหลอาบใบหน้าแล้วหลับตาหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ให้พอหายเหนื่อย “อีกหนึ่งเดือนก็จะมีงานเปิดตัว ผมอยากทำให้มันดีกว่านี้ครับครู ผมคงไม่สบายใจถ้ามันทำสร้างผลลบให้กับคนทุกคนที่เกี่ยวข้องกับบทละครโขนนี้”

“ที่ทำอยู่มันก็ดีมากอยู่แล้ว เธอต้องการให้มันดีถึงขั้นไหนล่ะ”

“โธ่ครู...ผมกลัวคนอื่นถูกตำหนิเพราะผมนี่ครับ”

“เด็กหนอเด็ก” มืออ่อนนุ่มขยี้ศีรษะเล็ก “จะมีใครกล้าตำหนิความสามารถของเธอจ๊ะ รำสวยปานนี้ ถ้ามีใครมาว่ากล่าวครูจะเถียงกลับเอง”

“ครูจันทร์...”

“ดูทำหน้าเข้าพ่อเปรม อยากยิ้มหรือร้องไห้เลือกเอาสักอย่าง” เปรมไม่ได้ตอบแต่ส่งยิ้มกว้างจนตาปิดให้แทน เรียกความรักใคร่เอ็นดูจากครูคนงามได้เป็นอย่างดี

“ข้อเท้าเป็นอย่างไรบ้าง หายดีแล้วใช่ไหม”

“หายแล้วครับ โอ้ย!”

ชายหนุ่มทำท่าลุกขึ้นโชว์ว่าขาของเขานั้นหายดีเป็นปลิดทิ้ง ด้วยความรีบร้อนหรืออาการบาดเจ็บที่ยังคงซ่อนอยู่ใต้ผืนผ้า เปรมจึงล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ครูจันทร์ถลาเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วงระคนตกใจเพราะไม่คิดว่าลูกศิษย์ยังมีอาการเจ็บอยู่ เปรมจับข้อเท้าที่กำลังปวดตุบๆ ร้องโอดครวญเป็นระยะๆ

“ยังไม่หายทำไมไม่บอก ปล่อยให้ครูสั่งเธอซ้อมรำทั้งวันอยู่ได้”

“ผมไหวครับครู”

“ดื้อเหลือเกินลูกศิษย์คนนี้ พจ! เจ้าพจ! วานหาน้ำแข็งประคบให้ครูที พ่อเปรมเจ็บข้อเท้า” ครูจันทร์ตะโกนบอกลูกศิษย์อีกคนที่กำลังเดินผ่านหน้าประตูห้องซ้อมพอดี เปรมเม้มปากฝืนกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ข้างใน พร่ำโทษตนเองที่อวดเก่ง ฉันหายดีแล้ว ฉันสามารถซ้อมบทรำได้ทั้งวัน ทั้งที่อาการบวมบริเวณข้อเท้ายังมีให้เห็นอยู่ชัดเจน

“เจ็บมากไหมลูก”

“ทนได้ครับ”

“เจ้าพจหนอเจ้าพจ แค่สั่งให้หาน้ำแข็งทำไมไปนานอย่างนี้...เดี๋ยวครูมานะพ่อเปรม นั่งอยู่กับที่ ห้ามลุกไปไหนล่ะ”

เปรมพยักหน้ารับระหว่างครูจันทร์เตรียมลุกขึ้นออกไปนอกห้อง เขาเหยียดขาข้างที่เจ็บแล้วจับมันเบาๆ เจ็บ...เจ็บเสียจนน้ำตาแทบไหลพราก เจ็บจนประสาทการรับรู้ทางเสียงขัดข้อง ไม่รู้ตัวสักนิดเลยว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ทีละก้าว...ทีละก้าว ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งจ้องมองวงหน้างดงามที่เปื้อนคราบน้ำตาอย่างนึกสงสาร

ความอุ่นร้อนบริเวณข้อเท้าข้างที่ปวดทำให้เปรมลืมตามอง สิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มอบอุ่นของชายแปลกหน้าคนหนึ่ง นัยน์ตาคมโตเปล่งปลั่งดูมีรัศมีเหมือนมีอะไรบางอย่างให้เขาละสายตาไม่ได้ แล้วเปรมยิ่งต้องแปลกใจเป็นเท่าตัวเมื่อยกฝ่ามือขึ้นลูบแก้มอีกฝ่ายแผ่วเบา หัวใจวูบไหวหนักหน่วง ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นบีบรัดจนเจ็บร้าวไปหมด

‘พี่ท่านคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับน้อง’

‘พี่รักเจ้าเหลือเกินสีดา’

‘น้องก็รักพี่รามเจ้าค่ะ รักสุดหัวใจ จนมิอาจรักใครได้อีก มิว่าพี่ท่านอยู่แห่งหนใด โปรดพึงระลึกเสมอหัวใจของน้องเป็นของพี่ผู้เดียว’



 “คุณ...คุณครับ”

แรงสะกิดเบาจากฝ่ายตรงข้ามส่งผลให้ร่างบางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันที เปรมวางแขนลง กระพริบตาเรียกสติให้กลับมาก่อนมองหน้าชายแปลกหน้าที่มองมาด้วยสายตานึกเป็นห่วง

“คือ...ขอโทษนะครับ เมื่อกี้...”

ราเมนทร์ส่งยิ้มอ่อน “ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ...ว่าแต่ข้อเท้าคุณเป็นอะไรมากหรือเปล่า ได้ยินครูจันทร์บอกว่าข้อเท้าคุณพลิก ผมเลยเข้ามาดูอาการให้ เอ่อ..ไม่ต้องห่วงนะ ผมเคยเรียนปฐมพยาบาลมาบ้าง”

“มันปวดตุบๆ ขยับไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่”

“ผมขอดูข้อเท้าคุณหน่อยได้ไหม”

“อ่า...”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ” เพราะถ้าเป็นเธอ ฉันพร้อมทำให้ทุกอย่าง....

“รบกวนคุณด้วยนะครับแล้วก็...ขอบคุณมาก”

ราเมนทร์วิ่งออกไปด้านนอก ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาลกล่องใหญ่ มือหนารวบขาเรียวขึ้นมาวางบนตักแล้วลูบมันแผ่วเบา  เพราะเกรงอีกฝ่ายจะเจ็บจึงค่อยๆออกแรงดึงผ้าพันที่รัดข้อเท้าเอาไว้อย่างเบามือที่สุด เปรมสะดุ้งเล็กน้อยยามผ้านิ้วหนาของอีกคนไปโดนส่วนที่บวมที่เปลี่ยนสีเป็นม่วงอมเหลือง  สีหน้าจริงจัง ความพิถีพิถันในการออกแรงประคบส่วนที่บวมด้วยน้ำหนักมือไม่หนักและไม่เบาจนเกินไปของราเมนทร์ส่งผลให้เปรมอดประทับใจไม่ได้ จะมีคนแปลกหน้าสักกี่คนที่เอาใจใส่กับสิ่งเล็กๆน้อยๆของคนอื่นที่ไม่ใช่เรื่องของตนอย่างนี้

เขาดูเป็นคนดีจัง...นั่นคือสิ่งที่เปรมคิด

“ตอนนี้จะเจ็บเสียหน่อย ถ้าทนไม่ไหว จับมือผมได้เลยนะครับ”

“ทนได้...อ๊ะ”

สะดุ้งเฮือก เผลอจับมือที่คนตรงหน้าเอาไว้แน่น ราเมนทร์ยิ้มแล้วใช้มืออีกข้างที่เหลืออยู่ประคบรอบๆส่วนที่บวมต่อไป นิ้วโป้งจงใจเกลี่ยข้อมือขาวเนียน ราเมนทร์ช้อนตามองพลางเขยิบเข้าใกล้เพื่อประคบอีกส่วนหนึ่ง ลมหายใจร้อนผ่าวกระทบใบหน้าหวานเป็นระยะ แถมปลายจมูกอยู่ห่างจากซีกแก้มแดงระเรื่อเพียงไม่กี่เซนติเมตร...ใช่ เขาจงใจทำเอง จงใจที่จะเข้าใกล้ และจงใจที่จะทำให้หนุ่มหน้าหวานเกิดความรู้สึกดีกับเขาบ้าง และมันได้ผลทีเดียว เปรมถึงกับหายใจติดขับ นั่งนิ่งตัวแข็งทื่อ ดวงตาหลุกหลิกไปมาเหมือนคนปกปิดความผิดแล้วโดนจับได้

“อีกนานไหมครับ”

“ตรงนี้บวมเอาเรื่อง ขอเวลาผมสักครู่นะครับ”

“อ่า...”

“ผมไม่มีเจตนาไม่ดีกับคุณนะ ถ้าคุณอึดอัดก็บอกเลย”

“ไม่ครับ...ไม่เป็นไร คุณทำต่อเลย” ตอบเสียงเบาพลางหลุบสายตาลงต่ำ เพื่อหนีสายตาของอีกฝ่าย ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ หัวใจเปรมยิ่งเต็มรัวมากเท่านั้น ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าหมู่นี้ถึงได้เกิดอาการประหลาดกับตนบ่อยนัก ของอสุเรนทร์ก็ทีหนึ่งแล้ว ไหนจะมาเป็นเพราะคนคนนี้อีก

“ผมทำให้คุณเจ็บหรือเปล่า”

“ไม่ครับ มือคุณเบากว่าหมอเสียอีก”

ราเมนทร์หัวเราะถูกใจ ดึงผ้าพันที่ไม่ใช่ผ้ารัดเท้าอย่างที่เปรมเคยใช้ออกมาพันตั้งแต่ปลายฝ่าเท้า เลยไปที่ส้นเท้าแล้วพันกลับมาใหม่

“คุณเป็นนักแสดงที่นี่เหรอ ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย” เปรมเอ่ยถาม

“เปล่าหรอกครับ ผมแค่เข้ามาดูลูกศิษย์ซ้อมน่ะ”

“ลูกศิษย์...ขอโทษนะครับ ไม่ทราบคุณอายุเท่าไหร่ เอ่อ...ผมไม่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝงนะครับ แต่ถ้าไม่บอก...”

“37 ผมอายุ 37 แล้ว”

เปรมทำตาโตใส่ “โอ้โห หน้าคุณไม่เห็นเหมือนคนอายุเกือบสี่สิบเลย ผมนึกว่ายี่สิบปลายเสียอีก”

“ขอบคุณสำหรับคำชมครับ”

“งั้นผมก็ต้องเรียกคุณว่าพี่สินะ”

“ถ้าคุณอยากเรียก ผมก็ไม่ขัด” อยากเรียกพี่ท่านเหมือนแต่ก่อนก็ย่อมได้

ทุกอย่างกำลังไปได้สวย ราเมนทร์อยากให้เรื่องของพวกเขาค่อยเป็นค่อย ไม่จำเป็นต้องเร่งรัดให้อีกฝ่ายมารักทันทีที่เจอหน้า ค่อยๆเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เข้าใจกัน แบบนั้นน่าจะดีกว่า

“พี่ครับ เอ่อ...ช่วยปล่อยมือผมได้ไหม ผมไม่เจ็บแล้ว”

“อ้อ ขอโทษที”

ราเมนทร์ยอมปล่อยมือหอมอย่างเสียดาย รอดูปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้ามอย่างนึกสนุก เปรมเป่าลมหายใจออกจากปากแรงๆ รีบเบี่ยงหน้าหลบสายตาคู่คมที่จ้องเขาไม่วางตา ลิ้นแดงเลียริมฝีปากตนเองอย่างลืมตัวเวลาประหม่า อาการเห่อร้อนที่ใบหน้ากลับมาเล่นงานอีกครั้ง หากคราวนี้เป็นคนละคนกับพ่อนักหยอดคำหวานอย่างอสุเรนทร์

“พ่อเปรมครู...อ้าว คุณราม มาตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ”

“สวัสดีครับครูจันทร์” ราเมนทร์ยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนที่เดินเข้ามาอย่างเคารพนอบน้อม แล้วตอบกลับ “มาได้สักครู่แล้วครับ พอดีได้ยินเสียงครูจันทร์ว่ามีคนเจ็บข้อเท้าผมเลยเข้ามาดูให้ก่อน นี่ก็เสร็จพอดีเลยครับ”

“โถ คุณคะ ไม่น่าต้องลำบากมาดูแลพ่อเปรมเลย”

“ผมทำด้วยความเต็มใจครับ ไม่ได้ลำบากอะไร”

เต็มใจ...

เปรมไม่รู้ความหมายที่เจ้าของคำพูดส่งออกมาคืออะไร เต็มใจที่จะช่วยเหลือแบบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หรือทำเพราะความเต็มใจอย่างอื่น

“ยังไงก็ต้องขอบคุณอีกครั้งนะคะ...เดี๋ยวเถอะพ่อเปรม ครูจะตีให้หลังลายเลย โทษฐานเป็นเด็กไม่ดี ไม่ยอมบอกครูว่ายังเจ็บอยู่” ครูจันทร์ง้างมือตีแขนเล็กสองสามที

“ก็ผมคิดว่ามันหายแล้ว”

“อย่าคิด ไม่ต้องมาอ้อนเลยเจ้าตัวแสบ ซ้อมไหวแล้วเป็นยังไง ข้อเท้าบวมขึ้นอีก มันน่าตีจริงๆ”

“ครูไม่กล้าทำผมหรอก”

“ลองไหมล่ะ”

“ครูครับ ผมรักครูนะ...อย่าตีผมเลย”

ราเมนทร์มองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเป็นประกายอ่อนโยนปนเอ็นดู วาดฝันถึงภาพในยามที่มีอีกคนคอยออดอ้อน เอาอกเอาใจ หากเป็นเรื่องจริงเขาคงมีความสุขทั้งยามตื่นและยามนอน

“ถ้ายังไงผมขอตัวก่อน ช่วงนี้อย่าหักโหมซ้อมมากเกินไปนะครับ เกรงอาการบวมจะไม่ลดลงเสียที” ราเมนทร์สั่งทิ้งท้าย แม้อยากจะอยู่ต่อ แต่ก็ต้องปล่อยให้ครูลูกศิษย์สองคนมีเวลาคุยกัน

“ขอบคุณอีกครั้งครับ ผมเปมทัต หรือพี่ชายจะเรียกว่าเปรมก็ได้”

มือเรียวบางยื่นออกไปด้านหน้าพร้อมรอยยิ้มสดใส จะผิดหรือไม่หากตัวเขาอยากทำมากกว่ายื่นมือไปจับทักทาย เขาอยากดึงร่างบางมากอดรักให้เต็มอก จมูกซุกไซ้ดอมดมความหอมกรุ่นจากเรือนกายขาวผ่อง จูบกลีบปากบางที่คาดว่าคงหวานเช่นเดิมให้สมกับการรอคอย

แต่ก็ทำได้แค่คิด

ยัง...มันยังไม่ถึงเวลา...

“ราเมนทร์ครับ ผมชื่อราเมนทร์ แต่ผมอยากให้คุณเปรมเรียกผมว่าพี่รามมากกว่า เพราะมันคงดีกับใจคนแก่อย่างพี่ทีเดียว”

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ...พี่ราม”



อสุเรนทร์กระฟัดกระเฟียด เดินวนไปมาหลายรอบราวหนูติดจั่นแล้วนั่งลง  เอาแต่หายใจฟึดฟัดหงุดหงิด แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ตาก็คอยชะเง้อมองหาใครบางคนที่ยังไม่โผล่มาให้เห็นหน้าสักเสี้ยววินาทีเดียว...เมื่อไหร่จะมา เขารอจนหัวใจเหี่ยวเฉาหมดแล้ว อยากคุย อยากกอด อยากเย้าแหย่ รู้บ้างไหม คนรอเขาว้าเหว่แค่ไหน

“พระบิดา”

“...”

“พระบิดา”

ยังคงเงียบ

“สีดามา!!”

“ไหนๆๆๆ” อสุเรนทร์ตาลีตาเหลือก หันซ้ายหันขวา แลหน้าแลหลังอย่างคนคุมสติไม่อยู่เพียงเมื่อรู้ว่าคนในดวงใจมาแล้ว แต่พอรู้ว่าลูกของตนหลอกจึงคำรามด้วยสีหน้าขึงขังใส่

“เจ้าอิน!”

“โธ่คุณอสุเรนทร์ผู้เกรียงไกร ก็อินเรียกแล้วไม่ยอมหันเองนี่นา” ร่างเล็กตบขำ “ชะเง้อคอมองขนาดนั้นไม่ไปเดินหาให้ทั่วโรงละครล่ะครับ พ่อเปรมอาจรอพบพระบิดาในห้องก็ได้”

“พูดจาให้มันดีๆหน่อยรณพักตร์”

“แตะต้องไม่ได้เลยนะคนนี้” ร่างเล็กส่ายหัว

“คนนี้ พ่อขอสั่งห้าม”

อสุเรนทร์ผุดลุกจากเก้าอี้อย่างกระวนกระวายใจ ถอนหายใจเสยผมที่ปรกหน้าไว้เหนือหน้าผาก ทอดสายตามองรอบๆในโรงละครโขนตอนนี้แม้จะยังมีนักแสดงซ้อมบทให้ชมอยู่แต่จิตใจเขากลับล่องลอยไปตามสายลม ไม่ได้จดจ่ออยู่บนเวทีแม้แต่น้อย
“พระบิดา มันมาแล้ว”

ดวงตาคมปรายมองไปยังทิศทางที่ลูกชายบอก ราเมนทร์เดินอมยิ้มมาแต่ไกล มีการยกมุมปากยิ้มเย้ยเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงเก้าอี้ที่ห่างจากเขาไกลพอสมควร

“ให้อินจัดการเลยไหม”

“ไม่ต้อง”

ที่อสุเรนทร์สั่งห้ามไม่ใช่เพราะเกรงกลัวอะไรราเมนทร์หรอก แต่วันนี้เขามาเพื่อหาเปรมโดยเฉพาะ หากยอดดวงใจเห็นเขาเป็นนักเลงอันธพาลรังเกพ่อพระเอกหนังลิเกที่ไม่มีทางสู้จะทำยังไง ได้เสียเครดิตว่าที่ลูกเขยโรจนวาทิตย์กันพอดี จะทำศึกต้องทำอย่างชาญฉลาด ใช้กำลังบุกลุยอย่างเดียวไม่ได้แล้ว

“ในนี้ไม่ปลอดภัย”

“...”

จัดการที่อื่นสะดวกกว่า

ยังไงก็ยังไม่ทิ้งลายยักษ์เจ้าเล่ห์

รณพักตร์ยิ้มพึงพอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ก่อนเอามือประสานท้ายทอยเอนกายพิงพนักเก้าอี้สบายใจเฉิบ ปรายตามองคู่แข่งเจ้าเก่าที่กำลังมองเขาอยู่ก่อนหน้า นัยน์ตาสีนิลของราเมนทร์แลดูมีไฟครุกรุ่น พอๆกับสายตาของร่างเล็กที่จ้องกลับอย่างผู้ถือตัว ราเมนทร์ก็ราเมนทร์สิ เจอรณพักตร์หน่อยเดี๋ยวก็จอดสนิท คิดจะเล่นเกมจ้องตากับพี่ไม่ง่ายหรอก

‘มาด้วยเหรอไอ้ขี้แพ้’ ยักคิ้วใส่ท้าทาย

‘ไม่คิดว่าจะโผล่หน้ากลับมาไทยอีก หึ ถ้าคราวก่อนไม่ได้พ่อเจ้าช่วย ป่านนี้คงกลายเป็นเศษเถ้าธุลีล่องลอยกลับนรกภูมิ’

‘เศษเถ้าธุลี...ก็ยังมีคนมองเห็น แต่กับเจ้าล่ะ เสมือนธาตุอากาศที่พระชายาคนงามมิใคร่เหลียวแล เลยต้องปันใจมารักพระบิดาข้า อันไหนน่าเจ็บปวดกว่ากันล่ะ’

‘อินทรชิต’

‘อย่าคิดว่าตนดีไปเสียทุกอย่าง มนุษย์ที่มีสองมือถือธนูโมลีอย่างเจ้าก็เลวมิต่างไปกว่ารากษสอย่างพวกข้า’

‘...’

‘โกรธสิ โกรธข้าให้พอใจ ให้สมกับความแค้นเคืองที่เรามีต่อกัน’

‘อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าทำเจ้า’

‘ถ้าเจ้าคิดกระทำข้า เจ้าทำไปนานแล้ว’

‘...’

‘ระวังตัวให้ดี เพราะข้าจะไม่หยุดรังควานเจ้าแค่นี้ดอกราเมนทร์’


รณพักตร์ไขว่ห้างเชิดหน้าชูคอหยิ่งผยองราวราชนิกูลผู้สูงศักดิ์ ใจระริกระรี้นึกถึงแผนการต่างๆนาๆ เตรียมเอาไว้สำหรับเล่นกับศัตรูหน้ามนโดยเฉพาะ ถ้ามีหนุมานเป็นหมากสำคัญของฝ่ายมนุษย์ รณพักตร์ก็คงเป็นหมากตัวฉกาจของฝ่ายรากษสเช่นกัน



ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 14-12-2016 23:09:15
และแล้วเวลาที่อสุเรนทร์รอคอยก็มาถึง...ร่างเพรียวบางในชุดโจงกระเบนสีแดงยาวคลุมเข่าเดินมาพร้อมกับครูจันทร์ นัยน์ตาหวานเหลือบมองมาที่เขาเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปตามเดิม อสุเรนทร์ยืดอกภาคภูมิใจ อย่างน้อยพ่อคุณทูนหัวก็เริ่มมีใจให้เขา ดูได้จากท่าทีเอียงอาย ริมฝีปากแดงระเรื่อที่เผยอพ่นลมร้อนออกมา จนเขารู้สึกมันช่างน่าดูและน่างับเล่นทั้งวันทั้งคืน พ่อเปรมจ๋า...ทำไมพ่อถึงน่ารักอย่างนี้...หัวใจพี่ทศแทบจะรอให้เจ้ามารินรดไม่ไหวแล้ว

“ชะเง้อเป็นยีราฟเชียวนะคุณทศ กระผมพาไปสู่ขอเลยดีไหม”

ชายชราในชุดเสื้อคอกลมสีฟ้าอ่อนกางเกงผ้าแพรสีน้ำเงินเข้ม เดินเอามือไพล่หลังมาหยุดด้านข้างร่างสูง อสุเรนทร์ตอบกลับทั้งที่ดวงตายังมองแต่เปรมไม่ห่าง

“ถ้าได้ก็ดีสิครับครู”

“ตั้งแต่ร่วมงานกันมา ไม่เคยเห็นคุณทศสนใจใครมาก่อน”

“ก็นี่ไงครับ สนแล้ว สนเอามากๆเสียด้วย” ดวงตาปู่เหนือวาววาบกับคำตอบแสนตรงไปตรงมาของอสุเรนทร์ ดูท่าจะหลงใหลในตัวลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาหนักเอาการทีเดียว อย่างว่า...พ่อเปรมเป็นเด็กดี น่ารัก มีสัมมาคารวะ ใครพบก็ต่างหลงรักหัวปักหัวปำ
 
“งั้นข่าวโคมลอยหนาหูอยู่ตอนนี้ ที่ว่า....ทศกัณฐ์ริอยากจีบนางสีดา มันก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ ”

“ผิดแล้วล่ะครับ ทศกัณฐ์ไม่ได้อยากจีบนางสีดาสักหน่อย อยากได้นางสีดาเป็นเมียมากกว่า

“ปะไรกัน! ฮ่าๆๆ!! กระผมชอบนัก” เอี้ยวตัวป้องมือกระซิบเสียงเบา “คุณทศ...วันนี้พญารากษสทศกัณฐ์ต้องแอบย่องไปหานางสีดา แต่เผอิญทศกัณฐ์ป่วยจึงมาไม่ได้...พญารากษสจึงไหว้วานให้อสูรตนหนึ่งช่วยแปลงกายเข้าไปดูแลนางสีดาแทน...”

เจ้าของดวงตาคมเบิกกว้าง รอยยิ้มของความดีใจผุดขึ้นบนใบหน้า นึกขอบคุณชายชราในใจ ไม่เสียแรงที่ได้ร่วมงานกันมานาน วันนี้คงเป็นวันที่ดีที่สุดสำหรับอสุเรนทร์ ได้กลับไปเป็นตัวของตัวเอง แถมยังได้ย้อนความหลังแด่นางอันเป็นที่รักอีก ใครไหนเลยจะโชคดีเท่าเขาไม่มีอีกแล้ว


เสียงขับร้องเสภาใสราวกระจกแก้ว ดังแว่วกังวานมาตามสายลมพร้อมกับเสียงเครื่องดนตรีไทยหลายชนิด การปรากฏตัวของนางสีดาหลังจากผืนผ้าม่านถูกเปิดออกกว้าง เปรมที่กำลังนั่งอยู่บนตั่งไม้ ประนมมืออยู่ที่ระหว่างอก ใบหน้าหวานเงยขึ้นมองด้านบนราวมองพระจันทร์ที่ลอยเด่นกลางนภาอย่างเศร้าโศกา สีหน้าและท่าทางการแสดงทำให้ใครต่อใครต่างตกอยู่ภวังค์ แม้แต่ราเมนทร์เองก็ตาม

เปรมยังคงเล่นไปตามบทที่ซ้อม ทว่าใจของเขากลับปวดหนึบหยาดน้ำตาคลอเบ้าโดยไม่ทราบสาเหตุ มีแต่ความโศกา โหยหา อยากพบ อยากเจอหน้าใครสักคนที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้

“ท่านปู่ ทำไมจันทร์ขนลุก” ครูจันทร์เอ่ยขณะชี้ให้ชายชราดูขนที่ลุกชันบนแขนตน การจะแสดงอารมณ์ออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้ต้องเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์การแสดงมาอย่างโชกโชน หรือไม่...ก็ต้องเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง เปรมยังเด็ก ไม่น่าจะเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน

ชั่ววินาทีชายชราเห็นร่างนางสีดาซ้อนทับร่างของเปรม

“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”

“เป็นอะไรหรือคะท่านปู่”

“เปล่า” ได้แต่เก็บงำความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ภายใต้สีหน้าสงบนิ่ง

ในขณะทุกคนจับจ้องตัวนาง ตัวยักษ์ทศกัณฐ์ก็เดินออกมาด้วยท่าทีองอาจ สะบัดหัวเมียงมองนางสีดาที่นั่งร้องไห้อีกฝากฝั่งหนึ่ง ทั่วโรงละครต่างเงียบกริบได้ยินเพียงแค่เสียงลมที่ออกมาจากเครื่องปรับอากาศ

“ครูเหนือครับ ผมจำได้ในรามายณะไม่เคยมีฉากนี้นี่ครับ” ราเมนทร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย

“มันจะไปมีได้ยังไง ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของเผ่าพงศ์ยักษ์”

“...”

“คนที่รู้มีแค่คนที่แต่งเท่านั้นแหละ” ปู่เหนือยืดหลังตรง “นี่เป็นตอนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องครั้งใหญ่เชียวนะ ฉากทศกัณฐ์แอบย่องมาหานางสีดาหลังจากนางถูกส่งตัวกลับไปหาพระราม ข้าดูแล้วรู้เลยว่านางสีดามีใจให้ใครมากกว่ากัน”

“แต่นางสีดารักพระรามนี่ครับ”

“รักน่ะใช่ แต่ที่ข้าพูดหมายถึงรักใครมากกว่ากัน

ราเมนทร์ปรายมองภาพบนเวที ตัวนางและตัวยักษ์ต่างอ้อร้อ หยอกเหย้ากันสนิทชิดเชื้อ ใบหน้าเขินอายของนางสีดายามทศกัณฐ์ประสานมือไว้ที่อกแล้วเอียงคออย่างน่ารักน่าชัง ถึงไม่บอกเขาก็รู้ว่านี่เป็นการบอกรักของพวกยักษ์ที่มักล่อลวงหญิงสาวที่พวกมันเสน่หา ทศกัณฐ์หมุนตัวยืนซ้อนหลังแล้วจับปลายนิ้วเรียว เอียงหน้าแทบซุกไซ้ดอมดมกลิ่นหอมจากลำคอระหงส์ หัวใจชายหนุ่มกระตุกวูบ สองมือกำเข้าหากันแน่น ดวงตาแดงก่ำสั่นระริก ข่มความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งมองทั้งสองอิงแอบแนบชิดแทบจะกลายเป็นคนเดียวกัน ไฟที่สุมทรวงอยู่ก่อนหน้ายิ่งแผ่ซ่านออกมาจนชายชราที่นั่งอยู่ข้างๆยังรับรู้ได้

“เจ้าหนุ่ม เป็นอะไรหรือเปล่า”

กล้าดียังไง....กล้ากระทำลับหลังข้าได้ยังไง!

สติสัมปชัญญะของราเมนทร์ขาดผึ่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อชายหนุ่มก้าวฉับขึ้นไปบนเวทีพร้อมกระชากตัวยักษ์ทศกัณฐ์แล้วต่อยอีกฝ่ายล้มจนหัวโขนกระแทกกับพื้นไม้เนื้อแข็ง เปรมเบิกตามองด้วยความตกใจ เมื่อเห็นสายตาดุดันของราเมนทร์ และตกใจเข้าไปใหญ่เมื่อคนในหัวโขนทศกัณฐ์คืออสุเรนทร์

“เฮ้ย! อะไรของแกวะ” รณพักตร์แทบจะพุ่งเข้าหาด้วยความโมโห

“อย่า เจ้าอิน”

“แต่...”

“บอกว่าอย่าไง!” สุดท้ายร่างเล็กจำต้องเชื่อฟังอย่างขัดไม่ได้ เลยส่งสายตากัดจิกเต็มไปด้วยแรงโทสะใส่คู่อาฆาตอย่างไม่มีปิดบัง

“แกกล้าทำลับหลังฉันได้ยังไง”

อสุเรนทร์พยุงตัวลุกขึ้น แค่นยิ้มออกมาพร้อมกับใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบเลือดที่มุมปากตัวเองอย่างเซ็งๆ เปรมที่ยังคงงงกับเหตุการณ์ตรงหน้ามองทั้งสองคนสลับกันอย่างไม่เข้าใจ ไม่รู้สองคนนี้มีเรื่องบางหมางอะไรกันหรือเปล่าพี่ชายที่เพิ่งรู้จักถึงได้กระโดดเข้ามาขวางการซ้อมกะทันหัน

“ลับหลังที่ไหน นี่ก็ทำให้เห็นอยู่ทนโท่”

“แก!” ราเมนทร์กระชากเสื้ออสุเรนทร์เอาไว้และเข่นเขี้ยวใส่อย่างเอาเรื่อง “มันไม่จบแค่นี้แน่”

“ไม่จบก็ไม่จบสิ”

“เดี๋ยวก่อนครับ เกิดอะไรขึ้น” เปรมเอ่ยถามอย่างกล้าๆกลัวๆ เขาไม่อยากยุ่งเรื่องของคนสองคนนักแต่ก็ไม่อยากให้ทะเลาะกันใหญ่โตในนี้

“ถอยออกไปเปรม”

“หยุดทะเลาะกันเถอะ ได้โปรด”

“บอกให้ถอยไป!”

เปรมที่พยายามห้ามกลับโดนแรงผลักจากราเมนทร์จนซวนเซเกือบจะล้มคะมำหากรณพักตร์ไม่รับตัวไว้ทัน สีหน้าคนรับตัวเขาดูไม่พอใจสักเท่าไหร่

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

เปรมส่ายหัว “ไม่ครับ”

อสุเรนทร์ที่เห็นร่างบางล้มลงไปนอนกองกับพื้นถึงกับฟิวส์ขาด กระโจนใส่พลิกตัวขึ้นคร่อมราเมนทร์ด้วยแววตาดุดัน กระชากคอเสื้อให้ขึ้นมาพร้อมสวนหมัดหนักเข้าเต็มแก้มข้างซ้าย

“อย่าคิดทำให้เขาต้องเจ็บตัวเพราะมือชั่วๆของแก”

“หึ” ราเมนทร์หัวเราะในลำคอ ยกยิ้มมุมปากปรายตามอง “ฉันควรพูดคำนั้นมากกว่าไหม”

ถึงฉันจะเลว แต่ฉันไม่เคยทำร้ายร่างกายของคนที่รัก

“!!!”

“รู้ตัวเองบ้าง สันดานของแกกำลังทำร้ายคนของฉันอยู่”

“พูดมาคงไม่กระดากปากเลยสินะ เรื่องของฉันกับแกคงต้องเอาจริงกันเสียที”

“แกมันก็เก่งแค่ปากล่ะว่ะ แน่จริงก็มาสิ พร้อมเสมอ”

“สีดาต้องเป็นของฉันเท่านั้น”

“หึ”

“ขำอะไร” ราเมนทร์ตวัดตามองอย่างขุ่นเคือง

“ก็เอาไปสิ ฉันยกให้”

“...!”

อสุเรนทร์ปล่อยมือจากคอเสื้อยับยู่ยี่ พร้อมทำท่าปัดมันอย่างนึกรังเกียจ เดินโซเซทรุดลงนั่งตรงหน้าเปรม มือแกร่งลูบแก้มนวลแผ่วเบาแล้วปัดปอยผมที่ปรกใบหน้าหวานไปอีกทาง ก่อนวาดสองแขนแกร่งช้อนร่างบางขึ้นอุ้มแนบอกด้วยความหวงแหน

“ค...คุณทศ”


“สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว”





สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว
สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว
สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว :katai2-1: :ling1: :hao7:

อ่ะจ้าพี่ทศ ในที่สุดสีดาก็ยังต้องตกเป็นรองพ่อเปรมคนงาม ราเมนทร์หลบซ้ายไปเลยนะคะ พ่อทศของเราเขามาวิน หุๆๆๆๆ


วันนี้มาลงช้าหน่อย แต่ก็ถือมาลงให้น้าาาา
คอมเม้นเพื่อเป็นกำลังให้แก่คนเขียน
เราจะพยายามมาลงทุกวัน หากมีเวลาว่าง ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกของคุณคนด้วยนะคะ ถ้าโปรโมทให้ได้ยิ่งดีใหญ่ ฮิๆๆๆ
ถ้ายังไง ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า ราตรีสวัสดิ์ :mew1:

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 15-12-2016 07:53:08
บอกว่ารักแต่พอโกรธกลับผลักเขาแถมไม่ฟังเสียงใครคนที่รักกันต่อให้โกรธยังไงก็คงไม่มีวันทำร้ายร่างกายคนที่ตัวเองรักหรอก
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 15-12-2016 08:32:51
กรี๊ดดดดดดดดดชอบคำนี้ "สีดาอะไรชั้นไม่สนทั้งนั้น ชั้นสนพ่อเปรมคนเดี่ยว " รักคะ รักทศกันต์  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 15-12-2016 08:55:31
สุเพิ่งจะเข้ามาอ่านค่ะ
ชอบมาก ๆ เลย ภาษาสวย พล๊อตดี วางเรื่องได้น่าอ่าน
สุเป็นอีกคนหนึ่งค่ะที่เป็นแฟนคลับท่านทศมานานนม
เจอนิยายเรื่องนี้เข้าไปรู้สึกปลื้มจิตปลื้มใจเป็นอย่างมาก
ขอบคุณนะคะ ขอบคุณทุกคนที่รักพญายักษา
บวกเป็ดให้ทุกรีแล้วนะคะ
จะรอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 15-12-2016 11:40:55
พ่อรามคนพาล โมโหขาดสติ แย่มากมาย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 15-12-2016 11:44:44
ชอบจังประโยคนี้

รอบนี้พี่ทศเขามาแรง

มีความฟินขอรับ

กางมุ้งรอ......

 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-12-2016 14:29:13
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๗: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)15/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 15-12-2016 15:00:28
บทที่ ๗
[/size]



“สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว”

“อสุเรนทร์!”

“ถ้าฉันเห็นนายทำร้ายคนของฉันอีก...หึ เอาเถอะ เรายังเวลาคุยกันอีกนาน”

ราเมนทร์เซไปตามแรงชน ทำอะไรไม่ได้นอกจากนิ่งเงียบ ก้มลงมองมือของตัวเองที่สั่นเทาเพราะเผลอผลักเปรมจนล้มไปกองกับพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ มันให้ทั้งความรู้สึกโมโหและเสียหน้าไปพร้อมๆกัน อึดอัด...แน่นภายในอก เขาเหมือนตัวประกอบที่มีหน้าที่แค่เดินผ่านไปมาไม่มีบทบาทอะไรให้น่าจดจำ นอกจากยืนมองดูตัวหลักสองตัวเดินผ่านไปอย่างหน้าตาเฉย ดวงตาดำคมปลาบฉายแต่แววเคียดแค้น

“น่าสงสารจัง แพ้อีกแล้ว” รณพักตร์ยิ้มเหยียดอย่างดูแคลน “รักเขา แต่ก็ทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ใครไหนเลยจะรักคนพรรณนั้นได้ลง คุณราเมนทร์ว่าจริงไหมครับ”

“คนนอกอย่างนายเกี่ยวอะไรด้วย”

“ผมน่ะเหรอคนนอก รู้ๆกันอยู่ สงสัยอยู่มานานสติเลยเลอะเลือน ว่างๆไปโรงพยาบาลก็ดีนะ ผมรู้จักแพทย์เฉพาะทางคนหนึ่งเก่งมาก ถ้ายังไงสนใจลองตรวจสมองหน่อยไหม มีบัตรส่วนลดให้ด้วยนะ”

“ไม่มากไปหน่อยหรือไง”

“อะไรที่ว่ามากหรือครับคุณราเมนทร์ ถ้าสิ่งที่ผมแนะนำมันทำให้คุณไม่พอใจ ก็...sorry”

“หึ ต่อให้เวลาผ่านมานานแค่ไหน ก็ยังไม่เลิกใช้นิสัยต่ำๆเหมือนคนพ่อสักที”

“เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ ได้ยินไม่ค่อยถนัดหูเลย” รณพักตร์แกล้งทวน ทั้งที่แขนขาเริ่มอยากยกขึ้นมาฟาดร่างสูงตรงหน้าให้จมดิน

ชั้น – ต่ำ ชัดพอหรือยัง”

คำสองคำ ชัดเจน หนักแน่น กระแทกเต็มสองรูหูอย่างไม่ต้องพยายามตั้งใจฟังแม้แต่น้อย ใบหน้าสวยพ่นลมหายใจออกอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียงเต็มๆตา “ด่าฉันด่าได้แต่อย่าลามปามถึงพ่อบังเกิดเกล้า ก่อนพูดอะไรที่มันแย่ๆขัดกับหนังหน้า ช่วยไตร่ตรองพินิจพิเคราะห์ดูตัวเองสักนิดเถอะ เพราะสิ่งที่แกพูดออกมา มันกำลังบอกด้วยตัวมันเองว่าคนพูดน่ะต่ำกว่าคนโดนว่าเสียอีก”

“!!!”

“ผู้ที่จิตใจต่ำต่อให้แปลงกายเป็นพ่อพระผู้ประเสริฐสุดในสามโลก มันก็กลบสันดานต่ำๆไม่มิดหรอก”

“เจ้า!”

ร่างเล็กฉีกยิ้มหวาน หากดวงตาของเขากลับลุกโชนไปด้วยโทสะ “พ่อใครใครก็รัก คงไม่มีใครยิ้มกว้างเวลามีคนมาด่าบุพการีตัวเองหรอก อย่าให้ผมได้ยินคุณรามเมนทร์ ผู้แสนประเสริฐพูดเป็นครั้งที่สอง เพราะผมคงไม่ใจดีเหมือนอย่างในวันนี้”

รณพักตร์ตบบ่ากว้างราวกับต้องการย้ำเตือนถึงสิ่งที่เขาพูด ก่อนเดินไปก็ยังมิวายกระซิบประโยคหนึ่งที่แทบทำให้คนเลือดเย็น
อย่างราเมนทร์เกือบสติแตกกลางคัน ท่ามกลางวงล้อมของคนในโรงละครโขนที่แอบยืนฟังบทสนทนาของพวกเขานับสิบ "ยอมรับเสียเถอะคุณมาไกลได้แค่นี้ ถ้าฉลาดก็น่าจะดูออกนะ ว่าตอนนี้ใจของพ่อเปรมคนสวยเอนเอียงไปทางใคร”

“อินทรชิต!”

“ถึงชาติก่อนคุณได้นางสีดาเป็นคู่ครอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชาตินี้คุณจะต้องได้พ่อเปรมมาเป็นเมียเสียหน่อย ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับหัวใจของคนกลาง การตัดสินใจของเขาคือข้อยุติ ผมคงไม่เห็นคุณเล่นลูกไม้สกปรกอย่างคราวที่ผ่านมาอีกนะ ไม่งั้นคงดูน่าสมเพชแย่...ไม่ขออวยพรให้นะเพราะไม่จำเป็น”

ราเมนทร์ทำได้แค่ขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน จะแสดงความโกรธโจ่งแจ้งก็ไม่ได้ แค่หายใจก็โดนนินทาแล้วกระมัง คาดว่าเรื่องเมื่อครู่คงกลายเป็นเป็นข่าวฉาวโฉ่ข่าวใหม่ให้คนวงในส่งเสียงนินทากันสนุกสนาน ผู้ชายหน้าตาดีสองคนห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดถึงขึ้นเลือดตกยางออกเพราะคิดจะแย่งนักแสดงหนุ่มหน้าหวานคนเดียวกัน!

ปลายนิ้วเลื่อนหาเบอร์โทรจากในโทรศัพท์ ก่อนกดโทรออก...รอไม่นานนักปลายสายจึงรับ

‘ครับพี่ราม’

“ลักษณ์ ส่งคนมารับพี่ที่โรงละครด่วน เราต้องหาลือกันเสียหน่อย”



อสุเรนทร์วางร่างบางลงบนโต๊ะยาวโต๊ะหนึ่งในห้องซ้อมวงดนตรีไทย ริมฝีปากบางเม้มแน่นอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อเมื่อร่างสูงที่อุ้มเขาเข้ามาในนี้เอาแต่นิ่งเงียบผิดปกติ นั่งหันหน้าหาบานหน้าต่างมองดูวิวทิวทัศน์ด้านนอก ทั้งๆที่ปกติจะชอบส่งยิ้มคุยอ้อร้อให้เขายิ้มเขินอายตลอดเวลา

นี่เขาทำอะไรผิดหรือเปล่า

“คุณทศ”

“...”

“คุณทศครับ...”

“...”

เปรมเริ่มอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูดเสียที “ถ้าผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจ...”

“ฉันบอกตอนไหนว่าฉันไม่พอใจเธอ”

“...” ความรู้สึกคันยุบยิบในอกแปลกๆเกิดขึ้นเมื่อสบสายตาคมสีเข้มของร่างสูง เปรมครุ่นคิด มีเรื่องอะไรให้น่าทุกข์ใจถึงขนาดต้องทำหน้าเครียดขึงขังอย่างนั้นด้วย อยากเอ่ยถามก็เกรงไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่พอไม่ถามใจก็ดันมาอึดอัดเพราะต้องการคำตอบเสียนี่

“อยากถามอะไรก็ถามมาสิ”

เปรมเม้มปาก มือที่วางอยู่บนตักบีบกันแน่น “ผมถามได้หรือครับ แต่มัน...”

“ถามมาเถอะ”

“คุณทศกับพี่รามมีเรื่องผิดใจกันหรือครับ”

“หึ พี่ราม” ร่างสูงยิ้มเหยียด “สนิทกันถึงขั้นใช้สรรพนามว่าพี่เลยเหรอ”

“ก็เขาแก่กว่าผม”

“ฉันก็แก่กว่า แต่เธอไม่เคยเรียกแบบนี้สักครั้ง”

“...”

“บางที มันก็น่าน้อยใจไม่น้อย” สำหรับคนที่มาก่อนอย่างเขา แต่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม

“คุณจะให้ผมเรียกคุณว่าพี่ก็ได้ถ้าคุณ...”

“ถ้ามันไม่ได้มาเพราะความเต็มใจก็อย่าเลย ฉันไม่ต้องการหรอก”

“คุณทศ”

“...”

“ขอโทษครับ” เปรมเอ่ยเสียงเบาหวิว

“ขอโทษทำไม”

“เอ่อ...”

อสุเรนทร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่เขาหวงและโหยหามากที่สุดในตอนนี้ มือหนากุมอยู่รอบลำคอเล็ก บีบเบาๆให้อีกคนโน้มตัวลงมา แล้วดวงตาคู่สวยก็สบกับดวงตาของจอมวายร้ายที่มักพาใจเขาเต้นกระหน่ำทุกครั้งที่เจอหน้า รู้สึกเหมือนหายใจติดขัดผิดจังหวะไปหมด ใบหน้าเห่อร้อนเสียยิ่งกว่าโดนพิษไข้เล่นงาน อยากจะเบือนหน้าหนีไปอีกทางแต่กลับทำไม่ได้

“เธอกำลังทำให้ฉันเป็นบ้า รู้ตัวบ้างไหมเปมทัต”

“ผมเหรอครับ”

“อย่าแกล้งโง่”

“ครับ?” อะไรคือการมาด่าเขาว่าแกล้งโง่ งงงวย ไม่เข้าใจสักนิด

“เธอไม่ได้ยินที่ฉันพูดในโรงซ้อมหรือไง”

‘สีดาอะไรฉันไม่สนทั้งนั้นแหละ ฉันสนแค่พ่อเปรมคนเดียว’

อ่า...นึกออกทันที

“คุณทะเลาะกับพี่รามเพราะเรื่องของผมเหรอ”

“เปรม...เฮ้อ เธอนี่มัน” เปรมทอดถอนหายใจกับความซื่อของอีกฝ่าย “ใช่...ฉันทะเลาะกับมันเพราะหวงเธอไง แล้วก็นะ อย่าได้ไปทำหน้าตาน่ารักแบบนี้ให้ใครเห็นอีกนอกจากฉัน ขี้เกียจตามหึงทุกวัน”

“หวงทำไม อีกอย่างผมไม่น่ารักนะ” เปรมเถียงทันควัน

“ยังจะเถียงอีก”

“แล้วคุณจะมาหึงหวงผมทำไมเล่า”

“เพราะรักไง เข้าใจหรือยัง”

“!!” คนฟังถึงกับหน้าขึ้นสี เผยอปากคล้ายจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็หุบลงแล้วเปลี่ยนงอง้ำแทน อสุเรนทร์อดไม่ได้ที่จะหยิบพวงแก้มน้อยเบาๆ

“น่ารัก”

“ผมไม่...อื้อ” แล้วเสียงหวานใสก็หายไปเมื่อริมฝีปากอวบอิ่มประทับลงบนริมฝีปากเขารวดเร็ว ดวงตาหวานเบิกกว้างด้วยความตกใจ ตวัดมองอีกฝ่ายที่กล้าขโมยจูบเขาเป็นครั้งที่สอง แม้จะแค่แตะปากกันเบาๆไม่ได้รุกล้ำเข้ามาในโพรงปากเหมือนคราวก่อนก็เถอะ ยังไงก็ถือเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้อยู่ดี

“คุณทศ!” รีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดใบหน้าที่เห่อร้อนและแดงซ่านของตัวเองอย่างห้ามไม่อยู่ ร้ายกาจที่สุดเลย คนบ้า!

“หวาน”

“คุณทศ!”

“ถ้าเธอเรียกชื่อฉันแล้วได้ทำแบบนี้ตลอด ฉันก็ยอมนะ”

“ผมเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ”

“แล้วไง...พ่อกับแม่ก็รับรู้เรื่องของเราแล้วนี่ พวกท่านน่าจะดูออกนะว่าฉันคิดยังไงกับลูกชายของเขา”

“คุณ...ฮื่อ...ผมไม่พูดกับคุณแล้ว”

อสุเรนทร์หลุดยิ้มดีใจเมื่อเปรมหลุดทำนิสัยแบบเด็กๆออกมา ทำไม...ทำไมกันนะ เจ้าอินก็ชอบทำแบบนี้กับเขาเป็นประจำ แต่ไม่เห็นน่ารักน่าเอ็นดูเท่าคนตรงหน้าสักเศษเสี้ยวเดียว รู้สึกอยากลักพาไปเก็บไว้ที่บ้านแล้วขังไม่ให้ออกไปไหนได้อีก พ่อเปรมจ๋า...พี่ทศชักทนไม่ไหวกับความน่ารักของน้องแล้วนะ

อยากขยี้เจ้าเหลือเกิน...

“เปรม”

“...”

“เปรมครับ มองหน้าพี่หน่อย”

สายตาเว้าวอน และเสียงอ้อน...

เปรมเอามือลงแล้วค่อยช้อนสายตาขึ้นมองหน้าเจ้าของเสียงนุ่มอย่างแช่มช้า คนที่ไม่เคยรู้จักความรักมาทั้งชีวิตอย่างเขาทำไมถึงยอมให้ใครคนๆหนึ่งเข้ามาอิทธิพลต่อหัวใจได้โดยง่ายกันนะ

อยากจะเอาหัวตัวเองโขกเสาห้องให้สลบไปเสีย

“พ่อเปรม...”

“เรียกทำไมอีกครับ ก็มองแล้วไง”

“ที่ฉันบอกรักเธอ สนแค่เธอคนเดียว ฉันพูดจริงนะ”

“คุณทศ!” อุตส่าห์พยายามไม่คิดถึงมันแล้วเชียว ทำไมต้องเปิดประเด็นพูดขึ้นมาอีก แค่ป่าวประกาศในโรงละครเล็กให้คนเขาได้ยินโดยทั่วกัน เปรมก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว

“นี่ไม่ใช่คำสั่ง แต่ฉันอยากให้เธออยู่ห่างราเมนทร์ซะ”

“พี่รามเหรอครับ”

“เธอกำลังทำให้ฉันอารมณ์เสียอีกรอบนะเปรม” เวลาได้ยินเสียงหวานๆเอ่ยเรียกพี่ทศ รู้สึกคันหูพิกล อยากตัดหูออกแล้วโยนใส่หน้าเจ้าขี้เก๊กนั่นซะ ให้เรียกพี่ กล้ามาก...กล้าเหลือเกินไอ้พระเอกลิเกท้ายสวนมะพร้าว “ช่างเถอะ ฉันแค่จะบอกบางทีสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่เธอคิด มีสามข้อสำคัญให้เธอทำตามและจำให้ขึ้นใจ หนึ่ง อย่ามองคนแค่เปลือกนอก สอง อย่าเชื่อคนง่าย และสาม ข้อสำคัญที่สุด...”

“...”

เปรมกระพริบตาตั้งใจฟังอย่างดี

อย่าใจเต้นกับใคร หากคนนั้นไม่ใช่ฉัน

“!!!”

 “ข้อสุดท้ายเธอต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ห้ามละเลยโดยเด็ดขาด และต่อให้มีใครหน้าไหนมาบอกเธอว่าฉันเลว ฉันชั่ว แต่ขอให้เธอจำเอาไว้อีกอย่างหนึ่ง” อสุเรนทร์ยิ้มพลางกุมมือบางที่สั่นเทาขึ้นมาจุมพิตอย่างนุ่มนวล ความรู้สึกวาบหวามแล่นปราดลงสู่กลางใจเล็กๆของร่างบาง “ฉันเนี่ยแหละจะเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่คิดทำร้ายเธอ



งานแถลงข่าวเปิดตัวผู้จัดและนักแสดงละครโขนเรื่องหทัยทศกัณฐ์มาเร็วกว่าที่คิด เสียงอื้ออึงจากด้านนอกเข้ามาภายในห้องแต่งตัวทำให้เปรมรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเดิม มือเรียวบางเย็นเฉียบราวกับเอาไปวางไว้ในช่องแช่แข็ง มันเย็นเสียจนแทบขยับไม่ได้ ครูจันทร์เลยต้องมาช่วยกุมมือให้กำลังใจอยู่ใกล้ๆไม่ห่าง

“อยากดื่มน้ำอุ่นสักหน่อยไหมพ่อเปรม”

“ไม่ครับครู ขอบคุณมาก”

“แต่เรามือเย็นมากเลยนะ ครูกลัวเราจะเป็นอะไรไปเสียก่อนขึ้นไปโชว์ตัวบนเวทีน่ะสิ”

“ผมไหวครับ” แสร้งทำเป็นยิ้มรับ ทั้งที่ในใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะอย่างควบคุมไม่อยู่ พยายามหลับตานิ่งๆให้ช่างแต่งหน้าบรรจงขีดเขียนงานศิลปะบนใบหน้าให้เสร็จโดยเร็ว ทว่าไม่ได้รับรู้เลยว่าใครต่อใครหลายคนในห้องแต่งตัวกำลังจ้องมองถึงความเปลี่ยนแปลงของนักแสดงรุ่นน้องคนใหม่ล่าสุดอย่างใจจดใจจ่อ ใบหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉมยังว่าหวาน หากพอได้แต่งแต้มความจัดจ้านทับลงไปยิ่งผลักให้ใบหน้าเรียวนั้นงดงาม...หวานหยดย้อยชนิดโลกตะลึงเข้าไปอีก

วงหน้าผุดผาดงดงามไปทุกสัดส่วน คิ้วเรียวเข้มรับกับดวงตาเรียวทว่าไม่เล็ก ขนตางอนยาวเป็นแพยิ่งเสริมให้ดวงตาดูหวานล้ำลึกน่าค้นหากว่าเดิม จมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากอิ่มตึงดูเย้ายวนเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสด งาม...งามมากจริงๆ งามราวกับชายหนุ่มคนนี้คือตัวนางสีดาเอง

“ครูจันทร์ขา น้อยหน่ากำลังฝันไปหรือเปล่าคะ” ช่างทำผมใจหญิงทาบอกอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง พระพุทธองค์สร้างชายผู้นี้เพื่อมากำจัดผู้หญิงทั้งโลกหรืออย่างไร จากชายหนุ่มหน้าหวานคน (ไม่) ธรรมดาพอแต่งหน้ากลับโดดเด่น ชวนเคลิบเคลิ้ม อ่อนระทวย น่าหลงใหลเหลือเกิน เขาดูเหมือนรูปปั้นที่ไม่ว่าจะหันมองทางซ้าย มองทางขวา ก็ยังงดงามไร้ที่ติ

ใจผู้หญิงข้ามเพศอย่างน้อยหน่า สั่นไหวไปถึงมดลูกเทียม

“ไม่ฝันจ๊ะน้อยหน่า ของจริงเลยล่ะ”

“ไปหามาจากไหนคะเนี่ยครูจันทร์”

“ไม่ได้หาจ๊ะ พ่อเปรมเขามาหาพวกครูเอง”

“เฮ้อ...ถ้ามีแฟน แฟนคงหวงน่าดู หน้าตาชวนดึงดูดขนาดนี้ น้อยหน่าอยากโดนเสียบ”

ครูจันทร์ยิ้ม ขนาดไม่มีแฟนยังมีคนหวงออกหน้าออกตาราวกับงูจงอางหวงไข่ แถมเมื่อไม่นานก็มีคนเข้ามาตีสนิทหวังสร้างสะพานเชื่อมความสัมพันธ์เกินเพื่อนร่วมงานเพิ่มตั้งหลายคน ใครหน้าไหนจะทนไหวกับรอยยิ้มสว่างไสวกับความไร้เดียงสา มองโลกในแง่ดีแบบสุดโต่งของเจ้าตัวได้บ้าง

ครูจันทร์ชักไม่แน่ใจว่าควรอิจฉาหรือสงสารพ่อหนุ่มน้อยเปมทัตดี

เครื่องทรงนางถูกยกออกมาเมื่อจัดการในส่วนหน้าและผมเรียบร้อย เปรมลุกขึ้นปล่อยให้ครูจันทร์และหญิงสาวอีกสองคนจับเขาแต่งเครื่องพัสตราภรณ์ และถนิมพิมพาภรณ์ ครบชุด


ผืนภูษาสีเขียวดิ้นทองผืนงามโอบรัดเอวคอดกิ่วแล้วบรรจงจับจีบอย่างประณีต ทับผ้าห่มนางที่สวมทับรอไว้อย่างดี คาดเข็มขัดและปั้นเหน่งที่ส่องแสงเรืองยามต้องแสงไฟ สวมจี้นางหรือตาบทับ ตามด้วยเครื่องประดับชิ้นอื่นจนเต็ม เสียงกระทบของกำไลมือและกำไลข้อเท้าดัง กรุ๊งกริ๊ง ยามร่างเพรียวบางขยับ ทุกคนมองภาพตรงหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ บางคนถึงกับยกโทรศัพท์ขึ้นถ่ายเก็บเป็นที่ระลึกทีเดียว

ครูจันทร์พยักหน้าพึงพอใจก่อนจะหยิบ บางสิ่ง ในกล่องไม้กล่องหนึ่งที่มีคนฝากเอามาให้เปรมใส่วันนี้โดยเฉพาะขึ้นมาพร้อมสวมมันบนข้อมือเล็กอย่างบรรจง

“อะไรหรือครับครู”

“ของเก่าแก่ที่ตกทอดกันมา ครูยกให้และอยากให้เราใส่เอาไว้”

“แต่ครูครับ ของมีค่าขนาดนี้ ผมรับไว้ไม่ได้หรอก”

“ผู้ใหญ่ให้ของก็ควรรับไว้ อย่าปฏิเสธความตั้งใจของคนแก่สิจ๊ะ ถือเสียว่าครูให้เป็นของขวัญต้อนรับนักแสดงคนใหม่แล้วกัน”
“ผมจะเก็บมันไว้อย่างดี”

“ดีจ๊ะ”

มืออันอบอุ่นของครูจันทร์ลูบไปที่กลุ่มเส้นผมนุ่มเบาๆ นึกสงสัยคนให้มิใช่น้อย มีเหตุผลมากน้อยเพียงใดถึงมอบสมบัติล้ำค่ายาวนานหลายร้อยปี...หรืออาจมากกว่านั้น ให้กับคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงสองเดือน แต่ยังไงเสีย ในเมื่อคนให้ไม่ต้องการบอกเหตุผลที่แท้จริงเธอก็จะไม่ถามให้มากความ หน้าที่ของเธอคือส่งกำไลชิ้นนี้ให้ถึงมือผู้รับ

ฉันมอบมันให้พ่อเปรมแล้วนะคะ

เปรมยกแขนข้างที่สวมกำไลวงใหม่ขึ้น หากเขาไม่ตาฝาดหรือมึนเบลอแสงจากหลอดนีออนมากเกินไป กำไลทองฉลุลายงดงามวิจิตรกำลังส่องแสงเรืองรองออกมาให้ประจักษ์แก่สายตาราวกับมันได้กลับคืนสู่เจ้าของเดิมอีกครั้ง  เปรมลูบเส้นสีทองเบามือ  คุ้นเคย...คุ้ยเคยเหลือเกิน

‘พี่ให้เจ้าเพราะอยากให้’

‘น้องมีเครื่องประดับมากมาย แค่ที่ใส่อยู่ก็หนักหนานัก’

‘ถอดชิ้นอื่นแลใส่กำไลของพี่สิเจ้า พี่ปรารถนาให้ผู้คนได้รู้โดยทั่วกันน้องคือยอดหัวใจของพี่...สีดา’

‘น้องจักเก็บรักษามันอย่างดีจนกว่าชีวิตน้องจักหาไม่เพคะ’



“พ่อเปรม! ร้องไห้ทำไม” เสียงครูจันทร์เรียกให้เขารู้สึกตัว กระพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่หยาดน้ำใสที่กำลังจะไหลรินออกจากดวงตาคู่สวยอย่างไม่รู้ตัว นี่เขาร้องไห้...ตั้งแต่เมื่อไหร่

“มะ...ไม่มีอะไรครับครู แค่ผงเครื่องสำอางมันเข้าตา”

“ไม่มีก็ไม่มีจ๊ะ นุช พาน้องไปนั่งรอตรงนู้นกับนักแสดงคนอื่นหน่อย น้องจะได้ไม่ต้องรีบเดินมากนักเวลาที่ต้องขึ้นไปบนเวที”

“ค่ะครู”

“ครูจันทร์จะไปไหนหรือครับ”

“ไปหาท่านปู่สิจ๊ะ นั่งรออยู่ทางนู้นคนเดียวคงเหงาแย่ ไม่ต้องตื่นเต้นไป ครูจะคอยให้กำลังใจเราอยู่ตรงหน้าเวที อย่าตื่นเวทีจนเผลอลืมบทพูดล่ะพ่อคุณ”

“อ่า ครับ”

เปรมประนมมือไหว้ผู้สอนสั่งอย่างเคารพนอบน้อม ก่อนเดินตามรุ่นพี่ไปนั่งรออยู่ด้านข้างเวที มีพี่นักแสดงหลายคนที่เข้าร่วมงานโบกไม้โบกมือทักทายและสนทนากับเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปท่องสคริปของตนตามเดิม พอใกล้ถึงเวลาแถลงข่าวหัวใจยิ่งเต้นแรง เปรมทาบมือลงกับหน้าอกข้างซ้าย เมื่อไม่มีคนให้คุยเลยทำได้แค่นั่งหายใจเข้า...หายใจออก...หายใจเข้า...ถอนหายใจ...




ไหนใครบอกหายใจเข้า-ออกช่วยคลาดความตื่นเต้นได้ไง ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลยสักนิด!

 
“หายใจเร็วขนาดนั้นคงหายตื่นเต้นหรอกนะ”

เปรมชะงักเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่วางลงบนศีรษะของเขา เปรมค่อยหันไปทางด้านหลังก่อนจะเห็นอีกฝ่ายกำลังส่งยิ้มอ่อนมาให้

“คุณทศ”

อสุเรนทร์ในวันนี้สวมชุดสูทผ้าไหมอิตาลีสีน้ำเงินเรียบหรู ทรงผมดัดลอนตั้งแต่โคนจรดปลายถูกจัดแต่งทรงให้เข้าใบหน้าคมอย่างดิบดี ดูหล่อนะ แต่เสียอย่างเดียวมันดูเหมือนคนเพิ่งสระผมเสร็จแล้วไม่เช็ดให้แห้งก่อนออกจากบ้านอย่างไรอย่างนั้น เปรมยิ้มขำขณะอีกฝ่ายลากเก้าอี้มานั่งคุยด้วย

หนึ่งเดือนที่ผ่านมานับเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งยากสำหรับเปรมเลยก็ว่าได้เพราะทั้งงานที่รัดตัว ต้องซ้อมโขนติดต่อกันหลายชั่วโมงแบบไม่มีพัก ทั้งครอบครัวที่ต้องคอยแวะไปเยี่ยมเยียนบางครั้งบางคราว และไหนจะ...เรื่องของหัวใจที่สั่นไหวตลอดเวลาเจอหน้าชายหนุ่มใหญ่ทั้งสองคนอย่างอสุเรนทร์และราเมนทร์

และไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่เท่าที่สังเกตเห็น ทั้งคู่มักแวะเวียนมาหาเขาบ่อยครั้งที่โรงละครโขน ผลัดกันมาดูเขาซ้อมคนละวันราวกันนัดแนะกันไว้แล้วล่วงหน้า ผลัดกันขายขนมจีบ เอาอกเอาใจเสียจนเปรมคิดไม่ตกว่าพวกผู้ใหญ่สองคนคิดเล่นอะไรแผลงๆกันหรือเปล่า

เปรมไม่เข้าใจความคิดพวกเขาสองคนเลย

“ยู้ฮู...บราเทอร์ ผมยังมีชีวิตอยู่ไหม หรือกลายเป็นธาตุอากาศไปเสียแล้ว” รณพักตร์เบ้ปากใส่พ่อของตนอย่างหมั่นไส้ เจอหน้าคนรักหน่อยล่ะทำเป็นลืมลูกเต้าเชียว

“น้อยๆหน่อยเจ้าอิน”

“สวัสดีครับ คุณใช่คนที่ช่วยผมเมื่อคราวที่แล้วหรือเปล่า” เปรมเอ่ยทักทายร่างเล็กที่เพิ่งเห็น เปรมจำได้เขาคือคนที่ช่วยตอนที่เซหกล้มในวันนั้น

“ดีใจที่ยังจำกันได้ ผมรณพักตร์ครับ เรียกอินก็ได้สั้นกว่ากันเยอะ”

“ยินดีที่ได้รู้จักคุณอิน ผมเปรม เปมทัต”

“ขวัญใจคนแก่นี่เอง” รณพักตร์หัวเราะคิกคัก “ผมกับคุณน่าจะรุ่นเดียวกัน ถ้ายังไงอย่าเรียกคุณเลยครับ คุยกันแบบธรรมดาดีกว่าจะได้สนิทกันไวขึ้น”

“อ่า...แล้วแต่คุณ...เอ่ออินเลย ผมยังไงก็ได้”

“เยี่ยม ต้องอย่างนี้สิ” พยักหน้า ชูนิ้วโป้งให้เพื่อนใหม่

“อิน ไปซื้อน้ำมาให้พ่...พี่สองขวดหน่อย หิว”

อสุเรนทร์ที่เห็นลูกชายคุยหยอกล้อกับคนที่หมายตาเอาไว้อย่างสนิทสนมก็เริ่มทนไม่ไหว ต้องโพล่งปากพูดแทรกทั้งคู่เพื่อขอพื้นที่ให้ตนพูดบ้าง รู้อย่างนี้ปล่อยให้ไปทำงานกับเจ้ากฤตอย่างดีเสียกว่า ถึงจะเป็นลูกแต่มาหยอกเย้าแม่ใหม่ (?) อย่างนี้ สองขาก็พร้อมกระโดดถีบให้ลอยไกลไปถึงป่าหิมพานต์ได้นะ

“ซื้อเองสิ”

“เป็นก้างขวางคอความรักคนอื่นมันบาปหนักนะ อยากไร้คู่ตลอดชีวิตหรือไง”

“โห เล่นแรงอ่ะ ใช่สิ ผมมันคนไม่สำคัญในสายตาพี่ชายทศแล้วนี่ครับ...เชิญอยู่คุยหวานแหวกันตามสบาย เปรมช่วยเข้าใจอารมณ์พี่เราหน่อยนะ คนแก่ก็แบบนี้แหละ”

“อิน เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งไป...” อยากเอ่ยเรียกให้กลับมาก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่ออีกฝ่ายเดินหายไปทางอื่นเร็วมาก แถมคนแก่ที่รณพักตร์บอกยังดึงมือเขาไปกุมไม่ยอมปล่อย ขนาดทั้งหยิก ทั้งทุบ ทั้งตีจนแดงช้ำก็ยังยิ้มหน้าระรื่น จับมันอยู่อย่างนั้น

“ปล่อยผม คนอื่นมองกันหมดแล้ว”

“ก็เรื่องของเขาสิ ขอให้ฉันได้นั่งมองหน้าเธอใกล้ๆก็พอ อย่างอื่นฉันไม่สน”

เอาแต่ใจที่สุด”

“อยากเอาเธอด้วยนะ”

“คุณทศ!”

เพี๊ยะ!

ตีแขนแรงๆสักหนึ่งฉาดเป็นบทลงโทษ

“เอาใจเธอไง นี่แอบคิดลึกไปถึงไหนครับพ่อเปรมของพี่ทศ”

“พี่ทศอะไร ไม่เอาไม่คุยด้วยแล้ว”

อสุเรนทร์ยิ้มขำ เอื้อมมือประคองใบหน้าสวยหวานให้หันกลับมาสบตาเขาอย่างสื่อความหมายพร้อมทั้งใช้นิ้วเกลี่ยแก้มอมชมพู กลิ่นหอมจากเรือนกายบางวันนี้ส่งกลิ่นแรงกว่าทุกๆวัน มันหอมเสียจนอดไม่ได้ที่จะสูดให้ชุ่มปอด

ถ้าได้ดอมดมจากกลีบเกสรโดยตรง ไม่ใช่กลิ่นที่ลอยตามอากาศคงรู้สึกดีกว่านี้

“สวย”

“ครับ?”

“ขอหอมได้ปะ”

“บ้าเหรอคุณ พูดจาน่าเกลียด”

“จีบมาตั้งเดือนหนึ่งแล้วก็ยอมให้หน่อยไม่ได้หรือไง” นี่เหรอคำพูดของผู้ชายที่บอก ฉันเป็นสุภาพบุรุษมากพอถ้าหากอีกฝ่ายไม่เต็มใจให้กระทำ ฟังดูขัดๆยังไงพิกล

“ผมไม่เล่นนะ”

“ใครว่าฉันเล่นล่ะ ขอสักฟอดหนึ่งก็ยังดี”

“ผู้ใหญ่เอาแต่ใจอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าครับ”

“ฉันไม่รู้หรอกว่าผู้ใหญ่ทุกคนชอบเอาแต่ใจอย่างนี้หรือเปล่า แต่ถ้าหมายถึงฉันคนเดียวก็คงต้องบอกฉันอยากเอาแต่ใจกับพ่อเปรมคนเดียว”

“...”

พูดไม่ออกอีกแล้ว...

“น่ารัก ฮ่าๆ”

“อย่าขำเชียว”

“นักแสดงเตรียมตัวขึ้นเวทีครับ คุณอสุเรนทร์ด้วยนะครับ”

เสียงประกาศจากทีมงานดังขึ้น อสุเรนทร์ยิ้มและดึงข้อมือเล็กมาหลบตรงมุมอับของหลังเวที หันมองซ้ายขวารีบยื่นหน้าเข้าไปจูบปากหวานทันทีก่อนจะผละออกอย่างรวดเร็ว แล้วกดประทับเข้าไปใหม่ เปรมยกมือตีไหล่กว้างแรงๆ เผลอทีไร เป็นจูบทุกที ช่างร้ายกาจนัก

“ฮื่อ...คุณทศ!”

“ฮ้า...รู้สึกกำลังใจเต็มเปี่ยม ขอบคุณนะแม่สาวน้อย” อสุเรนทร์ยักคิ้วหลิ่วตา มองใบหน้าขาวแดงเห่อขึ้นอัตโนมัติ ไม่ว่าจะมองกี่ทีต่อกี่ทีก็ยังน่ารักสม่ำเสมอ ถึงว่าช่วงนี้ราเมนทร์ขยันมาตามตื้อพ่อเปรมของเขาเหมือนพวกพนักงานขายท่อกรองน้ำแถวซอยบ้านอยู่บ่อยๆ บอกตามตรงยิ่งรู้จักเปรม ท่าทาง กิริยา กลิ่นอายของนางสีดาเมื่อพันปีก่อนก็ยิ่งแสดงออกมาชัดเจนจนบางครั้งถึงขึ้นแยกไม่ออกว่าคนไหนคือสีดาและคนไหนคือเปมทัต ทว่าในความคิดของอสุเรนทร์ไม่ว่าเป็นสีดาหรือพ่อเปรม เขาก็รักทั้งคู่สุดหัวใจเหมือนกัน “อย่าให้รู้ว่ามีใครมาทับรอยจูบของฉันเชียว”

“คิดว่ากลัวเหรอครับ”

ร่างสูงยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะก้มหน้ากระซิบแผ่วแล้วขบกัดติ่งหูเบาๆ

“กลัวก็ดีนะ เพราะถ้าถึงเวลานั้นฉันจะไม่หยุดที่จูบปากเธออย่างเดียวแน่นอน”




ต่อด้านล่างเหมือนเดิมนะคะ ไม่พอ TT
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๗: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)15/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 15-12-2016 15:10:03
 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:



แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปวูบวาบเป็นระยะ ๆ เมื่อนักข่าวบันเทิงจากสื่อทุกแขนงเข้ามาแย่งถ่ายรูปในวันสำคัญวันนี้ งานแถลงข่าวเปิดตัวละครโขนเรื่องใหม่ของนักธุรกิจหนุ่มชื่อดังอย่างอสุเรนทร์ อมาตยสูร ผู้สร้างชื่อให้กับประเทศไทยมาแล้วทั่วโลกกับละครโขนตอนกำเนิดทศกัณฐ์ ทั้งความสามารถรอบด้านและความหล่อเหลาทำให้เขากลายเป็นที่จับตามองของบุคคลในแวดวงบันเทิงและบุคคลทั่วไป

เปรมเกิดอาการประหม่าทุกครั้งที่แสงแฟลชส่องมาทางเขา แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ โปรยยิ้มให้กับนักข่าวทุกคนในงานอย่างทั่วถึง

“เปรม อย่ายิ้มมั่วซั่วได้ไหม” อสุเรนทร์เอนตัวกระซิบบอกด้วยน้ำเสียงค่อนข้างไม่พอใจ เพราะทุกครั้งที่หันไป ก็มักจะเจอกับสายตาหวานเยิ้มที่ส่งมาให้คนงามของเขาอย่างไม่มีปิดบัง แต่เจ้าตัวคงไม่รู้กระมัง เล่นก้มหน้าหลบสายตาเขา ไม่ก็คุยกับนักแสดงรุ่นพี่ข้างๆ

“ทำไมล่ะครับ”

อยากให้บอกจริงอ่ะ”

“ก็บอกสิครับ”

“ฟังดีๆนะ”

“...”

หวง

คำเดียว จอดสนิท

ถ้าไม่ติดว่ารอให้สัมภาษณ์อยู่ เขาจะตีแขนแข็งแรงให้ช้ำไปหลายวันเลยเชียว เล่นไม่รู้เวลาร่ำเวลา นี่คงเป็นธาตุแท้ของผู้ชายชื่ออสุเรนทร์ที่ซ่อนเอาไว้ภายใต้หน้าตาอันหล่อเหลาสินะ


เวลาแห่งความยุ่งเหยิงผ่านไปอย่างรวดเร็ว เปรมสามารถรับมือกับคำถามพิธีกรได้ดีกว่าที่คิดและยังได้รับความสนใจจากนักข่าวอย่างท่วมท้นในฐานะนักแสดงนำชายคนแรกที่เล่นเป็นตัวนาง เวลาเปรมแสดงท่าทีเขินอายจากการตอบคำถาม จะเป็นช่วงที่แสงแฟลชสว่างวูบวาบมากที่สุดตอนหนึ่ง หลายคนต้องยกกล้องและรัวเก็บภาพและลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกัน ว่ามันเป็นภาพที่น่าบันทึกไว้ในเมมโมรี่มากที่สุดของวันนี้ งดงาม อ่อนช้อยราวหลุดมาจากภาพวาด

อสุเรนทร์ลอบมอง(ว่าที่)คนรักด้วยความภาคภูมิใจ แต่จะไม่พอใจสายตากรุ้มกริ่มของเหล่าช่างภาพด้านล่างเนี่ยแหละ รัวอะไรกันนักกันหนา ไม่เคยเห็นคนงามใส่ชุดเครื่องทรงนางหรือไง

“เอาล่ะค่ะมาถึงคำถามสุดท้ายของเราในวันนี้ ดิฉันอยากถามคุณอสุเรนทร์มากเลยค่ะ”

“ถามมาเลยครับ” ฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร

“อันนี้มีแฟนคลับเขาฝากถามมา ถ้าหากคุณอสุเรนทร์ได้รับพรวิเศษหนึ่งข้อ คุณจะใช่มันขออะไรและเพื่ออะไร”

“ตอบเลยใช่ไหมครับ”

“ตอบเลยค่ะ”

อสุเรนทร์กระแอมกระไอเล็กน้อย พลางเหลือบมองร่างบางชั่ววินาทีราวกับต้องการบอกให้รู้คำตอบของเขาเปรมมีส่วนเกี่ยวข้อง
“ถ้าผมได้รับพรวิเศษ”

“...”

“ผมจะขอให้คนที่ผมหมายตาเอาไว้รับรักผมสักที”

คำตอบของร่างสูงเรียกเสียงฮือฮาใหญ่จากทุกคน ขนาดพิธีกรยังแอบหันหลังไปกรี๊ดกันเอง รุ่นพี่นักแสดงคนหนึ่งถึงกับเอาศอกกระทุ้งแขนเปรมเบาๆแล้วส่งยิ้มเป็นเชิงล้อเลียน

“รับเสียสิ”

“รับอะไรพี่พจ”

“คุณเขาตามตื้อขนาดนี้ ถ้าพี่เป็นผู้หญิงพี่ตอบตกลงไปนานล่ะ”

“พี่พจ!”

“โอ๊ะโอ น้องสีดาเขินให้เป็นบุญตาพี่พจแล้ว” เปรมสะบัดหน้าหนีด้วยความรู้สึกตื้นเขิน ชอบล้อกันอยู่ได้ บ้าที่สุด!

“ช่วยบอกได้ไหมคะว่าใคร” พิธีกรยังคงถามอย่างต่อเนื่อง อาการหัวใจวายเฉียบพลันสามารถเกิดได้กับทุกคน ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นผู้ป่วยโรคหัวใจประเภทเดียว เพราะตอนนี้เปรมกำลังเสี่ยงต่อโรคนี้อยู่น่ะสิ และอาจจะช็อกตายไปเลยก็ได้ถ้าหากประธานหนุ่มขวัญใจนักข่าวและหญิงสาวทั้งหลายเกิดเอ่ยชื่อของเขาออกมา

“บอกได้หรือครับ”

“ได้สิคะ พวกดิฉันอยากรู้จะแย่อยู่แล้ว”

“คนที่ผมรัก...”

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

“ก็คือ...”

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


อย่าเชียวนะคุณทศ....




“ไม่ใกล้ไม่ไกล คนนั้นแหละครับ”




กว่างานจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน เปรมยืนรอรถอยู่หน้าโรงแรมพร้อมกับรณพักตร์ผู้ซึ่งอาสายืนเฝ้าอารักขาแมลงผู้ตัวอื่นๆที่คิดจะเข้ามาสานสัมพันธ์แทนอสุเรนทร์ ที่จริงไม่จำเป็นต้องยืนประกบก็ได้ เพราะนี่ก็ดึกมากพอให้มนุษย์ทั้งหลายได้นอนหลับพักผ่อนหลังจากเหนื่อยล้าจากงานมาทั้งวัน หากทว่าลางสังหรณ์เขานี่สิมันกระตุกแปลกๆ คล้ายส่งสัญญาณบอกเรื่องยุ่งยากบางอย่างที่อาจตามมาในไม่ช้า

“นี่เปรม พระ...พี่ผมเขาไม่เคยจริงใจกับใครคนไหนเท่าเปรมเลยนะ”

“ไม่พูดเรื่องของคุณทศสักห้านาทีได้ไหมครับอิน”

“ทำไม เขินรึไง” รณพักตร์เอ่ยแซวเพื่อนตัวสูง ประโยคของเขาทำเอานางพ่อเปรมคนงามของพระบิดาอสุเรนทร์หันมามองตาดุๆในขณะที่หน้าก็ร้อนวูบไปด้วย

“ผมเปล่าเขิน”

“ดูก็รู้ว่าเขิน จริงใจหน่อย รู้สึกดีกับพี่ผมก็ตอบตกลงไปซะ ถือเสียว่าวินวินกันทั้งสองฝ่าย”

“อิน”

“อีกอย่างจะได้ไม่มีหมาตัวไหนมาแย่งนายไปจากพี่ฉันอีก เห็นมะ แค่นี้เรื่องก็จบอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้ง”

“ผมไม่คุยกับอินแล้ว”

พอเริ่มเถียงไม่ได้ก็หันหนีลูกเดียว อาจเป็นเพราะความน่ารักและอัธยาศัยดีไม่ถือตัว พระบิดาถึงได้ติดอกติดใจจนเก็บไปนอนฝัน ละเลอเพ้อพกติดต่อกันอยู่หลายคืน

จู่ๆเสียงโทรศัพท์ของรณพักตร์ดังขึ้น เขาก้มมองดูเบอร์ปลายทางก่อนทำหน้าเซ็งๆ

“เปรม เดี๋ยวผมมานะ พอดีพ่อโทรมา ยืนตรงนี้นะ ใครมาชวนก็ห้ามไปไหน จนกว่าพี่ทศมารับ”

“อื้ม”

หลังจากเพื่อนใหม่ไปแล้ว เปรมก็ได้แต่ยืนเหงา เขี่ยเท้าเล่นไปมาระหว่างรออสุเรนทร์มารับ ในใจนึกเซ็ง รู้อย่างนี้กลับพร้อมกับคณะกรมศิลป์ของปู่เหนือกับครูจันทร์เลยดีกว่า มาปล่อยให้เขายืนรออยู่ได้ตั้งนานสองนาน ถ้าอีกห้านาทีไม่เขาจะชิ่งกลับเองแล้ว

“ยังไม่กลับอีกเหรอแม่สีดา”

เปรมอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงทักจากคนรู้จักทางด้านหลัง เขายกมือไหว้ขณะคนอายุมากกว่าเดินล้วงกระเป๋ากางเกงเข้ามาหา

“ยังหรอกครับพี่ราม รอคนมารับอยู่”

“ใครเหรอ”

“คุณทศน่ะครับ เขาบอกให้ผมกลับพร้อมกับเขา นี่ถ้ารู้ว่าช้าอย่างนี้ ไม่กลับพร้อมด้วยก็ดี”

“กลับกับพี่ไหม พี่ไปส่งเราได้นะ”

“ไม่ดีกว่าครับเกรงใจ” เปรมปฏิเสธเสียงแผ่ว

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก คนกันเอง”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ทำไม ไม่ไว้ใจพี่เหรอ” ราเมนทร์ยิ้มเศร้าพร้อมหันหน้าไปอีกทาง “พี่คนเลวในสายตาเปรมมากสินะ เปรมถึงไม่ไว้ใจพี่เลย”
ตอบแบบนี้คิดว่าเปรมจะตอบปฏิเสธได้ลงคอหรือ แค่เห็นหน้ากึ่งเศร้ากึ่งสมเพสตัวเองของราเมนทร์ยิ่งทำให้เขาลำบากใจมากขึ้นไปอีก

“ไม่ใช่นะครับ ผมไว้ใจ...ไว้ใจพี่ราม” 

“ถ้าไว้ใจก็ให้พี่ไปส่ง”

“แต่ว่า...”

“ให้พี่ไปส่งนะครับ” สายตาเว้าวอนจากร่างสูงทำเปรมอึกอัก หากตอบตกลง คนที่รอรับเขาก่อนอย่างอสุเรนทร์จะคิดยังไง แล้วถ้าตอบปฏิเสธราเมนทร์เจ้าตัวจะน้อยใจหรือเปล่า

“ไม่ต้องรอคนพรรณนั้นมารับหรอก กลับกับพี่นะเปรม...”

“ยังไม่เลิกนิสัยเดิมเลยนะ พฤติกรรมแย่งของชาวบ้านเนี่ย” อสุเรนทร์เดาะลิ้นอย่างไม่พอใจขณะยืนหอบหายใจหลังจากเร่งฝีเท้ารีบวิ่งออกมาจากลานจอดรถ “กล้าทำเรื่องสกปรกเพื่อให้แมวเจ้าเล่ห์อย่างแกดอดมาชิงปลาย่างของคนอื่น”

“ฉันไปทำเรื่องแบบนั้นตอนไหนไม่ทราบ เห็นหรือไง อย่ามาปรักปรำกันสิ”

“แล้วยางรถสี่ข้างที่โดนเจาะแบนเป็นนมหมา คงเป็นฝีมือหมีคงทำละมั้ง”

ราเมนทร์ยักไหล่เป็นเชิงไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้ แล้วคิดว่าอสุเรนทร์เชื่อ...คนที่เห็นกันมาตั้งนาน มีเหรอจะเดาแผนอีกฝ่ายไม่ออก เขาต้องลงทุนรีบวิ่งมาที่นี่แล้วปล่อยให้รณพักตร์โทรเรียกช่างมาจัดการเปลี่ยนล้อแทน คิดดูถ้าหากมาช้าอีกสักนาทีเดียว จะเกิดอะไรขึ้น 

“รักฉันมากหรือไงถึงตามมาหาเรื่องไม่เว้นวัน”

“อย่ามโนให้มากอสุเรนทร์”

“ก็มันน่าคิดนี่หว่า ถ้าแกอยากได้ฉันนักก็มาบอกกันตรง อย่าเข้าทางเปรม เพราะเปรมน่ะของฉัน แล้วฉันก็หวงมากด้วย”

“ของแก หึ เขาบอกแกหรือแกคิดไปเอง”

“ก็เห็นๆกันอยู่ ไม่ใช่เหรอราเมนทร์”

“ถ้ายังไม่ได้ยินจากปากเขาฉันก็ยังมีสิทธิ์”

“...!”

“และสิทธิ์ฉันในตอนนี้ก็เท่าเทียมกับแก อะไรที่แกเคยทำฉันก็ทำได้เหมือนกัน”

มือใหญ่ของราเมนทร์จับประคองใบหน้าเรียวให้หันมาก่อนจะก้มลงไปจูบกลีบกุหลาบบางทันที พร้อมบีบคางเล็กน้อยให้อีกคนยอมเปิดปากให้เขาได้เข้าไปฉกชิมความหวานภายใน ไฟในตาอสุเรนทร์ถึงกับลุกโชนด้วยความโกรธจัด สองมือกำแน่นก่อนพุ่งเข้าไปกระชากราเมนทร์ออกห่างจากเปรม ลมหายใจร้อนที่พุ่งพวยออกมาบ่งบอกว่าอีกไม่นานคงใกล้ถึงขีดสุด

“หวานดีเหมือนกันนะ”

“พี่ราม...ทำไม...” คนที่เพิ่งได้สติกลับคืนเอ่ยถามด้วยความสับสน มึนงง ไม่เข้าใจ สายตาเริ่มพร่ามัวเพราะตอนนี้น้ำตาของร่างบางเริ่มคลอเต็มดวงตาหวาน เมื่อครู่ทั้งตื่นตระหนกแลหวาดกลัว คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำกับเขาได้

“พี่ทำเพราะพี่รักเปรม รักไม่น้อยกว่ามันที่ยืนข้างเปรมเลยด้วยซ้ำ”

“เข้าใจเสียใหม่ราเมนทร์ แกไม่ได้รักตัวตนของเปรมอย่างที่ฉันรัก แกรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาบ้างที่ไม่เชื่อมโยงถึงคนก่อน เปรมชอบกินอะไร ชอบทำอะไรเวลาว่าง นิสัยเป็นยังไง แกรู้เหมือนที่ฉันรู้หรือเปล่า”

“...”

“ถ้าไม่รู้ นั่นแหละหมายถึงแกไม่เคยสนใจในตัวตนของเปรมด้วยซ้ำ แกสนใจและเลือกที่จะรักสิ่งที่อยู่ภายในจิตวิญญาณของเปรมต่างหาก ครั้งนี้ฉันจะทน แต่ครั้งหน้าอย่าคิดว่าจะรอด”

“หึ”

อสุเรนทร์กระชากแขนเรียวเล็กให้เดินตามทันทีที่รณพักตร์บีบแตรใส่ พลางดันอีกฝ่ายให้นอนราบไปกับเบาะรถด้านหลังก่อนจะขึ้นคร่อมกระซิบหลังหูข้างที่มีปานกุหลาบสีแดงหลบซ่อนอยู่

“บอกแล้วใช่ไหมห้ามคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันจูบ”

“คุณทศ...”


อยากได้มากกว่าจูบก็ไม่บอก เดี๋ยวคืนนี้ฉันจะจัดให้ตามที่ขอแล้วกัน



พี่ทศ ม่ายยยยยยยยยยย :z3:
ทำไมถึงทำกับน้อง โดนเด้งแน่  :ling1:
รู้สึกสงสารหนูเปรมตะหงิด สู้ๆนะลูก พี่ยักษ์เขารักมากก็เลยหึงมาก
ร่วมกันเอาใจช่วยให้พี่ทศกันนะคะ
วันนี้มาลงเร็วได้ ดีใจมากมาย
เดี๋ยวหรุ่งนี้เราจะมาต่อบทใหม่ ฝากติดตามเรื่องนี้กันตลอดจนจลบเลยนะคะ
รักทุกคนนนนน บุยยยย :c4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: oiruop ที่ 15-12-2016 16:34:41
 :ling1: :ling1: :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 15-12-2016 20:31:11
เข้ามาติดด้วยคนนะครับ  ผมเป็นอีกคนครับที่ชอบทศกันต์   จะดีจะชั่วยังไงไม่รู้  แต่เรื่องรักนี้ไม่เป็นรองใคร  รักจริงรักแท้อยู่ที่ตนนี้เลย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Asmknrt ที่ 15-12-2016 21:04:44
โอ้ยยยยย พี่ทศ เลาๆหน่อยเดี๋ยวน้องกลัว เอ๊ะ หรือหลาน หรือเหลนดี :laugh:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 15-12-2016 21:20:32
ตามอ่านไม่ทันแล้ว 55555555 โอ้ยยย คุณทศหวงหน้ามืดเลยนะคะ สงสารน้องหน่อยค่ะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 15-12-2016 23:39:26
 o13
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๖: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)14/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 16-12-2016 10:29:47
สนุกมากๆเลยค่ะ แต่งได้ดีมากลื่นไหล
อ่านแล้ววางไม่ลงเลย  ชอบบบบบ :L2:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 16-12-2016 22:48:56
บทที่ ๘
[/size]




ภายใต้แสงจันทร์สาดส่องมายังกรุงลงกา ไม่มีสิ่งใดทำให้ชาวรากษสทั้งหญิงแลชายตกอกตกใจได้เท่ากับพญารากษสกายกำยำ ผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งใต้หล้าอย่างทศกัณฐ์โอบอุ้มนางฟ้านางสวรรค์ตนหนึ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปในห้องบรรทม แขนแข็งแรงรวบร่างเพรียวบางซึ่งกำลังดีดดิ้น หวีดร้องลั่นขอความช่วยเหลือสุดชีวิต ฝ่ามืองามกระทบข้างแก้มของชายหนุ่มเต็มแรงจนเกิดเสียงสนั่นท่ามกลางความเงียบสงัด

นางข้าหลวงที่เดินขวักไขว่กันไปมาถึงกับตาค้าง เอามือทาบอก

องค์ทศกัณฐ์ผู้ยิ่งใหญ่ เกรียงไกรโดนสตรีแปลกหน้าตบ!

และยังเป็นการตบที่สั่นสะเทือนไปทั่วกรุงลงกา

นางสีดาสะบัดตัวออกจากการจับกุม วิ่งเต็มฝีเท้า สายตากวาดมองหาทางออก ทว่าวิ่งไปเพียงไม่กี่วินาทีก็ถูกแขนแกร่งคว้าเอาไว้ก่อนตรงดิ่งไปทางบานประตูสีทองแกะสลักวิจิตร ทศกัณฐ์ชี้หน้าพร้อมกับกำชับนายทวารหน้าห้อง ต่อให้เกิดเหตุร้าย ภัยพิบัติมาเยือนกรุง ก็อย่าได้ให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตส่วนพระองค์ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะนำไปบั่นคอเสียบประจานหน้าพระราชวัง
แม้นใครต่อใครต่างสงสัยแลเห็นใจสตรีงามผู้ถูกพญารากษสอุ้มหายเข้าไปในนั้น แต่ก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้นอกเสียจากหุบปากเงียบเชียบราวไม่เคยรู้เห็นถึงเรื่องนี้มาก่อน

ร่างระหงนอนแนบลงบนแท่นบรรทม พยายามแดดิ้นให้หลุดจากแขนแข็งแกร่งของมหาบุรุษกายสีเขียวมรกต หากความพยายามของนางกลับไม่เป็นผลต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อย ซ้ำยังกลับทำให้พญารากษสใช้แรงยื้อนางมากขึ้นกว่าเท่าตัว

หยาดน้ำตาทิพย์ไหลเอ่อล้นออกมาจากดวงตาหวานล้ำ ปากพร่ำแต่ชื่อพระราม พระราม...พระสวามีอันเป็นที่รักยิ่งจนคนที่คิดปลุกปล้ำถึงกับหยุดชะงัก ดวงตาเบิกโพล่งดุดันเต็มเปี่ยมด้วยโทสะที่ลุกโชนในใจ

“อยู่กับข้า ใยต้องเรียกผัวเก่าเจ้าด้วย”

“ฮึก...พี่รามเจ้าขา ช่วยน้องด้วย ช่วยสีดาด้วย”

“ข้าบอกให้หยุดเรียกชื่อมัน!”

“พี่รามเจ้าขา สีดากลัว...กลัวเหลือเกิน”

แววตาของพญารากษสอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อสบเข้ากับดวงตานวลนางที่พร่าไปด้วยน้ำตาอุ่นใส ความโกรธเกรี้ยวที่เคยมีพลันมลายหายไปจนหมด แต่ก็ยังทำเป็นวางมาดใส่

“ร้องไห้ไปใย อยู่กับข้าเจ้ามิต้องกลัวไปดอก”

“เจ้ายักษ์ใจทราม สารเลว เหตุใดจึงลักพาข้ามาที่นี่ พาข้ากลับอาศรมของข้าประเดี๋ยวนี้”

สีดาจ้องกลับไปอย่างโกรธจัด ทั้งที่น้ำตายังเอ่อนองเต็มนัยเนตร

“รีบร้อนอันใดเล่าเจ้า ที่ใดก็ล้วนคืออาศรมของเจ้าเท่านั้น วังของข้าก็คือวังของเจ้าเช่นกัน”

“มิใช่ วังของข้ามิรู้สึกถึงความเสนียดจัญไรฉะนี้ดอก”

“!”

“แลวังแห่งข้าก็ล้วนมีแต่คนดี มิเหมือนที่นี่มีแต่ยักษ์ชั่วช้า หยาบกระด้าง”

“มันจักมากเกินไปแล้วหนา!”

ทศกัณฐ์ง้างมือเหนือหัวหมายตบนางผู้ปากดีให้รู้สำนึก หากสายตาแดงก่ำที่จ้องมาอย่างไม่เกรงกลัว ทำเขาหงุดหงิดไม่น้อย
“เอาสิ ทำเลย ทำข้าเลย พอทำเสร็จแล้วฆ่าข้าเสีย เอาเลยสิทศกัณฐ์”

ทศกัณฐ์ถึงกับชาวาบ ทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง พอจะแตะต้องตัวนาง ร่างงามกลับสะบัดตัวหนีมือใหญ่ที่ตามรังควานอย่างแรง รีบกระถดกายออกห่างจากเขาไปนั่งติดขอบแท่นบรรทมราวกับรังเกียจ พญารากษสที่ไม่เคยเจอปฏิกิริยาเช่นนี้กับอิสตรีถึงกับงวยงง เพราะทุกคราต่อให้เขาได้พวกนางมาด้วยความไม่เต็มใจในตอนแรก ก็สุดท้ายก็ยอมโอนอ่อนให้เขาได้เชยชมทั้งเรือนกาย ขนาดแก้วกินรี มักกะลีผลว่าเล่นยากแล้วไซร้ ยังมิเท่ากับนางตรงหน้าแม้เพียงเศษเสี้ยวเดียว

เหตุไฉนเลยนางอัปสรผู้นี้ถึงได้เล่นตัวนักนึกเอาใจสารพัด เกลี้ยกล่อมก็แล้ว ป้อนคำหวานก็แล้ว ยังมิยินยอมร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขาอีก เริ่มโมโหแล้วหนา

“นวลน้องเอ๋ย...อย่าทำเหมือนพี่เป็นอสูรเลวร้ายได้ไหม พี่เป็นเพียงรากษสตนหนึ่งที่มีหัวใจแลความรักให้น้อง เพียงแค่พี่เห็นเจ้าในคราแรก พี่ก็รักเจ้าเหลือเกิน รักจนมิมีใจปันให้หญิงใดได้อีก พี่จักยอมทำทุกอย่างหากเจ้าต้องการ แต่ขออย่างเดียว ขอให้พี่อยู่กับเจ้ายังที่แห่งนี้"

"ข้าต้องการสิ่งใดก็ได้กระนั้นฤา”

“ใช่ มิว่าน้องขอสิ่งใด พี่จักหามาไม่หมด”

“ถ้าข้าขอให้เจ้าไปตายพ่นๆหน้าข้าเสีย จักได้ฤาไม่ล่ะพี่ท่าน” ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มเหยียด จ้องฝ่ายรากษสกลับอย่างกล้าหาญ
“ทรงโปรดอภัยเถิดทศกัณฐ์ ข้าหาได้มีจิตคิดเป็นอื่นกับพระสวามีข้าไม่ ถึงเจ้าจักพยายามสักเท่าใด ข้าก็มิคิดเหลียวมองแลปันใจให้ยักษ์ชั้นต่ำ จิตใจทรามเช่นเจ้าดอก จงสำเหนียกตัวไว้เถิด”

“สีดา เจ้า!”

“ข้าขอตายยังดีเสียกว่าตกเป็นเมียยักษ์อย่างเจ้าทศกัณฐ์!”

“หากเจ้าปรารถนาที่จักตายนัก ก็จงตายในอ้อมอกของยักษ์ชั้นต่ำผู้นี้แล้วกัน!”

ทศกัณฐ์สุดจะทนกับคำปรามาสของอีกฝ่ายจึงลงมือปลดสไบ เข็มขัดทองแลผ้านุ่งที่ห่มเรือนกายเย้ายวนชวนมองออกอย่างรวดเร็ว พญารากษสแลบลิ้นเลียฝีปากตนก่อนจะคว้าร่างเป้าหมายที่กำลังคลานหนีให้กลับมาที่เดิมพร้อมแนบกายสนิทชิดร่างเปลือยเปล่าของสีดา สองมือลูบไล้ผิวเนียนละเอียดไปมาตามแรงปรารถนา พลางโน้มตัวหาใบหน้าหวานทาบริมฝีปากกับเรียวปากอวบอิ่มของหญิงสาว บดเบียดด้วยแรงอารมณ์ที่มีมาตั้งแต่อยู่ในป่า หญิงสาวใจเต้นระทึก รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งร่าง

ไม่...เราจักยอมให้มันย่ำยีร่างกายมิได้

“ปล่อย...ปล่อยข้า”

“ไม่”

“อย่าแตะต้องตัวข้าให้เป็นเสนียด ร่างกายของข้าเป็นของพี่รามเท่านั้น ปล่อย!”

เพี๊ยะ!! เครื่องหน้าคมคายตามแบบฉบับยักษ์หันไปตามแรงตบไม่มีการยั้งมือ รู้สึกถึงกลิ่นเลือดเข้มข้นที่ปะปนอยู่ในน้ำลาย ไม่เคยมีหญิงใดกล้าตบเขามาก่อน นอกเสียจากนางมณโฑ สีดาเป็นคนที่สองและเป็นคนที่ตบแรงเสียยิ่งกว่าโดนกระบองของฤๅษีโคบุตรทุบซ้ำกันหลายรอบ เขาหันมาช้าๆ ด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เสียงขบฟันดังลั่น

“รักมากใช่ฤาไม่พระราม”

“ใช่” นางตอบปากตอบคำอย่างหนักแน่นในความรักของตน

“ข้าจักรอดู ว่าภายภาคหน้าเมื่อเจ้าได้อยู่กินกับข้าฉันท์ผัวเมียแล้วไซร้ เจ้าจักยังยึดมั่นในความรักแสนน่าสะอิดสะเอียนต่อพระรามได้อีกฤาไม่”

“..!!”

“ยอมรับเสียเถิดสีดา อย่างไรเสียวันนี้ เพลานี้ข้าก็จักนำเจ้ามาเป็นเมียให้ได้ ต่อให้เจ้ามีผัวเป็นตัวเป็นตน เกลียดข้าเทียมภูเขาไกรลาส ข้าก็หาได้ใยดีต่อมันไม่ เจ้ามิมีวันหนีข้าได้แม้แต่ความตาย”

มือใหญ่เชยคางเรียวมนให้สบตา ใบหน้าเรียวสวยหันตามแรงบีบของรากษสหนุ่ม ดวงตากลมโตใสรื่นด้วยน้ำตาแทบจะทันทีที่ได้รับความเจ็บจากแรงบีบของมือหนาที่ตรึงข้อมือนางไว้เหนือศีรษะ

 “เลว เจ้ามันเลว”

 “ด่าสิ ด่าเสียให้พอ เพราะอีกประเดี๋ยวเจ้าก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นรวญครางใต้ร่างยักษ์เลวอย่างข้า”

“ปล่อยข้า ไม่!!!”

“ข้าจักทำให้เจ้ารักข้าเสียยิ่งกว่าพระรามผัวเก่า อย่าคิดหนี เพราะยิ่งเจ้าหนี ข้าจักกระทำย่ำยีเจ้ามิให้ลุกออกไปไหนได้อีก”

“!!”

“เป็นเมียทศกัณฐ์มิได้ด้อยไปกว่าพระรามเลยแม้แต่น้อย หากเจ้าเปิดใจยอมรับข้าสักนิดจักรู้ว่าข้านั้นรักและจริงใจต่อเจ้ามากเพียงใด”

“อึก...หยุด...หยุดที!” สีดาร้องขอด้วยใบหน้าแดงซ่าน ท้องน้อยบิดเกร็งด้วยความวาบหวิวยามมือใหญ่แตะไล้สีข้างเปลือย ทำหน้าที่ก่อกวนความรู้สึกของเธอให้กระเจิดกระเจิง

พญารากษสยิ้มร้าย เป่าแสงไฟจากโคมเทียนข้างแท่นบรรทมให้ดับหลง เหลือเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์ที่สาดเข้ามาในห้องผ่านม่านไหมเท่านั้น

“ข้าจักทำให้เจ้ามีความสุขจนลืมเลือนผัวเก่าไปเลย”


ใต้แสงจันทร์วันเพ็ญเห็นเรือนร่าง
เมลืองมล่างมองรอดสอดวงแขน
จะกกกอดออดอ้อนผ่อนสำแดง
แล้วจำแลงแปลงร่างดั่งภมร


จะเคล้าคลึงคลุกเคล้าเล้าโลมเล่น
กระโจนเผ่นเล่นรักสมัครหมาย
เข้าโลมเร้าเคล้าคลุกสนุกกาย
ด้วยเป้าหมายร่ายมนต์รักสลักนาง


เป็นผึ้งภู่จู่โจมปทุมทิพย์
ทำงุบงิบแง้มเงื้อเกลื้อเกสร
พออกสั่นหวั่นไหวในอาวรณ์
แม่แง่งอนงกเงิ้นสะเทิ้นอาย


กระถดถอยค่อยลงบรรจงจูบ
ประคองลูบจูบรับกับเกสร
แม่เงื้อง้ำค้ำกาย จนเปียกปอน
แล้วหงายงอน ง้ำเงื่อเชื้อชวนชาย


ละมุนนิ้วพลิ้วไหว ในซอกหลืบ
กระเซาะสืบ สั่งสมอารมณ์ถวิล
กระซัดเซาะ สั่งซ่านหว่านระวิง
พลางฟังสิ่งที่เจ้ากระเซ้าครวญ


ดังกลีบเกลื้อเอื้ออ้าผวาร่าง
ลมพรายพร่างพราวฝนจะทนไหว
หมู่ภมรเปียกปอนเข้าซอนไซ้
พลิกพลิ้วไหวไล่ลิ้นแทบสิ้นลม


จะโอบเอื้อแอบเอื้อนเขยื้อนขยับ
ทั้งรุกรับไล่ล่า ผวาหวาม
ทั้งเร่งเร้าเข้าใส่แทบวายปราณ
เจ้าดวงมาลย์ส่ายรับขยับรอ


ดังลมล่าลมไล่ลงไหลลื่น
ฟ้าฝนครืนลื่นลั่นให้สั่นไหว
ดังลมเร้าลมแรงจนแกว่งไกว
ดังลมไล่ลมล่าผวาครวญ


ดังกิ่งโศกโยกยักขยักย้าย
โดนพระพายเยือนย่ำกระหน่ำสวน
ลมจะล่าลมจะไล่ไหวรัญจวน
กลีบลำดวนม้วนพับไปกับลม


ราวลมพัดรัดริ้วให้พลิ้วร่าง
ทรวงสร่างอ้างแอบแทบสุดฝืน
ประจงจัดกวัดแกว่งแทบแคลงคลืน
สุดจะฝืนลื่นไหลไปกับลม


พายุพัดสาดซ้ำกระหน่ำซ่า
พสุธาเลื่อนรับขยับไหว
ทั้งแรงแกว่งแรงรับขยับไกว
สุดทนไหวจนธารท่องล่องนที


พายุฝนพ้นแล้วเจ้าแก้วจ๋า
ทิพย์ธาราชุ่มฉ่ำย้ำความหวาน
โอบกอดเจ้าคลอเคล้าปทุมมาลย์
ให้ซาบซ่านคืนรักสลักใจ

-ลอยลมล่อง ท่องลมรัก-


พญารากษสทศกัณฐ์เอื้อมมือปลดพันธนาการที่เชื่อมโยงเรือนร่างทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวกันออกอย่างแผ่วเบา มือใหญ่ไล้ไปตามเส้นผมสลวยปล่อยสยายเต็มหมอนไหม ก่อนจะดึงร่างบางที่ตัวสั่นโยนเข้ามาโอบไว้แนบอกอย่างทะนุถนอม ปากรำพันปลอบโยนอยู่ข้างหูเล็ก หากทว่าเสียงสะอื้นเศร้าโศกยังคงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ

ทศกัณฐ์รู้ ในตอนนี้นางอาจจะยังจงเกลียดจงชันเขาด้วยเหตุเป็นฝ่ายศัตรูของสามี แต่เชื่อเถอะ อีกไม่นานใจของนางย่อมสั่นคลอน รักแท้ยังแพ้ใกล้ชิด หากทศกัณฐ์นอนแนบชิดสีดาทุกคืน คิดหรือนางจักมิปันใจมาให้เขาบ้าง ยังไงผัวเก่าที่อยู่ห่างไกล ถึงเด็ดสักแค่ไหนก็ต้องพ่ายแพ้ผัวใหม่ที่เร่าร้อนและอยู่ใกล้ตัวนางมากกว่าอยู่ดี

‘ข้าไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้นพระราม แต่ข้าทำเพื่อหัวใจตัวเอง’

‘...’

‘ข้าขอสาบาน ข้าจักรักแลดูแลสูเจ้าให้ดีกว่ามันผู้นั้น รักให้มากเสียยิ่งกว่ายิ่งชีวิตนิรันกาลของข้า แลหากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ตายด้วยน้ำมือเจ้าแต่เพียงผู้เดียว’[/i]









แสงสีทองยามเช้าส่องกระทบร่างบางที่นอนสลบไสลอยู่บนเตียงใหญ่ ใบหน้าหวานหลับตาอยู่อย่างนั้นประมาณชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า กระพริบตาถี่เพื่อให้สายตาปรับสภาพเข้ากับแสงอรุณ

สิ่งแรกที่รู้สึกได้ตอนลืมตาตื่นความอึดอัด ปวดหนึบไปทั้งตัว รวมถึงช่วงล่างที่ปวดร้าวราวกับมันจะแตกหักเป็นเสี่ยงทุกเวลาที่คิดขยับตัว บอกชัดเจนว่าเมื่อคืนที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง เปรมรู้สึกว่าขอบตามันร้อนผ่าว น้ำตาพานจะไหลออกมาดื้อๆ เขาผิดอะไร ทำไรถึงได้ทำกับเขาอย่างนี้ด้วย

“อรุณสวัสดิ์เปรม”

เปรมชะงักเล็กน้อยเมื่อริมฝีปากอุ่นเกือบร้อนกดจูบลงบนหน้าผากพร้อมแรงกระชับจากแขนแกร่ง เปรมกัดปาก กลั้นน้ำตา ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองสักวินาทีเดียว เขากลัว กลัวไปเสียทุกอย่าง

“เปรมครับ”

“...”

“เปรม...”

“อย่าเรียกชื่อผม”

อสุเรนทร์เชยคางเรียวให้สบตา วินาทีที่นัยน์ตาหวานสัมผัสกับนัยน์ตาสีเข้ม น้ำตาที่กักเก็บไว้ไหลทะลักออกมาอย่างไม่ขาดสาย
 
“ร้องไห้ทำไม” อสุเรนทร์ถามเสียงแผ่ว เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง

“คุณทศใจร้าย”

“เปรม ฉัน...”

“ผมทำผิดอะไร ฮึก...คุณถึง...ฮึกๆ ทำกับผมอย่างนี้”

“เปรม ฟังฉันก่อนนะ ที่ฉันทำฉันมีเหตุผล”

“เหตุผลอะไร” ดวงตาแดงก่ำตวัดมองร่างสูงอย่างตัดพ้อ “คุณกับพี่รามเห็นผมเป็นสิ่งของที่สามารถทำอะไรก็ได้อย่างนั้นใช่ไหม”

“ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด”

อสุเรนทร์โอบรัดเอวบางเข้าหาตัว ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาที่ไหลนองหน้าไม่ยอมหยุด ริมฝีปากอุ่นประทับจูบเบาๆที่ขมับ “เปรม เธอต้องฟังฉัน”

“ส่งผมกลับบ้านได้ไหมครับ”

“เปรม”

“ผมไม่อยากอยู่ที่นี่”

“อย่าดื้อได้ไหม”

“ขอร้องล่ะ ผมอยากกลับบ้าน”

ก้านนิ้วหนาปาดเช็ดคราบน้ำตาออกจากแก้มนวลทั้งสองข้างของเปรมอย่างแผ่วเบา สายตาที่ส่งมาให้เขามีแต่ความตื่นตระหนก ตกใจ กลัว เสียใจ ผสมปนเปกันไปหมด ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนทำไปตามอารมณ์ชั่ววูบจะส่งผลให้อีกฝ่ายเป็นมากถึงเพียงนี้

“ได้โปรดฟังฉัน ฉันอาจจะดูเลวร้ายในสายตาเธอ แต่ที่ฉันทำเพราะว่าฉันหวงเธอ อยากเก็บเธอไว้ข้างกาย ไม่อยากให้เธอเป็นของใครนอกจากฉัน” ยิ่งอสุเรนทร์อธิบายเปรมยิ่งสะอึกสะอื้นเข้าไปใหญ่ “ฉันรักเธอ รักเธอมาก รักยิ่งชีวิตของตัวเอง และฉันก็รู้ว่าสิ่งที่ฉันทำมันผิดและทำให้เธอเสียใจ แต่ฉันยินดีรับผิดชอบทุกอย่างทั้งร่างกายและจิตใจของเธอ”

“แต่คุณต้องทำกับผมแบบนี้ด้วยเหรอ”

“ก็ฉันไม่อยากให้เธอเป็นของใคร”

“...”

“ฉันโกรธ ฉันหึง ฉันหวงที่เธอยอมให้มันจูบ”

“ผมผิดเหรอครับ เขาเข้ามาจูบผม บังคับผม แต่ผมเป็นคนผิดงั้นหรือครับ”

“...”

“ถ้าอย่างนั้นการที่ผมยอมให้คุณจูบก็เป็นสิ่งผิดด้วยสินะ”

“เปรม...”

อสุเรนทร์ถึงกับพูดไม่ออก

“ไหนคุณสัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินถ้าหากผมไม่เต็มใจ คุณสัญญากับผมแล้วแต่คุณก็ยังทำมันเสียเอง รู้อะไรไหมครับคุณทศ คุณทำให้ความเชื่อใจของผมที่มีต่อคุณลดลง”

“...”

 “พาผมกลับบ้านเถอะ”

“ไม่เอา อย่าเป็นอย่างนี้ได้ไหม พี่ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ จะทุบจะตีจะทำอะไรพี่ก็ได้ ยอมทุกอย่าง แต่ขออย่างเดียวอย่าหนีปัญหาของเรา อย่าไปจากพี่ตอนนี้” เสียงอสุเรนทร์เริ่มสั่นเครือ ชายหนุ่มเหมือนเด็กเล็กที่โดนแย่งของเล่น ซุกศีรษะในแผ่นอกขาวผ่องของเปรม พร้อมกอดรัดร่างน้องน้อยแน่นราวไม่อยากให้จากไปไหน

“ผมอยากกลับบ้าน ได้โปรด”

“ไม่เอา พี่ขอโทษครับเปรม”

“...”

“พี่สัญญา พี่จะไม่ทำอย่างนี้อีก ขอร้อง อย่าหนีกลับบ้าน พี่เจ็บหัวใจจะแย่อยู่แล้ว”

“แล้วที่คุณทำกับผม ผมไม่เจ็บใช่ไหม”

“พี่รู้เปรมเจ็บ คำขอโทษของพี่คงไม่อาจลบล้างความผิดครั้งนี้ได้ แต่ได้โปรด...ยกโทษให้พี่สักครั้งได้ไหม ยกโทษให้กับคนเลือดร้อนที่ทำให้เปรมต้องเสียน้ำตาเพราะความเอาแต่ใจ”

“...”

“ยกโทษให้พี่สักครั้งได้หรือเปล่า”

“...”

“เปรมจ๋า ยกโทษให้พี่ทศหน่อยนะ”

เปรมเบือนหน้าหนีทั้งน้ำตา ต่อให้อีกคนออดอ้อน ขอร้องเขามากแค่ไหน แต่ความผิดก็คือความผิด ใครจะรู้หลังจากนี้อสุเรนทร์อาจทำเขาแบบนี้อีกก็ได้ เมื่อใจมันโดนทำร้ายก็คงต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาให้มันหาย ต่อให้ใครคนนั้นรักเขามากแค่ไหน แต่เรื่องบางเรื่องก็ยากที่จะยอมรับได้

เปรมรู้ ถึงแม้จะทำให้เจ็บกันทั้งคู่ก็เถอะ

“ผมยังคงยืนยันคำเดิม”

“เปรม”

“ขอเวลาผมสักหน่อยได้ไหมครับ คุณอสุเรนทร์...”




ต่อด้านล่างจ้าาาา TT
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท ครึ่งหลัง(กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 16-12-2016 23:01:57
ต่อเด้อ


ในห้องทำงานของประธานบริษัท RAVANA ซึ่งอยู่บนชั้นที่ยี่สิบสามของอาคารสูง ตลอดด้านหนึ่งของห้องกรุกระจกใสมองเห็นวิวทิวทัศน์ด้านนอกของกรุงเทพมหานครได้ไกลสุดสายตา ชายหนุ่มเจ้าของห้องยืนซุกมือลงกระเป๋ากางเกงทอดสายตามองนอกกระจก กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วเขาคงจะยืนอยู่อย่างนั้นอีกนานถ้าไม่มีเสียงเคาะประตู ตามด้วยคนเคาะผลักประตูเข้ามาโดยไม่รอรับอนุญาต

ชินกฤตในชุดสูทสุภาพ เรียบหรูสมตำแหน่งรองประธานบริษัทใหญ่เดินจรดเท้าเข้ามาวางแฟ้มสีดำลงบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ซึ่งไม่ห่างจากจุดที่เจ้าของห้องยืนอยู่

“ไม่เบื่อบ้างหรือขอรับ มองกระจกอยู่อย่างนั้น”

“...” อสุเรนทร์นิ่งเงียบยังคงยืนมองออกนอกกระจกเช่นเคย

“ท่านพี่ทศขอรับ”

ตั้งแต่อสุเรนทร์ส่งเปรมกลับไปพักที่บ้านเมื่อสองอาทิตย์ก่อน เขาก็กลายเป็นคนปิดตัวเงียบ ไม่ค่อยพูดค่อยจาเหมือนก่อน เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องนอนหรือไม่ก็ห้องทำงานจนดึกดื่น ใบหน้าหล่อเหลาที่รับการดูแลรักษามาทั้งชีวิตกลับดูทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคมที่น่าหลงใหลกลับแดงก่ำ เหม่อลอยคล้ายคนไม่ได้สติ ชินกฤตถอนหายใจ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหนักขนาดนี้

เขายังจำคืนแรกที่ร่างบางขออยู่ห่างจากพี่ชายเขาได้ คืนนั้นห้องนอนทั้งห้องระเนระนาด ข้าวของเครื่องใช้แตกหักเสียรูป กระจกบานใหญ่ที่ถูกชกเข้าไปเต็มแรงแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อยเกลื่อนพื้น มือใหญ่ด้านขวากำเศษกระจกแหลมไว้แน่นจนฝ่ามือมีเลือดไหลออกมา เสียงร้องสะอื้นแหบพร่า ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงเม็ดฝนโปรยปราย แต่กระนั้นกลับสร้างความเจ็บปวดให้กับคนที่ได้ยินได้มากโข เพราะคนตรงหน้าไม่เคยร้องไห้ ต่อให้พ่อตาย แม่เสีย กรุงลงกาโดนเผาจนมอดไหม้ หากทศกัณฐ์ พญารากษสผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตกาลไม่เคยคิดเสียน้ำตาให้ใครสักหยดเดียว

ช่างน่าเวทนานัก

“ข้าเตือนตั้งแต่ต้นแล้วว่าอย่าบุ่มบ่าม แล้วเป็นอย่างไรเล่า สีดาหายเข้ากลีบเมฆจนทศกัณฐ์ได้แต่นอนซม นั่งเศร้าโดดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียว”

“แล้วเจ้าจักให้ข้ายิ้มหน้าระรื่นรึ”

“ข้าหาได้คิดเช่นนั้น”

ชินกฤตมองอสุเรนทร์ด้วยแววตาสงสาร แม้ร่างสูงจะยืนนิ่งประหนึ่งรูปสลักก็ตาม หากองคาพยพ* ทุกส่วนสั่นระริกด้วยความพยายามอดกลั้น ความร้อนรุ่มดั่งไฟเผาและความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย มือเรียวผอมแตะท่อนแขนของผู้เป็นพี่

“ข้าอยากให้ท่านพี่ลองทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ลองเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง พิษรักแรงหวงที่ท่านมอบให้กับพ่อเปรมผู้โดนกระทำ หาใช่เป็นคนเริ่มกระทำ ท่านพี่คิดว่าเหมาะสมแล้วฤา”

“ข้ารู้ ข้าผิด แต่เจ้าจักให้ข้าทำเช่นไร ในเมื่อพ่อเปรมมิเปิดโอกาสให้ข้าได้อธิบายเลยด้วยซ้ำ” อสุเรนทร์หลับตา ถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความเหนื่อยอ่อน “หัวใจข้าร้าวระบมนัก”

ความเงียบกรายเข้ามาเยือนเนิ่นนาน อสุเรนทร์ถอยลงไปนั่งเก้าอี้ เอนศีรษะพิงซบกับพนักเก้าอี้บุนวมนุ่มแหงนมองเพดานสูงอย่างเลื่อนลอย ปล่อยให้น้องชายมองความเวิ้งว้างของทิวทัศน์ด้านนอกโดยลำพัง

*องคาพยพ= ส่วนน้อยและใหญ่แห่งร่างกาย อวัยวะน้อยใหญ่.



ทุกเพลาพร่ำเพ้อ             เดียวดาย
ยามเปลี่ยวเหงาเหลียวกาย   คู่ไร้
ชีวีเจียนวาวาย            ดับสิ้น
ใจร่ำช้ำหวนไห้             ร่ำร้องโหยหา
รักเอยเคยคลอเคล้า   บัดนี้เจ้าแรมร้างลา
ทนฝืนกลืนน้ำตา      ในอุราร้าวระบม



“มัวแต่นั่งอมทุกข์แล้วเมื่อใดจักสมหวัง”

วินาทีนั้นอสุเรนทร์หัวเราะในลำคอ ลอบถอนหายใจเบาก่อนกล่าวคำช้าๆ “แค่หน้าข้า เขายังมิใคร่มองแม้แต่นิดเดียว”
“รู้ได้อย่างไรว่าเขามิใคร่มอง”

“เพราะข้าเห็นกับตาอย่างไรล่ะ” แม้จะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ หากร่างบางกลับเลือกที่จะเบือนหน้าหนี เดินผ่านไปราวกับเขาคือธาตุอากาศ ไร้ตัวตน

“ต่างฝ่ายต่างคิดกันคนละมุมแล้วเพลาใดจักได้ลงเอยกันเสียที...เคยได้ยินฤาไม่ขอรับ ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก ท่านก็ตื้อพ่อเปรมจนกว่าเขาจักยอมใจอ่อนสิ”

“พูดง่ายแต่ทำได้ยากนักน้องข้า”

“ลองทำแล้วฤาจึงบอกว่ามันยาก...หากท่านพี่มัวแต่นั่งซึมกระทือ เพ้อถึงเขาทว่ามิยอมลงมือกระทำสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ต่อให้เป็นชาตินี้หรือชาติหน้า ท่านพี่ก็อย่าหวังจักได้เป็นคู่ชูชื่นกับพ่อเปรมเลยขอรับ”

“เจ้ากฤต!”

“ข้าพูดผิดประการใดรึ ฤาที่ข้ากล่าวมาหามีความจริงไม่”

คนพูดถอนใจลึก เถียงไม่ออก

“งั้นข้าขอถามสักนิด ท่านพี่รักพ่อเปรมฤาไม่ ฤาเป็นเพียงความลุ่มหลงอันเกิดจากความคะนึงถึงนางสีดาในกาลก่อนเท่านั้น”
อสุเรนทร์อมยิ้ม ตอบกลับไปอย่างรวดเร็วโดยแทบไม่ต้องคิดทบทวนให้มากความ

“รักสิ รักจนใจจักขาดอยู่รอนๆ”

“ระหว่างสีดากับพ่อเปรม...ท่านพี่รักผู้ใดมากกว่ากัน”

“เจ้าต้องให้ข้าตอบอีกฤา ในเมื่อหัวใจข้าแสดงมันออกชัดเจนถึงเพียงนี้”

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่ความคิดของเขาเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะยามนั่ง ยามนอน ยามตื่น หรือยามทำงาน  ยิ่งผ่านไปนานวัน ความคิดถึงต่อเปรมยิ่งเกาะกุมจิตใจจนรู้สึกแปลบในทรวง อสุเรนทร์คิดถึง...คิดถึงกลิ่มหอมเฉพาะกาย คิดถึงเสียงหวานๆที่คอยพูดเจื้อยแจ้วกับเขา คิดถึงดวงตาประกายที่ไม่ว่าจะมองนานสักเท่าใด ก็มิมีวันเบื่อ คิดถึง...และรักทุกอย่างที่เกี่ยวกับคนที่ชื่อเปมทัต หาใช่สีดา...นวลนางพิสมัยเมื่อพันปีก่อน

ณ ห้วงเวลาปัจจุบันกาลพ่อเปรมคือผู้เดียวที่อยู่ในหัวใจของพญารากษสทศกัณฐ์และอสุเรนทร์ อมาตยสูร

“สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง ถ้าท่านพี่รักเขา ท่านก็ต้องพิสูจน์ให้เขาเห็นถึงความพยายามและความจริงใจทั้งหมด น้ำหยดลงบนหินทุกวัน หินมันยังกร่อน นับประสากระไรกับใจคน มันย่อมมีวันอ่อนลงอย่างแน่นอน”

“แล้วข้าควรทำเช่นไร”

“ที่ข้าพูดมาทั้งหมดยังมิเข้าใจอีกรึ” เห็นคนเป็นพี่ส่ายหัวถึงกับกุมขมับ บทจะฉลาดก็แสนฉลาด บทจะโง่ก็โง่ดักดานแบบกู่ไม่กลับ

“มีสมองไหมขอรับ”

“อะไรของเจ้า” ก็ต้องมีสิ ถามแปลก

“อยากได้เมียกลับมาก็...คิดเอาเอง”

กว่าจะตั้งสติได้ก็หลังจากร่างผู้เป็นน้องเดินห่างไปไกล ปากขมุบขมิบด่าพร้อมคว้ากล่องทิชชู่ปาไล่หลังด้วยแรงทั้งหมด หากกลับโดนเพียงขอบประตูกระจก ร้าวไปถึงชั้นในเกือบแตก

ฝากไว้ก่อนเถิด ไอ้น้องเวรตะไล!




“โอ้ย ทำยังไงดี...ทำยังไงดี ไอ้ศักดิ์ฉันบอกแกแล้วใช่ไหมว่าอย่าลืมซื้อชิ้นนั้นมาด้วย ท่านครูปู่เหนือต้องด่าฉันแน่ๆ เพราะแก่คนเดียวไอ้ผู้ชายหน้ายับเกินวัย” หญิงสาวร่างอวบเท้าสะเอวบอกด้วยความหงุดหงิด อุตส่าห์ย้ำเป็นอย่างดี สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น
“ด่าฉันว่าแก่เลยไหม” คนขี้ลืมได้แต่กรอกตามองบนอย่างเหนื่อยหน่าย แค่เดินซื้อของท่ามกลางแดดร้อนจัด ถือของพะรุงพะรังคนเดียวก็จะตายอยู่แล้ว นึกว่ากลับมาจะได้นอนพักสบาย ที่ไหนได้ต้องมายืนทนฟังเสียงหวีดแหลมหูของแม่ผีเสื้อสมุทรประจำกรมศิลป์อีก พระพุทธเจ้าทรงไม่เมตตาเขาเลย

ศักดิ์เสียใจจรุงเบย

“เฮ้อ ไม่ได้ดั่งใจเลยจริงๆ”

“ขอโทษ ก็มันลืมจริงๆนี่หว่า ของให้ซื้อมีตั้งเยอแยะ แถมอันนั้นแกก็เขียนตัวหนังเสียเล็กกระจ้อยร่อยอย่างกับลูกมด ใครจะไปเห็นล่ะวะ”

“กลับไปซื้อมาเดี๋ยวนี้...ยังเฉยอีก อยากโดนตบก่อนใช่ไหม”

“อะไรวะ เรื่องแค่นี้เอง อ้วนแล้วยังชอบใช้กำลัง ผู้หญิงนิสัยไม่ดี”

“อ้วน? ผู้หญิงนิสัยไม่ดี? นี่แกคงอยากตายคามือฉันมากสินะ”

เปรมที่เพิ่งดินเข้ามาในห้องซ้องใหญ่ถึงกับเบิกตากว้างทันทีที่เห็นรุ่นพี่สองคนที่สนิทรองลงมาจากพี่พจ ทะเลาะกันเสียดัง มืออวบฟาดลงบนแขน หัวไหล่ กลางตัวชายร่างผอมไม่หยุดหย่อน จึงรีบวิ่งเข้ามาจับทั้งสองแยกจากกันทันที

“พี่นิด พี่ศักดิ์หยุดครับ!”

“อย่าห้ามพี่นะเปรม ถ้าเลือดที่หัวมันไม่แตก พี่จะไม่หยุด”

“พอเถอะครับ หากปู่เหนือมาเห็นเข้าจะเป็นเรื่องใหญ่เอาได้นะครับ”

“ถอยออกไปเปรม”

“เปรมช่วยพี่ด้วย อีอ้วนมันทำร้ายร่างกายพี่ โอ้ย เจ็บโว้ย!”

“ตายเสียเถอะไอ้ศักดิ์”

ด้วยแรงกำลังของเปรมที่น้อยกว่าร่างอวบอั๋นของนิด ร่างทั้งร่างจึงซวนเซไปอยู่กลางวง มือขาวที่ง้างรอไว้อยู่ก่อนหน้ากระทบเข้าซีกแก้มซ้ายเต็มแรงจนเกิดเป็นรอยมือ เปรมรู้สึกเหมือนสูญเสียประสาทการควบคุมกล้ามเนื้อของแก้มซีกซ้ายไปทั้งแถบ

เพี๊ยะ!!

ทุกคนในห้องหยุดการกระทำทุกอย่างแล้วหันมามองทางกลุ่มพวกเขา นิดประคองหน้าบวมแดงอันเกิดจากฝีมือของเธอให้เงยขึ้น มองดูผลงานยอดแย่ที่ตนเองได้ทำเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิดเต็มเปี่ยม

“นิด...เอาแล้วไง”

มือฟาดหัวไหล่ผอมอีกครั้ง ก่อนจะหันมาทางน้องชายคนโปรด เตรียมเบะปากจะร้องไห้ “เปรม พี่ขอโทษ เจ็บมากไหม พี่ขอโทษนะ” หญิงสาวละล่ำละลักบอกเสียงสั่น

“ไม่เป็นไรครับพี่นิด แค่นี้เล็กน้อย” คนโดนตบกุมแก้มยิ้มรับเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องกังวลใจ พร้อมย้ำอีกรอบ “ผมไม่เป็นอะไรจริงๆนะครับ”

“เจ็บไหม ดูสิเลือดออกด้วย”

“วันสองวันก็หาย ไม่ต้องกังวลนะครับพี่” ส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่เขารู้สึกมันเหมือนมีใครเอาก้อนอิฐมากระแทกให้หน้าชาไปทั้งแถบ รสเฝื่อนของเลือดยังคงทิ้งกลิ่นคาวคลุ้งกระจายอยู่ในโพรงปาก

“แต่พี่...”

“พี่นิด ถ้าพี่พูดอีกคำเดียวผมจะโกรธพี่นิดแล้วนะ”

“เปรมอ่า....”

“ทำไมชอบหาเรื่องเจ็บตัวให้ตัวเองตลอดเลยครับเปรม”

ร่างบางหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงที่แสนจะคุ้นเคยของใครคนหนึ่งดังจากทางด้านหลัง สัมผัสหนักของฝ่ามือใหญ่วางเหนือกลุ่มผมพร้อมขยี้เบาๆอย่างเอ็นดู เปรมรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาขึ้นมาเฉยๆ ไม่นานภาพตรงหน้าก็เริ่มพร่ามัวเพราะหยดน้ำใสบดบังการมองเห็นจนหมด....อย่าหยดตอนนี้นะน้ำตา

“เปรมครับ”

“พอดีผมจะออกไปซื้อของข้างนอก พี่นิดพี่ศักดิ์อยากได้อะไรไหมครับ” รีบยกมือปัดน้ำตาเอ่ยถามรุ่นพี่สาวน้ำเสียงสดใส ขัดกับดวงตาหมองหม่น

“เอ่อ...” นิดลอบมองรุ่นน้องสลับกับอสุเรนทร์ไปมาไม่กล้าตอบ

“ฝากซื้อของตามลิสต์นี้ที่ยังไม่ได้ขีดฆ่าให้พี่ทีนะ ขอบคุณมาก”

“ไอ้ศักดิ์ หุบปากซะ” หญิงสาวส่ายหน้า ส่งสัญญาณเตือนไม่ให้พูดมากไปกว่านี้ แต่ดูเหมือนชายร่างผอมจะไม่เข้าใจนัก

“อะไรของแกวะ ก็แค่ให้ปะ...อื้อ”

นิดหัวเราะ รวบปิดปากชายหนุ่มข้างกายอย่างรวดเร็วก่อนเจ้าตัวจะพูดจบประโยค

“ไม่เป็นไรจ๊ะเปรม เดี๋ยวพี่กับศักดิ์จะไปซื้อเอง ขอบคุณมากนะ อ่า ได้เวลาพอดี เร็วเข้าศักดิ์ แกต้องไปซื้อของกับฉัน ไปซื้อของกัน”

“เดี๋ยวสิ นี่ฉันงงอยู่นะเว้ย” ศักดิ์เซไปตามแรงจูงของอีกคนโดยไม่ได้ขัดขืนอะไร จะมีแต่ความมึนงงที่ประดับบนใบหน้าจนหญิงสาวร่างอวบต้องกระชากหูมากระซิบถึงเหตุผลที่ต้องเดินออกมา

‘คนเขาจะปรับความเข้าใจกัน แกจะยืนทำหาพระแสงอะไรไอ้โง่’

แล้วไอ้ศักดิ์ก็โดนด่าอีกตามเคย

“เปรม”

“สวัสดีครับคุณทศ” ยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมพร้อมแสร้งระบายยิ้มสดใสให้กันคนอายุมากกว่า

“คุยกันก่อนได้ไหม”

“คุณทศมีเรื่องสำคัญมากหรือเปล่าครับ ถ้าไม่สำคัญมากนัก ผมขอติดไว้ก่อนได้ไหม...พอดีนึกขึ้นได้ว่าต้องไปพบครูจันทร์”

“เปรม...”

ร่างบางเตรียมก้าวเท้าเดินตรงไปยังประตูทางออก หากร่างสูงกลับมายืนขวางดักทาง ภาพตรงหน้าคือภาพที่เปรมไม่ได้เห็นมาตลอดสองอาทิตย์เศษ มันคือใบหน้าหล่อคร้ามคมของอสุเรนทร์ ที่แม้จะซูบเซียวลงไปผิดหูผิดตาแต่ก็ยังคงความหล่อเหลาเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง

“เปรมครับ”

ใจอยากจะถอยห่าง หากวินาทีนั้นดวงตาของอสุเรนทร์คล้ายมีอำนาจบางประการแผ่ซ่านออกมาสะกดหัวใจของเขาไว้สิ้น ดุจต้องมนต์ตราอันเข้มขลังสะกดให้สรรพางค์นิ่งเฉย

มือแข็งแรงของร่างสูงค่อยยื่นสัมผัสปลายนิ้วเรียวของเปรมก่อนรั้งอีกฝ่ายเข้าหาตัวช้า...ช้า...

ไม่...ให้เป็นอย่างนี้ไม่ได้

เปรมผลักร่างสูงออกและถอยห่างออกมา “ขอโทษนะครับคุณอสุเรนทร์ ผมต้องรีบไป”

“เปรม ได้โปรดฟังพี่ก่อนได้ไหม”

“ขอตัวนะครับ” ฝืนยิ้มน้อยพร้อมปัดมือของอสุเรนทร์ออกจากการกอบกุม แต่ละย่างก้าวที่ก้าวเดินห่างออกมาช่างเชื่องช้าตรงกันข้ามกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่เร็วรัวจนปวดหนึบ เสียงฝีเท้าทางด้านหลังยังคงไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ เปรมจำต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิม เขายังไม่พร้อมเผชิญหน้า เพราะเวลาเจอหน้าอสุเรนทร์ หรือแม้แค่ได้ยินเสียง น้ำตาก็พานจะไหลเสียทุกที ไม่ใช่เปรมโกรธเกลียดอีกคนจนไม่อยากเจอหน้า แต่เขายังทำใจยอมรับกับเรื่องนั้นไม่ได้ ต่อให้มันผ่านมาสักพักแล้วก็เถอะ

“คุณทศ”

แรงกอดจากทางด้านหลังทำให้เปรมชะงักนิ่งพลางก้มมองมือใหญ่ที่กอดเขาอยู่ น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้ตั้งแต่แรกไหลลงมาไม่ขาดสาย อสุเรนทร์ก้มจูบหัวไหล่กลมมนผ่านผ้าผืนบางอย่างอ่อนโยน ปลอบประโลมหัวใจร้าวทั้งสองดวงให้คลายความเจ็บปวดและความทรมานจงหมดไป

“เปรมจ๋า...อย่าหนีห่างจากพี่อีกแล้วได้ไหม พี่คิดถึงเราจนทนไม่ไหวแล้วนะ”

“ปล่อยผมครับคุณทศ พวกพี่เขามองกันหมดแล้ว”

เปรมพยายามดีดดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของอีกคนด้วยแรงกำลังทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะขัดขืนสักแค่ไหนกลับพ่ายแพ้ต่อเรี่ยวแรงมหาศาลราบคาบ

“พี่ขอโทษ พี่รู้ว่าพี่ผิด แต่จะอภัยให้กันสักครั้งไม่ได้เหรอ”

“ฮึก...ฮือ...”

“เปรมจ๋า...” อสุเรนทร์กระชับอ้อมกอด กระซิบข้างหู “ให้โอกาสพี่ได้ปรับความเข้าใจกับน้องหน่อยได้ไหม” ชายร่างสูงกล่าวด้วยน้ำ เสียงสั่นเครือ วงแขนแกร่งโอบร่างแน่งน้อยเข้ามากอดเอาไว้แนบอกตน

“...”

“เปรมจ๋า...พี่รักเปรมนะ รักมากที่สุดในชีวิตของพี่”

“คุณทศ”

“พี่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้น้องกลับมาหาพี่ ได้โปรดเถอะ...อภัยให้ตัวพี่คนนี้สักครั้ง”

เปรมหันหน้าไปอีกด้านหนึ่ง เพราะรู้ว่าหยาดน้ำใสของตนกำลังปรี่ไหลและเขาไม่ต้องการให้ใครเห็น อสุเรนทร์จับร่างบางให้หันมาเผชิญหน้า ยกนิ้วโป้งเกลี่ยรอยรื้นที่กำลังหยดแหมะออกจากดวงตาหวานล้ำ

“ไม่ร้องนะคนดีของพี่ น้ำตาไม่เหมาะกับน้องสักนิด”

“คุณทศ...”

“กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม”

“ผม...”

เปรมครับ

คิ้วเข้มของอสุเรนทร์ขมวดมุ่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกของผู้มาใหม่ดังเข้ามาในหู คาดไม่ถึงว่าศัตรูหัวใจคนสำคัญอย่างราเมนทร์จะเข้ามาขัดขวางในเวลาที่กำลังปรับความเข้าใจกับเปรมพอดี เจ้าตัวผงกหัวทักทายอย่างเป็นมิตรก่อนส่งยิ้มอบอุ่นให้คนที่ยืนข้างกายเขา

ไม่แสดงอาการขุ่นเคือง โมโหโทสะแต่อย่างใด

แปลก...

“พี่มารับไปกินข้าวครับ เมื่อวานเราสัญญากับพี่แล้วนะว่าจะไป หรือว่าลืม... เป็นแฟนพี่ต้องไม่ขี้ลืมรู้ไหม” เสมือนหัวใจตนตกลงสู่หล่มเหวลึกล้ำคล้ายไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่ในความคิดอีกเลย นอกเสียจากประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายเน้นบอกเมื่อครู่

“เปรม” เอ่ยเสียงเบาโหวง

ไม่จริงใช่ไหม

“ได้โปรดปล่อยผมเถอะครับคุณทศ พี่รามเขารอผมอยู่

พี่รามเขารอผมอยู่ คำนี้ยังคงดังก้องในหัวอสุเรนทร์เหมือนเครื่องอัดเสียงที่เปิดทิ้งไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจเหมือนมีใครเอาเข็มแหลมๆนับหมื่นเล่มมาทิ่มแทงลงบนก้อนเนื้อที่มีขนาดเท่ากำปั้น แขนทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรงและตกลงตามแรงโน้มถ่วง อสุเรนทร์ถอยห่างทีละก้าว...ทีละก้าว เสียงหัวเราะเบาๆเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด

ร้องไห้กับเรื่องเดิม เพราะคนเดิมๆ

เข้าใจแล้ว..


“ขอโทษที่มารบกวนนะเปรม”







ฮือ :sad4: :sad4: :o12: :o12: :o12:  เพลงนี้ขึ้นมาเลย ไปเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อด๋ายยย~~~~~~~~
เหตุใดเป็นเช่นนี้เล่า พี่ทศหนาพี่ทศ  :angry2: :serius2:
เอาเปนว่าคอมเม้นให้กำลังใจกันเนอะ ใครจะด่าว่าพี่ทศก็ได้ เราเปิดทางให้ 5555
เราพึ่งจะว่างลงก็ตอนนี้แหละ
ขอให้อ่านอย่างมีฟามฉุก แล้วเจอกันใหม่เด้อค่าาา
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 16-12-2016 23:24:03
 :a5:


อ้าววว ได้ไง ???
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 17-12-2016 08:48:22
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 17-12-2016 09:38:17
เอ๊า ตกลงนี่เป็นนางสีดาหรือนางวันทองคะ แล้วคุณทศนี่จะแพ้ทุกชาติเลยเหรอคะ 55555555 ถ้าจะขนาดนี้แล้วพี่ไปเกิดใหม่เถอะค่ะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ก๊าบก๊าบ ที่ 17-12-2016 09:45:12
มาต่อเถอะครับบบบบบบ สงสารพี่ทศ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-12-2016 10:02:15
 :a5: o22

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 17-12-2016 13:44:03
เข้าใจแล้ว.. //เข้าใจแล้วก็ปล่อยให้เขาไปด้วยกันเลยเถอะ เมินนนนนนใส่เปรมไปเล้ยยยยย ไม่ต้องมาให้เห็นหน้า คิดถึงก็ต้องทนไว้ เชิญเปรมไปกับพระรามเลย ตัวอยู่กับอีกคนแต่ใจพะวงหาอีกคน เอาซี้ความอึดอัดใจนี้ ทำตัวเองนะสีดา อิอิ อินนนค่ะอินเข้าถึงบท 555555 //ถ้าไม่ปล้ำก็ไม่รู้จะได้กินเมื่อไหร่อ่ะนะ นางก็แหม่ะ~~~ปล้ำนั่นละดีแล้ว #ทีมทศ 55555 //เหี้ยยยยยสนุกกกมากๆค่ะ 8 ตอนรวด ตอนนี้ติดงอมแงม มันดีมากอ่ะ ไทยๆมีกลอน ตอนแรกก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องนี้หรอก จนต้องไปกูเกิ้ลอ่านเพิ่มเติม เรื่องราวมันเป็นไงกันแน่ว่ะ 555555 ชอบบบบบค่ะชอบบบบบ มาต่อๆรออยู่ค่ะ อยากให้ทศเมินนนจริ๊งจริง มาง้อแล้ว แต่แบบ เห๊อะ เป็นแฟน แสรดดดดดด!!! 55555
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 17-12-2016 13:57:16
สงสารพราทศของเค้า ฮื้ออออออออออ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 17-12-2016 15:46:15
ทำเอาสุไม่รู้จะเม้นอะไรเลยทีเดียวค่ะ ...

อยากเดินเข้าไปกอดคุณทศ หนูอินคะ มากอดพระบิดาหน่อยเถอะ
หัวใจพญายักษ์กำลังแตกสลาย สุทำอะไรไม่ได้ นอกจากร้องไห้ตาม ...
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 17-12-2016 17:08:52
สงสารพี่ทศ  พี่ทศ  ของๆเรายังไงมันก้ต้องเป้นของเราพี่  สู้นะอย่ายอม
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๘: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)16/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 17-12-2016 19:15:08
คือว่าไปเป็นแฟนกันตั้งแต่ตอนไหน สามวันจากเปรมเป็นอื่น เหอะๆไปเถอะ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 17-12-2016 21:20:24
บทที่ ๙
[/size]




“ท่านพี่จักยอมปล่อยให้มันเป็นเยี่ยงนี้ฤา”

ชินกฤตเอ่ยถามหลังจากคนเป็นพี่ชายขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อย เขายอมลงทุนหนีงานเอกสารต่างๆมาเพื่อรับอสุเรนทร์กลับไปเยียวยาหัวใจที่บ้านโดยเฉพาะ ใบหน้าคมเชิดสูง นิ้วโป้งยกปาดคราบน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้าตนเองลวกๆ ดวงตาที่เคยทอแสงหม่นกลับประกายแข็งกร้าว เบือนมองคนสองคนที่เดินออกมาพร้อมกัน มือที่เขาเคยจับ เอวที่เขาเคยประคอง บัดนี้กลับเป็นชายอื่นที่ได้สัมผัสมัน แล้วไหนจะรอยยิ้มมีเสน่ห์ที่ร่างบางมอบให้กับมันผู้นั้น เขาแทบกลั้นความโกรธไว้ไม่อยู่


รักมาก ก็เจ็บมาก...



ครึ่งหนึ่งหลงเหลือในอกนี้
สั่นชีวีเสียสะเทือนสะท้าน
ซ้ำโซ่ตรวนพันธนาการ
ทรมานปานทาสจะขาดใจ


หมายทะนุถนอมน้องไว้กะอก
กลับตกในมือของเขาอื่น
แสนเจ็บแสนปวดปูนปืน
พิษมาเสียบเสียววิญญาณ

-อนิจจา อังคาร กัลยาณพงศ์-


สามวันจากนารีเป็นอื่น...ดูท่าจะใช้ได้กับเขาในตอนนี้จริงๆ


“แล้วท่านพี่เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

“แล้วเจ้าเห็นข้าเป็นเยี่ยงไรเล่า ข้าก็เป็นเช่นนั้น”

“ปัดโธ่ ท่านพี่ทศ...”

“เจ้าเคยรักใครแล้วโดนแย่งไปต่อหน้าต่อตาบ้างฤาไม่”

“เหตุใดท่านพี่...” ชินกฤตขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

“นั่นคือสิ่งที่ข้าใคร่บอกเจ้า” อสุเรนทร์สูดลมหายใจลึก “เพราะข้าทนมิได้ที่จักเห็นพ่อเปรมเดินเคียงข้างไปกับชายอื่นที่มิใช่ข้า แลข้ายิ่งทนมิได้หากคนผู้นั้นคือเจ้าราเมนทร์”

ไฟที่เกิดจากภายนอก แม้นว่าจะร้อน แต่ก็สามารถดับลงได้ง่ายเพียงอาศัยน้ำรินรด หากไฟในใจนั้น...ยิ่งเพลิงแห่งโทสะลุกโหมกระหน่ำสักเท่าใด ยิ่งยากจะดับลงเท่านั้น

“ไหนท่านพี่บอกว่าจักเชื่อมั่นในความรักที่มีต่อพ่อเปรม”

“เชื่อมั่น” อสุเรนทร์เค้นเสียงหัวเราะในลำคอ “ข้ายังคงเชื่อมั่นในความรักของตนเอง แต่ข้ามิเชื่อมั่นใจหัวใจของพ่อเปรม ในเมื่อข้าลงทุนทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขากลับมา ให้ทั้งความรักแลความจริงใจ แต่สิ่งที่ข้าได้รับคือกระไร...พ่อเปรมเลือกที่จักทอดทิ้งข้าไปหามัน”

“...”

“ข้าเหนื่อยชินกฤต...เหนื่อยใจเหลือเกิน”

“อย่าเพิ่งตัดความหวังตนเองสิขอรับ พ่อเปรมยังมีใจต่อ...”

“หากมีใจต่อข้าใยถึงทำเช่นนั้น เหตุไฉนจึงปฏิเสธคำอ้อนวอนจากข้าเล่า เขาเห็นข้าเป็นตัวกระไร ตัวสำรองที่รอคอยตัวพระกลับคืนสู่อกตนกระนั้นฤา” พี่ไม่เข้าใจกับความคิดของนวลเจ้าสักนิด

“ใจเย็นเสียหน่อยเถิด”

ความเงียบย่างกรายเข้ามาเยือนคนทั้งสองเนิ่นนาน จะมีบ้างก็คือเสียงทอดถอนหายใจของอสุเรนทร์ที่ดังเป็นระยะๆนานเท่านาน สายตาคมเข้มมองทอดออกไปนอกรถอย่างเลื่อนลอย

“ฤาข้าควรตัดใจ”

“หากท่านคิดเช่นนั้น ข้าจักมิยื่นมือช่วยเหลือท่านอีก”

“...”

“คิดจักรัก ท่านต้องพร้อมที่จักรับความเจ็บปวด เสียใจวันนี้ดีกว่าบอบช้ำเพราะรักที่มากล้นในวันหน้า”

อสุเรนทร์หาได้ตอบกลับในสิ่งที่คนเป็นน้องชายเอ่ย เปลือกตาสีเข้มปิดลงด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ประดังเข้ามา

“อย่ายอมแพ้เพียงเพราะเชื่อในสิ่งที่เห็น อย่ายอมแพ้เมื่อได้ยินคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค ข้าอยากให้ท่านลองดูอีกสักหน หากครานี้พ่อเปรมยังยึดมั่นในคำตอบเดิม ข้าจักยอมเป็นคนที่ตายแทนท่านเอง”

“พิเภก เจ้า...” อสุเรนทร์เผลอเรียกน้องชายด้วยนามเดิม ชินกฤตฉีกยิ้มน้อยโชว์ลักยิ้มที่บุ๋มลึกเข้าไปด้านในข้างแก้มพลางตบบ่ากว้างเป็นเชิงให้กำลังใจ เขาเคยทำให้อสุเรนทร์โกรธจนต้องตัดพี่ตัดน้องเพราะเลือกเข้าข้างฝ่ายพระราม มาคราวนี้เขาก็ขอทำหน้าที่น้องที่ดีโดยการใช้ความสามารถที่พึงมีตั้งแต่เกิดช่วยเหลือพี่ชายให้ถึงที่สุด แม้นต้องขัดแย้งต่อโองการสวรรค์เพราะเปลี่ยนชะตากรรมของคนสองคนที่ลิขิตไว้ เขาก็จะทำ

ชินกฤตไม่เคยนึกคิดมาก่อนว่าราเมนทร์...พระรามในอดีต คนที่เขาเคยเคารพยกย่องในความดีงามและยุติธรรมจะเป็นคนร้ายกาจเช่นนี้ได้ ตัวพระยังกลับกลายเป็นคนชั่ว...ความรักหนอความรักเจ้าทำให้คนเราเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังได้ขนาดนี้เชียวหรือ น่าเสียดาย...ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน

เจ้าอิน

‘ว่ายังไงครับอากฤต โย่ว พระบิดา’

รณพักตร์ที่ถือสายฟังบทสนทนาอยู่ก่อนหน้านานเป็นสิบนาทีเอ่ยทักเสียงสดใส ชินกฤตยักไหล่ให้พี่ชายที่ยกคิ้วมองเขาอย่างเคืองๆ

“ไปบอกเจ้าอินทำไม”

‘คนอุตส่าห์จะช่วย ชิ ไม่อยากได้พ่อเปรมกลับคืนสู่อ้อมอกในเร็ววันหรือไง’

“...”

‘ฮั่นแน่ ไม่ตอบ...แสดงว่าอยากได้เขาคืนมาสินะ’

“เจ้าอิน”

‘อย่าดุลูกขอร้อง’

อสุเรนทร์ถอนหายใจ เหนื่อยใจเพราะเรื่องรัก ยังต้องมาเหนื่อยใจเพราะลูกอีกเหรอ จำต้องนั่งเงียบปล่อยให้สองอาหลายคุยกัน

“ได้ยินหมดแล้วใช่ไหมเจ้าอิน” ชินกฤตถาม

‘โอ้ย อย่าให้พูดครับ ฟังจนวางแพลนเอาคืนได้หลายข้อแล้วเนี่ย’


“หึ ดีมากหลานรัก คนฉลาด (แกมโกง) อย่างเจ้า รู้ใช่ไหมต้องทำอย่างไร”

‘เรื่องชั่วๆ เอ้ย เรื่องสนุกขอให้บอกอิน เดี๋ยวอินจัดให้’

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักจากรากษสผู้จิตใจดี รักความถูกต้องปรากฏบนใบหน้าได้เห็นกันโต้งๆ ในที่สุดอสุเรนทร์ก็ได้เห็นมุมนี้ของน้องชายบ้าง

ในเมื่อชนะด้วยความยุติธรรมไม่ได้ ก็คงต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมวัดกันดูสักตั้ง



-ร้านอาหาร-


“ไม่อร่อยหรือครับ”

ราเมนทร์เอ่ยถามหลังจากเฝ้าสังเกตพฤติกรรมฝ่ายตรงข้ามมาได้สักพัก เปรมเอาแต่เขี่ยอาหารในจานมากกว่าตักเข้าปากราวกับมันไม่น่ารับประทานเสียอย่างนั้น

“อร่อยครับ แต่ผมทานไม่ลงสักเท่าไหร่”

“เจ็บแผลตรงแก้มใช่ไหม...ดูสิเป็นรอยแดงเชียว”

มือใหญ่เอื้อมออกไปหวังจะแตะบนเนื้อแก้มนวล หากทว่าร่างบางกลับเบี่ยงหน้าหลบ ก้มหน้าก้มตาทานอาหารในจานเหมือนเดิม ราเมนทร์ได้แต่ยิ้ม ยกแก้วน้ำขึ้นมาจิบแก้เก้อ

“ชอบหาเรื่องเจ็บตัวอยู่เรื่อย คราวหน้าคราวหลังก็อย่าเอาหน้าไปรับมือใครอีกล่ะ”

“ผมก็ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนั้นเสียหน่อย” มีใครอยากโดนตบจนเลือดกบปากบ้างล่ะ คิดๆดูก็สงสารพี่ศักดิ์ไม่น้อย ที่ต้องทนรับไม้รับมือกับผู้หญิงฮาร์ดคอร์อย่างพี่นิด มือตบอันดับหนึ่งของคณะกรมศิลป์ ถ้าสองคนนี้ทะเลาะกันอีก เขาสัญญาว่าจะไม่ขอเข้าไปก้าวก่ายอีก เข็ดไปจนตาย

“อยากทานอะไรเพิ่มไหม เดี๋ยวพี่สั่งให้”

“ไม่ดีกว่าครับ ผมอิ่มแล้ว”

“แล้วอยากไปเที่ยวไหนไหม วันนี้พี่ว่าง”

“อย่าเลยครับ ผมเกรงใจ”

“แต่พี่เต็มใจ สำหรับเปรมพี่ยินดีและเต็มใจทุกอย่าง”

“ไว้วันหลังนะครับ เปรมอยากกลับบ้าน”

ราเมนทร์เริ่มรู้สึกอึดอัดเพราะอีกฝ่ายเอาแต่ปฏิเสธความหวังดีของเขาตลอด เขาค่อนข้างอิจฉาอสุเรนทร์ และยังคงจะอิจฉาอยู่ถ้าเปรมเอาแต่คิดถึงเรื่องของมัน แม้จะปฏิเสธออกมาว่าไม่ได้คิดอะไรเกินเลย แต่สายตาอาลัยอาวรณ์เวลามองไปยังเจ้ายักษ์ชั้นต่ำมันก็เป็นตัวบอกได้อย่างดี ว่าเปรมเริ่มมีใจให้กับมันเสียแล้ว

อสุเรนทร์ได้ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยได้ทำ เปรมไม่เคยแสดงอาการขวยเขิน ไม่เคยแม้กระทั่งรับความรู้สึกดีๆที่เขามอบให้สักนิดเดียว 

ได้แค่ตัว แต่ไม่ได้ใจ...มันเป็นอย่างนี้นี่เอง

“เรื่องเมื่อกี้ พี่ต้องขอโทษเราด้วยนะที่ต้องพูดแบบนั้น”

“เรื่องอะไรหรือครับ”

“เรื่องเป็นแฟนเปรมไง”

“อ่า...ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมเองต่างหากที่ต้องขอบคุณพี่ราม” ถ้าหากมาช้าอีกแม้แต่นิดเดียว เขาก็คงใจอ่อนยอมคืนดีกับอสุเรนทร์ไปเสียแล้ว

“ไม่กลัวหมอนั่นเข้าใจผิดหรือไง”

“ทำไมต้องกลัวเขาเข้าใจผิดด้วยล่ะครับ ในเมื่อผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“งั้นพี่ก็ยังมีสิทธิ์” ตวัดมองหน้าหวานแล้วอมยิ้มน้อย “ใช่ไหม”

“พี่ราม ผมไม่เล่นด้วยนะครับ”

“แล้วใครบอกว่าพี่เล่นล่ะ พี่พูดจริง”

คราวนี้เป็นเปรมเองที่นิ่งอึ้ง ปรายตามองคนเป็นผู้ใหญ่กว่าด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยฤทธิ์ไวน์ที่ราเมนทร์ดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้ ทำให้เขากล้าแสดงความรู้สึกในใจออกมาอย่างไม่เคอะเขิน ทว่ามันมากเกินจนเปรมอึดอัด

“เราก็รู้ว่าพี่ไม่เคยล้อเล่น เปรมคงไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าพี่ชอบเปรมหรอกใช่ไหม”

“เพราะผมพอจะรู้ ผมถึงไม่อยากให้พี่พูด”

“พอจะรู้ นี่พี่ยังแสดงออกไม่พออีกเหรอว่าชอบเปรมมากขนาดไหน”

“...”


“คุณคะ ใจเย็นก่อนนะคะ”

“อย่ามายุ่งกับฉัน!”

“คุณคะ”

“โอ้ย อย่ามายุ่งกับฉันได้ไหม หงุดหงิดแล้วนะ!!!”

เสียงเอะอะโวยวายของลูกค้าคนหนึ่งดังหวีดแหลมตั้งแต่หน้าประตูจนกระทั่งเข้ามาเหยียบในร้าน ทำให้เปรมใช้โอกาสนี้หลบสายตามุ่งมาด เบือนมองหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังกวาดสายตาเกรี้ยวกราดมองไปทั่วร้าน ก่อนจะหยุดตรงโต๊ะที่เปรมกับราเมนทร์นั่ง เธอเชิดหน้าสูงขึ้นกว่าเดิม เดินตรงปรี่มาทางเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนมือเรียวสวยคว้าแก้วน้ำที่รินน้ำจนเต็ม สาดใส่ไปทั่วทั้งหน้าราเมนทร์ด้วยความโกรธ มือหนายกขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง หยดน้ำไหลรินลงบนเสื้อยืดสีขาวจนเปียกชื้น

เปรมอ้าปากค้างด้วยความตกใจ

“คุณเป็นใคร”

“ยังมีหน้ามาถาม ฉันก็เป็นผู้หญิงที่ถูกคนชั่วอย่างคุณทอดทิ้งยังไงล่ะ” นัยน์ตาคู่สวยช้ำด้วยรอยน้ำตาจนแดงก่ำ เปรมลอบมองหน้าหญิงสาวสลับกับชายหนุ่มเบื้องหน้าด้วยความไม่เข้าใจ

“คุณมันก็เลว ทำฉันท้องแล้วไม่รับผิดชอบ คุณเห็นฉันเป็นอะไร นางบำเรอเหรอ!”

“เปรม ออกไปรอพี่ที่รถนะ น้องครับเคลียร์บิลด้วย”

“พูดเถียงไม่ได้ก็หนีปัญหา คุณนี่มันขี้ขลาดเสียจริง”

“เดี๋ยวก่อนนะครับคุณผู้หญิง เราไม่เคยรู้จักกันมากก่อน แม้แต่หน้าคุณผมยังไม่เคยเห็น คุณจะมาบอกว่าท้องกับผมได้ยังไง” ราเมนทร์ตอบกลับไม่สะทกสะท้านกับเหตุการณ์ตรงหน้าแต่อย่างใด

“ถ้าไม่รู้จักแล้วฉันจะยืนด่าคุณให้อับอายเป็นขี้ปากชาวบ้านเพื่ออะไร บอกตามตรงฉันทนให้คุณข่มขู่มามากพอแล้ว ฮึก...ฉันไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว”

“นี่คุณ...”

“ไม่คิดเลยคุณจะเป็นคนอย่างนี้ ตอนอยากได้ฉันก็ป้อนคำรักจนฉันหลงนึกเชื่อใจ แต่พอไม่ต้องการคุณกลับเย็นชาใส่ ฉัน...ฮึกๆ ก็เจ็บเป็นนะ”

“!!”

“ทุกคนคะ ช่วยเป็นพยานให้ฉันกับลูกด้วยนะคะ ผู้ชายคนนี้ทำฉันท้องแล้วไม่ยอมรับ ฮึก...เขาบอกให้ฉันไปทำแท้ง แต่พอฉันไม่ยอมเอาเด็กออกเขาก็พยายามขู่เข็ญให้ฉันไปทำแท้งให้ได้ แถมยังเอาเงินมาฟาดหัว บอกให้ฉันออกไปจากชีวิตเขาอีก ฉันผิดมากเลยใช่ไหมที่รักคนเลวพรรณนี้”

“โหย หน้าตาก็ออกจะดี แต่ทำไมจิตใจต่ำแบบนี้นะ”

“นั่นมันคุณราม เจ้าของจิวเวอร์รี่ร้านที่แม่เธอชอบไปอุดหนุนหรือเปล่าแพรว”

“น่าจะใช่นะฟ้า เฮ้อ หน้าตาก็ดีไม่น่าทำตัวแบบนี้เลย”

“แบบนี้ต้องแชร์ ผู้ชายเลวๆต้องโดนสังคมประนาม”



ผู้คนพากันหันมองพร้อมกับซุบซิบนินทาชายหนุ่มผู้เป็นประเด็นทำผู้หญิงท้องแล้วไม่รับผิดชอบอย่างออกรสออกชาติ ราเมนทร์ที่ตกเป็นเป้าจำเลยของสังคมถึงกับทำอะไรไม่ถูก อยากจะขอความช่วยเหลือจากอีกคน ทว่าสายตาผิดหวังที่ส่งตรงมานั้นเขาจำต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงเสีย

เปรมกำลังเข้าใจเขาผิด...

“เด็กทุกคนต้องการเกิดมาบนโลก อย่าให้เขาต้องจบชีวิตเพราะคำว่าไม่ต้องการของพ่อแม่เลยนะครับ”

“มันไม่ใช่อย่างที่เปรมคิดนะ!” ราเมนทร์ร้องเสียงหลง

“อย่าร้องไห้เลยครับคุณ ในสายตาของผมพี่รามเขาก็เป็นคนดีพอสมควร ผมเชื่อเขาจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เขาทำลงไปอย่างแน่นอน”

หญิงสาวถึงกับเม้มปากโดยที่ใบหน้ายังคงมีน้ำตาไหลอยู่ไม่ขาดสาย ก่อนเอื้อมมือไปจับมือบางของเปรมและบีบเบาๆ แม้จะไม่ได้พูดคุยกันมาก ทว่าเธอกลับรับรู้ถึงจิตใจอันดีงานของอีกฝ่าย

“ขอบคุณมากนะคะน้อง พี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว”

“ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ผมอยากให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าปรับความเข้าใจกัน ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ยังดีกว่าปล่อยให้เป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่มีวันจบเสียที...”

ดวงตาเรียวสวยเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเผลอพูดในสิ่งที่ส่งผลกับตนเองโดยตรง นึกแล้วรังแต่จะสมเพสในความงี่เง่าของตัวเอง เปรมไม่เคยรับฟังคำพูดของอสุเรนทร์ เอาแต่หนีปัญหาปล่อยให้เรื่องทุกอย่างคาราคาซังอยู่อย่างนั้น

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ เพราะน้องพี่ถึงคิดได้”

และเปรมเองก็คิดได้เช่นกัน

“คุยกันดีๆนะครับ ผมเอาใจช่วย พี่ราม...ขอบคุณสำหรับอาหาร ถ้ายังไงผมขอตัวก่อนนะครับ”

“เปรม เดี๋ยวสิครับ เปรม!”

ราเมนทร์หน้าหงิกลุกขึ้นยืน เตรียมเดิมตามร่างบางออกไป หากทว่ากลับถูกผู้หญิงแปลกหน้าที่อ้างว่าท้องกับเขาฉุดข้อมือไว้เสียก่อน

“จะรีบไปไหนคะ เรายังคุยไม่รู้เรื่องเลย”

“นี่ คุณผู้หญิง ผมไปทำคุณท้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงผมจะแอบมีวันไนท์สแตนด์กับผู้หญิงมาบ้าง แต่ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรให้มองอย่างคุณ อย่าว่าแต่ลากขึ้นเตียง เดินผ่านหน้ารถผมก็กลัวแล้ว”

“กรี๊ด อีตาบ้า กล้าว่าฉันไม่สวยเรอะ!”

“จะจับผู้ชาย ไปคิดแผนเสียใหม่”

 เสียงโทรศัพท์ส่วนตัวของราเมนทร์ดังขึ้น เขาจึงรีบหยิบจากกระเป๋าเสื้อ ก้มลงเลื่อนสัมผัสหน้าจอกดรับสายเรียกเข้าที่ไม่ต้องดูเบอร์ก็พอจะรู้ว่าเป็นใครโทรมา

“ว่ายังไงกบินทร์...หมายความว่าไง...เสียหายเท่าไหร่ รออยู่ที่นั่นก่อน ฉันจะรีบไป” รีบตัดบทสนทนา เลือกที่จะเดินออกจากร้านอาหารพร้อมกับแบงก์พันหนึ่งใบวางไว้บนโต๊ะ

หญิงสาวที่เพิ่งโดนคู่กรณีกระแทกไหล่เดินออกไปถึงกับยกยิ้มชอบใจ ปาดคราบน้ำตาบนใบหน้า สวมแว่นกันแดดแบรนด์หรูเดินหลบสายตาผู้คนไปยังห้องน้ำ ซึ่งมีชายหนุ่มร่างเล็กยืนรออยู่

“เงินของเธอฉันโอนให้แล้ว ส่วนนี่...ทิปพิเศษ”

หญิงสาวตาลุกวาว รีบคว้ากระเป๋าหนังจากแบรนด์ดังคอลเลกชันล่าสุดที่มีแค่ห้าใบในโลกมากอดแนบอกทันที เรื่องแสดงตบตาคนขอให้บอก เธอแสดงเนียนได้ยิ่งกว่านักแสดงชื่อดังบางคนเสียอีก

รณพักตร์ปรายตามองร่างสูง ศัตรูคู่อาฆาตของพระบิดาบึ่งรถจากไปจนสุดสายตา มือก็หมุนไขควงเล่นไปมา

“โชคดีกับการขับรถนะครับคุณราเมนทร์”



ตู้ม!

เสียงบางอย่างระเบิดติดต่อกันสี่ครั้งพร้อมกับแรงกระตุกของเครื่องยนต์สองสามครั้ง ราเมนทร์จำต้องหักเลี้ยวเข้าจอดข้างทางกะทันหัน ควันสีขาวส่งกลิ่นเหม็นฟุ้งพวยพุ่งทันทีที่เปิดกระโปรงหน้ารถดู คิ้วกระตุกด้วยความหงุดหงิด

แบตเตอรี่รถยนต์หมด...อะไหล่ชำรุด ล้อรถโดนเจาะจนแบนราบกับพื้นทั้งสี่ล้อ

อะไรจะบังเอิญซวยพร้อมกันได้ ถ้าไม่ใช่ฝีมือเจ้าหมาบ้าสักตัวหนึ่ง...

“ฝากไว้ก่อนเถอะ”




ต่อด้านล่างเช่นเดิม อิอิ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 17-12-2016 21:37:14
 :impress2:




แสงนวลแห่งจันทราลูบไล้ปฐพี ความมลังเมลืองทำให้บรรยากาศโดยรอบดูเศร้าซึม บนระเบียงห้องร่างเพรียวบางยืนหยัด หลับตารับสายลมที่พัดโบกโชยชายส่งกลิ่นหอมคลุ้งของดอกไม้กลางคืน ความเงียบงันมาเยือนชั่วขณะ ไม่มีสรรพสำเนียงใดๆแม้แต่เสียงกรีดปีกร่ำร้องของแมลงกลางคืน

“เปรมจ๊ะ” เสียงที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้เจ้าของชื่อตื่นจากภวังค์ความคิด หันไปมองคนเป็นแม่ที่เดินถือถาดขนมแล้วยังมีนมอุ่นแก้วใหญ่และน้ำเปล่าอีกแก้ว วางลงบนโต๊ะไม้ถัดจากชายหนุ่มไม่ไกลมากนัก มือที่มีริ้วรอยจากกาลเวลาสัมผัสไหล่เล็กแผ่วเบา ก่อนจะพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “มีเรื่องไม่สบายใจอะไรก็บอกแม่ได้นะ”

“...”

“รู้ไหม สองอาทิตย์ที่ผ่านมาทุกคนเป็นห่วงเปรมแค่ไหน ยิ่งคุณตาคุณยายลูกก็เอาแต่ถามแม่ตลอดว่าหลานชายมีเรื่องไม่สบายใจตรงไหนหรือเปล่า สีหน้าไม่สดใสร่าเริงเหมือนเคย”

“เปรมขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง”

“ไม่มีพ่อแม่คนไหนสบายใจหรอกที่เห็นลูกชายตัวเองเป็นแบบนี้ บางทีการเล่าให้คนอื่นฟังบ้างก็ดีกว่าเก็บไว้คนเดียวนะลูก”

เปรมเงียบงัน เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอึดอัดใจกับความจริงที่บังเกิดอยู่ในจิตใจตน โดยปกติเปรมจะไม่มีความลับกับคนเป็นแม่ หรือคนในครอบครัว เพราะตลอดมาเขาถือว่า แม่ คือทุกสิ่งในชีวิต เป็นทั้งผู้เลี้ยงดู สั่งสอนและเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากมาโดยตลอด

เรียวแขนตวัดโอบกอดผู้เป็นแม่ ก้มหน้าซบกับบ่าบาง หยาดน้ำใสปรี่ไหลรวยรินด้วยความรันทดสลดใจ ปล่อยความคิดความรู้สึกให้ล่องลอยไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย เนิ่นนานในความคิดกับเวลาที่ผ่าน ก่อนกล่าววาจากับมารดา

“ถ้ามีคนทำผิดต่อเปรม แม่ว่าเปรมควรให้อภัยเขาหรือเปล่า”

“เขาทำผิดมากหรือเปล่า”

“เขา...เปรมไม่รู้”

“แล้วใจเปรมอยากอภัยให้เขาคนนั้นหรือเปล่าล่ะจ๊ะ”

ร่างบางนิ่งเงียบ ดังนั้นดวงดาวจึงกล่าวต่อ...

บางทีคนเราทำอะไรไปก็ไม่รู้หรอกว่าผิดหรือถูกจนกระทั่งทำลงไปแล้ว แล้วสิ่งที่ทำไปก็กลับมาแก้ไขไม่ได้ นอกเสียจากต้องใช้สิ่งอื่นที่ดีกว่าทดแทน

เมฆหนาเคลื่อนคล้อยเข้าบดบังดวงแก้วแห่งรัตติกาล ทำให้ความสว่างมลังเมลืองหม่นลง...ภาพของอสุเรนทร์ปรากฏขึ้นกลางใจ เปรมย่อมรู้จักตัวเอง รู้ความคิดของตน เพียงแต่จนใจที่จะอธิบายให้ใครรู้ ใครเข้าใจ มันอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิดถ้าเขาจะเปิดใจยอมรับ แต่เขาทำใจไม่ได้จริงๆ เหมือนทิฐิบางอย่างค้ำคอของเอาไว้ และเขายังไม่สามารถลบมันออกไปได้

“เพราะคุณอสุเรนทร์ใช่ไหม”

ดวงดาวปล่อยให้ลูกชายร้องสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น มือหนึ่งตบหลังเบาๆ อีกมือก็คอยลูบกลุ่มผมนุ่มอย่างปลอบโยน คงอัดอั้นมานานแล้วสินะถึงได้ร้องแทบขาดใจเช่นนี้ เปรมเป็นเด็กที่ชอบคิดมากและเก็บมาคิดกังวลคนเดียวจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ทั้งๆที่ปัญญามันตอนต้นมันเล็กแค่เสี้ยว

“รักต้องรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน”

“ผมไม่ได้รักเขา”

“แต่ก็มีใจให้...ใช่หรือเปล่า”

เปรมเถียงไม่ออก เพราะมันคือความจริง

“เปรมแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำอย่างนั้นกับเปรม” เสียงของร่างบางสั่นพร่า

สัมผัสร้อนและการกระทำแสนหยาบโลนยังคงติดตรึงฝังลึกอยู่ในใจราวกับเป็นสิ่งย้ำเตือนให้เขาคิดให้ดีก่อนจะตัดสินใจว่าจะเลือกเส้นทางไหน ระหว่างเลือกที่จะให้อภัย หรือยุติเรื่องราวทั้งหมดไว้เพียงแค่นี้

“เปรมกลัวใช่ไหม”

“...”

“ลูกไม่อยากให้อภัยเขาคนนั้น เพราะกลัวถ้าเกิดขึ้นอีกครั้ง อวัยวะตรงนี้...” ทาบมือลงไปบนตำแหน่งหัวใจดวงน้อยพอดิบพอดี “คงต้องบอบช้ำมากกว่าเดิม”

แม่พูดถูก เขากลัว

“ความรักให้ทั้งความสุขและความทุกข์ เปรมต้องเลือกว่าอยากจะทุกข์ต่อไปหรือยากเริ่มต้นใหม่แล้วมีแต่ความสุข”

“แม่...”

ริมฝีปากบางดุจกลีบดอกไม้งามเม้มสนิทจนไร้สีเลือด มองหน้าคนเป็นแม่อย่างชั่งใจ

“เท่าที่แม่สังเกตมาตลอด คุณอสุเรนทร์ก็รักลูกไม่ใช่น้อย แม่อยากให้ลองเปิดใจให้กว้าง มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจา อย่าให้ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวเป็นตัวปิดกั้นความสุขของพวกลูกทั้งสองเลย” ยกมือยีหัวลูกชายอย่างเอ็นดู

“เปมทัต แปลว่าผู้ให้ความรัก เพราะฉะนั้นมันสมควรแก่เวลาแล้ว ที่ลูกจะให้ความรักตอบแทนใครสักคนบ้าง”



การแสดงละครโขนรอบปฐมทัศน์จัดขึ้นได้อย่างยิ่งใหญ่สมหน้าสมตากรมศิลปากรประจำชาติและบริษัท RAVANA ที่เป็นที่รู้จักกว้างขวางในแวดวงสังคมทั้งในและนอกประเทศ

ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติหลากหลายฐานะต่างทยอยกันเข้ามาจับจองพื้นที่ในการนั่งดูการแสดงกันอย่างคับคั่ง มีบ้างที่ยิ้มทักทายคุยกันอย่างออกอรรถรสระหว่างรอการแสดงที่จะเริ่มอีกไม่กี่สิบนาทีข้างหน้า

อสุเรนทร์เดินทางมาร่วมงานในฐานะเจ้าภาพร่วมพร้อมกับรณพักตร์และชินกฤต เขาอยู่ในชุดดูดีสีดำ เนกไทสีเดียวกัน สีหน้าชายหนุ่มในวันนี้ดูดีกว่าทุกวัน ดวงตาคมคายกวาดมองให้ช่างภาพสื่อมวลชนรัวเก็บภาพ คาดไม่น่าจะต่ำกว่าร้อยรูป ดูเหมือนการปรากฏตัวของเขาจะสร้างความอลหม่านในงานได้เป็นอย่างดี

นักธุรกิจหนุ่มที่มีพร้อมทุกอย่าง หล่อ ดูดี มีชาติตระกูล ร่ำรวย ใครจะไม่อยากตีสนิทชิดเชื้อบ้าง

“ขอบคุณที่เชิญฉันมาร่วมงานในครั้งนี้ ฉันชอบมันมากเลย”

หญิงสาวตาน้ำข้าวเมืองผู้ดีอังกฤษทำตาโตลุกวาว มองโดยรอบด้วยความตื่นเต้น เพราะทันทีที่ก้าวเข้ามาในงานเธอสัมผัสได้ถึงความน่าอัศจรรย์ใจ เหมือนได้ก้าวมาสู่อีกโลกหนึ่ง ทั้งสองฝากฝั่งของลานพระราชวังดุสิตตกแต่งด้วยโคมไฟสีเหลืองนวล ดอกไม้นานาพันธุ์ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ เสียงซออู้บรรเลงคลอไปพร้อมกับเสียงร้องหวานใส ชวนให้คนฟังอิ่มเอม รู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็นไทยที่แผ่กระจายไปทุกหย่อมหญ้า หล่อนไม่เคยเห็นงานใดจัดตกแต่งสวยงามและจรรโลงใจได้เท่างานนี้อีกแล้ว

“ผมรู้ว่ามิสซิสเรเชลต้องชอบ ถึงได้ลงทุนจัดงานนี้เป็นพิเศษยังไงล่ะครับ” อสุเรนทร์ตอบอย่างเอาอกเอาใจแขกกิตติมศักดิ์คนพิเศษ

“โอ้ว ฉันรู้สึกเหมือนฉันเป็นคนพิเศษสำหรับคุณเอามากๆ”

“ถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้นก็ถูกแล้วล่ะครับ” ชายหนุ่มยิ้มรับด้วยท่าทางสบายๆตามนิสัยตัวเอง

“หวังว่าฉันคงมีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัทของคุณโทส (ทศ) บ้างนะคะ”

“เราคงมีโอกาสร่วมงานกันแน่นอน”

“ฉันจะรอคอยการติดต่อจากคุณ”

เมื่อทีมงานพาแขกผู้ดีเมืองอังกฤษจากไปแล้ว อสุเรนทร์ถึงกับถอนหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ยกมือเสยผมที่ปรกหน้าไปทางด้านหลัง ไม่ใช่เพราะเบื่อหน่ายกับการต้อนรับแขกหลายร้อยหลายพันชีวิต หรือการใส่หน้ากากเข้าหาเหล่าไฮโซคนดัง เขาแค่คิดถึงเปรม อยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียง...พ่อยอดดวงใจที่ตั้งแต่มางานก็ได้แต่ชะเง้อมองอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ เข้าไปทักก็ไม่ได้เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะเร่งรีบเอาเสียมาก

นี่สินะที่เขาเรียกห่างเพียงเอื้อมมือ แต่เหมือนอยู่ไกลแสนไกล

“ไม่อยากไปเจอเขาหน่อยเหรอครับ” อสุเรนทร์ทำท่าลังเล หากร่างเล็กกลับคะยั้นคะยอต่อ “โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆแล้วนะ”

“เขาคงไม่อยากเจอพ่อหรอก”

“ทำไมคนแก่ชอบคิดเองเออเองตลอด อินไม่เข้าใจ”

“เจ้าอิน”

“นี่อุตส่าห์ยอมเป็นการ์ดยืนเคลียร์พื้นที่ให้แล้ว จะรออะไรอีกครับ รอให้พระอินทร์มาตัดริบบิ้นให้เหรอ”

“ไอ้ลูกบ้า เล่นของสูง อยากโดนตบกลับป่าหิมพานต์ใช่ไหม”

“ชะอุ้ย ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีแล้วครับ” รณพักตร์ยกมือไหว้ปลกๆพร้อมส่งยิ้มแหย สองมือเล็กบีบนวดไปตามไหล่กว้าง

“แล้วนี่อาเจ้าไปไหนเสียล่ะ”

“คงเข้าไปรอในงานแล้วมั้งครับ”

“คุณอสุเรนทร์ ท่านครูเหนือให้มาตามไปดูการแสดงด้านในครับ” ร่างสูงพยักหน้ารับทีมงานคนหนึ่งที่เดินเข้ามาบอก สูดลมหายใจเข้า...ปล่อยลมหายใจออกยาวเหยียด และสูดเข้าไปใหม่เพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง

“สู้ๆนะขอรับพระบิดา เดี๋ยวลูกจักจัดห้องหอ เอ้ย ห้องบรรทมให้สวยๆเพื่อเตรียมต้อนรับพระราชมารดาองค์ใหม่”

“เจ้าอิน!” ตวัดแขนรัดคอลูกชายตัวแสบ พร้อมมอบมะเหงกให้ทีหนึ่งจนคนถูกเขกหัวหน้าเบ้เพราะย่นคอหนีไม่ทัน อสุเรนทร์กวาดมองรอบด้าน เมื่อเห็นไม่มีใครสนใจตนจึงยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูเล็กเบาๆ

จัดในเรือนเล็กนะ

ทำเป็นเก๊ก สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม

พระบิดาโปรดวางใจ ถ้าไม่เสียตัวให้กันคืนนี้ไม่ต้องเรียกเขาว่ารณพักตร์



   ดวงไฟรอบห้องโถงใหญ่ที่จัดทำเป็นโรงละครโขนโดยเฉพาะค่อยๆหรี่แสงลง เป็นแสงสีเหลืองอ่อนนวลตา ม่านไหมสีแดงปักเลื่อมดิ้นเลื่อนเปิดออกด้านข้างช้าๆ

   เหล่าคนดูต่างพากันส่งเสียงฮือฮาดังระงม เมื่อเปิดฉากแรกด้วยท้องพระโรงกรุงลงกาของทศกัณฐ์ ท้องพระโรงสีแดงเพลิงประดับประดาไปด้วยลวดลายกนกงามวิจิตรแบบไทย ภาพของเสาค้ำลงลายมังกรแหวกว่ายท้องนภาสีมรกต รับกับบัลลังก์มังกรสีทองอร่าม แสงไฟส่องลงยังบัลลังก์ต้องเป็นเงามืดทะมึนของยักษาผู้เกรียงไกร ผู้ซึ่งนั่งเชิดหน้า ผายไหล่แกร่ง หัวโขนตั้งนิ่งมั่นคง ก่อนวงปี่พาทย์จะบรรเลงท่วงทำนอง

บัลลังก์มังกรส่องประกายสีทองมลังเมลืองคล้ายกำลังลุกไหม้ระยิบระยับ ยามเมื่อพญายักษ์เริ่มขยับกาย รณพักตร์ยกนิ้วโป้งชูเพื่อบอกว่ายอดเยี่ยม รู้เสียบ้างใครเป็นผู้จัด ทศกัณฐ์พญายักษาเชียวหนา ถ้าไม่มีเขาทั้งคน คงจินตนาการสรรสร้างออกมาสวยขนาดนี้ไม่ได้หรอก

 เหล่านักแสดงนับสิบนับร้อยชีวิตต่างแสดงกันอย่างเต็มที่ ท่วงท่าและความอ่อนช้อย ความแข็งแกร่ง ดึงดูดสายตาให้ผู้คนจับจ้องและลุ้นตามอยู่ตลอดเวลา เสียงดนตรีเร่งจังหวะบรรเลงเร็วขึ้น กลองทัดดังกระหึ่มถูกตีรัวในจังหวะดุดันอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ราวกับกลองศึกสงครามยามฝ่ายรากษสและฝ่ายมนุษย์ชิงชัยกัน

และฉากที่ทำให้ผู้คนฮือฮาอีกครั้งคือฉากเปิดตัวนางสีดา แสงไฟที่ส่องลงมากระทบผิวกายผ่องผุดผาดราวไม่เคยต้องลม ฟ้า อากาศ เนื้อผ้าทอเนินธัมมังสีเหลืองทองยิ่งขับผิวขาวผ่องดันความอิ่มเอิบให้กระจ่างชัดสองตาคนมองเห็น กลิ่นหอมของดอกไม้พัดไล้มาตามสายลม หลับตาสูดดมกลิ่นหวานชื่นอย่างไม่รู้จักพอ


ซึ่งพบดวงทิพย์ปทุมมาลย์      โอภาสกลับก้านสดใส
ส่งกลิ่นหอมรื่นชื่นใจ                อำไพบานแย้มขจายจร
เห็นทั้งผอบสุวรรณรัตน์            จำรัสในห้องเกสร
ดั่งมณฑาทิพย์อรชร                จับแสงทินกรพรายพรรณ
เปิดขึ้นเห็นโฉมพระธิดา            งามยิ่งนางฟ้าในสวรรค์
นรลักษณ์พักตราวิลาวัณย์         รับขวัญแล้วอุ้มนางเทวี
จากผอบสุวรรณบรรจง             รูปทรงเท่านางในราศี
แรกปฏิสนธิเป็นนารี                      สิบหกปีจำเริญนัยนา

-ชมโฉมนางสีดา - รามเกียรติ์-



รัตติกาลผ่านพ้นมายาวนานพอสมควร หากคนสองคนยังอิงแอบแนบชิด เหลือบตามองจันทราที่ยังเว้าแหว่งบนท้องนภาราตรี
สายลมพัดโบกโบยชาย ทำให้หญิงสาวร่างบางสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บของอากาศในยามดึก หากทว่า...นางกลับไม่หนาวสักนิดเมื่ออยู่ในอ้อมกอดแกร่งของชายผู้นี้

“หนาวฤาไม่น้องพี่”

“หาไม่เจ้าค่ะ”

“แสงจันทร์คืนนี้ช่างงามตานัก แต่เมื่อเทียบกับเจ้า เจ้าช่างงามตระการตากว่าเป็นไหนๆ”

“ใยพี่ท่านจึงปากหวานเช่นนี้” หญิงสาวเอียงหน้าหลบสายตาเจ้าชู้ของพญารากษส มือหยาบกร้านแตะลงบนเอวคอดกิ่ว แล้วไล้ขึ้นลง ก้มลงใช้จมูกซุกไซ้อยู่ที่ไหล่มน ระเรื่อยมาดอมดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่ซอกคอ

“พี่ทศเจ้าขา...อย่าเจ้าค่ะ”

“จ๋า” ตอบรับหากจมูกและปากยังไม่ห่างจากนวลเนื้อสาว ยิ่งดอมดมยิ่งหลงใหล

“หยุดเถิด ประเดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า”

“เห็นแล้วกระไร”

“น้องอาย”

ทศกัณฐ์หัวเราะลั่นด้วยความชอบใจ ประคองดวงหน้าแดงระเรื่อเพราะความเขินอายให้หันมอง อดไม่ได้ที่จะมอบจุมพิตหวานล้ำให้แก่นวลนาง สีดาหลับตาพริ้มรู้สึกเสียวกระสันซ่านยามริมฝีปากหนาลากผ่านไปยังที่หนึ่งอีกที่หนึ่ง ลำคอระหงย่นลงด้วยความเจ็บแปลบเสมือนโดนของร้อนทาบทับบริเวณหลังใบหู

“ทำกระไรเจ้าคะ”

“ตีตราจอง”

ร่างสูงโปร่ง หากทุกสัดส่วนแห่งองคาพยพเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งแห่งมัดกล้าม ทรงสง่าประดั่งรูปสลักมิมีสิ่งใดให้ติเตียน วงพักตร์แม้นคมเข้ม ทว่าริมฝีปากแย้มละมุน

“เจ้างามดั่งกุหลาบแรกแย้ม งามพิศยิ่งกว่ามวลกลีบผกามาศที่พานพบ พี่ขอได้ฤาไม่ หากพี่จักประทับรอยกุหลาบเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของของนวลเจ้า”

“พี่ท่าน...”

“ข้ามิอยากให้ผู้ใดได้ชิดเชยเจ้า มิอยากให้นวลน้องพรากจากอกพี่ไปอีก”

ดวงเนตรประสานดวงเนตรด้วยความรักใคร่

ร่างสูงก้มศีรษะ ริมฝีปากชิดมุมกลีบกุหลาบสีสด คลอเคลียจมูกแห่งสตรีอันเป็นที่รัก เอื้อนเอ่ยเบาๆราวกับพระพายรำเพยพัด...

“หัวใจพี่ มีแต่เจ้าเพียงผู้เดียว”

“แล้วนางมณโฑ...”

“พี่ก็รัก หากมิเทียบนวลเจ้าดอก เจ้าเป็นที่หนึ่งในใจพี่” ตลอดกาล...

“น้องจักเชื่อใจพี่ท่านได้ฤาเจ้าคะ” สีดาถามเสียงเบามิแพ้กัน ซึ่งอีกฝ่ายแสร้งถอนใจ ทว่าเพียงแค่ถอนหายใจก็สามารถทำให้นางตรงเบื้องหน้าหม่นลงได้โดยพลัน

“น้องทำให้พี่ท่านโกรธฤาเจ้าคะ หากน้อง...”

“เปล่า ข้ากำลังคิดต่างหาก ว่าข้าจักอธิบายความรู้สึกรักในหัวใจที่มากมายเกินมากมายเกินหยั่งคาดนี้ให้เจ้ารับรู้ได้อย่างไร...” ปากพร่ำพูด หากทว่าสายเนตรกลับหยั่งดวงตากลมโต ‘นิ่ง’ และ ‘นาน’ นับอึดใจ

บางครั้ง ร้อยพันมธุรสวาจา

มิอาจเทียมเท่าหนึ่งความนัยแห่งดวงตาที่สามารถกล่าววาจาแทนหัวใจ


“ข้าเป็นกษัตริย์ ย่อมตรัสมิคืนคำ”

ยื่นมือใหญ่กุมมือเรียวบางของสีดาเอาไว้เบาๆ กระจกตาสะท้อนให้เห็นเพียงเครื่องหน้างามไร้สิ่งประทินโฉม เนิ่นนานจึงพูดเบาๆ
“ข้ารักเจ้า...รักเจ้ามากเหลือเกิน”

“พี่ท่านจักรักน้องนานเท่าใดเจ้าคะ” นางผู้ถามโผเข้าหากพญารากษสแห่งกรุงลงกา พิงซบลงไปที่แผงอกกว้างแสนอบอุ่น “ตอบน้องได้ฤาไม่เจ้าคะ”

ทศกัณฐ์โอบนางอันเป็นที่รักไว้ในอ้อมกอดและบอกด้วยเสียงคล้ายกระซิบ

“ตลอดชั่วกาล...”

“ทุกภพ...ทุกชาติหรือเจ้าคะ”

“ใช่” ทศกัณฐ์ตอบโดยไม่หยุดคิดไต่ตรองแม้แต่น้อย “ทุกภพทุกชาติไป!”

“พี่ทศเจ้าขา...”

“กุหลาบดอกนี้จักเปรียบเสมือนพันธะสัญญาเราสอง หากเมื่อใดข้าแลเจ้าพบพานกันอีกครั้งในชาติพบหน้า ข้าจักได้จำได้ว่าเจ้าคือจอมขวัญของพี่คนเดียว”

สีดาพริ้มดวงเนตรลงด้วยความสุขใจ...ถึงตรงนี้นางมั่นใจแล้ว...

ทศกัณฐ์คือชายในดวงหทัยอย่างแท้จริง





“ยินดีด้วยนะพ่อเปรม”

ฝ่ามือหนักของบรมครูชั้นเอกอย่างปู่เหนือตบลงบนบ่านักแสดงตัวนางด้วยความภูมิใจ ฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันที่เรียงตัวกันสวยเกินกว่าคนวัยเดียวกัน

“แสดงได้ดีมากเลยนะจ๊ะพ่อเปรม ครูไม่มีอะไรจะติแล้ว”

“ขอบคุณทั้งปู่เหนือแล้วก็ครูจันทร์ด้วยนะครับ ถ้าผมไม่ได้รับคำสั่งสอนจากปู่กับครู ผมก็คงไม่มีวันนี้”

“อุบ๊ะ! ไอ้หนุ่มคนนี้มันช่างปากหวานนัก ฮ่าๆๆ” ชายชราหัวเราะดังสนั่นไปทั่วบริเวณหน้าลานกว้างของพระราชวัง ตั้งแต่มีพ่อเปรมเข้ามา ชีวิตเขาก็มีสีสันขึ้นเยอะ เหมือนได้หลานคนใหม่มาคอยออดอ้อน เอาอกเอาใจคนแก่ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าใกล้เพราะหน้าดุ

“แล้วนี่จะอยู่กินเลี้ยงกับพวกพี่เขาหรือเปล่าจ๊ะ”

“ยังไม่รู้เลยครับครู คงต้องขอดูก่อน”

“น้องเปรม...น้องเปรมครับ มาถ่ายรูปกับพวกพี่หน่อยเร็ว!!”

พจในชุดเครื่องทรงพระรามกวักมือเรียกรุ่นน้องคนสนิทให้เข้าไปหา บริเวณนั้นมีกลุ่มรุ่นพี่นักแสดงยืนรวมตัวไม่น้อยทีเดียว

“ไปเถอะจ๊ะ นานๆทีจะได้ถ่ายรูปรวมกัน”

“ครูกับปู่มาถ่ายด้วยกันสิครับ”

“ไม่ดีกว่าจ๊ะ เดี๋ยวครูต้องพาท่านปู่ไปนั่งสัมภาษณ์ทางด้านนู้น เชิญเราตามสบายเลยนะ ขอบคุณมากที่ชวน”


การปรากฏตัวของนางสีดาเรียกความสนใจจากแขกเหรื่อที่กำลังเตรียมกลับให้หยุดมอง พร้อมหยิบกล้องถ่ายรัวด้วยความชื่นชอบในความสามารถและหน้าตา ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นผู้ชายแสดง หากกลับเล่นบทสีดา นางผู้มีความงามและกิริยาอ่อนช้อยได้อย่างไม่มีที่ติ

“ดังแล้วอย่าลืมพี่ชายคนนี้นะน้องสีดา”

“พี่พจก็...ผมไม่ดังหรอกครับ”

“ไม่ดังอะไร ดูสิ” ชี้ไปที่กล้องตัวใหญ่ที่รัวชัตเตอร์ถ่ายเฉพาะแม่นางสีดาคนงาม “ไม่ดัง ไม่มีใครสนใจเลยเนอะ”

“บ้าน่าพี่พจ เขาถ่ายพวกพี่ต่างหาก”

“ยังจะเถียง ต้องให้พวกพี่เดินออกจากวงก่อนไหมจ๊ะ” ศักดิ์ในบทชมพูพานตัวลิงฝ่ายพระรามก็ร่วมเสวนาแซวน้องน้อยคนนี้บ้าง ทำเอาเปรมได้แต่ยู่ปาก ไม่รู้จะเถียงกลับอย่างไร

“แล้วนี่จะไปกินเลี้ยงกับพวกพี่หรือเปล่า ฟรี ไม่คิดเงินครับ”

“ไปเถอะนะเปรม นานๆได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที”

“พี่ก็ไปนะเปรม” นิดที่เพิ่งมาถึงก็เข้ามาคล้องแขนเปรมพร้อมเอาหัวถูไถอกอย่างออดอ้อน พจกับศักดิ์มองหน้ากันแล้วเบ้ปาก

“ใครชวนแก อีอ้วนนิด”

“แต่ฉันว่าไม่นิดแล้วว่ะไอ้พจ เบ้อเริ่มเลย”

“อ้วนแล้วผิดตรงไหนยะ อยากโดนตบหน้าคว่ำหรือไง!”

“อย่าทะเลาะกันนะครับ ผมขอร้อง” ไม่อยากโดนฝ่ามือพิฆาตแม่นางอีกแล้ว เจ็บปวด รวดร้าวไปหลายวัน

นิดเบ้ปาก กรอกตามองบน “เห็นแกน้องเปรม ฉันจะละหัวพวกแกไว้”

“โห เป็นพระคุณอย่างยิ่งพระมเหสี แล้วสรุปน้องเปรมไปกับพวกพี่ไหมเอ่ย”

“ไปเนอะ”

“น้องเปรมครับ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง ต่อให้ไม่หันกลับไปมอง เขาก็รู้ได้ว่าคือราเมนทร์
เสียงซุบซิบเริ่มดังอื้ออึงหนาหู การปรากฏของชายหนุ่มนักธุรกิจชื่อดังไม่ต่างจากอสุเรนทร์  เขามาพร้อมกับช่อดอกกุหลาบช่อใหญ่ ขนาบข้างด้วยผู้ชายอีกสองคนที่เปรมพอนึกออกว่าเคยเจอตอนซ้อมอยู่ครั้งหนึ่ง ได้ยินเสียงพจคุยกับศักดิ์เบาๆ ‘ดูท่าน้องเปรมคงไม่ได้ไปกับเราแล้วว่ะ’

“สวัสดีครับพี่ราม”

“ยินดีด้วยสำหรับความสำเร็จแรก” เปรมยื่นมือรับช่อดอกไม้ช่อใหญ่จากราเมนทร์จนคนแถวนั้นส่งเสียงอิจฉาเป็นทิวแถว

“ขอบคุณครับ ชอบจัง”

“ดีแล้วที่เปรมชอบ” ร่างสูงยิ้มที่มุมปากนิดๆ วางมือลงบนศีรษะทุย แล้วโยกไปมา “และคงดีกว่านี้ถ้าเปรมชอบเจ้าของดอกไม้ช่อนี้ด้วย” ขยับเท้าเข้าใกล้ร่างบางจนได้กลิ่นหอมอ่อนจากดอกกุหลาบ ไม่รู้ว่ามาจากดอกไม้ที่ร่างบางถือในมือหรือมาจากเรือนกายสะโอดสะองนี้กันแน่

“พี่ราม...”

“สถานะที่เป็นอยู่ พี่ไม่ต้องการ”

คนร่างบางนิ่งอึ้ง ไม่เอ่ยวาจา หากหันมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสงสัย เพราะไม่เข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา หากราเมนทร์ไม่มีรอที่จะกล่าวต่อ

“เปรมเป็นแฟนกับพี่นะ”

“...”

“คราวนี้พี่อยากให้เราเป็นแฟนกันจริงๆ ไม่ใช่ทำเพื่อหลอกลวงใครบางคน”

“เอ่อ...”

“ได้ไหมครับ”

คนถูกถามนิ่งงัน ความกดดันถามโถมเข้าใส่...

“น้องเปรมครับ”

ถ้าบอกว่าไม่ได้ล่ะ

ราเมนทร์ตวัดมองอสุเรนทร์ที่เดินเข้ามาสมทบร่วมวงสนทนา สองตาประกายขุ่นยามเลื่อนมองลงต่ำไปยังเอวของเปรมที่ถูกมันกอดรัดเสียแน่น ชั่ววูบหนึ่งที่เขาอยากเข้าไปซัดมันให้เลือดอาบร่าง แต่ก็ทำไม่ได้

“สวัสดีอสุเรนทร์”

“สวัสดีราเมนทร์” ทักทายพร้อมซ่อนรอยยิ้มร้ายไว้ที่มุมปาก “บริษัทมีปัญหาใหญ่ มีเวลามาดูการแสดงด้วยเหรอ หรือว่ามาเพื่อผ่อนคลายความเครียด”

“ก็...คงงั้น ไม่เจอกันนาน หวังว่า...คงสบายดีนะ”

“ที่ผ่านมาก็ไม่สบายเท่าไหร่ เพราะถูกหมามันลอบกัดจนติดพิษ แต่ตอนนี้...ใกล้หายดีแล้วล่ะ”

“แล้วนี่ยังไม่กลับอีกหรือครับ เห็นไปงานแต่ละครั้งชอบหนีกลับก่อนทุกที”

“ถ้ากลับ แล้วจะเห็นคุณกำลังขอเมียชาวบ้านเป็นแฟนหรือครับ แปลกๆ”

“คุณทศ”

อสุเรนทร์จับมือน้อยมากุมเอาไว้พร้อมลูบแก้มเนียนใสเบาๆอย่างทะนุถนอม หัวใจดวงน้อยถึงกับกระตุบวูบไหวยามสบดวงตาโหยหาของอีกฝ่าย

“พี่ขอโทษที่ปล่อยให้รอนาน กลับบ้านเรากันเนอะ อย่าถือสาคนบ้าไม่รู้ความเลย เจ้าอินโทรหาพี่กฤตหรือยัง”

“เรียบร้อยเฮียทศ” ชูโทรศัพท์โชว์ที่มีสายเรียกเข้าโชว์หราอยู่

“กลับกับพี่นะ กลับบ้านของเรา”

นัยนาของร่างเพรียวบางสั่นไหว ริมฝีปากเม้มคล้ายกำลังชั่งใจว่าควรตอบเช่นไรดี

“เปรมจ๋า”

ไม่ว่าอย่างไรน้ำเสียง สายตา ท่าทางและความรู้สึกของอสุเรนทร์ก็ทำให้ใจเขาอ่อนยวบลงทุกที คลี่ยิ้มน้อยและพยักหน้าตอบรับ

“ครับ”

ราเมนทร์แค่นหัวเราะในลำคอกับประโยคตอบรับของเปรม เขารู้ว่าเปรมชอบพอกับอสุเรนทร์ แต่แล้วไง...เขาไม่ยอมหรอก ในเมื่อเปรมยังไม่ได้บอกรักมัน เขาก็ยังมีสิทธิ์เต็มที่

อย่าคิดว่าเอาไปได้ตอนนี้ แล้วเขาจะแย่งคืนมาไม่ได้

มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก...




พอจบตอนนี้แล้ว รู้สึกถึงความรู้สึกรักนางสีดาของพี่ทศมากกก ปลื่มปริ่ม :sad4:
อย่าว่าน้องเปรมของเราน้าาา นางยังเด็ก บางทีก็ยังไม่เข้าใจความรู้สึกเหล่านี้สักเท่าไหร่
เอาเป็นว่าเขากลับมาคืนดีกันเราก็มีฟากฉุก อิอิ
ส่วนราเมนทร์ ซุ่มดูคนคนนี้กันต่อไป
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและติดตามผลงานของเรานะคะ ยัไงก็อยู่กันต่อจนเรื่องนี้ดำเนินจนถึงตอนสุดท้ายเลยนะ
คอมเม้นทุกคนเราเห็น และรู้สึกดีที่ได้อ่าน แต่ถ้ามีคนเข้ามาอ่านมากกว่านี้จะดีใจมาก  :laugh: :laugh:
วันนี้เรากต้องขอตัวก่อน ไว้เจอกันใหม่น้าาา รักทุกคน :กอด1: :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 17-12-2016 22:07:22
ต่อด้านล่าง

แต่มันสุดหน้าแล้วอ่ะ

ตามต่อ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 17-12-2016 22:16:33

ได้อ่านแล้ว...........

ชูป้ายไฟ

พี่ทศสู้ๆ

คุณรามดูเจ้าเล่ห์จัง

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 17-12-2016 22:29:00
ใจหนึ่งก็สงสารรามนะแต่ต้องเข้าใจว่าพี่ทศเรารักเปรมแบบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 17-12-2016 22:41:44
พ่อรามจ๊ะ พ่อรามปล่อยน้องเปรมเถอะจ่ะ เดี๋ยวยกอินทรชิตให้พี่แทน โอเคไหมจ๊ะ รับรองว่าบ้านเมืองจะต้องลุกเป็นไฟ นาวเบิร์นเบบี้เบิร์น
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 17-12-2016 22:51:55
เปรม  อย่าน่ารักให้มากกว่านี้ได้มั๊ย  สงสารพี่ทศ ต้องคอยมากัน  กันอะไรไม่รู้
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 17-12-2016 23:27:24
น้องเปรมลูกกกกก ถ้ามีรอบต่อไปเจ้จะจับพี่ทศทำผัวแทนละนะ ไม่อยากเห็นคนหล่อเศร้า

คุณรามอย่ามาร้ายนะคะะะ ช้าเอง นกเองจะโทษใคร
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 18-12-2016 00:42:05
คืนดีกันแล้ว(รึยัง) 555

เฮียทศแกรักของแกมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 18-12-2016 01:06:52
 o22


ราเมน ไปได้ความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน ?
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 18-12-2016 06:32:27
 :z3: รักเรื่องนี้จุง
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaekiki ที่ 18-12-2016 12:59:57
พี่ทศของน้อง ทำไมช่างเอาแต่ใจและน่ารักเยี่ยงนี้
น้องจะอยากจะซบลงที่อกของพี่เหลือเกิน (ตบกันไหมครับ:พ่อเปรม)
มาต่อเร็วๆนะคะ น้องเป็นกำลังใจให้
คุณนักเขียนทำให้คนอ่านคนนี้อินสุดๆจนอยากจะอ่านประวัติเรื่องราวของตัวละครเรื่องนี้สุดๆ

คุณเก่งมากค่ะ o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๙: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)17/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: blankmkmejj ที่ 18-12-2016 20:10:24
 :mew1:ชอบพล็อตเรื้องจังเลยค่ะ เป็นคนชอบดูโขนอยู่แล้วด้วย คุณทศขี้อ้อนมากๆอ่อนโยนกะน้องเปรมหน่อยนะคะอย่าตะบะแตกอีกล่ะ ครอบครัวน้องเปรมก็เป็นใจสุดๆ ชอบเจ้าอินค่ะเฮี้ยวมากมีการเรียกพ่อว่าเฮียทศด้วย อยากให้เจ้าอินคู่กะพระลักษณ์ค่ะ ขอมากไปไหม อากฤตก็ชอบนะคะ ยิ่งนักเขียนยิ่งชอบใหญ่เลย :hao5:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐ (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 19-12-2016 12:47:44
บทที่ ๑๐
[/size]




  สองเท้าก้าวเดินตามหลังร่างสูงโปร่งอย่างเงอะๆงะๆไปที่ลานจอดรถด้านหลังพระราชวัง บรรยากาศเงียบเชียบและอึดอัดเสียจนอยากตะโกนพูดมันออกไป แต่ก็ทำไม่ได้สักที ได้แต่มองแผ่นหลังกว้างของอสุเรนทร์ที่อยู่ใกล้นิดเดียว แต่กลับรู้สึกเหมือนว่ามีกำแพงกั้นพวกเขาสองคนให้ห่างไกลกันขึ้นเรื่อยๆ

อึดอัดชะมัด!

“เดินห่างกันเป็นโยชน์เหมือนคนไม่รู้จักกันแล้วเมื่อไหร่จะได้ปรับความเข้าใจกันล่ะครับ” รณพักตร์เดินมากระแซะไหล่เขาเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อ เปรมเหลือบมองเพื่อนร่างเล็กข้างตัวแล้วก้มหน้ายิ้มเศร้า

“ผมไม่กล้าหรอก”

“หืม ทำไมถึงไม่กล้าล่ะเปรม แค่เดินไปคุยเองนะ”

“อินไม่เป็นผมไม่รู้หรอก” ว่าแล้วก็ถอนหายใจแรง “คุณทศคงไม่ยากมองหน้าผมด้วยซ้ำ”

“ไม่อยากมองหน้า...หึ เปรมรู้ได้ไงว่าพี่ชายทศของผมไม่อยากมองหน้าคุณ”

“...”

“ไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่ามีคนแอบมองตัวเองตลอดเวลาทั้งยามซ้อมรำ กินข้าว คุยกับคนอื่น ฉีกยิ้มหัวเราะร่าเริงกับครูจันทร์ หรือแม้กระทั่งก้าวขาขึ้นรถแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน” แขนเล็กพอๆกับตัวของรณพักตร์โน้มคอเพื่อนตัวสูงให้เข้ามาใกล้ๆ “ฟังนะ ผมไม่เคยเห็นพี่ทศเป็นหนักขนาดนี้มาก่อน เขารักคุณมาก มากเอาชนิดคุณคิดไม่ถึงเชียวล่ะว่ามากเท่าไหน...แต่หากถามผม ลองให้ผมคาดเดาจากอาการเหม่อลอย น้ำตาตกใน ละเมอเพ้อพกถึงคุณแทบทุกคืน...ก็คงเทียบได้กับท้องฟ้าทั้งผืนล่ะมั้ง”

“ทะ...ท้องฟ้าเหรอครับ” อดที่จะเอ่ยถามออกมาด้วยความแปลกใจไม่ได้ “คุณทศเขาคงไม่...”

“เคยได้ยินการบินไทยรักคุณเท่าฟ้าหรือเปล่า แต่อสุเรนทร์น่ะ...รักเปรมเสียยิ่งกว่านภาลัยทั้งสามโลกรวมกันเสียอีก

เพียงแค่คำพูดเพียงหนึ่งประโยคก็ทำให้ร่างบางหัวใจเต้นแรงแทบระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ช้อนสายตามองเสี้ยวหน้าคมของอสุเรนทร์ที่กำลังคุยบางอย่างกับน้องชายอีกคนหนึ่ง ต้องยอมรับกับใจยิ่งเปรมรู้จักชายหนุ่มเบื้องหน้ามากเท่าไหร่ เขายิ่งไม่เข้าใจหัวใจตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

“ยอมรับเถอะว่าคุณไม่ได้ไม่สนใจพี่ทศ” เมื่อเห็นอีกคนเถียงไม่ออก รณพักตร์ก็พูดต่อ “เห็นเป็นผู้ชายเจ้าชู้ กะล่อน จอมเอาแต่ใจ โหด เลว ชั่วกับคนอื่น...”

“เอ่อ อิน”

ร่างเล็กถึงกับปิดปากยิ้มตาหยีเมื่อหลุดพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไป นี่ถ้าพระบิดาได้ยินต้องเตะเขากลับป่าหิมพานต์จริงๆแน่
ขออภัยพระบิดา อินไม่ได้ตั้งใจ

“แต่เอาจริงๆเรื่องรักเขาก็ไม่เคยสนใจใครเลยนอกจากคนที่ชื่อเปรม เปมทัต โรจนวาทิตย์”

“...”

“ทุกอย่างที่เขาทำไปก็เพราะรักเปรมนั่นแหละ”

เปรมเดินช้าลง นับวันคนชื่ออสุเรนทร์ยิ่งมีความสำคัญต่อชีวิตและจิตใจของเขาอย่างมากมายจนเกินคาดคำนวณได้ และเพราะรู้ เขาถึงได้ยอมสวนทางเดินย้อนกลับมาเพื่อปรับความเข้าใจยังไงล่ะ ทว่าความขี้ขลาดมันมีมากกว่าความกล้าหาญ เปรมถึงยังไม่ลงถือทำอะไรให้มันชัดเจนว่าเขาเองก็คิดไม่ต่างจากร่างสูงเท่าไหร่  แม้จะยังขุ่นเคืองสิ่งที่อสุเรนทร์ทำให้รู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง แต่เปรมพยายามยึดความประทับใจครั้งแรกแล้วเลือกที่จะมองผ่านความผิดพลาดพวกนั้นให้สักครั้งหนึ่ง  แต่ถ้าหากอีกคนยังทำผิดอีก เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถให้อภัยได้อย่างวันนี้หรือเปล่า

“อะไรที่อภัยกันได้ก็ทำเถอะครับ เรื่องทั้งหมดจะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน” รณพักตร์พูดติดตลกก่อนปลดล็อกรถคันด้านข้างเมอร์เซเดสเบนซ์ราคาแพงของอสุเรนทร์

“ถ้ารู้สึกดีกับพี่ชายผม ขอร้องล่ะช่วยคืนความสุขให้พี่ชายผมหน่อยเถิด”



หลังจากรณพักตร์และคุณชินกฤตแยกไปนั่งรถอีกคันหนึ่ง ทิ้งให้เปรมต้องอยู่กับคนร่างสูงใบหน้าเรียบนิ่งสองต่อสอง บรรยากาศในรถเงียบเชียบ ไม่ใครเอื้อนเอ่ยออกมาแม้แต่คำเพียงคำเดียว ได้ยินแค่เสียงแอร์ดังหวีดหวิวชวนให้สถานการณ์เริ่มตึงเครียดและกดดันกว่าเดิม อย่าว่าแต่พูดเลยแม้กระทั่งหายใจเปรมยังต้องทอดถอนออกมาเบาๆเพราะเกรงจะเป็นการทำให้อีกคนขุ่นเคืองใจ

“หิวอะไรหรือเปล่า” อสุเรนทร์เอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบแสนน่ารำคาญและอึดอัดใจ เพราะตั้งแต่ขึ้นมาทั้งเขาทั้งร่างบางก็เอาแต่นิ่งเงียบใส่กัน อยากพูดจา อยากคุยด้วย แต่ก็ทำได้แค่คิดเมื่อใจมันไม่กล้าพอ หากเขาพูดแล้วอีกฝ่ายไม่พูดตอบล่ะ มันไม่น่าปวดใจกว่าหรือไง

ทศกัณฐ์คนกล้าหาญหายไปไหนหมด!

“ไม่ครับ”

“แต่ถ้าหิวข้างๆมีช็อกโกแลตของเจ้าอินเหลืออยู่แท่งหนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องนั่งตัวเกร็งขนาดนั้น ฉันไม่ทำอะไรเธออีกแล้วล่ะ ทำตัวตามสบาย”

“คุณทศ...”

อสุเรนทร์พยายามทำเป็นไม่สนใจเสียงแผ่วประดั่งใบไม้ไหว เขายังคงนั่งนิ่งปลดเกียร์ว่างดึงเบรกมือเมื่อติดสัญญาณไฟจราจร โดยไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนกำลังน้อยใจอยู่ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นลงมาบนหน้าตัก เปรมปาดคราบเหล่านั้นแล้วหันไปเผชิญหน้ากับร่างสูงด้วยแววตาแสดงถึงความเสียใจและตัดพ้อ

“ถ้ารถไม่ติดคงไปถึงบ้านเธอภายในครึ่งชั่วโมง ทนหน่อยนะ”

“คุณทศ ผมไม่...”

“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะรีบ...”

“คุณหยุดพูดแล้วฟังผมสักทีได้ไหม!”

อสุเรนทร์ตกใจเล็กน้อยที่ร่างบางตะคอกใส่เขาแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน พร้อมยกกำปั้นน้อยทุบไหล่เขาพัลวันอย่างต้องการระบายความอัดอั้นในใจทั้งหมด เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเปรมที่แล่นดังเข้ามาทำให้เขาเกิดความรู้สึกผิด  สองมือหักพวงมาลัยเลี้ยวจอดเข้าข้างทางเปลี่ยวผู้คนทันทีเมื่อเด็กดื้อคิดจะเปิดประตูขณะรถยังคงวิ่งอยู่

“เปรม!”

“จอดด้วย ผมจะลง”

“อย่าทำอย่างนี้”

ดูเหมือนคนร่างบางจะไม่ได้สนใจคำพูดของเขาแม้แต่น้อย ทันทีที่รถจอดสนิทเปรมก็รีบเปิดประตูแล้วก้าวลงจากรถอย่างรวดเร็ว เดือดร้อนถึงอสุเรนทร์ที่ต้องวิ่งลงไปตาม พร้อมคว้าแขนเรียว กระชากให้หันกลับมาปะทะแผ่นอกแกร่งของตน แม้คนตัวเล็กกว่าจะพยายามดิ้นออกสุดแรงเกิด แต่มีหรือจะสู้แรงยักษ์อย่างเขาได้

“ปล่อยผม”

“ชู่ว...ไม่ร้องนะ พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ” อสุเรนทร์ลูบแผ่นหลังอันสั่นเทาจากการร้องไห้อย่างเบามือ

“ฮือ...อย่าทำแบบนี้ได้ไหม ผม ฮึกๆ...อึดอึดจะบ้าตายอยู่แล้ว”

“โอเค พี่ไม่ทำแล้วครับ หยุดร้องไห้นะ น้ำตาไม่เหมาะกับเราเลยรู้ไหม”

มือใหญ่ประคองใบหน้านวลสวยหวานที่ยังมีคราบน้ำตาอาบอยู่สองแก้ม  เกลี่ยปลายนิ้วเช็ดมันอย่างทะนุถนอม แต่ทว่าเจ้ากรรม...ยิ่งเช็ดก็ยิ่งทำให้เปรมอยากร้องไห้ออกมามากขึ้น

“อย่าร้องนะน้องน้อยของพี่”

“ผมขอโทษที่เอาแต่หนีคุณ ผมรู้ทุกอย่างจากอินหมดแล้ว แล้ว ฮึก...ฮึก...ผมก็รู้สึกผิดเอามากๆที่ทำอย่างนั้นกับคุณ เป็นเพราะผม...ผมไม่ฟังคำของคุณ คุณถึงเจ็บปวด”

“...”

“ไม่เอาแล้ว ไม่อยากเป็นอย่างนี้แล้ว ผมรู้สึกไม่สบายใจเลย ฮึกๆ ผมเป็นคนไม่ดีมากใช่ไหม”

“เปรมเป็นเด็กดีสำหรับพี่เสมอ เรื่องทุกอย่างพี่ผิดเอง ผิดที่ทำลายความเชื่อมั่นของเปรมเพียงเพราะความหึงหวงอันโง่เง่า”

“ผมเองก็ผิดที่ทำให้คุณต้องเสียน้ำตาเพราะคนอย่างผม คุณเจ็บมากหรือเปล่าครับ ผมขอโทษนะ”

“เด็กน้อยเอ๋ย ฉันไม่เป็นไร” อสุเรนทร์อมยิ้ม ไม่รอช้ารีบดึงคนร่างบางมากอดพร้อมเอียงใบหน้าเข้าหากลุ่มผมนุ่มและจูบประทับที่กลางศีรษะทุย เปรมฝังหน้าลงกับลาดไหล่กว้างปล่อยให้น้ำตาไหลลงซึมซับผ่านเสื้อ บทจะน่ารักก็แสนน่าฟัด บทจะดื้อก็เล่นเอาหัวใจยักษ์ร้าวระบมมิใช่น้อย

“เปรมขอโทษ”

“ไม่ต้องขอโทษแล้ว พี่เข้าใจเปรมนะ”

“ผม...”

ยังไม่ทันได้เอ่ยคำใดทั้งสิ้น ริมฝีปากอุ่นร้อนกลับทาบทับปิดกลีบกุหลาบสีแดงเรื่ออย่างรวดเร็วและเนิ่นนาน...ก่อนจะไล้ขึ้นไปประทับบนหน้าผากมน เนื้อแก้มนวลทั้งของข้าง เปลือกตาทั้งซ้ายและขวา ปลายจมูกรั้น เรื่องสั่งให้คนหยุดพูดอสุเรนทร์ถนัดนัก ยิ่งพ่อจอมดื้อในอ้อมกอดเขายิ่งถนัดเข้าไปใหญ่

“ถ้าพูดอีกพี่จะไม่หยุดที่จูบแล้วนะเปรม” โดนดักทางอย่างนี้แล้วใครจะกล้าพูดอีก เปรมเม้มปากหลุบสายตาลงต่ำไม่กล้ามองสบสายตาคู่คมของคนตัวโตที่กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจดวงน้อยสั่นไหวและขัดเขิน

อสุเรนทร์อดยิ้มออกมาไม่ได้กับความน่ารัก น่าเอ็นดูของคนในอ้อมกอด ความดีใจมันแล่นขึ้นบนใบหน้าฉีกยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ในที่สุดเปรมก็กลับมาหาเขา

“ต่อจากนี้ถ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่เข้าใจเราต้องคุยกันก่อน ห้ามหนีหรือหลบหน้ากันเป็นอีกอันขาด”

“ผมจะไม่ทำอีก” คนร่างบางส่ายศีรษะน่าเอ็นดู

“พี่รักเปรมนะ”

“รู้แล้ว”

“รู้แล้วแต่ก็เห็นชอบหลบหน้าพี่ทุกที น้อยใจนะรู้ตัวหรือเปล่า”

“ก็...ผมยังทำใจรับเรื่องนั้นไม่ได้นี่”

“พี่ทำเพราะรัก พี่หวงเรา...อีกอย่างมันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่จะทำกันไม่ใช่หรือไง” ว่าเสร็จยังมีหน้ามายักคิ้วหลิ่วตาใส่ มนุษย์ปกติที่ไหนเขาทำอย่างนั้นกับคนที่กำลังอยู่ในขั้นดูใจกันอยู่เล่า

“ไม่ต้องมาพูดเลย”

“คนรักกันทำด้วยกันก็ไม่แปลก”

“หยุดพูดเลยนะ” เปรมแหว เอามือปิดหูหลับตาปี๋

“ทำไมล่ะ ไม่รักพี่เหรอ” ใบหน้าหล่อเหลาฉายแววจริงจัง ก้มหน้ากระซิบใกล้ๆ “ไม่รักพี่ทศแล้วจริงๆเหรอ”

“คุณทศ!”

“เรียกพี่ทศก่อน ไม่งั้นไม่หยุดถามจริงด้วย แล้วจะตะโกนบอกให้ทุกคนรู้ว่าเปรมเป็นเด็กนิสัยไม่ดี ไม่ยอมเชื่อฟังผู้ใหญ่”

“ฮื่อ...” เปรมครางเมื่อโดนขัดใจ “คุณทศอ่ะ”

“เรียกก่อน”

“...”

“โอเค ไม่อยากเรียกก็ไม่เป็นไร...” อสุเรนทร์แสร้งตีหน้ายิ้มเศร้าหลอกเด็ก ก้มหน้ามองลงกับพื้นราวน้อยอกน้อยใจที่อีกคนไม่ยอมเรียกตนว่าพี่ สุดท้ายประธานบริษัทหนุ่มก็ตีบทเศร้าเคล้าน้ำตาสำเร็จ เปรมทำปากพองลมก่อนจะเอามือดึงชายเสื้อสูทเพื่อให้ร่างสูงหันมาสนใจ

“ผมยอมแล้วครับ...พี่ทศ”

“เมื่อกี้พูดอะไรนะ ไม่ได้ยินเลย” แกล้งทำเป็นหูบกพร่อง ยื่นหน้าจูบปากจิ้มลิ้มแล้วถามซ้ำอีกครั้งจนเปรมต้องรีบพูดขึ้นอีกหน

“พี่ทศ”

ขโมยจูบอีกรอบเสียเลย

“ไม่ดังเลยอ่ะ ไม่พอใจด้วย ทีเรียกไอ้ราเมนทร์ว่าพี่รามยังดังกว่าตั้งเยอะ”

เปรมไม่รู้จะทำยังไง ตัดสินใจเขย่งปลายเท้าจนริมฝีปากบางอยู่ในระดับเดียวกับใบหูแดงเถือกนั่น แล้วกระซิบเสียแผ่ว “ได้ยินชัดหรือยังครับพี่ทศ เปรมไม่อยากพูดแล้วนะ เปรมอาย”

คุณพระทรงโปรด!!!

อยากจะถอยห่างไปให้ไกลแสนไกล นึกถึงตอนริมฝีปากเฉียดติ่งหูไปพร้อมกับลมร้อน อสุเรนทร์ถึงกับกลืนน้ำลายขนลุกซู่ สติแตกกระเจิงแทบคุมอารมณ์ดิบเถื่อนของตัวเองไม่อยู่ ยิ่งได้เห็นนวลน้องคนงามเกิดอาการขวยเขิน หน้าแดงซ่านแสนจรรโลงใจ เลือดในกายยิ่งพลุ่งพล่านสูบฉีดรุนแรงขึ้น

โอย.........ยุบหนอ...พองตัวหนอ เอ้ย อย่าเพิ่งพองตัวหนอ ใจเย็นไว้หนอ....

“พี่ทศครับ”

“ค...ครับ” อสุเรนทร์สะดุ้งโหยงเมื่อปลายนิ้วของอีกคนแตะลงที่ข้อมือ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดออกมาเกราะพราวบนหน้าผากและขมับอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“ไม่สบายหรือครับ เหงื่อออกเยอะเชียว”

“เอ่อ...พอดีพี่ร้อนน่ะ แต่ไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอกนะ ล...แล้วนี่ก็ดึกพอสมควร พี่ว่าพี่รีบไปส่งเปรมที่บ้านดีกว่า เดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ท่านจะเป็นห่วงเอา”

ห่วงตัวเองด้วยแหละ หากเผลอกระทำย่ำยีน้องน้อยตอนนี้อีกคงได้โดนเนรเทศกลับสู่กรุงเก่าเหมือนเดิม

เป็นพญารากษสทศกัณฐ์ต้องอดทน เมียยังไม่ให้ชนต้องทนกันต่อไป!

“เปรม...ยังไม่อยากกลับบ้าน” คิ้วเข้มหนาขมวดมุ่นเมื่อปะทะเข้ากับนัยน์ตาหวานล้ำ ฟันเรียงสวยขบเม้มริมฝีปากล่างของตัวเองราวครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“หืม”

“เปรม....เอ่อ....เปรม”

“พูดมาเถอะ พี่รับฟังเสมอ”

“คือเปรม”

“...”

อยากอยู่กับพี่ทศ

คำตอบจากปากสีสวยสร้างความพึงพอใจให้เขาเป็นอย่างมาก อสุเรนทร์ซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปากข้างซ้าย “พี่ให้ตัดสินใจอีกรอบ แน่ใจแล้วใช่ไหมที่พูดออกมาอย่างนี้ เพราะพี่จะไม่ย้อนกลับไปส่งที่บ้านเปรมเด็ดขาด จนกว่าจะเช้า หรือไม่...ก็เช้าของอีกวัน
เปรมกลืนน้ำลายลงคอก่อนพยักหน้าตอบ เขารู้ดีว่ากำลังทำอะไร และเขาก็น้อมรับมันด้วยหัวใจทั้งดวง เปรมเชื่อใจอสุเรนทร์ เชื่อในความรักของผู้ชายคนนี้ที่มีต่อเด็กน้อยไร้เดียงสาอย่างเขา

“มาเถอะ พี่จะพาไปดูเรือนหอของเรา”


[กรี๊ดดดดดดดดดด :z3: :hao7: :ling1: กรีดร้องด้วยความสะใจ โปรดอภัยให้นักเขียนคนนี้ด้วย  :o8:]



แสงจันทราที่ว่าเคยหม่นหมองกลับเปล่งแสงสีเหลืองเรืองรองไปทั่วท้องนภารัตติกาล เส้นแสงนวลส่องลงมายังเบื้องล่างราวปรารถนาที่จะอวยพรคู่รักคู่ใหม่ให้มีแต่ความสุข

แขนแกร่งของชายหนุ่มวางร่างบอบบางของคนที่เปรียบเสมือนผู้กอบกุมหัวใจเขาทั้งดวงลงบนเตียงอย่างอ่อนโยนและทะนุถนอมซึ่งต่างจากคราวก่อนลิบลับ เปลวเทียนหอมปลิวพลิ้วไหวไปตามกระแสลมอ่อน ส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรกระจายไปทั่วอย่างเย้ายวนเหล่าภุมรินมาดอมดม ห้องทั้งห้องจัดตกแต่งไว้อย่างดิบดีราวกับทำมาเพื่อต้อนรับแขกคนพิเศษของเจ้าของบ้านโดยเฉพาะ  ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูที่นอนที่แสนเรียบกริบ ข้าวของวางเป็นระเบียบ พื้นห้องสะอาดสะอ้าน และที่น่าแปลกกว่านั้นคือเครื่องแขวนดอกไม้สดที่หาชมได้ยากในปัจจุบันกลับตั้งแขวนไว้ในห้องของนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง

เปรมไม่คิดว่าคนอย่างอสุเรนทร์จะมีรสนิยมแขวนดอกหอมไม้ไว้ในห้อง

“เปรมของพี่”

“พะ...พี่ทศ”

“จ๋า”

ลมหายใจเปรมกระตุกเป็นช่วงๆเมื่อปลายจมูกโด่งคลอเคลียพวงแก้มขาวนุ่มลามเรื่อยมายังท้ายทอยอย่างออดอ้อน พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำทว่าน่าฟังกระซิบเอ่ยรำพันชื่อเขาซ้ำไปซ้ำ 

 หอม...หอมเหลือเกินนวลน้องของพี่

“พี่ทศ” แม้จะสะดุ้งผวาเล็กน้อย หากร่างบางเลือกที่จะอยู่นิ่งยอมให้อีกฝ่ายทำตามอำเภอใจ สัมผัสที่ลากไล้ไปทั่วใบหน้า ลำคอระหง หรือแม้กระทั่งไหล่กลมมนทำให้เปรมอดไม่ได้ที่จะครางฮือออกมา ความปั่นป่วนในช่องท้อง และความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นเมื่อริมฝีปากอุ่นร้อนประกบนุ่มละมุนละไม หมายจะปัดเป่าความกลัวรวมถึงภาพความทรงจำอันเลวร้ายให้มลายหายไป อ่อนโยน ลึกซึ้งจนร่างบางที่เคยเกร็งกลับอ่อนระทวย

มือใหญ่เลื่อนไล้ผ่านกลุ่มผมนุ่มเข้าประคองต้นคอขาวเพื่อกดจูบหนักหน่วงขึ้นตามแรงปรารถนา เปลือกตาสีอ่อนปิดสนิทตอบรับสัมผัสทางกายอย่างเต็มใจ  สองมือเล็กๆยันหน้าอกที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อก็ถูกอสุเรนทร์ยกไปโอบกอดรอบคอตนเองแล้วรั้งร่างบางให้แนบชิดแทบทุกสัดส่วน

“พี่...ทศ”

“ถ้าจะให้พี่หยุดตอนนี้เปรมพูดมาได้เลย แต่ถ้าเงียบต่อให้เปรมบอกให้หยุดสักกี่ครั้งพี่ก็จะไม่หยุด”

“ถ้าเปรมบอกให้หยุด พี่จะหยุดจริงๆเหรอ”

“ใช่”

“ทำไม”

อสุเรนทร์เชยคางมนขึ้นอย่างเชื่องช้า สบดวงตาคู่สวยคลอน้ำตาที่กำลังตื่นกลัวเหมือนลูกแมวน้อย “พี่อยากให้เปรมเชื่อใจ พี่ไม่ได้ต้องการครอบครองคนที่พี่รักแค่เรือนร่าง แต่พี่ต้องการหัวใจของเปรมด้วย

ร่างบางไม่ยอมสบตา หากคล้ายกำลังครุ่นคิดคำตอบอยู่ในใจ คราวนี้อสุเรนทร์ให้โอกาสเปรมตัดสินใจเต็มที่ เพราะเขาไม่อยากบังคับเปรมทำในสิ่งที่เขาต้องการอีกแล้ว เหตุการณ์ในอดีตมันยังคอยวนเวียนและย้ำเตือนถึงผลลัพธ์ที่ไม่น่าจดจำ เขาเลือกที่จะกล้ำกลืนฝืนทนความปวดหนึบบริเวณอวัยวะช่วงล่าง แล้วไปบรรเลงเพลงดาบปลดปล่อยความเป็นตัวเองคนเดียวอยู่ในห้องน้ำยังดีเสียกว่าโดนคนที่ตัวเองรักตัดเยื่อใย หนีหายไปกับคนอื่น

เขาพยายามคิดเสมอทุกนาที หากไม่ได้กินวันนี้ก็ต้องได้กินวันหน้า สู้อดทนรอให้เปรมเชื่อใจแล้วปล่อยให้เขากินแบบชิวๆ มันไม่ดีกว่าหรือไง

เปรมเม้มปากก่อนจะตอบอย่างเอียงอาย “อย่าเหมือนคราวก่อนนะครับ เปรมไม่ชอบ มันเจ็บ”

“ฮ่าๆ เด็กน้อยเอ๋ย คราวนี้พี่จะทำเบาๆ เปรมเชื่อใจพี่นะ”

สายตาแสนเสน่หาของคนตรงหน้าช่างหวานจับใจ อสุเรนทร์กอบกุมมือบางพร้อมจูบและดอมดมมันอย่างโหยหาราวกับว่าถ้าไม่ได้ชื่นชมความหอมในตอนนี้เขาจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ถึงมันอีก 

ดวงหน้าสวยแดงซ่านยามมือใหญ่ปลดกระดุมเสื้อออกจนหมดทุกเม็ด จนเสื้อเชิ้ตตัวเล็กตกลงจากหัวไหล่ ผิวขาวนวลปรากฏสู่สายตา ยิ่งเมื่อถูกอาบไล้ด้วยแสงจันทร์ยิ่งทำให้ร่างอรชรนั้นละม้ายหุ่นขี้ผึ้ง

“งามผุดผาดเฉิดฉายดั่งความฝัน
ผิวผ่องพรรณพรรณรายดั่งจันทร์ส่อง
งามดวงเนตรวงพักตร์ยามแลมอง
โอ้นวลน้องดั่งหยาดฟ้าลงมาดิน”



ความรู้สึกในตอนนี้มันยิ่งตื่นเต้นเสียยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะตีลังกาหลายตลบ คนที่ไม่เคยถูกจีบด้วยโคลงกลอนกลับก้มหน้างุดด้วยความเขินขลาด มันไม่ได้ดูล่าสมัยหรือดูเชยสักนิดเมื่อร่างสูงนำมาพูด แต่มันกลับซาบซึ้งติดตราตรึงใจมิรู้ลืม

“หลังจากนี้ถ้าเปรมไล่พี่ พี่ก็จะไม่ยอมปล่อยเปรมให้ห่างจากพี่ไปไหนอีก ถ้าเปรมบอกว่าไม่รักพี่ก็จะทำให้รัก ถ้าเปรมบอกให้พี่ไปตาย พี่ก็จะถามว่าน้องมีคนดูแลหรือยัง หากมีพี่ก็จะไปตายอย่างสงบ แต่ถ้าไม่พี่ก็จะคอยวนเวียนตามติดเปรมเหมือนเงาตามตัว แล้วจะคอยมอบความรักให้เปรมคนเดียวจนกว่าความตายพรากจาก อย่าคิดว่าพี่พูดเล่นเพราะพี่ทำจริงเสมอถ้ามันเกี่ยวกับน้อง”

“พี่ทศ”

“พี่ขอสาบานนับจากนี้พี่จะไม่ทำให้เปรมทุกข์ใจเพราะพี่อีก แต่ถ้าเปรมไม่เชื่อ โปรดจงรู้ไว้ข้อหนึ่ง” จับมือบางให้ทาบทับกึ่งกลางอก ให้สัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของตน

ใจดวงนี้...มันเป็นของน้องแล้ว

“ไม่ต้องพูดแล้วครับ เปรมอาย”

“น่ารัก” ว่าแล้วก็หอมแก้มฟอดใหญ่ มือโอบกอดรัดเอวบางให้แนบชิดไม่ห่างไปไหน สมบูรณ์ไร้ที่ติ...ยอดปทุมถันสีชมพูระเรื่อน่ารักจิ้มลิ้ม เลื่อนลงมายังท้องน้อยแล้วเลยไปส่วนล่างที่ยังคงถูกปิดอยู่มิดชิด

แค่นี่พี่ก็อดใจมิหวาดมิไหว อยากกลืนกินเจ้าจักแย่อยู่แล้ว

“เปรมอยากแล่นเรือสำเภากับพี่ไหม”

“มันคืออะไรครับ เปรมไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน แล้วเล่นที่ไหน”

สุดท้ายความใสซื่อของเด็กน้อยก็พ่ายแพ้เสียทีให้แก่ยักษ์เฒ่าเจ้าเล่ห์ อสุเรนทร์ฉีกยิ้มกรุ้มกริ่ม หัวร่ออยู่ในใจ เด็กอะไรหนอ น่ากอดรัดน่าฟัดไปทั้งตัว

“งั้นเดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟัง” ยังไม่ทันที่เปรมจะได้เอ่ยสิ่งใดต่อ ปากก็ถูกประกบลงมาอย่างเหมาะเจาะ ความหวานซ่อนรสชาติเผ็ดร้อนติดอยู่ในโพรงปากทำให้ร่างบางเมามายลืมทุกอย่างเสียสิ้น เสียวกระสันซ่านและรู้สึกดีจนคล้อยตาม


พลางอุ้มจุมพิต สนิทถนอม
งามละม่อมละมุนจิตพิสมัย
ร่วมภิรมย์สมสองทำนองใน
แผ่นดิน ไหวจนกระทั่งหลังอานนท์


ในนทีตีคลื่นเสียงครื้นครึก
ลั่นพิลึก โลกาโกลาหล
หีบดนตรีปี่พาทย์ระนาดกล
ไม่มีคนไขดังเสียงวังเวง


อัศจรรย์ ลั่นดังระฆังฆ้อง
เสียงกึกก้องเก่งก่างโหง่งหง่างเหง่ง
ปืนประจำ กำปั่นก็ลั่นเอง
เสียงครื้นเครงครึกโครมโพยมบน


อสุนีบาตฟาดเสียง เปรี้ยงเปรี้ยงเปรื่อง
กระดองเดื่องดินฟ้าเป็นห่าฝน
ทุกธารถ้ำน้ำพุ ทะลุล้น
ท่วมถนนแนวฝั่งเกาะลังกา

-พระอภัยมณี-


กาลเวลาสร้างความรักจนสุกงอมสร้างความชื่นฉ่ำแก่ดวงใจสองดวง ความอุ่นร้อนที่ถาโถมเข้ามาบริเวณช่องทางด้านล่างอุ่นวาบไปทั่วท้องน้อย อสุเรนทร์จุมพิตหน้าผากได้รูป ก่อนมือใหญ่จะเอื้อมขึ้นมาปัดปอยผมที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ

“พี่ทศแกล้งเปรม” ร่างบางปรือตาหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ไหนสัญญาว่าจะทำเบาๆ แต่นี่อะไรรุนแรงเสียจนเตียงส่งเสียงดังเอี้ยดอ๊าดจนน่าอับอาย ถ้าเกิดรณพักตร์นำเรื่องนี้มาล้อเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“เพราะเมียพี่สวยใครจะอดใจไหว”

“ใครเมียครับ อย่ามั่ว”

“ทบทวนความจำอีกรอบไหมจะได้รู้ว่าเปรมคือเมียพี่หรือเปล่า”

“บ้า ไม่เอาพอแล้ว”

“แต่พี่ยังไม่อิ่มเลย”

“พี่ทศ!” จำต้องดันหัวคนเจ้าเล่ห์ให้ออกห่างจากซอกคอเพราะเปรมรู้สึกไม่ไหวจริงๆ แค่จะยกแขนยังไม่มีแรงเลย ถ้าทำอีกมีหวังพรุ่งนี้คงได้นอนตายทั้งวัน

อสุเรนทร์เลยผงกหัวเบะปากเหมือนเด็กโดนแย่งขนม “วันนี้จะยอมให้หนึ่ง แต่วันหน้าพี่ไม่ยอมแล้วนะ ถ้าไม่ท้องพี่จะไม่ยอมหยุด”

“โรคจิต”

“ผัวใครล่ะ”

“ฮื่อ พี่ทศ”

“เปรมของพี่เป็นเด็กดีที่สุดเลย รู้ไหม วันนี้เป็นที่พี่มีความสุขมาก เพราะนอกจากเราจะได้คืนดีกัน พี่ก็ยังได้นอนกอดเมียสุดที่รักด้วย” อสุเรนทร์กระชับอ้อมกอดจนอีกฝ่ายจมหายไปในหน้าอกกว้าง ได้ยินจังหวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ มันทั้งเร็ว หนักหน่วงและถี่กระชั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเปรมมีความสุขไม่ต่างกัน วาดแขนกอดแผ่นหลังกว้างกลับไป

ความอบอุ่นที่เปรมได้รับมันก็เป็นตัวบอกได้แล้วว่าอีกฝ่ายรักและแคร์จิตใจเขามากขนาดไหน

หยาดฝนที่ตกนอกฤดูกาลค่อยๆโปรยปรายมาจากท้องฟ้าอันไกลโพ้น เสียงฝนซาเปรียบเสมือนเพลงที่พร้อมจะขับกล่อมให้ทั้งสองผ่อนคลายลงได้อย่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก อสุเรนทร์โยกตัวกล่อมคนในอ้อมกอด ต่างฝ่ายต่างเงียบฟังเสียงฝนพรำและ...เสียงหัวใจที่ค่อยๆประสานเป็นจังหวะเดียวกันอย่างช้าๆ

เปมทัตรับรู้หัวใจของอสุเรนทร์

อสุเรนทร์รับรู้ถึงความรู้สึกที่เปมทัตมีให้กับเขาเช่นกัน




ฮื่อออออ ต่อด้านล่างค่ะ  :-[ :impress2: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 19-12-2016 12:59:16
เชิญอ่านต่อได้เลยเพคะ :katai4: :katai2-1:



เสียงเพลงเปิดดังกระหึ่มไปทั่วผับหรูย่านใจกลางเมือง แหล่งสำเริงสำราญของบรรดานักท่องเที่ยวกลางคืนทั้งชายและหญิงที่ส่วนใหญ่ค่อนข้างกระเป๋าหนักและมีฐานะดี เครื่องดื่มสีอำพันถูกยกดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าไหลผ่านลำคอด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง โดยไม่สนใครต่อใครที่แอบชำเลืองที่มองมายังตัวเขา

“ท่านราม พอเถอะขอรับ”

“อย่ามาห้ามฉันกบินทร์” ว่าแล้วกระดกแก้วเหล้าในมือเข้ามารวดเดียว รสชาติข่มเฝื่อนแบบนี้แหละที่เขาต้องการในเวลาเครียดกับอะไรบางอย่างเอามากๆ เบนสายตามองแก้วเปล่าบนโต๊แล้วหัวเราะสมเพชตัวเอง

ในที่สุดเปรมก็เลือกมัน

โลกมันเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน ตัวร้ายได้เป็นคนดี แต่คนดีกลับกลายเป็นตัวขี้อิจฉาที่คิดทำลายความรักของคนสองคน เขาไม่เข้าใจ ไอ้อสุเรนทร์มันมีดีอะไรเปรมถึงได้เลือกไปหามันทั้งที่เขาก็พยายามทำทุกอย่างให้ร่างบางเห็นใจรับความรักจากเขาบ้าง แต่ดูสิ่งที่ได้กลับมา...คืออะไร ความน่าสงสาร น่าสมเพชของตัวละครตัวนี้อย่างนั้นเหรอ

ตลกเป็นบ้า

“ทำไมถึงไม่เป็นฉันกบินทร์ ฉันแย่กว่ามันตรงไหน”

“หาไม่ขอรับ ท่านรามดีกว่ามันเป็นไหนๆ”

“แล้วทำไมสีดา...ไม่สิ เปรมถึงไม่เลือกฉัน”

กบินทร์ไม่สามารถตอบคำถามของนายเหนือหัวได้ เลือกที่จะก้มหน้ายืนนิ่งอยู่ด้านหลังไม่ขยับไปไหน ราเมนทร์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วรินเหล้าอีกแก้วยกดื่ม

“นั่งกระดกเหล้าย้อมใจคนเดียวน่าสงสารชะมัด นายว่าอย่างนั้นไหมอีริค”

ราเมนทร์เหลือบตามองตามเสียง เห็นรณพักตร์เดินมาพร้อมกับชายหนุ่มต่างชาติร่างสูงใหญ่ เชิดหน้ายิ้มแสยะอย่างผู้กำชัยชนะ
อะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนขนาดต้องมาเจอเจ้าหมาปากจัดเป็นรอบที่สองของวันด้วย

“อินสงสารเขาผมก็สงสาร”

“ฮื่อ อีริคของอินน่ารักจังเลย”

“หึ” ถึงกับต้องเบือนหน้าหนีด้วยความไม่ชอบใจ เห็นแล้วขัดลูกตาชะมัด “นี่ ถ้าจะส่งเสียงครางหงิงเหมือนสุนัขเพศเมียเวลาเจอสุนัขตัวผู้ ฉันคิดว่ามันค่อนข้างน่ารำคาญเอามาก”

“!!!”

“ทางที่ดีช่วยย้ายร่างอ้วนๆของนายไปไกลๆหน่อยได้ไหม เพราะมันบังทัศนียภาพสวยๆของฉันหมด”

“อีริคไปสั่งเครื่องดื่มรอผมตรงนั้นก่อนนะ เดี๋ยวผมตามไป” พอไล่เพื่อนหนุ่มต่างชาติออกไปได้ก็หันกลับมายิ้มแย้มใส่ราเมนทร์ ทั้งที่ในใจเดือดดาล อยากจะวิ่งไปตบปากนั่นสักร้อยที ข้อหามาว่าเขาอ้วน “อิจฉาก็บอกสิ ไม่เห็นต้องว่ากันเลยนี่นา”

“อยากโดนดีหรือไงเจ้ายักษ์เตี้ย” กบินทร์สาวเท้าเข้าหาร่างเล็กกว่า คู่ปรับคู่แค้นที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปมากน้อยแค่ไหน เรื่องกวนอวัยวะเบื้องล่างพวกเขาน่ะไม่ได้ลดหย่อนลงเลยสักนิด

รณพักตร์เหยียดยิ้มมองเจ้าลิงจ๋อตัวขาวเผือกตั้งแต่หัวจรดเท้า แลบลิ้นสีอ่อนเลียริมฝีปากสีอ่อนที่ใครๆต่างปรารถนาฉกชิมมันสักครั้ง ก้านนิ้วเรียวลากผ่านซีกแก้มตอบลงมายังสันกรามแน่น กบินทร์ผงะเล็กน้อย เผลอก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว ร่างเล็กหัวเราะ

“น่ารักจังเลยกบินทร์ของเขา”

“ข้าไม่ใช่ของเจ้า!”

“พูดแบบนี้อินก็น้อยใจเป็นนะ หรือเผือกน้อยต้องให้อินทวนความหลังของเราสองคนก่อนล่ะถึงจะยอมรับว่าตัวเองเป็นของอินน่ะ”

“ถึงข้าจักมากรัก แต่ข้ามิใคร่เลือกชายวิปริตอย่างเจ้ามาทำเมียหรอก”

“พูดแบบนี้อินเสียใจจังเลย ไหนว่าแต่ก่อนรักอินหนักหนา อยากจับอินทำเมียอยู่เลยล่ะ”

“เจ้า!!”

“ตัวเองยังหลงรักเขาอยู่ แต่แกล้งทำเป็นเป็นปกปิดมันใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ใช่โว้ย”

“มีการขึ้นเสียงด้วย น่ารักจริงเชียว แบบนี้ต้องให้รางวัล”

กบินทร์เบิกตาโพล่งรับสัมผัสหยุ่นนุ่มและอุ่นชื้นบริเวณแก้มข้างซ้าย มันจูบเขา! เจ้ายักษ์เตี้ยใจวิปริตมันจูบแก้มเขา! จะเถียงกลับก็เถียงไม่ออก รู้สึกหน้าร้อนผ่าว เหงื่อแตกราวกับอากาศร้อนมากพิกลเวลาสบกับดวงตาเย้ายวนของศัตรูตรงหน้า

“นิ่มเหมือนเดิม อิอิ”

“เจ้ายักษ์บ้า!” กบินทร์ตะโกนลั่น เขยิบหนีไปอยู่หลังเจ้านายตนอัตโนมัติ แพ้ทุกที...แพ้แบบกู่ไม่กลับ อำนาจบารมีที่สั่งสมมานานนมกลับทลายลงเพียงชั่วครู่ด้วยฝีมือยักษ์พันธุ์เตี้ยตนนี้ หน้าขายหน้าเสียจริง!!

“นิสัยขี้แกล้งคนของฉันเคยเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยน”

ร่างเล็กกอดอกยิ้มรับ “เพราะกบินทร์น่าแกล้งนี่นา”

“ไม่ลองแกล้งฉันดูหน่อยล่ะ”

“อะไรเข้าสิงปากคุณราเมนทร์หรือครับ ถึงเว้าวอนอยากให้ผมแกล้งนัก” คิ้วบางขมวดเข้ากันอย่างสงสัย นานๆไอ้คนที่ชอบตีหน้าซื่อเป็นพระเอกตามโรงลิเกจะเล่นตอบเขาบ้าง เห็นทุกครั้งตอนยั่วแหย่เจ้าลิงเผือกไม่ยักสนใจ

“อยากให้ผมแกล้งขนาดนั้นเลยเหรอ”

“นายเก่งเรื่องพวกนี้นิ ยังไงก็ช่วยสงเคราะห์แกล้งฉันให้อารมณ์ดีขึ้นหน่อยสิ”

แกล้งกันบ้านไหนถึงช่วยให้อารมณ์ดี ประสาท....

“หรือว่าอยากให้ฉันแกล้ง...เอาไหม”

รณพักตร์กระพริบตาปริบระหว่างร่างสูงลุกจากเก้าอี้สาวเท้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า และปล่อยให้มือหนาสัมผัสที่ข้อมือตน ใบหน้าจัดว่าหล่อ(แต่ไม่เท่าพระบิดากับเขาหรอก)เคลื่อนเข้ามาใกล้ มันประกายวาววับล้อแสงชวนให้เกิดความรู้สึกประหม่าในทันใด...แต่แค่นิดเดียวเท่านั้นแหละ

“นี่คุณเมา?”

“ฉันเปล่าเมา”

แล้วไอ้สายตาหวานเยิ้มๆนี่มันคืออะไร เอาน้ำผึ้งมาราดลูกตางั้นเรอะ

“อ้าวเห้ย ทำบ้าอะไรเนี่ย” เผลอตะโกนลั่นด้วยความตกใจเมื่อร่างสูงกระชากแขนให้เซล้มไปนอนบนเบาะโซฟานุ่มแล้วตามขึ้นไปคร่อมทับเขาไว้

ร.......เร็วมาก!

“ท่านราม”

“นี่เป็นเรื่องของฉันกับคนคนนี้ ไม่ต้องมายุ่ง จะไปไหนก็ไป”

“แต่ท่าน...”

“ออกไป...” กบินทร์หรี่ตามองอย่างชั่งใจ แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของนาย เขาย่อมต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ก้าวเท้าถอยห่างและเดินออกไป ทว่าก็มิวายแอบยืนคุมเชิงอยู่ในมุมมืดใกล้ๆเพราะถ้าเกิดเรื่องขึ้นเขาจะได้เข้าไปควบคุมสถานการณ์ได้ทัน

ราเมนทร์หันกลับมาสนใจคนใต้ร่างต่อพร้อมยกมุมปากยิ้มพราย แต่มีหรือคนอย่างรณพักตร์จะกลัว ยิ้มมาก็ยิ้มกลับ คิดว่าแน่มากใช่ไหม

“ช่วยแกล้งฉันหน่อยสิ”

“อยากให้ผมช่วยแกล้งยังไงล่ะ อย่างนี้” เชิดหน้า กัดปลายนิ้วตัวเองอย่างยั่วเย้า “หรืออย่างนี้...” ดันร่างอรชรของตนให้ใกล้กับใบหน้าคมมากที่สุด ก่อนจะใช้ฟันเล็กงับปลายจมูกเบาๆ

ไม่เกิดอารมณ์ก็ให้มันรู้ไป

“นี่แกล้งแล้วเหรอ ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย”

“...”

“ถ้าจะแกล้งมันก็ต้องแบบนี้”

ใบหน้าหล่อเหลาโฉบฉกเข้ามาชิดพร้อมแนบริมฝีปากบดเบียดอย่างอย่างหนักหน่วงและรุนแรง ร่างเล็กเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก ตกใจ ไอความร้อนแผ่ซ่านไปทั้งหน้าเมื่อรู้สึกถึงเป้ากางเกงอีกฝ่ายแข็งนูนออกมาบดเบียดหน้าขาของเขา

โฮ ชิท!!!

รณพักตร์พยายามกระเถิบหนีคนลามกที่เอาแต่ดูดกลืนกลีบปากสวยของเขาอย่างช่ำชองเชี่ยวชาญ มือหนาสอดกระชับรั้งเอวบางให้แนบชิดกันมากขั้น ไฟปรารถนารวมถึงความร้ายกาจของน้ำเมาลุกโหมจนราเมนทร์ยั้งใจไว้ไม่อยู่ ประกอบกับกลิ่นหอมรัญจวนจากคนใต้ร่าง เรื่องสติตัดไปได้เลยเพราะมันไม่มีตั้งแต่ท่ายวนยั่วของเจ้าหมาน้อยแล้ว นอกจากความสวย รสชาติหวานล้ำในโพรงปากก็ไม่เลว

“อื้อ หยุดนะไอ้บ้าราเมนทร์!”

“นี่เจ้ายักษ์ชั้นต่ำ ขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

“อะไร!”

ช่วยแกล้งเป็นสีดาให้ฉันสักคืนสิ



แย่...แย่มากเลยนะคะคุณราม ให้เจ้าอินแทนที่นางสีดา มันใช่เหรอ อินของเราออกจะแมน? :hao3:
กลับมาฝั่งของพี่ทศกับเปรมสักหน่อย โอ้ยยย ขุ่นพระ!! แม่เจ้าประคุณรุนช่อง อะไรจะหวานกันได้ถึงเพียงนี้
ขนาดตัวคนเขียนเอง ยังพิมพ์ไป ยิ้มฟินไป แล้วคุณคนอ่านล่ะเจ้าคะ คิดเหมือนกันหรือเปล่า
ถ้าคิดเหมือนกันช่วยกรีดร้อง โหยหวนใต้คอมเม้นที เราจะได้หวีดด้วยความฟินไปพร้อมกัน  :-[
ไว้เจอกันใหม่คราวหน้า
ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่าาาา

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 19-12-2016 14:04:40
ล่องเรือสำเภากันเสียสนุกเชียวนะ หุๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: yunjaekiki ที่ 19-12-2016 15:05:23
ไม่ไหวแล้ว หุบยิ้มไม่ได้ ยิ้มตามนักเขียนโล๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด
อีกคู่ระหว่างราเมนทร์กับรณพักตร์ น้องก็ชอบนะ ดูน่าจะSM อิอิ

เป็นหึ่งในกำลังใจให้นะค่ะ

สู้ต่อไป ><
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-12-2016 16:10:26
เอาใจช่วยเชียร์รามได้คู่กับรณพักตร์  :m13: :m13: แต่ถ้ารามคู่รณพักตร์แล้วกบินทร์ล่ะ :m28: :m28: :m28:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 19-12-2016 16:50:05
ในที่สุดพี่ทศของเราก็ชนะใจพ่อเปรม 555555
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: larynx ที่ 19-12-2016 16:52:07
โอ๊ยยย มดกัดตา

ปล.เมนท์ที่แล้วชงให้รามได้กับอิน มาอ่านอีกที อ๋อตัวเองจำผิด อินนี่รณพักต์ไม่ใช่ อินทรชิต โถ่เอ้ย มีความจำผิด มีความชงถูกคู่ อยู่ดีๆก็มีโมเมนท์ 555555555555555
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 19-12-2016 16:58:26
 :hao6:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 19-12-2016 17:31:50

พี่ทศแกกะว่า.........

ถ้ายังไม่เช้า จะพาน้องแล่นสำเภาต่อ

ส่วนท่านรามนี่ยังไง

ระวังจะหลงรักยักษ์นะ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 19-12-2016 19:48:41
โง้ยยยยยย กรีดร้องจนไม่เป็นภาษา

ฟินพระเจ้าค่ะ

อีกคู่ก็น่าลุ้นนะ หุหุ

แอบชั่วร้ายนะคะ คุณพี่ราม
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 19-12-2016 22:00:29
อยากจะแหกปากดังๆให้ลั่นออฟฟิต

ท่านทศปิดจ๊อบพ่อเปมสำเร็จ

มีความละมุนละไมและฟินสูงมาก

โอ๊ย!ดีต่อใจอะไรเบอร์นี

คือตอนแรกอยากให้หนูอินคู่กับพระลักษมณ์เพราะบทเขาน้อย แต่ได้กับพระรามก็ไม่เป็นไรฟินเหมือนกัน

แล้วจะได้จบศึกระหว่างท่านทศในภพนี้ลงด้วย :hao6:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 19-12-2016 22:52:06
ถึงกับหาตัวแทนเลยเหรอท่านราม  เอาคนอื่นมาแทนอีกคนมันไม่ดีนะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 20-12-2016 08:27:55
กรีดร้องด้วยความสะใจ

หัวเราะอย่างก้าวร้าว 55555555555

เขาได้กันแล้วววววววววววววว!

ถ้าพระรามคู่อินทรชิตงี้ หนุมานมันก็นกน่ะสิ โถๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๐: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)19/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 20-12-2016 09:30:37
จับคู่เจ้าอินกับพี่รามก็เข้าท่าดีนะคนแต่ง :really2:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๑: (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 20-12-2016 21:43:33
บทที่ ๑๑
[/i][/b]




เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าล่วงเกินกับเขาอย่างนี้มาก่อน

กล้าเกินไปแล้ว!

“ราเมนทร์!”

“อืม อยู่เฉยๆ” ส่งเสียงครางฮือในลำคอหากทว่าริมฝีปากยังจอจ่อที่ลำคอขาวผ่อง กลิ่นหอมจากน้ำหอมโชยแตะจมูกโด่งสันจนต้องก้มลงไปซุกไซ้ เป่าลมหายใจร้อนผ่าวเข้ามาในหูให้ร่างเล็กสั่นสะท้านก่อนจะเลื่อนตัวลงต่ำ...

“ปล่อย”

“...”

“บอกให้ปล่อยเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ยินหรือไง โอ้ย อย่ากัด!” รณพักตร์ย่นคอเมื่อเรียวฟันคมขบกัดดูดเม้มเข้าซอกคอเขาเต็มแรง

“ถ้านายอยู่นิ่งๆ ฉันจะไม่ทำแรง”

“ชั่วจริงๆ”

คิดจะเล่นกับรณพักตร์ยังเร็วไป

ช่วงจังหวะร่างสูงถอนจูบแล้วเงยหน้ายิ้มกริ่ม รณพักตร์รีบใช้เท้าข้างหนึ่งยันท้องแกร่งแล้วถีบโครมเดียว ร่างทั้งร่างลอยละลิ่วลงไปนอนแอ่งแม้งกับพื้นสกปรก เขาพรูลมหายใจออกทางจมูก และไม่รอช้ารีบตามไปคร่อมแล้วง้างหมัดต่อยเข้ากลางหน้าหล่อเหลาหลายต่อหลายหน จนหน้าอีกฝ่ายบวมช้ำ นี่สำหรับการแก้แค้นแทนพระบิดาและเพื่อตัวเอง

ราเมนทร์อยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวดจากน้ำหนักของหมัดจิ๋วที่ลงมากระแทกปากและแก้มซ้ำหลายรอบ กบินทร์ที่เคยเห็นเหตุการณ์ถึงกับวิ่งตาลีตาเหลือก กระชากร่างเล็กและเหวี่ยงออกไปอย่างแรง มือโอบอุ้มประคองตัวเจ้านายให้เอนพิงอกกว้างของตน ก่อนตวัดเขม็งใส่ร่างเล็กที่กรีดนิ้วหยิบทิชชู่มาถูปากนิ่มราวรังเกียจสัมผัสจากราเมนทร์
เลือดสีแดงข้นติดอยู่มุมปาก โหนกแก้มมีรอยช้ำ

ไอ้ยักษ์สารเลว!

“ท่านรามขอรับ”

“เฮ้ อิน เกิดอะไรขึ้น” อีริคร้องโวยวาย รีบวิ่งกลับมาทางเดิมที่เพื่อนร่างสันทัดยืนอยู่ทันทีหลังจากได้ยินเสียงโครมครามคล้ายคนมีเรื่องชกต่อยกัน ดวงตาสีฟ้ากระจ่างเบิกโพล่งเมื่อเห็นเสื้อผ้าร่างเล็กยับยู่ยี่ ทรงผมชี้ฟูกระจายไปคนละทิศทาง

“อิน...”

รณพักตร์หอบหายใจถี่ เช็ดคราบเลือดที่ติดหลังข้อมือกับผ้าปูโต๊ะของทางร้าน เตรียมโผเข้าไปจัดการร่างที่เกือบไร้สติซ้ำอีกรอบ หากมือหนาของอีริคกลับรั้งเอาไว้จนรณพักตร์ขยับไปไหนไม่ได้

“ปล่อย ฉันจะจัดการมัน”

“อิน!”

“เจ้ามันชั่ว อินทรชิต” กบินทร์ชี้หน้าด่าอย่างเอาเรื่อง แต่ดูเหมือนร่างเล็กจะไม่ได้สนใจ กระตุกยิ้มแสยะ ดันตัวออกจากการวงแขนเพื่อนต่างสัญชาติแล้วผลักไปทางด้านข้าง เรื่องนี้ไปเรื่องของพวกเขา คนนอกไม่จำเป็นต้องมายุ่มย่าม

“ถ้าชั่วก็ชั่วเหมือนกันล่ะวะ”

“ฮึ่ม...!!”

“เข้ามาสิ ถ้าแกมีปัญญาจัดการฉันแทนเจ้านายแสนเคารพรักก็เข้ามาไอ้ลิงจ๋อ”

“อย่าท้าข้า!”

ร่างกำยำกายขาวขู่คำรามเกรี้ยวกราด สมกับเป็นลูกของพระพาย ที่ความเร็วประดั่งสายลมพาดผ่าน มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ หากทว่ามีความร้ายกาจแฝงไว้ในตัว

คล้ายมีใบมีดคมกริบเฉือนบนผิวเนื้อ ความปวดหนึบแล่นพล่านไปทั่วซีกแก้มข้างซ้ายและมุมปากข้างเดียวกัน เลือดหยดแรกไหลออกมาตามร่องแก้มแล้วหยดลงบนพื้น

ถือว่ายังใช้ได้...ก็แค่ใช้ได้ล่ะนะ

รณพักตร์ไม่ปฏิเสธเรื่องความเร็วของเจ้าลิงเผือกนี่หรอก ยังไงเขาก็สู้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่อย่าคิดเชียวว่าเขาจะยอมให้มันชนะเพียงแค่สกิลความเร็วเป็นเลิศ อย่าลืมเขาเป็นใคร เป็นถึงลูกชายของทศกัณฐ์ผู้เลื่องชื่อ(โฉดชั่ว เจ้าชู้) ไม่มีทางแพ้ไอ้ลิงหัวโบราณที่เอาแต่ใช้ท่าไม้ตายเดิมๆโดยไม่มีการอัพเดตสกิลเลเวลการต่อสู้ให้สูงขึ้นแน่นอน

คิดจะเล่นกับรณพักตร์ผู้รบชนะพระอินทร์...มันไม่ง่ายเหมือนเดิมแล้วล่ะ

กบินทร์ง้างหมัดเตรียมโผเข้าใส่ร่างเล็กแสนน่าทะนุถนอมอย่างไม่เกรงกลัวครหาของคนที่เริ่มเข้ามามุงดู ยกโทรทัศน์ถ่ายคลิปเตรียมลงโซเชียล รณพักตร์เพียงแค่ยิ้ม เอี้ยวตัวหลบกำปั้นที่เหวี่ยงมาก่อนจะยึดข้อมือหนาไว้แน่น ใช้สันมือฟาดเข้าที่ท้ายทอยของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ก่อนคว้าคอเสื้อแล้วทุ่มลงพื้นด้วยทักษะกีฬาฮับกีโดที่เพื่อนสนิทบังคับให้ลงเรียนด้วยกันตอนไปเรียนซัมเมอร์ที่เกาหลีใต้

เขาคงต้องขอบคุณไอ้หมอหมานั่นสินะ

“เจ้า...”

“ลุงนี่พูดมากจัง อย่าโดนอีกหรือไง”

“ข้าไม่ยอมหรอก!” เส้นความอดทนในสมองขาดผึ่ง กบินทร์สปริงข้อเท้าผุดลุกจากพื้นแล้วเข้าประชิดตัวร่างเล็กแทบจะในทันที ไฟที่ลุกโหมกระหน่ำในจิตใจทำให้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป

ภาพที่ทุกคนเห็นทั้งคู่ต่างก็แลกหมัดกันอย่างดุเดือดแบบไม่มีใครยอมใคร ร่างเล็กบอบบางที่หลายคนคิดว่าน่าจะเสียเปรียบ เพราะด้วยรูปร่างและแรงกำลังที่ดูเหมือนจะมีน้อยนิด กลับสร้างความน่าตกตะลึงใจโดยการปรี่ตัวเข้าประชิด ใช้แรงกำลังของฝ่ายตรงข้ามให้เป็นประโยชน์ ก่อนจะจับล็อกคอแล้วทุ่มลงกับพื้นอีกครั้งจนเกิดเสียงดังสนั่น

ร่างเล็กหอบหายใจหนัก ใบหน้าสวยตอนนี้เต็มไปด้วยเหงื่อที่ชุ่มแฉะ ร่องรอยบาดแผลและรอยฟกช้ำ นิ้วโป้งเช็ดคราบเลือดออกจากมุมปาก รณพักตร์มองเลือดสีแดงสดที่ติดอยู่ก่อนจะแลบลิ้นเลียมัน โน้มตัวลงต่ำเพียงพอให้อีกฝ่ายได้เห็นหน้าชัดเจน และใช้เท้าเล็กเหยียบอยู่ตรงกลางอก กบินทร์เบิกตากว้าง เพราะมันทำให้เขาคิดถึงวันที่โดยเจ้ายักษ์ทศกัณฐ์เหยียบย่ำแบบนี้เช่นกัน
น่าแค้นใจนัก ทั้งพ่อทั้งลูก!

“สงสัยไม่มีลมของพ่อช่วยพักโบกเป็นแรงหนุนให้กระมัง ฝีมือถึงอ่อนยวบยาบเหมือนหอยทากขนาดนี้”

“เอาเท้าสกปรกของแกออกไปจากตัวข้า เจ้ายักษ์ชั้นต่ำ”

“ถ้าฉันต่ำ แกก็คงฝังตัวอยู่ในโคลนตมไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันล่ะวะ”

“!!!”

“ก่อนว่าคนอื่นช่วยดูตัวเองเสียหน่อย อ้อ คงต้องดูเลยไปถึงเจ้านายแกด้วยสินะ อยู่ด้วยกันมานานคงซึมซับแต่เรื่องชั่วๆมาเหมือนกัน” มือเรียวบีบลูกกระเดือกอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมจะบดให้แตกคามือได้ทันที หากเขาไม่คิดจะทำ ไม่ใช่ว่าร่างเล็กมีสามัญสำนึกหรือสงสารฝ่ายศัตรู

ที่นี่มีคนเสือกเยอเกินไป

ถ้าข่าวนี้รั่วไหลไปถึงหูพระบิดาเขาต้องโดนด่าจนหูชาเป็นแน่

“อย่ามาว่าท่านราม”

“ทำไม เป็นเมียเก็บเจ้าสูงส่งนั่นหรือไงถึงได้ปกป้องมันนักหนา หัดเปิดตาให้กว้างแล้วมองโลกแห่งความเป็นจริง บนโลกนี้พ่อรามคนดีศรีกรุงอโยธยาน่ะมันเลือนหายไปแล้ว เหลือแต่ราเมนทร์เห็นแก่ตัวผู้หวังแต่ชนะอย่างเดียว”

“...”

“หลงจนไม่ลืมหูลืมตาระวังจะตกม้าตายตามไปด้วย หึ ดิ้นไปก็เท่านั้นครับพ่อกบินทร์คนอ่อนแอของอิน”

ด้วยกำลังยักษาที่ไม่ต่างไปจากเผ่าพงศ์ลิงสวรรค์ทำให้กบินทร์ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้มากนัก พอคิดจะใช้วิธีหลีกหนีอย่างที่เคยทำมาก่อน กลับกลายเป็นว่าสูญเปล่า...เจ้ายักษ์พันธุ์เตี้ยรู้เชิงเขาหมดสิ้น

“นี่แหละหนาคนหัวโบราณที่ชอบยึดติดแต่สิ่งเดิม เพราะอย่างนี้ไงล่ะ ถึงไม่ชนะฉันสักที”

“เจ้า!”

“อย่าทำกร่างให้มาก เพราะฉันไม่ใช่อินทรชิตคนโง่คนเดิม ฉันเป็นรณพักตร์ที่ทั้งหน้าตาดี มีรสนิยม มีสมอง เก่งและก็รวยมาก” เพียงแค่ใช้ดวงตารีเรียวคมกริบนั่นจ้องมองก็สามารถบั่นทอนความเชื่อมั่นในใจอีกคนได้อยู่หมัด

บอกแล้ว กลับมาครั้งนี้ เขาไม่ได้มาเล่นๆ

ความแค้นที่เคยโดนมาตั้งแต่กบินทร์ยังคงสภาพเป็นลิงหนุมานขนเพชร มีฤทธิ์เยอะ เล่ห์เหลี่ยมจัด บัดนี้ถึงเวลาเริ่มชำระสะสางกันเสียที

“ฝากบอกถึงเจ้านายเฮงซวยของแกด้วยไอ้ลิงเผือก เปรมคือเปรมไม่ใช่นางสีดาห่าเหวนั่น เลิกคิดแล้วก็เลิกมโนคิดว่าเขาจะกลับมาได้แล้ว เพราะมันไม่มีวัน เปรมเป็นของทศกัณฐ์และอสุเรนทร์เท่านั้น ทั้งชาตินี้แล้วก็ชาติไหนๆ ถ้ายังมาสอดแทรกเป็นมือที่สามของครอบครัวคนอื่นอีก ฉันไม่เอาไว้แน่ จำไว้”

“อ้อ แล้วถ้าเจ้านายแกอยากให้ฉันแกล้งเป็นสีดาอีก...” มุมปากเล็กกระตุกยิ้มร้าย “รอไปอีกสักร้อยชาติแล้วค่อยว่ากัน” ธนบัตรสีเทาหลายใบลอยละล่องอยู่บนอากาศเพียงชั่วครู่ และตรงลงบนหน้าอกคนเมาอย่างราเมนทร์กับหัวของกบินทร์

“ถือเสียว่าเป็นค่าทำขวัญ see you next time”



เมอร์เซเดสเบนซ์สีเทาแล่นเข้าจอดหน้าเรือนไทยหลังงามอีกครั้งหลังจากไม่ได้แวะมาสักพักใหญ่ ความร่มรื่นจากต้นไม้ใหญ่ สีเขียวของใบไม้ช่วยให้บรรยากาศสดชื่นยิ่งขึ้น เห็นแล้วอยากย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่นี่ถาวรเลยทีเดียว

อากาศดี แล้วยังได้อยู่กับคนที่รักทั้งวันทั้งคืน...แค่คิดชีวิตก็ดี๊...ดี

“พี่ทศ ไม่ต้องจับเอวเปรมแน่นได้ไหม อายพวกพี่เขา”

“ผัวเมียปกติเขาก็ทำกัน มีอะไรให้น่าอายหืม” ว่าแล้วก็ฉกริมฝีปากหอมหวานโชว์คนสวน คนรับใช้ที่มาต้อนรับนายน้อยกับแขกคนพิเศษกลับบ้านสักหน่อย เปรมได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆจากกลุ่มเด็กสาวในบ้าน แต่พอหันกลับไปแต่ละคนก็หุบยิ้ม เสมองชมนกชมไม้ไปทางอื่น

แสบนักนะ

“พี่ทศ อย่าทำแบบนี้สิครับ”

“นี่แหละตัวตนของพี่ อยากทำก็ทำ”

“เอาแต่ใจ”

“พี่ก็เอาแต่เปรมคนเดียวแหละ”

ไม่รู้ว่าคนตัวสูงตั้งใจพูดให้คำบางคำมันตกหล่น หรือจงใจพูดกันแน่ แต่ เชื่อเถอะ ไม่ว่าจะเป็นรูปประโยคแบบไหน หากคนพูดคืออสุเรนทร์ เปรมก็เขินทั้งนั้น

“นิสัยไม่ดีเลย”

“เพิ่งรู้เหรอ”

“ฮึ่ย กลับบ้านไปเลยนะ ไม่ให้ขึ้นบ้านด้วยแล้ว”

“ขี้งอนจังเลยนะเรา จะเป็นลูกเขยโรจนวาทิตทั้งทีพี่ก็ต้องขึ้นไปฝากเนื้อฝากตัวกับคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย คุณพ่อ คุณแม่เปรมก่อนสิ อย่ามา...อย่ามา”

“พี่ทศ!”

“ทำไม ไม่อยากให้พี่เป็นหรือไง”

“ฮื่อ...”

“ไม่ตอบ แต่งงานกันเลยไหม พี่เตรียมแหวนมาแล้วนะ”

“พี่ทศ!”

“ฮ่าๆๆๆ”

“อ้าวๆ ส่งเสียงดังอะไรกันขนาดนั้น...”

อสุเรนทร์ฉีกยิ้มเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนที่ยังคงความสวยสะพรั่งได้เหมือนหนุ่มสาวเดินมาทเท้าสะเอวมองอยู่หน้าประตูทางเข้าตัวบ้าน

“สวัสดีครับคุณแม่”

“สวัสดีจ๊ะ ไม่เห็นหน้าค่าตาตั้งนานสบายดีใช่ไหม”

“ถ้าที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่หรอกครับ โดยเฉพาะหัวใจ” เหล่ตามองดวงหน้าหวานที่ก้มหน้า ยู่ปากคล้ายไม่ค่อยพอใจกับคำตอบ “แต่คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ตอนนี้ผมสบายดีขึ้นมาก อาจเป็นเพราะได้คุณหมอมือดีมาช่วยเยียวยารักษาหัวใจเลยหายไว”

“โอ้ย ไอ้ไม้ ข้ารู้สึกเหมือนไม่สบายแล้วว่ะ”

“อะไรของเอ็ง ไม่สบายตรงไหน”

“จู่ๆข้าก็รู้สึกคลื่นไส้ อยากจะอ้วก เอ็งช่วยเอากระโถนมาให้ที!” เสียงแหบพร่าที่ตะโดนลงมาจากบนเรือนทำเอาเปรมต้องกลั้นหัวเราะ เหลือบมองหน้าของคนตัวสูงที่ได้แต่เกาท้ายทอยแก้เขิน ลูกมะเขือเทศสีแดงฉ่ำที่กระจายตัวบนแก้มคนตัวโต ทำไมถึงดูน่ารัก

“อย่าไปสนใจเลยนะจ๊ะ คนแก่ขี้แซวก็แบบนี้”

“ข้าหูดีนะเหวยแม่ดาว รีบๆขึ้นมา ข้าอยากเห็นหน้าผัวของหลาน”

“คุณปู่!!!” เปรมโพล่งกลับแทบจะในทันทีเมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้นไม่ขาดระยะ

“แม่ว่าขึ้นไปบนเรือนกันก่อนดีกว่านะจ๊ะ แดดตรงนี้ร้อน ประเดี๋ยวจะเป็นลมเอา”

“ครับ...มาเปรม เดี๋ยวพี่ช่วย” เพราะรู้ว่าเมื่อคืนทำกับน้องไว้หนัก เลยต้องทำตัวดีช่วยประคองเอวเล็กขึ้นไปด้านบนอย่างเอาอกเอาใจ ซึ่งเปรมก็ไม่ได้ขัดเขิน ทว่าอสุเรนทร์ก็ไม่ได้ทำประเจิดประเจ้อน่าละอายเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ในบ้าน

ดวงดาวมองตามชายหนุ่มสองคนเดินโอบกันขึ้นเรือนด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ในที่สุดลูกชายของเธอก็กลับมามีความสุขได้อีกครั้งหนึ่ง รอยยิ้มของอสุเรนทร์ที่มีต่อลูกชายสุดที่รักของเธอ มันช่าง...อ่อนละมุนเหลือเกิน มีแต่ความรัก ความห่วงหา จริงใจ...เพราะอย่างนี้สินะเปรมถึงได้แบ่งใจกว่าครึ่งให้อีกฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัว เธอไม่บังคับลูกหากลูกจะรักใคร แต่ขอเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น ขอให้เขาคนนั้นรักลูกเธอจริง

และอสุเรนทร์ก็ทำให้เธอเห็นแล้ว

ปู่ไม้และตาเสมาหรี่ตามองเขม็งแทบจะในทันทีที่อสุเรนทร์ก้าวเดินเข้ามาในบ้าน แถมไอ้มือปลาหมึกนั่นยังโอบรัดเอวหลานรักพวกเขาอย่างออกนอกออกตาอีก ไม่อยากจะทำลายความสุขของหลายหรอกนะ

สองบุรุษอาวุโสผู้เกรียงไกรหรี่ตาจ้องร่างสูงประธานบริษัท RAVANA เขม็งแทบจะในทันทีที่เขาเหยียบพื้นไม้เงาวาบ แถมไอ้มือปลาหมึกนั่นยังโอบรัดเอวหลานรักพวกเขาอย่างออกนอกออกตา ไม่อยากจะทำลายความสุขของหลายหรอกนะ แต่ก็อดอารมณ์เสียไม่ได้ หลานที่เลี้ยงมากับมือตั้งแต่เด็ก กำลังตกเป็นของคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่หน้าตาดี รวยล้นฟ้า มีชาติตระกูล มีชื่อเสียง เก่ง ฉลาด การงานมั่นคง นิสัย...ก็...พอเข้ากับคนแก่อย่างพวกเขาได้บ้าง

ถึงจะมีดีรอบด้าน แต่มันต้องพิสูจน์สักหน่อย ว่าคู่ควร ดีพอกับเปรมหลานปู่ไม้กับตาเสมาหรือเปล่า

“ไอ้ไม้ ข้าจะเปิดประเด็น แล้วเดี๋ยวเอ็งพูดสบทบ เอาตามนั้นนะโว้ย” ตาเสมายื่นหน้าซุบซิบเพื่อนเก๋าวัยไล่เลี่ยกันพร้อมจับมือยอมรับข้อตกลงกันและกัน

“ตามนั้นว่ะไอ้ไม้”

สองชายชราชาญฉลาดยกยิ้มให้กันอย่างเจ้าเล่ห์ รอคอยให้ทุกอย่างลงตัวก่อนจะเริ่มทำตามแผน หลานข้ามีคนเดียว ถ้าไอ้หนุ่มนี่ไม่ผ่านด่านของพวกข้าก็อย่าหวังได้แอ้มพ่อเปรมเลย ไม่ยอมยกให้หรอก!

อสุเรนทร์ที่ลอบมองผู้เฒ่าทั้งสองอยู่ก่อนหน้าก็อมยิ้มกรุ้มกริ่ม ถึงจะอ่านใจหรือเห็นภาพอนาคตอย่างชินกฤตไม่ได้ แต่แค่อ่านความคิดความรู้สึกผ่านสายตามันช่างง่ายแสนง่าย เขารู้ว่าพวกท่านกำลังคิดทำอะไร แน่นอนมันเกี่ยวกับเปรมโดยตรงแบบไม่มีเงื่อนไข เพราะเปรมถือเป็นหลานคนโปรด ยกให้ง่ายๆคงไม่ใช่คนของบ้านนี้

เอาสิครับ จัดมาเลย ผมจะทำให้เห็นเองว่าผมจริงใจและรักหลานพวกท่านแค่ไหน

“สวัสดีครับปู่ไม้ ตาเสมา ยายนวล ย่าสา พ่อแอ๊ด”

“ไหว้พระเถิดพ่อหนุ่ม หน้าตาดูผ่องขึ้นนะ”

“ขอบคุณครับยาย”

“เฮ้อ คนสมัยนี้มันยังไงวะ” ตาเสมาเปรยออกมาลอยๆอย่างไม่ต้องต้องการคำตอบ

“นั่นสิวะ ทำหลานข้าร้องไห้เสียใจ ยังมีหน้ามาที่นี่อีก ใจไม่ด้านจริงนี่ทำไมได้นะเว้ย” ปู่ไม้พูดสมทบแล้วเอนพิงเบาะรองนั่ง

“หน้าต้องด้านด้วย”

“แม่...บอกปู่กับตาเหรอ” เปรมหันไปถามแม่เสียงเบา หากทว่าบ้านนี้เต็มไปด้วยคนหูดีเลยได้ยินกันหมด คนรักหลานหวงหลานเลยตอบแทน

“ไม่บอกตาก็จะเค้นจนกว่าจะบอก อุตส่าห์นั่งวิตกเป็นห่วงกลัวว่าหลานเป็นอะไร สรุปเพราะงอนผัว”

“ตา!!”

“อย่ามาขึ้นเสียงกับตานะเปรม เรื่องอื่นตายอมให้ได้ แต่เรื่องนี้ได้กันแบบผิดประเพณีไทยตายอมไม่ได้ เปรมเห็นผมตาไหม มันเครียดจนผมขาวไปหมดแล้ว”

“ผมเอ็งขาวเพราะเอ็งมันแก่หงำเหงือกแล้วไง อย่าโทษหลาน” ย่าเบ้ปากใส่

“ไหนเอ็งบอกเปิดกว้าง ยอมรับแล้วไงวะ”

“สรุปเอ็งอยู่ข้างใครแน่วะไอ้ไม้ ข้าหมายถึงเปิดกว้างชายรักชาย ไม่ใช่ชายเอาชาย ไอ้ห่า!”

“อ่อๆ” คนเป็นปู่พยักหน้าหงึก ก่อนหันมาถามเปรมเสียงซื่อ “ว่าแต่ได้กันไปหรือยังล่ะ”

 “ปู่!!”

“ได้แล้วครับ”

“นั่นปะไร กูว่าแล้ว”

“พี่ทศ!!”

อสุเรนทร์ยิ้มขำ หันมองน้องน้อยคนขี้อายที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเขินลูกเดียว เดือนร้อนถึงสามีสุดที่รักต้องรวบตัวหอมๆของภรรยาคนงามมากอดปลอบ และให้ศีรษะทุยๆอิงซบอกกว้างของตนราวเป็นที่พักพิง พร้อมลูบกลุ่มผมอย่างเอ็นดู

“อายหรือไงเรา”

“อายสิ”

“น่ารักจริง”

“พี่ทศอ่า” อดไม่ได้ที่จะหอมกลุ่มผมนั่นให้ชื่นใจ

คนบ้านโรจนวาทิตย์มองหน้ากันอย่างนึกทึ่ง ประมุขหน้าคมเข้มเลยออกโรงบ้าง ส่งเสียงกระแอมหนักเมื่อคู่รักคู่ใหม่แสดงความรักประเจิดประเจ้อไม่อายฟ้าดิน

“ทุกคนยังนั่งอยู่นะไอ้หนุ่ม”

“ขอโทษครับพ่อ พอดีลูกพ่อน่ารักจนผมอดใจไม่อยู่” ไม่ว่าเปล่ายังก้มลองมองร่างในอ้อมกอดด้วยสายตาหวานเยิ้ม

“ไอ้นี่มันตรงนี้เนอะแม่เนอะ” พูดอะไรออกมา ก็แสดงออกมาอย่างนั้น นับว่าถูกใจคนแก่หวงหลานอย่างปู่ไม้ไม่น้อย นี่ถ้าไม่เห็นว่าตามตื้อหลานเขามานาน แล้วบอกไอ้หมอเป็นนักแสดงเขาก็เชื่อนะ

“ทศจ๊ะ”

“ครับ”

“แม่กับพ่อก็ไม่ได้ว่าหรอกนะถ้าเราจะคบกับเปรม แต่แม่ขออย่างหนึ่งได้ไหม”

อสุเรนทร์นั่งเงียบ รอฟัง

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอได้ไหม อย่าเลิกรักลูกชายของแม่”

ริมผีปากหุบยิ้มลงเรื่อย ร่างสูงผละคนรักออกจากอกอุ่นแล้วลุกออกไปท่ามกลางความงุนงงของทุกคน ทว่าไม่นานนักเขาก็กลับมาใหม่พร้อม แพขมาทรงเครื่องพานหนึ่ง  คนเป็นผู้ใหญ่เบิกตามองกว้าง ตกตะลึง แม้กระทั่งเปรมยังอดตกใจไม่แพ้กันอสุเรนทร์ย่อตัวนั่งในท่าชันเข่า และมองทุกคนด้วยแววตาจริง

“คุณทศ”

“พ่อหนุ่ม...”

“อันที่จริงผมไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้ แต่ที่ผมทำ ผมทำเพื่อความสบายใจของทุกคน”

“...”

“ที่คุณแม่ถามผมเมื่อครู่ ถึงคุณแม่ไม่ขอ ผมก็ไม่มีวันเลิกรักเปรมอยู่แล้วล่ะครับ” รอมาตั้งหนึ่งสหัสวรรษ ถ้าเลิกรักง่าย เขาจะลงทุนรอมานานเพื่ออะไร “ถามว่าผมจริงใจมากแค่ไหน ผมตอบได้เลยว่าผมยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุข ถามว่าผมรักเขามากแค่ไหน” อสุเรนทร์มองตาคนรัก “ผมคงตอบไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรบนโลกนี้เปรียบกับความรักที่ผมมีต่อเปรมได้ ผมรักเปรมมาก ผมอยากให้เขาเป็นของผม รักเพียงแต่ผม มีความสุขที่ได้เป็นคู่ชีวิตที่อยู่เคียงข้างกันจนแก่เฒ่า”

“พี่ทศ”

“ถ้าเปรียบผมเป็นทศกัณฐ์ ถึงเขาจะดูเลว ป่าเถื่อนกับคนอื่นๆ แต่กับคนรักเขาไม่เคยทำให้เธอเสียใจเลยสักครั้ง ผมเองก็เช่นกัน...ผมจะไม่ทำให้เปรมต้องเสียใจเพราะการกระทำชั่ววูบของผมอีก”

“...”

“ได้โปรด...รับแพขมาแพนี้แทนคำขอโทษที่ผมได้ล่วงเกินเปรมด้วยนะครับ”

เรียกได้ว่าอึ้งกันทั้งบ้าน จัดหนักจัดเต็มกันเสียขนาดนี้ ไม่ให้อภัยให้ก็ดูน่าเกลียดเกินไป ยิ่งเจ้าเปรมนั่งก้มหน้าร้องไห้ไปแล้ว

“คนเป็นพ่อเป็นแม่รับสิ พ่อหนุ่มเขาทำถึงขนาดนี้” ย่าสาสะกิดเรียกลูกสะใภ้ให้ตื่นจากภวังค์

“แต้ว เอ็งอยู่ไหมวะ ช่วยเอากระโถนมาให้ข้าที อยากอ้วก!” ตาเสมากรอกตามองบน เอียนกับคำพูดของ (ว่าที่) หลานเขย นี่ก็นึกว่านั่งฟังเจ้าบ่าวเอ่ยความในใจกับเจ้าสาวในงานแต่งงาน

“พูดอย่างนี้ แห่หันหมากมาขอเลยไหมไอ้หนุ่ม” ปู่ไม้ถาม ทำเป็นพูดดีไป เดี๋ยวได้เจอฤทธิ์ของพวกข้าแล้วจะกลับบ้านไม่ถูก

“ได้เหรอครับ”

“เร็วไป...เร็วไป หลานรักของข้า ข้าไม่ยอมยกให้ง่ายหรอก”

“...”

“อยากให้พวกข้ายกโทษให้ใช่ไหม”

“ครับ”

สองชายชรายิ้มกริ่ม หัวเราะในลำคอแบบตัวร้ายในละครหลังข่าว ต้องขอบยายแก่พวกนั้นที่ชอบเปิดมันดูตอนค่ำๆ

“ดวลเหล้ากับข้าหน่อยสิ ถ้าชนะ เอาหลานข้าไปเลย ยกให้ฟรี!”




เอาล่ะสิพี่ทศ อยากได้หลานเขาก็ดวลเหล้ากับปู่ไม้ ตาเสมาสักตั้งนะ 5555


เนื้อหายังไม่จบ ต่อด้านล่างจ้า
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๑: ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/12/5
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 20-12-2016 21:53:13
ต่อๆๆๆๆ




ไม่รู้จะห้ามใครก่อนดีระหว่างบรรดาคุณปู่ คุณตาคนคอแข็ง

หรือ...

อสุเรนทร์ผู้กล้าคนแรกและคนสุดท้ายในการดวลเหล้าขาวสี่สิบดีกรีในค่ำคืนนี้

“พี่ทศพอเถอะ ปู่ด้วย ตาก็อีกคน พอเถอะครับ หมดไปหลายขวดแล้วนะ”

มองสภาพแต่ละคนแล้วเกินเยียวยากันจริงๆ บริเวณลานกว้างของบ้านเรือนไทยตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนของสุรา ขวดทรงยาวสีเข้มหลายขวด บ้างก็ตั้งตรง บ้างก็นอนกลิ้งระเนระนาดไม่ต่างไปจากคนดื่มสักเท่าไหร่นัก เปรมเงยมองนาฬิกาแล้วก็พบว่ามันเลยหนึ่งทุ่มไปได้สักพักใหญ่แล้ว ดื่มตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน จนบัดนี้พระจันทร์ขึ้นมาแทน ก็ยังไม่มีทีท่าจะเลิกราง่ายๆ

“น้องเปรม...เปรมจ๋า อึก เปรม”

“ครับ รู้แล้ว ไม่ต้องเรียกชื่อ หยุด ไม่ต้องดื่มแล้ว”

“อยากกอดเมีย ไปๆ เข้าห้องกัน”

“ข้า อึก! ไม่ให้เอ็งหรอกไอ้หนุ่ม วันนี้หลานเปรมต้องนอนกับข้าเว้ย” ตาเสมาที่ยังพอมีสติอยู่บ้างมองเขม็งใส่ว่าที่หลานเขยอย่างไม่ยอม แม้จะรู้ตัวดีว่ากำลังพ่ายแพ้ให้แก่ไอ้หนุ่มคอทองแดงตรงหน้า แต่นี่หลานเปรมสุดที่รักของเขาเชียวนะ จะยอมยกให้ง่ายๆได้ยังไงกัน สมบัติของตระกูล ยกให้ง่ายก็ไม่ใช่ของมีค่าน่ะสิ

“ไหนตาบอก อึก! จะยอมยกเปรมให้ถ้าผมชนะ”

“ก็นั่นมันตอนนั้น ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว หรือเอ็งอยากมีปัญหา บอกไม่ให้ก็ไม่ให้สิวะ”

“ตาอย่ามาพรากเมียไปจากอกผมสิ”

“เรื่องของเอ็ง”

“เดี๋ยวผมซื้อของมากำนัลให้”

“ไม่โว้ย”

“เสื้อผ้าใหม่ ใส่สบายๆ”

“ไม่จำเป็น ข้าชอบใส่ของเดิม”

“ถ้าไม่ยกเปรมให้ ผมจะฉุดเขาหนี หนีเลยนะตา” อสุเรนทร์คว้าคอร่างบางมากอดแล้วเอียงคอซบไหล่ออดอ้อน “เราจะหนีไปด้วยกันใช่ไหมจ๊ะเมียจ๋า”

“พี่ทศ พอๆ”

“หนีไปอยู่กรุงลงกากัน เดี๋ยวพี่จะเลี้ยงดูอย่างดี”

“เอาไงดีครับพ่อ แม่” เปรมชักทนไม่ไหว หันไปปรึกษาพ่อกับแม่ที่เพิ่งเดินเข้ามา ยืนกอดอกมองสภาพชายคนละวัยพร้อมทอดถอนหายใจเหนื่อยหน่าย

สภาพแต่ละคนช่างอเนจอนาถเหลือเกิน

“นึกว่าจะแข่งกันเล่นๆ ที่ไหนได้ จัดหนักจัดเต็ม พ่อนะพ่อ...ห้ามก็ไม่เคยฟัง” กษิดิษบ่นพร้อมพยายามงัดปู่ไม้ที่นอนสลบไสลกอดขวดเหล้าอยู่ข้างเสาให้ลุกนั่ง และใช้อีกมือหนึ่งประคองคนแก่เอาแต่ใจอีกคนเข้ามาใกล้ๆ “เดี๋ยวพ่อพาปู่กับตาไปเอง ส่วนลูกก็พาคุณทศไปนอนพักในห้องซะ”

“ปล่อยข้าเว้ยไอ้แอ๊ด พวกข้ายังดวลกันไม่ อึก เสร็จ”

“สภาพเน่าขนาดนี้พ่อยังจะแข็งอีกเหรอ ไปๆ เดี๋ยวผมไปส่งเข้านอน”

“ข้าไม่ไป!” ตาเสมาโวยวายลั่นบ้านจนลูกสะใภ้อย่างดวงดาวต้องถลาตัวเข้าไปช่วยสามีจับชายชราเอาไว้ เพราะกลัวจะก้าวสะดุดแล้วล้มหัวฟาดพื้น มันคงไม่ดีแน่ๆถ้าให้คนแก่ขี้โมโหเข้าโรงพยาบาลอีก

“พาคุณเขาไปนอนซะเปรม”

“ครับแม่”

เปรมมองทั้งสี่คนเดินหายลับไปทางก่อนจะหันมองอีกคนที่ทำตัวเป็นลิงเกาะแขนเกาะเอว นั่งทำตาหวานเยิ้มใส่อย่างไม่ดูอายุตัวเอง เขาหัวเราะแล้วตีแขนมีมัดกล้ามแรงๆไปหนึ่งที

“ยิ้มอะไร”

“เปรมจ๋า”

“อะไรครับ”

“วันนี้พี่ขอนอนกอดเปรมอีกสักคืนนะ”

“ไม่เอา ตัวพี่เหม็น”

“นะๆ ไม่เหม็นหรอก”

“อย่าดื้อสิพี่ทศ”

“โอ้ย รู้สึกมึนหัวจังเลย” ว่าจบก็เอียงศีรษะพิงไหล่แคบ มือตวัดเกี่ยวรัดเอวอีกฝ่ายแน่นขึ้นแล้วลูบไล้เบาๆ เปรมสะดุ้งโหยงรีบผลักคนเมาหื่นกามออก หากทว่าคนเมาคนนั้นดันเล่นยาม มือเหนียวหนึบประดับตุ๊กแกผสมปลาไหลที่ชอบทำให้อารมณ์เขาวูบวาบ หน้าร้อนผ่าว

“เอามือออกไปเลยพี่ทศ”

“ปวดหัวจัง”

“อย่าแกล้งเปรมสิ”

“แกล้งที่ไหน...ช่วยพี่นะ พี่ปวดหัว พี่เดินไม่ไหวเลย” ร่างสูงร้องออกมาพร้อมยกมือจับหัวที่ปวดจี๊ดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไถลหน้าไปซบอกนุ่มนิ่ม และแอบอมยิ้มเมื่อฟังเสียงหัวใจที่เต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะของคนรัก

“ไม่เคยเชื่อกันบ้างเลย บอกแล้วว่าอย่าดื่มเยอะ”

“ไม่ดื่มพี่ก็อดเป็นลูกเขยบ้านนี้สิ หรือเปรมคิดจะทิ้งพี่ไปแต่งกับคนอื่น พี่ไม่ยอมหรอกนะ”

“เมาจนเพ้อเจ้อกันไปใหญ่แล้ว เฮ้อ เดี๋ยวผมพาไปนอนในห้องก่อนแล้วกัน”

“เปรมไม่นอนกับพี่เหรอ”

“ผมจะไปนอนกับแม่”

“ไม่เอา!” คนเมาโวยวาย “เปรมต้องไปนอนกับพี่”

“พี่ทศอย่าดื้อ”

“ใช่สิ ได้พี่แล้ว เลยจะทิ้งให้พี่นอนว้าเหว่คนเดียวใช่ไหมล่ะ เอาเถอะ ก็พี่มันคนไม่สำคัญ เปรมเลยไม่อยากสนใจใยดีสักเท่าไหร่” อสุเรนทร์เอ่ยเสียงเรียบพลางสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นอย่างงอนๆ เปรมยิ้ม มือเรียวเอื้อมไปจับปลายคางของคนขี้งอนให้ยอมหันหน้ามาสบตาแต่ทว่าดวงตาคมกลับแกล้งทำเป็นเมินมองไปทางอื่นอย่างจงใจให้รู้ว่าจะไม่ยอมหายโกรธง่ายๆ
ร่างบางโน้มศีรษะเข้าใกล้ แล้วก็ประทับริมฝีปากบางลงตรงเคราหนวดเขียวอ่อนใต้ริมฝีปากล่างอย่างแผ่วเบา ประกายตากรุ้มกริ่มฉายชัดชั่วพริบตาเดียวก่อนหายไป

“เมาแล้วพูดมากจังครับ นอนก็นอน แต่คืนนี้นอนอย่างเดียวนะครับ ห้ามทำอย่างอื่น”

“ถ้าบรรยากาศมันพาไปล่ะ”

“ผมจะเป็นคนดับมันเอง”

“ใจร้าย พี่สัญญาพี่จะทำเบาๆ”

“ไม่”

“เข้าห้อง เดี๋ยวก็รู้”

“เมื่อกี้พูดอะไรนะครับ”

“พี่บอกยอมแล้ว”

อสุเรนทร์ยิ้มกริ่ม แกล้งทำตัวไร้เรี่ยวแรงขณะอีกฝ่ายฉุดรั้งให้เขาลุกเดินตามเข้าไปในห้องนอน ที่นี่ยังเหมือนเดิม หอม...หอมกลิ่นกายของเจ้าของห้อง มันตลบอบอวนไปทั่วบริเวณ โชยชายพาดผ่านแตะจมูกจนต้องเผลอสูดดมกลิ่นเอกลักษณ์อย่างเผลอไผล

หากเป็นไปได้ เขาก็อยากดอมดมมันทุกวันและ...ทั้งคืน

แสงจันทร์ในยามนี้ช่างผุดผาดไม่ต่างไปจากเรือนกายของคนข้างๆ อสุเรนทร์มองคนรักด้วยความหลงใหล ไม่ว่าเปรมจะทำอะไร พูดด้วยน้ำเสียงสีหน้าท่าทางแบบไหน เขาก็ชอบทั้งนั้น บอกได้เต็มปากเต็มคำ ตอนนี้ในหัวใจเขาปราศจากนางสีดาโดยสิ้นเชิง นางคือใคร ไม่รู้จัก มีความสำคัญกับเขายังไงในอดีตเขาไม่สน ความรักที่เคยมอบให้นางในอดีตกาลยังมิอาจเทียบเท่าความรู้สึกอิ่มเอมใจ เปี่ยมล้นไปด้วยรักที่มีต่อบุคคลตรงหน้า


ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน

-นิราศภูเขาทอง-


“ทีหลังอย่าคิดทำอะไรเกินตัวอีกนะครับ” เปรมบอกขณะลากผ้าชุบน้ำเย็นไปตามหน้าผาก กรอบหน้าลากผ่านไปยังต้นคอ

“เป็นห่วงพี่เหรอ”

“เปล่า”

“เปล่า แล้วเจ้ามะเขือเทศสองลูกที่ประดับอยู่บนแก้มน้องทั้งสองข้างคืออะไรเหรอ”

“พี่ทศ อย่าล้อเปรม”

“ก็เมียพี่น่ารักนี่” พลางลากสังขารเข้ามาหาร่างบางว่าแล้วก็กดจมูกลงกับซอกคอ สูดกลิ่นรัญจวนให้ชุ่มปอด ร่างบางสะดุ้งตกใจตีแขนเขาเสียยกใหญ่ จากลูกมะเขือเทศสองลูกก็กลับกลายมาเป็นไร่มะเขือเทศ อสุเรนทร์ยิ้มขำ เอาเถอะ ถึงน้องจะตีพี่สักเท่าไหร่ แรงแค่ไหน พี่ก็ไม่รู้สึกหรอก

“นี่เมาจริงหรือเปล่า พี่กำลังหลอกเปรมใช่ไหม”

“เมาจริงๆ”

“เชื่อได้ที่ไหน”

“แต่ไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้...มันเมาเพราะฤทธิ์น้ำเหล้า หรือเมาเพราะรักน้องกันแน่”

เชื่อเถอะ ไม่ว่าใครที่ได้ยินประโยคนี้จากปากนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อชื่อดังต้องเป็นอ่อนระโหยโรยแรงกันเป็นแถบ ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กหนุ่มผู้ไร้เดียวสาอย่างเปรม นั่งเบิกตากว้างหน้าแดงแจ๋อย่างทำอะไรไม่ถูก

น่ารักน่าหยอกเสียจริงเมียพี่

“แต่พี่ว่าต้องเป็นเพราะเมารักของน้องมากกว่า ดูสิเมาจนไม่รู้จะเผื่อใจไปให้ใครแล้ว” ยิ่งรู้จักก็ยิ่งหลงใหล ยิ่งหลงใหลก็ยิ่งรัก พอยิ่งรักมากก็ไม่อยากให้ห่างไปไหน เปรมจ๋า เปรมทำเสน่ห์ใส่พี่หรือเปล่า เหตุไฉนพี่จึงหลงรักน้องหัวปักหัวปำเช่นนี้

“เปรมจ๋า”

“ค...ครับ” เปรมพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักตื่นเต้น ยามมือใหญ่ลากผ่านไปตามจุดต่างๆของร่างกาย ก่อนวกมาโอบอุ้มใบหน้าของเขาไว้เงยขึ้นมองสบกัน

“ยังจำกำไลที่ครูจันทร์ให้ไว้ได้ใช่ไหม”

“ครับ” พยักหน้าตอบกลับ หากมิวายเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย

“อยู่ไหนเสียล่ะ”

“ผมเก็บไว้ในลิ้นชัก พี่รู้เรื่องนี้ด้วยหรือครับ”

ก้านนิ้วเรียวดึงลิ้นชักด้านบนสุดเปิดออกพร้อมหยิบกล่องไม้กล่องหนึ่งมาวางไว้บนตัก ด้านในปรากฏกำไลทองเส้นเล็กนอนแน่นิ่ง ส่องแสงเรืองออกมาทักทายเล็กน้อย “ผมไม่รู้ทำไมครูจันทร์ถึงให้ผมมา ทั้งๆที่มันมีค่าขนาดนี้”

“เพราะเปรมมีค่ายังไงล่ะ”

“...”

ของมีค่าย่อมคู่ควรกับคนที่มีค่า

ความเย็นวาบสัมผัสเนื้อกายนุ่มทันทีที่กำไลทองฉลุลวดลายสวยงามสวมใส่ข้อมือเขา เสมอเหมือนบ่วงรักที่กำลังคล้องพวกเขาสองคนไว้

“ดีแล้วที่ปฏิเสธ ไม่อย่างนั้นคนให้คงเสียใจแย่

“พูดอย่างกับพี่เป็นเจ้าของกำไลเส้นนี้” เปรมแกล้งถามอย่างขำๆ

“ถ้าพี่บอกว่าใช่ล่ะ” อสุเรนทร์ยิ้มบางแล้วลูบกำไลบนข้อมือเล็กอย่างทะนุถนอม ช้อนสายตาขึ้นสบตาหวานล้ำ “ถ้าพี่บอกเป็นเจ้าของกำไลวงนี้ เปรมจะเชื่อหรือเปล่า”

“พี่...”

“ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของ ครูจันทร์หรือพี่ แต่พี่ก็อยากให้เราสวมมันไว้ตลอด”

“เปรมไม่กล้าใส่หรอก ถ้าหายมา เปรมคงรู้สึกแย่มากแน่ๆ”

“ไม่หายหรอก และต่อให้มันหายจริง เปรมก็จะหามันเจอ”

เพราะกำไลวงนี้ต่อให้มีคนเอามันไป สุดท้ายมันก็ต้องวกกลับมาอยู่กับเจ้าของเดิมอยู่ดี

“ถือว่าพี่ขอ ห้ามถอดเด็ดขาด”

“ทำไมเปรมต้องใส่ด้วยล่ะครับ”

“เพราะพี่ไม่อยากห่างเปรมไปไกลอีกแล้ว”

กำไลวงนี้อาจดูเหมือนกำไลธรรมดาทั่วไป แต่แท้จริงแล้วมันมีความพิเศษเมื่อจิตของคนสองคนเชื่อมถึงกัน เขาจะสามารถรับรู้ถึงตัวตนของเปรมได้ทุกเมื่อ ต่อให้น้องน้อยอยู่ในที่ไกลแสนไกลแค่ไหน ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ณ แห่งหนใด เขาจะรู้ทุกอย่าง

“สัญญากับพี่ว่าจะไม่ถอดมันออก...ได้ไหม”

เปรมก้มลงมองกำไลสลับใบหน้าคมคาย เขาอยากจะปฏิเสธมากเหลือเกิน แต่ทว่าปากกลับไม่ขยับพูดตามสิ่งที่คิดสักนิดเดียว นึกสงสัยตนเองไม่น้อย เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าอสุเรนทร์เอ่ยขอร้องสิ่งใด เขามักเชื่อฟังและทำตามเสมอ เปรมไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเฉกเช่นการถูกบังคับฝืนให้ทำ หากในหัวใจลึกๆ เขาออกจะเต็มใจทำมันเสียด้วยซ้ำ

“ถ้าพี่ขอเปรมก็จะไม่ถอดมันครับ”

“ดีแล้วล่ะ ดีมากเลย”

สองกายประสานกอดกันไว้อย่างแนบแน่น เปรมหลับตายามริมฝีปากอุ่นทาบทับลงบนหน้าผากอย่างอ่อนโยน แช่มช้า  นุ่มนวล ก่อนลากไล้ลงมาตามสันจมูกและหยุดลงที่กลีบกุหลาบบางสีสด เรียวลิ้นอุ่นร้อนแตะแทรกผ่านไรฟันขาวเพื่อเก็บเกี่ยวความหอมหวานจากโพรงปากและลิ้น  อสุเรนทร์มอมเมาเขาด้วยรสจูบหวานละมุน ดึงให้เขาตกสู่ห้วงปรารถนา

เสียงจูบดังอย่างจาบจ้วง แต่ก็ดังได้เพียงไม่นานเมื่อร่างน้อยทุบอกสองสามทีเพื่อประท้วงขออากาศหายใจ อสุเรนทร์มองใบหน้าสวยที่แนบชิดติดกัน ขบเม้มริมฝีปากบางอย่างยับยั้งชั่งใจ

“พี่รักเปรมนะ”

“...”

“รักสุดหัวใจ”

“บอกทุกชั่วโมง ไม่เบื่อบ้างหรือครับ” เปรมหัวเราะในลำคอเล็กน้อย

“ถ้ามันทำให้เปรมรู้สึกดี พี่ยอมพูดชั่วชีวิต”

“ผมขอถามสักอย่างได้ไหม”

“ถามมาสิ”

เปรมเอนกายพิงซบที่บ่าแกร่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตัวเล็กน่ารักจิ้มลิ้มเหมือนผู้ชายคนอื่นในสมัยนี้ แต่ร่างกายของเขามันกลับพอเหมาะพอดีที่จะซุกซบกับคนคนนี้ คนที่ชอบพร่ำบอกรักทุกครั้งที่เจอหน้า รู้สึกดีและอิ่มเอมใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“พี่ทศจริงจังกับเปรมจริงใช่ไหม”

“ทำไมถึงถาม”

ต้นแขนใหญ่โอบรัดแน่นขนัด ก้มลงสูดความหอมจากกลุ่มผมนุ่มที่คลึงเคล้าข้างแก้ม เขาไม่เข้าใจ ในเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่าเขารักมากขนาดไหนแล้วทำไมต้องถามอีก

“ไม่มั่นใจในตัวพี่เหรอ”

“เปล่า เปรมไม่มั่นใจในตัวเองต่างหาก” อสุเรนทร์เลิกคิ้วแปลกใจ กวาดมือรอบไหล่เล็กแล้วดึงรั้งให้แนบชิดกว่าเดิม

“เปรมไม่อยากทำร้ายหัวใจของใคร โดยเฉพาะคนที่รักเปรมมากอย่างพี่ทศ”

“งั้นก็รักพี่ให้มากขึ้นสิ” เอ่ยกระซิบข้างหูเบาๆขณะริมฝีปากคลอเคลียไม่ห่าง และกดลงมาตรงหลังต้นคอ นิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับต้องการให้ความร้อนค่อยๆแผ่กระจายไปทั่วร่าง

เปรมขยับตัวหา สบตาอีกฝ่าย

“รอเปรมหน่อยนะ ถ้าเปรมมั่นใจเปรมจะบอกคำนั้นให้พี่ฟัง”

“เรื่องนั้นต่อให้นานแค่ไหน พี่ก็จะรอ”

“...”

แต่ตอนนี้...ขอเลยได้ไหม ไม่อยากรอแล้ว





พี่ทศคนบ้าาาาา  ไม่รงไม่รออะไรแจ๊ะ :o8: :-[ :impress2: คิดจะย่ำยีน้องเปรมเขาท่าเดียว ช่างเป็นยักษ์ที่หื่นเสียนี่กระไร
วันนี้มาลงดึกอีกแล้ววว ฮือ กลับมาปุ้บก็รีบลงให้ทันที หาากพบคำผิดก็โปรดอภัยให้เราด้วย
วันนี้พิมพ์ไม่ไหวล่ะคะ่ ไว้เจอกันครั้งหน้านะคะ
ขอให้อ่านอย่างมีความสุข จุ๊บๆ  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๑: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-12-2016 22:31:10
ให้คะแนนเชียร์พี่ทศเต็มที่ เพราะพี่ทศรักเปรมไม่ได้พร่ำเพ้อว่าเปรมคือนางสีดา
ในขณะที่รามยังยึดติดว่าเปรมคือสีดา
:mew1: :mew1: :mew1: :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๑: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 20-12-2016 22:33:40
ตอนนี้ยกให้หนูอิน นางเท่มากจริงๆ
มาดราชินีสุดๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๑: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 21-12-2016 00:06:55
แอบเห็นคำผิด แต่ก็ยังฟินไม่หลุดฉุดไม่อยู่ อิอิ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๑: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 21-12-2016 00:27:50
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๑: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: som ที่ 21-12-2016 01:36:10
เฮียทศหื่นวะ  ทุกตอนเลย  ฮ่าฮ่าฮ่า
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๑: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 21-12-2016 07:14:24

ก็คน(ยักษ์)มันรัก

พี่ทศ......

แอบกินน้องอีกแล้ว

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๑: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 21-12-2016 10:44:12
 :impress2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๑: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 21-12-2016 19:00:23
รักท่านทศหนักมาก
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 22-12-2016 12:03:50
บทที่ ๑๒
[/b]




ณ สนามบินระดับประเทศของไทยอย่างสุวรรณภูมิต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสารมากหน้าหลายตา หลากหลายเชื้อชาติ
ร่างสะโอดสะองของหญิงสาวโซนเอเชียก้าวออกมาจากประตูฝั่งขาเข้า ใบหน้าสวยถูกปกปิดด้วยแว่นกันแดดแบรนด์เนมราคาแพง ทว่าก็ไม่สามารถปิดบังรัศมีความงามของเธอได้แม้แต่น้อย เส้นผมสีดำขลับยาวเหยียดตรงถึงกลางหลังพลิ้วไสวไปตามแรงปัดของเจ้าตัว ต่างหูระย้าเคลื่อนไหวตามจังหวะการก้าวเดิน

เธอกวาดสายตาเพื่อมองหาใครสักคนก่อนจะหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง เขากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางเธอพร้อมรอยยิ้มจริงใจ หญิงสาวถอดแว่นกันแดดแล้วดันมันขึ้นคาดเรือนผมสวย

นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นรอยยิ้มสว่างไสวของคนคนนี้

“ยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทยครับนานะ”

หญิงสาวลอบสำรวจชายหนุ่มตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า เขายังคงรักษาความสง่า ภูมิฐานได้เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิดเพี้ยน แถมใบหน้าที่คาดว่าจะดูแก่ลงตามช่วงอายุที่เพิ่มขึ้นทุกๆปีกลับดูผุดผ่อง อ่อนวัยราวหนุ่มแรกแย้ม หากบอกชายตรงหน้าเป็นลูกหลานตระกูลแวมไพร์ มีชีวิตอมตะ เธอก็เชื่อ

“คุณดูไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”

“แต่คุณเปลี่ยนไปมากเลยนะครับ สวยขึ้นมากทีเดียว”

“ขอบคุณที่ชม แต่ใครๆเขาก็ว่าอย่างนั้น” ชายหนุ่มหัวเราะเบาในลำคอ เดินอ้อมมาช่วยเข็นกระเป๋าเดินทางซึ่งดูท่าน้ำหนักไม่น่าจะต่ำกว่าห้าสิบกิโลกรัมไปตามโถงทางเดิน

“ไม่ได้เจอกันนานสบายดีใช่ไหมคะคุณลุค อ่อ ไม่สิ ถ้าอยู่ไทยคุณชื่อลักษณ์ใช่ไหม”

“ใช่ ศุภลักษณ์ คือชื่อของผม ถ้าคุณยังจำได้”

“ชื่อของคนที่ช่วยฉันไว้ ฉันไม่มีวันลืมหรอกค่ะ” เพราะต่อให้อยากลืมยังไง เธอก็ลืมไม่ลง “ว่าแต่ที่เรียกฉันมาที่นี่...มีเรื่องอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่อยากให้คุณมาเที่ยวที่เมืองไทยบ้าง เผื่อวันดีคืนดีคุณถูกใจหนุ่มไทย ผมจะได้ช่วยเป็นพ่อสื่อให้ได้”

“แหม รู้สึกเป็นเกียรติจังเลยนะคะ”

ไฟหน้ารถกระพริบอยู่สองครั้งก่อนศุภลักษณ์จะจัดการยกกระเป๋าเดินทางขึ้นท้ายรถ แต่กว่าจะยกได้ก็เล่นเอาเหนื่อยหอบทีเดียว ถ้าเทียบระหว่างน้ำหนักของเขาและน้ำหนักกระเป๋า มันต่างกันไม่ถึงสิบห้ากิโลด้วยซ้ำ เขาอยากรู้นัก ในกระเป๋าใบโตเธอใส่อะไรเข้าไปบ้าง

“ดูจากน้ำหนักกระเป๋า กะมาอยู่นานเป็นเลยใช่ไหมครับ”

“คุณลักษณ์ก็พูดไปค่ะ ที่ฉันเอามาก็มีแค่ของจำเป็นที่ต้องใช้เท่านั้น”

“จำเป็นต้องใช้เยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ”

“คุณไม่เข้าใจหัวอกผู้หญิงหรอกค่ะ เราหยุดสวยกันไม่ได้” เพราะถ้าหยุดสวยเมื่อไหร่ นั่นหมายถึงโอกาสในเรื่องการงานอาชีพ ผู้ชายที่เล็งเอาไว้ อาจจะมลายหายไปในพริบตา

“ผมไม่ค่อยเข้าใจหัวอกลูกผู้หญิงสักเท่าไหร่ แต่อย่างคุณถึงแต่งตัวธรรมดา ไม่แต่งหน้าไม่น่ามองเท่าผู้หญิงคนอื่น ผมก็ยังคิดว่าคุณสวยอยู่ดี”

“...”

“เดี๋ยวผมคาดให้นะ”

“โอ้ ขอบคุณนะคะ” นานะฉีกยิ้มหวานหลังจากชายหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นผู้มีพระคุณของเธอเอื้อมมาดึงสายเบลท์คาดให้ พวงแก้มน้อยแดงระเรื่อตัดกับสีผิวขาวเกือบซีดของเธอ หัวใจที่นิ่งสงบมานานกลับเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ...อีกครั้งที่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนเดียวเมื่อสิบห้าปีก่อน

เขายังดีคงเส้นคงวาไม่มีเปลี่ยนสักนิด

จากเด็กน้อยข้างถนนในรัฐชิคาโก้ กลายมาเป็นดีไซน์เนอร์อันโด่งดังที่มีแต่คนชื่นชม ให้ความสนใจ ความทรงจำในวันวานผุดขึ้นมาทุกขณะ ภาพของชายหนุ่มโซนเอเชียที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้ายังคงตรึงตาตรึงใจเธอทุกวินาที หากไม่มีเขาเธอก็คงไม่มีวันนี้ สาบานได้เลย ถ้าเขาต้องการให้เธอทำอะไร แม้จะเป็นเรื่องดีหรือเลวร้ายสักแค่ไหน เธอก็จะขอทำมันเพื่อทดแทนบุญคุณที่ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้งก็ยังมิอาจแทนทดได้หมด

“นี่เราจะไปไหนกันคะ”

“ผมจะพาคุณไปทำความรู้จักกับพี่ชายของผม”

“พี่คุณคือ...”

“เจ้าของร้านรามาจิวเวอร์รี่ในรัฐวอชิงตันและคนที่ส่งทุนให้คุณเรียนต่อจนจบ ราเมนทร์ อัศวรานนท์ หรือที่คุณรู้จักในชื่อ มิสเตอร์ซี”



บนโลกนี้ใครจะมีความสุขเท่าอสุเรนทร์คงไม่มีอีกแล้ว ใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มแทบตลอดเวลา ดวงตาที่คอยจับจ้อง ส่งความห่วงใย รักใคร่ให้กับคนรักอย่างไม่มีปิดบัง ผู้ชายที่มีหน้ามีตาทางสังคม กล้าพูดถึงเรื่องคนรักอย่างไม่แคร์สายตาหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ของใคร คนที่เป็นตัวของตัวเองแบบที่สุดของที่สุด

จนคนรอบข้างเริ่มนึกเอือม

“อากฤตรู้สึกแถวนี้มันแปลกๆหรือเปล่าครับ เหมือนผมจะเห็นท้องฟ้าเป็นสีชมพู พอลมพัดมาไอ้กลิ่นอายความรักนี่ลอยหึ่งเชียว” รณพักตร์ย่นจมูกฟึดฟัด หรี่ตามองคนที่กำลังนั่งเท้าคาง ยิ้มหน้าบานอยู่ใต้ต้นจันบนเรือนทศราชย์ราวคนไข้ในแผนกจิตเวช

ชินกฤตยิ้มแกมขำเมื่อได้ยินหลานชายตัวแสบพอๆกับคนเป็นพ่อเอ่ยแซว ก็ไม่ได้อยากเห็นด้วยกับคำของเจ้านี่เสียเท่าไหร่ ทว่าภาพตรงหน้ามันกลับฟ้องอยู่ทนโท่ว่าท่านประธานที่เคารพรัก ในเวลานี้ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มผู้ซึ่งตกอยู่ในอาการตกหลุมรัก หรืออย่างที่เจ้าอินชอบบอกเขาเป็นประจำ ทศกัณฐ์อินเลิฟ

“สงสัยคงโดนอาถรรพ์พ่อเปรมเล่นงานหนักหน่วง โอ...เป็นเอามากเหลือเกินครับอากฤต อินรับไม่ได้”

รณพักตร์ถึงกับส่ายหัวเหนื่อยหน่ายเมื่อเจ้าของตำแหน่งประธานรูปหล่อขวัญใจคนทั้งประเทศและเจ้าของหัวใจนักแสดงตัวนางสีดาชื่อดังยังคงนั่งเหม่ออยู่เหมือนเดิม

“ดูท่าจะบ้าจริงแฮะ เฮ้แด๊ด อาร์ยูโอเค้?”

“...”

เงียบ ไร้สัญญาณตอบกลับ

“แด๊ดดี้? Are you hear me?”

“เยส...แอม โอเค กู๊ดซัน”

“อุบ๊ะ! พระบิดาสปีคอิงลิช oh my Buddha.......It's really? seriously? อากฤต! พระบิดาสปีคอิงลิชล่ะ” รณพักตร์บอกด้วยอาการหน้าตาตื่น

แล้วมันน่าแปลกตรงไหน

“อย่าเยอะตามพ่อเจ้าสิเจ้าอิน”

“โธ่อา นานๆจะได้ยินสำเนียงอเมริกันจากปากพระบิดาสักที มันเลิศมากอ่ะ เลิศสุดๆ” ชินกฤตพ่นลมหายใจยาวเหยียดไปทีหนึ่ง พยายามไม่สนอาการระริกระรี้ของหลายชายแล้วหันหน้ากลับมาทางอสุเรนทร์แทน “แล้วนี่ท่านพี่จักออกไปไหนฤาไม่ขอรับ”

“แหม คุณอาขอรับ ถามอย่างกับไม่รู้จักองค์ทศกัณฐ์ผู้นี้ดี ตั้งแต่มีเมียเคยอยู่ติดบ้านเสียที่ไหน”

“ปากมากเจ้ายักษ์แคระ”

“แคระไม่แคระก็ลูกพระบิดาปะ”

“เจ้าอิน” ชินกฤตจ้องเขม็งพลางกล่าวเสียงเรียบ

“อย่าดุสิอากฤต อินแค่ตอบไปตามความจริง ผิดตรงไหน”

“ก็ตามที่เจ้าอินบอก ข้าจักไปหาเปรมแล้วก็นอนค้างที่นั่นเลย” อสุเรนทร์คิดไว้อย่างดิบดีว่าถ้าไปถึงที่นั่นแล้วจะทำอะไรบ้าง เขาไม่เคยตื่นเต้นกับอะไรมาก่อนในชีวิตนอกจากเรื่องสงครามระหว่างพระรามและเผ่าพงศ์ยักษา ยักษี แล้วก็...กายหอมกรุ่มของคนรักที่ดึงดูดให้เขาหลงใหล เคลิบเคลิ้มทุกยามราตรี

อ่า...แค่คิดก็....

“ทำหน้าแบบนี้ ต้องคิดเรื่องสิบแปดบวก บทอัศจรรย์ฟ้าฝ่าเปรี้ยงปร้างอยู่แน่เลย ใช่ไหมพระบิ...โอ้ย!”

ร่างเล็กร้องทันทีที่โดนก้านขาแกร่งเตะเข้ากลางหลังจนเซไปด้านหน้าเกือบล้มหัวฟาดพื้น ดีที่ได้อากฤตช่วยจับไว้ ไม่อย่างนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาที่อุตส่าห์เฝ้าทำนุบำรุงมาหลายร้อยปีเป็นอันต้องเสียโฉมแน่ๆ

“โหย พระบิดา เตะมาได้ เดี๋ยวนี้เล่นแรงนะ ลุกมาต่อยกันตัวต่อตัวเลยมา”

“ไอ้เด็กคนนี้ ไปไกลๆเลย รำคาญ”

“พระบิดา!”

“เจ้าอิน!”

“พระบิดา!”

อีกแล้ว ทะเลาะกันอีกแล้ว เมื่อไหร่สองพ่อลูกคู่นี้จะเลิกทำนิสัยแบบเด็กน้อยเสียที เจ้ายักษ์แคระก็เอาแต่กระโดด กระแทกปลายเท้าเสียงตึงตัง ส่วนอีกคนก็เอนพิงพนักเก้าอี้ จ้องเขม็งลูกชายอย่างเอาเรื่อง ชินกฤตทอดถอนหายใจยาวเหยียด ส่ายหัวมองสองพ่อลูกด้วยความเอือมระอา

พอกัน ไม่เต็มเต็งทั้งคู่

เขาที่หวังจะปราดเข้าไปห้ามทัพกลับต้องหยุดชะงักกะทันหัน ดวงตาเบิกกว้าง เส้นเลือดฝอยในตาแผ่ซ่านแดงก่ำเมื่อภาพบางอย่างไหลเขามาในหัว รวดเร็วดั่งสายน้ำเชี่ยวกราด รุนแรงและเจ็บปวด เล่มหนังสือที่ถือติดตัวเอาไว้ตกกระทบลงพื้นเกิดเสียงดังสนั่น รณพักตร์วิ่งถลาเข้ามาจับไหล่อาชายอย่างรวดเร็ว อสุเรนทร์มองน้องด้วยความเป็นห่วง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืนดูอยู่ห่างๆ

ชินกฤตกำลังเห็นนิมิตข้างหน้า

โลหิตสีเข้มไหลออกมาจากทางจมูกและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด อสุเรนทร์พอจะทราบอยู่บ้าง ยิ่งเหตุการณ์ที่เห็นอันตรายมากเท่าใด อาการบาดเจ็บของผู้ล่วงรู้อนาคตยิ่งทวีความรุนแรงเป็นเท่าตัว อย่างตอนที่ชินกฤตเห็นเขาจะต้องตายด้วยน้ำมือหนุมานเมื่อพันปีก่อน ก็ทำเจ้าตัวนอนซมไปหลายคืน

“ชินกฤต”

“พระบิดา อากฤต...อากฤต”

“จับอาเจ้าเอาไว้”

จู่ๆลมด้านนอกก็พัดมาวูบหนึ่ง ภาพบางอย่างแทรกเข้ามาในหัว เป็นภาพที่แสนรางเลือน...เหมือนเป็นชายคนหนึ่ง แม้จะพร่ามัว แต่เขาก็มั่นใจว่าจะต้องเป็นคนที่เขารู้จัก

‘ฮัลโหลพี่ทศ เปรม...ก....ไปหา...พ....นะ’

............

‘ฝนตกหนักจะมาทำไมครับเปรม’

‘เปรมอยากมาหา.....พ....พี่’

‘....’

‘เปรมคิดถึง อยากเจอหน้า’

‘เปรม...อ....ไหน’

‘แย...กหน้......ก็......ถ......พี่......ว’

เปรี้ยง!!

เสียงฟ้าคำรามร้องดังกึกก้องคล้ายเสียงหัวเราะแผดไปทั่วท้องนภา พร้อมกับพายุฝนที่ตกกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา กระแสลมกรรโชกรุนแรงฉีกกระชากพุ่มหญ้า ต้นไม้บริเวณนั้นให้หักกระจุยปลิวหายไปในสายหมอกหนาทึบ

‘เฮ้ย!’

เสียงเบรกดังสนั่นตามมาด้วยเสียงกระแทกอย่างแรงของรถสองสามคันด้านหน้า ร่างโปร่งรีบหักพวงมาลัยหลบรถตู้ปาดหน้ากะทันหันจนรถหมุนเป็นวงกลม เหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะครั้นเห็นแสงไฟสีส้มสาดส่องเข้ามาในรถพร้อมเสียงบีบแตรดังถี่เป็นระยะ

รถบรรทุกกำลังแล่นเข้ามาหาด้วยความเร็วสูง เนื่องจากพื้นถนนที่เปียกและลื่นจึงทำให้ไม่สามารถหยุดชะลอความเร็วได้แม้แต่น้อย

เอี๊ยดดดด!!!!

เสียงล้อรถบดขยี้พื้นถนนคอนกรีตเสียงดังสนั่น ตามด้วยแรงกระแทกบริเวณฝากระโปรงรถ ร่างกายของคนในรถถูกเหวี่ยงกระแทกไปตามแรงอัด ความแรงที่พุ่งชนเข้ามาส่งผลให้รถพลิกคว่ำครูดไปตามพื้นถนนจนเกิดประกายไฟใต้ท้องรถ

 ‘เป.....เ......รม!!!!’

กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นฉุนของน้ำมันเครื่องลอยคละคลุ้งปะปนอยู่ในชั้นอากาศ ชายหนุ่มพยายามปลดล็อกสายคาดด้วยมืออันสั่นเทา หากมันกลับติดอย่างแน่นหนาไม่สามารถเอาออกได้ เลือดที่อาบศีรษะไหลย้อยลงมาเปื้อนหน้าผากและดวงตา
อยากออกจากตรงนี้

ช่วยด้วย...

‘อึก...พี่ทศ’

‘เปรม!!! เปรมยังอยู่ไหม!’

ชายหนุ่มคว้าโทรศัพท์มากุมเอาไว้แน่นเพราะมันคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขายิ้มได้ หน้าจอยังคงปรากฏรายชื่อที่โทรเข้ามาล่าสุด...อีกแค่นิดเดียว....นิดเดียวเท่านั้น เราก็จะได้เจอกันแล้ว น่าเสียดายเหลือเกิน

ความปวดร้าวไปถึงกระดูกที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กาย เปลือกตาที่เคยเปิดกว้างมองเปลวไฟที่ลุกลามใกล้ถังน้ำมันค่อยๆปิดลงอย่างอ่อนแรง

‘ผมขอโทษ’

‘เปรม...เปรม!’



ตู้มมมมมมมมมมม!!!!!




“เฮือก!”

ชินกฤตเบิกตาโพล่งและสลบไป อสุเรนทร์เห็นท่าไม่ดี รีบดึงตัวร่างผอมบางของน้องชายมาอุ้มแนบอก พยายามกระซิบเรียกหลายต่อหลายครั้งเพื่อเรียกสติให้กลับคืนสู่กายหยาบ

“ชินกฤต...พิเภก เจ้าตื่นสิพิเภก!”

“พระบิดา อากฤต”

“พิเภก!!”
 
ดวงอาทิตย์เริ่มอ่อนแสงลงจนเหลือเพียงแสงแดดอ่อนๆที่แสนอบอุ่น ความวุ่นวายต่างๆได้จางหาย เหลือเพียงความเงียบสงบที่ทัดแทนเข้ามา รณพักตร์ลอบมองอาชายผ่านกระจกเงาบานใหญ่ยาวที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติบนเตียงนุ่ม หมอวัยกลางคนเก็บอุปกรณ์รักษาลงในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์

“อาการของคุณชินกฤตเกิดจากความเครียด พยายามให้เขาพักผ่อนมากๆก็พอครับ”

“ขอบคุณหมอมากเลยนะครับ อิน ช่วยไปส่งคุณหมอเขาทีนะ”

“ครับ เชิญครับหมอ”

อสุเรนทร์ดึงมือน้องชายกุมไว้หลวมๆ นับเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นชินกฤตเป็นลมล้มพับไปกองกับพื้นเพราะเหตุการณ์ล่วงหน้า ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดตรงหน้าทำเขาวิตก อะไรคือสิ่งที่ชินกฤตเห็น...มันร้ายแรงถึงขั้นหมดสติได้เชียวหรือ

ครืด...ครืด

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในกระเป๋ากางเกง เขาล้วงมันออกมาก่อนจะกดรับทันทีเมื่อหน้าจอแสดงเบอร์ของคนที่เขากำลังนึกถึง

“ครับเปรม”

‘พี่ทศ จะมาบ้านหรือเปล่าครับ’

“พี่ขอโทษด้วย วันนี้พี่ไปไม่ได้ ต้องอยู่ดูแลเจ้ากฤตน่ะ”

‘คุณกฤตไม่สบายหรือครับ แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ ให้เปรมไปช่วยไหม’

“ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก”

‘ถ้ามีอะไรร้ายแรง โทรบอกผมเลยนะ ผมจะได้ไปหา’

“ทราบแล้วครับเมีย”

‘พี่พี่ทศก็...แค่นี้นะครับ ถ้าจะมาก็โทรบอกด้วย เปรมขอไปช่วยแม่ทำอาหารก่อน’

“ครับ”

อสุเรนทร์กดวางสาย ทรุดตัวนั่งลงปลายเตียงพลางยกมือกำเสื้อบริเวณหน้าอกข้างซ้ายตรงจุดหัวใจจนยับยู่ยี่ ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงมีอาการวูบโหวงแปลกประหลาด รู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย ราวกับว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงในเร็วพลัน
หวังว่าสิ่งที่เขาคิดคงไม่เกิดขึ้นจริง



“โอ๊ย!” ด้วยอารามตกใจเขารีบปล่อยมีดทิ้งลงกับพื้นทันทีที่ความคมของมันเฉือนเข้าปลายนิ้วชี้จนหยดสีแดงข้นไหลซึมเป็นทางยาว เปรมมองดูหยดเลือดในอ่างล้างมือหยดแล้ว...หยดเล่า แล้วครางออกมาเล็กน้อยกับความปวดหนึบบริเวณปากแผล
“เปรม เป็นอะไรมากหรือเปล่าลูก” ดวงดาวรีบเอ่ยถามพร้อมดึงมือลูกชายขึ้นมาสำรวจบาดแผล “แม่บอกแล้วว่าไม่ต้องมาช่วย เห็นไหม เจ็บตัวจนได้”

“ก็เปรมอยากช่วยแม่ทำกับข้าวบ้าง”

“จริงๆเลยลูกคนนี้” เธอเท้าสะเอวถอนหายใจ เอี้ยวตัวเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลในตู้เก็บของใกล้อ่างล้างมือ ก่อนจะคว้ามือใหญ่กว่ามาทำแผลให้อย่างชำนาญ เห็นตอนโตหงิมๆเรียบร้อย ตอนเด็กไม่รู้ผีลิงค่างที่ไหนเข้าสิง กลับจากโรงเรียนที่ไรมักจะมีแผลติดตัวมาให้เธอทำให้ทุกที “มือเขามีไว้ใช้หยิบจับสิ่งของ ไม่ได้มีไว้รับคมมีด”

“มันเฉือนเข้ามาเองนะ เปรมไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย”

“สะเพร่า”

“แม่อ่ะ”

“โตแล้วยังโดนมีดบาดอีก อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย หืม”

“โดนมีดบาดเกี่ยวอะไรกับอายุด้วยล่ะครับ”

“งั้นก็คงเป็นเรื่องสมอง”

“แม่!”

พลาสเตอร์ยาสีครีมอ่อนแปะทับปิดปากแผลบนนิ้วเรียวยาวอย่างเบามือที่สุด

“โดนแค่นิ้วก็บุญเท่าไหร่แล้ว ดีไม่ปาดคอเข้า แม่คงหัวใจวายตาย”

“เปรมขอโทษ แต่คนอย่างเปรมไม่ตายง่ายๆหรอกแม่ ยังต้องอยู่แกล้งแม่อีกนาน รู้หรือเปล่า” เปรมฉีกยิ้มกว้างจนตาหยีพลางโอบกอดไหล่บางของผู้เป็นแม่ แนบแก้มคลอเคลียอยู่อย่างนั้นประดั่งลูกแมวอ้อนเจ้านาย แม่มักจะเป็นแบบนี้เสมอ ชอบกังวล ชอบคิดมากทั้งๆที่เรื่องมันเล็กแค่นิดเดียว แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งที่แม่แสดงออก ไม่ว่าจะทางสีหน้า ทางดวงตาหรือคำพูด ล้วนเกิดจากความรักและเป็นห่วงทั้งสิ้น แล้วแบบนี้เขาจะไม่รู้สึกผิดได้ยังไง

“ขอให้จริงเถอะ”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

“จะไปไหนก็ไปเลยเรา แม่จะทำกับข้าว” ดวงดาวเอ่ยปากไล่ลูกชายไม่จริงจังนัก

“เดี๋ยวเปรมช่วย” เปรมอาสา

“ไม่ต้องเลย กลับเข้าห้องไปซะจนกว่าแม่จะเรียก ถึงอยู่ไปจะช่วยให้แม่ทำเสร็จไวขึ้นหรือเสร็จช้าลงก็ไม่รู้ แต่คาดว่าคงเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า”

“โธ่แม่ ต้องเสร็จไวขึ้นสิครับ มา เดี๋ยวช่วย”

“ไปห่างๆเลย”

“ไม่เอาอ่ะ เปรมเบื่อ ไม่มีอะไรทำเลย”

“เบื่อก็ไปบ้านคุณทศเขาสิ” คนเป็นแม่เสนอทางออกสุดพิเศษให้กับลูก เพราะรู้เต็มอก ยังไงลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอต้องก้มหน้าตอบเอียงอายเป็นแน่ แต่ทว่าดันผิดคาดเสียอย่างนั้น เมื่อใบหน้าหวานราวหญิงสาวกลับงอง้ำ ริมฝีปากเม้มปิดสนิท อะไรกัน นี่เธอตกข่าวสำคัญไปหรือเปล่า

“ทะเลาะกับพี่เขามาหรือลูก”

“เปล่า” ปฏิเสธเสียงแข็ง หากดวงตากลับสั่นไหวน้อยอกน้อยใจนัก

“แล้วที่เบะปากเตรียมร้องไห้นี่เขาเรียกว่าอะไรคะคุณลูกชายที่รัก”

“เปรมเปล่าร้องไห้” ก้มหน้าพูดเสียงอู้อี้ในลำคอ คะ...ใครจะไปร้องไห้แค่เรื่องเล็กๆน้อยนี่กัน เขาก็แค่น้อยใจที่อีกคนไม่ยอมโทรมาบอกล่วงหน้า เข้าใจว่าน้องชายไม่สบายกะทันหัน แต่ช่วยโทรบอกหน่อยได้ไหม นี่ถ้าเขาไม่โทรไปหาก็คงไม่รู้เรื่องอะไรเลยสินะ

“น้อยใจที่พี่ทศเราไม่มาหาหรือไง”

“เขาน่าจะบอกผมก่อน”

“แล้วเรากลายเป็นเด็กขี้งอน ขี้น้อยใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หืม...”

ใครขี้งอน เขาเปล่าขี้งอนสักหน่อย

“เอารถแม่ไปก็ได้ ให้ยืมหนึ่งวัน”

“แม่”

“ถ้าเขาไม่มาเราก็ไปเองสิ มันจะไปยากอะไร อย่าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องสิเปรม คนเราล้วนมีเหตุผลกันทั้งนั้นใช่ไหม”
“แต่พี่ทศเขาบอกไม่ให้ผมไป” แม้น้ำเสียงจะอ่อนลงแต่ยังคงความขุ่นอยู่

“แล้วใจเราอยากไปไหมล่ะ”

“...”

“ถ้าใจอยากไปก็ไป”

“...”

“สรุปว่าไงจ๊ะลูกรัก”

เปรมเงียบสักพักก่อนจะพยักหน้ายอมรับโดยดี

“ก็แค่นั้น” ฝ่ามืออ่อนนุ่มลูบศีรษะลูกชายตัวโย่งอย่างนึกเอ็นดู เพราะนิสัยอย่างนี้ไงพ่อทศจึงไปไหนไม่รอด “ขากลับแม่ฝากซื้อขนมถ้วยหน้าปากซอยบ้านด้วยนะ ไม่ได้กินมานานมากแล้ว”

“โอเคครับ ผมจะรีบไปแล้วรีบเอาขนมถ้วยมาให้”

“ขับรถดูทางดีๆ และอย่าเร็วนักล่ะ”

“รับทราบครับท่านผู้หญิง” เปรมทำท่าตะเบ๊ะอย่างแข็งขัน ยื่นหน้ามาหอมแก้มแม่เต็มรัก แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากครัว ดวงดาวหันมองแผ่นหลังของลูกชายที่เดินหายลับไป มือข้างขวาที่กำลังคนแกงในหม้อให้เข้าที่กลับค่อยๆอ่อนแรงและหยุดลงในที่สุด
หยดน้ำตาหยดแหมะลงข้างหม้อร้อน

น่าแปลกนัก ทำไมเธอถึงมีความรู้สึกที่ว่า...จะไม่ได้เจอหน้าลูกอีก

รีบกลับมานะเปรม....แม่รอลูกอยู่



หากมีคำผิดขออภัยด้วยจ้าาา
ต่อด้านล่างเหมือนเดิมนะ   :katai5:  :katai4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 22-12-2016 12:10:27
เนื้อเรื่องได้เข้าสู่จุดพีคครั้งที่1แล้ว กรุณาเตรียมใจไว้ดีๆนะคะ  :hao3:



ซ่า....ซ่า.....


หยาดฝนเม็ดแล้วเม็ดเล่าร่วงหล่นกระทบกับพื้นเสียงดังฉะฉาน จากท้องฟ้าที่เคยมีสีสันสดใสกลับเต็มไปด้วยเมฆหมอกสีดำครึ้มทั้งๆที่ยังไม่ถึงเวลาตะวันจะตกดิน แสงแปลบปลาบเป็นสายยาวนำมาก่อนเสียงฟ้าคำรามครืนครั่นบาดหู เปรมชะโงกหน้ามองลอดผ่านกระจกฟิล์มรถ

ฝนจ๋า อย่าเพิ่งมาตกเอาตอนนี้นะ

ทุกอย่างกลายเป็นภาพคุณภาพต่ำระดับ144p มันพร่ามัวเสียจนมองค่อยจะไม่เห็นว่าทางข้างหน้าและด้านข้างเป็นอย่างไร ต้องคอยเพ่งตาแล้วขยับรถวิ่งออกไปอย่างช้าๆ ใครจะบีบแตรไล่หรือด่าว่าเขาในใจขับช้าเป็นเต่าคลานก็ยอมล่ะวินาทีนี้

ครืด...ครืด...

แรงสั่นจากเครื่องโทรศัพท์เรียกร้องให้เขาต้องละความสนใจจากบรรยากาศรอบนอก เปรมเอื้อมคว้ามันขึ้นมาแนบหูโดยไม่ได้มองเลยว่าใครเป็นผู้โทร

“พี่ทศ เปรมกำลังไปหาพี่นะ”

‘ขับรถอยู่หรือเปล่า’

“ใช่ครับ” เปรมบอกพร้อมเปิดไฟกระพริบ หักพวงมาลัยเลี้ยวขวาเพื่อตรงเข้าสู่ถนนใหญ่ที่จะไปบ้านของอสุเรนทร์

‘งั้นขับกลับบ้านไป ฝนใกล้ตกแล้ว มันอันตราย’

“โธ่พี่ทศ อย่าห้ามเปรมได้ไหม นี่เปรมก็ออกมาเกือบจะถึงบ้านพี่แล้วด้วย”

‘กลับไปเปรม เชื่อพี่’

“ไม่เอา”


‘ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นจะทำยังไง’


“ไม่ต้องห่วงเปรมนะ เปรมคอยดูทางตลอด”

‘อย่าดื้อได้ไหม’

“...”

‘เปรม’

“แต่เปรมอยากไปหาพี่” นั่นคือความจริงที่เขาอยากบอกกับอีกคน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงอยากเจอหน้าอสุเรนทร์นัก มันคิดถึง คิดถึงจนอยากไปหาเสียให้ได้

‘...’

“เปรมคิดถึง อยากเจอหน้า เปรมผิดด้วยหรือครับ”

เขาได้ยินเสียงปลายสายถอนหายใจแรง ‘แล้วเปรมอยู่ตรงไหน เดี๋ยวพี่ออกไปรับ’

ร่างบางพยายามเบิ่งตามองฝ่าแสงสลัวไปยังป้ายบอกเส้นทางอันใหญ่ ดีหน่อยที่มันติดสัญญาณไฟจราจรพอดี เขาเลยมีเวลาเพ่งดูนานหน่อย “แยกหน้า ก็จะถึงซอยบ้านพี่แล้ว ไม่เกินสิบนาทีที่ทศรอเปรมหน้าบ้านได้เลย”

‘จอดรถเดี๋ยวนี้เปรม!’

เปรี้ยง!!!

ทันใดนั้นเสียงฟ้าร้องครืนครั่นดังกัมปนาท คล้ายเสียงหัวเราะแสนเกรี้ยวกราดสั่นสะเทือนทั่วแผ่นฟ้าพร้อมกับพายุฝนที่ตกกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ร่างบางสั่นสะท้าน สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจกลัว กระแสลมกรรโชกรุนแรงฉีกกระชากพุ่มหญ้า ต้นไม้บริเวณโดยรอบให้หักกระจุยปลิวหายไปในสายหมอกหนาทึบ พานทำให้คนแถวนั้นที่กำลังเดินอยู่ริมฟุตบาทต้องวิ่งหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น

‘ยังอยู่หรือเปล่าเปรม ตอบพี่หน่อย เกิดอะไรขึ้น’

“มะ...ไม่มีอะไรมาก แค่ฝนตกหนักน่ะครับ”

‘ได้โปรดจอดรถ’

“แต่เปรมใกล้...”

‘พี่ขอร้อง ช่วยจอดรถที!’ ปลายสายตวาดกลับอย่างเหลืออด และถ้าหากเขาได้ยินไม่ผิดเหมือนน้ำเสียงอีกคนออกจะสั่นเครือมากทีเดียว แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่เปรมก็เลือกที่จะยอมทำตามคำขอร้องของอสุเรนทร์

หากมันทำให้อีกฝ่ายสบายใจ

“เฮ้ย!”

ทว่ายังไม่ทันได้เปิดไฟขอเลี้ยวเข้าข้างทาง รถกระบะที่วิ่งตามหลังมากลับพุ่งเข้าชนท้ายรถอย่างจัง! ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก...เร็วเสียเขาตั้งตัวไม่อยู่ พยายามควานเท้าหาที่เหยียบเบรก แต่ในเวลานี้ วินาทีนี้! มันช่างหายากเหลือเกิน  หัวใจมันเต้นระรัวไปหมด ทั้งกลัว ทั้งตื่นตระหนก มือเท้าจิกเกร็งแน่นอย่างห้ามไม่ได้ เสียงเบรกดังสนั่นหวั่นไหว ตามมาด้วยเสียงพุ่งชนกันอย่างรุนแรงของโลหะและเสียงอึกทึกครึกโครมที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต

เปรมพยายามควบคุมสติเร่งเครื่องหนีห่าง แต่โชคไม่เข้าข้างเขาเท่าไหร่นักเมื่อรถคันหนึ่งจากถนนเลนในพุ่งมาชนท้ายรถซ้ำอีกหน ผลักดันให้รถของเขาลื่นไถลไปตามถนนเปียกแฉะด้วยความเร็วกว่าปกติ ซ้ำร้ายยังต้องหักพวงมาลัยหลบรถตู้ปาดหน้ากะทันหันจนรถหมุนคว้างเป็นวงกลม ทุกสิ่งกลายเป็นภาพสโลโมชั่น เปรมเห็นเส้นแสงที่ลากผ่านกายไปอย่างเชื่องช้าเต็มตา
เหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ

เคยได้ยินคนโบราณว่ากันว่า คนที่ถึงเวลาตายมักจะเห็นอะไรช้าลง

‘เปรม!’

ใบหน้าหวานค่อนไปทางซีดเผือกสว่างวาบทันทีที่แสงไฟสีส้มสาดเข้ามาแยงตาปิดบังการมองจนหมดสิ้น พร้อมเสียงบีบแตรดังถี่เป็นระยะ

รถบรรทุกสิบล้อที่แล่นสวนเลนถนนมาด้วยความเร็วสูง เนื่องจากพื้นถนนที่เปียกและลื่นจึงทำให้คนขับไม่สามารถหยุดชะลอความเร็วได้แม้แต่น้อย เสียงล้อรถใหญ่บดขยี้พื้นถนนคอนกรีตดังสนั่นหวั่นไหว เปรมมองภาพนั้นด้วยอารามตกใจสุดขีด ร่างกายสั่นเกร็ง ทำอะไรไม่ได้เลยนอกเสียจากหลับตาแล้วกลั้นลมหายใจในทันที


เอี๊ยดดดด!!!! ปึงง!!!!


คล้ายมีแรงบางอย่างผลักดันให้รถลื่นไถลไปทางอื่น ล้อรถหมุนคว้างเกิดเสียงดังแสบแก้วหู ก่อเกิดประกายไฟบนพื้นลาดยางบนถนน เศษกระจกแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันลอยเฉียดแก้มเขาไป เลือดไหลย้อยบนใบหน้าเนียนเป็นหย่อมๆ แรงเสียดสีและแรงกระแทกจากฟุตบาธข้างถนน ส่งผลให้กระโปรงรถบี้ยับไม่น้อยทีเดียว

เม็ดฝนหล่นโปรยปรายกระทบหลังคารถเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ท่ามกลางความเงียบสงัด กลุ่มควันสีขาวขุ่นฟุ้งกระจายลอยละล่องอยู่ในอากาศ ตัวรถยับยู่จากการถูกอัดหากที่ปัดน้ำฝนยังคงทำงานไล่สายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง

ความปวดร้าวไปถึงกระดูกที่แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กายและเลือดข้นๆที่โดนพวงมาลัยรถกระแทกเต็มแรงไหลย้อยลงมาอาบแก้ม เป็นสาเหตุให้สติเริ่มเลือนรางลดน้อยลงทุกที มันสร้างความทรมานเขาไม่รู้จักจบจักสิ้น เปลือกตากระพือเปิดอ่อนแรง ทอดมองสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างเลื่อนลอย

แม้ร่างบางจะมองเห็นที่ไม่ชัดเจนนัก ทว่าสายตาเขากลับมองเห็นใครคนหนึ่ง

ท้องฟ้ารัตติกาลสว่างวาบสลับกับกำไลบนข้อมือเรียว หากทุกสิ่งทุกอย่างประดั่งความฝัน และมันก็คงเป็นฝันที่แปลกที่สุดและก็เจ็บที่สุด แต่ถ้าหากเป็นความจริง...มันคงเป็นความจริงที่น่าเหลือเชื่อทีเดียว

ร่างสูงสมส่วนชายชาตรี ผิวกายาออกสีเขียว...เขาอธิบายไม่ถูกว่าสีเขียวอย่างไร มันไม่อ่อน ไม่เข้มแก่ แต่เขียวกำลังดีเหมือนองค์เทวาบนสรวงสวรรค์ ท่อนบนเปลือยอกโชว์สัดส่วนกล้ามเนื้อเปี่ยมด้วยพลัง เรือนผมสีดำสลวยคล้ายผู้หญิงเปียกลู่ไปตามเครื่องหน้าหล่อเหลา ท่อนล่างอยู่ในเครื่องนุ่งห่มแบบจีบโจงหน้านางคล้ายเครื่องทรงกษัตริย์ประหลาดตา เปรมไม่รู้คนแปลกหน้าคนนี้คือใคร แต่เขาไม่สามารถหลบนัยน์ตาคมคู่นี้ได้เลย

วินาทีนั้นที่ดวงตาทั้งสองสบกัน คล้ายมีอำนาจบางอย่างแผ่ซ่านสะกดหัวใจของเขาไว้สิ้น เนตรสีเขียวมรกต ยาวรีได้รูปและมีแก้วตาสุกใสเป็นประกายลึกล้ำ... รู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ราวกับภาพซ้อนทับของคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียว



“พี่ทศ”



 :ling1: :katai1: :serius2:
โอยยยยย เครียดดดดด ไม่รู้จะพูดคำไหนดีเลยค่ะ อย่าพึ่งเป็นอะไรนะลูก  :sad4:
ทุกคนอาจจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเปรม แต่ขอบอกเลยว่ามันเป็นเพราะเรื่องราวในอดีตชาติ(ซึ่งจะเฉลยหลังจากนี้) กรรมใครกรรมมัน คนนั้นต้องแก้
ยังไงก็ช่วยเอาใจช่วยหนูเปรม แล้วก็พี่ทศด้วยนะจ๊ะ
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นของทุกคนมากเลยนะคะ เราดีใจมากกก
เอาไว้เจอกันใหม่จ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 22-12-2016 13:14:51

ไม่เอามาม่าได้ไหม

ไม่ถนัดขอรับ

เอาใจช่วยน้องเปรม

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 22-12-2016 14:09:23
น้องเปรมอย่าเป็นไรนะะะ :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 22-12-2016 18:54:49
โง้ยยย ลุ้นนนนนนนน

น้องเปรม พี่ทศมาช่วยแล้วว
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-12-2016 19:45:35
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 22-12-2016 19:46:52
ท่านทศช่วยด้วย :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ก๊าบก๊าบ ที่ 22-12-2016 20:52:44
ลุ้นโครตๆๆ พี่ทศช่วยน้องเปรมด้วยยยย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 22-12-2016 23:26:19
 :katai1:


โอยยย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 23-12-2016 00:59:57
อย่าเป็นอะไรนะเปรม
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 23-12-2016 09:40:02
ทำไมเป็นแบบนี้  :เฮ้อ: :sad11:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: toonsora ที่ 25-12-2016 11:38:03
โอ๊ยย พ่อเปรมของพี่ทศ จะเป็นอะไรมั้ยนี่ :sad4: :m15:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๒: อัพเดท (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 26-12-2016 19:01:21
หายไปสี่วันแล้ว :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๓: ครึ่งแรก (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 27-12-2016 17:46:03
ขออภัยไปนานค่าาาา พอดีติดธุระ เคลียร์งานก่อนถึงช่วงหยุดยาว วันนี้มาลงให้แล้วนะคะ เดี๋ยวจะแถมให้อีก 1 ตอนด้วย

ไปอ่านกันเลยค่ะ



บทที่ ๑๓



“ท่านพี่ขอรับ”

ชินกฤตยกมือตบบ่าหนาของคนเป็นพี่ชายอย่างแผ่วเบา รู้ซึ้งดี ภายใต้ใบหน้าเงียบขรึม สุดแสนจะเย็นเยียบราวน้ำค้างจากชั้นฟ้านั้นแสนเจ็บปวดเจียนตายเพียงใด แม้ทศกัณฐ์จะเป็นยักษ์ผู้เหี้ยมโหด แสนเกรี้ยวกราดในสายตาคนหมู่มาก ทว่าใครจะรู้ว่าจุดอ่อนที่เลวร้ายที่สุดของเขา ไม่ได้อยู่ที่หัวใจ แต่เป็นบุคคลอันเป็นที่รักต่างหาก

ปลายนิ้วใหญ่ลูบกระจกห้องฉุกเฉินที่กั้นขวางพวกเขาสองคนไว้ด้วยหัวใจร้าวระทม ขอบตาแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นระริกคล้ายเจ้าของร่างพยายามสกัดกั้นอารมณ์ทั้งหมดอย่างเต็มกำลัง

“อยากพักสักหน่อยไหม”

“ไม่”

“แต่ท่านพี่นั่งเฝ้าอยู่ที่นี่หลายชั่วโมงแล้วหนา หากเกิดอันใดขึ้นกับท่านอีก ข้ากับเจ้าอินจักทำเยี่ยงไร” ชินกฤตบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อย่าลืมสิ ท่านพี่เพิ่งเสียพลังไปส่วนหนึ่งเพราะช่วยเหลือเขา ยังไงท่านพี่ก็ต้องพัก”

“ข้ายังสบายดี”

“เหตุใดท่านจึงดื้อดึงเช่นนี้”

“เพราะเปรมยังมิแคล้วจากบ่วงภัย เขาต้องการกำลังใจจากข้า แลข้าก็ใคร่อยู่รอดูเขาฟื้นเช่นกัน” อสุเรนทร์ยิ้มน้อย น้ำตาหยดหนึ่งร่วงเผาะจากหัวตา ร่วงหล่นกระทบพื้นกระเบื้องสีขาวขุ่นจนแตกกระกายออกเป็นวงกว้าง พยายามกลืนก้อนสะอื้นก้อนใหญ่ลงคอ กำมือตัวเองแน่นอย่างข่มอารมณ์ หากเวลานี้มันช่างยากเหลือเกิน

“ท่านพี่ทศ”

“ทุกอย่างเป็นความผิดของข้า”

“...”

“ข้าทำให้เปรมต้องมาพบกับ...”

“หยุดพูดจาว่าร้ายตนเองเสียที” คนที่เคยใจเย็นที่สุดในบ้านกลับบันดาลโทสะออกมา ดวงตาเขียวอมทองแวววาบเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหายไป ชินกฤตสูดลมหายใจเข้าลึกและปล่อยออกยาวเหยียด

“แม้นท่านพี่จักโทษว่าเป็นความผิดตน พ่อเปรมก็หาได้ฟื้นคืนสติไม่”

“...”

“เรื่องนี้มิมีผู้ใดผิด หากแต่มันเป็นผลกรรมที่พ่อเปรมจักต้องผ่านมันไปให้ได้ ข้ารู้ว่ามันยากเกินกว่าท่านจักรับไหว แต่เชื่อข้าเถิด...เขาจักต้องรอด”

“แล้วหากเปรมมิรอดเล่า”

อสุเรนทร์หวนย้อนนึกไปถึงเรื่องราวในสมัยอดีตกาล ไม่ใช่ชาตินี้ชาติแรกที่เขาได้ผูกรักกับผู้มีจิตวิญญาณอันเต็มเปี่ยมของสีดา ทว่ายังมีชาติอื่นๆที่พญารากษสอย่างเขาต้องประสบพบเจอทั้งความสุข ความโหยหาและการสูญเสียที่เปรียบประดั่งหนามแหลมคมคอยทิ่มแทงใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขายังจำได้แม่นถึงคราวที่ต้องสูญเสียนางอันเป็นที่รักในชาติก่อนๆเพราะเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้ว

ผิดหวัง ทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เขาไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ เหตุใดยามใกล้ประสบผลในสิ่งปรารถนากลับต้องมีบางอย่างขวางกั้น พาลให้พวกเขาทั้งสองจำต้องพลัดพรากลาจากกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

หรือนี่...จะเป็นเพราะเดชะบุญที่เคยสร้างร่วมกันมาน้อยเกินไป ถึงมิอาจนำพาความรักของเขาให้อยู่คู่กับคนรักตราบชั่วกัลปาวสาน

คำถามมากมายวกวนเวียนไปมาในหัวสมอง แต่ไม่มีคำถามไหนเลยที่อสุเรนทร์สามารถตอบได้ หัวของเขามันหนักอึ้งและตื้อตึงไปเสียหมด คล้ายมีหินก้อนใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งกดทับเอาไว้ จะหยิบจับหรือขว้างทิ้งก็ทำไม่ได้

ช่างน่าเวทนา

“นี่คือบททดสอบของพ่อเปรม หากเขายังอยากกลับมาหาคนในครอบครัวหรือคนรัก เขาจักรีบหาทางกลับมาเอง สิ่งที่ท่านพี่ทำได้ในเพลานี้คือรอ”

“เจ้าเห็นอนาคตของเขาหรือเปล่า”

“ขออภัย มันมืดสนิท ข้ามองมิเห็นสิ่งใดเลย”

“เจ้าจักบอกข้าว่า...”

“หาไม่ขอรับท่านพี่ พ่อเปรมยังมิตาย ที่ข้ามองมิเห็นเขาอาจเป็นเพราะเขาอยู่อีกภพภูมิหนึ่งซึ่งข้าตามไปรู้แจ้งมิสะดวกนัก”

“แล้วนั่นมิได้หมายถึงตายดอกรึ!”

“แค่จิตออกจากร่าง จักตายได้อย่างไร”

“แล้วถ้าจิตหาทางกลับคืนร่างมิได้เล่า”

“ข้าบอกว่ามิเป็นกระไรก็มิเป็นกระไร ท่านอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ได้ฤาไม่” ชินกฤตเสยผมที่ปรกหน้าไปทางด้านหลัง สุดจะทนกับความดื้อรั้นของคนข้างๆ บอกกล่าวอะไร เคยฟังที่ไหน ดื้อแพร่งคิดไปก่อนเสียทุกเรื่องราว “ดวงชะตาของเขาเป็นคนดวงแข็ง ต่อให้ถูกรถชนหนักกว่านี้ ข้าเชื่อเขาต้องกลับมาแน่”

“ข้าเชื่อเช่นเจ้า แต่เราก็ควรมีแผนสำรอง”

“ท่านคงไม่....”

“ใช่ ข้าจะใช่วิธีนั้น

“ไม่...ท่านพี่ทศ เราจักมิใช่มันเด็ดขาด!” ใบหน้าซีดเซียว ผลกระทบการการมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าเคร่งขรึม
“ท่านก็รู้มันเสี่ยงต่อชีวิตรากษสอย่างเรา”

“หากมันได้ผล ถึงเสี่ยงข้าก็จะทำ”

“พี่ทศ”

“อย่าห้ามข้าเลยน้องรัก”

“เรายังคิดค้นวิธีอื่นได้ แต่สิ่งนี้โปรดเถิด ให้มันเป็นทางเลือกสุดทายที่พวกเราจักทำ”

ประกายแห่งความเศร้าวูบขึ้นที่ดวงตาของชายหนุ่มใกล้วัยกลางคน เขารู้ กฎ แห่งธรรมชาติ ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับเสมอไป ไม่มีใครหนีพ้น แต่เปรมจะเป็นคนแรกที่เขายอมจะแหกกฎทุกคน ละเมิดลิขิตสวรรค์ทุกประการ เพื่อนำพามาซึ่งการคงอยู่ของเจ้าจอมขวัญ

ต่อให้เปรมตกนรก เขาก็ตามกลับขึ้นมา หรือถ้าอยู่บนสวรรค์ เขาก็จะสอยเจ้าตัวให้กลับลงมาอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ดั่งเดิม

“เจ้ารู้ใช่ฤาไม่น้องรัก หากเปรมมิกลับมาภายในเจ็ดราตรี ข้าคงต้องทำมัน

“พ่อทศ!!”

เสียงแหบพร่าติดสั่นดังจากทางด้านหลัง พร้อมกับบรรดาคนในครอบครัวของคนที่เขารักสุดหัวใจกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาหาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและหวาดกลัว โดยเฉพาะคนเป็นแม่ เห็นจะอาการหนักกว่าใคร จากใบหน้าสวยสุกปลั่งกลับกลายเป็นขาวซีด ขอบตาและจมูกเริ่มแดงช้ำเธอเดินเข้ามาหาเขาแล้วจับแขนแกร่งยึดไว้เป็นที่พึ่ง

“สวัสดีครับ”

“น้องเป็นอย่างไรบ้าง พ้นขีดอันตรายหรือยัง ละ...แล้วหมอเขาว่าอย่างไรบ้าง เปรมไม่ได้เป็นอะไรหนักมากใช่ไหม ตอบแม่สิทศ ตอบแม่!”

“คุณ ใจเย็นๆสิ”

“ตอบแม่ น้องปลอดภัยดีหรือเปล่า”

“คุณดาว”

“ฉันเย็น ฮึกๆไม่ไหวแล้วพี่แอ๊ด”

“ลูกเราต้องไม่เป็นอะไร อย่าร้องไห้สิคุณ” เรียวแขนหนาของผู้เป็นสามีโอบกระชับภรรยาแนบแน่น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังอู้อี้อยู่ในอ้อมอกอยู่เนิ่นนาน มันเป็นเสียงที่ฟังแล้วชวนให้คนอื่นๆเศร้าซึม ร้าวระทมไปตามๆกัน อสุเรนทร์มองหญิงวัยกลางคนแล้วมองเลยไปสบชายวัยกลางคนรูปร่างสมส่วน คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายที่ยืนนิ่งอยู่ทางด้านหลัง เขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ให้ตาเสมากับปู่ไม้เอาไม้มาหวด มาเคาะหัวให้แตก เลือดกระเซ็นซ่าน ยังดีเสียกว่ายืนเงียบ ไม่ทำอะไรเลยแม้กระทั่งโหวกเหวกโวยวาย

มันน่ากลัวเกินไป

“ทศ”

“ครับคุณพ่อ” ร่างสูงตอบรับคำชายวัยกลางคน

“ได้พักบ้างหรือยัง สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย”

“ผมไม่เป็นอะไรครับ”

“พ่อรู้ว่าเราเป็นห่วงเปรมมาก แต่ยังไงก็พักผ่อนสักหน่อยเถอะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน พวกเราคงไม่สบายใจ”

“ครับ ผมเข้าใจ แต่ผมยังไหวอยู่”

ในเมื่อเจ้าตัวบอกเต็มเสียงขนาดนั้น กษิดิษก็ทำได้แค่พยักหน้ารับส่งๆ

“แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น พ่อรู้แค่เปรมเขาวิ่งตึงตังออกจากบ้านพร้อมกับกุญแจรถ รู้อีกทีก็ตอนที่...อินใช่ไหม โทรมาบอกว่าเปรมประสบอุบัติเหตุ บาดเจ็บสาหัสอยู่ในห้องฉุกเฉิน ถ้าเล่าได้ก็เล่านะทศ”

ชินกฤตบีบไหล่พี่ชายเป็นเชิงให้กำลังใจ

“คือวันนี้ช่วงบ่ายผมโทรไปบอกเปรมว่าจะไม่เข้าไปหาเพราะน้องชายเกิดไม่สบาย ก็เลยจะอยู่ดูอาการสักหน่อยแล้วค่อยไปหาเขาพรุ่งนี้ที่บ้าน” อสุเรนทร์พูดเว้นวรรค สูดหายใจเข้าลึกๆ “เราคุยตกลงกันเรียบร้อย ผมคิดว่าเรื่องทุกอย่างคงจบ
แต่พอผมโทรไปหาเขาอีกครั้ง...เขากลับบอกใกล้ถึงบ้านผมแล้ว ผมพยายามไกล่เกลี่ยบอกให้รีบกลับบ้านไปซะเพราะฝนทำท่าจะตกหนัก มันคงไม่ดีแน่ๆถ้าขับรถต่อไปเรื่อยๆ...”


“...”

“ผมถือสายคุยกับเขาตลอดเวลา และรู้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น ผมขอโทษ ถ้าผมไปหาเขาเร็วกว่านี้ เปรมก็คง – ทุกอย่างเป็นความผิดของผม ผมขอโทษครับ”

“งั้นแม่ก็ผิดด้วยที่อนุญาตเปรมออกไปหาทศเอง แม่น่าจะห้ามน้องเอาไว้”

“หมายความว่าไงคุณ”

“เปรมเขาน้อยใจที่พี่ทศของเขาไม่ยอมมาหา ฉันก็เลยแนะนำว่าให้ไปหาพ่อทศที่บ้านเสีย เรื่องราวมันจะได้จบๆไป แต่ไม่เคยคิดเลยว่าทุกอย่างจะเลวร้ายแบบนี้ ฉันโทษนะคะพี่แอ๊ด ฉันโทษ”

ทุกคนในที่นี้ต่างตกอยู่ในอาการตรึงเครียด ร่างสูงก้มหน้าคางชิดติดอก น้ำตาเม็ดแรกหลั่งรินและหยดลงบนพื้นเย็นหลายต่อหลายหยด ความทุกข์ที่สะสมเอาไว้นานหลายชั่วโมงเริ่มพังครืนลงอย่างไม่เป็นท่า เขายกมือขึ้นปิดบังหน้าของตัวเองแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กน้อย ฟังดูขมขื่น ระโหยโรยแรงราวกับสัตว์ใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บหนัก

ดวงดาวเห็นจึงเกิดเวทนา อ้าแขนรวบตัวชายหนุ่มร่างสูงมากอด พลางลูบแผ่นหลังอันสั่นเทานั้นอย่างปลอบประโลมด้วยหวังว่าจะทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

“ผมขอโทษ”

“อยากร้องก็ร้องออกมาให้หมดนะลูก ร้องออกมา”

“ผมอยากให้เขากลับมา”

“ทุกคนอยากให้น้องกลับมาทั้งนั้นจ๊ะ”

“ผมขอโทษ ฮึกๆ ผมน่าจะเป็นคนไปหาเปรมที่บ้านเอง”

“มันไม่ใช่ความผิดของเอ็งหรอกพ่อหนุ่ม ทุกชีวิตล้วนมีเวรกรรมติดตัว เราห้ามไม่ได้หรอกว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราหรือคนใกล้ตัวของเราเมื่อไหร่ ที่ไหน อย่างไร...บางทีเผลอๆอาจเกิดตอนเจ้าเปรมอยู่บ้านก็ได้”

“พวกเรารู้ เวลานี้คงใกล้มาถึง เพราะฉะนั้นอย่าโทษตัวเองเลยนะพ่อทศ พวกยายเข้าใจกันดี”

“แต่ผมปกป้องเปรมไม่ได้”

“ขนาดทศกัณฐ์ ผู้มีอิทธิฤทธิ์มากยังปกป้องนางอันเป็นที่รักจากฝ่ายศัตรูไม่ได้ แล้วเอ็งเป็นใคร เป็นมนุษย์เทเลพอร์ตหรือไงถึงจะสามารถวาบไปช่วยเจ้าเปรมได้ทัน”

“...”

“อย่าโทษตัวเองเลยทศ เฮ้อ...แค่เอ็งช่วยยืดเวลาตายให้หลานข้าอยู่นานขึ้นก็ดีโขแล้ว”

อสุเรนทร์เหลือบดวงตาอันแดงก่ำกลับมามองปู่ไม้และยายนวลที่กำลังส่งยิ้มบางอย่างคนมองโลกในแง่ดี มือที่เคยกำแน่นจนข้อนิ้วขาว ความโมโหและโกรธตนเองค่อยๆแผ่วลง คล้ายไฟที่ลุกโหมกระหน่ำเริ่มถูกชโลมด้วยน้ำทิพย์แห่งสรวงสวรรค์

“ลูกแม่เขาเป็นคนดี เทวดาต้องคุ้มครอง”



ไม่กี่นาทีต่อมาบานประตูที่ปิดสนิทมานานนับสี่ชั่วโมงก็เลื่อนเปิดออกแช่มช้า ปรากฏชายวัยกลางคนในชุดผ่าตัดสีเขียวเดินออกมาด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาว่าคิดสิ่งใดอยู่ อสุเรนทร์ผละกายออกจากมารดาของคนรักก่อนจะเดินตรงดิ่งไปหาหมอคนนั้นทันที

“คุณหมอครับ เปรมเป็นอย่างไรบ้าง ปลอดภัยดีใช่ไหม”

“ครับ คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้ว ไม่ค่อยมีอะไรน่ากังวลนักแต่หลังจากนี้คงต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะอวัยวะภายในบางจุดได้รับความเสียหายไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะสมองได้รับความกระทบกระเทือนมากกว่าบริเวณอื่น จำต้องตรวจดูอย่างละเอียดอีกทีว่าจะเกิดปัญหาอื่นตามมาทีหลังหรือเปล่า”

“แล้วลูกดิฉันจะฟื้นเมื่อไหร่คะ” ดวงดาวถามเสียงสั่นเครือ

“ทั้งที่ทั้งนั้นมันขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของคนไข้และความพร้อมของเขาด้วยน่ะครับ หมอเลยไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้”

“คุณเป็นหมอ ทำไมถึงตอบเรื่องแค่นี้ไม่ได้ ถ้าแฟนผมไม่ฟื้น ผมกับครอบครัวของเขาจะทำยังไง”

“พี่ทศ ใจเย็น” ชินกฤตเอ่ยปราม

“คุณต้องการเท่าไหร่ กี่แสน กี่ล้านบอกผมมา ไม่ว่าต้องใช้เงินมากแค่ไหนผมยอมทั้งนั้น ขอให้เขารอดกลับมา หมอเข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม”

“ครับ หมอเข้าใจ และหมอจะพยายามทำให้เต็มที่ที่สุด”

“รักษาคำพูดไว้แล้วกัน”

“ไม่เอาน่าพี่ทศ”

“อย่ามายุ่งกับฉัน”

ร่างสูงหันหน้าหากำแพง ปล่อยให้น้ำตาไหลนองหน้าบ่งบอกว่าเขากลัวมากแค่ไหน เสียงร่ำไห้ทุ้มแผ่วของอสุเรนทร์สะท้อนดังก้องไปตามทางเดินแห่งนี้ สะท้อนไปถึงใจคนฟังและคนที่เพิ่งมาใหม่อย่างรณพักตร์ที่ตามมาสมทบ

ประวัติศาสตร์ต้องไม่ซ้ำรอยเดิม

“เปรม...ฮึก...เปรมจ๋า เปรมต้องกลับมาหาพี่นะ”

“กลับมา”

“พี่รักเปรมมาก...มากเหลือเกิน”

“ได้โปรด...อย่าทิ้งพี่ไปอีก”



....น้องต้องกลับมาหาพี่




ได้ยินไหม....




ความรู้สึกวูบนั้นคล้ายเป็นเพียงระยะเวลาหนึ่ง และเมื่อเปรมลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ทุกสิ่งก็ดูเป็นสีเทาหมองหม่นจนเขาต้องหลับตาอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้นใหม่อีกหน ทุกอย่างพร่ามัวคล้ายมีหมอกหนาทึบปิดกั้นไว้จากทั่วสารทิศ แม้แต่สีที่มองเห็นก็ยังเหมือนกับการมองจอโทรทัศน์สมัยก่อนที่ยังคงเป็นภาพขาวดำไม่มีสีสันสดใส

เขาอยู่ที่ไหน

นั่นคือสิ่งเดียวที่สมองพอจะกลั่นกรองออกมาเป็นประโยคได้ พยายามหาเหตุผลมารองรับสถานการณ์ในตอนนี้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่จนแล้วจนเล่าก็หาอะไรมาเป็นคำตอบที่ดีที่สุดไม่ได้เลย สิ่งที่ชายหนุ่มคิด มีความเป็นไปได้สองอย่างคือ

มันเป็นเพียงความฝัน

หรือไม่...


ก็คือโลกหลังแห่งความตาย


ม่านหมอกสีขาวโอบล้อมรอบตัวหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่บดบังทัศนียภาพรอบด้านเท่านั้น ซ้ำยังทำให้ระบบทางเดินหายใจติดขัดเข้าไปอีก และที่น่ากลัวกว่านั้นคือมีเสียงร้องไห้โหยหวนที่แว่วตามสายลมมาเป็นระรอก ดวงตาเรียวสวยสั่นระริก ยกมือปิดหู ม่านน้ำตาบดบังทุกอย่างให้เขาเห็นไม่ถนัด  แต่เท้าก็ยังวิ่ง วิ่ง วิ่งต่อไปอย่างไร้จุดหมายด้วยความหวาดกลัว

พ่อ

แม่

คุณตา คุณยาย

คุณปู่ คุณย่า

พี่ทศ ช่วยผมด้วย...


เปรม...เปรมจ๋า ได้ยินพี่ไหม


ดวงตาเรียวเบิกกว้าง หันมองตามเสียงเรียกแสนคุ้นเคย แต่ไม่ว่าจะหันซ้าย หันขวา หันไปมองด้านหลังหรือชะเง้อมองด้านหน้ากลับไม่ปรากฏร่างของผู้พูดแม้เสี้ยวเดียว น้ำตาเม็ดเล็กไหลพรูลงมาจากดวงตาหมองหม่นไร้ประกาย สองมือยื่นออกไปคลำทางสะเปะสะปะ

“พี่ทศ พี่ทศใช่ไหม ช่วยเปรมด้วย”

เปรม...กลับมา....

“พี่ทศอยู่ไหน เปรมอยู่ตรงนี้”

เปรม....

“พี่ทศ!”

ร่างบางวิ่งล้มลุกคลุกคลานด้วยความหวาดวิตก เขามองไม่เห็นทาง มองไม่เห็นแม้กระทั่งมือตัวเองที่กำลังกวัดแกว่งตัดผ่านอากาศ ยิ่งเส้นทางห่างไกลจากจุดเริ่มต้นมากเท่าใด หัวใจยิ่งเต้นแรงและเร็วมากกว่าที่คิดเอาไว้

ดูเหมือนโชคจะยังเข้าข้างอยู่บ้าง หมอกสีเทาเริ่มจางลงจนมองเห็นทางเดินได้เลือนรางและค่อยๆแจ่มชัดขึ้น ตอนนี้รอบกายของเปรมคือทุ่งหญ้ากว้างสีน้ำตาลเทา ดูแห้งแล้งและเวิ้งว้าง แม้ดูไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังนับว่าน่ากลัวอยู่ดี

น้ำตาที่เคยเอ่อล้นอาบแก้มนวลค่อยเหือดหายไปอย่างช้าๆ รอบกายไม่พบสิ่งมีชีวิตสิ่งใดปรากฏอยู่เลย มีเพียงทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตาตัดกับขอบฟ้าสีทะมึน ถ้านี่คือฝัน มันต้องเป็นฝันที่ว้าเหว่และอยากตื่นมากที่สุด 

แล้วถ้าไม่ใช่ล่ะ....

“ไม่ มันเป็นแค่ฝัน ฉันยังไม่ตาย ต้องยังไม่ตายสิ” เปรมรำเพยรำพันกับตัวเองไม่ดังไม่เบาจนเกินไป เดินลัดเลาะผ่านทุ่งหญ้าเหี่ยวเฉานานนับนาที

ความหวาดกลัววูบเข้าจับใจ เหมือนเด็กที่หลงทางแล้วหาทางกลับบ้านไม่เจอ นั่นแหละ คือสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้ หากเป็นไปได้ ร่างบางต้องการออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุด อยากกลับไปหาคนในครอบครัว หาคนที่รอคอยเขาอยู่อีกฝากฝั่งหนึ่ง
มันต้องมีทางออกสักทางสิ

“ใยสีหน้าดูทุกข์ระทมนักออเจ้า”

ร่างกายสะดุ้งโหยง เท้าทั้งสองข้างชะงักฉับพลันขณะได้ยินเสียงทักจากใครบางคนไม่ใกล้ไม่ไกล ร่างบางพยายามหรี่ตาเพ่งมองไปยังจุดต้นกำเนิดของเสียง แม้จะเห็นเป็นเพียงแค่เงาดำมืด แต่ก็พอรู้คนพูดคือผู้หญิง และน่าจะสวยมากทีเทียว

“คุณเป็นใครครับ”

“เป็นคนที่ผ่านมาเจอออเจ้าพอดี”

“อ่าครับ” ยอมรับเลยล่ะว่าตอนนี้ค่อนข้างกลัวเล็กน้อย สืบเนื่องจากภาษาการพูดคุยของบุคคลเบื้องหน้า ไม่ต้องวิเคราะห์หาหลักฐานมาพิสูจน์ก็รู้ว่าเป็นคนโบราณ อาจจะยุคสุโขทัย อยุธยา หรือไม่ก็เก่าแก่กว่านั้น

“ออเจ้ากลัวข้าฤา”

“ป...เปล่าครับ”

“มิต้องกลัวไปดอก ข้ามิทำร้ายผู้ใด โดยเฉพาะออเจ้า ข้าใคร่ปกป้องมากกว่าทำร้าย

ก้านนิ้วเรียวบางยกขึ้นลูบกลุ่มไหมนุ่มเชื่องช้า อ่อนโยน เพื่อเป็นการบอกนัยๆว่าเจ้าตัวไม่จำเป็นต้องกลัวเธอแม้แต่น้อย และน่าแปลกที่เขากลับรู้สึกไว้วางใจผู้หญิงคนนี้อย่างประหลาด

“เชื่อข้าเถิดพ่อเปรม ข้านั้นแสนจริงใจต่อออเจ้ากว่าผู้ใด”

“คุณรู้ชื่อผม?”

“ใช่ ข้ารู้ แลตระหนักดีว่าเหตุใดเจ้าต้องมาพบชะตากรรมเช่นนี้”

“...”

“มากับข้าเถิดออเจ้า”

 มือเรียวบางยื่นมาหยุดตรงหน้าเขา เปรมมองอย่างชั่งใจนัก ฝั่งหนึ่งบอกให้ยื่นไปจับเลย ไม่ต้องกลัวอันตรายใดๆ ส่วนอีกฝั่งก็เอ่ยห้าม กลัวเป็นกลลวงของผีสางที่จะพาเขาไปตายมากกว่ารอดชีวิต

 “คุณคือใครกันครับ พอจะบอกผมก่อนได้ไหม”

“หากออเจ้ามากับข้า ข้าจักบอกทุกสิ่งอย่างที่ออเจ้าใคร่รู้”

เปรมเม้มปาก ไม่แน่ใจนัก

“หากปรารถนาจักกลับไปปะหน้าคนรักแลครอบครัวแล้ว ออเจ้าต้องมากับข้าหนา”

“ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง”

เธอหัวเราะในลำคอแผ่ว ก่อนใช้มือข้างหนึ่งลูบพวงแก้มของชายหนุ่มอย่างอ่อนโยน “เพราะออเจ้าคือคนคนเดียวในเพลานี้ที่จักแก้ไขความผิดพลาดต่างๆในอดีตกาลได้”

“แก้ไข?”

“มาเถิด ยังมีสิ่งมากมายรอให้ออเจ้าค้นหาอยู่”






ต่อด้านล่างจ้าา
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๓ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 27-12-2016 18:22:25
ต่อจ้า



อสุเรนทร์นั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง...


ก้านนิ้วหนาลูบไล้เรือนผมและดวงหน้าหวานของคนป่วยในห้องพักพิเศษด้วยหัวใจร้าวระทม สิ่งที่ปรากฏตรงหน้า สิ่งที่เขากำลังเห็นคือเปรม คนที่เขารักสุดหัวใจกำลังนอนหลับใหล ไม่ได้สติอยู่บนเตียงสีขาวสีไม่ต่างไปจากผิวกายไร้สีเลือดของร่างผอมบาง ใบหน้างามงดครึ่งหนึ่งถูกบดบังด้วยเครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์มากมายระโยงระยางเต็มรอบกายจนน่าหวาดหวั่นเหลือคณานับต่อสายตาของผู้พบเห็น เสียงคลื่นหัวใจดังเป็นระยะๆ หนักบ้าง เบาบ้างตามอัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติไปจากเดิมหากเลือกได้ เขาขอเป็นคนนอนตรงนั้นแทนน้องน้อยยังดีเสียกว่า

เจ็บ เจ็บเหลือเกิน

อสุเรนทร์ยิ้มให้กับตัวเอง จรดริมฝีปากลงบนหน้าผากหอม ไล่มาที่เปลือกตา จมูก พวงแก้ม และสุดท้ายริมฝีปากนุ่มของคนที่นอนหลับสนิทอย่างทะนุถนอม ถ่ายทอดความอ่อนโยนด้วยใจที่รักยิ่งกว่าสิ่งใด

เขาโกรธ โกรธตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องเปรมให้ดีกว่านี้ ความรู้สึกผิดตีตราอยู่ในหัวใจ เสมือนบาดแผลที่ไม่มีวันรักษาให้หายขาด แม้นรอยจะจางลง หากทว่าไม่มีลบเลือนหาย จะอยู่เป็นรากฝังลึก เป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนใจว่าอย่าให้เกิดเรื่องพรรณนี้ขึ้นอีก

“สองวันแล้วนะเปรม สองวันแล้วที่น้องไม่ตื่นมา ต้องให้พี่รอไปถึงเมื่อไหร่หืม..”

“...”

“วันนี้พี่ยอมโดดงานจากบริษัทเพื่อมานั่งเฝ้าน้องโดยเฉพาะ ลุกขึ้นมาด่าพี่ก็ได้นะ พี่ยอมถูกเปรมด่าเช้า กลางวันเย็น หรือจะด่าเลยไปถึงช่วงเช้าอีกวันก็ได้”

“...”

“ไม่รู้น้องจะได้ยินพี่หรือเปล่า แต่พี่คิดถึงน้องนะ คิดถึงแทบขาดใจ...ต้องให้พี่บุกเข้าไปบนสรวงสวรรค์หรือนรกก่อนใช่ไหม น้องถึงจะกลับมาน่ะ รู้หรือเปล่าคนรอตรงนี้มันเริ่มทนไม่ไหวแล้ว”

“...”

“เปรมจ๋า...ช่วยตื่นขึ้นมาตอบพี่ทีเถอะ ได้โปรด....”


/ เฮ้ย ห้ามเข้า ยังไงก็ห้ามเข้า ไม่ได้! ถอยออกไปเลยนะ! /
/ ถอย ฉันจะเข้าไปในนั้น /
/ ไอ้บ้า กลับไปกรุงอโยยาซะ น่ารำคาญเป็นบ้า โฮลี่ชิท! /

อสุเรนทร์เหลือบมองบานประตูที่เลื่อนเปิดออก ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มวัยใกล้เคียงกับเขาถลาเข้ามา พร้อมสวนหมัดใส่ใบหน้าคมเต็มแรงจนได้กลิ่นคาวเลือดที่มุมปาก

“เป็นการทักทายที่ดีนะ”

“แกทำอะไรเปรม!”

ราเมนทร์ระชากคอเสื้ออสุเรนทร์แล้วผลักไปชนผนังห้องพักคนป่วยอย่างจัง! สีหน้าเกรี้ยวกราดที่เห็นไม่บ่อยนัก ปรากฏขึ้นเต็มตา

“ฉันถามว่าแกทำอะไรเปรม ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้”

“เจ้าต้องการคำตอบเช่นไรเล่า ประเดี๋ยวข้าจักตอบให้”

“เรื่องราวทั้งหมดมันต้องเป็นเพราะแกแน่ทศกัณฐ์ ฉันรู้และแกก็รู้อยู่เต็มอกนี่ว่าเมื่อไหร่ที่สีดาเลือกแก มักมีอุปสรรคเข้ามาขวางกั้นตลอด ถ้าหล่อนไม่ได้ป่วยตายก็พิกลพิการเสียสติ”

“ราเมนทร์”

“เพราะความรักของแก เลยทำให้พวกหล่อนต้องตาย”

“...”

“และเปรมก็กำลังจะเป็นอีกรายที่ชีวิตต้องจบสิ้นเพียงเพราะยักษ์เสนียดจัญไรอย่างแก!” น้ำเสียงกราดเกรี้ยวดังก้องพร้อมกับมือที่ออกแรงกำคอเสื้อแน่นขึ้น

“มันจะมากไปแล้วนะ!” ร่างเล็กชี้หน้าโวยวาย เตรียมถลาเข้าใส่อย่างหาเรื่องเต็มที่ หากทว่าอสุเรนทร์กลับยกมือห้ามไว้ก่อน

“เจ้าอิน พ่อจัดการเอง”

“แต่พระบิดา”

“ฟังพ่อ”

ร่างเล็กขบกรามและกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้นเป็นแนวอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาคู่สวยจ้องมองอีกฝ่ายเขม็งไม่แม้แต่กะพริบตา ก่อนพรูลมหายใจก้าวถอยออกมายืนติดเตียงคนไข้แบบอารมณ์ขึ้นสุดๆ ถ้าพระบิดาไม่ห้ามนะ กระโดดถีบยอดหน้าไอ้ชั่วนี่ไปแล้ว

“ฉันขอเตือน อยู่ให้ห่างจากเปรมซะ”

“...หึ”

“แกมันตัวซวย เพราะฉะนั้นอยู่ให้ห่างจากเขาซะ”

“ให้ห่างฤา” ร่างสูงเอียงคอยกยิ้มเยาะขณะส่งสายตาเจ้าเล่ห์ไปให้อีกคนราวเห็นเรื่องตรงหน้าเป็นเรื่องตลกซะเต็มประดา “ข้าควรเป็นคนพูดประโยคนี้เสียมากกว่าเป็นเจ้ากระมังราเมนทร์”

“แกว่าไงนะ”

“เจ้าน่ะ...เป็นแค่คนนอก มีสิทธิ์อันใดจักมาพรากผัวพรากเมียผู้อื่นเขา

“!!”

“เฮ้อ ข้ามิใคร่สนใจดอกราเมนทร์ ว่าเจ้าจักมาพูดตอกย้ำถึงสิ่งผิดพลาดในอดีตเพื่อกระไร หรือพยายามใช้กลโกง หลอกล่อให้ข้าหลงกลอย่าที่เจ้าเคยทำกับข้าแลหม่อมเจ้าอิงอร แต่ขอให้รู้ไว้...เปรมคือเมียข้า คนรักของข้า หากเจ้าปรารถนาในตัวเขา อยากเคียงกายเขาเสมือนครั้นอดีตก็ต้องผ่านศพข้าไปเสียก่อน...เจ้าก็รู้ข้านั้นรักแลหวงของของตนยิ่งกว่าสิ่งใดบนโลก โดยเฉพาะสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าเมีย ต่อให้ข้ามิใช่ทศกัณฐ์คนเก่า ผู้ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์สั่งฟ้าสั่งฝน เหาะเหินเดินอากาศมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย ข้าก็สามารถปลิดชีวิตอมตะเจ้าทิ้งอย่างง่ายดายด้วยยี่สิบกรแลสองตีน

“ทศกัณฐ์”

 “ข้าถือคติดีมาดีตอบ ร้ายมาก็ร้ายตอบ ฉะนั้นอย่าคิดร้ายกับข้าก็แล้วกัน”

แสงอาทิตย์จากด้านนอกสาดกระทบนัยน์ตาของอสุเรนทร์ บาง สะท้อนให้เห็นประกายสีเขียวเจิดจ้าพลุ่งโพล่งอยู่ภายใน
ราเมนทร์ยืนแข็งทื่อ รับรู้ได้ถึงแรงกดดันเข้มข้นมากขึ้นทุกขณะจิต เหมือนโดนบีบแล้วอัดทับด้วยอากาศที่มองไม่เห็น ทศกัณฐ์ก็ยังเป็นทศกัณฐ์ เหี้ยมโหด ดุร้าย ป่าเถื่อน แต่ทำไม...ทำไมคนดีๆอย่างเปรมถึงเลือกมันแทนที่จะเป็นเขา เขาต่างจากมันตรงไหนทั้งที่ดีแสนดีทุกอย่าง

“ครั้งนี้ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มิว่าเจ้าจักพูดจากกลอกกลิ้ง พลิกลิ้นเป็นพัลวัน ข้าก็จักมิยอมปล่อยเปรมให้หลุดมืออีกเด็ดขาด”

“ในเมื่อเปรมยังไม่ได้บอกรักแก ฉันก็ยังมีสิทธิ์ชิงคืน”

“สำหรับข้าคำพูดเป็นเพียงแค่ลมปาก การกระทำต่างหากที่พิสูจน์ค่าความรู้สึกของคน ข้ากินนอนกับเมียข้าเกือบทุกวันย่อมรู้ใจเมียข้าดีว่าเขารักข้ามากเท่าใด”

“ไอ้ทศกัณฐ์”

“เฮ้ โปรดให้เกียรติชื่อดั้งเดิมข้าหน่อย นี่ข้ามิเคยเรียกเจ้าว่าไอ้พระรามสี่บะหมี่เกี้ยว หรือพ่อพระเอกลิเกท้ายสวนมะพร้าวสักครั้งเลยหนา มีมารยาทหน่อยสิเจ้า”

พ....พระรามสี่บะหมี่เกี้ยว?

พ่อพระเอกลิเกท้ายสวนมะพร้าว?


ไอ้บ้านี่!!!

“ฉันจะฆ่าแกไอ้เวรตะไล”

“ก็เอาสิ ถ้าพระรามบุรุษผู้ทรงเสน่ห์ เปี่ยมด้วยจิตใจโอบอ้อมอารี มีความยุติธรรมต่อทุกสรรพสิ่งบนโลกหล้าอยากทำ ข้าจักห้ามอันใดได้”

อสุเรนทร์กระตุกยิ้มเหยียดที่มุมปากเล็กน้อย ชวนเรียกบรรดาโทสะให้ปรากฏออกมาจากกายบุรุษรูปงามเบื้องหน้าได้เป็นอย่างดี ราเมนทร์แทบจะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายด้วยซ้ำแต่ถูกน้องชายร่างผอมบางคว้าเอาไว้เสียก่อน  ลมหายใจร้อนระอุ ความโกรธแล่นขึ้นเป็นริ้วๆ จนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปนพร้อมแววตาที่วาวโรจน์เต็มไปด้วยไฟแค้น จับจ้องใบหน้ายียวนอย่างกินเลือดกินเนื้อ

“ปล่อยพี่เดี๋ยวนี้ลักษณ์” ราเมนทร์เค้นเสียงแหบพร่าลอดไรฟัน

“วันนี้ เรามาเยี่ยมเปรม เราไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับอสุเรนทร์นะครับ”

“น้องเข้าข้างมันเรอะ”

“ผมเป็นน้องพี่ ผมจะเข้าข้างฝ่ายศัตรูได้ไง แต่ผมขอเถอะนะอย่ามีเรื่องกันได้ไหม”

“ลักษณ์”

ศุภลักษณ์คิดมันถึงเวลาแล้วที่เผ่าพงศ์ยักษ์และมนุษย์ควรยุติความโกรธแค้นไม่มีที่สิ้นสุดนี่เสียที เขารักพี่ชาย ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้พี่มีความสุข สมหวังทุกสิ่ง ทำแม้กระทั่งในสิ่งที่ไม่สมควรและผิดต่อความรู้สึกตัวเอง

สงครามเย็นมันเนิ่นนาน...เนิ่นนานเกินไปจนเขามองไม่ออกว่าปลายทางของเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลจะจบลงตอนไหน อีกห้าปี สิบปี ร้อยปี หรือมากกว่านั้น

เขาเบื่อชีวิตซ้ำซากนี่เต็มทน

“เราควรยุติ...”

“ไม่”

“พี่ราม”

“ไม่! พี่ไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆแน่ และถ้าวันนี้ไม่ได้เลือดบนหัวมันมาล้างเท้า พี่จะไม่กลับเด็ดขาด” สิ้นเสียงเหี้ยมดุจสายฟ้าฟาด ราเมนทร์ก็ผลักร่างของน้องชายตัวเองออกไปไกล เตรียมพุ่งตัวเข้าประชิดอสุเรนทร์ที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก หมายใช้กริชบั่นคอของมันให้ขาดสะบั้นภายในครั้งเดียว หากทว่า! กลับมีตัวมารตัวหนึ่งกระโดดเข้ามาขวางทางพร้อมดวงตาสีแดงก่ำ

“อย่า-ได้-คิด-แตะ-ต้อง-พระ-บิ-ดา-ข้า!!” น้ำเสียงทรงอำนาจราวกับสายอสนีบาตฟาดสู่พื้นพิภพ

เขี้ยวสีขาวมุกยาวโผล่พ้นมุมปากทั้งสองข้าง นัยน์เนตรลุกโชนด้วยเปลวเพลิง จับจ้องศัตรูราวสัตว์ป่าผู้หิวโหย เอาสิ ใครหน้าที่คิดลองดี ใคร่เอาชีวิตของพระบิดาทศกัณฐ์ผู้นี้ ก็จงเข้ามาเสีย เขาจะจัดการให้เรียบ

“จัดการพวกมันซะกบินทร์”

พญาวานรเผือกรับคำสั่งจากผู้เป็นนาย กระโดดมายื่นด้านหน้าพร้อมย่อตัวพร้อมรับสถานการณ์ ยื่นหางสียาวพุ่งตวัดรัดร่างรณพักตร์ให้แหลกเป็นจุล ทว่าอีกคนกลับหลบได้ทันเฉียดฉิว หมุนกายฟาดศรนาคบาศเข้าเต็มแผ่นหลังมันเต็มแรง กบินทร์ส่งเสียงคำรามในลำคอ วูบกายไหวมาประดั่งสายวาโยกราดเกรี้ยว ชักตรีเพชรโรมรันหมายจ้วงแทงศัตรูคูอาฆาตให้สิ้นใจ แต่อสุเรนทร์กลับรู้ทัน ยกมือปัดการโจมตีนั้นออก ก่อนใช้เท้าถีบเข้าเต็มท้องแกร่งจนร่างของมันกระเด็นไปกระแทกผนังห้องอย่างแรง
บังเกิดกลายเป็นความเงียบงันไม่มีเสียงใดลอดผ่านริมฝีปากหยัก เสมองไปทางพญาวานรเผือกที่กุมท้องผุดลุกขึ้นเดินซวนเซมาอยู่ด้านหลัง

อีกแล้ว เสียท่าให้พวกมันอีกแล้ว

“ขออภัยขอรับท่านราม”

ว่ากันว่ายามทศกัณฐ์กราดเกรี้ยวมันช่างน่ากลัวกว่าอะไรๆเป็นร้อยเท่า

และริมฝีปากที่เม้มแน่นสนิทก็ค่อยๆคลี่ยิ้มอย่างเยือกเย็น ราเมนทร์เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้าพร้อมส่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


แต่คงไม่มีใครเคยคิดสินะ ว่าด้านมืดของพระรามก็น่ากลัวมิแพ้กัน



สิ่งอันน่ามหัศจรรย์บังเกิดอยู่ตรงหน้าของเปรม ผืนดินที่เคยโอบล้อมด้วยทุ่งหญ้าสีน้ำตาลเทา สุดแสนจะแห้งแล้ง ได้แปรเปลี่ยนผิดแผกแตกต่างราวฟ้ากับดิน

“นี่ผมฝันไปหรือเปล่า”

คนร่างบางยืนแข็งข้างตรงจุดเดิมเนิ่นนานกับภาพเบื้องหน้าที่มองเห็น เขา แน่ใจ ว่ามันต้องไม่ใช่โลกมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในปัจจุบันแน่นอน ผืนฟ้าสว่างเรืองโรจน์ด้วยแสงแห่งสุริยะเทพสาดส่องสู่เบื้องล่าง

จากแผ่นดินที่ปูลาดด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี และไกลตาออกไปคือภูเขาและธารน้ำใส ปลายแหวกว่ายอยู่ไหว ไหว สวยงามตระการตา เปรมแหงนมองท้องฟ้า สูดดมกลิ่นหอมจากเนื้อดิน กลิ่นหญ้า เกสรจากดอกไม้ทั่วสารทิศ เสียงดนตรีบรรเลงดังคลอไปกับสายลมที่พัดผ่านอย่างไพเราะเพราะพริ้ง

เมื่อครู่กับตอนนี้แตกต่างกันหลายขุมทีเดียว

“ที่ไหนกัน?” เจ้าตัวงุนงงสงสัย หากความงามของธรรมชาติดึงดูดให้คนร่างบางค่อยๆก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เดินไปบนเส้นทางเล็ก ปูลาดด้วยแผ่นหินสีขาวเหลือบมุก สองข้างคือแนวไม้ประดับงามละลานตา

เสียงสายน้ำโรยตัวลงสู่ที่ต่ำดังแว่วเข้ากระทบโสต ชายหนุ่มหันมองเส้นทางเล็กๆอีกสายที่แยกออกไปทางซ้ายมือเบื้องหน้าที่มีโขดหินกั้นเป็นแนวคล้ายปราการธรรมชาติ

“ออเจ้า จงเร่งฝีเท้าตามข้าเถิด เราใกล้จักถึงแล้ว”

เปรมเดินตามคุณผู้หญิงในชุดเครื่องทรงใหญ่โบราณ สไบปัดดิ้นทองและเงินเกือบทั้งหมด ยังไม่รวมถึงกำไลข้อมือและข้อเท้า สร้อยสังวาลล้วนประกอบจากทองคำแท้ทั้งหมด พวกมันต่างส่งเสียงกรุ้งกริ้ง ล้อกับเสียงนกกระจิบที่ดังแว่วมาเป็นระยะ เขาไม่รู้แต่ก่อนเธอเป็นลูกเจ้าองค์ไหน สืบเชื้อสายจากตระกูลใด หากความงดงามที่แม้จะเห็นเพียงด้านหลัง ก็บ่งบอกว่าอีกฝ่ายคงไม่ธรรมดาทีเดียว

รู้สึกอยากเห็นหน้าเร็วๆจังเลย

และไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่กลิ่นหอมอ่อนประดั่งบุปผาสวรรค์ ท่วงท่าการเดินและการพูดจา มันทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยเจอเธอมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น

“เราจะไปไหนกันครับ”

“ที่พักของข้า”

“คุณมีที่พักด้วยเหรอ” เปรมถามอย่างตื่นเต้น

“ข้ามิใช่ผีเร่ร่อนมิมีที่อยู่หลักแหล่งดอกหนาออเจ้า”

“แล้วคุรอยู่กับใคร คนเดียวหรือเปล่าครับ”

“เปล่า ข้าอยู่กับลูกข้าสองคน”

“งั้นคุณก็คงไม่ค่อยเหงาเท่าไหร่”

“แม้นมิเคยเหงา หากใจข้ากลับเศร้าทุกข์ระทมแทบตลอดเพลา” คล้ายหญิงสาวเบื้องหน้าจะลอบทอดถอนหายใจลึก ก่อนบ่นพึมพำ “มันน่าอดสูกว่า”

เปรมก้มหลบกิ่งไม้ที่เอนตกลงมาบดบังทาง ก้าวเท้าเดินลัดเลาะหินน้อยใหญ่ เหลียวมองดูธรรมชาติรอบๆตัวด้วยความเบิกบานใจ เจ้าตัวคงลืมไปเสียแล้วกระมังว่าอยู่แห่งหนใด

“เอ่อ แล้วลูกคุณชื่ออะไรกันบ้างเหรอครับ”

“พระสุริยากับจันทราน่ะ”

“คงน่ารักน่าดูนะครับ”

“ใช่ ทั้งสององค์ต่างน่าเอ็นดูมากเทียว หากออเจ้าเห็น ออเจ้าคงรักใครพวกเขามิต่างจากข้าดอกหนา”

“เอ่อ...แล้วคุณพอจะบอกผมได้หรือยังว่าคุณเป็นใคร อย่างน้อยถ้าผมกลับไปหาคนในครอบครัวไม่ได้....”

“มิต้องกังวลดอก ออเจ้าจักได้กลับไปยังที่ที่เจ้าจากมา ขอแค่รอเวลาอีกประเดี๋ยวเท่านั้น” เธอเว้นวรรคหายใจชั่วครู่หนึ่งและพูดต่อ “เหตุใดออเจ้าจึงอยากรู้ตัวตนของข้านัก”

“ผมเหมือนเคยรู้จักคุณมาก่อน ไม่สิ...ผมไม่เคยเจอคุณด้วยซ้ำ มันแค่ความรู้สึกคุ้นๆน่ะ”

“อย่างนั้นดอกรึ”

เมื่อเดินผ่านทุ่งดอกไม้ ฝีเท้าเธอก็หยุดลง ความเงียบกรายเข้ามาเยือนเนิ่นนาน ไม่มีสรรพสำเนียงใดๆ แม้แต่เสียงกรีดปีกร่ำร้องของเหล่าแมลงตัวน้อย...

...ทั่วพนาสงัดสงบ...ประหนึ่งโลกทั้งใบหยุดนิ่ง

“เจ้ามิประหลาดใจหน่อยฤา เพราะกระไรนั้นเจ้าแลข้าจึงรู้สึกคุ้นเคยผูกพันทั้งที่มิเคยปะหน้าหรือกล่าววาจาต่อกันมาก่อน”

“เอ่อ...ไม่รู้ครับ”

เพราะเราคือคนเดียวกันอย่างไรเล่า

คนเดียวกัน?

หมายความว่ายังไง

“ข้าคือออเจ้าในอดีต ส่วนออเจ้าคือข้าในภพปัจจุบัน”

ไม่เข้าใจ

“ผมไม่...” ริมฝีปากขยับ ขณะโลกคล้ายหมุนทวนกลับ สติลอยควะคว้าง ก่อนโรยตัวลงสู่ที่ต่ำประดุจขนนกร่วงหล่นจากเบื้องสูง
เสี้ยวหน้าหนึ่งค่อยๆหันกลับมาทางที่เขายืนอยู่ด้านหลัง หยดน้ำตาไหลรินจากดวงเนตรคู่สวย ร่วงกระทบผืนดินแตกกระเซ็นซ่านและหายวับไป


เส้นแสงสุริยากรสาดกระทบดวงหน้าขาวผ่อง เปรมถึงกับเบิกตาอย่างตื่นตะลึงเมื่อเธอหันกลับมาสบเขาเต็มตา หากบนโลกนี้เกิดสิ่งมหัศจรรย์มากมาย นี่ก็คงเป็นอีกอย่างที่ทั้งน่าประหลาดใจและตกใจในคราวเดียวกัน

วงหน้าผุดผาดงดงามไปทุกสัดส่วน คิ้วเรียวเข้มรับกับดวงตาเรียวทว่าไม่เล็ก ขนตางอนยาวเป็นแพยิ่งเสริมให้ดวงตาดูหวานล้ำลึกน่าค้นหากว่าเดิม จมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากอิ่มตึงดูเย้ายวนสีแดงสดฉ่ำวาว

นี่....มัน

เป็นไปไม่ได้

เปรมรู้สึกเหมือนหัวใจตกหล่นสู่หุบเหวลึกล้ำ คล้ายไม่หลงเหลือสิ่งใดๆอยู่ในความคิดอีกเลย นอกเสียจากสตรีแน่งน้อยตรงหน้าประการเดียว

หยาดน้ำใสเอ่อล้นขอบตานวลนาง ทั้งสุขใจที่กงล้อแห่งโชคชะตาได้นำพาเขามาที่นี่ และทุกข์ใจที่ตนคือต้นเหตุทั้งหมดทั้งมวลของเรื่องราวอันยืดยาวมานานนับพันปี!



“ดีใจที่เจอ...จิตวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งแห่งข้า





หูยยยยย ตื่นเต้นนนนน นางสีดาภพเก่ากับภพใหม่ได้เจอกันแล้ว ฮืออออ :z3: :z3:
เป็นยังไงกันบ้างคะ มีความคิดเห็นกันยังไง สามารถคอมเม้นพูดคุยกันได้เลยน้าาา
เดี๋ยวเราขอแว็บไปประเดี๋ยวแล้วจะกลับมาต่ออีกตอนให้น้าาาา

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ก๊าบก๊าบ ที่ 27-12-2016 18:48:15
รออ่านงับบบบบบบ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 27-12-2016 19:52:09
ลุ้นๆ น้องเปรมตื่นเร็วๆนะ สงสารพี่ทศ

หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ครึ่งแรก (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 27-12-2016 21:01:33
บทที่ ๑๔


บนโลกนี้มีอะไรให้น่าแปลกใจเสมอ


คนที่ไม่รู้จักกัน ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดหรือต้นตระกูล ไม่แม้กระทั่งอยู่ภพภูมิเดียวกัน ทำไม...ทำไมถึงได้มีใบหน้า ลักษณะคลับคล้ายคลับคลากันเช่นนี้ ทุกอย่างเหมือนกันไปเสียหมด จมูก คิ้ว ปาก ดวงตา แล้วไหนจะ...รอยปานกุหลาบสีแดงหลังใบหูด้านขวาที่เหมือนกันมิมีผิดเพี้ยน

ราวกับฝาแฝด!!

เห็นจะมีแต่เพศกระมังที่มีความต่างกัน

ความเขียวชอุ่มและความร่มรื่นจากต้นไม้น้อยใหญ่ มีเพียงเส้นแสงพระอาทิตย์เส้นเล็กที่สาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่าง เสียงนกร้องขับขานต่อกันจนเป็นท่วงทำนองที่ฟังแล้วแผลกหูกว่าที่เคยได้ยินมา กลิ่นอายแห่งธรรมชาติของป่าพงไพรลอยคละคลุ้งตามติดชายหนุ่มทุกครั้งที่เขาสาวเท้าเดินหน้า แต่นั่น....ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เปรมกำลังสับสน มึนงง ไม่เข้าใจกับคำพูดก่อนหน้าของหญิงสาวนิรนามตรงหน้าสักเท่าไหร่ เขากับเธอมีความเกี่ยวข้องกันมากแค่ไหน เธอเป็นใคร และที่เธอบอกเกี่ยวกับจิตวิญญาณ เธอต้องการบอกอะไรกับเขากันแน่

นัยน์ตาหวานหรี่ลง ก่อนจะค่อยๆ พูดขึ้นอย่างเชื่องช้าจนจบประโยค ...

“คุณพูดจิตวิญญาณ...อย่างนั้นเหรอครับ”

“ออเจ้าได้ยินมิผิดดอก”

“ยังไง ทำไม ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยสักนิด”

“ใจเย็นเถิด ข้าจักตอบคำถามออเจ้าทุกข้อ แต่ออเจ้าต้องรับปากข้าว่าจักเงียบแลเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด” หญิงสาวเอ่ยเสียงอ่อนระทวยคล้ายคนใกล้หมดแรง

“คุณอยากให้ผมช่วยอะไร”

“ข้าปรารถนาให้ออเจ้าช่วยแก้ไข”

“แก้ไขอะไรครับ”

“เรื่อง...”

หมับ

หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยจบ แรงจับหนักที่ข้อมือก็ทำเอาร่างบางสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด รีบหมุนตัวหันกลับมามองทางด้านหลังอย่างระวาดระวังภัย...คล้ายหัวใจจะหยุดเต้นชั่ววูบ ดวงตาที่เบิกกว้างยิ่งกว้างเข้าไปใหญ่เมื่อมองเห็นเด็กชายตัวน้อยนุ่งห่มอาภรณ์แปลกตา เปลือยท่อนบนโชว์ผิวกายเนียนละเอียดสีเขียวดั่งเม็ดมรกตน้ำงาม เรือนผมสีดำสนิทร่วมขึ้นสูงซ่อนอยู่ใต้รัดเกล้าสีทองประดับอัญมณีแพรวพราว ท่อนล่างอยู่ในเครื่องนุ่งห่มแบบจีบโจงหน้า ยืนทำตากลมใส่เขาปริบๆ
คุ้นตาจังเลย

เด็กคนนี้เป็นลูกเต้าเหล่าใครกันนะ หรือจะเป็น...

“แม่จ๋า”

แม่....เหรอ?

“แม่จ๋า”

“หนูทักผิดคนแล้วครับ พี่ไม่ใช่แม่หนูนะ” เปรมเอ่ยปัด

“ข้าจำได้ แม่จ๋าคือแม่ของข้า”

“เอ่อ...”

“แม่จ๋ามิรักสุริยาแล้วฤา” น้ำตาที่ไหลนองอาบแก้มกลมกลึงของเด็กน้อย เปรมอดไม่ได้ที่จะช้อนตัวร่างป้อมๆขึ้นอุ้มแล้วปาดคราบน้ำตาออกให้ด้วยความอ่อนโยน สองแขนเล็กตวัดรัดรอบคอเขาเสียแน่น พร้อมเอาหัวมาซบที่ไหล่อย่างออดอ้อน ความอุ่นและเปียกชื้นบริเวณหัวไหล่ทำเอาคนที่อยากปฏิเสธว่าไม่ใช่แม่ต้องกลืนคำที่จะพูดจนหมดสิ้น โยกตัวเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมแขนอย่างปลอบประโลม

“แม่จ๋า” เสียงสะอึกสะอื้นปานจะขาดใจที่ดังกึกก้องในโสตประสาตคล้ายจะบีบรัดหัวใจของเปรมให้เจ็บปวดไม่ต่างกัน ความรู้สึกบางอย่างตีตื้นขึ้นมาจนจุกอก เปรมอยากร้องไห้ ร้องให้ขาดใจเสีย แต่ไม่ใช่ร้องเพราะโศกเศร้าเสียใจ แต่ทว่าเป็นเพราะความสุขที่เอ่อล้นจิต คล้ายมีบางอย่างเชื่อมถึงเขาและร่างป้อม รับรู้ได้ถึงความรัก ห่วงใย โหยหา...

สายสัมพันธ์ของคนในครอบครัว

ยากจะปฏิเสธว่าคุ้นเคยกับเด็กคนนี้ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลายี่สิบสองปีที่เปรมเกิดมาไม่เคยเจอกันสักครั้งเดียว
เปรมเหลือบมองหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจนัก

“เขารู้จักผมหรือครับ”

“ข้าบอกแล้ว ออเจ้าแลข้าคือหนึ่งเดียวกัน หากข้าคือแม่ ออเจ้าก็คือแม่ พระสุริยาจักมิรู้จักมักคุ้นออเจ้าได้เยี่ยงไร สายสัมพันธ์ครอบครัว ต่อให้มิได้พบพาน มิเคยเจอ เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของจิตวิญญาณที่หลุดพ้น ก็ยังจำกันได้”

ไม่ว่าจะฟังประโยคกำกวมเช่นนี้สักร้อยสักพันหน เปรมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“เพลานี้เจ้าอาจมิเข้าใจสิ่งที่ข้าบอกกล่าว แต่อีกมินาน เจ้าจักเข้าใจมันถ่องแท้”

“งั้นคุณก็เล่าให้ผมฟังสักทีสิครับ มัวแต่พูดอ้อมค้อมอย่างนี้ ไม่มีทางที่ผมจะเข้าใจถึงคำพูดของคุณหรอก”

“ข้าบอกเจ้าแน่ มิต้องห่วงไป”

เปรมถอนหายใจหนักหน่วง “แล้วเมื่อไหร่ครับ”

ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ยอมตอบง่ายๆ หญิงสาวยิ้มหวานให้กับเขาก่อนเหลือบมองเจ้าร่างป้อมที่ใช้แขนขากอดคอ เกาะเกี่ยวเอวเขาราวกับลูกลิงติดแม่ก็มิปาน

“พระสุริยา กอดพี่เขาเช่นนั้นพี่เขาจักหายใจไม่ออกหนา”

เมื่อเด็กน้อยได้ยินเสียงคุ้นหู ถึงกับดีดตัวผึ่งชะโงกหน้ามองหญิงงามที่ปิดปากหัวเราะคิกคักอย่างรวดเร็ว เด็กชายเอียงคอ เลิกคิ้วขมวดครุ่นคิด มองหน้าเปรมและเธอสลับกันไปยกใหญ่

“เหตุใดข้ามีแม่จ๋าสองคน”

“พี่ไม่ใช่แม่จ๋าของเรานะครับเด็กน้อย แม่จ๋าของเราคนนู้น”

“มามะ มาให้แม่อุ้มเจ้าเสียดีกว่า”

“ไม่เอา ข้าจักอยู่กับแม่จ๋าคนนี้ ข้าเหนื่อย ข้าง่วงแล้ว” ประโยคบอกเล่าปากจิ้มลิ้มเล่นเอาร่างบางงงเป็นไก่ตาแตก อะไรคืออยากอยู่กับแม่จ๋าอีกคน แล้วเอียงหัวซบไหล่เขาไม่ยอมปล่อย

“เห็นทีข้าคงต้องวานให้ออเจ้าช่วยอุ้มพระสุริยาแทนข้าเสียแล้วกระมัง”


ดวงแก้วแห่งทิวาวารเคลื่อนคล้อย แสงกล้าเริ่มราแรงประกอบกับสายลมเย็นเริ่มพัดโบกพาความร้อนรุ่มให้มลายหายสิ้น

“ออเจ้าคงอยากรู้มากแล้วหนา ใช่ฤาไม่” หญิงสาวถามเบาๆขณะอีกฝ่ายพยักหน้าบอก

“ครับ”

“ฉะนั้นเจ้าอยากถามกระไรเป็นสิ่งแรก”

“ผมอยากรู้คุณกับผม เราเกี่ยวข้องเป็นอะไรกัน คุณเป็นใคร”

หญิงสาวแย้มยิ้มละมุน โน้มตัวรับร่างป้อมๆของบุตรชายมาอุ้มแทนพร้อมหอมแก้มอูมซ้ายขวาเบาๆ  เธอเอื้อมมือที่ยังเหลืออยู่อีกข้างหนึ่งออกแรงดึงให้ชายหนุ่มร่างบางเดินตาม สิ่งแรกที่เปรมรู้สึกถึงคือกลิ่นหอมหมู่มวลผกากรองและบุปผาต่างพันธุ์เมื่อเข้าสู่อาณาเขตเรือนไม้หลังใหญ่

เปรมหรี่ตามองบ้านเรือนไทยโครสร้างดั้งเดิมยกสูงอย่างครุ่นคิด  บนตัวเรือนเป็นชานกว้างร่มรื่นด้วยต้นไม้ต้นไทยที่แทงลำต้นสู่ผืนฟ้า...ผ่านกลางชานบ้านที่เจ้าของเปิดช่องให้ลำต้นของต้นจัน แผ่กิ่งก้านส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งเรือน
นี่มันบ้านพี่ทศชัดๆ

“ที่จริง เรือนนี้มิใช่เรือนอยู่ของข้าตั้งแต่แรก แต่มีใครคนหนึ่งได้ยกมันให้กับข้า”

“...”

“ใครบางคนที่ออเจ้ารู้จักแลคะนึงถึงอยู่ทุกขณะจิต” มือเรียวงามที่เย็นชืดจับนิ้วเล็กบางพอๆกับตนนั้นมาเกาะกุมไว้หลวมๆ หยาดน้ำฟ้าร่วงหล่นจากวงหน้าหวานละมุนสู่พื้นเบื้องล่าง สีหน้าทุกข์ตรม อึดอัดแทบตลอดเวลาของเธอ ทำเอาเปรมอดสงสารไม่ได้

“อย่างที่ข้าเคยบอก ข้าคือตัวตนของออเจ้าในอดีต แลตัวตนของข้าคือออเจ้าในปัจจุบัน เราต่างมีพันธะร่วมกัน การที่ข้าแลเจ้าเจอกัน นั่นหมายถึงประตูแห่งการแก้ไขได้เปิดต้อนรับออเจ้าแล้ว”

“งั้นผมคือใคร”

 “ออเจ้าคือสีดา สีดาของพระรามแลทศกัณฐ์”



โลกมนุษย์มีทิวากาลคู่ราตรีฉันใด โลกหลังแห่งความตายก็เป็นไปโดยฉันนั้น สายลมหวีดหวีดพัดผ่านหน้าต่างโปร่งที่เปิดรับลมโชยชาย บนตักนวลนางคือเด็กชายและเด็กหญิงที่ปิดเปลือกตานอนหลับสนิทโดนมีมือผู้เป็นแม่คอยลูบหัวอยู่ไม่ห่าง
ราตรีมณี...ดวงแก้วแห่งรัตติกาลเคลื่อนสูง แสงจันทรามลังเมลืองทาบบรรยากาศให้แลดูเศร้าซึม เปรมแหงนมองดวงแก้วกลางคืนกระจ่างด้วยสีหน้าสับสน มึนงงเกินกว่าที่จะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้

คนวัยยี่สิบปีเศษนั่งมองจันทราอยู่เนิ่นนานนับหลายนาที และยังคงเป็นเช่นนั้นหากหญิงสาวที่บอกนามกับเขาว่าชื่อสีดาไม่เรียกให้เขาตื่นจากภวังค์ความคิดเสียก่อน

“พ่อเปรม”

“ครับ” ดวงหน้าหวานของชายหนุ่มหันกลับมามองสตรีร่างโอดสะองที่ยื่นมือมาแตะไหล่กลมมนของตนแผ่วเบา เบาจนแทบไม่มีความรู้สึกใดๆ

“ข้ารู้มันอาจเป็นเรื่องเข้าใจยาก หากแต่สิ่งที่ข้าจักบอกออเจ้าต่อไปนี้คือเรื่องจริงทุกประการ” เธอก้มปาดคราบน้ำตา เงียบ...เนิ่นนาน แล้วกล่าวต่อ “ออเจ้ารู้ใช่ฤาไม่ข้าคือสีดา พระธิดาแห่งกรุงมิถิลา”

“คุณคือสีดาจริงหรือครับ ผมนึกว่ามันเป็นเรื่องแต่งขึ้นเสียอีก”

“เรื่องแต่งขึ้นรึ?”
“คล้ายๆจดหมายเหตุ จดเรื่องราวต่างๆในเวลานั้นๆน่ะครับ”

“ข้ามิใคร่เข้าใจคำพูดของออเจ้านัก แต่เอาเถิดสิ่งที่ข้าเอ่ยออกมาล้วนเป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น” ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ สีดาที่ทุกคนบนโลกต่างกล่าวขาน ตัวละครหลักในวรรณคดีชั้นยอดอย่างรามายณะ กลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้า ชัดเจน กระจ่าง

“ถ้าอย่างนั้นทุกตัวละคร...ไม่สิ ทุกคนทั้งฝั่งยักษ์ฝั่งลิง ฝั่งมนุษย์ก็มีชีวิตหมดใช่ไหมครับ”

“ถูกแล้วออเจ้า”

“งั้นที่คุณบอกว่าผมคือสีดา คือคุณในอดีต มันเป็นเรื่องจริงได้ยังไงครับในเมื่อคุณก็ยังนั่งคุยกับผมอยู่ตรงนี้” เปรมละล่ำละลักถามเสียงรัวอย่างตื่นตระหนก

เพราะจิตวิญาณของพวกเราถูกตัดแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยคำสาบานของข้าเอง

“!”

คล้ายสมองจะเกิดอาการมึนเบลอชั่วขณะ  พยายามนั่งเรียบเรียงประโยคแต่ละประโยคอยู่ในใจเชื่องช้า...นี่มันอะไรกัน จิตวิญญาณถูกตัดแบ่งเป็นสองส่วนอย่างนั้นเหรอ! เกิดมาเขาไม่เคยได้ยินเรื่องพรรณนี้สักครั้งเดียว มันจะเป็นไปได้ยังไง

“ส่วนหนึ่งคือข้าที่ยังคงชดใช้กรรม รอการปลดปล่อย อีกส่วนหนึ่งคือเจ้าที่ได้เกิดยังภพภูมิอื่น”

“แล้วทำไมมันถึงแยกกันได้ล่ะครับ แค่คำสาบานไม่น่าจะร้ายแรงถึงขนาดนั้น”

“อย่าได้ดูถูกคำสาบานที่มาจากแรงตั้งมั่นเชียวหนาออเจ้า” สีดาเอ็ดเล็กน้อย “ออเจ้ารู้ใช่ฤาไม่ข้าเป็นพระชายาแห่งองค์ราม”

“รู้ครับ”

“ชีวิตข้าเคยมีแต่ความผาสุกเพราะได้อยู่ข้างกายชายอันเป็นที่รัก ข้านั้นปักรักไว้เพียงแต่พระราม มิว่าพระองค์จักทำกระไร อยู่แห่งหนใด แม้กระทั่งยอมติดตามในยามพระองค์ออกบวช เดินทางรอนแรมในป่าเขาลำเนาไพรด้วยความลำบากตรากตรำ แม้มิชอบสักเท่าใด ข้าก็พร้อมยินยอมแต่โดยดี” ดวงตาคู่สวยสีเข้มขึ้นเพราะเปลวเทียนในห้องที่ริบหรี่ลง “เพราะข้ารักพระองค์ รักพระรามผู้นั้นสุดหัวใจ...แต่มันช่างน่าขันนัก เมื่อความรักที่ข้าให้พระองค์นั้นกลับถูกตอบแทนด้วยความมิเชื่อใจกัน”

อากัปกิริยาภายนอกสงบนิ่ง  หากในความคิดไหวพล่าน...ภาพในอดีตพร่าไหว จากความทรงจำรางเลือนพลันกระจ่างแจ่มชัดไม่ต่างไปจากดวงแก้วในราตรีทิวากาลคืนนี้ เสมือนภาพยนตร์ฉายย้อนกลับ

นำพาเธอไปสู่อดีตอันยาวนานนับหนึ่งสหัสวรรษ

เปลวเทียนพลิ้วไสวไปตามแรงลมที่โบกโชยชายเข้ามาในอาศรม สองร่างชายหญิงกอดเกยแทบจะเป็นหนึ่งเดียวกัน มือใหญ่ไล้ไปตามเส้นผอมหอมปล่อยสยายเต็มหมอนไหม ก่อนจะดึงนวลนางเข้ามาอิงซบกับอกแกร่งของตน

“สีดา”

“เพคะ”

“ระหว่างอยู่กับพี่กับและอยู่กับพระลักษณ์ ผู้ใดทำให้เจ้ามีความสุขมากกว่ากัน”

สีดาเงยหน้ามองผู้เป็นพระสวามีอย่างไม่เข้าใจคำถามสักเท่าไหร่ เธอผละตัวออกจากอ้อมอกนั้นเล็กน้อย ก่อนจะช้อนสายตาตอบอย่างจริงจัง

“เหตุใดจึงถามเช่นนั้นเล่าเพคะ เสด็จพี่ย่อมรู้หัวใจของน้องมิอาจรักใครได้อีกน้องจากพระองค์ผู้เดียว”

“แต่การที่เจ้าสนิทรักใคร่กับพระลักษณ์มากเกินไป มันทำให้ความเชื่อมั่นในตัวน้องลดลง”

“เสด็จพี่”

“พี่รักเจ้า รักเจ้ายิ่งกว่าอื่นใดทั้งมวลบนโลกใบนี้ ฤาจักเป็นโลกอื่นก็ตามที น้องคือหนึ่งเดียวของพี่สีดา พี่จักมิมีวันยอมยกเจ้าให้ชายอื่นใดเป็นอันขาด”

“น้องรู้ แลน้องก็รักเสด็จพี่มิต่างไปจากกันเลย โปรดเชื่อมั่นในความรักของน้อง เชื่อมั่นในหัวใจของน้องว่าต่อให้เสด็จพี่ยกข้าให้คนอื่น ฤาเราสองโดนพลักพรากจากกันไกล น้องก็จักรักเสด็จพี่ตราบชั่วลมหายใจ”

“เจ้ากล้าสาบานฤาไม่ ว่าความรักของเจ้าเป็นจริง”

“เสด็จพี่มิเชื่อใจข้ารึ”

“พี่เชื่อใจเจ้า แต่พี่จำต้องทำเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจักมิคิดหันไปรักผู้อื่น โปรดเข้าใจพี่ด้วยเถิดจอมขวัญ” หญิงสาวค่อนข้างตกหทัยเล็กน้อยถึงคำพูดที่ไม่ควรออกมาจากปากของพระสวามี มีอย่างที่ไหนอยู่กินฉันท์ผัวเมียกันแล้ว เดินทางรอนแรมในป่า ตามติดทุกฝีก้าว เธอจะมีเวลาที่ไหนไปปันใจให้ชายอื่น อย่ากล่าวถึงพระลักษณ์เลย เธอเห็นเขาเป็นแค่น้องชายพระสวามีเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

รู้สึกเสียใจไม่น้อยทีเดียว แต่ก็พยายามแย้มยิ้ม กล้ำกลืนความทุกข์ลงในลำคอเสียให้หมด

“หากพระองค์อยากให้น้องสาบาน น้องก็จักทำ”

สีดาลุกขึ้นนั่งบนตั่งเตียง หันหน้าเข้าหาดวงแก้วในคืนรัตติกาล ประนมมือพร้อมอธิษฐานจิตอย่างตั้งมั่น

“ขอให้ฟ้าดินจงรับรู้เป็นพยาน อันตัวข้านามสีดา ข้าขอสาบานจักรักแลเทิดทูนพระราม พระสวามีของข้าเหนือสิ่งใด แต่ถ้าหากข้าลักผิด คิดปันใจให้ชายอื่นที่มิใช่พระรามผู้นี้ ขอให้ข้าจงมีอันเป็นไป ไม่ตายด้วยคมมีดคมหอกปักแทงหัวใจ ก็ขอให้จงตายด้วยอุบัติภัยไม่คาดฝันด้วยเถิด”

“.!!”

หวังว่าพระองค์จักพอพระทัยคำสาบานของน้อง






ต่อด้านล่างเซมๆ เน้อ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 27-12-2016 21:02:42




แสงนวลแห่งจันทราลูบไล้ปฐพี เรือนไม้หลังใหญ่ริมราวป่าเขายืนหยัดอยู่เดียวดาย...สตรีและชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษที่ยังคงความเยาว์วัยและหวานล้ำเสียยิ่งกว่าค้างน้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์ประดับอยู่บนใบหน้า ดวงเนตรแห่งนางพริ้มหลับทิ้งคราบน้ำตาที่เริ่มแห้งเหือดไว้บนเนื้อแก้มทั้งสองด้าน ราตรีนี่ยังอีกยาวไกล คงไม่ต้องบอกว่าเธอต้องสูญเสียน้ำตาอีกสักกี่หยดจึงจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดจนจบ

“คุณไม่กลัวเลยเหรอครับถึงพูด...เอ่อ แบบนั้นน่ะ”

“ข้ามิเคยเกรงกลัวต่อคำสาบาน เพราะข้านั้นเป็นผู้รักใครแล้วจักรักเท่าชีวีมิมีเปลี่ยนผัน ตั้งมั่นในวาจาแลความรู้สึกอันแท้ของตนอยู่เป็นนิจ” สีดาปล่อยความคิดล่องลอยไปอย่างไรจุดหมาย ล่องลอยไปกับภาพอดีตที่กรายเข้าสู่หัวใจตนดั่งสายน้ำหลาก “แต่สิ่งที่ทำให้ข้าหวั่นวิตกในคำสาบานของตน มันเริ่มขึ้นจากตรงนี้...หลังจากข้าถูกทศกัณฐ์จับมายังกรุงลงกา แลตกเป็นเมียของเขา”


พระเจ้า!


“คุณว่าไงนะ” ร่างบางแทบจะตะครุบปากตัวเองไม่ทัน สำรวจดูเด็กน้อยสองคนก่อนจะเงยหน้ามองสีดาอย่างไม่เข้าใจ “ผมพอเข้าใจว่าคุณกับพระรามเป็นสามีภรรยากัน แต่ทศกัณฐ์คุณกับเขาเป็นพ่อลูกกันนี่นา”

“ใช่ ข้าแลพี่ท่านเราเป็นพ่อลูกกัน แต่ข้าก็เผลอหลงรัก ปันใจให้เขาจนหมดสิ้น”

“ห๊ะ”

 “เหตุใดเจ้าจึงทำสีหน้าเช่นนั้น ในจดหมายเหตุของออเจ้ามิได้เขียนเช่นนั้นดอกรึ”

เขาส่ายศีรษะ “ไม่ครับ ไม่ได้เล่า แต่...แต่ไม่นานมานี้พี่ทศ เอ่อ ผมหมายถึงคนรักของผมน่ะครับเขาได้สร้างละครโขน...ผมหมายถึงงานรื่นเริงจำพวกหนึ่งที่ให้คนบางกลุ่มมาสวมบทบาทเป็นคุณแล้วก็คนอื่นๆเพื่อดำเนินเหตุการณ์ของเรื่องราวทั้งหมด ผมนึกว่ามันเป็นเรื่องแต่งขึ้น แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันคือเรื่องจริง”

“ทุกอย่างจริงแท้แน่นอนนออเจ้า กาลแรก ข้าคือพระชายาเพียงองค์เดียวของพระราม พวกเราอยู่กินกันฉันท์ผัวเมีย ในใจข้ามีแต่พระองค์ผู้เดียว...หากแต่ทุกอย่างมันกลับผิดแผกแตกต่างจากเดิมเมื่อข้าถูกจับมายังกรุงลงกาโดยฝีมือของเจ้ายักษ์ทศกัณฐ์ ข้าเกลียดชังมันที่พรากข้าจากผู้เป็นสามี เกลียดที่มันคอยชักจูงให้คล้อยตามเกลียดที่ยักษ์ตนนั้นเข้ามาทำให้ความรู้สึกข้าเปลี่ยนแปลง”

“...”

ข้าหลงรักทศกัณฐ์

“!”

“หลงรักทั้งๆที่รู้ว่ามิสมควรหลงรักทั้งๆที่รู้ว่ามิสมควร รู้ว่าเขาคือศัตรูของพระสวามี แต่ข้ากลับตัดความกังวลใจออกเสียหมดเพราะทศกัณฐ์ดีต่อข้า เอาใจใส่ข้าแลรักข้ายิ่งชีพ ข้ามิเคยเห็นผู้ใดที่ทุ่มเทรักให้ข้ามากเพียงนี้...ออเจ้าต้องมิเชื่อแน่ว่ายักษ์เหี้ยมโหดอย่างเขาเคยร้อยพวงมาลาให้ข้าด้วยหนา”

“ร้อยพวงมาลา?!”

“ข้าล่ะต้องกลั้นขำมิหวาดมิไหวยามเห็นสีหน้าจริงจังของพญารากษสที่ใครต่อใครต่างเกรงกลัวยามร้อยดอกสนเข้ากับเข็มมาลา” ประกายแห่งความสุขทอวูบขึ้นที่ดวงตาของสตรีที่อยู่ตรงเบื้องหน้า หากครู่เดียวก็ดับไป

“แม้เขาจะเป็นคนเลวน่ะหรือครับ”

“สิ่งที่ออเจ้ารู้แจ้งดูเหมือนจักผิดแผกจากเรื่องจริงมากเทียว พี่ท่านมิใช่คนเลว เขาทำเพื่อปกป้องตนเองแลเพื่อนพ้องตนจากอันตราย ผสมปนเปไปกับนิสัยใจร้อน เอาแต่ใจ จึงทำให้เขาดูเป็นคนเลวร้าย มิมีหัวใจ” สีดายิ้มอ่อน จ้องเปลวไฟพลิ้วไสวในโคมแก้ว “แต่ผู้ใดที่ได้ใกล้ชิดจักรู้ว่าเขาจิตใจดีมากเทียว...อาจมากกว่าพระรามด้วยซ้ำ”

“ผมว่าพระรามดูใจดี มีเมตตาดีออก”

“ก็แค่ส่วนหนึ่ง...เจ้าต้องมาเห็นอีกมุมหนึ่งของพระองค์จึงจักรู้ว่ามันน่ากลัวเพียงใด ...พระรามเริ่มเปลี่ยนไปหลังจากหนุมานทำการช่วยเหลือข้าอย่างลับๆ แลพาข้ากลับมายังกรุงอโยธยาได้ระยะเวลาหนึ่ง พระองค์ถามข้าว่าทศกัณฐ์ปรนเปรอสมบัติใดแก่ข้าบ้าง เหตุเพราะข้าดูมีความสุขแลผุดผ่องผิดหูผิดตา”

“แล้วคุณทำยังไงครับ”

“ข้าจึงปรามาศขอลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความซื่อตรงต่อพระองค์ เพราะมันคือหนทางเดียวที่ทำให้พระรามไว้วางใจข้าแลปกป้องลูกน้อยที่กำลังจักเกิดมา”

“แต่ว่าคุณ เอ่อ...มีปฏิสัมพันธ์กับทศกัณฐ์แล้วนี่ครับ มันไม่เป็นอะไรเหรอ”

“องค์อินทร์แลเทวดาบนสวรรค์คงสงสารแลเห็นใจข้ากระมัง จึงช่วยข้าแลลูกที่เกิดจากทศกัณฐ์ให้รอดพ้นความฉิบหายอย่างหวุดหวิด”

“!”

“ข้าท้องลูกของทศกัณฐ์ ทั้งสององค์ที่เจ้าปะหน้ามิใช่ลูกของพระราม หากแต่เป็นทศกัณฐ์เพียงผู้เดียว” นางก้มหน้าร้องไห้ เนื้อตัวสั่นเทาน่าสงสารจับใจ “ข้ารู้สึกผิดต่อพระรามยิ่งนัก แต่ก็ทำอันใดมิได้นอกเสียจากปล่อยให้พระองค์เข้าใจว่าเป็นลูกของตน เพราะข้ามิต้องการให้พระสุริยาแลจันทราต้องมาตายทั้งที่ยังมิได้ลืมตาดูโลก ข้าหลอกพระราม หลอกทุกคนให้หลงเชื่อว่าลูกในท้องของข้าคือหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์อโยธยา แต่ทว่ามีเพียงผู้เดียวที่รู้ความลับของข้า”

“ใครหรือครับ”

พิเภก

ไม้รู้ว่าเปรมต้องตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว เขากลืนน้ำลาย ตั้งสติเรียบเรียงเนื้อความทั้งหมดก่อนจะตั้งใจฟังต่อไป

“ข้าขอร้องให้พิเภกช่วยพาข้ากลับไปหาทศกัณฐ์ ขอร้องอยู่นานจนสุดท้ายพิเภกยอมใจอ่อน บอกให้ข้านิ่งเฉยไว้แล้วตนจักจัดการทุกอย่างเอง ข้าไม่เคยรู้ความคิดของยักษ์ตนนี้ว่ากำลังคิดสิ่งใด มารู้ความอีกทีก็ตอนนางยักษ์อดูลจำแลงกายเป็นนางกำนัลมาบอกให้ข้าวาดรูปทศกัณฐ์แลให้ข้าเก็บรูปวาดนั้นไว้ใต้หมอน”

เขาควรสบถออกมาเป็นภาษาอะไรดี สิ่งที่ได้ยินได้ศึกษามาเกือบทั้งหมวด ทำไมถึงได้แตกต่างกับราวฟ้ากับเหว ยักษ์อาดูลที่เคยแปลงกายมาให้พระรามกับนางสีดาผิดใจกันจนถึงขั้นให้ควักหัวใจตายกลับกลายเป็นแผนของพิเภกอย่างนั้นเหรอ!

“เพราะอย่างนี้พระรามเลยสั่งให้พระลักษณ์นำตัวคุณไปฆ่าแล้วแหวะเอาหัวใจมาถวายใช่ไหมครับ แต่พระลักษณ์กลับไม่ยอมทำจึงไล่ให้คุณหนีไป ซึ่งนั่นคงเป็นแผนที่พวกคุณวางไว้ตั้งแต่แรก”

“สิ่งที่ออเจ้าพูดมาถูกต้องทุกประการ”

เปรมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “แล้วเรื่องคำสาบานล่ะครับ”

“มันเกิดขึ้นหลังจากนี้”



พันปีก่อน...

กรุงลงกา



ฟ้ามืดมัวหม่น แสงทิวาเลือนลับไปเนิ่นนานแล้ว หากคนในห้องทำคลอดยังไม่มีวี่แววว่าจะออกมาแจ้งข่าวเสียที พญารากษสร่างกายสูงใหญ่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องราวหนูติดจั่น ข้างกายมีนางมณโฑที่คอยปลอบประโลมให้กำลังใจผู้เป็นสามีอย่างใกล้ชิด

“อย่ามายุ่งกับข้า”

“เหตุใดเสด็จพี่ตรัสเช่นนั้นเล่าเพคะ น้องเพียงมาแวะเวียนให้กำลังใจธิดาของเรา ที่กำลังจักคลอดบุตรคนใหม่ให้แก่พระองค์”

“ถ้าเจ้าจักมาหาเรื่องกัน ก็จงไปให้พ้นหน้าข้าเสียมณโฑ”

“ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” หญิงสาวเรือนร่างงดงามไม่แพ้หน้าตาตระกองกอดสามีอย่างเสน่หา พยายามปั้นหน้าฉีกยิ้มหวาน ทั้งที่ในใจกรุ่นโกรธไม่น้อยที่ลูกสาวในไส้ดันได้ผัวคนเดียวกันกับแม่ “นางจักต้องปลอดภัยคลอดบุตรให้เสด็จพี่ได้เชยชม มิต้องร้อนใจไป”

“เจ้าคิดจักทำกระไรมณโฑ ปกติเจ้ามิเคยสนใจสีดา แต่ไฉนวันนี้จึงปรากฏตัวได้”

“นางถือเป็นลูกข้า เป็นลูก...เอ่อ เมียเสด็จพี่คนหนึ่ง ข้าก็ต้องมาเพื่อให้กำลังใจนางสิเพคะ”

“อย่าโกหกข้าเชียว เจ้ารู้ข้ามิชอบหญิงปลิ้นปล้อนตอแหล”

เสียงอสุนิบาตรคำรามดุจฟ้าพิโรธ ทำให้ทศกัณฐ์ต้องเบือนมองไปทางหน้าต่างที่เปิดรับกระแสลมกรรโชกที่ตีโต้เข้ามาด้านในพระราชวัง คิ้วเข้มพลันขมวดด้วยความประหลาดใจ จากราตรีกาลที่เงียบสงบมลายสิ้น...เมฆหนารวมตัวกันมืดทะมึน บวกกับประกายเจิดจ้าของเส้นสายอสุนิบาตรที่ปลาบแปลบขึ้นมาเป็นระยะๆ ทำให้แลดูน่าสะพรึงกลัว...

“เกิดเหตุอาเพสอันใดขึ้นเล่าพระบิดา” อินทรชิตเอ่ยถามระหว่างย่างก้าวเข้ามาใกล้คนเป็นพ่อหลังจากตรวจดูความเรียบร้อยรอบเมืองเรียบร้อย พิรุณเริ่มโปรยเม็ด จากนั้นเพียงไม่กี่นาทีก็กระหน่ำเทลงมาอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น

“อิน”

“ขอรับพระบิดา”

“สั่งให้พวกมันปิดหน้าต่างทุกบาน ยืนเฝ้าระวังภัยให้ทั่วเขตพระราชวัง”

“เหตุใด...”

“แค่ทำตามที่พ่อบอกก็พอ”

ทศกัณฐ์แหงนมองท้องฟ้าที่ยังมืดหม่นด้วยเมฆฝน รู้สึกเอะใจกับบรรยากาศน่าสะพรึง แม้ไม่มั่นใจนัก แต่ดูเหมือนจะอีกไม่นาน คงจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นภายในกรุงลงกา


เหงื่อเม็ดเล็กๆเกราะพราวไปทั่วใบหน้างามงดที่เหยเหยด้วยความเจ็บปวด หมอหลวงหญิงตัวอวบพีให้จังหวะการจัดท่าของทารกในการคลอดอย่างขมีขมัน หมอหลวงมั่นในท้องนั้นต้องมีเด็กสองคนอย่างแน่นอน ถ้วยชาม หม้อต้มน้ำร้อน ชามเกลือผลึกคมถูกวางไว้พรั่งพร้อมเพื่อช่วยในการเลาะฝีเย็บหากคลอดยาก ยาหม้อสมุนไหนและก้อนเส้าเผาไฟที่ตระเตรียมไว้ให้อยู่ไฟอย่างดิบดี
สีดาจับผ้าที่ผูกโยงไว้กับขื่อคาพร้อมออกแรงเบ่งตามหมอหลวงให้จังหวะ ความปวดร้าวไปทั้งอุ้งเชิงกรานนั้นแทบขาดใจ ปวดชาไปทั้งหน้าขาจนอยากจะตัดขาตัวเองทิ้งไปให้พ้นเสีย เหงื่อที่ไหลซึมมีนางกำนัลคอยซับคอยเช็ดให้ไม่ห่างกาย ห้องหับล้วนถูกปิดสนิทยากที่ลมจะเล็ดลอดผ่านไปและเข้ามาได้

เสียงร้องของนางดั่งกัปนาทไม่ต่างไปจากเสียงร้องครืนๆของอสุนิบาตร

“เบ่งอีกเพคะพระนาง”

“ข้ามิไหวแล้ว...ท่านหมอ”

“พยายามอีกนิดเถิดเพคะ”

“ข้า...อื้อ...”


เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน

ลูกจ๋า ช่วยออกมาเร็วๆด้วยเถิดหนา

“สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพคะ อีกไม่นาน”

หญิงสาวยกมือจับผ้าแน่นจนนิ้วไร้สีเลือด หายใจ...ออกแรงเบ่งท้องตามการให้จังหวะของหมอหลวงอีกครั้ง ปวด... ปวดจนร้องไม่ออก ดวงต่ำและแพขนตาหนาฉ่ำไปด้วยน้ำตาสีใส ภาวนาขอให้เวลาแสนทรมานผ่านพ้นไปเสียที

“พระนางต้องอดทนเพื่อบุตรธิดาในครรภ์ หายใจเข้าเถิดเพคะ”

“ท่านหมอ...”

“เห็นหัวเด็กแล้วเพคะ อีกมินาน ได้โปรดเถิด”

“อื้อ....!!!”

“ดีมากเพคะ ร้องออกมา ร้องออกมาให้เต็มที่ หากหม่อมฉันบอกให้เบ่งต้องเบ่งหนาเพคะ” เสียงหมอหลวงทำคลอดหายไปช่วงระยะหนึ่ง ก่อนดังขึ้นใหม่ “เบ่งเพคะ!!”

เสียงร้องของเมียช่างบาดลึกไปในใจของกษัตริย์ผู้ที่เคยเข้มแข็งดุดันจนถึงขั้นต้องหยุดเดิน หันมองประตูห้องคลอดด้วยความสงสารจับจิต

“ลูกเอ๋ย อย่าทำแม่เจ้าเจ็บนักสิ รีบออกมา ออกมาให้พ่อได้ยลโฉมเจ้าโดยพลันด้วยเถิด”

“มิต้องกังวลดอกเพคะ ประเดี๋ยวลูกของพระองค์ก็ทรงออกมาแล้ว”

“ฝ่าบาท!”

หัวหน้าทหารยักษ์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหน้าตาตื่น คิ้วเข้มหนาขมวดมุ่นเป็นเชิงสงสัย สงสายตาคมกริบเร่งให้พวกยักษ์ฉกรรจ์เอ่ยวาจาสักที มัวแต่เป่าลมหายใจออก สูดลมหายใจเข้า เมื่อไหร่เขาจะรู้เรื่องกัน

“พวกเจ้ามีกระไร”

“ฝ่าบาท...แย่แล้วพะยะค่ะ”

“พวกเอ็งก็บอกมาสิวะว่าเรื่องกระไร อย่าให้ข้าอินทรชิตผู้นี้ต้องใช้มีดปาดหัวพวกเอ็งรายตัวเชียว” หัวหน้าทหารกลืนน้ำลายดังอึก และเริ่มพูดเสียงสั่นรัว

“เกิดเหตุใหญ่แล้วพะยะค่ะ ที่...ที่หน้าพระราชวังพวกมนุษย์แลอ้ายลิงหน้าขนกำลังบุกเข้ามาโจมตีที่นี่ด้วยกำลังพลไม่น้อยเทียวพะยะค่ะ พวกมันเข้ามาเร็วมาก ข้าพระองค์มิอาจสกัดไหว จึงรีบมาเรียนให้ฝ่าบาททรงทราบ”

“มันเป็นผู้ใด”

“แม้นมิมั่นใจนัก หากแต่ข้าพระองค์คิดว่าเป็นพวกพระรามแลหนุมานพะยะค่ะฝ่าบาท”

“ปล่อยให้มันเข้ามา”

“ฝ่าบาท!”

“พระบิดา!”

“เสด็จพี่!”

สามเสียงประสานพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ว่าแล้วต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น นับว่าลางสังหรณ์ สัญชาตญาณนับรบยังใช้การได้อย่างยอดเยี่ยม พระรามเรอะ...คิดจะบุกพื้นที่คนอื่นเขาก็ควรแจ้งเสียก่อนสิ มาทำอย่างนี้ช่างไม่มีมารยาทเอาเสียเลย ยอดแย่
ทศกัณฐ์หันไปมองนางมณโฑเป็นคนแรก ยกมือนางขึ้นมากุมหลวมๆ

“กลับไปอยู่ในห้องเจ้าเสีย”

“เสด็จพี่”

“นี่คือคำสั่ง หากเจ้ายังขัดคำข้าแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจักฆ่าเจ้าเสีย”

“แต่ข้าเป็นมเหสีของพระองค์ ข้ามีสิทธิ์อยู่ข้างกาย...”

“เหตุใดชอบทำให้ข้าหนักใจนักมณโฑ ถ้ามิคิดห่วงตัวเองก็ช่วยห่วงลูกเจ้าบ้าง กลับไปดูแลพวกเขาให้ดี ประเดี๋ยวเสร็จจากการพบปะมิได้นัดหมายครั้งนี้ ข้าจักไปหา...พวกเจ้าจงเร่งฝีเท้านำตัวพระมเหสีเอกกลับตำหนักประเดี๋ยวนี้ เร็ว!” เมื่อเป็นคำสั่งจากกษัตริย์ผู้ครองกรุงลงกา ใครไหนเลยจะปฏิเสธได้

“พระบิดาท่านมีความจำเป็นเยี่ยงไรจึงยอมปล่อยให้พวกมันเข้ามาโดยง่าย” อินทรชิตเอ่ยถามขณะร่ายมนต์ถือคันศรนาคบาศเตรียมการเต็มที่

“นี่เป็นเรื่องบาดหมางของพ่อแลพระรามผู้นั้น พ่อมิอยากทำศึกใหญ่ในครานี้ เกรงลูกน้อยของพ่อ...น้องๆของเจ้าจักมิปลอดภัย”
“งั้นข้าจักเป็นหูเป็นตาคอยช่วยเหลือพระบิดาเอง”

“ขอบน้ำใจเจ้านักลูกข้า แต่พ่อจัดการเองได้”

“แต่...”

“อย่าขัดคำสั่งพ่ออินทรชิต พ่ออยากให้เจ้าช่วยดูแลปกป้องน้องๆของเจ้าให้ดี อย่าให้พวกมันได้ย่างกรายเข้าไปเป็นอันขาด หากมันคิดเล่นตุกติก ก็จงฆ่ามันให้ตายเสีย!”






ยิ่งอ่านยิ่งระทึก โอยยยย โอยยยยย  :hao7: :hao7: :hao7:
เป็นไงกันบ้างคะกับตอนนี้ บอกได้เลยสนุกมากกกก(ชมนิยายตัวเอง5555)
หากมีคำผิดโปรดอภัย
1เม้น=1กำลังใจ น้าาาา
วันนี้เราต้องขอตัวก่อน ไม่ไหวล่ะค่ะ ปวดหัวมากกกก ตุบๆเลย
ไว้พบกันใหม่ตอนหน้า  :mew1:

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 27-12-2016 21:16:44
จริงๆไม่ชอบพระรามตั้งแต่อ่านออริจินัลละแหละ พระรามเรื่องนี้ทำหมั่นกว่าเดิม
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 27-12-2016 21:53:44
ทางเปรมกับนางสีดาก็เริ่มเล่าความหลังกันไม่ทันเท่าไหร่
ทางพระรามกับรณพักตร์ก็ตีกันอยู่อีกทาง
จะตีกันตายหรือทศกัณฐ์จะมาช่วยเปรมก่อนเปรมฟื้นเองไหมล่ะนั่น :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 27-12-2016 22:44:27

ลุ้นมาก...............

ขอต่อเวลาเพิ่มได่ไหมขอรับ

อยากอ่านอีก

รอต่อขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 27-12-2016 23:57:00
อยากอ่านทีเดียวหลายๆตอนเลย

อย่าลืมดูแลตัวเองนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 28-12-2016 01:23:55
สนุกมากอ่ะ เปรมฟื้นเร็วๆนะ สงสารพ่อทศมาก กลัวเปรมความจำเสื่อมจังอ่ะ

บอกเลยว่าหมั่นไส้ท่านพระรามมาก คือหมั่นไส้ตั้งแต่ฉบับดั้งเดิมแล้วอ่ะ มาเรื่องนี้หมั่นไส้คูณสองจ้า

แสดงว่าสุริยากับจันทราก็ตายด้วยแน่เลย น่าสงสารจัง
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 28-12-2016 17:44:15
 :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 28-12-2016 20:14:11
ลุ้นหนักมาก

เกลียดพระรามตั้งแต่อ่านวรรณคดีต้นฉบับแล้ว

พ่อเปรมรักท่านทศให้มากๆเลยนะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-12-2016 00:17:14
 o13


ชอบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: drqam ที่ 29-12-2016 00:23:28
อ่านรวดเดียวจบ ติดงอมแงมมาก
กลัวว่าพ่อเปรมฟื้นขึ้นมาจะสับสนกับเรื่องราวที่ได้ไปปะหน้ากับสีดา จะทำให้พ่อเปรมมองพระรามอีกมุม แต่เราเชื่อมั่นในรักของพ่อเปรมต่อพี่ทศนะ  :o8:
/
/
รอต่อไปค่ะ :hao4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 29-12-2016 10:19:56
รอค่ะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 30-12-2016 00:33:52
:)
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)27/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 30-12-2016 08:18:46
ลุ้นมากๆ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ครึ่งแรก (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 30-12-2016 12:44:36
บทที่ ๑๕
[/size]



สถานการณ์ตกอยู่ในความอลหม่าน นัยน์เนตรพญารากษสอย่างทศกัณฐ์วาวโรจน์ แสดงเจตนารมณ์ถึงความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน อินทรชิตยืนผงาดอยู่เบื้องหน้าบานประตูไม้สีทอง สลักลวดลายทรงวิจิตร ร้องคำรามในลำคอราวประกาศศักดา อำบาจบารมีของตนต่อหน้าเหล่าศัตรูผู้มิเกรงกลัวต่อความสวรรค์นรก

เสียงโห่ร้องของกองทัพพระรามจากด้านนอกพระราชวังได้ทำลายความสงบสุขให้พังยับ แทนที่จะเลือกต่างคนต่างอยู่ดันเสือกรนหาที่ตายราวผู้โง่เขลา พระรามยังไงก็คงเป็นพระรามอยู่วันยังค่ำ ต่อหน้าเหล่าประชาราษฎร์ทำเป็นคนดีมีคุณธรรม จิตใจสูงส่ง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันก็เลวไม่ต่างจากยักษ์ร้ายอย่างเขาเลยแม้แต่น้อย

เอาความดีเข้าตัว เอาความชั่วเข้าผู้อื่น...วาจานี้คงสามารถทดแทนตัวตนขององค์รามผู้นั้นได้

ทศกัณฐ์ยืนเด่นท่ามกลางขุนศึกและพลยักษ์นับร้อยนับพัน....สง่างาม...น่าสะพรึงกลัวในเวลาเดียวกัน บานประตูใหญ่ถูกกระชากเปิดออกด้วยแรงมหาศาลพร้อมเหล่าผู้มาเยือนในยามดึกดื่น ดวงตาแสนเด็ดเดี่ยว อัดแน่นไปด้วยโทสะคุกรุ่น ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่ามันมาดีหรือร้าย

“จักมาก็มิบอกกล่าวกันเสียหน่อยเล่าพระราม ข้าจักได้เตรียมพื้นที่ให้วิ่งเล่นเหมาะสมกับตำแหน่งพระโอรสแห่งแดนอโยธา ดูสิ พื้นที่กระจ้อยร่อยเพียงเท่านี้ ยามปะทะกันมีแต่ลำบากเปล่าๆ”

“วันนี้ข้ามิได้มาเพื่อทำการศึกกับเจ้า แต่ข้ามาเพื่อทวงเมียของข้าแลคืนของชั้นต่ำของเจ้าด้วย” ประโยคแรกยังพอเข้าใจ แต่ไอ้ประโยคหลัง คืนของของเขา มันหมายถึงสิ่งใดกันแน่

“ข้ามิใคร่จำได้ว่าข้าลืมของพรรณนั้นไว้กับเจ้าด้วย”

“มันเป็นของที่หนีเจ้าของอย่างเจ้ามาอย่างไรเล่า ของที่ข้าเคยไว้ใจ...แต่สุดท้ายกลับโดนมันหักหลังให้เจ็บช้ำเสียหลายวัน”
คิ้วเข้มยังคงขมวดงุนงงไม่เข้าใจกับคำของศัตรู หากไม่กี่วินาทีต่อมา ดวงตาของพญารากษสกลับเบิกกว้างด้วยความตกใจ มหาบุรุษแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก เมื่อของที่พระรามว่านั้นถูกผลักออกมาให้เดินออกไปข้างหน้าอย่างโซซัดโซเซ ค่อยๆเงยขึ้นสบตาตนอย่างอ่อนแรง

พิเภก!

“ท่านพี่ทศ”

“พิเภก...เหตุใดเจ้า” ทศกัณฐ์ละล่ำละลักเสียงสั่นเครือ มองหน้าน้องชายที่ตนเคยตัดเยื้อใยสะบักสะบอม เต็มไปด้วยบาดแผลทั่วหน้าและลำกายแกร่ง ทั้งรอยแผลเหวอะจากการถูกเฆี่ยนซ้ำกันหลังครั้ง รอยคมมีดที่กรีดเฉือนเนื้อเป็นทางยาวบริเวณสีข้าง น้ำตาที่เขาไม่เคยเห็นหน้าประดับหน้าอดีตโหรหลวงกรุงลงกา กลับไหลหลั่งอาบแก้มไม่ขาดสาย

พวกมันทำอะไรน้องของเขา!

“พี่มันชั่วอย่างไร น้องมันก็ชั่วเช่นนั้น”

“มึงทำกระไรน้องกู!!”

พระรามไม่ยอมตอบเอาแต่ยกรอยยิ้มหยันอย่างถือดี พยักหน้าให้พลลิงตนหนึ่งกดตัวพิเภกลงนั่งกับพื้นหินอันเย็นเยียบ ทศกัณฐ์อยากกระโดดไปบีบคอไอ้ชั่วนั่นให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องข่มใจห้ามไว้

“พระบิดา ให้ลูกฆ่ามันดีฤาไม่”

ทศกิริวัน และ ทศกิริธร โอรสฝาแฝดของทศกัณฐ์กับนางพญาช้าง ทั้งสองมีศีรษะเป็นช้าง ร่างเป็นยักษ์ ทรงพลังมหาศาล เอ่ยกระซิบถามหลังจากตรงดิ่งเข้ามาสมทบกับพระบิดาตนได้สักพักหนึ่ง

“อย่าเพิ่งวู่วาม มันมิทำกระไรอาเจ้าไปกว่านี้ดอก” หากมันทำ...เขานี่แหละจะเป็นคนฆ่ามันก่อนเอง

พญารากษสเหลือสำรวจพิเภกอีกครั้ง และกล่าวถามฝ่ายพระรามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งติดดุดัน

“น้องข้าทำผิดอันใด ใยจึงทำร้ายเขาเจ็บปางตาย”

“หึ” พระรามเค้นหัวเราะเบาๆ “ข้าก็ทำในสิ่งที่สมควรกระทำ อยู่ดีมิว่าดีน้องเจ้าดันหาเรื่องใส่ตนเองนัก รวมหัวกับสีดาหลอกข้าแลทุกคนว่าเด็กที่อยู่ในครรภ์นางคือหน่อเนื้ออโยธยา แลยังวางแผนส่งนางยักษีชั่วมาเพื่อให้ข้าตัดหัวควักหัวใจเมียตนเองอีก เจ้าคิดว่ามันสมควรแล้วรึ”

“แล้วสิ่งที่เจ้าทำกับสีดามันถูกต้องแล้วรึ”

“!!”

พญารากษสยกยิ้มเยาะหยัน “ข้าจักบอกกระไรให้ ทุกสิ่งมันเป็นเพราะเจ้าเองพระรามเอ๋ย หากเจ้ารักแลเชื่อใจเมียของเจ้าให้เท่ากับปากว่า เจ้าจักมิมาดีดดิ้นทวงเมียคืนอยู่บนผืนแผ่นดินกรุงลงกาของข้าดอก”

“...”

“แรกเริ่มข้านั้นแสนอิจฉาเจ้านักที่ได้หัวใจของนางไป ทุกวันคืนนางเอาแต่พร่ำถึงเจ้า บอกรักเจ้าน้ำตานองหน้าทั้งๆที่ข้าคอยเอาอกเอาใจ คอยดูแลนางมิห่างกาย ให้ความรักกับนางมาตลอด แต่นางกลับเมินเฉยมิสนใจใยดี...พระรามเอ๋ย...เจ้าควรดีใจหนาที่สีดาเคยรักเจ้ามากถึงเพียงนี้”

เคย?

“เจ้าพูดอย่างกับเพลานี้นางรักเจ้ามิใช่ข้า”

“น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน แล้วนับประสากระไรกับใจนาง ต่อให้สีดาเคยโกรธเกลียดข้ามากเพียงใด แต่ถ้าหากข้านั้นคอยดูแล คอยให้ความรักความเอาใจใส่แก่นางทุกวัน ความเกลียดก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอื่นที่ดีกว่าได้เช่นกัน” ทศกัณฐ์ยกแขนกอดอกส่งยิ้ม “เจ้าลองไตร่ตรองดูสิ หากนางมิรักข้า ใยจึงกลับมาหาข้าทั้งที่ไอ้ลิงหน้าขนตนนั้นพานางกลับเมืองของเจ้าไปนานแล้ว แลที่สำคัญ...นางยังใจดีมีบุตรสืบสกุลให้ข้าอีก”

“ทศกัณฐ์....” พระรามกัดฟันกรอด

“ขึ้นชื่อว่าเมีย...ย่อมต้องการความรัก ความไว้ใจจากผัว มิใช่ความหวาดระแวงว่าเมียตนจักไปมีผัวมีชู้ใหม่หลบซ่อนอยู่แห่งหนใด”

“...”

“เห็นแก่ความเป็นผัวเก่าเมียข้า ข้าจักบอกเจ้าสักนิดถือว่าทำทานให้แก่ชายผู้โง่เขลาในความรัก ถ้าเจ้าดีต่อสีดาเหมือนครั้นก่อน รักนางจริง นางคงมิคิดหวนคืนสู่อ้อมอกข้าดอก”

พระรามขบกรามแน่น จนเส้นเลือดเริ่มปูดโปนตามขมับ เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตกซ่านจนแดงก่ำราวปีศาจนรกภูมิ ไม่เคยคิดเลยว่าต้องมายืนฟังคำสอนของศัตรูเช่นนี้

“เจ้าจักรู้ดีไปกว่าตัวข้าได้เยี่ยงไร ใจข้า ตัวข้า ข้ารัก รักนางมาโดยตลอด มิเคยทำให้นางผิดหวังช้ำใจเลยสักครา”

“มิทำให้เสียใจ เจ้าช่างกล้าพูดมิเคยทำให้นางเสียใจ...จงตื่นฟื้นสติเสียทีพระราม การกระทำของเจ้ามันทำให้สีดาเสียใจมาโดยตลอด เจ้ามันโง่ มิเคยนึกถึงความรักความซื่อสัตย์ เทิดทูนบูชาที่นางมีให้ต่อเจ้า สิ่งที่เจ้าคิดอย่างเดียวคือความรู้สึกของตนเอง แลต่อให้เจ้าสำนึกถึงความผิดได้ ข้าก็มิมีวันยกน้องให้เจ้าอีกเป็นอันขาด”

“ข้าจักพานางกลับคืน!”

“คงทำได้แค่ฝัน”

เส้นแสงเหลืองทองอร่ามโอบรอบกายกำยำเพียงเศษเสี้ยววินาทีก่อนจะถูกกลืนหายไปพร้อมกับสายลมพัดแผ่ว เครื่องทรงใหญ่ประจำกายพญารากษสปรากฏขึ้นแทนที่ชุดดั้งเดิม แลด้วยเขี้ยวสีขาวมุกยาวโค้งรับกับมุมปากทั้งสองด้าน ดวงตาสีเขียวมรกตทอแสงกล้ายามดวงแก้วบนนภาสาดส่องกระทบ ถึงแม้จะไม่ได้กลับคืนรูปลักษณ์เดิมแบบสมบูรณ์ แต่พญารากษสก็มั่นใจฝีมือตนดี ไม่มีทางพลาดหรือหลงกลอุบายของฝ่ายตรงข้ามอีกแน่

“ช่างสามหาวนักเจ้ายักษ์!” พระลักษณ์กระทืบเท้าชี้หน้าต่อว่าทศกัณฐ์ด้วยสีหน้าฉุนเฉียว น้าวศรหมายยิงใส่ตัวกษัตริย์กรุงลงกาให้ตายแดดิ้นตรงหน้า แต่พระรามกลับมายืนขวางไว้เสียก่อน

“พระลักษณ์ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เถิด”

“แต่มันพูดจาเยาะเย้ยท่าน”

“ช่างปะไรเล่า พี่หาได้สนใจคำของมันไม่ เพราะอย่างไรเสีย สีดาก็จักคืนสู่เราอยู่ดี”

“มั่นใจเหลือเกินหนาพระราม เมื่อครู่ข้ายังเอ่ยมิชัดดอกรึ ว่าหัวใจนางอยากอยู่กับผู้ใดมากกว่ากัน”

“ข้าเป็นพระสวามีของนาง!”

“ข้าก็เป็นผัวนาง เราต่างกันอย่างไรฤาพระราม”

“ข้ามาก่อน”

“มาก่อนแล้วอย่างไร เจ้าทำนางท้องได้เหมือนข้าฤาไม่ หึหึ... ของจริงมิต้องพูดให้เปลืองเขฬะ*  ไอ้หนุมานก็หาทำได้ไม่ แลคนอย่างเจ้าก็อย่าหวังเลย”


*เขฬะ= น้ำลาย

“ต่ำ! ข้ามิเคยเห็นพ่อคนใดกระทำย่ำยีลูกในไส้เช่นเจ้าเลย”

“ข้าก็มิเคยเห็นผัวคนใดระยำควักหัวใจเมียให้น้องนำมาถวายเช่นกัน” ทศกัณฐ์สูดลมหายใจฟูดฟาด พยายามระงับอารมณ์ที่ค่อยๆพุ่งสูงขึ้นทุกวินาที กระตุกยิ้มเหยียดอย่างเย้ยหยัน “แหม...แหม...เพียงเห็นเห็นรูปอันหล่อเหลาของข้าใต้หมอนนอนประหน่อยเดียว กลับโมโหโกรธาสั่งให้พระลักษณ์นำเมียตัวเองไปฆ่าในป่า...ไตร่ตรองดูสิผู้ใดต่ำกว่ากัน”

ทศกัณฐ์ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะทำท่าทีอย่างไรหลังจากเขาพูดจบ เบนสายตาไปยังน้องชายที่เคยถึงขั้นตัดพี่ตัดน้องเพราะช่วยเหลือฝั่งศัตรูมั่นหน้าอย่างพระราม รอยฟกช้ำ บาดแผลและเลือดเกรอะกรังทำเอาเขาเผลอแผ่รังสีอำมหิตออกมาโดยไม่รู้ตัว แม้ปากจะบอกว่าตัดขาด แต่ในใจของเขาไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย พี่น้องร่วมสายเลือด ต่อให้คนใดทำผิดจนบาดหมางมองหน้ากันไม่ติด ทว่าอย่างไรเสียความเป็นพี่น้องก็ยังคงอยู่

 หยาดน้ำตาโหรหลวงอย่างพิเภกถึงกับหลั่งริน บุรุษกายสีเขียวแสนทรงสง่ายืนหน้าเรียบนิ่งมิส่อเค้าความรู้สึกใด ทว่าหากเพ่งพินิจในดวงเนตรสีเขียวกระจ่างอีกนิดจะเห็นถึงความอ่อนโยนและความห่วงใยจากพี่สู่น้อง เพิ่งตระหนักได้ในวันนี้ ว่าจะคนหรือยักษ์หรือสัตว์เดรัจฉาน ย่อมมีทั้งความดีและความชั่วปะปนกันไป ขึ้นอยู่กับว่าจะแสดงทางด้านไหนออกมามากกว่าก็เท่านั้น

“หากเจ้าอยากกลับบ้าน พี่พร้อมจักเปิดประตูต้อนรับเจ้า...พิเภก”

“ท่านพี่ทศ”

“ขอบน้ำใจเจ้านักสำหรับทุกสิ่งอย่าง ต่อจากนี้พี่จักการเอง”

ชั่วเวลาประเดี๋ยว เสมือนฟ้าดินต่างจ้องมองลงมาอย่างลุ้นระทึก การประชันหน้าระหว่างพญารากษสและพระนารายณ์อวตาร เสียงอสุนิบาตรร้องดังครืนครานสะเทือนไปถึงปฐพี บรรดาพลยักษ์และพลลิงต่างย่อไปด้านหน้าตัวเตรียมบุกทะยานหาคู่ต้อสู้สุดกำลัง รอคอยเพียงแค่...สัญญาณเปิดศึกของเจ้านายพวกมันเท่านั้น...




“เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นหรือครับ”

สีดาส่ายหัว “ข้ามิรู้แจ้งเท่าใดนัก ข้าเพียงได้ยินแค่เสียงอึกทึกจากด้านนอกแลคำบอกเล่าจากนางกำนัลที่แอบดูจากด้านใน พวกนางเล่าให้ข้าฟังว่าทั้งสองพระองค์ต่างสู้รบตบมือกันเสียยกใหญ่ ข้าวของแตกพังเสียหายไปทั่วอาณาบริเวณ มีทหารจำนวนไม่น้อยที่ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสมเพชเวทนา”

“ข้ากลัว...กลัวมากเทียวพ่อเปรม”

“ไม่เป็นไรนะครับ” เปรมเอ่ยแผ่วเบา...เบาเหมือนสายลมกระซิบ

หญิงสาวจับศีรษะของลูกน้อยทั้งสองวางลงบนหมอนนุ่มอย่างอ่อนโยน ยืดตัวลุกขึ้นและเดินก้าวไปผลักบานหน้าต่างออกกว้างรับอากาศอันบริสุทธิ์เบื้องนอก เธอมองความงดงามแห่งธรรมชาติไปยังทิวเขาและความเวิ้งของนภากว้างในยามราตรีด้วยอาการสงบนิ่ง

“ข้านั้นทั้งรักพระรามแลทศกัณฐ์ รักทั้งสองพระองค์มิต่างกัน แต่ข้ามิรู้จักทำเช่นไรเพื่อให้หยุดข้อพิพาทเหล่านั้นภายในราตรีเดียว”

“...”

“ข้ารู้สึกหวาดกลัวแลทำกระไรมิถูก ข้าต้องคอยฟังเสียงโหยหวน กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทั้งที่ต้นเหตุของเรื่องราวบาดหมางทั้งหมดมาจากข้าเอง”

“อย่าโทษตัวเองสิครับ ไม่มีใครกำหนดโชคชะตาได้หรอกว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง คุณไม่มีทางเลือก”

“ข้ามีทางเลือกหลายทางออเจ้า แต่ข้ากลับเลือกเส้นทางที่ยากที่สุดแลอันตรายที่สุด” สีดายิ้มเศร้าเมื่อภาพความทรงจำนับไม่ถ้วนไหลรินเข้ามาไม่ขาดสาย “แต่ข้ามิเคยรู้สึกเสียใจดอกหนาที่ได้เลือกเดินเส้นทางนี้”

“ถึงแม้มันจะทำให้ชีวิตคุณประสบพบเจอแต่ความยากลำบาก ความบาดหมางไม่รู้จักจบจักสิ้น...”

“แลความตายที่มิอาจหวนคืน”

เปรมนิ่งอึ้ง มองวงหน้าสะสวยสะท้อนแสงจันทราประกายสีเหลืองหม่นพอๆกับจิตใจเบื้องลึกของเธอ เขาไม่คิด...ไม่สิ ไม่เคยแม้แต่จะคิดสักนิดว่าชีวิตอันสุขงอมของพระรามและนางสีดาจะกลับกลายเป็นเรื่องน่าเศร้า สงสารและเห็นใจเธอไม่น้อยที่ต้องแบกรับเรื่องพวกนี้โดยที่ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือได้ หากเปรมเป็นนางสีดาในตอนนั้น เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำอย่างไรเพื่อยุติเรื่องราวบ้าๆนี่ให้หมด

รักสามเศร้าของคนสามคน จบลงด้วยความตายที่ไม่อาจหลุดพ้น

“คุณตายเพราะอะไรกันแน่”

“ข้าเลือกจักให้ความตายเป็นตัวหยุดยั้งสงครามระหว่างสองเผ่าพงศ์ มันเป็นสิ่งที่ข้าคิดว่าดีที่สุดในเพลานั้น” หญิงหันมาหาเปรม ยกมือขึ้นมากอบกุมมือเรียวยาวของจิตวิญญาณหนุ่มและบีบเบาๆ “ข้ารู้ข้าช่างเลือกทางที่โง่เขลา แต่ข้าจำเป็นต้องทำ ...เพราะข้ามิอยากเห็นทั้งสองพระองค์ต้องห้ำหั่นกันอีกแล้ว”

“ใจเย็นนะครับ คุณไม่ผิด คุณทำดีที่สุดแล้ว”

หยดน้ำตาแห่งความอัดอั้นนานนับสหัสวรรษ บัดนี้มันได้ไหลทะลักออกมาในรูปแบบหยดน้ำสีใสจากสองเบ้าตาที่แสนบวมช้ำ มีแต่ความเจ็บปวดทุกข์ระทม ก้านนิ้วเรียวปาดคราบน้ำตาบนดวงหน้าหวาน พร้อมดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบประโลม เขาปล่อยให้เวลาดำเนินไปอย่างเงียบงัน ฝ่ามือก็คอยลูบหัว ลูบหลังให้อาการสะอื้นไห้สงบลงบ้าง



ถ้าว่าด้วยความรักที่มีให้ทศกัณฐ์...เป็นการผิดสัญญา คำสาบานที่ได้ให้ไว้กับพระราม
การดับชีวิตตน...ก็คงเป็นจุดกำเนิดแห่งโศกนาฏกรรมอันยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น
ระหว่าง...หนึ่งหญิงสองชาย
เป็นชะตากรรม...และลิขิตกรรมที่มิอาจเปลี่ยนแปร!




แม้เป็นเพียงศึกเล็กๆภายในพระราชวังอันใหญ่โต แต่มันกลับสร้างความฉิบหายวายวอดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ทศกัณฐ์มองกองไฟที่ลุกโหมกระหน่ำทำลายพระราชวังที่งดงามวิจิตรให้ไม่ต่างจากเศษซากไร้มูลค่า เหล่ายักษียักษาต่างวิ่งวุ่นอลหม่าน ทั้งคอยต่อสู้กับศัตรูและดับเพลิงพิโรธที่เผาวอดไปทั่วกรุงลงกา

เขาปล่อยให้พวกมันทำลายเมืองอันล้ำค่ามากขนาดนี้เชียวหรือ!

ความแค้นเพิ่มพูนนับร้อยเท่าพันเท่า ทศกัณฐ์เกณฑ์พลทหารยักษ์มากฝีมือโหมพลังความโหดร้ายทำลายล้างให้พวกศัตรูได้ประจักษ์ เดินหน้าบดขยี้กองทัพของพวกมันให้ย่อยยับทีละตัว สองตัว บ้างก็ตายเป็นสิบด้วยพลังระเบิดในครั้งเดียว

พระรามหวดคันศรฟาดใส่กลางตัวทศกัณฐ์กระเด็นไปกระแทกเสาจนแตกหัก พังครืนลงมาทับตามแขนขาลำตัว หากพญารากษสกลับไม่สะทกสะท้าน ปัดซากปรักหักพังออกพร้อมแยกเขี้ยวขู่คำราม แผลงศรใส่บุรุษผู้มีกายเขียวเฉกเช่นเดียวกับตนเป็นห่าฝน อาวุธกล้าครอบคลุมทั่วผืนฟ้า

เมืองพังยังสร้างใหม่ได้ แต่ถ้ามันไม่ตาย เขายอมไม่ได้

ไม่มีผู้ใดคำนวณนับได้แม้แต่ตัวของพระรามเองว่าพญารากษสทศกัณฐ์ผู้นี้มีฤทธิ์เดชสังหารไพล่พลวานรไปมากเท่าใด ทศกัณฐ์ครั้นคร้ามในอำนาจศรวิเศษ หากไม่มีมันพระรามก็คงไม่เก่งกาจถึงเพียงนี้ เป็นครั้งแรก...ที่ทั้งสองต่างประมือสู้รบกันอย่างจริงจัง
ทศกัณฐ์จับจ้องแล้วขว้างจักรแรงฤทธิ์ดั่งไฟบรรลัยกัลป์ ทว่าพระรามเลือกแผลงศรปะทะทำลายจักรเสียงกึกก้องกัมปนาท

ฉึก ฉึก ฉึก!

ศรของพระรามพุ่งเข้าปักตรึงทศกัณฐ์เต็มร่าง พญารากษสร้องด้วยความเจ็บปวดสุดทานทน ร่ายพระเวทถอนศรและลูบกายให้บรรเทา...การทำศึกกับพระรามนั้นแสนสาหัสและหายนะเกิดคาดคิด แต่! เกียรติภูมิในฐานะกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาไม่มีวันยอมแพ้หรือถอยให้แก่มันเป็นอันขาด เรื่องอื่นยังพอพูดคุยกันได้ แต่เรื่องเมีย อย่าหวังว่าจะเอานางกลับคืนไปได้!

“ยอมแพ้ฤาไม่ทศกัณฐ์”

“ข้ามิยอมแพ้เจ้าดอกพระราม”

เคร้ง เคร้ง ฉึก!!

“อั่ก!!!!”

ลูกศรตรงเข้าปักกลางลำตัวอีกครั้ง เลือดไหลทะลักส่งกลิ่นคาวฟุ้งไปทั่วบริเวณ หนุมานได้โอกาสจึงยืดหางยาวเหยียดแล้วค่อยๆขมวดหางกระชับวงแคบเข้า

อินทรชิตที่คอยจับตาดูอยู่ไกลๆรีบพุ่งทะยานเข้ามาบดบังร่างบาดเจ็บของพระบิดา ฉับพลันหางของหนุมานก็รวดมัดตัวรากษสไว้ได้แล้วเหวี่ยงหาดกับกำแพงหน้าจนแตกพังทลายทับร่างเล็กต่อหน้าต่อตา

“ไอ้พวกชั่ว!”

ทศกัณฐ์อัดอั้น เพราะยักษ์พ่ายแพ้มาโดยตลอด จึงหวังสาปแช่งทัพพระรามให้ย่อยยับ รีบฉวยหอกทะยานเข้าสู้กับพระรามและหนุมาน ดวงตาทั้งสิบสอดส่ายมองความเคลื่อนไหวของศัตรู ใช้โอกาสอันแม่นเหมาะจู่โจมพระรามด้วยหอกกบิลพัททรงอานุภาพหมายปลิดชีวิตพระราม หากพระลักษณ์กลับโถมกายเข้าปัดป้องแทน ด้วยความรวดเร็วเกิดหยั่งถึง หอกแหลมคมจึงพุ่งปักอกพระลักษณ์จนกระเด็นกระดอนไปไกล

แม้พลาดเป้าจากบุคคลที่ต้องการทศกัณฐ์ก็ยังสามสมใจ มองดูพระรามที่ค่อยๆเคลื่อนหาผู้เป็นน้องชาย ทรุดลงกับพื้นน้ำตาอาบหน้า ทรมานใจสงสารน้องที่ต้องมาร่วมชะตากรรม ระหกระเหินทุกข์ทนจนบัดนี้คล้ายจะสิ้นชีวิต

“บังอาจนักเจ้ายักษ์ชั่ว!”

“ตัวข้านั้นชั่วก็ชั่วที่ตัว แต่เจ้านั้นชั่วทั้งกาย วาจาแลใจ”

“!”

“เจ้าทำกับน้องข้าเจ็บปวดอย่างไร ข้าก็ยิ่งปรารถนาให้น้องเจ้าเจ็บเจียนตายมากฉันนั้น”

พระรามถึงกับหัวร่อกู่ก้องไปทั่วทั้งพระราชวัง คิ้วเข้มของพญารากษสขมวดมุ่นไม่เข้าใจแลไม่พอใจเป็นอย่างมาก สายตาของพระรามตอนนี้กลับกลายเป็นดั่งเดิมแล้ว เมื่อหนุมานเหาะขึ้นกลางหาวให้ทศกัณฐ์เห็น ดวงตามรกตเบิกโพล่งตกใจราวถูกสายฟ้าฟาด เย็นเยียบไปทั่วร่างเมื่อพญาวานรเอกทำท่ายั่วเยาะชูกล่องใส่ดวงใจขึ้น

“อันใดหนาอยู่ในกล่องนี้”

“ตั้งแต่เมื่อใด!!”

“อยากได้ฤาไอ้ยักษ์ชั่ว”

“ส่งกล่องดวงใจมาให้ข้า”

“ส่งง่ายๆก็มิใช่ข้าสิทศกัณฐ์ หากเจ้ายังรักตัวกลัวตายก็จงคืนนางสีนางแก่พระรามเถิด หากเจ้าคืน ข้าจึงจักมอบกล่องดวงใจนี้คืนให้แก่เจ้า”

ทศกัณฐ์รู้สึกโกรธเป็นอย่างมากกับวาจาอันหยามหยันของวานรเผือกทิ่มแทงใจ หยัดกายสูงสง่าประกาศกร้าวว่าจักขอสู้จนตัวตาย

พระรามน้าวศรพรหมาสตร์ด้วยพละกำลังที่มีแลด้วยบุญญาธิการที่สั่งสมไว้ตั้งแต่เป็นพระนารายณ์อยู่บนสรวงสวรรค์ ชั่วขณะหนึ่ง เสมือนกาลเวลาทั่วทั้งจักรวาลได้หยุดลงฉับพลัน...หนุมานจับจ้องมองเห็นจุดจบอันใกล้ของทศกัณฐ์ในวินาทีข้างหน้า

“หากเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จักสนองให้”

“พระบิดา!”

“ท่านพี่ทศ”

“หยุดประเดี๋ยวนี้พระราม”
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 30-12-2016 12:46:46


น้ำเสียงนี้ก้องอยู่ในความคิดคำนึงในทุกลมหายใจเข้าออก มิเพียงเท่านั้น วงพักตร์และดวงเนตรของนางยังคงลอยเด่นอยู่ในจิตทุกเวลานาที แม้จะซีดเซียวไร้สีเลือด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความงามของนางลดลงเลย

“วางศรลงประเดี๋ยวนี้”

นางยังคือรัก

รักแรกและรักตลอดไปของเขา


“ได้โปรด วางศรลงเพคะ”

ความรักเป็นเพียงใยที่บางเบา หากแน่นกว่าสายใยในโลก พระรามมองสีหน้าพระชายาของตนอย่างนึกเสียใจ ทิ้งคันศรลงกับพื้นก่อนจะเข้าไปตระกรองกอดนางอันเป็นที่รักท่ามกลางสายตาเจ็บปวดของพญารากษส

“สีดา”

“ปล่อยข้า”

“พี่ขอโทษที่ทำกับเจ้าอย่างนั้น แต่ทุกอย่างเป็นเพราะพี่รักเจ้าจอมขวัญ พี่มิอยากให้น้องคะนึงถึงชายอื่นน้องจากพี่”

“ปล่อยข้าเสียพระราม”

“เหตุใดน้องจึงกล่าววาจาเหินห่างราวพี่เป็นคนแปลกหน้า พี่ยังคงเป็นพระสวามีของน้อง สีดา...ได้โปรด กลับคืนสู่อโยธยากับพี่เถิด”

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไร หากผละตัวออกจากวงแขนแกร่งของผู้ที่เคยเป็นพระสวามีที่รักยิ่งด้วยแรงกำลังที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด

“สีดา...”

“หากพระองค์รับปากหม่อมฉันว่าจักยุติสงครามกับทศกัณฐ์ หม่อมฉันจักไปเพคะ”

“พี่มิให้น้องไปสีดา!”

หญิงร่างบางเบือนสายตามองไปยังพญารากษสที่นั่งกอบกุมหัวใจอย่างเศร้าสร้อย นางไม่มีทางเลือก หากนางไม่ตอบพระรามไปเช่นนั้น ทศกัณฐ์อาจจะต้องตายอย่างไม่มีวันหวนกลับ นางยอมจากไปตอนนี้เพื่อให้ได้พบกันในภายภาคหน้า

“รับปากหม่อมฉัน...พระราม รับปากจักปล่อยทศกัณฐ์ไป”

“พี่รับปากเจ้า ขอเพียงน้องกลับไปกับพี่”

“สีดา!” ทศกัณฐ์ร้องลั่นแทบขาดใจ หัวใจของพญารากษสคล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบหัวใจจนปวดหนึบ กระนั้นก็พยายามคุมตนให้นิ่งดูสถานการณ์ต่อไป

“หนุมานสั่งให้คนของเราหยุด ปล่อยตัวพิเภกแลดูแลพระลักษณ์น้องข้าด้วย ประกาศให้ทราบโดยทั่ว ข้าพระรามหาได้มีเวรกรรมต่อทศกัณฐ์ผู้นี้อีก” แม้จะประกาศกร้าวหากดวงเนตรคมคายกลับดูเป็นประกาย คล้ายมีความลับบางอย่างซ่อนเร้นอยู่
ไม่น่าไว้วางใจ

“ด้วยเกล้ากระหม่อมพะยะค่ะองค์ราม”

สีดาสบตากับทศกัณฐ์ ในแววตาของนางนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความรัก ความห่วงใยที่มีให้เขาเป็นล้นพ้น แม้พระรามก็มิอาจสู้ได้ พญารากษสพอเข้าใจแล้ว ทำไมนางถึงต้องทำเช่นนี้

นางกำลังปกป้องเขาและลูกน้อยจากความตาย

ความหวังดีของนางเขาซาบซึ้งนัก แต่ถ้าจะให้เอาตัวไปง่าย...ก็คงไม่ใช่ทศกัณฐ์

พลวานรเริ่มถอยกำลังออกตามคำสั่งผู้เป็นนาย แต่กระนั้นอินทรชิตยังไม่ไว้วางใจ แกล้งหรี่ตาทำเป็นนอนสลบอยู่ใกล้หนุมานที่ยืนสั่งการและถือกล่องดวงใจของพระบิดาอยู่...พยายามขบคิดหาทางชิงกล่องนั่นกลับคืนมาให้ได้ ครั้นพญาวานรหันมา อินทรชิตก็แกล้งปิดตาสนิทพร้อมลมหายใจสม่ำเสมอ เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาข้างใบหูก่อนสัมผัสอุ่นๆไม่หนักไม่เบาประทับลงที่หน้าผากและแก้ม

“ถ้าเจ้ามิใช่ลูกเจ้ายักษ์นั่น ข้าคงจับเจ้าทำเมียแล้วน้องอินเอ๋ย”

เมีย!

เจ้าบ้านี่!

งั้นสัมผัสเมื่อครู่ก็คงเป็นริมฝีปากเน่าๆของเจ้าวานรชั่วน่ะสิ อินทรชิตกรุ่นโกรธในใจ แต่ก็ ตอบโต้ไม่ได้เนื่องจากหนุมานยังอยู่ใกล้ๆพร้อมเอามือมาลูบพวงแก้มของเขาเล่น

“แต่มิต้องห่วงไป อีกเดี๋ยวพ่อเจ้าก็ตาย ข้าจักรับเจ้ามาเลี้ยงดูปูเสื่อเอง”

มิต้องมาเลี้ยงข้าไอ้เวรตะไล...คิดฆ่าพระบิดากูใช่ฤาไม่ มึงต้องเจอกูสักตั้ง!

“เจ้าจักรับเลี้ยงข้ารึ”

“ใช่ เฮ้ย!”

“ท่านอาพิเภก กล่องดวงใจ!”

อินทรชิตคว้ากล่องดวงใจจากมือหนุมานส่งไปให้พิเภกที่นั่งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ก่อนผลักร่างของมันให้ล้มลงนอนนาบกับพื้น และนั่งคร่อมกดไว้ไม่ให้ดิ้นขยุกขยิกไปไหน

“อินทรชิต”

“ไหน...ผู้ใดบอกจักฆ่าพระบิดากู”

“ใจเย็นๆสินวลเจ้า”

ความอดทนอดกลั้นของอินทรชิตมักแสดงผ่านสีหน้า นัยน์เนตรเรียวสวยเฉกเช่นผู้เป็นพระมารดาดุดันแต่ทว่าในสายตาหนุมานกลับมองเป็นเนตรที่น่าหลงใหล และที่ทำให้มันปฏิเสธไม่ได้ว่าแอบพึงใจคือเขี้ยวคุดที่งอกกลับด้านผิดจากพี่น้องรากษสตนอื่น งุ้มเข้าเหมือนกลีบดอกมะลิ แลน่ารักน่าชังนัก

“ยิ้มกระไรไอ้หน้าขน”

“ทำเป็นแอบหลับเพื่อขโมยกล่องดวงใจพระบิดาเจ้าใช่ฤาไม่ แหมๆ มิธรรมดาน้องรักของพี่”

“กูมิใช่น้องมึงหนุมาน แล้วอย่าคิดว่ามึงแลนายมึงฉลาดอยู่ผู้เดียว”

“ก็มิได้ว่าเจ้ามิฉลาด แต่เทียบกับพี่แล้วไซร้...อย่างไรเสียน้องก็สู้ฝั่งพี่มิได้ดอก”

“มึงคิดกระไร จงตอบมา!!” อินทรชิตชี้นิ้วปราดทว่าหนุมานมัวแต่แย้มยิ้มหยอกเย้า หอกที่เคยปักบนอกพระลักษณ์กลับพุ่งกลับมาปักเจ้าของมันรวดเร็วยากจะหลบทัน ทศกัณฐ์ทรุดตัวลงกับพื้น เห็นรอยยิ้มหยันปรากฏบนริมฝีปากของพระราม

“พระบิดา!”

“พี่ท่าน!” สีดาร้องเรียกด้วยความตกใจ สองเท้าพาก้าวเดินเร็ว เยื้องย่างสรรพางค์กายไปหาชายอันเป็นที่รัก ทว่าพระรามกลับรวบจับไว้อย่างรู้ทัน หญิงสาวดิ้นขลุกขลักในอ้อมแขน อีกทั้งพยายามบิดข้อมือออกจาการจับกุม นางรู้ทศกัณฐ์ไม่มีวันตายหากหัวใจยังได้รับการป้องกัน แต่ดูจากสีหน้าของพญารากษสคงเจ็บไม่น้อย

“ปล่อยข้า...ปล่อย!”

“พี่ไม่ปล่อยให้เจ้าหลุดมืออีกแล้วสีดา เจ้าต้องกลับเมืองกับพี่”

“ไม่...ข้ามิกลับ ปล่อยข้าสิ”

“สีดา”

“หากพระองค์มิปล่อย ข้าจักกลั้นใจตายประเดี๋ยวนี้!”

“...น้องรังเกียจพี่ถึงเพียงนี้เชียวฤา” พระรามยอมปล่อยตัวนางออกจากพันธนาการ มีรอยถอนใจปนความน้อยเนื้อต่ำใจ หากสีดาได้ย้ำ...

“ข้ามิได้รังเกียจ แต่ข้ามิได้รักพระองค์แล้ว”

“ข้ามิเชื่อ!” พระรามตะโกนก้องกรุงลงกา “เหล่าสตรีต้องรักบุรุษที่มาเป็นอันดับแรกเสมอ”

“ข้าเคยรัก”

“แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนผัน”

“เพราะข้ามิมีใจให้พระองค์อีกต่อไปแล้วอย่างไรเล่า...คิดจักทำกระไร” สีดามีหน้าหวาดหวั่นขึ้นมาโดยฉับพลัน เมื่อเห็นท่าทีของอดีตพระสวามีเปลี่ยนไป

“กลับกับพี่สีดา”

“อย่าแตะต้องตัวข้า ข้าจักอยู่แลตายที่นี่”

“มันดีกว่าข้าตรงไหน ทั้งที่ข้าก็รักเจ้ามิต่างจากมัน”

“เพราะทศกัณฐ์ไว้ใจข้า จริงใจต่อข้า แลมิเคยคิดฆ่าข้าเหมือนกับพระองค์”

“เจ้าเชื่อลมปากมันรึ”

“ข้ามิได้เชื่อใจลมปาก หากข้าเชื่อในหัวใจตนเอง”

“ห่วงมันมาก รักมันมากใช่ฤาไม่” หน่อเนื้อแห่งกรุงอโยธยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ มันยากจะเชื่อ...สตรีตรงหน้าที่ขึ้นชื่อเป็นพระชายาจะกล้าปฏิเสธเขาเพียงเพราะต้องการสมสู่อยู่กับเจ้ายักษ์หน้าตาอัปลักษณ์นั่น สิ่งที่ผ่านมามันไม่มีค่าในสายตานางอีกแล้วสินะ

ว่าจะไม่ใช้วิธีการสุดท้าย แต่ก็ต้องนำออกมาใช่อย่างไม่มีทางเลือก

“เอามาให้ข้าหนุมาน”

พญาวานรเผือกหาวเป็นดาวเป็นเดือน ไหวกายประดุจสายลมพัดพัดโบกสมเป็นลูกของพระพาย ชูกล่องแก้วสลักลวดลายกรกนก(กอน-กะ-หนก)ไว้รอบทิศ และวางมันไว้บนมือของผู้เป็นอย่างอย่างสะใจ

ทั้งทศกัณฐ์ อินทรชิต พิเภกและสีดาต่างตกตะลึงไปตามๆกัน ไม่ต้องเสียเวลาดูก็รู้ว่ามันคือกล่องเก็บดวงใจของจริงแท้แน่นอน

“เลือกมาเจ้าจักไปกับพี่ ฤาดูมันสิ้นชีพแล้วค่อยไป”

“พระองค์ใจร้าย”

“เจ้าใจร้ายกับข้าก่อนสีดา ว่ามาจักไปดีๆฤาไปพร้อมน้ำตา”

สีดา ณ ตอนนี้แสนกังวลใจ กวาดมองรอบด้าน ในหัวก็พยายามคิดหาทางออก เวลาการตัดสินใจเหลือน้อยเต็มที นางไม่รู้ต้องทำเช่นไร ไม่อยากให้ทศกัณฐ์ต้องมาตายจาก...ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ไม่สมควรโดนพรากชีวิตเพราะสตรีสองผัวผู้นี้อีกแล้ว
ถ้าใครจะตาย ก็ขอให้นางเป็นคนสุดท้ายแล้วกัน

ฉับพลันสายตากลับหยุดลงที่อาวุธชิ้นหนึ่ง สีดาไม่รีรอก้มตัวลงหยิบกริชคมวาวที่ตกหล่นอยู่บนพื้นแล้วจ่อที่หน้าอกตนเองทันที

“วางมันลงเสียสีดา”

“ส่งกล่องดวงใจให้อินทรชิต” หญิงสาวสั่ง

“สีดา”

“หากท่านมิส่งคืนตามที่ข้าเอ่ย ข้าจักแทงกริชลงที่หัวใจข้า” วิธีการพูดจาของหญิงผู้เลอโฉมพลันเย็นเยียบลง “ข้ามิได้พูดเล่น ข้าเอาจริง”

“เจ้ามิกล้าดอก”

นิ้วเรียวกดตัวกริชเข้าเนื้อขาวผุดผ่องจนมีเลือดไหลซึมออกมา พระรามมองภาพนั้นด้วยความตื่นตระหนก แต่ก็ไม่ได้ส่งกล่องคืนอินทรชิตตามที่นางร้องขอ

“น้องเอ๋ย วางมันลงประเดี๋ยวนี้” ทศกัณฐ์เอ่ยขอร้องเสียงแหบพร่า

“ข้าจำต้องทำพี่ท่าน หากข้ามิรอด ได้โปรดช่วยเลี้ยงดูพระสุริยาแลพระธิดาจันทราแทนข้าด้วย”

และนั่นก็ทำให้พญารากษสได้รู้ว่าลูกของเขาที่เกิดจากนางสีดา มิได้มีเพียงหนึ่ง

พระรามเดาะลิ้นอย่างขัดใจ “คำสาบานที่เจ้าให้ไว้กับข้าคงมิมีความหมายสินะ” ทั้งที่เขายืนตรงนี้ แต่นางกลับคร่ำครวญถึงมัน ดี.... ตายกันไปเสียให้หมด หญิงชั่วชายเลว

“ในเมื่อน้องมิรักษาคำพูด นี่ก็คงเป็นเวรกรรมที่น้องต้องชดใช้เพราะมิรักษาคำสาบาน” พระรามสูดลมหายใจ ซ่อนความเจ็บปวดในดวงตา “ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกอีกใหม่อีกแค่ครั้งเดียว”

“ข้าเลือกแล้ว”

รอยยิ้มปรากฏบนมุมปากร่างโอดสะอง กริชที่เคยปักเพียงผิวเนื้อชั้นนอก บัดนี้กลับแทงลึกตัดไปถึงขั้วหัวใจ ร่างอันบอบบางแห่งพระธิดากรุงมิถิลาอ่อนระทวยลงในบัดดล โลหิตที่ซึมออกทรวงอก คือคำตอบ

ทำไม....ทำไม!!!!

บุรุษกายาเขียวอร่ามตะโกนกู่ก้องร้องด้วยความเศร้าโศกโทมนัส* สุดจะกลั้น รอยยิ้ม น้ำเสียงอ่อนหวาน...ต่อจากนี้เขาจะไม่ได้ยินจากนางอีกต่อไปแล้ว จมูกและดวงตาที่แดงก่ำ พระรามกำมือแน่นจนขึ้นห้อเลือด

*โทมนัส= เสียใจ

“เป็นเพราะมึงผู้เดียวทศกัณฐ์”

พญารากษสดีดดิ้นทุรนทุรายแสนเจ็บปวด มือหนาไขว่คว้าอากาศอย่างร้าวราน ทันทีที่พระรามบีบกล่องดวงใจที่ฝากไว้กับแมลงภู่จนใกล้ปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อินทรชิตคำรามลั่นพุ่งเข้าหาหนุมานด้วยความเร็วมหาศาลโกรธ บีบคอวานรเผือกและอัดแรงถีบจนมันลอยหวือไปชนร่างของพระรามจนกล่องแก้วกระเด็นหลุดออกจากมือ พิเภกรีบวิ่งเข้าไปคว้าไว้ก่อนอีกฝ่ายจะหยิบทัน

ดวงตาแสนเย็นชา ราบเรียบ...ไร้ความรู้สึก

ความเป็นมิตรจางหายอย่างไม่มีวันหวนคืน

“เรื่องของเจ้าแลเผ่าพงศ์ยักษ์จบลงแล้ว...พระราม”[/i]


“เพื่อทศกัณฐ์คุณยอมแลกด้วยชีวิต ยอมผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับพระรามเลยเหรอครับ แล้วคำสาบานนั่นมันมีส่งผลกระทบต่อคุณหรือเปล่า”

“หากมิมีผล จิตวิญญาณของข้าจักแบ่งออกเป็นสองส่วนเพื่อชดใช้เวรกรรมในที่นี่ฤา” คนตอบถอนหายใจยาว

“แต่ทำไมถึงแบ่งเป็นสองส่วนล่ะครับ มันต้องมีเหตุผลแน่ล่ะ”

“ส่วนหนึ่งเป็นเพราะข้าเอง การฆ่าตัวเองถือเป็นบาปมหันต์เลยต้องวนเวียนชดใช้กรรม รอผู้มาปลดปล่อย อีกส่วนคือออเจ้า แบ่งไปเกิดในภพภูมิอื่นตามแรงอธิษฐานของพระรามแลทศกัณฐ์”

“!”

“ในศึกสุดท้ายทั้งสองพระองค์ต่างเลือกทำสัญญาสงบศึก ยอมอยู่เป็นอมตะเพื่อรอคอยจิตวิญญาณของข้าให้กลับไปเกิดใหม่ทุกชาติภพ ด้วยแรงอธิษฐานมีมากมหาศาล มันจึงแบ่งตัวตนของข้าออกเป็นสองส่วน การที่ออเจ้าคุ้นเคย รับรู้สิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับข้าอย่างรวดเร็ว นั่นหมายถึงออเจ้าคือส่วนหนึ่งที่ขาดหายไป”

“คุณ...เคยพบจิตวิญญาณของคุณที่ไม่ใช่ผมมาก่อนหรือเปล่าครับ”

“หาไม่ ออเจ้าคือคนแรก”

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก

ถึงกับตกใจไม่น้อยกับคำพูดของเธอ แบ่งออกเป็นสองส่วนเพราะแรงอธิษฐานจากชายหนุ่มผู้มั่นในรักถึงสองคน!! มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
 
“ผมพอเข้าใจนะครับว่าผมคือตัวตนหนึ่งของคุณ แต่ที่ไม่เข้าใจ...ผมเคยเจอทศกัณฐ์กับพระรามด้วยเหรอครับ ผมคือส่วนหนึ่งของคุณ ถ้าผมเจอพวกเขาผมต้องรู้สิ”

“ลองคิดดูเถิดออเจ้า ผู้ใดที่เจ้าคุ้นเคยราวพบกันมานมนาน ผู้ที่มีจิตเสน่หาแรงกล้าต่อเจ้าทั้งๆที่เพิ่งเคยพบพาน ผู้ที่พร้อมทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ขอให้ได้เจ้ามาเป็นพอ นั่นแหละหนาคือทศกัณฐ์แลพระราม”

“ผมจะมั่นใจได้ยังไครับ”

“เจ้าจักรู้เองเมื่อเจ้ากลับไปยังภพภูมิเดิม”

ทยุมณี ...แห่งทิวาวารเคลื่อนตัวขึ้นเหนือทิวเขา แสงแห่งปฐมวาร เรื่อเรืองรองดุจเปลวไฟสีแดงปนส้ม สลายละไอหมอที่ครอบคลุมอาณาบริเวณลงช้าๆ ความอบอุ่นกลับมาเยือนปฐพีอีกครา...

“แล้วผมจะต้องทำยังไงเพื่อให้จิตวิญาณสองส่วนกลับมารวมกัน”

มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่ทำได้




 “คิดจักทำกระไรราเมนทร์”

ชายหนุ่มร่างสูงเค้นยิ้มเหยียด เล็งศรพรหมาสตร์มาทางอสุเรนทร์ แน่วแน่แล้วว่าจะต้องยิงให้เข้าหาหัวมันให้จงได้ ต่อให้ศุภลักษณ์คิดมาห้ามปราม เขาก็ไม่ฟังอีกต่อไปแล้ว

“เจ้าอยากฆ่า อยากกระทำสิ่งใดก็เรื่องของเจ้า แต่ข้าจักมิยอมให้มันเกิดขึ้นที่นี่เป็นอันขาด” เขาชี้ไปที่ร่างบางที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงขาวสะอาด “หากเจ้ายังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ จงแหกตาดูสักหน่อยจักเกิดกระไรขึ้นกับทุกคนในห้องนี้ มิเพียงแค่ตัวข้า ลูกข้า น้องแลทาสรับใช้เจ้า แต่ยังมีเปรมอีกผู้หนึ่งที่จักต้องรับผลที่เจ้าก่อตามไปด้วย มีสมองก็เอาออกมาใช้หน่อยเถิดพ่อคุณ”

“!”

“นี่นี่ฤาสิ่งที่เจ้าเอื้อนเอ่ย บอกน้องว่ารักนักรักหนา สำหรับตัวข้า แค่ชายมองเพียงเศษเสี้ยววินาที ข้าก็รู้เจ้ามิได้รู้สึกเช่นนั้นเลย เจ้ารักตัวเจ้าเองพระราม เจ้าหวังจักเอาชนะข้า โดยลืมเลือนข้อตั้งมั่นของตนว่าจักรักผู้เป็นที่รักด้วยหัวใจอันแท้จริง...ข้าแลเจ้าต่างมีศักดิ์เป็นศัตรู ย่อมมีวันปะทะกันอยู่เป็นนิจ แต่เจ้าลองไตร่ตรองสักนิด สถานการณ์ตอนนี้เหมาะสมแล้วฤาที่ข้าแลเจ้าต้องมาปะทะกัน ต่อหน้าน้องน้อยที่มิรู้ว่าจักตื่นขึ้นมาเมื่อใด มันใช่ฤาไม่พระราม”

“...”

“หนึ่งพันปีที่ผ่านมาเจ้าเป็นอย่างไร ก็คงเป็นอย่างนั้นเสมอ”

“ทศกัณฐ์!”

ศุภลักษณ์โพล่งตาตกใจไปกับวาจาอันมีสำนวนของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพญารากษสทศกัณฐ์ มีความเหี้ยมโหด รุนแรง ป่าเถื่อน แข็งกระด้าง เอาแต่ใจและไม่เคยมีเหตุผลกับใครอื่น แต่ทว่าบัดนี้เขากลับเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ มันเป็นเพราะสิ่งใดกันที่ทำให้ชายร่างสูงตรงหน้ามีความอ่อนโยน ละมุนละม่อม และมีเหตุผลรองรับมากกว่าการใช้กำลังตัดสินเหมือนในกาลก่อน คิดสงสัย เพราะความรักอย่างนั้นหรือ ถึงเปลี่ยนพ่อยักษ์ร้ายกลายเป็นคนละคนผิดหูผิดตา...อย่าว่าแต่อสุเรนทร์เลยที่เปลี่ยน พี่ชายของเขาก็เช่นกันที่มีนิสัยผิดแผกไปจากเดิม

ซึ่ง....

เขาไม่ชอบเลยสักนิด

ร่างผอมบางสบตากับรณพักตร์ แม้จะไม่ได้คุยกันแต่เขารู้ อีกฝ่ายก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนเมื่อก่อน ดูได้จากการยืนสงบอารมณ์นิ่งๆใช้ตัวเองเป็นเกาะกำบังปกป้องร่างงามให้พ้นจากสถานการณ์อันตรายเบื้องหน้า นิสัยเก่าแก่ของรณพักตร์หรืออินทรชิตไม่ใช่แบบนี้ เขาโหด เขาเข่นฆ่าทุกคนที่เข้ามากวนใจ หากเจ้าตัวยังคงนิสัยเดิมอยู่ ศุภลักษณ์ไม่แน่ว่าจะได้ยืนดูตัวเอกสองตัวทะเลาะกันหรือเปล่า

“Damn! I fu**ing hate your bro (ให้ตายสิ! ฉันโคตรจะเกลียดพี่นายเลยว่ะ) ลากกลับบ้านไปเลยได้ปะ เบื่อขี้หน้ามาก”

“ถ้าฉันทำได้ฉันทำไปแล้ว”

“แต่พี่นายกำลังเอาศรจ่อหัวพระบิดาฉันอยู่ นายเป็นน้องก็ออกไปห้ามสิหรือจะรอให้ฉันเข้าร่วมวงจัญไรนี่ด้วย”

“นายก็รู้อินทรชิต ถ้าพี่ฉันเขาต้องการทำอะไร เขาไม่มีทางเลิกราเด็ดขาด”

“อ่อ ความชั่วมันครอบงำจิตใจหมดแล้วสินะ”

“นายกล่าวเกินไปแล้วนะ!”

“ฉันพูดความจริง ฉันผิดตรงไหน พวกนายนั่นแหละผิด โดยเฉพาะนายผิดมากสุดเพราะมัวแต่เอาอกเอาใจ ตามใจพี่นายจนเสียคน จากพระรามจิตใจดีพระเอกโทรทัศน์ช่องหลากสี...แต่อันที่จริงก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก กลับกลายเป็นไอ้ชั่วโรคจิตคนหนึ่งที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะ ใช้เล่ห์เพทุบายเอ็กซะเลินทฺ(ยอดเยี่ยม)เสียยิ่งกว่าชูชก โคตรยอมใจเลยว่ะ”

“อย่าว่าพี่รามของฉัน” ศุภลักษณ์เชิดหน้าสูงราวผู้สูงศักดิ์ ดวงตาแวบวาบดุดัน หากทว่าในสายตารณพักตร์มันก็แค่เด็กที่ขู่อยากเอาของเล่นเท่านั้นแหละ

“แตะต้องไม่ได้เลยสินะพี่ชายเนี่ย” ยักษ์ร่างเล็กกอดอกเหยียดยิ้มเยาะหยัน “พระลักษณ์เอ๋ย...ทำไมช่วงนี้อ่อนปวกเปียกจังครับ ต้องการคนช่วยดูแลหรือเปล่า”

“อินทรชิต”

“เรียกชื่อเก่าพี่ทำไมหรือน้องสาว”

“ไอ้...!”

“ดูๆไปหน้าตานายก็...น่ารักดีนะ ขอเบอร์ได้ปะ เดี๋ยวไลน์ไปคุยด้วย”

หมอนี่!!

“มันใช่เวลามาเล่นไหม”

“ใครว่าเล่น ฉันเอาจริง” รณพักตร์ย่างสามขุมเข้าหาอีกคนด้วยความรวดเร็วจนคนร่างผอมตั้งตัวไม่ทัน สะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจพลางเบิกตาจ้องหน้าของอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง ก้านนิ้วเรียวลูบซีกแก้มใสแผ่วเบา ยื่นหน้าให้ปลายจมูกสัมผัสกัน

“อิน...”

“นายเป็นคนดีนะลักษณ์ ดีกว่าคนเลวๆอย่างฉัน”

“...”

“แต่นายควรจะรู้นะ ว่าสถานการณ์แบบนี้ควรทำยังไง”

ศุภลักษณ์จ้องลึกเข้าไปในดวงตาดำขลับทว่าประกายล่อแสง ถึงชายหนุ่มตรงข้ามไม่บอก เขาก็ต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว มันบ้าเอามากๆที่คนสองคนต้องมาทะเลาะกันต่อหน้าคนป่วย เขารักพี่ชาย ยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่ชาย แต่ครั้งนี้...คงปล่อยเลยตามเลยอีกไม่ได้

“พี่ราม ได้โปรดกลับกันเถิด”

“อย่ามาห้ามพี่ ลักษณ์ก็รู้ดีพี่ทำเพราะ...”

“เมื่อไหร่พี่จะฟังผมบ้าง!”

ราเมนทร์ตวัดสายตาน้องชายขวางๆ ศุภลักษณ์ถอนหายใจแล้วสูดเข้าไปใหญ่เต็มปอด ขอบตาเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำใส

“พี่ไม่เห็นเหรอ เปรมเขานอนอยู่ เขากำลังป่วย การที่พี่กับอสุเรนทร์ทะเลาะกันต่อหน้าเขาแบบนี้ เขาควรดีใจหรือเปล่า และ...และถ้าเกิดเขาโดนลูกหลงจากการกระทำบ้าบอนี่ พวกพี่จะรับผิดชอบชีวิตเขายังไง”

“...”

“อสุเรนทร์...นายรักเปรมหรือเปล่า”

“ใช่ ฉันรักเขา รักยิ่งกว่าชีวิตของฉัน”

ร่างบางยิ้มและหันไปหาอีกคน “แล้วพี่ล่ะ พี่รักเปรมหรือเปล่า”

ราเมนทร์เงียบนิ่ง เนิ่นนาน...

“ทำไมไม่ตอบผมล่ะ รักหรือไม่รัก”

“ขอร้องอย่าเพิ่งมาคาดคั้นพี่”

“พี่รู้ตัวไหมว่าราศีของพี่มันหม่นหมองลงจากเดิมมากแค่ไหน ผมไม่อยากได้พี่ชายที่กระหายแต่ชัยชนะ ผมอยากได้พี่ชายคนเดิมกลับมา”

“ลักษณ์!”

“พวกเราไม่เหมือนก่อนแล้วพี่ราม”

“...”

“พี่ราม ผมเชื่อฟังพี่มาตลอด แต่ครั้งนี้ขอเถอะ พอเหอะ”

ราเมนทร์ขบกรามแน่นเพื่อระงับโทสะ มองหน้าน้องชายและศัตรูอาฆาตอย่างอสุเรนทร์สลับกันไปมา ศุภลักษณ์ไม่เคยห้ามเขา แต่วันนี้กลับขอร้องในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ ทั้งๆที่มีโอกาสกำจัดแต่กลับให้ปล่อยมันไปอย่างนั้นเหรอ...เขาเกลียดมัน เกลียดไอ้ทศกัณฐ์เข้าไส้ ทำไมมันถึงไม่รีบตายๆไปจากชีวิตสักที

“พี่ราม...”

ชายหนุ่มไม่ตอบ และศรวิเศษยังคงน้าวอยู่บนคันธนูสีทองอร่าม

“พี่ราม”

กำจัด...ต้องกำจัด!

“พี่รามอย่า!”

ศุภลักษณ์เอ่ยปากห้ามดังสนั่น วิ่งถลาหาคนเป็นพี่ชายทันที ไม่ต่างจากรณพักตร์ ผลักพญาวานรเผือกที่พยายามคว้าตัวเขาล็อกคอทุ่มลงกับพื้นกระแทกเต็มแรง ก่อนกระโจนเข้าไปขวางทางพร้อมร่ายมนต์ป้องกันศรที่กำลังถูกยิงออกมา

ทำอะไรกันน่ะ

“ปู่ไม้!!”




ตายละหว่าาาา ปู่ไม้มา!!! :hao7: เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อนั้น โปรดติดตามกันได้ในตอนต่อไป อิอิ
ถูกใจหรืออยากเม้นบอกอะไร เม้นไว้เลยน้าาา เราอยากอ่านความคิดเห็นของทุกคน หากมีคำผิดก็ขออภัยนะจ๊ะ
วันนี้ไปล่ะ ว้เจอกันใหม่จ้า บ้ายบายยยยย :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 30-12-2016 15:04:27


อั๊ยย่ะ.......

งานงอกล่ะ

ปู่จัดการเลย

เอาให้จบไปเลยนะ

รอขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 30-12-2016 15:19:07
อิรามนี่ผชชั่วมากอะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-12-2016 15:35:38
ลุ้นๆๆๆๆๆจะเป็นยังไงต่อ พระรามนับวันยิ่งเลวร้ายขึ้นทุกวัน

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: drqam ที่ 30-12-2016 15:46:30
อ่านจบถึงกับตะโกน 'ปู่ไม้!!!!' :z3:
โอ้ยยยยยย ลุ้นเกินไปแล้ว
แล้ววิธีไหนที่สีดาบอกว่ามีวิธีเดียว โอยยย
------
ชอบความเกี้ยวของอินที่เกี้ยวลักษมณ์ :-[
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 30-12-2016 18:05:25
ลุ้นแล้ว ลุ้นอีก  :ling1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 30-12-2016 18:08:25
หนูเปรมตื่นสักทีเถอะ พี่ใจจะขาด

พี่รามนี่เห็นแก่ตัวได้โล่ รักเปรมหรือเปล่าก็ไม่รู้

รักพี่ทศ :impress2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 30-12-2016 18:41:23
เกลียดพระราม ทำตัวต่ำทรามมาก มึงเป็นเด็กรึไงห๊ะ

ปู่ตบไอ้รามราเขียวนั้นเลย :beat:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: เล็กต้มยำ ที่ 30-12-2016 19:48:58


เราตามอ่านอยู่ในเด็กดี แวะมาให้กำลังใจค่ะ สู้ๆ
 o13 o13
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 01-01-2017 10:34:31
พึ่งมาอ่านนน สนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)30/12/59
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 01-01-2017 10:45:55
นี่ถ้าปู่ไม่มา โรงพยาบาลคงพินาศ
ราเมนทร์ไม่ได้รักเปรม แค่อยากจะชนะอสุเรนทร์แค่นั้นแหละเราว่านะ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ครึ่งแรก (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 02-01-2017 11:36:58
บทที่ ๑๖




“ทำอะไรกันน่ะ”

“ปู่ไม้!!”
 
อสุเรนทร์เบิกตากว้างครั้นเห็นบุรุษอาวุโส ผู้มีศักดิ์เป็นปู่ของคนรักผลักบานประตูห้องพักผู้ป่วยออกกว้าง คล้ายลมหายใจถูกช่วงชิงไปในพริบตาโดยนายนิรยบาลจากนรกภูมิผู้โหดเหี้ยม สายตาคมกริบประกายแข็งกล้าหากทว่าในตอนนี้กลับราบเรียบ เฉกเช่นเดียวกับสรรพางค์กายที่นิ่งขึงประดุจหุ่นขี้ผึ้ง รณพักตร์กลืนน้ำลายดัง เอื๊อก ขณะร่นถอยออกมายืนหลบอยู่หลังคนเป็นพ่อและร่ายมนต์กลับคืนสู่ร่างเดิม ไม่รู้ทำไมถึงต้องกลัวคนคนนี้ เพียงเพราะเห็นร่างที่แท้จริง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะใส่ใจทำไมกับสายตาเข้มที่กวาดไปทั่วอาณาบริเวณ ใช่ว่าบุคคลมากด้วยวัยผู้นี้เป็นคนแรกที่รู้ความลับขั้นแอดวานซ์เสียหน่อย ยังมีคนอีกหลายคนในอดีตที่รู้และหลบหนีหายไป ไม่ก็ตายไม่ตามกาลเวลา แต่พอมาเป็นตาแก่คนนี้ ใยเขาจึงสั่นกลัวราวสบพระพักตร์กับท่านปู่ลัสเตียน

มีองค์ประทับ ก็ไม่น่าจะใช่....

คงต้องบอกก่อนว่ามันเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ  ส่วนจะจัดการยังไงเขาขอมอบหน้าที่ให้พระบิดาและท่านอาล่ะกัน

คนร่างสูงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและแรง เขาเข้าใจ ความลับไม่มีในโลก แต่ ณ เวลานี้เขายังไม่อยากให้สิ่งที่ปกปิดผู้คนมาตลอดหลายร้อยปีให้ใครได้ล่วงรู้ โดยเฉพาะคนจากบ้านโรจนวาทิตย์...ไม่ต้องเป็นครอบครัวนี้ครอบครัวเดียวก็ได้ เพราะโดยพื้นฐานมนุษย์ที่เกิดมาล้วนมีความกลัวเป็นที่ตั้ง กลัวผี กลัวความมืด กลัวต่างๆนาๆ อาจมีบางกลุ่มที่รับได้ แต่มันค่อนข้างน้อยเหลือเกิน

แค่อีกฝ่ายมีคนรักใหม่หรือป่วยตายอสุเรนทร์ก็แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายปีจากวันแรกจนถึงกาลบัดนี้ ตัวอสุเรนทร์เองก็มีความกลัวไม่ต่างจากคนอื่นเสียเท่าไหร่ แต่ในความกลัวที่ว่าคือกลัวการไม่ถูกยอมรับในตัวตนแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้กายหยาบของมนุษย์ มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักนิดกับการที่ต้องถูกปฏิเสธตัวตนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพราะเนื้อแท้คือยักษ์...

‘อย่ามายุ่งกับลูกสาวข้า ออกไปไอ้ผีร้าย อย่ามาเหยียบบ้านกู'

'ไปห่างจากลูกสาวกูเสีย เป็นยักษ์ชั้นต่ำริมารักครุฑ น่าสมเพชเสียนี่กะไร'

'ยักษ์มันก็ชั่วเหมือนกันหมด มิมีตัวไหนดีดอก'

'ออกไปนะ ได้โปรด อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันกลัวแล้ว'


ถึงตรงนี้อสุเรนทร์จำต้องทอนถอนลมหายใจอีกครั้ง เพราะวันนี้ตนตัดสินแล้วแม่นมั่น จะอยู่รอดหรือตายทั้งเป็นก็ต้องทำให้ปู่ไม้ยอมรับในตัวตนเขาให้ได้ อีกคนเป็นถึงปรามาครูนาฏกรรม แถมยังพูดคุยกันบ่อยครั้ง น่าจะเข้าใจและรับรู้ถึงหัวอกเขาไม่มากก็น้อย


ถ้าพลาดครั้งนี้อีก ดวงหทัยพญารากษสคงแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี


“เอาไงดีพระบิดา ความลับต้องแตกแน่ๆ” รณพักตร์ป้องปากกระซิบ

“อย่าพูดเป็นลางสิไอ้ลูกหมา ถ้ามิมีสิ่งดีๆแนะนำก็ช่วยปิดหูรูดบนปากเจ้าด้วย” อสุเรนทร์เอ็ดลูกชายตัวแสบ และหันไปสบตากับชายชราที่หันมาทางเขาพอดี จากการคาดคะเน อาจจะไม่แม่นยำเต็มหนึ่งร้อย แต่...แววตาที่เคยขี้เล่น ประกายยามกลั่นแกล้งคนอื่นกลับเรียบนิ่ง ไร้การแสดงออกทางความรู้สึกอย่างสิ้นเชิง คล้ายกำลังโกรธ ไม่เข้าใจนิดๆ ประมาณ ถ้าพวกเอ็งไม่เล่าความจริงให้ฟัง ข้าจะกระทืบเอ็งจนตาย

ไม่...มันต้องไม่ได้เป็นอย่างที่คิดสิ

“พระบิดาไม่เห็นสายตาผู้เฒ่าคนนั้นมองมาทางเราหรือไง โคตรเหมือนตำรวจเอฟบีไอกำลังสืบสวนบุคคลต้องสงสัยในคดีปริศนาข้ามโลกอ่ะ” รากษสร่างเล็กพูดอย่างหน้าตาตื่น...และพยายามทำเสียงให้เบาที่สุดเพราะกลัวชายชราจะได้ยิน...จะมีสักครั้งไหมที่ไม่แสดงโอเวอร์แอคติ้ง

“เจ้าอิน ตกลงพ่อมีลูกเป็นยักษ์หรือเป็นหมาพันธุ์บีเกิ้ล เห่าไม่หยุดเชียว”

“ก็อินพูดจริงนี่พระบิดา ไม่เคลือบแคลงหน่อยเหรอว่าทำไมตาแก่คนนี้ถึงได้ทำหน้าตาดุนัก”

“เพราะเขารอให้เราอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นยังไงล่ะ”

ชินกฤตก้าวเท้ามายืนประกบข้างพี่ชายและหลานชาย “เขากำลังสงสัยเราอยู่ครับ” พยักหน้าอีกครั้งเพื่อตอกย้ำในคำพูดที่ได้ลั่นออกไปเมื่อครู่ ไม่ต้องใช้ญาณทิพย์ ไม่ต้องใช้จิตสัมผัส ชายหนุ่มก็สามารถรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของชายชราได้เป็นอย่างดีว่ากำลังคิดหรือสะท้อนให้เห็นสิ่งใดอยู่

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ผมไม่แน่ใจนัก”

“ไม่แน่ใจน่ะเมื่อไหร่”

“อาจจะเริ่มตั้งแต่พี่ไปเหยียบบ้านหลังนั้นเลยก็ได้”

“ไม่มีทางอ่ะ” จะรู้ได้ยังในเมื่อเขาร่ายมนต์ปกปิดไว้อย่างดี ต่อให้คนคนนั้นมีบุญฤทธิ์ หรือมีผีพรายกระซิบ ก็ไม่มีทางรู้ได้แน่จนกว่าเขาจะเป็นคนทำให้เห็นเอง

“เอาเป็นว่าท่านพี่ถามปู่เองดีกว่านะ...เพราะเขาเองก็มีเรื่องอยากถามพวกเราเช่นกัน”

อสุเรนทร์นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ท้ายสุดคล้ายตัดสินใจได้ เจ้าตัวเงยหน้าหน้าสบประสานสายตากับชายชราอีกครั้ง...เอาวะ ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้ พญารากษสอย่างเขาก็ไม่ได้อยากปิดบังอยู่แล้ว ถ้าอยากรู้ก็จะบอก ขอแค่อย่าเป็นมนุษย์จำพวกด่ากราด ขับไสไล่ส่ง หรือไม่ก็ตาลีตาเหลือกตกใจ ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อเหมือนในชาติก่อนๆก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องกรอกตามองบนสามตลบด้วยความปวดหนึบในใจ

“สวัสดี มีอะไรอยากสารภาพไหมพ่อทศ พ่ออิน พ่อกฤต และก็....” หันมองไปฝั่งของราเมนทร์ “เจ้าพวกคนแปลกหน้า”

ศุภลักษณ์ท่าจะอึ้งกับคำทักทายไม่น้อย “สวัสดีครับผมลักษณ์ นี่พี่ชายผมราม และนี่คือลม เราเป็นเพื่อนของเปรม พอดีได้ข่าวเปรมเข้าโรงพยาบาลก็เลยแวะมาเยี่ยมเสียหน่อยน่ะครับ”

“ใคร...”

“ครับ?”

“ใครอยากไปรู้ชื่อเสียงเรียงนามของพวกเอ็งวะ เอาไว้ก่อนๆ” ปู่ไม้ยกมือห้าม ไม่ได้สนใจสีหน้าอึ้งๆของอีกฝ่ายสักนิด ก่อนจะหันมาถามอสุเรนทร์แทน “ตกลงมันยังไงพ่อทศ”

“พวกผมจะบอกถ้าคุณปู่ต้องการ แต่ตอนนี้ขอให้รอไปก่อน” ชินกฤตเน้นประโยคช้าและชัดจริงจังกว่าเคย ทำให้อีกฝ่ายเคร่งขรึมขึ้นมาทันที คิ้วของบุรุษมากวัยขมวดมุ่นออกไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอยากรู้โจ่งแจ้งขนาดต้องรู้ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ คำตอบน่ะเขารอได้เสมอ ขอแค่อธิบายถึงสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่อย่างซื่อสัตย์ก็พอ

“นี่ไอ้หนุ่มหูกาง พ่อแม่ไม่ได้สอนหรือไงว่าห้ามเอาอาวุธมาเล่นในห้องพักคนป่วยน่ะ”

“คุณเห็นมันด้วยหรือครับ” ราเมนทร์เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนักเมื่อชายชราพยักพเยิดทักถึงสิ่งที่อยู่ในมือของเขา คันศรเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทรงอานุภาพ มนุษย์ทั่วไปไม่อาจเห็นมันได้...นอกเสียจากว่าคนคนนั้นต้องเป็นผู้อยู่ในศีลในธรรม หรือมีสัมผัสที่หกรับรู้ได้ถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ เหมือนจะเคยเห็นที่ไหนมาก่อน...แต่ไม่แน่ชัดว่าชายแก่เบื้องหน้าคนนี้เป็นใคร และมีความเกี่ยวข้องกับร่างบางบนเตียงคนไข้หรือไอ้ยักษ์ตนนี้หรือเปล่า

“ถ้าข้าไม่เห็นข้าจะถามหรือไงวะ” ปู่ไม้กวาดมองคนหนุ่มกว่าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายรองเท้า “ไม่ว่าจะของจริงหรือของเด็กเล่น ข้าก็ไม่อยากให้เอาเข้ามาทั้งนั้น ถ้าขืนครั้งต่อไปเอ็งมาเยี่ยมหลานข้าแล้วยังพกมาอีก ข้าจะเอามันมาฟาดหัวเอ็ง”

“ไม่เห็นกับต้องใช้กำลังกันเลยนี่ครับ ผมก็แค่มาเยี่ยมน้องเปรมเขาเฉยๆ”

“พี่ราม” ศุภลักษณ์ยกมือบีบไหล่กว้างเบาๆ

“น้องเปรม? หลานข้าเป็นญาติฝ่ายไหนของเอ็งรึถึงได้เรียกสนิทชิดเชื้อเสียขนาดนั้น หรือเอ็ง...เป็นผัวน้อยหลานข้าอีกคน”
ราเมนทร์นิ่งอึ้ง

ผัวน้อย?

“ตกลงเอ็งเป็นผัวอีกคนหรือเปล่า”

“แหม ท่านปู่คนหล่อไปจี้ถามคุณรามเขาอย่างนี้ ใครจะกล้าตอบล่ะครับ” รณพักตร์หัวเราะคิกคัก “แม้ว่าในใจจะอยากตอบว่าเป็นก็ตามที”

“เจ้าอิน” ชินกฤตคำรามขู่ มองสบกับฝ่ายตรงข้ามนิดๆและกล่าวต่อ “ไม่ใช่เวลามาเล่น”

“โธ่อา...พี่กฤตก็ ผมแค่หยอกเล่น”

“ตบปากไปร้อยที”

“โห่ ไรอ่ะ”

“ตบไปจนกว่าจะครบหนึ่งร้อยครั้ง”

“แล้วสรุปเป็นหรือไม่เป็นวะไอ้หนุ่ม” ปู่ไม่เริ่มฮึดฮัดขัดใจเมื่ออีกคนไม่ยอมตอบเสียที จนสุดท้ายอสุเรนทร์ต้องขอเป็นฝ่ายตอบคำถามแทน

“ถึงเขาอยากเป็นก็ไม่มีทางหรอกครับ ผมเป็นแฟนหลานปู่นะ ปู่คิดว่าผมจะยอมหรือไง ถ้ามีคนมาคิดแย่งย่าไปจากปู่ ปู่จะยอมหรือเปล่าล่ะ”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่...แต่ตอนนี้ยกให้ฟรีพร้อมข้าวสารสิบกระสอบ” ตอบไปอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ยอมยกอีแก่หนังเหี่ยวขี้บ่นให้ใครง่ายๆหรอก

อสุเรนทร์หัวเราะในลำคอเล็กน้อย หันหลังกลับไปมองคนรักที่นอนไม่รู้เรื่องราวอยู่บนเตียงพักผู้ป่วยพิเศษ มือหยาบและหนาค่อยๆบรรจงลูบศีรษะทุยก่อนก้มลงจูบหน้าผากหอมแผ่วเบา

“แต่สำหรับผมนะไม่ว่าจะเปรมตอนนี้หรือเปรมในอีกห้าสิบปีข้างหน้า ผมไม่ทางยอมให้หมาตัวไหนมาชิงเขาไปจากผมแน่นอน และถ้ามันคิดเล่นสกปรกผมก็ไม่เอามันไว้เหมือนกัน ...ผมคิดถูกหรือเปล่าครับคุณราเมนทร์”

ราเมนทร์ถึงกับกระตุกยิ้มมุมปากกับคำท้าทายของคู่แข่งตัวฉกาจ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ร้ายที่คอยแย่งชิงนางเอกไปจากพระเอกอย่างไรอย่างนั้น บางทีก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้ ทุกคนมองเขาไปทางแง่ร้ายเสียเกือบหมด ไม่มีใครเข้าใจหัวอกของเขาที่กำลังเจ็บปวดและโหยหาความรักไม่ต่างจากทศกัณฐ์เลย มันดียังไง เขาก็ดีอย่างนั้น มันทำให้เปรมรักได้ เขาเองก็ทำได้เช่นกัน

แต่เปรม...กลับไม่เคยมองเห็นถึงความรู้สึกของเขาเลย

ตัวชายหนุ่มเองไม่ใช่คนชั่ว ไม่ใช่คนร้ายกาจ แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศไปหมดเสียทุกอย่าง ในเมื่อมนุษย์มีด้านดีก็ย่อมมีด้านชั่วควบคู่กัน จึงไม่แปลกใจถ้าเขาจะเผลอกระทำในสิ่งที่ผิดพลาดต่อคนรักไปบ้าง ราเมนทร์คิดเสมอ ในเมื่อรักใครก็อยากได้คนนั้นมาครอบครองเป็นคู่ชีวิตอยู่แล้ว เขาผิดตรงไหนที่ปรารถนาคนรักมายืนเคียงข้างบ้าง ใช่...ตอนแรกเขาทำเพื่อชัยชนะ อยากเห็นไอ้ยักษ์ทศกัณฐ์มันตายอย่างทุกข์ทรมาน เหมือนกับที่เขาเคยทุกข์มาแล้วเพราะสีดา แต่เมื่อลองได้พูดคุยกับเปรมแล้ว เขากลับรักในตัวตนสีดาในชาตินี้มากกว่าชาติอื่นๆ เปรมทำให้ความคิดและความรู้สึกของเขาเปลี่ยนอย่างชัดเจน ไม่ได้ทำไปเพราะกระหายชัยชนะอีกต่อไปแล้ว แต่ทำเพื่อครอบครองหัวใจของอีกคน

เพราะเหตุนี้ยังไงล่ะเขาถึงต้องทำทุกอย่างแม้กระทั่งเรื่องชั่ว เพื่อให้ได้อยู่กับคนที่รักให้นานที่สุด

มันคงจะดีกว่านี้ ถ้าเขาได้เจอเปรมก่อนมัน

“เพราะปากเอ็งมันหวาดหยดย้อยเหมือนน้ำผึ้งสินะ หลานข้าถึงไม่เคยพูดเรื่องคนอื่นให้ฟังเลย จะมีก็แต่เรื่องของผัวมันนี่แหละ พูดกรอกหูเช้าเย็น”

“จริงดิปู่ เขินจุงเบย” ชายชราเลิกคิ้วเหลือบมองหลานเขยตัวใหญ่ดั่งยักษ์ปักหลักที่ยิ้มเขินอายประดุจเจ้าหญิงที่ถูกเจ้าชายสารภาพรัก...อะไรกัน เดี๋ยวนี้ชายหนุ่มศตวรรษที่21มันต้องตอแหล โอเวอร์แอคติ้งมากถึงขนาดนี้เชียวเหรอ

“นี่ ไอ้หนุ่มหูกาง”

“ผมชื่อรามครับ”

“เออ นั่นแหละ จะชื่ออะไรก็ช่าง” ปู่ไม้บอกปัด “ข้าจะขอแนะนำเอ็งอยู่อย่างความรักน่ะ มันไม่จำเป็นต้องครอบครองก็ได้ ขอให้เขามีความสุขเราก็มีความสุขแล้ว การที่จะแย่งของคนที่มีเจ้าของแล้วมันคงไม่ใช่วิธีที่ดีนัก เพราะสุดท้ายคนที่เจ็บปวดสุดก็คือเอ็ง”

“คุณจะไปเข้าใจดีกว่าตัวผมเองได้ยังไง”

“ลดศักดิ์ศรีลงบ้างก็ดี ถ้าเขาเป็นของเอ็งยังไงก็หนีกันไม่พ้น แต่ถ้าเขาไม่ใช่ดื้อดึงรั้งตัวเขาไว้ก็เท่านั้น

“...”

ราเมนทร์ได้แต่เชิดหน้าข่มอารมณ์ขมุกขมัวที่ซุกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าอันหล่อเหลาและเป็นมิตร พยายามกล้ำกลืนก้อนแข็งที่วิ่งจุกขึ้นคอลงด้วยความยากเย็น เข้าใจ...เข้าใจดีเลยล่ะ แต่จะให้เขายอมแพ้อะไรง่ายๆเขาทำไม่ได้หรอก ศักดิ์ศรีแห่งกษัตริย์อโยธยาที่แบกเอาไว้มาเนิ่นนาน จะให้ทิ้งลงกลางคันก็คงน่าอับสูเหลือแสน ราเมนทร์ยังคงเชื่อ...สักวันเปรมก็ต้องหันมาเลือกเขาแทนมัน

ขอแค่โอกาสอีกครั้งเดียวก็พอ

“เข้าใจที่ข้าพูดนะ”

ปรับสีหน้าและกล่าวเสียงอ่อน

“ครับ”

“แล้วนี่มานานหรือยังล่ะ”

“มานานแล้วครับคุณปู่” ศุภลักษณ์ยิ้มแย้มตอบชายมากวัยพร้อมทั้งดึงแขนพี่ชายและกบินทร์มาประชิดตัว “และพวกเราก็กำลังจะกลับพอดี ใช่ไหมพี่ราม”

“อืม”

“พ่ออิน” รณพักตร์สะดุ้งน้อยๆเมื่อปู่ไม้เรียกชื่อตน

“ส่งแขก!”

จากสีหน้างวยงงกลายเป็นฉีกยิ้มกว้าง โค้งตัวรับคำเมื่อปู่ไม้สั่งการเสียงเข้ม เดินไปหน้าประตูห้อง ยักคิ้วกวนประสาทพลางผายมือเชิญให้คนแปลกหน้า(?) เดินออกจากห้องอย่างสมเกียรติ นี่ถ้ามีพรมแดงจะรีบปูทางถีบส่งกลับไปเร็วๆเลยนะ

“เฮลโหล ไฮ แอนด์กู๊ดบายโฟเอฟเวอร์ ไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมาอีกเลยนะจ๊ะพ่อยอดใบชาเขียว”

“มันไม่ใช่เรื่องของนาย” น้ำคำของราเมนทร์ ‘ขุ่นข้อง’ จากกึ่งกลางไปถึงมาก เรื่องความกวนฝ่าเท้าเบื้องล่างคงต้องยกให้เจ้ายักษ์เตี้ยนี่เลย นี่ถ้าไม่เห็นผู้ใหญ่ยืนมองอยู่ เขาไม่นิ่งเฉยอย่างนี้หรอก

“อ้อ เยส! But... I couldn’t give a damn what you say to me (แต่ฉันไม่แคร์หรอกว่าแกจะพูดอะไร)”

“...”

“Because I hate you (เพราะฉันเกลียดแกยังไงล่ะ) so go away from me? (ฉะนั้นช่วยรีบไปไกลๆเลยได้ไหม?)”

“ไม่ต้องมาทำเป็นกระแดะพูดภาษาอื่นใส่”

“ก็จบนอกมา จะให้มานั่งพูดภาษาสล็อตหรือไงวะ”

“ไอ้...!”

“พี่ราม พอเถอะ”

คนถูกขอร้องส่ายหน้าน้อย ดูมันทำสิ แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ คิดว่าน่ารักน่าเอ็นดูมากหรือไง เห็นแล้วหมั่นไส้ อยากคีบปากแดงๆของมันมาบดขยี้ให้หนำใจ

ขยี้ด้วยมือนะ ไม่ได้ขยี้ด้วยปาก

แค่คิดไปถึงคราวก่อนตอนที่เมาก็อยากจะบ้าตาย เขาไปเอาความกล้ามาจากไปถึงได้ดึงเจ้ายักษ์แคระไปจูบอย่างนั้น ...ขนลุกพิลึก

สาบานได้จะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

“พี่รามเขาไล่เราแล้วนี่”

“ไม่ได้ไล่นะครับน้องลักษณ์ พี่แค่จะบอกว่าที่นี่ไม่ต้อนรับอดีตพ่อพระเอกแสนดีอย่างคุณราเมนทร์และขี้ข้ากบินทร์ผู้ไร้เทียมทาน...ส่วนน้องหนูน่ะ อย่าคิดว่าเล่นตัวไม่ยอมให้เบอร์แล้วอินจะไม่รู้น้า...ถ้าแอดไปแล้วกดรับด้วยนะครับคนดีพี่จะรอคุยกับเราทุกคืน” ยักษ์เจ้าเล่ห์ขยิบตาให้อย่างขี้เล่น เป็นการบอกนัยๆเขาเอาจริงนะ

มือเรียวขาวผ่องฟาดเข้าไหล่เล็กดังสนั่นเรียกเสียงโอดครวญของคนถูกกระทำได้เป็นอย่างดี ศุภลักษณ์เม้มปากแน่นสนิทรีบก้าวเท้าเร็วหลบสายตาจับผิดของบุคคลซึ่งเป็นพี่ชายร่วมสายเลือด จนรณพักตร์โบกมือลาแทบไม่ทัน

“อย่ามายุ่งกับลักษณ์”

“งั้นคุณก็อย่ามายุ่งกับเมียชาวบ้านเขาก่อนสิครับ ไม่เคยได้ยินหรือไงเป็นชู้ผัวเมียคนอื่นตกนรกภูมิปีนต้นงิ้วไม่ได้ผุดได้เกิด แต่ถ้าสนใจปีนล่ะก็...อยากจะทำอะไรก็ทำ”

ราเมนทร์ตวัดตาไปทางอสุเรนทร์อย่างขุ่นเคือง ในเมื่อสู้ไม่ได้ก็ต้องถอยหนีออกมาตั้งหลัก แต่มันจะเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆที่เขาต้องทนรับความอัปยศอดสูแบบนี้

“ในเมื่อฉันเจ็บ พ่อแกก็ต้องเจ็บเหมือนกันจำไว้”



ชายอาวุโสที่นั่งเงียบมานานเริ่มขยับกาย มือหยาบกร้านลูบเรือนผมดำเงาดั่งเส้นไหมชั้นดีของหลานชายอย่างนึกเป็นห่วงและสงสาร เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เหมือนคนหมดเรี่ยวแรง เขาคล้ายมีคำพูดอีกมากมายที่อยากจะกล่าวผ่านทางปาก หากเหมือนมีก้อนแข็งแล่นมาจุกที่ลำคอจนไม่สามารถพูดออกมาได้ ปู่ไม้หลับตาลงด้วยอาการถอนใจลึก คล้ายเหนื่อยอ่อน นานเท่านานหลายอึดใจจนกระทั่งแขกผู้มาเยือนที่เขาไม่รู้จักมักคุ้นลับหายไปได้สักพัก

“ข้าเป็นคนเก่าคนแก่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับไม่ถ้วน ทั้งเรื่องปกติและไม่ปกติตั้งแต่เปรมเขากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว”

ปู่ไม้ยังจดจำวันนั้น...วันที่เป็นจุดเริ่มต้นของความแปลกประหลาดครั้งใหญ่ในชีวิต การกำเนิดของสิ่งมีชีวิตตัวน้อยของตระกูลโรจนวาทิตย์ กลิ่นหอมของหมู่มวลบุปผากำจายไปทั่วห้องพักผู้ป่วย มันเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์และผิดแผกไม่เหมือนเด็กคนไหนบนโลก เปรมเกิดมาพร้อมกับรอยปานกุหลาบสีแดงหลังใบหูขวา ตอนแรกเขาก็นึกมันเป็นเรื่องปกติของเด็กแรกเกิดที่จะมีกลิ่นหอมติดตัว แต่เรื่องราวมันไม่ได้หยุดแค่นั้น...ชายชรามักได้ยินเสียงบางอย่างคล้ายการประสานเสียงอวยพรแสนนุ่มนวล ยืดยานทว่าเพราะพริ้งราวกังสดาลแก้ว หวานใสราวสายน้ำจากเทือกเขาหิมาลัย

 คงไม่มีเด็กธรรมดาไหนเกิดมาแล้วเป็นเช่นนี้หรอก นอกเสียจากคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ไม่ก็...คนสำคัญของใครสักคนที่ลงมาเกิดตามลักษณะเทียบเคียงกับของดั้งเดิมเพื่อให้อีกฝ่ายคุ้นตาหรือจำได้

ชายชรามักเฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของหลานตนเองบ่อยครั้ง เปรมมักจะเป็นเด็กช่างพูด ซุกซนตามประสาเด็กผู้ชาย มีความสดใสร่าเริงไปตามวัย แต่จะมีบางครั้งที่เจ้าตัวแสดงออกผิดแปลกไป เวลาเห็นหัวโขนยักษ์ทศกัณฐ์ หลานเขาจะร้องไห้แทบปานขาดใจราวกับว่ามีใครเอามีดกรีดกล่องฤทัยดวงน้อย บ้างก็นั่งซึมกระทือราวชีวิตนี้ไร้ซึ่งความสุข หรือแม้กระทั่งนอนละเมอเอ่ยชื่อของบุคคลที่มีตัวตนอยู่เพียงในหนังสือ

ชายชรายังจำได้แม่นมั่นถึงคำพูดของพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่งในวันที่ทุกคนในครอบครัวดั้นด้นไปกราบไหว้พระประธานชื่อดังในตัวจังหวัดเชียงใหม่

‘หลานโยมเขาเกิดมาพร้อมบุญและกรรมที่ต้องชดใช้ ต่อให้มีบุญมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า อย่างไรหลานของโยมก็จำต้องใช้กรรมในส่วนนั้นเสียก่อน ชีวิตจึงจะสงบสุข อยู่กับคู่ชีวิตได้อย่างราบรื่น’

‘แล้วพวกกระผมต้องช่วยเขายังไงบ้างครับ’

‘ชีวิตของเขา เขาแก้เองได้ พวกโยมแค่อยู่เฉยๆและรอจนกว่าวิกฤตนั้นหมดไป’

‘ไม่มีทางอื่นเลยหรือครับหลวงตา’

‘ไม่มี มีแค่ทางนี้ทางเดียว แก้ได้คือหมดกรรม แก้ไม่ได้ต้องกลับไปเริ่มต้นชดใช้เวรกรรมใหม่’

‘โธ่ หลานปู่’

‘พวกโยมอย่าได้ห่วงไป...คนที่รอหลานโยมมานานเขาจะช่วยให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้เอง’

‘ใครหรือครับหลวงพ่อ’

‘หลานโยมรักชอบใครก็คนนั้นแหละ อาตมาบอกได้เพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนั้นก็รอดูเอาเอง’


ปู่ไม้เงยหน้าขึ้นมองว่าที่หลานเขยที่ตอนนี้กำลังส่งความรักความห่วงใยไปยังร่างขาวซีดผ่านดวงตาสีเข้ม ชั่วพริบตาหนึ่งยามเส้นแสงทิวากรเหลืองอร่ามสาดกระทบเข้ากับเรือนร่างสูงใหญ่ที่อุดมไปด้วยกล้ามเนื้อแข็งแรง เครื่องหน้าคมคายแบบฉบับชายไทยถูกอาบชโลมด้วยละอองอาทิตยา ปรากฏเขี้ยวยาวสีขาวเหลือบมุกโค้งขึ้นมาจากมุมริมฝีปากหยักตึง ผิวกายเขียวอร่ามประดุจเทพจากชั้นฟ้าชั้นสวรรค์ เครื่องทรงชุดใหญ่แขนยาวประดับดิ้นด้ายสีเงินเดินทอง พรั่งพร้อมด้วยถนิมพิมพาภรณ์โบราณตามลักษณะตัวยักษ์ในวรรณคดีชื่อดัง...เป็นถึงปรมาครูนาฏกรรม ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไอ้เครื่องทรงกายแบบนี้มันคือตัวละครตัวใด

‘ไม่ว่าจะคนรวย คนจน ผีสาง เทวดา หรือยักษ์ต่างก็มีหัวจิตหัวใจกันทั้งนั้น อย่าได้ตัดสินกันที่ชาติกำเนิด ให้ตัดสินจากสิ่งที่โยมเห็นก็เป็นพอ’

แจ่มกระจ่าง ชัดเจนโดยไม่ต้องเปลืองน้ำลายถามให้มากความ

“รักหลานข้ามากหรือเปล่า”

“รักครับ”

“มากแค่ไหน”

“ผมพร้อมจะตายแทนเขาได้ทุกครั้ง แม้กระทั่งครั้งนี้”

“แล้วรอมานานเท่าไหร่”

“...”

“เอ็งรอหลานของข้ามานานเท่าไหร่แล้ว”

“ปู่จะรับได้เหรอ”

“ถ้าข้ารับไม่ได้ ข้าคงวิ่งเตลิดไปไหนต่อไหนแล้วเหอะ”

“ก็ดีครับ”

“เมื่อไหร่เอ็งจะตอบคำถามข้าสักทีวะ เดี๋ยวก็ยันด้วยฝ่าเท้ากลางหน้าเลยนิ”

“โหยปู่ไม้ ใจเย็นๆสิ” อสุเรนทร์ย่อตัวไปนั่งข้างชายอาวุโส ใช้มือบีบนวดต้นขาอันแห้งกร้านเบาๆ “ถามว่านานไหม ผมคงต้องตอบว่านานมากจนปู่คิดไม่ถึงเลยล่ะครับว่าจะอดทนรอได้นานขนาดนี้”

ชายชราคลี่ยิ้มน้อย กุมมือหลานชายแน่นไม่ยอมปล่อย “พวกเราทุกคนล้วนกับเรื่องประหลาดมานับไม่ถ้วน จนตอนนี้ถึงจะมีเรื่องให้น่าตกใจหรือตื่นตะลึงเพิ่มเข้ามาอีก มันก็คงไม่ทำให้พวกข้าอกแตกตายหรอก อย่างมากก็แค่ตกใจสลบไปคืนหนึ่ง”

“ปู่”

“แต่ถึงข้าจะ (พยายาม) รับได้ ก็ใช่ว่าข้าไม่ต้องการฟังคำอธิบะ...”

“ผมจะเล่าให้ฟังทุกอย่างเท่าที่จะเล่าได้ ขอแค่ปู่และทุกคนให้โอกาส”

รอยยิ้มขำปรากฏบนมุมริมฝีปากของชายชราทันทีเมื่อว่าที่หลานเขยรีบพูดแทรกพร้อมกระพริบตาปริบๆอย่างออดอ้อน

ความมืดเริ่มคลี่คลุมพสุธา ดวงแก้วแห่งทิวาวารเริ่มลาลับอย่างแช่มเชื่อง เหลืองเพียงแสงสีแดงปนม่วงจางๆอยู่ริมขอบฟ้า หากปู่ไม้กลับนั่งนิ่ง ทอดมองทัศนียภาพของตึกสูงใหญ่นอกกระจกตัวอาคารพยาบาล

“เปรมน่ะ...คือสิ่งมหัศจรรย์ของพวกเรา ข้า...รวมถึงทุกคนรักเปรมอย่างสุดหัวใจ คอยประคบประหงม ทำตัวเป็นพ่อนกแม่นกคอยกางปีกปกป้องตลอดเวลา ข้าคิดเสมอ ถ้าจะมีใครมาดูแลเขาต่อจากพวกข้า ข้าก็อยากได้คนที่เหมาะสมและคู่ควร”

“...”

“ข้าไม่รู้หรอกนะเอ็งสองคนหรือสามคนทำเวรกรรมอะไรร่วมกันมาถึงต้องมาเป็นอย่างนี้ แต่ถ้านี่คือลิขิตของสวรรค์ ข้าก็จะยอมรับไม่ค้านติงสิ่งใด”

พญารากษสถึงกับน้ำตาปริ่ม แรงสัมผัสที่กดทับลงมาบนกลุ่มผมเต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจ ความปิติยินดี ปู่ไม้ยิ้มกว้าง

“และไม่ว่าเอ็งจะเป็นอสุเรนทร์ ประธานบริษัทโขน หรือจะเป็นทศกัณฐ์ ข้าก็เต็มใจส่งมอบเปรมให้เอ็งดูแล”

“...”

 “เอาเปรมกลับคืนมาให้ได้นะหลานเขย






บอกได้คำเดียว ปู่ไม้เจ๋งมากกก  :katai2-1:
ไปอ่านกันต่อด้านล่างได้เลยค่ะ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 02-01-2017 11:48:07



ท่ามกลางความเงียบสงัดในยามราตรี ท่วงทำนองเสนาะเพราะพริ้งแห่งผืนป่ากังวานก้องในความเงียบสงบเย็นเยียบ โดยเฉพาะฝากฝั่งซ้ายของเรือนทรงไทยหลังงาม เสาและคานแกะสลักประณีตพิสมัย พื้นห้องอันเป็นไม้กระดานปูแผ่นโตปูพรมทอมือเป็นส่วนๆ ใกล้กับหน้าต่างคือเตียงนอนที่คลุมด้วยผ้าแพรผืนบางอบร่ำด้วยดอกไม้นานาพันธุ์

เปลวเทียนไสวที่ถูกจุดรอบห้องฉายชัดให้ชายหนุ่มร่างสูงทว่าผอมบางที่นั่งอยู่บนเตียงนั้นดูเด่นกว่าสรรพสิ่งอื่น ก้านนิ้วเรียวยาวลูบกลุ่มผมของเด็กตัวน้อยทั้งสองที่นอนหนุนอยู่บนตักนุ่มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอบ่งบอกว่าเจ้าตัวหลับสนิทไปนานแล้ว...รอยยิ้มสวยจึงค่อยๆระบายอยู่บนริมฝีปากแดงระเรื่อ 

เปรมที่โตมาแบบลูกคนเดียว ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีหลานคอยวิ่งเล่นส่งเสียงเจี้ยวจ้าวอยู่ในบ้าน พอมาเจอฝาแฝดแสนจะน่ารักน่าชังถึงกับหลงไปมากทีเดียว โดยเฉพาะพระสุริยาที่ดูเหมือนจะติดเขามากกว่าวันแรกๆ ทุกวันมักจะมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ บ้างก็แอบมองอยู่หลังผู้เป็นแม่ บ้างก็ทำทีเป็นเล่นวิ่งไล่จับกับน้องสาวอยู่บริเวณที่เปรมนั่งอยู่ พักหลังนี่ถึงกับส่งเสียงเริงร่ากระโดดมานั่งตักเต็มรักทันที แถมยังเอาแต่เรียก แม่จ๋าข้าอย่างนั้น ข้าอย่างนี้ แม่จ๋าๆอยู่ตลอดเวลา พอปฏิเสธว่าไม่ใช่แม่จ๋าก็เริ่มเบะปากเตรียมร้องไห้ เดือดร้อนถึงเขาที่ต้องรับบทเป็นแม่ของเด็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้

และไม่มีใครคิดจะช่วยด้วย

“เป็นอย่างไรบ้างออเจ้า กับการเลี้ยงลูกลิงทโมนทั้งสองตัว”

ประตูห้องเปิดกว้าง พร้อมกับเงาร่างคุ้นเคยของสตรีวัยใกล้เคียงก้าวเข้ามา เปรมดีดตัวลุกขึ้นยืนจากเตียง...รอยยิ้มอย่างเป็นมิตรปรากฏอยู่บนสีหน้าชัดเจน...

“เข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่เลยล่ะครับว่าเลี้ยงลูกมันเหนื่อยแค่ไหน”

สีดาได้แต่ยิ้มตอบ เหลือบสายตาไปยังลูกชายและลูกสาวที่นอนหลับตาพริ้มสบายด้วยความรักอันบริสุทธิ์ที่เปี่ยมล้นไปทั้งหัวใจ เธอรู้สึกเสียใจและสงสารลูกนักที่ต้องมาติดอยู่ในวังวนของความยุ่งเหยิง บ่วงแห่งความเสน่หาของผู้ใหญ่ไม่รู้จักจบจักสิ้น มันเปรียบเสมือนตราบาปที่คอยตามหลอกหลอนอยู่ในใจ ต่อให้เวลาล่วงเลยผ่านไปนานสักแค่ไหน แผลเป็นเหล่านั้นก็ไม่มีวันจางหาย...เธอคงจะรู้สึกดีกว่านี้ถ้าเป็นเธอคนเดียวที่ต้องรับชดใช้ผลกรรมที่ก่อ

“แต่ออเจ้าก็มีความสุขดีมิใช่รึ”

“ครับ ถึงแม้เจ้าตัวเล็กซนไปบ้างตามประสาเด็กๆแต่ผมก็มีความสุขมากที่ได้มีส่วนช่วยดูแลพวกเขา...บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวผมคือส่วนหนึ่งของคุณด้วย ก็เลยรู้สึกรักและผูกพันมากกว่าปกติ”

“พระสุริยาและจันทราเองก็เห็นออเจ้าเป็นดั่งแม้แท้ๆเช่นกัน ถึงจันทราจักมิได้ใกล้ชิดออเจ้า เล่นกับออเจ้าเฉกเช่นเดียวกับพระสุริยา หากข้ารู้ในใจนางนั้นรักเจ้ามิน้อยเทียว”

“ผมก็พอรู้มาบ้างแหละครับ เด็กแบบนี้ต้องเข้าหาบ่อยถึงจะยอมเล่นด้วย แต่จันทราก็น่ารักมากเลยนะครับ ถ้าพ่อแม่ ปู่กับยายผมมาเห็นคงเอ็นดูเธอไม่ต่างจากผม”

“ดูทำหน้าเข้า มิรู้เพลานี้ออเจ้าติดลูกข้า หรือลูกข้าติดออเจ้ากันแน่” เล่นทำตัวติดกันทั้งวันทั้งคืน จากแต่ก่อนพระสุริยามักให้เธอป้อนข้าว อาบน้ำ แต่งตัวให้ตลอด บัดนี้กลับออดอ้อนให้พ่อเปรมเป็นผู้ทำหน้าที่นั้นแทน จะกินก็ต้องกินจากมือพ่อเปรม จะนั่งก็ต้องนั่งที่ตักพ่อเปรม ส่วนจันทราจากเด็กหญิงเรียบร้อย ขี้อาย ก็เริ่มกล้าพูดกล้าคุยมากขึ้น ที่สำคัญชอบหนีเธอไปนอนฟังนิทานกับพระสุริยาที่ห้องฝั่งตรงข้ามอยู่บ่อยๆ

สงสัยแม่คนเก่าอย่างเธอคงตกกระป๋องเสียแล้วกระมัง

“ก็พวกเขาน่ารักนี่ครับ ถ้าเกิดผมมีลูกผมก็อยากได้แบบนี้บ้าง” ชายร่างผอมบางแสดงอาการยิ้มเศร้า “แต่น่าเสียดายผมกับคนรักเราต่างเป็นเพศเดียวกันทั้งคู่ ถ้าคิดจะมีก็คงต้องรับเลี้ยงเอา”

“สวรรค์คงมิใจร้ายต่อออเจ้าดอกพ่อเปรม เมื่อถึงเวลาเดี๋ยวก็มีมาเอง”

“แต่พวกผมเป็นผู้ชายนะครับ”

“เชื่อข้าเถิด มิว่าจักเพศไหน หากสวรรค์เห็นใจ เปิดทางให้พวกออเจ้า อย่าว่าจักมีลูกสักคนสองคนเลย ออเจ้าอยากได้มากกว่านี้ก็ย่อมเป็นผล”

“พูดอย่างกับผมท้องได้”

“อนาคตเป็นสิ่งมิแน่นอน”

“คุณสีดา...อย่าแกล้งผมเล่นสิครับ คุณก็รู้ผมเป็นผู้ชาย ผมท้องไม่ได้...” เปรมละล่ำละลักบอกด้วยความเขินอาย ถ้าจะบอกว่าต้องมีใครสักคนท้องได้ มันก็คงต้องเป็นเขาสถานเดียวล่ะเพราะอย่างอสุเรนทร์คงไม่ยอมท้องแทนแน่ๆ ยิ่งคิดถึงคำที่เจ้าตัวเคยกล่าวเอาไว้ จนกว่าน้องจะท้องพี่จะไม่ยอมหยุด ก็ยิ่งทำเอาเปรมขนลุกเกรียวเข้าไปใหญ่ ถ้าเกิดเป็นจริงอย่างนั้นจริง...
ไม่อยากจะคิดไปไกลเลย

“กระไรๆก็เกิดขึ้นได้หนาพ่อเปรม”

“คุณสีดาก็” เขารีบโพล่งทันควัน พร้อมก้มหน้าหลบซ่อนพวงแก้มสีแดงจัด อีกคนก็เอาแต่หัวเราะชอบอกชอบใจ ทำเอาคนโดนล้อเริ่มหน้ามุ่ย เผลอส่งตาขุ่นขวางไปเป็นของตอบแทน “มันไม่ตลกเลยนะครับ”

“คิดมากไปใยเล่าออเจ้า หากท้องมันก็ท้อง หากมิท้องมันก็มิท้อง”

“พูดอีกทีผมโกรธจริงๆนะครับ”

“มีท้องก็ดีหนา ผิวพรรณผุดผ่อง ขาวเป็นยองใย ผัวรักผัวหลง”

“คุณสีดา!”

“กระไร...ฤาออเจ้าอายข้า กระนั้นรึ” หญิงสาวเย้าแหย่อย่างนึกสนุก

“ใครไม่อายบ้างครับ เฮ้อ ผมไม่น่าเล่าเรื่องของผมให้คุณฟังเลย” คนนั่งฝั่งตรงข้ามพยายามซ่อนอาการกลั้นขำไว้ที่มุมปาก พยายามอย่างมากที่จะไม่ให้มันหลุดออกมาให้คนบึ้งตึงเห็นพลางยกมือตบไหล่กว้างกว่าสองสามที เธอล่ะชอบนักเวลาเปรมหน้าแดง มันทั้งดูน่าแกล้ง น่าหยิก น่าเอ็นดู อีกสารพัดความน่าที่จะสรรหามาได้...ถึงว่า คนคนนั้นถึงกับยอมทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจเพื่อให้ได้ความรักจากเขามา

เพราะความรัก มนุษย์เราจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อได้มันมา ประโยคสั้นๆที่เกิดอยู่ในใจของสีดา พร้อมความสลดสังเวชแผ่ซ่าน เธอสังเวชทศกัณฐ์พอๆกับสังเวชตนเอง ไม่มีวันไหนเลยที่เธอจะลืมเลือนเรื่องราวในอดีตกาล อยากอยู่เคียงข้าง อยากแนบกายซบลาดไหล่อันอบอุ่น หากทำได้แค่มองดูอยู่ห่างๆ รอดูอีกครึ่งหนึ่งของตนเป็นผู้ทำหน้าที่นั้นแทน

แม้นจะยังรักอยู่มิเสื่อมคลาย แต่ทว่าอะไรที่เป็นความสุขของทศกัณฐ์ ก็คือความสุขของเธอด้วย

อีกอย่าง... เพราะเป็นเปรม เธอจึงยินยอมและพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ และเธอก็เชื่อ ความรักของพวกเขาต้องผ่านไปได้อย่างราบรื่นและมีความสุขตราบนานเท่านาน

“พ่อเปรม”

“ถ้าจะพูดล้อผม ไม่ต้องพูดแล้วนะครับ”

“ข้าจักพูดเรื่องอื่นต่างหากเล่า”

รอยยิ้มสวยเริ่มเลือนหายไปในบัดดล คนเป็นเจ้าของเรือนไม้หลังใหญ่ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สัก สูดลมหายใจเข้าปอดลึก สายตาจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหนที่เคยเห็น จับจ้องไปยังชายหนุ่มซึ่งเป็นจิตวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของตนอย่างแน่วแน่ นานหลานอึดใจจึงกล่าวคำช้า ๆ...

“ออเจ้าคิดถึงครอบครัวใช่ฤาไม่” สีดาเอ่ยถามราวอ่านหัวใจคนร่างสูงทะลุ ซึ่งอีกฝ่ายยิ้มหม่น นิ้วเรียวยาวเขี่ยผ้าแพรบนเตียงเล่น
“ครับ ผมคิดถึงพวกเขา” อยากนอนหนุนตักแม่ อยากคุยกับปู่กับย่า อยากยิ้มออดอ้อนให้อสุเรนทร์เอาใจ อยากกอดพวกเขาให้สมกับความคิดถึงเหลือเกิน

“ผู้ใดที่ออเจ้าคิดถึงมากที่สุด”

อสุเรนทร์...

นั่นเป็นสิ่งแรกที่เขาคิด ใช่เขาคิดถึงพี่ทศยิ่งกว่าสิ่งใด   

หากเป็นไปได้ ในยามที่ตื่นเขาก็อยากจะเห็นใบหน้าคมคายของคนรักเป็นคนแรก ไม่ใช่ว่าไม่อยากเห็นหน้าพ่อ แม่หรือคนในครอบครัว แต่ความร้อนรุ่ม กระวนกระวายใจ มีเพียงอสุเรนทร์คนเดียวเท่านั้นที่บรรเทามันลงได้

สีดาแย้มสรวล แม้เจ้าตัวจะไม่ได้กล่าววาจาออกมา หากเธอก็รับรู้ได้ว่าคนที่พ่อเปรมคิดถึงมากที่สุดคือใคร แววตาเปรมมองออกง่ายจะตายไป

“แลออเจ้าจำได้ฤาไม่ มาอยู่ที่นี่กี่วันแล้ว”

เปรมเงียบครุ่นคิดและตอบกลับ

“น่าจะประมาณสี่สิบกว่าวัน ว่าแต่ถามทำไมหรือครับ

ในห้องมีเพียงแสงสว่างมลังเมลืองจากเทียนไขสี่คู่ตั้งไว้ตามมุมห้อง กลิ่นหอมระรินของดอกมะลิที่กรุ่นกลิ่นกำจายตลบอบอวลไปทั่วห้อง และเสียงกระพือปีกของหิ่งห้อยกลางคืนที่กลบความเงียบสงัดอันน่าอึดอัดได้อย่างชะงัก

“หากนับรวมวันนี้ก็สี่สิบแปดวัน...เป็นสี่สิบแปดวันที่ออเจ้าติดอยู่ในภพภูมิแห่งนี้” น้ำเสียงที่จริงจังกว่าเคยทำให้เปรมเงียบในทันที เขาเอ่ยถามด้วยอาการน้ำเสียงสะดุด

“หมายความว่า...”

“ทุกๆสี่สิบเก้าวัน หรือเจ็ดวันบนโลกของออเจ้า ประตูแห่งพิภพจักเปิดเพื่อรับคนชั่ว คนบาปฤาคนตายให้ลงมารับผิด หากเป็นคนที่ยังไม่ถึงที่ตายเช่นออเจ้า...จักได้กลับไปยังภพภูมิเดิม” ประโยคหลังของสีดาเริ่มแผ่วหาย “ถึงเวลาที่ออเจ้าต้องกลับแล้วหนา”

“!”

ดวงตาเรียวซึ่งในเงากำลังสั่นไหวด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีประดังเข้ามา มีทั้งความดีใจ เสียใจ ตื่นเต้น เหงาหงอยผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก เปรมดีใจที่จะได้กลับบ้าน กลับไปเจอครอบครัวและคนที่เขารัก แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ที่จะต้องจากคนทางนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

นับตั้งแต่วันแรกจนถึงกลางดึกในคืนนี้ก็ร่วมเดือนเศษๆที่เปรมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับสามแม่ลูกคนดังในวรรณคดีชื่อดัง มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องรู้สึกผูกพันกันและกัน ยิ่งกับพระสุริยาแล้ว เขาบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เขารักเหลือเกิน อดใจหายไม่น้อยที่จำต้องจากเด็กน้อยอันเป็นที่รักไป เขารักพระสุริยา รักหนูน้อยจันทรา รักประดั่งลูกแท้ๆที่เกิดจากตัวของเขาเอง ถ้าเด็กน้อยรู้เข้าว่าเขาจะต้องจากไป ไม่ร้องห่มร้องไห้แทบขาดใจตายเลยเหรอ

“ข้ารู้ออเจ้าเป็นห่วงเด็กๆ แต่ชีวิตของออเจ้าจำต้องดำเนินต่อ”

“คุณไปกับผมไม่ได้เหรอครับ”

“มิได้ดอก ข้าก็อยู่ชดใช้เวรกรรมที่นี่”

“แล้ว...”

“พ่อเปรมเอ๋ย ในเมื่อฟ้าให้โอกาสแลคนทางนู้นก็หาหนทางช่วยเหลือเจ้าเต็มที่ เจ้าจักรีรออยู่ลำบากที่นี่เพื่อกระไร”

“คุณสีดา...”

“คนรอเขารอออเจ้ามานานแล้ว อย่าปล่อยให้เขาต้องทุกข์ใจแทบตรอมตรมเพราะตัวออเจ้าอีกเลย อย่าได้ห่วงฤาเป็นกังวลว่าข้า พระสุริยาแลจันทราจักเป็นอย่างไร เมื่อก่อนพวกข้าก็มิได้มีออเจ้าอยู่ร่วมด้วยข้าก็ยังอยู่ได้ นับประสากระไรกับการต้องอยู่กันเพียงสามคนอีกครา” หญิงสาวกอบกุมฝ่ามือใหญ่กว่าเอาไว้และกระชับแน่น “มิต้องคิดให้มากความ หากออเจ้ารักข้า รักลูกของข้า แลรักคนในครอบครัว ออเจ้าต้องรีบกลับไป...กลับไปเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆที่ค้างคามาเนิ่นนาน”

“...”

“ยิ่งออเจ้าแก้ไขมันได้เร็วเท่าใด มันก็ยิ่งส่งผลให้ชีวิตของออเจ้าปลอดภัยจากอันตรายมากเท่านั้น”

“คุณสีดา...”

นวลนางยิ้มพร้อมกับรอยยิ้มละมุนละไมผุดขึ้นบนริมฝีปากหยักตึง ความรื้นคลอฉาบอยู่ในดวงตาหวานล้ำ วาดแขนออกไปโอบคนตัวใหญ่กว่าเข้ามากอด ลูบแผ่นหลังกว้างอย่างปลอบประโลม

“ข้ามีความสุขที่ได้เจอออเจ้าหนาพ่อเปรม”

“ผมก็เหมือนกันครับ”

“เราทั้งคู่ต่างมีกรรมร่วม มีหน้าที่ต้องทำ ข้าอยากให้ออเจ้าโปรดอโหสิกรรมให้แก่ความผิดพลาดของข้าก่อนจากกันได้ไหม เพราะข้า...ออเจ้าจึงต้องเจอกับความยากลำบากแลความเจ็บปวด ทั้งที่ชีวิตควรอยู่มีแต่ความสุขเฉกเช่นผู้อื่นเขา”

“ผมไม่เคยถือโทษโกรธคุณเลย พร้อมอโหสิกรรมให้ถ้าคุณต้องการ แต่อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ คุณทำดีที่สุดแล้ว” น้ำตาของทั้งสองไหลเรื่อยเหมือนสายน้ำ...เปรมสูดลมหายใจเข้าลึก “แล้วก็ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะรีบแก้ไขมันให้เร็วที่สุด เพื่อทุกคนและเพื่อพวกเรา”

“ขอบน้ำใจเจ้าเหลือเกินพ่อเปรมที่เข้าใจข้า คนดีเช่นออเจ้าสวรรค์ย่อมคุ้มครอง...แลมิว่าเจ้าจักอยู่ที่ใด ขอให้พึงระลึกไว้เสมอ ข้าจักคอยอยู่ดูแลเจ้าเสมอ”


ลาก่อน...มิตรสหายที่ดีที่สุดสำหรับข้า




ควันธูปลอยตัวเบื้องสูง ก่อนม้วนตัวสลายไปตามกระแสลมที่พัดผ่านเล็ดลอดเข้ามาตามช่องเขาและแง่หิน หากยังคงทิ้งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วสารทิศ คนร่างสูงใหญ่แต่งกายเป็นดาบสอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาว นั่งขัดสมาธิอยู่บนตั่งไม้สลักลวดลายงามวิจิตร ลักษณาการ ของร่างสูงใหญ่ทำให้ชินกฤตและรณพักตร์ที่เพิ่งเข้ามาต้องจรดปลายเท้าเพื่อป้องกันมิให้เขาตื่นจากภวังค์แห่งการเข้าสมาธิ สองอาหลานก้มลงกราบพระปฏิมากรอันเป็นรูปสมมุติแห่งพระบรมศาสดาที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะหมู่ด้วยอากัปกิริยานอบน้อม ก่อนเลื่อนสายตาไปยังร่างบางร่างหนึ่งที่นอนนิ่งไม่ไหวติ่งอยู่บนโขดหินทรงเหลี่ยม ลมหายใจดังแผ่วสม่ำเสมอบ่งบอกว่าดวงจิตของเจ้าตัวยังไม่กลับมา

นี่คงเป็นอีกผลที่เขาต้องยอมรับความปรารถนาของพี่ชาย เป็นไปดั่งที่คาดเมื่อเวลาร่วงเลยเข้าสู่วันที่เจ็ด ร่างสูงก็ทำเรื่องย้ายเปรมออกจากโรงพยาบาลเร่งด่วน ขับรถมุ่งหน้าออกจากเมืองหลวงสู่กาญจนบุรี จุดหมายปลายทางของเขาคือถ้ำเก่าแก่บนเส้นทางเก่าตัดออกอำเภอสังขะบุรี สถานที่ลับที่มีเพียงคนในตระกูลอมาตยสูรเท่านั้นที่ล่วงรู้และสามารถเข้าไปได้ มันเป็นมากกว่าถ้ำหินงอกหินย้อยธรรมดา แต่มันคือจุดศูนย์รวมพลังแห่งผู้ปฏิบัติดีแล้ว... อสุเรนทร์ไม่ต้องการสิ่งใดอีกนอกเสียจากขอให้น้องน้อยกลับมาหาเขาเป็นพอ รู้ว่ามันยาก แต่ก็พร้อมจะเสี่ยงเพราะอะไรเขาย่อมรู้หัวใจตัวเองดี

เพราะรัก...

บุคคลที่มีอิทธิพลต่อพญารากษสทั้งกาย วาจาและใจ

สำหรับคนใจร้อนอย่างอสุเรนทร์โดยเฉพาะเรื่องรัก ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใด เสี่ยงอันตรายมากแค่ไหน เขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ามันเพื่อให้บรรลุผลในสิ่งที่ต้องการ

ครั้งนี้ชินกฤตไม่คิดห้ามเพราะถึงห้ามอย่างไรอีกคนก็ไม่ฟังอยู่ดี และไม่ว่าใครหน้าไหน แม้กระทั่งปู่ไม้คนที่น่ากลัวที่สุดก็ยังต้องยอมตบปากรับคำอย่างไม่มีเงื่อนไขเช่นกัน รู้สึกเห็นใจในความกล้าหาญนี้ไม่น้อยแต่ก็มิอาจทำได้มากไปกว่าการเออออตามในสิ่งที่เจ้าตัวปรารภ อสุเรนทร์เป็นคนที่มุ่งมั่นต้องการทำสิ่งใดก็ต้องทำให้ได้ สำเร็จหรือไม่ก็ต้องมาลุ้นผลกันอีกดี เป็นคนกล้าได้กล้าเสีย กล้าเสียจนเขาและหลานชายต่างกลัวไปตามๆกัน

ชินกฤตเคยเอ่ยห้ามไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ถูกตอกกลับมาด้วยประโยคแสนกินใจ 

‘เปรมคือคนรักของข้า ข้ายอมสูญเสียพลังทั้งหมดดีกว่าสูญเสียเขาไปตลอดกาล’

และนั่นคือคำตอบที่ทำให้ชินกฤตยอมเปิดทางให้อย่างง่ายดายโดยไม่ขัดข้องแม้แต่นิดเดียว


เสียงน้ำ...โถมถั่งจากที่สูงลงแผ่นน้ำเบื้องล่าง ดุจเสียงสังคีตเสนาะโสต...ปทุมชาติชูช่อ...ลออตา...ลมพัดรำเพยพากลิ่นหอมละมุนละสัมผัสปลายจมูกโด่งสันเป็นรูป

ดวงตาที่เคยหลับพริ้มก็ลืมขึ้น....พร้อมอาการขยับตัว

“ข้าขอถามอีกสักครา ท่านพี่แน่ใจแล้วใช่ไหมว่าจะทำแบบนี้” ผู้น้อยวัยหันมาถามด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น

“ต่อให้ตัวข้าต้องสูญสลายกลายเป็นฝุ่นผง ข้าก็จักทำ”

“ความรักทำให้ท่านต้องลงทุนมากถึงเพียงนี้เชียวฤา”

“ครั้นถึงเพลาที่เจ้ามีคนรัก เจ้าจักรู้เองชินกฤต”

“พอเถอะครับอากฤต อาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าคนอย่างพญารากษสทศกัณฐ์ผู้นี้เมื่อตัดสินใจแล้วจะไม่กลืนน้ำลายของตนเองเด็ดขาด แล้วอินก็เชื่อนะทั้งพระบิดาและเปรมจะต้องรอดปลอดภัย” รณพักตร์เอ่ยวาจานุ่มนวลทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นอันแรงกล้า

“แต่ขอให้มันเป็นครั้งสุดท้ายนะครับพระบิดา เพราะอินคงทนไม่ได้ถ้าพระบิดาเป็นอะไรขึ้นมา”

“พ่อรับปากเจ้า”

“ข้าจักขอเตือนท่านพี่อีกสักนิด ทุกอย่างล้วนเกิดแต่กรรมของเจ้าตัวทั้งสิ้น ถึงเราจักช่วยให้เขารอดจากบ่วงกรรมสาหัสในครั้งนี้ แต่กรรมที่ติดตัวมาไม่มีใครสามารถลบล้างได้ อย่างมากก็แค่บรรเทา” ชินกฤตเอ่ยคำด้วยอาการถอนใจลึก

“แค่นั้นข้าก็ดีใจแล้ว”

“แลท่านพี่อย่าลืมหนา”

“...”

ลมหายใจนิรันดร์กาลสามารถใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”


ฟ้ามืดมัวหม่น แสงทิวาที่เล็ดลอดผ่านแง่หินเลือนลับไปนานแล้ว และกำลังเคลื่อนคล้อยรุดหน้าต่อไปเหมือนสายน้ำที่มิอาจไหลย้อนคืน หลายชีวิตบนผืนปฐพีก้าวสู่นิทราตามธรรมชาติแห่งสัตว์โลก หาก...ณ เวลานี้ เหล่าผู้นำเผ่าพงศ์รากษสกลับใช้เวลาทั้งหมดไปกับการรอคอยใครคนหนึ่ง

รอยยิ้มยักษ์...ยังคงเหลือเงาจางๆ เป็นรอยยิ้มแห่งความสุขที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจ

การมอบลมหายใจนิรันดร์กาลให้ใครสักคน ในแง่ของยักษ์นั่นหมายถึงรักอันบริสุทธิ์ รักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน รักที่เทียบออกมาเป็นมูลค่าไม่ได้ อสุเรนทร์เลือกแล้วที่จะรักและใช้ชีวิตที่เหลือมีเปรมเป็นคู่ครองตราบชั่วฟ้าดินสลาย

“ลมหายใจครึ่งหนึ่งของพี่ ฝากเจ้าดูแลด้วย”

ทันทีที่คำสุดท้ายของประโยคจบลง เสียงอสุนีบาตฟาดลงอย่างรุนแรง คนที่อยู่ด้านนอกจะคงจะนึกแปลกใจที่จู่ๆท้องฟ้าที่เคยเงียบสงบกลับส่งเสียงครืนคราน...เมฆหนารวมตัวดำทะมึนบวกกับประกายเจิดจ้าของอสุนีบาตที่ปลาบแปลบขึ้นเป็นระยะๆ ทำให้แลดูน่าสะพรึงกลัว

สองมือใหญ่โอบอุ้มร่างบางนั้นวางแนบอก พรมจูบทั่วทั้งใบหน้างามงดอย่างรักใคร่ ก่อนริมฝีปากอุ่นจัดจะทาบทับลงบนกลีบปานหวานเย็นชืดอย่างไม่ลังเล น้ำตาแห่งกษัตริย์แห่งกรุงลงกาหลั่งไหล

ชินกฤตและรณพักตร์มองภาพเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกที่หลากหลายคละเคล้ากันไป พี่ชายของเขาคงรักมนุษย์คนนี้เอามาก...มากถึงขั้นยอมเสียสละพลังกายที่สั่งสมมานานนับตั้งแต่เกิดเป็นโอรสแห่งเผ่าพงศ์กษัตริย์กรุงลงกา มันเป็นการเสียสละที่ใหญ่ยิ่ง ต่อให้เป็นพระรามเขาก็เชื่อว่าคงไม่ลงทุนยอมทำถึงเพียงนี้หรอก

แสงสีทองเรืองรองคลอบคลุมทั้งสองร่างเอาไว้และค่อยๆเคลื่อนมากระจุกรวมกันเป็นเส้นทางเดียวอยู่บริเวณช่วงลำและริมฝีปาก  อ่อนโยน...เนิ่นนาน...เต็มไปด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ เปรมจะเป็นคู่ชีวิตเพียงคนเดียวของเขา น้องน้อยที่เขารอคอยมาแสนนาน

พี่รักเจ้า....เปมทัต

เสียงน้ำกระโจนลงจากที่สูงผ่านโสตอีกครั้ง ผิวแห่งบึงกว้างแตกซ่านกระเซ็นเป็นฟูฝอยลอยอวลเหมือนม่านหมอก
แก้วมุกดา ชมนาด พุดตะแคง มหาหงส์ บุหงาส่าหรี ชูก้านเบ่งบานโชว์กลีบสบายส่งกลิ่นหอมละมุน เย็นชื่นมากระทบนาสิกเป็นระยะๆ หมู่มวลหิ่งห้อยนับร้อยนับพันตัวกระจายไปตามบริเวณต่างๆส่องแสงระยิบระยับจนทั่วอาณาเขตแดน

‘นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี’ ชินกฤตกล่าวในใจ เพราะบรรยากาศกับทัศนียภาพอันวิจิตรตระการตาซึ่งต่างจากเมื่อครู่ลิบลับราวกับภาพเบื้องหน้านี้ถูกเสกสรรปั้นแต่งโดยเทพนิรมิต

และเขา...ก็เห็นอนาคตของเปรมชัดเจนแล้วด้วย!

ประกายสีทองเรืองรองรอบสรรพางค์กายของทั้งสองและค่อยๆเลือนหายไป...พร้อมๆกับคนร่างบางในอ้อมกอดของอสุเรนทร์ขยับตัว เสียงหัวใจที่เต้นตึกตักดังหนักและชัดเจนสะท้อนโสตของพญายักษ์

แพขนตางามงอนเทียบเท่าอิสตรีกระพือไหวราวกับผีเสื้อตัวน้อยที่มีชีวิต ค่อยๆเปิดออกเผยสิ่งที่ซึกซ่อนอยู่ภายใต้แพสีเข้มมาตลอดระยะเวลาเจ็ดวัน ดวงตาเรียวปราดมองเขาอย่างอ่อนแรง ก่อนรอยยิ้มที่อสุเรนทร์ต้องการเห็นมากที่สุดปรากฏเด่นชัดบนดวงหน้าขาวกระจ่าง

หยดน้ำสีใสหลั่งกระทบพวงแก้มน้อย

อสุเรนทร์คลี่ยิ้มมุมปากก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างขึ้น...กว้างขึ้น รวบร่างบางของคนที่เพิ่งฟื้นมากอดแนบอกแกร่ง

“เจ้ากลับมาแล้ว น้องน้อยของพี่” เสียงงึมงำที่อยู่ข้างแก้มและสัมผัสที่นุ่มนวลดุจแพรไหมทำให้ใบหน้าที่ซีดเซียวแดงระเรื่อ เปรมพยักหน้ายิ้มรับ โผกอดตอบอีกฝ่ายเต็มรัก คิดถึง คิดถึงเหลือเกิน

“พี่ทศ”

“จ๋า”

“เปรมกลับมาแล้ว”

“พี่รู้...พี่รู้แล้ว”

“ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกอย่าง...ขอบคุณที่เรียกเปรมกลับมาหา”

ร่างสูงก้มศีรษะ ริมฝีปากแนบชิดใบหูร่างบางอันเป็นที่รักยิ่ง เอื้อนเอ่ยเบาๆราวพระพายรำเพยพัด...

“พี่ไม่มีวันทอดทิ้งน้องไปไหน เพราะหัวใจของพี่ ลมหายใจของพี่ กายของพี่ล้วนเป็นของน้องเพียงคนเดียว พี่รักเปรมนะ” อสุเรนทร์ปาดคราบน้ำตาออกจากพวงแก้มน้อยอย่างเบามือ ไม่รู้จะอธิบายออกมาเป็นพูดได้อย่างไรอีก มันทั้งหนักอึ้งแต่ก็โล่งเปราะในคราเดียวกัน ดีใจ...ดีใจเหลือเกินที่ได้เห็นยินเสียงหวานหูอีกครั้ง

“เปรม...ก็มีบางอย่าง...บอกพี่เหมือนกัน”

มือหนาเข้ามาปัดผมที่บดบังใบหน้าแล้วทัดหูให้อย่างเบามือ ช้อนสายตาตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“มันเป็นสิ่งที่เปรมคิดมานานแล้ว แต่ไม่กล้าบอกออกไป”

“...”

“เพราะเปรมเชื่อ การกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด” คนในอ้อมกอดแกร่งหายใจเข้าปอดลึกและปล่อยออกมา เงยหน้าสบดวงตาคู่คมพร้อมใช้ก้านนิ้วเรียวสัมผัสบางเบาที่ข้างแก้มตอบ

“เปรมไม่เคยบอกความรู้สึกนี้กับใคร จงรู้เอาไว้ว่าพี่คือคนแรกและจะเป็นคนสุดท้ายที่เปรมคิดจะบอก”

เปรมรั้งท้ายทอยของอสุเรนทร์ให้เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ... ปลายจมูกเล็กคลอเคลียจมูกโด่งสันไปมาอย่างสร้างความคุ้นเคยก่อนประทับจูบลงบนคางเขียวครึ้ม จบด้วยริมฝีปากหนาและอุ่น นานแสนนาน...

พร้อมกับคำกระซิบแผ่วเบา ทว่าหนักแน่นและชัดเจน

เปรมรักพี่ทศครับ

เคยได้ยินไหม...คนเรามักจะแสดงสีหน้าที่ดีที่สุดในยามที่พวกเขารู้สึกมีความสุขสุดในชีวิต และตอนนี้อสุเรนทร์ก็เป็นหนึ่งในหลายร้อยล้าน พันล้านบนโลกที่มีความสุขมากที่สุด สุขที่ได้คนรักกลับคืน และสุขที่ได้ยินคำบอกรักแสนวาบหวามในดวงหทัย

“ช่วยบอกอีกทีได้ไหมยอดดวงใจของพี่”

“เปรมรักพี่ทศมากนะครับ”

“...”

รักยักษ์จอมเจ้าเล่ห์คนนี้เพียงคนเดียว




ฮืออออ รักอันหวานซึ่งนึ่งข้าวเหนียว(?) เขาบอกรักกันแล้วค่ะท่านผู้อ่านนนนนนน  :z3: :z2:
ใครอยากกรีดร้องไปพร้อมกับคนเขียน เม้นกันมาได้เลยน้าาา เราจะร่วมหวีดไปด้วยกัน 55555+
วันนี้คงต้องขอตัวไปก่อน แล้วเจอกันหม่นะคะ
สุขสันต์วันปีใหม่ 2560 ค่าาาา :L1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 02-01-2017 13:54:45
เราอยากให้สวรรค์เมตตาทำพ่อเปรมท้องได้ซะจริงเชียว
เผื่อพระสุริยากับจันทราจะตามมาเกิดด้วย :mew1:

:pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 02-01-2017 13:57:56
งืออ น้องเปรมฟื้นแล้ววว อยากเห็นน้องมีเจ้าตัวเล็กๆจังเลย คงน่ารักมากแน่ๆ

อินกับลักษณ์นี่ยังไงกันน้าาาาา

พี่รามขาตัดใจเถอะค่ะ หนูยังว่าง :hao7:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 02-01-2017 15:40:38
บทนี้ยกให้ปู่ไม้ชนะเลิศ

ชอบปู่จัง

น้องเปรมกลับมาแล้ว.......

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 02-01-2017 19:40:55
เริ่ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: blankmkmejj ที่ 02-01-2017 20:23:24
 :impress2:รู้สึกฟินกะคู่หลักมากๆน้องเปรมบอกรักยักษ์เจ้าเล่ห์แล้ว ขอคู่รองเป็นเจ้าอินกับศุภลักษณ์พ่อคนดีมีเหตุผลอีกสักคู่นะคะนักเขียน :กอด1:น ชอบเจ้าอินแสบสนิท แต่ได้ใจสุดเนี่ยปู่ไม้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 02-01-2017 21:45:52
ดีต่อใจมากทั้งท่านทศและครอบครัวของพ่อเปรม :hao6:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 03-01-2017 00:11:35
พระรามนี่น่าเอาไปโบยแล้วราดด้วยน้ำเกลือเสียจริง
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 03-01-2017 01:46:18
น้องเปรมจะท้องมั้ยน้าาาา
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 03-01-2017 10:35:52
โอ้ยยยยยยย พ่อเปรมบอกรักพี่ทศของเราแล้ว คือดีงามมากมายคะ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: drqam ที่ 04-01-2017 11:00:56
อยากจะกรี๊ดให้ลั่น มันกร้าวใจ :impress2:
เขินมาก ภาวนาให้น้องเปรมท้อง จะได้สาแก่ใจพี่ทศและสาแก่ใจคนอ่าน

สวัสดีปีใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 06-01-2017 17:03:01
สี่วันแล้ว โอ๊ย! คิดถึง
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 06-01-2017 17:12:15

ยัง.......

ยังไม่มา.......

แม้พี่ทศจะรอน้องเปรมได้

แต่คนอ่านอยากอ่านต่อแล้ว

มาต่อเถิดขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)2/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 06-01-2017 19:29:29
อุกรี้ดๆๆๆๆๆ :hao7: เค้าว้านหวานกันเงอะ  :o8:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ครึ่งแรก (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 06-01-2017 22:25:04
มาลงให้แล้วน้าาาา ขอโทษที่ลงช้าจ้าาาาาา
ไปอ่านกันเลยยยย



บทที่ ๑๗
[/b]



   ดวงแก้วแห่งรัตติกาลลอยสูงอยู่กลางเวหา แสงจันทร์มลังเมลืองทาบทับบรรยากาศให้ดูเหงาหงอย เศร้าซึม กระแสลมยามดึกพัดโบกโชยชาย ประหนึ่งหัตถาเย็นฉ่ำลูบไล้ผิวกาย หากบุรุษร่างสูงที่ยืนเหม่อมองทิวทัศน์ด้านนอกอยู่ตรงริมหน้าต่างกลับรู้สึกร้อนรุ่มและเจ็บปวด แหงนมองท้องนภายามไร้ซึ่งแสงระยิบระยับพร่างพราวจากหมู่ดาวนับล้านดวง...

สิบวันแล้วสินะ ที่เขาไม่ได้เจอเปรมเลย

คิดถึง...คิดถึงยอดรักเจียนขาดใจ

ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปพบไปเจอะเจอ แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้มันหาได้เอื้ออำนวยตามแบบที่เขาต้องการ...ลมหายใจนิรันดร์กาล หนึ่งในความสามารถพิเศษแห่งเผ่าพงศ์ยักษ์ มันทำให้เขาสูญเสียพลังเกินความจำเป็น ร่างที่เคยใช้ซ่อนตัวตนแท้จริงเอาไว้จึงสูญสลาย กลับกลายมาเป็นกายาแห่งพญารากษเฉกเช่นเดิม...กระจกเงาสะท้อนชายผู้หนึ่ง ใบหน้าที่เคยสง่างามปานเทพบุตร บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาสีเขียวเจิดจ้าประหนึ่งอัญมณีล้อแสงไฟ โดยเฉพาะริมฝีปากที่แยกออกเนื่องจากเขี้ยวที่โผล่พ้นจากมุมปากทั้งสองด้าน

อสุเรนทร์ไม่อยากให้เปรมต้องมาเห็นสภาพของตนในตอนนี้ เขากลัว...กลัวจับใจว่าถ้าน้องน้อยเห็นเข้าจะรู้สึกอย่างไง หวาดกลัวหรือตกใจหรือเปล่า หากสิ่งที่เคยเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันกลับแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์ที่มีใบหน้าอันน่ากลัว มีเขี้ยวโค้งยาวแสนน่าเกลียดน่าชัง...เขากลัวจริงๆ...

พญารากษสถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว เมื่อยกนิ้วขึ้นนับวันที่เขาต้องอยู่บำเพ็ญเพียรโดยไร้คนรักข้างกาย และเทียบกับจำนวนที่ต้องนั่งเดียวดายอยู่ในห้องบ้านี่อีกต่อไป

“เหลือแค่สี่วันเท่านั้น” หลับตาพูดกับตัวเองดังแผ่วคล้ายเสียงกระซิบ อีกเพียงสี่วันเขาจะกลับไปหาน้องน้อยอันเป็นที่รักอย่างที่หวังเสียที...ป่านฉะนี้ เปรมจะเป็นอย่างไรบ้าง อยู่อย่างไร กินดีหรือไม่ ในวันๆหนึ่งคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า...ในสมองล้วนมีแต่คำถามที่อยากจะถามอีกคนเต็มไปหมด

การรอคอยช่างเป็นอะไรที่สร้างความทุกข์ทรมานในดวงแด เหลือเกิน แม้ชีวิตเขาล้วนประสบพบเจอกับการรอคอยมาหลายต่อหลายครั้ง ทว่าทุกครั้งก็นำพามาซึ่งความเจ็บปวด ความโหยหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อสุเรนทร์ไม่ได้อยากทำร้ายตัวเองด้วยวิธีงี่เง่าเช่นนี้ด้วยซ้ำ แต่อดีตเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าควรคิดให้ดีเสียก่อน เพราะถ้าพลาดจากรักครั้งนี้อีก...คงวายชนม์

 “ท่านพี่ทศขอรับ” ร่างสูงหันกลับมามองร่างสมส่วนของน้องชายที่เปิดประตูบานไม้เข้ามาช้าๆ ชินกฤตวางถาดน้ำและนมบนตั่งไม้ตัวเล็กข้างเตียง ขณะแสงจันทร์สาดกระทบดวงตาของอสุเรนทร์พอดิบพอดี สะท้อนให้เห็นประกายสีเขียวเจิดจ้าพลุ่งโพลงอยู่ภายใน

“มีกระไรฤากฤต”

“ท่านพี่เป็นอย่างไรบ้าง ยังมีอาการเจ็บอยู่หรือฤาไม่ขอรับ”

“ข้า...มิเป็นอันใด ว่าแต่เจ้าเถอะ มาทำกระไรดึกดื่นป่านฉะนี้ มิไปนอนพักเสียเล่า”

“ข้าใคร่มาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับท่านพี่...ข้ากลัวท่านจักเหงา”

“อยากจักอยู่เฝ้าข้าก็ตามแต่ใจเจ้าเถิด” คนตอบถอนหายใจยาว “หากพอจันทร์ขึ้นสูง ข้าคงต้องทำพิธีต่อคงมิอาจอยู่คุยกับเจ้าได้อีก ว่าแต่ไปครานี้...เปรมเป็นอย่างไรบ้าง เขา...สบายดีหรือ”

“กายอาจใช่ หากแต่ใจมิใคร่สบายนัก”

“ทำไม”

“ท่านพี่ย่อมตระหนักดีว่าเพราะเหตุใด”

สีหน้าราชันย์แห่งกรุงลงกาหม่นหมอง...เศร้าสร้อยลง

“ข้าจำเป็นต้องทำ”

“จำเป็นรึ มันมิได้สำหลักสำคัญเลย...หากท่านพี่เลือกเผชิญหน้ามากกว่าหลบอยู่ในกระดองเต่า ข้าขอถามเหตุผลหน่อยเถิด เหตุใดท่านพี่จึงคิดปกปิดตัวตันที่แท้จริงกับเขาอีก ในเมื่อทุกคนรอบตัวล้วนทราบโดยสิ้น”

“ใช่ว่าทุกคนจักยอมรับได้ เราแตกต่างจากคนอื่นกฤต...พวกเราเป็นยักษ์ ที่ข้ามิอยากให้เปรมรู้เพราะข้ากลัวน้องจักตกใจแลหนีหายข้าไปอย่างคนในวันวาน ข้า...ข้ากลัวเหลือเกิน”

อสุเรนทร์ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยอาการน้ำตาซึม มันเป็นสัจจะธรรมของโลกใบนี้ สิ่งใดที่ล้วนแปลกแยกต่างจากที่เห็น มนุษย์มักจะเกิดความกลัวเป็นที่ตั้ง เขาทราบดีความลับนี้อย่างไรสักวันเปรมก็ต้องรู้ แต่เขายังไม่พร้อมจะบอกกับเจ้าตัวตอนนี้จริงๆ เพราะถ้าหากน้องรู้แล้วหนีเขาไปในที่ไกลแสนไกล...ไกลจนเขามิอาจเอื้อมคว้าถึง เขาก็คงต้องขาดใจตายอย่างน่าสมเพชเวทนา

ร่างร้อย อรชร อัปสรสวรรค์
สามโลก หาทัน เทียบไม่
พิสุทธิ์ เฉกปัท-มาลัย
สุดคว้า สุดหมาย ได้แต่มอง


-เถ้ากุหลาบ-

“เหตุใดท่านจึงมิคิดลอง”

“ลองแล้วได้กระไร ในเมื่อผลลัพธ์ก็คงออกมาเช่นเดิม รับมิได้ เกลียดชัง หนีหาย...แลต่อจากนั้นข้าก็ทนเจ็บปวดคนเดียวอย่างมิมีทางรู้ได้เลยจักกลับมามีความสุขอีกครั้งเมื่อใด...สู้ข้าเก็บมันเอาไว้เป็นความลับแลทำให้ชีวิตที่เหลือมีแต่ความสุขมิดีกว่าหรือ...เจ้าก็รู้กฤตว่าข้านั้นรักเปรม ขาดเปรมมิได้ หากน้องตีจากข้าจักทำเช่นไรเล่า”

“พอเป็นเรื่องเปรมทีไร ท่านมักกลายเป็นคนขี้ขลาดตาขาวทุกทีล่ะหนา”

“!”

“ข้าเข้าใจท่านพี่ ทว่าความกลัวหาใช่อุปสรรคไม่ หากความใจเสาะขี้แพ้ของท่านพี่ต่างหากที่จักผลักเปรมให้ถอยห่างไปเอง” มือเรียวผอมยกแตะท่อนแขนของผู้มากวัยกว่า และเป็นแทบทุกครั้งเพียงสัมผัสเบาๆ เขารู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มประหนึ่งไฟสุมในร่างกายอสุเรนทร์

“คนรักกันมิว่าอีกฝ่ายจักเป็นคน เป็นผี เป็นปีศาจร้ายฤายักษ์ เขามิมานั่งสนดอกว่าจักรับได้ฤาเลือกจักห่างหายไป ท่านพี่เชื่อใจเปรมฤาไม่?” ชินกฤตเอ่ยถามพี่ชาย หากอีกฝ่ายส่ายหน้า

“ข้าเชื่อใจเปรมเสมอ”

“ถ้าเชื่อใจใยต้องกลัว ความจริงเป็นสิ่งมิตายแลความลับเองก็เช่นกัน มันมิเคยมีอยู่ในโลก หากคิดจักอยู่เป็นคู่ชีวิตกับเปรมจริงๆ ท่านพี่ต้องลองพิสูจน์แลข้ามผ่านสิ่งต่างๆไปให้ได้สิขอรับ”

“ต้องให้ข้ากล่าววาจาอีกสักกี่พันกี่หมื่นหน เจ้าย่อมเห็นที่ผ่านเป็นเช่นไรบ้าง คนที่ข้ารักแลคิดว่ารักข้าล้วนหนีหายไปหมดเพียงเพราะข้าเป็นยักษ์ที่แสนน่าเกลียดน่ากลัว มิใช่มนุษย์ธรรมดาทั่วไป ข้าเข็ดหลาบมามากพอแล้วน้องรัก”

ความเงียบกรายเข้ามาเนิ่นนาน ชินกฤตถอยหลังไปยืนกอดอกพิงผนังตรงฝั่งประตู ปล่อยให้พี่ชายยืนมองความเวิ้งว้างของท้องนภาโดยลำพัง

“พวกนางก็คือพวกนาง หาได้เกี่ยวข้องกับเปรมสักนิด โปรดจงเชื่อมั่นในความรักของตนเองหน่อยเถิดขอรับ แลข้าก็เชื่อเปรมจักต้องเข้าใจแลยอมรับในตัวท่านพี่ได้เป็นแน่”

“...”

“ท่านพี่ทศ...”

อสุเรนทร์เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะกล่าวตอบ

 “ขอเวลาอีกแค่สี่วัน...สี่วันเท่านั้นแลข้าจักไปบอกเปรมด้วยตัวข้าเอง”

“อย่าเห็นแก่ตนสิขอรับ ไฉนต้องรอให้ครบสี่วันด้วย...ข้ามิอยากเสวนาคนดื้อดึงเช่นท่านพี่อีกแล้ว เชิญคุยปรับทัศนคติกันเอาเองก็แล้วกัน”

“หมายความ...”

“เขาอยู่ที่นี่...ยืนฟังพวกเราพูดตั้งนานแล้ว”

แสงแห่งดวงแก้วกลางคืนสาดส่องผ่านม่านผืนบาง สายลมที่โบกโชยชายพลันหยุดนิ่ง....ความเงียบมาเยือนชั่วขณะ...ไม่มีสรรพสำเนียงใดเล็ดลอดออกมา แม้กระทั่งลมหายใจของอสุเรนทร์

ประหนึ่งโลกทั้งใบหยุดนิ่ง

“เปรม...” ริมฝีปากขยับ ขณะโลกคล้ายหมุนทวนกลับ...สติลอยควะคว้าง ก่อนโรยตัวลงต่ำประดุจขนนกร่วงหล่นจากเบื้องสูง สายตาอันพร่ามัวราวมีหมอกหนาขวางกั้นค่อยๆกระจ่าง ชัดเจน...ร่างบางขยับเยื้องเข้ามาใกล้ทีละนิด...ทีละน้อยอย่างแช่มช้า ดวงหน้าหวานที่เขาหลงใหลหนักหนาบัดนี้กลับอยู่ตรงหน้า อยู่เพียงเอื้อม...ดวงเนตรสุกสกาวเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาและรินรดอาบแก้ม

อสุเรนทร์อยากจะเดินถอยห่างออกไป หากวินาทีนั้นดวงตาเรียวสวยของเปรมคล้ายมีอำนาจบางอย่างแผ่ซ่านออกมาสะกดหัวใจของพญารากษสไว้สิ้น ชายร่างสูงนิ่งชั่วขณะ ถอนหายใจ...ท้ายสุดมือแข็งแรงพลันขยับยื่นไปเบื้องหน้า ค่อยๆสัมผัสพวงแก้มของอีกฝ่าย ปาดคราบน้ำตาให้อย่างเบามือ

“เพราะแบบนี้สินะ พี่ทศถึงไม่ยอมไปหาและไม่ยอมให้เปรมมาที่นี่”

“...”

“ส่งให้คุณชินกฤตมาบอกแต่ตัวคนฝากกลับไม่เคยมาหาสักครั้ง”

“เปรม”

“พี่เห็นเปรมเป็นอะไร มีอะไรก็บอกกันบ้างสิ ไม่ใช่เก็บมันไว้อยู่คนเดียว”

“พี่ขอโทษ...”

“ฮึกๆ...รู้ไหมมันเจ็บนะ”

“พี่ขอโทษ อย่าร้องไห้เลย...ได้โปรด”

ก้านนิ้วใหญ่สัมผัสปลายนิ้วของคนรักก่อนรั้งอีกฝ่ายเข้าหาตัวอย่างช้าๆ มันเป็นกอดแรกในสิบวันที่ห่างกัน คิดถึง...คิดถึงแทบขาดใจ

“ทำไมไม่บอกกันตรงๆ”

“เพราะพี่กลัวไง” ริมฝีปากหนาขยับ “พี่กลัวน้องจะจากพี่ไป”

“แล้วเปรมไปหรือเปล่า”

“...”

“เปรมไม่ได้ไปไหน เปรมยังอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างพี่และเฝ้ารอทุกวันว่าเมื่อไหร่พี่จะมาหาเสียที แต่พี่ก็ไม่มา”

“พี่ขอโทษ ขอโทษจริงๆ” อสุเรนทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ วงแขนแข็งแรงโอบคนร่างบางเข้ามากอดเอาไว้แนบอก เปรมหลับตายกเรียวแขนกอดตอบพร้อมซุกหน้าตรงลำอกอุ่นแล้วสะอื้นเบาๆ ถ้าวันนี้เขาไม่ขอร้องคุณชินกฤตให้พามาด้วย ก็คงต้องรอต่อไปอย่างคนไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยสินะ

“มีอะไรก็บอกกันสิครับ”

“ก็พี่กลัวเปรมจะหนีพี่”

“เปรมบอกแล้วไงครับว่าจะไม่หนีไปไหน ฟังนะ เปรมรู้...รู้หมดทุกอย่างแล้ว พี่ไม่จำเป็นต้องปิดบังมันอีกต่อไป...และไม่ต้องกลัวว่าเปรมจะรับไม่ได้ด้วย เพราะเปรมรักพี่ในแบบที่พี่เป็นอยู่อย่างนี้ ต่อให้กายของพี่คืออสุเรนทร์ นักธุรกิจหนุ่มชื่อดังของประเทศ หรือเนื้อแท้คือทศกัณฐ์ พญายักษ์ผู้ปกครองกรุงลงกา...”

“...”

“สำหรับเปรมก็รักทั้งนั้น”

ช้อนดวงตาหวานมองสบใบหน้าที่มักมีรอยยิ้มให้ทุกครั้ง ดวงตาคมที่มักจ้องมองเพียงแค่เขาเสมอ สองมือที่คอยกอบกุมกันทั้งในยามสุขสมหวัง เหนื่อยล้า หรือสิ้นหวัง และหัวใจแกร่ง....ที่มั่นคงต่อเปมทัตคนเดียว

รักผู้ชายคนนี้....รักอย่างไม่มีเงื่อนไข

เปรมรู้ทุกอย่างนับตั้งแต่วันที่ดวงจิตกลับเข้าร่าง เพราะในวันนั้นวันที่ตนตื่นขึ้นมาสิ่งที่ได้ประจักษ์เต็มสองตาก็คือร่างกายที่เปลี่ยนไปของคนรัก เครื่องทรงสีเขียวทองยิ่งใหญ่ ดวงตาสีมรกตเจิดจ้า เขี้ยวมุกสีขาวบริสุทธิ์โค้งรับสมดุลกับมุมปากและทรงมงกุฎชัย เพียงแค่นี้มันบ่งบอกด้วยตัวมันเองอยู่แล้วตัวตนที่แท้จริงของอสุเรนทร์คือใคร ถามว่าตกใจไหม...เปรมก็คงตอบไม่ตกใจสักเท่าไหร่ เนื่องจากตัวเขาเองก็นึกสงสัยตั้งแต่ฟังเรื่องราวต่างๆจากสีดา เอะใจอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้คอนเฟิร์มว่าเป็นเรื่องจริง เพราะด้วยคำพูดคำจา ท่าทางการแสดงออกบวกนิสัยขี้ใจร้อน ขี้โมโห โดยเฉพาะรักแรงหวงแรงของอสุเรนทร์ มันไม่ต่างไปจากนิสัยของทศกัณฐ์สักนิดเดียว

ดีใจเสียอีกที่อสุเรนทร์คือทศกัณฐ์ ไม่ใช่พระราม

“น้องไม่กลัวเหรอ พี่เป็นยักษ์นะ”

“ยักษ์แล้วไงครับ พี่ทศเป็นคนบอกเองนี่นาว่ายักษ์บางตนก็ใจดี แถมหล่อมากด้วยอ่ะ” อสุเรนทร์ถึงกับหลุดยิ้มในคำพูดของคนในอ้อมกอด “ถ้าเปรมกลัว เปรมคงไม่ขอร้องให้คุณกฤตเขาพาเปรมมาที่นี่ตอนนี้หรอก”

หันไปหาน้องชาย ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านพี่ต้องเข้าใจหนา พอดีข้าเป็นคนแพ้ลูกอ้อนคนหน้าตาดี”

“แล้วอยากเจอลูกอ้อนข้าหน่อยฤาไม่”

“อุ้ย อย่าดีกว่าขอรับ ข้าเกรงใจ” ชินกฤตบอกมือปฏิเสธพัลวันเมื่อพี่ชายยกเท้าเตรียมเตะ ตัวที่ลีบเล็กอยู่แล้วพลันเล็กลงกว่าเดิม จนเปรมต้องตีไหล่หนาไปหนึ่งฉาด...กร่างจริงเชียว

“พี่นั่นแหละจะโดนไม่น้อย”

“อ้าว”

“ถ้าคุณกฤตไม่พามาก็จะปิดไปเรื่อยๆใช่ไหม”

“ก็....”

“เอาเป็นว่าเปรมรับได้ ไม่กลัวด้วย อีกอย่าง...มีแฟนเป็นยักษ์เท่จะตาย แถมเป็นราชายักษ์กรุงลงกา มีพลังทำลายล้างเหมือนเหล่ายอดมนุษย์ในมาร์เวล เจ๋งจะตาย” เปรมชูนิ้วโป้งยักคิ้วกวนใส่ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มหวานทำให้อสุเรนทร์รู้สึกโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาจากอกจนหมดสิ้น...เพราะอีกฝ่ายเป็นคนอย่างนี้สินะ พญายักษ์อย่างเขาเลยไปไหนไม่รอด

อสุเรนทร์คลี่ยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกในรอบสิบวัน ยื่นจับปอยผมที่ปรกหน้านวลแล้วบรรจงทัดหูให้อย่างแผ่วเบา สายตาที่ประกายระยิบระยับทำเอาร่างบางเผลอหลุบตาลงต่ำเพื่อซ่อนความแดงที่ปรากฏบนพวงแก้มโดยไม่ได้ตั้งใจ ร่างสูงใหญ่เชยคางมนขึ้นมองสบตาอีกครั้ง หัวใจดวงน้อยและหัวใจแกร่งพองโตเสมือนถูกเติมเต็มด้วยรักจนล้น รักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากคนคนนี้
ริมฝีปากอวบตึงทาบทับจูบแสนหวานลงบนหน้าผากเนียน เปลือกตาซ้ายและขวา แก้มแดงทั้งสองข้าง ปลายจมูก ปลายคางและปิดท้ายด้วยริมฝีปากที่บอบบางดั่งกลีบดอกไม้งาม หอมหวาน นุ่มละมุนจนอยากจะชิมมันอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ


แม้นโซ่ตรวนผูกมัดสักร้อยทุน
ใจมั่นมุ่งยังคลายทลายได้
แต่ใยรักบางเบาสักเท่าใด
ผูกพันไว้แนบสนิทนิจนิรันดร์



ชินกฤตที่ยืนมองดูอยู่ก็อดยิ้มดีใจออกมาไม่ได้ แค่เห็นพี่ชายมีความสุขเขาก็รู้สึกมีความสุขตามไปด้วย พยายามที่จะก้าวถอยออกมาเงียบเชียบที่สุด...เพราะไม่อยากเป็นกว้างขวางคอคนอื่นยามดอกรักผลิบานหวานชื่นเสียเท่าไหร่ ปล่อยให้พวกเขาใช้เวลาร่วมกันสองต่อสองน่าจะดีกว่า

นึกอิจฉาพี่ชายตนมิน้อย เมื่อไหร่กันนะที่เขาจะพบได้ใครสักคนที่รักเขาโดยไม่สนตัวตนแท้จริงเช่นนี้บ้าง ไม่จำเป็นต้องแสนดีเลิศเลอเท่าพ่อเปมทัต ไม่จำเป็นต้องสวยดั่งนางสีดา ขอเพียงมีใจรักมั่นแค่เขาก็พอแล้ว

“ฮ้าว...ไปนอนดีกว่าเรา”



จันทราที่เคยทอแสงมลังเมลืองเริ่มฉาดฉายกระจ่างใส ทอทาบองคาพยพของร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยความแข็งแรงแห่งมัดกล้าม สวยสมบูรณ์ดุจรูปสลักในเทพนิยายกรีก ผิวกายเขียวนวลผ่องอำพันยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งมวลบนโลกใบนี้ เปรมเคยเห็นรูปลักษณ์เช่นนี้มาก่อนตอนประสบอุบัติเหตุ แม้จะห่างไกลและเลือนรางแต่เปรมก็จำได้อย่างแม่นยำ

มีรักมากเป็นทุนเดิมก็ยิ่งรักเพิ่มเท่าทวีคูณ

“เปรมจ๋า” น้ำคำนุ่มหูก้องกังวานอยู่ในจิตของเปรม ร่างสูงเปลือยท่อนบนแสดงกล้ามเนื้อสมส่วนเยี่ยงชายชาตรี และเครื่องประดับวาวบนนิ้วทั้งสิบนิ้ว

“ครับ”

“น้องมีความสุขไหม”

“มากที่สุด” คนร่างบางเน้นคำช้าชัด “พี่ทศล่ะ”

“พี่มีความสุขทุกครั้งที่มีเปรมอยู่เคียงข้าง ขอบคุณที่เข้าใจ”

“เพราะความรักที่พี่ทศให้เปรมมา มันก็มากพอจะกลบเกลื่อนเรื่องต่างๆลงได้ รูปลักษณ์มันเป็นสิ่งนอกกาย แต่ใจพี่ต่างหากเป็นตัวตัดสิน”

อสุเรนทร์คลี่ยิ้มหวานยื่นสัมผัสข้อมือเล็กก่อนแสงแวววับและความเย็นวาบจากบางสิ่งจะทำให้เปรมต้องก้มมองดู
นั่น...!

“พี่เก็บมันไว้ เพื่อรอคอยวันที่ได้สวมให้กับเจ้าของของมันอีกครั้ง”

“พี่ทศ” ร่างบางเอ่ยด้วยสีหน้าตกใจเมื่อกำไลที่เขาคิดว่ามันน่าจะแตกเสียหายไปแล้วกลับยังคงสภาพเดิมไม่มีเปลี่ยน...ใบหน้าคมเข้มอมยิ้มก่อนก้มตัวประทับรอยจูบบนกำไลงามและแอ่งชีพจรหัวใจ

 “โอ้ความรัก      เสลาสลัก สวยใส
งามใดเล่างามใด      เทียบได้งดงามความรัก
จรดลึกในความทรงจำ    ลึกล้ำย้ำรอยสลัก
นิรันดรนั้นนานนัก       แต่รักนี้นานกว่านั้น”

“...”

“เปรมจ๋า”

“จ๋า...” ขานตอบรับด้วยน้ำเสียงหวานกังวานแว่ว

“ลมหายใจครึ่งหนึ่งของพี่เป็นของเจ้าแล้ว โปรดเก็บรักษามันไว้ให้ดีๆล่ะ”



ต่อด้านล่างเน้อ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 06-01-2017 22:31:16
ดวงหทัยแห่งจอมยักษ์พยักหน้ายิ้มรับคำ โผเข้ากอดคนรักของตนไว้แน่นด้วยอาการน้ำตารวยริน แค่นี้แหละที่อสุเรนทร์ต้องการ
ดวงแก้วโคจรขึ้นกลางฟ้า อาบโลกด้วยสีเหลืองนวลงามตานัก...แต่ทว่าแสงนั้นก็มิอาจเทียบเคียงได้กับเจ้าของเรือนร่างเพรียวบางที่อยู่ตรงเบื้องหน้า เรือนผมดำมะเมื่อมเป็นประกายเงาล้อมคลอเคลียใบหน้างามรูปประดั่งรูปปั้นประติมากรรมชั้นเอก ผิวกายขาวผุดผ่องเนียนละเอียด ริมฝีปากสีแดงระเรื่อเชิญชวนให้ลิ้มลอง...

อสุเรนทร์โน้มตัวลงมาบรรจงพิมพ์รอยประทับบนริมฝีปากหวานฉ่ำ เปรมหลับตาเงยรับความต้องการของอีกคนด้วยความเต็มใจ มือหนาเริ่มปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวบางระหว่างประพรมจูบไปตามใบหน้า ขากรรไกรและซอกคอระหง เขาค่อยๆปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเปรมออกทีละชิ้น...ทีละชิ้นอย่างไม่รีบร้อน

อยากสำรวจประติมากรรมชั้นเอกที่โลกต้องจารึกอย่างละเอียดถี่ถ้วน...ทุกซอก...ทุกมุม

ร่างกายขาวนวลที่เคยเห็นมาหลายครั้งแต่ก็ยังชวนให้หลงใหลทุกครั้งชวนใจพญายักษ์เต้นตื่นระรัว มือข้างหนึ่งโอบรัดกายน้อยให้แนบชิด ขณะอีกมือหนึ่งเลื่อนไปตามสันหลังจนกระทั่งเอวถึงบั้นท้าย เนียนละเอียดยิ่งกว่าแพรพรรณชั้นเลิศ ขาวยิ่งกว่าไข่มุกจากใต้บาดาลของนางมัจฉา...และหอมเสียยิ่งกว่าหมู่มวลดอกไม้ เสียงครวญครางแสนหวานดังอื้ออึงในโสตคลอเคลียไปกับเสียงกรีดปีกร่ำร้องของแมลงกลางคืน...

หากเปรียบเทียบเปรมเป็นของหวานก็คงเป็นขนมเสน่ห์จันทร์ที่มีผลสุกสีเหลืองเปล่งปลั่ง  สวยงามและมีกลิ่นหอมชวนให้หลงใหล ยิ่งกินเท่าไหร่ก็อยากกินอีกไม่รู้จักเบื่อ เขาคิดอย่างนั้นมาโดยตลอด

ความนุ่มละมุนและหอมหวานมันยังคงแผ่ซ่านอยู่ในบนริมฝีปาก ลมหายใจอุ่นรินรดปลายจมูกเล็ก ปลุกเร้าให้อีกคนเสียวซ่านและถวิลหาเพียงแต่เขาคนเดียว สองมือลูบไล้ไปตามโครงร่างงาม แผ่วเบา...อ่อนโยน...เชื่องช้า แสงจันทราอร่ามที่อาบไล้เรือนกายเปลือยเปล่า มันยิ่งทำให้ภาพตรงหน้าอสุเรนทร์ดูน่าหลงใหล เคลิบเคลิ้มและติดตราตรึงไปแสนนาน

พญายักษ์รั้งท้ายทอยเล็กขึ้นมาบดจูบด้วยความโหยหา ปลายลิ้นร้อนบดคลึงกลีบกุหลาบแดงและไล้ชิมความหวานจากโพรงปากน้อย มันช่างหวานลึกล้ำจนแทบจะเจียนคลั่ง

“อือ...พี่...ทศ”

เปรมหลับตาเม้มปากแน่นยามใบหน้าคมไล่เลียไปตามขากรรไกร ปลายคาง ลำคอ ไหปลาร้า ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ยอดสัตตบงกชที่ชูชันล่อตาล่อใจผึ้งภมรให้มาดอมดมและคลอเคลียไม่ห่างหาย ร่างบางบิดพลิ้วไปตามอารมณ์หวามไหว และยิ่งกระสันซ่านเมื่อก้านนิ้วหนาทั้งสองลากผ่านจุดสำคัญบริเวณด้านหลัง ดึงดันเข้ามาจนสุดแล้วก็แน่นิ่งอยู่ในร่างของเขา

เปรมอ้าปากหอบหายใจ

“อืม...”

เขาหอบหายใจเสียงดัง ทุกอย่างพร่ามัว สมองไร้การรับรู้จากสิ่งอื่นเว้นเพียงเสียงและสัมผัสของคนตรงหน้าเท่านั้น นิ้วใหญ่เริ่มเคลื่อนไหวเป็นจังหวะ จากช้าก็ค่อยเพิ่มระดับความเร็วไปเรื่อยๆจนเปรมต้องกรีดร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ อสุเรนทร์กำลังทำให้เขาเป็นบ้า! 

สะโพกสวยบิดตัวเสียวกระสันเมื่อปลายนิ้วสัมผัสถูกจุด มือข้างหนึ่งจิกเกร็งลงบนผ้าปูที่นอนจนยับยู่ยี่ ส่วนอีกข้างโอบไหล่กว้างเอาไว้ราวกับกลัวว่าร่างกายจะร่วงหล่นลงสู่ชั้นฟ้า เปรมพยายามหอบเอาอากาศเข้าปอดมากที่สุด...ปลายนิ้วที่รุกรานนั้นถอนออกไปแล้ว แต่ทว่าไม่นานนักก็ถูกแทนด้วยความยิ่งใหญ่สอดเข้ามาในร่างกายอย่างช้าๆ

“อ๊ะ!”

“พี่รักเปรมนะ”

“อ๊า พี่ทศ”

ท่วงทำนองแห่งความรักถูกบรรเลงไปอย่างอ่อนโยน ละมุนละไม ดวงหน้าสวยเงยขึ้นรับจูบก่อนปรือตามองรอยยิ้มของคนตัวโตกว่าด้วยพวงแก้มแดงจัด อสุเรนทร์โน้มตัวจูบอย่างแผ่วเบาที่หน้าผาก สองกายาที่สอดประสานเป็นท่วงทำนองเดียวกันนำพามาซึ่งเสียงครวญครางที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่ามันช่างเป็นเพราะพริ้งเสียเหลือเกิน ร่างน้อยหลับตาพริ้มปล่อยให้ใจล่องลอยไปดั่งสายน้ำหลาก ดื่มด่ำไปกับความสุขสมที่ได้รับ อสุเรนทร์ทำให้เขามีความสุขมากจนยากจะเปรียบเปรยออกมาเป็นคำพูดได้
ยอม...ยอมหมดแล้วทั้งตัวและหัวใจ

ห้องทั้งห้องร้อนระอุเมื่อไฟรักของทั้งสองโหมกระหน่ำลุกโชนอย่างไม่มีสิ่งใดสามารถดับไฟนั้นลงได้ ความคิดต่างๆนาๆแตกกระเจิง มีเพียงความรู้สึกจากการสัมผัส...เพียงแค่เรา

มือใหญ่วาดลงดึงรั้งกายบางอันร้อนรุ่ม เพิ่มกระแสความปรารถนาถึงขีดสุดก่อนสายธาราจะหลั่งไหลสาดกระจายจนหมดสิ้น อสุเรนทร์ล้มตัวทับคนร่างเล็กกว่า ใบหน้าซุกอยู่กับไหล่ของเขา


ข้างนอกยังคงมืดและเงียบสงัด เปรมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน สัมผัสหนักจากด้านหลังบ่งบอกว่าอีกคนยังอยู่ เขาใช้เวลาไปกับกับพลิกตัวหันเข้าหาอีกฝ่ายและสบตาคมอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที โครงหน้าที่ชอบ ดวงตาที่หลงใหล เปรมอยากจะเห็นมันทุกๆวัน

“พี่ทศ”

“...”

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ขอให้พี่รู้ไว้ เปรมรักพี่เสมอและไม่มีวันเปลี่ยนใจเด็ดขาด” ดวงตาคู่สวยหวานหยดย้อยคลอไปด้วยน้ำตา ปลายนิ้วเกลี่ยเคราเขียวเบามือ ยื่นหน้าประทับจูบบนริมฝีปากอวบตึง

“เพื่อความรักของพวกเราเปรมจำเป็นต้องทำ”

“...”

“พี่รอเปรมหน่อยนะ”

“...”

“เปรมสัญญาเปรมจะรีบจัดการทุกอย่างโดยเร็วที่สุดและจะกลับมาหา กลับมาอยู่กับพี่ตลอดไป”


สุดท้ายรามเมนทร์ก็ทำได้เพียงมองดูอยู่ห่างๆ....

เจ็บปวดไหม....มันจะมีคำตอบอื่นอีกหรือนอกเสียจากเจ็บมากถึงมากที่สุด

เขาจำมันได้ดี....คำพูดของน้องชายยังคงกังวานมิรู้ลืม....


‘ยอมเจ็บเพื่อให้เขามีความสุข หรือยอมเจ็บต่อไปอย่างไม่มีวันจบเพื่อให้ได้คู่กับเขา’

‘ไม่ว่าจะเลือกทางไหน...ยังไงคนที่เจ็บที่สุดคือตัวพี่เอง’

   

แพ้งั้นเหรอ....คนอย่างเขาเนี่ยนะกำลังพ่ายแพ้

“ไม่มีทาง”

ราเมนทร์สูดลมหายใจเข้าปอดแรงๆ ก่อนผ่อนลมออกช้าๆ จากวันนั้นจนมาถึงวันนี้ แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นมายาวนานสักเท่าใด ก็มิอาจทำให้หัวใจของชายหนุ่มเปลี่ยนแปลงได้

แต่ทำไมถึงไม่เป็นเขา...คนที่ได้รับโอกาสนั้น ทำไมต้องเป็นมันด้วย

เขามีอะไรดีน้อยกว่าไอ้ชาติพันธุ์ยักษ์นั่นหรืออย่างไร กี่ครั้งกี่หนแล้วที่นางสีดาแต่ละชาติภพเลือกรักมันมากกว่าคนดีๆอย่างเขา หากไม่ติดว่ามันเป็นอมนุษย์ เวรกรรมของพวกนางทั้งหลายที่ต้องเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร หรือถ้าเขาจิตใจดีมากพอที่จะยอมหลีกทางขอยอมเป็นผู้แพ้...มันผู้นั้นก็คงได้มีชีวิตคู่สุขสมดั่งปรารถนาตั้งแต่ชาติที่ห้าแล้วกระมัง!

ทศกัณฐ์ดีกว่าตรงไหน

และตัวเขาจะต้องเป็นผู้แพ้ไปถึงเมื่อไหร่

ราเมนทร์ย้ำถามกับตัวเอง มันมิใช่ครั้งแรกที่บังเกิด หากมันปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วน มันเจ็บปวด...จนต้องก้มหน้ากล้ำกลืนน้ำตา  บางครั้งก็อยากจะเลิกเกมบ้าๆนี่เสียที เพราะถึงดันทุรังแข่งต่ออย่างไร คนคนนั้นก็ไม่มีทางหันกลับมามอง หากที่สุดแล้ว...ก็มิอาจตัดใจได้ ด้วยความรู้สึกประการเดียว

เพราะรัก....

ผืนธรณิน อุทกธารา มหาสมุทร นภาลัยอันกว้างขวาง....ก็มิอาจเทียบได้กับความรักของเขาที่มีแด่บุรุษหนุ่มชื่อเปมทัต โอ้อกเอ๋ย....ตระหนักโดยแท้จริง... ที่ใดมีรัก ที่นั่นย่อมมีทุกข์เสมอ

แต่คนที่ทุกข์ต้องไม่ใช่เขา!!

ชายหนุ่มรูู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำผิดไปในกาลก่อนด้วยความหึงหวงและเอาแต่ใจของตน รู้สึกผิดที่ทำให้สีดาต้องร้องไห้และตีจากอย่างไม่มีวันหวนคืน

ส่วนหนึ่งมันก็คงเป็นเพราะเขาเอง....

อยากขอโทษ อยากขอโอกาสแก้ตัวสำหรับสิ่งที่เคยกระทำ รู้ว่าไม่อาจย้อนคืนวันเวลากลับไปแก้ไขเรื่องเหล่านั้นหรือเปลี่ยนใจคนร่างบางได้ แต่ก็อยากทำสักอะไรอย่างเพื่อพิสูจน์ให้น้องน้อยเห็นว่าเขาเองก็โหยหาและรักน้องน้อยไม่ต่างไปจากความรักที่ทศกัณฐ์มีให้เลยแม้แต่เพียงเศษเสี้ยวเดียว


พระน้องเอยเสียดายนัก ...พระวรพักตร์ดั่งดวงเดือน
หาไหนจะได้เหมือน.........ไม่มีแล้วในโลกีย์
มาตรแม้นจะหาดวง..........วิเชียรช่วงเท่าคีรี
หาดวงพระสุริย์ศรี............ก็จะได้ดุจดังใจ
จะหาโฉมให้เหมือนนุช......จนสุดฟ้าสุราลัย
ตายแล้วและเกิดใหม่........มิได้เหมือนเจ้านฤมล


-กาพย์นางลอย-


“คุณราม” เสียงแหลมใสดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้ร่างหนุ่มร่างสูงโปร่งที่นั่งกระดกน้ำสีอำพันอยู่หน้าเคาน์เตอร์บาร์กะทัดรัดสำหรับติดตั้งในบ้านต้องเอี้ยวตัวหันมองคนมาใหม่ด้วยสายตานิ่งๆและหันกลับไปโดยไม่คิดสนใจอีก

ร่างเพรียวระหงของหญิงสาวยี่สิบเศษ ลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกันทรุดตัวลงนั่งข้างๆพี่ชายผู้มีพระคุณของเธอ เหลือบมองขวดเหล้าชื่อดังจากนอกที่เหลือไม่ถึงครึ่งกับใบหน้าแดงก่ำแสนราบเรียบ แววตาไร้ประกาย มีแต่ความเจ็บปวด เศร้าหมอง...มีเรื่องอะไรให้เครียดหนักหนากันนะ ตอนเช้ายังเห็นพูดกัดเธออยู่เลย

ตั้งแต่พบกันครั้งแรก ราเมนทร์ก็เอาแต่เมินเฉยเธอราวกับว่าเธอเป็นธาตุอากาศที่มองไม่เห็น ไม่มีตัวตน ไร้ค่า จะพูดจะคุยแต่ละทีก็ต้องฝากคุณลักษณ์ไปบอกทุกครั้ง และสายตาคมนั่นเวลาสบกันทีไร มันมักแสดงออกมาในรูปแบบเดียวกันเสมอ...คือเกลียดชัง
นี่เธอทำอะไรให้เขาไม่ชอบใจอยู่หรือเปล่า

“ฉันอยากอยู่คนเดียว”

“ฉันก็ไม่ได้อยากเสวนากับคุณรามหรอกค่ะ แต่คุณลักษณ์เขาฝากให้ฉันมาบอกคุณว่าช่วยเลิกดื่มไอ้น้ำบ้าๆกลิ่นแรงนี่สักทีเถอะ กินตั้งแต่หัววันจนตอนนี้หัวค่ำยังไม่พออีกเหรอ อยากเป็นโรคตับแข็งตายหรือไง”

“ฉันรู้ประโยคสุดท้ายลักษณ์ไม่ได้เป็นคนพูด”

ชิ ฉลาดจริง....

“ก็นั่นแหละค่ะ แค่เตือนไว้ก่อน”

“นี่มันชีวิตของฉัน อยากทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน คนขออาศัยอย่างเธออย่ามายุ่ง” คนมากวัยกว่าตวัดเสียงใส่อย่างหงุดหงิดและหันกลับไปสนใจแก้วเหล้าของตนเองต่อ นานะเลยได้แต่แอบเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้แล้วลุกจากเก้าอี้ตวัดสายตาตอบกลับ

“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่งกับชีวิตสุขีของคุณนักหรอกนะคะถ้าคุณลักษณ์ไม่ขอมา คนอุตส่าห์พูดจาดีด้วยกลับทำนิสัยเสียใส่ รู้บ้างหรือเปล่าคะการที่คุณทำตัวขวางโลก มั่นหน้าแบบนี้แหละถึงไม่มีใครอยากอยู่ด้วย ต่อให้คุณมีแฟน หึ เชื่อเถอะคงไม่มีใครทนนิสัยคุณได้นานหรอก”

แก้วในมือชะงักก่อนจะถึงริมฝีปาก... ริมฝีปากระบายยิ้มเหยียดเจือปนด้วยความเศร้า นัยน์ตาสีเข้มแสนเย็นชา “ใช่สิ...เพราะฉันมันเป็นคนแบบนี้ไง ถึงไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ เป็นแค่คนเลวคนหนึ่งที่พ่ายแพ้ให้กับไอ้ยักษ์บ้านั่นมาโดยตลอด”

“...”

“ฉันผิดเหรอ...ตอบสิ ฉันผิดหรือไงเปรมถึงไม่รักฉัน ไม่เคยมองฉันเลย!”

เพล้ง!

“คะ...คุณราม”

นานะเบิกตากว้างด้วยความตกใจชะงัก เมื่อราเมนทร์ปาแก้วเหล้าลงบนพื้นเต็มแรง เศษแก้วชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ล้วนแตกกระจายไปทั่วสารทิศ ดวงตาแดงก่ำและเส้นเลือดที่ปูดโปนบริเวณขมับหนาทั้งสองด้านมันทำให้เธอกลัวจับใจ เรียวขาขาวก้าวถอยหลังไปตั้งหลักอยู่ห่างๆ เธอไม่เคยเห็นชายหนุ่มตรงหน้าแสดงกิริยาโผงผางดุดันราวสัตว์ป่าขนาดนี้มาก่อนสักครั้งจึงตั้งตัวไม่ถูกว่าควรทำอย่างไร และที่น่าตกใจมากกว่านั้นคือน้ำตาสีใสลูกผู้ชายหยดแหมะลงไปในแก้วเหล้าพอดิบพอดี

“เฮ้คุณ ยังสบายดีใช่ไหม” หญิงสาวเอ่ยถามเสียงเบาหวิว

“เปรมบอกรักมันแล้ว รักไอ้ยักษ์ชั่วตนนั้นแล้ว...เขาไม่รักฉัน”

“คุณราม...”

“ต้องทำยังไงถึงให้ได้เขากลับมา เธอบอกฉันสิ ฉันควรทำยังไง”

“ใจเย็นๆนะคะ”

ราเมนทร์ก้มหน้ามองดูฝ่ามือตนเอง เพราะเจ้าตัวมิอาจทนดูเงารื้นที่แล่นขึ้นฉาบอยู่ในดวงตาตนผ่านกระจกสะท้อนได้อีก
ในวันที่กบินทร์เข้ามาบอกว่าเปรมบอกรักมันแล้ว บอกรักทั้งในร่างของอสุเรนทร์และทศกัณฐ์ อวัยวะสำคัญเช่นหัวใจก็เจ็บช้ำ ปวดร้าวระบมอย่างแสนสาหัสจนยากเกินพรรณนา นานหลายคืนต้องนอนนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลรินและซึมเข้าใบหมอนจนเปียกชุ่ม

คนทางนั้นจะรู้บ้างไหม พี่เจ็บ...เจ็บหัวใจเหลือเกิน

เปรมเลือกมัน...เลือกมาตั้งแต่แรก โดยที่เขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูดหรือเข้าใกล้เพื่อแสดงความรักความจริงใจสักนิดเดียว เป็นแค่ตัวประกอบที่โฉบไปโฉบมาเพื่อเรียกสีสันให้คู่พระนางเท่านั้น ราเมนทร์อยากอ้อนวอนต่อองค์อินทร์เหล่าเทวาแลนางอัปสร โปรดจงช่วยเหลือให้รักนี้สมหวังด้วยเถิด เพราะลำพังแค่ตัวเขาเองก็ยากจะเอาใจนางคืนมาได้เหมือนเดิม

ความเงียบย่างกรายเข้ามาเยือนทั้งสองเนิ่นนาน จะมีบ้างคือเสียงถอนหายใจที่ดังเป็นระยะๆ ไม่ขาดตอน สุดท้ายหญิงสาวทนไม่ไหวจึงเอ่ยคำ

“นี่คุณ จะเงียบอีกนานไหม”

“ถ้าคนที่รัก เขาไปรักกับคนอื่น เธอจะทำยังไง” จู่ๆร่างสูงก็เอ่ยถามขึ้นมาเสียดื้อๆ นานะนิ่งชะงัก คล้ายใช้ความคิดก่อนจะตอบกลับไป

“ในความคิดเห็นของฉัน...มันขึ้นอยู่กับคุณด้วยว่ารักคนคนนั้นมากน้อยเท่าไหร่ ถ้ารักมากก็อาจต้องลองเสี่ยงดูอีกสักตั้ง หากรักน้อยหรือเป็นเพียงแค่ความคิดเผลอไผลก็ปล่อยเขาให้มีความสุขกับคนที่เขารักเถอะค่ะ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา การตัดใจเป็นทางออกที่ดีที่สุด”

“ตัดใจ หึ เธอจะให้ฉันตัดใจทั้งๆที่ทนรอเขามานานอย่างนั้นเหรอ”

“ก็คุณถามความคิดเห็นของฉัน ฉันก็ต้องตอบไปตามในสิ่งที่ตัวเองคิดสิ...เอาจริงๆนะปล่อยคนนั้นไปเถอะค่ะ ถ้าเขารักคุณ สนใจคุณก็คงไม่ไปกับคนอื่นหรอก”

“แต่ฉันไม่อยากยอมแพ้”

“ความรักไม่ใช่เกมการแข่งขันที่จะหาผู้แพ้ชนะ แต่มันเป็นเรื่องของความรู้สึก ทุกอย่างล้วนถูกตัดสินจากหัวใจของคนกลางซึ่งแน่นอนต่อให้คุณแสนดีแค่ไหน ถ้าเขาไม่เลือกก็จบ”

“รู้ดีจังเลยนะ”

“ประสบการณ์สอนให้ฉันคิดเป็นน่ะ ว่าแต่...เขา เนี่ย ผู้ชายเหรอ คุณแอบรักผู้ชายเพศเดียวกันเหรอ”

“ผู้ชายแล้วยังไง” ราเมนทร์หรี่ตาอย่างนึกเอาเรื่อง

“แหม ก็ไม่ทำไมหรอกค่ะ แค่มันอะไรที่คาดไม่ถึงมาก่อนโดยเฉพาะผู้ชายหน้าตาดีเป็นถึงท่านประธานบริษัทมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างคุณ”

“ความรักมันไม่ได้กำหนดเพศนี่ว่าชายต้องคู่กับหญิง”

“ฉันก็ยังไม่ได้ว่าอะไรคุณรามนี่นา”

“เธอพูดเหมือนหาเรื่อง”

“หาเรื่องตรงไหน”

“...ช่างมันเถอะ”

อะไรกัน....

นานะอยากจะทึ้งหัวตัวเองแล้วกรีดร้องออกมาดังๆเสียเหลือเกิน ทั้งชีวิตเธอพบปะพูดคุยกับผู้คนมาแล้วทุกเพศทุกวัย มีคุยง่ายบ้างยากบ้าง แต่ให้ตายสิจอร์จ ไม่มีคนไหนเลยที่กวนประสาทและเข้าใจยากเท่าผู้ชายที่ชื่อราม ฉายามิสเตอร์ซีจอมโฉด!

“เฮ้อ ฉันว่าคุณเมามากแล้ว ไปนอนเถอะค่ะ”

“ช่วยฉัน”

“คะ?” คิ้วเล็กขมวดมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ

“ได้โปรดช่วยฉัน”

“คุณจะให้ฉันช่วยอะไร”

“แยกเปรมออกจากมันให้ที”

“คุณว่าไงนะ”

“จะใช้วิธีไหนก็ได้ ขอแค่เขากลับมาหาฉัน”

 “No way! ไม่เด็ดขาด ฉันไม่ทำหรอกกับการขัดขว้างเส้นทางรักคนอื่น” หญิงสาวแหวใส่ทันที ไม่คิดว่าชายหนุ่มจะกล้าขอความช่วยเหลืออะไรทุเรศๆ แบบนี้มาก่อน “คุณบ้าไปแล้วหรือไง มีสามัญสำนึกบ้างไหมเนี่ย”

“ก็เธออยากให้ฉันลองเสี่ยงดูสักตั้ง ฉันก็ทำตามสิ่งที่เธอแนะนำแล้วไง”

คนเสนอทางออกถึงกับสะอึกไปไม่เป็นเลยทีเดียว

“ที่ฉันบอกฝังนู้นต้องเล่นกับคุณด้วย คุณรามคะ...คุณจะขอร้องให้ฉันทำอะไรก็ได้ แต่สำหรับงานนี้ให้ฉันไปตัดสัมพันธ์รักคนอื่นฉันทำไม่ได้”

“แค่ครั้งเดียว อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

“...”

“ฉันอยากลองพิสูจน์อะไรบางอย่าง ถ้าหากมันผู้นั้นยังมั่นคงต่อรัก ไม่สนใจคนคุ้นเคยอย่างเธอ ฉันก็จะยอมตัดใจขั้นเด็ดขาดและไม่ไปวอแวหรืออยู่เป็นก้างขวางคอคนพวกนั้นอีก”

พระเจ้า นี่เขาเอาจริงใช่ไหม

“ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ไม่มีครั้งอื่น ฉันสัญญา” วิธีพูดและน้ำเสียงแสดงให้นานะรู้ว่า ชายหนุ่มจริงจังมากแค่ไหน แม้เธอจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับรักสามเศร้าเคล้าน้ำตานี้เลย แต่พอเห็นดวงตาอันเศร้าสร้อยก็อดสงสารและเห็นใจไม่ได้

“คุณรักคนคนนั้นมากเลยเหรอ”

“ทั้งรักและรู้สึกผิด ฉันอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการไถ่โทษเขา และฉันจะได้ไม่รู้สึกผิดไปมากกว่านี้”

“...”

“ขอร้องล่ะนานะ”

“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณเรียกชื่อฉันเลยนะคุณราม” นานะยกยิ้มกริ่มเล็กน้อยเมื่อร่างสูงเอ่ยออกมา เธอเขยิบเข้าใกล้และกอดอกถาม “แล้ว...ทำไมต้องเป็นฉันด้วยล่ะ”

“เพราะเป็นเธอคนเดียวที่สามารถไขข้อพิพาทเหล่านั้นได้ แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้วฉันจะไม่ขอร้องอะไรเธออีกเลย” ราเมนทร์เงยมองหญิงสาวตรงหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมเหสีเอกของทศกัณฐ์ คนที่เคยแสดงความตัดพ้อ ตรอมใจจนตายเพราะสามีงี่เง่าเอาแต่นั่งเศร้าระทมเพราะการจากไปของนางสีดา...และยังเป็นคนที่เป็นผู้ให้กำเนิดพระชายาแห่งองค์ราม

นางมณโฑคือไพ่ใบเดียวที่เหลืออยู่ของเขา เป็นสิ่งที่จะพิสูจน์ดวงฤทัยของพญารากษสแห่งกรุงลงกาและตัวชี้ชัดถึง
โศกนาฏกรรมความรักในตำนานระหว่างทศกัณฐ์ สีดาและพระรามว่าจะจบลงเช่นไร

นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ราเมนทร์จะเอาเปรมกลับคืนมาได้...ขอเหนื่อยอีกสักหน หากมันยังปรากฏผลเช่นเดิม เขาจะเป็นคนยอมแพ้เดินถอยออกมาเอง

“คุณ...อยากให้ฉันทำอะไร”

ราเมนทร์หยัดกายยืนขึ้นเต็มความสูง ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้มดีใจเจือความเศร้าน้อย

“งานเปิดตัวเครื่องเพชรของบริษัทรามาจิวเวอร์รี่สัปดาห์ที่จะถึง ฉันอยากให้เธอช่วยสวมเครื่องเพชรชุดสุดท้ายเดินปิดงานให้หน่อย”

“คุณคะ ฉันเป็นดีไซเนอร์นะคะไม่ได้เป็นนางแบบ ลองติดต่อคนอื่น...”

“ไม่...ต้องเธอเท่านั้น”

ประโยคของชายหนุ่มช้าชัดและขึงขัง โดยเฉพาะท้ายประโยค ‘เธอเท่านั้น’ ผู้พูดเน้นเสียงเสียจนเธอรู้สึกประหลาดใจ
“งั้นฉันขอเหตุผลหน่อย ทำไมถึงเลือกฉันให้เดินปิดงานของคุณ”

เพราะไม่มีใครเหมาะสมและคู่ควรกับถนิมพิมพาภรณ์ แห่งจอมนางลงกาเท่าเธอไงล่ะ



นั่นไง เอาแล้วไง
ในหัวมีอแแต่คำว่าปัญหา ปัญหา....พระรามนี่ยังไม่เลิกรา  :เฮ้อ:
เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาต่อตอนใหม่ให้เน้อ
หากมีคำผิดบอกได้น้า
วันนี้ขอตัวไปก่อนเน้อออ  :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 06-01-2017 23:08:06
มารอตั้งแต่เช้าาา ตอนนี้ชุ่มชื่นหัวจัยมากกก อิอิ  :mew3:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: tay028643904 ที่ 07-01-2017 06:28:56
โคตรหนุกกกกก
เดิมที่ชอบ รามเกียรติ์ ชอบทศกัณฑ์
เจอ version นี้คือหลงรัก
คือมีคำภาษในยุคเก่ามาใช้ อ่านเเล้วไม่รู้สึกขัดๆ
ฉัน รัก เขาาาาาาาาาา
รอนาจา  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 07-01-2017 06:35:46
อย่าหายไปนานนะตะเอง คิดฮอตล้ายหลาย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 07-01-2017 07:56:00
ทศเปรมหวานหยดย้อยมดขึ้นตาา ว่าแต่หนูเปรมจะไปไหนคะ

ส่วนอิพี่ราม คิดจะทำอาร๊ายยย ยอมแพ้ไปสักที
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-01-2017 08:42:05
พระรามก็ยังไม่เลิกในขณะที่เปรมก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร :katai1: :ling3: :ling3:
หวังว่าพิเภกจะล่วงรู้และคอยพูดเตือนทศกันฐ์ไม่ให้วู่วามได้นะ


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 07-01-2017 08:56:37
รามเเลวมากกกกกก อ่านตอนนี้จบเพลงแรกที่นึกขึ้นได้ คือเพลง I'm Sory (สีดา) สมน้ำหน้าพระรามมาก ไม่เคยไว้ใจเมียทั้งที่เมียรักและบูชา สุดท้ายพอนางไปก็มานั่งร้องไห้เสียใจ คำถาม แล้วทำทำไมตั้งแต่แรก ถ้าเราเป็นสีดา เราก็รักทศกันต์เราคงไม่อยากอยู่และรักคนที่ไม่เคยไว้ใจในตัวเรา สู้รักคนที่เขารักและยอมถวายชีวิตเพื่อเราไม่ดีกว่าหรือไง เรื่องนี้พี่ทศคือพราะเอกตัวจริง #ทีมเฮียทศ # เกลียดอีราม
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 07-01-2017 11:22:18
สู้ๆนะพ่อเปรม เราอยู่ข้างทศเสมอ ท่านทศต้องรอได้แน่นอน
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 07-01-2017 12:29:18

คิดถึงจัง

พระรามคิดอะไรอีกแล้ว

ไม่น่าไว้ใจ

แต่กลัวใจพี่ทศด้วย

รอขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๗ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)6/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 07-01-2017 13:19:51
รามเอ้ย.. :เฮ้อ:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๘ ครึ่งแรก! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)7/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 07-01-2017 17:43:51
บทที่ ๑๘
[/b]



ทิวากรดวงใหญ่เคลื่อนฉาดฉายอยู่จุดสูงสุดของท้องนภากว้างอย่างแช่มช้า แสงสีทองสาดส่องทั่วผืนปฐพีราวพรอันประเสริฐที่ขจรกำจายจากชั้นสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์ นกตัวน้อยส่งเสียงร้องจิ๊บ...จิ๊บ...คลอคลึงไปกับสายลมอ่อนที่โชยชาย โบกสะพัดความหอมละมุนจากน้ำค้างและกลีบดอกแก้ว คละคลุ้งไปทั่วทั้งศาลาริมน้ำ

อสุเรนทร์นอนหลับตาพริ้มสุขสบายอยู่บนตักไม่แข็งไม่นุ่มนิ่มจนเกินไป กำลังพอดีสำหรับให้หนุนซบได้อย่างเพลินเพลิน มือเรียวบางก็คอยทำหน้าที่ลูบกลุ่มผมน้ำตาลเข้มนั่นไปเรื่อยๆราวจะขับกล่อมเด็กน้อยให้นอนหลับฝันดี แม้ต่างคนต่างเงียบ ทว่าพลังแห่งความสุขนั้นเอ่อล้นอยู่ในหัวใจสองดวง แม้ไม่ต้องมีคำพูดใดเอื้อนเอ่ยออกมา ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความรักและความห่วงใยที่น้องน้อยมีให้

รักเหลือเกิน

รักจวนเจียนคลั่ง

นัยน์เนตรแห่งยักษ์ค่อยลืมขึ้นช้าๆ จับจ้องร่างแน่งน้อยน่าทะนุถนอมราวดอกไม้แรกแย้มกำลังเหม่อมองทิวทัศน์เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มหวาน พระพายพัดเอาสายลมเย็นกระทบดวงหน้างาม หมู่มวลบุปผา ใบไม้ยอดหญ้าให้โยกไหว รวมถึงกลุ่มเส้นไหมดำเงาที่ลู่ปลิวพลิ้วไสวดูน่ามองน่าชมมิต่างจากภาพวาดนางในวรรณคดี...และกลิ่นหอมชื่นอันเป็นเอกลักษณ์จากกายบาง งามสวย...งามงด...งามสะพรั่ง...งามมิมิผู้ใดเกิน จอมเจ้าเอย ช่างติดตราตรึงใจพี่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“สบายจัง”

“ไม่สบายก็แปลกล่ะครับ นอนหนุนตักจนเหน็บกินขาเปรมไปหมดแล้วเนี่ย” พูดจบก็ดีดหัวแข็งๆไปสักทีหนึ่ง “ถ้าลุกเดินไม่ได้ขึ้นมา พี่ทศต้องรับผิดชอบด้วย”

“เดี๋ยวซื้อรถเข็นให้”

“งั้นก็ขอรถเข็นทำจากทองประดับเพชรทั้งคันแล้วกัน จะเอาให้หมดตัวไปเลย”

อสุเรนทร์ยิ้มกว้าง “ถ้าเปรมให้พี่นอนหนุนตักอย่างนี้ทุกวันพี่ก็ยอมหมดตัวนะ แถมจะขายตับ ขายไตเอาเงินมาเปย์น้องต่อด้วย” จับมือบางมาหอมและงับเนื้อนุ่มเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว และการกระทำเหล่านั้นทำให้ร่างบางหายใจติดขัด ยิ่งอีกคนเปลี่ยนจากกัดแถวๆฝ่ามือ มางับนิ้วดูดนิ้วเขาแทนยิ่งพาลให้หัวใจเต้นแรง โหวงในช่องท้องราวมีผีเสื้อนับพันบินวนอยู่ในนั้น

“พ...พี่ทศ”

“เนื้อเมียใคร ทำไมอร่อยจัง”

“พี่ทศปล่อย มันสกปรกจะตาย” เปรมพยายามชักนิ้วออกจากปากอีกฝ่าย หากอสุเรนทร์กลับยื้อเอาไว้แล้วดูดต่อราวเด็กเล็กไม่อย่านมแม่ เขาล่ะอยากร้องไห้ออกมาให้น้ำตาท่วมโลก ไม่เข้าใจยักษ์บ้าตนนี้เลยทำไมถึงยังกล้ายัดเข้าปากไปได้ มือที่หยิบจับนู่นนี่มาครึ่งค่อนวันมีแต่เชื้อโรคทั้งนั้น ...สรุปเขามีลูกชายวัยสามขวบหรือมีแฟนหนุ่มกันแน่

“ถึงสกปรกพี่ก็อยาก ดูด อยาก อม อีกอย่าง...เนื้อเปรมหอมหวานขนาดนี้ ใครเล่าจะอดใจไหว อยากละเลียดชิมไปทุกสัดส่วน...ทุกซอกทุกมุม”

“ยักษ์หื่น”

“พี่หื่นได้มากกว่าที่น้องคิด ตอนนี้ก็ปลอดคนพอดี...ไม่ทราบว่าสนใจอยากลองแบบเอ้าดอร์บ้างไหมจอมขวัญของพี่”

“ไอ้บ้า”

“ก็บ้ารักตัวเองนะคะ”

“โอ้ย ทำไมวันนี้พูดจาเสี่ยวจัง”

“พี่ไม่ชอบเสี่ยวอ่ะ แต่พี่ชอบเสียว

“ไอ้พี่ทศ ไอ้ทะลึ่ง ไอ้...ไอ้...อ๊ะ!”

อสุเรนทร์ดีดตัวลุกนั่ง ฉวยโอกาสตอนร่างบางเผลอ โน้มตัวไปหอมแก้มน้อยและจูบริมฝีปากจิ้มลิ้มอย่างรวดเร็ว เล่นเอาคนไม่ทันได้ตั้งตัวเป็นอันต้องนิ่งค้างอยู่หลายวินาที

พญายักษ์หัวเราะร่ากระชับเอวคอดกิ่วพร้อมกับดึงรั้งให้เข้าหา พลิกตัวนอนตะแคงและฝังใบหน้าคมสันจมเข้าไปในหน้าท้องของร่างบาง จมูกโด่งสันคลอเคลียสูดดมกลิ่นกายหอมผ่านเสื้อยืดตัวบาง ปลายนิ้วยื่นสัมผัสกันเชื่องช้า ค่อยๆสอดประสานรวมเป็นหนึ่งเดียว

“ที่น้องบอกให้พี่รับผิดชอบ พี่ก็อยากจะถามน้องว่าอยากให้รับผิดชอบส่วนไหนบ้าง แค่ขา แขน ลำตัว ศีรษะ หัวใจ หรือทั้งเรือนกาย แต่ถึงน้องจะตอบมาเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่สำหรับพี่กลับอยากดูแลเราทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นกายา หัวใจ หรือแม้กระทั่งวิญญาณของน้อง...พี่ก็อยากดูแลตลอดชีวิต”

“...”

“พูดจาเว่อร์เชียว อินสอนมาหรือไงครับ”

“ออกมาจากใจล้วนๆ เปรมไม่เชื่อเหรอ”

“ไม่รู้สิครับ ก็อยากเชื่อนะแต่ตลกมากกว่า”

“พี่ต้องทำยังไงให้เราเชื่อดีล่ะ”

“...”

“ให้พรุ่งนี้ยกขันหมากมาขอแล้วแต่งเสร็จสรรพเลยไหม ก็ได้นะพร้อมเสมอ” นัยน์เนตรพญารากษสประกายวาววาบพร้อมรอยยิ้มพรายปรากฏบนมุมปาก เขาล่ะอยากกัดเนื้อแดงๆตรงพวงแก้มให้สาแก่ใจ เมียใครแค่อยู่เฉยๆก็น่ารักน่าแทะ (? )ไปเสียหมด

“จะบ้าเหรอ” เปรมแหว

“เนี่ยก็เตรียมเงินค่าสินสอดรออยู่ และก็รอด้วยว่าเมื่อไหร่จากเปมทัต โรจนวาทิตย์ จะกลายเป็นเปมทัต อมาตยสูรสักที”

“พี่ทศ!”

อสุเรนทร์ช้อนสายตาหวานเชื่อมขึ้นสบคนที่ตนรักมากที่สุด ก่อนเสียงทุ้มออกห้าวคลอมาตามสายลม

...เจ้าเอยปลูกรัก      จะปลูกไว้ในอ่างแก้ว
    ต้นรักพี่แล้ว      ปลายไปเร่รักเขาอื่น
   จะเด็ดยอดเสีย      แล้วจะรดน้ำให้ชื่น
   อย่าให้ไปเร่รักอื่น   ให้คืนมารักพี่เอย...


“พี่ให้เจ้า”

มะลิซ้อนดอกใหญ่แย้มบานส่งกลิ่นหอมกรุ่น ก้านยาวตรงผูกด้วยด้ายสีแดงมัดติดกับดอกรักสีขาวบริสุทธิ์ ดวงหน้าหวานของเปรมแดงระเรื่อ แก้มร้อนผ่าว หน้าคมสันละไมด้วยรอยยิ้มกว้าง อสุเรนทร์ยกมือนั้นมากุมไว้และก้มลงหอมแผ่วเบา
ไม่ต้องพูดคำๆนั้น เปรมก็รู้ว่าอสุเรนทร์ต้องการบอกสิ่งใด

รัก

“รู้ใช่ไหมพี่ต้องการบอกอะไร”

“รู้แล้วน่า”

“พี่กลัวเปรมเบื่อ ก็เลยอยากบอกรักน้องแบบอื่นบ้าง”

“ไม่จำเป็น”

“!”

ลมหายใจพญารากษสขาดห้วง

“พี่ไม่ต้องพูดมันออกมาอีกแล้ว”

“ทำไม...”

“เพราะแค่นี้...เปรมก็รักใครอื่นนอกจากพี่ทศไม่ได้อีกแล้ว หัวใจของเปรม...เปรมยกให้พี่ทศคนเดียว”

อสุเรนทร์ถอนใจโล่งอกพลางค้อนหมับ “ช่างทำกับพี่ได้ ทีหลังห้ามพูดกำกวมอย่างนี้อีกนะ พี่ตกอกตกใจหมด” มือหนายกดีดหน้าผากของร่างบางพร้อมด้วยเลื่อนลงมาบีบจมูกอย่างหมั่นเขี้ยว “คืนนี้ต้องทำโทษเด็กไม่ดีเสียแล้วกระมัง”

“พอเลย ที่ผ่านมาตัวเปรมก็ระบมจะแย่”

“พี่ทำแรงเหรอ”

“ยังมาถามอีกคนบ้า” เล่นใส่แรงมาไม่ยั้งเหมือนคนตายอดตายอยาก คิดว่าร่างกายของเขาจะทนได้ทุกวัน ทุกเวลาหรือไง

“งั้นวันนี้ขอแก้ตัว จะทำเบาๆ”

“พี่ทศ”

“ขาา...” ส่งเสียงตอบรับหากใบหน้าคมเริ่มเลื้อยขึ้นมาฝังเข้าซอกคอขาว ริมฝีปากร้อนดูดดุนเนื้อหอมจนร่างบางสะดุ้งโหยง ความรู้สึกวาบหวิวในช่องท้องกลับมาอีกครั้งพร้อมกับแรงขบเม้นตั้งแต่ลำคอถึงไหปลาร้า เปรมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะบิดหูอีกฝ่ายอย่างแรงจนเจ้าตัวถึงขั้นร้องเสียงหลง

“โอ้ย! เปรมจ๋า บิดหูพี่ทำไม”

“บิดให้จำ หื่นดีนัก สมน้ำหน้า”

“คนสวยใจร้าย”

“สวยใช้กับผู้หญิง ต้องบอกคนหล่อใจร้ายสิ” ถ้าใครมาบอกสวยอีกจะขอเถียงขาดใจ

“ส่องกระจกหน่อยไหม เดี๋ยวพี่ลากมาให้ส่องถึงที่” อสุเรนทร์ล็อกคอเล็กและกระซิบข้างหู “ไม่รู้ตัวบ้างหรือไง เดี๋ยวนี้สวยขึ้นเป็นกอง ยิ่งมาอยู่กับพี่ยิ่งดูมีน้ำมีนวลเข้าไปใหญ่”

“ตลกล่ะ”

“พี่ไม่ชอบเล่นบทตลก แต่พี่ชอบเล่นบทรัก...โดยเฉพาะบนเตียง” อสุเรนทร์ยิ้มกริ่ม แลบลิ้นเลียฝีปากซีดของตนเองราวคนโรคจิต “ไม่รู้หรือไงสามีที่ดีต้องหมั่นทำการบ้านกับภรรยาบ่อยๆ ชีวิตคู่จะได้ราบรื่น”

“ทุเรศ”

“ด่าพี่?” หันนิ้วชี้ชี้หน้าตนเองเป็นเชิงถาม

“พูดจาไม่เข้าหูงดทำหนึ่งเดือน”

“ได้ไงอ่ะ!” คนมากวัยกว่าโพล่งดัง โผเข้าซบอกเล็กและแนบแก้มถูไถคลอเคลียเสมือนแมวน้อยยามออดอ้อนเจ้าของของมัน “ไม่เอาสิเปรมจ๋า ห้ามหนึ่งเดือนพี่ตายเลยนะ”

“ไม่รู้แหละห้าม ห้ามเด็ดขาด”

“เปรมจ๋า” ทำปากยื่นพร้อมกระพริบตาปริบๆ

“ไม่ต้องเบะปาก ลุกไปเลย”

“เปรม”

“เรียกอยู่ได้ นู่นเลย ออกไปห่างๆเลย”

“ไม่เอาจะนอนกอดเมียตรงนี้แหละ ต่อให้เปรมไล่ไปไหนพี่ก็ไม่ไปหรอก พี่มันหน้าด้าน”

“รู้ตัวก็ดี”

“แหมๆ ช่วงนี้เป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อมหรือไงครับ ถึงนั่งตัวตรงไม่ได้ ต้องเอนตัวนอนซบตักคนอื่นอย่างเดียวเนี่ย เปรมอย่าไปตามใจมากนะครับเดี๋ยวคนแก่จะเหลิงเอาได้”

ไม่ต้องบอกอสุเรนทร์ก็รู้ว่าใครเป็นคนเอ่ยประโยคเหล่านี้ ความขี้เล่นกวนฝ่าเท้าเบื้องล่างให้มันสั่นระริกๆจะเป็นใครเสียอีกนอกจากไอ้ลูกยักษ์พันธุ์แคระของเขาเอง กำลังสวีทกับเมียสบายอารมณ์แท้ๆ ทำไม๊....ทำไมถึงชอบมีมารผจญมาขัดอยู่เรื่อย

“สวัสดีครับเปรม”

“สวัสดีครับอิน”

“ไฮแด๊ดดี้ เป็นไงบ้างครับนอนหนุนตักเมียสบายดีไหม”

“จะสบายกว่านี้ถ้าไม่มีเจ้ามากวน”

“รู้สึกแย่จังเลย โอ้ so sad”

“พูดไทยได้อย่ามาจริตพูดฝรั่ง”

“โหย ไม่อินเตอร์เลยอ่ะพระบิดา อุตส่าห์แวะมาหา แล้วนี่ไม่คิดกลับไปนอนหนุนหมอนที่บ้านหน่อยหรือไงครับ หรือว่าติดหมอนที่นี่แล้ว...ดูท่าจะใช่”

“โตแล้วอย่าเสือกเรื่องของผู้ใหญ่สิเจ้าลูกรัก หรือถ้าว่างนักก็ไปหาอะไรมายัดปากเสีย” รณพักตร์เพียงยักไหล่และผายมือออกอย่างสบายๆ ดูแก้มพระบิดาสิ แดงเป็นลูกมะเขือเทศสดส่งตรงจากไร่เชียว แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาแกล้งได้ยังไง นานๆจะเห็นอายหน้าดำเอ้ยน่าแดงก็ต้องหยอกเล่นเสียหน่อย

“ทีกับเมียนี่พูดจ๊ะจ๋า แต่กับลูกขึ้นเสียงเอาๆ ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน...ใช่ไหมครับพระมารดา”

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ทำให้อสุเรนทร์รักน้องน้อยเข้าไปใหญ่ ย้อนคิดไปถึงวันที่เขาบอกเปรมเกี่ยวกับเรื่องรณพักตร์ว่าเป็นลูกชายไม่ใช่น้องชายอย่างที่คิด เจ้าตัวเพียงแค่ยิ้มรับและหันไปเตรียมเครื่องปรุงทำอาหารต่อราวกับมันไม่ได้เป็นเรื่องสำหลักสำคัญหรือน่าตกใจมากนัก...บางทีเปรมก็เป็นคนที่เข้าใจง่าย และบางทีก็เข้าใจยากเสียจนไม่รู้จะสรรหาเหตุผลใดๆมาเอื้อนเอ่ย...อย่างว่าล่ะนะ การที่สามารถยอมรับเรื่องเขาในยักษ์นามทศกัณฐ์ได้ เรื่องลูกก็คงไม่มีปัญญาอะไร...

ใช่ ไม่มีปัญหาสักนิด

“พระมารดาครับ พระมารดาต้องแก้แค้นให้อินด้วยนะ ดูพระบิดาสิพูดกับอินไม่ดีเลย อินเสียใจ กระซิกๆ”

“พี่ทศนิสัยไม่ดีเลย ไปพูดกับอินเขาแบบนั้นได้ยังไง”

“อะ...”

“ใช่ครับพระมารดา อินอยากร้องไห้หนักมาก พระมารดาต้องทำโทษพระบิดาให้สาสมเลยนะครับ”

“ตบปากตัวเองเลยพี่ทศ”

“เฮ้ย ให้พี่อธิบายก่อน”

“เงียบ! ตบปากวนไปจนกว่าจะบอกให้หยุด”

“ลูกซึ้งในน้ำใจพระมารดายิ่งนัก ฮึกๆ รออะไรอยู่ล่ะครับพระบิดาตบปากวนไปสิ!”

นั่นไง ไอ้ลูกเวรเล่นเขาเข้าแล้ว มันน่าตบให้หัวบุบเสียจริง หลังจากเรื่องทุกอย่างคลี่คลายเจ้าลูกชายตัวแสบของเขาดันติดหนึบเปรมยิ่งกว่าอะไรดี ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเสกมนต์บทไหนใส่เปรมถึงได้หลงเชื่อคล้อยตามไปเสียหมด เห็นท่านั่งร่ำไห้โศกาอย่างนั้น เขาล่ะอยากถีบให้กระเด็นตกคลองไปเลย อุแหม...ลูกใครตอแหลมิมีผู้ใดเกิน

“ไม่ต้องไปทำหน้าหงอย ตบไป”

จ้องเขม็ง เท้าสะเอวสั่งมาอย่างนี้ เขาจะกล้าหือได้เหรอ

“โดนลงโทษเสียบ้าง โทษฐานพูดจาไม่ดีกับลูก”

อสุเรนทร์ได้แต่ขบกรามกรอดและมองกลับด้วยใบหน้าเอาเรื่อง จะเอาให้ได้เลยใช่ไหม...ไม่จบใช่ไหมไอ้ลูกเวร

“ก็เจ้ามันลูก นี่เมีย การแสดงออกทางความรักมันต่างกัน ไม่เคยได้ยินรึไง รักเมียให้ผูก รักลูกให้ตี”

“สุภาษิตไหนเนี่ยพระบิดา เขามีแต่รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี”

“สุภาษิตข้าใครจะทำไม”

“ถ้าไม่บอกนึกว่าอยู่รายการกลัวเมีย”

“หึ เดี๋ยวเวลาเจ้ามีเมียก็จะรู้เองแหละต้องเทิดทูนเมียเหนือสิ่งใด”

“พี่ทศ” สัมผัสหนักหน่วงลงกระทบบนไหล่กว้างจนขึ้นเป็นรอยนิ้วมือครบทั้งห้านิ้วอย่างชัดเจน โอ้ละหนอ...น้ำมือของนวลเจ้าช่างรุนแรงยิ่งนัก เล่นเอาพี่เจ็บๆแสบๆคันๆแทบกรรแสงร่ำไห้ออกมา “พูดจาอะไรน่าเกลียด”

“น่าเกลียดตรงไหน เมียมีให้เทิดทูนยกขึ้นเหนือหัว ถ้าไม่เคารพบูชาเมียจะให้พี่ไปเช่าพระมาบูชาหรือจ๊ะ”

“เปรมไม่ใช่พระเครื่องนะ ไม่ต้องมาเทิดทูนบูชาอะไรขนาดนั้น”

“ไม่ได้หรอก พระแม่เมียมีองค์เดียวต้องเคารพให้เกียรติเดี๋ยวองค์แม่หายไปอีกพี่จะทำไงล่ะ”

“งื้อ พี่ทศอ่ะ พูดบ้าอะไรเนี่ย”

“เขินพี่ล่ะสิ”

ต้องให้ตอบอีกเหรอ

“เมียจ๋า...เมียจ๊ะจ๋า....”

“เบื่อคนแถวนี้ชะมัด ไปหาปู่ไม้ดีกว่า”

“จะไปไหน พี่ไม่ให้ไปออเจ้าไปไกลตาดอกหนา”

อสุเรนทร์ยิ้มแฉ่งแขนแข็งแรงตวัดรัดคอเล็ก โน้มให้ลงมารับจูบหนักแสนหวานหลายต่อหลายครั้ง ริมฝีปากร้อนขบเม้มกลีบกุหลาบบอบบางอย่างไม่รู้จบ ร่างบางเปรียบเสมือนสิ่งเสพติด ที่เสพหรือกลืนกินมากเท่าไหร่ความปรารถนาก็ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวีมิอาจถอนตัวออกมาได้อีก อยากหอม อยากกอด อยากจูบ อยากอุ้มร่างแน่งน้อยเข้าไปฟัดต่อในบ้านให้หนำใจ คนอะไรน่ากินตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง...โดยเฉพาะตอนเจ้าตัวเอียงอายโชว์แก้มแดงปากแดงอสุเรนทร์ก็แทบอยากจะลากขึ้นห้องโดยพลัน

“อือ พี่ทศอย่ากัด”

“ก็เนื้อเปรมหวานนี่นา”

“บ้า ร้อนจนเหงื่อออกขนาดนี้เค็มจะตาย ปล่อยเลยนะอึดอัด”

“พี่ไม่ปล่อย และต่อให้เปรมบอกว่าเนื้อตัวเองเค็มแค่ไหนสำหรับพี่ก็ยังว่าหวานอยู่ดี”

รู้สึกอยากจะอ้วก

รณพักตร์เบ้ปากใส่ด้วยความหมั่นไส้  ส่ายหน้าระอากับความหวานจนเว่อวังของพระบิดายามแสดงความรักกับเมียอย่างโจ่งแจ้งเข้าขั้นติดเรทสิบแปดบวก  จนเกรงว่ามันจะเลยเถิดมากกว่าการแลกจูบกันนัวเนียบนศาลาริมน้ำ กะให้ดูหนังสดแต่หัววันเลยใช่ไหมขอรับ

“ย้ายเข้าห้องเลยไหมขอรับพระบิดา”

“ไปจัดให้หน่อยสิลูกรัก”

ทีตอนนี้ทำเป็นลูกรัก...

“อยากมากก็ทำเองครับพอดีอินหายใจอยู่ไม่ว่าง”

“ไปไหนก็ไปไป๊ รำคาญ”

“ใช่ซี้ ลูกนี่นาไม่ใช่เมีย หมดประโยชน์ก็ทิ้งขว้าง”

ดูพระบิดาเขาทำสิ ไม่ตอบแถมยังเอียงคอปรับองศาจูบกันต่ออีก ไม่อายผีสางเทวดา อย่างน้อยอายลูกตนเองสักหน่อยเถอะ เล่นทำให้เห็นเต็มสองตาแบบนี้ก็เขินเป็นนะ

“เอาที่สบายใจเลยขอรับ เอาให้ฟ้าสั่นสะเทือนไปเลย”

ถึงจะบ่นไปแบบนั้น ทว่าริมฝีปากเล็กกลับคลี่ยิ้มกว้าง รณพักตร์ไม่ได้เห็นพระบิดาของตนมีความสุขอย่างนี้มานานแล้ว รอยยิ้มของทศกัณฐ์ ความสุขของทศกัณฐ์ก็เปรียบเสมือนความสุขของเขาด้วย รู้สึกขอบคุณฟ้าเหลือเกินที่ประทานพ่อหนุ่มหน้ามนนามว่าเปรมลงมา...มันถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่จะปิดประตูแห่งความโศกาเสียที

หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๘ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)7/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 07-01-2017 17:50:44



ครืด....ครืด...

โทรศัพท์เครื่องหรูถูกหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงหลังสั่นครืนเพียงสองสามครั้ง ดวงตาเรียวเล็กประกายวับเมื่อเห็นชื่อของผู้ที่ติดต่อมา กระแอมกระไอสักเล็กน้อย ปลายนิ้วสไลด์กดรับบนหน้าจอ

“คิดถึงพี่เหรอครับลักษณ์” รณพักตร์ยิ้มอ่อนโยนออกมาเมื่อปลายสายส่งเสียงโวยวายตอบกลับพัลวัน

“ใครเขาจะคิดถึงนายกัน อย่าคิดไปเองสิ”

“ถ้าไม่คิดถึงแล้วโทรมาหาทำไม”

“อิน ฉันจริงจังนะ” เสียงจากปลายสายเริ่มขุ่น ริมฝีปากที่เคยแย้มยิ้มหุบลง ลอบมองอสุเรนทร์กับเปรมเมื่อยังเห็นพวกเขายังจู๋จี๋ไม่สนใจใครก็ค่อยๆปลีกตัวเดินออกมา ใต้ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น มีลมพัดผ่านและปราศจากผู้คนน่าจะเป็นตัวเลือกในการสนทนากับคนปลายสายดีที่สุด

“โอเคจริงจังก็จริงจัง ว่าแต่มีอะไร”

“ฉันมีเรื่องวานให้นายช่วย”

“ช่วยแล้วได้ค่าตอบแทนไหมครับ ถ้ามีพี่ก็จะยอมช่วย”

“...”

“ว่าไงมีไหม”

“อยากได้อะไร”

“วันศุกร์หน้าตอนหนึ่งทุ่มที่ร้านอาหารบองชูว์ แค่สองต่อสอง”

ปลายสายเงียบไปสักพักและตอบกลับมา “...ตกลง”

“ห้ามตุกติก”

“พูดไปแล้วนี่ ไม่กลับคำหรอก”

คิ้วเส้นบางขมวดมุ่น แอบสงสัยไม่น้อยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงตอบตกลงเร็วนัก ทั้งๆที่ที่ผ่านมาเล่นตัวกับเขายิ่งกว่าแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว 10.8 ริกเตอร์ ชวนไปไหนก็ไม่ยอมไป โทรไปก็ตัดสาย...ทว่าตอนนี้กลับเป็นคนโทรมาหาเองพร้อมเอ่ยปากขอร้องให้ช่วย เขาไม่เข้าใจจริงๆฝั่งนู้นจะเล่นอะไร เตรียมแผนการชั่วไว้อีกหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆมันต้องไม่ธรรมดา เซ้นท์มันบอก

“งั้นก็ว่ามา”

“วันอาทิตย์ที่จะถึงพวกนายว่างไหม”

“ถามทำไม”

“ถามก็ตอบเถอะน่า”

“ก็ว่างมั้ง ทำไมจะชวนไปร่วมงานเปิดตัวเครื่องเพชรตัวใหม่ของบริษัทพี่นายเหรอ”

“ใช่...ตกลงจะมาไหม”

“ถ้าแลกกับการที่นายต้องมาคอยดูแลเอาอกเอาใจฉัน ยอมเชื่อฟังฉันทุกอย่างจนกว่างานจะเลิก มันก็น่าไปไม่น้อย” รณพักตร์ยืนล้วงกระเป๋ายิ้มกริ่ม ดวงตายักษ์ประกาบวาววาบอย่างคนที่มีชัยเหนือกว่า

“ไม่ตลกอินทรชิต”

“ใครว่าพี่ตลกจ๊ะนวลน้อง พี่จริงจังจะตายไป”

“...”


“ก็แล้วแต่นะถ้าไม่รับปาก ฉันกับคนในครอบครัวฉันก็จะไม่ไป”

“นายนี่มัน...”

“ครับผม”

“ก็ได้! ฉันตกลง แต่นายต้องรับปากว่าจะเอาอสุเรนทร์กับเปมทัตมาร่วมงานนี่ด้วย”

“พระบิดาฉันยังเข้าใจ แต่เปรม...นายอยากให้เขามาร่วมงานด้วยทำไม คิดวางแผนชั่วอะไรอีก”

“ใจเย็นสิ พวกฉันไม่คิดทำบ้าอะไรอีกทั้งนั้น พี่รามของฉันแค่ต้องการขอโทษเปรมสำหรับเรื่องที่ผ่านมา แล้วก็ยังฝากมาบอกอสุเรนทร์อีกด้วยว่าต้องการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทในอดีตทั้งหมด นายไม่ต้องห่วงนะอิน พี่ชายฉันยอมรับการตัดสินใจของเปรมและขอเดินถอยออกมาเอง หลังจากนี้เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตรักของทศกัณฐ์อีก ฉันสัญญา”


“...”

“ฉันพูดความจริงนะอิน”

“แล้วจะให้ฉันเชื่อใจพวกนายได้ยังไง”

“นายก็รู้ฉันไม่ชอบพูดโกหก”

“แต่พี่นายก็ไม่แน่นะลักษณ์” ไอ้หมอนั่นปลิ้นปล้อนจะตายไป สับขาหลอกคนนู้นทีคนนี้ทียิ่งกว่านักฟุตบอลระดับโลก แถมยังแสดงเก่งจนนักแสดงบทร้ายยังต้องมอบรางวัลความตอแหลให้ถึงกับมือด้วยตัวเอง ไม่ไว้ใจ...ไม่ไว้ใจอย่างแรง

“เชื่อฉันสิ พวกเราขอยอมแพ้แล้วจริงๆ ที่เราชวนในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการยุติปัญหาต่างๆที่คาราคาซังอย่างไม่มีวันจบสิ้นและก็เพื่อสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเท่านั้นเอง”

เหอะ

สร้างความสัมพันธ์ที่ดี เกือบสองสัปดาห์ก่อนยังบุกมาหาเรื่องอยู่เลย

“อิน”

“โอเค ฉันจะบอกพวกเขาให้เองแต่ไม่รับปากนะว่าจะไปหรือเปล่า"

“นายต้องให้พวกเขามาให้ได้สิ”

“อยากให้ไปขนาดนั้นเชียว”

“หรือนายไม่อยากเจอฉัน”


“อยากสิ อยากที่สุด”

“ถ้าอยากก็ต้องบอกทุกคนให้มาให้ได้ วันนั้นฉันจะใส่สูทสีขาวไปนะ อย่าลืม”
ยักษ์ร่างเล็กยิ้มขำเมื่อปลายสายบอกถึงสีชุดที่จะใส่ไปงาให้เขาได้รับรู้ ให้ตาย คิดถึงสมัยงานพรอมที่ไฮสกูลเลย เวลาอยากคู่กับใครก็หาสีหรือแนวชุดที่ใกล้เคียงกันพร้อมกับติดดอกไม้ไว้ที่อก

แหมๆ อยากอ้อยพี่ก็บอกดีๆสิจ๊ะลักษณ์จ๋า

“อินคิดถึงลักษณ์นะ”

“แต่ฉันไม่คิดถึงนาย ชวนพวกเขามาให้ได้ล่ะ”

“หึๆ จะพยายามแล้วเจอกันวันงานนะครับคนสวย”

รณพักตร์กดวางสาย แววตาที่เคยขี้เล่นซุกซนกลับเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย กดเบอร์อันคุ้นเคยโทรออก ไม่นานนักคนปลายสายก็รับด้วยน้ำเสียงเต็ม

“ว่าไงเจ้าอิน”

“อากฤต ช่วงนี้อากฤตเห็นอะไรแปลกๆที่ไม่ดีบ้างหรือเปล่า ถ้าไอ้พระรามมันคิดแยกเปรมไปจากพระบิดาเราจะทำยังไง แล้ว...”

“ใจเย็นๆสิหลานรัก สรุปมีเรื่องอะไร”

“ลักษณ์โทรมาชวนพวกเราไปงานเปิดตัวเครื่องเพชรชุดใหม่”

“แล้วฝั่งนั้นก็ชวนเปรมไปด้วยใช่ไหม”

“ใช่ ลักษณ์บอกไอ้รามนั่นอยากเจอเปรมเพื่อขอโทษและก็จะยุติความบาดหมางกับพวกเรา อาไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยเหรอ แทนที่จะมาชวนกันต่อหน้าดันใช้น้องโทรมาหาอิน”

“พวกเขาคงไม่ว่าง”

“อย่าโลกสวยสิอา ดูก็รู้ต้องมีแผนชัวร์ๆ”

“เจ้าอิน...อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ เขาอาจอยากยอมแพ้ก้าวถอยไปเองก็ได้”


“คนอย่างมันไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆหรอก อินรู้อินสัมผัสได้”

“เป็นญาติฝั่งไหนกับริว จิตสัมผัสหรือไงเจ้ายักษ์แคระ”

“ไม่ตลกอ่ะอากฤต” รณพักตร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “อาจะมาทานข้าวที่บ้านเปรมหรือเปล่า”

“ไปสิ”

“งั้นเดี๋ยวอินค่อยเล่ายาวๆตอนนั้นแล้วกัน รีบๆมานะอา อินใจร้อน”

“รู้แล้วล่ะน่า”

ถึงชินกฤตจะวางสายไปแล้ว หากใจรณพักตร์ยังคงเป็นกังวล กลัวสิ่งที่คิดจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น...เขาก็ไม่รู้จะหาวิธีไหนขัดขวางพวกมันได้อีก พระรามมันร้ายเสมอต้นเสมอปลาย หากไม่รีบจัดการขั้นเด็ดขาด ฝ่ายแพ้จะกลับกลายเป็นพวกเขาแทน

ครั้งนี้ขอลงสู้อีกสักตั้ง ถ้าทำให้มันล้มกระอักเลือดไม่ได้ก็อย่าเรียกเขาว่าอินทรชิต

บนโต๊ะอาหารล้วนเต็มไปด้วยอาหารหลายชนิด หลากหลายสีสันจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ครั้งนี้นอกจากอสุเรนทร์ที่มักจะแวะมารับประทานอาหารร่วมกับครอบครัวของเปรมเป็นประจำ ก็ยังมีรณพักตร์และชินกฤตที่ว่างเว้นจากงานรัดตัวเข้ามาร่วมวงด้วย
ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างออกอรรถรส มีเสียงหัวเราะครื้นเครงดังเป็นระยะๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากเจ้ายักษ์แคระคลองแสนแสบยังต้องเรียกพี่ เป็นตัวช่วยในการสร้างเสียงหัวเราะสำหรับค่ำคืนสุดวิเศษ

“อาหารที่คุณป้าทำว่าอร่อยแล้ว ขนมหวานอร่อยมากกว่าอีก”

รณพักตร์เอ่ยชม เมื่อได้ลิ้มรสลอดช่องน้ำกะทิเป็นของตบท้ายหลังอาหารค่ำ ดวงดาวแอบยิ้มกว้างกับผู้เป็นสามี แค่ได้เห็นสีหน้าตื่นตาตื่นใจของร่างเล็กเธอก็รู้แล้วว่าเจ้าตัวชอบอาหารที่เธอทำมากขนาดไหน

ตามพระท่านว่า...บนโลกนี้มักมีสิ่งที่ทำให้เราตกใจ ไม่คาดคิดอยู่เสมอ อย่างในตอนนี้เธอได้ร่วมรับประทานอาหารกับสิ่งที่เคยนึกว่ามีตัวตนเพียงในเล่มหนังสือวรรณคดี ทว่าพวกเขากลับมีชีวิต มีลมหายใจเฉกเช่นปุถุชนคนธรรมดา จิตใจดีมีเมตตามากกว่าที่คิดมากทีเดียวดูได้จากการพูดคุยและการให้เกียรติผู้สูงวัยกว่า ที่สำคัญ...หน้าตาหล่อเหลาราวเทพบุตรมาจุติบนโลกมนุษย์
ดวงดาวนั่งมองลูกชายเพียงคนเดียวส่งเสียงหัวร่อเฮฮา ใบหน้านวลแทบจะประดับรอยยิ้มตลอดเวลา ซึ่งมันมิผิดแผกไปจากอสุเรนทร์เลยสักนิด ท่ามกลางผู้คนรายล้อม ทำไมกันนะ...ทำไมเธอรู้สึกว่าทั้งสองช่างเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก และไม่ว่าเปรมจะขยับไปทิศทางใด อสุเรนทร์ก็จะขยับตามเสมอเสมือนแสงและเงาที่ไม่มีทางแยกจากกัน ด้วยความรัก...ความจริงใจที่พญารากษสมอบให้ลูกของเธอมันก็มากพอแล้วที่เธอจะมองข้ามสิ่งต่างๆเหล่านั้นไปจนหมดสิ้น พวกเธอรู้...คนเรากำหนดโชคชะตาตัวเองไม่ได้ หากการที่ทั้งสองได้มาเจอกันคือพรมลิขิต เธอก็ขอโน้มรับโดยไร้ข้อกังขา

“ก็มาบ่อยๆสิจ๊ะหนูอิน ป้าจะได้ทำเตรียมไว้ให้”

“หูย ถ้าอินมาอยู่ที่นี่สักหนึ่งเดือน อินต้องกลายร่างเป็นหมูแน่ๆ เพราะฉะนั้นขอมาพึ่งพิงคุณป้าคนสวยสักมื้อสองมื้อต่อสัปดาห์น่าจะดีกว่า”

“หลายมื้อก็ได้ และถึงหนูอินจะอ้วนเป็นหมูป้าก็ว่าน่ารักน่าอยู่ดี”

“จริงเหรอครับคุณป้า”

“คุณแม่อย่าไปพูดเอาใจลูกผมหน่อยเลยครับ หมูยังไงก็เป็นหมูอยู่วันยังค่ำ แก้มบวมๆ จมูกโตๆแบนๆ ตาตี่ๆ...น่าเกลียดจะตายชัก” อสุเรนทร์เปรยออกมา เล่นเอาหลายคนหลุดขำพรืด คนโดนว่าเป็นหมูถึงกับพ่นลมออกทางจมูกก่อนสะบัดหน้าหนี ปากบางบึนอย่างงอนๆ

“ถึงอินจะหมู อินก็หน้าตาดี”

“ใช่ แต่หน้าตาดีแบบหมูๆนะ”

“พูดแบบนี้ มาต่อยกันไหมครับ” ลุกจากเก้าอี้ ยกแขนตั้งท่าเตรียมชก โยกตัวแย๊บหมัดซ้ายขวาอย่างมีชั้นเชิง หากทว่ากลับโดนแขนยาวๆยื่นมาผลักหัวเล็กจนซวนเซไปข้างหลัง

“เดี๋ยวหาว่ารังแกหมูไม่มีทางสู้ ไม่เอาหรอก”

“อากฤตดูสิครับ” เมื่อสู้ไม่ได้ก็เริ่มหาพรรคพวก ชินกฤตอมยิ้มจนแก้มบุ๋มลึกโชว์ลักยิ้มสวยสองข้าง ยกแก้วน้ำเย็นขึ้นจิบ “พระบิดาหาว่าผมเป็นหมูอ่ะ”

“แล้วไง”

“โธ่อา...พระมารดา ช่วยอินด้วยครับ”

“พี่ทศอย่าแกล้งอินสิครับ อินเขาออกจะน่ารักไม่อ้วนเหมือนหมูสักหน่อย”

“อ่ะ งั้นหมีแล้วกัน”

“พระบิดา!”

 “ถ้าปฏิเสธอีกทีจะเรียกช้างแล้วนะ”

“อินงอนแล้ว ฮึ่ย!”

“ตามใจ”

“พี่ทศก็...ทำไมชอบแกล้งอินอยู่เรื่อย” ชายหนุ่มยิ้มขำขณะอ้าปากกว้างรับความหวานหอมจากน้ำลอดช่องกะทิสุดเข้มข้นเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ผ้าเช็ดหน้าผืนบางถูกนำมาเช็ดตามมุมปากคนมากวัยกว่า “โตหรือยังเนี่ย กินเลอะเทอะเหมือนเด็กเข้าไปทุกวัน”

“ก็อยากให้เมียเช็ดให้”

“เป็นง่อยหรือครับ”

“ถึงตัวพี่เช็ดเองได้ก็จริงแต่มันคงไม่สะอาดเอี่ยมเท่าที่น้องทำให้พี่หรอกจ๊ะ”

“โอ้ย นังดาวเอ้ย ขอกระโถนให้ข้าด่วน ข้าอยากอ้วก”

“กระโถนข้าว่าไม่พอว่ะไอ้ไม้ต้องกระสอบปุ๋ยถุงใหญ่...นึกว่านั่งดูลิเกหลังตลาด หวานแหววไม่เกรงใจสุขภาพคนแก่อย่างพวกข้าเลยไอ้หลานเขย”

“นั่นสิครับคุณตาเสมา” รณพักตร์ส่ายหน้าทำท่าเหมือนรับไม่ได้

“เดี๋ยวนะ เอ็งเป็นอินทรชิตผู้โหดเหี้ยมจริงรึ ทำไมข้ารู้สึกถึงพลังงานสะดิ้ง ตอแหลเกินหญิงมาจากเอ็งวะ”

“อินออกจะแมนเหอะ”

“ไอ้พวกหน้าสวยแล้วบอกว่าตัวเองแมนน่ะมีผัวกันทั้งนั้น ดูอย่างหลานข้าสิหน้าตาหล่อสูงชะรูดตูดหมึกมันยังมีผัวเลย อย่างเอ็งน่ะเหรอไอ้หนู ข้าก็ว่าไม่น่ารอด”

“ตา! /คุณตาเสมา!”

“หรือไม่จริงวะไอ้ไม้ ข้าพูดผิดตรงไหน”

“เออๆเอ็งพูดถูก”

“ปู่ก็เป็นไปอีกคนเหรอ”

รณพักตร์ล่ะอยากตบกบาลตัวเองแยกเป็นสองส่วน ขอขึ้นลิสต์ไว้เลย ผู้เฒ่าหมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสองเป็นบุคคลอันตราย ถ้าไม่เจ๋งจริงห้ามกระตุกหนวดเสือใหญ่เป็นอันขาด ว่าตัวเขาเป็นคนปากเร็วแล้วยังมิอาจเทียบขั้นกับตาเสมาและปู่ไม้ได้สักนิด ว่างๆคงต้องขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์สำนับปากกายสิทธิ์เสียหน่อย

“พอเถอะค่ะคุณพ่อ เด็กๆอายกันหมดแล้ว”

“อะไรกันนังดาว ข้ายังแกล้งไม่หนำใจเลย”

“ยังจะพูดอีกเดี๋ยวข้าตบบ้องหูดับ”

“อีแก่เอ็งกล้าเรอะ ข้าผัวเอ็งนะ”

“เออ ผัวนี่แหละจะตบให้หูหัก บังอาจแกล้งหลานข้าดีนัก อ้าวจะหนีไปไหนกลับมาให้ข้าตบก่อน!” ยายนวลทำเสียงจิจ๊ะพร้อมเท้าสะเอวเรียกไอ้แก่ขี้ขลาดที่วิ่งหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนตวัดตาดุๆไปทางผู้เฒ่าร่วมขบวนการ “เอ็งอีกคน”

“ข้าเปล่านะโว้ยยายนวล สาจ๋า พาพี่ไม้ไปนอนหน่อย พี่ไม้ง่วงแล้ว ฮ้าว...” แกล้งปิดปากหาว มือหยาบกร้านจับเอวอวบของภรรยาขยับกายไปหลบทางด้านหลัง ขนาดออกตัวเดินก็ยังมิวายหันกลับมามององค์แม่ เรื่องฝีปากต้องยกให้เขากับไอ้เสมา แต่เรื่องกัดไม่ปล่อยโหดเหมือนหมาต้องยกให้ยายนวลคนเดียว!

รณพักตร์และชินกฤตคิดช่วยกันเก็บจานช้อนบนโต๊ะ หากดวงดาวกลับห้ามไว้ เธอบอกให้ทุกคนตามสบายเดี๋ยวทางนี้เธอกับเด็กๆในบ้านจะช่วยกันเก็บเอง อีกอย่างเวลานี้ก็สามสี่ทุ่มแล้ว เกรงถ้าดึกกว่านี้จะไม่ปลอดภัย จึงเลือกให้ลูกชายเดินออกมาส่งทุกคนแทน

หนึ่งมนุษย์ สามรากษสหยุดยืนตรงประตูหน้าบ้าน มีเพียงแสงสว่างนวลจากเสาไฟและพระจันทร์เป็นแสงนำทาง รณพักตร์เห็นเวลาอันเหมาะสมสำหรับกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายจึงกล่าวผ่านความเงียบช้าและชัด

“ก่อนกลับอินมีเรื่องอยากบอกพระบิดากับเปรม”

“เรื่องอะไรเจ้าอิน”

“งานเปิดตัวเครื่องเพชรบริษัทรามา ฝั่งนั้นส่งคำเชิญมาถึงพวกเรา”

“ตามมารยาทยังไงพวกเราก็ต้องไปอยู่แล้วนี่เจ้าอิน”

“แต่ปัญหาคือเขาชวนเปรมไปด้วย”

อสุเรนทร์นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

“ผมเหรอครับอิน”

“ราเมนทร์ต้องการขอโทษเปรมและก็อยากคุยกับพระบิดาถึงเรื่อง...”

ยังไม่ทันให้รณพักตร์พูดจบ อสุเรนทร์ก็พูดแทรกพร้อมดึงคนร่างบางแนบอกกว้างของตนอย่างนึกหวงแหน คนอย่างไอ้ราเมนทร์มันไม่มีทางทำอะไรโดยไม่มีหวังผลหรือซ่อนแผนร้ายกาจ ขอโทษงั้นเหรอ...อยากทำตัวพระเอกเรียกร้องความสนใจจากเมียเขามากกว่าสิไม่ว่า

“ไม่ให้ไป ยังไงพี่ก็ไม่ยอมให้เปรมไป”

“พี่ทศ...”

“พี่รู้จักมันดีเปรม การที่มันชวนแสดงมันต้องคิดแผนชั่วเอาไว้ พี่เคยโดนมันหลอกมาหลายต่อหลายครั้งจนเข็ดขยาด มันไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เปรมคิด”

“คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้นี่ครับ บางทีเขา...”

“อย่าดื้อสิเปรม”

“พี่ก็อย่าเอาแต่ใจให้มาก คนเขาเชิญมาแล้วไม่ไปมันดูเสียมารยาท”

“เชื่อฟังพี่บ้างสิ!”

“แล้วที่ผ่านมาเปรมไม่เชื่อฟังพี่ตรงไหน มีแต่พี่ทั้งนั้นที่ไม่ยอมฟังเปรมหรือไว้ใจเปรมสักครั้งเดียว” ดวงตาเรียวสวยแดงก่ำเต็มไปด้วยม่านน้ำตาแสนน้อยอกน้อยใจ “คิดได้เมื่อไหร่ค่อยมาคุยกัน”

“เปรม ฟังพี่ก่อน เปรม!” แม้เขาจะพยายามร้องเรียกสักเท่าใด ทว่าอีกฝ่ายก็ไม่มีแววหันกลับมามองแม้แต่น้อย...อสุเรนทร์ทอดถอนหายใจกับคำพูดของตนเอง เขาเผลอทำร้ายจิตใจน้องน้อยอีกแล้ว

เปรมจ๋า...พี่ขอโทษ

“ถ้าเปรมเขาอยากไป ท่านพี่ก็ให้เขาไปเถอะครับ”

“กฤต/ อากฤต” สองเสียงดังประสานกันหนาหู ก่อนรณพักตร์จะเป็นฝ่ายพูดต่อ

“ถ้าเปรมไปก็เสร็จมันสิครับอา อาก็รู้ไอ้หมอนั่นมันอยากได้เปรมมากแค่ไหน”

“รู้”

“รู้แล้วยังให้ไปเนี่ยนะ”

“ในเมื่อเบื้องบนเขากำหนดมาเช่นนี้ เอาเท้าไปขวางก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด” คนตอบอมยิ้ม

“อารู้อะไรใช่ไหม”

“ก็แค่สิ่งที่สวรรค์อยากให้เห็น...เปรมน่ะ...ไม่มีทางหลงกลฝ่ายนั้นหรอกเจ้าอิน” ชินกฤตหันมอง พอดีกับที่อสุเรนทร์หันมาได้จังหวะ สายตาจึงประสานกันโดยบังเอิญ

“แต่อีกคน...ก็ไม่แน่”

พญายักษ์ชะงักงัน เขาไม่รู้ภายในใจโหราแห่งลงกาคิดสิ่งใด ดูสับสน ซับซ้อน น่าอึดอัด อ่านยากกว่าทุกครั้ง

“หากเลือกที่จะรักก็อย่ารู้สึกผิด”

“...”

“จงเลือกให้ดี เพราะถ้าท่านเลือกแล้วจะไม่มีสิทธิ์เลือกได้ใหม่อีก”



มาลงให้แล้วน้าาาาา คอมเม้นให้กำลังใจกันหน่อยจ้า
แล้วเจอกันใหม่  :bye2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๘ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)7/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 07-01-2017 18:03:46
เฮ้อ  :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๘ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)7/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 07-01-2017 20:01:06

พี่ทศ......

อย่าไขว้เขวนะขอรับ

รอขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๘ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)7/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 07-01-2017 21:25:12
ท่านทศสู้ๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๘ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)7/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 07-01-2017 22:47:42
ท่านทศสู้ๆนะ อย่าใจร้อน
รอมาตั้งหลายปีนะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๘ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)7/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: drqam ที่ 08-01-2017 11:14:44
ที่กฤตพูดอาจจะหมายถึงนางมณโฑก็ได้ พี่ทศอาจเขว เลือกแล้วก็อย่ารู้สึกผิด :serius2:
ฮือออ พี่ทศสู้ๆนะ เปรมเชื่อใจพี่ทศอยู่แล้ว
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๘ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)7/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 08-01-2017 23:18:11
ภิเภกพูดต้องมีอะไรแน่ๆ ชักเป็นห่วงเปรมกับท่านทศแล้วสิ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๘ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)7/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 09-01-2017 10:35:00
รออ่านต่อจ้า ลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น :katai1:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ครึ่งแรก(กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 09-01-2017 13:23:29
บทที่ ๑๙
[/b]



วันงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทรามาจิวเวอร์รี่ที่ขึ้นชื่อเรื่องการส่งออกเครื่องเพชรและอัญมณีน้ำงามอันดับต้นๆของประเทศ ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ

นักข่าวหลากหลายต่างสำนักพิมพ์พากันมารวมตัวอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้กันอย่างหนาแน่น เหตุเพราะงานนี้ผู้ที่มาเข้าร่วมมักมีแต่เหล่าผู้มีอันจะกิน เศรษฐีระดับร้อยล้านพันล้าน บรรดาไฮโซน้อยใหญ่ล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องกันมาชนิดเรียกได้ว่าจัดเต็มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทั้งกิ๊บ ตุ้มหู สร้อยคอ เข็มกลัด ข้อมือ แหวนเพชรเม็ดโตหลายกะรัต ส่องแสงวับวาวไปทั่วทั้งงาน และเนื่องด้วยมูลค่าสิ่งของภายในงานมากกว่าหลายร้อยล้านบาท ทางเจ้าภาพจึงต้องขอความร่วมมือกับทางกรมตำรวจและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระดับS เพื่อป้องกันเหตุจลาจลและความสบายใจของเหล่าผู้ร่วมงานในครั้งนี้

ราเมนทร์มองดูภาพรวมของงานด้วยความพอใจ ค่อยๆยกแก้วไวน์ขึ้นมาละเลียดชิมรสชาติทีละนิด เป็นไปตามที่คาดหวัง ภายในห้องจัดแสดงเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา บ้างก็เคยเห็นมา บ้างก็เป็นผู้ลงทุนรายใหม่ที่รอเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพวกเขา

“จัดงานได้ดีนี่ลักษณ์”

“ถ้าไม่มีนานะช่วยงานก็คงไม่ออกมาสวยและอลังการถึงขนาดนี้หรอกครับ” ศุภลักษณ์ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มกว้าง กวาดสายตามองบรรยากาศโดยรอบที่เสมือนมีมนต์ขลังทำให้ทุกคนตื่นตะลึงและเกิดความหลงใหล รูปแบบการจัดการเน้นความร่วมสมัยผสมไปกับเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยดั้งเดิม ตอนแรกลักษณ์นั้นคัดค้านเพราะคิดว่ามันไม่มีทางรวมเป็นหนึ่งเดียวได้ หากนานะกลับทำให้เขาเห็นว่าสองสิ่งที่แตกต่างกันนั้นก็สามารถจัดวางเข้ารูปเข้ากันได้เป็นอย่างดี แถมยังมีความสวยงามและแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร

คงต้องยกความดีความชอบให้เจ้าหล่อนเยอะเสียหน่อย ในฐานะคนสร้างสรรค์ผลงานระดับมาสเตอร์พีซ

“และนี่เธอไปเตรียมตัวหรือยัง”

“เรียบร้อยครับ แล้วผมก็ให้คนดูแลและจัดการตามที่พี่ต้องการ”

ดวงตาสีเข้มของราเมนทร์ทอประกายขึ้นคราหนึ่ง มุมปากปรากฏรอยยิ้มน้อยคล้ายมีบางอย่างอยู่ในใจ...ฉะนั้นตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่รอ

ภายในไม่กี่นาทีต่อมาก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นจากบริเวณประตูทางเข้า  บรรดานักข่าวเมื่อเห็นว่าคนที่มาคือใครต่างวิ่งกรูกันเข้าไปกระหน่ำรัวชัตเตอร์อย่างบ้าคลั่งพร้อมกับแสงแฟลชสาดกระทบไปยังกลุ่มผู้มาใหม่ เวลานี้ไม่มีใครไม่สนใจการปรากฏตัวของนักธุรกิจหนุ่มชื่อดังอย่างอสุเรนทร์ อมาตยสูร เจ้าของอสังหาริมทรัพย์มากมายทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งมาพร้อมกับน้องชายที่ราศีผู้มีอิทธิพลไม่ต่างจากคนเป็นพี่ อย่างชินกฤตและรณพักตร์ ก่อนเสียงฮือฮาจะเกิดขึ้นอีกระลอกเมื่อชายหนุ่มปริศนาร่างกายสูงเพรียวปรากฏอยู่เบื้องหลังประธานหนุ่มที่ใครๆต่างหลงใหล

เขาเป็นใคร?

นั่นคือสิ่งที่หลายๆคนคิด

ชายหนุ่มสวมชุดสูทสีน้ำเงินเข้มเป็นมันเล็กน้อยที่สั่งตัดเป็นพิเศษจากช่างฝีมืออิตาลี  เมื่อติดกระดุมสูทจะเห็นได้ถึงสรีระของผู้สวมใส่ได้อย่างชัดเจน ทรงผมและองค์ประกอบรวมของใบหน้าหล่อทว่ากระเดียดไปทางหวาน จัดว่าเป็นคนที่น่าสนใจคนหนึ่ง โดยเฉพาะรอยยิ้มหวานที่ส่งตรงมาหากล้องทุกตัวอย่างรู้งานและรู้มุมทำให้รูปที่ถ่ายออกมามีความสมบูรณ์แบบ น่ามองมากทีเดียว

“เปรม อย่ายิ้มสิ” อสุเรนทร์ยื่นหน้ากระซิบแผ่วข้างหูขณะสายตามองไปยังกล้องของบรรดานักข่าวทั้งหลาย คนโดนห้ามได้แต่ทำหน้างง ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ

“ทำไมต้องห้ามยิ้มด้วยล่ะครับ”

“พี่หึง หวงด้วย” อสุเรนทร์กระหยิ่มยิ้มย่อง “เก็บรอยยิ้มของเราให้พี่มองคนเดียวก็พอ”

“มองคนเดียวอะไรเล่า”

ปากแม้บ่นขมุบขมิบหากพวงแก้มน้อยกลับขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ แอบหยิกเนื้อตรงบั้นเอวคนตัวโตผ่านเสื้อสูททางด้านหลัง อสุเรนทร์สะดุ้งเล็กน้อยทว่าก็กลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มกระชากใจเหล่านักข่าวโดยเฉพาะสาวๆนี่ยกกล้องกดชัตเตอร์ระรัวครั้งแล้วครั้งเล่า มันน่าบิดให้ตัวลายเสียจริง

“สวัสดีครับคุณอสุเรนทร์”

กลุ่มบุคคลอันคุ้นหน้าคุ้นตาเอ่ยทักทายหลังจากเดินออกมาต้อนรับพวกเขาถึงหน้าประตูทางเข้างาน  ราเมนทร์เหลือบมองเปรมแวบหนึ่งก่อนหันไปอมยิ้มให้เหล่าวงศาอมาตยสูร

วันนี้ชายหนุ่มสวมชุดสูทสีดำเข้มตัวยาวเช่นเดียวกันกับสีเสื้อคอเต่าด้านใน ด้วยรูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณขาวเหลืองเนียนละเอียด ประกอบกับทรงผมที่ถูกเซ็ตเปิดหน้าผากทำให้ดูสง่ากว่าเดิม รณพักตร์หันไปอีกทางแล้วเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้

“ดีใจที่พวกคุณมางานเปิดตัวเครื่องเพชรของผม”

“เจ้าของงานอุตส่าห์เชิญ ถ้าไม่มาเดี๋ยวก็หาว่าเล่นตัวสิครับ”

“เจ้าอิน” ชินกฤตส่ายหน้าเป็นเชิงห้าม

“คุณศุภลักษณ์ชวนทั้งทีพวกเราก็ต้องมาสิครับ โดยรวมงานจัดออกมาสวยแปลกตาดี แต่ผมคาดว่าพวกคุณคงไม่ได้จัดเองหรอกใช่ไหม ดูจากความคิดความอ่านโดยเฉพาะของคุณราเมนทร์เนี่ยทำอะไรสวยๆงามๆ เลิศสะแมนแตนแบบนี้ไม่ได้หรอก”

“เจ้าอิน อาบอกให้หุบปาก”

“ผมก็แค่พูดในฐานะคนรู้จักกัน”

หึ รู้จักกัน

“สวัสดีครับเปรม ไม่ได้เจอกันนานสบายดีไหม”

“ก็สบายดี สบายดีมากเลยล่ะครับ” อสุเรนทร์เป็นคนตอบแทนร่างบางที่ตอนนี้แทบจะจมลงเข้าไปในอกกว้างเพราะความหึงหวงแรง มือหนาที่บีบไหล่เขาอยู่เป็นสิ่งบอกให้เปรมปิดปากเงียบ ให้พวกเขาพวกคุยกันเองน่าจะเหมาะกว่า

“ขอโทษนะ แต่...เอ...ชื่อเปรมเหรอ”

“ผัวกับเมียมันก็คนๆเดียวกัน การที่ฉันจะตอบคำถามของนายแทนเปรมเนี่ยมันแปลกตรงไหน”

“ก็ไม่แปลกหรอก แค่คนที่ฉันต้องการให้ตอบคือเปรมเท่านั้น”

“อย่าเรื่องมากได้ไหม”

“นายก็อย่ามาจุ้นสิวะ”

ไอ้พระรามสะพานหักโค้งนี่!

ดูเหมือนจะไปลับคมปากมาใหม่สินะ ถึงได้คมกริบต่อกรกับเขาเก่งขึ้น

“คงไม่จุ้นไม่ได้ล่ะนะ ประเดี๋ยวพวกแมลงผู้ตัวอื่นจะได้ใจแล้วแย่งพ่อเกสรหอมหวานไปจากฉัน”

“พี่ทศ พอเถอะครับ” ร่างบางผละตัวออกจากคนรัก ผงกศีรษะขอโทษอีกฝ่าย “ต้องขอโทษแทนคุณอสุเรนทร์ด้วย ผมสบายดี ไม่มีปัญหาอะไร แล้วคุณ...คงสบายดีใช่ไหม”

“เปรมจ๋าไปพูดกับมันทำไม”

“หยุดเลย แค่ตอบเฉยๆมันจะอะไรนักหนา”

“ตอบเฉยๆก็ไม่ได้”

“พี่ทศ”

“อย่าทะเลาะกันครับ ผมสบายดี...แต่ถ้าจะสบายกว่านี้ถ้าเปรมกลับมาเรียกผมว่าพี่เหมือนแต่ก่อน”

“ผัวเขายืนอยู่ตรงนี้ทนโท่ ยังมีหน้ามาขอให้เรียกพี่อีกเรอะ”

“เจ้าอิน! ยังจะพูดอีก” หันไปตีไหล่แข็งแรงของหลานชายเต็มแรงจนเจ้าตัวสะดุ้ง ลูบบริเวณโดนกระทำชำเรา(?)อย่างโอดครวญ

“ไม่เป็นไรครับคุณชินกฤต ผมชินเสียแล้วล่ะ” ปรายตาไปยังอีกคน “ไม่ต้องมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นอสุเรนทร์ ฉันไม่ได้คิดเล่นละครตบตาหรือวางแผนอะไรอีกแล้ว นายอาจจะเห็นว่าฉันเป็นคนเลว แต่ฉันน่ะก็เป็นคนดีมากพอที่จะรู้ว่าตัวเองควรยืนอยู่ตรงไหน วางตัวอย่างไร เรื่องของเปรมถึงฉันจะลงประชันกับนายต่อยังไงเปรมก็เลือกอยู่ข้างนายมากกว่าอยู่ดี”

“ฉันจะรู้ได้ไงว่าแกโกหกหรือไม่โกหก”

“พี่ทศ” เปรมเอ่ยปราม

“ก็มันจริงนี่ น้องยังไม่รู้ในอดีตมันทำอะไรกับพี่บ้าง”

“...”

“เพราะไอ้ใบหน้าแสนดีเหมือนพระเอกลิเกหลังตลาดตอนค่ำเนี่ยแหละที่หลอกให้พี่ตายใจมานักต่อนัก หึ ทำเป็นพูดดี สุดท้ายแกก็ลอบกัดฉันจนยับเยิน!”

“ท่านพี่ใจเย็นหน่อย”

ชินกฤตเอื้อมจับบ่ากว้างของพี่ชายแน่น มันคงไม่ดีแน่ถ้ามาทะเลาะกันตรงนี้ต่อหน้าคนและผู้สื่อข่าวที่ชอบสอดเสือกสายตานับไม่ถ้วน จากหัวข้องานเปิดตัวเครื่องเพชรตัวใหม่จะกลายเป็นการห้ำหั่นกันเองของสองผู้นำบริษัทส่งออกจิวเวอร์รี่ยักษ์ใหญ่แทน

“ขอบอกไว้ตรงนี้ คนนของกู อ้ายอีอย่างมึงอย่าคิดแตะต้อง”

“คราวนี้ฉันพูดจริงๆ ฉันยอมแพ้แล้วจริงๆอสุเรนทร์ ในเมื่อเปรมเขาไม่รักฉันเขารักเพียงแค่นาย จะให้ฉันเอาแรงกายแรงใจที่ไหนไปสู้ ถ้าเรื่องในอดีตมันทำให้นายยังแค้นเคืองไม่หายก็ขอโทษด้วย แต่ต่อไปนี้ฉันรับปาก...พวกเราจะไม่มีเรื่องบาดหมางต่อกันอีก ต่างคนต่างอยู่ นายได้เปรมไป ส่วนฉัน...ก็แค่ใช้ชีวิตอยู่กับงาน”

“เข้าใจพูดดีนี่ ไปท่องสคริปต์เตรียมมากี่วันแล้วล่ะ”

“พี่ทศ”

ท่อนขาแข็งแรงของอสุเรนทร์ก้าวประชิดราชันย์แห่งอโยธยา ดึงตัวอีกฝ่ายมากอดไหล่ไว้หลวมๆและกระซิบ “อย่าคิดว่าข้าจักเชื่อใจเจ้าพระราม มิว่าอย่างไรข้าจักจับตาดูเจ้าเอาไว้ ทุกเพลา ทุกฝีก้าว หากยังคิดตอแหลมากเพทุบาย ใช้แผนชั่วชิงเปรมไปจากข้าอีก เมื่อนั้นข้าจักเป็นคนปลดชีวีเจ้าด้วยมือข้าเอง”

ราเมนทร์แค่เค้นหัวเราะในลำคอ ใบหน้าหล่อเหลาฉาบไปด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร หากทว่าในความคิดของผู้ที่เห็นอย่างชินกฤตและรณพักตร์ มันกลับเป็นรอยยิ้มที่อาบไปด้วยยาพิษชั้นดี มีเลศนัยมีความน่ากลัวซ่อนอยู่ภายในดวงตาอบอุ่น...

“ฉันพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น”

“ก็ขอให้มันจริงอย่างปากว่าก็แล้วกัน”


“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผม หัสดินทร์ เทพฉาย ขอต้อนรับทุกท่านอย่างเป็นทางการในงานเปิดตัว The gleam of diamond ภายใต้ชื่อ รามาจิวเวอร์รี่ ซึ่งผมขอบอกเลยว่าเพชรแต่ละตัวที่ทางผู้จัดนำมาเนี่ยล้วนแล้วแต่มีมูลค่ามหาศาล แสงนี่แวววับเข้ามาผมมาก เห็นแล้วก็อยากได้มาครอบครองสักชิ้น มันคงเป็นบุญของผมมากทีเดียว...และก็ขอแสดงความยินดีกับเหล่าสุภาพบุรุษที่มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยนะครับ เพราะทางผู้จัดได้เล็งเห็นสร้างเครื่องประดับมาให้เหมาะสมแก่คุณผู้ชายทุกท่านเป็นที่เรียบร้อย รับรองได้ว่าถ้าเห็นพวกคุณจะต้องรีบซื้อรีบจับจองกันอย่างแน่นอน...แค่ได้ฟังก็อยากเห็นกันแล้วใช่ไหมครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเชิญรับชมได้เลยครับ”

ดวงไฟรอบห้องโถงใหญ่ค่อยๆหรี่แสงลง เหลือเพียงแสงจากด้านบนเวที ดรายไอซ์สีขาวขุ่นลอยคละคลุ้งอวลอยู่ในอากาศ กระทบสปอร์ตไลท์แสงสีนวลตาและเสียงเพลงที่ดังคลอเอื่อยอ่อนเพื่อให้เข้ากับจังหวะการเดินของนายแบบนางแบบ เปรมมองบนเวทีด้วยความตื่นตาตื่นใจ นับเป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้มาดูงานแบบนี้ อสุเรนทร์ยิ้มน้อยและยึดมือเรียวไปกุมบนตักของตน

“ตื่นเต้นเหรอ มือเย็นเชียว”

“ตื่นเต้นสิครับ นี่มันงานโชว์เพชรของคนมีเงินเชียวนะ”

“อีกเดี๋ยวก็ชิน” คนร่างบางเอียงคอมองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ อสุเรนทร์กระตุกยิ้มนิดและโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆปลายหูคนรัก...อย่างเชื่องช้า

“เป็นเมียท่านประธานส่งออกเครื่องเพชรยังไงก็ต้องคุกคลีอยู่กับเพชรอยู่กับพลอย ถ้าเปรมไม่ชินแล้วจะสมเป็นเมียพี่ได้อย่างไรถูกไหม”

“เปรมไม่ได้เป็นเมีย”

“เอากันมาตั้งหลายรอบนี่ยังไม่เรียกผัวเมียอีกเหรอ”

“ฮื่อ บ้า ไม่พูดด้วยแล้ว” รีบสะบัดหน้าหนีอย่างขลาดเขิน คนอะไรเสี่ยวได้ตลอดเวลา ยิงมุกจีบเป็นว่าเล่น และแบบนี้เมื่อไหร่หัวใจเขาจะเต้นเป็นปกติเสียที

ผ้าไหมไทยสีแดงหม่นสลับทองค่อยเลื่อนเปิดออกทั้งสองด้านก่อนนางแบบคนแรกจะเดินออกมาในชุดกึ่งไทยกึ่งตะวันตก เพชรบนร่างของนางแบบล้วนดูน่าหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร ความงามของน้ำเพชรที่ส่องระยิบระยับแสบตา ทุกอย่างล้วนดูลงตัว

นายแบบนางแบบแต่ละคนเดินกรีดกรายโชว์เครื่องเพชรที่สวมแตกต่างกันออกไป ทำให้เพชรโดดเด่นและมีประโยชน์มากกว่าการเป็นเพียงเครื่องประดับราคาแพงทั่วๆไป น้ำงามต้องตา สมบูรณ์แบบมากทีเดียว...ขอยอมรับจากใจครั้งนี้ประธานหนุ่มรามาจิวเวอร์รี่วางแผนจัดการงานได้ดี นับว่าประสบความสำเร็จที่สุดทั้งเรื่องผลผลิตและการตอบรับจากเหล่าไฮโซคนดังทั่วเมืองกรุง โดยอย่างยิ่งบรรดาคุณหญิงคุณนายไฮโซต่างจับจ้องเครื่องเพชรแต่ละชิ้นไม่วางตา

“ก็อยากยอมรับหรอกนะว่าเพชรล็อตใหม่ของพี่นายมันสวยจริงๆ” รณพักตร์เอ่ยชมขณะกวาดสายตาไปยังหญิงสาวร่างสูงเพรียวบนเวทีที่สวมชุดกรีกสีขาวยาวพลิ้วไสว สร้อยเพชรประดับอัญมณีแห่งท้องทะเลส่องประกายเรืองรองจากทั้งลำคอขาวและข้อมือเรียว...ผู้หญิงสวยๆที่สวมเพชรแวววับมักน่าตรึงตราตรึงใจสำหรับเขาเสมอ นางแบบลูกครึ่งหยุดยืนตรงเบื้องหน้า ลูกแก้วกลมโตสีฟ้าน้ำทะเลเหลือบมาสบตาเขา ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงสดยกยิ้มยั่วยวน...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหล่อนต้องการอะไร แน่นอนเขาย่อมไม่ปฏิเสธ   

“เอาดีๆเพชรสวยหรือนางแบบที่สวยกันแน่”

“สำหรับพี่อิน น้องลักษณ์สวยที่สุดจ๊ะ”

“ไม่ต้องมาชม”

“โธ่ งอนพี่เหรอ เดี๋ยวคืนนี้จัดให้สักดอกดีไหม”

“ไอ้คนทะลึ่ง”

“ทะลึ่งตรงไหนครับ พี่หมายถึงจัดดอกกุหลาบส่งไปง้อคนสวยสักดอกต่างหาก” เรียวแขนเล็กทว่าแข็งแรงยืดจนสุด ค่อยๆโอบไหล่บางและลูบไล้มันเบาๆ “หรือว่า...น้องลักษณ์คิดอะไรที่มากกว่านั้น พี่จัดให้ได้นะ” ลิ้นแดงแลบเลียริมฝีปากตนเองคล้ายพวกโรคจิตเต็มไปด้วยความต้องการ ศุภลักษณ์รีบเสมองไปทางอื่นอย่างขลาดอาย

“คะ...ใครคิด บ้าหรือเปล่า”

“เสียงสั่นเชียว โซ คิ้วท์ฝุดๆ”

“เอาแขนนายออกไปจากไหล่ฉันเดี๋ยวนี้ก่อนฉันจะเรียกกบินทร์มาจัดการ” รณพักตร์ชายตาไปยังมนุษย์หน้าขนตัวขาวที่ยืนห่างออกไปไกลพอสมควร สีหน้าขมึงขึงขังทำเขาต้องโอบร่างบางแน่นกว่าเดิม พร้อมเอียงคอซบยกคิ้วกวนประสาทจนอีกฝ่ายได้แต่ยืนกัดฟันกรอดอย่างโมโหทว่าก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง โถ...โถช่างน่าสงสาร ได้แต่ยืนอยู่ในเงามืดไม่มีบทบาทอะไรกับคนอื่นเขาเลย

“อื้อ ปล่อย ฉันอึดอัด”

“ให้หอมก่อน”

“จะบ้าเหรอ” เมื่อรู้ตัวว่าใช้เสียงดังเกินไป ศุภลักษณ์จึงหันไปขอโทษขอโพยคนอื่นก่อนจะฟาดมือเรียวของตนเข้าที่สะบักไหล่อีกคนเต็มแรง เลื้อยเร็วกว่าปลาไหลก็ไอ้ยักษ์พริกขี้หนูข้างๆเนี่ยแหละ

“อยากหอมอ่ะ ได้ปะ”

“ไม่”

“งั้นลักษณ์หอมพี่ก็ได้” พองแก้มป่องข้างขวาแล้ว ยื่นหน้าเข้าไปใกล้

“นายเป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย ฉันรำคาญแล้วนะ”

“เป็นคนที่รักเธอไปจนหมดลมหายใจ ถ้าฉันขอสัญญาว่าเธอจะเป็นคนรักสุดท้าย จะไม่ทิ้งไม่ไปไหน จะรักเธอไปจนวันตาย ฉันขอเพียงให้เธอบอกว่ารักคนคนนี้เหมือนเหมือนกัน...”

อยากจะบ้าตายเกิดมาเพิ่งมีคนมาสารภาพรักโดยการร้องเพลงจีบ มันคงจะไม่น่าอายเท่านี้ถ้าผู้หญิงสองคนคนที่นั่งข้างๆไม่ส่งเสียงกรี๊ดพร้อมกับพูดซ้ำไปวนมาว่า เคะเมะอ่ะแก ฟิน...ฟิน ยิ่งเจ้ายักษ์บ้ากระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมมือหนาที่เลื่อนลงไปโอบเอวของเขายิ่งเรียกเสียงกรีดร้องโหยหวนจากหญิงสาวทั้งสองได้เป็นอย่างดี หัวใจผู้น้องแห่งกษัตริย์อโยธยาที่เคยเต้นปกติก่อนหน้านี้ก็กลายมาเต้นแรงขึ้นอย่างแปลกประหลาด เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้าจนร้อนไปหมด ศุภลักษณ์รู้สึกมันบ้ามากที่ต้องมาเกิดอาการบ้าๆเพราะคนที่เกลียดขี้หน้าเข้าไส้

ไม่...ห้ามเด็ดขาด

“เขินพี่แล้วใช่ไหม”

“ใครเขิน”

“ใคร...ก็รู้อยู่แก่ใจ”

“หันไปดูนางแบบสวยๆเลยไป”

รณพักตร์แอบส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู...ไม่นานนักรอบด้านก็ตกอยู่ในความมืดเมื่อไฟบนเวทีดับลง จังหวะเพลงที่แปลกไปจากเดิมเรียกให้รากษสหนุ่มปรายตาให้ความสนใจ แสงสปอร์ตไลท์สว่างวาบขึ้นอีกครั้งพร้อมการปรากฏของชายร่างกำยำสองคนยืนเอามือไขว้หลัง เปลือยท่อนบนเผยมัดกล้ามเปี่ยมด้วยพลัง ท่อนล่างอยู่ในเครื่องนุ่งห่มแบบจีบโจงหน้าคล้ายเครื่องทรงสมัยโบราณ เสียงกลองดังกึกก้องและหนักแน่นดั่งฟ้าคำราม หญิงสาวสี่คนเดินร่ายรำออกมาคนละฝั่งของตัวเวที โปรยกลีบเกสรร่วงหล่นไปตามทาง หมู่มวลบุษบันส่งกลิ่นหอมคุ้นจมูก

ดอกมณฑา...

“ออกมาแล้ว”

นั่น!

“ไม่จริงน่า”

ราวดวงฤทัยโอรสแห่งทศกัณฐ์คล้ายตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ เปรียบขนนกร่วงโรยสู่หุบผารัตติกาล หัวสมองคิดสิ่งใดไม่ออกเลยแม้แต่น้อย แขนทั้งสองข้างห้อยตกข้างลำตัวพร้อมเหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายขึ้นมากมายบนหน้าผาก ปากอ้าแล้วหุบ อ้าอีกครั้งแล้วก็หุบลงตามเดิมอย่างคนพูดอะไรไม่ออก ปรายตาไปยังผู้เป็นพ่อและอาที่มีสีหน้าตื่นตะลึงไม่แพ้เขาสักเท่าไหร่นัก ไม่มีใครรู้...ไม่มีใครคาดคิด

“นะ...นี่มันอะไรกันลักษณ์”

“คนรู้จักฉันน่ะ พี่รามเขาวานให้มาช่วยเดินแบบให้ สวยจนตะลึงเลยใช่ไหมล่ะ”

ใช่ สวย....สวยจนเขามิกล้าสบตา

ก็ได้แต่ภาวนาให้พระบิดามิหลงใหลในตัวอดีตพระมารดาเลย มันคงจะเป็นปัญหาระดับโลกแน่ๆถ้าจากรักสามเส้าเคล้าน้ำตาจะเพิ่มขึ้นมาเป็นสี่!


อสุเรนทร์ทอดสายตามองสตรีเรือนร่างสมบูรณ์สวมพัสตราภรณ์ทรงสง่า ผ้าแถบสีเปลือกมังคุดมันเงาที่ถูกถักทอออกมาอย่างประณีตช่วยขับให้ผิวของผู้สวมใส่ขาวกระจ่างดั่งพระจันทร์เดือนแรม ผ้านุ่งยกดอกลอยฝาบาตรปักเลื่อมดิ้นครุยสีเงินคาดด้วยเข็มขัดทอง ถนิมพิมพาภรณ์เปล่งประกายเรืองรองชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล

งามพักตร์ยิ่งชั้นมหาราช    งามวิลาสล้ำนางในดึงสา
งามเนตรยิ่งเนตรในยามา    งามนาสิกล้ำในดุษฎี
งามโอษฐ์งามกรรณงามปราง    ยิ่งนางในนิมาราศี
งามเกศยิ่งเกศกัลยาณี        อันมีในชั้นนิรมิต
ทั้งหกห้องฟ้าไม่หาได้         ด้วยทรงลักษณ์วิไลไพจิตร
ใครเห็นเป็นที่เพ่งพิศ         ทั้งไตรภพจบทิศไม่เทียมทัน


รามเกียรติ์ ตอนกำเนิดนางมณโฑ


นานเท่าใดอสุเรนทร์มิอาจทราบได้ ถ้าไม่มีแรงสะกิดและเสียงเรียกจากน้องชายแว่วเข้ากระทบโสต เขาก็คงจมดิ่งอยู่กับเงียบสงัดจิตใจอยู่อย่างนั้นอีกนานเท่านาน

“ท่านพี่ทศ”

พญารากษสไม่แม้แต่จะสนใจสักนิด ดวงเนตรยังคงจับจ้องแต่เพียงนางแบบร่างสูงบนเวที และผู้คนในงานก็พากันเอ็ดอึงดั่งสนั่นอีกหนเมื่อผ้าสีดำที่ปิดคลุมบนบ่านั้นร่วงหล่นไปกองบนพื้น สร้อยเส้นหนาที่มีจี้เป็นพลอยมรกตเขียวเข้มรอบด้านเป็นทองแท้ล้วนแกะสลักด้วยลวดลาดฉลุสะดุดตา มันส่องประกายระยิบระยับยิ่งกว่าเพชรเม็ดใดที่พานพบ...อสุเรนทร์รู้ได้ในทันทีว่ามันคือเครื่องประดับชิ้นโปรดของอดีตมเหสีแห่งลงกา และเป็นเพียงชิ้นเดียวที่ตัวเขานั้นประทานมาให้แก่นางในดวงใจในวันอภิเษกสมรส
ไม่มีใครรู้นอกจากตัวเขา นางมณโฑและเหล่าเผ่าพงศ์รากษสในอดีต

อสุเรนทร์ที่ให้ช่างปั้นแต่งผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้ขึ้นมามีหรือจะดูไม่ออกว่ามันคือชิ้นงานใหม่ที่ราเมนทร์สร้างขึ้น  หรือ...เป็นถนิมพิมพาภรณ์จอมนางแห่งลงกาชิ้นเก่าดั้งเดิมที่หายไปเมื่อพันปีก่อนอย่างไร้ร่องรอย

วงหน้าแฉล้มใต้กรอบชฎายอดแหลมรัดศีรษะเรียบสนิทฉายฉัดถึงความสูงส่ง อำนาจแห่งกษัตริยาที่ไหลเวียนอยู่ในกาย...ทุกท่วงท่า...ทุกย่างก้าว อสุเรนทร์เหมือนตกลงไปใต้บาดาลลึก อึดอัด หายใจไม่ออก

พานให้คิดย้อนถึงคำพูดที่นางได้ลั่นเอาไว้เมื่อครั้นอดีตกาล

‘แม้นตัวข้าจักมิใช่สีดา หากข้าก็คือเมียคนหนึ่งของพระองค์...ย่อมปรารถนาความรักจากผู้เป็นสามี’

‘แต่พระองค์กลับละเลย...ข้ามิสามารถให้อภัยพระองค์ได้’

‘นับจากเพลานี้ อีกกี่ปีอีกกี่ชาติ พระองค์จักต้องอยู่ตัวคนเดียว...แค่กๆ...หากมีคู่ครองก็ขอให้ร้าวฉานฉิบหาย ฤายามใดใกล้ม้วยมรณาก็ขอให้สิ้นชีวาเพราะเนื้อมือนางอันเป็นที่รัก’

‘มณโฑ!’

‘พระองค์จักมิมีวันหลุดจากบ่วงรักของข้าได้จนกว่าข้าจักเป็นคนตัดมันให้ขาดเสียเอง จงจำไว้แม่นมั่นเสียเถิดทศกัณฐ์’


เขาควรทำอย่างไรดี...

“พี่ทศ เป็นอะไรหรือเปล่าครับหน้าซีดเชียว” เปรมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากสังเกตอาการคนด้านข้างมาได้สักพักนับตั้งแต่นางแบบคนล่าสุดเดินออกมา

“พี่ไม่เป็นไร”

“แต่ใจใช่ไหม”

“อืม”

“แต่พี่...”

“พี่บอกว่าไม่เป็นอะไรไง!”

“ว๊าย!”

“โอ๊ะ นางแบบเป็นลม ใครก็ได้ช่วยที ช่วยหน่อยครับ”

เปรมถึงกับผงะเมื่ออีกฝ่ายกระชากเสียงใส่พร้อมปัดมือของเขาที่จับบนบ่ากว้างออก วิ่งเข้าไปช้อนตัวอุ้มหญิงสาวที่เป็นลมหมดสติทันทีที่ทีมงานร้องขอความช่วยเหลือ แผ่นหลังกว้างที่เห็นจนชินตาบัดนี้กลับอยู่ไกลแสนไกล ยากเกินจะเอื้อมคว้าไว้ทัน หัวสมองหนักอึ้ง นัยน์ตาหวานสั่นไหว คล้ายมีก้อนบางอย่างมาจุกอยู่ในอกปิดลำคอจนเรียวปากมิอาจเปล่งวาจาใดได้อีกต่อไป
มึนงง...สับสน...ว่างเปล่า

ถึงจะแค่แวบหนึ่ง หากทว่าแววตาที่อสุเรนทร์ส่งไปยังผู้หญิงคนนั้นมันเต็มไปด้วยรัก คะนึงถึง โหยหา โศกเศร้า เสียใจ...หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ เสมือนมีเข็มแหลมนับร้อยนับพันเล่มทิ่มแทงเข้าไปที่ก้อนเนื้อบริเวณอกซ้ายจนรู้สึกเจ็บปวดจนสุดบรรยาย มีแต่คำว่าทำไมๆถามวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา

รณพักตร์และศุภลักษณ์รีบวิ่งมาดูอาการคนร่างบางเมื่อผู้เป็นพ่อเดินหายลับเข้าไปทางด้านหลังเวทีพร้อมกับเจ้าหน้าที่ประสานงาน

“อากฤต”

“ยังไม่ใช่เวลาถามเจ้าอิน กลับบ้านค่อยว่ากันอีกที”

รากษสร่างเล็กพรูลมหายใจยาวเหยียด “ไม่เป็นไรใช่ไหมเปรม”

“ครับ...ผมไม่เป็นไร” ถึงเจ้าตัวจะตอบแบบนั้น แต่ดวงตาและน้ำเสียงที่เศร้าเกินเหตุและไหนจะน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด มันก็พอทำให้เขารับรู้ว่าอาการของคนตรงหน้าสาหัสมากน้อยแค่ไหน

“อากฤตพาเปรมไปส่งบ้านก่อนเลย ทางนี้ผมอยู่จัดการเอง”

“แล้วเจอกันที่บ้าน”

รณพักตร์พยักหน้าตอบรับ เบือนมองคนรักของผู้เป็นพ่อที่อาชินกฤตประคองออกไปจนสุดสายตา อารมณ์ที่เคยราบเรียบกลับลุกโชนดั่งไฟบรรลัยกัลป์จากขุมนรก ดวงเนตรสีแดงแวววาบจับจ้องศุภลักษณ์สงบนิ่งโดยมีไอ้กบินทร์ลิงเผือกยืนประกบอยู่ทางด้านหลัง เรียวปากปรากฏรอยยิ้มเหยียดนิดๆ

“พวกนายรอคอยเวลานี้อยู่สินะ ใช่ไหมลักษณ์”

“รอคอยอะไรอิน”

“พวกนายนี่มันเลวเสมอต้นเสมอปลาย เลวไม่มีที่ติ”

“นายพูดเรื่องอะไร ช่วยอธิบายให้เข้าใจหน่อยได้ไหม” คิ้วเรียวขมวดเข้ากันอย่างไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของฝ่ายตรงข้าม เขาทำอะไรให้ไม่พอใจอย่างนั้นหรือ

“อย่ามาทำไขสือ นายจะแกล้งโง่บอกว่าไม่รู้จักพระมารดาข้าหรือไง”

“แล้วมณโฑเกี่ยวอะไรกับที่นายมาว่าฉันด้วย”

“เพราะคนที่นายบอกรู้จัก ผู้หญิงที่เดินแบบแล้วเป็นลมจนพระบิดาต้องรีบวิ่งไปดูอาการคืออดีตพระมารดาของฉันเอง ได้ยินชัดหรือยังเธอคือนางมณโฑ!”

“ไม่จริงน่า”

“ฉันก็หลงเชื่อว่านายจะดีกว่าพี่ชาย แต่เห็นแบบนี้มันก็เลวกันทั้งตระกูลล่ะวะ”

“มันจะมากไปแล้วนะอินทรชิต!”

กบินทร์ปรี่ตัวเข้ามาขย้ำคอเสื้อรณพักตร์ หากถูกปัดออกอย่างแรงพร้อมฝ่าเท้าที่ยันหน้าท้องท้องแกร่งของพญาวานร หากในครานี้กบินทร์กลับหลบได้ทันพร้อมสวนหมัดเข้าใส่จนร่างทั้งร่างของรณพักตร์ล้มลงไปนอนกองกับพื้น แล้วคร่อมตัวต่อยใบหน้าศัตรูคู่แค้นไม่ยั้ง

“พอได้แล้วกบินทร์”

“แต่...”

“ฉันบอกให้พอ!”

รณพักตร์นอนหอบหายใจบนพื้นพรม เสียงที่ดังอื้ออึงจากทั่วสารทิศไม่ได้เข้าหัวเขาแม้แต่น้อย พยายามยันกายลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ใช้หลังมือปาดคราบเลือดที่ไหลซิบบริเวณมุมปากและโหนกแก้ม

“เอาเลยสิ เข้ามากระทืบฉันเสียให้พอให้สมกับความแค้นที่พวกนายรอคอย...แต่จะบอกอะไรสักนิด คนอย่างฉันถึงจะเป็นคนเลวทำชั่วมากมายแต่ก็ไม่เคยคิดแผนตลบหลังใคร พวกนายอยากจะแก้แค้นพวกฉันยังไงก็ได้ แต่อย่าเอานางเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ นายไม่รู้หรอกว่าพระบิดาฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง...หากพี่ชายนายทุกข์เพราะรักนางสีดา พระบิดาของฉันก็คงทุกข์เพราะความรักทีมีต่อสีดามากเกินไปและความรู้สึกผิดที่ทำให้นางมณโฑต้องตาย”

ดวงเนตรคมเอ่อล้นด้วยน้ำตาหลั่งลงมาเป็นสาย “ครั้งนี้เป็นครั้งที่ฉันโกรธและเจ็บใจมากที่สุด ฉันผิดหวังในตัวนายจริงๆศุภลักษณ์”

“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะอิน ฉันไม่รู้...ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

ศุภลักษณ์ส่ายศีรษะปฏิเสธพัลวัน ยื่นสัมผัสข้อแขนแข็งแรงแน่นราวกับสื่อความในใจบอกให้รู้ว่าเขาไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านานะคนที่เขาอุปการะคือนางมณโฑในอดีตชาติ

“ขอร้องล่ะเชื่อฉัน ฉันไม่รู้จริงๆ”

“จะมาบอกตอนนี้ก็ยากไปเสียแล้วล่ะ เพราะความไว้ใจที่ฉันมีให้มันเลือนหายนับตั้งแต่วินาทีที่นางก้าวเท้าเดินออกมา”

“!!”

“นับจากนี้เราไม่มีคำว่าญาติดีต่อกันอีก เมื่อเลวมาฉันก็จะเลวกลับเป็นหมื่นเท่าล้านเท่าและต่อให้คนคนนั้นคืออดีตพระมารดาฉันก็ไม่คิดไว้หน้าทั้งสิ้น”





พี่อินของเรามีความโหดดด ฮื่อออพี่ทศศศศ ไปหานางมณโฆทำม้ายยย :ling1: เปรมเขาน้อยใจแล้วนะเว้ย

มาลงแค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวเราจะกลับมาต่อครึ่งหลังให้ช่วงเย็นๆ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-01-2017 13:34:26
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
โอ๋ น้องเปรมกลับบ้านไปอยู่กับพวกปู่ไม้นะ แล้วถ้ามีใครบางคนไปง้อก็งอนให้หนักเลย

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 09-01-2017 14:37:59
หัวใจจะขาดรอนๆ ฮืออออ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 09-01-2017 16:32:55
นี่สินะภิเภกถึงบอกว่าให้เลือกดีๆ แถมอิท่านยักษ์เขียวก็ตกหลุมพรางซะแล้ว

อิท่านทศนี่ งานนี้อิตาพระรามได้โอกาสเสียบแล้วหล่ะ

เปรม งานนี้อย่าให้อภัยง่ายๆนะ มาขึ้นเสียงใส่เมียได้ไง

ดูซิ ถ้าเปรมงอนขึ้นมา ท่านพญายักษ์จะดิ้นแค่ไหน ทำเย็นชาใส่ไปเลยเปรม  อิอิ///ยังคงเป็นแฟนคลับทศเปรมอยู่นะ แต่แค่หมั่นไส้อิตายักษ์เขียวนิดนึง

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 09-01-2017 17:43:46

นั่นไง........

หวานไม่เท่าไหร่

กลิ่นดราม่ามาเชียว

รอขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 09-01-2017 18:43:01
คนเคยรักกันเจอกันในรอบกี่ปีก็ไม่รู้แหละ อาจมีนึกย้อนไปถึงวันเก่าๆบ้าง แต่ไม่มีทางที่ท่านทศจะรักนางอีกแล้วโว๊ย

อยู่ข้างท่านทศเว้ย มั่นใจว่าท่านทศไม่นอกใจพ่อเปรมแน่ๆ

รอมาเป็นพันปีเลยนะเว้ย ลมหายใจก็แบ่งให้ไปแล้ว รักจนล้นใจ ทุ่มจนสุดตัวขนาดนั้น อย่างเพิ่งน้อยใจเลยนะพ่อเปรม

ไอ้พระรามสะพานหักโครง ดูเอาไว้เถอะ ความเห็นแก่ตัวของตัวเอง ความอยากเอาชนะของตัวเอง ทำให้ใครเขาเจ็บบ้าง

ครั้งหนึ่งพิเภกเคยทรยศท่านทศ ถ้าครั้งนี้พระลักษมณ์จะทรยศพระรามบ้างกูจะไม่แปลกใจเลย  โว๊ย!! โมโหแม่ง :katai1:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 09-01-2017 19:18:25
โอเค ตอนนี้เราว่างล่ะ มาอ่านกันต่อเลยยยย ลุยยย :katai4:



อสุเรนทร์สำรวจเรือนร่างระหงส์ของหญิงสาวที่นอนไร้สติอยู่บนโซฟา...ด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่นเกินอิสตรีใดในโลกหล้า ผิวพรรณขาวละเอียดนวลเนียนเสียยิ่งกว่าไข่มุกชั้นเลิศจากใต้บาดาล...นาง...ยังคงเหมือนเดิมมิมีเปลี่ยนแปลง

มือหนาที่เลื่อนวางบนเนื้อแก้มขาวแทบอยากจะเปลี่ยนไปบีบคอระหงให้ขาดหายใจตายเสียประเดี๋ยวนี้ พญารากษสสูดลมหายใจดังฟืดฟาดเพื่อบ่งบอกว่าว่าเขากำลังใช้ความพยายามมากแค่ไหนกับการยั้งมือมิให้ฆ่านางตรงหน้า...ในความทรงจำเบื้องลึกดวงเนตรของมณโฑคุกรุ่น เต็มไปด้วยโทสะ โกรธแค้นและเสียใจอย่างยิ่งยวด อสุเรนทร์ยังจำคำที่มณโฑเคยลั่นไว้ก่อนสิ้นชีพได้ทุกเว้นวรรคทุกตัวอักษร...คำสาปแช่งที่ก่อให้เกิดบ่วงกรรมติดตามตัวพญารากษสนับตั้งแต่ลมหายใจสุดท้ายแห่งจอมนางดับสิ้น ไม่มีทางแก้...ไม่มีวันเลือนหายนอกเสียจากตัวนางจะเป็นผู้ยินยอมตัดบ่วงนั้นไปเสียเอง

“เมื่อใดกันเจ้าถึงจักปล่อยพี่ไป”

 “...”

“เมื่อใดกันที่เจ้าจักปล่อยให้พี่มีความสุขกับคนที่พี่รักบ้าง” ริมฝีปากอวบหยักยิ้มเหยียด “แค่นี้มันยังมิสาแก่ใจเจ้าใช่ฤาไม่ เจ้าถึงได้คิดจองเวรจองกรรมต่อไปมิเลิกรา”

“...”

“เจ้ามิควรกลับมาเลยมณโฑเอ๋ย”

สัมผัสอันบางเบาบริเวณพวงแก้มค่อยๆเคลื่อนลงสู่ลำคอระหงก่อนก้านนิ้วหนาจะออกแรงกดตรงหลอดเลือดจนร่างเพรียวเริ่มดีดดิ้นทั้งที่ยังหลับตา พยายามแงะมือปริศนาออกแต่ก็ไม่เป็นผล ความเจ็บตื้นขึ้นมาจนถึงกลางสมอง ได้แต่อ้าปากพะงาบๆเพื่อหายใจ ดวงหน้าสวยขึ้นสีแดงจัดเนื่องจากขาดออกซิเจนหล่อเลี้ยง

“อึก! ปล่อย”

“พี่รักเปรม รักเกินกว่าจักให้เจ้าหรือความชั่วร้ายมาพรากจาก”

“ช่.ย...ด้วย...”   

“เจ้าควรอยู่ในที่ของเจ้าแลปล่อยให้พี่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับเปรมอย่างมีความสุข”

“ช่.ย...ด้วย...”

“เจ้าทำให้พี่มิมีทางเลือกมณโฑ” อสุเรนทร์กระซิบแผ่วเพิ่มแรงบีบกดเข้าไปอีก จากใบหน้าที่แดงก่ำของหญิงสาวเริ่มออกสีคล้ำและคาดว่าอีกไม่นานก็คงหมดลมหายใจ สายตาที่ตวัดมองมามีแต่ความตัดพ้อ เสียใจ นี่ไม่ใช่หนทางที่ดีเท่าไหร่นัก แต่เขาจำเป็นต้องทำ

ถ้าหากบนโลกมีทศกัณฐ์ ก็ต้องไม่มีนางมณโฑ!

“พระบิดา!”

“ฆ่าผู้หญิงเขาเรียกว่าหน้าตัวเมียนะครับคุณอสุเรนทร์”

นานะกลับมาหายใจได้อีกครั้งเมื่อความอึดอัดบริเวณช่วงลำคอหายไปแล้ว อสุเรนทร์ง้างหมัดลงบนใบหน้าราเมนทร์เต็มแรงจนมุมปากมีเลือดไหลออก รณพักตร์เบิกตากว้างรีบถลาเข้าไปยื้อยุดร่างกายสูงใหญ่ของคนเป็นพ่อเพื่อไม่ให้มีเรื่องกับอีกคน นัยเนตรแห่งยักษ์จับจ้องอีกฝ่ายอย่างนึกเอาเรื่อง

“เหตุใดเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้ เมื่อไหร่เรื่องมันจักจบสิ้นกันเสียทีพระราม”

“ขอโทษนะ แต่ฉันไปอะไรให้นายโกรธอย่างนั้นหรือ”

“อย่าตอแหลใส่ข้าให้มากนักพระราม หึ ต้องให้ข้ายกเปรมให้เจ้าก่อนใช่ฤาไม่เจ้าถึงจักหยุด”

“พระบิดา...”

“พูดอะไรฉันไม่เข้าใจ”

“อย่ามาทำไขสือ เจ้าย่อมรู้นางคือผู้ใดในอดีต” ไม่มีทางที่ราเมนทร์จะจำมณโฑไม่ได้ แม้เคยเจอกันเพียงหนสองหนไม่นานนัก หากเขาเชื่อคนอย่างมันไม่น่าโง่สติเลอะเลือนถึงขนาดจำบุคคลสำคัญของฝ่ายศัตรูไม่ได้หรอก

“แล้วเธอคือใครล่ะ ฉันรู้จักแค่มิสนานะ อิม ดีไซน์เนอร์ชื่อดังที่มีน้ำใจสละเวลามาช่วยเดินแบบให้กับงานเปิดตัวเครื่องเพชรของฉันก็แค่นั้น”

“เจ้าโกหก”

“ฉันจะโกหกนายทำไม”

“...”

“โกหกแล้วได้เปรมกลับมาหรือเปล่า...ก็ไม่ ช่วยมองฉันในแง่ดีหน่อยเถอะอสุเรนทร์ คราวนี้ฉันจริงจัง ไม่ได้คิดวางแผนหรือแย่งเปรมจากนายอีกแล้ว”

“มันกำลังโกหกเรา อย่าไปเชื่อมันเด็ดขาด”

พญารากษสเหลือบมองประธานหนุ่มเจ้าของบริษัทรามาจิวเวอร์รี่ เขาเห็นใบหน้าที่ฉาบไปด้วยรอยยิ้มอ่อนไม่มีวี่แววของการมดเท็จหรือซ่อนลูกเล่นใดไว้แม่แต่นิดเดียว แต่ใจเขายังไม่ขอเชื่อเต็มร้อย เพราะบางทีสิ่งที่เห็นตรงหน้ามันอาจเป็นกลลวงที่เคลือบทับความเลวของมันไว้อีกชั้นหนึ่งก็เป็นได้

“จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ฉันขอบอกตรงนี้เลยว่าในเมื่อฉันยอมเดินถอยมาเองแล้ว นั่นหมายถึงเรื่องราวระหว่างเราจะจบลงด้วย แกได้เปรมไป ส่วนฉันก็ต้องจำยอมน้อมรับอย่างผู้แพ้”

“หึ” คิดว่าทำหน้าเศร้าเคล้าน้ำตาจะหลอกให้เขาตายใจได้หรือไง “ไม่ต้องมาทำหน้าเหมือนหมาหงอยไอ้ชั่ว ถึงแกจะตอแหลแอ๊บหัวใจสี่ดวงใช่ว่าคนอย่างฉันจะจับไม่ได้นะราเมนทร์”

“...”

“ปู่ไม้ก็เคยบอกนี่นา อะไรที่มันเป็นของเรามันก็เป็นของเราอยู่วันยังค่ำ แต่ถ้าไม่ใช่...ต่อให้ยื้อยุด ดึงรั้งไว้สักแค่ไหนสิ่งๆนั้นก็จะจากเราไปอยู่ดี”

“เมื่อไหร่พวกแกจะเชื่อกันสักทีว่าฉันไม่ได้พูดโกหก”

“เมื่อความตายมาเยือนแกอย่างไรล่ะ”

“!”

“ฉันขอเตือนนะราเมนทร์ ถ้าแกทำให้พระบิดากับเปรมต้องผิดใจกัน ฉันจะทำกับน้องแกเจ็บยิ่งกว่านั้นเท่าทวีคูณ”

“แก!” ราเมนทร์กัดฟันพูด กำหมัดแน่นจนมือสั่น “ลักษณ์ไม่เกี่ยว”

ร่างเล็กโอรสแห่งลงกาก้าวประชิดคนตัวสูงกว่าพลางใช้มือขวาปัดไรฝุ่นบนสูทสีดำให้พอเป็นพิธีดูสนิทสนมกัน หากก็โดนปัดออกด้วยท่าทีรังเกียจ

“เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้ว่ะ ฉันรู้แค่คราวนี้ฉันพูดจริงทำจริง แถได้ก็แถต่อไปให้เนียนนะรับคุณราเมนทร์ แต่ถ้าเผลอช่องโหว่ออกมาให้จับพิรุธได้เมื่อไหร่ก็ช่วยดูแลน้องลักษณ์ของนายให้ดี...”

“...”

“ระวังหายลับไปโดยไม่รู้ตัว”

เมื่อบานประตูปิดลงสนิท สิ่งที่ใกล้มือที่สุดอย่างแจกันก็ถูกโยนลงพื้นอย่างไม่เห็นค่า กระเบื้องเคลือบสีขาวแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ สีหน้าของราเมนทร์เต็มไปด้วยความโกรธจัด เขากัดฟันกรอดขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสันนูนชัดเจนดวงตาแข็งกร้าวลุกวาวด้วยโทสะ

เปรม...จะต้องเป็นของฉันคนเดียว!


แสงนวลจากจันทราอาบไล้ไปทั่วผืนนภากว้าง ความมลังเมลืองทำให้บรรยากาศดูเศร้าซึมลงถนัดตา คนร่างบางวัยยี่สิบปีเศษนอนนิ่งอยู่บนเตียงหนานุ่ม ดวงตาที่หลับพริ้มยังคงทิ้งคราบน้ำตาที่แห้งหายเอาไว้บนหมอน...กับราตรีที่ผ่านพ้นมายาวนาน บวกกับความเหน็ดเหนื่อยหัวใจ ทำให้เจ้าตัวเริ่มถอยเข้าสู่ภวังค์แห่งความง่วงงุน

‘เปรม’

‘เปรมจ๋า’

‘ได้ยินพี่ฤาไม่ พี่มาหาน้องแล้วนะ’


จากดวงตาที่ปิดค่อยเปิดออกอย่างเชื่องช้า เขารู้สึกมีกระแสบางอย่าง ‘เพรียกหา’ อยู่ด้านนอก...จิตคิดพร้อมกับการขยับตัวของร่างกาย ความอยากรู้และความสงสัยเสียงที่กังวานแว่วอยู่ในโสตทำให้ชายหนุ่มก้าวลงจากเตียงไปยังประตู...

ลมยามดึกพัดโบกโชยอายอ่อน ดวงจันทร์แขวนตัวอยู่เหนือทิวไม้ส่องแสงสว่างสลัว เบื้องนอกเงียบสงัด บอกให้เจ้าตัวรู้ว่าทุกคนในบ้านเข้าสู่นิทรากันจนหมดสิ้น

ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติเช่นถูกมนต์สะกด สองขาก้าวเดินจนมาหยุดอยู่ตรงหน้าศาลาริมน้ำ มีเงาร่างของใครบางคนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องคิดทบทวนให้เสียเวลาเขาก็รู้ว่าคนตรงหน้าคือใคร

“พี่ทศ...”

“เดินมาสิ”

ใจจริงเปรมอยากปฏิเสธ...หากทว่าร่างกายและหัวใจเขากลับเลือกที่จะเดินไปหาคนร่างสูงกว่า วินาทีนั้นเองอสุเรนทร์หันหลังกลับมา น้ำตาก็พลันไหลอาบแก้มน้อยมิหยุดหย่อน ก้านนิ้วหนาปาดคราบน้ำสีใสออกจากใบหน้านวลผ่องก่อนจะโน้มตัวจุมพิตบริเวณหน้าผากและรั้งตัวอีฝ่ายเข้าไปหาอย่างช้าๆ

เหมือนความกังวลใจทั้งหลายพลันหายจนหมดสิ้น วงแขนเรียวยกกอดอีกฝ่ายตอบด้วยความดีใจ ฝ่ามือหนาลูบไล้กลุ่มผมนุ่มของเปรมแผ่วเบาพลางจูบขมับน้อยซ้ำไปซ้ำมาราวต้องการปลอบประโลมให้รู้สึกดี

“นึกว่าพี่จะไม่มาเสียแล้ว”

“พี่ต้องมาสิ กลับมาหาน้องน้อยขี้แงขี้คิดมากของพี่”

“เปรมไม่ขี้แงนะ”

อสุเรนทร์ยกยิ้มน้อยเรียวแขนกอดรักเอวคอดแน่นขึ้นไปอีก “พี่รักเปรมนะ รักเปรมมากเหลือเกิน”

“เปรมก็รักพี่ทศ”

“พี่อยากขอโทษที่ทำกับเปรมอย่างนั้นในงาม พี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น พี่...”

“ไม่ต้องพูดแล้วครับ เปรมเข้าใจ”

“กฤตบอกเหรอ”

เปรมพยักหน้าแทนคำตอบ ดวงหน้างามหลับตาพริ้มซบอกกว้างที่อบอุ่นสำหรับเขาเหลือเกิน ริมฝีปากคลี่ยิ้มหวานเมื่อได้ยินเสียงหัวใจของอสุเรนทร์เต้นดังชัดเจน

“หัวใจพี่ทศเต้นแรงเหมือนของเปรมเลย”

“เพราะหัวใจพี่มันเป็นของเปรมยังไงล่ะ มันก็เลยเต้นในจังหวะเดียวกัน”

“เล่นมุกประหลาดอีกแล้ว”

“ประหลาดตรงไหน ก็พี่พูดความจริง”

“ฮื่อ”

อสุเรนทร์ยกมือเรียวจูบเบาๆ “เปรมครับ”

“อะไรอีกล่ะครับ” คนร่างบางขับขานแว่วหวานหู

“อย่ากังวลว่าพี่รักใคร อย่าถามว่าในหัวใจพี่มีผู้ใดครอง อย่าโศกาเศร้าหมองเพราะเห็นพี่ผิดแผกไปจากเดิม เรื่องบางเรื่องพี่เป็นคนผูกก็ย่อมต้องเป็นคนแก้ รออีกหน่อยได้ไหมจ๊ะคนดี...แล้วพี่จะทำให้ชีวิตคู่ของเรามีความสุขที่สุด”

“...”

“เชื่อใจพี่นะ เราจะฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน”

อสุเรนทร์แย้มละมุน มันเป็นรอยยิ้มที่เปรมชอบมากเหลือเกิน รู้สึกอบอุ่น...สุขใจ...เขินอายจนไม่กล้าสบตา เปรมไม่รู้หรอกว่าเรื่องราวในอดีตระหว่างทศกัณฐ์และนางมณโฑเป็นเช่นไร ร้ายแรงมากเพียงไหน หากสิ่งหนึ่งที่เขาสามารถทำได้ ณ เวลานี้ วินาทีนี้คือความเชื่อมั่นในตัวและหัวใจอันแข็งแร่งของอสุเรนทร์

“ครับ เราจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน”

พญารากษสสุดยั้งใจได้อีก เขาค่อยๆก้มหน้าอย่างแช่มช้าก่อนประทับจูบลงบนกลีบกุหลาบบอบบางแสนหวาน บัดนี้ร่างเงาทั้งสองภายใต้แสงจันทรานวลผ่องแนบชิดซึ่งกันและกัน เป็นอีกครั้งที่เปรมรู้สึกเหมือนคนตกน้ำ...อ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง อสุเรนทร์ถอนริมฝีปาก จ้องคนตรงข้ามมิวางตา

“พี่รักเจ้า”

“รักเจ้าสุดหัวใจ”

“รักจนยอมตายแทนได้”

“ใครเขาให้พูดถึงเรื่องตาย มันไม่ดีนะครับ”

วงแขนกอดรัดร่างบางแน่นขึ้นพลางยิ้มด้วยตนเองเป็นต่อ

“ห่วงพี่หรือ”

“บ้า ใครเขาห่วงกัน”

อสุเรนทร์ผละตัวออกห่างพลางสบนัยน์ตาหวาน มือแข็งแรงสัมผัสปลายนิ้วเรียวยาวก่อนจะประสานกันกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว ท่ามกลางดวงแก้วรัตติกาล หมู่ดาวระยิบระยับเป็นพยาน...

“ผูกใจใฝ่ที่ฝัน      นิจนิรันดร์มั่นจันทร์ฉาย
สิ้นแสงแจ้งประกาย   มิมลายหายจากไป”



แล้วเราจะรอไปถึงวันนั้นด้วยกัน....





ช่วงหลังถึงกับสะอึก พี่ทศของเราโหดมาก ถ้าพระรามกับอินไม่เข้ามา นานะตายแน่
หลังจากนี้ดราม่าจะเข้มขึ้นเรื่อยๆนะคะ เตรียมใจกันไว้ได้เลยยย
อาทิตย์นี้เราค่อนข้างไม่ค่อยว่าง หากว่างเมื่อไหร่จะรีบมาลงให้เลยนะคะ
ไว้เจอกันใหม่เน้อ  :mew1: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 09-01-2017 19:25:19
เฮ้ออออออออออออออ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-01-2017 20:34:03
ตกอกตกใจหมดนึกว่าพี่ทศจะตกหลุมรักนานะซะอีกที่ไหนได้กะฆ่าเพราะกลัวนานะมาทำให้ต้องแยกจากเปรม :เฮ้อ: :เฮ้อ:
พี่ทศก็มีเรื่องให้ต้องทำต้องเคลียร์เพื่อจะพ้นคำสาปของนางมณโฑ  :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
เปรมเองก็มีเรื่องให้ต้องทำเหมือนกัน ไม่รู้จะซดมาม่าจากทางไหนดี :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 09-01-2017 21:25:45
ง่าาา เตรียมใจรอรับดราม่าา คนแต่งขาขอเบาๆนะคะ อนอ่านใจบาง

พี่รามเมื่อไรจะเลิกเลววว งือออ

คนแต่งสู้ๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 09-01-2017 22:31:03
เอาพระรามไปเก็บที

เกลียดหน้ามาก

ร้ายกาจจริงๆ

ขอทีเถอะ :z6:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 09-01-2017 23:17:54
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 09-01-2017 23:25:42
 o13
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 09-01-2017 23:42:10
ท่านทศโหดมากกกก ส่วนอิตาพระรามนี่ก็คิดไม่ได้สักที บอกนานะว่านี่เป็นครั้งสุดท้าย แต่ท้ายที่สุดก็ยังจะทำเรื่องเลวๆอีกแน่

ว่าแต่เปรมจะทำอะไรนะ ท่านทศดัวย งานนี้มีน้ำตาแตกแน่เลย

ฮือๆๆๆมาม่ารสจัดกำลังจิมา
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 10-01-2017 09:09:54
ไอ้คุณพระรามนี่มันน่า  :beat: จริงๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 10-01-2017 15:09:57
ความสารเลวของไอ้พระรามทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนไปหมด

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 13-01-2017 16:31:24
คิดถึงพี่ทศ :ling1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 14-01-2017 01:39:47
:)
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 17-01-2017 08:05:01
คิดถึงพ่อเปรมกับท่านทศจัง :mew6:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 17-01-2017 09:40:04


ยังไม่มาหรือขอรับ

คนอ่านก็เฝ้ารอต่อไป


หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๑๙ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 17-01-2017 13:35:56
Miss youuu
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 18-01-2017 19:28:03
ขอโทษที่หายไปนานค่าาาาาา เรามาต่อแล้วววว ^^




บทที่ ๒๐


โลกแห่งความฝันพร่างพราย...เปรมไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน...มันคล้ายกับเงาอดีตประหนึ่งภาพยนตร์ฉายย้อนกลับมา...และเป็นโลกที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด  กรุ่นโกรธและคับแค้นที่ทาบทับอยู่ในวิญญาณของตนอยู่เป็นนิจ

เปรมเหมือนเห็นตัวเองอยู่ในห้องนอนห้องใหญ่ โอ่งโถง หรูหรา การประดับประดับตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ส่วนใหญ่เป็นทองคำแท้ จิตรกรรมฝาผนังลวดลายอ่อนช้อยทว่าแฝงความแข็งแกร่งมีอำนาจล้วนแล้วแต่บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้คงไม่ใช่ห้องนอนในบ้านคนธรรมดาและไม่น่าจะใช่ยุคปัจจุบันเสียด้วย

‘กรุงลงกา!’ ชื่อนี่ปรากฏขึ้นกลางจิต ขณะกวาดดวงตาเรียวมองสำรวจรอบๆกาย

“สีดา” เสียงของใครบางคนดังกังวานขึ้น ทำให้คนร่างบางสาวเท้าไปยังจุดต้นตน และเมื่อเห็นเจ้าของเสียง วงพักตร์ใต้กรอบศิราภรณ์มงกุฎยอดชัยรัดรอบศีรษะกลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ยังคงไหลรินมิขาดสาย ริมฝีปากซีดสั่นระริก นิ้วหนาวาดไล้ดวงหน้างามงดของคนที่อยู่ในภาพวาด...ถึงจะอยู่ไกลเกินกว่าเห็นภาพนั้นชัดเจน ทว่าเปรมก็มั่นใจ มันคือรูปร่างของนางสีดายามสวมเครื่องทรงเต็มยศ

ดวงหน้าน้อยฉีกยิ้มอย่างมีความสุข...ผิดกับราชันย์แห่งยักษาแลยักษีที่เอาแต่สะอื้นร่ำไห้อย่างเจ็บปวดเจียนขาดใจ

“พี่ทศงั้นเหรอ” เปรมอุทานออกมาแผ่วเบาด้วยความตื่นตะลึง นับเป็นครั้งที่สามที่เห็นอีกฝ่ายคงอยู่ในรูปลักษณ์ดั้งเดิม กายสีเขียวเนียนละเอียดเฉกเช่นเดียวกับดวงเนตร วงพักตร์คมคายดูหล่อเหลาและมีอำนาจเหนือผู้คนทั้งปวง แม้เครื่องหน้าในตอนนี้จะต่างไปจากในปัจจุบันพอสมควร แต่ความรู้สึกของเปรมมันกลับบอกว่าคนคนนี้คือ อสุเรนทร์ไม่ผิดเป็นอื่นแน่

“สีดา พี่คะนึงถึงเจ้าเหลือเกิน”

“...”

“เพลานี้เจ้าอยู่แห่งหนใดกัน พี่อยากพบเจ้าเหลือเกิน กลับมาหาพี่เถิดหนา”

ได้แต่มองร่างกำยำสั่นเทิ้มเพราะแรงสะอื้นจากการร้องไห้ด้วยความเป็นห่วง เปรมอยากจะเข้าไปกอดปลอบประโลมให้อีกฝ่ายสบายใจบ้าง ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมขยับตามเสียอย่างนั้นราวกับว่ามีมือนับสิบคู่จับยึดเอาไว้ให้ขยับไปไหนไม่ได้

“พระบิดา! แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พระบิดา!”

ร่างเล็กซึ่งเปรมจำได้ดีว่าคือรณพักตร์หรืออินทรชิต บุตรชายของทศกัณฐ์และนางมณโฑกำลังวิ่งหน้าตาตื่นปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าหวั่นวิตก ทศกัณฐ์เพียงปรายตามองเสี้ยววินาทีและหันกลับไปดังเดิม

“ใครสั่งให้เจ้าเข้ามา ออกไปซะ”

“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เพลานี้พระมารดาประชวรหนักหนานัก เป็นตายเท่ากัน ข้าอยากให้พระบิดาโปรดช่วยไปดูนางสักนิดเถิด แค่เศษเสี้ยวเพลาก็ยังดี”

“อินทรชิต...” ผู้มากวัยกว่าเอ่ยแผ่ว

“ถือว่าลูกขอ โปรดช่วยกลับไปดูใจพระมารดาด้วยเถิด” อินทรชิตก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นพ่อ อ้อนวอนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รู้สึกโกรธคนเป็นพ่ออยู่ไม่น้อยที่เจ้าตัวเลือกจมปักอยู่กับหญิงสาวในภาพวาดข้ามวันข้ามคืน มากเสียกว่าผูกพันสมัครรักใคร่ลูกเมียที่มีตัวตนตรงหน้า...แต่คนเป็นลูกอย่างเขาจะทำอะไรได้บ้างล่ะ นอกจากขอร้องอ้อนวอนด้วยน้ำตา  มือเล็กๆเอื้อมสัมผัสฝ่าเท้าใหญ่ด้วยความสั่นเทา รากษสหนุ่มรู้ดีในตอนนี้หฤทัยแห่งพญารากษสแปรเปลี่ยน มิมีช่องว่างไว้ให้ผู้เป็นแม่ของเขาอีกแล้วก็ตาม แต่ในฐานะสามีก็ควรเข้าไปดู ให้กำลังใจภรรยาที่กำลังป่วยหนักบ้าง...มิใช่หรือ

“พระบิดา...” ทศกัณฐ์ถอนหายใจ และตัดสินใจลุกขึ้นยืนเต็มไปสูง ก้าวฉับเดินจ้ำอ้าวออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็วโดยมีอินทรชิตและเปรมวิ่งตามไปติดๆ

บรรยากาศที่น่าหดหู่ยิ่งหดหู่ลงเป็นเท่าทวีคูณ เสียงร่ำไห้แห่งความระทมของนางกำนัลดังรอบแท่นพระบรรทมของผู้เป็นดั่งพระอัครมเหสีแห่งดินแดนรากษสผู้มีอิทธิฤทธิ์ เปรมเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวร่างผอมเพรียวที่นอนหายใจกระท่อนกระแท่นช่างเหมือนกับหญิงสาวที่ชื่อนานะไม่มีผิด ไม่ว่าจะเป็นดวงตา จมูก ปาก ล้วนแล้วแต่ถอดพิมพ์เดียวกันมาทั้งสิ้น แม้จะรู้เรื่องราวในอดีตจากปากของชินกฤตมาบ้างแล้ว แต่เมื่อมาเห็นภาพจริงเหตุการณ์จริงกลับยิ่งทำให้เปรมตื่นตะลึงและรู้สึกผิดกับเธอมากกว่าเดิม

ผิวพรรณที่เคยขาวอมชูกลับขาวซีดแทบไร้สีเลือด ดวงตาเหม่อลอยคล้ายคนไร้สติสัมปชัญญะติดตัว มือนางข้างหนึ่งกำสร้อยทองประดับจี้มรกตเม็ดโตซึ่งเปรมจำได้ว่ามันมีลักษณะเดียวกันกับสร้อยที่ราเมนทร์ใช้เปิดตัวเครื่องเพชรชุดใหม่ อกบางกระเพื่อมหอบหายใจรวยรินอย่างเหนื่อยอ่อนคล้ายคนใกล้ตาย

นัยน์ตาหวานเบือนไปยังทศกัณฐ์ผู้เป็นพระสวามี คลี่รอยยิ้มอ่อนงดงามซึ่งแฝงไปด้วยความเศร้า

“พระองค์ทรงมาหาข้าแล้ว...”

มืออันใหญ่โตของจอมราชันย์ทาบลงบนแก้มตอบ “เจ้า...เหตุใดจึงเป็นหนักเช่นนี้ พวกเจ้ามัวแต่ทำกระไรกันอยู่ ไปเรียกพระยาอสุรโอสถมา!”

“เอ่อ...คือ...”

“มิต้องดอกเพคะ...อย่างไรเสีย แค่กๆ อีกมินานข้าก็คงต้องไป”

“เจ้าจักไปที่ใดมณโฑ ครานี้เจ้าป่วยหนักหนานัก ข้ามิให้ยอมให้เจ้าไปไกลตาดอก”

นัยเนตรงามงดตอนนี้มีแต่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ “พระองค์สนด้วยรึ...ว่าข้า...จักเป็นเช่นไร แค่กๆ!” ลิ่มเลือดสีแดงคล้ำกระอักออกมาจากปากสวย

“พะ...พระมารดามิต้องพูดแล้วพ่ะย่ะค่ะ มิต้องพูดแล้ว” นางยิ้มให้กับคนเป็นลูกชาย ยกมือผอมแห้งไร้สีสันลูบพวงแก้มน้อย ปาดคราบน้ำตาให้หายไปจากใบหน้าคมคาย

“อินทรชิต”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“แม่คงอยู่ดูแลเจ้ามิได้อีกแล้วหนา ฝากดูแลพระบิดาแทนแม่ด้วย...ได้ฤาไม่”

“ฮื่อ เหตุใดจึงพูดเป็นลางเช่นนี้ ข้ามิให้ท่านไป พระมารดา...อย่าทิ้งลูกไปพ่ะย่ะค่ะ ไหนท่าน...ท่านสัญญาจักอยู่กับข้าจนกว่าข้าจักสมรสด้วยคู่ครองมีลูกมีหลานเต็มบ้านเต็มเมือง”

“แม่ขอโทษที่ผิดสัญญา เข้าใจแม่เถิดหนาอินทรชิต”

“น้องหญิง” กษัตริย์แห่งกรุงลงกาเอ่ยเบาๆ พระพักตร์บิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกผิดยิ่งนัก วงแขนแข็งแรงช้อนร่างบางเข้ามาซุกกับอกอุ่น ริมฝีปากร้อนจรดลงบนขมับและหน้าผากขาวซีดพร้อมเอ่ยพร่ำรำพันไม่ขาดปาก “พี่ขอขมาโทษเจ้า อย่าจากพี่ไปเลยหนามณโฑ”

“ที่ข้าเป็นเช่นนี้...มัน...แค่ก...เป็นเพราะพระองค์ แค่กๆ”

“มิต้องพูดอีกแล้ว อย่ากล่าวกระไรอีกเลย”

“แม้นตัวข้าจักมิใช่สีดา หากข้าก็คือเมียคนหนึ่งของพระองค์...ย่อมปรารถนาความรักจากผู้เป็นสามี” หญิงสาวหลับตาฝืนกลั้นต่อความเจ็บปวด นานเท่านานในอ้อมพระกรแห่งพญารากษสทศกัณฐ์ นางมณโฑจึงเอื้อนเอ่ยเบา ๆ...

“ข้าพยายามมิสนใจ รอคอยเพียงแต่พระองค์ให้หันกับมา แต่สุดท้ายพระองค์กลับละเลย ทอดทิ้งให้ข้าต้องอยู่โดดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียว...อึก...ข้ามิสามารถให้อภัยพระองค์ได้”

“พระมารดา”

ไม่รู้ว่าเปรมตาฝาดคิดไปเองหรือไม่ หากตัวเขารู้สึกเหมือนสายตาของนางจะตวัดมาทางเขาชั่วแวบหนึ่ง แม้จะแค่แวบเดียสั้นๆทว่าขนเล็กๆตามแขนขาต่างพากันลุกซู่ตั้งชันพร้อมเพรียงกัน 

“นับจากเพลานี้ อีกกี่ปีอีกกี่ชาติ พระองค์จักต้องอยู่ตัวคนเดียว...แค่กๆ...หากมีคู่ครองก็ขอให้ร้าวฉานฉิบหาย ฤายามใดใกล้ม้วยมรณาก็ขอให้สิ้นชีวาเพราะเนื้อมือนางอันเป็นที่รัก”

“มณโฑ!” ไม่เพียงพญารากษสหนุ่มที่ตกใจ นางกำนัล อินทรชิต รวมถึงพิเภกและหลวงอสุรโอสถที่เพิ่งมาถึงก็ตกใจเช่นเดียวกัน ไม่คิดว่าพระนางจะกล้ากล่าวคำเลวร้ายออกมาจากปาก

“หัวใจของข้านั้นภักดีต่อพระองค์ตลอดกาล” หญิงสาวหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ สบดวงตาอันอ่อนแรงของทศกัณฐ์พร้อมเรียบเรียงถ้อยคำกล่าวแผ่วเบาทว่ามั่นคงยิ่ง... “แต่ด้วยคำของข้า...พระองค์จักมิมีวันหลุดจากบ่วงรักของข้าได้จนกว่าข้าจักเป็นคนตัดมันให้ขาดเสียเอง”

“!!!”

“จงจำไว้แม่นมั่นเสียเถิดทศกัณฐ์”

และนางก็ตวัดตาเขม็งมาทางเปรมที่ยืนสะดุ้งอยู่นางหลังกำนัลคนหนึ่ง

“เจ้าเองก็เช่นกัน ข้าจักขัดขวางความรักของเจ้าและพระองค์ในทุกภพทุกชาติ!”

‘เฮือก!’ คนนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ผวาตื่นด้วยอาการหายใจเต้นแรง

‘ฝันหรือนี่?’ เปรมตั้งคำถามถามกับตัวเองในใจพร้อมกับเอามือลูบทั่วหน้า อากาศในห้องค่อนข้างเย็นสบายทีเดียว หากเขานั้นกลับสัมผัสได้ว่าบนใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อชื้น

มันช่างเป็นฝันที่ทำร้ายจิตใจเขามากทีเดียว

เปรมยังจำสายตาของนางมณโฑที่มองมาได้เป็นอย่างดี มันเต็มไปด้วยโทสะและแรงแค้นของผู้หญิงคนหนึ่งในยามปวดร้าวที่สุดในชีวิต รู้สึกผิด แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะตัวเขาเองก็พยายามหาทางแก้ไขจากเรื่องราวแสนวุ่นวายนี้อยู่เหมือนกัน
แสงสว่างเพียงรำไรทำให้เปรมรู้ว่ายังเช้าตรู่เกินไป เขาพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดและหลับตาลง เป็นการนอนครุ่นคิดมากกว่าการก้าวสู่นิทราอีกครั้ง

‘นี่สินะ ปัญหาที่แก้ไม่จบของพี่ทศ ว่าแต่...ทำไมต้องมาทำให้เราเห็นภาพพวกนั้นด้วยนะ’ ความคิดของชายหนุ่มกลับไปยังเรื่องราวในความฝันอีกครั้ง

ความจริงที่ปรากฏ คนเราต่างมีเรื่องผิดพลาดที่จะต้องแก้ไข ไม่เพียงแต่สีดา ตัวพญารากษสแห่งกรุงลงกาเองก็เช่นกัน เรื่องราวอันน่าซับซ้อน...เขาไม่ชอบมันเลยจริงๆ

ถึงตรงนี้เปรมเริ่มกังวล...

เมื่อถึงเวลานั้น...เวลาที่เขาได้ทำตามคำขอร้องของนางสีดาเสร็จสิ้น ทุกคนจะเป็นเช่นไร อสุเรนทร์...จะสามารถยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ได้หรือไม่ หาก...ไม่มีเขา

รอผมหน่อยนะคุณสีดา อีกไม่นานพวกเราและทุกคนจะเป็นอิสระ

อสุเรนทร์ฉีกยิ้มน้อยนั่งเท้าคางมองใบหน้าเรียวได้รูปของเปรม สีผิวขาวอมชมพูระเรื่อ ขนคิ้วเส้นไม่หนาไม่บางจนเกินไปโก่งงอนตามธรรมชาติ ริมฝีปากแดงระเรื่อดั่งกลีบกุหลาบแรกแย้ม ดวงตาเรียวสวยทว่าออกคมน่าดู...ทำให้อสุเรนทร์อยากนั่งจ้องมองตลอดเวลา รู้สึกภูมิใจไม่น้อยที่คนรักของตนสวยมากขนาดนี้ สวยเกินกว่าจะหาผู้หญิงใดเปรียบ ยัยฝรั่งดองนานะน่ะเหรอ...ถอยตกคลองแสนแสบไปเลย

“พระบิดา ข้าวน่ะจะกินไหมครับ” รณพักตร์ยิ้มกรุ่มกริ่ม “มัวแต่จ้องเปรมคงอิ่มหรอก”

“อิ่มอกอิ่มใจไงเจ้าอิน” ชินกฤตเปรยเล่น

“อ๊า จริงด้วยอากฤต”

“หยุดเลยครับอิน คุณชินกฤตก็ด้วย”

“แหมๆ จะมาอายอะไรอีก นายน่าจะชินนิสัยหลงเมีย หวงเมีย รักเมียของพระบิดาฉันได้แล้วนะ”

“อิน!”

“จ๋าจ๊ะ”

“พอๆเจ้าอินกินข้าวกันเถอะ” อสุเรนทร์เอื้อมตัวไปตักชิ้นปลาชิ้นใหญ่และกุ้งเผาตัวโตให้คนร่างบางที่นั่งใกล้ๆ พวงแก้มน้อยแดงระเรื่อเล็กน้อยแต่ก็ลุกขึ้นเอื้อมไปตักอาหารน่าทานมาใส่ในจานของท่านประธานหนุ่มบ้าง ชินกฤตอมยิ้มมุกปาก ยกน้ำขึ้นจิบเสมองไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ผิดกับเจ้ายักษ์แคระที่กระแอมกระไอเสียงดังให้ใครต่อใครได้รู้กัน

“ทำกันอย่างนี้เดินทางไปสู่ขอเลยเถอะ เบื่อคนมีความรักจริมๆ oh my Buddha, that was very cheesy! (พุธโธ่ พุธธัง โคตรหวานจนเลี่ยนเลยโว้ยยยย!)”

“เบื่อนักก็ไปรีบไปหาเมียสักคน โตเป็นวัวแคระควายแคระยังไม่ลงเอยกับใครสักคน พ่อยังอยากอุ้มหลานอยู่นะ”

“อุ้มหลานน่ะรอเดี๋ยว แต่ถ้ารอไม่ไหวก็ขอลูกกับเปรมสักคนสองคนสิครับคาดว่าน่าจะได้ไม่ยาก ถ้าพระบิดามีน้ำยาอ่ะนะ”

“อิน!”

“ไอ้ลูกคนนี้!”

“แหมๆ ประสานเสียงกันเลยเชียว...หน้าตาหล่อแบบอินก็ต้องเลือกสะใภ้ให้ดีหน่อยสิ ลูกจะได้เกิดมาหน้าตาดี” อันที่จริงเขาก็เล็งไว้คนหนึ่งแล้วแหละ แต่ไม่น่าเลย...เสียดายจริงๆ

“ใช่แบบพระลักษณ์หรือเปล่า อย่าคิดว่าอาทำเป็นไม่รับรู้เรื่องราวแล้วจะไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกนายนะ” ชินกฤตยกน้ำชาจิบหน้าระรื่น

“มันก็แค่อดีต”

“อดีตก็แปรเปลี่ยนเป็นปัจจุบันและอนาคตได้ ถ้าหลานรักเปิดใจยอมรับ”

“...”

“คนไม่รู้ถือว่าไม่ผิด อีกอย่าง...อารู้เจ้ายังมีความรู้สึกต่อเขาอยู่...หรือว่าไม่จริง”

รณพักตร์ถึงกับเบ้ปากใส่ “รู้แล้วจะมาถามอินทำไมล่ะ แต่บอกตรงๆไม่เอาดีกว่า อินไม่อยากเข้าไปยุ่งย่ามกับคนพวกนั้นอีกแล้วล่ะ” ถ้ามันไม่มาหาเรื่องล่ะก็นะ

“อะไรกัน นี่เจ้าอินมันหลงรักน้องเจ้าพระรามนั่นเรอะ” อสุเรนทร์หรี่ตาจับผิด

“ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบแหละน่าพระบิดา อย่าใส่ใจเลย”

“แต่ผมเห็นอินจ้องรูปคุณลักษณ์ทุกวันเลยนะครับ” รณพักตร์ทำท่าจะเถียงกลับหากอีกคนพูดสวนขึ้นเสียก่อน นั่นยิ่งทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก แก้มค่อยๆร้อนผ่าวส่งไอร้อนออกมาจนสัมผัสได้ “อย่าเถียงนะครับ ผมเห็นและผมก็แอบถ่ายเก็บไว้ด้วย...ถ้ารักถ้าชอบเขาก็ลุยเลยสิครับจะกลัวอะไร”

“เปรม ผมไม่เล่นด้วยนะ”

“ผมก็ไม่ได้พูดเล่นนี่นา จริงไหมพี่ทศ”

“จริงจ๊ะเมียพี่”

“ถ้าดูจากในงานเครื่องเพชรวันนั้น คุณลักษณ์เองก็แอบมีใจให้อินไม่ใช่น้อย”

“ก...ก็เรื่องของเจ้านั่นไปสิ! ฉันไม่ได้ชะ...ชอบหมอนั่นสักหน่อย แค่แกล้งเล่นสนุกๆไปอย่างนั้นเอง” ทำเป็นโมโหใช้เสียงดังกลบอาการขลาดเขิน แต่ที่จริงแล้วในอกมันกำลังเต้นตูมตามแทบกระเด้งกระดอนออกมาเยือนโลกภายนอก ให้ตายเถอะศุภลักษณ์ นายมันตัวอันตรายสำหรับหัวใจของฉันจริงๆ

“นายท่าน มีแขกมาขอพบเจ้าค่ะ” แม่บ้านจวงบอกด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม อสุเรนทร์เลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย เมื่อเห็นดังนั้นหญิงวัยห้าสิบเจ็ดปีจึงกล่าวต่อ

“ดิฉันทราบเพียงแค่เธอเป็นผู้หญิงเจ้าค่ะ ส่วนพูดอะไรบ้างนั้นก็มิอาจทราบได้”

“หมายความว่าไงน่ะจวง แขกคนนั้นไม่ได้พูดภาษาไทยหรือ”

“เจ้าค่ะ ผู้หญิงสวยๆ หน้าคม ผมตรงยาวถึงกลางหลังสีดำเงารามไข่มุกจากใต้มหาสมุทรเลยนะเจ้าคะ”

“รู้ล่ะว่าใคร เดี๋ยวฉันจะไปไล่ เอ้ย เจรจากับยัยนั่นเอง มีอะไรก็ไปทำต่อเถอะ”

“เจ้าค่ะคุณหนูอิน”

รากษสหนุ่มขบเคี้ยวฟันด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด แค่ที่ทำงานก็ประสาทหลอนเกินพอ นี่ยังตามมาถึงบ้านอีก และดูหน้าเปรมสิ จากที่ยิ้มกว้างโชว์ฟันสวยๆกลับหุบลงในทันที แถมไอ้สีหน้าเศร้าหมองเต็มไปด้วยอามรณ์สีเทานั่นอีก โอ้ย เขาล่ะอยากจะบ้าตาย

“เดี๋ยวก่อนจวง”

“เจ้าคะ?” แม่บ้านอาวุโสหันกลับมามองเจ้านายอีกคนด้วยความสงสัย อดีตโหรหลวงกรุงลงกายกหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านและกล่าวเสียงเรียบ

“ไปตามเธอมา”

“อากฤต!”

“เจ้ากฤต”

“ไหนๆเธอก็มีความพยายามถ่อมาถึงที่นี่แล้ว ไล่ไปก็เสียมารยาทหมดสิครับ สู้คุยให้จบแล้วส่งเธอขึ้นรถกลับบ้านไม่ดีกว่าหรือ”

“คนแบบแม่นั่นไม่สมควรให้ก้าวเข้าบ้าน”

“ได้ข่าวอดีตพระมารดาแท้ของเจ้านะอินทรชิต”

รณพักตร์สะอึก “ก็แค่อดีต แต่ตอนนี้มันคนละคนกัน ไม่ว่าจะเกิดมาหน้าตาเหมือนพระมารดาของอิน หรือเป็นวิญญาณอดีตพระมารดาที่กลับชาติมาเกิด ถ้าทำให้ความรักของเปรมกับพระบิดาแตกระแหงก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน”

พออสุเรนทร์ได้ยินถึงกับหัวเราะลั่น เดินมากอดรัดลูกชายตัวจ้อยจากด้านหลัง ฟัดแก้มซ้ายแก้มขวาของเจ้าตัวด้วยความพึงใจ แต่ดูท่า...คนโดนฟัดแก้มจะไม่ชอบแม้แต่น้อย

“ยี๋…พระบิดา น้ำลายติดแก้มอินหรือเปล่าเนี่ย”

“ขอบใจเจ้านักลูกพ่อ”

“ไม่ต้องมาพูดดีเลย โอ้ยพระบิดานี่หอมหรือต่อยแก้มอินกันแน่เนี่ย”

“มีเรื่องอะไรสนุกเหรอคะ หัวเราะกันเสียงดังเชียว”

หญิงสาวร่างสูงเพรียวปรากฏต่อหน้าทุกคน ชินกฤตลอบมองสีหน้าของเปรมก่อนจะเลยไปยังอสุเรนทร์ที่บัดนี้กลับตีหน้าเคร่ง รอยยิ้มจางหายไปหมดสิ้น

“It's none of your business! (ไม่ใช่ธุระโกงการอะไรของหล่อน!) อ้อ และที่บ้านนี้ไม่นิยมพูดภาษาอังกฤษนะครับคุณคนสวย เรานิยมของไทย ใช้ของไทยและกินของไทยๆ”

“เพราะอย่างนี้ล่ะค่ะ ฉันถึงไปหัดพูดไทยมา” ร่างเล็กถึงกับหน้าเหวอเมื่อได้ยินสำเนียงไทยสุดแสนจะแปล่งหู นานะฉีกยิ้มตาหยีก่อนจะเดินไปหยุดระหว่างอสุ-เรนทร์และเปรม

“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณชื่อเปรมหรือเปล่า”

“ครับ ผมเปรม”

“อ๊า ได้ยินชื่อของคุณจากคุณรามมานานแล้ว พอได้เห็นตัวจริง คุณช่างดูดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก มิน่าเล่าเขาถึงได้ชอบคุณเอามากๆ”

“ถ้าจะมาพูดไอ้เลวนั่นก็เชิญกลับไปซะ ฉันไม่ต้องการได้ยิน”

นานะลอบยิ้ม “อย่าเพิ่งโกรธกันสิคะ ฉันก็แค่จะมาคุยเรื่องโครงการร่วม ของเรา เท่านั้นเอง” มือขาวเลื่อนไล้ไปสัมผัสอกแกร่งแน่นหนาของอสุเรนทร์อย่างเย้ายวน รณพักตร์แทบจะพุ่งไปกระชากหล่อนมาตบสักสองสามที แต่ชินกฤตกลับห้ามเอาไว้...อีกแล้ว!

“อา!”

“เรื่องของเขา อย่าคิดไปยุ่งเด็ดขาด”

“แต่...” ร่างเล็กทำท่าจะปฏิเสธ หากก็โดนสวนกลับมา

“ให้พวกเขาฟันฝ่าอุปสรรคกันเอาเอง อยู่ที่ทั้งสามคนจะเลือกกระทำ เลือกเส้นทางได้ดีก็เป็นศรีแก่ตัว แต่ถ้าเลือกเส้นทางผิด...ก็น่าผิดหวังเสียหน่อย” โหรหลวงแห่งลงกาเปรยตามองไปยังร่างหนา “ถ้าพวกเราเข้าไปยุ่ง รังแต่จะเพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีก...เพราะฉะนั้นทนได้ขอให้ทน” เมื่อโดนห้ามอย่างนี้แล้วเขาจะทำอะไรได้เล่า ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้และหายใจแรง
อยากจะบ้าตาย

“เรื่องพวกนั้นฉันคุยกับเธอไปหมดแล้ว”

“มันก็แค่แผนการ แต่วันนี้ฉันอยากชวนคุณไปดูสินค้าที่จะต้องใช้ และแบบแผนการตลาดของคู่แข่งเผื่อบางทีเราอาจมีความคิดเจ๋งๆมาพัฒนาสินค้าและช่วยสร้างกำไรให้บริษัทมากขึ้น”

อสุเรนทร์นั่งข่มอารมณ์เงียบเชียบ

“คุณไม่อยากให้สินค้าของคุณตีตลาดได้ในระดับดีเยี่ยมหรือคะ ได้ข่าว...เดือนที่ผ่านมายอดการค้าตก สุทธิกำไรก็น้อยกว่าที่คาด...”

“เธอต้องการอะไรกันแน่”

“ในฐานะผู้ร่วมธุรกิจชิ้นใหม่ ฉันอยากให้คุณลงไปดูสินค้าที่หัวหินกับฉันแค่สองต่อสอง”

“ไม่มีสองต่อสอง ฉันจะเอาเปรมไปด้วย”

“พี่ทศ” คนร่างบางส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ

“เรื่องของธุรกิจฉันไม่สามารถให้ คนนอก เข้ามาล่วงรู้ได้”

“เขาไม่ใช่คนนอก เขาเป็นเมียฉัน เธอนั่นแหละคนนอก!”

“พี่ทศพอเถอะครับ”

“แค่ออกไปดูงานกับฉันมันจะอะไรหนักหนาคะ ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ วินวินทั้งสองฝ่ายก็ควรฟังฉันพูดบ้าง แค่ไปดูงานด้วยกันสามสี่วัน มันคงไม่ทำให้คุณกับภรรยาของคุณแตกแยกกันหรอกค่ะ ใช่ไหมคะคุณเปรม”

เปรมเพียงแค่ส่งยิ้มบางให้ หากในใจนั้นกลับกลัวแสนกลัว ยิ่งคิดเลยไปถึงความฝันเมื่อเช้ามืดก็ยิ่งทำเกิดอาการหวั่นวิตกเข้าไปใหญ่...แต่แค่สามสี่วัน...คงไม่เป็นอะไรกระมัง

“พี่ทศไปดูงานกับคุณนานะเถอะครับ”

“เปรม!”

“ไม่ต้องห่วงเปรมนะครับ เปรมจะอยู่รอพี่ทศที่นี่ไม่ไปไหน ขอสัญญา คุณชินกฤตครับ อินครับ ช่วยผมพูดหน่อยสิ”

“ถึงอินจะไม่เห็นด้วยกับความคิดยัยนี่ แต่หากเป็นเรื่องงาน โครงการใหญ่ยักษ์ด้วยแล้วก็คงต้องไปแหละครับ”

หันมองไปทางรากษสหนุ่มอีกคน

“ดูแลตัวเองให้ดี”

‘ตั้งสติให้มั่นหนาขอรับ แลอย่ารับของจากคนแปลกหน้า’

แม้ในใจจะสงสัยกับคำเตือนของน้องชายที่ส่งผ่านมาจากกระแสจิต หากอสุเรนทร์พนักหน้าแม่นมั่น ก่อนผินหน้าไปทางคนรัก จ้องมองดวงตาหวานล้ำเนิ่นนาน ก่อนจะถอนหายใจจนสุด มันช่างเป็นการพรั่งพรูลมหายใจที่ยาวและเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน เขารู้เปรมเป็นคนดี จิตใจงาม แต่ไม่ควรถึงเพียงนี้!

“พี่จะรีบกลับมาเมื่องานเสร็จ” ปรายตาเขม็งไปยังหญิงสาวคนเดียวในหมู่ผู้ชายสี่คน “พอใจหรือยัง”

“ขอบคุณนะคะคุณเปรม สี่วันต่อจากนี้ฉันจะใช้เวลาที่ได้มาให้คุ้มค่าที่สุด”


‘เฮ้อ’ ไม่รู้นับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย เครื่องดื่มเย็นแก้วโปรดก็ละลายจนหมดความอร่อยไปนานไม่เหลือรสใดๆ ครั้นจะลุกไปสั่งใหม่ก็เกรงว่าจะได้แต่นั่งจ้องมันมากกว่ายกดื่มด้วยความหิวกระหาย เปรมรู้สึกอะไรๆในตอนนี้มันช่างน่าเบื่อเสียเต็มประดา...รู้อย่างนี้อยู่รอที่บ้านแล้วออกมาเที่ยวเล่นพร้อมรณพักตร์ในช่วงเย็นย่ำเสียก็ดี
เหงาชะมัด...ป่านนี้พี่ทศจะเดินทางถึงหัวหินหรือยังนะ

ยกมือเท้าคางมองออกไปด้านนอกกระจกอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย เห็นนกคู่หนึ่งบินโฉบลงมาเกาะกิ่งไม้แล้วเริ่มไซ้ขนคลอเคลียกันอย่างน่าอิจฉา...ห่างกันเพียงช่วงข้ามคืนเปรมก็เอาแต่คิดถึงยักษ์จอมเล่ห์ผู้นั้นเสียแล้ว และก็ช่างน่าอายนักที่สมองเอาแต่คิดเรื่องของอสุเรนทร์ตลอดเวลา ดวงตาคู่คมที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจตราตรึงหัวใจดวงน้อยมิเสื่อมคลาย ริมฝีปากที่คอยพูดฉอเลาะประจบประแจงทั้งในยามที่ตื่น ยามกิน ยามนอน หรือแม้กระทั่ง...ยามแสดงความรักใคร่ซึ่งกันและกัน...หากอสุเรนทร์ล่วงรู้เข้า...เจ้าตัวก็คงยิ้มหน้าบานจับเขาไปนอนกอดพร้อมเอ่ยพร่ำรำพันประโยคแสนหวานเย็นจรดเช้าตรู่...

“สติ๊กกี้ ท็อฟฟี่ พุดดิ้ง ช็อกโกแลตเย็นเพิ่มวิปได้แล้วค่ะคุณลูกค้า”

คิ้วโก่งเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อหันกลับมาเห็นจานขนมหน้าตาน่ารับประทานถูกวางลงบนโต๊ะพร้อมกับเครื่องดื่มแก้วใหม่

“เอ่อ...คุณเสิร์ฟผิดโต๊ะแล้วล่ะครับ ของพวกนี้ผมไม่ได้สั่งเพิ่มนะ”

“มีคนสั่งมาให้ค่ะ”

“ครับ?”

“เขาฝากข้อความมาถึงคุณด้วยนะคะ” คนร่างบางรับกระดาษใบเล็กจากมือของบริกรสาว


กินให้อร่อยนะครับน้องน้อยของพี่
                              รัก R.M.
[/i]


“ขอให้ทานอย่างมีความสุขนะคะ” เธอส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังร้านเพื่อปฏิบัติงานในส่วนต่อไป...ดวงตาเรียวสวยกวาดมองไปทั่วทั้งร้านเพื่อหาคนต้องสงสัยคนนั้น แต่ทว่ามองไปทางไหนทุกคนกลับดูปกติดีทุกอย่าง นั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่มของตัวเอง สายตาจับจ้องแต่เครื่องสื่อสารที่มีขนาดต่างกันบ้างก็เล็ก บ้างก็ใหญ่ล้นมือ...ใครกันนะที่ซื้อมันมาให้เขา

ครืด...ครืด... เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเบาๆทำให้เปรมหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองและรีบรับสายเมื่อเห็นชื่อ ‘คุณอิน’ ปรากฏอยู่บนหน้าจอ

“ว่าไงครับอิน”

“ยังเดินเล่นอยู่ที่ห้างหรือเปล่า”

“ครับ อินมีอะไรเหรอ”

“ตอนเย็นฉันคงไปรับนายไม่ได้แล้วนะเปรม พอดีที่บริษัทมีงานเข้ามาด่วน กว่าฉันกับอากฤตจะกลับไปบ้านก็คงค่ำมืดดึกดื่น ขอโทษนะเปรม ขอโทษจริงๆ”

“ไม่ต้องขอโทษผมหรอก อินรีบไปทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วงผมนะผมกลับเองได้สบายมาก”

“อย่าคิดกลับเองคนเดียว ถ้าจะกลับบ้านก็โทรเรียกลุงชาติให้ไปรับเท่านั้นเข้าใจไหมเปรม”

“ก็ได้ๆ ขี้บังคับเหมือนพี่ทศเลย”

“ฮ่าๆ ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น อย่าลืมนะ โทรเรียกลุงชาติ”

“ไม่ลืมหรอกน่า” ใช้ส้อมจิ้มเนื้อพุดดิ้งเค้กตักเข้าปาก

“อ้อเปรม ตอนจะกลับฉันฝากซื้อดอกไม้หน่อยสิ ว่าจะเอาไปใส่แจกันที่ซื้อมาใหม่ในห้องน่ะ”

“อยากได้แบบไหนล่ะครับ”

“ขอแบบหอมๆ ซ่อนความหมายดีๆ แต่กลิ่นไม่ต้องฉุนมากนะฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”

คนร่างบางพยักหน้าคล้ายมีดอกไม้ตรงตามที่รณพักตร์ต้องการอยู่ในใจแล้ว

“พอจะรู้ล่ะครับ...ว่าแต่มีอะไรอยากได้เพิ่มอีกไหมครับอิน”

“ไม่มีๆ ขอบคุณมาก เดี๋ยวขากลับจากที่ทำงานจะซื้อข้าวเหนียวมะม่วงไปฝาก เจ้านี้เด็ดอย่าบอกใคร (ผู้จัดการคะ ท่านรองเรียกเข้าประชุมแล้วค่ะ) เฮ้อ...เปรมแค่นี้ก่อนนะไว้เจอกันที่บ้าน”

“ครับ แล้วเจอกัน”

รอยยิ้มยังคงประดับไว้ที่มุมปากชั่วครู่หนึ่ง แล้วเริ่มลงมือรับประทานของหวานที่ได้มาจากบุคคลปริศนา...รสชาติของมันนับว่าถูกปากเขามากทีเดียว เนื้อแป้งนุ่มแทบละลายในปากและไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป แต่สำหรับราคานั้นหากเขาจำไม่ผิดมันค่อนข้างแพงกว่าเบเกอรี่ชิ้นอื่นเกือบสองเท่า เพราะฉะนั้น...เพื่อไม่เป็นการหักหาญน้ำใจคนให้จะอย่างไรก็ต้องทานไม่ให้เหลือ
อีกมุมหนึ่งของร้านไม่ไกลจากโต๊ะที่เปรมนั่งอยู่นัก ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกำลังนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ สายตาลอบมองใบหน้าหวานที่เขาเผลอจ้องมานานสองนาน กำลังหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับชิ้นเค้กที่เขาซื้อให้ คงถือเป็นความโชคดีกระมังที่ทำให้วันนี้เขาได้มาเจอร่างบางโดยไร้พวกเห็บเหาคอยติดตามเหมือนอย่างทุกครั้ง

ชายหนุ่มยื่นแบงก์สีเทาหนึ่งใบส่งให้พนักงานผู้หญิงที่เดินเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้คนร่างบางเมื่อครู่ เธอรับแล้วผงกหัวขอบคุณ

“มีอะไรก็เรียกใช้ได้อีกนะคะ”

“ครับ”

แม้วันนี้เจ้าตัวจะแต่งเพียงเสื้อยืดลายทางสีน้ำเงินกับกางเกงสามส่วนสีขาวสุดแสนจะธรรมดา หากในสายตาของเขาคนคนนั้นช่างน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน

อยากกอด อยากสัมผัส อยากให้รู้ว่าเขาหลงใหลอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่ก็ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน คิดจะทำการใหญ่ทั้งทีต้องค่อยๆทำอย่างละเมียดละไม...

“อีกไม่นาน...เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”




ต่อด้านล่างจ้าาาา
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)9/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 18-01-2017 19:31:31




ผืนพรมเมฆแผ่ครึ้มปกคลุมทั่วอาณาบริเวณ ใต้ท้องนภาอันกว้างขวางสุดลูกหูลูกตาดูมืดครึ้มคาดว่าอีกไม่นานฝนคงจะตกลงมาแน่ๆ เปรมยืนพิงกระจกยืนมองสังเกตการณ์บรรยากาศด้านนอกพร้อมกำช่อดอกไม้ไว้ในอ้อมอกอย่างหวงแหน หากมันตกจริงๆคงเป็นเรื่องแน่ๆเพราะร้านดอกไม้ที่เขามาซื้อดอกไม้นั้นมันอยู่ในซอยเล็กๆใกล้กับห้างสรรพสินค้า รถยนต์ไม่สามารถเข้ามาได้ยกเว้นแค่รถมอเตอร์ไซค์เพียงชนิดเดียว ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็เปียกทั้งนั้น

สงสัยคงต้องเรียกลุงชาติมารับอย่างไม่มีเงื่อนไข

“น่าแปลก เมื่อกี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่เลยทำไมฝนถึงตั้งเค้าได้” หญิงสาววัยสามสิบต้นๆหนึ่งในลูกค้าที่มาซื้อดอกไม้เอ่ยพร้อมท่าทีแปลกใจกับสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนเฉียบพลัน แสงอันแรงกล้าจากดวงอาทิตย์อ่อนแรงลงทุกขณะก่อนจะเหลือเพียงแสงสีส้มนวลบางเบาที่ยังพอให้เห็นทัศนียภาพรอบกายได้บ้าง

จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ

“โอ้ย!” เปรมร้องออกมาเบาๆเมื่อเด็กชายตัวเล็กวิ่งเข้ามาชนอย่างจังจนเกือบเซล้มไปนั่งกับพื้น ยังดีที่จับขอบชั้นวางดอกไม้ได้ทัน...แต่ทว่าก็ต้องแลกมาพร้อมกับการการเจ็บตัวเมื่อความคมของกรรมไกรบาดลึกที่อุ้งมือด้านขวาเป็นแผลกว้าง ลึก เลือดสีสดไหลยาวเป็นทาง หยดกระทบพื้นแตกกระจายเป็นวงกว้าง...หนึ่งหยด...สองหยด...และอีกหลายหยดที่ตามมาอย่างรวดเร็ว

“ตายแล้ว! ฟีฟ่าแม่บอกใช่ไหมว่าห้ามวิ่งซน! เป็นอะไรมากไหมคะคุณ” เธอเอ็ดตะโรเด็กน้อยลูกของเธอก่อนหันมาขอโทษขอโพย นำผ้าเช็ดหน้าผืนขาวสะอาดกดซับเลือดบริเวณอุ้งมือที่ยังคงไหลไม่หยุดหย่อน

“ขอโทษพี่เขาเดี๋ยวนี้”

“อ่า ไม่เป็นไรครับน้องคงไม่ได้ตั้งใจ แผลแค่นี้เองผมทนได้”

“แผลแค่นี้อะไรกันคะเลือดออกเยอะขนาดนี้...ขอโทษนะคะคุณ ไม่ทราบว่าพอจะมีกล่องปฐมพยาบาล...” อยากเปิดปากบอกปัดด้วยความเกรงใจ ทว่ายังช้ากว่าหญิงสาวที่วิ่งหายไปยังหลังร้านพร้อมกับเจ้าของร้านดอกไม้ ความเงียบโรยตัวเข้ามาปกคลุมซึ่งเป็นเวลาเดียวกับแสงไฟทุกดวงในร้านดับวูบ เต็มไปด้วยความมืดมิดเปรมรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แรงสะกิดที่ขาทำให้เปรมต้องก้มไปมองก่อนจะพบเด็กชายคนเดิม นัยน์ตากลมโตคู่นั้นรื้นไปด้วยหยาดน้ำตา ดูน่าสงสาร...

“กลัวหรือครับ”

ใบหน้ากลมพยักหงึกหงัก เปรมก้มตัว เอื้อมมือข้างที่ปกติเช็ดคราบน้ำตาที่เปื้อนแก้มอูมอย่างอ่อนโยน

“ไม่ต้องกลัวนะครับคนเก่ง อีกเดี๋ยวคุณแม่ก็กลับมา แต่ถ้ากลัวก็กอดพี่ได้เลยนะ”

“อื้อ”

‘พ่อเปรม จงระวัง’

มือบางที่กำลังลูบกลุ่มเส้นไหมสีดำอ่อนนุ่มหยุดชะงักกะทันหัน เปรมหันมองตามทิศทางของเสียงที่ได้ยิน ทว่าตรงนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีใครยืนอยู่สักคนเดียว...ขนอ่อนบนแขนเรียวพากันลุกตั้งชัน ลมหายใจขาดห้วงเมื่อใบหน้าของนางสีดาฉายชัดอยู่ในสมองของเขา

‘ดูแลตนให้ดี’

‘ออเจ้าจงระวัง...’

‘จงระวัง!’

ครืน...แปะ....แปะ

เม็ดฝนเริ่มโรยตัวตกพรำลงมาเบาๆก่อนจะเทกระหน่ำเจิ่งนองไปตามถนนไหลลงสู่ท่อระบายน้ำข้างทาง เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่นดังกัมปนาทสาดไปทั่วทุกสารทิศ ร่างบางสั่นสะท้านทรุดตัวลงนั่งบนพื้นเย็นเฉียบอย่างไร้เรี่ยวแรง หัวใจเต้นถี่ระรัวเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น ลมพายุด้านนอกพัดพาให้ต้นไม้ใบหญ้าโยกไหวไปมาน่ากลัว มีกิ่งไม้กิ่งหนึ่งหลุดออกจากต้นปลิวกระทบกระจกร้านจนเกิดเสียงดังสนั่น

“ทำไมตกแรงขนาดนี้นะ คุณคะ! ...เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“อัก!”

เปรมเบิกตาโพล่ง อาการปวดหัววิ่งแล่นเข้ามาอย่างเฉียบพลันคล้ายมีหินก้อนใหญ่สักก้อนหนึ่งกดทับเอาไว้ เจ็บหัวใจ...เจ็บมากราวมีเข็มนับพันนับพันหมื่นเล่มทิ่มแทงตามจุดสำคัญต่างๆของร่างกาย...หายใจไม่ออก

“ช่วยเรียกรถพยาบาลให้ทีค่ะ!” เลือดกำเดามากมายไหลออกมาจากจมูกของลูกค้าหนุ่ม เธอพยายามห้ามเลือดตามวิธีที่เคยเรียกมาในสมัยมัธยม แต่จนแล้วจนเล่ามันกลับไม่ยอมหยุดไหลแม้แต่น้อย แล้วไหนจะบาดแผลลึกตรงอุ้งมือด้านขวาอีก หากปล่อยไว้นานกว่านี้คนตรงหน้าต้องเสียเลือดหมดตัวเป็นแน่

“ชะ...ช่วยด้วยค่ะ มีคนบาดเจ็บอยู่ใน...อ๊ะ”

เสียงสั่นเครือของหญิงสาวที่กำลังโทรเรียกรถพยาบาลขาดห้วงฉับพลันเมื่อมีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งเข้ามา ทั่วทั้งร่างสูงโปร่งเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน เสื้อเชิ้ตสีกรมท่าแนบชิดติดลำตัวจนเผยสัดส่วนสมบูรณ์แบบเฉกเช่นชายชาตรี ริมฝีปากสีซีดเผยอหอบเอาออกซิเจนเข้าปอดจนหน้าอกกระเพื่อมเร็วรัวด้วยความเหนื่อย

“ถอยออกไป ฉันจะดูแลเขาเอง”

“แต่ว่า...”

ชายหนุ่มข่มกลั้นเพลิงโทสะที่ใกล้ระเบิดเต็มทนอย่างสุดความสามารถและตอบกลับเสียงนิ่ง “เขาเป็นคนของฉัน ฉันดูแลเองได้”

“!!”

“เข้าไปรออยู่หลังร้านจนกว่าฝนจะหยุดตกไปซะ”

“คะ...ค่ะ ฟีฟ่า ไปลูกไป”

มือใหญ่ทาบลงบนแก้มนวล ตบมันเบาๆเพื่อเรียกสติอันเหลือน้อยของคนร่างบางให้กลับมาอีกครั้ง เปลือกตาสีอ่อนเปิดขึ้นอย่างอ่อนแรง

“เปรม เห็นฉันหรือเปล่า”

“คุณ...ราเมนทร์”

“ใช่ ฉันรามเอง อย่าเพิ่งหลับนะเปรม ขอร้องล่ะ”

“ผมไม่ไหว หายใจ...ไม่ออกเลย อึก...”

“เปรม...”

“...”

“เปรม ได้ยินพี่หรือเปล่า”

ราเมนทร์นึกหวาดหวั่นใจเมื่อเห็นท่าทีอีกคนเริ่มนิ่ง รีบประคองร่างแสนบอบบางในความคิดของตนให้นอนราบลงกับพื้น ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากซีดเซียวอย่างแผ่วเบา ก่อนตัดสินใจช้อนคางเรียวมนให้แหงนขึ้นแล้วเอามือบีบจมูกเรียวเล็กเบาๆ ก้มลงไปประกบกลีบปากชมพูอ่อนอย่างแนบแน่นก่อนจะผ่อนลมหายใจเข้าสู่ช่องปากของอีกฝ่าย ครั้งแล้วครั้งเล่า...ทำอยู่อย่างนั้นจนสุดท้ายวงหน้าแฉล้มเริ่มกลับมาซับสีอีกครั้ง ชายหนุ่มถอนใจโล่งราวยกภูเขาออกจากอก นัยเนตรแห่งราชันย์สั่นไหว ฝ่ามือใหญ่กอบกุมมือเล็กอย่างหวงแหน

“พี่ขอโทษนะ”

“คุณราม...”

หัวใจดวงน้อยเต้นดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอทว่ากลับผะแผ่วจนน่าใจหาย  ราเมนทร์รวบตัวคนร่างบางไปกอดแนบแน่น มองกำไลทองบนข้อมือเล็กทอแสงแวววาบคล้ายเป็นการส่งสัญญาณเตือนให้เจ้าของตัวจริงของมันได้รับรู้ถึงภัยอันตรายที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้ผูกพันธะร่วม...ถ้าไม่ติดว่าอสุเรนทร์ลงมนต์เอาไว้ เขาจะทำลายมันให้กลายเป็นเศษเถ้าธุลี

ราเมนทร์แยงยล ใบหน้าที่ชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อทั้งที่อากาศไม่ได้ร้อนอบอ้าวออกจะเย็นเยียบแทบหนาวสั่นด้วยความสงสาร ตัวเขาไม่ได้มีวิชาแกร่งกล้าเฉกเช่นทศกัณฐ์ ไม่ได้พลิ้วไหวกายได้รวดเร็วเช่นหนุมาน หากใจที่ยึดมั่นนับตั้งแต่อดีตกาล...เขาคงยอมไม่ได้หากต้องสูญเสียสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตนี้ไป

ริมฝีปากซีดประทับลงบนริมกลีบปากเรียวอิ่มนุ่มอย่างถือวิสาสะ เนิ่นนาน...หลายนาที...น้ำตาเม็ดใสหล่นกระทบพวงแก้มน้อยและไหลลงตามร่องแก้มจนซึมเข้าไปในเรียวปากงาม ด้วยความรักและความโศกาอาดูรแปรเปลี่ยนให้มันกลายเป็นน้ำทิพย์ชโลมความความเจ็บปวดให้บรรเทาเบาบางได้อย่างน่ามหัศจรรย์

“น้องเป็นของพี่ อยู่กับพี่นานๆเถิดหนา”

เปรมปรือเปลือกตาที่หนักอึ้งมองราเมนทร์ที่อยู่ห่างเพียงคืบ ความอุ่นแทรกซึมลึกถึงเนื้อหัวใจ ไม่รู้ทำไม...เปรมถึงยกมือลูบใบหน้าคมเข้มอย่างอ่อนโยน รอยยิ้มอบอุ่นของราเมนทร์คือสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนโลกทั้งใบจะดับมืดลง



ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ รู้สึกตัวอีกทีก็ยามแสงทิพากร สาดส่องผ่านผืนผ้าม่านสีครามเข้ามากระทบเปลือกตา เสียงนกน้อยร้องจิ๊บประสานคลอกันจนเกิดท่วงทำนองไพเราะแบบธรรมชาติ เสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก ทำให้เปรมจำต้องดันตัวเองลุกขึ้นนั่งจากเตียงนอน ยกมือกุมขมับที่ปวดหนึบ รู้สึกถึงอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม...มันเกิดเรื่องเลวร้ายกับตัวเขาอีกแล้วใช่ไหม

“ตื่นแล้วหรือเปรม”

“อ๊ะ! คุณราม”

“ใจเย็น ฉันแค่เอาข้ามต้มมาให้เฉยๆ แล้วนี่ยังปวดหัวอยู่ใช่ไหม ให้พี่พาไปหาหมอหรือเปล่า พี่จะได้โทร...”

“ไม่ครับ ไม่ต้อง...ผมสบายดี”

“สบายดีที่ไหนหน้ายังซีดอยู่เลย ทานข้าวต้มสักหน่อยนะ จะได้กินยาตาม”

เปรมได้แต่ฝืนยิ้มตอบเมื่ออีกฝ่ายพับแขนเสื้อเชิ้ตลวกๆ ก้มหน้าก้มหน้าปัดเป่าความร้อนกรุ่นจากข้ามต้มส่งกลิ่นหอมคลุ้งในถ้วยใบใหญ่ ร่างสูงอมยิ้มจากนั้นก็ตักข้ามต้มมาจ่อไว้ตรงปากบาง ไม่รู้จะหลีกเลี่ยงยังไงก็เลยต้องยอมอ้าปากกลืนกินเม็ดข้าวละเอียดลงคออย่างยากลำบาก ก้านนิ้วโป้งเกลี่ยเม็ดข้าวเม็ดน้อยออกจากมุมปากผู้อ่อนวัยกว่าอย่างอ่อนโยน

“เมื่อวานเกิดอะไรขึ้น ผมมาอยู่กับคุณได้ยังไง”

“ทานอีกคำก่อน”

เปรมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย ยอมกินอีกคำตามที่เขาต้องการ

“เผอิญฉันไปเจอเธอนอนสลบในร้านดอกไม้ที่ฉันแวะไปเอากระเช้าดอกไม้พอดี ก็เลยพามารักษาตัวที่นี่”

“คุณพาผมไปโรงพยาบาลก็ได้ ไม่เห็นจะต้องพามานอนพักในบ้านของคุณเลย”

“เธอรังเกียจฉันมากขนาดนี้เลยเหรอ”

“เปล่าครับ ผมแค่เกรงใจ” ราเมนทร์ยกยิ้มเมื่อฟังคำตอบที่น่าพอใจ จัดการป้อนอาหารอ่อนให้อีกคนคำแล้วคำเล่าจนหมด เขาวางถ้วยเปล่าไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนจะหยิบยาและน้ำให้

เปรมพยายามกลืนเม็ดยาสองเม็ดลงไปทั้งๆที่ยังเจ็บคออยู่ไม่ใช่น้อย ร่างบางไอออกมาไม่หยุดหอบหายใจถี่จนราเมนทร์ตกใจรีบคว้ากระดาษมาเช็ดปากและลูบหลังไปเรื่อยจนหยุดไอ

“ผมอยากกลับบ้าน”

“ไว้หายดีก่อนแล้วเดี๋ยวฉันจะไปส่ง”

“แต่ผมอยากกลับตอนนี้ คุณรามให้ผมไปเถอะนะครับ”

“อย่าดื้อสิเปรม”

“คุณราม”

ครืด...ครืด...

โทรศัพท์ส่งเสียงแผดร้องดั่งสนั่น จนร่างสูงต้องรีบคว้ามากดตัดสายเพราะไม่อยากให้มีใครมาขัดขวางบทสนทนาของพวกเขา

“นั่นโทรศัพท์ผม ใครโทรมา”

“แค่พวกโทรผิด”

“เอาโทรศัพท์มาให้ผม”

“นายควรพักผ่อนได้แล้ว”

“คุณต้องเอามันมาให้ผมก่อน อิน...อินโทรมาหาผมใช่ไหม”

ราเมนทร์นิ่งเงียบ

ต้องใช่แน่ๆ ...

เปรมรีบขยับตัวเข้าไปยื้อแย่งโทรศัพท์เครื่องไม่เล็กมาจากคนตัวโตกว่า หากทว่าด้วยกำลังในตอนนี้จึงทำได้แต่ตะเกียกตะกายอยู่ในวงแขนแข็งแรงเพื่อยื้อแย่งโทรศัพท์อย่างไม่ห่วงตัวเอง ราเมนทร์ที่ทนไม่ไหวจึงดันให้อีกฝ่ายล้มลงไปนอนบนเตียง ก่อนขึ้นคร่อมโดยใช้ท่อนแขนดันไว้เพื่อไม่ให้ร่างข้างใต้หนีไปไหนได้อีก

“ฮึกๆ พี่ทศ ช่วยด้วย อินช่วยผมด้วย”

“อยู่กับฉันทำไมต้องเอ่ยชื่อพวกมันด้วย” ราเมนทร์เอ่ยอย่างคับแค้น ดวงตาคมแดงก่ำมีแต่ความโกรธ “มองฉันสิเปรม มองผู้ชายคนที่รักเธอไม่น้อยไปกว่ามันสักหน่อยสิ นายใจร้ายกับฉันมากไปแล้วนะ”

“ฮือๆ ปล่อย” ฝ่ามือบางสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อน เมื่อร่างสูงเลือกที่จะทาบฝ่ามือของเจ้าตัวลงมาสอดประสานกับนิ้วทั้งห้าของเขา

“พี่รักเปรมนะ”

“แต่ผมไม่ได้รักคุณ ปล่อย”

“รักพี่สักนิดก็ไม่ได้เหรอ”

“ไม่ ผมรักพี่ทศคนเดียว”

ทุกสิ่งรอบข้างเคลื่อนไหวช้าลงเมื่อคนใต้ล่างพูดประโยคเสียดแทงใจ ก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายเหมือนหยุดเต้นไปชั่วขณะ ร่างสูงยิ้มเหยียดนึกสมเพสตนมิใช่น้อย “รักมันมากเลยเหรอ”

“ใช่ผมรักพี่ทศมากยิ่งกว่าที่คุณคิดเสียอีก”

“ขอถามอีกครั้งคนที่นายรักคือใคร”

“ทศกัณฐ์ แค่ทศกัณฐ์ อื้อ!” เปรมเบิกตากว้างเมื่อริมฝีปากอิ่มตึงบดขยี้ริมฝีปากตนเองอย่างจาบจ้วง ใช้จังหวะที่เขาเผลอไผลสอดลิ้นเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วควานจนทั่วโพรงปาก เปรมพยายามเบี่ยงหน้าหนีและผลักอกแกร่งให้ออกห่างจากตัว โอ้ อนิจจัง อนิจจา....ด้วยเรี่ยวแรงที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวทำให้เขามิอาจแข็งขืน จำต้องจำยอมด้วยแรงปรารถนาของราเมนทร์ ความรุนแรงในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนนุ่มนวล

“ให้โอกาสพี่หน่อยได้ไหมเปรม ขอโอกาสให้พี่ได้ดูแลเราเหมือนอย่างมันสักครั้งก็ยังดี” ร่างสูงถอนริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่ง วงแขนกว้างกอดกระชับร่างบางแน่นพร้อมกับจูบซับที่กลุ่มผมนิ่มไม่ขาดปากเพื่อปลอบประโลม ก่อนโน้มตัวแนบหน้าผากคิดชิดหน้าผากมน จ้องมองลึกเขาไปในดวงตาคู่งามที่ดูสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด

“พี่ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง แลขอโทษที่พี่มิอาจรักษาความรักของเราได้เลย”

“...”

“พี่ยอม...ไม่ว่าน้องจะรักทศกัณฐ์หรือรักใครอื่นอีกก็ตามพี่ยอมทั้งนั้น ขอแค่เพียง...” ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยซับคราบน้ำตาออกจากแก้มใสแผ่วเบา “น้องให้ความรักตอบกลับมาหาพี่บ้าง”

ฝ่ามืออุ่นจับประคองดวงหน้าหวานอย่างทะนุถนอม ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่อาจจะแตกหักง่ายหากลงน้ำหนักสัมผัสมากเกินไป

ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากทั้งสอง มีเพียงระยะห่างที่ลดลงเรื่อยๆ...ทีละนิด...อย่างช้า ๆ...จวบจนรับรู้ถึงลมหายใจของกันละกัน



“ไม่ว่าอย่างไร พี่ก็จะรอเปรมเสมอ”





จะว่าไปก็สงสารพระรามนะ รักเขาแต่เขาไม่รักตอบ
สามารถเม้นแสดงความคิดเห็นกันได้เรื่อยๆนะค้าาา ขออภัยที่หายไปเป็นอาทิตย์เลย สัญญาพรุ่งนี้จะมาต่อให้อีกบท
วันนี้ขอตัวก่อน แล้วเจอกันค่าาา

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 18-01-2017 20:21:02
หัวใจจิวาย :serius2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 18-01-2017 21:04:20
พี่รามคนเห็นแก่ตัว :katai1:
น้องเปรมอย่าไปยอมเขานะลูก
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-01-2017 21:10:06
 :katai1: :katai1: :katai1:

 :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 18-01-2017 21:41:16
อีเหี้ยรามมมมมมมมมมเกลียดมึ๊งงงงงงงงง
สารเลวจนแบบบบ ไม่รู้จะด่าอะไรอะ
เหี้ยเกิ๊น ขยะแขยงที่มันจูบเปรม
เปรมอย่าหวั่นไหวนะ ไม่งั้นเราจะเกลียดกว่าเดิมไปอีก
คือแบบ แพ้ก็แพ้ดิวะ ดิ้นรนเพื่อของที่ไม่ใช่ของตัวเองอะ เพื่ออะไร
ตอนจบอิรามตายได้มั้ย 55555
ตายไปเลย
ปล.  มีความเชื่อใจพี่ทศสูงมาก
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 18-01-2017 22:24:07
ความรัก.....

มันไม่ผิด

แต่ผิดที่คนนี่ล่ะ

รักเพื่อครอบครอง

มันเหมือนเห็นแก่ตัวยังไงอยู่

พระรามก็รักของเขา

แต่มันดูเหมือนมองแต่ตัวเองเกินไป

รอขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 19-01-2017 08:49:37
มันอึดอัด เริ่มจะหายใจไม่ออกละ สงสารทุกคน โดยเฉพาะน้องเปรมและพี่ทศศศศศศศศศศ เมื่อไหร่จะสมหวัง
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 19-01-2017 09:30:51
ทำไมถึงทำกับน้องเปรมดั้ยยยย  :katai4:

 :z3:  :z3:  :z3:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 19-01-2017 09:51:40
 :เฮ้อ:  น่าสงสารทุกคนเลย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 19-01-2017 13:14:40
เกลียดรามก็เกลียดนะ แต่เกลียดชะนีนานะมากกว่าตอนนี้
ยัยนี่นิ น่าตบ 555
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 19-01-2017 20:46:14
ต่ำไอ้พระราม
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๐ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)18/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 20-01-2017 11:41:57
 :z13:
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ครึ่งแรก (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 20-01-2017 13:19:26



บทที่ ๒๑
[/b]



แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องต้องใบหน้าหวานแฉล้มประดุจดั่งนางในวรรณคดีชั้นยอด แลดูเหมือนรูปสลักทองสำริด แม้ภายนอกดูสงบนิ่ง หากภายในจิตเขาเคลิ้มคล้อยสู่จินตภาพแห่งความหลังที่ผ่านมาไม่นานนัก...

เครื่องหน้าสมบูรณ์แบบโน้มลงมาอยู่ห่างจากใบหน้าหวานเพียงไม่กี่เซนติเมตร ปลายจมูกโด่งจรดกับปลายจมูกเล็กเชิดรั้น ฝ่ามืออุ่นร้อนข้างหนึ่งประคองใบหน้าของเปรมให้หันมาสบตา พร้อมๆกับขยับนิ้วโป้งเกลี่ยเบาๆบนพื้นผิวแก้ม ณ ช่วงเวลานี้เปรมไม่หลงเหลือความกล้าแม้แต่น้อยที่จะมองเขาผู้นั้น...ไม่ใช่ความกลัวหรือความรักใคร่ชอบพอแบบชายหนุ่ม แต่มันเต็มไปด้วยความสับสนที่ตีตื้นภายในจิตใจ

น้ำตาที่เหือดแห้งกลับรื้นขึ้นมาอีกครา

‘หากในตอนนี้เปรมยังไม่แน่ใจพี่ก็จะไม่บังคับ’

‘...’

‘อะไรที่เกี่ยวกับเปรมพี่รอได้เสมอ และสิ่งที่พี่พูดไปนั้นพี่พูดด้วยความสัจจริง’ คนร่างสูงโปร่งพูดถอนใจลึก เน้นคำช้าชัด ‘พี่รามรักเปรม นั่นคือสิ่งที่พี่อยากให้เปรมรู้ พี่ไม่สนว่าเปรมจะตอบรับหรือปฏิเสธมันหรือไม่ แต่พี่จะไม่ขอยอมแพ้เป็นอันขาด จะใช้ความรักและความพยายามทั้งหมดทำให้เปรมเห็นต่อไปเรื่อยๆจนกว่าเปรมจะใจอ่อนและเห็นคุณค่าของมัน’

‘คุณรามครับ คือผม...’

อย่าเพิ่งปฏิเสธกันจะได้ไหม’ วิธีที่ราเมนทร์พูดยังเป็นเช่นสายลมกระซิบ ‘พี่รู้...รู้ดีว่าเปรมไม่ได้มีใจให้แม้น้อย พี่เหมือนคนโง่งมงายที่รอโอกาสนั้นมาถึง ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขามา ยอมถูกคนที่ตนเองรักมองว่าเป็นคนเลวทั้งที่ไม่ได้อยากให้เป็นเช่นนั้น’ ท้ายสุดจึงหันมาถามเบา ๆ...

‘รำคาญพี่หรือเปล่า’

คนถูกถามนิ่งงัน...เนิ่นนาน หากสุดท้ายก็ส่ายหน้าตอบ

‘แค่นี้ก็ดีมากพอแล้วล่ะ’

‘ทำไมคุณถึงรักผม ทั้งที่ผมไม่ใช่สีดา’

‘ใช่ พี่อาจจะเคยต้องการนายเพียงเพราะเห็นนายเป็นตัวแทนของสีดา แต่เมื่อได้รู้จัก ร่วมพูดคุย แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆไม่มากนักเพราะมีไอ้มารหัวขนคอยขวางกั้น ทว่าพี่กลับรักในแบบที่เปรมเป็นเปรมไม่ใช่สีดา’

‘แต่ผมรักพี่ทศ...’

‘รักพี่ด้วยอีกคนไม่ได้หรือ’

‘...’

‘ไม่ต้องรักพี่เท่ากับทศกัณฐ์ก็ได้ แบ่งใจมาให้เพียงเศษเสี้ยวพี่ก็ดีใจมากแล้ว’

‘เรื่องนั้นผมทำไม่ได้ คุณควรตัด...’

‘ถ้าจะสั่งให้พี่ตัดใจ หันไปรักคนอื่น...พี่ก็คงทำไม่ได้เช่นกัน’

บรรยากาศอึดอัด ความเงียบย่างกรายปกคลุมเนิ่นนาน เปรมได้แต่ก้มหน้าฟัง เขาไม่สามารถกล่าวประโยคใดๆออกมาได้ เพราะยิ่งพูดหัวใจก็พลอยอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกลนไฟ ยอมเปิดทางให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาช้าๆ ด้วยวัยที่ผ่านมาราวยี่สิบปีเศษ อาจจะดูน้อยนิดทว่าเขาล้วนกระจ่างแจ้งอยู่ในใจแล้วสิ้น คนๆหนึ่งที่รอคอยความรักมาเนิ่นนาน จะเป็นทุกข์ในหัวใจแค่ไหน?

หากทศกัณฐ์เจ็บช้ำเพราะรัก พระรามก็คงปางตายเจียนคลั่งไม่ต่างกัน

เปรมรักอสุเรนทร์ แต่ก็ไม่อยากทำลายความรู้สึกของราเมนทร์

เขาควรทำอย่างไรดี

‘ชาตินี้ทศกัณฐ์ช่างโชคดีที่มีคนรักที่จิตใจดีและซื่อสัตย์ แต่หากวันใดวันหนึ่ง...มันผู้นั้นกระทำผิดต่อน้อง ขอให้จงรู้ไว้ว่ายังมีพี่อีกคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างและรักเปรมไปตลอดชีวิต’

‘...’

‘ทศกัณฐ์รักนางสีดามากเพียงใด พระรามยิ่งรักแลเทิดทูนนางยิ่งกว่านั้นร้อยพันเท่าทวี’

‘...’
‘ขอเพียงโอกาสให้ได้แก้ตัว พี่สัญญาจะทำให้เปรมมีความสุขชั่วนิจนิรันดร์’

คนยืนพิงเสาระเบียงบ้านทรงไทยหลังงามของตระกูลอมาตยสูรยังคงปล่อยให้ความคิดล่องลอยกลับคืนสู่อดีตอย่างไม่รู้จบ เหตุการณ์ในวันนั้นแม้ตัวเขาไม่อยากยอมรับ แต่ด้วยสายตาเปี่ยมไปด้วยความโหยหา อาทรในตัวผู้มากวัยกว่า มันมากล้นจนมองเห็นได้อย่างชัดเจน เปรมไม่อยากทำร้ายหัวใจของราเมนทร์...ตัวตนแห่งพระรามที่ยังรอคอยและรักในตัวตนของเขาหาใช่สีดา แต่เขาจะทำเช่นไร...มีทางออกอื่นใดบ้างที่ทำให้เรื่องราวต่างๆมันคลี่คลายจบลงเสียที

‘ออเจ้าคือผู้เดียวที่จักเปลี่ยนชะตากรรมนี้ได้’

‘ไม่ว่าอย่างไร ออเจ้าต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อนำสิ่งนั้นกลับคืนมาให้ได้’

‘เพลาแห่งการพิพากษาใกล้เข้ามาเต็มที จงเร่งกระทำโดยพลันเถิดหนาพ่อเปรม ก่อนที่ทุกอย่างจักสายเกินไป’

สิ้นประโยคช้าชัด...จริงจัง ‘จงเร่งกระทำโดยพลันเถิดหนาพ่อเปรม ก่อนที่ทุกอย่างจักสายเกินไป’ ของนางสีดา เปรมถึงกับนิ่งอึ้ง แม้รู้ดีว่าภายภาคหน้าจะต้องเจอะเจอกับสิ่งใด ทว่าก็อดหวั่นใจและหวาดกลัวไม่ได้...หนทางสู่ความสงบสุขมันช่างได้มาอย่างยากลำบากเหลือเกิน


“เปรม! เห็นข่าวนี่หรือยัง เปรมอยู่ไหน! น้อย! เห็นคุณเปรมไหม หายไปไหนของเขากันนะ” เสียงร้องเออะโวยวายดั่งสนั่นลั่นเรือนเล็กที่เป็นบ้านพักชั่วคราวให้กับเปรมระหว่างรออสุเรนทร์กลับมาจากดูงานที่ต่างจังหวัด เมื่อเปรมชะโงกหน้าออกไปให้คนใจร้อนเห็น เจ้าตัวก็รีบเดินเร็วเข้ามาหาด้วยท่าทีขึงขังพร้อมเปิดหน้าหนังสือนิตยสารชื่อดังแล้ววางมันลงกับโต๊ะไม้ริมระเบียงอย่างแรงจนเกิดเสียงดังอีกระลอก

“เห็นหรือยัง”

“เห็นอะไรครับ”

“ก็นี่ไง” กลืนน้ำลายหอบหายใจด้วยความเหนื่อยและกล่าวต่อ “ฉันล่ะอยากจะลากยัยนั่นไปฆ่าให้รู้แล้วรู้รอด บอกไปดูงานธรรมดา แต่นี่อะไรนัวเนียพระบิดาฉันจนแทบจะรวมกันเป็นร่างเดียว ถ้าหล่อนมีโอกาสเหมาะเหม็งคงไม่แคล้วงาบพระบิดาลงไปกินในน้ำ”

เปรมไล่สายตาอ่านหัวข้อข่าวบันเทิงจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับอย่างละเอียดทุกบรรทัดทุกตัวอักษร

สุดสวีท! อสุเรนทร์ อมาตยสูร นักธุรกิจหนุ่มคนโสดแอบควงคู่ดีไซน์เนอร์ชื่อดังอิม นานะไปเที่ยวกันสองต่อสองความสัมพันธ์คู่นี้จะจบลงอย่างไร เร็วๆนี้เราคงได้คำตอบกัน

จับตา! อสุเรนทร์มีลุ้นสละโสด
แอบส่องสองนักธุรกิจสวยหล่อ สวีทหวานที่หัวหิน

เอ๊ะยังไง?  อิมนานะ ดีไซน์เนอร์ชื่อดังจากยูไนเต็ด สเตท ออฟ อเมริกาที่เพิ่งเซ็นสัญญาเข้าร่วมธุรกิจกับบริษัท RAVANA จะเปลี่ยนจากเพื่อนร่วมงานเป็นคนรักแล้วหรือคะ ช่วยแถลงไขกิ๊บซี่ทีค่าาาา


ดวงตาคู่หวานมองภาพอสุเรนทร์และนานะกำลังเดินควงคู่กันออกมาจากร้านเสื้อผ้าและร้านอาหารด้วยความรู้สึกสั่นไหว ใบหน้าทั้งคู่ต่างยิ้มแย้มอิ่มเอมมีความสุข บรรยากาศอบอวนไปด้วยความรัก

“ฉันขอโทษ แต่เรื่องนี้นายจำเป็นต้องรู้”

“ผมเข้าใจครับ”

รณพักตร์ดึงนิตยสารบันเทิงเล่มล่าสุดออกจากมือบางและเขวี้ยงมันลงถังขยะข้างบานประตูห้องอย่างไม่สนใจใยดี ลมหายใจดังฟืดฟาดคล้ายเป็นเชิงบอกว่าเจ้าตัวกำลังอยู่ในอารมณ์ไม่พึงใจอย่างมาก

“แต่นายไม่ต้องคิดมากหรอกนะ พวกนักข่าวมันก็ชอบทำข่าวเกินจริงแบบนี้แหละ”

เปรมเบือนมองเจ้าสิ่งนั้นแล้วคลี่ยิ้มหวาน แต่ทว่าในสายตาคมกล้าของรากษสหนุ่มกลับเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ

“พวกเขา...เหมาะสมกันดีนะครับอิน”

“เฮ้ย! นี่คิดอะไรอยู่ พูดอะไรออกมารู้ตัวบ้างไหม”

“รู้สิครับ ก็พวกเขาทั้งคู่เหมาะสมกันดีนี่นา” เวลาหญิงสาวคนนั้นยืนเคียงข้างกับอสุเรนทร์ มันช่างดูเหมาะสมกว่าเวลาเขาอยู่กับเสียอีก

“พูดจริงพูดเล่นเนี่ย”

“ผมจะโกหกทำไมล่ะ”

“นาย...เฮ้อ...นายมันโลกสวยเกินไปแล้วเปมทัต” คนร่างบางหันหน้ามาตามแรงจับของรากษสหนุ่ม นิ้วเรียวยาวยกปาดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวจากดวงหน้างาม มันทั้งบางเบาและห่วงใย “เมื่อกี้ยังฉีกยิ้มปรีดากับเขาหยกๆ ไหนมาร้องไห้เสียแล้วล่ะ”

“ผมเปล่าร้องไห้” ปากปฏิเสธหากน้ำตาก็ไหลลงมาอีก

“แล้วไอ้คราบน้ำที่ไหลออกมาจากตานาย เม็ดฝนหรือไง”

“...”

“หมดยุคนางเอกใสซื่อ ยอมให้นางร้ายหน้าสวยข่มเหงนานแล้วนะเปรม” รณพักตร์พึมพำในลำคอ “นายเป็นถึงเมียพระบิดาฉันจะมานั่งเศร้าเคล้าน้ำตาคนเดียวแล้วปล่อยให้นางร้ายนั่นแย่งไปเหรอ ฉันคนหนึ่งล่ะที่ไม่ยอม ต้องเอาคืนให้สาสม”

“แต่คุณนานะคงไม่ทำอย่างนั้นหรอกครับ”

“ไม่ทำน้อยน่ะสิ นายยังไม่รู้อะไร เวลาฉันเจอยัยนาเน่านั่นทีไรหล่อนก็เอาแต่ถามคุณอสุเรนทร์อยู่ไหนคะ คุณอสุเรนทร์ว่างให้พบหรือยัง พอดีฉันอยากขอเข้าพบปรึกษาเรื่องงาน นี่ถ้าไม่เห็นแก่หน้าพระบิดา หน้าอากฤตนะ ฉันจะเข้าไปกะซวก ไส้ยัยนั่นแล้วโยนให้กามันกินให้รู้แล้วรู้รอด”

“ขอบคุณนะครับอินที่มาบอกผม แต่ผมไม่สนข่าวพวกนี้หรอก ผมยังคงเชื่อมั่นในตัวพี่ทศเสมอว่าเขาจะต้องไม่ทำอย่างนั้น” แต่ถ้าหากทำจริง ก็คงต้องทบทวนความสัมพันธ์ว่าจะปล่อยผ่านไปแล้วลองเชื่อมั่นในความรักของเราสองคนอีกครั้งหรือต้องลาขาดกันอย่างถาวร...

“พระบิดาหนอพระบิดา ป่านนี้จะรู้หรือยังว่านางอสรพิษร้อยเล่ห์กับพวกสมุนกำลังวาบแผนคิดจะงาบตัวเองอยู่” นานหลายอึดใจกว่าร่างเล็กจะเอื้อนประโยคถัดมา “วันนี้เปรมต้องทำอะไรหรือไปหาใครไหม”

“ไม่ครับ”

“งั้นไปกัน” รณพักตร์จับมือเรียวสวยมั่น เอื้อมคว้ากุญแจรถที่วางไว้ก่อนหน้าไม่นานนัก ก่อนออกแรงดึงอีกฝ่ายให้ลุกตาม

“จะไปไหนครับ”

“หัวหิน”

“...”

“อยากจะเห็นหน้าคนแก่ตอนโดนเซอร์ไพรส์สักหน่อย มันคงตลกพิลึก”

ท่ามกลางธรรมชาติแห่งท้องทะเล เสียงเกลียวคลื่นซัดสาดเข้าหาฝั่งดังครืนครืนเป็นจังหวะสม่ำเสมอ สายลมอ่อนโบกพัดโชยชายในยามเย็นค่ำยิ่งทำให้บรรยากาศร้อนในตอนบ่ายแปรเปลี่ยนเป็นความเย็นสบาย อสุเรนทร์หลับตา สูดกลิ่นเค็มอ่อนๆของน้ำทะเลเข้าปอดลึก อย่างน้อยมันก็ช่วยให้อารมณ์หงุดหงิดเหมือนหมาบ้าที่เป็นมาตลอดทั้งวันของเขาพอทุเลาลงบ้าง

นานะ...ยัยฝรั่งมังค่า

จำชื่อนี้ได้อย่างขึ้นใจ ไม่ใช่อารมณ์พิศวาส แต่เป็นอารมณ์โมโห ไหนบอกต้องมาดูงานที่หัวหินตลอดสี่วันเต็ม แต่นี่อะไร! สามวันผ่านเข้ามาแล้วยังไม่เห็นหล่อนทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เอาแต่ลากเขาไปนู่นไปนี่มีความสุขอยู่คนเดียว โรงแรมที่จองเอาไว้ก่อนหน้าก็เป็นอันต้องยกเลิกเพราะหล่อนเกิดอาการอยากซึมซับน้ำทะเลแบบใกล้ชิดระดับ V VIP เลยต้องย้ายที่พักไปอยู่บ้านเช่าหลังน้อยใกล้ริมชาดหาด โอ้องค์อินทร์ ถ้ารู้ว่าต้องมาเจอแบบนี้ ฆ่าเขาให้ตายเสียเถิด!

รู้สึกคิดถึงบ้านแทบขาดใจ

คิดถึงลูก...คิดถึงเมียด้วย

“อาหารไม่อร่อยหรือคะคุณทศ”

มือที่เขี่ยเม็ดข้าวในจานหยุดชะงัก “ก็งั้นๆ สู้เปรมทำไม่ได้สักนิด”

“ดูคุณจะหลงคุณเปรมมากเลยนะคะ ก็นะ...เขายังเด็กและก็หน้าตาดีมาก”

“ถ้าเธอไม่รู้อะไรก็หยุดพูดไปเถอะ”

“ฉันรู้อะไรหลายอย่างมากกว่าที่คุณคิดเสียอีก” อสุเรนทร์มองหญิงสาวฝั่งตรงข้ามด้วยสายตานิ่ง เธอบรรจงลอกเปลือกออกจากตัวกุ้งแล้ววางบนจานของเขา “ทานสิคะ กุ้งที่นี่อร่อยมากเลยนะ”

“ฉันไม่ชอบกินกุ้ง”

“ไม่ชอบกินกุ้ง...หรือไม่ชอบฉันกันแน่คะ”

“อยากจะให้พูดความจริงไหมล่ะครับคุณนานะ”

“ฉันไปทำอะไรให้คุณเกลียดไม่ทราบ หรือเพราะการที่ฉันเข้ามายุ่มย่ามในชีวิตคู่ของคุณ คุณเลยเกลียดฉันอย่างนั้นเหรอ”

“ก็แค่เศษเสี้ยวหนึ่ง”

“แล้วมันเพราะอะไรล่ะคะ พูดกันมาตรงๆเลยดีกว่า”

“ทำไมไม่ไปถามไอ้รามเองเลยล่ะ สนิทกันไม่ใช่เหรอ”

นัยน์ตาของหญิงสาวเบิกกว้างเพียงชั่วพริบตาเดียวก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ริมฝีปากชมพูอ่อนคลี่ยิ้มบางแล้วจึงผินหน้าไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรหนุ่ม ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมขวดไวน์และแก้วทรงสูง 2 ใบ บริกรหนุ่มจัดการรินส่งให้ลูกค้าทั้งอย่างเอาใจเป็นพิเศษ

“ก็ไม่ได้สนิทอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่คนรู้จักดาษดื่นทั่วไป”

“แล้วนี่เธอคิดจะมอมเหล้าฉันหรือไง” เบือนสายตาไปยังแก้วไวน์ที่ถูกเติมจนเกือบเต็ม

“มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องมอมเหล้าคุณด้วยล่ะคะ”

“เธออยากได้ฉัน”

“อย่าหลงตัวเองค่ะคุณทศ ถึงคุณจะรูปหล่อรวยล้นฟ้าแต่ฉันน่ะ...” เธอทำเป็นเอามือป้องปาก ยื่นหน้ามาบอกด้วยสายตาจริงจัง “ไม่ชอบผู้ชาย”

“เธอเป็นเลสเบี้ยน?”

หญิงสาวถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่สามารถอดกลั้นมันต่อไปได้ “นี่คุณเชื่อที่ฉันพูดด้วยเหรอ น่ารักจริงๆนะคุณเนี่ย”

“ฉันเพื่อนเล่นเธอหรือไง”

“ถ้าเล่นเพื่อนก็ไม่แน่ค่ะ”

“ยัยปีศาจ ฉันเกลียดเธอ” ว่าจบก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมดแก้ว นานะยิ้มร่าจัดการเทไวน์ให้ชายหนุ่มเพิ่มอย่างเอาอกเอาใจ “ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้าเธอคิดเข้ามาตีสนิทเพราะต้องการทำลายชีวิตคู่ของฉันกับเปรมล่ะก็...ฉันจะทำให้ชีวิตเธอไม่มีความสงบสุขอีกต่อไป”

“ฟังดูน่ากลัวจัง”

“แล้วอยากลิ้มลองนรกบนดินดูไหมล่ะอิม นานะ”

คนร่างเพรียวบางรู้สึกร่างทั้งร่างกำลังสั่นสะท้านด้วยความกลัวที่เริ่มก่อขึ้นภายในจิตใจ แววตาดุดันที่อีกฝ่ายส่งตรงมายังมันคล้ายเป็นการบอกให้เธอรับรู้ว่าสิ่งที่พูดนั้นเขาคิดทำจริง นานะลอบกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอย่างฝืดฝืน ทำใจดีสู้เสือหันไปฉีกยิ้มกว้างให้คนตรงข้าม

“โหย ไม่เอาหรอกค่ะ แค่โดนบีบคอวันนั้นก็ไม่กล้าทำอะไรแล้ว”

“เธอรู้”

“โดนบีบขนาดนั้นไม่เรื่องก็คงหมดลมหายใจตายไปแล้วล่ะค่ะ” แค่คิดย้อนเธอยังเสียววาบที่คออยู่เลย

“ขอโทษล่ะกัน”

“เอาเถอะค่ะ ถ้าคุณขอโทษฉันก็พร้อมที่จะให้อภัย ว่าแต่ขอถามอะไรสักนิดได้ไหมคะ” สาวเจ้ายื่นแก้วใบเดิมหากที่เพิ่มเติมคือน้ำสีแดงเข้มที่ถูกเติมจนเต็ม “คุณเป็นเกย์หรือคะ”

“ไม่ได้เป็น”

“แต่แฟนคุณ เอ่อ...คุณเปรมเป็นผู้ชายนี่คะ”

“ฉันรักที่เขาเป็นเขา ไม่เกี่ยวกับเพศ หากจะผิดก็คงผิดที่ชาตินี้เขาดันเกิดมาเป็นผู้ชายแทนที่จะเป็นผู้หญิงเหมือนครั้งก่อนๆ”
ยิ่งอสุเรนทร์พูดก็ยิ่งทำให้หญิงสาวเกิดอาการงวยงงหนักเข้าไปใหญ่ ชาตินี้เกิดมาเป็นผู้ชาย? หมายถึงชาติก่อนคุณเปรมเกิดเป็นผู้หญิงอย่างนั้นหรือ

“ฉันไม่ค่อยเข้าใจที่คุณพูดสักเท่าไหร่”

“ไม่เข้าใจน่ะดีแล้ว”

“เอ่อ...แล้วคุณทศไม่ค่อยถูกกับคุณราม...” เมื่อเห็นอีกฝ่ายตวัดตาดุใส่ก็รีบอธิบายทันที “คือฉันมักเห็นคุณโมโหทุกครั้งที่พูดถึงเขา ก็เลยอยากรู้”

“ทำไม จะเอาเล่าให้มันฟังหรือไง”

“ไม่แน่นอนค่ะ เชื่อใจฉันหน่อยสิ”

อสุเรนทร์สูดลมหายใจดังฟืดฟาดคล้ายกระทิงในเวลาโกรธจัด ไม่วายกระดกเครื่องดื่มมึนเมาเข้าปากรวดเดียวอย่างลืมตัว “ถ้าเธอรู้สันดานที่แท้จริงของมันแล้วล่ะก็...เธอจะบอกได้เลยคำว่าเกลียดมันไม่อาจเทียบเท่ากับความรู้สึกของฉันในตอนนี้ได้เลย นี่ยัยปีศาจ...” อสุเรนทร์เอ่ยเรียกด้วยเสียงติดแหบทว่าดังชัดเจนยิ่ง “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอคิดทำอะไรหรือซ่อนแผนชั่วแบบไหนไว้ แต่ขอให้จำไว้ราเมนทร์ไม่ใช่คนดีหรือคนน่าสงสารอย่างที่เธอคิด อย่าได้เชื่อคำของมันมาก เพราะภายใต้กรอบหน้าหล่อเหลาโง่มันมีผีบ้าซ่อนเอาไว้อยู่”

“ฉันจะเชื่อคุณค่ะคุณทศ”

“และก็ขอโทษอีกครั้ง”

“เรื่องอะไรคะ”

“ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันได้ทำกับเธอไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ได้โปรดอภัยให้ได้ไหม ฉันไม่อยากให้พวกเราต้องมาพบเจอ สร้างเวรกรรมร่วมกันอีกแล้ว”

“...”

“ฉันรักเปรม รักเกินกว่าจะยอมสูญเสียเขาไปดั่งคนในอดีต...เพราะอย่างนั้นหากเธอจะคิดทำอะไรที่มันสุ่มเสี่ยง ขอให้หยุดซะ”

“...”

“เธอเป็นคนฉลาดเธอน่าจะเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม”

“ก็พอเข้าใจ...อ๊ะ คุณทศ เป็นอะไรคะ”

อสุเรนทร์ขมวดคิ้วเมื่อเริ่มเห็นภาพเบื้องหน้าเลือนรางลงไปทุกทีแถมยังรู้สึกปวดขมับทั้งสองข้างเป็นอย่างมาก จู่ๆคำพูดเตือนของชินกฤตก็ประดังเข้ามาในสมอง

‘ตั้งสติให้มั่นหนาขอรับ แลอย่ารับของจากคนแปลกหน้า'


 รับของ? รวมถึงเครื่องดื่มมึนเมาตรงหน้าด้วยกระนั้นรึ

“คุณทศ คุณเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”

“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” อสุเรนทร์ปัดมือหญิงสาวออก ”เธอเอาอะไรให้ฉันกิน!”

“ก็ไวน์ไงคะ”

“ไม่ เธอใส่อะไรลงไปในนั้น” เครื่องหน้าหล่อสมบูรณแบบเต็มไปด้วยเหงื่อผุดพราย สายตาที่มองมายังเธอเปลี่ยนไปจนนานะนึกกลัว นัยน์ตาสวยสั่นระริกหยิบขวดไวน์ขึ้นมาดูก่อนจะกวาดสายตามองไปทั่วพื้นที่ พบร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำเต็มยศตัดกับผิวกาบขาวหยวกกำลังยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ ชายผู้นั้น เหยียดรอยยิ้มเยือกเย็นที่มุมปากเล่นเอาเธอเสียวสันหลังวาบ สายตาดุดันที่ส่งมาราวกับย้ำเตือนให้เธอต้องทำตามคำสั่ง ห้ามตุกติกเป็นอันขาด

นี่มันไม่ได้ได้อยู่ในตามแผน! ไหนบอกแค่มอมเหล้าให้อีกฝ่ายหลับแล้วจัดฉากทำให้อสุเรนทร์นึกว่าเธอและเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน แต่นี่คืออะไร

นานะเผลอปิดปากเมื่อร่างกายเริ่มร้อนผ่าวอย่างน่าแปลกประหลาด สาบานได้เธอกินแค่ไวน์ธรรมดาและจิบเล็กๆเท่านั้น เกิดอะไรขึ้น...หรือว่า...

เล่นกันแรงไปแล้วนะ

ขณะหญิงสาวต้องสงสัยลุกลี้ลุกลน อสุเรนทร์ก็เอาแต่ขบกัดริมฝีปากล่างข่มกลั้นความร้อนรุ่มตามเนื้อกาย อาการที่เกิดขึ้นชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าตนโดนวางยาปลุกกำหนัด เสียแล้ว รีบสาวเท้าเดินจ้ำพรวดกลับเข้าห้องพักในขณะที่ยังมีสตินึกคิดมากพอ ตรงดิ่งไปเข้าห้องน้ำเปิดฝักบัวปล่อยให้น้ำเย็นไหลชโลมกายเพื่อบรรเทาความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวินาที ความเสียวซ่านตีตื้นขึ้นมาเหมือนเกลียวคลื่นมันลูกใหญ่ที่ตรึงอยู่ในทุกอณูของร่างกายหมดสิ้น

ร่างสะโอดสะองวิ่งเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง ยื่นมือหมายสัมผัสผิวกายร้อนวาบหากทว่าอสุเรนทร์กลับปัดมาออกอย่างแรง พญายักษ์หอบหายใจถี่และร้องครางครืนครั่นเหมือนสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บหนัก

“เพราะเธอ...อึก...ต้องการแบบนี้สินะ”

“เปล่านะคะ ฉันไม่ได้ทำ”

“อยู่ให้ห่างจากฉัน ฮึ่ม..! ก่อนที่จะทนไม่ไหวไปมากกว่านี้”

“ไม่ค่ะ ฉันจะไม่ไปไหน ฉันจะอยู่ช่วยคุณที่นี่”

“ช่วยหรืออยากได้ฉันเป็นผัวกันแน่” อสุเรนทร์ตวัดสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะ ร่างกายสั่นเกร็งเมื่อเนื้อหน้าเสียดสีกับผิวกายของตน

“เลิกมองฉันในแง่ร้ายสักทีเถอะค่ะ! อยู่เฉยๆฉันจะช่วยคุณเอง”

“อา...” อสุเรนทร์ร้องครางเมื่อสายน้ำเย็นชุ่มฉ่ำกระทบกายตนแรงขึ้น หญิงสาวถอดเสื้อเปียกโชกของชายหนุ่มก่อนจะโน้มตัวใช้มือข้างที่เหลือถือฝักบัวจ่อรดแผ่นหลังกว้าง

“อดทนอีกหน่อยนะคะ”

“อึก...อา...” ด้วยกลิ่นหอมหวานจากกายหญิงสาว อสุเรนทร์ถึงกับสมองมึนเบลอแทบจะแยกไม่ออกสิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่สมควรทำ วงแขนแข็งแรงกอดกระชับเอวคอดกิ่วพร้อมริมฝีปากที่จูบพรมลำคอระหงด้วยความต้องการสูงลิบลิ่ว แม้ในใจจะสั่งให้หยุดกระทำบ้าๆเช่นนี้ซะ หากร่างกายมันกลับคิดทรยศไม่ยอมหยุดตาม ฝ่ามือร้อนลูบสัมผัสตามเรือนผิวกายเนียนนุ่มราวกับกำมะหยี่ ซุกไซ้สูดดมกลิ่นกุหลาบพันธุ์ดีจากซอกคอขาวและขบกัดปลดปล่อยอารมณ์กระสัน   

หยุดเดี๋ยวนี้ไอ้ร่างกายชั่ว ข้าบอกให้หยุด!

“อื้อ คุณทศ หยุด อย่าทำ อื้อ...” ชายหนุ่มยังคงเล้าโลมคนในอ้อมแขนราวคนเมามายไม่ได้สติ นานนะดิ้นพล่านด้วยความกลัวจับใจทั้งที่ร่างกายของเธอก็เกิดความต้องการเช่นเดียวกัน พยายามใช้มือดันอกกว้างแต่ทว่ามือไม้ดันอ่อนปวกเปียกไปเสียหมด

“ฉัน อึก หยุดไม่ได้”

“อื้อ คุณทศ!”

‘พี่ทศครับ’

‘เฮือก!’


อสุเรนทร์เบิกตากว้างเมื่อจู่ๆเขาได้ยินเสียงของคนรักดังทับซ้อนกับหญิงร้อยเล่ห์ผู้นี้

‘เปรมรักพี่ทศเสมอ’

‘อย่าปล่อยให้เปรมรอนานนะครับ รีบกลับมา...กลับมาหาเปรม’


หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 20-01-2017 13:20:25




รัตติกาลยังคงลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อย ลมทะเลพัดเอื่อย เส้นแสงจากดวงแก้วดวงโตสาดส่องเข้ามาภายในห้องผ่านทางช่องว่างของผ้าม่าน กระทบกับสองร่างเนื้อกายเกือบเปลือยเปล่าที่กอดรัดแนบแน่นอยู่บนเตียงใหญ่ อสุเรนทร์ข่มตาแน่น ซ้ำยังกัดฟันกรอดเมื่อมือเรียวงามลากผ่านจุดแห่งความปรารถนาบริเวณช่วงอก หัวใจของเขามันกำลังสั่นพร่าด้วยความเสียใจที่ไม่อาจหยุดยั้งกามอารมณ์นี้ไปได้เลยแม้แต่น้อย

เปรมจ๋า...เปรมจ๋า...พี่หยุดมันไม่ได้แล้ว

พี่ขอโทษ...



“เปรมรู้สึกแปลกๆบ้างไหม” จู่ๆรณพักตร์ก็ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยหลังจากขับรถออกจากตัวเมืองกรุงเทพมาได้สักพักใหญ่ เอื้อมมือไปเปิดเครื่องเล่นให้เสียงดนตรีที่ชอบดังคลอเบาๆแล้วปรับแอร์ให้เบาลงเล็กน้อย เปรมมองดูเม็ดฝนผ่านกระจกใส

“อะไรที่ว่าแปลกหรือครับ”

“ไม่รู้สิ บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ดูท่าคงไม่ใช่เรื่องดี”

“อินอาจจะโดนพี่ทศวิ่งไล่เตะตอนไปถึงที่นั่นก็ได้”

“นั่นสินะ กลัวไม่เตะอย่างเดียวน่ะสิเปรม อาจจะโดนด่าพร้อมยึดทรัพย์สินทั้งหมดกลายเป็นบุคคลล้มละลาย” รณพักตร์หัวเราะร่วน “เอ้อ เมื่อวานที่ถามค้างไว้ สรุปเกิดอะไรขึ้น นายไปอยู่ไหนทำไมไม่รับสายฉัน เมื่อวานอากฤตก็ถาม”

คนร่างบางใช้เวลาคิดเล็กน้อย “พอดีผมเป็นลมแล้วก็โดนกรรไกรในร้านขายดอกไม้บาดเอา เพื่อนที่รู้จักมาเจอเข้าก็เลยพาไปนอนพักที่ห้อง ตอนอินโทรมาผมคงนอนอยู่เลยไม่ทันได้รับ ผมขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง”

“เฮ้อ แค่นายไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว” ขืนเป็นหนักสิพระบิดาจะได้พิโรธเล่นงานเขานวมเป็นแน่น “ว่าแต่เพื่อนนายนี่ใคร”

“เพื่อนสนิทสมัยก่อนนะครับ”

“คิดไม่ซื่อด้วยหรือเปล่า” รณพักตร์กระตุกยิ้ม “เพราะดูเหมือนเพื่อนนายคนนี้จะหวงนายไม่ใช่น้อย”

“คงไม่มั้งครับอิน”

“เหอะ นี่ยังเจ็บใจไม่หายแทนที่จะกดรับบอกฉันสักหน่อยว่านายเป็นลม ไม่สบายกลับตัดสายฉันทิ้งซะอย่างนั้นและไม่ใช่ครั้งเดียว ตั้งห้าครั้ง! ถ้าอยู่ใกล้ๆนี่จะเอากระบี่กระบองฟาดหน้าให้เละไปเลย”

คนนั่งฟังก็ได้ยิ้มฉีกยิ้มแห้ง ไม่พูดตอบ

“เอาเป็นว่านายกับหมอนั่นถ้าตัดขาดกันได้แบบไม่เจอกันอีกก็ตัดซะอย่าให้เหลือเยื้อใย คนอย่างหมอนั้นไม่สมควรเป็นเพื่อนกับนายหรอก แค่คนแปลกหน้าที่เดินผ่านเป็นตัวประกอบฉากฉันก็ไม่อยากให้เป็น”

“กินน้ำหน่อยไหม”

“น้ำไม่พออ่ะ แกะโปเต้ห่อใหญ่ให้ที ป้อนด้วยนะ หิว!”


รถออดี้สีดำเงาปลาบตลอดคันชะลอจอดเทียบหน้าบ้านพักตากอากาศริมทะเลหลังหนึ่ง ท้องนภากว้างมืดสนิทบ่งบอกเวลาที่ดึกมากแล้ว

 “พร้อมหรือยังสำหรับการเซอร์ไพรส์ครั้งยิ่งใหญ่” มือเล็กทว่าแข็งแรงคว้ากล่องพลุกระดาษไปจากมือคนร่างบาง เดินดุ่มๆเข้าบ้านพักที่ทั้งมืดและเงียบสงัดราวกับไม่มีผู้ใดพักอาศัยอยู่เลย

“ผมว่าเราค่อยมาหาพี่ทศตอนเช้าก็ได้นะครับ”

“มาหาตอนเช้ามันจะไปสนุกอะไร” ไอ้ตอนนอนหลับอยู่นี่แหละสนุกที่สุด แกล้งจุดพลุกระดาษให้ตกใจเล่น เผลอๆอาจได้ชมภาพยักษ์กลิ้งตกเตียงด้วยสีหน้าเหลอหลา แค่คิดก็ขำแล้ว ถานการณ์จริงคงขำยิ่งกว่า “เอาล่ะ ฉันจะเปิดประตูเข้าไปแล้วนะ พร้อมหรือยัง”

ไหนๆก็มาถึงแล้ว ไม่พร้อมก็คงต้องพร้อมเพราะอีกฝ่ายดูท่าจะอยากเข้าไปในนั้นเหลือเกิน

และไม่รู้เป็นเพราะอะไรถึงได้รู้สึกหน่วงๆที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีมือใครยื่นมือมาบีบมันให้อึดอัดขึ้นทีละนิด...ทีละน้อย หวาดหวั่นพิกล

“เดินเบาๆนะเปรม”

“รู้แล้วล่ะน่า”

“คิกๆ น่าสนุกจัง”

ฝ่าเท้าเรียวยาวก้าวขึ้นบันไดอย่างเงียบเชียบตามติดรณพักตร์ที่คอยย่อตัวหลบระแวงระวังอย่างมีชั้นเชิงราวกับมหาโจรที่คิดมาปล้นทรัพย์ในบ้านเศรษฐี... ทว่า! ยังไม่ทันได้ก้าวข้ามผ่านบันไดขั้นสุดท้าย ขาของเขากลับหยุดชะงักอยู่กับที่ สองดวงตานิ่งค้างไปกับสิ่งที่เห็นผ่านบานประตูที่เปิดแง้มเอาไว้...มากพอจะเห็นอะไรต่อมิอะไรภายในห้องนั้นได้อย่างชัดเจน

“เปรมเป็นอะ...โอ้ ชิท!”

รณพักตร์ทิ้งกล่องพลุกระดาษลงบนพื้นด้วยความโมโหจัด วิ่งตึงตังเข้าไปในห้องอย่างไม่สนใจว่าจะปลุกให้คนในนั้นตื่นขึ้นมากลางดึกดื่นหรือไม่

มือบางผลักบานประตูเปิดออกจนสุด ภาพของอสุเรนทร์ที่ใช้แขนโอบเรือนร่างงามสะโอดสะองอย่างแนบชิดหลับใหลสู่ห้วงนิทราอย่างมีความสุข ผ้าห่มเลิกลงมาจนถึงสะโพกซึ่งมันคงเดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างกายทั้งคู่เปลือยเปล่า สัมผัสเนื้อแนบเนื้อ...

“What the fu*k พระบิดาตื่น! ตื่นเดี๋ยวนี้!”

คล้ายหัวใจถูกคว้านแหว่งหายไปเกือบครึ่ง อยากจะหันหลังหนี แต่ขากลับก้าวไม่ออก ภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัวเหตุเพราะรอยรื้นที่ขอบตา

อสุเรนทร์ที่เพิ่งตื่นขึ้นมาจากแรงปลุกอันโกรธเกรี้ยว คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจก่อนจะค่อยๆลืมตา...และเบิกตากว้างในทันทีที่เมื่อเห็นใบหน้าแสนคุ้นเคยของคนสองคน

อากาศหนาวเย็นเกินกว่าจากปกติเครื่องปรับอากาศแผ่กระทบร่างกายทำให้อสุเรนทร์รู้ตัวว่าเขาไม่ใส่เสื้อผ้าปกปิดแม้แต่น้อย นานะที่ลืมตาตื่นขึ้นตามหลังจากถูกรบกวนด้วยเสียงโวยวายจากใครบางคน เผลอร้องอุทานยกผ้าปิดส่วนบนด้วยอารามตกใจ

“ปะ...เปรม”

“ว่าจะเซอร์ไพรส์เองกลับโดนเซอร์ไพรส์หนักกว่า” นึกไว้ไม่มีผิดว่ามันจะต้องเกิดเรื่องเลวร้ายพรรค์นี้ขึ้น นัยน์ตาอสุราทอแสงแดงฉานเต็มเปี่ยมด้วยโทสะ นับว่าหล่อนช่างกล้าเก่งนักที่สามารถทำให้ความรักของคนสองคนแตกร้าวยากจะประสานร่วมกันเป็นเนื้อเดียวได้อย่าง่ายดาย

“พระบิดา ท่านทำได้ยังไง ท่านทำกับคนที่ท่านรักแบบนี้ได้ยังไง”

“เจ้าอิน...เปรม พี่...”

“มีอะไรหรือครับ”

คนร่างบางพูดนิ่งๆ แต่อสุเรนทร์เห็นว่าดวงตาเรียวสวยคู่นั้นกำลังสั่นคลอ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็ดูแหบและเย็นชากว่าปกติ
“ฟังพี่ก่อนนะเปรม พี่”

“ไม่ต้องอธิบายหรอกครับ เปรมเข้าใจ”

“เปรม”

“ภาพมันชัดขนาดนี้ พี่จะบอกพี่ไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นหรือ”

“...”

“อินครับ ผมอยากกลับบ้านแล้วล่ะ อินช่วยไปส่งหน่อยได้ไหม”

“ได้อยู่แล้ว”

เปรมกลั้นเสียงสะอื้น ก้มลงถอดกำไลทองที่เปรียบเสมือนเส้นดายพันผูกหัวใจทั้งสองดวงและยื่นมันให้กับรณพักตร์เพื่อส่งต่อไปยังเจ้าของดั้งเดิมของมัน อสุ-เรนทร์ปัดสิ่งของในมือลูกชาย หยิบผ้าขนหนูที่กองบนพื้นผูกปมเอาไว้หลวมๆ และรีบถลาลงจากเตียงกอดรั้งคนรักเอาไว้จากด้านหลัง เปรมรู้สึกได้ถึงความชื้นบริเวณหัวไหล่ที่อีกคนใช้ซุกซบ พร้อมกับแรงสั่นและแรงสะอื้นร่ำไห้อย่างหนักหน่วง

“อย่าทำแบบนี้ได้ไหม พี่ใจจะขาดแล้วนะ”

“ปล่อยเถอะครับ”

“พี่ไม่ปล่อย พี่ขอโทษ”

“ขอโทษแล้วทำแบบนี้ทำไม!” คนร่างบางตะโกนอย่างสุดเสียง สะอึกสะอื้นราวจะขาดใจ

พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น เปรมต้องฟังพี่นะ”

“ขอโทษแล้วมันจะกลับเป็นเหมือนเดิมไหม ฮึกๆ ผมเชื่อใจพี่มาโดยตลอด แต่พี่กลับตอบแทนผมโดยการนอนกับเธออย่างนั้นเหรอ”

“คุณเปรมคะ มันไม่ใช่อย่างนั้น”

“เงียบไปเลยนังแพศยา!” รากษสหนุ่มตะโกนด่า

“พวกเราโดนวางยาจริงๆนะคะ ขอร้องล่ะคุณเปรม คุณอิน คุณทศเขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย”

“แต่เธอตั้งใจอย่างนั้นสิ”

แววตาโอรสแห่งพญารากษสพิโรธ นานะก้มหน้าร้องไห้เงียบๆ “สมใจเธอแล้วสิ ทำครอบครัวเขาแตกแยกไม่เหลือชิ้นดี ถามหน่อยพวกเราไปทำอะไรให้เธออย่างนั้นเหรอ เธอถึงได้มาแก้แค้นกันอย่างนี้”

“ฉันขอโทษ”

“หยุดเอ่ยคำขอโทษกันเสียที มันน่ารำคาญ!”

“เปรมจ๋า ได้โปรดที่รัก ยกโทษให้พี่อีกสักครั้ง พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” อสุเรนทร์ร่ำไห้โศกาอย่างไม่มีปิดบัง วงแขนแข็งแรงรวบเอวอีกคนมากอดแน่น หน่วง เปรยเงยหน้าพยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา หัวใจดวงน้อยกำลังแตกสลาย เจ็บยิ่งกว่าครั้งไหนๆที่เคยประสบพบ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อคำกล่าวของอสุเรนทร์ หากใจเขาเองยังไม่พร้อมที่จะรับฟัง

“จะทุบจะตีจะด่าพี่ยังไงก็ได้ แต่อย่าพูดเหมือนเราจะต้องห่างกันได้ไหม”

เปรมแสร้งยกยิ้มอย่างอบอุ่นเพื่อปิดบังความปวดร้าวที่กำลังก่อเกิดขึ้นอยู่ภายในจิตใจ ขณะก้านนิ้วเรียวสวยปาดคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนพวงแก้มสากออกไปจนหมด

“ขอบคุณสำหรับวันเวลาที่ผ่านมา พี่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุดในชีวิต แต่เส้นทางเดินของเรามันถึงจุดตัดไม่สามารถเดินไปด้วยกันได้อีกต่อไป”

ริมฝีปากหอมหวานราวเกสรจากดอกไม้บรรจงจุมพิตหน้าผากกว้างอย่างอ้อยอิ่ง...สูดลมหายใจเข้าลึกพยายามควบคุมอารมณ์ให้กลับมาเหมือนเดิม

“พี่ทศ”

“เปรม อย่า...”


“เราเลิกกันเถอะ”



 :katai1: :katai1: :katai1:
มีความเครียดสูงงงงงงงงง ว่าแล้ว ที่ทศนะพี่ทศ สงสารเปรมมม :sad4: :sad4: :sad4:
ยังไงก็เอาใจช่วยให้ความรักของสองคนผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ
แต่ขอเตือนหลังจากนี้ดราม่าจะมาเต็ม กรุณาเตรียมใจให้พร้อมมม

วันนี้ขอลาไก่อนค่ะ บ้ายบายยยย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 20-01-2017 15:24:38
ว่าแล้วววว แผนอิท่านพระรามแน่
เลวชาติที่แล้วยันชาตินี้ นี่คงหาโอกาสตอนนี้ไปทำคะแนนกับเปรมสินะ ว้ากกกก จัดมาเลยมาม่า พร้อมทาน ToT
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-01-2017 15:39:59
 :hao5: :mew4: :mew6: :sad4: :o12:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 20-01-2017 15:40:17
บทนี้จบด้วยพี่ทศเสร็จเมียเก่า และเมียใหม่มาเห็น โอ้วววว พล็อตนี้ 55555 (สมน้ำหน้าอิทศ น้องก็เตือนแล้วว่าห้ามรับๆๆๆก็ยังโง่อีก ขี้โม้จนได้เรื่อง) ส่วนชะนีก็คนดีเหลือเกินจ้าาา อิทศมันโดนยา ตัวเองก็โดนยังจะเจือกไปช่วยเค้า แหม๊ (คนดีตั้งแต่ที่รับงานมาทำให้คนอื่นเค้าแตกแยกกันละ คนดีสุดๆค่ะ //ปรบมือ) สุดท้ายเกิดเรื่องไปแล้วก็ทำไรไม่ได้ได้แต่ขอโทษ ? วอชช ขอโทษแล้วมันจะกลับมาเป็นแบบเดิมไหมละคะ ทั้งอิทศและนางนี เหอะๆ (เป็นเราก็ทำใจลำบาก เห็นเต็มตาขนาดนั้น คงต้องให้เวลาสักพักอะนะ)ในส่วนของคุณรามคนดี(แต่เปลือก) ก็รอดูว่าเปรมจะรู้ความจริงเมื่อไหร่ ทีนี้ล่ะ ! เปรมได้เกลียดแกแบบไม่เหลือความใจอ่อนให้แม้แต่ขี้เล็บแน่นอน รามเอ้ยยย เฮ้อ

ปล.เค้าเกลียดมาม่าาาา Y_Y แต่จะติดตามต่อนะคะ 5555
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 20-01-2017 16:20:08

โอ๊ย...........

เครียด

เครียดกว่าตอนที่ยังไม่ได้อ่านอีก

รอขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 20-01-2017 17:15:08
โอ้...แม่จ๋า ใจน้องจิขาด :katai1:

รอติดตามค่ะ แม้จะเจอมาม่าหม้อใหญ่ก็ตาม
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 20-01-2017 20:49:47
 :hao7:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 20-01-2017 21:41:57
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Abella ที่ 20-01-2017 22:11:22
ทำลายความรัคนอื่นมีความสุขมากรึเปล่าจะได้ผลกรรมไหม เลวทุกชาติทุกภพ มีความดีในจิตใจบ้างรึเปล่า นี่เกิดมาเพื่อทำลายหัวใจและชีวิตคนอื่นโดยเฉพาะรึป่าว ไม่คิดจะปรับปรุงเลยเหรอ สำนึกในใจสักนิดไม่คิดจะมีเลยเหรอ  :ruready
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 21-01-2017 14:26:01
โอ้ยยยยย อึดอัด เฮียเราโง่จริงๆให้เขาวางยาได้ นังผู้หญิงก็เลวววววววว สงสารเปรม :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๑ ทศเปรม อัพ!! (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 21-01-2017 15:02:16
อีรามอีเหี้ยนานะแพศยา
้่คือทำไมต้องสารเลวขนาดนี้วะ
ถ้าตอนจบอีรามไม่ตายแบบทรมานนี่จะรำมาก
ทำทุกอย่างเพื่อแย่งเมียคนอื่น
อีนานะ แหม เป็นคนดีเหลือเกิน

ถ้าเปรมไปหวั่นไหวกับอีรามเราจะเลิกอ่านเลยอะ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๒ ครึ่งแรก(กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 22-01-2017 20:19:55

ตอนที่ ๒๒



“โธ่เว้ย!!”

อสุเรนทร์ยืนหัวเสีย ชกหมัดใส่ผนังห้องพักจนเกิดรอยแตกร้าว หยาดน้ำตาใสโรยรารายรินอาบแก้มตอบอย่างน่าสงสาร เรื่องทุกอย่างไม่ควรจบลงอย่างนี้ ดวงตาของน้องยามจับจ้องมาที่เขามันมีแต่ความเสียใจ ความผิดหวังจนยากจะอภัยให้ได้โดยง่าย...เปรมจากเขาไปแล้ว...และอาจจะจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน

“คุณทศคะ”

“ออกไป” เสียงที่เคยอ่อนละมุนกลับแหบพร่าและดุดันขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 “ฉันแค่จะมา...”

“เธอจะไปไหนก็ไป ไปตายเลยยิ่งดี”

“นี่คุณ! มันจะมากไปแล้วนะคะ ฉันก็บอกแล้วว่าฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ทุกอย่างมันเป็นเพราะความผิดพลาด”

“ผิดพลาดงั้นเหรอ” อสุเรนทร์ยิ้มเหยียด “ใช่ มันผิดมาตั้งแต่เธอเลือกที่จะเข้ามายุ่งย่ามในชีวิตของพวกฉันแล้วล่ะนานะ ถ้าหากไม่มีคนอย่างอย่างเธอ ชีวิตฉันก็คงไม่ต้องกลายมาเป็นแบบนี้” เนื้อกายชายหนุ่มสั่นด้วยความกรุ่นโกรธ กราดเกรี้ยว ขณะแสงทิวากรกระทบดวงตาคมกริบ เส้นแสงสะท้อนให้เห็นประกายสีเขียวเจิดจ้าพลุ่งโพล่งอยู่ภายใน ฉายแววโกรธเกรี้ยวสุดขีด
ดวงตาสีเขียวดุดันนั่น เขาเป็นปีศาจอย่างนั้นหรือ

หญิงสาวก้าวเท้าร่นถอยหนีไปทางด้านหลังแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับล็อกตัวเธอเอาไว้แล้วดันติดบานประตูห้อง ร่างงามสั่นระริกหวาดกลัวจับใจเมื่ออสุเรนทร์เลื่อนมือแกร่งมาบีบคอเธอเบาๆ

“ฉันเตือนเธอแล้วใช่ไหม ว่าถ้าเธอคิดทำลายชีวิตคู่ของฉันกับเปรม ฉันจะทำให้ชีวิตเธอไม่มีความสงบสุขเหมือนตกนรกทั้งเป็น จำได้ไหม”

“ฮึก...ฉันขอโทษ”

“คำขอโทษของเธอมันช่วยให้เปรมกลับมาหาหรือไง!”

“ขอโทษ ฉันขอโทษ”

“เธอรู้ไหม ฉันต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าจะได้ความรักจากเขา”

“อึก...ฮือ...”

“เรื่องของเรากำลังไปได้ดีแต่เธอกลับทำมันพัง”

“ปล่อยฉันเถอะ อั่ก!”

“ฉันไม่ใช่คนดี ฉันสามารถฆ่าเธอได้ถ้าต้องการ” ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยนเป็นแดงจัด ดีดดิ้นทุรนทุรายจากการขาดอากาศหายใจเฉียบพลัน พยายามเปล่งเสียงขอร้องคนใจโหดเหี้ยมให้หยุดทว่าสรรพเสียงที่ต้องการเอื้อนเอ่ยล้วนถูกกลืนหายลงสู่ลำคอ

“ปล่อย...อึก...ฉันไป...เถอะ อึก!”

“เปรมจากฉันไปแล้ว ได้ยินไหมเขาจากฉันไปแล้วยัยสารเลว!”

“คุณ อึก! ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ”

อสุเรนทร์เหวี่ยงร่างสะโอดสะองลงพื้นราวกับเป็นเศษผ้าไร้ราคาไม่มีคุณค่า นัยน์ตาของหล่อนสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวจับใจยามเผชิญหน้าร่างสูง นิ้วมือแกร่งบีบปลายคางมนแล้วจับให้มันเชิดขึ้น  ความเจ็บจากแรงบีบแล่นริ้วจนเธอต้องขบกัดริมฝีปากตนเองอย่างแรงเพื่อกลั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกมา

“ใครเป็นคนสั่งให้เธอทำ”

“ฮือๆ...”

“ฉันถามก็ตอบ!”

“คุณรามค่ะ คุณราเมนทร์เป็นคนสั่งให้ฉันทำ”

“!”

“ขะ...เขาบอกให้ฉันช่วยเขาแยกคุณเปรมออกจากคุณ ฉันสงสารฉันก็เลยคิดจะช่วย โดย...โดยเขาให้ฉันพาคุณมาที่นี่เพื่อจัดฉากว่าคุณมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฉัน ละ...แล้วก็จ้างนักข่าวมาทำข่าวเราสองคนเพื่อให้คุณเปรมเข้าใจผิด คุณทศ ได้โปรดอภัยให้ฉันด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

“เธอบอกฉันไม่ตั้งใจแล้วเธออาสาช่วยมันทำไม!”

“เพราะฉันสงสารเขา”

“ฉันล่ะ เธอไม่สงสารหัวอกฉันบ้างเลยเหรอ” น้ำตาของอสุเรนทร์ไหลลงเรื่อยเหมือนสายน้ำ...

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา...ผู้ชายคนหนึ่งที่ใช้ความอดทนรอคอยแค่คนเพียงคนเดียว พยายามทุกอย่างเพื่อให้เขาเห็นและหันมารักในสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นเป็น เธอมาทีหลังเธอไม่รู้หรอกกว่าพวกเขาสองคนจะกลายมาเป็นอย่างนี้ต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง” ถึงตรงนี้น้ำคำของอสุเรนทร์เริ่มสะดุด...เพราะความรู้สึกตนพลุ่งพล่าน และแม้จะระงับไว้สักปานใด รอยชื้นบางๆก็ยังปรากฏอยู่ในดวงตา

“ฉันไม่สนอีกแล้วว่าเธอจะอโหสิกรรมให้อภัยกันหรือไม่ แต่จงไปเสีย ไปให้ไกล ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวลงมือฆ่าเธอจริงๆ”

นานะจ้ำพรวดออกมาจากประตูบ้านพักโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายพูดซ้ำ หัวใจเต้นกระหน่ำเพราะความขลาดกลัว ถ้ารู้ว่าจะต้องเจอกับถานการณ์เลวร้ายเสี่ยงตายเช่นนี้เธอจะไม่ยอมช่วยราเมนทร์เด็ดขาด ทว่าเมื่อรู้ตอนนี้ก็สายเกินแก้ สิ่งเดียวที่เธอทำได้ตอนนี้คือขอโทษและอโหสิกรรมให้เขาภายในใจ กลับบ้านรีบไปเก็บข้าวของใส่กระเป๋าเดินทางแล้วกลับนิวยอร์กให้เร็วที่สุด เธอไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วเพราะคนที่นี่น่ากลัวเหลือเกิน โดยเฉพาะผู้ชายที่ชื่ออสุเรนทร์ เธอขอสาบานต่อหน้าพระเจ้า เธอจะไม่กลับมาให้เขาเห็นหน้าอีกตลอดชีวิต

บุรุษกายสูงใหญ่ยกมือเสยผมสีน้ำตาลเข้มของตนที่ยาวปรกใบหน้าให้พ้นสายตา เดินโซซัดโซเซ กวาดสิ่งของทุกชิ้นบนโต๊ะให้หล่นกระจาย เปลือกตาเข้มปิดลงด้วยอาการถอนใจลึก คล้ายเหนื่อยอ่อนแทบไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ปล่อยให้น้ำตาไหลรินไปอย่างนั้นโดยไม่คิดเช็ดออก


  สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้ง   ยามสาย
        สายบ่หยุดเสน่ห์หาย       ห่างเศร้า
        กี่คืนกี่วันวาย              วางเทวศ ราแม่
           ถวิลทุกขวบค่ำเช้า           หยุดได้ ฉันใด ฯ


เปรมจ๋า...พี่จักอยู่ได้เยี่ยงไรหากปราศจากนวลเจ้าข้างกาย

ได้โปรดเถิด กลับมา...พี่รักเจ้าเหลือเกิน...



ดวงอาทิตย์ใกล้ยามสนธยาส่องแสงสีส้มสาดส่องเรืองรองไปทั่วริมเขาและชายหาดสีขาวบริสุทธิ์ ดูประหนึ่งลูกคลื่นสีทองอร่ามตาบนสรวงสรรค์ หากอสุเรนทร์ยังคงนั่งนิ่งประหนึ่งรูปสลักอยู่เช่นนั้นตราบนานเท่านาน น้ำตามากมายเหือดแห้งไปหมดเหลือแต่ความว่างเปล่า ความคิดลอยล่องอย่างไร้จุดหมาย ล่องลอยไปกับสังหรณ์ที่กรายเข้าสู่หัวใจตนเหมือนสายน้ำหลาก
ราวกับไม่นานจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

และมันคงไม่น่าตกใจสักเท่าไหร่หากเขาไม่ได้นึกถึง...’เปรม’ น้องน้อยอันเป็นที่รักคนเดียวและคนสุดท้ายที่เขาปรารถนาอยู่ครองคู่ตราบชั่วฟ้าดินสลาย กำไลทองในมือส่งความร้อนราวไฟบรรลัยกัลป์จากนรกอเวจีวูบวาบอยู่ในอุ้งมือใหญ่

“พี่ทศ...” เสียงที่ดังมาจากข้างหลัง ทำให้อสุเรนทร์ตื่นจากภวังค์ความคิด ประกายแห่งความโศกเศร้าฉายผ่านนัยน์ตาของชินกฤต คนร่างสูงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและแรง

“เปรม...”

คนฟังเบิกตากว้างนิ่งไปชั่วขณะ

“เกิดอะไรขึ้นกฤต”

“เปรมเขา...”



-โรงพยาบาลเอกชน-


“ผมไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อยแค่เป็นลมธรรมดาเอง”

“เห็นไหมไอ้แก่ ข้าบอกแล้วว่าหลานมันไม่ได้เป็นอะไร” ยายนวลตีไหล่ผู้เป็นสามีเบาๆ พยายามบอกแล้วบอกอีกจนน้ำหมากแทบกระเด็นกระดอนออกจากปากก็ไม่มีใครเชื่อสักคน เชื่อแต่ไอ้หมาเสที่ชอบพูดจาเกินความจริงไปมากโข ทีนี้คนทั้งบ้านก็แตกตื่นกันหมดน่ะสิ รีบพาคนเป็นลูกเป็นหลานมาส่งโรงพยาบาลทันที

“ก็ข้าเห็นหลานรักล้มลงไปนอนหมดสติต่อหน้าต่อตาเลยนะเว้ย เอ็งไม่อยู่ในเหตุการณ์เหมือนข้าเอ็งไม่เข้าใจหรอกนังแก่”
“สติน่ะมีไหม คิดวิเคราะห์หน่อย ไม่ใช่สักมีสมองเอาไว้คั่นกบาลเหี่ยวๆของเอ็งอย่างเดียว”

“ด่าข้าโง่เรอะนังนวล”

“อย่างเอ็งด่าว่าโง่ยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

“ฮิ ฮิ สมน้ำหน้าโดนเมียด่า”

“หุบปากเอ็งไปเลยไอ้ไม้” ไอ้นี่เผลอเป็นไม่ได้ชอบตอกย้ำเขาทุกที ทั้งที่ตัวมันเองเนี่ยแหละที่แหกปากป่าวประกาศให้คนในบ้านรู้โดยทั่วถ้วน แต่คนที่โดนด่ากลับกลายเป็นเขาเสียเอง จำเริญไหมล่ะพ่อ

“ฮิฮิ”

“ทำเป็นขำ เฮอะ ไม่ต้องไปด่าคนอื่นเลยไอ้ลูกคู่สนับสนุนรายใหญ่”

“อุ้ย แม่จ๋า” บุรุษผมดอกสีเลาสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเมียสุดที่รักเท้าสะเอวจิกตาใส่เหมือนไก่แจ้ข้างบ้าน ก็ได้แต่ส่งยิ้มหัวเราะร่วนกลับไปพอเป็นพิธี ผู้หญิงบ้านนี้มันชักจะเอากันใหญ่ ขี้บ่น ขี้วีนแถมมือเท้ายังหนักขึ้นทุกวัน อยู่ด้วยกันมาตั้งยี่สิบสามสิบปีเพิ่งจะรู้ว่าตนไม่ได้ตบแต่งเมียผู้แสนอ่อนหวานงามแฉล้มประดั่งนางบุษบาหรือจินตะหราวาตี ทว่ากลับกลายเป็นนางยักษ์ขมูขีแสนเกรี้ยวกราดแปลงกายมาหลอกล่อให้หลงใหล...กรรมของเอ็งแท้ๆไอ้ไม้

“กำลังด่าข้าในใจใช่ไหมไอ้ไม้”

“เปล่าจ๊ะแม่จ๋า พ่อจ๋ากำลังชมแม่จ๋าเหมือนโสนน้อยเรือนงามต่างหากเล่าจ๊ะ”

“ก็แล้วไป”

ฟู่ว...รอดตายแล้วกู

“แล้วเป็นยังไงบ้างลูก ปวดหัว เจ็บหน้าอก เจ็บหัวใจหรือมีอะไรที่คิดว่าผิดปกติบ้างไหม” ดวงดาวเอ่ยถามลูกชายหัวแก้วหัวแหวนขณะยื่นจานผลไม้ที่แกะสลักอย่างสวยงามให้ทานเล่น

“ไม่ครับแม่ เปรมสบายดี”

“ถ้าเป็นอะไรก็รีบบอก อย่าเก็บเงียบคนเดียวอีกรู้ไหม”

“ชอบทำให้พ่อแม่ ปู่ย่าตายายเป็นห่วงมันบาปรู้ไหมไอ้แสบ”

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับพ่อ พอดีเมื่อวานนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่”

“มีเรื่องกังวลหรือไง”

“ก็นิดๆหน่อยๆน่ะครับไม่มีอะไรมาก”

“หัดดูแลตัวเองบ้างนะเปรม พ่อไม่อยากเห็นแกเป็นอะไร”

ชายวัยห้าสิบยีกลุ่มผมนิ่มสลวยของลูกชายอย่างอ่อนโยน ไม่รู้เขาคิดมากไปเองหรือไม่ แต่พักหลังๆนี้เปรมชอบป่วยบ่อย ไม่เป็นนู่น ก็ต้องเป็นนี่ แม้จะเล็กน้อยก็อดเป็นห่วงไม่ได้เหมือนกัน...หันมองโดยรอบอย่างนึกแปลกใจ

“วันนี้พวกตาอิน ตาทศติดงานเหรอเปรม พ่อไม่เห็นเขามาเยี่ยมเราเลย”

มือเรียวบางที่กำลังจับขอบแก้วพลันอ่อนแรง ส่งผลให้แก้วน้ำที่ถืออยู่ร่วงหล่นลงสู่พื้น แตกกระจายเป็นวงกว้างราวคลื่นยักษ์ลูกใหญ่ ดวงดาวมองหน้าผู้เป็นสามี รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปแบบกะทันหัน กระแสเย็นวาบแล่นพล่านไปทั่วนิ้วมือทั้งสิบ เปลือกตาสีอ่อนปวดร้าวและร้อนผ่าวทำให้คนร่างบางเลือกจะปิดมันลง

อีกแล้ว...ความรู้สึกนี้กลับมาอีกแล้ว

“เปรม...” อสุเรนทร์เคยพูดบางประโยคและเขาก็จำมันได้ขึ้นใจ “ฉันเนี่ยแหละจะเป็นคนสุดท้ายบนโลกที่คิดทำร้ายเธอ”


โกหก หลอกลวง


เปรมเคยมั่นหมายว่า ‘วันหนึ่ง’ แม้จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตและเหลือเวลาสั้นๆ เพียงน้อยนิด เขาก็พร้อมจะอยู่เคียงข้างอสุเรนทร์ไม่จากจรไปไหน เชื่อใจ ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อคนมากวัยกว่าไม่ต่างจากสุนัขที่นอนซุกซบอยู่กับฝ่าเท้าของผู้เป็นนาย...เปรมคิดอย่างนั้นมาโดยตลอด หากบัดนี้ เวลานี้ทุกอย่างพังภินท์ด้วย แหลกร้าวจนยากจะนำมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเหมือนเดิม ด้วยการกระทำไม่หักห้ามใจของอสุเรนทร์เอง...


เปรมรักอสุเรนทร์ และอสุเรนทร์ก็รักเปรมเช่นกัน แต่ทว่า...เรื่องที่เกิดขึ้นในครานี้มันยากจะเปิดใจยอมรับโดยง่าย เขาไม่ใช่คนเข้มแข็งอย่างที่ใครอื่นคิด โดยเฉพาะหัวใจที่บอบบางเมื่อมันโดนทำร้าย แม้จะเพียงเล็กน้อยก็สามารถแตกเป็นเสี่ยงๆได้โดยพลัน

“อยากเล่าอะไรให้พ่อกับแม่ฟังหรือเปล่า”

“ไม่ครับ...ไม่มีครับ”

“ทะเลาะกับคุณทศมาใช่ไหม”

“...”

“เปรม อย่าเงียบกันแม่”

“เปรมเลิกกับคุณอสุเรนทร์ เราเลิกกันแล้ว”

“ทำไม” เป็นคำตอบที่ทำเอาผู้ใหญ่ในห้องต่างพากันอึ้ง ตกใจระคนสงสัย ยังเห็นรักกันหวานชื่นชนิดน้ำเชื่อม ผลอ้อยต้องเรียกพี่ เหตุไฉนตอนนี้กลับมาตัดความสัมพันธ์กันได้ ตาเสมาขมวดคิ้วแทบชิดติดกัน รู้สึกถึงกลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลลอยมาตงิดๆ

“ใครบอกเลิกใครก่อนล่ะหลานเปรม”

“ไอ้เฒ่าเส”

“ต้องเป็นหลานตาเสมาแน่ๆเลยใช่ไหม หูย ถูกใจ”

ฝ่ามือเหี่ยวทว่าแข็งแรงฟาดลงบนบ่ากว้างของผู้เป็นสามีอย่างแรงจนคนถูกฟาดถึงกับน้ำตาซึม มองรอยมืออรหันต์ที่ค่อยๆขึ้นสีชัดเจน

“ตีข้าทำไมเนี่ย”

“ก็เพราะปากเอ็งมันพาซวยไง พูดจาแต่ละอย่างมันน่าเลาะฟันทิ้งออกให้หมดทั้งปาก มานี่ ไปนอกห้องกับข้าเลยไอ้เสหมา!”

“ข้าเสมาโว้ย เดี๋ยวสิอีแก่ ข้าเจ็บ โอยหูข้า”

ดวงดาวเหลือบมองคนเป็นพ่อเป็นแม่กึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากห้องชั่วแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับมากุมมือลูกชายเอาไว้อย่างต้องการปลอบประโลมและให้กำลังใจ เธอไม่คิดจะตอกย้ำหรือถามถึงความเป็นมาเป็นไป เพราะแค่นี้เด็กน้อยก็ดูเหมือนปวดร้าวมากพอแล้ว

“แม่เป็นแม่ของลูก ในคราที่ลูกเจ็บแม่กับพ่อย่อมเจ็บกว่า แม่ไม่รู้หรอกนะเรากับคุณเขาทะเลาะอะไรกัน แต่ขอถามอย่างหนึ่ง”

“...”

“ที่พูด...หนูตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม”

ความเงียบย่างกรายเข้ามาเยือนเนิ่นนาน คนร่างบางสูดลมหายใจลึก อีกครั้งที่เจ้าตัวต้องระงับอาการสั่นไหวในหัวใจของตน เปรมแหงนหน้ามองพ่อ แม่ ปู่และย่าด้วยสายตาและแววตาเด็ดขาด หากทว่าเจือไปด้วยความเจ็บช้ำไม่น้อย

“จบแบบนี้ก็ดีแล้วครับ”

เพราะยังไงสุดท้าย....เราสองคนก็ต้องลาจากกันอยู่ดี

“เปรม! เอ่อ...ขอโทษครับ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมวงหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรยืนปรากฏตรงหน้า ราเมนทร์ยกมือไหว้คนในครอบครัวของร่างบาง

“สวัสดีครับคุณปู่ คุณย่า คุณน้า คุณลุง”

“ไหว้พระเถอะจ๊ะ เป็นเพื่อนเปรมเหรอ แม่ไม่เคยเห็นหน้าเลย”

“ผมชื่อราม เป็นรุ่นพี่เปรมครับคุณน้า”

“งั้นก็คุยกันตามสบายแล้วกันจ๊ะ พวกน้าคงต้องขอตัวก่อนเพราะมีธุระที่จะต้องทำ ฝากดูแลลูกชายน้าสักพักนะ เดี๋ยวเย็นๆน้าจะกลับมาใหม่” ดวงดาวส่งยิ้มอ่อนโยนให้ชายหนุ่มร่างสูงขณะอีกฝ่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ

“ครับ ผมจะดูแลเปรมให้จนกว่าคุณน้าจะกลับมา”

“ดูแลแค่ทางสายตานะไอ้หนุ่ม ห้ามสัมผัสห้ามจับต้อง ห้ามทำหลานข้าเสื่อมเสีย” บุรุษวัยใหญ่กระแอมกระไอ เชิดหน้ากอดอกประดั่งราชาผู้สูงศักดิ์

“ปู่”

“ถ้ามันทำอะไรหลานโทรมาบอกปู่เลยนะ เดี๋ยวปู่จะจ้างวินดีเซลหน้าปากซอยซิ่งมอเตอร์ไซด์มาหาที่นี่ทันที”

“คุณพ่อก็” ลูกสะใภ้ยิ้มขำ ก้มลงจูบหน้าผากเล็กของลูกชายเบาๆ “ไม่ต้องคิดมากนะลูก นอนพักซะและเดี๋ยวตอนเย็นแม่จะซื้อของโปรดมาฝาก”


เมื่อบรรดาพ่อแม่ ญาติของร่างบางทยอยกันเดินออกไปจนหมดสิ้น ในห้องกว้างจึงเหลือเพียงแค่เปรมและราเมนทร์สองคนเท่านั้น ทั้งสองนิ่งเงียบปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วทว่าสุดท้ายผู้มาเยือนรับไม่ไหวกับความอึดอัดที่แล่นริ้วขึ้นก็ราวกับจะจุกทั่วอก จึงเป็นคนเปิดบทสนนาเสียเอง

“ได้ข่าวนายเป็นลมหมดสติก็เลยมาเยี่ยม”

“อ้อ ขอบคุณนะครับ” รอยยิ้มสดใสประดับบนใบหน้า “แต่ไม่เห็นจะต้องลำบากมาเยี่ยมผมเลย”

“ต่อให้ลำบากยังไงพี่ก็ต้องมาเยี่ยมนาย” คำตอบปนยิ้มน้อยๆ

“คุณมาคนเดียวหรือครับ”

“ลักษณ์ยังไม่ว่างฉันเลยมาเยี่ยมก่อน แต่เดี๋ยวเจ้าตัวจะมาตอนเย็นๆเนี่ยแหละ”

“ทำไมไม่มาพร้อมกันเลยละครับ”

“ก็” ราเมนทร์อึกอัก ไม่รู้พูดไปแล้วอีกคนจะรับฟังหรือไม่ หากสุดท้ายจึงโพล่งคำ “พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยด้วย”

คนป่วยชะงักก่อนช้อนสายตามองร่างสูงช้าๆ

“เรื่องอะไรครับ?”

ผู้มาเยือนเว้นระยะด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นประสานตากับอีกฝ่าย จากนั้นจึงเอ่ยคำช้าชัด

“เปรม...”

“พูดมาเลยครับ” คนร่างบางกล่าววาจา หากหลบสายตาของอีกฝ่ายด้วยการก้มลงมองฝ่ามือตนเอง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเปรมพอจะเดาออกว่าว่าเจ้าตัวต้องการบอกสิ่งใด สิ่งที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของราเมนทร์ มันแสดงออกอย่างชัดเจนมิต่างจากวันนั้นแม้แต่น้อย

“เปรมเลิกกับอสุเรนทร์แล้วเหรอ”

“ใครบอกครับ”

“นานะ พี่ได้ยินเธอบอกกับลักษณ์ก่อนจะขึ้นไปเก็บกระเป๋าเดินทางและขับรถออกไป...ที่เธอบอกมันเรื่องจริงหรือเปล่า” คำถามยังคงแผ่วเบา ขณะคนฟังนิ่งงัน ใช้การนิ่งเงียบเป็นคำตอบ

“เปรม”

“คุณต้องการอะไรจากผมกันแน่คุณราเมนทร์” เปรมเงยหน้าถามอีกฝ่าย

“พี่อยากขอโอกาสให้พี่ได้ดูแลเปรมแทนมันได้ไหม”

“ไม่ครับ”

“ทำไม” ราเมนทร์อ้อนวอน “ทำไมเปรมไม่เปิดโอกาสให้พี่บ้าง พี่รักเปรม รักจนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว...แต่ทำไมเปรมถึงเลือดเย็น ใจร้ายกับพี่อย่างนี้”

“ผมเสียใจ แต่ผมไม่อยากให้คุณต้องมาปวดใจเพราะคนอย่างผม คุณรับได้หรือหากใจของผมนั้นไม่สามารถรับความรักจากคุณได้ ยอมรับได้หรือครับถ้าตัวของผมอยู่กับคุณแต่ใจมันดันไปอยู่กับคนอื่น”

“...”

“ขอบคุณที่รักผม แต่ผมทำตามสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้จริงๆ”

“แล้วถ้าหากพี่ยอมทุกอย่างล่ะ”

“...”

“ยอมเป็นฝ่ายที่รักเปรมอยู่ฝ่ายเดียว ยอมให้เปรมคิดถึงคนอื่น ให้ใจกับคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ แบบนี้จะยอมเปิดทางให้เป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้างเราได้ไหม”

“คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้”

“พี่เลือกแล้ว จะไม่เปลี่ยนใจเป็นอันขาด ขอให้พี่เป็นคนของเรานะเปรม...นะครับ”

คนร่างผอมบางยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด สายตาก็ดันเหลือบเห็นร่างเงาร่างหนึ่งคลับคล้ายว่าจะเป็นอสุเรนทร์กำลังยืนมองพวกเขาอยู่ด้วยสายตาแดงก่ำเสมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ริมฝีปากบางเม้มปิดสนิทพร้อมกับเปลือกตาอ่อนวัย

“พี่รักนายจริงๆนะเปรม”

“เปรมครับ ได้โปรดให้โอกาสพี่สักครั้งเถอะ”

“ผมจะไม่ห้ามคุณนะคุณราม แต่ขอเวลาผมอีกหน่อยได้ไหม ผมไม่สามารถตอบมันได้ภายในเวลานี้ได้จริงๆ”

รอยยิ้มแห่งความหวังฉายขึ้นบนสีหน้าของคนผิวขาวเหลืองร่างสูงโปร่ง มองคนในดวงใจด้วยสายตาและความรู้สึกอ่อนโยน...ฝ่ามือใหญ่สัมผัสปลายนิ้วของเปรมก่อนรั้งอีกฝ่ายเข้ามาหาตัวอย่างช้าๆ ริมฝีปากหยักจูบซับกระหม่อมบางอย่างแสนรัก สูดดมความหอมราวหมู่มวลบุปผานับร้อยชนิดของร่างบางด้วยความตื้นตันใจ

“แค่เปรมเปิดใจให้พี่ก็ดีมากพอแล้ว...ไม่ว่าเมื่อไหร่ นานอีกสักแค่ไหนพี่ก็จะรอ”







หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๒ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 22-01-2017 20:20:37






หนึ่งเดือนผ่านไป...

ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้อสุเรนทร์เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารที่เหลือเพียงน้อยนิดหากเทียบกับกองเอกสารที่สูงพะเนินราวเขาพระสุเมรุในช่วงเช้าตรู่ ตามด้วยบานประตูแง้มเปิดออกพอให้เห็นใบหน้าของผู้มาเยือนอย่างชัดเจน มือใหญ่จัดการตวัดเซ็นลายเซ็นลงบนเอกสารที่อ่านค้างไว้อยู่และเงยขึ้นใหม่ ชินกฤตวางถาดกาแฟและขนมน่ารับประทานลงตรงมุมโต๊ะด้านขวาของพี่ชาย

สีหน้าจริงจังของอสุเรนทร์ทำเอาชินกฤตอยากจะถอนใจเหนื่อยหน่ายสักร้อยสักพันรอบ ดวงพักตร์ที่เคยมีน้ำมีนวลสุขภาพดีกลับมาทรุดโทรมอีกหนหลังจากคราวนั้นที่ทะเลาะกับเปรมครั้งแรก แต่ทว่า...ครั้งนี้ดูเหมือนจะแย่กว่าเก่า ผิวพรรณดำคล้ำไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม ดวงตาแดงก่ำคล้ายคนอดหลับอดนอนมาหลายคืนรวมถึงร่างกายที่ซูบผอมจนน่าตกใจ

“ท่านพี่ควรทานข้าวฤาพักผ่อนบ้างหนาขอรับ เดี๋ยวงานที่เหลือข้าจักเป็นคนทำเอง”

“ขอบใจเจ้านักน้องข้า แต่มิเป็นอันใดดอก เหลืออีกมิมากแล้วกะเดี๋ยวพี่จักทำเอง”

“แต่ท่านยังมิได้มีสำรับตกถึงท้องเลยหนาขอรับ”

อสุเรนทร์เอื้อมหยิบแฟ้มเอกสารอีกเล่มมาอ่าน สายตาไล่อ่านรายละเอียดของโปรเจคนำเสนอทุกบรรทัดทุกตัวอักษร ทว่าปากก็ยังเอ่ยกับชินกฤตอยู่ “อาหารจักทานเพลาใดก็ได้ แต่งานพวกนี้ข้าต้องเร่งทำให้เสร็จ”

“ท่านพี่ทศ”

“เจ้าอินไปไหนเสียเล่า ว่าจักถามถึงเรื่องนัดทานข้าวพูดคุยงานกับผู้ประสานงานคนใหม่ที่มาแทนนานะ เจ้าพอรู้ฤาไม่กฤต”

“หนึ่งทุ่มครึ่งที่ร้านอาการลาแกรงค์ขอรับ”

“งั้นข้าก็ยังมีเวลาทำงานต่ออีกสักสองสามงาน วานเจ้าช่วยบอกเลขาของข้าทีว่าให้เตรียมชุดสูทให้พร้อมก่อนหกโมงครึ...”

“พอได้แล้วขอรับ!” รองประธานหนุ่มตะโกนสุดเสียง “ท่านจักทำตัวเยี่ยงนี้ไปอีกเมื่อใดกัน”

ดวงเนตรแห่งพญารากษสสั่นระริกและเริ่มแดงก่ำอย่างปวดร้าว พยายามฝืนยิ้มส่งไปยังชินกฤตที่ยืนน้ำตาคลอเบ้าเพราะสงสารพี่ชายจับใจ

“ข้าทำมิได้ดอก เมื่อใดที่หยุดให้สมองได้พักผ่อน ข้าจักคะนึงถึงใบหน้าของเปรม น้ำเสียงของเปรม ดวงตาสวยของเปรม ทุกๆอย่างๆที่เป็นเขาเสมอ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าเกรงมิอาจจักหยุดน้ำตาและความเศร้าให้คลายลงได้”

“...”

“ข้าพยายามฝืนแล้วกฤตมิให้คะนึงถึงเขา แต่ข้าทำไม่ได้...ไม่ได้สักนิด”

“ครานี้ท่านพี่ทำผิดหนักหนานัก ข้ามองมิเห็นเส้นแสงที่บรรจบกันเลยแม้แต่น้อย”

“มันจักไปบรรจบกันได้อย่างไร ในเมื่อข้าเลือกที่จักทำให้เปรมเสียใจ แลตัวเขาเองก็เลือกที่จักมีชีวิตใหม่กับคนใหม่” อย่างพระราม...

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่วันนั้นอสุเรนทร์ก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอกับเปรมอีกเลย แม้จะอยากพบหน้ามากแค่ไหนก็เหมือนมีมาร มีกรรมมาบดบังไว้ตลอดเวลา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลดละความพยายาม ยังคงให้รณพักตร์คอยเฝ้าดูแลเปรมอยู่ห่างๆในช่วงเช้าถึงเย็น ส่วนเขาจะใช้เวลาตลอดช่วงค่ำยันรุ่งเช้าเฝ้ามองคนร่างบางผ่านบานหน้าต่างที่ปิดทึบไม่เห็นแม้กระทั่งแสงไฟจากภายในห้องนั้น

เปรมกำลังทำอะไร อยู่กับใคร ยิ้มให้ใครชายหนุ่มรู้หมด ทว่าก็มิอาจทำอะไรได้เลยนอกจากมองภาพเหล่านั้นด้วยความเจ็บปวดเสมือนหัวใจถูกบีบขย้ำจนช้ำ...ภาพยามเปรมส่งยิ้มพูดคุยกับราเมนทร์มันทำให้เขาจุกจนทรมานทั่วทั้งสรรพางค์กาย น้องน้อยดูมีความสุข ยิ้มสดใส ต่างจากเขาที่เศร้าตรมอยู่ในวังวนแห่งความทุกข์ระทมมิรู้จักจบจักสิ้น

ให้ทำอย่างไรอสุเรนทร์ก็มิอาจทำใจได้เลย...

“แต่ข้ามีเรื่องสงสัยอยู่เรื่องหนึ่งขอรับ”

“กระไรฤา”

“ข้ามิแน่ใจนัก แต่ในนิมิตของข้าเหมือนเขากำลังวางแผนจะกระทำบางอย่าง” คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน พยายามนึกถึงสิ่งที่แวบเข้ามาในสมองโดยบังเอิญ มันเป็นภาพที่เลือนรางเหลือเกิน...เลือนรางเสียจนยากต่อการประติดประต่อเป็นเรื่องราวทั้งหมด

“ทำกระไร”

“ข้ามิอาจทราบได้ขอรับ ภาพในครานี้เลือนรางเหลือเกิน มัน...ในมือเขาถือบางสิ่ง...ข้ายังเห็นเลือด”

“เลือด?”

!!!

ลมหายใจแห่งพญารากษสทศกัณฐ์ขาดห้วงลงชั่วขณะหลังจากฟังเสียงทุ้มนุ่มลึกกล่าวจนจบประโยค ชายหนุ่มปรายตามองชินกฤตเล็กน้อย

“เลือดจากผู้ใด เปรมรึ เขาเป็นกระไร” อสุเรนทร์เริ่มเปล่งเสียงเข้มขึ้น “ช่วยบอกข้าให้ละเอียดกว่านี้ได้ฤาไม่...พิเภก!”

“ข้ามิรู้ขอรับ ข้าพยายามที่สุดแล้ว ขอขมาเถิดท่านพี่”

ความเงียบเข้าปกคลุมเนิ่นนาน มีเพียงเสียงจากเครื่องปรับอากาศที่ดังพอจะได้ยินผะแผ่วพอๆกับเสียงของลมหายใจเข้าออก...และในที่สุดก็เป็นชินกฤตที่เปิดบทสนทนาขึ้นอีกครั้ง...ราบเรียบ ช้าชัด

“ถึงนิมิตข้ามิอาจเล็งเห็นได้หมด ทว่าข้าก็อยากแนะท่าน ข้ามิรู้สิ่งที่ข้าเห็นจักเกิดฤาไม่ฤาเมื่อใด แต่ท่านพี่ควรหาโอกาสดูแลปกป้องเขาตราบเท่าที่จักกระทำได้”

“ใจข้าพร้อมดูแลปกป้องน้องน้อยเสมอ ทว่าข้าจักทำเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อโอกาสพบปะกันแทบมิมีด้วยซ้ำ”

“เรื่องนั้นมิต้องเป็นห่วงขอรับ ข้าพอจักเห็นช่องทางให้ท่านเจอกับเปรมได้อย่างที่ใครหน้าไหนก็มิอาจขวางกั้นท่านได้”

“ข้าจักได้เจอเปรมแน่ฤา เปรมเขา...”

“เขามิได้เกลียดท่าน โปรดทำใจให้สบายเสียเถิด เพราะท่านพี่ยังต้องบากเอาหน้าคล้ายคนป่วยของท่านไปพบปะผู้ประสานงานจากอเมริกา หากเครียดไปมากกว่านี้เกรงว่าคนผู้นั้นจักหนีกลับเสียก่อน เพราะนึกว่ามาคุยงานกับศพ”

“ไอ้น้องเวร”

“อ้อ ข้าจ้างช่างแต่งหน้ามาให้ท่านพี่แล้ว รับรองหล่อเกินร้อยเหมือนเดิม”

“จักไปไหนก็ไปไป๊ เสนียดหูข้ายิ่งนัก”

“ไปอยู่แล้วขอรับมิต้องไล่ดอก แต่อย่าลืมหนาขอรับทำใจให้สบาย”

“ข้ารู้แล้ว”

ฝ่ามือบางของผู้เป็นน้องชายวางไว้บนบ่ากว้างอย่างให้กำลังใจ เอาเป็นว่ามันก็พอช่วยให้จิตใจอันเหี่ยวเฉาของเขาชุ่มชื่นขึ้นมาสักเล็กน้อย

“อ้อ มีอีกอย่างที่ข้าอยากบอกท่านพี่”

และหัวใจก็พองโตขึ้นอีกนิดเมื่อชินกฤตกล่าวอีกประโยคหนึ่งก่อนประตูห้องจะปิดลง

“หัวใจของเขายังคงเป็นของท่านพี่เสมอ”




“เปรมครับ วันนี้รีบกลับหรือเปล่า”

ราเมนทร์เอ่ยถามคนร่างบางขณะเจ้าตัวกำลังเก็บข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋าสะพายที่แบกมาเพื่อช่วยงานบริษัทจิวเวอร์รี่ของเขาโดยเฉพาะ คิดแล้วก็อดยิ้มกว้างออกมาอย่างมีความสุขไม่ได้ นับประมาณสองอาทิตย์แล้วที่ดูเหมือนเปรมจะเปิดใจให้เขาเข้ามาและแสดงความสนิทสนมมากขึ้น ยอมให้เขาจับมือและกอดเป็นบางครั้ง มันอาจจะดูน้อยนิด แต่สำหรับคนที่เคยโดนอีกฝ่ายปฏิเสธมาตลอดอย่างเขา มันถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี...ไม่แน่อีกไม่นานเปรมอาจจะเปิดรับเขาเข้ามาอยู่ใจเต็มร้อย แทนที่ของเก่าที่ไร้ค่าน่าสงสาร...ก็เป็นได้

“มีอะไรหรือครับ”

“ว่าจะชวนไปกินข้าวเสียหน่อย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”

“แหงล่ะว่าพี่ต้องเลี้ยง ก็ผมมาช่วยพี่ทำงานนี่นา”

‘พี่’ คำเรียกองเปรมที่ราเมนทร์ฟังทีไรเป็นอันกลั้นยิ้มไม่อยู่ทุกที ฝ่ามือกว้างกดทับบนศีรษะทุยและออกแรงลูบมันเบาๆด้วยความเอ็นดู

“ตกลงไปใช่ไหม”

“เอาสิครับ แล้วคุณลักษณ์กับคุณลมล่ะครับไปด้วยกันกับเราไหม”

“เราไปกันแค่สองคน คนอื่นติดงานกันหมด”

เปรมพยักหน้ารับรู้ก่อนออกเดินตามแรงจูงของร่างสูง ภาพที่พวกเขาสองคนเดินออกมาด้วยกัน รอยยิ้มหวานที่หาได้ยากยิ่งของท่านประธานผู้หล่อเหลาก็ทำเอาพนักงานต่างตั้งข้อสงสัยว่าคนที่เดินข้างท่านประธานเป็นใคร ทำไมถึงได้ทำให้เสือยิ้มยากยิ้มอ่อนโยนได้ขนาดนี้

ไม่แน่ เร็วๆนี้อาจมีข่าวดี



ร้านอาหารที่คนมากวัยกว่าเลือกอยู่ไม่ไกลจากตัวบริษัทมากนักจึงใช้ระยะเวลาในการทางเพียงสิบห้านาที หากรถติดก็อาจจะใช้เวลาสักประมาณสามสิบถึงสี่สิบห้านาที เปรมเงยมองแสงไฟสีส้มอ่อนที่ตกแต่งทั่วทั้งร้านอย่างชอบใจ รู้สึกถึงความอบอุ่นเป็นกันเองระหว่างผู้บริการและผู้รับบริการ

“เชิญนั่งครับ”

“ขอบคุณครับพี่ราม” เปรมยกมือไหว้ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่อีกคนเลื่อนให้อย่างขลาดเขิน แสร้งทำเป็นยกเล่มเมนูขึ้นอ่าน ทั้งที่จริงแล้วอยากหลบสายตากรุ่มกริ่มจากคนตรงข้ามเสียมากกว่า

“อยากทานอะไรก็สั่งเลยนะ”

“ผมจะสั่งให้พี่หมดตัวเลย”

“ถึงพี่จะสิ้นเนื้อประดาตัว ถึงขั้นต้องขายไตพี่ก็ยอมทั้งนั้น”

“หยุดพูดจาเลี่ยนสักทีเถอะครับ”

“เขินพี่รามหรือคะ”

“ใครเขาเขินพี่กัน อย่าคิดไปเองสิ” ร่างบางยื่นเมนูกลับไปให้พนักงาน ก่อนสายตาจะมองสำรวจรอบร้านอีกครั้ง ที่นั่งล้วนถูกจองจนเกือบเต็ม แสดงถึงคุณภาพของเครื่องปรุงและรสชาติของอาหาร ถ้าอร่อยวันหลังคงต้องหาเวลาว่างพาพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยายมานั่งทานอาหารพร้อมดื่มดำกับบรรยากาศอิ่มเอมสบายใจที่นี่น่าจะดีไม่น้อย

“เปรม”

“ครับ”

“อ่ะพี่ให้”

ช่อกุหลาบสีแดงแซมสีขาวช่อใหญ่ที่ถูกตกแต่งจนสวยถูกยื่นมาเบื้องหน้าคนงาม และเป็นเวลาเดียวกันที่นักดนตรีสองคนมายืนสีไวโอลินข้างโต๊ะ บรรเลงเสียงเพลงหวานเสนาะโสต

เปรมตั้งใจจะก้มหน้าหลบสายตาของอีกฝ่าย หากทว่าวินาทีนั้นยามสบดวงตาคู่คมดุจพระยาอินทรีย์ของราเมนทร์คล้ายมีอำนาจบางประการแผ่ซ่านอยู่ในใจ และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนมือหนายื่นกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินให้เปรม คนร่างบางค่อยๆแง้มเปิดเผยให้เห็นสร้อยข้อมือที่มีจี้เพชรเป็นรูปดวงตะวันโอบล้อมพระจันทร์เสี้ยว

“พี่ราม”

“ตัวพี่เปรียบเสมือนทิวากร ส่วนตัวน้องเปรียบเสมือนนิศามณี  แต่ก่อนตะวันและจันทราเคยรักและอยู่เคียงข้างซึ่งกันและกันอย่างมีความสุข แต่เพราะเหตุบางประการเลยทำให้ทั้งสองต้องพลัดพรากจากกัน”

“...”

 “และเมื่อเส้นแห่งโชคชะตานำตะวันและจันทรากลับมาพบกันใหม่ ตะวันก็เลยอยากขอโอกาสจากจันทราอีกครั้ง ขอโอกาสได้ดูแลจันทราดวงเดียวในใจอย่างเต็มที่ในฐานะบุรุษคนหนึ่งที่ยึดมั่นรักจันทรามาโดยเสมอ...” คนกล่าวชะงักคำเพราะมีก้อนแข็งวิ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ เขาพยายามกลืนมันลงอย่างยากเย็น ค่อยเอ่ยคำเหมือนกระซิบ


“เป็นแฟนกับพี่นะครับ”





ตอนหน้าดราม่ากว่าเดิม รอติดตามกันได้นะคะ
แล้วเจอกันใหมจ้าาา :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๒ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 22-01-2017 21:37:03
ตอนหน้ามาม่าหนักกว่าตอนนี้อีกเหรอ สงสารพี่ทศ :sad4: :sad4: :sad4: :sad4: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๒ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 22-01-2017 21:51:18

โอ๊ยเครียด

เกลียดราเมนทร์มาก

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๒ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 23-01-2017 00:34:19
มาม่ารสแซ่บ ฮืออออ

ถือเป็นบทลงโทษท่านทศนะ ไม่เชื่อคำเตือนภิเภกนัก

ปล.อิราม ชั้นเกลียดแกกก โอ้ย มันอิน
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๒ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 23-01-2017 01:01:50
นี่คนแต่งยังดราม่าได้อีกเหรอคะ555555
อีนานะนี่รักตัวกลัวตายดีจริงๆ
ไปแบบไม่แม้แต่จะสารภาพค.ผิดตัวเอง
อีรามเหี้ยมากอะ หมดคำจะด่าละ จริง
สงสารพี่ทศ เพลียเปรม สาปแช่งอีราม
น้องเปรมคิดจะฟังคำผัวละเลิกคบคนชั่วๆเมื่อไหร่บอกนะ จะรอ .มองบน
เหมือนตอนนี้คือวังวนเดิมๆของพระนางรามสีดาละมีตัวร้ายแบบทศกัณฐ์เป็นคนผิด
แอบมีหมั่นเปรมอะ เอาจริง
เชื่อทุกคนยกเว้นผัว เข้าใจเว่ยว่าภาพมันฟ้อง แต่จะไม่ฟังกันเลยช้ะ อืม
ความจริงเปิดเผยเมื่อไหร่ #ทีมพี่ทศ จะสาปส่งให้ไล่ฆ่าทุกคนเลย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๒ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 23-01-2017 09:27:49
โอ้ย!....ทำไมมันเป็นอย่างนี้ไปได้ เครียดๆๆๆๆ :ling1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๒ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: llmaumill ที่ 23-01-2017 13:51:03
นี่คนแต่งยังดราม่าได้อีกเหรอคะ555555
อีนานะนี่รักตัวกลัวตายดีจริงๆ
ไปแบบไม่แม้แต่จะสารภาพค.ผิดตัวเอง
อีรามเหี้ยมากอะ หมดคำจะด่าละ จริง
สงสารพี่ทศ เพลียเปรม สาปแช่งอีราม
น้องเปรมคิดจะฟังคำผัวละเลิกคบคนชั่วๆเมื่อไหร่บอกนะ จะรอ .มองบน
เหมือนตอนนี้คือวังวนเดิมๆของพระนางรามสีดาละมีตัวร้ายแบบทศกัณฐ์เป็นคนผิด
แอบมีหมั่นเปรมอะ เอาจริง
เชื่อทุกคนยกเว้นผัว เข้าใจเว่ยว่าภาพมันฟ้อง แต่จะไม่ฟังกันเลยช้ะ อืม
ความจริงเปิดเผยเมื่อไหร่ #ทีมพี่ทศ จะสาปส่งให้ไล่ฆ่าทุกคนเลย
เม้นนี้พูดถูกใจทุกประโยคเลยค่ะ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ครึ่งแรก (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 23-01-2017 14:47:14




ตอนที่ ๒๓





“เป็นแฟนกับพี่นะครับ”


ความเงียบมักบังเกิดขึ้นเสมอเมื่อมนุษย์อับจนคำพูด อย่าว่าแต่เปรมเลย แม้แต่ราเมนทร์ที่เหมือนมีอะไรมากมายในความคิดและจิตใจ ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

“พูดอะไรบ้างสิครับเปรม”

“ผม...”

“อ้าวเปรม มากินข้าวร้านนี้ด้วยหรือเนี่ย บังเอิญจังเลย”

เปรมผินหน้าไปมองตามทิศทางของเสียงก็พบร่างเล็กสันทัดของรณพักตร์ยืนยิ้มแฉ่ง โบกมือหย็อยๆให้เขาอย่างเริงร่า ใกล้กันนั้นก็มีชายหนุ่มร่างสูงโปร่งราวนายแบบชื่อดัง ใบหน้าคมคายออกแนวลูกครึ่ง คุณชินกฤตที่แต่งสูทีดำเรียบหรูเป็นทางการ และคนสุดท้ายที่กำลังมองเขานิ่งค้างไม่ขยับเขยื้อนไปไหน...

อสุเรนทร์

แววตาคมจ้องมองตรงมาอย่างที่เขาเองก็จับความรู้สึกของคนมากวัยกว่าไม่ถูก

“นั่นสินะครับ บังเอิญจังเลย”

“ขอโทษนะครับคุณราเมนทร์ ผมคุยกับเพื่อนผมอยู่อย่าสอดครับอย่าสอด”

“หึ ปากดีเหมือนเดิมเลยนะรณพักตร์” ดวงตาหยีเป็นรูปประจันทร์เสี้ยว กรีดยิ้มพริ้มพรายน่ามองทว่าเนื้อด้านในล้วนอาบไปด้วยยาพิษชั้นดี

“ปากผมมันดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่เชื่อก็กลับไปถามน้องชายคุณสิ”

“!”

“อุ้ย นี่ผมหลุดพูดอะไรไปเนี่ย แย่จังเลย”

“แก” ราเมนทร์ทำท่าจะลุกขึ้นไปต่อยเจ้ายักษ์แคระสักหมัดสองหมัด แต่ร่างบางกลับยื้อยึดเอาไว้พร้อมส่ายหน้าไม่อยากให้มีเรื่องกันภายในร้านอาหารแห่งนี้ จำต้องหย่อนตัวลงนั่งตามเดิม หากแต่ยังขบปราบแน่นตีหน้าถมึงตึงใส่เจ้าลูกยักษ์แคระอย่างไม่ยอมแพ้

“เปรมคบคนนิสัยไม่ดีแบบนี้ได้ยังไง คิดผิดคิดใหม่นะ”

“ไม่หรอกครับอิน เห็นขี้ใจร้อนโกรธง่ายอย่างนี้ แต่ ‘พี่’ รามเขาก็ใจดีมากเลยนะครับ”

เปรมแอบได้ยินเสียง ‘หึ’ คล้ายเสียงพ่นลมหายใจแรงๆจากคนที่ยืนใกล้เขาที่สุด เขาทำเพียงเหลือบมองแวบหนึ่งและหันกลับมาอย่างรวดเร็ว

“ว้าว จริงเหรอเนี่ย อ่า...ไหนๆเราก็รู้จักกัน เปรมกับคุณรามผู้แสนจิตใจดีราวเจ้าชายขี่ม้าขาวคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมหากพวกผมขอนั่งร่วมโต๊ะด้วย”

“พวกคุณมากันตั้งสี่คน โต๊ะพวกผมมีสี่...นั่งไปแล้วสองก็เท่ากับว่าเหลืออีกแค่สอง แค่นี้คุณรณพักตร์ก็คงคิดได้ใช่ไหมครับว่าที่นั่งมันไม่พอให้คนอย่างพวกคุณมานั่งได้หมด”

“คุณรามนี่ไม่มีสมอง เอ้ย คิดน้อยเกินไปหรือเปล่าครับ ถ้าไม่พอก็แบ่งเอาสิครับจะไปยากอะไร ผมกับแด๊ดดี้นั่งกับพวกคุณ ส่วนอากฤตและมิสเตอร์ คริส อู๋ จะไปนั่งโต๊ะเล็กตรงนั้นที่มีเก้าอี้เพียงแค่สองตัว” รากษสหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆ รวบแขนเพื่อนคนสนิท (ควบตำแหน่งเมียพระบิดา) ไปกอดแล้วเอาแก้มถูไปมาอย่างออดอ้อน “ให้อินนั่งด้วยนะเปรมนะ...นะครับ”

“เปรม” ราเมนทร์ส่ายศีรษะห้าม

“นะเปรมนะ”

“เจ้าอิน ถ้าคนใจดำเขาไม่ให้นั่งจะไปขอเขานั่งทำไม”

คนใจดำอย่างนั้นเหรอ...

“พระบิดา! หุบปากเดี๋ยวนี้”

“ก็มันจริงไหมล่ะ อ้อนวอนไปก็เท่านั้นในเมื่อเขาไม่ใส่”

“ถ้าอินกับคุณอสุเรนทร์อยากจะนั่งผมก็ไม่ห้ามอะไรหรอกครับ แต่ถ้านั่งด้วยกันแล้วเกิดอึดอัดขึ้นมา...คงจะลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย”

พอเริ่มเห็นท่าไม่ค่อยดีรณพักตร์จึงออกแรงดึงมือผู้เป็นพ่อให้นั่งลงข้างๆรา-เมนทร์ และตนเป็นคนนั่งใกล้เพื่อนร่างสูงเอง เมื่อสถานการณ์ตรงหน้าเริ่มคลี่คลาย(?) ชินกฤตจึงเลือกหันไปส่งยิ้มบางให้ คริส อู๋ ตัวแทนคนใหม่ที่มาแทนที่นานะ ก่อนผายมือนำร่างสูงไปนั่งอีกโต๊ะเยื้องกับโต๊ะของเปรมไม่ไกลนัก

ระหว่างนั้นคนทั้งสี่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก รณพักตร์พลิกดูรายการอาหารขณะอสุเรนทร์ เปรมและราเมนทร์ต่างเลือกที่จะนั่งนิ่งประดั่งตอไม้ไร้ชีวิต บรรยากาศอึมครึมแผ่ขยายปกคลุมทั่วทั้งโต๊ะ...เนิ่นนานจนสุดท้ายรากษสหนุ่มผู้ทนอยู่เฉยอีกต่อไปไม่ไหวจึงโพล่งพูดรัวออกมาเพื่อทำลายความเงียบโดยไม่สนคนฟังจะฟังทันหรือไม่

“เปรม หมู่นี้นายสบายดีไหม ฉันไม่ค่อยเห็นนายเลย พอโทรไปนายก็ไม่ค่อยรับสาย คิดจะตัดเพื่อนกับฉันแล้วใช่ไหม”

“ผมช่วยพี่รามเขาทำงานที่บริษัทน่ะครับก็เลยไม่มีเวลารับสาย ขอโทษนะ”

“อย่างน้อยก็น่าจะบอกกันหน่อย ปล่อยให้เราเป็นห่วงตั้งนาน”

“โทษที เวลาผมอยู่ในเวลาทำงานผมมักเป็นแบบนี้แหละ”

“เป็นเพราะงานแน่หรือครับ”

ร่างบางขมวดคิ้วมองอสุเรนทร์ด้วยความไม่พอใจ รู้ดีว่าประโยคนั้นมันมีแต่ความประชดประชัน แต่ยังไงเขาก็ไม่ชอบให้ใครมาพูดแบบนี้ โดยเฉพาะคนที่เคยคุ้นเคย

“คุณจะบอกว่าผมไม่รับสายอิน ไม่ติดต่ออินเป็นเพราะผมอยู่กับพี่รามหรือครับ”

“แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรอื่นอีกล่ะ”

“มีสิ แต่คุณไม่เคยรับรู้ถึงมันเลยต่างหาก”

ริมฝีปากงดงามราวกลีบกุหลาบคลี่ยิ้มเย็น เอื้อมกุมมือหนาของราเมนทร์ที่วางบนโต๊ะเป็นการประกาชัด ไม่อนาทรต่อสายตาของคนที่เหลือ ยิ่งสายตาคมของอสุเรนทร์จ้องเขม็งมายังมือที่กุมประสานกันอยู่

“รักกันหวานชื่นดีนะ”

“คนคบกันไม่หวานชื่นจะให้นั่งร้องไห้ช้ำใจตายหรือครับคุณอสุเรนทร์”

“พึ่งเลิกกับคนเก่าไม่นาน ดันคบกันคนใหม่ได้อย่างหน้าตาระรื่น เธอเก่งจริงๆ”

“ไม่ใช่เพราะผมเก่ง แต่คนเก่ามันไม่ดีทั้งที่เชื่อใจให้ใจไปเต็มร้อย แต่ตัวเขาเองกลับไม่มีความอดทนอดกลั้น ห้ามใจไม่อยู่ แล้วแบบนี้คุณจะให้ผมทนคบกับคนแบบนั้นต่อไปหรือครับ แค่คำขอโทษคำเดียวมันไม่พอกับความรู้สึกของผมที่สูญเสียไปหรอก”
ราเมนทร์ผินมองหน้าพญารากษสเล็กน้อย ก่อนจะลุกไปนั่งยองๆใกล้คนร่างบางและเกลี่ยหยาดน้ำตาสีใสออกจากพวงแก้มนวล
“อย่าร้องนะเปรม พี่ไม่ชอบเห็นเราร้องไห้เลย”

“อืม”

“แฟนพี่อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวพี่สั่งให้”

อสุเรนทร์ฝืนยิ้มให้ทั้งสองอย่างชื่นมื่น หากรสชาติของอาหารมื้อนี้มันกลับฝืดคอเสียจนแทบกลืนไม่ลง ภาพที่ราเมนทร์คอยเอาอกเอาใจ คอยตักกับข้าวใส่จานให้น้องน้อยมันไม่ต่างอะไรกับการถูกเข็มร้อยพันเล่มคอยทิ่มแทงเนื้อตัวและหัวใจให้เจ็บปวดเมื่อหวนคิดถึงห้วงเวลาที่เขาเองก็เคยทำเช่นนั้น รอยยิ้มหวานกับสีหน้าสีตาราวคนมีความสุขทำเอาอสุเรนทร์หงุดหงิดอยากลากน้องน้อยกลับไปกักขังที่บ้านเสียเดี๋ยวนี้ ท้ายสุดเมื่อทนไม่ได้ก็ทิ้งช้อนในมือกระทบจานกระเบื้องจนเกิดเสียงดัง ก่อนจะยกแก้วน้ำดื่มด้วยความรุ่นร้อนในจิตใจ

“อิ่มแล้วหรือครับคุณอสุเรนทร์”

“อืม อาหารมันเลี่ยน ฉันกินไม่ลง ถ้ายังไงขอตัวไปสูดอากาศด้านนอกหน่อยล่ะกัน”



ฝ่ามือเรียวเล็กควักน้ำขึ้นมาสาดใส่เรียวหน้าของตนอย่างเร็วรี่และบ้าคลั่ง สายตาสุดแสนจะเย็นชาและคำพูดเหยียดหยันของอสุเรนทร์มันทำให้เขาสุดจะทน นิ้วทั้งห้าขยำอกเสื้อจนยับย่น รู้สึกถึงหัวใจดวงน้อยกำลังปวดร้าวลึก หายใจไม่ค่อยออกคล้ายร่างทั้งร่างดำดิ่งลงสู่ใต้มหาสมุทร ริมฝีปากอ้าออกทว่ากลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย หยาดน้ำสีใสไหลรินประดุจสายธาราระเรื่อยรื่น เจ็บ...เจ็บเหลือเกินพ่อจ๋าแม่จ๋า เปรมเจ็บหัวใจยิ่งนัก

โกรธสวรรค์ที่ทำให้เขาต้องมาพบเจออสุเรนทร์กะทันหัน

โกรธตนเองที่พูดโกหกว่าคบหาดูใจกับราเมนทร์ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่

โมโหกับกริยาและคำพูดแสนดูถูกของอีกฝ่าย

เสียใจกับความทรงจำมากมายที่เคยทำร่วมกัน

และน้อยใจอสุเรนทร์ที่...ปากบอกว่ารัก บอกเราคือคนสำคัญที่สุดในชีวิต แต่เวลาที่ผ่านมากลับหายเงียบ ไม่โผล่หัวมาทำให้เขารู้สึกว่าควรให้อภัย

นัยนาหวานหม่นแสงทอดมองผ่านเงาตนเองในกระจก สะท้อนให้เห็นโครงหน้ารีเรียวและน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมาเป็นทางผสมปนเปไปกับหยดน้ำที่ถูกควักสาดใส่ก่อนหน้าอย่างชัดเจน หนึ่งเดือนที่ผ่านมา...ไม่ต้องถามว่าเป็นอย่างไรเพราะช่วงเวลาที่ห่างกันมันไม่ได้ช่วยให้เปรมรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังคิดถึงคนคนนั้นมากเข้าไปอีก...แต่สิ่งที่ได้รับวันนี้มันทำให้ความคิดความกังวลต่างๆนาๆแทบมลายหายไปหมดสิ้น

สงสารตัวเองที่คิดผิดมาโดยตลอด

“ว่าแล้วต้องแอบมาร้องไห้ในนี้”

“พ...พี่ทศ”

ปรากฏร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกพิงไหล่กับขอบประตูห้องน้ำด้วยแววตาเรียบเฉย เปรมรีบปาดคราบน้ำตาอย่างลวกๆและเตรียมเดินหนีคนคนนี้ให้เร็วที่สุด หากทว่าแขนเรียวเล็กกลับถูกมือใหญ่คว้าไว้ทันเสียก่อน อสุเรนทร์จัดการล็อกกลอนประตูห้องน้ำป้องกันคนภายนอกที่จะเข้ามา คนร่างบางกระวนกระวานรีบผลักอีกฝ่ายออกด้วยความตื่นตระหนก

“คุณคิดจะทำอะไร ออกไปให้ห่างจากผมซะ”

อสุเรนทร์ทำเป็นหูทวนลมไม่เข้าใจ ก้าวเท้าเข้าหาใกล้เรื่อยๆจนเหยื่อตัวน้อยต้องขยับถอยหลังทีละก้าว...ทีละสองก้าวจนสุดท้ายแผ่นหลังเล็กก็ชิดติดไปกับอ่างล้างหน้าหินอ่อน

“บอกสิว่าเปรมร้องไห้เพราะพี่”

“อย่าหลงตัวเองให้มากครับคุณอสุเรนทร์ คุณไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับผมถึงขั้นต้องแอบมาร้องไห้เงียบๆคนเดียวในห้องน้ำ”

“อย่าโกหก”   

“หน้าผมมันบอกว่าโกหกหรือครับ”

“แต่เปรมเป็นเมียพี่!”

คนร่างบางถึงกับหลุดยิ้มสมเพส ดวงตาเรียวคลอไปด้วยน้ำตาหยดใสช้อนขึ้นมองอีกคนอย่างเจ็บปวดในหัวใจ

“อย่าลืมสิครับเราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว เราเลิกกันแล้ว”

“พี่ไม่เลิก ยังไงพี่ก็ไม่เลิก ต้องให้พี่พูดยังไงชดใช้ยังไงเปรมถึงจะพอใจและยอมอภัยให้พี่”

“ไม่ต้องพูดอะไรแค่ไปให้ไกลจากผมก็พอ”

“เกลียดฉันมากหรือไง ตอบสิเปมทัต”

“ใช่ผมเกลียดคุณ”

นัยเนตรราชสีห์ทอประกายสีเขียวเรืองโรจน์หลังจากร่างบางพูดประโยคนั้นออกมา “จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม เราจะจบกันอย่างนี้ใช่ไหม”

“อย่าคิดมาโทษผม เพราะที่จบลงอย่างนี้คุณทำตัวของคุณเอง”

“ก็พี่บอกไปแล้วไงว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่โดนวางยา”

“คำขอโทษเป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ แต่คุณไม่เคยคิดจะแก้ที่ต้นเหตุ”

“...”

“คุณไม่ยอมอดทน หรือคุณจะบอกอดทนแล้วแต่ไม่สำเร็จอย่างนั้นหรือ” เปรมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ปลายจมูกรั้นแดงก่ำ ดวงตารีเรียวสะท้อนผ่านคนตรงข้ามผ่านม่านน้ำตา “เรื่องของผมกับคุณขอให้จบกันเพียงเท่านี้เถอะ”

“แล้วถ้าพี่ไม่ยอมล่ะ”

อสุเรนทร์เอ่ยถามด้วยแววตาเย็นเยียบ พออีกฝ่ายยืนสู้ตากับเขาอย่างดื้อดึงพญารากษสก็ตวัดร่างบางเข้าสู่อ้อมกอด กอดรัดแนบแน่นเสียจนแทบจะไม่มีช่องว่างให้อากาศไหลผ่าน

“คุณอสุเรนทร์ ปล่อมผมนะ ผมบอกให้ปล่อยไง!”

“พี่ไม่ปล่อย”

“คุณทำเกินไปแล้วนะ”

“ทำไม กลัวไอ้ราเมนทร์แฟนเธอมาเห็นภาพของเราหรือไง เรียกมันมาสิพี่จะทำมากกว่ากอดให้ดู”

“คุณมันทุเรศ”

“เพิ่งรู้หรือไงเมียรัก”

ว่าแล้วท่อนแขนแข็งแรงก็ช้อนใต้ขาเรียวเพื่อยกร่างบอบบางขึ้นไปนั่งบนอ่างล่างหน้า ก่อนจะฉกวูบลงมายังริมฝีปากอิ่มตึงโดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้ตั้งตัว เปรมทุบกำปั้นไปที่อกแกร่ง พยายามเบี่ยงหน้าหนีหากทว่าอสุเรนทร์กลับไม่สะทกสะท้าน เดินหน้าบดขยี้ริมฝีปากสีสดต่อไปอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งนึกถึงตอนที่น้องน้อยยิ้มให้กับราเมนทร์ จับมือถือแขน พูดจาหวานแหววใส่กัน ความโกรธในใจก็ยิ่งพอกพูดขึ้นมาไม่มีที่สิ้นสุด ถึงเขาจะยอมถอยห่างออกมาแต่ก็ใช่ว่าเขาจะยอมให้เปรมไปจู๋จี๋ เป็นคู่รักชูชื่นกับมัน
ปลายลิ้นหนาสอดแทรกเข้ามาในโพรงปากหวาน ดูดกลืนน้ำเกสรที่เขาโหยหามานานสองนาน เขารักเปรม รักเกินกว่าจะให้ใครหน้าไหนมาแย่งเจ้าตัวไป

เปรมเป็นของเขาคนเดียว!!

“หยุดนะ อื้อ!”

อสุเรนทร์ระดมจูบอีกฝ่ายจวบจนพอใจ เขาก็ผละออกมองดวงหน้าเนียนของน้องน้อยที่กำลังบูดเบี้ยวด้วยความโกรธ

เพี๊ยะ!

ซีกหน้าคมหันไปตามแรงกระทบจากฝ่ามือเรียวเล็กของคนที่เขารักด้วยความแรง และตามมาอีกครั้งหนึ่งทว่าเปลี่ยนจากข้างซ้ายมาเป็นข้างขวา แก้มสากทั้งสองข้างของอสุเรนทร์จึงขึ้นรอยแดงเป็นรูปมือชัดเจน

“เลว”

อสุเรนทร์กระตุกยิ้มหลังปาดเลือดที่มุมปากมาดู...อยากเล่นอย่างนี้ใช่หรือไม่ยอดรักของพี่...พี่ก็จะจัดให้น้องเสียเดี๋ยวนี้

“ผมเกลียดคุณ ผมเกลียด...อื้อ!”

เขากระชากร่างบางเข้ามาจูบอีกครั้งอย่างรุนแรง ถ้าอีกฝ่ายยังคิดจะฟาดรอยนิ้วทั้งห้าประดับบนแก้มเขาอีกรอบเขาก็จะคว้ามาจูบอย่างดูดดื่ม ตบอีกก็จูบอีก จูบให้หลาบจำ วินาทีที่เปรมคิดถอยหนีอสุเรนทร์ก็รีบรวบร่างบางมาไว้ในอ้อมแขน กระชับกอดและซุกหน้าคมเกยบนลาดไหล่เล็ก จมูกดอมดมกลิ่นหอมอันคุ้นเคยซ้ำแล้วซ้ำแล้วด้วยความคิดถึง โหยหา

“ปล่อย!”

“พี่จะไม่ยอมเสียเปรมไปอีกแล้ว ขอร้องล่ะให้โอกาสให้พี่...”

“โอกาสองคุณมันหมดไปนานแล้ว อย่าคิดอ้อนวอนขอจากผมอีก”

“ไม่เอานะเปรม...เปรมจ๋า...ฮึก อย่าทิ้งพี่ได้ไหม พี่ ฮึกๆ อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเปรมนะ”

“หนึ่งเดือนที่เลิกกันคุณก็อยู่ได้นี่”

“ถ้าพี่อยู่ได้พี่คงไม่ไปนั่งดูเปรมผ่านบานหน้าต่างทุกคืนหรอก”

“!!”

“เปรมจ๋า...ได้โปรดเถิด”

เบ้าตาแน่งน้อยร้อนผ่าว ความเสียใจระคนปวดใจพุ่งตรงออกจากดวงตาอย่างไม่มีปิดบัง คนอ่อนวัยกว่าดีดดิ้นขลุกขลักทว่ายิ่งดิ้นมันกลับยิ่งรัดแน่นขึ้นไปอีก

“ปล่อย”

“พี่รักเปรมนะ รักเปรมมาก เรากลับมารักกันเหมือนเดิมได้ไหมครับ”

“เปรม...”

ดวงเนตรคมจับนิ่งอยู่ที่ดวงหน้างามผุดผาด มือแข็งแรงยังคงโอบเอวคอดกิ่วไม่ยอมถอยห่างไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ ฝ่ามือสากขาดการดูแลลูบไล้แก้มเนียนอย่างรักใคร่ ก่อนโน้มตัวจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน เปรมสุดจะกลั้นทุบกำปั้นลงอกแกร่งรัวแรงจนไม่กลัวอีกฝ่ายเจ็บ

“ไอ้คนบ้า นิสัยไม่ดี”

“...”

“ผมเกลียดคุณ...ผมไม่รักคุณแล้ว ฮือ คุณมันคนเฮงซวยผมจะไม่รักคุณอีกต่อไปแล้ว”

“เปรม...”

“ผมไม่รักพี่อีกแล้ว”

อสุเรนทร์ดึงคนรักเข้ามากอดอีกครั้ง แม้อีกฝ่ายจะทุบตี บอกไม่รักเขาเสียงดังแค่ไหนหากน้ำเสียงที่ถูกถ่ายทอดออกมามันกลับตรงข้ามกับที่เจ้าตัวบอกโดยสิ้นเชิง หัวใจที่ห่อเหี่ยวมานานก็ชุ่มชื้นโดยทันใด...น้องน้อยยังรักเขาเหมือนเดิม...รักเขาเพียงคนเดียว

“พี่รักเปรมมากเหลือเกิน...มากเสียจนหากน้องไม่ยอมกลับมาหาพี่ พี่จะฆ่าตัวตายเสียสิ้นไม่ให้น้องต้องมานั่งปวดใจเพราะผู้ชายเลวๆคนนี้อีก”

“พี่ทศ!”

“ในเมื่อคนที่พี่รักไม่รักพี่แล้วก็ไม่รู้อยู่ไปเพื่ออะไร สู้ตายจากโลกนี้มันน่าจะดีเสียกว่า เปรมว่าอย่างนั้นไหม”

“พี่มันบ้า ถ้าอยากตายนักก็ตายไปเลย ไม่ต้องมาเห็นหน้ากันอีกตลอดชีวิต” เปรมตอบกลับด้วยเสียงแข็งกร้าว หากวงแขนกลับยกกอดตอบอีกคนแน่น ซุกหน้ากับอกแข็งแรงร้องสะอึกสะอื้นแทบขาดใจ อสุเรนทร์คลี่ยิ้มบรรจงจุมพิตขมับ เลื่อนลงมายังพวงแก้มทั้งสองข้างและตีตราประทับบนริมฝีปากอ่อนนุ่มเนิ่นนาน

ปัง! ปัง! ปัง!

“เปรมครับ เปรมอยู่ในนั้นใช่ไหม ตอบพี่หน่อยสิเปรม!” เสียงเคาะประตูดังรัวพร้อมเสียงตะโกนเรียกจากด้านนอกทำให้เปรมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ พยายามสะบัดแขนให้หลุดจากพันธนาการที่แข็งแกร่ง แต่อสุเรนทร์ยุดยื้อเอาไว้ ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกจากปากหยัก หากแววตานั้นกำลังขอร้อง อ้อนวอนไม่ให้เขาตอบรับเสียงเรียกจากด้านนอก

“เปรม พี่รู้ว่าเปรมอยู่ในนั้น เปรมอยู่กับไอ้ทศใช่ไหม ตอบพี่สิตอบ”

“พี่ทศ”

“พี่ไม่ปล่อยเราเด็ดขาด”

“เปรม!”  ราเมนทร์ตะโกนสุดเสียงเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนใช้แรงทั้งหมดกระแทกประตูบานหนาอยู่สองสามครั้งจนมันเปิดออกกว้าง ภาพยักษ์ชั่วกำลังตระกองกอดคนรักของเขาทำเอาเนตรคมแทบลุกเป็นไฟ ขึงขังเต็มไปด้วยโทะแรงกล้า ไม่รอช้ารีบเดินดุ่มๆเข้าไปคว้าไหล่กว้างของอสุเรนทร์ให้หันมาแล้วซัดหมัดเข้าเต็มโหนกแก้มตอบเสียงดังผลัวะ คนโดนต่อยถึงกับเซถลาลงไปนั่งกับพื้น ราเมนทร์ทำท่าจะเข้าไปซ้ำทว่ารณพักตร์วิ่งเข้ารั้งตัวไว้ทันเสียก่อน

“ปล่อยกู บอกให้ปล่อย!”

“ปล่อยให้แกเข้าไปทำร้ายพระบิดาฉันเพิ่มน่ะเหรอไอ้หมาบ้า”

“มึงมายุ่งกับคนของกูอีกทำไมไอ้ทศ เปรมเป็นของกูแล้วไม่ใช่ของมึง!”

“แน่ใจฤาว่าเปรมอยากจักเป็นของมึงจริง มิใช่ทำเพื่อประชดรักกูดอกรึ”

“ไอ้ยักษ์ชั้นต่ำ!” ลมหายใจร้อนพ่นผ่านจมูกโด่งสันออกมาแรงๆ กรามเหลี่ยมได้รูปขบกันเป็นสันนูนเมื่อต้องระงับความโกรธที่พุ่งพล่านอยู่ในใจ เบือนสายตาไปยังคนที่เพิ่งเป็นแฟนหมาดๆ อย่างอ้อนวอน

“เปรมมาหาพี่”

“อย่านะเปรม อยู่กับพี่ทศนะ”

“เปรม พี่เป็นแฟนเปรมนะ เดินมาหาพี่สิ”

“พระราม...มึงมันก็เป็นได้แค่แฟนหลอกๆแต่ตัวกูนั้นไซร้...คือผัวตัวจริงเสียงจริง อย่างไรเสียเปรมก็ต้องเลือกอยู่กับกูมากกว่าคนเลวอย่างมึงเป็นแน่แท้”

“คนเลวน่าจักเป็นมึงเสียมากกว่าหนาทศกัณฐ์”

“กระนั้นคนดีอย่างมึงเหตุใดต้องวางแผนเอายาปลุกกำหนัดมาให้กูกินยามที่อยู่หัวหินกับนานะเล่า อธิบายเปรมไปเสียสิว่ามึงกระทำเช่นนี้เพราะอยากให้น้องเลิกรากับกูแลหันไปคบคนชั่วอย่างมึงแทน”

“จริงหรือครับ” ร่างบางถามเสียงแผ่ว

“ไม่จริงนะเปรม อย่าไปเชื่อมัน มันใส่ร้ายพี่ ไอ้ทศไอ้ชาติชั่วสารเลว”

“อยากฟังเสียงคำสารภาพที่นานะส่งมาฤาไม่เล่า เสียงดังฟังชัดทุกถ้อยคำเชียวหนา”

“กูจักเอามึงให้ตาย!”

“ก็เข้ามา!!”

กษัตริย์แห่งอโยธยาและกรุงลงกาหมายพุ่งเข้าใส่กันอีกอย่างเดือดดาล หากเป็นเปรมเองที่ไม่สามารถทนเห็นทั้งสองห้ำหั่นกันได้จึงรีบผลักร่างของอสุเรนทร์ไปข้างๆ แล้ววิ่งไปยืนขวางอยู่หน้าราเมนทร์ราวต้องการปกป้องอย่างไรอย่างนั้น พญารากษสเบิกตาค้าง คำพูดมายมายที่อยากจะพูดถูกกลืนหายจนหมดสิ้น

“เปรมปกป้องมันเหรอ”

“ผมไม่ได้ปกป้องใครทั้งนั้นทั้งพี่รามและคุณอสุเรนทร์”

คำเรียกห่างเหินกลับมาอีกครั้ง...

“แต่ผมไม่อยากให้พวกคุณมีเรื่องกันเพราะมีผลเป็นตัวต้นเหตุ ผมไม่ชอบ”

“...”

“ต่างคนต่างอยู่แล้วกันนะครับ ผมขอโทษแทนพี่รามด้วยที่ต่อยคุณ ถ้าเป็นไปได้อย่าได้มาเจอกันอีกเลย” มือน้อยคว้ามือราเมนทร์ไปจับ ผงกหัวขอโทษให้รากษสสองพ่อลูกก่อนจะออกแรงดึงพากันเดินออกไปนอกห้องน้ำโดยไม่สนใจสายตาเจ็บเจียนคลั่งของอีกคนแม้แต่น้อย

นิ้วโป้งปาดคราบเลือดจากแรงต่อยเมื่อครู่ บาดแผลนี้ยังไม่เจ็บเท่าใจของเขายามน้องน้อยเลือกเดินเคียงข้างไปกับมัน

“พระบิดาปล่อยให้เปรมไปกับมันหน้าตาเฉยได้ไง ถ้าคิดจะปล่อยก็น่าจะเข้าไปต่อยมันคืนให้ได้สักแผลหนึ่งสิ เล่นยืนเฉยแบบนี้โคตรขัดใจอินเลยว่ะ”

“เข้าไปต่อยมันแล้วให้พระมารดาเจ้าเกลียดหนักกว่าเดิมรึ”

“ไอ้นู่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้แล้วพระบิดาจะทำไงต่อล่ะ ขืนอยู่เฉยแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆมีหวังเปรมได้มีผัวอีกคน”



“เชื่อเถอะ อย่างไรเปรมก็ต้องมีพ่อเป็นผัวคนเดียว”





อย่าเพิ่งด้วยสรุปความคิดของน้องน้าาา น้องเขามีเหตุผล แล้วการกระทำทุกอย่างมันเชื่อมโยงไปถึงเรื่องราวในอดีต อย่าลืมนะคะน้องมีภารกิจที่ต้องทำจากคุณสีดา


เอาล่ะค่ะ มาอ่านกันต่อเลยดีกว่า

หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 23-01-2017 14:56:44



รถสัญชาติยุโรปสีดำเงาเคลื่อนเข้ามาจอดหน้าโรงแรมห้าดาวในเครือบริษัท RAVANA  ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานครที่มีไว้เพื่อรองรับลูกค้าตั้งแต่ระดับชั้นปานกลางถึงระดับผู้บริหารแต่ละประเทศ พนักงานต้อนรับในชุดราชปะแตนนุ่งผ้าม่วงเรียบกริบเดินมาเปิดประตูรถให้อย่างเบามือ ประนมมือไหว้แสดงถึงเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยอย่างน่าประทับใจ

ชายหนุ่มร่างสูงสง่าก้มตัวลงเล็กน้อยเมื่อกระจกหน้าต่างรถลดระดับเลื่อนลงจนเห็นหน้าคนใจดีที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งถึงที่ ดวงหน้าคมสันตามสัญชาติจีน-แคนาดา คิ้วเข้มหนาเฉียงขึ้นบนคล้ายด้ามกระบี่ตามซีรี่ย์กำลังภายในของทางประเทศจีน ดวงตาสีน้ำตาลอมทองและรอยยิ้มกว้างที่ทำให้ใครต่อใครต่างพากันหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

“ขอบคุณที่มาส่งนะครับมิสเตอร์ครีด(กฤต) เลี้ยงอาหารต้อนรับผมแล้วยังอุตส่าห์มาส่งถึงน่าโรงแรมด้วย เกรงใจแย่”

“ไม่เป็นไรครับคุณคริส ยังไงบริษัทพวกเราก็ต้องทำงานร่วมกัน ผมเองเป็นเจ้าบ้านก็ต้องต้อนรับดูแลคุณอย่างดีสิครับ”

“ถึงจะแบบนั้นก็เถอะ แต่ผมก็อดเกรงใจไม่ได้อยู่ดี”

“ถ้าเกรงใจมากนักก็ช่วยขยันทำงานแล้วมาสร้างโปรเจคใหม่ให้มันประสบความสำเร็จไปทั่วโลก น่าจะถือเป็นของตอบแทนที่วิน-วินกันทั้งสองฝ่าย”

คริส อู๋กระตุกยิ้มทีเล่นทีจริง “สมแล้วที่ได้ฉายา ‘ท่านรองยี่สิบสี่ชั่วโมง” สมองคุณนี่คงมีแต่เรื่องงานอย่างเดียวสินะ ไม่มีเรื่องอื่นมาพูดบ้างเลยหรือไงครับ”

“มันก็มีบ้างแต่ผมไม่คิดจะพูดต่างหาก” รอยยิ้มหวานพราวระยับประดับอยู่บนริมฝีปากบางพร้อมลักยิ้มบุ๋มตรงสองข้างแก้ม สำหรับคนเพิ่งรู้จักชินกฤตเช่นคริส เขาคิดว่าคนตรงหน้าช่างน่ามองเหลือเกิน สวยและเก่งเกินกว่าจะเป็นเพียงแค่รองประธาน ยักษ์ใหญ่และ...หนุ่มโสด

“แวะขึ้นไปพักดื่มน้ำที่ห้องผมก่อนไหมครับ กาแฟก็มีนะถ้าคุณต้องการ”

“ไม่ล่ะครับ ที่บ้านผมก็มี”

“อ่า นั่นสิ...งั้นพรุ่งนี้ว่างหรือเปล่าครับ”

ชินกฤตหรี่ตาสงสัย “จะชวนผมทานข้าวหรือไง”

“แหม มองคนเก่งจัง”

“พรุ่งนี้ผมมีนัดกับท่านครูท่านหนึ่งแล้ว คงไปตามคำชวนของคุณคริสไม่ได้”

“ผมขอไปด้วยได้ไหม” เมื่อเห็นอีกฝ่ายเลิกคิ้วสงสัยจึงรีบพูดอธิบายต่อ “พอดีเวลาว่างๆผมไม่ชอบอยู่ในห้องพักแล้วก็ไม่ค่อยชอบไปเที่ยวคนเดียวสักเท่าไหร่ จะเป็นอะไรไหม...หากผมไปกับคุณด้วย ผมจะทำตัวดีๆไม่ให้ครีดไม่พอใจสักนิดเดียว สาบาน”
สีหน้าและท่าทีขึงขังของชายหนุ่มลูกครึ่งทำเอาชินกฤตหลุดหัวเราะในลำคอ เอื้อมหยิบกระดาษโพสอิทหนึ่งใบ จดปลายปากกาเขียนหมายเลขครบสิบจำนวนก่อนจะส่งไปให้คนร่างสูง

“หน้าฟร้อนตอนสิบโมงห้ามสาย แต่ถ้าคุณตัดสินใจไม่อยากไปแล้วก็ช่วยโทรมาบอกผมล่วงหน้าสักสองสามชั่วโมงตามเบอร์นี้เลยล่ะกัน”

ริมฝีปากหยักตึงค่อยๆคลี่ยิ้มก่อนจะกลายเป็นยิ้มกว้าง “นี่เบอร์คุณ?”

“เบอร์ท่านนายกราชอาณาจักรอังกฤษละมังครับ”

“ผมจริงจังนะ”

“ไม่ใช่เบอร์ผมจะเบอร์ใครล่ะ” คนพูดยิ้มน้อย “รีบขึ้นไปพักเถอะครับ เพราะถ้าเกิดตื่นสายมาขึ้นมาผมคงไม่อยู่รอ”

“โอเค ผมจะรีบขึ้นไปอาบน้ำและนอนทันที”

“พรุ่งนี้เจอกันครับคุณคริส”

“ครับครีด...”

ร่างสูงมองตามรถของชินกฤตที่เคลื่อนตัวออกไปไกลจนสุดสายตา ยกกระดาษโพสอิทที่มีหมายเลขโทรศัพท์อีกคนขึ้นมาจูบ

แล้วเจอกันนะครับ (ว่าที่)มายเลดี้ของผม


หลังจากมื้อค่ำวันนั้น อีกสองวันต่อมาราเมนทร์ก็ได้โทรมาที่บ้านเปรมเพื่อขออนุญาตพ่อแม่ปู่ย่าตายายทั้งหลายให้คนเป็นลูกชายและหลานชายไปเที่ยวเป็นเพื่อนที่อยุธยาและนอนค้างที่บ้านส่วนตัวของตนสักหนึ่งคืน ตอนแรกบรรดาคุณผู้ชายของบ้านล้วนแล้วแต่ค้านหัวชนฝาเพราะมีความไม่ไว้ใจชายหนุ่มผู้นี้อย่างแรง หากเมื่อฟังคำอธิบายที่ดูเหมือนจะเป็นการเกลี่ยกล่อมเสียมากกว่า เจ้าหนุ่มปลายสายฉลาดไม่ฉลาดดูจากการใช้กลยุทธ์นักธุรกิจชักแม่น้ำทั้งห้า หรืออาจจะมากกว่านั้นมาทำให้พวกเขาเออออคล้อยตาม และกว่าจะรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปก็ตอนที่เจ้าหนุ่มนั่นตอบกลับมาว่า...

‘ขอบคุณนะครับคุณพ่อคุณแม่ที่ไว้ใจให้เปรมไปเที่ยวอยุธยากับผม’

เป็นอย่างไรเล่า...สุดท้ายต้องมายืนเกาะรั้วโบกมือร่ำลาลูกชายอย่างเศร้าซึม ไม่รู้เพราะเหตุใดหัวอกคนเป็นพ่อถึงได้รู้สึกตงิดตะง่วนยามเห็นลูกเดินตีคู่กับประธานหนุ่มรูปหน้าหน้าดูดีพอๆกับอสุเรนทร์ อดีตแฟนหนุ่มของลูกชาย เขาไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งคู่หรืออะไรที่ทำให้ลูกชายเลิกคบกับคนก่อนแล้วหันมาคุยกับคนนี้แทน แต่บางทีมันก็อดสงสัยไม่น้อยถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ประธานหนุ่มจิวเวอร์รี่ก็ดูใช้ได้ มีความเคารพผู้ใหญ่ พูดจาสุภาพ นิสัยก็อยู่ในเกณฑ์เข้าขั้นราวคนที่ถูกอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่ทว่า...ยังไงสำหรับชายวัยใหญ่อย่างเขาอสุเรนทร์ยังถือเป็น(ว่าที่)ลูกเขยอันดับหนึ่งในใจเหมือนเดิม

“ดูทำหน้าเข้าอย่างกับคนแก่โดนลูกหลานอุ้มไปทิ้งหน้าบ้านพักคนชรา ลูกแค่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับแฟนสองวันนะคะคุณไม่ได้เดินทางไปแต่งงานเข้าบ้านสามี”

“ดาวอย่าลืม ลูกเราเป็นผู้ชาย”

“แล้วคุณจะให้ลูกแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนล่ะคะ ในเมื่อแต่ละคนที่เข้ามาจีบมาเป็นคนรักของลูกก็เป็นเพศเดียวกันทั้งนั้น”
“ทำไมชอบย้ำเรื่องนี้กับผมนักล่ะที่รัก”

“ก็คุณชอบบ่นแต่เรื่องเดิมๆไง”

ดวงดาวแอบขำในท่าทีของชายวัยสี่สิบปลายย่างห้าสิบปีที่เกิดอาการถอนใจหนัก เชิดหน้างอนใส่เธอราวเด็กน้อยเวลาถูกพ่อแม่ขัดใจก็มิปาน

“ยังไงผมก็อยากให้เปรมมันมีเมียมากกว่า”

“พวกเราได้แค่เลี้ยงเขาเพื่อให้เป็นคนดีของสังคม ส่วนตัวเขาจะทำอะไรจะรักใครนั้นปล่อยให้เจ้าตัวเป็นคนเลือกเองเถอะค่ะ แต่ลูกมีแฟนหนุ่มก็ดีนะคะเราจะได้ไม่ต้องเสียค่าสินสอดหลายล้าน”

“หัวสมัยใหม่เกินไปไหมที่รัก”

“เวลาเปลี่ยน คนก็ย่อมเปลี่ยนเช่นกัน หัดทำใจอย่างที่คุณพ่อท่านเคยบอกเถอะค่ะ ชีวิตนี้ลูกเราคงไม่มีโอกาสได้เป็นเขยใคร”
กษิดิษเงียบไปสักพักคล้ายใช้ความคิด

“แล้วคุณคิดยังไงกับเจ้าประธานจิวเวอร์รี่นั่น”

“เขาชื่อราเมนทร์ค่ะ”

“จะชื่ออะไรก็ช่าง สรุปว่าไงล่ะ”

“ก็ถือว่าใช้ได้หลายส่วนเลยค่ะ รูปหล่อ ฐานะมั่นคง นิสัยก็ดีอยู่นะคะแต่ฉันว่ามันแปลกๆนิดหน่อย”

“คุณก็คิดเหมือนผมงั้นเหรอ นั่นแหละผมก็รู้สึกแปลกกับเจ้าหนุ่มราเมนทร์คนนี้เหมือนกัน”
 
มือใหญ่ยื่นรับแก้วน้ำเย็นจากเด็กรับใช้ในบ้านส่งให้ภรรยาแสนสวยตัวก่อนตัวเองจะหยิบมาถืออีกแก้วหนึ่ง ค่อยๆหย่อนกายนั่งลงบนพื้นไม้ที่ถูกเช็ดอย่างสะอาดหมดจด ชมทัศนียภาพร่มรื่นสองฝากฝั่งแม่น้ำรจนาเนิ่นนาน ยกน้ำขึ้นจิบอีกสักอึกใหญ่และกล่าวต่อ

“แววตามั่งคงและจริงใจดีแต่คับคล้ายมีอะไรบางอย่างซ่อนไว้อยู่ข้างใน”

“ซ่อนอะไรหรือคะ”

“ไอ้ตัวผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร รู้แค่ไม่ค่อยชอบเท่านั้น”

“คุณจะบอกคุณไม่ชอบขี้หน้าคุณราเมนทร์ แต่ชอบคุณทศมากกว่างั้นหรือคะ?”

“มันก็แค่ความคิดผมล่ะน่า” กษิดิษชายตาไปยังปลาตัวใหญ่ที่แหวกว่ายทวนกระแสธาราเข้ามาแทรกกลางระหว่างปลาอีกสองตัว ปลาตัวผู้สองตัวเริ่มพุ่งชนฟาดฟันกันจนน้ำแตกกระเซ็นดังซู่ พวกมันแข่งกันรุกและตั้งรับ ตัวแรกที่อยู่ปลาตัวเมียก่อนหน้าคล้ายจะเสียเปรียบอยู่มากโข หากทว่านานคดีพลิกเพราะท้ายเจ้าปลาตัวแรกดันฮึดสู้สามารถเอาชนะปลาตัวผู้ตัวที่สองได้อย่างน่าอัศจรรย์
ขนาดปลามันยังมีการต่อสู้แย่งชิงปลาตัวเมีย แล้วนับประสาอะไรกับมนุษย์อันเป็นสัตว์ประเสริฐ

“ฉันได้ข่าวคุณทศไปมีผู้หญิงอื่นลูกเรารับไม่ได้ก็เลยบอกเลิก เฮ้อ น่าเสียดายจังเลยนะคะ ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้นเรื่องก็คงไม่ลงเอยเช่นนี้”

“ถึงหน้าตาจะดูเจ้าชู้ออกแบดบอย แต่ผมว่าตาทศไม่คิดนอกใจเจ้าเปรมหรอกเพราะทุกครั้งที่มองสายตาของเจ้านั่นมันมักจะเต็มไปด้วยความรัก เทิดทูนเหนือสิ่งใด...เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำ เชื่อผมสิ”

“ดูละครหลังข่าวมากไปหรือเปล่าคะคุณ”

“คอยดูก็แล้วกันว่าสิ่งที่ผมพูดจริงหรือไม่จริง”



รถคันหรูวิ่งผ่านประตูรั้วสูงใหญ่ลายเครือเถาเข้าสู่บ้านพักอีกหลังหนึ่งของตระกูลอัศวรานนท์ เส้นทางที่ผ่านเข้ามาร่มรื่นด้วยต้นไม้และสวนหย่อมที่จัดตกแต่งกลมกลืนกับธรรมชาติ...ความสง่างามทรงคุณค่าแผ่กระจายออกมาจากตัวบ้านเรือนไทยหลังงามราวถอดพิมพ์มาจากภาพวาดในวรรณคดีไทย ทั้งหลังทำจากไม้สักตั้งเด่นตระหง่านในพื้นราวหนึ่งไร่เศษ หลังคาจั่วแหลม แกะสลักลวดลายวิจิตรเป็นลายเปลวกนก ชายหลังคาบ้านมีกันสาดทำจากไม้ชนิดเดียวกันทอดยาวตลอดแนวเพื่อป้องกันแสงแดดและหยาดพิรุณ

ตัวบ้านก่อสร้างอย่างประณีตด้วยช่างไทยสมัยใหม่ทว่าฝีมือดี ยึดไม้เรือนไทยหลังงานนี้โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ดอกเดียวแต่จะใช้การเข้าเดือยไม้แทน หน้าต่างหลาบสิบบานแกะสลักรูปกินรีสลับลายเปลวกนกเอาไว้ทุกบ้านสวยงาม และรอบๆบริเวณบ้านยังปลูกไม้ดอกไม้ประดับร่มรื่น ที่เห็นจะเด่นสะดุดตาก็คือต้นปีบต้นใหญ่ข้างเรือนที่ออกดอกขาวโพลน ส่งกลิ่นหอมขจรกำจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าในเฉพาะเวลายามเย็น

ดวงตาหวานสุกสกาวเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างตื่นตะลึง ไม่คิดว่าบ้านเก่านอกชานเมืองจังหวัดอยุธยาที่ราเมนทร์บอกจะสวยกว่าที่คาดอยู่หลายเท่า เปรมเห็นหญิงชราในชุดกระโปรงผ้าถุงถักทออย่างประณีตและเสื้อแขนสั้นระบายลูกไม้สีเหลืองอ่อนมายืนคอยต้อนรับ

“มิเห็นหน้าเสียนายนะคะคุณชาย”

“จัดห้องเรียบร้อยหรือยังครับแม่พิม”

หญิงชรายิ้มกว้าง “ดิฉันจัดให้อย่างดีตามคำสั่งของคุณชายเลยค่ะ” พิมพาเลื่อนสายตามายังชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งทว่าอีกทางหนึ่งกลับดูบอบบางน่าทะนุถนอมข้างกายคุณชายของเธอ


“แม่พิม นี่เปรม...เป็นคนรักของผมเองครับ ส่วนเปรมนี่แม่พิมพาเป็นคนที่ดูแลฉันมาตลอดน่ะ”

“สวัสดีครับแม่พิม”

“ไหว้พระเถอะจ๊ะพ่อ” มือเหี่ยวย่นสัมผัสซีกแก้มเนียนอมชมพู “หน้าเรานี่ดูทางหนึ่งก็หล่อราวเทพบนชั้นสวรรค์ อีกทางหนึ่งก็ดูสวยคมคล้ายนางสีดาในเรื่องรามเกียรติ์ที่ดิฉันโปรดปราน คุณหนูเปรมเหมาะสมแล้วล่ะค่ะที่เป็นคนรักของคุณชายของดิฉันหาใช่ทศกัณฐ์”

“!”

ราเมนทร์อึกอัก รีบประคองหญิงชราไปส่งให้เด็กรับใช้ในบ้าน “แม่พิมครับ แดดในตอนบ่ายยังค่อนข้างแรง รีบกลับไปพักในเรือนก่อนเถอะครับประเดี๋ยวจะไม่สบายล้มหมอนนอนเสื่อเอาได้ ถ้าเกิดมีอะไรเดี๋ยวผมจะเรียกแม่พิมมาเอง ชิดเอาแม่พิมไปพักซะแล้วค่อยกลับมาช่วยแก้วยกของ”

“ค่ะคุณชาย”

เมื่อหญิงชราวัยเกือบแปดสิบปีเดินหายลับไป ร่างสูงก็หันกลับมาส่งยิ้มราวกับไม่มีเรื่องน่าประหลาดใจเกิดขึ้น เอื้อมคว้ามือขาวบางขึ้นมากุมไว้แน่นแล้วออกแรงเดินไปหยุดตรงชานบันไดที่ทอดยาวขึ้นจากพื้นดินไปจนถึงตัวเรือน พลางก้มตัวลงหยิบกระบวยไม้ขึ้นมาตักน้ำสะอาดในตุ่มเล็ก

“ถอดรองเท้าสิเปรม”

“ครับ?”

“ถอดเถอะน่า”

แม้ว่าจะงุนงงกับคำพูดของอีกคนแต่เปรมก็ยอมถอดถุงเท้าและรองเท้าตามที่คนมากวัยกว่าสั่ง ท่ามกลางความงุนงงของแขกผู้มาเยือนราเมนทร์ค่อยๆย่อตัวลงรินรดน้ำใสเย็นจากกระบวยไม้ลงสู่เท้าคู่เรียวสวยของคนรัก เปรมทำท่าจะชักเท้าหนีทว่ามือแกร่งกลับจับยึดไว้แน่น เอื้อมไปตักน้ำอีกครั้งทำซ้ำเช่นเดิมก่อนจะหยิบผ้าแห้งใกล้กันมาเช็ดเท้าของร่างบางจนแห้ง...คนถูกล้างเท้าถึงกับพูดอะไรไม่ออก หัวใจรู้สึกดีและตื้นตันในสิ่งที่อีกคนทำให้ไม่น้อยทีเดียว

เป็นครั้งแรกที่มีคนล้างเท้าให้

“ขอบคุณนะครับ”

“เปรมเป็นคนรักของพี่ ยังไงพี่ก็ต้องดูแลให้ดีที่สุดอยู่แล้ว ขึ้นไปนั่งพักบนเรือนก่อนนะเดี๋ยวพี่ตามไป”
สัมผัสอุ่นจากริมฝีปากประทับแผ่วเบาบริเวณขมับน้อย ก่อนจะดันร่างบางให้เดินขึ้นไปด้วยอาการยิ้มแย้มมีความสุข เห็นเช่นนั้นก็อดรู้สึกผิดกับอีกฝ่ายไม่ได้ เขารู้ราเมนทร์ก็รักเขาไปต่างจากอีกคนหนึ่ง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อหัวใจเขามีแค่ดวงเดียวและมันยังคงยึดมั่นในรักเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ขอโทษนะครับพี่ราม...


ดวงแก้วทิวาวารเริ่มเคลื่อนคล้อย เปล่งแสงราแรงประกอบกับสายลมเย็นพัดพาเอาความร้อนให้มลายหายไป สำรับอาหารมากมายถูกลำเลียงออกมาวางบนโต๊ะ...คนร่างบางเกิดอาการประหม่าเล็กน้อยเมื่อเจ้าของบ้านตักกับข้าวหลายชนิดใส่ในจานของเขาอย่างเอาอกเอาใจ

“ท่านเยอะๆนะเปรม ฝีมือแม่บ้านที่นี่เยี่ยมยอดไม่น้อยหน้าเชฟในภัตตาคารระดับห้าดาวเลยนะ...”

เปรมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะตักชิมรส

“โอ้โห อร่อยจริงด้วยครับ เห็นทีมื้อนี้ผมต้องกินเยอะเป็นพิเศษเสียแล้ว”

“พูดจริงหรือเปล่า”

“เรื่องอาหารผมไม่เคยพูดเล่น”

“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่กินด้วยกันที่นี่ตลอดชีวิตเลยสิ”

เปรมมองสบตาคนที่ส่งตรงมายังเขา...ในแววตานั้นส่อความรู้สึกบางอย่างที่เขาไม่กล้าจะคิดต่อ...ราเมนทร์ส่งมันออกมาอยากชัดเจน...แสร้งทำเป็นยิ้มตอบกลับ ลงมือรับประทานอาหารต่อเงียบๆ

ตลอดชีวิต...จะให้นับช่วงเวลาของราเมนทร์หรือของเขากันล่ะ เพราะถ้าเป็นชั่วชีวิตของเขา...อาจจะเหลือเวลาอยู่รับประทานอาหารด้วยกันน้อยกว่าที่คิด

หลังอาหารเย็นตบท้ายขนมหวานไทยแท้ดั้งเดิม เจ้าของบ้านก็พาเขาเข้ามาดูห้องนอนก่อนจะขอตัวแยกไปคุยโทรศัพท์กับลูกค้ารายใหญ่ที่โทรมาขอคำปรึกษาเร่งด่วน มือเรียววางกระเป๋าเสื้อผ้าบนปลายเตียงไม้สักเก่าแก่และล้มตัวลงนอนเพราะความเพลียจากการเดินทางและอุณหภูมิที่ค่อนข้างร้อนจัดของประเทศไทย

หลับตา...ใช้เวลาไปกับการนอนนิ่ง ไม่ขยับไหวหรือเอื้อนเอ่ยแม้แต่คำใด จากกรุงเทพสู่ชานเมืองอยุธยามันไม่ได้ห่างกันสักเท่าไหร่แต่เหตุไฉนเขาจึงมีอาการคล้ายหายใจไม่ออก เจ็บจี๊ดบริเวณหัวใจเป็นพักๆและมากขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่เท้าแรกเหยียบพื้นกระดานในห้องนอนแห่งนี้

คล้ายมีอะไรผิดปกติ...

‘พ่อเปรม...ได้ยินข้าฤาไม่’

‘ที่นี่...’

‘จงตามหา’

‘อยู่ที่นี่แหละหนา มันอยู่ที่นี่’


ลมวูบใหญ่พัดผ่านหน้านวลไปมาค่อนข้างแรง  ในภาพแห่งความฝันขมุกขมัวเปรมเห็นสีดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด พร้อมชี้นิ้วไปยังบานประตูไม้ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม 

‘ช่วยข้าด้วยเถิดหนา’

‘พ่อเปรม...’




‘เฮือก!’

ร่างบางพลันลืมตาตื่นด้วยอาการหัวใจเต้นแรง รีบเหวี่ยงขาลงจากเตียงเหยียบพื้นเย็น แม้สายตายังปรับสภาพได้ไม่ดีนักหากเจ้าตัวยังคงฝืนเดินต่อไปเพื่อที่จะดึงบานประตูห้องให้เปิดออกกว้าง...วันนี้ วินาทีนี้อาจจะเป็นโอกาสเดียวที่ทำให้สิ่งที่เขาคิดเอาไว้ล่วงหน้าบรรลุขึ้นมาอีกก้าวหนึ่งก็เป็นได้

“โอ๊ะ เปรม...”

“พี่ราม!”

รอยยิ้มกว้างหุบลงในทันทีที่ประตูเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้างามผุดผ่องซีดเซียวผิดปกติ ฝ่ามือใหญ่ประคองแก้มนุ่มไล้นิ้วหัวแม่มือบนหน้าผากที่ชื้นไปด้วยเหงื่อกาฬอย่างเป็นห่วง

“เกิดอะไรขึ้น ไม่สบายหรือ”

“นิดหน่อยครับ แต่พี่ไม่ต้องห่วงผมยังสบายดี”

“สบายยังไง หน้าซีดอย่างไก่ต้มขนาดนี้ กินยาไหมพี่จะรีบวิ่งไปเอามาให้”

“อย่าเลยครับ ผมไม่เป็นอะไรมากจริงๆ”

“จะมาเกรงใจทำไม เปรมเป็นแฟนพี่พี่ก็ต้องดูแลสิ” คิดแล้วก็เอามืออังหน้าผากคนรักอย่างเป็นกังวล “ตัวร้อนจี๋ขนาดนี้ยังบอกว่าไม่เป็นอะไรมากอีกเหรอเด็กดื้อ”

“ผมเปล่าดื้อนะ”

“ดื้อเงียบ ดื้อมากด้วย”

“อย่ามาว่าผมนะ”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายกอดอกเถียงคอเป็นเอ็นทั้งที่ร่างกายโอนเอนแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว อดไม่ได้จึงแสร้งตีสีหน้าเคร่งแล้วดีดหน้าผากเล็กเบาๆเป็นเชิงทำโทษ ก่อนวงแขนกว้างจะตวัดอุ้มร่างแน่งน้อยขึ้นมาแนบอกอย่างรวดเร็ว คนที่โดนอุ้มฉับพลันถึงกับทำตาโตตกใจรีบวางมือบนไหล่แข็งแรงด้วยความกลัวตกจากที่สูง

“พี่ราม!”

“คะ”

รอยยิ้มกว้างปรากฏ สองขาก้าวเดินจนไปถึงเตียงใหญ่และทอดวางอีกคนลงบนที่นอนนุ่ม คว้าเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างของคนรักอย่างละเมียดละไม ราเมนทร์โน้มตัวเข้าใกล้หมายจะหอมแก้มแดงระเรื่อแต่ทว่าเหมือนเจ้าตัวจะรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะทำเช่นนี้เลยเบี่ยงหน้าหันหนีไปอีกทาง ทำให้ริมฝีปากของเขาประทับลงตรงลำคอระหงแทน คนมากวัยกว่าหัวเราะเบาๆในลำคอ แอบสูดกลิ่นเนื้อหอมสักเล็กน้อย  ก่อนยกมือขึ้นเกลี่ยแก้มนุ่มของคนบนเตียงเล่นสองสามครั้ง

“คนป่วยต้องรีบนอนพัก พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้มีแรงไปเที่ยวด้วยกัน”

“พี่ราม”

“ครับ”

คนอายุน้อยกว่าถอนใจลึกอย่างคิดไม่ตก เม้มปากแน่นสนิทก่อนดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองสบกับดวงตาคมช้าๆ ความคิดหลายตีพันกันจนยุ่งเหยิง ด้านหนึ่งกำลังปฏิเสธความคิดของเขา อีกด้านหนึ่งกลับสนับสนุนให้เดินทำได้เต็มที่ ใช้เวลาคิดอยู่นานพอสมควร

“ว่ายังไง”

เพื่อให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย

เพื่อนางสีดา


“จะเป็นอะไรไหม...”

เพื่อพระสุริยาและจันทรา

เพื่อบ่วงกรรมที่ตามติดกันนับแต่ชาติปางก่อน...


ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจแล้ว...


“ถ้าหากวันนี้ผมขอนอนกับพี่...จะได้ไหมครับ”



กระแสลมยามดึกพัดโบกโชยชาย...ดวงจันทร์แขวนตัวลอยเด่นอยู่บนนภาผืนกว้างเหนือทิวไม้ส่องแสงผ่องอำพัน เบื้องนอกเงียบสงัดมีเพียงเสียงลมหายใจดังเข้าออกสม่ำเสมอของร่างสูงที่นอนอยู่ข้างๆ ทำให้เปรมมีโอกาสขยับกายยันตัวลุกขึ้นจากเตียง ลงน้ำหนักเท้าเดินออกจากห้องนอนเจ้าของบ้านเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้...และไม่ลืมที่จะหยิบโทรศัพท์คู่ใจติดไปด้วย

ในห้องพระขนาดเล็กที่มีแสงมลังเมลืองของเทียนไขเพียงคู่เดียวหน้าโต๊ะหมู่บูชา กับกลิ่นกำจายของกำยานและกลิ่นหอมของดอกไม้คล้ายดอกกุหลาบกระทบส่วนนาสิก เปรมรู้ได้ทันทีว่าใครมารอเขาก่อนหน้า อาจจะดูน่าขนลุกไปบ้างหากคงเป็นเพราะเขาคือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณนางสีดา และเคยพบเจอกันมาแล้วจึงไม่แปลกที่คนร่างบางจะสงบนิ่งไม่มีอาการตกใจยามเห็นร่างเงาสะโอดสะองปรากฏให้เห็นเพียงรางเลือน

‘ตรงนั้น ออเจ้า ตรงนั้น’

เสียงหวานใสเอ่ยกระชั้นพร้อมชี้ตรงไปยังกรอบรูปวาดขนาดใหญ่ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงกลางห้อง เครื่องหน้างามแฉล้ม ดวงตาหวานคม จมูกเรียวเล็กรับกับริมฝีปากหยักตึงสีชมพูราวกลีบดอกปทุม(โกกนท) ...ไม่ต้องบอกก็รู้คนในรูปภาพนั้นคือคนคนเดียวกับที่ยืนกระวนกระวายด้วยความร้อนใจอยู่ทิศทางเบื้องหน้า

ครั้นขาเรียวยาวก้าวประชิดภาพวาดสีน้ำมันมากเท่าไหร่ หัวใจดวงน้อยก็ยิ่งเจ็บปวดราวเข็มนับหมื่นนับแสนคอยทิ่มแทงให้ทรมานก็มิปาน เหงื่อเม็ดเล็กซึมผุดตามหน้าผากและฝ่ามือ เนื้อกายอ่อนแรงทว่าเจ้าตัวยังฝืนทน ใช้แสงสว่างจากโทรศัพท์เป็นตัวช่วยให้การค้นหาในครั้งนี้ให้เร็วขึ้น

ฝ่ามือเรียวคลำไปตามส่วนต่างๆของรูปวาดและกรอบรูปสลักกนกลายดาวล้อมเดือน พลางกวาดสายตามองสำรวจไปทั่ว จนกระทั่งปลายนิ้วสะดุดตรงช่องโหว่เล็กๆที่พอให้แรงลมเล็ดลอดผ่านเข้าไปได้...เปรมไม่รอช้ารีบใช้สองมือดึงกรอบรูปให้เปิดออกกว้าง


“คุณสีดา ผมเจอมันแล้ว”



เปรมเจออะไร  โอยยยยย :katai1: :katai1:
OMG ต้องลุ้นๆๆๆ
โอ้ยอ่านไปเครียดไป ลุ้นไป
ตอนต่ไปเราจะมาดูกันสิว่าน้องเปรมหาอะไรเจอแล้ว กำลังทำอะไรกันแน่
เปิดโอกาสให้ลองเดากันดูนะคะว่าน้องกำลังจะทำอะไร ถ้าใครทายถูกนี่ยกนิ้วโป้งให้เลย  o18

อืม...แล้วนี่ก็ตอนที่23 แล้ว อยากจะบอกว่าอีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วน้าาา รู้สึกเวลาผ่านไปเร็วมากเลย
ขอบคุณทุกคนที่ร่วมติดตามกันมาโดยตลอดนะ พอเห็นทุกคนรู้สึกอินกับนิยายที่เราแต่งก็ดีใจมากๆ
ไม่พรุ่งนี้ก็อีกวันเราจะมาลงตอนที่24ให้น้าาา
วันนี้ขอตัวก่อนจ้า :mew1: :bye2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 23-01-2017 17:17:52

โอ๊ย........

ลุ้น

ลุ้นมาก

จะเกิดอะไรต่อจากนี้นะ

รอขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 23-01-2017 21:06:07
ลุ้น :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 23-01-2017 21:15:46
อาจจะ....เป็นอะไรที่จะปลดปล่อยสีดาได้รึเปล่านะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 23-01-2017 21:18:53
เปรมเจออะไรไม่รู้ รู้แต่เราก็กลัวรามเจอเปรมเนี่ยแหละ :ling3: :ling3: :ling3:
นี่ถ้ารามรู้ว่าเปรมเข้าหาตัวเองเพราะเป็นแผนรามจะทำอะไรเปรมบ้างนะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 23-01-2017 22:26:48
ลุ้นเหลือเกินนนนนน
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 23-01-2017 23:10:51
ภารกิจอันนี้บอกพี่ทศไม่ได้เลยอ่อ
พี่ทศนี่คิดแง่บวกเว่อ ไม่ถอดใจอีก
ดีใจกับคุณน้องเปรมนะคะที่ผัวรักผัวหลงขนาดนี้ ไม่เคยทิ้ง มีแต่ทิ้งผัวเอง
อยากรู้ว่าเปรมเชื่อยังว่าอีรามมันชั่วจริงๆ
#สติลทีมพี่ทศ คลดีย์
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: เล็กต้มยำ ที่ 23-01-2017 23:27:48
ลุ้นไปปป
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: insunhwen ที่ 24-01-2017 00:09:35
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 24-01-2017 09:11:53
ลุ้น...น้องเปรมจะทำสำเร็จหรือเปล่า.เปรมสู้ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 24-01-2017 12:13:02
อย่าบอกนะว่าเป็นหัวใจสีดา

เราว่างานนี้ยากนะ ถ้าพระรามรู้ เปรมงานเข้าแน่ๆ

แล้วเปรมพูดเหมือนตัวต้องตายเลยอ่ะ ไม่นะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 25-01-2017 09:10:35
ใครเป็นเหมือนเราบ้างงงง โอ้ยยยยยยยยเค้าอึดอัด เค้าหายใจไม่ออก เค้าอยากร้องไห้  :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 25-01-2017 15:48:32
 งือ น้องเปรมกำลังจะทำอะไรอ่ะ ลุ้นๆ

เหมือนเหตุการณ์จะซ้ำรอยเดิมเลยอ่ะ อย่าให้อะไรไม่ดีเกิดขึ้นเลยหนาา :mew2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๓ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 27-01-2017 23:18:43
อ๊ายยย อ๊ายยย
อะไร เจออะไร
โอ๊ยยยยย ตาย
ติดหนึบติดหนับกับเรื่องนี้

ปล. รีบต่อเถอะค่ะ อกจะแตก!
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๔ ครึ่งแรก (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 28-01-2017 10:41:52

ตอนที่ ๒๔




นับตั้งแต่เข้ามาเหยียบในโรงละครใหญ่แห่งชาติ คริส อู๋ก็เอาแต่ทำตาลุกโต ร้องโอ้ มาย ก๊อด ยอดเยี่ยม อิส อะเมซิ่ง พูดวนอยู่นานเกือบสิบห้านาที ชายหนุ่มต่างชาติล้วนชื่นชอบและถูกใจกับสิ่งที่พบเห็นมากถึงขนาดขอร้องให้ชินกฤตช่วยถ่ายรูปเก็บไว้ให้เขาเยอะๆหน่อย จะได้เอาไปลงอินสตราแกรม ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊คและเว็บไซต์ส่วนตัวอื่นๆ สำหรับตัวเขานั้นเคยเห็นสิ่งเหล่านี้ผ่านจอโทรทัศน์ เว็บไซต์ชื่อดังมาบ้างแล้ว หากมันเทียบไม่ติดกับสิ่งที่เห็นด้วยตาตนเองสักนิด มันสวยงาม ทรงคุณค่าและถ่ายทอดให้เห็นถึงเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยอย่างแท้จริง

เสียงบรรเลงดนตรีไทยจากด้านบนเวที พร้อมพรั่งด้วยนักแสดงชายหญิงมากมายนับสิบนุ่งผ้านุ่งสีแดงขยับเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างอ่อนพลิ้วสวยงามทว่ายังคงความแข็งแรงในตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์ นิ้วมือกรีดกราย ฝ่าเท้าย่ำลงบนพื้นไม้ตามการให้จังหวะของกรับและตะโพน คริส อู๋พยักหน้ายิ้ม ไม่เสียใจทีเดียวที่ยอมตื่นเช้าเพื่อติดรถรองประธานหนุ่มหน้าสวยคนนี้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ 

“ดูเหมือนคุณจะชอบมากเลยนะครับคุณคริส”

“Of course! ทุกอย่างมันดูน่าทึ่งไปเสียหมด ทั้งเสียงดนตรี หัวโขน แล้วไหนจะท่วงท่าการร่ายรำของพวกเขามันค่อนข้างน่าดึงดูดให้จ้องมองอยู่อย่างนั้น โอ้ว ว้าว...นี่ขนาดซ้อมยังดีเท่านี้ ถ้าแสดงจริงมันต้องดูยิ่งใหญ่อลังการมากแน่ๆเลยใช่ไหมครับ”

“มากกว่าที่คุณคาดคิดหลายเท่านัก”

“ครีด คุณคงไม่คิดอำผมเล่นใช่ไหม”

“อย่าลืมนะครับครอบครัวของผมไม่ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องเพชร เสื้อผ้าหรือโรงแรมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเป็นบริษัทผู้รับหน้าที่จัดการแสดงโขนและผู้เรียบเรียงบทประพันธ์ที่โด่งดังและเป็นที่กล่าวขานของมากมายอย่าง ‘กำเนิดทศกัณฐ์’ คุณคิดว่าผมจะโกหกไปเพื่ออะไรล่ะ”

“อ้า ใช่! ผมเคยได้ยินชื่อเรื่องนั้นอยู่พักหนึ่ง ผมจำได้ล่ะเพื่อนผมที่มีโอกาสไปดูเธอบอกสนุกและน่าตื่นเต้นมาก และหลายๆคนก็บอกผมประมาณนี้เหมือนกัน”

“คำบอกเล่าจากปากคนอื่นมันไม่ได้อารมณ์เท่าดูด้วยตาตนเองหรอกครับ”

“ผมก็คิดเหมือนคุณครีดเนี่ยแหละ น่าเสียดาย ถ้าไม่ติดงานด่วนของบริษัทผมคงไปดูโขนเรื่องนี้กับเพื่อนนานแล้ว”

“แต่ถึงจะพลาดในครั้งนั้นก็ใช่ว่าจะต้องพลาดครั้งต่อไปนี่ครับคุณคริส” ชายตามองนิดๆเป็นเชิงให้อีกคนสนใจ

“หืม อย่าบอกนะว่า...”

ชายหนุ่มสองสัญชาติถึงกับเบิกตาโพล่ง เผลอรวบมือขาวนุ่มของชินกฤตมากุมไว้โดยไม่รู้ตัว พร้อมพร่ำถามซ้ำไปซ้ำมา ‘จริงหรือครับ’ ‘ไม่ล้อผมเล่นนะ’ ‘จะเปิดให้ชมอีกแน่ใช่ไหม’

 “นี่แหละคือจุดประสงค์ที่ผมมาหาท่านครูวันนี้ ก็เพื่อคุยเรื่องการเปิดรอบแสดงละครโขนเรื่องหทัยทศกัณฐ์อีกครั้งหนึ่ง”


ภายในห้องพักส่วนตัวของบรมครูชั้นเอกอย่างท่านครูเหนือ เครื่องดนตรี ตู้โชว์หัวโขนฝ่ายลิง ฝ่ายมนุษย์และฝ่ายยักษ์ยังคงจัดวางอย่างเป็นระเบียบ สวยงามเหมือนแต่ก่อนมิมีมีผิดเพี้ยน ชินกฤตละสายตาจากงานศิลปะชั้นสูง ก่อนหันมาประนมมือไหว้ชายชราที่นั่งเอนพิงหมอน เหยียดขาตรงอยู่บนไม้สักทอง...ในท่าเดิมเช่นทุกครั้งที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียน

“สวัสดีครับท่านครู”

ชายชรายิ้มรับ ผายมือให้อีกคนนั่งได้ตามสบายไม่ต้องพิธีรีตอง “ไม่เจอกันนานหลายเดือนทีเดียว สบายดีหรือไม่คุณกฤต”

“ดีบ้างไม่ดีบ้างตามประสาคนมีงานท่วมหัวแหละครับ แล้วท่านครูสบายดีไหม”

“กระผมสบายดีกินอิ่มนอนหลับง่ายเหมือนเดิม ว่าแต่...” ปู่เหนือหรี่มองไปทางชายหนุ่มร่างสูงที่นั่งขัดขัดสมาธิเก้ๆกังๆอยู่บนพื้นแข็งอย่างไม่เคยชิน ส่งยิ้มโชว์ฟันขาวเรียงกันเป็นระเบียบดูน่าตลกขบขัน “ไอ้หล่อข้างคุณกฤตนี่เป็นใครรึ เพื่อน แฟน...หรือผัว”

“ปัดโธ่ท่านครู ผมกับเขาเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเฉยๆ”

“ไม่มีก็ไม่มี อุแหม...เจ้านี่หน้าตามันหล่อเหลาเอาการทีเดียว ดวงตาคมกริบประดั่งเหยี่ยวนภา ไม่สิ...เหมือนพญาครุฑเสียมากกว่า ให้ความน่าเกรงขาม ดุดัน...อืม ท่าทางจะเป็นคนใจร้อน เอาแต่ใจไม่น้อย” ชายชราพยักหน้าขึ้นลง “อนาคตภายภาคหน้าต้องกลายเป็นคนใหญ่คนโตอย่างไม่ต้องสงสัย เห็นพ้องต้องกันกับกระผมบ้างไหม”

ริมฝีปากยกยิ้มน้อยแทนคำตอบ

คิ้วคมเข้มเฉียงขึ้นบนขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ สะกิดเรียกเพื่อนร่วมงานกระซิบถามดังแผ่ว “ครูท่านนี้พูดอะไรหรือครับครีด”
“ท่านบอกคุณหน้าตาดี เติบใหญ่ขึ้นมาน่าจะกลายเป็นมหาโจรที่คนทั้งโลกต่างเกรงกลัว”

“What!? ที่พูดมาจริงจังใช่ไหม?” เมื่อเห็นอีกคนยิ้มหัวเราะโชว์ลักยิ้มที่แก้มบุ๋มลงไปทั้งสองข้างก็ถึงกับทดถอนหายใจหนักหน่วง ตวัดแขนกอดรักลำคอขาวให้ลงมาใกล้ชิดมากกว่าเดิม “ไหนคุณบอกไม่ชอบพูดโกหก”

“ไม่ชอบก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่พูดเลยนี่ครับ”

“คิดจะเล่นกับผมใช่ไหม”

“แล้วคุณอยากเล่นอะไรล่ะ?” ชินกฤตเลิกคิ้วและยิ้มนิดๆตรงมุมปาก...นัยน์ตาสีดำสนิทดูลึกลับราวหลุมดำบนห้วงจักรวาล น่าค้นหา ดึงดูดให้หนุ่มนิวยอร์กศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดหลงใหลไปกับเสน่ห์อันน่าเย้ายวนใจอย่างร้ายกาจ คริส อู๋ไม่เคยถูกใจผู้หญิงหรือผู้ชายคนไหนตั้งแรกพบเท่ารองประธานหนุ่มข้างกายแม้แต่ครั้งเดียว คนนี้คือคนแรก...และอาจจะเป็นคนสุดท้ายในชีวิตก็ได้ที่ทำให้เขารู้สึกปั่นป่วนหัวใจและอยากครอบครองเป็นของตนตราบนานเท่านาน

“คุณต้องยื่นคำค้านแน่ๆถ้าผมพูดมันออกไป”

“ก็ลองพูดมาสิครับ บางทีผมอาจจะรับไว้พิจารณาเป็นพิเศษ...”

“หึ”

“อะแฮ่ม! เจ้าประคุณเลือดร้อนทั้งหลายถ้ายังไม่ได้ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ ขี้หลงขี้ลืมก็ช่วยเบิกพระเนตรดูสักนิดเถิด ว่ายังมีคนแก่ใกล้ลงโรงอย่างกระผมนั่งอยู่อีกคน...เฮ้อ สมัยนี้เพื่อนร่วมงานเวลาพูดต้องยื่นหน้าไปใกล้ขนาดนั้นเชียวเรอะ”

รากษสหนุ่มเพียงกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย หาได้แสดงทีท่ากระมิดกระเมี้ยนหรือปฏิกิริยาอื่นที่ส่อไปในทางขลาดเขินอย่างที่ควรจะเป็น เอาแต่นั่งนิ่ง หูแว่วฟังท่วงทำนองระเรื่อยของเพลงไทยเดิม เป็นเรื่องง่ายสำหรับอดีตโหรหลวงแห่งกรุงลงกาจะล่วงรู้ความคิดความอ่านคนอื่นแค่ปราดตามอง อีกอย่างคนอย่างคริส อู๋อ่านง่ายเสียยิ่งกว่าปอกกล้วย เพราะเจ้าตัวมักคิดมันแสดงออกผ่านทางสายตาจนหมดสิ้น

ยังอ่อนหัดมากนักเจ้านกน้อยเอ๋ย

“แล้วที่คุณกฤตอยากคุยกับกระผมมันเรื่องอะไรล่ะครับ”

“ผมอยากจัดแสดงหทัยทศกัณฐ์รอบพิเศษครับ”

“รอบพิเศษ? หมายถึงนำมาสร้างใหม่หรือ”

“ก็ประมาณนั้นครับท่านครู แต่ในที่นี้ผมจะเพิ่มบทเข้าไปด้วยในช่วงท้ายของเรื่องเพื่อเป็นการสรุปเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบว่าทำไมถึงต้องใช้ชื่อเรื่องว่าหทัยทศกัณฐ์”

“กระผมเองก็ว่าจะพูดเรื่องนี้กับพวกคุณๆอยู่ เพราะมีผู้ชมจำนวนไม่น้อยร้องเรียกให้ทางกรมศิลป์เปิดแสดงละครโขนเรื่องนี้อีกรอบ และในเมื่อคุณกฤตเอ่ยปากออกมาเช่นนี้ทางผมเองก็ขอน้อมรับพร้อมจะจัดการเรื่องต่างๆให้อย่างเต็มที่ ว่าแต่อยากเปลี่ยนแปลงอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า นักแสดง เพลงหน้าพาร์ท อุปกรณ์จัดฉาก?”

คนถูกถามพยักหน้าไม่ตอบคำ “เรื่องอุปกรณ์และดนตรีค่อยคุยกันทีหลังนะครับ แต่สำหรับนักแสดงผมขอเปลี่ยนแค่บางส่วน”
“ตัวละครโขนตัวไหนล่ะ หลักหรือรอง”

“ตัวหลักของเรื่องครับ”

“ก็ใครเล่าครับ กระผมขี้เกียจมานั่งเล่นถามตอบยี่สิบคำถามกับคุณเหมือนสมัยหนุ่มแล้วนะ”

ความเงียบย่างกรายปกคลุมหลังจากบรมครูชั้นเอกแห่งนาฏกรรมไทยเอ่ยจนหมดสิ้น วงหน้าคมทว่าติดหวานพระอนุชาแห่งกรุงลงกาสะท้อนแสงไฟสีนวลที่เปิดอยู่ตรงกลางเพดานห้องจนเกิดเป็นเส้นเงาโค้งเว้าสวยงามแทบให้ใครบางคนลืมหายใจ
“ทศกัณฐ์ผู้นำทัพฝ่ายยักษ์และพระรามผู้นำฝ่ายมนุษย์และฝ่ายลิง”

“เจ้าพจกับเจ้าสินธุพวกมันแสดงไม่ดีกระนั้นรึ”

“พวกเขาแสดงใช้ได้ แต่ครั้งนี้ผมจำต้องให้คนที่ผมต้องการมาแสดงแทน...อย่าถามให้มากความเลยนะครับ เพราะยังไงผมก็ไม่สามารถบอกท่านครูได้อยู่ดี”

นัยน์ตาขุ่นหรี่มองชินกฤตเล็กน้อยขณะยกแก้วน้ำชาขึ้นกระดกดื่ม ต่างคนต่างจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทว่าไม่ท้ายสุดกลับเป็นชายผมสีดอกเลาที่ขอถอดใจยอมแพ้ไปเอง “ก็ได้ ๆ...ในเมื่อคุณกฤตไม่อยากบอกกระผม กระผมเองก็จะไม่รบเร้าให้รำคาญใจ”

“แล้วคนที่คุณเลือกไว้เป็นใคร กระผมรู้จักหรือไม่”

“ยิ่งกว่ารู้จักอีกครับท่านครู และนี่คือรายชื่อนักแสดงทั้งหมดที่ผมต้องการ”

ชินกฤตส่งแฟ้มประวัตินักแสดงปึกหนาและหนักพอควรไปให้ชายชรา มือหยาบกร้านจากการทำงานอย่างหนักมาตลอดหลายสิบปีชะงักเมื่อเห็นโฉมหน้าคนที่จะมารับบทเป็นพระรามและทศกัณฐ์ “ถึงกระผมจะเคยเห็นฝีไม้ลายมือพวกเขามาบ้างก็เถอะ แต่แน่ใจหรือว่าจะเอาสองคนนี้”

“ครับ ผมแน่ใจ” เพราะสิ่งที่ชินกฤตเห็นในนิมิตอันเรือนลาง เชื่อได้เลยว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน อาจส่งผลกระทบกับคนสองสามหรือไม่...ก็มากกว่านั้นหลายเท่า...ฉะนั้นเขาจึงต้องเตรียมการป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า อย่างน้อยมีสองคนนั้นคอยดูแลใกล้ชิด ก็น่าจะเป็นการดีกว่าการที่เปรมอยู่คนเดียว

“จะเอาให้ได้เลยใช่ไหม”

“ฝากท่านครูช่วยกระจายข่าวไปยังนักแสดงแต่ละท่านตั้งแต่ตัวประกอบยันตัวหลักของเรื่องทั้งหมด ย้ำนะครับบทอื่นสามารถเปลี่ยนตัวนักแสดงได้ แต่นางสีดาต้องเปรมคนเดียวเท่านั้น คนอื่นผมไม่เอา”

“...”

“อาทิตย์หน้าเราจะเริ่มทำการพบปะนักแสดงด้วยกัน และเริ่มซ้อมบทอย่างเป็นทางการ”



ท่วงทำนองเพลงในจังหวะบอสซาโนวาภายในร้านกาแฟดังคลอเบาๆไปกับบรรยากาศเย็นสบายในวันฝนตกปรอย ชินกฤตหลับตาพริ้มโยกหัวไปตามเสียงดนตรี พร้อมขยับก้านนิ้วเรียวเล็กคนกาแฟในแก้วที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอย่างใจเย็น หนุ่มลูกครึ่งจีน-แคนาดาที่เพิ่งเดินกลับมาจากเข้าห้องน้ำชะงักงัน...หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติ ทว่าตอนนี้ วินาทีนี้มันกลับทวีความเร็วและแรงขึ้นจนก้อนเนื้อส่วนสำคัญที่ตั้งอยู่ระหว่างปอดซ้ายและปอดขวาแทบจะทะลุออกมาด้านนอก

ศิลปะอันเลื่องชื่อที่สุดของยุคเรอเนซองส์อย่างภาพวาดบนเพดานและฝาผนังของโบสถ์ซิสติน (Sistine) ในพระราชวังวาติกันประเทศอิตาลี ยังมิอาจเทียบเท่าความงามจากบุคคลตรงหน้าภายใต้สายฝนอันเย็นฉ่ำได้เลย

It's not about who I’ve been with,
It’s about who I end up with.
Sometimes the heart doesn't know what it wants
Until it finds what it needs.



ไม่สำคัญว่าผมเคยคบใครมาก่อน
สำคัญที่ผมหยุดที่ใครต่างหาก
บางครั้งหัวใจก็ไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร
จนกระทั่งมันได้ค้นพบบางสิ่งที่ทำให้รู้ว่า
นี่แหละคือสิ่งที่หัวใจค้นหามานาน



คริส อู๋แอบอมยิ้มน้อย ขณะสาวเท้าตรงไปยังโต๊ะไม้โต๊ะเล็กที่ถูกคนร่างผอมบางนั่งจับจองมาได้สักพัก เสียงขาเก้าอี้ขูดกับพื้นกระเบื้องทำให้คนที่กำลังหลับตาดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงจังหวะเบาสบายค่อยๆลืมตาตื่น ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากทั้งสองฝ่าย มีเพียงประกายจากดวงตาและรอยยิ้มที่สื่อความรู้สึกถึงกัน

“คุณจ้องผมนานไปแล้วนะคุณคริส มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่ครับ...ไม่มี”

“แต่สายตาคุณมันไม่ได้บอกอย่างนั้น”

“แล้วมันบอกแบบไหนล่ะ” ร่างสูงเอนพิงพนักเก้าอี้ กอดอกรอคอยคำตอบจากอีกฝ่าย ชินกฤตกระตุกยิ้มมุมปากยกกาแฟขึ้นจิบ รสชาติหอมหวานเข้ามาทักทายเป็นอันดับแรกก่อนถูกตีรวนด้วยรสขมกำลังพอดี

“บอกผมสิ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน”

“ตัวคุณเองยังไม่รู้ นับประสาอะไรจะให้คนอื่นมาเดาสุ่มสี่สุ่มห้า”

“ครีดอยากรู้จริงเหรอ”

“ก็ขึ้นอยู่กับคุณจะกล้าบอกผมหรือเปล่า”

ให้ตายสิ เหมือนเขากำลังถูกท้าทาย!

เสียงเพลงจากลำโพงดังระเรื่อยท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและการจราจรแออัดบนท้องถนน คริส อู๋คว้าเครื่องดื่มในแก้วกระดาษจรดริมฝีปากพร้อมกับใช้สายตาจับจ้องไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยประกายวาบหวาม...และถ้าสายตาของชินกฤตไม่ได้ผิดปกติกะทันหัน เขาเห็นเงาบุรุษผู้หนึ่งซ้อนทับชายร่างสูงเอาไว้

สูงศักดิ์...องอาจ...สง่างาม เสมอเหมือนพญาครุฑเวนไตย บุตรแห่งนางวินตา

คล้ายกันมากเหลือเกิน

คล้ายจนเผลอคิดถึงเรื่องราวอันน่าเศร้าในอดีตที่เคยมีร่วมกัน...


ท้องฟ้าเริ่มกระจ่างใส แสงแห่งตะวันสาดส่องลงมายังพื้นเบื้องล่างครั้นหยาดพิรุณจากชั้นฟ้าหยุดโปรยปรายได้สักระยะ  สะท้อนให้เห็นเป็นเงาทอดยาวของคนสองคนบนพื้นถนนเปียกแฉะ

คริส อู๋เปิดปากร้อง ‘ว้าว’ เงยมองกำแพงสูงสีขาวสะอาดตาโอบล้อมรอบตัววัดพระแก้วที่เขาต้องใช้ความพยายามขอร้องให้คนร่างผอมบางพามาเยือนที่นี่ให้จงได้

ในรูปถ่ายว่าสวยตระการตาแล้ว แต่เมื่อได้เห็นของจริงมันยิ่งกว่าความฝัน  ชายหนุ่มรู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างน่าแปลกประหลาด และไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะหลงใหลในสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมของประเทศเล็กๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนืออย่างประเทศไทยมากถึงขั้นอยากย้ายมาอยู่ที่นี่และใช้บั้นปลายชีวิตมีความสุขไปกับคนที่เขารักอย่างถาวร

“ดูคุณตื่นเต้น” ชินกฤตเอ่ยถามพร้อมยื่นตั๋วเข้าชมสำหรับชาวต่างชาติให้ขณะพากันก้าวเดินผ่านประตูวิเศษไชยศรีหรือเรียกแบบสามัญว่าประตูฉนวนวัดพระแก้ว

“ใครๆก็ตื่นเต้นกันทั้งนั้น โอ๊ะ what’s that? (นั่นอะไรน่ะ?)” คริส อู๋ชี้ไปยังรูปปั้นยักษ์สองตนที่ยืนเฝ้าหน้าประตูวัดถือกระบองเพชรทำหน้าที่เหมือนทวารบาล ปกป้องปูชนียสถานด้วยสีหน้าค่อนข้างดุร้าย

“คุณคริสอาจจะยังไม่รู้ นี่คือยักษ์สองในสิบสองตนที่คอยทำหน้าที่เสมือนทวารบาล ผู้รักษาการณ์ประจำวัดพระแก้ว ยักษ์ตนสีขาวคือสหัสเดชะ และตนสีเขียวคือทศกัณฐ์”

“อ้อ ผมรู้จักทศกัณฐ์ หนึ่งในตัวหลักของละครโขนที่บริษัทคุณจัดแสดงใช่ไหม”

“ใช่ครับ”

“เห็นแบบนี้นิสัยคงดุร้ายน่าดู”

“ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทวดาหรือสัตว์อสูรล้วนมีทั้งด้านดีและด้านร้าย สิ่งที่คุณเห็นมันก็แค่ด้านหนึ่งของเขาเท่านั้น ถ้าหากคุณคริสรู้จักตัวตนของเขาจริงๆแล้วล่ะก็จะไม่พูดอย่างนี้เลย”

“ผมควรเชื่อคุณ”

ข้าควรเชื่อคำเจ้า...

“พญาครุฑที่ใครต่อใครว่าเป็นเทพจิตใจดีหนักหนาสุดท้ายก็ยังกล้าทำเรื่องเลวร้ายไม่มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป แล้วใยยักษ์อย่างพวกผมจะผันตัวเป็นคนดีบ้างไม่ได้”

“เดี๋ยวนะ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่คุณพูดสักเท่าไร่ แล้วพญาครุฑคืออะไร”

ชินกฤตแสร้งยกกล้องเดินถ่ายรูปตามจุดต่างๆของวัด ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนครุ่นคิดตามลำพัง แต่ทว่ายังไม่ทันจะก้าวไปไหนไกลแข้งขากลับไร้เรี่ยวแรงฉับพลัน ทรุดฮวบลงไปนอนกุมหัวใจ เบิกตาค้างบนพื้นอิฐมอญ เจ็บ...เจ็บเหมือนมีใครเอาของแหลมคมมาทิ่มแทงลึกถึงหัวใจ

“เฮ้ ครีด คุณเป็นอะไร ได้ยินผมหรือเปล่า ครีด!”

รูม่านตาขยายใหญ่ โลกในปัจจุบันของรากษสหนุ่มดับวูบ สติโรยตัวสู่ห้วงแห่งความมืดมิด หากมีบางอย่างกระจ่างขึ้น...
ม่านไหมสีแดงปักเลื่อมดิ้นทองเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นฉากยิ่งใหญ่อลังการภายในพระราชวังกรุงลงกาแห่งพญารากษสผู้เกรียงไกร ผู้ชมต่างพากันปรบมือยามร่างสูงใหญ่ของทศกัณฐ์และพระรามปรากฏแก่สายตา สองราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ ณ ดินแดนอันไกลโพ้นยืนประจันหน้ากันโดยมีกายาสะโอดสะองของนางสีดายืนร่ำไห้อยู่ระหว่างกึ่งกลาง ฝ่ามือนวลนางสั่นระริก กำบางสิ่งบางอย่างไว้แน่นจนสิ่งนั้นบาดลึก เลือดไหลซึมหยดลงพื้นเม็ดแล้วเม็ดเล่า

‘ทำไมถึ....ง....นี้’

‘...ย่.....เด็ด..ข..ด!’

‘ผม...........แล้ว.....’

ริมฝีปากแดงสดคลี่ยิ้มเศร้า หยาดน้ำตาเม็ดใสไหลรินผ่านพวงแก้มจรดคางมนและหยดลงสู่พื้นเบื้องล่างแตกซ่านกระเซ็นเฉกเช่นดวงตาที่เจ็บปวดของพระราม

‘เรื่องขอ...เ...รา.....จ....ลง.....’

‘ไม่!’

‘ลา....น......’

‘ใจ......พี่.......น้....อ....ง’

‘พระบิดา!’

‘อย่.....ทิ.....พี่....ยอด.....ก....’

‘พี่รักเจ้า...’

‘ไม่.....................!!!!’




‘เฮือก!’

“เฮ้ ครีด! คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ลืมตาสิมาบอกผมสิ ครีด! Well...excuse me miss...Hey! You there! There’s been an accident, please call... (เอ่อ...ขอโทษนะครับคุณ...เฮ้! คุณคนนั้นน่ะ ตรงนี้เกิดอุบัติเหตุช่วยเรียก...)”
ดวงตาของชินกฤตเริ่มพร่าเบลอ สติการรับรู้ต่างๆพากันสูญสลาย พร่าเลือนจนผิดเพี้ยน เสียงรอบข้างหรี่เบาลงทีละนิดอย่างเชื่องช้า ความคิดสุดท้ายผุดขึ้นมาในสมองก่อนสติดับวูบลง


หรือนี่จะคือจุดจบของเรื่องราวทั้งหมด?



“แม่ว่ายังไงนะครับ ปู่เหนือติดต่อให้เปรมกลับไปเล่นบทนางสีดาเรื่องหทัยทศกัณฐ์อีกรอบหนึ่ง? ...ทำไมทางกรมศิลป์ถึงได้จัดรอบแสดงใหม่ล่ะ” คิ้วเรียวขมวดมุ่น ปกติเมื่อละครโขนเรื่องใดก็ตามที่ทำการแสดงจนครบรอบที่ผู้จัดกำหนดเอาไว้ก็จะไม่นำมากลับมาแสดงซ้ำอีก นอกเสียจากมีการเปลี่ยนแปลงบทที่ต่างไปจากเดิมหรือไม่ก็เป็นความต้องการของผู้ชมที่เรียกร้องกันเข้ามา แต่ทว่า...จำนวนความต้องการนั้นห้ามต่ำกว่า 75% ซึ่งถ้าจะหาเหตุผลใดมารองรับ ข้อแรกก็น่าจะเข้าเกณฑ์มากที่สุด

“แม่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดมากนัก เห็นบอกแค่ว่าทางผู้จัดคนใหม่...คุณชินกฤตนะจ๊ะอยากจะนำหทัยทศกัณฐ์กลับมารีรันอีกรอบเพราะเห็นกระแสตอบรับจากเหล่าแฟนคลับโขนทุกช่วงวัยค่อนข้างดีไปถึงดีมาก รวมไปถึงบทละครนักแสดงบางส่วนที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน”

ดวงดาวรินน้ำจากเหยือกที่เพิ่งเอาออกมาจากตู้เย็นใส่แก้วของตนและลูกชาย รับจานข้าวเหนียวมะม่วงโรยถั่วทองน่ารับประทานจากเด็กรับใช้ในบ้าน หย่อนกายนั่งลงด้านข้าง

“ตัวท่านครูเองก็ไม่ได้อยากรบกวนลูกหรอกนะแต่ฝั่งผู้จัดเขาเนี่ยสิบังคับมาว่าคนที่จะเล่นเป็นนางสีดาต้องเป็นเปรม เปมทัตเท่านั้น แม่ก็ไม่รู้จะตอบยังไงดีก็เลยวางสายจากท่านมาถามลูกก่อน”

“แล้วปู่เหนือพูดอะไรอีกไหมครับ”

“ถ้ารับเล่นก็ให้จัดกระเป๋าเสื้อผ้าไปนอนค้างที่โรงละครได้เลย เพราะงานนี้เป็นงานเร่ง มีเวลาซ้อมแค่เดือนเดียวเพราะฉะนั้นเปรมของแม่จะไม่สามารถกลับมาพักที่บ้านในช่วงสุดสัปดาห์ได้จนกว่างานทุกอย่างจะจบลง”

ฟันขาวขบริมฝีปากล่างของตนอย่างครุ่นคิด ยังมีบางสิ่งที่เขาไม่เข้าใจอยู่

“แม่ไม่สงสัยบ้างหรือครับว่าทำไมจู่ๆคุณกฤตถึงเอาหทัยทศกัณฐ์กลับมารีเมคใหม่ทั้งที่มันเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงห้าเดือนดี เปรมเข้าใจนะว่ามีคนเรียกร้องอยากดูอีก แต่เท่าที่ติดตามและดูโขนมาโดยตลอดชีวิต เปรมยังไม่เคยเห็นละครโขนเรื่องไหนเปิดรอบการแสดงใหม่เร็วเท่าเรื่องนี้อีกแล้ว”

“ในเมื่อได้รับผลตอบรับมากมายขนาดนี้ คนลงทุนก็อยากเพิ่มเวลาเพิ่มรอบแสดงกันทั้งนั้น ถ้ามันทำแล้วเกิดผลกำไรมหาศาลเป็นแม่แม่ก็ทำนะ”

“งั้นเหรอครับ แต่สำหรับเปรมมันแปลกๆยังไงพิกล”

“แล้วสรุปเราจะรับเล่นเหมือนเดิมหรือว่าปฏิเสธล่ะหือ?” ผู้มากด้วยวัยเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“ก็คงต้องเล่นแหละครับ ย้ำชื่อเปรมซะขนาดนี้ไม่รับเล่นก็คงไม่ได้” หยิบส้อมจิ้มไปที่ชิ้นมะม่วงสุกสีเหลืองทองน่ารับประทานเข้าปากหนึ่งคำตามด้วยข้าวเหนียวมูลรสชาติกลมกล่อม “อีกอย่างถ้าเปรมปฏิเสธนะแม่ ร้อยทั้งร้อยปู่เหนือก็ต้องหาวิธีให้เปรมกลับไปรับบทนางสีดาอยู่ดี”

“ผู้ใหญ่เขาเห็นแวว เขาเลยสนับสนุน ไม่ชอบหรือไง”

“ชอบนิดหนึ่ง”

“เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย” คนมากวัยไม่พูดเปล่า ยกมือขึ้นบีบแก้มลูกชายตัวเองอย่างหมั่นเขี้ยว

“โอ้ยแม่เจ็บนะ”

“เจ็บสิดี...อ้อ ตอนเย็นทำตัวให้ว่างเข้าไว้นะเปรม เดี๋ยวแม่กับยายจะนั่งดูแล้วก็ทวนท่ารำตัวนางให้”

“แม่รีบหรือครับ”

คำตอบของลูกชายเล่นเอาคนเป็นแม่ถึงกลับตวัดสายตามอง หันมาเท้ายืนสะเอวอย่างนึกเอาเรื่อง “แล้วจะฝึกไหมล่ะ ถ้าไม่อยากฝึกก็ไม่ต้องฝึก คงหวังดีจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”

“โธ่ ก็ต้องฝึกสิครับ ครูดวงดาวผู้มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วประเทศไทยคิดจะฝึกรำให้ทั้งที ใครไม่ตอบตกลงก็บ้าแล้วเนอะแม่เนอะ”
อดไม่ได้ที่จะตีลงเนื้อแขนเนียนเบาๆ ยกมือบีบแก้มนุ่มนิ่มของลูกชายด้วยความหมั่นเขี้ยว “เดี๋ยวเถอะเจ้าเด็กคนนี้...แม่ไปทำกับข้าวก่อนแล้วกัน ถ้าเสร็จเมื่อไหร่จะให้สุดามาตาม นุ่งผ้าแดงรอไว้เลย เข้าใจไหม”

“ครับคุณผู้หญิง”

รอยยิ้มค่อยๆหุบลงอย่างแช่มช้าเมื่อร่างของผู้เป็นแม่หายลับไปจากคลองสายตา เปรมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก...ระหว่างผินมองไปทางฝั่งห้องนอนของตนเอง สถานที่เก็บสิ่งสำคัญที่ได้มาจากบ้านของราเมนทร์ หัวใจก็พลันหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม...

ถึงเวลาที่ตัวเขาต้องทำมันจริงๆแล้วสินะ...


หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๔ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 28-01-2017 10:45:13



แม้จะอยากปฏิเสธสิ่งที่นางสีดาขอร้อง แต่ทว่าเมื่อรับปากไปแล้ว สัจจะวาจาบุรุษก็มิอาจเปลี่ยนแปลงได้เพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง

ไม่ว่าจะมนุษย์ เทพหรือสัตว์เดรัจฉานล้วนแล้วแต่มีกรรมเป็นแดนเกิด

และอันตัวเขาที่มีเวรกรรมเป็นผู้ติดตาม ก็จำต้องชดใช้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตทั้งชีวิตก็ตาม!



เปรมก้าวลงจากรถที่ยืมแม่มาใช้หลังจากแล่นเข้าไปจอดในบริเวณลานจอดรถเฉพาะของทีมงานและนักดนตรี นักแสดงของทางกรมศิลป์ ร่างบางเหลียวมองสรรพสิ่งที่คุ้นเคยอย่างช้าๆและเนิ่นนาน

เรื่องราวมากมายล้วนเกิดขึ้น ณ สถานที่แห่งนี้ ทั้งการเป็นผู้ชายคนเดียวที่มีโอกาสได้รับบทเด่นเป็นนางสีดา มิตรภาพอันดีระหว่างพี่น้อง ครูลูกศิษย์ และ...การได้พบกับผู้ชายสองคนที่รักเขามากที่สุด ภายนอกโรงละครแห่งชาติอาจมีเปลี่ยนแปลงไปบ้าง หากภายในยังคงตกแต่งเช่นเดิมประดุจวันแรกที่ก้าวเข้ามา

เปรมสูดลมหายใจเข้าลึก เดินเข้าไปยังห้องซ้อมรำที่มีคนจำนวนไม่น้อยตั้งใจฝึกฝนอย่างเงียบเชียบ โจงประเบนสีแดงเข้มคาดด้วยเข็มขัดนาคและเสื้อคอบัวสีขาวขยับยามเจ้าของร่างยกเท้าขวาเหนือพื้น วงแขนมีน้ำมีนวลยกตั้งฉากพร้อมมือซ้ายจีบปรกข้าง มือขวาจีบหงาย แขนตึงระดับไหล่และเอียงศีรษะไปทางขวา

“ดี...อย่างนั้นล่ะจ๊ะ...หนูนา เข็มทิศเธออย่าเกร็ง บิดตัวมาด้านขวาอีกนิด นั่นแหละดีมาก...อ่ะ เอาใหม่อีกรอบนะ”

“จ่ะ โจ้ง จ่ะ ทิง โจ้ง...ง...ง ทิง....กานดา อย่ายกเท้าสูงแบบนั้น มองดูตัวเองในกระจกด้วย เฮ้อ มีสมาธิกันหน่อย สอนอะไรไม่ค่อยจะจำกันเลย เอ้า เริ่มใหม่”

“นี่ อัปสรย่อตัวลงอีก พวกเธอฟังฉันบ้างหรือเปล่าหือ...โอ้ยเด็กพวกนี้สู้พ่อเปรมไม่ได้เลยสักนิด”

“จริงเหรอครับครูจันทร์”

สตรีวัยกลางคนหยุดชะงักกลางคันก่อนหันหลังไปตามเสียงเรียกตรงประตูทางเข้า พยายามเอาชนะความพร่ามัวในสายตาที่ถดถอยไปตามวัยด้วยการเพ่งมองผู้มาเยือนจนคิ้วขมวด

“พ่อเปรม?”

“ไม่เจอกันนานครูจันทร์ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะครับ” คนพูดเอ่ยวาจาประจบประแจงกับผู้มากวัยกว่าพร้อมก้มหัวยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อ้อมกอดและรอยยิ้มอันอบอุ่นจากหญิงวัยสามสิบปีเศษ เปรมอดไม่ได้ที่จะยกวงแขนกอดรัดตอบชั่วครู่หนึ่ง ก่อนผละตัวออก...ฝ่ามือขาวมีริ้วรอยเล็กน้อยลูบแก้มข้างหนึ่งของเขาอย่างอ่อนโยน

“ครูดีใจที่พ่อเปรมกลับมา”

“ผมก็ดีใจเช่นกันครับทีได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง”

“แล้วช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่”

“ผมสบายดีครับครู แต่อาจจะมีเรื่องบางเรื่องรบกวนจิตใจอยู่บ้างเล็กๆน้อย”

“ชีวิตของมนุษย์ก็แบบนี้แหละจ๊ะ มีสุขย่อมมีทุกข์ จะให้สุขอย่างเดียวหรือทุกข์อย่างเดียวก็คงไม่ใช่ที...ว่าแต่พ่อเปรมไปหาท่านปู่มาหรือยัง เห็นเมื่อครู่ใหญ่ท่านก็เดินมาบ่นๆว่าเมื่อไหร่ลูกศิษย์คนโปรดจะมาเสียที”

“ยังเลยครับ ว่าจะมาทักทายครูจันทร์คนสวยให้หายคิดถึงก่อน ปู่เหนือน่ะจะหาตอนไหนก็ได้แต่ครูจันทร์ผมไม่มาหาไม่ได้” คนถูกชมฉีกฉีกยิ้มกว้าง เกิดอาการขำขันยามนัยนาสวยประดั่งลูกแก้วล้ำค่ากระพริบปริบ มองเธอราวกับเจ้าแมวตัวน้อยที่กำลังคิดออดอ้อนเจ้าของ

“ระวังท่านปู่มาได้ยินแล้วจะยุ่ง”

“ผมกลัวที่ไหนล่ะครับ ครูจันทร์ก็รู้”

“จ้าๆ พ่อลูกศิษย์คนโปรด ท่านปู่รัก ท่านปู่หลง...งั้นขอเวลาครูสอนพวกเด็กหัวขี้เลื่อยพวกนี้รำให้คล่องสักประเดี๋ยวจะได้ไหมแล้วค่อยไปพบท่านปู่พร้อมกัน”

“ตามสบายเลยครับครู ยังไงผมก็ไม่รีบอยู่แล้ว”


ชายหนุ่มผู้รับหน้าที่เป็นนายระนาดเอกขยับข้อมือบรรเลงคลอไปพร้อมกับเครื่องประกอบจังหวะอย่าง ฉิ่ง ฉาบและกลองแขก เสียงดนตรีดังเร่งเร้าทวีความฮึกเหิมมากเป็นลำดับเมื่อนักแสดงผู้สวมหัวโขนลิงและยักษ์ต่างพุ่งปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร หนุมานกระโดดหลบ ขณะอินทรชิตรากษสผู้เลือดร้อนหมายมาดฟาดคันธนูใส่ พญาวานรเผือกกอดอกยักไหล่หัวเราะด้วยท่ายียวนกวนประสาท โอรสแห่งพญารากษสหายใจฟึดฟัด เริ่มทนไม่ไหวจึงก้าวเท้าซ้ายเหลื่อมไปข้างหน้า มือขวาเท้าสะเอว มือซ้ายยกขึ้นระดับใต้ใบหูพร้อมกับย่อตัวกระทืบเล็กน้อยเท้าซ้ายลงพื้นอย่างแรงเพื่อแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อศัตรูตรงหน้า...เปรมมองภาพบนเวทีด้วยสายตาชื่นชม

“คนแสดงเป็นหนุมานกับอินทรชิตยังใช่พี่เอก พี่อัฐอยู่หรือเปล่าครับครูจันทร์”

“เจ้าเก่าเจ้าเดิมนั่นแหละจ๊ะ”

“พี่เขาแสดงเก่งกว่าก่อนเยอะเลยนะครับ ดูแล้วมีอารมณ์ร่วมไม่น้อยทีเดียว”

“แต่กว่าจะได้ขนาดนี้ครูกับท่านปู่ก็แทบแย่ ทนสอนทนฝึกให้จนเลือดตาแทบกระเด็น” คนเป็นครูพูดปนยิ้ม “เวลาซ้อมก็ชอบเอาแต่เล่นจนโดนท่านปู่ลงโทษไปหลายรอบ สมกับบทลิงและก็ลูกยักษ์จริงๆ”

“นิสัยพวกพี่เขาเลยล่ะครับ”

“อ้าว พ่อเปรม” ลูกศิษย์หนุ่มแห่งกรมศิลป์หันไปตามเสียง เห็นชายชราเอามือไพล่หลังเดินเข้ามาหาโดยมีรุ่นพี่สาวอย่างนิดตามมาติดๆ เปรมยกมือประนมไหว้ทักทายทั้งสองคนอย่างอ่อนน้อม

“สวัสดีครับปู่เหนือ สวัสดีครับพี่นิด”

“น้องเปรม พี่นิดคิดถึงน้องเปรมจังเลย สีดาคนสวยของพี่” หญิงสาวเตรียมปรี่ตัวเข้ามากอด หากทว่าหน้าแข้งของบรมครูอาวุโสดันยกขึ้นขวางทางไว้พร้อมผลักหัวลูกศิษย์สาวไปหนึ่งทีจนเจ้าตัวเซถลาไปด้านหลัง

“อย่าเยอะนังนิด”

“ก็แหมท่านครูเจ้าคะ นิดไม่ได้เจอน้องเปรมมาตั้งหลายเดือนก็อยากแสดงความคิดถึงบ้างไม่ได้เลยหรือไง”

“ไม่ได้ นี่ลูกศิษย์คนโปรดของข้าห้ามใครแตะต้อง”

“ท่านครูรักลูกศิษย์ไม่เท่ากัน” คนพูดอุบอิบ “ดูท่าจะต้องรีบทำบุญใส่ตัวเยอะๆแล้วกระมัง”

“บ่นอะไรของเอ็งนังนิด แน่จริงก็พูดให้คนแก่อย่างข้าได้ยินสิวะ”

“โธ่ ท่านครูล่ะก็...”

รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนริมฝีปากของชายหนุ่มร่างผอมบางดุจเดิม ปู่เหนือเชิดหน้าหาได้สนใจในตัวลูกศิษย์สาวอีก มิหนำซ้ำยังโบกมือไล่ราวกับอีกฝ่ายเป็นแมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญ 

“ผมขอถามปู่เรื่องหนึ่งได้ไหมครับ”

“จะถามอะไรข้าล่ะ” ชายชราหันมาหลังจากไล่ตะเพิดแม่นกกระจิบแห่งโรงละครออกไปเรียบร้อย

“ทำไมถึงนำเรื่องหทัยทศกัณฐ์มาเล่นใหม่อีกรอบล่ะครับ”

“ตอนโทรไปแม่เอ็งไม่ได้บอกหรือไง” ปู่เหนือเลิกคิ้วถาม

“บอกครับ แต่ผมอยากได้ยินเหตุผลจากปากของปู่มากกว่า”

ปู่เหนือใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดชั่วครู่หนึ่ง “มันก็มีเหตุผลหลายข้อล่ะนะ หนึ่งผู้ชมรอบที่แล้วรวมถึงคนที่ยังไม่เคยดูเขาเรียกร้องให้เปิดแสดงอีกรอบ สองบทละครมีการเปลี่ยนแปลงเรียบเรียงเกือบใหม่ทั้งหมด สามนักแสดงตัวพระอย่างพระรามและยักษ์ทศกัณฐ์มีการเปลี่ยนคนใหม่เข้ามาเล่นซึ่งอีกสักพักก็คงมาถึง สี่ทางผู้จัดเขาขอร้องให้ข้าจัดรอบแสดงใหม่และพร้อมจะยอมทุ่มทุนให้กับทางกรมศิลป์อย่างเต็มที่ ถ้าเราสามารถเปิดรอบการแสดงได้ภายในเวลาที่เขาต้องการ”

“แค่หนึ่งเดือน มันจะทันหรือครับ”

“ก็นั่นแหละปัญหาใหญ่ยักษ์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีเวลาซ้อมและเตรียมตัวจริงแค่สามอาทิตย์กว่าเท่านั้น คิดว่าไหวหรือเปล่า...แต่ถึงเอ็งไม่ไหวข้าก็จะบังคับเอ็งให้ไหวเอง”

“ทำไมต้องเจาะจงให้ผมเล่นด้วยล่ะครับ คนอื่นแสดงดีกว่าผมก็มีอีกตั้งมากมาย”

“ดีกว่าแล้วอย่างไร ไม่เหมาะกับบทบาทข้าก็ไม่ให้แสดงอยู่ดี ฉะนั้นเอ็งก็ยอมเล่นบทตัวนางต่อเถอะ อีกอย่างข้าแก่แล้ว ข้าเหนื่อย”

“ผมปฏิเสธไม่ได้?”

“ถูกต้อง”

คนเป็นลูกศิษย์กัดปากยืนยิ่ง...เรื่องซ้อมหนักมีเวลาเตรียมตัวแค่หนึ่งเดือนก่อนเริ่มการแสดงเขาไม่มีปัญหาหรอก เพียงแต่ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมชินกฤตต้องเร่งรัดให้มันเร็วขนาดนี้ 

“ตกลงเอายังไง”

“ก็เตรียมกระเป๋าเสื้อผ้ามาแล้วนี่ครับ ไม่รับเล่นก็คงมาเสียเที่ยว”

“ปัดโธ่ เจ้าเด็กคนนี้ปล่อยให้ข้าใจไม่ดีอยู่นานสองนาน นิสัยกวนเบื้องล่างถอดแบบจากไอ้ไม้ไม่มีผิด”

คนร่างบางหัวเราะในลำคอเบาๆและถามต่อ “แล้วเนื้อเรื่องที่ว่ามีการเปลี่ยนแปลง ลดลงหรือเพิ่มขึ้นเยอะไหมครับ”

“ไม่เยอะเท่าไหร่หรอกจ๊ะพ่อเปรม แค่เปลี่ยนช่วงท้ายจากที่นางสีดาย้ายกลับไปอยู่กับพระรามที่กรุงอโยธยาครั้นสำเสร็จศึกชิงนางสีดาคืนจากทศกัณฐ์ เพิ่มให้เป็นนางสีดาวางอุบายร่วมกับพิเภกเพื่อกลับไปหาทศกัณฐ์ที่กรุงลงกาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะเกิดศึกชิงนางครั้งที่สองที่เป็นเหตุให้ทศกัณฐ์ต้องตายเพราะโดนหนุมานขยี้กล่องดวงใจแหลกสลายไปในอากาศ”

“!”

นะ...นี่มัน

“ใครเป็นคนเพิ่มบทใหม่หรือครับ” เปรมถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“โอ๊ะ นั่นไงมากันพอดี”

ลมหายใจขาดห้วงลงกะทันหันยามหางตาเหลือบเห็นชายหนุ่มตระกูลอมาตยสูรทั้งสามคนก้าวเท้าเข้ามายืนตรงหน้า ขอบตาบอบบางร้อนผ่าว ร่างกายเกิดอาการเกร็งเฉียบพลันเมื่อสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมายังตนอย่างไม่ลดละ เป็นอีกครั้งที่เปรมต้องระงับความสั่นไหวในหัวใจ ค่อยๆช้อยสายตาไล่มองกลุ่มผู้มาใหม่ทีละคนจนหยุดลงที่คนสุดท้าย ‘นิ่ง’ และ ‘นาน’ นับอึดใจ

“เปรม...”

บางครั้ง หมื่น แสน ล้านคำพูด…ก็มิอาจเทียบเท่าหนึ่งความนัยแห่งดวงตาที่สามารถกล่าววาจาแทนความรู้สึกที่ซ่อนลึกอยู่ในห้วงจิตใจของคนสองคน

“เอ็งน่าจะรู้จักคนพวกนี้ดีอยู่แล้วใช่ไหม คุณชินกฤตเป็นผู้เพิ่มบทใหม่ให้กับเรื่องหทัยทศกัณฐ์และจะมาช่วยข้าดูการซ้อมและแก้ไขบทตลอดหนึ่งเดือนเต็ม”

เปรมละสายตาคนคนนั้น ก่อนหันไปส่งยิ้มให้ชินกฤต

“สวัสดีครับคุณกฤต”

“ดีใจที่ได้เจอกัน ขอบคุณที่ยอมตอบรับคำชวนของผมนะ”

“ยินดีครับ”

“ผมเองก็เช่นกัน”

“มาจนได้ไอ้ตัวจอมวายร้าย” รณพักตร์เบ้ปากมองบน

ราเมนทร์ก้าวขายาวประชิดกายบางของเปรม วงแขนแข็งแรงกระชับเอวน้อยแนบแน่นเพื่อบอกให้ใครต่อใครได้รู้ทั่วถ้วนว่าคนผู้นี้คือคนรักของเขา นัยน์ตาหวานลุกโพล่งตกใจ

“พะ...พี่ราม”

“ไม่เห็นบอกพี่เลยนะคะว่าจะมาที่นี่”

“ก็เปรม...”

“ก็เปรมคิดว่าตัวโกงอย่างพี่ไม่สมควรที่จะรู้ไง เลยไม่ได้บอก...เปรมจะพูดอย่างนี้ใช่ปะ” รณพักตร์ตอบแทนพร้อมดึงเพื่อนตัวออกจากมือปลิงของร่างสูง ยักคิ้วท้าทายอีกนิดก่อนจะดันเปรมไปยืนใกล้ๆกับอสุเรนทร์ คนร่างบางถึงกับสะดุ้งเมื่อนิ้วอุ่นสัมผัสเนื้อแขนเล็กน้อย

“รู้สึกเป็นเกียรติที่คุณรามตอบรับคำเชิญของผม”

ราเมนทร์พ่นลมหายใจไม่พอใจ ตวัดสายตาดุดันหันกลับมาคุยกับผู้จัดคนใหม่ที่มาแทนที่อสุเรนทร์ “อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากมารับบทตัวพระตัวนี้สักเท่าไหร่ แต่ได้ยินข่าวเปรมของผมเขาจะมารับเล่นเรื่องนี้ด้วยก็เลยถือโอกาสมาดูแลอย่างใกล้ชิดเสียหน่อย เพราะเดี๋ยวเกิดวันดีคืนดีดันมีพวกแมลงผู้บางตัวคิดมาแย่งเขาไปจากผม ผมจะแย่เอาได้”

“โอ้โห มั่นมาก หน้าต้องหนาเท่าไหร่เนี่ยถึงจะพูดประโยคนี้ออกมาได้ มีความกล้าเนอะทั้งที่แย่งของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ข้าน้อยขอคารวะพร้อมติดแฮชแท็ก #แบบนี้ก็ได้เหรอ ให้เลยว่ะ”

“เจ้าอิน หุบปากน่า” ชินกฤตปรามหลานชาย

“What did I say wrong? (ผมพูดอะไรผิดเหรอ?)”

“พี่รามครับ หมายความว่าไง...สรุปพี่จะมารับบทพระรามแทนพี่พจอย่างนั้นหรือ”

“ใช่”

“ถ้าอย่างนั้น...” เปรมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแห้งหายกว่าปกติ ปรายตาไปยังอสุ-เรนทร์ที่ยืดกาย อกผายทรงสง่าราวราชนิกูลผู้สูงศักดิ์

“ใช่ ฉันคือทศกัณฐ์”






หลังจากหายไปหลายวัน เดี๋ยวเราจะมาลงชดเชยอีกตอนให้ช่วงค่ำๆนะคะ
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 28-01-2017 13:14:01
ตกลงพ่อเปรมเจออะไร แล้วตอนจบที่กฤตเห็นมันเป็นแบบไหน โอ้ยยยยยค้าง :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 28-01-2017 16:33:55
ใจไม่ดีเลยอ่ะ จะเกิดอะไรกับน้องเปรมงั้นเหรอ ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 28-01-2017 18:02:54
เราว่าภาพที่กฤตเห็นต้องเป็นเปรมขยี้ไม่หัวใจสีดาก็ของทศกัณฐ์นี่แหละ แน่ๆ #โคนัน
ในบทน่าจะไม่สีดาก็พี่ทศที่ตาย
ว่าแต่ เปรมไม่รู้สึกขยะแขยงบ้างเหรอ ปล่อยให้ผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่ผัวมาจับนั่นจับนี่ งง :hao6:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๔ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 28-01-2017 20:46:45

โอ๊ย......

ปวดใจ

มันหน่วงใจ

รอขอรับ

หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ครึ่งแรก (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 28-01-2017 22:38:04
เอาล่ะค่ะ ตอนนี้ทุกคนจะได้รู้แล้วว่าน้องเปรมกำลังจะทำอะไร

ปล. น้องไม่ได้ถึงกับขยะแขยง แต่ส่วนลึกน้องก็ไม่ชอบหรอกค่ะที่ผู้ชายคนอื่นน้องจากผัว เอ้ย สามีจับต้องตัวเอง แต่ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อให้แผนที่ตัวเองตั้งไว้สำเร็จลุล่วงแค่นั้นเอง โอเค้





ตอนที่ ๒๕





วงมโหรีโบราณบรรเลงท่วงทำนองเพลงหน้าพาทย์ ต้นเข้าม่าน  ยามร่างผอมบางของนักแสดงตัวนางกรีดกรายร่ายรำออกมาจากทางด้านหลังฉากกั้นมหึมา ตามติดด้วยตัวพระร่างสูงโปร่งผู้องอาจเดินเข้ามาประชิดกายหอม แขนแข็งแรงตั้งฉากจีบหงาย อีกมือหนึ่งท้าวสะเอว ย่อตัวเอียงคอมองอีกฝ่ายที่กำลังอยู่ในท่าเขินอายด้วยความหลงใหล...ในสายตาคนอื่นอาจดูเป็นภาพที่สวยงาม น่าแลชม ทว่าสำหรับอสุเรนทร์แล้ว มันช่างเป็นภาพที่กัดกินหัวใจให้ยับย่อยไม่มีชิ้นดี

พญารากษสในชุดเสื้อคอกลมสีขาวนุ่งโจงกระเบนสีแดงเฉกเช่นนักแสดงท่านอื่นๆ กอดอกทอดสายตามองคนสองคนบนเวทีด้วยความไม่ชอบพอ...

กี่สัปดาห์ กี่วัน กี่คืน กี่นาที กี่วินาทีแล้วที่เขาต้องทนดูน้องน้อยจับมือถือแขน พูดคุยหยอกล้อ หัวเราะกับมันผู้นั้นอย่างสนุกสนาน ยิ่งใครต่อใครต่างพากันชื่นชมแสดงความยินดีกับความรักของทั้งคู่ อสุเรนทร์ก็ยิ่งทำใจยอมรับภาพบาดตาเหล่านั้นได้ลำบากกว่าเดิม

รอยยิ้มที่เขาเคยได้รับ...กายเนียนนุ่มส่งกลิ่นกำจายหอมประดั่งคุลาพ อันหอมหวนชวนหลงใหล ดวงตาเรียวหวานสุกสกาวราวดวงดาราบนฟากฟ้าก็มิปาน บัดนี้อสุเรนทร์กลับได้แค่ชะเง้อมองอยู่ห่างๆด้วยสายตาขุ่นขึ้ง หากในตอนนี้จะเปรียบเขาเหมือนกระไรสักอย่างก็คงเปรียบเป็นธาตุอากาศที่อีกฝ่ายไม่คิดสนใจ ไม่เห็นคุณค่าและไม่แม้แต่จะชายตาแลสักครา

สุดท้ายก็เป็นได้แค่ตัวร้ายที่ถูกนางอันเป็นที่รักทอดทิ้งอย่างไร้เยื่อใย...

เหตุใดต้องมาจู๋จี๋กันต่อหน้า แค่นี้พี่ยังเจ็บให้น้องเห็นมิมากพออีกรึ

ต้องก้มหน้าลงมองฝ่ามือตนด้วยความรู้สึกปวดร้าวเสมือนมีนามอันแหลมคมเสียดแทงเข้าไปในหัวใจ ยิ่งสั่งให้ลืม ให้ทำใจ มันก็ยิ่งฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำมากกว่าเดิม

ถ้าอสุเรนทร์ต้องสิ้นใจ ก็คงสิ้นใจตามลำพังโดยไม่มีคนรักอยู่ดูใจเป็นแน่แท้

“มานั่งเล่นเอ็มวีอกหักอะไรตรงนี้คนเดียวล่ะหือคุณทศ ประเดี๋ยวต้องไปซ้อมฉากพระรามชิงนางสีดากลับคืนสู่กรุงอโยธยาแล้วนะ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเมื่อมีเสียงทักดังจากด้านหลัง เห็นบรมครูชั้นเอกแห่งกรมศิลป์ที่ไม่รู้เดินมาตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ยืนเอามือไพล่หลังยืนนิ่ง

“ฟังกระผมอยู่หรือเปล่า”

“ผมมันเป็นได้แค่ไอ้ยักษ์ที่ไม่มีค่าในสายตาเขาเลยสินะ”

“หืม ว่าอะไรนะคุณทศ”

พญารากษสเกยคางลงบนแขนตัวเองเหนือพนักเก้าอี้ ทอดถอนใจอย่างเป็นทุกข์

“ให้คิดถึงเพียงใดใจจะขาด      ก็มิอาจไปตามความคิดถึง
ห้ามมาหาแต่อย่าห้ามความคะนึง   จะดื้อดึงโดยถ้อยร้อยรำพัน
คิดเสมอเมื่อใจใฝ่ถึงเขา             สายตาเศร้าเฝ้าเตือนว่าเหมือนฝัน
แววอาวรณ์อ่อนหวานผสานกัน      เหมือนจำนรรจ์จำนนท้นอาลัย
จะตัดพ้อต่อว่าประสารัก            ใจก็ทักท้วงห้ามตามวิสัย
จงมองตาตาจะเตือนว่าเหมือนใจ   ถ้าแจ้งได้ก็จะแจ้งไม่แฝงเงา
รู้ทั้งรู้ว่ารักจักให้ทุกข์         ใจยังรุกเร้าหลอกให้บอกเขา
ช่างไม่เข็ดหรือไรนะใจเรา      เขามีเจ้าของแล้วในแววตา”


“พุธโธ่...มาเป็นกาพย์กลอนกันเลยทีเดียว” ปู่เหนือถึงกับเลิกคิ้วเกากบาลด้วยความงงงวย ประธานหนุ่มรูปหล่อที่ผันตัวมาเป็นคนโขนและเจ้าบทเจ้ากลอนแทนผู้จัดการแสดงนั่งตีหน้าเศร้า (เกือบ) เคล้าน้ำตา แววตัดพ้อฉายชัดอยู่ในดวงแก้วดำขลับทั้งสองข้าง กำลังทอดไปยังลูกศิษย์คนโปรดของเขาอย่างไม่มีปิดบัง

บรมครูแห่งนาฏกรรมไทยมองอสุเรนทร์และหลานชายของเพื่อนเก่าผู้ซึ่งรับบทเป็นนางสีดาสลับกันไปมา...ถึงตัวเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนักเกี่ยวกับสองคนนี้เลย...หรืออาจจะสามถ้ารวมถึงพ่อราเมนทร์ประธานบริษัทจิวเวอร์รี่เข้าไปด้วย แต่ทว่าแววตาที่อสุเรนทร์ส่งไปให้คนอ่อนวัยกว่านั้นมันมีแต่ความอาลัย น้อยอกน้อยใจ เต็มไปด้วยความเจ็บปวด...ต่อให้เป็นชายแก่สติเลอะเลือนหรือคนโง่สมองทึบ ก็ยังรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อสีดาน้อยกับบุคคลตรงหน้ามันต้องไม่ธรรมดาเฉกเช่นคนรู้จักทั่วไปเป็นแน่

“คุณทศรักเจ้าเปรมมันหรือ”

“สำหรับผมคำว่ารักยังมีค่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำ”

“แต่เจ้าเปรมมันเป็นแฟนประธานจิวเวอร์รี่คนนั้นไม่ใช่เหรอ หรือกระผมเข้าใจผิดไป”

“ก็ถ้ามันไม่แย่งเปรมไปจากผม มันคงไม่มีสิทธิ์ยืนอยู่ข้างเปรมในฐานะนั้น” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ควรเป็นผมมากกว่าที่ต้องยืนตรงนั้นข้างๆเขา”

“แล้วคุณทศไปทำอะไรให้เจ้าเปรมมันโกรธล่ะครับ ลูกศิษย์กระผมใช่ว่าจะโกรธคนง่ายเสียเมื่อไหร่ บางทีหากคุณทศพยายามทำให้เขาเห็นความรัก ความจริงใจ ซื่อสัตว์ต่อเขาอีกสักนิด อะไรๆก็อาจจะดีขึ้นก็ได้”

“มันไม่มีประโยชน์หรอกท่านครู” คนพูดทำท่าสิ้นหวัง “เพราะถ้ามันได้ผลจริง เปรมก็คงยอมให้อภัยและกลับมาหาผมนานแล้ว แต่เขาก็เลือกที่จะไม่กลับมา”

“โธ่คุณขอรับ ไม่กลับมาก็ใช่ว่าจะหมดรักเสียเมื่อไหร่”

“ท่านครูหมายถึง...”

“ฮ้อ กระผมล่ะปวดกบาลกับปัญหาชีวิตรักวัยหนุ่มสาวนัก คุณทศก็เอาแต่นั่งเศร้าคิดน้อยใจอยู่อย่างเดียว ส่วนเจ้าเปรมก็เอาแต่เมินหน้าหนีทั้งที่เวลาคุณทศไม่อยู่ก็คอยชะเง้อมองหาตลอด...คราแรกกระผมก็งงว่าจะแอบมองกันทำไม...ที่แท้เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้เอง”

“เปรม...เขาแอบมองผมจริงเหรอครับท่านครู” ดวงเนตรคมก่อประกายมีความหวัง รอยยิ้มดีใจผุดขึ้นบนริมฝีปากหยักตึงอีกครั้ง...

“ไม่เชื่องั้นสิ”

“...”   

“งั้นลองหันไปดู”

และมันก็เป็นไปตามชายชรากล่าวทุกประการ เมื่อดวงเนตรคมแห่งราชันย์ได้สบเข้ากับนัยนาหวานล้ำอย่างจัง อีกฝ่ายดูเหมือนจะตกใจพอควรที่เขาหันมาเห็น ก่อนจะรีบหันกลับไปแต่ทว่ามิวายชายตาแลเขาผ่านทางหางตา...น่ารักน่าชังเหลือเกินยอดรักของพี่
 
“ยิ้มได้ขึ้นมาทันทีเลยนะท่านพญารากษสทศกัณฐ์” บรมครูอาวุโสกลอกตาละเหี่ยใจ “เอาล่ะไหนๆคุณท่านก็อารมณ์ดีขึ้นแล้ว ก็ช่วยจรลีไปซ้อมฉากปะทะกับพระรามสักทีเถอะ มีเวลาว่างก็ค่อยไปออดอ้อนออเซาะเจ้าเปรมมันแล้วกัน หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นตัดพ้อ น้อยใจ เชื่อเถิดได้ผลชะงักเพราะตอนเมียกระผมโกรธ กระผมก็ใช้วิธีนี้อยู่บ่อยๆ แต่เอ๊ะ! เจ้าเปรมมัน...”

“งั้นผมคงต้องหาเวลาไปง้อเมียอย่างที่ท่านครูว่าล่ะนะ”

“เดี๋ยวนะ”

“ครับ?”

“สรุปเจ้าเปรมมันเป็นเมียคุณแล้วเหรอ”

“ครับ เมียแท้ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์” อสุเรนทร์เอ่ยออกมาอย่างหน้าตายราวกับเรื่องที่พูดเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทำเอาคนฟังกระพริบตาปริบๆ นิ่งอึ้งไปต่อไม่ถูกครึ่งค่อนนาทีทีเดียว

“ละ...แล้วพ่อแม่...ไม่สิ ไอ้ไม้ ไอ้เสมามันรู้เรื่องไหม”

“รู้ครับ ทุกคนในครอบครัวเปรมรู้ทุกอย่าง” แม้กระทั่งความจริงที่ว่าเขาคือทศกัณฐ์

“แล้วพวกนั้นไม่ว่า?”

“ทำไมต้องโดนว่าด้วยล่ะในเมื่อผมเข้าทางผู้ใหญ่ตลอด”

“โอ้ย ถึงจะเข้าทางผู้ใหญ่ก็เถอะ แต่...แต่...ยังไงมันก็ฟังดูกระดึ๋มดึ๋ยอยู่ดี ผมรู้จักไอ้ไม้กับไอ้เสมามาก่อน มันสองตัวเกลียดพวกรักร่วมเพศยิ่งกว่าอะไรดี...แต่กลับยอมรับคุณเป็นให้เป็นผัว เอ่อ สามีของหลานมันง่ายๆเนี่ยนะ กระผมขอถามหน่อย ตอบตรงๆนะ คุณทศมีอะไรดี?”

“ก็แค่แสดงให้ทุกคนเห็นว่าผมรักเปรมจริงก็เท่านั้น ต้องทำอะไรให้ยากด้วยเหรอ”

“มะ...ไม่ต้องก็ได้...เอาเป็นว่าก็ทำวิธีที่กระผมแนะนำไปให้แล้วกัน” ชายชราถึงกับกุมขมับ “หวังว่ากระผมคงไม่โดนเจ้าประธานหนุ่มรามเทพแผลงศรใส่จนตายหรอกนะ”

“ช่วยให้คนรักกันสมหวังเท่ากับได้บุญมหาศาล แน่นอนคนดีอย่างท่านครู เทวดาย่อมคุ้มครอง” แต่ถ้าไอ้รามกล้าทำร้ายครูเหนือจริง เขานี่แหละจะจัดการมัน

“เอาเถอะ ยังไงช่วยไปแล้วนี่”

“ขอบคุณนะครับที่เข้าใจ ขอกอดที” ริมฝีปากหยักคลี่ยิ้มกว้างพร้อมกระโจนเข้าไปกอดชายชราอย่างลืมอายไม่สนใจสายตาใครทั้งสิ้น...หากต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉายังสามารถกลับมาเจริญเติบโตเขียวชอุ่มได้อีกครั้ง แล้วเหตุใดความรักอันแห้งเหือดของเขาและเปรมจะกลับมาหวานชื่นเหมือนเดิมไม่ได้

ของที่เคยเป็นของเรา ก็ต้องเป็นของเราอยู่วันยังค่ำ

ต่อให้มันโดนผู้อื่นขโมยไป เขาเนี่ยแหละจะไปเอามันกลับคืนมาเอง!




แสงทิวาเลือนลับจากขอบนภากว้างก่อนถูกแทนที่ด้วยราตรีมณี...ดวงแก้วสว่างไสวแห่งนิศากาล เคลื่อนสูงเหนือกิ่งก้านต้นไม้ใหญ่ กระแสลมยามดึกพัดโชยหวีดหวิว กระทบผิวพรรณขาวนวลลออ(ละ-ออ)ล้อจันทร์ คนร่างบางแหงนมองดวงดาราพร่างพราวเต็มท้องนภาบริเวณริมระเบียงห้องพักด้วยกิริยาภายนอกสงบนิ่ง หากทว่า...ภายในความคิดกลับไหวพล่าน...ลอยล่องราวสายธาราอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

 ‘พี่รักเปรม’ ประโยคเมื่อสองสามวันก่อนของราเมนทร์กังวานอยู่ในความคิด เฉกเช่นเดียวกับอีกประโยค...’พี่รักเจ้าเปมทัต’ หากเป็นของใครอีกคนหนึ่งที่เขาไม่สามารถลืมเลือนหรือลบล้างมันออกไปจากจากใจได้

ในชีวิตตลอดยี่สิบสองปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครคนไหนพูดประโยคเช่นนี้กับเขาเลยสักครั้ง ราเมนทร์และอสุเรนทร์...ทั้งสองทำให้เขา ‘เชื่อ’ อย่างปราศจากข้อกังขาว่าสิ่งที่ลั่นวาจาล้วนออกมาจากแก่นแท้ของหัวใจ หาใช่เพียงลมปากที่จางหายราวหมอกควัน
เพียงแต่...ฤทัยมีดวงเดียวและตัวเขาก็มิอาจรักผู้ชายสองคนพร้อมกันได้

คนร่างบางทบทวนความรู้ของตนเองนับตั้งแต่อดีตในวันวานจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเปรมมิอาจปฏิเสธความจริงที่ว่า...ราเมนทร์เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่แสนดี รักเขาไม่ต่างไปจากความรักของอีกผู้หนึ่งที่ให้เขาสักนิดเดียว ร่างสูงเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัตินานัปการที่บุรุษด้วยกันพึงเป็น หากเพราะ ‘ใจ’ มันมีแต่เพียงอสุเรนทร์เท่านั้น

ราเมนทร์คือความชอบพอ คือความรู้สึกดีที่เคยมีร่วมกันมาแต่กาลก่อน  ส่วนอีกคนไม่ใช่...ถึงตรงนี้เสี้ยวหนึ่งแห่งดวงวิญญาณนางสีดาตระหนักชัด...กับอสุเรนทร์ เป็นความรัก ความโหยหาแสนอาวรณ์

คือความทุกข์ และสุขที่ฝังแน่นในแผ่นอก!

ร่างสูงใหญ่ผิวขาวเหลืองออกคล้ำเล็กน้อย หากมีประกายเปี่ยมด้วยราศีกับรอยยิ้มแย้มละมุน...

เปรมยังคงรักพญารากษสผู้นี้เสมอ แม้จะต้องพรากจากกันไกลสุดคณานับ ฤทัยดวงน้อยก็จะยังยึดมั่นในรักนี้ตราบนานเท่านาน
คนยืนนิ่งท่ามกลางดวงจันทราและหมู่ดวงดาวเผลอยิ้ม...เป็นรอยยิ้มที่มีทั้งสุขและเศร้าเคล้ารวมกัน... เปรมขอโทษที่ต้องทำเช่นนี้ ขอโทษที่ทำให้พี่เจ็บปวด และขอโทษที่จำต้องเป็นคนปิดฉากโศกนาฏกรรมความรักระหว่างคนสามคนอย่างไม่มีวันหวนคืน
ข้อพิพาททุกอย่างมันควรจบลงเสียที

...และความคิดยังคงไหลลื่นต่อไปอีกเนิ่นนาน ถ้าไม่มีเสียงของใครบางคนแทรกผ่านความมืดมิดเข้ามาในโสตประสาท ลมหายใจสะดุดกึกชั่วแวบหนึ่ง พฤกษชาติเดียรดาษ โยกไหว ส่งกลิ่นหอมจรุงใจ

“เปรม...” น้ำคำนุ่มหูก่อกังวานในจิตใจของคนร่างบาง...ริมระเบียงข้างซ้ายพบชายร่างสูงยืนนิ่งสงบ ผินพักตร์แยงยลมาทางเขาสีหน้าด้วยแววตาสุดแสนอาวรณ์

“คุณทศ”

“ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“ผมยังไม่ง่วงเท่าไหร่”

“ไม่ค่อยได้คุยได้ทักกันเลย สบายดีหรือ”

เปรมกัดริมฝีปากล่าง สองมือน้อยที่กุมอยู่บริเวณหน้าท้องกำแน่นสั่นระริกจนเป็นข้อขาว ฝืนช้อนนัยนายิ้มตอบกลับ

“ผมสบายดีครับ”

“ราเมนทร์ดูแลเปรมดีไหม ถ้ามันดูแลเปรมไม่ดี บอกพี่นะพี่จะไปจัดการมันให้”

“...”

“ช่วงนี้ได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า ทำไมถึงผอมลงเยอะขนาดนี้ ถ้าเกิดเป็นอะไรหนักๆขึ้นมาจะทำยังไงล่ะหือ?”

“คุณ...”

“ถึงพี่จะไม่ได้อยู่ดูแลเปรมแล้ว เปรมก็ต้องดูแลตัวเองดีๆเข้าใจไหม อย่านอนดึก อย่า...”

“พอเถอะครับ”

“แต่พี่ยังพูดไม่จบ”

“ผมขอ...ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว”

อสุเรนทร์ปล่อยให้ความเงียบย่างกรายเนิ่นนาน หากสุดท้ายก็เอ่ยคำ

“ขอโทษด้วยล่ะกัน ที่พูดก็เพราะความหวังดี แต่ถ้าเปรมไม่ชอบพี่จะไม่พูดให้เปรมรำคาญใจอีก” คนพูดสูดลมหายใจ ระงับหยาดน้ำอุ่นที่คลออยู่ในเบ้าไม่ให้ไหลลงมา “ราตรีสวัสดิ์”

“คือ...คุณทศ”

“มีอะไรค่อยฝากเจ้ากฤตมาบอกพี่แล้วกันนะ ตอนนี้พี่ง่วงมากแล้วด้วย ฝันดีนะครับ”

ริ้วแห่งความรันทดเอ่อท้นขึ้นมาโดยพลัน หากเจ้าตัวกัดฟันกลืนกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะเขาจะให้น้องน้อยเห็นน้ำตาแห่งความอาดูรนี้ไม่ได้

อสุเรนทร์รีบเดินหันหลังกลับเข้าห้องพักอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจฟังเสียงเรียกที่ดังตามหลังสักพักก่อนจะเงียบหายไป เพราะรู้อีกอึดใจเดียว ทำนบแห่งน้ำตาจะพังภินท์  พญารากษสผู้น่าสงสารทรุดลงนั่งกับพื้นข้างประตูริมระเบียงอย่างหมดหวัง ความเหนื่อยล้าทางร่างกายยังมิอาจเทียบเท่าความกระปลกกระเปลี้ยทางใจสักนิด

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

เสียงทุบประตูหน้าห้องพักนักแสดงดังระรัวต่อเนื่องนานนับนาที คิ้วเข้มขมวดเลิกขึ้นเล็กน้อย ด้วยความเกรงกลัวจะไปรบกวนคนอื่นที่นอนหลับกันไปแล้วจึงรีบลุกเดินโซเซไปเปิดประตูออกอย่างช้าๆ ดวงเนตรคมพลันเบิกกว้างตื่นตะลึงยามเห็นใบหน้าของแขกผู้มาเยือนในยามวิกาล ดวงตาหวานแดงก่ำเต็มไปด้วยความโกรธ มีคราบน้ำตาประปราย

“เปรม?”

“ผมบอกหรือยังว่าผมไม่ชอบ”

“!”

“บอกหรือยังว่ารำคาญ”

“เปรม”

“และบอกหรือยังให้พี่เดินหนีเปรมไปแบบนี้”   

“แล้วการที่พี่เดินออกมาพี่ผิดตรงไหน ถามหน่อย โดนปฏิเสธขนาดนั้นใครเขาจะมีแรงสู้หน้าบ้าง ถึงพี่เป็นยักษ์ก็ใช่ว่าไม่มีจิตใจ พี่เหนื่อยและเจ็บเป็น พี่รักเปรม...รักมาก แต่ในเมื่อน้องไม่เห็นค่าของมัน ถึงสู้ต่อยังไงก็แพ้อยู่ดี”

“ไม่...พี่ไม่เคยแพ้เลยสักนิด พี่ชนะเสมอมา แต่เป็นเปรมเองที่ปิดกั้นมันมันมาโดยตลอด”

“!”

“เปรมขอโทษ เปรมมันไม่ดีเอง ขอโทษนะครับ”

คนอ่อนวัยกว่าถึงกับสะอึกสะอื้นร่ำไห้ราวทำนบแตก และเป็นอสุเรนทร์เองที่เกิดอาการตกใจ รีบคว้าตัวคนผอมบางเข้าไปในห้อง ปิดประตูลงเบามือที่สุดก่อนจะกระหวัดกอดรัด เอียงหน้าเข้าหากลุ่มผมนุ่มและจูบซับอย่างปลอบประโลม วงแขนเล็กยกขึ้นกอดแผ่นหลังกว้างตอบ ซุกซบด้วยความโหยหา

“ไม่ร้องนะ พี่ไม่อยากเห็นน้ำตาเราเลย”

“เปรมทนไม่ไหวแล้ว ฮึก เปรมอยากอยู่กับพี่ทศ เปรมไม่อยากทำมันแล้ว”

“ทำอะไรครับ ไหนบอกพี่สิคนดี”

“เปรมบอกไม่ได้ เรื่องนี้เปรมจะให้ใครรู้ไม่ได้”

“แม้กระทั่งพี่อย่างนั้นหรือ” ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าสวยที่มีคราบน้ำตาไหลอาบทั้งสองแก้ม ใช้นิ้วโป้งเกลี่ยมันออกอย่างอ่อนโยน “บอกพี่สิ พี่อาจจะช่วยเราได้ก็ได้นะ”

“ไม่มีใครช่วยได้นอกจากเปรมคนเดียว ขอร้อง ฮึกๆ อย่าบังคับให้เปรมต้องบอกอีกเลยนะครับ เปรม อึก...บอกไม่ได้จริงๆ” อสุเรนทร์ลูบหลังอันสั่นเทาของคนรักอย่างแผ่วเบา ดวงหน้าหวานแนบสนิทลงบนแผ่นอกอุ่นอยู่อย่างนั้นไม่ยอมห่าง

“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก เงียบซะคนดีของพี่”

“เปรมเหนื่อย”

“...”

“แล้วเปรมก็ ฮึกๆ คิดถึงพี่ทศด้วย คิดถึงมากเหลือเกิน”

“กอดพี่ไว้ กอดให้แน่นๆอย่างที่น้องต้องการ” วงแขนแกร่งกระชับร่างของคนรักแน่นกว่าเดิม พลางฝังจมูกสูดดมกลิ่นหอมประจำกายร่างกาย บรรจงจูบปานกุหลาบแดงหลังใบหูข้างขวาอย่างอ่อนโยน ยอดรัก...พี่คิดถึงเจ้าเหลือคณานับ โหยหาเจ้ายิ่งกว่าเพชรอัญมณีล้ำค่า ปรารถนาเจ้าเสียยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมดทั้งมวลแห่งไตรโลก

“เปรมขอโทษที่ทำให้พี่ต้องเจ็บ แต่เปรมไม่ได้รักชอบกับพี่รามอย่างที่พี่ทศเข้าใจสักนิดเดียว” คนอ่อนวัยกว่าสะอึกสะอื้น ช้อนนัยน์ตาหวานขึ้นสบเนตรคม

“แล้วน้องคบกับมันทำไม อยากทำให้พี่เจ็บบ้างเพราะเรื่องในครานั้นรึ”

“ไม่ครับ เรื่องนั้นคุณนานะอธิบายให้เปรมเข้าใจหมดแล้ว”

แม้จะงงว่าร่างบางไปคุยกับยัยวายร้ายนานะนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ หากคนมากวัยกว่าก็หาได้สนใจมันไม่ แสร้งตีหน้าบึ้งตึง น้อยใจในตัวคนเบื้องหน้า

“แต่เปรมก็ไม่ได้กลับมาหาพี่”

“เพราะเปรมอยากให้พี่ตัดใจจากเปรม” เพราะถ้าหากยังรักกันอยู่เช่นนี้ จะเป็นตัวเขาเองที่หนักใจและไม่ยอมทำในสิ่งที่นางสีดาร้องขอ

“ทำไม...ทำไมต้องบังคับให้พี่ตัดใจ ในเมื่อเราต่างรักกันดี”

“เปรมมีเหตุผล แต่เปรมบอกพี่ไม่ได้”

“บอกพี่สักนิดก็ไม่ได้เชียวหรือ”

“เพราะถ้าบอกไปพี่ต้องไม่ยอมให้เปรมทำแน่ๆ ขอร้องล่ะครับอย่าถามเหตุผลจากเปรมอีกเลย” วิธีและน้ำคำที่แสดงให้อสุเรนทร์รู้ว่า ถึงจะพูดอย่างไรก็คงไม่สามารถโยกคลอนความคิดของเจ้าตัวได้อีก ฉะนั้นเขาจึงพยักหน้ารับเบาๆ กดหัวอีกฝ่ายให้แนบลงกับลาดไหล่ตน

เปรมหลับตาลงด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ประดังกันเข้ามา กอดกระชับกับเอวหนาแน่นขึ้น

“เปรมรักพี่ทศ”

“...”

“ไม่ว่าอย่างไรก็รักเสมอมา”

หัวใจพญารากษสพองโต มุมปากขยับยิ้มกว้างที่สุดตลอดรอบเกือบสองเดือน “พี่ก็รักเจ้านักน้องน้อยเอ๋ย ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ขอได้ไหม ขอแค่ตอนนี้มีเพียงพี่ มีเปรม แลมีแค่เราสองคนที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขก็พอ”

ร่างในอ้อมแขนอมยิ้ม พยักรับในทันที


“ครับ คืนนี้จะมีเพียงแค่เรา”





ตัดฉากไปที่โคมไฟ....




หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 28-01-2017 22:42:18



รัตติกาลผ่านพ้นมาอย่างยาวนาน จากปฐมสู่มัชฌิม ยามและกำลังเคลื่อนคล้อยรุดหน้าต่อไปเหมือนสายน้ำที่ไม่อาจไหลย้อนคืน หลายชีวิตบนผืนปฐพีก้าวสู่นิทราตามธรรมชาติแห่งสัตว์โลก หากหนึ่งยักษาแลหนึ่งมนุษย์ธรรมดาผู้กอบกุมหัวใจราชันย์แห่งกรุงลงกา ยังคงจ้องมองส่งกระแสความรักความห่วงใยแก่กันและกัน

รอยยิ้ม...เหลือเงาจางๆบนริมฝีปากของเปรม เป็นรอยยิ้มแห่งความสุขที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจ ก้าวนิ้วหนาปัดเส้นผมดำเงาให้พ้นจากใบหน้างามลออ 

“พี่รักเจ้า มิว่าอย่างไรก็รักเจ้าเสมอ...เปมทัต”

“ต่อให้ความตายต้องพรากจาก เปมทัตก็จะรักทศกัณฐ์ผู้นี้ตราบชั่วนิรันดร์”

เปลวเทียนหอมส่งกลิ่นลอยคละคลุ้งไปทั่วห้อง แสงจันทร์สลัวสาดส่องผ่านม่านผืนบาง พญายักษ์เลื่อนหน้าเข้าใกล้คนรักมากขึ้นเรื่อยๆ ริมฝีปากอุ่นชื้นบรรจงประกบลงบนกลีบดอกกุหลาบอย่างทะนุถนอม เปรมหลับตาปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามความปรารถนาของคนสองคน


แช่มชื่นรื่นร่มพนมพนัส              สิ้นวิบัติไพรีไม่มีข้อง
อิงแอบแนบเนื้อนวลละออง      หนุนแต่ขอนไม้รองสำราญใจ
ไร้ฟูกถูกเนื้อวันทองอ่อน              เหมือนนอนเตียงทองอันผ่องใส
เพลินฟังวังเวงเพลงเรไร         พิณพาทย์ไพรกล่อมขับสำหรับดง
เมื่อสิ้นแสงเทียนประทีปส่อง      ก็ผ่องแสงจันทร์กระจ่างสว่างส่ง
บุปผาชาติสาดเกสรขจรลง      บุษบงเบิกแบ่งสะบัดบาน
เรณูนวลหวนหอมมารวยริน      ประพายพัดประทินกลิ่นหวาน
เฉื่อยฉิวปลิวรสสุมามาลย์      ประสารสอดกอดหลับระงับไป




คนร่างบางทอดกายลงบนแท่นนอนมาเนิ่นนานแล้ว หากมิอาจข่มตาสู่นิทราได้ด้วยพักตร์แห่งราชันย์คล้ายลอยเลื่อนอยู่กลางฤทัยไม่วางวาย

มีเพียงเงาฉายชัดอยู่ในจิต น้ำเสียงอ่อนโยนยังคล้ายแว่วอยู่ในโสต...

‘พี่รักเจ้า’

ผู้เลอลักษณ์เม้มปากแน่นสนิท หยาดน้ำตาไหลรินข้างแก้มแผ่วเบาแต่เปียกชื้นเต็มหมอน รวบรวมความกล้าเอื้อมมือน้อยลูบไล้แก้มสากของอสุเรนทร์ที่ในยามนี้หลับตาพริ้มนอนหลับอย่างมีความสุข...

เหลือเวลาอีกเพียงไม่นานนัก เป็นช่วงเวลาสั้นๆที่เขาจะสามารถมีความสุขอยู่บนโลกใบนี้ไปพร้อมกับคนที่รักมากที่สุดในหัวใจ...


ขอเห็นแก่ตัวทำเพื่อตนเองหนสุดท้าย...ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนี้กับคนที่รักดังเคย






ก่อนวันแสดงสองวัน ทุกคนในโรงละครแห่งชาติต่างวิ่งวุ่นอลหม่านกันไปทั่วทั้งคนเบื้องหน้าและเบื้องหลัง หนักหน่อยเห็นจะเป็นทีมงานจัดแสงสีเสียง ทำฉากประกอบการแสดงที่วิ่งไปนู่นมานี่ไม่หยุดตั้งแต่เช้าจรดเย็น และดูว่างานนี้จะไม่เสร็จง่ายๆเสียด้วย
ปู่เหนือและครูจันทร์ยืนมองฉากประกอบบนเวทีที่ทำขึ้นอย่างสวยงามตระการตาด้วยความพึงพอใจ ยิ่งวันงานใกล้มากเท่าไหร่หัวใจผู้มากวัยก็ยิ่งเต้นแรงมากกว่าเดิมหลายเท่า ปู่เหนือถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่ค่อยหลับ และพอนอนไม่หลับก็ชอบออกมาตรวจดูความเรียบร้อยบ่อยครั้งในยามดึก บอกตามตรงตัวเขาคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่างานที่มีเวลาเตรียมตัวเพียงหนึ่งเดือนจะสามารถทำออกมาให้ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างได้ขนาดนี้ อย่างว่าล่ะนะ...มีเงินทุนหนา...จ้างบุคลากรมืออาชีพเฉพาะทางมาช่วยจัดการดูแลอีกต่อหนึ่ง เรื่องยากๆหนักๆก็กลายเป็นเรื่องง่ายในทันใด

“เฮ้ย! ไอ้ศักดิ์อย่าคิดกระโดดลงจากเวทีเชียว ไปๆ ไปเดินลงตรงบันไดนู่น”

“ครับ...ท่านครูผู้ยิ่งใหญ่”

“พูดมากเดี๋ยวข้าถีบให้”

“ขอโทษขอรับ”

ชายหนุ่มร่างสันทัดหยุดชะงักกะทันหัน ยกมือไหว้ปลกๆก่อนจะค่อยๆย่องลงบันไดแบบไร้สุ้มเสียงให้มากที่สุด

“ไอ้นี่มันกวนฝ่าเท้าข้าโดยแท้ อ้าวไอ้สิงหาถือฉากดีๆหน่อยสิวะ หักขึ้นมาข้าจะให้เอ็งนั่งวาดงานชิ้นนี้ใหม่คนเดียว...เออ ถือดีๆ...เฮ้อ วันนี้มันเป็นวันอะไรกัน ขัดใจข้าไปเสียหมด”

“ใจเย็นหน่อยสิคะท่านปู่ นี่ค่ะ...โอเลี้ยงร้านป้าช้อยหน้าโรงละคร”

“รู้ใจปู่ดีเชียว ขอบใจ” คนเป็นปู่ยกโอเลี้ยงโบราณแก้วใหญ่ขึ้นจิบหวังให้ความหวานเย็นช่วยลดอาการหงุดหงิดในใจลงบ้าง “เออ แล้วเรื่องชุดจัดการเรียบร้อยหรือยัง ต้องแก้ตรงไหนอีกหรือเปล่า”

“ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้วค่ะท่านปู่ ไม่มีปัญหาในวันแสดงจริงแน่นอน ส่วนเครื่องประดับล้วนอยู่ในการดูแลของบริษัทรามาจิวเวอร์รี่ จันทร์ว่าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเหมือนกัน”

“นักแสดงล่ะ”

“ทุกคนทำได้ดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะคุณราเมนทร์ คุณอสุเรนทร์ที่รับบทเป็นพระรามกับทศกัณฐ์พวกเขาแสดงกันได้ดีมากจนน่าประหลาดใจ คือ...มันดีจนจันทร์อดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นพระราม ทศกัณฐ์ตัวจริงมาแอบเล่นให้ทางกรมศิลป์ของเราหรือเปล่า”

“เพ้อฝันอะไรอีกล่ะแม่จันทร์”

“จริงๆนะคะท่านปู่ เหมือนครั้งที่แล้วที่ท่านปู่เคยบอกจันทร์อย่างไรคะเรื่องการแสดงของพ่อเปรม คล้ายกับว่าเขาสวมจิตวิญญาณของตัวละครนั้นอยู่เลยทำให้พ่อเปรมแสดงได้ดี แต่สำหรับคุณอสุเรนทร์และคุณราเมนทร์ไม่ใช่ มันแตกต่าง...” ผู้อ่อนวัยกว่าเว้นวรรคหายใจและกล่าวต่อ “การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางของพวกเขามันทำให้จันทร์รู้สึกมากกว่าขนลุก ยิ่งในฉากสุดท้ายที่นางสีดาต้องมองทศกัณฐ์ตายต่อหน้าต่อตาเพราะถูกหนุมานบีบกล่องดวงใจ...จันทร์ไม่รู้จะต้องใช้คำพูดไหนแทนความรู้สึกของจันทร์ดี”

“ปู่ก็ไม่ได้อยู่ดูเสียด้วยสิ มันเป็นอย่างไร เล่าให้ปู่ฟังหน่อยได้ไหม”

“จันทร์อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ เอาเป็นว่าท่านปู่รอดูของจริงในวันงานเลยดีกว่านะคะ”

“บ๊ะ หลอกให้คนแก่อย่างข้าอยาก แล้วก็จากไปเนี่ยนะ...ช่างเป็นหลานที่ใจร้ายยิ่งนัก”

“แหมท่านปู่ จันทร์อยากเล่าให้ท่านปู่ฟัง แต่จันทร์เรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ หากจะให้ใช้คำพูดที่น่าจะใกล้เคียงที่สุด ก็เห็นจะเป็น น่าสงสาร”

“น่าสงสารรึ?”

“ตัวละครทั้งสามตัวมีความโดดเด่นและแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทศกัณฐ์รักนางสีดา ไม่ใช่รักที่เกิดจากกามราคะ แต่เป็นรักที่บริสุทธิ์ ยอมตายเพื่อนางอันเป็นที่รักได้หากทำให้นางและลูกอยู่รอดปลอดภัย พระรามมีความมั่นคงในรักก็จริง แต่ก็เป็นคนที่รักในศักดิ์ศรีมากคนหนึ่ง ยอมหักไม่ยอมงอ อะไรที่เป็นของตนก็ต้องเป็นอยู่วันยังค่ำ”

ดวงตาของหญิงวัยสามสิบปีเศษมองไปยังลูกศิษย์รักที่กำลังพูดคุยซ้อมท่าอยู่กับประธานบริษัทหนุ่มทั้งสอง รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนใบหน้า
“ส่วนนางสีดา นางเป็นคนน่าสงสารที่สุดเพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหนนางก็เจ็บปวดทั้งสิ้น การที่เลือกไปอยู่กับพระรามในตอนท้ายไม่ใช่เพราะไม่รักทศกัณฐ์นะคะ แต่เพราะไม่อยากให้เรื่องราวข้อพิพาทอันน่าวุ่นวายต้องดำเนินต่ออย่างไม่มีวันจบ ทั้งที่ใจจริงของนางดูรักพญารากษสมากกว่าพระรามอีกค่ะ”

“ปู่เองก็ไม่รู้ว่าเนื้อหาของเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณทศและคุณกฤตแต่งขึ้นเองหรือเป็นเรื่องจริง แต่ที่แน่ๆบทประพันธ์บทนี้ทำให้ปู่ต้องหันกลับมามองเหล่ายักษาในมุมใหม่”

“คงต้องยกเครดิตให้คุณชินกฤตเขาล่ะค่ะ ดำเนินเรื่องได้ดีจริงๆ”

ภาพความฝันเมื่อคืนวานแจ่มจ้าขึ้นในมโนนึกของบรมครูอาวุโส...

ภาพตนเองยืนมองตัวเอกทั้งสามด้วยความตื่นตะลึง เลือดสีแดงสดไหลซึมเปรอะเปื้อนเครื่องทรงนางก่อนจะขยายตัวเป็นวงกว้าง ร่างสูงใหญ่ของผู้ครองกรุงลงกาทรุดลงตรงหน้านางอันเป็นที่รัก..

ร่างไร้วิญญาณธิดาแห่งกรุงมิถิลาคืนสู่สวรรค์...อสุเรนทร์ช้อนร่างบางด้วยท่อนแขนแข็งแรงแนบสู่อกกว้าง พร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาเป็นสาย

“ก็คงต้องหวังให้งานในวันนั้นออกมาดีอย่างที่คิดไว้แล้วกัน”

 อย่าได้เกิดโศกนาฏกรรม ความสูญเสียอันน่าเศร้าสลดเช่นภาพแห่งความฝันเลย...




วันเวลาแห่งการรอคอยมาตลอดหนึ่งเดือนเต็มได้สิ้นสุดลงแล้วในวันนี้ ดวงทิวากรสาดส่องแสงเจิดจรัสยิ่งกว่าวันใด ท้องนภาเปิดโล่งไร้หมู่เมฆาบดบังเช่นวันก่อนๆ สำหรับปู่เหนือแล้วถือว่าเป็นฤกษ์งามยามดีในการจัดแสดงและต้อนรับผู้คนที่ล้นหลามเข้าสู่ความน่าอัศจรรย์ใจแห่งนาฏกรรมโขนเลื่องชื่อ

พื้นผิวกระจกสะท้อนให้เห็นวงหน้าผุดผาด คิ้วเรียวโก่งดั่งคันศรถูกทาด้วยสีดำเข้มรับกับดวงตารีเรียวที่แต่งแต้มด้วยสีสันของเครื่องประทินโฉม ขนตางอนยาวเป็นแพหนา ยิ่งส่งเสริมให้ดวงตาคู่นี้แลดูหวานล้ำมากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ริมฝีปากอิ่มตึงถูกเคลือบด้วยลิปสติกสีแดงสดคลี่ยิ้มอ่อนยามช่างแต่งหน้าครึ่งหญิงครึ่งชายสวมชฎาทรงสูงให้เป็นสิ่งสุดท้าย

“ขอบคุณนะครับพี่น้อยหน่า”

“โอ้ย ไม่เป็นไรเลยค่ะ พี่ชอบแต่งหน้าให้คนสวยๆอย่างน้องเปรมมากที่สุด”

คนถูกชมได้แต่ยิ้มเขิน “ผมไม่สวยหรอกครับ เป็นเพราะฝีมือการแต่งหน้าของพี่น้อยหน่ามากกว่าผมถึงออกมาดูดีได้ขนาดนี้”
“เรานี่ปากหวานจริงเชียว จะอยู่รอในห้องก่อนหรือเปล่าจ๊ะเปรม ถ้าไม่พี่จะได้ล็อกห้องเลย”

“ขอผมอยู่ทำสมาธิในนี้สักครู่นะครับ สักห้านาทีแล้วพี่ค่อยเข้ามาใหม่แล้วกัน”

หญิงข้ามเพศหรี่ตามองพ่อสีดาน้อยอย่างสงสัย “มีเรื่องอะไรกังวลใจหรือเปล่า บอกพี่ได้นะ”

“ไม่ครับ ไม่มี ขอบคุณพี่น้อยหน่ามากที่เป็นห่วง”

“อืม ถ้ายังไงพี่ขอไปดูความเรียบร้อยห้องๆข้างก่อนแล้วกัน และเดี๋ยวจะกลับมาใหม่”

ร่างอวบอั๋นของน้อยหน่าลาลับไปครู่หนึ่งแล้ว หากเปรมก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ลุกไปไหน ปรายตามองต่ำ ไปยังเปิดลิ้นชักชั้นบนสุดของโต๊ะเครื่องแป้ง มืองามผุดผ่องค่อยๆเอื้อมเปิดมันอย่างใจเย็น ไม่เร่งรีบ...สิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้นมีเพียงสิ่งเดียว ถุงกำมะหยี่สีดำน่าพิศวง

ฝ่ามือเรียวสวยค่อยๆบรรจงกระตุกเชือกสีทองเส้นเล็กสองเส้นที่รัดให้คลายออกด้วยอาการสั่นเทา...หัวใจกระตุกวูบเมื่อแสงจากไฟบนเพดานที่ส่องกระทบสิ่งหนึ่งในเนื้อผ้าสีดำสนิทจนเกิดเป็นประกายคมปลาบเข้าตา



อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...ปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตา!







น่านนนนนนนนนนนนน เอาแล้วไงๆๆๆๆๆ
ตอนหน้านะตอนหน้า ทำใจกันดีๆ รอรับบทที่หนักหน่วงใจกว่าที่ผ่านๆมากันนะคะ เราจะเอาใจช่วย ฮิฮิ :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 28-01-2017 23:06:39
เราจะงอนคนแต่งละนะ55555ดราม่าทำไมอัพเลเวลเรื่อยๆ
ี่่่ที่นางสีดาขอไว้ต้องทำเปรมตายแน่เลย :a5:
เดาว่าต้องเป็นหัวใจนางไม่ก็เกี่ยวกับวิญญาณ#โคนัน
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 28-01-2017 23:37:48
เราจะงอนคนแต่งละนะ55555ดราม่าทำไมอัพเลเวลเรื่อยๆ
ี่่่ที่นางสีดาขอไว้ต้องทำเปรมตายแน่เลย :a5:
เดาว่าต้องเป็นหัวใจนางไม่ก็เกี่ยวกับวิญญาณ#โคนัน


อย่างอนเราเลยนะ มันต้องพีคขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะสนุกค่ะ  :hao3: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 29-01-2017 00:27:04
อยากอ่านต่อแล้วววววว  :ling1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 29-01-2017 05:55:19
อุกรี้ด มาไวๆเลย เกาะขแบเวทีจนจะเป็นปลวกแล้ว :katai4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 29-01-2017 07:45:27


ขอกรีดร้องแปป

มันบีบหัวใจยิ่งนัก

คนอ่านหัวใจจะวายขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 30-01-2017 00:38:30
พลาดไป2ตอน
เดี๋ยวค่อยมาอ่านนะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 30-01-2017 12:34:31
บีบหัวใจสุดๆ เปรมจะทำอะไรอ่ะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-01-2017 12:52:17
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 30-01-2017 15:26:57
ง่าาา น้องเปรมกับป๋าทศดีกันแล้วววว :katai4:

น้องเปรมจะทำอะไรอ่ะ ทำไมบอกพี่ทศไม่ได้

ฮือออ เรื่องดราม่ายังไม่หมดสินะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: kyosake ที่ 31-01-2017 21:46:12
สิ่งที่เปรมตามหา น่าจะเป็นกริช ที่นางสีดาใช้ปลิดชีพตน และวิธีปลดเปลื้องพันธนาการคงเป็นการปลิดชีพตนของเปรม บางครั้งก็เหนื่อยแทนเปรมที่ต้องทำทุกอย่างให้จบเพื่อทุกคน แต่เราแอบหวังว่าเบื้องบนคงมีเมตตาให้คุณทศกับเปรมกับครองรักกันอีกครา ฮรึกก อ่านแล้วอิน น้ำตาจะไหลจะขาดใจตามคุณทศกับเปรม ส่วนอีราม แกจะไปตายไหนก็ไป
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 02-02-2017 12:24:40
กลัวใจจริงๆในตายเหอะ เปรม กับพี่ทศ สองคนนี้ต้องเจ้บไปอีกนานแค่ไหน
โอ๊ยยยยย บีบใจ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๕ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 02-02-2017 22:31:51
คิดถึงแล้วววว
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ครึ่งแรก(กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 03-02-2017 18:46:23


OMG ตอนที่แล้วที่ถามไปมีคนทายถูกด้วยล่ะ แต่ถ้าใครยังไม่รู้ไปอ่านกันเลยค่ะ!! :katai4: :katai4: :katai2-1: :katai2-1:




ตอนที่ ๒๖
[/size]





โรงละครแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ สามารถจุคนได้มากกว่าสองพันคน เพดานสลักลวดลายวิจิตรการตา กึ่งกลางเว้นเป็นวงกลมใหญ่มีรูปสลักนางกินรีนูนสูงหลายตนลงสรงน้ำอย่างเพลิดเพลินปล่อยลงมาจากเพดาน ด้านหน้าเป็นเวทียกพื้นขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยที่นั่งผู้ชมซึ่งเป็นเก้าอี้บุกำมะหยี่น้ำเงินเข้มไล่ระดับขึ้นมาจากด้านหน้าใกล้เวทีสู่ชั้นลอย เป็นที่เฉพาะแขกวีไอพีกิตติมศักดิ์ ซึ่งชั้นนี้จะมีทั้งหมดสิบสองที่นั่ง

รากษสหนุ่มอดีตพระยาพิเภกยักษีนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ด้านบนที่ทางทีมงานจัดไว้ให้เป็นอย่างดี กระแสลมหนาวจากเครื่องปรับอากาศหลายสิบตัวแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูโรงละครใหญ่ ประหนึ่งหัตถาอันเย็นฉ่ำลูบไล้ผิวกาย ทว่าถึงลมหนาวจะพัดโชยแรงแค่ไหน ก็มิอาจทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มของชินกฤตทุเลาลงสักนิด องคาพยพทุกสัดส่วนสั่นระริกด้วยความพยายามอดกลั้น ความร้อนรุ่มดั่งไฟเผลาผลาญเจ็บปวดแผ่ซ่านทั่วสรรพางค์กาย

ยิ่งใกล้เวลาแสดง ชินกฤตก็ปวดร้าวที่หัวใจมากเป็นเท่าทวีคูณ

เจ็บหนักเสียยิ่งกว่าตอนเห็นภาพนิมิตในยามทศกัณฐ์ต้องสิ้นชีพด้วยคมศรพระราม

“อากฤต!”

“ว่าอย่างไร...” คนเป็นอาส่งยิ้มอ่อนแรงให้หลานชาย

“ยังเจ็บอยู่หรือครับ”

“ก็มีบ้างแต่ไม่หนักเท่าเดิม”

“มันจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ บอกอินหน่อยได้ไหมสิ่งที่อาเห็นในนิมิตมันคืออะไร เกี่ยวกับใคร” มือเล็กยกขึ้นแตะท่อนแขนของผู้มากวัยกว่า รู้สึกได้ถึงความร้อนรุ่มประหนึ่งไฟสุมในร่างกายของชินกฤต จนต้องดึงมือกลับ “ไหวแน่ใช่ไหมอากฤต”

“ไหวสิ ยังไงก็ต้องไหว...”

“เฮ้อ อานี่ดื้อชะมัด...อ้าว คริส อู๋ นายก็มาดูด้วยเหรอ” รณพักตร์บ่นขมุบขมิบคนเดียว ก่อนจะสายตาจะเหลือบไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงแต่งกายชุดสูทเต็มยศราวกับจะไปงานสังคมระดับหรูหราต่อ คริสผงกศีรษะเป็นเชิงทักทายตามมารยาทก่อนจะชายตามองใบหน้าขาวซีดเผือดไม่ต่างจากหน้ากระดาษ เม็ดเหงื่อเกราะพราวอยู่ทั่วหน้าผากของชินกฤต จึงอดเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“อิน ครีดไม่สบายเหรอ...แล้วเขาเป็นอะไรมากไหม หนักหรือเปล่า ให้ผมพาไปหา...”

“ใจเย็นคุณคริส พี่ชายฉันไม่ได้เป็นอะไร ไม่ต้องห่วง”

“แต่เขาหน้าซีดมากเลยนะ”

“เอาน่า พักซักเดี๋ยวก็คงหาย”

“อาการแบบนี้คงหายยาก”

“อ้าวเห้ย ก็บอกอยู่ว่าเดี๋ยวก็หาย ฟังไม่รู้เรื่องเหรอ” คนใจร้อนเท้าสะเอวตวัดสายตาใส่อย่างไม่ค่อยพอใจ ทำไมพูดยากพูดเย็นเหลือเกินไอ้หน้าหล่อผู้นี้!

“งั้นผมขอแลกที่กับอินได้ไหม”

“ห๊ะ” รณพักตร์ถึงกับหลุดอุทานออกมาเบาๆ ยกคิ้วแสดงความประหลาดใจ

“อินช่วยไปนั่งที่ของผมก่อนได้ไหม ใกล้กับผู้ชายเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเล็กหน้าตาดีคนนั้นน่ะ...ขอครั้งนี้ครั้งเดียว และผมสัญญาจะดูแลพี่ชายอินให้ดีที่สุด...นะ...ได้โปรด” 

ที่นั่งของคริสห่างจากที่นั่งของเขาและชินกฤตไม่มากนัก ไอ้ตัวเขาก็อยากสลับที่นั่งให้ตามคำขออยู่หรอก แต่มันติดตรงที่นั่งของเจ้าหนุ่มนิวยอร์กมันดันอยู่ใกล้กับใครบางคนที่เขาไม่อยากเจอไม่อยากพูดคุยเสียด้วยสิ

นั่งตรงนี้ยังพอหลบได้ แต่ไปนั่งตรงนั้นเก้าอี้ติดกันมันหลบยาก!

“ขอปฏิเสธ”

“โธ่ อินครับ ได้โปรด ผมอยากช่วยคุณดูแลครีดจริงๆนะ”

“คิดอะไรกับพี่ชายผมหรือเปล่าเนี่ย” แกล้งเอ่ยถามแบบทีเล่นทีจริง หากทว่าอีกฝ่ายกลับตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง

“ถ้าคิดเกินกว่าเพื่อนร่วมงาน อินจะอนุญาตให้ผมนั่งกับครีดได้ไหมล่ะครับ”

โอ้โห ให้มนุษย์มั่นหน้านี่...!

“คุณคริส...” แม้แต่คนถูกสารภาพรักก็ยังตื่นตะลึง

“ผมชอบคุณ ชอบครีดแต่แรกเห็น ถึงตอนนี้ครีดจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกับผม ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ แต่นับจากวันนี้เป็นต้น...ผมจะทำทุกอย่าง ใช้ความรัก ความจริงใจทั้งหมดเข้าสู้จนกว่าครีดจะยอมรับและรู้สึกเช่นเดียวกันกับผม” ปากพูด หากแต่สายตาหยั่งเข้าไปในดวงตาของคนที่เขาเกิดความชอบพอตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอ นิ่งและนานนับหลายนาที

ร่างสูงคุกเข่าลงตรงหน้าอดีตอดีตพระยาพิเภกแห่งกรุงลงกา

“ครีดครับ”

“ครับ”

“ผมเป็นเพียงผู้ชายคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่สามารถพูดอะไรออกมาก็ได้” น้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย เป็นความหมายว่าตัวเขา ‘จริงจัง’ กว่าที่เคยเป็น “แต่สิ่งที่บอกครีดมันคือความสัจจริง”

‘ครุฑต่างจากมนุษย์ เพราะมนุษย์รู้จักปรุงแต่ง แต่พวกเราหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ โดยเฉพาะตัวข้าแล้วไซร้สัจจะย่อมเป็นสัจจะ รักก็บอกว่ารัก เกลียดก็บอกว่าเกลียดมิเคยกลอกกลิ้งโป้ปดแต่อย่างใด’

‘ท่านเวนไตย...’

‘ข้ารักเจ้า หลงเจ้านักน้องเอ๋ย หากเป็นไปได้ข้าก็อยากใกล้ชิดแลเอาใจใส่เจ้าตราบชั่วฟ้าดินสลาย หากชีวิตของเราสองเป็นดั่งที่มโนภาพเอาไว้ คงจักดีนักแล...เจ้าเล่า รักข้า อยากออกเรือน เป็นคู่ตุนาหงันกับข้าฤาไม่’

‘ข้าเกลียดชังท่านนัก’

พญาครุฑราชพยายามกลั้นรอยแย้มสรวล ท้ายสุดก็มิอาจทนทานได้จึงรับสั่งปนพระสรวลเบาๆ

‘แต่ตัวพี่รักเจ้ายิ่งนักพิเภกเอ๋ย หากตัวพี่มิได้น้องมาเคียงคู่ พี่ก็มิขอมีชายาอื่นใดอีกตลอดชั่วกัลปาวสาน!’




“ครีด! ครีดครับ”

“ครับ?” ชินกฤตสะดุ้งเหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์แห่งความคิดที่โลดแล่นไปยังที่ไกลแสนไกล

“ปวดหัวหรือเปล่า อยากให้ผมพาไปหาหมอไหม” ชายหนุ่มต่างชาติถาม ขณะอีกคนก็เอาแต้ก้มหน้าปฏิเสธ

“เปล่าครับ”

“แต่ผมไม่สบายใจเลย อิน...แลกที่นั่งกับผมนะ ...นะ...please...”

“เฮ้อ อิจฉาคนมีความรักกันเสียจริง เออ อยากนั่งใช่ไหม...ได้...เชิญเลย นั่งจีบสวีทหวานกันให้พอ เดี๋ยวฉันจะไปนั่งที่ตรงนั้นเอง” ถึงจะบ่นกระฟัดกระเฟียดแต่ก็ยอมลุกขึ้นพร้อมผายมือให้ร่างสูงนั่งแทนที่ของตน “อ้อ แล้วถ้าฉันเห็นพี่ชายฉันมีอาการหนักขึ้นกว่าเดิมล่ะก็...บอกพ่อแม่นายให้เตรียมโรงมาใส่ศพนายได้เลย หลู่เหลือง?!”

“โอเค ผมสัญญาว่าจะไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นแน่นอน”

คนร่างเล็กพยักหน้าพอใจ แสดงอาการรับรู้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายบอกกล่าว ก่อนกระแทกส้นเท้าเดินตึงตังแล้วทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้เดิมของคริสข้างๆศุภลักษณ์ที่เงยมองเขาด้วยอารามตกใจ

“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือไง”

“นี่มันไม่ใช่ที่ของนายนี่อิน”

“ใช่”

“แล้วนายมานั่งตรงนี้ทำไม”

“ก็ถ้าไอ้หมอนั่นมันไม่ขอร้องอ้อนวอนอยากอยู่ใกล้ชิดกับอาของฉัน ฉันก็ไม่ได้อยากมานั่งตรงนี้ข้างๆนายหรอก”

คนได้ยินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะหลุบสายตาก้มหน้ายิ้มเศร้ากับตนเอง “นั่นสินะ...ใครเขาจะอยากมานั่งกับคนแบบฉันกัน ขอโทษด้วยที่ทำให้หงุดหงิด แต่นายไม่ต้องห่วง ฉันจะพยายามทำตัวเงียบๆไม่ให้นายต้องรู้สึกรำคาญใจแม้แต่นิดเดียว...แต่ถ้านายเกิดรำคาญขึ้นมา...ก็คิดเสียว่าตัวฉันเป็นธาตุอากาศที่มองไม่เห็นก็แล้วกัน”

“ประชดฉันเหรอลักษณ์” พ่นลมหายใจร้อน ขึงตามองศุภลักษณ์ด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ “พูดแบบนี้ต้องการประชดฉันใช่ไหม”
“ขอโทษแล้วกันถ้าคำพูดของฉันมันทำให้นายโมโห แต่พอเถอะ ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว”

“คุยกับฉันแล้วมันยังไงห๊ะ”

“อิน...”

“ตอบมา!” รณพักตร์พูดเสียงดังด้วยความเดือดดาล พร้อมกับออกแรงบีบข้อมือขาวอย่างแรงด้วยความโมโห
หงุดหงิด...หงุดหงิดเป็นที่สุด! 

“ตอบมาเดี๋ยวนี้ศุภลักษณ์ อย่าคิดหันหน้าหนีเชียว”

“โอ้ย อินปล่อย”

“ไม่”

“ฉันเจ็บ ได้ยินไหมฉันเจ็บ!”

แค่ได้ยินคำว่าเจ็บจากปากอีกฝ่าย รากษสหนุ่มก็ยินยอมปล่อยข้อแขนเรียวเล็กกว่าเป็นอิสระแทบจะในทันทีราวแตะของร้อนจัด ปรายตามองรอยแดงช้ำด้วยความรู้สึกผิด แต่ทว่าด้วยความยึดมั่นในทิฐิจึงได้แต่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ หลับตาสูดลมหายใจเข้าและปล่อยออกมาอย่างแรง

ศุภลักษณ์จับข้อมือตนเองที่โดนบีบจนช้ำและใช้มือข้างนั้นตีแผ่นอกของอีกฝ่าย

“นายมันบ้าที่สุด”

ไม่ต้องสนใจ....ห้ามหันไปมอง...มึงอย่าหันไปมองเด็ดขาดไอ้อิน

“ใจร้ายเกินไปแล้ว”

อย่าหัน....อย่ามอง...

“ฉันเกลียดนาย”

“เกลียดนายที่สุด”

โว้ย!!

ทนไม่ไหวแล้วโว้ย....!!!

“ส่งมือมา”

“อะไร”

“ฟังภาษาคนไม่รู้ไง บอกให้ส่งมือมา” แม้จะมึนงงกับอารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของอีกคน แต่ก็ยอมยื่นมือไปให้คนขี้โมโหแต่โดยดี ก้าวนิ้วเรียวเล็กทว่าแข็งแรงลูบบริเวณแดงช้ำเพียงแผ่วเบา ก่อนจะก้มลงเป่ารดรอยช้ำซ้ำลงไปอีกหนหนึ่ง...สายตาจับจ้องรอบรอยแดงอย่างตั้งใจ โดยไม่ทันสังเกตเลยว่าพวงแก้มอนุชาแห่งพระรามที่เคยไร้สีสันกำลังขึ้นแดงซ่านพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัวดั่งกลองศึก

“เจ็บมากหรือเปล่า”

“เจ็บสิ”

“ขอโทษแล้วกัน แต่นายก็เป็นคนผิดเองที่ไม่ยอมตอบคำถามของฉัน เจ็บมากหรือเปล่า...อ้าวเฮ้ย ร้องไห้ทำไมเนี่ย” รณพักตร์ถึงกับร้องเหวอ เมื่อเห็นจักษุ คู่สวยรื้นไปด้วยหยาดน้ำตาและค่อยๆไหลรินอาบแก้มอย่างน่าสงสาร

“อินนิสัยไม่ดี อินใจร้าย”

“...”

“ฉันเจ็บ...เจ็บมากเลยด้วย” ใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่ตำแหน่งของหัวใจ “ตรงนี้ก็เจ็บแต่มันเจ็บยิ่งกว่าเพราะว่านายมันโง่ ใช้แต่อารมณ์มาตัดสิน ไม่เคยเข้าใจฉันเลย ไอ้คนเลว”

“...”

“นายมันไอ้ยักษ์โง่ขี้โมโห ฉันเกลียดนาย อือ เกลียดที่สุด”

“โอเค ฉันจะฟังนายทุกอย่าง เงียบซะ ชู่ว...ขอโทษครับ อินขอโทษ” ไม่ว่าเปล่าวาดแขนดึงอีกคนเข้ามาซบอกของตน หลับตากดจูบลงกลุ่มผมเงาสลวยด้วยรู้สึกผิดเต็มหัวใจ

ว่าจะตัดใจ...สุดท้ายก็ทำไม่ได้เหมือนเดิม

ไอ้ยักษ์ขี้ใจอ่อนเอ้ย!

“สัญญา อึก...แล้วนะว่าจะฟังฉัน”

“ฟัง แต่ไม่รับประกันนะว่าจะยอมยกโทษให้หรือเปล่า”

“แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด เรื่องนั้นฉันไม่เคยรู้เรื่องเลยนะ”

“อาห๊ะ แล้วยังไง”

“นายไม่ควรโกรธซ้ำด้วยซ้ำ”

“ช่วยไม่ได้ ก็นายอยากเกิดเป็นน้องไอ้รามจอมวายร้ายเอง”

“อิน”

ริมฝีปากยักษากระตุกยิ้มพราย จ้องลึกยังดวงตาของอีกฝ่าย “แต่ถ้าอยากให้ฉันยกโทษให้นัก...ก็ลองแวะไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังที่บ้านของฉันคืนนี้สิ” เลื่อนริมฝีปากเอ่ยกระซิบด้วยน้ำคำแหบพร่า “รับรองจะอยู่รับฟังคำอธิบายของนายทั้งคืน...

“ฉันไม่ใช่คนใจง่ายนะ”

“แล้วตกลงไปไหมล่ะ”

“ไม่ไป”

“โธ่ ไปหน่อยนะคะลักษณ์(รัก)ของอิน อินอยากฟังคำอธิบายจากปากของลักษณ์จะแย่” ลูกเล่นแพรวพราวสมกับทายาทพญารากษสทศกัณฐ์ ทำเอาคนร่างผอมบางต้องหลุบตาลงต่ำอย่างเขินอาย “นะจ๊ะ...ไปเถิดนะ”

“แล้วทำไมต้องไปคุยที่บ้านนาย คุยที่อื่นไม่ได้หรือไง”

“ไม่ได้ เพราะอินชอบคุยบนเตียงมากกว่า...แบบสองต่อสอง”

“ไอ้ยักษ์บ้า”

“ไปนะ...นะคะคนดี”

“...”

“นะจ๊ะ...ลักษณ์จ๋า”

“มารับที่บ้านสิ แล้วจะไปอยู่คุยด้วย...ทั้งคืน”





่ต่อข้างล่างจ้าาา
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 03-02-2017 18:55:21




เสียงอื้ออึงจากบรรดาผู้ชมทุกโซนที่นั่งไม่ว่าจะราคาย่อมเยาหรือสูงลิบลิ่วพลันเบาลงและหายไปในที่สุดเมื่อดวงไฟทั้งหมดในโรงละครหรี่แสงแทนการให้สัญญาณการแสดงที่จะเริ่มต้นขึ้น

ดวงดาวจับแขนของผู้เป็นสามี บีบกระชับด้วยความตื่นเต้น

“ฉันตื่นเต้นจังเลยค่ะคุณ เราจะได้เห็นลูกแสดงกันแล้ว”

“ตอนแรกผมก็ไม่ตื่นเต้นนะ แต่พอคุณพูดเท่านั้นล่ะใจผมนี่เต้นดังตุ๊บๆเลย” กษิดิษเด้งหน้าอกทำท่าประกอบ “ว่าแต่สรุปคนที่มาเล่นเป็นพระรามกับทศกัณฐ์คือเจ้าประธานจิวเวอร์รี่กับตาทศเรอะคุณ”

“ใช่ค่ะ”

“ผมไม่ได้ดูถูกนะ แต่เอานักธุรกิจอยู่กับตัวเลขในเอกสารจับแต่เงินมาแสดง มันจะไปสู้นักแสดงโขนที่ฝึกซ้อมมาเป็นสิบยี่สิบปีได้เร้อ”

“ดีไม่ดี อีกเดี๋ยวเราก็ได้เห็นกัน เฮ้อน่าเสียดายแทนคุณพ่อคุณแม่นะคะ ถ้าไม่ติดเพื่อนเก่าขึ้นจากใต้แวะมาเยี่ยมที่บ้านก็น่าจะมาดูด้วยกันหรอก”

“นั่นสิ น่าเสียดายไม่น้อย”



ม่านไหมปักทอลวดลายองค์เทวดานางฟ้าหลายสิบตนนั่งอยู่บนก้อนเมฆสีขาวบริสุทธิ์ เสาค้ำลงลายครุฑสยายปีกเต็มท้องนภาสีมรกต รับกับบัลลังก์สีทองอร่ามแห่งพระอินทร์...ค่อยๆเลื่อนขึ้นด้านบนอย่างช้าๆ

ในอดีตกาล ยักษ์ล้างเท้าที่เชิงบันไดเขาไกรลาส นามว่านนทก ถูกเทวดาข่มเหงมานานนับสิบล้านปีโดยการลูบหัวบ้าง ตบหัวบ้าง จนกระทั่งผมร่วงหมด นนทกแค้นใจเป็นอันมากจึงไปเฝ้าพระอิศวรกราบทูลว่าตนเองได้รับใช้มานานยังไม่เคยได้รับสิ่งใดตอบแทนเลย จึงทูลขอให้นิ้วเป็นเพชรมีฤทธิ์ชี้ผู้ใดก็ให้ผู้นั้นถึงตายได้

วันหนึ่ง...ยักษ์นนทกได้ใช้นิ้วเพชรสังหารเหล่าเทวดาเป็นจำนวนมาก พระอิศวรทรงทราบจึงกริ้วสั่งให้พระนารายณ์แปลงกายเป็นนางอัปสรเพื่อทำอุบายสังหารนนทกและเปล่งคำสาปอันเป็นจุดกำเนิดมหาสงครามระหว่างอสุรรากษสกับมนุษย์

โลกเข้าสู่ไตรดายุคซึ่งเป็นยุคที่คนชั่วเพิ่มมากขึ้นจนมีจำนวนเท่ากับคนดีเรียกว่ามีคนดีครึ่งหนึ่งคนชั่วครึ่งหนึ่ง ความเลวร้ายก่อกำเนิด นนทกสิ้นชีพและลงมาเกิดเป็นพญารากษสทศกัณฐ์ มีสิบหน้า ยี่สิบกร ทรงมงกุฎชัยครองกรุงลงกา ทว่า...แม้ทศกัณฐ์จะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่แลทรงศักดามากเพียงไหน ก็ยังพ่ายแพ้ต่อพญาวานรพาลีถึงสองครั้งสองครา จึงเป็นเหตุให้ทศกัณฐ์ทำพิธีถอดดวงใจฝากไว้กับอาจารย์ นั่นก็คือพระฤๅษีโคบุตร

ผ่านไปไม่นานนักพระนารายณ์ก็ลงมาจุติยังโลกมนุษย์ กำเนิดเป็นพระราม ทรงฤทธิ์ผู้มีกายสีเขียวราวอัญมณีจากใต้บาดาลแดนนาคราช หนึ่งในสี่พระโอรสของท้าวทศรถแห่งกรุงศรีอยุธยา อันประกอบไปด้วย พระลักษณ์ พระพรตและพระสัตรุต

พระลักษมีผู้เป็นพระชายาแห่งองค์พระนารายณ์จุติลงมาเกิดเป็นหญิงสาวร่างอรชร ความงามเป็นที่ลือเลื่องทั้งในสามโลกและสรวงสวรรค์ นามว่าสีดา

พรมลิขิตบันดาลให้พระรามและนางสีดารักกันตั้งแต่แรกพบ ทั้งสองอภิเษกสมรสกัน แต่ชะตากลับพลิกผันทำให้พระรามต้องออกบวชในป่าเป็นเวลา ๑๔ ปี พระลักษณ์และนางสีดาจึงขอติดตามไปด้วย


ณ ริมฝั่งแม่น้ำโคทาวารี นางยักษ์หม้ายนามสำมนักขา น้องสาวของทศกัณฐ์หลงใหลในรูปงามของพระรามจึงตบตีกับนางสีดาเพื่อคิดแย่งชิง จนสุดท้ายก็ถูกพระลักษณ์ลงโทษจับตัดหูและจมูก ดูน่าสมเพชเวทนาเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นเหตุให้พี่ชายทั้งสามต้องตายด้วยศรของพระราม และเมื่อทศกัณฐ์รู้เข้าจึงเกรี้ยวโกรธ ด้วยความที่หลงรักในตัวพระรามนางสำมนักขาจึงพรรณนาถึงความงามของนางสีดาให้ทศกัณฐ์ฟังจนทศกัณฐ์เกิดความลุ่มหลง มองไม่เห็นสิ่งใดดีหรือเลว ถูกหรือผิด รีบสั่งให้มารีศปลอมกายเป็นกวางทองหลอกล่อพระรามให้ห่างจากอาศรมแล้วตัวพญารากษสจะเข้าไปขโมยตัวนางสีดากลับมากรุงลงกาเอง
เพราะด้วยประการฉะนี้...ศึกสงครามอันยิ่งใหญ่ระหว่างทศกัณฐ์แลพระรามจึงอุบัติขึ้นในบัดดล




แสงไฟส่องลงยังท้องพระโรงสีทองอร่าม ประดับประดาไปด้วยอัญมณีเพชรนิลจินดาล้ำค่ายิ่งกว่าแดนใด กึ่งกลางคือบัลลังก์ผู้ปกครองแห่งยักษา ยักษี ร่างกายสูงใหญ่ หากทุกสัดส่วนแห่งองคาพยพเต็มไปด้วยความแข็งแรงแห่งมัดกล้ามที่ซุกซ่อนภายใต้เครื่องทรงใหญ่ทักทอด้วยไหมเนื้อละเอียด สอดแทรกลวดลายด้วยไหมเงิน ไหมทองที่บางเบาและทออย่างประณีต ตรึงตราผู้คนให้หลงมองด้วยความเคลิบเคลิ้มมิรู้ลืม

บรมครูเหนือและครูจันทร์ต่างหันมองหน้ากันด้วยความสุขใจ ทุกฉากแสง สี เสียงล้วนจัดออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดีกว่าที่คาดคิดไว้หลายเท่าตัวนัก ละครโขนหฤทัยทศกัณฐ์ตอบโจทย์ผู้คนหมู่มากได้ไม่น้อยทีเดียว ด้วยความที่เรื่องนี้ตัวเอกคือทศกัณฐ์ หาใช่พระรามอย่างเช่นในฉบับอื่นๆ จึงนับเป็นความแปลกใหม่ที่หาชมได้ยากยิ่ง

เสียงดนตรีเร่งจังหวะฮึกเหิมในยามทำศึกสงคราม และพลิ้วไหวประดั่งสายลมพัดโบกในยามตัวเอกแสดงความรักหวานชื่นต่อกัน และคงไม่มีใครคิดด้วยว่าทศกัณฐ์ที่ถูกตีหน้าว่าโหดร้าย ขี้โมโห มากด้วยกิเลสตัณหาจะกลับกลายเป็นยักษ์แสนน่ารักน่าชังไปได้เมื่ออยู่กับลูกแลนางอันเป็นที่รัก

  แต่จุดที่สร้างความพิศวงแตกตื่นให้ผู้ชมมากที่สุดเห็นจะเป็นฉากที่นางสีดาต้องการกลับไปหาทศกัณฐ์หลังจากที่ต้องกลับมาอยู่กรุงอโยธยาในอีกครั้งเมื่อศึกชิงนางศึกแรกพระรามชนะไปอย่างง่ายดาย หญิงสาวคิดหนีจึงร่วมวางแผนกับพิเภก หลอกล่อให้พระรามคิดว่าบุตรในครรภ์ของนางคือเชื้อสายกษัตริย์กรุงอโยธยา แต่แท้จริงแล้วคือบุตรแห่งพญารากษสทศกัณฐ์ โดยการสั่งให้นางยักษ์อดูลจำแลงกายเป็นนางกำนัลทำทีมาชวนนางสีดาคุยคลายเหงา ก่อนจะใช้โอกาสยามพระรามและเหล่าลิงค่างเผลอกระซิบบอกให้นางสีดาวาดรูปทศกัณฐ์แล้วนำไปซุกซ่อนไว้ใต้หมอน เป็นเหตุให้พระรามนอนไม่หลับ รุ่มร้อน กระวนกระวาน จนสุดท้ายเปิดหมอนจึงเจอรูปวาดทศกัณฐ์

พระรามโกรธกริ้วราวปีศาจครอบงำ สั่งให้พระลักษณ์นำนางสีดาไปฆ่าและควักหัวใจมาถวายตนในทันที

เมื่อนั้น
พระตรีภพลบโลกนาถา
ได้ฟังยิ่งกริ้วโกรธา
กระทืบบาทชี้หน้าแล้วตรัสไป
เหม่เหม่ดูดู๋อีทรลักษณ์
ชั่วช้าอัปลักษณ์หยาบใหญ่
เสียแรงกูรักดั่งดวงใจ
ควรหรือเป็นได้เพียงนี้
ลอบเขียนรูปชู้ไว้ชมเล่น
ครั้นเห็นซัดใส่เอาทาสี
อนิจจาไม่รู้ว่ากาลี
เสียทีไปตามเอามึงมา
ทำศึกปิ้มปางตัวตาย
กลับเป็นแสนร้ายสองหน้า
แม้นแจ้งว่ารักอสุรา
กูจะรับมึงมาด้วยอันใด
ว่าแล้วตรัสสั่งพระลักษมณ์
อีสีดาจักเลี้ยงไว้ไม่ได้
เร่งเร็วจงพาตัวไป
ฆ่าเสียแต่ในราตรี
อย่าให้แจ้งถึงสามพระมารดา
แหวะดวงจิตมาให้พี่
จะดูใจอีกาลกิณี
ที่มันแพศยาอาธรรม์ฯ



ดวงตาแห่งโหรหลวงจับจ้องอยู่แต่เพียงการแสดงเบื้องหน้าอย่างไม่วางตา สองมือเรียวสวยกำแน่นจนไร้สีเลือด ความปวดร้าวในดวงหทัยที่จางหายไปเมื่อสามสิบนาทีก่อนได้กลับมาเยือนอีกครา หากทว่าคราวนี้เจ็บ...เจ็บจนอยากจะตายไปให้รู้แล้วรู้รอด ภาพนิมิตติดๆดับๆจนมองไม่ออก ไม่รู้จะเรียบเรียงเป็นเหตุการณ์อย่างไรดี

“ครีด คุณไหวแน่นะครับ สีหน้าดูไม่ดีเลย” มือใหญ่แตะลงบนหน้าผากนวลที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ “ไม่มีคนสบายดีคนไหนหน้าซีดเหมือนคุณอีกแล้ว เราไปโรงพยาบาลกันเถอะนะ ถือว่าผมขอร้อง”

“ผมยังไปไม่ได้ ผม...ต้องอยู่รอดูให้จบ”

“แต่คุณจะไม่ไหวแล้วนะครีด”

“ผมสบายดี”

“ครีด” คริส อู๋เอ่ยเรียกเสียงอ่อน “ไม่มีคนสบายดีคนไหนหน้าซีดเหมือนคุณอีกแล้วล่ะ ไปโรงพยาบาลกันเถอะนะ”

“ผมยังไหว เข้าใจไหม”

“ไหวแน่นะถึงกับขมวดคิ้วถามซ้ำ เพราะเท่าที่สังเกตมานานเกือบชั่วโมงอดีตโหรหลวงแห่งกรุงลงกาก็มีอาการทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างคริสก็รับปากรณพักตร์แล้วว่าจะดูแลคนข้างกายอย่างดี ถ้าเกิดทำให้พี่ชายแสนดีเจ้าตัวเป็นอะไรขึ้นมา อย่าว่าแต่หายตัวไปอย่างปริศนาเลย กระดูกสักชิ้นในร่างก็คงไม่มีหลงเหลือ

“ผมไม่อยากมีปัญหากับอินนะครับครีด”

“ดูการแสดงต่อเถอะ อย่าสนใจผม ผมไม่ค่อยปวดเท่าไหร่แล้ว”

“งั้นขอจับหน่อยแล้วกัน” คริสเอื้อมคว้ามืออันเย็นเฉียบของชินกฤตจับอย่างแนบแน่น ก่อนนิ้วทั้งห้าจะสอดประสานเข้าด้วยกันจนเป็นหนึ่งเดียว ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งมือลามไปสู่หัวใจ ความเจ็บปวดถูกระงับบรรเทาลงอย่างน่ามหัศจรรย์

ช่างน่าประหลาดใจนัก

‘ในยามที่เจ้าเจ็บปวด พี่จักเป็นคนคลายความเจ็บให้ทุเลาลงเอง’

เชื่อแล้ว...เชื่อจนหมดใจว่าคนคนนั้นกับคริส อู๋คือคนเดียวกัน

“ขอบคุณนะครับ”

“เพื่อครีด แค่นี้ผมทำให้ได้อยู่แล้ว”


เสียงอสุนิบาตรคำรามกึกก้องดุจฟ้าพิโรธ ทำให้พญารากษสจำต้องแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าที่มืดหม่นด้วยความไม่ไว้วางใจ รีบสั่งการให้นางกำนัลผู้ติดตามพานางมณโฑหลบไปอยู่ในห้องเพื่อความปลอดภัย
 
กลองศึกตีกระหน่ำสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน บัดนี้กรุงลงกามหาอสุราที่เคยเต็มไปด้วยความสงบสุขกลับต้องมาลุกเป็นไฟเมื่อกองทัพแห่งพระรามตีบุกเข้ามายังพระราชวัง นัยเนตรพญารากษสทอประกายวาวโรจน์ และเพิ่มความคุกรุ่นเป็นอีกเท่าตัวเมื่อเห็นพระยาพิเภก ผู้เป็นน้องชายอยู่ในสภาพสะบักสะบอมแทบสิ้นชีพ กายาเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยเหวอะหวะจากการเฆี่ยนตีก็ยิ่งโกรธาเป็นการใหญ่ นิ้วชี้หน้าฝ่ายศัตรู กระทืบเท้าลงพื้นเป็นการบ่งบอกอารมณ์ที่โมโหสุดขีด

ศรฤทธิรุทรหนึ่งในสิบอาวุธทรงพลังปรากฏสู่หัตถา ทศกัณฐ์ยืนผงาดท่ามกลางขุนศึกแลไพร่พลยักษานับครึ่งร้อยชีวิต...เป็นภาพที่ทำให้ผู้ชมแทบลืมหายใจ...อาจองค์...ทรงสง่า...สมกษัตริย์ผู้เกรียงไกร

ชั่วขณะนั้น เสมือนฟ้าดินต่างจ้องมองศึกนี้ด้วยใจระทึก

การต่อสู้ระหว่างฝ่ายมนุษย์และยักษ์เต็มไปด้วยความตึงเครียด อลหม่าน ทั้งสองผู้นำทัพต่างผลัดกันรุกและรับอย่างไม่มีใครยอมใคร จอมกษัตริย์แห่งกรุงลงกาแม้ตัวจะบาดเจ็บสาหัส เสียเปรียบฝั่งศัตรูอยู่มากโข แต่ก็มิได้ขอยอมแพ้เพราะตัวเขายึดมั่นเสมอ หากจะตาย ก็ต้องตายอย่างมีศักดิ์ศรี

ในยามนี้ทศกัณฐ์เหมือนคนจนตรอก กำลังตะเกียกตะกายใกล้สิ้นแรงในห้วงมหานที...จ้องมองหนุมานที่ทำท่าทีเยาะเย้ยชูกล่องดวงใจขึ้นเหนือหัว หทัยตระหนักถึงความพ่ายแพ้ของตนอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง  จึงได้แต่นอนรอรับชะตากรรมอันเบื้องหน้า
แต่ทว่าโชคยังพอเข้าข้างอยู่บ้าง เสียงดนตรีพลันเงียบลง....ครั้นนางสีดาปรากฏกายให้เห็นห่างออกไปไม่ไกลนัก ดวงหน้างามเปรอะเปื้อนคราบน้ำตา ในแววตามีแต่ความโศกเศร้าโศกา เจ็บปวดเป็นนิจ

รณพักตร์เผลอบีบมืออีกคนที่กุมอยู่แน่นกว่าเดิม ต่อให้กาลเวลาผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถลืมเลือนสิ่งที่นางสีดาได้เสียสละเพื่อพระบิดาเขาได้เลย กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวไม่แพ้ชายชาตรี แม้ตัวจะตาย ก็ขอให้คนรักรอด เพราะสิ่งนี้เขาจึงยอมรับนางเต็มหัวใจ

“อิน”

“ฉันไม่เป็นอะไร”

จังหวะการบรรเลงดนตรีเบาลงและเศร้าสร้อยเจียนใจจะขาด เพียงแค่ซอสามสายสีเป็นทำนองสูงต่ำเต็มไปด้วยความทุกข์ของผู้หญิงคนหนึ่ง ก็สามารถกลืนกินใจของผู้คนให้ปวดร้าวไปตามกัน

พระรามชี้หน้าต่อว่านางอันเป็นที่รักอย่างตัดพ้อ เพราะนางสีดาเลือกที่จะอยู่กับทศกัณฐ์มากกว่ากลับสู่แดนอโยธาด้วยตน

“แล้วว่าอนิจจาความรัก      พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล
ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป      ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา
บุรุษใดในพิภพจบแดน      ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า
ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา       จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์
เลือกเอาเถิดจะอยู่กับผู้ใด      โปรดจงเร่งเร็วไวตระหนักคิด
เป็นตัวพี่หรือทศกัณฐ์อำมหิต      อย่าได้คิดชักช้าตอบเร็วพลัน”


เมื่อสบดวงเนตรพญารากษส...น้ำพระเนตรพลันเอ่อท้นขึ้นก่อนปรี่ไหลลงข้างพระปราง ด้วยความอาดูร นางสีดาแยงยลชายรักทั้งสองอย่างเลือกไม่ได้ หากไปด้วยพระราม ทศกัณฐ์ก็ไม่รู้จะมีชีวิตรอดหรือไม่ แต่ถ้าเลือกอยู่ด้วยทศกัณฐ์แล้ว...เรื่องราวอันบาดหมางระหว่างมนุษย์และยักษ์ก็คงไม่มีวันสิ้นสุดหรือจบลงสักที

รอยยิ้มคล้ายหยันปรากฏบนริมฝีปากของพระรามอีกครา...มันยากจะเชื่อ...’สตรีนางใดจะไม่รักผู้เป็นพระสวามี?’ คำตอบที่มั่นใจยิ่งว่า...’ไม่มี’

แต่ทว่า...พระรามกลับคิดผิดทุกประการ รอยยิ้มหุบลงฉับพลันเมื่อร่างอรชรเดินกรีดกรายเข้าไปหาทศกัณฐ์ที่นอนหอบหายใจโรยรินบนพื้นเย็นเฉียบ

มันไม่ใช่อย่างที่ซ้อมกันไว้นี่!

ปู่เหนือและครูจันทร์ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายล้วนเบิกตากว้าง ชะงักงัน เกิดอะไรขึ้น ทำไมพ่อเปรมจึงเดินไปหาอสุเรนทร์แทนที่จะเดินกลับเข้าหลังม่านไปพร้อมกับราเมนทร์

“ท่านปู่คะ”

“ตอนซ้อมไม่เห็นมีฉากนี่เลยนี่หว่า เอาเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”

“มันไม่อยู่แล้วค่ะท่านปู่ พ่อเปรมต้องเพิ่มขึ้นเองแน่”

“แล้วเจ้านั่นจะเพิ่มให้มันยืดยาวขึ้นอีกเพื่ออะไรล่ะ”

สองปู่หลานปล่อยให้ความเงียบย่างกรายเพราะไม่อาจเข้าใจได้ว่าพ่อสีดาน้อยคิดกระทำการสิ่งใด จึงได้แต่มองดูอยู่อย่างนั้นเพื่อไม่ให้ผู้คนเกิดความสงสัย

สองมือน้อยโอบประคองพักตร์คมคาย แล้วจรดจุมพิตกลางหน้าผากหัวโขนพญายักษ์อย่างอ่อนโยน เสียงสะอื้นร่ำไห้ทำให้อสุเรนทร์ในคราบนาฏศิลปินทศกัณฐ์เกิดความมึนงง จำไม่ได้ว่ามีฉากเช่นนี้อยู่ในบทประพันธ์ด้วยหรือ

“พี่ทศจ๋า”

“จ๋า...”

“เปรมขอโทษนะ”

“ขอโทษพี่ทำไม” เอ่ยถามผะแผ่วเสียยิ่งกว่าสายลมโบกกระซิบ

“ขอโทษสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา อย่างที่เคยบอกเปรมรักพี่เสมอ ไม่ว่าอย่างไรก็จะรักมิเสื่อมคลาย”

“พี่ก็รักเปรมสุดหัวใจเช่นกัน”

“หากเปรมไม่อยู่แล้ว พี่ก็ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ กินเยอะๆ พักผ่อนให้มากๆ อย่าโหมทำงานหนักมากเกินไปจนเจ็บไข้ล่ะ”
“หมายความว่ายังไง”

“เปรมต้องไปแล้ว เปรมอยู่กับพี่ทศไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”

“เปรม!” น้ำคำกร้าวขึ้น กระแสความน้อยใจแล่นพล่าน “น้องจะไปไหน คิดจะทิ้งพี่ไปไหนอีก หรือว่าน้องคิดทำร้ายหัวใจพี่โดยการเลือกไปอยู่กับมันหรือ”

“เปรมไม่ได้คิดทิ้งพี่ทศไปไหน แต่เส้นทางเดินของเราสองคนมันถึงเวลาต้องแยกจากกันแล้ว”

“!”

“ฝากดูแลครอบครัวเปรมด้วยนะครับ อย่าให้พวกเขาต้องเป็นทุกข์เพราะลูกชายไม่รักดีคนนี้เลย”

“เปรม...อย่าพูดเช่นนั้น ได้โปรดอย่าทิ้งพี่”

คนร่างบางทำเพียงส่งยิ้มบางเบาให้เท่านั้น ก่อนจะลุกเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าราเมนทร์ พลันมือเรียวยกขึ้นลูบแก้มสาก คันศรในมือก็ร่วงหล่นลงกระทบพื้นดังก้องไปทั่วบริเวณ

“ขอบคุณเสมอมานะครับพี่ราม เปรมขอบคุณจริงๆ”

“...”

“ความรักของพี่เปรมรับรู้ถึงมันได้อย่างชัดเจน พี่รามเป็นคนดีและเป็นคนน่ารักสำหรับเปรมเสมอ แต่เปรมไม่สามารถที่จะให้ความรักตอบกลับได้มากกว่ากว่าความเป็นพี่น้องกัน”

ดวงตาคมร้อนผ่าว เจ็บทางกายยังไม่เท่าเจ็บทางใจ เขารู้...รู้ว่าจะต้องได้ยินคำพูดนี้จากปากของเปรมสักวัน รู้ดีว่าตนไม่มีทางได้ใจคนคนนี้มาครอบครอง และตระหนักมาโดยตลอดหทัยดวงน้อยมีเพียงอสุเรนทร์ผู้เดียวมิเสื่อมคลาย
แพ้...เขาพ่ายแพ้แล้วอย่างหมดรูป

“อย่าได้ยึดติดกับเปรมเลย และเปรมเชื่อคนดีๆอย่างพี่จะต้องเจอคนที่เหมาะสมคู่ควรกว่านี้แน่นอน”

“ช่างใจดำเหลือเกินเปมทัต” ฝืนยิ้มตอบกลับ ทั้งที่เจ็บปวดแสนสาหัส

เสียงเพลงบรรเลงขับขานเงียบไปเนิ่นนานแล้ว จิตวิญญาณครึ่งหนึ่งแห่งนางสีดาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกและปล่อยออกมายาวเหยียด มืออันสั่นระริกค่อยๆยกขึ้นอย่างแช่มช้า หมายจะหยิบสิ่งของที่ซ่อนไว้ภายใต้ผ้าห่มนาง ให้ประจักษ์แก่สายตา
อสุเรนทร์เบิกเนตรกว้างเมื่อคมมีดสีเงินสะท้อนแสงไฟวาววับถูกกดลงไปที่อกข้างซ้ายตำแหน่งของหัวใจของคนร่างบางอย่างน่าหวาดหวั่น

นั่นมัน...กริชในครั้งก่อนนี่!!

หัวใจราเมนทร์กระตุกวูบ เขาเก็บซ่อนมันไว้อย่างดีโดยไม่ให้ใครรู้ แม้แต่ศุภลักษณ์น้องชายของเขาเองก็ตาม แล้วเหตุใดกริชงาช้างด้ามนี้จึงมาอยู่กับเปรมได้

“เปรม!”

“เปรมอย่า!”

ร่างโปร่งแสงของนางสีดาปรากฏตัวพร้อมฉีกยิ้มทั้งน้ำตาเพื่อเป็นการขอบคุณและขออภัยที่ทำให้ชายหนุ่ม ผู้เป็นจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งแห่งตนต้องมีจุดจบเลวร้ายเช่นนี้

ผมทำตามที่คุณต้องการแล้วนะครับ

‘ขอบน้ำใจเจ้านัก...แลโปรดอภัยให้ข้าด้วยพ่อเปมทัต’


เปรมกัดปากล่างตนเพื่อสกัดกั้นความเจ็บปวดทันทีที่ปลายกริชกดเข้าเนื้อขาวผุดผ่องลึกกว่าเดิมจนมีเลือดไหลซึมออกมา ดวงดาวลุกขึ้นทำท่าจะวิ่งไปหาลูกชาย หากทว่าร่างกายที่หนักอึ้งทำให้เกิดอาการซวนเซจนผู้เป็นสามีต้องกอดรัดเอาไว้ไม่ให้ล้มไปเสียก่อน หญิงวัยกลางคนน้ำตาไหลเป็นสาย หัวใจเจ็บแปลบยามเห็นปลายกริชทิ่มแทงร่างของลูกชาย

“เปรม! เปรมลูกแม่ คุณปล่อยฉันสิ ฉันจะไปหาลูก ฮือ เปรมอย่านะลูก”

“ดาว...ใจเย็นๆนะ”

“พี่แอ๊ด พาฉันไปหาลูก ฉันจะไปหาลูก ฮือๆ เปรมอย่าทำมันเด็ดขาดนะลูก แม่ขอล่ะ”

“เปรม ทิ้งไอ้นั่นลงซะ ได้ยินคำของพ่อไหม...ปะคุณ ผมจะหาคุณลงไปหาลูกเดี๋ยวนี้”

คนร่างบางแหงนมองพ่อ แม่ รณพักตร์ ชินกฤต ปู่เหนือ ครูจันทร์ร่วมถึงพี่ๆน้องในกรมศิลป์อย่างเลื่อนลอย ก่อนจะหันกลับมาสบตาสองกษัตริย์ผู้เกรียงไกรอีกครั้งหนึ่ง น้ำตาเม็ดโตไหลผ่านจากพวงแก้มสู่ปลายคาง ก่อนจะดิ่งตัวหยดลงแตกเป็นเม็ดเล็กบนพื้นเฉกเช่นเดียวกับใจที่กำลังจะแตกสลายในไม่ช้า


“ลาก่อน...”





ฉึก!





“เปรม...................!!!!!”





 :a5: :a5: o22 o22
โอย อยากจะร้องไห้ ไม่ว่าจะอ่านกี่รอบก็ยังเศร้า TT
ตอนหน้าจะจบแล้วนะคะ เวลาผ่านไปเร็วมากจริงๆ ไม่คิอว่าแป๊บๆก็จะจบแล้ว
ใครอยากเม้นอะไร กรีดร้องดังแค่ไหน สาดมาให้เราได้เต็มที่เลยนะคะ
เฮ้อ มีความปวดใจ
พรุ่งนี้เราสัญญาจะมาต่อตอนจบให้ แต่ขอเม้นกันหน่อยน้าาาา
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 03-02-2017 19:46:17
 :z3:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 03-02-2017 19:52:44
ว่าแล้วววววว โอ้ยนออออออออ นางสีดาพอใจแล้วเนาะ แทงให้แล้ว เปรมอย่าตายนะะ
วงวารใจพี่ทศ คนรักตายต่อหน้าบ่อยเกิ้น
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 03-02-2017 21:24:58
 :katai1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: เล็กต้มยำ ที่ 03-02-2017 21:32:04
 :katai1: :katai1: :katai1:
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 03-02-2017 23:38:06
 :monkeysad: :sad11: :sad4: :hao5: :ling3: :ling3: :ling3: :m15:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 03-02-2017 23:52:01

ขอเวลาทำใจแปป :o12:

โอ๊ย.............

ปวดใจ

หวังว่าจะไม่มีเรื่องร้าย

มันเป็นเพียงภาพลวงตา.....

รอขอรับ



หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 04-02-2017 09:07:19
งือ คู่อินลักษณ์น่ารักอ่ะ คู่ตัวเล็ก

ส่วนน้องเปรม หนูจะไม่เป็นไรใช่ไหมลูก พี่ทศต้องช่วยหนู สวรรค์จงเห็นใจ

จบแฮปปี้เอนดิ้งๆๆๆๆๆๆ :call:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 04-02-2017 09:34:44
โอ้ยยยยย รับไม่ได้ ขอเวลาทำใจด่วนๆๆๆๆๆ :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 04-02-2017 15:41:21
ทำร้ายจิตใจมากไปแล้วตอนนี้อ่ะ :o12:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 04-02-2017 22:19:18
โอ้ยตายๆๆๆๆๆ แล้วเปรมจะเป็นไงต่อนะ

ฮือออออ หวังว่าบ่วงกรรมคงหลุดซะทีนะ

งานนี้พี่ทศใจสลายอีกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 05-02-2017 05:58:47

รอฉันรอเธออยู่.....

เข้ามาดูอีกรอบ....

มาต่อเถิดขอรับ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนที่๒๖ ทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)3/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-02-2017 11:15:20
เปรมจะรอดไหมอ่ะ สงสารคู่นี้จริง ต่อด่วน

ิิอินลักษณ์ คู่นี้น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบ ครึ่งแรก (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้วว
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 05-02-2017 19:04:28



อวสาน




“เปรม...................!!!!!”

อสุเรนทร์ตะโกนสุดเสียง มือที่เตรียมไขว่คว้ากลายเป็นต้องประคองร่างของคนที่ตนรัก...เลือดสีแดงสดไหลซึมเปรอะเปื้อนเครื่องทรงนางก่อนจะขยายตัวเป็นวงกว้าง ฝ่ามือใหญ่สั่นระริกยกขึ้นประคองใบหน้าซีดเผือดด้วยหัวใจร้าวราน นัยเนตรแดงก่ำคล้ายรื้นด้วยน้ำตาอยู่ไม่น้อย ริมฝีปากขยับเอื้อเอ่ยแผ่วเบา...

ไม่จริง

เป็นไปไม่ได้...

ดวงตาหวานล้ำปิดลงสนิท พร้อมกับลมหายใจที่ขาดหายไปได้สักพักใหญ่ ทุกชีวิตตกอยู่ในวังวนแห่งความตื่นตะลึง นิ่งงัน ไม่มีแม้แต่เสียงลมหายใจ หรือสายลมรำเพยพัด

“เปรมจ๋า...น้องน้อยของพี่”

“...”

“ตื่นมาสิ ตื่นขึ้นมามองพี่ก่อน”

“...”

“ไหนบอกจะไม่ทิ้งพี่ น้องโกหกพี่หรือ” พญารากษสร่ำไห้โศกาแทบขาดใจ พญารากษสร่ำไห้โศกาแทบขาดใจ ฟันบนขบลงบนริมฝีปากล่างแตกจนเลือดไหลซึมออกมาเล็กน้อย

“น้องจะทิ้งพี่ไปอย่างนี้ไม่ได้นะ ตื่นขึ้นมาสิ พี่บอกให้ตื่นขึ้นมา!” เสียงสั่นเครือแผดร้องกึกก้องสะท้านทั่วอาณาบริเวณ ดุจเสียงโหยหวนแห่งวิญญาณในนรกภูมิที่ปวดร้าวทนทุกข์กับทัณฑ์ทรมาน

ราเมนทร์แทบไร้สติ ราวหัวใจหยุดเต้นไปชั่วครู่หนึ่ง ขาแกร่งก้าวเดินอย่างอ่อนแรงก่อนทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าร่างไร้วิญญาณที่อยู่ในอ้อมกอดของอสุเรนทร์ แม้น้ำตาไม่ได้ไหลรินเช่นอีกคน หากแต่ใจก็เจ็บปวดทรมานมิต่างกัน

ไม่คิดเลยว่าเปรมจะกล้าตัดสินใจทำเช่นนี้

แต่คนร่างบางจะทำไปเพื่อสิ่งใด

“เปรมจ๋า ฮึกๆ อย่าทิ้งพี่ไป น้องจ๋า ลืมตาขึ้นมาก่อนได้ฤาไม่ พี่ใจจักขาดอยู่รอนๆแล้วหนา ฟื้นเถิดยอดรักของพี่”

“เปรมเขาไปแล้ว” ราเมนทร์สูดลมหายใจระงับน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาอย่างยากเย็น หากแต่อสุเรนทร์ส่ายหน้าพัลวันอย่างไม่ต้องการยอมรับคำ ก้มหน้าลงหน้าผากแนบหน้าผาก น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลกระทบพวงแก้มซีดขาว

“หาไม่ เปรมเขาแค่เหนื่อยแลเผลอหลับไป เขายังมิได้จากข้าไปไหน เจ้าอย่าคิดมาหลอกข้าเลยราเมนทร์”

“จงยอมรับมันเสียเถิดทศกัณฐ์ เปรมเขาจากพวกเราไปโดยแท้”

อสุเรนทร์ผินหน้าหาราเมนทร์ด้วยดวงหทัยตรอมตรม “ไม่...ข้ามิเชื่อเจ้าดอก เจ้ามันคนขี้โกหก ข้ามิเชื่อ!”

“พระบิดา!”

รณพักตร์ที่เพิ่งวิ่งขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับศุภลักษณ์ ชินกฤตและพ่อแม่ของเปรมต่างปิดปากตะลึงค้าง ปลายกริชที่นอนนิ่งบนพื้นยังคงมีคราบเลือดติดอยู่เล็กน้อย ดวงดาวที่เห็นถึงกับทรุดลงอย่างหมดแรง คลานเข้าไปหาลูกชายด้วยใจที่ปวดร้าวแสนสาหัสราวกับจะปริแตกแยกจากกันในไม่ช้า

“เปรม ฮือ เปรมลูกแม่ ทำไมถึงกับแม่อย่างนี้ ฮึกๆฮือ...”

“ดาว”

“พี่แอ๊ด เปรม...ลูกของเรา”

“เขาไปสบายแล้ว เราทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว” กษิดิษโอบกอดผู้เป็นภรรยาอย่างต้องการปลอบประโลม หากแต่ใจเขาก็เจ็บปวดมีสภาพไม่ต่างจากคนหลายคนตรงนี้มากนัก

‘เปรม นั่นอะไรน่ะ คิดยังไงเอาของมีคมมาเล่นล่ะหือ...ระวังจะพลั้งแทงเข้าเนื้อตัวเองเสียหรอก คราวนี้พิการขึ้นมาพ่อไม่อยู่ดูแลนะ’

‘ไม่ต้องห่วงครับพ่อ ถ้าเปรมไม่ตั้งใจแทงเสียอย่าง ก็ไม่มีทางทิ่มเข้าเนื้อตัวเองหรอกครับ’

‘พ่อมีลูกชายคนเดียว จะหยิบจะจับยังไงก็ระวังเอาไว้แล้วกัน เข้าใจที่พ่อพูดใช่ไหม’

‘เข้าใจครับ’

‘แม้พ่อจะไม่ค่อยชอบพูดคำนี้สักเท่าไหร่ แต่...พ่อรักเปรมนะ ลูกชายที่ดีที่สุดสำหรับพ่อแอ๊ด’

‘ผมก็รักพ่อเหมือนกันครับ รักแม่ด้วย’


“ท่านพี่ทศ...” ชินกฤตครางเรียกเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ที่ตระกองกอดร่างไร้ลมหายใจอยู่ในสภาวะเหมือนคนไร้สิ้นสติ อสุเรนทร์เบือนสายตามองคนเรียกอย่างเชื่องช้า

“พะ...พิเภกเจ้าช่วยเปรมหน่อยได้ฤาไม่ ช่วยให้น้องฟื้นขึ้นมาที”

“โชคชะตากำหนดไว้แล้ว เปรมเลือกทางเดินของเขาเอง ข้ามิอาจช่วยเหลือเขาได้”

“ต้องช่วยสิ ได้โปรดเถิด ช่วยเขา...ช่วยเขาที”

“ยอมรับเสียเถิดท่านพี่ เปรมมิได้อยู่กับเราแล้ว”

“ไม่...ไม่!”

อสุเรนทร์สูดลมหายใจ ร่ำไห้รำพันไม่เป็นภาษา ตระกองกอดร่างไร้ลมหายใจไว้แนบอก รณพักตร์แสนเศร้าสะเทือนใจ แต่ยังคงมานะเด็ดเดี่ยวกล่าวให้กำลังแก่ผู้เป็นทั้งพระบิดาและเจ้าชีวิต เป็นอีกครั้งที่หัวใจพญารากษสต้องเจ็บปวดเสมือนจะตายทั้งเป็น

“ทำไมต้องเป็นเช่นนี้ด้วย”

“การเปลี่ยนภพชาติมิได้หมายถึงจุดสิ้นสุด มิได้หมายถึงทุกประการจักจบสิ้น พระบรมศาสดาตรัสไว้...ตัณหา และอุปาทาน  ความยึดมั่นถือมั่นคือปัจจัยให้เกิดวงล้อแห่งวัฏฏะ

จากศึกรบศึกรัก สัจจาอธิษฐานอันแรงกล้าของชายทั้งสองผู้ผูกนวลนางไว้ด้วยความรักสู่ภพภูมิปัจจุบัน ทำให้จิตวิญญาณของนางสีดาไปกำเนิดเป็นเปมทัต...

สัจจาอธิษฐานทำให้เปรมต้องมาพบกับทศกัณฐ์และพระรามที่ยอมใช้ชีวิตอยู่อย่างอมตะ เพื่อหวังที่จะได้เคียงคู่กับคนรักสักชาติหนึ่ง

และด้วยประการทั้งปวง มันคือการล่วงละเมิด ‘กฎ’ แห่งธรรมชาติ!

ดังนั้น หากกงล้อแห่งวัฏฏะความทะยานอยากยังต้องหมุนวนอยู่ชั่วนิรันดร ทั้งสามก็คงต้องว่ายวนอยู่ในห้วงกรรมต่อกันอย่างไม่จบสิ้น...

ราเมนทร์และอสุเรนทร์อาจมิรู้...

หากชินกฤตก็เพิ่งรู้แจ้งแก่ใจไม่นานนัก...มันคือเส้นทางที่คนร่างบางเลือกที่จะเดินและตัดมันให้ขาดสิ้นด้วยตนเอง...จุดจบโศกนาฏกกรมแห่งความรักสามเส้าที่ยืดเยื้อมานานนับพันปี!

“สีดา”

“เพคะ” หญิงสาวตอยอย่างเอียงอาย

“เมื่อใดที่ได้ยินเสียงนี้ จงอย่าลืมว่าพี่คือพี่รามที่รักเจ้าหมดหัวใจ”

“หากพี่มิได้เคียงกายเจ้า เผ่าพงศ์อื่นก็อย่าหวังจักได้เชยชมเจ้าเช่นกัน”




‘พี่ท่านคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับน้อง’

‘พี่รักเจ้าเหลือเกินสีดา’

‘น้องก็รักพี่รามเจ้าค่ะ รักสุดหัวใจ จนมิอาจรักใครได้อีก ไม่ว่าพี่ท่านอยู่แห่งหนใด โปรดพึงระลึกเสมอหัวใจของน้องเป็นของพี่ผู้เดียว’




‘พี่ให้เจ้าเพราะอยากให้’

‘น้องมีเครื่องประดับมากมาย แค่ที่ใส่อยู่ก็หนักหนานัก’

‘ถอดชิ้นอื่นแลใส่กำไลของพี่สิเจ้า พี่ปรารถนาให้ผู้คนได้รู้โดยทั่วกันน้องคือยอดหัวใจของพี่...สีดา’

‘น้องจักเก็บรักษามันอย่างดีจนกว่าชีวิตน้องจักหาไม่เพคะ’




‘ข้าไม่ได้ทำเพื่อแก้แค้นพระราม แต่ข้าทำเพื่อหัวใจตัวเอง’

‘...’

‘ข้าขอสาบาน ข้าจักรักแลดูแลสูเจ้าให้ดีกว่ามันผู้นั้น รักให้มากเสียยิ่งกว่ายิ่งชีวิตนิรันกาลของข้า แลหากข้าผิดคำสาบาน ขอให้ตายด้วยน้ำมือเจ้าแต่เพียงผู้เดียว’





“ข้ารักเจ้า...รักเจ้ามากเหลือเกิน”

“พี่ท่านจักรักน้องนานเท่าใดเจ้าคะ”

“ตลอดชั่วกาล...”

“ทุกภพ...ทุกชาติหรือเจ้าคะ”

“ทุกภพทุกชาติไป!”




“ลมหายใจครึ่งหนึ่งของพี่ ฝากเจ้าดูแลด้วย”

“พี่ไม่มีวันทอดทิ้งน้องไปไหน เพราะหัวใจของพี่ ลมหายใจของพี่ กายของพี่ล้วนเป็นของน้องเพียงคนเดียว พี่รักเปรมนะ”

“เปรม...ก็มีบางอย่าง...บอกพี่เหมือนกัน”

“เปรมรักพี่ทศครับ”




“เปรมจ๋า...พี่รักเจ้า...รักเจ้าแทบขาดใจ” อสุเรนทร์หลับตา พรมจูบหน้าผากเย็นชืดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนแนบแก้มลงบนกลุ่มผมดำสลวย โยกตัวไปมาเบาๆราวต้องการกล่อมเด็กน้อยในอ้อมแขนให้เข้านิทราหลับใหล หัวใจพญารากษสกำลังแตกสลายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในใจครุ่นคิดถึงวิธีการนำน้องน้อยคืนสู่ตน...แต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่มีวิธีไหนเลยที่สามารถช่วยได้จริง

จะเว้นเสียแต่...

“ท่านพี่ทศ” ชินกฤตส่ายศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย เมื่อทราบถึงความคิดของคนเป็นพี่ชาย “ขอร้องอย่าทำ อย่าเด็ดขาด”

“ทำอะไรหรือครับอากฤต”

“ท่านพี่ทศ”

“พิเภกเอ๋ย...” อสุเรนทร์เอื้อนเอ่ยผ่านริมฝีปากแผ่วปานสายลมกระซิบ” เจ้าน่าจักเข้าใจพี่ดี พี่หาอยู่ได้ไม่หากมิมีเปรมอยู่เคียงข้าง”

“แต่ลมหายใจนิรันดร์กาลใช่ไม่ได้อีกแล้ว!”

“ข้ารู้...”

“ท่านพี่รับปากกับข้าแล้วว่าจักมิกระทำการสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตอีก แต่ท่านก็ยังคิดจักทำมันอีก...ได้โปรดจงไต่ตรองให้สิ้น...ท่านยังมีข้า มีเจ้าอิน มีทุกคนที่พร้อมอยู่เคียงข้างท่านเสมอ ท่านมิได้อยู่เดียวดาย”

“ขอบน้ำใจเจ้านัก แต่มันหาได้เหมือนกันไม่”

อสุเรนทร์กดหน้าลงต่ำไม่ยอมสบตากับผู้เป็นน้อง อนุชาแห่งกษัตริย์กรุงลงกาทรุดลงกับพื้น จับท่อนแขนแกร่งพยายามอ้อนวอนพร้อมน้ำตานองหน้า

“ได้โปรดเห็นแก่ข้าสักครั้งเถิด”

“...”

“ได้ไหมขอรับท่านพี่ทศ”

“เจ้าก็รู้ เมื่อพี่ตัดสินใจแล้วไซร้...สิ่งใดฤาผู้ใดก็มิอาจขวางทางได้” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของอสุเรนทร์ ก้านนิ้วหนาปาดคราบน้ำตาออกจากซีกแก้มอุ่นของผู้เป็นน้องชายแผ่วเบา “แม้นมิสามารถใช้ลมหายใจนิรันดร์กาลได้ หากแต่ตัวพี่ก็ยังมีอีกหนึ่งที่สามารถทดแทนและมอบมันให้กับเปรมได้เช่นกัน”

“แต่ท่านจักต้องตาย!”

“เดี๋ยวก่อนครับ พระบิดาท่านพูดอะไร อินไม่เข้าใจ...พระบิดาคิดจะทำอะไรครับอากฤต อาบอกผมบ้างสิ”

“พิเภก”

“ขอรับ”

“โกรธพี่ฤาไม่” คำถามแหบพร่า ขณะอีกฝ่ายสั่นศีรษะตอบ

“พี่มิมีอันใดจักมอบให้เจ้า นอกจากคำว่าขอบน้ำใจเจ้านักแลดีใจที่ได้เจ้ามาเป็นน้องชาย ชีวิตของพี่เหนื่อยมามากพอแล้ว จักอยู่ต่อไปมันก็คงไร้ประโยชน์”

“ท่าน ฮึกๆ พี่ทศ”

“เจ้าอิน มานี่”

อสุเรนทร์แหงนหน้าขึ้นมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ยกมือข้างนึ่งกวักเรียกอย่างอ่อนแรง รณพักตร์สะอึกสะอื้นคลานเข่าเข้ามาพร้อมก้มลงกราบอย่างสุดอาลัย

“พระบิดาขอรับ ฮึกๆ ฮือ...พระบิดา”

“อย่าร้องไห้ น้ำตามิเหมาะกับเจ้าสักนิด”

“จักไปจากลูกจริงแท้ฤา มิรักลูกแล้วฤา”

“พ่อรักเจ้าเสมอมาอินทรชิต แต่พ่อมิมีแรงจักอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป หลายภพหลายชาติที่ต้องอยู่มาด้วยความเจ็บปวด จักรักก็มิได้รัก จักครองคู่ก็ต้องพลัดพรากจากกันไกล มันทำให้พ่อเหนื่อยเหลือเกิน” เว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “พ่อเคยคิดขอให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย หากยังมิได้เคียงคู่นางอันเป็นที่รัก พ่อจักขอยอมปลิดชีวิตอมตะของตนเสีย”

“ฮือๆ พระบิดา...”

“คนเราล้วนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย แลเพลานี้ก็ถึงเวลาที่พ่อจักต้องกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิมเสียที...พระราม” ฝ่ามือกดทับบ่ากว้างและบีบเบาๆ “ทุกสิ่งแลทุกอย่างที่พวกเรามีเวรกรรมต่อกัน ก็ขอให้หมดสิ้นเสียในเพลานี้ ข้าอโหสิกรรมให้เจ้า แลขอให้เจ้าอโหสิกรรมแก่ข้าด้วย”

“ข้าอโหสิกรรมให้เจ้า...ทศกัณฐ์” รอยชื้นฉายเงาขึ้นที่ดวงตาชั่วแวบเดียวก่อนสลายวับ เป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเผ่าพงศ์รากษสที่เป็นปริปักษ์กันมาช้านาน

“คุณพ่อ คุณแม่” อสุเรนทร์หันหน้าหาสองสามีภรรยาที่นั่งร่ำไห้ไม่ไกลจากเขานัก “ขออภัยที่ทำให้ลูกของท่านมีจุดจบที่น่าเศร้าเช่นนี้ ทุกอย่างมันเป็นเพราะข้า เพราะข้ารักยึดติดในรักมากเกินไปจึงส่งผลให้เวรกรรมที่มีร่วมกันมิอาจคลี่คลายสูญสลายเสียที” ถ้อยคำอันแผ่วล้าดังขึ้น ทำให้ดวงดาวและกษิดิษหันมามองผู้กล่าวพร้อมน้ำตา

“ฮึก ฮือ...”

“ข้าผิดต่อเปรมนัก จึงจำต้องชดใช้ด้วยกายแลวิญญาณ” ผินหน้าไปสั่งเสียรณพักตร์ วิธีพูดเบาหากช้าชัด ราวต้องการเน้นย้ำให้คนฟังปฏิบัติตาม

“ฝากดูแล เขา ด้วยหนาเจ้าอิน”

“ขอรับ พระบิดา”

เมื่อไม่มีสิ่งใดต้องกังวลให้เป็นทุกข์อีก อสุเรนทร์จึงประทับจูบนุ่มนวลบนริมฝีปากคนรักเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนหลับตารวบรวมจิตให้ตั้งมั่น ปลดเปลื้องความรักอันเป็นโลกีย์วิสัย และมอบชีวิตใหม่ให้แก่คนที่คู่ควร


ทั่วสรรพางค์กายพญารากษสเปล่งประกายสีทองเรืองรอง ปรากฏร่างสูงใหญ่ เนื้อกายสีเขียวมรกต เครื่องหน้าคมคายรับกับดวงเนตรคมเข้มและเขี้ยวยาวขาวเหลือบมุกที่โค้งขึ้นมาจากมุมริมฝีปากทั้งสองข้าง ฝ่ามือหนาขย้ำลงแผ่นอกตรงตำแหน่งหัวใจ
น้องเคยช่วยพี่ไว้ในคราก่อน หากในครานี้พี่ก็จักขอตอบแทนน้องบ้าง...

ก้อนเนื้อเท่ากำปั้นที่ฝังแน่นอยู่ในอกตลอดเวลาพันปี บัดนี้กลับลอยเด่นอยู่ในอุ้งมือแห่งราชันย์ มันเต้นตุบตับแสดงถึงเวลาแห่งชีวิตที่ยังคงดำเนินเดินต่อไป หัวใจดวงใหญ่ค่อยๆเคลื่อนเข้าฝังเข้าไปบริเวณตำแหน่งหัวใจของร่างใหม่แทนที่ร่างเก่าอย่างเขา...วงกำไลทองที่สวมติดข้อมือขวาของร่างสูงส่องแวงวูบวาบเป็นสองครั้ง...ยาวนานนับนาทีก่อนจะดับแสง กำไลนวลนางแตกหัก แยกออกจากกันเป็นสองท่อน

อสุเรนทร์ยังคงจำคำกล่าวของพระฤๅษีโคบุตรได้ดี

‘ทศกัณฐ์เอ๋ย...จงเก็บรักษากล่องดวงใจนี้ให้ดี อย่าเก็บไว้ใกล้ตัวเพราะดวงใจจักแล่นคืนสู่ร่าง หากหัวใจกลับคืนสู่ร่างในคราใด เจ้าจักมิสามารถถอดออกมาได้อีกนอกจากสังเวยวิญญาณด้วยความตาย’

ริมฝีปากซีดเซียวขยับเอื้อนเอ่ย “เวลาแห่งชีวิตที่เหลือของบุรุษผู้มีนามทศกัณฐ์...จักขอมอบให้เพียงแค่เจ้า...พี่มิขอเอ่ยสัจจาสาบานต่อฟ้าดิน...หากแต่สวรรค์มีตา เห็นใจในความรักของเราสอง โปรดจงให้พวกเรากลับมาเจอและครองคู่กันอีก”
สองอาหลานก้มหน้ายอมรับการตัดสินใจของอสุเรนทร์ ก้มลงกราบลาผู้เป็นดั่งเจ้าชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย...เปลือกตาสีเข้มขยับและปิดลงอย่างช้า ๆ...


ริมฝีปากของอสุเรนทร์ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มเบาบาง...พร้อมวงแขนแกร่งโอบกระชับร่างแน่งน้อยด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด

ลมหายใจแผ่วลง....แผ่วลงเรื่อย...



มิว่าสิ่งใดพี่ก็ให้เจ้าได้



แม้กระทั่ง...








และหยุดในที่สุด....







ทศกัณฐ์สิ้นชีพเคียงข้างคนที่รัก สิ้นสุดชะตากรรมของสงครามความรักระหว่างพญารากษสสิบเศียร พระนารายณ์อวตาร และนางสีดา

‘ฝากดูแลหัวใจของพี่ด้วย...เปมทัต’










-จบบริบูรณ์-











ซะเมื่อไหร่ 55555
อ่านต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบ ครึ่งหลัง (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Lalita ที่ 05-02-2017 19:14:05



5 ปีต่อมา...




รถทรงยุโรปคันหรูเคลื่อนเข้าจอดสนิทใกล้ต้นไทรสูงใหญ่ภายในวัดมีชื่อแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดอยุธยา ชินกฤตและคริสก้าวลงจากรถส่วนตัวพร้อมสำรับอาหารคาวหวานที่เตรียมมาถวายหลวงพ่อเจ้าอาวาส ทั้งสองก้าวไปยังศาลาเบื้องหน้าเฉกผู้คุ้นเคยสถานที่ ขณะจะก้าวบันไดพลันต้องชะงักกึก เพราะมีเสียงใครมาบางคนดังขึ้น

“มาแล้วรึโยมกฤต โยมคริส”

“สวัสดีครับ หลวงพ่อ” ชินกฤตหันไปยกมือไหว้ด้วยท่าทีนอบน้อมขณะมองเห็นภิกษุวัยชรายืนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ “ทำไมมายืนตรงนี้ล่ะครับ?”

ผู้ครองเพศบวชอมยิ้มอ่อนโยน ลอบมองชายหนุ่มต่างชาติต่างถิ่นที่เดี๋ยวนี้แวะมาเยี่ยมเยียนตนพร้อมกับบุคคลร่างสูงสันทัดเป็นประจำ

“รอพวกโยมอยู่น่ะสิ”

“รอพวกผมหรือครับ” คริส อู๋ที่ตอนนี้พูดภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่วไม่แพ้ภาษาบ้านเกิดของตนเอง เกิดความสงสัยจึงเลือกที่จะเอ่ยถามหลวงพ่อไม่ได้

“ใช่น่ะสิ...อีกตั้งชั่วโมงกว่าจะฉันเพล เข้าไปคุยกันในกุฏิหลวงพ่อก่อนดีกว่าไหม?”

“ได้ครับหลวงพ่อ” ผู้มาเยือนรีบตอบรับคำ ขณะผู้ทรงศีลหันกายกลับ สาวเท้าไปยังกุฏิที่พำนัก ซึ่งห่างจากจุดสนทนาในตอนนี้ไม่เท่าใดนัก

ชายหนุ่มทั้งสองก้าวตามภิกษุวัยชราด้วยศรัทธาแรงกล้า แม้ครั้งนี้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้มากราบนมัสการ หากมากครั้งกว่าที่เคยมา นอกจากธรรมะลึกซึ้งที่ผ่านออกจากปากของท่านด้วยภาษาที่เรียบง่ายกับกระแสแห่งความเมตตาจิตที่แผ่ออกมาให้ทุกคนได้รับรู้ หลวงพ่อผู้นี้ก็มิเคยแสดงอำนาจฤทธิ์ใดๆ ให้เห็นแม้แต่ครั้งเดียว

ส่วนใหญ่ที่หลวงพ่อมักจะกล่าวแก่ญาติโยมคือ ผลของกรรม ท่านมักเน้นย้ำเสมอว่า “กรรมดีทำยากแต่ก็ควรกระทำเป็นนิจ ส่วนความชั่ว หากตัดมันไปเสีย ชีวิตก็จะเป็นสุขหลายเท่า”

ชินกฤตกวาดสายตามองรอบๆตัว หลังจากเข้าไปข้างในกุฏิ ทุกอย่างยังคงเป็นเช่นครั้งก่อนๆที่เห็นเคย ไม่มีสิ่งของเกินความจำเป็น และมากไปกว่าสถานที่ผู้ยึดมั่นในการปฏิบัติธรรมดี ปฏิบัติตน สู่มรรคผล...นิพพานตามรอบพระบาทของพระบรมศาสดา
“หลวงพ่อไม่ได้ใช้พัดลมหรือครับ?” คนเป็นลูกศิษย์เอ่ยถามเพราะจำได้ว่าครั้งก่อนที่มายังเห็นแขวนไว้อยู่บนเพดาน แต่ทว่าตอนนี้กลับไร้ซึ่งสิ่งของสิ่งนั้น

“เมื่อก่อนก็ใช้บ้าง ฉลองศรัทธาญาติโยมที่ซื้อมาถวาย” ผู้ตอบหัวเราะหึๆ ในลำคอ “แต่หลวงพ่อเพิ่งจะถวายให้พระลูกวัดไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนโยมมานี่เอง”

“อ้าว” คริสทำตาโต “แล้วหลวงพ่อไม่ร้อนแย่หรือครับ ขนาดผมเปิดเครื่องปรับอากาศนอนเล่นในบ้าน ยังร้อนอยู่เลย”

“ก็ช่างมันเสียสิ ร้อนกายนิดหน่อยไม่เห็นจะเป็นอะไร สู้อย่าร้อนใจเป็นพอ”

“แหะๆ นั่นสิครับ”

“วันนี้คนในครอบครัวโยมกฤตไม่มาทำบุญด้วยกันที่นี่หรอกหรือ”

“ก่อนหน้าราวครึ่งชั่วโมงผมโทรไปเห็นบอกเข้าสู่เขตจังหวัดอยุธยาแล้ว อีกไม่นานก็คงถึง” อดีตรากษสหนุ่มผู้เคยใช้ชีวิตเป็นดั่งอมตะมาหลายภพชาติ บัดนี้กลับละทิ้งจากสิ่งที่เป็น และหันมาใช้ชีวิตธรรมดาเฉกเช่นมนุษย์เดินดินทั่วไป ที่สามารถเกิด แก่ เจ็บและตายได้ตาม วัฏจักรของธรรมชาติ เจ้าตัวเว้นวรรคหายใจเล็กน้อยจึงกล่าวต่อ...

“หลวงพ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ตัวหลวงพ่อน่ะไม่มี แต่พระหนุ่มอีกรูปเขาอยากเจอพวกโยม โดยเฉพาะคนที่ยังเดินทางมาไม่ถึง”

“นั่นสิครับ อย่าว่าแต่หลวงพี่เลย พวกผมเองก็อยากเจออยากพูดคุยกับหลวงพี่ท่านเหมือนกัน ไม่ได้มาเยี่ยมตั้งหลายเดือน ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง”

เจ้าของกุฏิทอดสายตามองผู้มาเยือนทั้งสองด้วยสายตาอ่อนโยน ท่านเอ่ยวาจานุ่มนวลเสนาะหูยิ่งนัก

 “ไม่ต้องห่วง หลวงพี่ของโยมก็สบายดีตามภาษาผู้รู้แจ้งในธรรมนั่นล่ะ ถ้าพวกโยมสองคนอยากจะไปหาหลวงพี่ของโยมก่อนก็ไปนะ ไว้เจรจากันเสร็จค่อยมาคุยกับหลวงพ่อหลังจากฉันเพลต่อก็ได้”

“ได้หรือครับ”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

“งั้นหลวงพ่อพอทราบไหมครับว่าหลวงพี่ท่านอยู่ไหน”



แดดอ่อนยามสาย สาดส่องทะลุใบไม้ลงมาเป็นดวงพราวบนพื้นอิฐเทาและแดงสลับกันไป เสียงระฆังใบโพธิ์ตามชายคาวิหาร อุโบสถ และกุฏิส่งเสียงกรุ้งกริ้งตามสายลม

ร่างของพระภิกษุสงฆ์รูปงาม ผิวพรรณเรือนรองปรากฏอยู่ในสายตาของทั้งสอง ก่อนจะกลายเป็นสี่เมื่อคู่รักหวานแหววแห่งปีเดินเข้ามาสมทบ

“มานานหรือยังครับอากฤต” รณพักตร์เอ่ยกระซิบถามขณะเขย่งปลายเท้ามองพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งกำลังกวาดเศษใบไม้บนลานกว้างบริเวณพระอุโบสถ ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานองค์พระประธานสีทองสุกใสสูงเด่นเป็นสง่า แม้จะมองจากทางด้านนอกก็ตามที “แล้วทำไมไม่เข้าไปคุยกับท่านล่ะครับ มายืนมองอะไรเงียบๆกันอยู่ตรงนี้”

“อาอยากจะรอให้คนมาครบก่อน”

“เอาจริงเหรอครับ แต่อีกนานไหมกว่าพวกเขาจะมา โทรไปถามไหม...คืออินไม่ได้รีบนะ แค่อินกับลักษณ์อยากจะเข้าไปเม้าท์มอยกับหลวงพี่ท่านเฉยๆ”

“ขนาดไม่รีบนะเจ้าอิน...คงอีกสักพักแหละกว่าพวกเขาจะมาถึง ถ้าเจ้ากับลักษณ์รอไม่ไหวก็รุดหน้าเข้าไปหาท่านก่อนเลย ไว้คนที่เหลือมาถึงเมื่อไหร่อาค่อยตามไปสมทบ...ว่าแต่กบินทร์อยู่ไหนเสียล่ะ ตามมาด้วยหรือเปล่า”

“ไม่ครับอากฤต ไอ้ลิงนั่นมันบินไปจีน ไม่ได้กลับมาอยู่ที่ไทยราวหกเดือนเห็นจะได้แล้ว” ศุภลักษณ์อมยิ้มกับคำพูดของรณพักตร์ “เห็นว่าจะไปหาใครสักคนเนี่ยแหละ”

“ไม่ยักรู้ว่าคนอย่างเจ้านั่นมีคนรู้จักอยู่ที่จีนด้วย”

“หูย ที่จริงไม่ได้รู้จักอะไรกับใครเขาหรอก ที่มันไปจีนเพราะมันอยากได้แม่นักแสดงตากวางเป็นเมียต่างหาก”

“ดังไหมอิน...แล้วชื่ออะไร เผื่อผมจะรู้จัก”

“ก็ดังพอตัวว่ะคริส เป็นผู้หญิงหน้าสวย ตากลม ไอ้ฉันก็จำไม่ได้ว่าชื่อว่าอะไร รู้แค่ใช้นามสกุลละ...” ยังไม่ทันที่รณพักตร์จะเอ่ยจบประโยค เสียงทุ้มนุ่มลึกน่าฟังก็ดังแทรกบทสนทนาเข้ามาเสียก่อน ภิกษุหนุ่มพิงไม้กวาดกับผนังอุโบสถสีขาวพิสุทธิ์ และหันมองพวกเขาเต็มตา

“อ้าว มากันแล้วเหรอโยมลักษณ์ โยมอิน โยมกฤต โยมคริส...”

รณพักตร์อดีตรากษสผู้ชนะองค์อินใช้ศอกกระทุ้งสีข้างคนตัวสูงกว่าเบาๆ “ไว้กลับบ้านฉันค่อยเอารูปไปให้นายดูก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ไปหาหลวงพี่กันก่อนเถอะ”



คนทั้งสี่ก้มลงกราบพระภิกษุเบื้องหน้าด้วยจิตเลื่อมใส ริมฝีปากผู้ทรงศีลยกยิ้มบางเบา ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นสุขไร้ซึ่งกิเลสและทุกข์ตรม...นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้นเมื่อห้าปีก่อนสิ้นสุดลง ราเมนทร์ก็ตัดสินใจ ขอละทิ้งจากทางโลก ละทิ้งความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง กิเลสตัณหาที่มนุษย์ส่วนใหญ่เพิ่งมี ปลดเปลื้องชีวิตนิรันดร์ออกบวชตามเสด็จพระบรมศาสดาตลอดช่วงชีวิตที่ยังคงเหลืออยู่ โดยใช้นามในทางพระพุทธศาสนาว่า ฉินฺนาลโย (ฉิน-นา-ละ-โย) ที่แปลว่า ผู้ตัดความอาลัยแล้ว

“มากันนานหรือยังล่ะพวกโยมทั้งหลาย”

“ก็สักพักล่ะครับหลวงพี่ราม” เป็นศุภลักษณ์ที่ตอบคำถามแทนทุกคน “พวกผมไม่ได้มาหาหลวงพี่หลายเดือน ไม่ทราบหลวงพี่ยังสบายดีหรือไม่”

“ช่วงนี้เราสบายดี”

“หมายความว่าช่วงก่อนหน้าไม่สบายดีรึ?”

“โยมกับพระมันก็คล้ายกันนั่นแหละ มีทั้งสุขให้สบายใจและทุกข์ให้ครุ่นคิดหนักเป็นเรื่องธรรมดา” พระภิกษุวัยหนุ่มกล่าวคำหลังจากทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้หินอ่อน ก่อนจะไล่สายตามองไปบริเวรรอบๆ “ทุกอย่างมันก็มาจากที่เดียวกันทั้งนั้นแหละ”

“แต่พระก็น่าจะดีกว่าคนธรรมดาอย่างพวกผมกระมังครับ มีทุกข์เข้ามาหาไม่เว้นวัน” รณพักตร์พูดปนยิ้มน้อยๆ หากอีกฝ่ายส่ายหน้าน้อย ๆ...

“ถ้าเป็นแค่สมมติสงฆ์  หรือบวชมาเพื่อห่มผ้าเหลืองทดแทนบุญพ่อแม่มันไม่กี่เดือน มันก็ไม่ต่างกันเท่าใดหรอกโยม” วิธีพูดเนิบนาบหากน้ำเสียงจริงจัง

“สำหรับตัวเราที่ชีวิตนี้ทั้งชีวิตขอหันหน้าพึ่งบารมีของพระพุทธเจ้า ก็เพิ่งจะรู้บางอย่าง...ยิ่งบวชเรียนมากเท่าไหร่ ทุกข์มันก็ยิ่งมากขึ้น”

“ยังไงหรือครับ อะไรที่ออกแนวปรัชญาชีวิต ธรรมะผมฟังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”

“ทุกข์กับกิเลสมันมีหลายระดับ ถ้านักบวชยังก้าวไม่ถึงจุดที่จะต้องตัดอุปาทานขาดออกจากจิตได้ ก็ต้องเผชิญทุกข์ ปะกับเวทนาที่ปะปนมากับความคิดความปรุงแต่งที่ยังคงหลอกหลอนเราอยู่ตลอดนั่นแหละ” หลวงพี่หนุ่มหลับตา ถอนใจลึกเนิ่นนาน จึงเอ่ยคำเบา ๆ...

“แต่กระนั้นถึงเราจะออกบวชมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาศึกษาทำความเข้าใจพวกมันอีกมาก” หลับตาแล้วเบือนมองน้องชายของตน “เพราะเมื่อใดมนุษย์ไร้ซึ่งความรัก โลภ โกรธ หลง มนุษย์ก็จะมีแต่ความสุข ปลอดภัย”

งั้นถ้าผมไม่อยากเป็นทุกข์ ก็ต้องออกบวชตามหลวงพี่รามใช่ไหมครับ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับวงหน้างามแฉล้มเช่นอิสตรี มือทั้งสองข้างจับจูงเด็กน้อย หนึ่งหญิง หนึ่งชาย อายุอานามราวสามสี่ขวบเห็นจะได้ กำลังคลี่ยิ้มหวาน โบกมือหย็อยๆไปมาน่าเอ็นดู

“กฤต อิน! งื้อ...เรามาหา...มาแล้วนะ”

“จันทร์ก็มา...มาหาคุณพระตัวฉูง...”

เสียงแหลมเล็กของเด็กน้อยแว่วมาอย่างชัดเจนในโสตประสาทของบุคคลทั้งห้า  รณพักตร์เป็นคนแรกที่วิ่งตัวลอยเข้าไปหาเด็กทั้งสองคนที่มีโครงหน้าเหมือนกันราวกับแกละ ดวงตารีเรียวน้ำตาลทอเขียวอ่อนๆ จมูกเล็กจิ๋ว ริมฝีปากจิ้มลิ้มกำลังยกฉีกยิ้มโชว์เขี้ยวเล็กๆทั้งสองข้างของตนเองอย่างน่ารักน่าชัง...เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วจะต่างก็ที่เพศชายและเพศหญิงเท่านั้น

“อิน...อินจ๋า...จันทร์คิดถึงจังเลย”

“ทิตด้วย ทิตก็คิดถึงอินเหมือนกัน”

“คิดถึงพี่อินจริงเหรอ ไหนพี่อินขอหอมแก้มชายอาทิตย์สุดหล่อกับคุณหนูจันทร์คนสวยให้ชื่นใจหน่อยสิ” เด็กฝาแฝดชายหญิงยื่นแก้มให้พี่ชายใหญ่อย่างรู้งาน รณพักตร์จัดการรวบร่างป้อมของทั้งคู่หอมแก้มซ้าย ของแก้มขวาไปมาจนเรียกเสียงหัวเราะกังวานใสดั่งระฆังแก้วให้ทุกคนที่ได้ยิน อดไม่ได้ที่จะเอ็นดูและหลงรักเด็กน้อยผู้มีใบหน้างดงามราวเทวา นางอัปสรบนสรวงสรรค์เต็มหัวใจ

“แล้วไม่คิดถึงอากฤตบ้างเลยหรอ”

เด็กชายรังสิมันต์ส่ายหน้าพัลวันพลางยกมือเอื้อมแตะปลายคางของผู้เป็นอาทันทีที่อีกฝ่ายย่อตัวลงมาเพื่อให้ระดับสายตาตรงกัน “คิดถึงสิ อาทิตย์คิดถึงอากฤตเหมือนกัน”

“แล้วอาคริสล่ะครับ” เมื่อไม่เห็นหลานชายพูดถึงตนก็ทักท้วง

“อ้าวไหนอาคริสบอกอาทิตย์ว่า อาคริสกับอากฤตคือคนคนเดียวกัน ถ้าอาทิตย์คิดถึงใครก็หมายถึงอาทิตย์คิดถึงอีกคนด้วย”

“โอ้ มาย ลอร์ด...วาย ยู โซ สมาร์ทอย่างนี้ล่ะ กฤตจ๊ะว่างๆเรามาหาเวลาสร้างครอบครัวกันสองต่อเถอะ คริสอยากมีลูกแบบซันนี่อ่ะ ต้องมีให้หล่อให้ฉลาดพูดแบบนี้เลยนะ อยากได้...อยากได้สุดๆโอ้ย!” ฝ่ามือเล็กกว่าทว่าแรงดีแสนหนักหน่วงฟาดเข้าเต็มไหล่กว้าง เจ็บ...แสบไปถึงทรวงใน

“ที่รักตีผมอีกแล้วนะ”

“ก็มันน่าตีไหมล่ะ อยู่ในวัดใครเขาให้พูดจาน่าเกลียดแบบนี้”

“แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในวัด...อย่างอยู่ในห้องกันสองต่อก็พูดได้ใช่ปะ” ยื่นหน้ากระซิบแผ่วให้ได้ยินกันแค่สองคน ชินกฤตเม้มปากไม่ได้ลงมือตีเหมือนเมื่อครู่แต่ก็ไม่ได้ตอบรับคำ คริสยิ้มกริ่ม ตะโกนร้อง เยสๆๆๆ อยู่ในใจ

“สรุปคืนนี้เลยนะ”

“อย่ามาไอ้นกโรคจิต”

“ถึงผมจะขึ้นชื่อว่าเป็นนก แต่ผมไม่เคยนกกับคุณเลยนะ ได้เกือบทุกคืน... โอ้ย!” ถึงกับร้องเสียงดังลั่นอีกหนเมื่อหูทั้งสองข้างโดนบิดอย่างแรง “กฤตจ๋า คริสเจ็บนะ”

“บอกไม่นกใช่ไหม งั้นวันนี้คุณพญานกก็นอนนอกห้องแล้วกัน”

“เฮ้ย! ไม่....ไม่เอาดิที่รัก ได้โปรด...”

“อย่าให้รู้ว่าแอบย่องเข้ามานอนในห้องตอนดึกนะ ไม่งั้นจะไล่ให้ไปนอนที่ทำงานหนึ่งอาทิตย์ ห้ามโทรหา ห้ามกลับบ้าน ห้ามคุย ห้าม...”

“โอเค ยอมแล้วพ่อทูนหัวของไอ้บ่าวคริส” ได้แต่ร้องโฮอยู่ในใจเมื่อเมียรักทำกันได้ลงคอ

เอาน่า...มันต้องมีสักวันที่พระเจ้าเห็นใจ และประทานลูกน้อยแก่พวกเขาอย่างแน่นอน

ภิกษุหนุ่มหันไปหาผู้เป็นมารดาของเด็กชายรังสิมันต์และเด็กหญิงศศิธร แสงตะวันและดวงจันทราที่เกิดมาเพราะโชคชะตานำพา มันเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ที่พวกเขาได้มีโอกาสเกิดมาบนโลกอีกครั้ง และยังเป็นบิดาและมารดาคนเดิมไม่แปรเปลี่ยน

“นมัสการครับหลวงพี่”

“ดีที่ได้เจอนะ โยมเปรม...”

“อะแฮ่ม! ถึงจะเป็นพระแต่ถ้าเมียงมองเมียกระผมหวานหยดย้อยเสียขนาดนี้ เป็นพระผมก็ไม่ละเว้นนะครับหลวงพี่” ฝ่ามือใหญ่กระหวัดโอบรักเอวของผู้เป็นภรรยาของลูกน้อยทั้งสองอย่างหวงแหน ภิกษุหนุ่มเพียงอมยิ้ม ไม่มีกระแสความคิดเป็นอื่น
ดวงตาของผู้ครองเพศบวชประกายกล้า เอ่ยคำกับอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล

“เราวางความวุ่นวายจากทางโลก ก้าวสู่ความสงบมาเนิ่นนานแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดที่เราจะต้องเลือกเดินเส้นทางนั้นอีก”
“พูดซะกระผมเป็นคนบาปหนาเลยนะครับหลวงพี่ราม” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะในลำคอ และกล่าวต่อ “แต่อย่างไรกระผมก็ขอให้ท่านจงสำเร็จเข้าถึงนิพพานได้ในเร็ววัน”

“ขอบใจมาก”

ไม่ว่าเรื่องราวอดีตจะเป็นเช่นไร เคยเป็นมิตรหรือศัตรูกันมาก่อน ก็คงไม่สำคัญเท่ากับวันนี้เราได้ปล่อยวาง ยุติมันลงด้วยหลักธรรมแห่งการให้อภัย...

อสุเรนทร์




แสงนวลแห่งดวงแก้วรัตติกาลส่องสว่างมายังพื้นเบื้องล่าง เรือนไทยหลังกลาง ขนาดพอเหมาะสำหรับครอบครัวอันประกอบไปด้วยบิดา มารดาและลูกน้อยอันเป็นที่รัก คนร่างบางนั่งนิ่ง แหงนมองพระจันทร์ที่สีเหลืองนวลงามตาดวงใหญ่ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า มือก็คอยลูบหัวให้เด็กฝาแฝดชายหญิงที่นอนหลับสนิท ส่งเสียงกรนออกมาเบาๆอย่างน่าเอ็นดู
เปรมปล่อยให้ความคิดล่องลอยกลับคืนสู่อดีตเมื่อห้าปีก่อนอย่างไม่รู้จบ เหตุการณ์ในวันนั้นที่เขาและคนรอบข้างได้ประจักษ์ มันยังคงติดตราตรึงอยู่ในความทรงจำมิรู้ลืม...

เมื่อลมหายใจแห่งพญารากษสทศกัณฐ์แผ่วเบา...และดับสิ้นราวเปลวเทียนสิ้นเชื้อสิ้นแสง ม่านไหมโรงละครใหญ่ก็ถูกเลื่อนปิดลงกึ่งช้ากึ่งเร็วเพราะไม่อยากให้ผู้ชมที่นั่งดูอยู่สงสัยไปมากกว่านี้ นอกม่านอาจจะได้เสียงปรบมือตอบรับล้มหลาน แม้จะยังมีอาการมึนงงกับเนื้อเรื่องตอนสุดท้ายในตามที แต่ทว่าหลังม่านนั้นกลับอลหม่าน วุ่นวาย ปู่เหนือ ครูจันทร์ พรั่งพร้อมด้วยนักแสดงเกือบสิบชีวิตต่างตกอยู่ในความตกใจกันทั่วถ้วน

หญิงวัยสามสิบกว่าผู้เป็นครูถึงกับปิดปาก กลั้นน้ำตาไม่ไหวอีกต่อไปหลังเห็นใบหน้าของลูกศิษย์คนโปรดอย่างเปรมนั่งนิ่งราวหุ่นปั้นไร้ชีวิตอยู่ในอ้อมแขนของอสุเรนทร์ที่ปราศจากการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวเช่นกัน ชายชราที่ยังคงไว้ซึ่งสติมากกว่าคนหลายคนจึงออกปากเอ่ยถามในทันที

‘เกิดอะไรขึ้นคุณกฤต ทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ ทำไมเจ้าเปรมถึงฆ่าตัวตายแล้วไอ้รูปร่างคล้ายหัวใจที่คุณทศชูขึ้นมาในตอนสุดท้ายอีกมันคืออะไรกันแน่ คุณกฤตโปรดอธิบายให้กระผมเข้าใจที’

‘ท่านครูจะเชื่อไหม หากผมบอกว่าพวกเราล้วนแล้วแต่เคยรู้จักกันในอดีตชาติ และมีเวรกรรมร่วมกันมาก่อน ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนี้’ ชี้ไปที่ราเมนทร์ ‘เขาคือพระนารายณ์ที่อวตารลงมาเป็นพระราม ท่านพี่อสุเรนทร์คือทศกัณฐ์ ทั้งสองคือผู้ที่เลือกใช้ชีวิตผิดกฎธรรมชาติ ไม่มีวันตายเพื่อรอคอยนางอันเป็นที่รัก ส่วนเปรมคือนางสีดาที่ชะตาต้องด้วยกริช ก่อนจะกลับมาเกิดในภพชาติใหม่’

‘เดี๋ยวนะครับ คุณกฤต กระผม...’

‘จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่สิ่งที่ผมเล่าล้วนเป็นความสัจจริง’

‘ละ...แล้วทำไมเจ้าเปรมมันต้องเอากริชแทงตัวเองตายเหมือนนางสีดาในชาติก่อนด้วยล่ะ’

ชินกฤตไม่ได้ตอบคำถามของชายชราในทันที ด้วยนิมิตภาพเพิ่งปรากฏเด่นชัดทางความคิด ร่างโปร่งแสงของนางสีดาขยับปากเอื้อนเอ่ยบอกเล่าความในใจให้ฟัง น้ำตาทำนบหน้าด้วยความเศร้าและความรู้สึกผิด...อดที่จะเคืองวิญญาณสาวไม่ได้ หากนางปรากฏตัวมาบอกเขาเร็วกว่านี้สักนิด เรื่องมันก็คงไม่จบลงอย่างน่าเศร้าสลดเช่นนี้

‘เปรมเขาไม่ได้เลือกครับ แต่เขาจำเป็นต้องทำ’ ชายหนุ่มละคำพูด สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ‘เคยใช้วิธีใดสร้างกรรมให้ตัวเอง ย่อมต้องแก้ไขด้วยวิธีนั้น’

‘แต่จำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต’

‘เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่สามารถหาเหตุผลได้ว่าทำไมต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้...มันมีความซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะอธิบายท่านครูทั้งสองได้หมด เอาเป็นว่าถ้าเปรมไม่อาจหาญกระทำการเช่นนี้ เรื่องที่ยังเป็นปัญหาคาราคาซังก็คงไม่มีวันจบ ต่อให้แจ้งกระจ่างแล้วว่าคนกลางอย่างเปรมรักใคร แต่มันก็ไม่อาจเป็นตัวชี้ชัดว่าความรักสามเส้าของคนสามคนจะจบลงอย่างมีความสุข’

ในเมื่อต่างคนต่างรัก และยังยึดติดอยู่กับกิเลส ตัณหาความลุ่มหลง ความชิงชัง สุดท้ายถึงใครคนหนึ่งจะสมหวังกับรักที่ปรารถนา แต่มันจะเป็นรักที่มีความสุขแน่หรือ หากยังครุ่นคิด ติดอยู่กับหวาดระแวงเรื่อยไป

‘และสำหรับท่านพี่ทศ ทศกัณฐ์ที่ใครต่อใครมองว่าโหดเหี้ยมอำมหิต หลงใหลในกามราคะและอิสตรี หากในสายตาของคนที่อยู่ใกล้ชิดตลอดเวลาเช่นผม...หัวใจรากษสผู้นี้ยิ่งใหญ่หาผู้ใดเสมอเหมือน ตลอดหนึ่งพันปีเขาที่ยึดมั่นในรักเดียวมาโดยตลอด ผมจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขายอมเสียสละชีวิตของตนเพื่อให้อีกคนได้อยู่’

‘ฮึกๆ ฮือ พระบิดาขอรับ กลับมาเถิดพระบิดาแห่งข้า...’

ชินกฤตแยงยลไปยังหลานชายที่นั่งก้มหน้าร้องไห้ตัวโยนด้วยความเจ็บปวด โดยมีศุภลักษณ์คอยลูบหลังปลอบใจไม่ห่าง ก่อนกระหวัดมองร่างนิ่งไร้ลมหายใจไปนานสองนานของพี่ชาย

หืม...

สองคิ้วยกขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจความรู้สึกยินดี และโล่งใจที่ค่อยๆทะยานอัดแน่นเต็มอก

แม้จะแผ่วเบาหากเขากลับได้ยินมันชัดเจนจากแผ่นอกตรงตำแหน่งหัวใจของทั้งคู่  ราวเส้นด้ายแห่งชีวิตพันผูกร้อยรัดเข้าด้วยกันจนแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียว

ตึก............ตึก..............

ตึกตึก......ตึกตึก

ด้วยอำนาจแห่งรักแท้ มีอำนาจเหนือเทวทัณฑ์ที่ต้องรับ เสียงกัมปนาทแห่งธาตุเคลื่อนไหวบังเกิดขึ้นอย่างเลือนลั่น

โซ่ตรวนแห่งกฎสวรรค์ขาดสะบั้นลง!

ความรักและเมตตาธรรมในดวงจิตแห่งพญารากษสผู้ครองกรุงลงกาช่วยค้ำจุนชะตาชีวิตของตนและคนที่รักปานฤทัย

ทุกอณูแห่งธาตุในอดีตจวบจนปัจจุบันคล้ายถอยวนกลับ...

จากร่างกายเปล่าไร้ซึ่งวิญญาณ สู่การกลับมาด้วยหัวใจหนึ่งเดียวกันตราบนานเท่านาน...





แม้ราตรีผ่านไปอย่างยาวนาน ชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดก็คงยังนั่งอาบแสงจันทร์อยู่ตรงที่นั่งกว้างขวางนอกชานเรือน ไม่ขยับไปไหน คนรื้อฟื้นความทรงจำในอดีตยิ้มน้อย เขายังจำมันได้แม่นมั่นแม้วันเวลาจะผันผ่านมาราวห้าปีแล้วก็ตาม

ณ เวลานั้น วินาทีนั้นที่ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของผู้เป็นที่รักสุดหัวใจ หัวใจของพญารากษสพลันเต้นตึกตักอยู่ในอก ก่อเกิดความรู้สึกอบอุ่นราวกับมีเจ้าของของมันคอยตระกองกอดไม่ห่างหาย และ ณ เวลานั้นอีกเช่นกันที่หยาดน้ำใสของตนเอ่อท้น...รายริน เป็นสุขมากกว่าเป็นทุกข์ เมื่อได้ยินเสียงแหบพร่าเอ่ยถ้อยคำหวานคลอเคลียข้างใบหูซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

และความทรงจำแห่งวันวานจะคงยังเล่นวนอยู่ในความคิด ถ้าเกิดไม่รู้สึกถึงแรงกอดกระทบเต็มแผ่นหลัง

“เปรมจ๋า...” เสียงที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้นิรดาตื่นจากภวังค์ความคิด

“จ๋าพี่ทศ”

“มีใครบางคนฝากความคิดถึงมาถึงน้องด้วย” ประโยคพร้อมรอยยิ้มมาจากปากของอสุเรนทร์ พร้อมยื่นหน้าใช้ริมฝีปากประทับลงบนแก้มขาวเนียน

“ใครฝากมาครับเนี่ย”

“ทศกัณฐ์ฝากรอยจูบมาให้น้องน่ะ”

“แล้วคุณอสุเรนทร์ผู้นี้ไม่หึงหวงหรือครับ”

“หวงสิ แต่จะยอมอ่อนให้เจ้ายักษ์นั่นนิดหนึ่งก็ได้”

เปรมหัวเราะในลำคอ ประกายแห่งความสุขทอวูบในดวงตาหวาน ขณะวงแขนแข็งแรงกระชับกอดผู้เป็นภรรยาไว้แนบแน่น ใบหน้าซุกลงซอกคอหอมกรุ่ม จุดเดียวที่เคยปรากฏรอยปานกุหลาบสีแดง ทว่าบัดนี้กลับเลือนรางหายไปจนหมดสิ้น ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ใช้ชีวิตร่วมกันมา อสุเรนทร์ก็ตระหนักได้ว่า...

ความรักที่เขาเคยมีต่อเปรมมันผิดแผกไป มิใช่ความรักที่หมายมั่น ยึดมั่น เช่นกาลก่อน...

หากเป็นสิ่งใหม่ที่เขาค้นพบ...และเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้

มันคือรักอันบริสุทธิ์...รักที่ไม่ได้เจือปนด้วยความอยากได้ อยากมี

เป็นรักที่ไม่หวังสิ่งใดเป็นการตอบแทน

อดีตพญายักษ์คลี่ยิ้มมีความสุขอันเปี่ยมล้นเต็มดวงหทัย มันไม่ง่ายเลยกว่าพวกเขาจะเดินทางมาถึงจุดๆนี้ จุดที่เรื่องราวทุกอย่าง ข้อพิพาทที่เคยยืดเยื้อคาราคาซังกันมายาวนานถูกทลายลงมิเหลือซาก

เหลือเพียงประกายแสงแห่งความสุขที่ค่อยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีวันลดทอนหรือหมดลง


ของคนสองคน...กับอีกหนึ่งหัวใจ



มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์
แขนมอบพระทรงธรรม เทิดหล้า
ดวงใจมอบเมียขวัญ แลแม่
เกียรติศักดิ์รักของข้า มอบไว้แก่ตัว
[/i]


แม้นลมหนาวโชยพรมผ่านสะท้านกาย หากแต่ใจคนสองคนกลับอบอุ่นเสียเหลือเกิน...ในดวงเนตรดำสนิท มิได้ฉายภาพผู้ใด นอกจากผู้ที่เป็นรักเดียวและรักสุดท้ายของชีวิต

โศกนาฏกรรมระหว่างพระราม ทศกัณฐ์และนางสีดาหลงเหลือทิ้งไว้เป็นเพียงความทรงจำอันบางเบาราวม่านหมอกในยามเช้า
ไม่มีความแค้น ริษยา ไม่มีการยึดติด




มีเพียงหัวใจพิสุทธิ์อสุเรนทร์ที่มอบให้แด่เปมทัต...ชั่วนิจนิรันดร์







-จบบริบูรณ์-


จบจริงๆไม่ติงนังนะเออออออ




วู้วววว ในที่สุดก็มาถึงวันนี้
อยากจะขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้นมากๆเลย ขอบคุณจากหัวใจ
สิ่งที่คุณเขียนที่คุณบอกว่า มันทำให้เรายิ้มได้ตลอด
หลังจากนี้จะพยายามแต่งเรื่องต่อๆไปให้ดียิ่งขึ้น
วันนี้อยากให้หลายๆคนเข้ามาเม้นกันเยอะๆนะคะ อยากจะรู้ว่าทุกคนรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง
ไว้เจอกันใหม่กับเรื่องใหม่นะคะ

ขอบคุณที่ติดตามกันมาตั้งแต่ต้นจ้าาาา :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 05-02-2017 19:40:27
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านค่ะ เราชอบมากเลย แนวย้อนยุคแบบนี้  :pig4:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: rayaiji ที่ 05-02-2017 20:14:00
แม่เอ้ยยยย อิช้อยปาดน้ำตาแทบไม่ทัน ดีนะอีช้อยไม่ได้หอบไปอ่านนอกบ้าน ขายขี้หน้าชาวบ้านหมด!
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 05-02-2017 20:19:01
เสียน้ำตากับตอนพี่ทศตายตามมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :sad4: :hao5:
 ว่าแต่ยังไม่จบบริบูรณ์ไม่ได้เหรอ หรือไม่ก็ขอตอนพิเศษก็ได้ หรือจะเป็นภาค 2
เราอยากรู้ว่าอาทิตย์กับพระจันทร์มาเกิดยังไงแบบไหน :call: :call: :call: :call:
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: little_munoi ที่ 05-02-2017 20:45:52
ช๊อคไปหนึ่งรอบกับเปรมและพี่ทศตอนที่นึกว่า
น้ำตานี่ไหลรินแล้ว
พอเลื่อนลงมาเท่านั้นแหละ
กรี๊ดดังมากกก แม่เจ้าโว้ย
ดีใจ แฮปปี้เอนนดิ้ง ได้คู่อินกับลักษ์มาอีก
แล้วด้วยคริส อากฤต
ดีใจ เลิฟเลิฟเลย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 05-02-2017 20:47:00

แทบช็อค.....

ดีนะมีต่อด้านล่าง

รักบริสุทธิ์......

รักเลยขอรับ

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: k_keenny ที่ 05-02-2017 23:44:28
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Poseidon ที่ 06-02-2017 01:47:25
ตกใจเลย ดีนะมีให้อ่านต่อด้านล่าง

จุดพลุ แฮปปี้เอนดิ้ง สนุกมาก ทั้งหวาน หน่วง เศร้า หื่น ครบรส ช

ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 06-02-2017 01:55:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: mam.nalok ที่ 06-02-2017 08:54:38
โอ้ยยยย ร้องไห้ตามพี่ทศหนักมากกกก ตาบวมหมดเลย มันเป็นตอนที่ทรมานสุดๆ เราหายใจไม่ออก แล้วก็เหมือนคนบ้าที่อยู่ดีๆก็ยิ้มออกมา 5555 หรือเราบ้าไปแล้วอะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 06-02-2017 09:23:36
ขอบคุณคนแต่งมากๆนะคะที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้มาให้อ่าน  จะรอเรื่องต่อไปค่ะ

 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: jjasu ที่ 06-02-2017 13:01:13
งือออ จบแล้ววว ในที่สุดก็ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ้งมาก

มีตอนน้องเปรมอุ้มท้องไหมคะ แหะๆ ไม่อยากให้จบเลย

ตอนพิเศษๆๆๆๆๆ :call: :call:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 06-02-2017 21:34:49
อยากบอกว่า ต้องมีต่อน่ะ พิเศษหลายๆๆตอนเลย
ในที่สุดก็ได้ครองคู่กัน ลุ้นว่าจะออกมาในรูปแบบไหน ดีใจเลย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: fanta ที่ 07-02-2017 09:15:47
สนุกมากเลย นั่งลุ้นทุกตอนเลยเขียนดีจริงๆๆมีตอนพิเศษมั้ยคะอยากอ่านอีกยังไม่อยากให้จบเลย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Slimtongs ที่ 08-02-2017 03:15:01
เรื่องนี้ใช่แฟนฟิค ไคฮุนใช่ไหมค่ะ เราเคยอ่านมาก่อนในเด็กดีพึ่งเห็นว่ามีมาลงในเล้าด้วย555
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 08-02-2017 08:54:02
ปาดน้ำตากันไปจ้า ก่อนจะยิ้มออกมาอย่าง happy อยากรู้ว่าน้องทิตย์กับน้องจันทร์เกิดมายังไง ช่วยเอามาลงตอนพิเศษหน่อยค่ะ มีความอยากรู้มากกกกกกก :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 08-02-2017 23:17:08
น้ำตาท่วมจอ.  แต่รักอสุเรณท์เข้าเต็มเปา

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ทิวสนที ที่ 08-02-2017 23:47:20
อ่านไปน้ำตานองหนัาไป ด่าคนเขียนไป แต่สุดท้ายสมหวังแล้วรักคนเขียนมาก
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Mitnai ที่ 09-02-2017 02:15:57
ยาวๆไป หยุดไม่ได้จริงๆ
ปั้มดาวววว
ขอบคุณค่า ♥
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: suikajang ที่ 10-02-2017 09:16:42
 o13 สุดยอดเลย ดีต่อใจมากๆ  :pig4: นิยายที่ทำให้เรามองในอีกมุมมองหนึ่ง ครบรสเลยที่เดียว  :L2:
รอติดตามผลงานเรื่องต่อไปคะ สมัครเป็นแฟนคลับเลยคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ดึงดาว ที่ 12-02-2017 15:34:21
ตามจนจบ เย้ สนุกลุ้นระทึกตื่นเต้นทุกตอน จบได้ดีมากมายค่า ภาษาดีงามมากอ่านง่ายเข้าใจดี มีตอนพิเศษหน่อยไหม อยากอ่านอีก
thank you ขอบคุณนิยายดีๆ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: HiptysBEAR ที่ 12-02-2017 23:49:31
ไล่ตามอ่านจนจบเลยค่ะ ชอบมากๆอินกับเรื่องนี้มากๆ ชอบภาษาชอบกลอนชอบการดำเนินเรื่อง อินกับพี่ทศมากๆอ่านไปน้ำตาซึมไป อยากให้มีตอนพิเศษ คิดถึงทศเปรม
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 15-02-2017 08:58:44
ไอ้เราก็อยากหยุดอ่านนะเพราะดราม่าแต่หยุดไม่ได้จึงได้แต่รีบอ่านไป ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะ จบได้สวย
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 16-02-2017 20:34:45
โหยยยย แต่งดีมาก ภาษาสวยมากเลยค่ะ คือเราชอบเรื่องรามเกียรติ์มาก เรื่องนี้คือฉีกบทจากที่เคยอ่านไปเลย เอาจริงๆพออ่านเรื่องนี้แล้วถึงกลับไปสังเกตเรื้องจริงๆที่พระรามทำนางสีดาเสียใจหลายครั้ง ทั้งไม่เชื่อใจ ทั้งสั่งฆ่า แต่ในขณะเดียวกันทศกัณฐ์กลับรักนางสีดาสุดหัวใจ ยอมทุกอย่าง ฮือออ ชอบมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 16-02-2017 22:23:49
สนุกดีค่ะ
ชอบบทกลอนที่สอดแทรกในเรื่องตลอด
ติดนิดเดียวที่ตอนจบ เรื่องกระชับไปหน่อย
แต่ก็โอเคนะคะ
หวังว่าจะมีเรื่องต่อๆไปมาลงอีกนะคะ
จะรออ่านจ้า
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: lovekimkina ที่ 19-02-2017 20:08:33
ในที่สุดก็มีความสุขกันสักที
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ภาษาสวยๆนะคะ ชอบเนื้อเรื่องแบบนี้

อยากรู้อดีตของกฤตกับคริสจัง ติดใจปมคู่นี้
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: apple32 ที่ 20-02-2017 05:31:27
แต่งได้ดีมากเลยค่ะ เข้ามาอ่านทีเดียวจบ  :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 21-02-2017 20:12:52
ดีงามมากมาย เค้าชอบนะ  :mew1: :mew1:

  o13   o13
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: jum1201 ที่ 22-02-2017 18:18:59
อ่านเรื่องนี้สนุกครบทุกรส จะรอติดตามเรื่องต่อไปจ้า
ปล. คนเขียนมีตอนพิเศษไหมค่ะ ขอหน่อยได้ไหม :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 25-02-2017 04:40:53
อุกรี้ด เผลแป็บเดียวจบแล้ว แต่คนเขียนแอบเอาบทที่นางจินตหราวาตีรำพันในอิเหนามาดัดแปลงชิมิ? คิๆๆ :mew1: รักคนเขียนจ้า
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 23-11-2017 14:14:32
ชอบแนวไทย ๆ  o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: annch ที่ 23-11-2017 20:23:52
สนุกครับ เป็นการมองวรรณคดีอีกมุมหนึ่ง
ต่างจากที่เคยตีความตามแบบเดิมที่เคยเรียนมาครับ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ikkp ที่ 25-11-2017 21:23:15
ทั้งๆที่พระรามเป็นผู้ถูกกระทำก่อนแท้ๆ เมื่อหาหนทางเอาคืนกลับถูกมองว่าชั่วร้าย ไม่มีใครมองเห็นถึงต้นเหตุจริงๆเลยหรอ

เลวที่สุด ชั่วที่สุด เรากลับมองเป็นทศกัณฑ์กับนางสีดานะ

ทศกัณฑ์เลวที่พรากเมียพรากผัวคนอื่นมาก่อน รู้สึกว่า ตอนที่อินด่าพระรามว่า มาพรากผัวพรากเมียคนอื่นนู่นนี่นั่น อย่างนี้ก็ได้หรอ  ไม่คิดกลับมั่งว่าพ่อตัวก็เคยทำมาก่อนเขาอีก ข่มขืนและเอาอกเอาใจจนนางสีดารัก ยอมแม้ผิดคำสาบาน จะโดนเอาคืน และเจ็บปวดอย่างพระรามบ้างก็ยังน้อยไปด้วยซ้ำ สำหรับที่เคยทำไว้กับพระราม


นางสีดาชั่วที่กล้าหักหลังพระรามในครั้งที่2 จะแปลกอะไรที่พระรามไม่เชื่อ ถ้าเห็นคนรักยิ้มชื่นบานกับชายอื่น เพราะรักมากถึงหึง แล้วเอาสาเหตุนี้มาบอกว่าหมดรักพระราม เเละรักทศกัณฑ์เพราะเชื่อใจ

#พระรามเจ็บหนักสุด โดนแย่งเมีย เมียนอกใจไปรักศัตรู  #นางสีดาทศกัณฑ์เจ็บแค่เพราะไม่ได้ครองคู่ น้อยกว่าพระรามตั้งเยอะ

#เข้าข้างพระรามผู้โดดเดี่ยว 

#จะไม่เกิดปัญหาเลย ถ้าทศกัณฑ์ไม่มาลักพาตัวนางสีดา

#ตัวร้ายผู้ถูกกระทำจากตัวเอกที่ทุกคนชื่นชม 

#ตัวร้ายที่แท้จริงคือพระเอกกับนางเอก

อินจัด
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 26-11-2017 10:44:01
เล่นเอาต่อมน้ำตาแตกเลย  :m15:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Nbear ที่ 28-11-2017 16:48:58
สนุกมากเลย ชอบๆ มาแต่งตอนพิเศษเพิ่มอีกน้าา
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: sk_bunggi ที่ 02-12-2017 21:20:14
สนุกมากเลยค่ะ ไม่รู้จะอธิบายยังไงอ่ะ ไม่เคยอ่านเรื่องไหนแล้วกินใจ ซึ้งและก็เข้าถึงอารมณ์ได้ขนาดนี้ ทั้งบทกลอนที่ได้อ่าน คำพูดที่ใช้ อ่านแล้วมันทำให้เห็นภาพตามเลย เป็นนิยายเรื่องแรกที่กินใจมากบอกตามตรง เต็มร้อยให้พันอ่ะ 55555 มีแบบนี้ออกมาอีกน้าาา จะตามอ่านเลยจ้า   o13 o13
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: beer9999 ที่ 30-12-2017 04:19:42
ร้องให้จนสะอื้นเลยอ่ะ เอาจิงๆ ขอบคุณมากมายที่แต่มาให้อ่านในอีมุมนึงของทศกัณ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: akajinkame ที่ 01-02-2018 04:54:16
สนุกมากกกกก รักตัวละครในเรื่องนี้ทุกตัวเลยค่ะ เพลงซอรี่สีดา ก็เข้ามาในหัวตลอด บางมุมของความรักก็เออ จริงเนอะแบบนี้ก้อมีด้วย เขียนมาลงอีกหลายๆเรื่องนะคะ อยากอ่านค่า
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-02-2018 16:22:21
อ่านไปลุ้นไป แอบเครียดแต่มันก็หวาน
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: fager_yaoi ที่ 06-02-2018 23:17:11
ดีงามพระราม9
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 17-02-2018 19:51:09
จบแล้วเป็นอีกเรื่องที่อ่านไปปาดน้ำตาไปดีนะที่อยู่คนเดียว  ชอบมากๆเลยค่ะ  ใช้ภาษาได้สวยงามมากๆเลย  ตอนที่มีบทกลอนต่างๆแทรกก็ทำได้ดีมากพล็อตเรื่องก็แต่งได้ดีค่ะ  ดีใจที่มีหลายๆคนชอบทศกัณฐ์เหมือนๆกันกับเราด้วยในเรื่องนี้เราชอบอินทรชิตที่สุดแล้วค่ะ  มีสีสันมากๆ  น่าจะมีตอนพิเศษสักตอนนะคะ  แล้วจะรอผลงานต่อไปของคุณนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 14-05-2018 22:36:59
กลับมาอ่านใหม่ ชอบบบ
หัวข้อ: Re: หัวใจทศกัณฐ์ :ตอนจบทศเปรม (กึ่งพีเรียด ข้ามภพข้ามชาติ)5/2/60 จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 26-03-2019 12:40:36
 :pig4: :pig4: :L2: