ขอโทษที่หายไปนานค่าาาาาา เรามาต่อแล้วววว ^^
บทที่ ๒๐
โลกแห่งความฝันพร่างพราย...เปรมไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน...มันคล้ายกับเงาอดีตประหนึ่งภาพยนตร์ฉายย้อนกลับมา...และเป็นโลกที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด กรุ่นโกรธและคับแค้นที่ทาบทับอยู่ในวิญญาณของตนอยู่เป็นนิจ
เปรมเหมือนเห็นตัวเองอยู่ในห้องนอนห้องใหญ่ โอ่งโถง หรูหรา การประดับประดับตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ส่วนใหญ่เป็นทองคำแท้ จิตรกรรมฝาผนังลวดลายอ่อนช้อยทว่าแฝงความแข็งแกร่งมีอำนาจล้วนแล้วแต่บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้คงไม่ใช่ห้องนอนในบ้านคนธรรมดาและไม่น่าจะใช่ยุคปัจจุบันเสียด้วย
‘กรุงลงกา!’ ชื่อนี่ปรากฏขึ้นกลางจิต ขณะกวาดดวงตาเรียวมองสำรวจรอบๆกาย
“สีดา” เสียงของใครบางคนดังกังวานขึ้น ทำให้คนร่างบางสาวเท้าไปยังจุดต้นตน และเมื่อเห็นเจ้าของเสียง วงพักตร์ใต้กรอบศิราภรณ์มงกุฎยอดชัยรัดรอบศีรษะกลับเต็มไปด้วยคราบน้ำตาที่ยังคงไหลรินมิขาดสาย ริมฝีปากซีดสั่นระริก นิ้วหนาวาดไล้ดวงหน้างามงดของคนที่อยู่ในภาพวาด...ถึงจะอยู่ไกลเกินกว่าเห็นภาพนั้นชัดเจน ทว่าเปรมก็มั่นใจ มันคือรูปร่างของนางสีดายามสวมเครื่องทรงเต็มยศ
ดวงหน้าน้อยฉีกยิ้มอย่างมีความสุข...ผิดกับราชันย์แห่งยักษาแลยักษีที่เอาแต่สะอื้นร่ำไห้อย่างเจ็บปวดเจียนขาดใจ
“พี่ทศงั้นเหรอ” เปรมอุทานออกมาแผ่วเบาด้วยความตื่นตะลึง นับเป็นครั้งที่สามที่เห็นอีกฝ่ายคงอยู่ในรูปลักษณ์ดั้งเดิม กายสีเขียวเนียนละเอียดเฉกเช่นเดียวกับดวงเนตร วงพักตร์คมคายดูหล่อเหลาและมีอำนาจเหนือผู้คนทั้งปวง แม้เครื่องหน้าในตอนนี้จะต่างไปจากในปัจจุบันพอสมควร แต่ความรู้สึกของเปรมมันกลับบอกว่าคนคนนี้คือ อสุเรนทร์ไม่ผิดเป็นอื่นแน่
“สีดา พี่คะนึงถึงเจ้าเหลือเกิน”
“...”
“เพลานี้เจ้าอยู่แห่งหนใดกัน พี่อยากพบเจ้าเหลือเกิน กลับมาหาพี่เถิดหนา”
ได้แต่มองร่างกำยำสั่นเทิ้มเพราะแรงสะอื้นจากการร้องไห้ด้วยความเป็นห่วง เปรมอยากจะเข้าไปกอดปลอบประโลมให้อีกฝ่ายสบายใจบ้าง ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมขยับตามเสียอย่างนั้นราวกับว่ามีมือนับสิบคู่จับยึดเอาไว้ให้ขยับไปไหนไม่ได้
“พระบิดา! แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พระบิดา!”
ร่างเล็กซึ่งเปรมจำได้ดีว่าคือรณพักตร์หรืออินทรชิต บุตรชายของทศกัณฐ์และนางมณโฑกำลังวิ่งหน้าตาตื่นปรี่เข้ามาหาด้วยสีหน้าหวั่นวิตก ทศกัณฐ์เพียงปรายตามองเสี้ยววินาทีและหันกลับไปดังเดิม
“ใครสั่งให้เจ้าเข้ามา ออกไปซะ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เพลานี้พระมารดาประชวรหนักหนานัก เป็นตายเท่ากัน ข้าอยากให้พระบิดาโปรดช่วยไปดูนางสักนิดเถิด แค่เศษเสี้ยวเพลาก็ยังดี”
“อินทรชิต...” ผู้มากวัยกว่าเอ่ยแผ่ว
“ถือว่าลูกขอ โปรดช่วยกลับไปดูใจพระมารดาด้วยเถิด” อินทรชิตก้มลงกราบแทบเท้าผู้เป็นพ่อ อ้อนวอนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รู้สึกโกรธคนเป็นพ่ออยู่ไม่น้อยที่เจ้าตัวเลือกจมปักอยู่กับหญิงสาวในภาพวาดข้ามวันข้ามคืน มากเสียกว่าผูกพันสมัครรักใคร่ลูกเมียที่มีตัวตนตรงหน้า...แต่คนเป็นลูกอย่างเขาจะทำอะไรได้บ้างล่ะ นอกจากขอร้องอ้อนวอนด้วยน้ำตา มือเล็กๆเอื้อมสัมผัสฝ่าเท้าใหญ่ด้วยความสั่นเทา รากษสหนุ่มรู้ดีในตอนนี้หฤทัยแห่งพญารากษสแปรเปลี่ยน มิมีช่องว่างไว้ให้ผู้เป็นแม่ของเขาอีกแล้วก็ตาม แต่ในฐานะสามีก็ควรเข้าไปดู ให้กำลังใจภรรยาที่กำลังป่วยหนักบ้าง...มิใช่หรือ
“พระบิดา...” ทศกัณฐ์ถอนหายใจ และตัดสินใจลุกขึ้นยืนเต็มไปสูง ก้าวฉับเดินจ้ำอ้าวออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็วโดยมีอินทรชิตและเปรมวิ่งตามไปติดๆ
บรรยากาศที่น่าหดหู่ยิ่งหดหู่ลงเป็นเท่าทวีคูณ เสียงร่ำไห้แห่งความระทมของนางกำนัลดังรอบแท่นพระบรรทมของผู้เป็นดั่งพระอัครมเหสีแห่งดินแดนรากษสผู้มีอิทธิฤทธิ์ เปรมเบิกตากว้างเมื่อเห็นใบหน้าของหญิงสาวร่างผอมเพรียวที่นอนหายใจกระท่อนกระแท่นช่างเหมือนกับหญิงสาวที่ชื่อนานะไม่มีผิด ไม่ว่าจะเป็นดวงตา จมูก ปาก ล้วนแล้วแต่ถอดพิมพ์เดียวกันมาทั้งสิ้น แม้จะรู้เรื่องราวในอดีตจากปากของชินกฤตมาบ้างแล้ว แต่เมื่อมาเห็นภาพจริงเหตุการณ์จริงกลับยิ่งทำให้เปรมตื่นตะลึงและรู้สึกผิดกับเธอมากกว่าเดิม
ผิวพรรณที่เคยขาวอมชูกลับขาวซีดแทบไร้สีเลือด ดวงตาเหม่อลอยคล้ายคนไร้สติสัมปชัญญะติดตัว มือนางข้างหนึ่งกำสร้อยทองประดับจี้มรกตเม็ดโตซึ่งเปรมจำได้ว่ามันมีลักษณะเดียวกันกับสร้อยที่ราเมนทร์ใช้เปิดตัวเครื่องเพชรชุดใหม่ อกบางกระเพื่อมหอบหายใจรวยรินอย่างเหนื่อยอ่อนคล้ายคนใกล้ตาย
นัยน์ตาหวานเบือนไปยังทศกัณฐ์ผู้เป็นพระสวามี คลี่รอยยิ้มอ่อนงดงามซึ่งแฝงไปด้วยความเศร้า
“พระองค์ทรงมาหาข้าแล้ว...”
มืออันใหญ่โตของจอมราชันย์ทาบลงบนแก้มตอบ “เจ้า...เหตุใดจึงเป็นหนักเช่นนี้ พวกเจ้ามัวแต่ทำกระไรกันอยู่ ไปเรียกพระยาอสุรโอสถมา!”
“เอ่อ...คือ...”
“มิต้องดอกเพคะ...อย่างไรเสีย แค่กๆ อีกมินานข้าก็คงต้องไป”
“เจ้าจักไปที่ใดมณโฑ ครานี้เจ้าป่วยหนักหนานัก ข้ามิให้ยอมให้เจ้าไปไกลตาดอก”
นัยเนตรงามงดตอนนี้มีแต่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ “พระองค์สนด้วยรึ...ว่าข้า...จักเป็นเช่นไร แค่กๆ!” ลิ่มเลือดสีแดงคล้ำกระอักออกมาจากปากสวย
“พะ...พระมารดามิต้องพูดแล้วพ่ะย่ะค่ะ มิต้องพูดแล้ว” นางยิ้มให้กับคนเป็นลูกชาย ยกมือผอมแห้งไร้สีสันลูบพวงแก้มน้อย ปาดคราบน้ำตาให้หายไปจากใบหน้าคมคาย
“อินทรชิต”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“แม่คงอยู่ดูแลเจ้ามิได้อีกแล้วหนา ฝากดูแลพระบิดาแทนแม่ด้วย...ได้ฤาไม่”
“ฮื่อ เหตุใดจึงพูดเป็นลางเช่นนี้ ข้ามิให้ท่านไป พระมารดา...อย่าทิ้งลูกไปพ่ะย่ะค่ะ ไหนท่าน...ท่านสัญญาจักอยู่กับข้าจนกว่าข้าจักสมรสด้วยคู่ครองมีลูกมีหลานเต็มบ้านเต็มเมือง”
“แม่ขอโทษที่ผิดสัญญา เข้าใจแม่เถิดหนาอินทรชิต”
“น้องหญิง” กษัตริย์แห่งกรุงลงกาเอ่ยเบาๆ พระพักตร์บิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกผิดยิ่งนัก วงแขนแข็งแรงช้อนร่างบางเข้ามาซุกกับอกอุ่น ริมฝีปากร้อนจรดลงบนขมับและหน้าผากขาวซีดพร้อมเอ่ยพร่ำรำพันไม่ขาดปาก “พี่ขอขมาโทษเจ้า อย่าจากพี่ไปเลยหนามณโฑ”
“ที่ข้าเป็นเช่นนี้...มัน...แค่ก...เป็นเพราะพระองค์ แค่กๆ”
“มิต้องพูดอีกแล้ว อย่ากล่าวกระไรอีกเลย”
“แม้นตัวข้าจักมิใช่สีดา หากข้าก็คือเมียคนหนึ่งของพระองค์...ย่อมปรารถนาความรักจากผู้เป็นสามี” หญิงสาวหลับตาฝืนกลั้นต่อความเจ็บปวด นานเท่านานในอ้อมพระกรแห่งพญารากษสทศกัณฐ์ นางมณโฑจึงเอื้อนเอ่ยเบา ๆ...
“ข้าพยายามมิสนใจ รอคอยเพียงแต่พระองค์ให้หันกับมา แต่สุดท้ายพระองค์กลับละเลย ทอดทิ้งให้ข้าต้องอยู่โดดเดี่ยวแต่เพียงผู้เดียว...อึก...ข้ามิสามารถให้อภัยพระองค์ได้”
“พระมารดา”
ไม่รู้ว่าเปรมตาฝาดคิดไปเองหรือไม่ หากตัวเขารู้สึกเหมือนสายตาของนางจะตวัดมาทางเขาชั่วแวบหนึ่ง แม้จะแค่แวบเดียสั้นๆทว่าขนเล็กๆตามแขนขาต่างพากันลุกซู่ตั้งชันพร้อมเพรียงกัน
“นับจากเพลานี้ อีกกี่ปีอีกกี่ชาติ พระองค์จักต้องอยู่ตัวคนเดียว...แค่กๆ...หากมีคู่ครองก็ขอให้ร้าวฉานฉิบหาย ฤายามใดใกล้ม้วยมรณาก็ขอให้สิ้นชีวาเพราะเนื้อมือนางอันเป็นที่รัก”
“มณโฑ!” ไม่เพียงพญารากษสหนุ่มที่ตกใจ นางกำนัล อินทรชิต รวมถึงพิเภกและหลวงอสุรโอสถที่เพิ่งมาถึงก็ตกใจเช่นเดียวกัน ไม่คิดว่าพระนางจะกล้ากล่าวคำเลวร้ายออกมาจากปาก
“หัวใจของข้านั้นภักดีต่อพระองค์ตลอดกาล” หญิงสาวหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ สบดวงตาอันอ่อนแรงของทศกัณฐ์พร้อมเรียบเรียงถ้อยคำกล่าวแผ่วเบาทว่ามั่นคงยิ่ง... “แต่ด้วยคำของข้า...พระองค์จักมิมีวันหลุดจากบ่วงรักของข้าได้จนกว่าข้าจักเป็นคนตัดมันให้ขาดเสียเอง”
“!!!”
“จงจำไว้แม่นมั่นเสียเถิดทศกัณฐ์”
และนางก็ตวัดตาเขม็งมาทางเปรมที่ยืนสะดุ้งอยู่นางหลังกำนัลคนหนึ่ง
“เจ้าเองก็เช่นกัน ข้าจักขัดขวางความรักของเจ้าและพระองค์ในทุกภพทุกชาติ!”
‘เฮือก!’ คนนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียง ผวาตื่นด้วยอาการหายใจเต้นแรง
‘ฝันหรือนี่?’ เปรมตั้งคำถามถามกับตัวเองในใจพร้อมกับเอามือลูบทั่วหน้า อากาศในห้องค่อนข้างเย็นสบายทีเดียว หากเขานั้นกลับสัมผัสได้ว่าบนใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อชื้น
มันช่างเป็นฝันที่ทำร้ายจิตใจเขามากทีเดียว
เปรมยังจำสายตาของนางมณโฑที่มองมาได้เป็นอย่างดี มันเต็มไปด้วยโทสะและแรงแค้นของผู้หญิงคนหนึ่งในยามปวดร้าวที่สุดในชีวิต รู้สึกผิด แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะตัวเขาเองก็พยายามหาทางแก้ไขจากเรื่องราวแสนวุ่นวายนี้อยู่เหมือนกัน
แสงสว่างเพียงรำไรทำให้เปรมรู้ว่ายังเช้าตรู่เกินไป เขาพรูลมหายใจออกมายาวเหยียดและหลับตาลง เป็นการนอนครุ่นคิดมากกว่าการก้าวสู่นิทราอีกครั้ง
‘นี่สินะ ปัญหาที่แก้ไม่จบของพี่ทศ ว่าแต่...ทำไมต้องมาทำให้เราเห็นภาพพวกนั้นด้วยนะ’ ความคิดของชายหนุ่มกลับไปยังเรื่องราวในความฝันอีกครั้ง
ความจริงที่ปรากฏ คนเราต่างมีเรื่องผิดพลาดที่จะต้องแก้ไข ไม่เพียงแต่สีดา ตัวพญารากษสแห่งกรุงลงกาเองก็เช่นกัน เรื่องราวอันน่าซับซ้อน...เขาไม่ชอบมันเลยจริงๆ
ถึงตรงนี้เปรมเริ่มกังวล...
เมื่อถึงเวลานั้น...เวลาที่เขาได้ทำตามคำขอร้องของนางสีดาเสร็จสิ้น ทุกคนจะเป็นเช่นไร อสุเรนทร์...จะสามารถยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ได้หรือไม่ หาก...ไม่มีเขา
รอผมหน่อยนะคุณสีดา อีกไม่นานพวกเราและทุกคนจะเป็นอิสระ
อสุเรนทร์ฉีกยิ้มน้อยนั่งเท้าคางมองใบหน้าเรียวได้รูปของเปรม สีผิวขาวอมชมพูระเรื่อ ขนคิ้วเส้นไม่หนาไม่บางจนเกินไปโก่งงอนตามธรรมชาติ ริมฝีปากแดงระเรื่อดั่งกลีบกุหลาบแรกแย้ม ดวงตาเรียวสวยทว่าออกคมน่าดู...ทำให้อสุเรนทร์อยากนั่งจ้องมองตลอดเวลา รู้สึกภูมิใจไม่น้อยที่คนรักของตนสวยมากขนาดนี้ สวยเกินกว่าจะหาผู้หญิงใดเปรียบ ยัยฝรั่งดองนานะน่ะเหรอ...ถอยตกคลองแสนแสบไปเลย
“พระบิดา ข้าวน่ะจะกินไหมครับ” รณพักตร์ยิ้มกรุ่มกริ่ม “มัวแต่จ้องเปรมคงอิ่มหรอก”
“อิ่มอกอิ่มใจไงเจ้าอิน” ชินกฤตเปรยเล่น
“อ๊า จริงด้วยอากฤต”
“หยุดเลยครับอิน คุณชินกฤตก็ด้วย”
“แหมๆ จะมาอายอะไรอีก นายน่าจะชินนิสัยหลงเมีย หวงเมีย รักเมียของพระบิดาฉันได้แล้วนะ”
“อิน!”
“จ๋าจ๊ะ”
“พอๆเจ้าอินกินข้าวกันเถอะ” อสุเรนทร์เอื้อมตัวไปตักชิ้นปลาชิ้นใหญ่และกุ้งเผาตัวโตให้คนร่างบางที่นั่งใกล้ๆ พวงแก้มน้อยแดงระเรื่อเล็กน้อยแต่ก็ลุกขึ้นเอื้อมไปตักอาหารน่าทานมาใส่ในจานของท่านประธานหนุ่มบ้าง ชินกฤตอมยิ้มมุกปาก ยกน้ำขึ้นจิบเสมองไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ผิดกับเจ้ายักษ์แคระที่กระแอมกระไอเสียงดังให้ใครต่อใครได้รู้กัน
“ทำกันอย่างนี้เดินทางไปสู่ขอเลยเถอะ เบื่อคนมีความรักจริมๆ oh my Buddha, that was very cheesy! (พุธโธ่ พุธธัง โคตรหวานจนเลี่ยนเลยโว้ยยยย!)”
“เบื่อนักก็ไปรีบไปหาเมียสักคน โตเป็นวัวแคระควายแคระยังไม่ลงเอยกับใครสักคน พ่อยังอยากอุ้มหลานอยู่นะ”
“อุ้มหลานน่ะรอเดี๋ยว แต่ถ้ารอไม่ไหวก็ขอลูกกับเปรมสักคนสองคนสิครับคาดว่าน่าจะได้ไม่ยาก ถ้าพระบิดามีน้ำยาอ่ะนะ”
“อิน!”
“ไอ้ลูกคนนี้!”
“แหมๆ ประสานเสียงกันเลยเชียว...หน้าตาหล่อแบบอินก็ต้องเลือกสะใภ้ให้ดีหน่อยสิ ลูกจะได้เกิดมาหน้าตาดี” อันที่จริงเขาก็เล็งไว้คนหนึ่งแล้วแหละ แต่ไม่น่าเลย...เสียดายจริงๆ
“ใช่แบบพระลักษณ์หรือเปล่า อย่าคิดว่าอาทำเป็นไม่รับรู้เรื่องราวแล้วจะไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกนายนะ” ชินกฤตยกน้ำชาจิบหน้าระรื่น
“มันก็แค่อดีต”
“อดีตก็แปรเปลี่ยนเป็นปัจจุบันและอนาคตได้ ถ้าหลานรักเปิดใจยอมรับ”
“...”
“คนไม่รู้ถือว่าไม่ผิด อีกอย่าง...อารู้เจ้ายังมีความรู้สึกต่อเขาอยู่...หรือว่าไม่จริง”
รณพักตร์ถึงกับเบ้ปากใส่ “รู้แล้วจะมาถามอินทำไมล่ะ แต่บอกตรงๆไม่เอาดีกว่า อินไม่อยากเข้าไปยุ่งย่ามกับคนพวกนั้นอีกแล้วล่ะ” ถ้ามันไม่มาหาเรื่องล่ะก็นะ
“อะไรกัน นี่เจ้าอินมันหลงรักน้องเจ้าพระรามนั่นเรอะ” อสุเรนทร์หรี่ตาจับผิด
“ก็แค่อารมณ์ชั่ววูบแหละน่าพระบิดา อย่าใส่ใจเลย”
“แต่ผมเห็นอินจ้องรูปคุณลักษณ์ทุกวันเลยนะครับ” รณพักตร์ทำท่าจะเถียงกลับหากอีกคนพูดสวนขึ้นเสียก่อน นั่นยิ่งทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก แก้มค่อยๆร้อนผ่าวส่งไอร้อนออกมาจนสัมผัสได้ “อย่าเถียงนะครับ ผมเห็นและผมก็แอบถ่ายเก็บไว้ด้วย...ถ้ารักถ้าชอบเขาก็ลุยเลยสิครับจะกลัวอะไร”
“เปรม ผมไม่เล่นด้วยนะ”
“ผมก็ไม่ได้พูดเล่นนี่นา จริงไหมพี่ทศ”
“จริงจ๊ะเมียพี่”
“ถ้าดูจากในงานเครื่องเพชรวันนั้น คุณลักษณ์เองก็แอบมีใจให้อินไม่ใช่น้อย”
“ก...ก็เรื่องของเจ้านั่นไปสิ! ฉันไม่ได้ชะ...ชอบหมอนั่นสักหน่อย แค่แกล้งเล่นสนุกๆไปอย่างนั้นเอง” ทำเป็นโมโหใช้เสียงดังกลบอาการขลาดเขิน แต่ที่จริงแล้วในอกมันกำลังเต้นตูมตามแทบกระเด้งกระดอนออกมาเยือนโลกภายนอก ให้ตายเถอะศุภลักษณ์ นายมันตัวอันตรายสำหรับหัวใจของฉันจริงๆ
“นายท่าน มีแขกมาขอพบเจ้าค่ะ” แม่บ้านจวงบอกด้วยท่าทีเคารพนอบน้อม อสุเรนทร์เลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย เมื่อเห็นดังนั้นหญิงวัยห้าสิบเจ็ดปีจึงกล่าวต่อ
“ดิฉันทราบเพียงแค่เธอเป็นผู้หญิงเจ้าค่ะ ส่วนพูดอะไรบ้างนั้นก็มิอาจทราบได้”
“หมายความว่าไงน่ะจวง แขกคนนั้นไม่ได้พูดภาษาไทยหรือ”
“เจ้าค่ะ ผู้หญิงสวยๆ หน้าคม ผมตรงยาวถึงกลางหลังสีดำเงารามไข่มุกจากใต้มหาสมุทรเลยนะเจ้าคะ”
“รู้ล่ะว่าใคร เดี๋ยวฉันจะไปไล่ เอ้ย เจรจากับยัยนั่นเอง มีอะไรก็ไปทำต่อเถอะ”
“เจ้าค่ะคุณหนูอิน”
รากษสหนุ่มขบเคี้ยวฟันด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่งยวด แค่ที่ทำงานก็ประสาทหลอนเกินพอ นี่ยังตามมาถึงบ้านอีก และดูหน้าเปรมสิ จากที่ยิ้มกว้างโชว์ฟันสวยๆกลับหุบลงในทันที แถมไอ้สีหน้าเศร้าหมองเต็มไปด้วยอามรณ์สีเทานั่นอีก โอ้ย เขาล่ะอยากจะบ้าตาย
“เดี๋ยวก่อนจวง”
“เจ้าคะ?” แม่บ้านอาวุโสหันกลับมามองเจ้านายอีกคนด้วยความสงสัย อดีตโหรหลวงกรุงลงกายกหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่านและกล่าวเสียงเรียบ
“ไปตามเธอมา”
“อากฤต!”
“เจ้ากฤต”
“ไหนๆเธอก็มีความพยายามถ่อมาถึงที่นี่แล้ว ไล่ไปก็เสียมารยาทหมดสิครับ สู้คุยให้จบแล้วส่งเธอขึ้นรถกลับบ้านไม่ดีกว่าหรือ”
“คนแบบแม่นั่นไม่สมควรให้ก้าวเข้าบ้าน”
“ได้ข่าวอดีตพระมารดาแท้ของเจ้านะอินทรชิต”
รณพักตร์สะอึก “ก็แค่อดีต แต่ตอนนี้มันคนละคนกัน ไม่ว่าจะเกิดมาหน้าตาเหมือนพระมารดาของอิน หรือเป็นวิญญาณอดีตพระมารดาที่กลับชาติมาเกิด ถ้าทำให้ความรักของเปรมกับพระบิดาแตกระแหงก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน”
พออสุเรนทร์ได้ยินถึงกับหัวเราะลั่น เดินมากอดรัดลูกชายตัวจ้อยจากด้านหลัง ฟัดแก้มซ้ายแก้มขวาของเจ้าตัวด้วยความพึงใจ แต่ดูท่า...คนโดนฟัดแก้มจะไม่ชอบแม้แต่น้อย
“ยี๋…พระบิดา น้ำลายติดแก้มอินหรือเปล่าเนี่ย”
“ขอบใจเจ้านักลูกพ่อ”
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย โอ้ยพระบิดานี่หอมหรือต่อยแก้มอินกันแน่เนี่ย”
“มีเรื่องอะไรสนุกเหรอคะ หัวเราะกันเสียงดังเชียว”
หญิงสาวร่างสูงเพรียวปรากฏต่อหน้าทุกคน ชินกฤตลอบมองสีหน้าของเปรมก่อนจะเลยไปยังอสุเรนทร์ที่บัดนี้กลับตีหน้าเคร่ง รอยยิ้มจางหายไปหมดสิ้น
“It's none of your business! (ไม่ใช่ธุระโกงการอะไรของหล่อน!) อ้อ และที่บ้านนี้ไม่นิยมพูดภาษาอังกฤษนะครับคุณคนสวย เรานิยมของไทย ใช้ของไทยและกินของไทยๆ”
“เพราะอย่างนี้ล่ะค่ะ ฉันถึงไปหัดพูดไทยมา” ร่างเล็กถึงกับหน้าเหวอเมื่อได้ยินสำเนียงไทยสุดแสนจะแปล่งหู นานะฉีกยิ้มตาหยีก่อนจะเดินไปหยุดระหว่างอสุ-เรนทร์และเปรม
“ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณชื่อเปรมหรือเปล่า”
“ครับ ผมเปรม”
“อ๊า ได้ยินชื่อของคุณจากคุณรามมานานแล้ว พอได้เห็นตัวจริง คุณช่างดูดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก มิน่าเล่าเขาถึงได้ชอบคุณเอามากๆ”
“ถ้าจะมาพูดไอ้เลวนั่นก็เชิญกลับไปซะ ฉันไม่ต้องการได้ยิน”
นานะลอบยิ้ม “อย่าเพิ่งโกรธกันสิคะ ฉันก็แค่จะมาคุยเรื่องโครงการร่วม ของเรา เท่านั้นเอง” มือขาวเลื่อนไล้ไปสัมผัสอกแกร่งแน่นหนาของอสุเรนทร์อย่างเย้ายวน รณพักตร์แทบจะพุ่งไปกระชากหล่อนมาตบสักสองสามที แต่ชินกฤตกลับห้ามเอาไว้...อีกแล้ว!
“อา!”
“เรื่องของเขา อย่าคิดไปยุ่งเด็ดขาด”
“แต่...” ร่างเล็กทำท่าจะปฏิเสธ หากก็โดนสวนกลับมา
“ให้พวกเขาฟันฝ่าอุปสรรคกันเอาเอง อยู่ที่ทั้งสามคนจะเลือกกระทำ เลือกเส้นทางได้ดีก็เป็นศรีแก่ตัว แต่ถ้าเลือกเส้นทางผิด...ก็น่าผิดหวังเสียหน่อย” โหรหลวงแห่งลงกาเปรยตามองไปยังร่างหนา “ถ้าพวกเราเข้าไปยุ่ง รังแต่จะเพิ่มความยุ่งยากเข้าไปอีก...เพราะฉะนั้นทนได้ขอให้ทน” เมื่อโดนห้ามอย่างนี้แล้วเขาจะทำอะไรได้เล่า ทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้และหายใจแรง
อยากจะบ้าตาย
“เรื่องพวกนั้นฉันคุยกับเธอไปหมดแล้ว”
“มันก็แค่แผนการ แต่วันนี้ฉันอยากชวนคุณไปดูสินค้าที่จะต้องใช้ และแบบแผนการตลาดของคู่แข่งเผื่อบางทีเราอาจมีความคิดเจ๋งๆมาพัฒนาสินค้าและช่วยสร้างกำไรให้บริษัทมากขึ้น”
อสุเรนทร์นั่งข่มอารมณ์เงียบเชียบ
“คุณไม่อยากให้สินค้าของคุณตีตลาดได้ในระดับดีเยี่ยมหรือคะ ได้ข่าว...เดือนที่ผ่านมายอดการค้าตก สุทธิกำไรก็น้อยกว่าที่คาด...”
“เธอต้องการอะไรกันแน่”
“ในฐานะผู้ร่วมธุรกิจชิ้นใหม่ ฉันอยากให้คุณลงไปดูสินค้าที่หัวหินกับฉันแค่สองต่อสอง”
“ไม่มีสองต่อสอง ฉันจะเอาเปรมไปด้วย”
“พี่ทศ” คนร่างบางส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ
“เรื่องของธุรกิจฉันไม่สามารถให้ คนนอก เข้ามาล่วงรู้ได้”
“เขาไม่ใช่คนนอก เขาเป็นเมียฉัน เธอนั่นแหละคนนอก!”
“พี่ทศพอเถอะครับ”
“แค่ออกไปดูงานกับฉันมันจะอะไรหนักหนาคะ ถ้าคุณอยากให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ วินวินทั้งสองฝ่ายก็ควรฟังฉันพูดบ้าง แค่ไปดูงานด้วยกันสามสี่วัน มันคงไม่ทำให้คุณกับภรรยาของคุณแตกแยกกันหรอกค่ะ ใช่ไหมคะคุณเปรม”
เปรมเพียงแค่ส่งยิ้มบางให้ หากในใจนั้นกลับกลัวแสนกลัว ยิ่งคิดเลยไปถึงความฝันเมื่อเช้ามืดก็ยิ่งทำเกิดอาการหวั่นวิตกเข้าไปใหญ่...แต่แค่สามสี่วัน...คงไม่เป็นอะไรกระมัง
“พี่ทศไปดูงานกับคุณนานะเถอะครับ”
“เปรม!”
“ไม่ต้องห่วงเปรมนะครับ เปรมจะอยู่รอพี่ทศที่นี่ไม่ไปไหน ขอสัญญา คุณชินกฤตครับ อินครับ ช่วยผมพูดหน่อยสิ”
“ถึงอินจะไม่เห็นด้วยกับความคิดยัยนี่ แต่หากเป็นเรื่องงาน โครงการใหญ่ยักษ์ด้วยแล้วก็คงต้องไปแหละครับ”
หันมองไปทางรากษสหนุ่มอีกคน
“ดูแลตัวเองให้ดี”
‘ตั้งสติให้มั่นหนาขอรับ แลอย่ารับของจากคนแปลกหน้า’
แม้ในใจจะสงสัยกับคำเตือนของน้องชายที่ส่งผ่านมาจากกระแสจิต หากอสุเรนทร์พนักหน้าแม่นมั่น ก่อนผินหน้าไปทางคนรัก จ้องมองดวงตาหวานล้ำเนิ่นนาน ก่อนจะถอนหายใจจนสุด มันช่างเป็นการพรั่งพรูลมหายใจที่ยาวและเหนื่อยหน่ายเหลือเกิน เขารู้เปรมเป็นคนดี จิตใจงาม แต่ไม่ควรถึงเพียงนี้!
“พี่จะรีบกลับมาเมื่องานเสร็จ” ปรายตาเขม็งไปยังหญิงสาวคนเดียวในหมู่ผู้ชายสี่คน “พอใจหรือยัง”
“ขอบคุณนะคะคุณเปรม สี่วันต่อจากนี้ฉันจะใช้เวลาที่ได้มาให้คุ้มค่าที่สุด”
‘เฮ้อ’ ไม่รู้นับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาทอดถอนลมหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย เครื่องดื่มเย็นแก้วโปรดก็ละลายจนหมดความอร่อยไปนานไม่เหลือรสใดๆ ครั้นจะลุกไปสั่งใหม่ก็เกรงว่าจะได้แต่นั่งจ้องมันมากกว่ายกดื่มด้วยความหิวกระหาย เปรมรู้สึกอะไรๆในตอนนี้มันช่างน่าเบื่อเสียเต็มประดา...รู้อย่างนี้อยู่รอที่บ้านแล้วออกมาเที่ยวเล่นพร้อมรณพักตร์ในช่วงเย็นย่ำเสียก็ดี
เหงาชะมัด...ป่านนี้พี่ทศจะเดินทางถึงหัวหินหรือยังนะ
ยกมือเท้าคางมองออกไปด้านนอกกระจกอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย เห็นนกคู่หนึ่งบินโฉบลงมาเกาะกิ่งไม้แล้วเริ่มไซ้ขนคลอเคลียกันอย่างน่าอิจฉา...ห่างกันเพียงช่วงข้ามคืนเปรมก็เอาแต่คิดถึงยักษ์จอมเล่ห์ผู้นั้นเสียแล้ว และก็ช่างน่าอายนักที่สมองเอาแต่คิดเรื่องของอสุเรนทร์ตลอดเวลา ดวงตาคู่คมที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจตราตรึงหัวใจดวงน้อยมิเสื่อมคลาย ริมฝีปากที่คอยพูดฉอเลาะประจบประแจงทั้งในยามที่ตื่น ยามกิน ยามนอน หรือแม้กระทั่ง...ยามแสดงความรักใคร่ซึ่งกันและกัน...หากอสุเรนทร์ล่วงรู้เข้า...เจ้าตัวก็คงยิ้มหน้าบานจับเขาไปนอนกอดพร้อมเอ่ยพร่ำรำพันประโยคแสนหวานเย็นจรดเช้าตรู่...
“สติ๊กกี้ ท็อฟฟี่ พุดดิ้ง ช็อกโกแลตเย็นเพิ่มวิปได้แล้วค่ะคุณลูกค้า”
คิ้วโก่งเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันเมื่อหันกลับมาเห็นจานขนมหน้าตาน่ารับประทานถูกวางลงบนโต๊ะพร้อมกับเครื่องดื่มแก้วใหม่
“เอ่อ...คุณเสิร์ฟผิดโต๊ะแล้วล่ะครับ ของพวกนี้ผมไม่ได้สั่งเพิ่มนะ”
“มีคนสั่งมาให้ค่ะ”
“ครับ?”
“เขาฝากข้อความมาถึงคุณด้วยนะคะ” คนร่างบางรับกระดาษใบเล็กจากมือของบริกรสาว
กินให้อร่อยนะครับน้องน้อยของพี่
รัก R.M.
[/i]
“ขอให้ทานอย่างมีความสุขนะคะ” เธอส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะเดินหายเข้าไปหลังร้านเพื่อปฏิบัติงานในส่วนต่อไป...ดวงตาเรียวสวยกวาดมองไปทั่วทั้งร้านเพื่อหาคนต้องสงสัยคนนั้น แต่ทว่ามองไปทางไหนทุกคนกลับดูปกติดีทุกอย่าง นั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่มของตัวเอง สายตาจับจ้องแต่เครื่องสื่อสารที่มีขนาดต่างกันบ้างก็เล็ก บ้างก็ใหญ่ล้นมือ...ใครกันนะที่ซื้อมันมาให้เขา
ครืด...ครืด... เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเบาๆทำให้เปรมหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองและรีบรับสายเมื่อเห็นชื่อ ‘คุณอิน’ ปรากฏอยู่บนหน้าจอ
“ว่าไงครับอิน”
“ยังเดินเล่นอยู่ที่ห้างหรือเปล่า”
“ครับ อินมีอะไรเหรอ”
“ตอนเย็นฉันคงไปรับนายไม่ได้แล้วนะเปรม พอดีที่บริษัทมีงานเข้ามาด่วน กว่าฉันกับอากฤตจะกลับไปบ้านก็คงค่ำมืดดึกดื่น ขอโทษนะเปรม ขอโทษจริงๆ”
“ไม่ต้องขอโทษผมหรอก อินรีบไปทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วงผมนะผมกลับเองได้สบายมาก”
“อย่าคิดกลับเองคนเดียว ถ้าจะกลับบ้านก็โทรเรียกลุงชาติให้ไปรับเท่านั้นเข้าใจไหมเปรม”
“ก็ได้ๆ ขี้บังคับเหมือนพี่ทศเลย”
“ฮ่าๆ ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น อย่าลืมนะ โทรเรียกลุงชาติ”
“ไม่ลืมหรอกน่า” ใช้ส้อมจิ้มเนื้อพุดดิ้งเค้กตักเข้าปาก
“อ้อเปรม ตอนจะกลับฉันฝากซื้อดอกไม้หน่อยสิ ว่าจะเอาไปใส่แจกันที่ซื้อมาใหม่ในห้องน่ะ”
“อยากได้แบบไหนล่ะครับ”
“ขอแบบหอมๆ ซ่อนความหมายดีๆ แต่กลิ่นไม่ต้องฉุนมากนะฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
คนร่างบางพยักหน้าคล้ายมีดอกไม้ตรงตามที่รณพักตร์ต้องการอยู่ในใจแล้ว
“พอจะรู้ล่ะครับ...ว่าแต่มีอะไรอยากได้เพิ่มอีกไหมครับอิน”
“ไม่มีๆ ขอบคุณมาก เดี๋ยวขากลับจากที่ทำงานจะซื้อข้าวเหนียวมะม่วงไปฝาก เจ้านี้เด็ดอย่าบอกใคร (ผู้จัดการคะ ท่านรองเรียกเข้าประชุมแล้วค่ะ) เฮ้อ...เปรมแค่นี้ก่อนนะไว้เจอกันที่บ้าน”
“ครับ แล้วเจอกัน”
รอยยิ้มยังคงประดับไว้ที่มุมปากชั่วครู่หนึ่ง แล้วเริ่มลงมือรับประทานของหวานที่ได้มาจากบุคคลปริศนา...รสชาติของมันนับว่าถูกปากเขามากทีเดียว เนื้อแป้งนุ่มแทบละลายในปากและไม่หวานเลี่ยนจนเกินไป แต่สำหรับราคานั้นหากเขาจำไม่ผิดมันค่อนข้างแพงกว่าเบเกอรี่ชิ้นอื่นเกือบสองเท่า เพราะฉะนั้น...เพื่อไม่เป็นการหักหาญน้ำใจคนให้จะอย่างไรก็ต้องทานไม่ให้เหลือ
อีกมุมหนึ่งของร้านไม่ไกลจากโต๊ะที่เปรมนั่งอยู่นัก ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกำลังนั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ สายตาลอบมองใบหน้าหวานที่เขาเผลอจ้องมานานสองนาน กำลังหลับตาพริ้มดื่มด่ำกับชิ้นเค้กที่เขาซื้อให้ คงถือเป็นความโชคดีกระมังที่ทำให้วันนี้เขาได้มาเจอร่างบางโดยไร้พวกเห็บเหาคอยติดตามเหมือนอย่างทุกครั้ง
ชายหนุ่มยื่นแบงก์สีเทาหนึ่งใบส่งให้พนักงานผู้หญิงที่เดินเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มให้คนร่างบางเมื่อครู่ เธอรับแล้วผงกหัวขอบคุณ
“มีอะไรก็เรียกใช้ได้อีกนะคะ”
“ครับ”
แม้วันนี้เจ้าตัวจะแต่งเพียงเสื้อยืดลายทางสีน้ำเงินกับกางเกงสามส่วนสีขาวสุดแสนจะธรรมดา หากในสายตาของเขาคนคนนั้นช่างน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน
อยากกอด อยากสัมผัส อยากให้รู้ว่าเขาหลงใหลอีกฝ่ายมากเพียงใด แต่ก็ต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน คิดจะทำการใหญ่ทั้งทีต้องค่อยๆทำอย่างละเมียดละไม...
“อีกไม่นาน...เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป”
ต่อด้านล่างจ้าาาา