บทจบ (ครึ่งแรก)
สองวันผ่านไป ช่างเชื่องช้าเหมือนอยู่ในขุมนรก
เขาที่ต้องประทังชีวิตด้วยมาม่ามาตลอดหกมื้อก็ได้แต่นั่งตาลึกโบ๋อยู่หน้าถ้วย ตกดึกจะนอนก็นอนไม่ได้เพราะกินแต่มาม่าไม่อยู่ท้องเลยต้องเอาน้ำลูบ แถมตื่นเช้ามาจะทำหุงข้าวกินเอง ข้าวที่หุงก็ขึ้นอืดจนพองจนเละ แถมพอเขาใส่น้ำเข้าไปแล้วหุงใหม่เพื่อเปลี่ยนเป็นข้าวยิ่งเฉะ จะเป็นโจ๊กก็ไม่ใช่ข้าวต้มก็ไม่เชิง กวนๆ เขี่ยๆ วนๆ ข้าวก็ได้แต่จับตัวเป็นก่อน พอใส่ซอสเข้าไปปรับรสชาติก็ยังกินไม่ได้ สุดท้ายเขาก็ต้องโยนทิ้งทั้งหม้อแบบต้องสงสารชาวนา ยังดีที่ในห้องมีไข่อยู่บ้าง เขาเลยสลับกินอยู่ระหว่างมาม่ากับไข่ลวก แถมเตาในห้องเสี่ยก็เป็นเตาไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ไม่ใช่เตาแก๊สเขาที่ไม่เคยใช้ก็ไม่แตะต้องเพราะกลัวมันพัง
สองวันที่ผ่านมานอกจะประทังชีวิตด้วยมาม่าและไข่ลวก เขาที่นั่งว่างหน้ามึนก็ได้แต่เก็บของไปเรื่อยๆ ตอนย้ายมาเริ่มต้นที่กระเป๋าเป้แค่ลูกเดียว พอตอนออกของเยอะ เขาก็เอาของใส่กระเป๋าลากที่ใช้ขนของในรอบที่สองใส่กลับไปด้วย ตอนนี้ห้องที่หอเก่าเขาเป็นห้องร้าง เปลี่ยนแต่เฟอร์นิเจอร์ที่มีมาแต่เดิมและปล่อยให้ฝุ่นมันนอนจับเล่น ตอนแรกเองเขาก็ว่าจะคืนห้องเหมือนกันเพราะไม่อยากเสียเงินไปเปล่าๆ ปลี้ๆ แต่พอคิดดูแล้วว่าไม่รู้ว่าจะต้องเลิกกับเสี่ยเมื่อไหร่ก็ได้แต่เก็บห้องไว้
ซึ่งมันเป็นเป็นทางเลิกที่ต้อง เพราะตอนนี้เขารอเสี่ยมาสองวันตามที่ตัวเขากำหมดแล้ว ในเมื่อเสี่ยไม่โทรมา ไม่ส่งไลน์มาบอกก็ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องอยู่ต่อด้วย เรื่องเขากับเสี่ยมันจบลงแล้วและถึงเวลาที่เขาต้องไปเสียที
เขาวางแหวนกับใบโอนหุ้นไว้ให้เสี่ยตรงหน้าเคาท์เตอร์เพื่อที่เสี่ยจะได้เห็นง่ายๆ ตอนแรกเขาเองก็อยากจะเก็บแหวนไว้เป็นที่ระลึก แต่พอคิดดูอีกที ถ้าจะตัดก็ควรตัดให้ขาด อย่าปล่อยให้เหลือเยื่อใยจะได้ไม่ต้องคิดมาก ส่วนสร้อย... เสี่ยก็คงเอากลับไปตั้งแต่คราวก่อนแล้วเพราะเขาวางไว้ที่โต๊ะ กล่องใส่สร้อยกับใบเสร็จพร้อมใบเซอร์เขาก็ตั้งทิ้งไว้เสี่ยจะได้เอาไปเปลี่ยนคืนได้ง่ายๆ
พอจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาก็ลากกระเป๋าลากหนึ่งใบกับเป้เตรียมออกจากห้อง ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะออกจากห้องนี้ และหวังว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตจริงๆ ด้วย ส่วนเรื่องงานเขาก็ติดต่อไปแล้วว่าจะไปอยู่ด้วย มันเองก็ดีใจที่เขาสามารถคิดได้ ถึงมันจะเอาเขาไปประจานบนเฟสบุ๊คจนเสร็จเรียบร้อยมันก็ยังมีหน้ามาตีหน้าซื่อ บอกว่าเรื่องเก่าผ่านไปแล้วได้เวลาเริ่มต้นชีวิตใหม่ซักที
เขาเองก็เห็นด้วยเลยบอกมันว่าพร้อมทำงานอาทิตย์หน้า วันนี้วันพฤหัสพรุ่งนี้วันศุกร์ เขาที่มีเวลาอีกหนึ่งวันก็ว่าจะไปส่งใบลาออกพรุ่งนี้ ส่วนเรื่องบริษัทไอ้รุตก็ติดต่อกลับมาแล้วว่าทุกอย่างปลอดภัยดีให้เขากลับไปทำงานตามปกติได้ แต่เขาพอแล้ว เขาเหนื่อยแล้ว เขารอเสี่ยมาสองวันแต่เสี่ยก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมาเพิ่ง ส่วนไอ้ขิมเองก็โทรมาต่อว่าเขาแล้วเรื่องที่เขาโกหกว่าไม่ได้เป็นเด็กเลี้ยง
แต่ตอนนั้นเขาก็แถจนเอาตัวรอดได้ว่าเพราะความจำเป็นเลยต้องโกหกไปแบบนั้น อีกอย่างเรื่องการเป็นเด็กเลี้ยงก็ไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจที่จะเอามาพูด ถึงเขาจะไม่ใช่คนคิดมากแต่ก็ไม่ได้อยากบอกให้คนอื่นรู้ ซึ่งตรงนี้ไอ้ขิมก็เข้าใจและบอกให้พามันไปเลี้ยงปลอบใจด้วย เพราะมันด่าท่านประธานจนเสียหมาไปแล้วว่า ท่านประธานเป็นสมภารกินไก่วัด เป็นโคแก่กินหญ้าอ่อน รังแกเด็กที่ไม่มีทางสู้ เสี่ยที่งงเป็นไก่ตาแตกเพราะถูกหมู แค่กๆ ถูกใครก็ไม่รู้มาด่าถึงหน้าห้อง ลำบากไอ้รุตต้องลากขิมออกมาก่อนที่จะเกิดเรื่องหมูขวิดท่านประธาน ซึ่งสุดท้ายไอ้รุตก็เป็นคนเล่าทุกอย่างในส่วนที่เล่าได้ ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแผนที่เสี่ยเอาวางไว้ และตัวมันเอกงก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนด้ย ส่วนตัวเขาเองก็ไม่ได้เป็นชู้ แต่เป็นบทสมอ้างที่เสี่ยอ้างขึ้นเพื่อจะจับตัวคุณปุยฝ้าย และเสี่ยขอร้องไม่ให้เขาบอกใครด้วย ไอ้ขิมที่ฟังความมาจากไอ้รุตก็ชื่อสนิทใจเพราะมีพี่เจ้าไหมมายืนยันด้วย
เอาเข้าจริงเรื่องนี้คนที่รู้ว่าเขาเป็นชู้กับเสี่ยจริงก็มีแต่เสี่ย ไอ้รุต หัวหน้าแผนกและครอบครัวของเสี่ยเท่านั้น ส่วนคนอื่นเสี่ยก็บอกปัดไปว่าทุกอย่างเป็นแผนเพื่อล่อหนอนบ่อนไส้ ซึ่งเรื่องแผนการนี้ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคิดไว้ จะผิดก็ผิดตรงที่สุดท้ายแล้วคุณปุยฝ้ายก็ถูกใช้ ตัวคุณปุยฝ้ายไม่ได้เป็นลาสบอส แต่ลาสบอสที่แท้จริงคือผู้บริหารรุ่นพ่อที่เป็นเพื่อนซี้ของพ่อเสี่ย และผู้บริหารคนนี้นี่เองที่เป็นคนแนะนำคุณปุยฝ้ายให้เสี่ยด้วย ประมาณว่าเอาคุณปุยฝ้ายมาสังเวยเป็นเหยื่อล่อ บอกพ่อของเสี่ยว่าหนูปุยฝ้ายเนี่ยเป็นที่คนรู้จักแนะนำมา น่าจะเอามาให้ลูกชายเพื่อว่าพ่อเสี่ยจะได้อุ้มหลานบ้าง พ่อเสี่ยที่ฟังเพื่อนสนิทเป่าหูมาก็เชื่อสนิทใจเพราะเห็นว่าเป็นซี้เลยพาคุณปุยฝ้ายร่อนโชว์ตัวไปทั่วเพราะไม่คิดว่าเพื่อนจะหักหลังได้ สุดท้ายพอรู้ความจริงก็หนีไปทำใจที่เมืองนอกปล่อยทุกอย่างให้เสี่ยจัดการ
ซึ่งแผนการขั้นสูงสุดของผู้บริหารคนนี้คือพอคุณปุยฝ้ายท้องก็จะจัดการฆ่าตัดตอนเสี่ย แบบในหนังพล็อตน้ำเน่า เพราะถ้าหากคุณปุยฝ้ายท้องและได้จดทะเบียนกับเสี่ยจริง เกิดเสี่ยเป็นอะไรขึ้นมาก็เท่ากับคุณปุยฝ้ายกับลูกก็จะได้มรดกด้วย เพราะเป็นภรรยาที่ถูกต้องส่วนตัวเองก็จะออกโรงมาอีกทีหลังจากที่ได้ทึกอย่งมาอยู่ในมือแล้ว
ถึงตอนนี้เขาล่ะโครตนับถือความใจเย็นและความช่างวางแผนของผู้ถือหุ้นหรือผู้บริหาร X (นามสมมุติจะได้จำได้ง่ายๆ) เพราะผู้บริหาร X คนนี้วางแผนมาเป็นปีๆ หลอกโกงเงินในบริษัทมาแล้วก็ไม่น้อยแต่ก็ไม่เคยถูกจับได้ เรียกได้ว่าเป็นรุ่นบุกเบิกของการจัดตั้งบริษัทเลยรู้ช่องทางหาทางโกงได้หมด แต่ก็นะ คนเราพอมีความโลภไม่ว่าอะไรก็อยากได้ทั้งนั้น จากที่โกงน้อยๆ ก็กลายมาเป็นโกงมากขึ้น และจากโกงมากขึ้นก็อยากมายึดบริษัทชาวบ้าน และในตอนแรกผู้บริหารคนนี้มีหุ้นอยู่ 40:60 ( ก่อนเปลี่ยนมาจัดตั้งเป็นแบบบริษัทมหาชน และเปลี่ยนมาเข้าในตลาดหุ้น) แต่เพราะเป็นคนหน้าใหญ่สายเปย์และติดการพนัน หุ้นที่ควรอยู่ในมือก็ขายออกบ้างเอาไปเลี้ยงเด็กบ้าง เรียกว่าสำมะเลเทเมาเห็ยเงินเป็นเบี้ยนั่นเอง แล้วพอเงินไม่พอก็มาตอดเล็กตอดน้อย พ่อเสี่ยเองก็เห็นแต่เห็นว่าเป็นเงินก้อนไม่ใหญ่มากเลยหลับหูหลับตาปล่อยไปบ้างเพราะไม่อยากเสียเพื่อน ส่วนไอ้นี่เองก็ตอดเล็กตอดน้อย แต่เรื่องตอดใหญ่นี่ไม่เคยบอกให้ใครรู้เรียกว่าปิดเงียบกริบ พ่อเสี่ยเองก็ไม่รู้เรื่องเพราะพอเห็นเพื่อนขายหุ้นก็ซื้อเก็บกลับมาบ้างขายทอดตลาดบ้าง วันดีคืนดีเพื่อนมายืมเงิน(แบบหน้าด้านๆ) พ่อเสี่ยก็ออกปากให้ยืมให้ง่ายๆ ประมาณว่ามีเงินเหลือกินเหลือใช้จะแบ่งให้เพื่อนหน่อยทำไมจะไม่ได้
แต่ก็อย่างที่บอก พอคนพอความโลภมากเข้าก็อยากได้ของคนอื่นมากขึ้น ซึ่งตรงจุดนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มเรื่อง ผู้บริหาร X คนนี้เคยช่วยเหลือคุณปุยฝ้าย และเรื่องราวก็เป็นไปดั่งละครน้ำเน่า ผู้บริหาร X หลอกคุณปุยฝ้ายว่าโดนเพื่อนฮุบกิจการ(ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละเป็นคนปล่อยหุ้นจนหรือหุ้นแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์) และตอนนั้นคุณปุยฝ้ายก็เพิ่งอายุยี่สิบหรือก็คืออายุพอๆ กับเขาที่ต้องขายตัวครั้งแรก คุณปุยฝ้ายที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งต้องมาอาศัยอยู่กับยายก็ต้องปากกัดตีนถีบ พอมีคนมาดีด้วยก็ตกหลุมรักและเชื่อว่าเป็นรักแท้ เรียกง่ายๆ ว่าทับซ้อนคล้ายเรื่องของเขากับเสี่ยนั่นเอง เพราะองค์ประกอบเหมือน(เกือบเป๊ะ แต่ของคุณปุยฝ้ายมาม่ากว่าเยอะ)
คุณปุยฝ้ายเองก็ยอมเป็นชู้เพราะว่ารักผู้บริหารคนนี้มาก ประมาณเป็นบุญคุณที่ช่วยเหลือกันมาและท่าทางที่ดูจริงใจน่าสงสารด้วย ในตอนนั้นผู้บริหาร X ก็มีเมียมีลูกอยู่แล้ว แต่ก็มาเป่าหูคุณปุยฝ้ายที่อ่นต่อโลกว่าไม่ได้รัก อยู่กับเธอฉันสบายใจกว่า(อีแก่ที่บ้าน) เธอสาวกว่าสวยกว่า(อีแก่หนังเหี่ยวเยอะ) ฉันรักเธอมากนะอยากสร้างครอบครัวกับธอแต่ทางฝั่งนั้นไม่ยอมหย่าแถมฉันก็สงสารลูก แต่ถ้าเธอยอมช่วยจนฉันสามารถยึดกิจการได้ ฉันก็จะหย่ากับเมียเก่าแล้วมาแต่งงานมีลูกสร้างครอบครัวที่สงบสุขดีพร้อม คุณปุยฝ้ายที่ขาดความอบอุ่นมาตั้งแต่เล็กพอมีคนมาดีด้วยก็ไม่ต่างอะไรกับเขา ยอมทำตามแผน ยอมมีอะไรกับคนที่ได้รักเพื่อหวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้นไม่ต้องอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ
และในระหว่างที่ทำตามแผนนี้คุณปุยฝ้ายไม่ได้ติดต่อกับผู้บริหาร X อีกเลยมาเป็นปีๆ เพื่อป้องกันคนจับได้ ในเวลาที่คุยกันถ้าไม่โทรศัพท์ก็นัดเจอกันข้างนอก แต่นัดเจอกันอีท่าไหนไม่รู้ สายสืบของเสี่ยเลยจับไม่ได้ว่าใครเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังกันแน่ เพราะผู้บริหาร X ไม่ออกโผล่หัวออกมาให้เห็นเลยซักครั้ว ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะทั้งสองคนพบกันน้อยมากด้วยก็ได้ และที่นี้ พอจับตัวการไม่ได้เรื่องมันเลยต้องมาเลยเถิดถึงขั้นที่ต้องเอาเขามาเป็นเหยื่อล่อ และก็อย่างที่ทุกคนรู้ เรื่องมันเริ่มจากเอกสารที่ทำให้เสี่ยจับได้ และเสี่ยก็เริ่มตามสืบตั้งแต่ตรงนั้นกะลากออกมาทั้งปลาใหญ่ปลาน้อยรวมไปถึงผู้ถือหุ้น
เสี่ยที่คอยตามสืบก็สืบจนรู้หมดว่ามีใครที่อยู่ตำแหน่งไหนเป็นคนโกงหรือทำตัวเป็นนกสองหัวบ้าง ส่วนผู้บริหาร X นี่ทำทีเป็นอยู่ฝ่ายที่ถูกต้องแต่สุดท้ายก็เสี่ยก็จับไต๋ได้เพราะตามสืบแบบเข้มข้น พ่อเสี่ยเองที่พอรู้เรื่องพอรู้เรื่องก็หนีไปทำใจอยู่ที่เมืองนอก ปล่อยเรื่องทางนี้ให้เสี่ยจัดการขูดรีด(จนไม่เหลือเลือด) ลากเอาทรัพย์สินในส่วนที่ควรจะเป็นของบริษัทคืนและจัดการกับพวกผู้ถือหุ้น ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูครั้งใหญ่มาก เพราะเสี่ยเรียกประชุมคณะผู้บริหารและบุคคลที่เกี่ยวข้องเข้ามาฟังด้วยหมดทุกคน คนไหนที่มีการจัดทำเรื่องทุจริตเสี่ยก็ให้พี่เจ้าไหมแจกแจงพร้อมแสดงหลักฐานที่มีมีการยักยอกทรัพย์ การกักตัวท่านประธานก็เปลี่ยนมาเป็นการแฉคนโยงก็ตอนนี้ แถมเสี่ยยังสั่งให้เรียกตำรวจกับสารวัตรมาเตรียมดำเนินคดีกับคนที่เกี่ยวข้อง
แน่นอนว่าทุกคนที่ต้องขึ้นศาลและถูกแฉรายชื่อย่อมต้องหมดสภาพพนักงานของบริษัทแล้ว เงินชดเชย 3 เดือนก็ไม่ได้เพราะถูกไล่ออก แถมยังถูกฟ้องทั้งคดีอาญาและคดีเแพ่ง ส่วนผู้บริหาร X นี่มาโผล่หางเอาวันสุดท้ายเพราะนึกว่าได้ทุกอย่างมาอยู่ในมือก็เอะอะโวยวายโยนความผิดให้คุณปุยฝ้าย บอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องแค่ดูไปตามหลักฐานที่คุณปุยฝ้ายเอามาแสดงเท่านั้น เรียกว่าพยายามปลดความผิดออกจากตัวให้ได้ คุณปุยฝ้ายเองที่ถูกหักหลังก็ได้แต่ปิดปากเงียบไม่มีซัดทอด แต่เสี่ยเหรอจะยอมจบแค่นั่น เสี่ยแฉหลักฐานตั้งแต่การกินเล็กกินน้อยไปจนถึงกินใหญ่ออกมาแฉจนหมดสิ้น คงกะว่าเอาให้หมดตัวแน่ๆ และพอรวมๆกันความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ พอมารวมกันมันก็ใหญ่มากขึ้น ยิ่งรวมกับความเขี้ยวของหัวหน้าแผนกที่เป็นพนักงานบัญชี พอแจกแจงความเสียหายก็ตบด้วยเงินทดแทนควรได้หรือค่าเสียโอากาส บวกกับอัตตราดอกเบี้ยตามอัตราเงินกู้ แค่นี้ผู้บริหาร X หมดตัวถึงขั้นต้องฟ้องล้มละลายแล้ว
และเสี่ยเองก็ไม่ยอมจบแค่นั้น เป่าหูผ่านทางเมียหลวงกับลูกให้ฟ้องหย่าด้วยเรียกว่าพร้อมทับถทและซ้ำเติมกันน่าดู ผู้บริหาร X ถึงขนาดสูญเสียทุกอย่างก็เอะอะโวยวายบอกว่าถูกป้ายความผิดบ้าง ด่าเสี่ยว่าเป็นเกย์โรคจริงบ้าง ส่วนคุณปุยฝ้ายสุดท้ายเป็นชู้ของจริงก็ได้แต่นั่งนิ่งรับทราบข้อกล่าวหาไม่มีโวยวายมาก แต่เพราะสุดท้ายผู้บริหาร X มาเกาะขาอ้อนวอนอีท่าไหนไม่รู้ คุณปุยฝ้ายเลยยอมกัดฟันเอาลูกเสี่ยมาเป็นข้ออ้าง ขู่ว่าจะทำแท้ง แต่มีเหรอที่เสี่ยจะยอมใจอ่อนให้ง่ายๆ เสี่ยบอกให้คุณปุยฝ้ายไปทำแท้งได้ เสี่ยจะออกเงินค่าขูดออกให้คุณปุยฝ้ายทำแท้งอย่างถูกกฎหมายที่เมืองนอก แต่พอทำแท้งกลับมาคุณปุยฝ้ายก็ต้องถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่งเหมือนคนอื่นด้วย
ไอ้ขิมที่เล่ามาให้เขาฟังถึงถึงตรงนี้ก็ขอพักจิบน้ำก่อนคุยโทรศัพท์ต่อบอกว่าเสี่ยใจหินมาก (ความจริงมันด่าแรงกว่านี้แต่ขอละไว้) มันที่ฟังเรื่องนี้ต่อจากเจ๊เจ้าไหมอีกที (ท่าทางจะเมาท์กันสนุกมาก เพราะไอ้ขิมเล่าเป็นฉากๆ เหมือนกับอยู่ในเหตุการณ์) ก็บอกอีกว่านอกเสี่ยจะใจหินแล้ว เรื่องทุกอย่างเสี่ยก็วางแผนเพื่อเอาไว้หมดรวมถึงเรื่องลูก เสี่ยที่ยอมมีอะไรกับคุณปุยฝ้ายนอกจากจะหาเรื่องโอนหุ้นและจดทะเบียนสมรส เสี่ยยังให้โอกาสตุณปุยฝ้ายที่ถูกหลอกใช้ว่า ถ้าคุณปุยฝ้ายยอมคลอดลูกออกมาให้ เสี่ยจะให้เงินยี่สิบล้านไม่รวมค่าเลี้ยงดูระหว่างตั้งท้องจนกว่าจะคลอดอีกเดือนละสามหมื่นห้า เรียกง่ายๆ เสี่ยว่าจ้างอุ้มท้องนั่นเอง และพอคุณปุยฝ้ายคลอดเด็กมาอย่างปลอดภัยเสี่ยจะจ่ายเงินที่เหลือยี่สิบล้านให้ แล้วต่างคนก็ต่างอยู่ คุณปุยฝ้ายไม่มีสิทธิในตัวลูก และเสี่ยจะไม่ส่งฟ้อง
ซึ่งคุณปุยฝ้าย(ที่ไอ้ขิมฟังมาจากเจ๊เจ้าไหมอีกที) ก็บอกว่าเธอยอมรับข้อเสนออย่างว่าง่าย แต่ที่ยอมรับข้อเสนอนี่ไม่ใช่ว่าเห็นแก่เงิน แต่เงินยี่สิบล้านถ้าบริหารดีๆ ก็งอกเลยเป็นสามสิบหรือสี่สิบล้าน ดังนั้นคุณปุยฝ้ายเลยตัดสินใจรับเงินและรอจะอยู่ที่เมืองนอก ส่วนผู้บริหาร X คุณปุยฝ้ายก็บอกว่าจะรอทางนั้นออกมาจากคุก แล้วเธอจะเริ่มต้นใหม่กับผู้บริหาร X อีกรอบ ตอนนี้ผู้บริหาร X หย่ากับเมียหลวงหย่าขาดกันไปแล้ว เธอเองก็จะมีสิทธิ์เป็นเมียหลวงที่ถูกต้องบ้าง
เฮ้อ ฟังมาถึงถึงตรงนี้เขาก็อยากจะถอนหายใจบ้าง เรื่องของความรักสุดท้ายมันก็ทให้คนมีจุดจบแบบนี้ ใครนะช่างกล้าบอกว่าความรักคือสิ่งที่สวยงาม ความจริงความรักคือสิ่งที่ดำมืด ความรักมันไม่มีตัวตนให้จับต้องแต่มันก็ทำให้คนๆ หนึ่งอยู่อย่างคนโง่และเป็นคนตามืดบอดได้
แต่เขาทั้งนี้เขาเองก็ไม่มีสิทธิไปด่าคุณปุยฝ้าย เพราะเขาเองก็มีชีวิตที่ไม่ต่างกัน เขาถูกเสี่ยหลอกใช้แต่พอรู้ตัวแล้วยังคงรู้สึกรัก ยอมเป็นชู้ ยอมเป็นเด็กเลี้ยง ยอมรอให้เสี่ยมาอธิบายเป็นคำพูด แต่ถึงเสี่ยจะมีเหตุผลดีแค่ไหนแต่ความจริงที่เขาถูกหลอกใช้หรือหักหลังมันก็เป็นเรื่องที่โกหกไม่ได้ เขาที่ฟังความจากไอ้ขิมมาอีกทีก็ฟังจนหูอื้อ สรุปสุดท้ายเขาก็ต้องลี้ยงอาหารชุดใหญ่มันหนึ่งเป็นค่าข่าวและค่าตัดบท(รวมกับค่าที่ปิดบังมันด้วย)
ส่วนเสี่ย... นอกจากเรื่องที่เขาฟังมาจกไอ้ขิมเล่า เขาก็ไม่รู้ข่าวอื่นเพิ่มอีกเลย เขากินนอนอยู่ในห้องนั่งเล่นแต่เสี่ยก็ไม่ยอมมาหา จะให้เขาโทรหาก่อนก็ใช่ที่เพราะทุกอย่างเป็นเพราะเสี่ยก่อเรื่องไว้ และเสี่ยควรจะมาอธิบายให้รู้เรื่อง ไม่ใช่ให้เขามาฟังจากปากคนอื่นแบบนี้ และตอนนี้... ตอนที่เขารอจนครบสองวันเสี่ยก็ไม่ติดต่อมา เขาก็ควรตัดใจเสียที ในเมื่อไม่มีความหวังเขาก็ไม่หวังอะไรเพิ่ม สู้เดินต่อไปข้างหน้าและทิ้งทุกอย่างไว้เบื่องหลังดีกว่า อนาคตที่สดใสยังรอเขาอยู่อีกเยอะ เพราะอย่างนั้น.. มันควรถึงแก่เวลาที่เขาควรจะออกจากห้องนี้จริงๆ เสียที
>>>ปั่นไม่ทันพรุ่งนี้ต้องเข้า กทม.ไปงาน BL extra อีกฮือๆ