ตอนที่ 5
ในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง
วันนี้เป็นศุกร์สุดท้ายของการเป็นเด็กเสี่ยมาสี่เดือน
เสี่ยยังคงไม่พูดอะไรกับเขามาก แต่ยังจัดหนักจัดเต็มแบบเดิม ระหว่างเขากับเสี่ยนอกจากเรื่องบนเตียงเราไม่ได้มีความสัมพันธ์กันอย่างอื่น ไม่เคยออกไปดูหนังหรือกินข้าว เขาไม่เคยอ้อนขอให้เสี่ยซื้ออะไรเพิ่ม เสี่ยเองก็ไม่เคยถามว่าเขาอยากได้อะไร อาจมีถามเรื่องส่วนตัวบ้าง เรื่องหนี้สิน หรือเรื่องเรียนบ้าง เขาเองก็บอกไปตามตรงว่าเขาใช้หนี้ไปหมดแล้ว แต่วันนี้วันสุดท้าย ซึ่งเสี่ยมาแปลกกว่าทุกที เสี่ยจัดเขาไปแบบเบาะๆ แค่หนึ่งรอบ พอเสร็จก็นอนพักอยู่บนเตียงกับเขา ขยับเข้ามาใกล้มากกว่าปกติเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถูกตัว เขาที่นอนคว่ำอยู่ก็ได้แต่เปิดหลังห่มผ้าห่มครึ่งท่อน ไม่ได้ตั้งใจจะยั่วเสี่ยต่อหรอกนะ แต่จะให้แอร์เป่าเหงื่อจนตัวแห้งต่างหาก
" อยากได้อะไรไหม" เสี่ยถามตอนที่เกลี่ยผมข้างหูของเขาเล่น เขาดิ้นดุกดิกเพราะจั๊กจี้ ไม่ชอบให้ใครมาจับหู
เสี่ยเองคงจำได้เหมือนกันว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว
" ไม่ต้องหรอกครับ แค่นี้ก็พอแล้ว"
เขาตอบเสี่ยไปตามตรงแบบไม่คิดอะไรมาก สี่เดือนที่ผ่านมาเขามีเงินเก็บมากกว่าเงินทั้งชีวิต ตอนนี้เขามีเงินเก็บในบัญชีเกินหนึ่งแสน ซึ่งเงินส่วนใหญ่ก็ได้มาเพราะเสี่ย ส่วนเงินส่วนน้อยเป็นส่วนของลุงที่พยายามช่วยใช้หนี้ ลุงส่งมาให้เขาเพิ่มอีกเดือนละ 4,500 ซึ่งลุงย้ำนักย้ำหนาว่าบอกป้าไม่ได้ ป้าแกยังไม่รู้เรื่องที่ลุงติดหนี้ แถมไม่รู้ด้วยว่าลุงแกเอาที่ไปค้ำ จนเขาต้องหาเงินมาใช้หนี้แทน ถ้ารู้นะ... ลุงได้ออกไปนอนในสวนทั้งปีแน่
ความจริงเขากับป้าสะใภ้ก็ไม่ได้สนิทกันมาก แค่เคยพูดคุยสอบถามในฐานะที่เกี่ยวดองกัน ป้าแกไม่เคยบ่นเรื่องที่ลุงที่ส่งเงินมาให้เขาใช้ซักครั้งทั้งที่ป้าแกเป็นคนขี้งก อะไรที่ประหยัดได้แกก็ประหยัด กับเรื่องเงินทางฝั่งครอบครัวลุงแกไม่เคยมายุ่งด้วย แต่อย่าไปยุ่งเงินแกเชียว แกได้กลายร่างจากป้าเป็นปู่(?)โสมเฝ้าทรัพย์แน่
ส่วนเรื่องเงินที่เสี่ยให้ เขาก็กะจะเก็บไว้ซ่อมบ้าน บ้านของเขากับแม่เริ่มเก่าแล้ว พอไม่มีคนอยู่ดูแล บ้านก็เริ่มเสื่อมโทรมผุพังไปตามการเวลา ถึงลุงจะช่วยหาคนมาพ่นปลวกให้ แต่บ้านไม้ที่ไม่มีคนอยู่ยังไงมันก็ต้องโทรมอยู่วันยังค่ำ เขาเลยว่าจะเก็บเงินส่วนนี้เอาไว้ไปรีโนเวตกับซ่อมแซมบ้านในส่วนที่พอทำได้ก่อน พอมีเงินเดือนค่อยไปขอกู้เงินจากธนาคารมาปรับปรุงให้เป็นบ้านพัก
บ้านเขามีอยู่สองชั้น สี่ห้องนอน ห้าห้องน้ำไม่รวมครัวกับห้องนั่งเล่น มีห้องนอนใหญ่อยู่ที่ชั้นหนึ่งด้วย เป็นห้องที่ทำไว้ให้กับคุณตากับคุณยายตอนที่พวกท่านยังชีวิตอยู่แต่เริ่มขึ้นบันไดไม่ไหวเพราะอายุเริ่มเยอะ
เขาเลยว่าจะปรับปรุงห้องนั่งเล่นให้เป็นบริเวณรับแขก ออกแบบบ้านให้คล้ายๆ กับเป็นโฮมสเตร์เล็กๆ พอแขกมา เขาก็จะนอนอยู่ที่ชั้นล่างจะได้ดูแลแขกได้ ส่วนครัวก็กะจัดการแบบง่ายๆ คือมีทั้งอาหารเช้าแบบให้แขกบริการตัวเองกับแบบทำสดที่คงต้องจ้างแม่บ้าน
แต่นั่นคงเป็นความฝันที่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีน่ะนะ เพราะกว่าจะได้ลงมือทำจริงๆ ก็ต้องรอให้เขามีงานการที่มั่นคง ต้องมีฐานเงินเดือนมากพอธนาคารถึงจะยอมให้กู้ ตอนนี้เขาเองก็เริ่มบริหารเงินเป็นแล้ว แบ่งทรัพย์สินออกเป็นหลายๆ ส่วน เริ่มลงทุนในส่วนที่ลงทุนง่ายความเสี่ยงน้อย ค่อยๆ เก็บหมอรอมริบไป ซักวันดอกเบี้ยในธนาคารก็ต้องเพิ่มมากขึ้น แต่คงไม่ใช่ดอกเบี้ยเงินฝากประจำหรอกนะ อันนั้นน่ะฝากไปเป็นล้าน แต่ได้ดอกเบี้ยมาเป็นหลักหมื่นต่อปี
ดังนั้นตอนที่เสี่ยถามว่าอยากได้อะไรไหม เขาจึงตอบไปว่าไม่อยากได้ ชีวิตเขามีแค่นี้ก็มากพอที่จะตั้งตัวได้แล้ว ถ้าไม่ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายหรือกองทุนที่ลงทุนล้ม เขาจะต้องมีเงินเก็บมากพออย่างแน่นอน
พอคิดได้แบบนั้นเขาก็พลิกตัวกลับไปหาเสี่ย ยันตัวขึ้นแล้วยกมือไหว้ บอกกับเสี่ยพร้อมรอยยิ้มว่าที่ผ่านเขามีความสุขมาก (ไม่ได้หมายถึงมีความสุขเรื่องบนเตียงนะ โปรดอย่าคิดไปไกล) เสี่ยให้ความเอ็นดูเขาอย่างเต็มที่แค่นี้เขาก็พอใจแล้ว
เสี่ยเองพอเห็นเขาพูดแบบนี้ก็ไม่ว่าอะไรแค่นิ่งไปนิด เขาเลยถือโอกาสบอกกับเสี่ยอีกรอบว่า เขามีความสุขมากเพราะมีเสี่ยเขาถึงยังมีบ้าน เขาซึ้งในน้ำใจของเสี่ยจริงๆ แล้วยกมือไหว้แนบไปที่ไหล่เสี่ยอีกรอบ คราวนี้เสี่ยนิ่งไปของจริง เพราะกว่าเสี่ยจะตอบสนองเวลาก็ผ่านไปอีกซักพัก เขาที่ไหว้มานานก็กะจะยกมือออก เสี่ยเลยยอมตบที่หัวเขาเบาๆ สองสามครั้ง ก่อนเอี้ยวตัวไปหยิบกล่องของขวัญที่วางอยู่ในลิ้นชักข้างหัวเตียง เขามองกล่องสี่เหลี่ยมที่เสี่ยส่งมาด้วยใจระทึก มันเป็นกล่องใส่เครื่องประดับที่ดูดีมีราคามาก ตัวกล่องเป็นสีน้ำเงินเข้มลงโลโก้ร้านเป็นลวดลายสีเงิน เขาประคองของที่อยู่ในมือ คิดอยู่ในใจอย่างเดียวเลยว่า ถ้ามันหายหรือเขาทำหล่น ของข้างในจะตกแตกไหม
เสี่ยที่เห็นเขาประคองมานานแต่ไม่ยอมเปิดก็พยักพเยิดให้เขาเปิดกล่องดูข้างใน คราวนี้เขาตกใจของจริง เพราะตอนแรกเขายังมองโลกในแง่ดีว่าเสี่ยน่าจะให้ทองมาบาทสองบาท แต่นี่มัน...
เพชร! แถมเพชรเม็ดใหญ่มาก
สร้อยเพชรที่เสี่ยให้เป็นสร้อยเงินแบบเรียบๆ แต่ตัวเพชรนี่สิที่ทำให้เขาตะลึง ขนาดเขาที่ไม่รู้เรื่องเพชรยังรู้เลยว่าเพชรน้ำใสและสวยมาก เล่นกับแสงไฟเป็นประกายระยิบระยับ ตัวเพชรแต่ละเม็ดเป็นเพชรเม็ดกลมเรียงต่อกันเป็นแนวยาวห้าเม็ด ทุกเม็ดมีขนาดเท่ากันหมดฝังอยู่ในทองคำขาวรูปแท่ง ดูโก้หรูสวยเก๋ เหมาะที่จะใส่กับทุกสถานการณ์
เขาที่ตะลึงตึ่งตึ๊งเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นเพรชของจริง (เคยเห็นแต่ในทีวี) ก็ได้แต่ละล่ำละลักบอกเสี่ยว่ามันมากเกินไปเขารับไว้ไม่ได้ พยายามจะส่งคืนให้เสี่ย แต่เสี่ยก็ตัดบทว่าถ้าไม่ใส่ก็เอาไปขายคืนได้ ทางร้านจะหักราคา 20% จากราคาซื้อ ใบเสร็จกับใบเซอร์ฯ อยู่ในกล่องเรียบร้อยแล้ว
โฮ่ย เสี่ยพูดมาแบบนี้เขาคงกล้าขายหรอก ร้านบ้าอะไรหักราคาตั้ง 20% ถ้าจะหักราคากันขนาดนี้ สู้เสี่ยให้ทองเขาดีกว่า ราคามีแต่ขึ้น ไม่ใส่ก็เอาไปขายได้ แถมไม่ถูกหักค่าคืนเยอะด้วย
แต่ไอ้ที่คิดน่ะมันก็ได้แต่คิด ใครมันจะไปบอกกันล่ะว่าเสี่ยโง๊โง่ น่าจะซื้อทองมากกว่าซื้อเพชร อีกอย่างเขาก็ไม่อยากถูกเสี่ยเขี่ยทิ้งในวันสุดท้าย เลยได้แต่ยกมือไหว้ขอบคุณเสี่ยแต่โดยดี เสี่ยที่เห็นเขาไม่ยอมใส่ก็ไม่ได้ว่าอะไร หยิบกล่องเพชรในมือเขาออกแล้ววางไว้ที่โต๊ะ กระดิกนิ้วส่งสัญญาณแบบที่รู้กันว่าเขาเสร็จแน่
วันนั้นวันสุดท้ายเสี่ยจัดเขาแบบไม่หนักมาก แต่ก็เล่นไปจนครบสามรอบ เขาเองก็ตอบแทนเสี่ยอย่างเต็มที่ คิดว่าเป็นวันสุดท้ายแล้วก็อยากจะเอาใจเสี่ยมากขึ้นอีกนิด จากที่ไม่เคยส่งเสียงคราง เขาก็เริ่มครางออกมาบ้าง จากที่ไม่เคยส่งเสียงร้อง เขาก็ร้องออกมาแบบเบาๆ เขาไม่อยากให้เสี่ยคิดว่าตัวเองร่าน แค่อยากให้เสี่ยคิดว่าเขากำลังตอบแทน วันนั้นเขากับเสี่ยเลยสนุกกันเป็นพิเศษ เพราะเสี่ยสั่งให้พลิกท่าไหนเขาก็พลิก สั่งให้เล่นกับตัวเองเขาก็ทำ ทั้งที่ปกติเขาจะเขินและเป็นคนปล่อยให้เสี่ยจัดท่า แต่วันนั้นเขายอมทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย เสี่ยเองก็ดูมีความสุขเพราะเสี่ยตาพราววิบวับ ส่งเสียงทุ้มต่ำออกมาอย่างเซ็กซี่ เขาที่ได้ยินเสียงเสี่ยก็ยิ่งเร่าร้อน พยายามขยับสะโพกเอาใจเสี่ยมากขึ้น สุดท้ายเขากับเสี่ยก็นอนกอดกันโดยที่ไม่อาบน้ำ ปล่อยให้ความสุขซึมซับไว้พร้อมกับสิ่งดีๆ ตอนที่เขาสะลึมสะลือเต็มทีแอบรู้สึกว่าเสี่ยจูบที่ขมับด้วย แต่เขาคงติดไปเองเพราะเสี่ยคงไม่ทำอะไรแบบนั้น
เช้าวันเสาร์เขาตื่นมา เสี่ยก็ไม่อยู่แล้ว ข้างเตียงไม่มีเงินวางไว้ มีแต่โน้ตที่เขียนว่าให้ฝากกุญแจกับคีย์การ์ดไว้ที่ฟร้อนท์ เขาเองก็ใจหายอยู่นิดๆ เพราะแปบๆ เวลาก็ผ่านไปสี่เดือน ความสัมพันธ์ของเขากับเสี่ย ถึงจะชื่อว่าเป็นเสี่ยกับเด็กเลี้ยง แต่เวลาสี่เดือน ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็ต้องมีความผูกพันเกิดขึ้น แถมเสี่ยเองก็ไม่เคยรังคัดรังแคหรือขืนใจเขา แค่จัดหนักจัดเต็มไปหน่อยเท่านั้น ดังนั้นเช้าวันเสาร์ที่เป็นเสาร์สุดท้าย เขาเลยนอนกลิ้งอยู่บนเตียงสูดกลิ่นหากลิ่นเสี่ยเล่น ดีที่เสี่ยเซฟเซ็กซ์เตียงเลยไม่สกปรกมาก
เขานอนเล่นอยู่บนเตียงจนเกือบเที่ยง พอท้องหิวก็ตัดใจลุกออกจากที่นอนไปอาบน้ำล้างหน้า โกนหนวดโกนเคราออกแล้วออกมาหาอะไรกินนอกห้อง แน่นอนว่ามีอาหารตั้งเอาไว้ก่อนเหมือนอย่างปกติ เขาจัดการอาหารทุกอย่างแบบฟาดเรียบ เก็บขยะใส่ถุงแล้วเอาออกไปทิ้งนอกห้อง พอกลับเข้ามาก็เก็บของๆ ตัวเองที่มีไม่กี่ชิ้นใส่ในเป้ ส่วนสร้อยของเสี่ย เสี่ยแอบเอามาใส่ให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เขาเห็นอีกทีก็ตอนเดินไปอาบน้ำ ตัวสร้อยดูไม่เด่นมากแต่ที่เด่นคือจี้ เแต่ขาไม่ได้ถอดออกเพราะคิดว่ายังไงเขาก็ใส่ไว้เสื้อ
พอเก็บข้าวของกับกล่องเพชรใส่เป้เสร็จเขาก็กวาดตามองรอบห้อง วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว... ไม่รู้ว่าต่อไปเสี่ยจะพาเด็กคนไหนมาอีกบ้าง เขาถอนหายใจก่อนเรียกขวัญกำลังใจตัวเองดังฮึบๆ ชีวิตคนต้องเดินต่อไปข้างหน้า ชีวิตเสี่ยก็คงเป็นแบบนี้ หาเด็กมาเลี้ยงเพิ่ม ส่วนชีวิตเขาก็ต้องดิ้นรนต่อไป ได้แต่หวังว่าซักวันเขาจะมีเงินมีทองแบบเสี่ยบ้าง เพื่อวันไหนเขานึกคึก เขาอาจจะหาเด็กมาเลี้ยงเล่นบ้าง
แต่หลังจากกลับมาถึงหอ จากที่ฮึกเหิมเขาก็ต้องเหี่ยวอีกรอบ ราคาค่าสร้อยของเสี่ย... ราคาเต็มมันเกือบหนึ่งล้าน เขาละอยากจะขยุ้มหัวตัวเองแล้วด่าเสี่ยว่า เสี่ยแม่งโคตรโง่ เสี่ยแม่งเอาอะไรคิด ให้สร้อยราคาขนาดนี้กับเขา คิดว่ามันจะคุ้มกันไหม
เขาพอจะเข้าใจล่ะนะว่า สำหรับเสี่ยเงินแค่นี้แม้แต่ขนหน้าแข้งก็ยังไม่ร่วง แต่เขานี่สิผมจะร่วง ร่วงอย่างเดียวไม่พอผมยังจะหงอกด้วย เขานั่งคิดนอนคิดทั้งคืนว่าจะทำยังไงดีกับสร้อยเสี่ยเส้นนี้ดี ใส่ติดคอก็กลัวหล่นหาย เก็บไว้อยู่ในห้องก็กลัวถูกขโมย นี่แหละเขาถึงมีภาษิตที่ว่า มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเตียงสั่นสนั่นหวั่นไหว
สุดท้ายเขาที่คิดไม่ตกก็ได้แต่เอาปัญหาไปลงที่พี่ธนิต ซึ่งพี่ธนิตแกก็ช่วยแก้ปัญหาให้ตรงจุดมาก พี่แกกวาดตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ กวักมือเรียกเขาเข้าไปใกล้ แล้วกวาดตามองเพชรที่คอกับหน้าเขาอีกรอบ ในที่สุดพี่แกก็สรุปให้ฟังว่า
" ต่อให้เอ็งห้อยเพชรเป็นสิบกะรัต ก็ไม่มีใครคิดว่าเป็นของจริงแล้วขโมยไปหรอก" แหม พอเขาไม่ทำงานต่อด้วยนี่ ลดเกรดจาก "เรา" มาเป็น "เอ็ง" เลยนะ
แต่เขาที่พอใจในคำตอบแล้วก็ได้แต่ขอบคุณพี่ธนิตอีกที บอกลาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกจากห้อง ซึ่งพี่แกก็ยังไม่ลืมหยอดส่งท้ายว่า ถ้าเปลี่ยนใจกลับมาหาพี่ได้นะ พี่มีเสี่ยพร้อมเปย์ตลอดเวลา จะหาเสี่ยที่พร้อมจ่ายกว่าเสี่ยอธิปให้ก็ยังได้
คราวนี้เขาไม่แม้แต่จะหันกลับไปแยกเขี้ยวแล้วแต่ปิดประตูใส่หน้าไปซะเลย ขืนเขาหลงคารมพี่ธนิต ยอมเจอเสี่ยที่จ่ายหนักกว่าเสี่ยอธิป เขาไม่หมดสภาพแล้วตายคาเตียงตั้งแต่ยังหนุ่มเรอะ
หลังจากนั้นเขาก็ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่เกือบสองสัปดาห์กว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้แบบปกติ อย่างที่บอก เขาเป็นคนปรับตัวง่าย อยู่ง่ายกินง่าย แต่ก็เป็นที่ผูกพันง่ายด้วย การต้องอยู่กับคนๆ หนึ่งมาตลอดสี่เดือนแถมมีอะไรกันตลอดเวลา มันอาจจะไม่ถึงขั้นตกหลุมรัก แต่ก็อดรู้สึกผูกพันมากกว่าคนอื่นไม่ได้ ดังนั้นเขาที่ไม่ต้องไปเป็นเด็กเลี้ยงรอเสี่ยอยู่ที่คอนโดก็ได้แต่นั่งเล่นอยู่ในห้อง เบื่อๆ ก็ออกไปหาเพื่อนบ้าง เขาบอกกับเพื่อนว่าตอนนี้เขาไม่ไปต้องออกไปทำงานพิเศษแล้ว ลุงเขาหาทางปลดหนี้ได้แล้ว พวกเพื่อนๆ เองก็ไม่ได้ซักถามอะไรมาก แค่บอกว่ายินดีด้วย และลากเขาสู่วิถีปกติคือ เรียน หลับ ทำรายงาน เตรียมงานโอเพ่นเฮ้าท์ เตรียมงานสัมมนา เตรียมส่งงานสโมสรต่อให้รุ่นน้อง เตรียมฝึกอบรม เตรียมหาที่ฝึกงาน และเตรียมอีกสารพัดเตรียมที่แทบจะทำให้เขาลืมเสี่ยไปจากความคิด
และผลจากการอู้ไม่ทำโปรเจ็คมานาน ก กรรมก็ตามสนองเขากับเพื่อนให้หาข้อมูลกันให้วุ่น วิ่งไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาทั้งที่ไม่ค่อยได้ไปนอกจากชวนอาจารย์ไปกินเลี้ยง วิ่งไปห้องสมุดของคณะเพื่อหาบรรณานุกรม วิ่งไปนอกคณะเพื่อหาข้อมูลเพิ่ม สรุปคือแค่สองสัปดาห์เจาก็ลืมเสี่ยไปจากหัวแล้ว เพราะแค่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด จะให้เอาแต่คิดถึงเสี่ยก็ใช่ที่
แถมตารางฝึกงานก็ใกล้เข้ามาทุกที เขากับเพื่อนๆ ต้องตบตีแย่งชิงที่ฝึกงานสำหรับปีสี่โดยเฉพาะ การฝึกงานแบ่งออกเป็นสองช่วง ช่วงละสอง- สามเดือน และต้องเก็บสถานที่ฝึกงานให้ครบสองที่ ส่วนเทอมสุดท้ายก่อนจบการศึกษา พวกเขาต้องนำเสนอผลงานหรือธีสิสให้ผ่านก่อนถึงจะจบได้
เรื่องธีสิสเขาไม่กังวลมากเพราะมีกลุ่มเจ้าแม่คอยช่วย แต่เรื่องฝึกงานนี่สิ ไม่ว่าใครก็อยากฝึกงานที่ดีๆ แต่สบายๆ กันทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นบุญหรือกรรมของเขากันแน่ที่พี่รหัสดันเล่นเส้น ให้เขาฝึกงานกับบริษัทต่างชาติ ถามเขาซักคำหรือยังว่าเขาพูดภาษาอังกฤษได้ไหม แค่สเน็คๆ ฟิชๆ เขายังไม่อยากจะพูดเลย!
" เอ็งจะปฎิเสธความหวังดีของพี่?" เสียงสยองขวัญสั่นประสาทดังมาจากโทรศัพท์ พี่ธนิต!?
" เอ่อ ไม่ใช่ว่าพี่รหัสผมหามาให้เหรอครับ" เขาเปล่าเปลี่ยนเรื่องนะ
" เอ็งจะไปพึ่งอะไรกับไอ้ภาคมาก พึ่งพี่นี่ บริษัทนี้ปกติเขาไม่รับเด็กฝึกงานหรอกนะ ใครๆ ก็อยากมาทำงานฝึกงานกันทั้งนั้น จะทำหรือไม่ทำ"
" เอ่อ... แล้วผมต้องไปเป็นเด็กเลี้ยงไหม?"
" วะไอ้นี่! เห็นพี่เป็นคนแบบนั้นเรอะ บอกให้ไปฝึกงานก็ไปสิวะ!"
" ขอบคุณครับพี่! ว่าแต่ผมเอาเพื่อนไปด้วยได้ไหม พอดีว่าเพื่อนผมยังไม่มีที่ฝึกงานน่ะ"
" เออ! เอ็งจะเอาลูก เอาเมีย เอาผัว ไปฝึกงานก็ตามใจ แค่นี้นะ! คนกำลังยุ่ง ส่งชื่อเอ็งกับเพื่อนมาให้เลขาพี่ด้วย!"
" ขอบคุณครับผ๊ม!" แหม เขานี่เชื่อคนง๊ายง่ายเนอะ แต่ถ้าไม่เชื่อ ได้ถูกเชือดแน่