ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สามสิบแปดจิ้งจอกไฟรออยู่ในโพรงไม้อยู่ครึ่งวันยังไม่เห็นว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำจะกลับมา ก็ยิ่งเป็นกังวล
เทพเสือโคร่งศิลาดำอาจรู้เรื่องที่ตนเองหลบหนีออกไปพบมนุษย์จึงไม่พอใจ และไม่กลับมาที่โพรงจิ้งจอก
นี่มิถูกต้อง!
เทพเสือโคร่งศิลาดำเป็นเพียงผู้เดียวในป่าแห่งนี้ ที่สามารถช่วยเหลือตนได้!
จิ้งจอกไฟเร่งเดินทางกลับมาที่เขตป่าเสือพบกับเสือโคร่งที่ทำหน้าที่อารักขาก็แจ้งว่า มีเรื่องร้อนจะมาแจ้งกับเทพเสือโคร่งศิลาดำ
เสือโคร่งผู้อารักขาหายไปครู่หนึ่งเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ตามออกมา ยังมิต้องกล่าวอะไร จิ้งจอกไฟก็กล่าวขึ้นก่อน
"ได้โปรด ไปกับข้าสักครู่"
ดวงตาหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทาบ่งบอกถึงความกังวล ทำให้เทพเสือโคร่งศิลาดำตามอีกฝ่ายออกมาจนถึงป่าใกล้แนวรอยต่อ จิ้งจอกไฟเหลียวมองไปรอบตัว จนแน่ในว่าบริเวณนี้ไม่มีสัตว์อื่น จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
แต่เรื่องที่บอกไปย่อมมีความจริงหลายอย่างตกหล่นไป
จิ้งจอกไฟพบกระเรียนสีแดงผู้อ่อนแอที่บึงกระเรียนโกเมน จึงชักชวนกันออกไปหาปลาสีเงินที่บึงน้ำในเขตป่าด้านนอก แต่เมื่อถึงเวลาปรากฏว่ากระเรียนโกเมนกลับเดินทางมาและอาสาคาบปลาสีเงินกลับมาให้กระเรียนสีแดง
แต่เมื่อจิ้งจอกไฟข้ามไปในเขตป่าด้านนอก กระเรียนโกเมนก็บินข้ามรอยต่อมาหาเพื่อเตือนภัยว่ามีพรานกำลังโอบล้อมเข้ามา
"เขาร้องบอกให้ข้ารีบหนีมา แต่ตอนนั้นเขาถูกตาข่ายคลุมไว้แล้ว"
เทพเสือโคร่งศิลาดำคำรามเสียงต่ำ ๆ บอกให้จิ้งจอกไฟรออยู่ในที่นี้ ส่วนตนเองรีบเดินทางไปตามที่จิ้งจอกไฟบอก
พื้นที่นี้เหลือเพียงรอยเท้ามากมาย เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงตามต่อไปจนถึงหมู่บ้านก็ยังไม่พบกับกระเรียนโกเมน จึงกลับมาหาจิ้งจอกไฟ
เวลายามนี้ล่วงผ่านยามจื่อไปแล้ว ป่าสีทองตกอยู่ในเงียบสงัด เสียงฝีเท้าของเทพเสือโคร่งศิลาดำจึงชัดเจนยิ่ง
"พบท่านผู้เฒ่าหรือไม่"
"ไม่" เทพเสือโคร่งศิลาดำส่ายหน้า
จิ้งจอกไฟร้อนใจยิ่งนัก "ท่านพี่ ทำอย่างไรดี"
เทพเสือโคร่งศิลาดำมองมาโดยไม่ได้เอ่ยถาม
"ท่านพี่ พวกเขาอาจฆ่าท่านผู้เฒ่าก็เป็นได้" จิ้งจอกไฟพรั่งพรูคำพูด "เมื่อ...นานแล้ว ที่ข้าได้ยินเรื่องที่พวกเขาต้องการล่ากระเรียน แต่มันนานมาแล้ว อีกอย่างพวกกระเรียนก็ไม่เคยออกจากป่า ข้าก็ไม่คิดว่าท่านผู้เฒ่าจะตามออกไป หากท่านเทพเสือโคร่งภูผา หรือท่านเทพกวางสายฟ้ารู้ว่าข้าคือสาเหตุ พวกเขาต้องฆ่าข้าแน่ ๆ”
เทพเสือโคร่งศิลาดำ หันไปออกคำสั่ง "กลับไปอยู่ที่โพรงไม้ ห้ามออกมาจนกว่าข้าจะกลับไป"
จิ้งจอกไฟพยักหน้ารับคำสั่ง แล้วรีบกลับไปในทันที
เทพเสือโคร่งศิลาดำสรุปเรื่องราวทั้งหมดด้วยการกระทำที่ผ่านมาของจิ้งจอกไฟ และคำยืนยันของนักป่าที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงที่เห็นกระเรียนโกเมนบินตามจิ้งจอกไฟออกไปด้านนอก ได้ยินเสียงร้องบอกให้รีบหนี และสุดท้ายก็คือเทพเสือโคร่งศิลาดำโทษตนเองที่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้น
ดวงตาสีดำขลับปราศจากสีอื่นเจือปนจ้องมองท้องฟ้า
ใกล้สว่างแล้ว ลงมือในเวลานี้ไม่ได้ ต้องรออีกคืนหนึ่ง
ในคืนถัดมาชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดดำปกปิดใบหน้าถือดาบใหญ่มีตราราชสำนักบุกเข้ามาในหมู่บ้าน สังหารผู้ชายในหมู่บ้านไปหลายคนรวมถึงอาต๋า และหัวหน้าหมู่บ้าน
ผู้คนในหมู่บ้านตั้งข้อสังเกตว่าผู้เสียชีวิตเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ล่ากระเรียนสีแดงจากป่าสีทองให้กับคนของทางการ จึงพากันบอกเล่าต่อไปว่า พวกเขาได้ของที่ต้องการไปแล้ว แต่ยังส่งนักฆ่ามาฆ่าคนปิดปาก!
คนของทางการนั้นช่างโหดร้าย
ออกคำสั่งให้ลงมือ เมื่อไม่ลงมือก็ลงโทษ
แต่หากลงมือตามที่สั่ง ก็กลับถูกฆ่าปิดปาก
แล้วนี่อย่าได้คิดไปแจ้งความต่อเจ้าเมืองเชียวนะ เพราะหากเรื่องไปถึงพวกผู้ว่าจ้าง คนที่เหลืออยู่ในเวลานี้อาจต้องถูกฆ่าไปด้วย!
เช่นนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเถอะ หากินกับการเก็บของป่า ล่าสัตว์มานานถึงเวลาที่จะต้องไปหากินในทางอื่น
อาเจี้ยนกับมารดาอยู่จัดงานศพให้กับอาต๋าจนเสร็จก็เก็บข้าวของเพื่อย้ายออกจากบ้าน....เพื่อที่จะย้ายกลับมาในอีกห้าปีให้หลัง....
จิ้งจอกไฟรอเทพเสือโคร่งศิลาดำอยู่ที่โพรงไม้อยู่นานข้ามวัน เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงกลับมา
เมื่อมาถึงก็มิได้เอ่ยคำใด แต่ไปแช่ตัวอยู่ในลำธารครึ่งค่อนวัน เพื่อชำระล้างกลิ่นเลือดคาวคลุ้ง จากนั้นก็กลับมานอนพักอยู่หน้าโพรงไม้ ทำตัวเป็นเสือโคร่งเพศผู้ตัวหนึ่งที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน
แต่ภายใต้เรื่องราวที่เป็นปกติ ยังมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ที่ทำให้จิ้งจอกไฟรู้ตัวว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำกำลังลงโทษตนเองพร้อมไปกับการทำตนเป็นผู้คุมนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
แล้วนักโทษผู้นั้นจะเป็นผู้ใดไปได้นอกจากจิ้งจอกไฟ
เทพเสือโคร่งผู้นี้มีรูปร่างใหญ่เกินกว่าโพรงไม้ จึงมักจะนอนอยู่ด้านหน้าปิดปากทางโพรงไม้ แต่ที่รู้ตัวว่าผิดปกติ ก็เพราะการที่เทพเสือโคร่งย้ายออกมานอนห่างจากโพรงไม้
ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เจ้าความต้องการที่ควบคุมไม่ได้และมักจะเกิดขึ้นกับเทพเสือโคร่งศิลาดำเพียงผู้เดียว จู่ ๆ ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อกลิ่นหอมหวานนั้นรุนแรงขึ้น เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับลุกหนีออกไป ในช่วงเวลาเพียงครู่เดียว จิ้งจอกหนุ่มหลายตัวก็เริ่มวนเวียนเข้ามาใกล้ แล้วส่งเสียงเรียก
จิ้งจอกไฟได้แต่ขดตัวอยู่ในโพรงไม้
กลัว
กลัวมาก
ท่านรู้หรือไม่ ว่าข้ากลัว
อย่าให้พวกเขาเข้ามาใกล้ข้า
ได้โปรด ขอร้อง ให้ทำอย่างไรก็ได้ โปรดไล่พวกเขาออกไป
ความหวาดกลัวทำให้จิ้งจอกไฟเริ่มตะกุยพื้นดิน และทำร้ายตนเอง เสียงร้องคร่ำครวญนั้นห่างไกลจากความต้องการ เมื่อผสานกับกลิ่นหอมหวานที่อบอวนอยู่ในอากาศ จึงทำให้เกิดบรรยากาศพิลึกพิลั่น
แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำก็ยังปล่อยให้บรรดาจิ้งจอกหนุ่มเข้ามาใกล้จนเกือบถึงโพรงไม้ จึงได้ส่งเสียงคำรามขับไล่ แต่กลิ่นหอมหวานก็ยังรั้งหน่วงรั้งให้ถอยห่างออกเพียงไม่กี่ก้าว ทั้งส่งเสียงร้องเรียกให้ออกมาหา จนเทพเสือโคร่งศิลาดำต้องขู่คำรามจึงได้พากันล่าถอยออกไป
จิ้งจอกไฟต้องอยู่กับความทรมานนั้นนานนับชั่วยาม เพราะเทพเสือโคร่งศิลาดำมิได้เข้ามาหา มิได้สนใจเสียงร้องคร่ำครวญ จนกระทั่งสงบลงและหลับไปเองอย่างอ่อนเพลีย
การเฝ้ามองจากที่ตรงนั้น และการปฏิเสธที่จะสัมผัสกันเช่นนั้นมันช่างเจ็บปวด
นอกจากนี้ เทพเสือโคร่งศิลาดำยังไม่พูดด้วยแม้สักครึ่งคำ อาจมองมา หรือมีท่าทีสั่งให้กินอาหาร หรือให้กลับเข้าไปอยู่ในโพรงไม้ในเวลาที่ด้านนอกมีฝนพรำ หรืออากาศหนาวเย็น แต่ไม่เคยมีคำพูด
จิ้งจอกไฟรู้ตัวแล้วว่า จากที่เคยอยู่ในฐานะผู้ที่ได้รับสิทธิ์พิเศษ แต่เวลานี้กลับกลายเป็นนักโทษผู้หนึ่ง
วันหนึ่งนกยูงทองกับกวางไพลินชักชวนกันมาเยี่ยม
ทั้งคู่ดูระมัดระวังเมื่อเห็นว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำอยู่ในที่นี้ด้วย
กวางไพลินระมัดระวังก็เพราะอีกฝ่ายเป็นเสือโคร่ง
ส่วนนกยูงทอง...เรื่องที่เทพเสือโคร่งศิลาดำทำอะไรกับจิ้งจอกไฟเมื่อหลายวันก่อน มีหรือที่นกยูงทองจะไม่รู้
กวางไพลินอาจไม่รู้เพราะนางเป็นสตรี...เรื่องแบบนี้เขาไม่เล่าให้สตรีฟังกันหรอกใช่ไหม
แต่นกยูงทองผู้เป็นมิตรกับเหล่านกทั้งป่ารู้เรื่องนี้ละเอียดประหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ขอนไม้ใหญ่ที่เทพเสือโคร่งศิลาดำนอนอยู่ทีเดียว
ดังนั้นเมื่อมาถึงกวางไพลินจึงเป็นผู้ที่กล่าวกับเทพเสือโคร่งตัวใหญ่ที่นอนขวางทาง
"ขอพวกเราเข้าไปหาจิ้งจอกไฟได้หรือไม่"
ครั้นเทพเสือโคร่งพยักหน้า นกยูงทองก็ต่อรองทันที
"ขอออกไปคุยกันที่ทุ่งดอกหญ้าสีขาวได้หรือไม่" มันน่าจะปลอดภัยสำหรับทุกคนมากกว่าการคุยกันที่นี่ "ออกไปแค่ไม่กี่ก้าวเอง จะหวงไปทำไมนักหนา" พูดจบก็รีบวิ่งผ่านเข้าไปหาจิ้งจอกไฟ แล้วชักชวนกันออกมาด้านนอก
ทุ่งดอกหญ้าสีขาวอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวจริง และเทพเสือโคร่งศิลาดำรู้ว่าสหายต้องการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่เทพเสือโคร่งก็ยังลอบใช้พลังฟังการสนทนากันของสหายทั้งสาม
จริงดั่งคาด สหายตัวเล็กทั้งสองมาเพื่อสอบถามสองเรื่อง คือเรื่องที่กระเรียนโกเมนหายไป กับเรื่องที่มีการสังหารพรานหลายคนในหมู่บ้าน
และเมื่อจิ้งจอกไฟมีสีหน้าตื่นตกใจ นกยูงทองก็รู้สึกโมโห
"ที่ตกใจนี่คืออันใด ห่วงคนพวกนั้นใช่หรือไม่ ห่วงตัวเองก่อนไม่ดีหรือไง" เพราะมัวแต่เป็นห่วงมนุษย์พวกนั้น ถึงได้ถูกเทพเสือโคร่งศิลาดำลงโทษเช่นนั้น เมื่อไหร่เจ้าจะรู้ตัวสักทีนะ ว่าใครคือคนที่ควรทำดีด้วย!
"ก็..."
"ข้ารู้นะว่าเจ้าเป็นห่วงคนพวกนั้น มิใช่ท่านกระเรียนโกเมน"
"ก็ห่วงทั้งสองฝ่ายที่เจ้าว่ามานั่นแหละ"
ก่อนที่ทั้งคู่จะทะเลาะกัน กวางไพลินต้องเข้ามาแทรกไว้ก่อน
"เจ้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นหมู่บ้านหรือไม่"
จิ้งจอกไฟส่ายหน้า
ถึงจะอยู่กันตามลำพังเช่นนี้มาหลายวัน แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำมิได้บอกเล่าเรื่องราวสักคำ แถมจิ้งจอกไฟเองก็มิกล้าถาม แล้วจะรู้ได้อย่างไร
กวางไพลินขอเป็นผู้เล่าเรื่อง เพราะหากปล่อยให้นกยูงทองเล่า อาจได้ฟังคำบ่นสามคำ แล้วก็ไปบอกเล่าเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องอีกครึ่งวันกว่าที่จะพูดเรื่องที่ทำให้ต้องมาพบกับจิ้งจอกไฟในวันนี้
สรุปก็คือ กระเรียนโกเมนหายไป และหลังจากนั้นสองวันก็เกิดเหตุร้ายแรงที่หมู่บ้าน จากที่พวกนกป่าไปลอบฟังการสนทนาที่หมู่บ้านได้ยินว่าพูดถึงคำสั่งของทางการ และการฆ่าปิดปาก
"ฆ่าปิดปากหรือ"
"ใช่!" สหายทั้งสองพูดพร้อมกัน
"แสดงว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวพันกันหรือ" จิ้งจอกไฟพูดกับตัวเอง เพื่อยืนยันกับตัวเองอีกครั้งแต่เมื่อสหายทั้งสองที่ไม่รู้เรื่องราวอันใด และมาเพราะมีความหวังดีก็เลยได้แต่หันไปทางเทพเสือโคร่งศิลาดำที่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ
"มนุษย์พวกนี้โหดร้ายนัก ไล่ล่าพวกเรา แล้วก็ไล่ล่ากันเอง เจ้าน่ะตัวดีชอบนักพวกมนุษย์ เผลอเป็นไม่ได้คอยแต่จะไปเฝ้ามองพวกเขา พวกเจ็บไม่รู้จักจำ" นกยูงทองลอยหน้าลอยตากล่าวคำตำหนิ
แม้จะอยู่ห่างกัน แต่ก็มองเห็นว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำพยักหน้าเล็กน้อย ดังนั้นจิ้งจอกไฟจึงปล่อยให้นกยูงทองว่ากล่าวไปเรื่อย
เทพเสือโคร่งศิลาดำไม่ได้อยู่เฝ้าจิ้งจอกไฟตลอดเวลา เพราะเขาเองก็มีเรื่องต้องให้ไปจัดการ และต้องบำเพ็ญฌานเช่นกัน แต่ในช่วงเวลาเหล่านี้ จิ้งจอกไฟก็ยังคงอยู่ที่โพรงไม้แห่งนั้น
เรื่องที่ตั้งใจไว้ก็ทำไปแล้ว หลังจากนี้ก็มีแต่ยอมทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดี
เมื่อเทพเสือโคร่งศิลาแดงออกจากฌานแล้วพักฟื้นได้เพียงครึ่งวัน ก็มาหาพี่ใหญ่ที่ถ้ำยาของบิดา
เมื่อพบหน้ากันเทพเสือโคร่งศิลาแดงแสดงความเคารพขั้นสูงสุดด้วยการยอบตัวแทบเท้าของพี่ใหญ่
“ขอบคุณพี่ใหญ่ ด้วยสัจจะแห่งเทพเสือโคร่งศิลาแดง ข้าขอรับใช้ท่านจนลมหายใจสุดท้าย”
เทพเสือโคร่งศิลาดำส่งเสียงคำรามต่ำ ๆ แล้วบอกให้น้องรองกลับไปพักผ่อน
ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำเตือนว่า อย่าได้พูดเรื่องบางอย่างออกไป เพราะเทพเสือโคร่งผู้เป็นน้องชายย่อมรู้ดี
บรรยากาศความกังวลภายในป่าสีทองดำเนินไปไม่นานนัก ความสนใจของบรรดาสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างเทพสัตว์ป่าระดับสูงกำลังบำเพ็ญฌาน
สัตว์เทพเหล่านี้บำเพ็ญฌานกันมาหลายปีแล้ว และในกลุ่มนี้ยังมีเทพเสือโคร่งภูผา และเทพกวางสายฟ้ารวมอยู่ด้วย แต่ในวันหนึ่งเทพเสือโคร่งภูผาก็ลอบออกมาหานางเทพกวางสายลมและใช้เวลาอยู่ด้วยกันหลายวัน จากนั้นเทพเสือโคร่งภูผาก็กลับไปบำเพ็ญฌานต่อ ส่วนนางเทพกวางสายลมกลับไปที่เขตป่ากวางเทพ
เวลาผ่านไปนานหลายเดือน นางเทพเสือโคร่งบงกชที่บำเพ็ญฌานจึงเพิ่งจะทราบเรื่อง
ตอนที่นางละจากฌานมาหานางเทพกวางถึงเขตป่ากวาง ทุกคนต่างก็คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ แต่พวกนางก็เพียงแค่พูดคุยกันอยู่นาน จากนั้นนางเทพเสือก็กลับไปบำเพ็ญฌานต่อ
ส่วนนางเทพกวางละการฝึกเพียงเท่านั้น ในเวลานั้นแหละที่ว่ากันว่า ที่นางต้องละฌานก็เพราะนางตั้งครรภ์
เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะมีช่องว่างอยู่มากมาย ผู้ใด อะไร เช่นใดกัน ทั้งมีช่องทางให้คาดเดาต่อไปอีกมากมาย มีคำถามมากมายที่ไม่มีใครกล้าหาญไปสอบถามทั้งเทพทั้งสาม
...ไม่สิ ต้องเป็นเทพทั้งสี่เพราะนี่ย่อมเกี่ยวข้องกับเทพกวางสายฟ้าด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเทพเสือโคร่งภูผาละการบำเพ็ญฌานออกมาหลายวัน เขาจึงสิ้นสุดการบำเพ็ญฌานช้ากว่าเทพกวางสายฟ้า แต่เทพกวางสายฟ้าเมื่อออกมาแล้วรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็กลับเข้าไปบำเพ็ญฌานอีกครา
ดูท่าว่าเรื่องนี้จะยื้อเยื้อและดำเนินไปถึงจุดแตกหัก แต่ก็มิใช่อีก
เพราะเทพกวางสายฟ้ากลับเข้าไปบำเพ็ญฌานได้ไม่กี่วัน นางเทพกวางสายสมก็ให้กำเนิดบุตร
เขาเป็นกวางทองที่ตัวเล็กมาก อ่อนแอมาก เทพกวางทั้งสองพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะรักษาชีวิตน้อย ๆ นี้ไว้
แต่ในวันที่กวางทองถือกำเนิดก็คือวันของการปลดปล่อยจิ้งจอกไฟเช่นกัน
ตั้งแต่นางเทพกวางมีอาการเตือนว่าจะให้กำเนิดลูก กวางไพลินที่ตื่นเต้นยินดี ที่จะมีน้องสาวหรือน้องชายมาเพิ่มอีกหนึ่ง รีบมาเร่งให้นกยูงทองกับจิ้งจอกไฟไปรอต้อนรับน้องน้อยของนางด้วยกัน
สหายทั้งสองก็ตามไปด้วย
ตอนนั้นเอง ที่นกยูงทองหันไปเรียกกวางไพลินว่าพี่หญิง แล้วหันมาเร่งให้จิ้งจอกไฟเรียกกวางไพลินว่าพี่หญิงไปด้วยกัน
นกยูงทอง จิ้งจอกไฟ และกวางทองจึงกลายเป็นสหายรุ่นเดียวกัน และมีกวางไพลินเป็นพี่หญิง
เมื่อจะกลับมาที่โพรงไม้ เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงเปิดปากกล่าวคำแนะนำ "กวางทองตัวนั้นมีพลังวิเศษที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและด้วยผนึกของป่าสีทองทำให้พลังในทางดีของเขาเพิ่มพูน เมื่อรวมกับนกยูงทอง นี่จะยิ่งเป็นผลดีกับเจ้า" ดวงตาสีเหลืองเข้มมองมา "จากนี้จงไปอยู่กับพวกเขา"
"ไปอยู่ หมายความว่าอย่างไร"
"เจ้าสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพิงข้าอีกต่อไป"
"แต่..."
“หรือเจ้ามิเชื่อฟังข้าแล้ว”
จิ้งจอกไฟก้มหน้าลง “ข้าย่อมเชื่อฟังท่าน”
“ดี นับจากวันนี้ จงทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำ แต่อย่าพูดกับข้าแม้สักครึ่งคำ”
ดวงตางดงามเงยขึ้นสบตา...ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น
เทพเสือโคร่งศิลาดำรู้สึกว่ากวางไพลินกำลังมาทางนี้ จึงรอให้นางเข้ามาใกล้จนกระทั่งได้ยินการสนทนา
"เมื่อเจ้าเลือกแล้ว ก็ตามแต่ใจเจ้า"
ในตอนนั้นจิ้งจอกไฟไม่เข้าใจว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำกำลังคิดอะไรอยู่
แต่รู้ว่าคำสั่งที่บอกให้อยู่ใกล้กับกวางทองตัวน้อยเป็นเรื่องดียิ่ง เพราะทำให้ไม่ต้องหวาดกลัว และกังวลเรื่องราวใด แต่เพราะตนเองเป็นจิ้งจอก การอยู่ติดกับกวางทองตลอดเวลาอาจทำให้นางเทพกวางสายลมเกิดความระแวง นอกจากนี้กวางทองก็ยังไม่แข็งแรง ทำให้ผู้เป็นมารดายิ่งเข้มงวดในการดูแล
เทพเสือโคร่งภูผาที่ต้องคอยมาแอบมองบุตรที่อยู่ในฝูงกวางช่างน่าเห็นใจ
จิ้งจอกไฟมิได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่ในวันหนึ่งที่กวางไพลินหลับอยู่จึงชักชวนให้กวางทองออกมาข้างนอกด้วยกัน แสงแดดอาจทำให้กวางทองตัวน้อยแข็งแรงขึ้น แต่กลับทำให้กวางทองป่วยหนัก เทพกวางทั้งสองต้องร้องขอให้เทพเสือโคร่งภูผากลับมารักษา
เทพเสือโคร่งภูผาเดินทางไปกลับป่าสีทองกับเมืองหลวงอยู่หลายครั้ง แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับต้องเดินทางไปทั่วแผ่นดินไท่ชางเพื่อช่วยงานของบิดา แม้แต่ในตอนที่กวางทองต้องขึ้นไปฝึกกับท่านเทพสูงสุดที่ยอดเขา ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาอยู่ที่เมืองหลวงนานขึ้น เทพเสือโคร่งศิลาดำก็มิได้กลับมา
ความรู้สึกของจิ้งจอกไฟก็กลายไปเป็นความไม่พอใจอย่างแท้จริง
เขาช่วยข้าไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็จริง แต่เขาก็ควรถามข้าบ้างว่าเรื่องราวมันเป็นเช่นใด และข้าเองก็สมควรรู้บ้างว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
จากนั้นความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นความเฉยชา
ลืมไปแล้วหรือว่า เขาเป็นเทพเสือโคร่งที่ถูกคู่ทอดทิ้งมาแล้วหลายครา
และเมื่อในครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายที่ปล่อยข้าไป ดังนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ข้าจะต้องตั้งคำถาม หรือตั้งตารอคอย
ต่อมาเมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำกลับมาที่ป่าสีทอง จิ้งจอกไฟจึงเจตนาหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอ
เทพเสือโคร่งภูผาผู้รู้ใจบุตรชายก็กลับมอบหน้าที่ให้คอยเฝ้าดูแลกวางทองเสียอีก
...บางทีก็คาดเดาความคิดของพวกเขาได้ยาก ว่าต้องการอันใดกันแน่...
อย่างไรก็ตาม การที่จิ้งจอกไฟมีท่าทีเมินเฉยกับเทพเสือโคร่งศิลาดำอาจเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
เพราะยิ่งห่างกันก็ยิ่งลดความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษ
แต่ในขณะที่ความสงสัยในเงื่อนงำที่ทำให้ต้องสูญเสียกระเรียนโกเมนจางลงไป ในวันหนึ่งเหล่านกป่าก็มาแจ้งข่าวว่ามีพรานเข้ามาล่ากระเรียนในป่าสีทอง ซึ่งทำให้สัตว์ทุกตัวต่างประหลาดใจเพราะป่าสีทองถูกปิดผนึกมาหลายปี แต่พรานผู้นี้ยังสามารถลอบเข้ามาได้
ขณะที่สัตว์ทุกตัวพากันตั้งข้อสงสัยมากมาย จิ้งจอกไฟกำลังคิดทบทวน
ต้องเป็นคนในหมู่บ้านพรานทางฝั่งตะวันตกที่รู้วิธีที่จะเข้ามาในที่นี้ได้
หลายปีมานี้ลักลอบออกไปที่หมู่บ้านแห่งนั้นหลายครั้ง แต่ก็พบว่าเป็นคนกลุ่มใหม่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ จึงแวะเวียนไปดูผู้คนในหมู่บ้านอื่นต่อไป ทำให้ถูกนกยูงทองตำหนิอยู่เสมอว่าชอบพอมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อได้ยินเรื่องนี้อีกครั้ง จิ้งจอกไฟก็ต้องเตือนตนเองว่าไม่ควรจะออกไปที่หมู่บ้านนั้นอีก การที่พรานป่าสามารถบุกรุกเข้ามาล่ากระเรียนสีขาวสองตัวโดยที่นกป่าไม่มาแจ้งเตือนนี่ยิ่งควรต้องอยู่ห่างให้มาก
ที่สำคัญคือ ในเมื่อตนเองที่อ่อนอาวุโสยังคิดเรื่องนี้ได้ บรรดาเทพสัตว์ป่าทั้งหลายก็ยิ่งสมควรรู้เช่นกันจึงได้แต่ปิดปากไว้
ต่อมาหยางหลงเจ้าเมืองลั่วเข้ามาในป่าสีทองเพื่อขอพบกับกวางทอง จากนั้นก็เป็นรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่มากับเทพเสือโคร่งภูผา
มนุษย์คู่นี้มีอำนาจที่แตกต่างกัน
หยางหลงมีอำนาจ และความยิ่งใหญ่แฝงมาด้วย แต่ดูท่าเขาจะไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นสักเท่าใด สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือกวางทอง
เฉินอวี้ คนผู้นี้คืออวี้-หยก เยือกเย็น แข็งแกร่ง ทั้งที่มีทีท่าว่าจะเข้ากับผู้อื่นได้ดี แต่ก็เหมือนห่างเหินในเวลาเดียวกัน
ทั้งสองคนแตกต่างกับทุกคนในหมู่บ้านนั้นเหมือน...เหมือนมังกรกับมดปลวก เหมือนหยกกับดินโคลน
มนุษย์ก็สามารถมีพลังเช่นนี้ได้ด้วยหรือ
จิ้งจอกไฟเพียงแค่มองด้วยความสงสัย ยังไม่ทันจะออกปากแสดงความเห็นใด ๆ นกยูงทองก็โวยวายว่า จิ้งจอกไฟยังสนใจแต่มนุษย์ไม่เปลี่ยนแปร
แต่ในเวลาที่นกยูงทองโวยวาย ก็มิได้เฉพาะเจาะจงลงไปชัดเจนว่ามนุษย์ที่เอ่ยถึงนั้นคือใคร แล้วจิ้งจอกไฟก็เบื่อที่จะชี้แจง อยากโวยวายอะไรก็ตามใจ โกรธกันได้ไม่ถึงครึ่งวันก็กลับมาพูดคุยกันใหม่
ส่วนเรื่องของเทพเสือโคร่งศิลาดำ มาถึงจุดที่ว่า หากการอยู่ด้วยกันแล้วจะนำความเดือดร้อนมาให้ ก็สมควรอยู่ในฐานะต่างฝ่ายต่างลอบมองกันไปเช่นนี้ก็ได้
จิ้งจอกไฟไม่เคยรู้เลยว่า ความสงบที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้น เป็นผลมาจากกวางทอง เพราะรู้แต่เพียงว่าการอยู่ใกล้กับสหายผู้นี้มีความสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องราวใด แต่กวางทองก็พบคู่ของเขาแล้ว ทั้งยังต้องเร่งฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเอง จะไปคอยตามติดเหมือนที่ผ่านมาก็มิได้แล้ว
...
เทพเสือโคร่งภูผาไม่เคยละวางเรื่องการสืบค้นว่าใครคือผู้สังหารกระเรียนโกเมน ต่อให้การตามหานั้นจะวกวนและยอกย้อนจนเสียเวลาไปนานหลายปี ด้วยฝีมือของเทพเสือโคร่งศิลาดำผู้เป็นบุตรชาย และยังเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด
ไม่มีเหตุการณ์ใดในเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องบังเอิญ เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้เงียบขรึมเพียงแค่ใช้ความอดทน และการเคลื่อนไหวท่ามกลางความเงียบ ทำตนเป็นดั่งเงาของบิดา เมื่อมีโอกาสก็ชักจูงเรื่องราวให้เดินไปในทางที่ตนต้องการโดยมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือถ่วงเวลาจนกว่าจะถึงวันที่จิ้งจอกไฟจะมีความเข้มแข็งมากพอที่จะอยู่ตามลำพังได้
เทพเสือโคร่งศิลาดำรู้มานานแล้วว่าหนานกงเผิงเป็นผู้ให้คำแนะนำแก่แพทย์หลวงหนานกง แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจึงบอกต่อบิดา เพื่อให้ไปพบกับนาง ที่ผิดพลาดก็คือการที่นางฆ่าตัวตาย และมีผลมาถึงกำลังใจของเฉินอวี้ไปด้วย
สำหรับเทพเสือโคร่งศิลาดำแล้ว เฉินอวี้คือมนุษย์ผู้หนึ่งที่มีความสามารถรอบด้าน ในแต่ละวันพบเจอผู้คนมากมาย ได้รับความเคารพและมีคนคอยเอาใจอยู่ตลอด จะมาผูกพันอันใดกับเทพเสือโคร่งผู้หนึ่งที่วิ่งพล่านไปทั่วเมือง
แต่ความรักของเฉินอวี้ที่มีต่อเทพเสือโคร่งภูผากลับลึกซึ้งและยิ่งใหญ่มากนัก
ความหวั่นไหวของเฉินอวี้ที่พอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ยังมีผลต่อเนื่องไปถึงบุคคลรอบตัวด้วยเช่นกัน เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงต้องพยายามชักจูงให้เทพเสือโคร่งภูผาอยู่ห่างจากป่าสีทอง
เพราะหากกลับมา ก็อาจล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมดได้โดยง่าย
คำตอบของเรื่องนี้มิได้อยู่ที่เมืองหลวง แต่อยู่ในป่าสีทอง อยู่ข้างกายของกวางทองบุตรผู้เป็นที่รักยิ่ง
ยิ่งนานวัน เทพเสือโคร่งศิลาดำยิ่งมั่นใจ กวางทองเป็นผู้เดียวที่จะรักษาชีวิตของจิ้งจอกไฟไว้ได้
เมื่อถึงวันหนึ่งเทพเสือโคร่งภูผา และเทพกวางสายฟ้าย่อมล่วงรู้ว่าจิ้งจอกไฟล่อลวงสหายของพวกเขาออกไปให้พรานเหล่านั้นสลายร่างเพื่อนำไปปรุงโอสถถวายฮ่องเต้ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง กวางทองจะต้องช่วยให้จิ้งจอกไฟรอด!
ช่วงเวลายาวนานหลายปีของการทำหน้าที่ประสานงานกับฮ่องเต้ มาจนถึงการดูแลเฉินอวี้
เทพเสือโคร่งศิลาดำไม่ได้เป็นแค่เทพเสือโคร่งที่รู้แต่การรับฟังคำสั่ง แต่เขาย่อมทำความรู้จักคุ้นเคย ให้คำแนะนำไปหลายเรื่องต่อเฉินอวี้ รวมถึงการถวายคำแนะนำต่อฮ่องเต้ด้วย
เทพเสือโคร่งภูผามักภูมิใจว่าบุตรผู้นี้มีลักษณะเหมือนกับตน แต่ทั้งเฉินอวี้ และฮ่องเต้ต่างก็รู้แต่แรกว่าไม่เหมือน
ก็มิเป็นไร จะรู้หรือไม่รู้เทพเสือโคร่งศิลาดำก็สามารถทำงานทุกอย่างให้เป็นไปตามเป้าหมายได้เหมือนกัน
การเปลี่ยนตัวผู้แทนเมืองลั่ว จากหยางเฉิง เป็นหยางไห่ก็เป็นหนึ่งในคำแนะนำของเทพเสือโคร่งศิลาดำ
แต่การที่พระองค์ต้องการแฝดเมืองลั่วมาด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ เพราะการให้ผู้มีผนึกของป่าสีทองออกมาจากเมืองลั่วก็คือการส่งมาตาย ดังนั้นเขาจึงลอบสนับสนุนหยางหลงเมื่อต้องเปลี่ยนร่างต่อหน้าฮ่องเต้
เบื้องหลังของการแสดงฉากนั้นย่อมมีเทพเสือโคร่งภูผากับเทพกวางสายฟ้าคอยดูแลอยู่ แต่เมื่อมีเทพเสือโคร่งศิลาดำละครฉากนี้ก็ยิ่งสมบูรณ์แบบกว่าเดิม
จากนั้นเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ชักจูงเรื่องราวให้หันไปทางเมืองเหอ
เพราะมันถึงเวลาที่จะต้องจัดการเรื่องราวที่เมืองนี้ให้สิ้นซาก
และเมื่อเฉินอวี้หมดกำลังใจจนใกล้จะถึงที่สุด ก็ให้ถวายคำแนะนำฮ่องเต้อีกครั้งในการส่งรองแม่ทัพเฉินอวี้ไปที่หมู่บ้านนอกด่าน
นั่นคือหมู่บ้านที่มีคำสั่งให้พรานในหมู่บ้านออกล่าฝูงจิ้งจอกเมื่อหลายปีก่อน
แล้วกำลังใจของรองแม่ทัพเฉินอวี้ก็หมดลงที่หมู่บ้านแห่งนั้นตามความคาดหมาย
จากนั้นเฉินอวี้ก็กลับมาที่ป่าสีทอง
เมื่อเรื่องราวทั้งหมดกลับมาที่จุดเริ่มต้น เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงเหลือสิ่งที่ต้องทำอีกเพียงเล็กน้อย
นั่นคือเดินเข้าไปกล่าวคำสารภาพสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดต่อเทพทั้งสี่ โดยมีหยางหลงกับกวางทองร่วมรับฟังอยู่ด้วย
จะอยู่หรือจะตายล้วนขึ้นอยู่กับกวางทองผู้นี้แล้ว....
...จบบทที่สามสิบแปด...ตะเอง เราขอโทษ อีก 2 ตอนถึงจะจบ
เราแบ่งตอนผิด
รีพลายให้เราหน่อยนะ
น้ำชาเอง