พิมพ์หน้านี้ - Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-12-2016 06:21:37

หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-12-2016 06:21:37
**************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

-------------------------------------------------------------------

*/*/*
ทุกอย่างในเรื่องนี้เป็นเรื่องสมมุติไม่มีอะไรเป็นความจริงสักอย่าง
สามารถอ่านเรื่องนี้ได้อีกช่องทางที่ meb ในเชื่อเรื่อง "Sunrise Forest;ป่าภากร" by MyTeaMeJive

*/*/*
Sunrise in the forest ** เมื่อภากรขึ้นที่ป่าสีทอง **

ภาคกวางทอง

ความนำ

ความเงียบสงบ และสายลมเย็นปกคลุมป่าสีทองแห่งเมืองลั่ว ป่าศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพเจ้าขุนเขาและสรรพสัตว์
ฝูงกวางเทพ และกวางแห่งป่าสีทองรวมกลุ่มพักผ่อน โดยยังมีทั้งสัตว์เทพและสัตว์ป่าผู้มีลำดับล่างลงมาพักผ่อนอยู่ใกล้เคียงกันอีกหลายตัว
นางกวางเทพตัวใหญ่ท่วงทีสง่างาม ยืดตัวเงยหน้าขึ้น เพื่อรับฟังเสียงสายลมและใบไม้ ลูกกวางตัวน้อยดวงตาสีทอง กินผลไม้เสร็จก็เดินมานอนเบียดนางกวางเทพ นางก็ลืมตาก้มลงมามองด้วยแววตาอบอุ่น จากนั้นก็เพลิดเพลินกับความสงบเงียบนี้ต่อไป
 
กลิ่นสาบสัตว์ที่นำมาก่อน ทำให้ผู้ที่กำลังพักผ่อนอยู่ทั้งหมดเกิดอาการเฝ้าระวัง กวางเทพเพศผู้ตัวใหญ่ลุกขึ้นยืนมองมาทางที่มาของกลิ่น จนกระทั่งเทพเสือโคร่งตัวใหญ่กว่าเสือทั่วไปก้าวพ้นแนวต้นไม้ใหญ่ออกมาแล้วหยุดยืนรอ นางกวางเทพก็ส่งเสียงในลำคอ แล้วสะบัดคอไปทางอื่น
ขณะที่สัตว์ทุกตัวต่างเฝ้าระวัง แต่กลับมีเพียงกวางน้อยตาสีทองที่ผละจากข้างกายนางกวางเทพ เดินเก้กัง ด้วยขาที่มิแข็งแรงมากนักเข้าไปหาเทพเสือโคร่ง
ด้วยวัยของกวางน้อยสมควรมีกำลังขาที่แข็งแรงกว่านี้ แต่ความที่เกิดจากสัตว์เทพที่แตกต่างเผ่าพันธุ์ จึงปรากฎลักษณะด้อยที่มิเคยพบมาก่อน
นางกวางเทพจับตามองทุกย่างก้าว จนกระทั่งเจ้ากวางน้อยเดินไปถึงเทพเสือโคร่งแล้วใช้จมูกแตะจมูก นางกวางเทพจึงหันไปทางอื่น
เจ้ากวางน้อยแนบคอเข้าหา คลอเคลียด้วยความเชื่องเชื่อ เทพเสือโคร่งตัวใหญ่หันมาเลียแก้มปล่อยให้พัวพันอยู่พักใหญ่จึงใช้จมูกแตะที่ส่วนแก้ม แนบลำคอเข้าหา แล้วหันหลังกลับไป กวางน้อยทอดสายตามองตามด้วยความอาลัย จนสัตว์เทพตัวใหญ่ลับสายตา จึงกลับมานอนหมอบเคียงข้างนางกวางเทพเช่นเดิม 
กวางเทพเพศผู้ตัวใหญ่ที่จับจ้องทุกการเคลื่อนไหวโดยไม่วางตามาตั้งแต่แรก ส่งเสียงไม่พอใจอยู่ในลำคอ ขณะที่เดินสำรวจรอบฝูงต่อไปอีกพักใหญ่

บทที่หนึ่ง

ปีที่ห้าสิบห้าแห่งอาณาจักรไท่ชาง ที่เมืองลั่วซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของอาณาจักรยังคงความหนาวเย็นไว้ไม่เปลี่ยนแปร แต่กลิ่นไอของสงครามกลับล่องลอยจาง ๆ อยู่ในอากาศ เมื่อเหอชินห้าวเจ้าเมืองเหอคิดการใหญ่ ซ่องสุมผู้คนและเจรจาในทางลับเพื่อรวบรวมหัวเมืองใกล้เคียง ผนวกดินแดนและตัวมณฑลเพื่อหวังแยกตัวเป็นอิสระจากจากฮ่องเต้จางฉวน

ทั้งนี้ เขตปกครองต่าง ๆ ทางเหนือของไท่ชางมีความพิเศษที่ปกครองโดยคนจากตระกูลต่าง ๆ ขณะที่การกำหนดขอบเขตพื้นที่ของหัวเมืองมักจะยึดพื้นที่ส่วนที่เป็นตัวเมืองมีธุรกิจการค้ารุ่งเรืองว่าคือเมืองของตน แต่บางแห่งก็ประกาศพื้นที่ออกมาถึงเรือกสวน ไร่นาหากมีผลผลิตทางการเกษตรที่ดี
แต่ที่เมืองลั่ว การกำหนดเขตพื้นที่กลับครอบคลุมไปถึงเขตป่าสีทอง ที่ถูกเรียกว่าป่าสีทองแห่งเมืองลั่ว
หากคิดกำหนดขอบเขตของเมืองไว้เฉพาะส่วนที่เป็นตัวเมืองกับไร่นา เกรงว่าเมืองลั่วอาจกลายเป็นเมืองที่มีพื้นที่น้อยที่สุด แต่ทันทีที่นับเขตป่าเข้าไปด้วย ก็นับได้ว่าที่นี่มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่บ้าง ด้วยเมืองลั่วแห่งนี้มิได้ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์การค้าและการทหาร ไม่มีแม่น้ำใหญ่ไหลผ่าน เส้นทางหลักจากเมืองหลวงไปสู่เมืองใหญ่ทางเหนือก็มิได้ผ่านที่นี่
ที่เมืองนี้ถูกผู้ฝักใฝ่อำนาจจับตามองด้วยความสนใจมาตลอด ก็เพราะป่าสีทองแห่งนั้น
พื้นที่ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ในหุบเขาซับซ้อนต่อเนื่องหลายลูก ยอดเขาที่สูงที่สุดนั้นสูงเสียดฟ้าจึงถูกเรียกว่าเขาเทียมฟ้า มิเคยมีผู้ใดก้าวเข้าไปถึง
ว่าที่จริงชาวเมืองลั่วส่วนใหญ่จะเพียงเดินทางผ่านปากทางของป่าเท่านั้น
ว่ากันว่าเมื่อตอนที่บรรพบุรุษของเมืองลั่วมาตั้งเมือง ก็ละเว้นพื้นที่นี้ไว้แล้ว หาได้ตั้งเมืองท่ามกลางปราการธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมนี้ พวกเขาเลือกที่จะตั้งเมืองในพื้นที่ที่ห่างออกมา ปล่อยให้ป่าสีทองกลายเป็นสถานที่ซึ่งมีเรื่องราวลึกลับมากมาย

ชาวเมืองลั่วเชื่อว่า ป่าสีทองแห่งนี้มีเทพแห่งป่าสีทองสถิตย์อยู่ เทพเหล่านี้มิได้เรียกร้องเครื่องสังเวยอันใด เพียงแค่เมื่อเดินทางผ่านแล้วถวายสุราสักจอก ข้าวเปลือกสักกำมือก็เพียงพอแล้ว
แต่คำที่ชาวบ้านในหัวเมืองใกล้เคียงกันนำไปบอกเล่า ออกจะพิศดารกว่านั้น
ว่ากันว่า เรือกสวนไร่นาแห่งเมืองลั่วให้ผลผลิตตลอดทั้งปี ก็เพราะป่าสีทอง
ว่ากันว่า คนเมืองลั่วสุขภาพแข็งแรงดี มีกินมีใช้ตลอดปี ก็เพราะป่าสีทอง
และว่ากันว่า สภาพอากาศที่คงที่เกือบตลอดทั้งปี เป็นเพราะป่าสีทองเช่นกัน
และว่ากันว่า ภายในป่าสีทองแท้จริงแล้วหาได้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ แต่ที่นั่นคือแหล่งทรัพยากรมีค่าอุดมสมบูรณ์ที่ชาวเมืองลั่วหวงแหนยิ่งนัก

ชาวเมืองลั่วเองก็มิได้อะไรมากมายกับเรื่องเล่าเหล่านี้ เว้นแต่ที่บอกว่าคือแหล่งทรัพยากรนั่น ผู้ใดกันที่จะวางถุงเงินไว้หน้าบ้าน ให้ผู้อื่นมาแย่งชิงไปได้โดยง่าย คนเรานี่ก็ช่างกล่าวกันไปได้!
สรุปแล้วเรื่องเล่าเกี่ยวกับป่าสีทองแห่งเมืองลั่ว จึงขึ้นอยู่กับว่า พื้นฐานในจิตใจของผู้นั้นต้องการเชื่อในสิ่งใด

ขณะที่เมืองเหอจับตามองเมืองลั่วด้วยหวังครอบครอง ฮ่องเต้แห่งไท่ชางก็มีความสนพระทัยเมืองแห่งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่ในสถานะอื่นที่ต่างออกไป เพราะความเกี่ยวพันระหว่างเมืองลั่ว เมืองเหอ กับเมืองหลวงที่ค่อนข้างซับซ้อนหลายชั้น
ในอาณาจักรไท่ชาง หัวเมืองชั้นนอกที่อยู่ห่างไกลจะส่งบุคคลในครอบครัวไปรับราชการกินตำแหน่งอยู่ในพระราชวัง เบื้องหน้าคือการยกย่อง เบื้องหลังคือการควบคุมอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้ก่อการเคลื่อนไหว แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วกลุ่มตระกูลจากเมืองลั่วที่ถวายงานรับใช้ฮ่องเต้ยังได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยมากกว่าอีกหลายเมือง โดยเฉพาะหากนำไปเปรียบเทียบกับผู้แทนจากเมืองเหอ
แต่ในเวลาเดียวกัน เมืองลั่วกับเมืองเหอยังมีความสัมพันธ์ในแบบเครือญาติ เนื่องด้วยเหอชินรุ่ย ฮูหยินของหยางติงเจ้าเมืองลั่วคือน้องสาวของเหอชินห้าว เจ้าเมืองเหอคนปัจจุบัน
เรื่องนี้ทำให้หยางติงเจ้าเมืองลั่ว ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มิอาจตัดสินใจได้มาโดยตลอด โดยเฉพาะการที่เหอชินรุ่ยมิใช่ฮูหยินที่พอใจกับการปกครองคนในบ้าน แต่นางยังเข้าแทรกแซงการทำงานของหยางติงในทุกวิถีทาง โดยเฉพาะการโน้มน้าวให้สามีสนับสนุนการเคลื่อนไหวของฝ่ายของพี่ชายมาตั้งแต่แรก
เรียกว่า หยางติงพอจะระแคะระคายเรื่องการเคลื่อนไหวของเมืองเหอก็จากคำกล่าวของฮูหยิน หาใช่จากผู้อื่นไม่
เหอชินรุ่ยมักนำเรื่องที่เหอชินห้าวเจ้าเมืองเหอไม่พอใจฮ่องเต้แห่งไท่ชาง มาบ่นให้สามีฟังอยู่เสมอ หลายคราคนฟังยังคิดไปว่า หรือที่นี่คือเมืองเหอ ต่อมาเมื่อเรื่องราวมีความจริงจังมากขึ้น ถึงตอนที่ฝ่ายเมืองเหอส่งคนมาเจรจาในทางลับ นางก็ทำให้การเจรจานั้นไม่เป็นความลับ ด้วยการเข้ามาร่วมการเจรจานั้น แล้วร่วมก่นประณามเพิ่มน้ำหนักให้กับความชอบธรรมของฝายเมืองเหอ

แม้เหอชินรุ่ยจะออกตัวหลายครา ว่านางรู้ดีแก่ใจว่านางมิควรแทรกแซงงานการเมืองของสามี ทุกอย่างที่ทำและพูดก็เพราะเมืองเหอคือเมืองซึ่งเป็นบ้านเกิด และเจ้าเมืองเหอก็เป็นพี่ชายแท้ ๆ จะให้นางนิ่งเฉยไม่สนับสนุนได้อย่างไร
หยางติงเจ้าเมืองลั่วต่างหากคือคนที่ต้องเก็บปากในการเจรจา ไม่ปริปากเกี่ยวกับความคิดในใจสักคำเดียว
ต่อมาคนของฝ่ายเมืองเหอมาแจ้งข่าวในทางลับ ว่าเวลานี้มีห้าหัวเมืองเพื่อนบ้านของเมืองเหอพร้อมที่จะลงนามร่วมเป็นพันธมิตรในการเคลื่อนไหวเพื่อผนวกดินแดน แต่การส่งหนังสือนี้กลับมีขึ้นในเวลาเดียวกันกับที่ฝ่ายเมืองหลวงก็ส่งหนังสือในทางลับมาสอบถามเรื่องท่าทีของเมืองลั่ว
เป็นการมาถึงในเวลาเดียวกันที่ทำให้หยางติงเจ้าเมืองลั่วแน่ใจ ว่าฮ่องเต้แห่งไท่ชางทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นในหัวเมืองห่างไกล ต่อให้อยู่ห่างไกลชนิดที่ต้องใช้เวลาเดินทางนานนับเดือน และต่อให้ทรงวางพระราชหฤทัยกลุ่มตระกูลจากเมืองลั่วเพียงใดก็ตาม
หนังสือสอบถามฉบับนี้ จึงเท่ากับการประกาศอย่างเป็นทางการให้หยางติงต้องเลือก!

เมื่อกล่าวถึงกลุ่มตระกูลจากเมืองลั่วที่ทำงานกินตำแหน่งอยู่ในเมืองหลวง พวกเขาคือหยางจงจิน ผู้มีศักดิ์เป็นอารอง และหยางลี่ ผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายของหยางติง
นั่นคือเมื่อบิดาของหยางติงปกครองเมืองลั่ว หยางจงจินผู้เป็นน้องชายคนรองก็น้อมรับพระบรมราชโองการพาครอบครัวเดินทางเข้าเมืองหลวง
ต่อมาเมื่อหยางติงปกครองเมืองลั่ว หยางลี่น้องชายคนรองของหยางติงก็น้อมรับพระบรมราชโองการเข้าเมืองหลวงไปเช่นกัน แต่ทรงไม่มีพระราชานุญาตให้หยางจงจินกลับไปเมืองลั่ว
เมื่อคิดถึงพวกเขาที่ต้องเสียสละอยู่ในเมืองหลวงในเวลาที่บีบคั้นเช่นนี้ หยางติงเจ้าเมืองลั่วที่ปวดร้าวใจยิ่งนัก และทำให้สามารถตัดสินใจได้...
ตัดสินใจที่จะอยู่ฝ่ายเมืองหลวง แม้จะรู้ดีว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ จะทำให้ฮูหยินไม่พอใจมากก็ตาม

หยางหลงบุตรชายคนโตของหยางติง เป็นผู้ที่เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อยื่นหนังสือแสดงเจตนาว่ายังภักดีต่อฮ่องเต้แห่งไท่ชาง การยื่นหนังสือใช้เวลาไม่นาน ที่นานกว่าคือการเดินทางที่ใช้เวลาหลายเดือน และการรอเวลาที่ทรงอนุญาตให้เข้าพบ ประกอบกับความกังวลที่อยู่ในใจ กดดันให้หยางหลงรู้สึกเหนื่อยล้าเกินกว่าความเป็นจริง

หยางหลงเคยต้องติดต่อราชการกับเมืองหลวงมาแล้วหลายครั้ง แต่การติดต่อราชการในครั้งสุดท้ายนี้ แตกต่างออกไป เพราะต้องพบกับการถูกตรวจสอบและถูกจับตามองด้วยความไม่ไว้วางใจอยู่ตลอดเวลา
แม้ท่านหยางจงจิน และหยางลี่ทั้งสองคนจะไม่ได้เอ่ยปาก แต่บรรยากาศโดยรอบบ่งชี้ว่า ชาวเมืองลั่วทุกคนคือตัวประกันเพื่อกดดันให้หยางติงเจ้าเมืองลั่วไม่ตัดสินใจเป็นปฏิปักษ์กับฮ่องเต้
 
"พวกเรามิได้เสียดายชีวิตหากต้องถูกลงโทษฐานก่อกบฎ แต่ขอฝากหลานให้ช่วยย้ำเตือนท่านเจ้าเมือง ว่าชาวเมืองลั่วอยู่กันอย่างสงบมาเป็นเวลานาน ความเดือดร้อนที่คนเขานำมาบอกนั้นมีสาเหตุจากเรื่องใด อาคิดว่าท่านเจ้าเมืองจะแยกแยะได้ เพียงแต่หากถูกฝ่ายนั้นกดดันมาก ๆ เข้าก็อาจตัดสินใจนำสงครามเข้าบ้านของเราเอง" หยางลี่กล่าวอย่างคนที่รู้นิสัยของหยางติงเป็นอย่างดี

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-12-2016 06:23:02
(ต่อครับ)

ยามเที่ยงวัน ขบวนม้าซึ่งประกอบไปด้วยหยางหลงกับนายกองเมืองและคนคุ้มกันอีกเพียงห้าคน หยุดพักม้าอยู่ที่ชานป่าสีทอง จากปากทางคือทางเดินเท้าเข้าไปในป่าที่ลับหายไปหลังต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ

มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อเดินไปถึงหลังต้นไม้ใหญ่ เราจะกลับมาหยุดยืนอยู่ที่ปากทางของป่าสีทองเช่นเดิม แต่ก็มีที่เล่าว่านั่นคือทางลัดที่จะนำไปสู่ที่อยู่ของสัตว์เทพ

เมื่อครั้งที่ยังเป็นวัยรุ่น หยางหลงเคยมาทดสอบเรื่องเล่าเหล่านี้ด้วยความอยากรู้ และก็พบว่า หลังต้นไม้ใหญ่คือพงหญ้าและรากไม้ คือหาได้มีเส้นทางใด ๆ อยู่ด้านหลัง ไม่ได้กลับไปอยู่ที่จุดเริ่มต้น และไม่ได้เป็นทางลัดที่จะนำไปพบกับสัตว์เทพ
ตอนที่กลับไปเล่าให้บิดาฟัง ผู้เป็นบิดาถึงกับหัวเราะด้วยความขบขันในความอยากรู้อยากทดลองของหยางหลง จากนั้นก็สอนว่าอย่าได้บอกเล่าเรื่องนี้ต่อผู้ใด
"ผู้คนมักกลัวเรื่องราวลึกลับ ปล่อยให้ลึกลับไปเช่นนั้น เหล่าเทพแห่งป่าสีทองจะได้ไม่เดือดร้อนใจ"

คำสอนของบิดาทำให้หยางหลงเชื่อเรื่องเทพแห่งป่าสีทอง แม้จะไม่เคยพบเห็นกับตาตัวเองก็ตาม
 
ชายหนุ่มเทสุราหนึ่งจอกที่โคนต้นไม้ใหญ่ ตามด้วยเมล็ดข้าวเปลือกหนึ่งกำมือเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเทพแห่งป่าสีทอง จากนั้นเหล่าทหารจึงแยกย้ายกันเอนกายพักกันอยู่ที่เขตชายป่า บ้างพูดคุยกันเบา ๆ  บ้างขอเอนหลังสักครู่

"หากเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ ป่าสีทองเมืองลั่วคงได้รับผลกระทบมิใช่น้อย" หยางหลงกวาดตามองไปทั่วแล้วถอนหายใจ
นายกองที่เดินทางมาด้วยกล่าวตอบ "ท่านเจ้าเมืองพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังมีความเห็นทักท้วง ความไม่เชื่อใจว่าเราจะเลือกเมืองหลวงแทนที่จะเลือกญาติพี่น้อง"
หยางหลงส่ายหน้า "ที่กังวลก็คือ หากเราต้องแสดงความภักดีด้วยการต่อสู้กับญาติพี่น้อง ข้าก็ขออธิษฐานให้เทพแห่งป่าสีทองคุ้มครอง ขอให้เรื่องราวยุติลงโดยที่เรามิต้องสู้รบกับใคร"
ชายหนุ่มส่งดาบในมือให้กับนายกอง แล้วเดินเข้าไปในป่าตามลำพัง
มิได้มีกฎเกณฑ์ใดที่บอกว่าห้ามถืออาวุธเข้ามาในที่นี้ เพียงแต่มิเคยมีใครทำมาก่อน
ส่วนพรานป่า หรือคนหาของป่า ก็จะหากินอยู่ในพื้นที่รอบนอกใกล้กับเขตหมู่บ้านพราน หาได้เข้ามาเขตหุบเขาที่หยางหลงกำลังก้าวเดินเข้าไป
ก้าวต่อก้าว คิ้วเข้มหนาดั่งปลายดาบเริ่มคลายความตึงเครียด ดวงตาที่มักมีแต่ความจริงจังอยู่เป็นนิจ ค่อยอ่อนโยนลง ทั้งยังปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก ไหล่หนาที่แบกรับภาระหนักทั้งมวลผ่อนคลาย

นับตั้งแต่อดีต หากต้องตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง บรรพบุรุษแห่งเมืองลั่วทุกคนล้วนตัดสินใจเลือกสันติภาพเพื่อปกป้องป่าแห่งนี้ เป็นการตัดสินใจเลือกด้วยพื้นฐานเรียบง่าย ด้วยหากเกิดสงครามเรายังสามารถอพยพประชาชนไปยังที่ปลอดภัยได้ แต่สรรพสัตว์ที่นี่จะย้ายไปอยู่ที่ใด
ทุกย่างก้าวของหยางหลงที่เดินลึกเข้าไปในป่าสีทอง จึงเป็นคำอธิษฐานต่อเทพเจ้าทั้งมวล

.....ข้าน้อยหยางหลง ขอพลังและสติปัญญาเพื่อปกป้องรักษาผืนป่าแห่งนี้ รักษาเมืองลั่ว และรักษาความสงบสุขที่เรียบง่ายนี้ต่อไปด้วยเถิด....

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ก้าวเดินช้า ๆ ได้กลิ่นสาบเสือเจือจางอยู่ในอากาศ แต่เพราะยังได้ยินเสียงนกร้องอยู่เป็นปกติ จึงลดความระวังตนลง จากหางตายังมองเห็นส่วนหางของจิ้งจอกไฟที่วิ่งไปทางซ้ายมือ หันมาอีกด้านนกยูงตัวใหญ่เกาะกิ่งไม้ในระดับเอวกำลังหันหน้าไปอีกทาง คิดเล่นในใจตามอารมณ์ที่ดีขึ้นเป็นลำดับว่าหรือจิ้งจอกไฟกับนกยูงตัวนั้นจะมีปัญหาขัดแย้งกันอยู่จึงหันหน้าไปกันละคนละทาง   
ความงดงามแห่งป่าสีทองทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน จนเดินผ่านด้านหลังต้นไม้ใหญ่ที่มาของเรื่องราวลึกลับมากมาย ก็ยังเดินต่อเข้าไปในป่า
แต่เมื่อก้มตัวลอดผ่านม่านเถาวัลย์ที่ทิ้งตัวจากกิ่งไม้ เข้าสู่ลานหญ้าเล็ก ๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีแสงแดดจางลอดผ่าน หยางหลงพบเด็กหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดสีน้ำตาลอ่อนนั่งกอดกระต่ายน้อยสีขาวอยู่ใต้ร่มไม้
เด็กหนุ่มผู้นี้ตัวเล็กมาก ใบหน้าอ่อนเยาว์อาจมีวัยไม่ถึงสิบสี่ สิบห้าปี ผมสีน้ำตาลมัดรวบไว้ง่าย ๆ ไร้เครื่องประดับ เมื่อเดินเข้าไปใกล้  เด็กหนุ่มก็ยื่นผลไม้มาให้
หยางหลงหยุดยืนนิ่ง เมื่อมองเห็นดวงตาของเด็กหนุ่มชัดเจน
ดวงตาคู่นั้นมีสีทอง!
ใบหน้างดงามพยักเรียกให้กินผลไม้ในมือ หยางหลงจึงรับมากัดไปคำหนึ่ง รู้สึกถึงรสชาติเปรี้ยวหวาน และความสดชื่นที่ตามมา
"รสดีนี่"
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ดวงตาสีทองเป็นประกายงดงามดั่งคำกล่าวนี้ชมตนเอง
รอยยิ้มนั้นทำให้หยางหลงเกิดกำลังใจว่า ทุกสิ่งที่อธิษฐานไว้กำลังจะเป็นจริง

"ข้าคือหยางหลง เจ้าชื่ออะไร" ชายหนุ่มแนะนำตัวพลางนั่งลงข้าง ๆ ถึงกับเลอะเลือนลืมตัวไปว่า เด็กหนุ่มผู้นี้มีดวงตาสีทอง และที่นี่คือป่าสีทอง ตนเองสมควรแสดงความเคารพกับอีกฝ่ายให้มากกว่านี้
เด็กหนุ่มกล่าวตอบเบา ๆ "ลู่"
คำแนะนำตัวนั้นช่างแผ่วเบา เสียงก็เล็กชวนให้คิดถึงลูกกวาง ดั่งชื่อของเจ้าตัว
หยางหลงกัดผลไม้อีกคำ ไม่อาจละสายตาจากใบหน้างดงามนั้น จนกระทั่งผลไม้หมดลูกจึงรู้ตัวว่าจ้องมองอีกฝ่ายโดยเสียมารยาท ทั้งหลงลืมเวลา
"ข้าเข้ามานานแล้ว ต้องกลับไป" นิ้วมือใหญ่ชี้ไปทางที่เพิ่งเดินมา
ลู่ยิ้มรับและพยักหน้าอีกครั้ง
รอยยิ้มนั้นช่างงดงามสอดรับกับการเคลื่อนไหวที่อ่อนโยน
หยางหลงไม่อยากเอ่ยคำลา แต่ก็มิแน่ใจว่าจะกลับมาที่ป่าสีทองได้อีกเมื่อใด
"แล้วค่อยพบกันอีก"
ลู่ยิ้มกว้างอวดฟันสวย
"ขอบใจนะ" หยางหลงกล่าวแล้วลุกขึ้น
 
แต่เมื่อเดินออกมาได้หลายก้าว หันไปอีกครั้งก็พบว่าเด็กหนุ่มเดินตามมาด้วย
จากฝีเท้าที่ไม่มั่นคง บ่งบอกชัดเจนว่า ขาของเด็กหนุ่มผู้นี้ผิดปกติ แต่เมื่อลู่เห็นว่าหยางหลงหันมามองก็ชี้มือบอกให้หมุนตัวแล้วเดินต่อไป เพียงแต่เมื่อหยางหลงหันกลับไปครั้งใด ลู่ก็ยังคงเดินตามมาโดยตลอด
"ขาเจ้า"
ลู่ส่ายหน้ายิ้มหวาน "มันไม่ค่อยแข็งแรงน่ะ ท่านเดินต่อไปเถอะ"

หยางหลงเดินให้ช้าลง เพื่อรอคนที่เดินตามมา กระทั่งพ้นจากต้นไม้ใหญ่มาจนถึงขบวนม้าที่หยุดพัก บรรดานายกองและผู้ติดตามต่างพากันหันไปมองหน้ากันและกันด้วยความประหลาดใจ
เมื่อสักชั่วยามก่อน หยางหลงว่าที่เจ้าเมืองลั่วเดินเข้าไปในป่าสีทองตามลำพัง แล้วเหตุใดเมื่อกลับออกมาจึงมีเด็กหนุ่มในชุดสีน้ำตาลเดินตามออกมาด้วยอีกคน
ที่นี่คือป่าสีทอง ซึ่งไม่มีผู้คนพำนักอยู่
เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นใคร
แล้วนั่น ดวงตาสีทองคู่นั้น เจ้ามองเห็นหรือไม่
หรือเรื่องราวที่เล่าขานสืบต่อกันมาคือเรื่องจริง...
 
ลู่เดินไปที่ม้าของหยางหลง แตะปลายจมูก แล้วแนบด้านข้างของลำคอเข้าหา จากนั้นก็เดินไปอยู่ด้านข้างโกลนม้า รอให้หยางหลงช่วยขึ้นม้า
เหล่าทหารมัวแต่ยืนมองตามการเคลื่อนไหวของลู่ไม่ขยับร่างกายเคลื่อนไหว จนหยางหลงหันมาสั่งให้ทุกคนรีบเก็บข้าวของกลับเข้าเมือง แต่นายกองที่ได้สติเป็นคนแรก ยังพอคิดถึงมารยาทอยู่บ้าง รีบทำความเคารพต่อเด็กหนุ่มทให้คนอื่น ๆ พากันทำความเคารพตาม แล้วหันไปเร่งรีบเก็บข้าวของและจัดขบวนอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

เมื่อต้องนั่งม้าตัวเดียวกัน หนุ่มน้อยผู้นี้จึงย่อมต้องนั่งอยู่ในอ้อมแขนของหยางหลง ทำให้ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่บ่งบอกว่าเป็นกลิ่นของป่ายิ่งเด่นชัด ทั้งดอกไม้หอม เจือด้วยกลิ่นของดิน และความสดชื่น
"ถนัดไหม" หยางหลงชวนคุย แต่อีกคนไม่ค่อยให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่ เพราะเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้แล้วพยักหน้า
เป็นยิ้มที่.....ทำให้ใจเต้นแรงมาก จนแน่ใจว่าอีกคนจะสามารถรับรู้ได้
"เคยขี่ม้าหรือเปล่า"
คนยิ้มเก่งหันมาส่ายหน้าเป็นคำตอบ แต่ไม่มีคำพูด
ใจยังเต้นแรง ทั้งรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว
หยางหลงพยายามอีกครั้ง "เคยออกมานอกป่าหรือไม่"
คนยิ้มเก่งใช้วิธีเงยหน้าขึ้นมาแล้วส่ายหน้า
ครานี้หยางหลงขอยอมแพ้ ก่อนที่จะหัวใจวายตายไปเสียก่อนที่จะถึงบ้าน

ขบวนม้าของหยางหลงเดินทางผ่านประตูเมือง ตรงไปที่จวนของเจ้าเมืองเพื่อรายงานผลการเจรจาในทันที
แต่ก่อนที่จะไปถึง มีผู้เข้าไปรายงานกับหยางติงว่าหยางหลงกลับมาแล้ว แต่ในขบวนม้ายังมีหนุ่มน้อยรูปงามผู้หนึ่งมาด้วย
หยางติงเจ้าเมืองลั่วส่ายหน้าให้กับความสนใจที่แปลกประหลาดของชาวเมือง ด้วยในยามที่บ้านเมืองกำลังสุ่มเสี่ยงจะตกอยู่ท่ามกลางสงคราม คำแรกที่ทุกคนกล่าวออกมาก็คือหยางหลงพาหนุ่มน้อยรูปงามมาด้วย หนุ่มน้อยผู้นั้นเป็นใคร และอีกหลายคำถาม ทำให้หยางติงต้องออกปากบ่นผู้ที่เข้ามารายงานไปหลายคำ
แต่สุดท้ายหยางติงก็คือคนที่ไปยืนอยู่แถวหน้าสุด ในกลุ่มผู้ที่ไปรอหยางหลงอยู่หน้าจวนเจ้าเมือง

...ก็ข้าคือเจ้าเมือง ก็สมควรไปยืนอยู่ด้านหน้า ไม่ถูกต้องหรืออย่างไร

เป็นดั่งที่มีคนเข้ารายงานเมื่อชั่วหนึ่งกาน้ำชาที่ผ่านมา ว่าในขบวนม้า นอกจากความองอาจ สง่างามของหยางหลงจะสะกดทุกสายตาไว้เช่นเคยแล้ว ในขบวนม้านี้ยังมีเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งม้าตัวเดียวมากับหยางหลงที่เป็นจุดสนใจ
เด็กหนุ่มคนนี้มีใบหน้างดงาม มองคราแรกยังคาดเดาได้ยากว่าเป็นหญิงหรือชาย แต่เมื่อมองชุดเสื้อผ้าสีน้ำตาล กับเส้นผมสีน้ำตาลที่มัดรวบไว้ ก็คิดว่าน่าจะเป็นชาย
เพียงแต่ในทันทีที่กล่าวกันว่า ที่แท้ก็เป็นชาย ชาวเมืองบางคนก็สะดุดลมหายใจอยู่ที่ดวงตากลมโตคู่นั้น!
ตอนที่คนที่มารายงานหยางติงกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า เด็กหนุ่มผู้นี้มีดวงตาสีทอง ทั้งผู้ช่วยของหยางติงและพ่อบ้านของจวนเจ้าเมือง ยังมีความเห็นว่า นั่นอาจเป็นแสงสะท้อนจากแสงสีทำให้มองเห็นเป็นเช่นนั้น

ขบวนม้าของหยางหลงมาถึงแล้ว ชายหนุ่มร่างใหญ่ลงจากม้าก่อน จากนั้นจึงหันไปอุ้มอีกคนลงมา หยางติงที่มองเห็นดวงตาคู่นั้นชัดเจนก็พาลสะดุดลมหายใจไปอีกคน
สีทองที่ดวงตาคู่นั้น มิใช่แสงสะท้อนจากแสงสีใด แต่นั่นคือสีทองสดใสเป็นประกาย
ชาวเมืองลั่วทุกคนล้วนคุ้นเคยกับเรื่องเล่ามากมายที่เกี่ยวกับป่าสีทอง แต่นี่เป็นคราแรกที่ได้เห็นด้วยตาตนเอง
จนกระทั่งหยางหลงก้าวเข้ามายืนอยู่ข้างหน้า แล้วกล่าวทักทาย หยางติงจึงได้สติ
"หลง เจ้าพบเอ่อ..."
เมื่อบิดามิรู้ว่าจะเรียกขานอย่างไร หยางหลงจึงแนะนำชื่อ "นี่คือลู่ ท่านพ่อ"
"คุณชายบอกให้พวกเราเรียกชื่อเช่นนั้นหรือ"
เมื่อบิดาถามย้ำ บุตรก็ย้ำคำตอบเดิมเช่นกัน
"เจ้าพบคุณชายได้อย่างไร" จะอย่างไรหยางติงก็มิกล้าเอ่ยชื่อตรง ๆ
"ระหว่างทางพวกเราแวะพักที่ปากทางของป่าสีทองเหมือนทุกครา ข้าถวายสุราและข้าวเปลือกจากนั้นก็เดินเล่นเข้าไปในป่า" หยางหลงตอบ
"เดินเล่นไกลเพียงใดถึงพบคุณชาย"
บุตรชายส่ายหน้า "ไม่มากนักเพียงชั่วก้านธูปเท่านั้นเอง"
"อ่า" บิดาอ้าปากค้าง "นี่มันจะเกิดอาเพธใด คุณชายถึงได้ออกมาใกล้เชิงป่า"
ลู่หันมายิ้มให้กับเจ้าเมือง เป็นยิ้มที่ทำให้เจ้าเมืองต้องรักษามารยาท เชื้อเชิญให้ทั้งหมดเข้าไปพักและพูดคุยกันต่อที่ด้านใน
"เช่นนั้นก็เข้าไปด้านใน ดื่มน้ำชา นั่งพักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยเจรจากันเถิด"

ปกติแล้วเจ้าเมืองลั่วจะเจรจางานที่ศาลาว่าการเมือง ที่ตั้งอยู่ติดกับจวนเจ้าเมือง แต่ครานี้เรียกให้ทุกคนไปพูดคุยกันภายในจวน เพื่อให้ผู้ที่เพิ่งเดินทางมาถึงสามารถกินอาหารไปพร้อมกับการสนทนาได้
เรือนต้นบ๊วยที่ใช้เจรจางานในครั้งนี้ เป็นตัวเรือนโปร่งสามด้าน พื้นเล่นระดับ โต๊ะเตี้ยตัวใหญ่จัดวางอาหารและผลไม้มากมาย เพื่อรับรองหยางติงกับบุตรชายทั้งสามคนและลู่ ร่วมด้วยเลขาฯ ของเจ้าเมือง นายกอง และผู้ร่วมขบวนม้าของหยางหลง ทั้งหมดร่วมการสนทนาในลักษณะโต๊ะกลมที่ไม่มีประธานของที่ประชุม

ตระกูลหยางแห่งเมืองลั่ว มิได้เป็นเพียงผู้ปกครอง แต่ยังเป็นเจ้าของกิจการที่หลากหลายสาขา โดยมีกิจการหลัก ก็คือโรงแลกเงินที่ยังมีสาขาในเมืองใหญ่อีกหลายแห่ง
หยางหลงที่เป็นบุตรคนโต รับสืบทอดงานทุกด้านจากบิดา เป็นยิ่งกว่ามือขวาของเจ้าเมือง รวมไปถึงการดูแลโรงแลกเงิน
หยางเฉิงที่เป็นบุตรคนรอง ดูแลสำนักคุ้มกันภัยขนาดใหญ่
ส่วนหยางไห่บุตรชายคนเล็กดูแลกิจการใบชา และร้านอาหารอีกหลายแห่ง
ทั้งสามคนพี่น้องจึงมักจะเดินทางกันแทบจะทั้งปี ในปีหนึ่งมีจำนวนวันที่ได้พบเจอกันรวมแล้วไม่ถึงสองเดือน

"เรื่องถวายสุราและข้าวเปลือก หรือการเดินเล่นบริเวณรอบนอกของป่า พวกเราก็ทำเช่นเดียวกัน แต่กลับมิเคยพบเจอ นี่ย่อมแสดงว่า ลู่เจตนาออกมาหาพี่ใหญ่" หยางไห่กล่าวอย่างยิ้มแย้ม และเรียกชื่อลู่ตามที่พี่ใหญ่เรียก
เขามีใบหน้าและรูปร่างคล้ายกับมารดามากที่สุด แต่กลับได้นิสัยมองโลกในแง่ดีมาจากบิดา
ส่วนหยางเฉิงที่ดูแลสำนักคุ้มกันภัย ที่แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่ห้าวหาญเช่นบิดา กลับชอบวางท่าว่ามีนิสัยดื้อรั้น และเย่อหยิ่งเหมือนกับมารดา ในเวลานี้แม้จะแสร้งทำท่ามิสนใจ แต่กลับลอบมองคนที่กำลังกินผลไม้ไปพลางกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจ เมื่อหันมาสบตากันแล้วยิ้มให้ หยางเฉิงใบหน้าร้อนผ่าวจนต้องหันไปมองทางอื่น
หยางไห่ที่รู้ว่าพี่รองเป็นคนที่มักแสดงออกในทางตรงกันข้ามกับความรู้สึกในใจ จึงเฝ้ามองท่าทีของหยางเฉิงอยู่เช่นกัน พอเห็นว่าหยางเฉิงหนีสายตาของลู่ ก็ถึงกับหัวเราะ ทำให้หยางติงที่กำลังสนทนากับหยางหลงเกี่ยวกับผลการเจรจาต้องหันมามองอย่างตำหนิที่เสียมารยาท
 
"การส่งหนังสือนี้ราบรื่นด้วยดี เช่นนั้นก็เหลือเพียงท่าทีของฝ่ายเมืองหลวง กับเมืองเหอแล้วสินะ"
"ข้าเพียงหวังว่าจะหยุดความขัดแย้งนี้ได้ก่อนที่จะกลายเป็นสงคราม" หยางหลงกล่าวขึ้น
"ข้าไม่กลัวที่จะทำสงคราม" หยางเฉิงกล่าวขึ้นอย่างห้าวหาญ แต่ยังมิวายเหลือบตามองลู่
หยางไห่ยังคงรู้สึกขำพี่ชายคนรอง แต่ก็กล่าวขึ้นบ้าง "มีสงครามอยู่ใกล้ ๆ ผู้คนอพยพมาที่เมืองของเรา โจรมากขึ้น พี่รองได้รางวัลมากขึ้น เราค้าขายได้มากขึ้น"
"เพ้ย" เจ้าเมืองโบกมือ "อย่าคิดแสวงหาผลประโยชน์จากสงคราม"

มีเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งที่เดินเข้ามาหา กลุ่มผู้ที่กำลังสนทนากันอยู่ต่างหันไปมอง
สตรีผู้ที่สวมอาภรณ์สีฟ้าสดใส เครื่องประดับหรูหรา รายล้อมไปด้วยคนติดตามผู้นี้คือเหอชินรุ่ยฮูหยินของหยางติงเจ้าเมืองลั่ว ปีนี้นางมีอายุสี่สิบปี แต่ยังมีใบหน้าอ่อนเยาว์ รูปร่างเล็กผอมบาง ท่าทางอ่อนโยน หากแต่ทั้งหมดนั้นคือภายนอก เพราะแท้จริงแล้วนางเป็นผู้ที่มีความเย่อหยิ่ง ดื้อรั้น และมีความมุ่งมั่นในเรื่องการปกครอง หลายครั้งหลายหนที่นางเข้ามาแทรกแซงการตัดสินใจของหยางติง
หากเป็นเรื่องที่สามารถยอมรับได้ หยางติงก็จะยอมตามใจ แต่หากมีผลกระทบสร้างความเสียหาย ก็ต้องมีการเจรจากันมากสักหน่อย
แต่เรื่องที่ไม่เคยเจรจากันได้ ก็คือการที่หยางติงเลือกที่จะนำเมืองลั่วสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้แห่งไท่ชางนั่นเอง

เรือนรับรองหลังนี้ มีด้านหนึ่งเป็นเรือนโปร่ง รับกับระเบียง และทางเดินที่ทอดยาวไปสู่ห้องสมุด และเรือนพักอีกหลายหลังด้านใน ดังนั้นจากระยะไกล เหอชินรุ่ยจึงมองเห็นว่าที่ส่วนรับรองนั้นมีผู้คนนั่งล้อมโต๊ะจำนวนมากกว่าสิบคน กับยังมีคนรับใช้อีกหลายคน ซึ่งนางรู้จักทุกคน เว้นแต่คนผู้หนึ่งที่สวมชุดสีน้ำตาล เมื่อนางจ้องมอง หญิงรับใช้คนสนิทก็รีบกระซิบบอก ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือผู้ที่คนรับใช้เข้าไปแจ้งก่อนหน้า ว่าเป็นผู้ที่หยางหลงพามา

เสียงพูดคุยเงียบลงเมื่อกลุ่มของเหอชินรุ่ยเดินเข้ามาถึง นางนั่งลงที่เบาะข้างหยางติงด้วยการที่จ้องมองบุตรชายคนโตเพียงผู้เดียว เชิงบังคับให้บุตรชายแนะนำคนหนึ่งคนที่นางไม่รู้จัก
หยางหลงรู้ใจมารดา จึงกล่าวคำแนะนำ "ท่านแม่ นี่คือลู่ ข้าพบเขาที่ป่าสีทอง"
"จินลู่" เด็กหนุ่มกระซิบบอก หยางหลงจึงกล่าวแนะนำลู่ให้กับมารดาอีกครั้ง
ลู่มองเหอชิยรุ่ยเพียงแวบหนึ่งก็ก้มหน้ากัดกินผลไม้ในมือ ทำให้อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเห็นดวงตาสีทองสดใสคู่นั้น
"พบในป่า" นางขมวดคิ้วสวย "หลงทางมาหรือ" เมื่อบุตรบอกว่าหลงทางมา ทั้งเด็กคนนี้มีท่าทีหิวโหยก้มหน้าก้มตากินผลไม้ มิได้กล่าวคำใด นางก็หมดความสนใจไม่ได้สนใจซักถามต่อ ทั้งมิได้ใส่ใจเรื่องราวที่อาจซ่อนอยู่ภายใต้ถ้อยคำนั้น ประโยคถัดมาจึงเป็นเรื่องราวที่นางเป็นกังวล "ผลการเจรจาเป็นเช่นใด"
"ย่อมเป็นไปอย่างราบรื่น" หยางหลงตอบ
เหอชินรุ่ยเม้มริมฝีปากสนิท ดวงตาแข็งกร้าว ความไม่พอใจฉายชัด
"ฮูหยิน" หยางติงเอ่ยขึ้น
เหอชินรุ่ยยกมือห้าม "มิต้องแล้ว มาถึงขั้นนี้ ก็มิต้องมาพูดจาสวยงามกับข้าอีก" ผู้เป็นภรรยาเจ้าเมืองลั่วกวาดตามองทุกคนในที่นี้ "ตระกูลเหอของข้าปกครองเมืองเหอมาหลายชั่วคน เจ้าเมืองเหอคนปัจจุบันคือพี่ชายของข้า และข้าก็ให้คำมั่นกับเขามาตลอดว่าเมืองลั่วจะให้ความร่วมมือ"
"คำมั่นเป็นเพียงวาจา ทั้งยังทำโดยไม่มีการหารือกันก่อน จะนับเป็นอย่างไรได้" หยางติงหันมาตำหนิภรรยา
มาถึงตอนนี้ หยางหลงก็หันไปเรียกพ่อบ้านจวนเจ้าเมืองมาพาลู่ออกไปเดินเล่นที่สวนหน้าเรือนต้นบ๊วยแห่งนี้ เห็นดังนั้น เลขาฯ ของหยางหลง ตลอดจนนายกองและทหารที่ติดตามมากับหยางหลง และคนรับใช้ก็พากันออกมาด้วย เหลือเพียงบุตรชายทั้ง 3 คนที่อยู่เพื่อไกล่เกลี่ย มิให้บิดาและมารดาทะเลาะกันรุนแรง

"ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้วว่า การปกครองเมืองไม่อาจตัดสินใจได้โดยลำพัง ยิ่งการเคลื่อนไหวต่อต้าน คือความผิดฐานกบฎ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ยิ่งต้องรอบคอบคิดให้ถี่ถ้วน"
"นั่นมันไม่สำคัญแล้ว"
"สำคัญสิ" หยางติงตอบโต้ "ที่เจ้าแต่งเข้าเมืองลั่ว แต่ยังรักบ้านเกิด รักพ่อแม่ พี่น้องของเจ้า นั่นมิมีเรื่องใดผิด แต่เจ้าตัดสินใจแทนข้าผู้เป็นเจ้าเมืองเช่นนี้เหมาะสมแล้วแล้วหรือ"
เหอชินรุ่ยผุดลุกขึ้น บุคคลที่เหลืออยู่ก็พลอยลุกขึ้นตาม
"ที่เจ้าแสดงความเห็นเรื่องการเมือง ข้าก็มิได้ห้ามปราม เพราะเข้าใจว่านั่นคือพี่น้องของเจ้า แต่มาถึงวันนี้ ที่เราส่งหนังสือไปแล้ว แล้วเจ้านำกลับมากล่าวย้ำเรื่องเดิมต่อหน้าผู้อื่น มันจะทำให้เกิดความลังเลสงสัยไม่แน่นอน ทั้งแสดงให้เห็นถึงความไม่สามัคคีของพวกเราเอง"

(มีต่อด้านล่าง)
** ลู่ - 鹿 แปลว่ากวาง ** จิน - 金 แปลว่าทอง **
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-12-2016 06:24:43
(ต่อ)

"ข้าคือเหอชินรุ่ย ต่อให้ตายไปก็ยังเป็นเหอชินรุ่ย เมื่อพี่ชายของข้าตัดสินใจต่อต้านฮ่องเต้ นั่นแสดงให้เห็นว่า เขาคิดดีและถูกต้องแล้ว"
"แล้วที่พวกเราพยายามอย่างหนักมาหลายเดือน เพื่อยับยั้งความขัดแย้ง มิให้เข้ามาที่บ้านของเรา เจ้ากลับเห็นว่านี่มิใช่เรื่องที่ถูกต้องหรือ"
เหอชินรุ่ยเชิดคางขึ้นสูง ดวงตามีแต่ความดื้อรั้น "เมืองลั่วอยู่ใกล้กับเมืองเหอมากกว่าเมืองหลวง"
หยางติงโกรธจนมือสั่น "เจ้าเลือกฝ่ายโดยมองเพียงตำแหน่งที่ตั้งมิได้ เรื่องราวความขัดแย้งของพวกเขานั้นซับซ้อน ตั้งแต่เรื่องการค้า ไปจนถึงคนที่ส่งเข้าไปในวังหลวง แต่ความขัดแย้งเหล่านั้นไม่เกี่ยวกับเรา การค้าของเราไปด้วยดี ท่านอาของข้า น้องชายของข้า หลานของข้าที่ทำงานรับใช้องค์ฮ่องเต้ก็ทำหน้าที่ได้ดี เจ้าจะให้ข้าพาชาวเมืองลั่วที่อยู่ดีมีสุขไปเข้าร่วมอยู่ในความขัดแย้งนั้นได้อย่างไร"
เหอชินรุ่ยทำเสียงขึ้นจมูก "ที่แท้ท่านก็เป็นห่วงท่านอา ห่วงน้องชาย และหลาน คนที่ท่านไม่ได้พบพวกเขามาหลายปี จนมองข้ามไปว่าหากการครั้งนี้สำเร็จ จะทำให้พวกเราเป็นอิสระจากฮ่องเต้ชั่วนั่น"
"เมืองทางใต้มีอุทกภัย หากฮ่องเต้จะเรียกเก็บส่วย ภาษีเพิ่มขึ้นจากเมืองที่ไม่มีความเดือดร้อน ข้าคิดว่ามันก็เหมาะสมแล้ว ทั้งจำนวนเงินส่งไป มันก็หาได้ทำให้พวกเราเดือดร้อน"
"แต่คนอื่นเขาเดือดร้อน เขาถึงได้รวมกลุ่มเป็นปึกแผ่น"
"หากเป็นปึกแผ่นโดยง่ายอย่างที่เจ้าว่า ป่านนี้พวกเขาคงรวบรวมผู้สนับสนุนได้มากแล้ว"
"อย่ามาทำน้ำเสียงดูหมิ่นข้าเช่นนั้น" ยิ่งกล่าวเหอชินรุ่ยก็ยิ่งไม่พอใจ

หยางติงลดการโต้เถียงรุนแรงด้วยการถอนหายใจหนัก ๆ "สงครามเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจเลือกฝ่ายได้เพียงเห็นว่าเป็นญาติ หรือที่ตั้งอยู่ใกล้กับใครมากกว่า ที่สำคัญคือข้ามิต้องการเป็นผู้ชักนำสงครามเข้ามาในบ้านของตนเอง "
"ดี" เหอชินรุ่ยกล่าวเสียงหนัก ๆ "เช่นนั้น หากพี่ใหญ่พ่ายแพ้ต้องถูกประหารทั้งตระกูล ท่านก็มิต้องสนใจข้า"
"ท่านแม่" ลูกชายทั้งสามคนกล่าวพร้อมกัน
"ฮูหยิน เมื่อเจ้าแต่งเข้าตระกูลหยาง ก็ย่อมเป็นคนของตระกูลหยาง"
แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางยังคงใช้แซ่เหอ หาได้ใช่แซ่หยาง
"ข้าคือเหอชินรุ่ย" นางเชิดหน้าขึ้นสูง
ความภาคภูมิใจนี้ ต่อให้กลายเป็นวิญญาณ นางก็จะพามันไปกับนางด้วย

เพราะเรือนรับรองหลังนี้เป็นเรือนโล่ง เมื่อออกมาอยู่ด้านนอก แม้จะมิได้ยินเสียงสนทนาตลอดข้อความ แต่ก็ยังเห็นสีหน้าท่าทางของเหอชินรุ่ยฮูหยินเจ้าเมืองลั่วอย่างชัดเจน
พ่อบ้านจวนเจ้าเมืองเกรงว่าแขกของคุณชายใหญ่จะรู้สึกอึดอัดใจ ที่เมื่อมาถึงก็พบกับท่าทีของฮูหยินเจ้าเมืองเป็นเช่นนี้ จึงชวนคุยและไต่ถามว่ายังต้องการผลไม้อีกหรือไม่ 
"คุณชายน้อยยังไม่อิ่มใช่หรือไม่ ข้าน้อยจะให้คนรับใช้ไปนำผลไม้มาอีก"
ลู่พยักหน้า แต่ดวงตาสีทองจับจ้องการเคลื่อนไหวของฮูหยิน
นานกว่าหนึ่งก้านธูป เหอชินรุ่ยจึงกลับไปด้วยท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมาก บรรดาคนรับใช้ของนางที่อยู่ในกลุ่มผู้คนที่ด้านนอกเรือนรับรอง จึงพากันกลับไปด้วย
เมื่อทุกคนกลับเข้ามาในเรือนอีกครั้ง หยางติงจึงกล่าวขึ้น
"แจ้งข่าวออกไป อีกสองวันข้าจะยกตำแหน่งเจ้าเมืองให้หยางหลง"

บรรดาคนรับใช้ที่ฟังอยู่ รู้สึกแปลกใจที่หยางติงให้เวลาเพียงสองวัน แต่หากถามว่าการมอบตำแหน่งครั้งนี้แปลกไหม ควรตอบว่ามิแปลก เพราะเมืองลั่วสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองให้กับบุตรคนโตมาสามชั่วคนแล้ว
หยางหลงอยู่ในตำแหน่งว่าที่เจ้าเมืองตั้งแต่ในวันแรกที่หยางติงรับตำแหน่งเจ้าเมืองอยู่แล้ว  ดังนั้นหากจะมอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้อย่างเป็นทางการ ก็นับว่าเหมาะสมอย่างยิ่ง
หยางเฉิง หยางไห่ และทุกผู้คนในที่นี่ ต่างยกจอกสุราแสดงความยินดีต่อว่าที่เจ้าเมืองคนใหม่

"แม่ข้าก็ทะเลาะกับพ่อบ่อย ๆ" ลู่พูดแทรกขึ้น "แม่บอกว่า พ่อชอบสร้างเรื่อง พวกเขาแยกกันอยู่ด้วย"
น้ำเสียงเล็ก ๆ นั่น ทำให้ความตึงเครียดผ่อนคลาย
"พ่อมาหาข้าบ่อย ๆ แต่มาทีไร แม่ก็โมโหทุกที แต่ถ้าเดือนหนึ่งไม่มา แม่ก็โมโหอยู่ดี"
ลู่หันไปมองหยางติง "พ่อบอกว่า ตราบใดที่แม่ยังโกรธพ่ออยู่ แสดงว่าพ่อยังอยู่ในหัวใจของนาง แต่ถ้าเมินเฉยเมื่อใด ก็ค่อยหลั่งน้ำตา"
หยางไห่ที่พยายามกลั้นหัวเราะมาตั้งแต่คำแรกที่ลู่เอ่ยปาก ถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหว ปล่อยเสียงหัวเราะดังก้อง พาให้ทุกคนพลอยหัวเราะตามไปด้วย
"แล้วข้าควรทำอย่างไร" หยางติงถาม ความหนักใจทั้งมวลล้วนหายไป เมื่อเด็กหนุ่มผู้นี้เอ่ยคำ
"สละตำแหน่งแล้วก็พากันไปพักผ่อนสิ ไปพักที่บ้านข้าก็ได้ จะบอกพี่หญิงกวางไพลินให้ช่วยดูแล แต่เรื่องนี้บอกแม่ข้าไม่ได้เท่านั้นแหละ"
"เหตุใดจึงบอกไม่ได้" หยางหลงถามขึ้น ขณะที่รับผลไม้ที่ลู่กินหมดจนเหลือแต่เม็ดมาวางในจาน แล้วหยิบผลใหม่ให้
"บอกไม่ได้" ลู่หันไปบอกกับหยางหลงอย่างจริงจัง "เพราะข้าหนีแม่มา"

....จบบทที่หนึ่ง...

หายไปนานมากเลยเนอะ คิดถึงกันไหม แวะมาอ่าน แวะมาคุยกันบ้างนะ
ไจฟ์และทีครับ


 ภาคกวางทอง
บทที่หนึ่ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3529754#msg3529754)  บทที่สอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3537388#msg3537388)   บทที่สาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3545241#msg3545241)   บทที่สี่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3552334#msg3552334)   บทที่ห้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3557795#msg3557795)   บทที่หก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3566765#msg3566765)   บทที่เจ็ด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3573308#msg3573308)   บทที่แปด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3578798#msg3578798)  บทที่เก้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3585648#msg3585648)  บทที่สิบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3594187#msg3594187)  บทที่สิบเอ็ด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3599802#msg3599802)  บทที่สิบสอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3607658#msg3607658)  บทที่สิบสาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3614650#msg3614650)   บทที่สิบสี่ จบภาคกวางทอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3625914#msg3625914)
ตอนพิเศษหนึ่ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3630352#msg3630352) //  ตอนพิเศษสอง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3633059#msg3633059) //  ตอนพิเศษสาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3637527#msg3637527) //  ตอนพิเศษสี่  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3641225#msg3641225)
ภาคเทพเสือโคร่งภูผา
บทที่สิบห้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3642844#msg3642844)  บทที่สิบหก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3650120#msg3650120)  บทที่สิบเจ็ด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3658047#msg3658047)  บทที่สิบแปด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3666420#msg3666420)  บทที่สิบเก้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3676190#msg3676190)  บทที่ยี่สิบ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3684736#msg3684736)  บทที่ยี่สิบเอ็ด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3693488#msg3693488)  บทที่ยี่สิบสอง  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3701587#msg3701587)  บทที่ยี่สิบสาม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3709333#msg3709333)  บทที่ยี่สิบสี่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3717737#msg3717737)  บทที่ยี่สิบห้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3733579#msg3733579)  บทที่ยี่สิบหก  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3749518#msg3749518)   บทที่ยี่สิบเจ็ด  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3771264#msg3771264)   บทที่ยี่สิบแปด  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3801547#msg3801547)   บทที่ยี่สิบเก้า  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3822037#msg3822037)   บทที่สามสิบ  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3837577#msg3837577)   บทที่สามสิบเอ็ด  (https://https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3858011#msg3858011)   บทที่สามสิบสอง  (https://https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3863626#msg3863626)
นกยูงทอง
 ตอนที่หนึ่ง  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3879874#msg3879874)   ตอนที่สอง  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3884762#msg3884762)

ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สามสิบสาม (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3887393#msg3887393)  บทที่สามสิบสี่ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3891668#msg3891668)  บทที่สามสิบห้า  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3893348#msg3893348)  บทที่สามสิบหก  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3895923#msg3895923)   บทที่สามสิบเจ็ด  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3900172#msg3900172)  บทที่สามสิบแปด  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3901960#msg3901960)   บทที่สามสิบเก้า  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3906031#msg3906031)   บทที่สี่สิบ (ตอนจบ)  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56854.msg3909472#msg3909472)
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 08-12-2016 07:20:49
ว่ากันด้วยเรื่องของผู้หญิงกับการปกครองบ้านเมืองนี่ ตกม้าตายมาหลายคนแล้วนะ ถูกจริตมากกับนิยายเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-12-2016 08:46:09
จินลู่มีพ่อเป็นเทพเสือโคร่ง แม่เป็นเทพกวางเหรอ
ไม่รู้ว่าไอเดียพาเมียไปตากอากาศที่ป่าสีทองจะเป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือเปล่านะ (ก็แม่คุณรักบ้านเมืองรักพี่ตัวเองอาจถึงขั้นคลั่งขนาดนั้น)
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 08-12-2016 08:56:27
ว้าววว เรื่องใหม่ของไจฟ์ที ^_^
ขอแปะก่อนค่ะ ขอมาอ่านและเมนท์ตอนเย็นนะคะ
^__^
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 08-12-2016 09:23:12
หยางเฉิง ท่าทางจะสนใจลู่นะ
ดีเหมือนกันที่หยางติงยกเมืองให้ลูกชาย หยางหลง
คราวนี้แม่จะมาวุ่นวายการปกครองของลูกอีกหรือไม่
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 08-12-2016 09:35:29
นี่มัน นี่มัน โอ้วววววววววววววว ! งานดีๆ

กำลังคิดเหมือนกันว่าคุณเสือที่โผล่มาตอนต้นนั่นคือท่านพ่อรึเปล่านะ?

รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 08-12-2016 09:37:29
สนุกเกินคาด รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 08-12-2016 09:39:28


ติดตามค่ะ ^^  :กอด1:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 08-12-2016 10:01:17
ตอนเเรกเกือบท้อเพราะชื่อตัวละครที่โผล่มากันมากมาย เเต่พอตัวเอกออกมา....ทุกสิ่งก็หายไป เจ้ากวางน้อยยย...ท่าจะซนนะเนี่ยะ

ขอบคุณนะคะที่กลับมา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 08-12-2016 10:15:29
มาฝากตัวเป็น fc เจ้าค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 08-12-2016 10:21:29
ลู่น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-12-2016 11:00:24
 :mc4:  มาแล้วเรื่องใหม่

ลู่น้อยแลดูจะซนนะนั่น แต่ไม่เชื่อหรอกว่าลู่น้อยจะด้อยพลัง รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 08-12-2016 11:28:03
ลู่ทำไมหนีแม่เทพกวางออกมาระวังจะโดนแม่ตีเอานะ :mew1: :mew1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 08-12-2016 13:03:49
กรี๊ดดด วันก่อนกำลังคิดถึงไจฟ์ทีอยู่เลย รอว่าเมื่อไรเรื่องใหม่จะมา นี่เซอร์ไพรส์และดีใจมากๆ เลยค่ะ ขอตัวไปอ่านก่อนนะคะ ^____^

edit +++

อ่านแล้วต้องก้มลงกราบ เรื่องนี้สนุกมากๆ เลยค่ะ ทุกอย่างลงตัว น้องลู่น่ารักมากๆ เป็นมฤคีน้อยที่ย่องหนีแม่ออกมาเที่ยวเล่นสินะ ชอบภูมิหลังและพื้นหลังเกี่ยวกับสงคราม civil war ในเรื่อง และยิ่งชอบตำนานเล่าขานเกี่ยวกับป่าสีทองอีกด้วย

มิพักต้องพูดถึงฝ่ายพระเอกที่มีบุคลิกน่าสนใจ ทั้งหยางหลง หยางเฉิง และหยางไห่ แต่ที่แน่กว่าอะไรทั้งหมด มฤคีน้อยน้องลู่นั้นทำให้ใจของบางคนแกว่งไกวไปเรียบร้อยแล้วค่ะ  :mew1:

นี่นับเป็นการปูพื้นเรื่องที่ทำให้น่าติดตามจริงๆ รับรองจะอยู่หน้าจอรอวันอ่านทุกๆ ตอนเลยค่า

ขอบคุณไจฟ์กับน้องที
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-12-2016 14:52:24
ดีงามต่อใจเหลือเกิน

กวางน้อย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 08-12-2016 19:16:06
ชอบตอนลูกกวางน้อยเดินเก้ๆกังๆไปอ้อนพ่อเสือ..น่ารัก

อยากเห็นอิมเมจลู่.

ตอนอิมเมจอาเม่ย จาก All of me  อันนั้น มันใช่มาก ชอบสุดๆ

 :L1: :L1:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Nathi ที่ 08-12-2016 20:08:37
แค่ตอนแรกก็ดีต่อใจแล้ววว ชอบแนวนี้มากก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 08-12-2016 22:11:18
 o13
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 08-12-2016 23:36:53
รออ่านกวางน้อยตาสีทองตอนต่อไป  :katai4: :really2:
เนื้อเรื่องสนุก ชอบค่ะ
ตอนแรกกลัวว่าจะจำชื่อยาก
แต่อ่านๆไป คุณไจฟ์กับน้องทีเลือกชื่อที่จำง่ายดีค่ะ

จะมาอัพทุกวันพฤหัสหรือเปล่าคะ

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ゚゚ღ✿ศิลินส์✿ღ゚゚ ที่ 09-12-2016 00:41:36
พุ่งมาอย่างแรงเมื่อเห็นชื่อคนแต่ง

เป็นแนวที่ชอบมากเลยอ่ะ

รออ่านตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 09-12-2016 03:08:32
น่าจะให้หยางติงเสกเด็กเข้าท้องเหอชินรุ่ยอีกสักคนนะ นางจะได้เลิกวุ่นวายกับกิจการงานเมือง :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: QueenPedGabGab ที่ 09-12-2016 06:03:26
จินลู่ น่ารัากกกกกก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 09-12-2016 15:59:54
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

คิดถึงนะคะ  แต่อ่านรวดเดียวไม่ไหว  ตาลาย
(วุ้นตาเสื่อมนี่มันทรมาน และเสียอรรถรสในการเสพนิยายจริงๆ)
จะค่อยๆ อ่านวันละนิด อ่านจบบทแล้วจะมาคุยต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 09-12-2016 18:44:42
เอาล๊อคอินใหม่มาเจิมนิยายใหม่ ไจฟ์ที ^_^
เนื่องจากของเก่าลืมรหัส  :เฮ้อ:

มาติดตามกวางน้อยด้วยคน  :กอด1:
ขออ่านก่อน อิอิ

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-12-2016 19:35:42
เจาะไข่รีบน
ดีใจ นานน๊านนานถึงจะมีไข่มาให้เจาะ
คริคริ

ขอบคุณทุกคนเลย ที่แวะมาอ่านกัน ขอบคุณๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 09-12-2016 21:29:21
ติดตามๆๆๆ กวางน้อยด้วย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: jiki ที่ 09-12-2016 22:24:04
เสน่ห์ของเรื่องสั้นของไจฟ์ทีอยู่ที่สร้างตัวละครได้ดูมีสเน่ห์ ชวนให้รักและเอ็นดูนะ

เรื่องเก่าๆจะเน้นที่ตัวละครตัวเล็กๆ ในสังคมจุดเล็กๆ พูดถึงองคืประกอบและบริบทแวดล้อมไม่มาก

เรื่องอาเม่ยเราไม่ได้อ่าน ข้ามมาอ่านเรื่องนี้เลย

เรื่องนี้เริ่มที่การพูดถึงโลกของตัวละครในมุมกว้าง แล้วค่อยๆซูมเข้ามาหาตัวละครที่ต้องการ ซึ่ง เราอ่านแล้วยังงงๆความสัมพันธ์ของตัวละครอยู่เลย

พออ่านไปถึงหยางหลงจะหัวใจวายตาย....น่าร๊ากกกก
การใช้คำพูด กับ ลักษณะของการกระทำของตัวละครมันมีเสน่ห์นะ เราชอบ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 09-12-2016 22:50:35
ชอบตรงนี้ค่ะ "พ่อบอกว่า ตราบใดที่แม่ยังโกรธพ่ออยู่ แสดงว่าพ่อยังอยู่ในหัวใจของนาง แต่ถ้าเมินเฉยเมื่อใด ก็ค่อยหลั่งน้ำตา"

เขียนตัวจินลู่ได้น่ารักจังค่ะ แค่กิริยาการกินผลไม้ก็น่ารักแล้ว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 09-12-2016 23:15:30
ดีงามต่อใจ แต่อย่าทำลายใจดวงน้อยๆของคนอ่านนักนะคะ กลัวมาม่าคุณแม่จัง เครียดขนาดไหนก็ได้แต่อย่าทำอะไรน้องกวางกะบ้านน้องกวาง  ส่วนแม่เหอซินรุ่ย ถ้าเธอคิดจะเป็นเหอซินลุ่ยก็อย่ามายุ่งกะเมืองลั่ว เมืองลั่วเป็นของท่านหยางติง อ่านแล้วอยากดีดคุณแม่มากค่ะ โมโหจริงๆ #อิน ไม่ชอบคนรั้นแบบโง่ๆ มันน่ากระ....@#%&*-+=%#&@%#**#  :fire:

ป.ล.ขออภัยอินจัด 555 พอดีช่วงนี้เจอคนรั้นแบบโง่ๆใส่บ่อย พอมาเจอในนิยายแล้วก็รมณ์เสีย คนแบบนี้ทางที่ดีไม่ต้องไปสอนไรมาก ถีบลงเหวไปเลยง่ายสุด (นอกเรื่องไป 555)

รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 09-12-2016 23:28:31
อ่านจบแล้ววว 

พอจะเมนท์ถึงลู่ เกือบจะพิมพ์เป็นอาลู่  สงสัยติดมาจากอาเม่ย  :mew1:

ก็ว่าอยู่ ว่าทำไมลู่ออกจากป่ามาง่ายๆ หนีแม่มานี่เอง ซนนะเจ้ากวางน้อย ^^



ปล.1   เป็นเกียรติอย่างสูงได้รับการเจาะไข่จากเจ้าของเรื่อง 555

ปล.2     เราชอบมาเมนท์รีพลายใหม่  จะไม่ไปอีดิทเมนท์เดิม ส่วนนึงคือกลัวเจ้าของเรื่องไม่เห็น อิอิ

ขอบคุณไจฟ์ทีมากค่ะที่มาลงเรื่องใหม่  :กอด1:
 :pig4:




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 10-12-2016 11:37:54
มาเก็บรายละเอียดอีกรอบ  ตัวละครเยอะจำชื่อยังไม่หมด
แต่ตอนนี้จำได้แค่จินลู่ กับหยางหลง 
อ่านรอบแรก ..เข้าใจว่าหยางติง แต่งตั้ง คนอื่นที่เป็นพี่คนโต
ซึ่ง.. อ๋อ ก็คือหยางหลงนั่นแหล่ะ  พี่คนโต  555
รอตอนต่อไป อิอิ
 :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 12-12-2016 10:16:35
 :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:

ฉลองเรื่องใหม่  :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 12-12-2016 19:32:53
ตอนที่สองมาเมื่อไหร่หนอ รออ่านอยู่เน้อ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 13-12-2016 14:22:50
อ่านจบบทแล้ว...ลู่น่ารัก น่าตีจริงๆ
"บอกแม่ข้าไม่ได้เท่านั้น เพราะข้าหนีแม่มา"
น้องไม่ผิด น้องแค่เดินตาม และมาขึ้นม้ากับผู้ชายเท่านั้น 555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 13-12-2016 16:04:21
สัญญาน้ำชาไว้ตั้งแต่วันพฤหัสบดีว่าจะเข้ามาบวก เจิมเปิดเรื่องใหม่ เพิ่งได้เข้ามาวันอังคาร แฮะ ๆ  :mew2:
พี่บวกไว้ก่อน อ่านจบจะมา Comment อีกทีนะครับ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 13-12-2016 17:09:25
"เพราะข้าหนีแม่มา"จากจุดนี้เหมือนงานจะเข้าถ้าแม่จับได้ 555++

 :pig4: ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 13-12-2016 22:05:45
รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 14-12-2016 11:23:02
น้องลู่เป็นลูกครึ่งเสือเทพกับกวางเทพ อย่างงี้หยางหลงก็งานหนักเลยสิ พ่อตาเป็นเสือเทพ โอ้ว ทำลูกเค้าเสียใจนี่ตายสถานเดียว

คำที่คิดว่าผิด

ขณะที่การกำหนดขอบเขตพื้นทีของหัวเมือง             ที่

หยุดพักม้าอยู่ที่ชานป่าสีทอง
พักกันอยู่ที่เขตชานป่า                                    ชายป่า ? หรือตั้งใจใช้คำนี้หรือเปล่า เพราะปกติ ชาน จะเห็นใช้กับชานเมือง ชานเรือน

จิ้งจอกไฟที่วิ่งไปอีกซ้ายมือ                            ไปทาง ?

หยางหลงไม่อยากเอ่ยคำลา แต่ก็มิแน่ใจว่าจะกลับมาที่ป่าสีทองได้อีกเมื่อใด   
ประโยคที่สองเป็นคำตอบของประโยคแรก ไม่น่าเชื่อมด้วย แต่ น่าจะเป็น เพราะ

จากนั้นก็เดินเล่นเข้าไปในป่า                         เข้าไปเดินเล่นในป่า ?

และทางเดินที่ยอดยาวไปสู่ห้องสมุด                      ทอดยาว

แทนข้าผู้เป็นเจ้าเมืองเช่นนี้เหมาะสมแล้วแล้วหรือ      เหมาะสมแล้วหรือ

เหอชินรุ่นเชิดคางขึ้นสูง                                      เหอชินรุ่ย

การค้าของเราไปด้วยดี                                              เป็นไปด้วยดี ?

แต่หากถามว่าการมอบตำแหน่งให้หยางแปลกไหม           หยางหลง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 14-12-2016 15:46:40
ก๊อกๆๆ เข้ามารอค่า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 14-12-2016 17:03:58
 :mew3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 14-12-2016 21:42:12
เราตอบใต้เมนท์ไม่เป็นอ่ะ คือจากเมนท์คุณข้างบน
ทำไมเราไม่รู้สึกว่าเป็นการเขียนผิด แต่มันคือสำนวนการเขียนของคนแต่งอ่ะค่ะ
เราเข้าใจถูกใช่ป่าว. รอคนแต่งมาตอบ อิอิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Nathi ที่ 14-12-2016 22:58:35
วันนี้จะมามั้ยหนอ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 15-12-2016 07:14:41
 :katai5: :katai5: :katai5:

เข้ามารอกวางน้อยยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 15-12-2016 14:45:48
 วันนี้จะมาไม๊น๊อออ :m5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 15-12-2016 22:21:12
แอบมาส่องอยู่ตรงชายป่า อิอิ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 15-12-2016 23:14:26
สนุกกก น่าติดตามมากกก
ถือว่าเจ้าเมืองลั่วอะลุ่มอล่วยมากแล้วนะ มีฮูหยินที่คิดถึงแต่บ้านเกิดตัวเอง
ไม่ใส่ใจคนอื่น บ้านเมืองสามีจะเป็นไงก็ช่าง เอามาจากที่ไหนก็ควรไปคืนที่เดิมมากๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 15-12-2016 23:23:41
คิดถึงแรงงงงงงงง สมกับเป็นไจฟ์ที แค่ชื่อเรื่องก็กดแล้ว มาเห็นว่าเป็นใครเขียนอีกนี่....รออะไรละค้าบบบบ
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 18-12-2016 08:25:19
ภาคกวางทอง

บทที่สอง

ภายในจวนเจ้าเมืองลั่วที่ปลูกสร้างอย่างร่มรื่น หยางติงเจ้าเมืองลั่ว และเหอชินรุ่ยผู้เป็นฮูหยินเจ้าเมือง ย่อมพำนักอยู่ที่เรือนหลังใหญ่ของจวนเจ้าเมืองที่ถูกเรียกว่าเรือนต้นสน
ส่วนเรือนที่พักของหยางหลงอยู่หลังถัดไป มีชื่อว่าเรือนต้นส้ม เป็นเรือนพักสองชั้น และมีสองห้องนอนใหญ่
ห้องหนึ่งเป็นห้องพักของหยางหลง ส่วนอีกห้องเป็นของฮูหยินที่พักอยู่กับบุตร

ลู่งงงัน เมื่อเดินตามหยางหลงมาถึงเรือนพักหลังนี้ แล้วพบว่ามีสตรีผู้หนึ่งกับเด็กชายสองคนในวัยหกขวบ และห้าขวบรออยู่

"นี่คือหลิวเพ่ยหลิงภรรยาของข้า แล้วนี่บุตรชายสองคนของข้า หยางเจียเจิงกับหยางเจิ้นขุย" หยางหลงเองก็ไม่เข้าใจตนเอง ว่าเหตุใดการแนะนำครอบครัวของตนเอง จึงมีความรู้สึกลำบากใจเจือปนอยู่ด้วย "เรียกเจิงเอ๋อร์กับขุยเอ๋อร์อย่างที่ข้าเรียกก็ได้"

ลู่ได้ยินคำแนะนำนั้น แต่ที่ยังมีสีหน้าไม่เข้าใจก็เพราะตระหนักว่าในที่นี้มีบางคนบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
ความไม่เข้าใจนี้ไม่เกี่ยวอันใดกับการที่หยางหลงมีครอบครัวแล้ว
กล่าวกันตามตรง หยางหลงเองก็อายุมิใช่น้อยแล้ว หากไม่มีครอบครัวนั่นต่างหากจึงเป็นเรื่องแปลก....

ตัวคำถามที่กำลังวิ่งวุ่นวายอยู่ในสมองของลู่เกิดจากภาพของครอบครัวที่อยู่ตรงหน้า มีบางคนในกลุ่มนี้ที่ไม่ถูกต้อง ส่วนจะไม่ถูกต้องอย่างไรนั้น ลู่ยังตอบไม่ได้ สิ่งเดียวที่ทำได้เวลานี้คือการกล่าวโทษความอ่อนด้อย เบาปัญญาและไม่รู้จักฝึกฝน
แต่แม้จะรู้สึกถึงความผิดปกติ รู้ว่ามีบางคนที่ไม่ถูกต้อง แต่ลู่ก็รู้เช่นกันว่าไม่ควรปากเบาถามโพล่งออกไปต่อหน้าทุกคนโดยเฉพาะต่อหน้าเด็ก ๆ
เราไม่ควรแสดงความก้าวร้าวต่อหน้าเด็ก ๆ...หรือมิใช่...

ส่วนหลิวเพ่ยหลิงเมื่อเห็นท่าทีของลู่ที่มองพวกนางทั้งสามคนแม่ลูกสลับกันไปมา แล้วหันไปมองสามีด้วยสายตาที่มีคำถาม ส่วนสามีของนางเองก็เห็นว่ามีท่าทีแปลก ๆ คล้ายมีความลำบากใจที่จะแนะนำครอบครัว นางก็คิดร้อนตัวและกังวลว่าลู่อาจรู้เรื่องบางอย่างที่จะทำให้ดูหมิ่นนางได้
แต่อีกใจก็ยังเชื่อว่าสามีมิได้บอกกล่าวเรื่องราวนั้นกับคุณชายลู่ผู้นี้

หยางเจียเจิงและหยางเจิ้นขุย เด็กน้อยที่ไม่มีเรื่องราวในใจ เมื่อได้พบกับแขกที่มีอายุน้อยเช่นคุณชายลู่ หลังทักทายตามมารยาทก็ชักชวนไปเล่นด้วยกัน แต่หยางหลงแย้งว่าค่ำแล้วขอให้พูดคุยกันอยู่ในที่นี้ก่อนเถิด

ผู้ที่ไม่มีความสับสนวุ่นวายใจก็สามารถเปิดใจต่อกันได้อย่างไม่มีเงื่อนไข
แต่ผู้ใหญ่สองคนต้องพยายามรักษาอาการผิดปกติของตน

หลิวเพ่ยหลิงคิดคำนวนในใจว่า หยางหลงอายุยี่สิบหกปีแล้วและต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงบ่อย ๆ ขณะที่คุณชายลู่ผู้นี้มีอายุประมาณสิบสี่หรือสิบห้าปี หากจะมีความผูกพันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับหยางหลงโดยตรง อาจเป็นญาติทางฝ่ายท่านปู่ หรือท่านอาของหยางหลงที่อยู่ในเมืองหลวง ซึ่งหยางหลงพักอยู่ด้วยเมื่อครั้งที่เดินทางไปติดต่อราชการ จึงมีความเป็นไปได้ที่อาจถูกขอติดตามกลับมาท่องเที่ยวเมืองที่เป็นบ้านเกิดของบรรพบุรุษ
แต่หากเป็นเช่นนั้นสามีก็น่าจะแนะนำตามตรงว่าเป็นน้องหรือหลานจากเมืองหลวง
หรือว่า.....
หลิวเพ่ยหลิงกำลังคิดไปถึงหยางติงเจ้าเมืองลั่วบิดาของสามี ที่มักเป็นผู้เดินทางไปเจรจางานที่เมืองหลวงด้วยเองในช่วงก่อนหน้านี้....

ยิ่งการที่บุตรสองคนซักถามคุณชายลู่ว่าเดินทางมาโดยลำพังหรือ แล้วบิดา มารดาไปไหน แล้วลู่ตอบว่าเดินทางมาโดยลำพัง นางก็ยิ่งรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย
"ไว้มาเล่นกันต่อในวันพรุ่งนี้ดีไหม" หยางหลงบอกกับบุตรทั้งสอง หลังจากที่ปล่อยให้เล่นด้วยกันอยู่ครู่หนึ่ง "พี่ลู่ของพวกเจ้าเพิ่งเดินทางมาถึง ท่านปู่ก็รั้งให้อยู่พูดคุยเป็นเวลานาน พวกเจ้าทั้งคู่เองก็ควรไปล้างมือล้างหน้าเข้านอนได้แล้ว" หันมากล่าวกับลู่ "ข้าจะไปส่งเจ้าที่เรือนรับรองดอกโบตั๋น"
ลู่พยักหน้าเห็นด้วย หยางหลงก็หันไปกำชับฮูหยินให้พาบุตรเข้านอนก่อน บอกว่าเมื่อส่งลู่แล้วก็จะรีบกลับมา
"คุณชายลู่พักผ่อนให้สบาย หากขาดตกบกพร่องสิ่งใดก็ขอให้บอกนะเจ้าคะ" หลิวเพ่ยหลิงกล่าวด้วยสีหน้าและรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมีน้ำใจและอ่อนโยน ซึ่งขัดกับความคิดกังวลที่ซ่อนอยู่ในใจ

ลู่น้อยที่เพิ่งพบเจอความสับสนวุ่นวายในใจมนุษย์เป็นครั้งแรก ในวันแรกของการอาจหาญหนีมารดาออกมาจากป่าสีทอง กำลังยอมรับอยู่ในใจว่าการจัดการความคิดเมื่อต้องเผชิญกับผู้ที่ซ่อนคำ ซ่อนสีหน้าไว้อย่างมิดชิดนั้นช่างยากนัก จนมิรู้ว่าควรจะมีปฏิกริยาตอบกลับไปอย่างไรดี

จากเหอชินรุ่ยมาจนถึงหลิวเพ่ยหลิง พวกนางล้วนให้ความรู้สึกถึงความซับซ้อนในใจ ความสับสน ความกังวลที่แสนจะวุ่นวาย เบื้องหน้าพวกนางเป็นอย่างหนึ่งแต่ในใจเป็นอย่างหนึ่ง
ลู่ตบหน้าผากเบา ๆ สั่งตนเองว่าเมื่อมิรู้ว่าควรทำอย่างไรก็สมควรประหยัดถ้อยคำไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด หากปากเบาโพล่งออกไป ว่าข้ารู้ว่าท่านกำลังโกหก แต่ไม่รู้ว่าโกหกเรื่องใด ใครที่ไหนเขาจะเชื่อ....

ดังนั้น เมื่อหยางหลงบอกว่าจะพาไปพักผ่อน ลู่จึงพยักหน้า แล้วหันไปกล่าวคำขอบคุณในความมีน้ำใจของหลิวเพ่ยหลิง และสองพี่น้องเจิงเอ๋อร์และขุยเอ๋อร์โดยที่ไม่ค่อยเต็มคำสักเท่าใดนัก ไม่สามารถยิ้มกว้างอย่างสดชื่นเหมือนเมื่อตอนที่พบกับหยางติงที่หน้าจวนเจ้าเมือง 

นี่อาจทำให้ดูเป็นกวางทองรุ่นเล็กแห่งป่าสีทองที่ช่างไร้มารยาท แต่ไว้วันพรุ่งนี้อาจมีความคิดที่เฉียบแหลมกว่าเดิม แล้วค่อยมากล่าวคำขอโทษ และยิ้มกว้างเหมือนเคยคงไม่สายไปกระมัง...

เรือนดอกโบตั๋นเป็นเรือนรับรองหลังใหญ่ ที่ผ่านมาจะมีการจัดเตรียมไว้รับรองแขกคนสำคัญในระดับตัวแทนของเจ้าเมือง หรือผู้สำเร็จราชการที่เดินทางมาจากเมืองหลวง เรือนแห่งนี้จึงตกแต่งอย่างสวยงามและทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้พร้อมที่จะรับรองแขกได้ตลอดเวลา 
ที่ด้านหน้าเรือนรับรองที่สวยงามมีคนรับใช้สองคนยืนรออยู่ คนหนึ่งเป็นหญิงสาวอายุสิบเจ็ดปี อีกคนยังเป็นเด็กชายอายุสิบปี
เมื่อมาถึงทั้งสองคนกล่าวคำแนะนำตนเอง
คนพี่สาวคือเซียงเซียงเป็นผู้ที่ดูแลเรือนรับรองแห่งนี้มาโดยตลอด ส่วนอีกคนคือเสี่ยวเป่าซึ่งเป็นน้องชาย คอยช่วยงานทั่วไปในจวนเจ้าเมือง
หลัก ๆก็คือช่วยพี่สาวทำความสะอาดเรือนแห่งนี้ กับช่วยงานบิดาทำความสะอาดห้องสมุด ดังนั้นเมื่อพ่อบ้านจวนเจ้าเมืองเรียกให้มาช่วยงานพี่สาวรับรองแขกที่มากับหยางหลงจึงทำให้เด็กเสี่ยวเป่ายินดีมาก
อารมณ์เหมือนกับได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเลยทีเดียว

เมื่อหยางหลงและลู่เข้ามาในเรือนรับรอง สองพี่น้องก็ล่าถอยไปอยู่ที่มุมห้องเพื่อรอรับคำสั่ง
ชายหนุ่มชักชวนให้ลู่นั่งลงแล้วหันมาถามด้วยความเป็นห่วง เพราะสังเกตว่าตลอดเวลาที่เดินจากเรือนต้นส้มมายังเรือนดอกโบตั๋น คิ้วสวยคู่นั้นขมวดแน่น ทั้งดูความกังวล
"เป็นกังวลเรื่องใดอยู่"
"มิรู้"
"อ้าว งั้นเป็นเช่นใด" หยางหลงซักถาม
ลู่ส่ายหน้า ดวงตาสีทองที่มองมาทำให้หัวใจภายใต้อกหนาเต้นแรง แต่ต้องเสแสร้งว่ามิเข้าใจอาการนั้นของตนเอง
"ลู่" นิ้วมือใหญ่เกลี่ยเส้นผมที่ข้างแก้ม "ขออภัยที่รับรองเจ้าไม่ดีนัก ที่นี่ช่างคับแคบและอาจไม่สะดวกสบาย"

ลู่น้อยส่ายหน้า เพราะความรู้สึกนี้มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับสถานที่ แต่เกี่ยวข้องกับผู้คนที่อยู่รายล้อมหยางหลงต่างหาก
ส่วนความรู้สึกของหยางหลง ต่อให้เจ้าตัวพยายามซ่อนไว้ แต่ลู่ก็ยังรับรู้ได้ ก็เหมือนกับที่ลู่เชื่อมั่นว่าหยางหลงรู้ว่าตนกำลังคิดอะไร
ลู่รับรู้ความรู้สึกที่ดีจากอีกฝ่ายได้ตั้งแต่สบตากันในคราแรก
เป็นความรู้สึกที่เรียบง่าย เข้าใจได้โดยง่ายอย่างยิ่ง

เพราะที่ป่าสีทอง ยังมีความสัมพันธ์อันแสนวุ่นวายของผู้ที่อยู่ที่นั่น ที่ชวนให้ปวดหัวกันอยู่ตลอด
มองดูที่ตัวของลู่เองก็ได้ มิจำต้องมองไปไหนไกล
มันช่างวุ่นวาย ยุ่งเหยิง เกี่ยวพันทับซ้อนกันไปมา จนทำให้เจ้ากวางทองไม่อาจเข้าไปคิดตัดสินว่าใครผิดหรือถูก
บางที....บางทีนะ การที่ลู่มัวแต่ตั้งคำถามว่า ทำไมสตรีทั้งสองคนต้องรู้สึกผิด แล้วทำผิดเรื่องใด ซุกซ่อนปิดบังไว้เพราะอะไร คำถามเหล่านั้นเองที่ทำให้เจ้าตัวไม่เข้าใจ แล้วก็ยิ่งอยากรู้ให้เข้าใจ
....กวางทองตัวน้อยเอ๋ย เจ้ากลายเป็นกวางทองที่อยากรู้เรื่องของผู้อื่นมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด

หยางหลงมองสีหน้าของอีกฝ่ายที่แปรเปลี่ยนไปมา ก็สรุปเอาเองอีกครา
"พักผ่อนก่อนนะ หากมิกล้านอนคนเดียว จะให้เสี่ยวเป่ามานอนเป็นเพื่อนที่หน้าเตียงก็ได้"
เด็กชายตัวอ้วนกลมรีบพยักหน้าเมื่อเจ้านายเรียกใช้ ส่วนหญิงรับใช้ก็ให้คำมั่นว่าจะดูแลลู่เป็นอย่างดี

พี่น้องเซียงเซียงและเสี่ยวเป่าเป็นชาวเมืองลั่ว เมื่อแรกที่ได้ยินว่า หยางหลงพาคนผู้หนึ่งกลับมาด้วย ทั้งคู่ก็มีความสนใจเหมือนกับทุกคน ยิ่งเสียงร่ำลือว่าเป็นเด็กชายผู้มีใบหน้างดงามก็อยากพบ แต่ทันทีที่เห็นดวงตาสีทอง ทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดี และตั้งใจว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
ก็ดวงตาสีทองคู่นั้น คือสัญลักษณ์ของสัตว์เทพแห่งป่าสีทองมิใช่หรือ
ได้ยินเรื่องราวของเหล่าเทพแห่งป่าสีทองมาตั้งแต่เกิด ว่าให้คุณแก่ชาวเมืองลั่วอย่างไรบ้าง แต่มิเคยมีผู้ใดได้พบ เรื่องนี้จึงเป็นดั่งนิทานก่อนนอนของคนต่างถิ่น
แต่สำหรับชาวเมืองลั่ว นี่มิใช่นิทาน เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่สัตว์เทพจะมาปรากฎตัวเท่านั้นเอง
ดังนั้น เมื่อได้พบผู้ที่มีดวงตาสีทองมายืนอยู่เบื้องหน้า สองพี่น้องจึงยินดีจนแทบหมอบกราบ แล้ววิ่งออกไปร้องตะโกนบอกให้คนทั้งจวนได้รับรู้
แต่มิเป็นไร พรุ่งนี้เช้าก็ยังมิสายที่จะไปโอ้อวดกับทุกคน...

"คืนนี้ดึกแล้ว" น้ำเสียงของลู่ช่างแผ่วเบา
"ใช่ คืนนี้ดึกแล้ว ลู่น้อยเด็กดี พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปชมสำนักคุ้มกันภัยของน้องรอง แล้วก็ยังมีโรงบ่มใบชา และร้านอาหารเลิศรสของน้องเล็กอีก เจ้าจะต้องชอบแน่ ๆ"
ลู่มองมาตรง ๆ ดวงตาสีทองคู่นั้นเป็นประกายสะท้อนแสงไฟ

"ลู่"
"ข้าจะไปนอนแล้ว ท่านก็พักผ่อนเช่นกัน"
ลู่หันไปหาเสี่ยวเป่า พยักหน้าให้พาขึ้นไปที่ห้องพัก หยางหลงมองตามจนทั้งคู่ขึ้นไปชั้นบนจึงหันไปฝากไว้กับเซียงเซียงอีกครั้ง โดยเน้นย้ำเรื่องอาหารการกินของลู่ที่แตกต่างจากผู้อื่นทั่วไป จากนั้นจึงเดินกลับมาที่เรือนต้นส้ม

หลิวเพ่ยหลิงพาบุตรทั้งสองคนเข้านอนแล้ว จึงกลับลงมานั่งรอสามีอยู่ที่ห้องชั้นล่าง
"ยังมินอนหรือเพ่ยหลิง"
"ยังเจ้าค่ะ ท่านพี่ไปเมืองหลวงนานเป็นเดือน ยามนี้ท่านกลับมาแล้ว ข้าจะเข้านอนก่อนได้อย่างไร" หลิวเพ่ยหลิงกล่าวยิ้ม ๆ ช่วยถอดเสื้อชั้นนอกของหยางหลงส่งให้คนรับใช้ "น้ำกำลังอุ่นพอดี ท่านพี่เช็ดตัวเลยดีหรือไม่"
หยางหลงพยักหน้า แล้วบอกกับฮูหยินว่าไม่ต้องปรนนิบัติ
แต่สุดท้ายเมื่อเช็ดตัวเสร็จออกมาจากห้องน้ำ หยางหลงก็พบว่าหลิวเพ่ยหลิงก็ยังคงนั่งรออยู่เช่นเดิม ส่วนคนรับใช้กลับไปพักผ่อนแล้ว
"มีเรื่องอันใด" หยางหลงเอ่ยถาม
"มากมายหลายเรื่อง" หลิวเพ่ยหลิงกล่าวพลางรินน้ำชาให้สามี
"เรื่องท่านพ่อกับแม่ของเจ้าที่เมืองหลวงน่ะหรือ"
"นั่นก็เรื่องหนึ่ง"
"อ้อ" หยางหลงพยักหน้า แล้วจิบน้ำชา

บิดาของหลิวเพ่ยหลิงคือรองเสนาบดีฝ่ายขวา ตระกูลหลิวของนางรับราชการมาหลายชั่วอายุคน นางสมรสกับหยางหลงตามคำแนะนำของผู้ใหญ่ เมื่อมีความขัดแย้งอยู่ใกล้บุตรสาว รวมถึงเป็นที่รู้กันดี ว่ามารดาของหยางหลงเป็นผู้ใด รองเสนาบดีผู้เป็นบิดาจึงย่อมมีความเป็นห่วง
"ท่านพ่อที่เมืองหลวงเป็นเช่นใดบ้าง" หลิวเพ่ยหลิงไต่ถาม "หลังจากที่ท่านออกเดินทางไปได้เพียงสองวันก็มีจดหมายจากท่านพ่อส่งมา คิดว่าคนส่งหนังสือคงสวนทางกับท่าน"
หยางหลงพยักหน้า เพราะระหว่างทางไม่พบเจอกับคนส่งหนังสือจากเมืองหลวงเลยสักคน
"ท่านอยากให้ข้าส่งเจ้ากลับไปอยู่ที่เมืองหลวง" รองเสนาบดีหลิวผู้เป็นบิดาของฮูหยิน กล่าวคำนี้เป็นคำแรกเมื่อพบกันที่วังหลวง "เจ้าว่าอย่างไร"
หลิวเพ่ยหลิงส่ายหน้า "ข้าแต่งเข้าสกุลหยาง ก็ย่อมเป็นคนสกุลหยาง" รอยยิ้มของนางยังคงเป็นเหมือนเมื่อแรกพบกันเมื่อสิบปีก่อน "คืนนี้ที่ข้ารอจะพูดกับท่านพี่ก็คือเรื่องนี้ ข้าจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจในเรื่องของท่านแม่ และข้าจะไม่กลับไปอยู่เมืองหลวงกับท่านพ่อ"
"เพ่ยหลิง"

สะใภ้มิควรวิจารณ์มารดาของสามี หลิวเพ่ยหลิงจึงเก็บความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับมารดาของสามีไว้
เพราะความขัดแย้งระหว่างนางกับมารดาของสามีนั้นมิใช่เรื่องเล็ก ต่อให้นางไม่เอ่ยปากก็คาดว่าหยางหลงจะรู้เรื่องอยู่บ้าง
นางเป็นสะใภ้ ตลอดเวลาที่ผ่านมานางทำได้ก็เพียงสงบปากสงบคำ หลีกเลี่ยงการพบหน้ากับมารดาของสามีเพื่อลดความขัดแย้งในครอบครัว
อีกอย่าง นางถูกเลี้ยงดูโดยให้เป็นผู้ตาม ต่อให้มีความเห็นขัดแย้ง ก็ยังมักคล้อยตามผู้เป็นสามีอยู่นั่นเอง
ที่สำคัญเหนือกว่าทุกสิ่ง ก็คือความเมตตาที่หยางหลงมีต่อนางมาตลอดเวลาหลายปี ทำให้นางตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ทำอะไรที่ทำให้สามีต้องลำบากใจ

หยางหลงยกมือขึ้นจะช่วยเก็บผมที่ระแก้มของฮูหยิน แต่นางเอนตัวหลบหนีมือ แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้อีกคนยกมือค้าง
"ข้าจะไปพักผ่อนแล้ว ท่านพี่ก็อย่านอนดึกนัก" หลิวเพ่ยหลิงกล่าวแล้วลุกขึ้น
"เพ่ยหลิง"
ฮูหยินหันมามอง
"เจ้าไม่ถามข้าเรื่องลู่หรือ"
หลิวเพ่ยหลิงยิ้มขำ "กว่าที่ท่านจะมาถึงที่นี่ มีคนรับใช้วิ่งมาบอกเล่าให้ฟังอย่างละเอียดแล้ว"
ต่อให้นางกับลูก ๆ รออยู่ที่เรือนนี้ก็เถิด
หยางหลงยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ฮูหยินรับรู้จะครบถ้วนหรือไม่ "เจ้าเห็นดวงตาสีทองของคุณชายลู่หรือไม่"
หลิวเพ่ยหลิงพยักหน้า "ข้าเห็นแล้ว"
"เจ้าคิดว่าอย่างไร"
หญิงสาวเอียงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ "ไม่คิดอย่างไรนี่เจ้าคะ ผู้คนมากมายที่มีดวงตา สีผิว สีผมที่แตกต่าง ตอนที่อยู่เมืองหลวง ข้ายังมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีดวงตาสีฟ้า เคยพบคนที่มีผมสีทองด้วย"
ชายหนุ่มส่ายหน้า "นั่นคือคนที่มาจากต่างแดน แต่ดวงตาสีทองของคุณชายลู่ คือสัญลักษณ์ของผู้ที่มาจากป่าสีทอง เจ้าเชื่อหรือไม่"
นางยิ้มอ่อนหวานพลางส่ายหน้า "มิสำคัญว่าข้าเชื่อเช่นใด ท่านพาคนมา ทั้งเขายังดูไม่ค่อยแข็งแรง พวกเราดูแลเขาได้"

ไม่ได้สำคัญว่ามาจากที่ใด แต่สำคัญคือคุณชายผู้นี้ สามีของนางพามา แม้ในใจจะรู้สึกหวาดระแวงเพราะนางเป็นคนที่มีความลับ แต่นางก็ยินดีที่จะดูแลเป็นอย่างดี

ทั้งเหอชินรุ่ย และหลิวเพ่ยหลิงต่างก็เป็นคนส่วนน้อยในเมืองลั่ว ที่ไม่เชื่อเรื่องป่าสีทอง และไม่เชื่อว่าสัตว์เทพมีอยู่จริง แต่หลิวเพ่ยหลิงเห็นว่า เมื่อเชื่อถือต่างกันก็ควรหาเรื่องอื่นมาพูดคุยกัน จะได้ไม่มีความขัดแย้ง
แต่ก็ยังมีอีกหลายคนในเมืองลั่ว รวมถึงเหอชินรุ่ยที่มีความเห็นว่า การหลีกเลี่ยงความขัดแย้งนี้ช่างน่าเบื่อหน่าย และเป็นทางเลือกของคนขลาด!

คืนนั้น หยางหลงมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย ตั้งแต่เรื่องการเจรจากับฝ่ายเมืองหลวง ที่จะต้องควบคู่ไปกับการไม่หักหาญฝ่ายเมืองเหอ มาจนถึงเรื่องของลู่
ท่ามกลางแสงจันทร์ และสายลมเย็น หยางหลงมองผ่านเงาไม้ไปที่เรือนรับรอง ที่ตั้งอยู่ห่างออกไป
ภาพที่ติดอยู่ในการมองเห็นก็คือ ดวงตาสีทองคู่นั้น เด็กหนุ่มผู้มีรอยยิ้มสดใส ใบหน้างดงาม ท่าทีที่อ่อนโยน หากแต่มีฝีเท้าที่ไม่มั่นคง การปรากฎตัวของลู่ต้องมีสาเหตุ และหยางหลงคาดหวังว่านั่นจะเป็นเรื่องดี

ท้องฟ้ายังมิทันจะสว่าง สายลมพัดกิ่งไม้อ่อนเอนลู่
จวนเจ้าเมืองลั่วที่ร่มรื่นยังมีสวนสวยงาม พุ่มไม้ดอก สระบัว และปลาตัวใหญ่ในสระ
หยางหลงกำลังจะเดินไปที่เรือนรับรองด้านใน แต่เมื่อเห็นลู่กำลังเดินช้า ๆ จากเรือนรับรองโบตั๋นลงไปหยุดอยู่ที่กลางสนามหญ้า ชายหนุ่มก็หยุดยืนมองไปรอบ ๆ เพื่อหาว่าเซียงเซียงกับเสี่ยวเป่าอยู่ที่ใด เพราะสั่งไว้ว่าให้อยู่รับใช้ แต่ทั้งสองคนก็กลับปล่อยให้ลู่อยู่ตามลำพัง
เมื่อหันมาอีกครา เห็นลู่กำลังเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ยกมือขึ้นคล้ายกำลังไขว่คว้าบางอย่างจากอากาศ อึดใจต่อมามีแสงสีขาวพาดผ่านลงมาที่ด้านหน้าห่างออกไปหลายจั้ง เมื่อแสงนั้นหายไป ชายรูปร่างสูงใหญ่กำยำในชุดสีเหลือง-ดำก็ปรากฎตัวขึ้น ลู่หัวเราะเสียงสดใสรีบวิ่งเข้าไปหาแต่กลับสะดุดล้ม คนรูปร่างกำยำนั้นรีบถลาเข้ามารับ
ในเวลาเดียวกันนั้น หยางหลงวิ่งเข้าหาลู่ที่ล้มลงเช่นกัน แต่ยังช้ากว่าอยู่หลายก้าว

"เจ้าตัวเล็ก แขนขาไม่แข็งแรง บอกว่าอย่าวิ่งก็ไม่รู้จักจำ"
แขนใหญ่ด้วยมัดกล้าม อุ้มลู่ขึ้นมาให้ช้อนนั่งอยู่บนแขนข้างหนึ่งอย่างง่ายดาย ทั้งดูคุ้นเคยดั่งทำเช่นนี้มาตลอด จากนั้นคนตัวใหญ่ถึงได้มองเห็นว่าหยางหลงกำลังวิ่งเข้ามาหา แล้วคุกเข่าลงทำความเคารพ
"นี่ใคร" คนที่อุ้มลู่อยู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร ดวงตาสีทองที่มองมาแหลมคมดั่งมีดหลายสิบเล่ม
"ผู้น้อยหยางหลง เป็นบุตรชายคนโตของเจ้าเมืองลั่ว หยางติงขอรับ"
"อ้อ" หันมาถามลู่ "เจ้าหนีตามคนนี้มาหรือ"
"ฮื่อ" ลู่ยิ้มยิงฟัน ทำให้โดนเขกหัวไปที
"เจ้าตัวซน แม่ของเจ้าเข้มงวดเล็กน้อยก็หนีออกจากบ้าน"
"แม่ให้ขึ้นไปฝึกกับอาจารย์เทพบนยอดเขานั่น นี่หาใช่เรื่องเล็กน้อย" ลู่ทำปากยื่น หาได้รู้สึกผิดสักนิดที่หนีมารดามากับหยางหลง "ทั้งหนาว ทั้งเหนื่อยจะแย่"
"เพ้ย" ครานี้คนตัวใหญ่เสียงดังอย่างขัดใจ "เจ้ายังโตไม่เต็มที่ เขายังไม่ถึงคืบ จะให้ไปฝึกบนยอดเขา แม่เจ้าทำเกินไปแล้ว"

หยางหลงลอบอมยิ้มให้กับบิดากับบุตรคู่นี้
เพราะแม้ถ้อยคำแรกที่บิดากล่าวออกมาจะเป็นคำกล่าวตำหนิ แต่เมื่อบุตรชายบ่นไม่พอใจ ก็เปลี่ยนมาเข้าข้างบุตรในทันที
ดูท่าว่า เหตุที่บุตรเป็นผู้ที่มีอารมณ์ดีไม่รู้สึกทุกข์ร้อน เป็นเพราะขณะที่มารดาเข้มงวด แต่บิดาจะคอยตามใจเช่นนี้เอง

ลู่หันมาเห็นว่าหยางหลงกำลังหันไปอมยิ้มทางอื่น จึงเพิ่งรู้ตัวหันมาแนะนำทั้งสองคน
"นี่พ่อข้าเอง เทพเสือโคร่งภูผา"
หยางหลงทำความเคารพอีกครั้ง
"ลุกขึ้นเถอะ" เทพเสือโคร่งภูผากล่าวแล้วหันมาหาบุตรชาย "พ่อจะพาเจ้ากลับบ้าน"
"ไม่ ยังไม่กลับ"
"ไม่กลับได้อย่างไร แม่เจ้าร้อนใจตามหาเจ้าอยู่" ผู้เป็นบิดาตบอกหนา "พ่อจะออกหน้าให้เอง มิต้องกลัวการลงโทษ อย่างมากก็ไปอยู่กับพ่อสักหลายวัน ดูเถอะว่าสุดท้ายแม่เจ้าก็ต้องมาบังคับให้พ่อส่งเจ้าให้เขาโดยไม่ตีเจ้าสักแปะ"
ผู้เป็นบุตรกลอกตาสองรอบ
....บังคับ หาใช่ร้องไห้อ้อนวอนให้คืนบุตร บิดาของเขาช่างเข้าใจมารดาอย่างแท้จริง....
จากนั้นก็หันไปบอกกับหยางหลงตามตรงว่ามีเรื่องพูดคุยกับบิดา ช่วยก้าวถอยไปสักหลายก้าวได้หรือไม่
หยางหลงทำตามที่ขอ แต่ยังพอได้ยินคำสนทนาบางคำของบิดาและบุตรคู่นี้

"เจ้าเมืองเหอขัดแย้งกับฮ่องเต้ รวบรวมไพร่พลเป็นกบฎ ฮูหยินเจ้าเมืองเป็นน้องของเมืองเหอกดดันให้เมืองลั่วเข้าร่วมเป็นกบฎด้วย แต่เจ้าเมืองลั่วไม่ต้องการทำอย่างนั้น พวกเขาจึงมีความขัดแย้งกัน"
เทพเสือโคร่งภูผามีท่าเคร่งขรึมเมื่อฟังคำสรุปของบุตรชาย
"ท่านพ่อ ท่านช่วยไม่ให้เกิดการต่อสู้กันได้หรือไม่"
"มนุษย์มีการต่อสู้กันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แล้วสามีภรรยาทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปกติ"
"แต่ไม่อยากให้เกิดที่นี่ ท่านหยางหลงอธิษฐาน ข้ารับคำอธิษฐานของเขามา แต่ทำไม่ไหว ให้ท่านจัดการไม่ได้หรือ"
"หากเข้าไปแทรกแซงกับทุกเรื่องของพวกเขา ข้าคงไม่ต้องทำอันใดแล้ว" เทพเสือโคร่งภูผาทำเป็นบ่น ทั้งที่ในใจกำลังลำดับการทำงานหลังจากนี้
ลู่ทำปากยื่น ใช้ไม้ตายด้วยการมองบิดาด้วยสายตาผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง แม้มิได้กล่าวคำใด แต่เพียงเท่านี้บิดาก็พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงรีบรับปากบุตร
"ก็ได้ ๆ ไม่ต้องทำสีหน้าเช่นนั้นเลย"
การทำให้บุตรต้องผิดหวัง เป็นสิ่งที่บิดาอย่างเทพเสือโคร่งภูผารับไม่ได้จริง ๆ
"ข้ายังเด็กอยู่นะ มันยากเกินกำลังของข้า" สายตาผิดหวังนั้นยังไม่จางลงไป
"รู้แล้ว ก็รับปากแล้วไง"
ลู่ยิ้มกว้างกล่าวขอบคุณบิดา แล้วกระซิบถ้อยคำบางอย่างที่มีแต่บิดาได้ยิน
"เรื่องนี้ มันอาจเกินไป แม่เจ้าต้องโกรธมาก"
"ข้าขอเวลาแค่สองเดือนเท่านั้น จากนั้นท่านค่อยมารับข้า"
"แล้วจะให้บอกแม่เจ้าว่าอย่างไร"
"บอกว่าท่านใช้ให้ข้าไปทำงานสิ"
"เพ้ย นี่เจ้ากลายเป็นลูกกวางเจ้าเล่ห์ไปตั้งแต่เมื่อใด"
"ก็มิได้เจ้าเล่ห์สักหน่อย" ลู่ยังคงเถียงบิดาด้วยน้ำเสียงเล็ก ๆ ที่ชวนให้รู้สึกเอ็นดูมากกว่าจะไม่พอใจเพราะความดื้อรั้น 

การสนทนา และท่าทีของบิดาและบุตรช่างมองดูเพลิดเพลิน
แรกนั้นหยางหลงอยากขัดเรื่องที่ลู่ขอให้เทพเสือโคร่งภูผาช่วยแทรกแซงการเมือง แต่เพราะลู่ให้ถอยออกมาแต่แรกนั้นย่อมแสดงว่ามิต้องการให้แทรกแซง จึงได้แต่เอียงหูฟังการสนทนา รอจนกระทั่งเทพเสือโคร่งภูผาปล่อยให้ลู่ลงยืนเอง แล้วเรียกให้เข้าเดินไปหา เพื่อรับฟังคำสั่ง
"ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการ ระหว่างนี้ก็ฝากดูแลด้วย เขา..." เทพเสือโคร่งภูผาใช้วิธีเหลือบตามองขาของลู่ หยางหลงเข้าใจจึงพยักหน้าตอบรับในทันที
"ผู้น้อยจะดูแลเป็นอย่างดีขอรับ"
"อยู่บ้านผู้อื่น ต้องรู้จักเกรงใจ อย่าสร้างความเดือดร้อนรำคาญ อย่าเล่นซนรู้ไหม" เทพเสือโคร่งภูผายังสั่งสอนบุตรชายอีกหลายคำกว่าที่จะจากไป
ทั้งก่อนจะจากไปยังหันมามองอีกครา
มีความรู้สึกว่า จะมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายรออยู่ข้างหน้า
เทพเสือโคร่งภูผาตัดใจ บอกตนเองว่า จะเรื่องใหญ่ขนาดไหน เทพผู้นี้ก็สามารถคลี่คลายได้ทุกคราอยู่แล้ว

....จบบทที่สอง....

จั้งคือมาตราการวัดระยะทางของจีนสมัยก่อน 10 ฉื่อ (ฟุตจีน) เท่ากับหนึ่งจั้ง และ 150 จั้งเท่ากับหนึ่งลี้
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 18-12-2016 09:55:10
 :กอด1:  :L2: ตามอ่านทุกเรื่อง ไม่เคยผิดหวังเลยซักเรื่อง เรื่องนี้เปิดมาได้น่าสนใจ ขอบคุณมากค่ะที่มีเรื่องมาให้อ่านอยู่เสมอๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 18-12-2016 10:00:03
เราตอบใต้เมนท์ไม่เป็นอ่ะ คือจากเมนท์คุณข้างบน
ทำไมเราไม่รู้สึกว่าเป็นการเขียนผิด แต่มันคือสำนวนการเขียนของคนแต่งอ่ะค่ะ
เราเข้าใจถูกใช่ป่าว. รอคนแต่งมาตอบ อิอิ

ไม่ได้บอกว่าน้องเขียนผิด แต่เป็นคำที่พี่คิดว่าผิด เข้าใจตรงกันนะค่ะ นี่เป็นหนึ่งสาเหตุที่ไม่ค่อยอยากเขียนอะไรนอกจากให้กำลังใจน้อง คือพี่เป็นคนอ่านคะ พี่ไม่ใช่คนเขียน ไม่ต้อง comment อะไรพี่นะค่ะ ใจพี่บอบบาง :bye2:

#ปกติ พี่เป็นนักอ่านนิสัยไม่ดีค่ะ ไม่ค่อยจะ comment นิยายใคร ยิ่งตรวจคำผิด ยิ่งไม่เคยทำ แต่เพราะน้ำชาแจ้งไว้ว่าถ้าเจอคำผิดให้บอกด้วย พี่เจอคำที่พี่คิดว่าผิด พี่ก็เลยเขียนบอกน้อง ถ้าสังเกตจะเห็นว่าพี่ใส่ ? ไว้ข้างหลัง นั่นคือพี่ไม่แน่ใจว่าเป็นคำที่เขียนผิด หรือน้องตั้งใจเขียนแบบนั้น ย้ำอีกครั้งว่าเพราะเป็นนิยายของไจฟ์กับน้ำชา พี่ถึงกล้าตรวจและเขียนบอก

พี่ขอโทษไจฟ์กับน้ำชา และคนอ่านทุกคนนะค่ะ ที่ทำให้เสียบรรยากาศในการอ่านคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-12-2016 12:17:53
สนุก  :impress2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่1 (P1-8122559)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 18-12-2016 12:27:22
ชอบโมเม้นพ่อลูกอ่ะ..ดูละมุนดี  :mew3: :mew3:

นี่แอบปันใจไปรอตอนพ่อเเม่เจอกันอย่างใจจดจ่อ :laugh: :laugh:

ขอบคุณนะคะ รอตอนต่อไปเน้อออ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 18-12-2016 13:30:40
แปะก่อนเหมือนเดิม ^^

ปล. คุณ kanatthanit ขอโทษด้วยค่า ไม่ได้หมายถึงว่าเราว่าคุณน๊าาา
ถ้าสื่อสารไปแล้วแล้วทำให้เข้าใจแบบนั้นต้องขอโทษด้วยค่ะ ^^
อย่าคิดมากน๊า    :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 18-12-2016 13:50:43
โอย ชอบเหลือเกินค่ะ รู้สึกว่าคุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ ลู่น้อยช่างน่ารักน่าชัง ดูกระบวนออดอ้อนคุณพ่อของเขาซี อย่างนี้ใครจะทนไม่ช่วยเหลือได้ไหวล่ะ หยางหลงแม้มีภรรยาพร้อมลูกสองแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจห้ามหัวใจตัวเองได้ เพราะความน่ารักของลู่น้อยจริงๆ

รู้สึกเอะใจบางอย่างกับหลิวเพ่ยหลิง คิดว่าหล่อนน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรบางอย่าง ทั้งหล่อนและแม่สามีได้กระทำการอะไรไว้หรือเปล่า?

ท่านเทพเสือโคร่งภูผาได้รับปากกับบุตรชายแล้วว่าจะช่วยให้คำอธิษฐานของหยางหลงเป็นจริง อย่างนี้ civil war ของมนุษย์ก็คงถูก interfere ด้วยท่านเทพสินะ อยากรู้จังว่าจะมีเรื่องราวใดเกิดขึ้นอีกบ้าง

สิ่งที่ชอบอย่างหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือ การพยายามสอน moral ให้ผู้อ่าน คือ เรื่องการประนีประนอม และการไม่ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา ซึ่งแสดงให้เห็นเด่นชัดในทัศนคติของหลิวเพ่ยหลิงที่รอมชอมตลอดเวลา และกรณีของเหอชินรุ่ยที่มักจะทำทุกอย่างเอาตามใจตัว ทั้งยังยอมหักไม่ยอมงอ นี่เป็นการสอนคติโดยแสดงคนสองขั้วให้เห็นได้อย่างดีมากจริงๆ ค่ะ ชอบ

มีอีกเรื่องที่อยากปุจฉา และอยากให้ไจฟ์ทีวิสัชนา คือ เห็นตรงหัวเรื่องเป็น "ภาคกวางทอง" ไม่ทราบว่าเรื่อง "ภากรขึ้นที่ป่าสีทอง" นี้ จะมีภาคอื่นๆ อีกหรือไม่คะ? เหตุที่ถามมิใช่เพราะอื่นใด แต่เพราะชื่นชอบเหลือเกินค่ะ

ขอบคุณค่ะ ^_____^
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 18-12-2016 14:28:45


มีปมปัญหาที่ต้องคลี่คลายเยอะมาก เยอะจนอยากอ่านต่อเร็ว ๆ
นี่ไม่ได้จะกดดันนะคะ แต่มันแปลว่ามันสนุกและชวนให้คิดตาม (และเป็นห่วงลู่) ต่างหาก
รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :กอด1:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-12-2016 14:54:09
พ่อลูกคุยกันน่ารักดี
ว่าแต่ฮูหยินของหยางหลงปิดบังอะไรไว้นะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 18-12-2016 15:20:00
นั่นๆ มีเรื่องให้เราอยากเผือกเยอะเลย ฮ่าๆๆ    :laugh:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 18-12-2016 16:46:13
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา
อดใจไม่ไหว รีบมาอ่านอย่างไวเลย
ผิดไหมว่า อยากมีพ่อแบบเทพเสือโคร่งภูผา เพิ่มอีกคน 555
น้องลู่น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 18-12-2016 17:37:12
เพ้ย! ท่านพ่อต้องขึงขัง ใจคอเด็ดขาด เข้มแข็งสิ!
นี่แค่แววตาลูกกวางน้อย ท่านก็อ่อนเป็นน้ำแข็งละลาย มันใช้ได้ที่ไหนกัน!

ใช่ไหมหยางหลง? อ้าว...หยางหลงตาเชื่อมไปแล้ว....เฮ้อ!
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 18-12-2016 17:55:54
กวางทองตัวน้อย ทำไมน่ารักอย่างนี้ !
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 18-12-2016 21:57:37
ว๊า พี่หยางหลงมีลูกมีเมียซะแล้ว :o :o :o :o :o :o :o

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 18-12-2016 22:15:58
มาจองพื้นที่ก่อน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 18-12-2016 23:03:12
ก่อนอื่นเลย. ขอบคุณที่กลับมาลงนิยายอีกนะคะ คุณไจฟ์กะน้องทีเป็นนักเขียนที่เราชอบและรอคอยอันดับต้นๆเลยค่ะ

เรื่องนีเหมือนยังคงมีกลิ่นอายบรรยากาศคล้ายๆเรื่องที่แล้วนะคะ แต่ยังคงความสนุกน่าค้นหาในแบบของคุณไจฟ์กะน้องทีอยู่
เนื้อเรื่องและภาษายังคงเป็น ไจฟ์style ที่คุ้นเคย

ฉากมุ้งมิ้งของพ่อเสือกะลูกกวางน้อยน่ารักมากๆค่ะ เป็นพ่อเสือที่แพ้ทางลูกมาก

ส่วนคถณเมียของพระเอก ยังแปลกๆไม่น่าวางใจ เราจะคอยจับตาดูต่อไปนะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 19-12-2016 06:03:17
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 19-12-2016 07:06:21
 :impress น่ารัก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 19-12-2016 12:01:10
เริ่มวางเรื่องให้อยากรู้มากขึ้น พ่อลูกเค้าคุยกันน่ารักจังค่ะ แต่ลู่ไม่ซื่อหรอกนะเนี่ย ฉลาดเชียว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-12-2016 13:07:42
มีเงื่อนงำ
ทั้งของหวางหลง ทั้งของภรรยา  :katai1: :katai1: :katai1:
มันยังไงกัน  อยากเผือกซะจริงๆ
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 19-12-2016 16:08:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-12-2016 09:30:40
เป็นพ่อที่ตามใจลูกมากค่ะ 555 ขออะไรให้หมด
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 20-12-2016 09:35:27
ว้าวววว ปมปัญหาให้ขบคิดมาแต่เริ่มเรื่องเลย  :katai2-1:

นี่แอบขำตอนที่เพ่ยเหลิงคิดว่าลู่เป็นลูกชายลับๆของหยางติงการเป็นสามีภรรยาของหยางหลงกับเพ่ยหลิงนี่เชื่อใจกันมากพอดู  แอบสงสารลู่น้อยซะจริง  o6
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 20-12-2016 20:39:00
ตอนใหม่มาแล้ว มาจองที่
ขอติดไว้ก่อน ทั้งอ่านและเมนท์ ^_^

 :3123:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 21-12-2016 10:28:59
ปมเพียบ แต่ไม่เป็นไรเราชอบตอนคลายปม o18
แต่ตอนนี้เราชอบพ่อเสือเข้าแล้ว :mew3:

 :pig4: ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 21-12-2016 20:20:52
ปมเยอะสมเป็นนิยายคุณไจฟ์ที ^^
ชอบคาแรคเตอร์น้องลู่จริงเชียว น่ารัก  :กอด1:

ขอบคุณคนแต่งค่ะ
 :L1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 23-12-2016 22:29:14
 :z2: :katai5: :z2: :katai5:

เข้ามาเเอบดูกวางน้อยว่ามารึยัง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 25-12-2016 11:28:04
 :ling1: : :ling1:

ทำไมยังไม่มาาาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 25-12-2016 12:28:25
มารอกวางน้อย :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 25-12-2016 14:09:42
พ่อเสือก็เท่  แม่กวางก็สง่างาม  ลู่กวางน้อยก็แสนน่ารัก
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกดีจัง
ชอบมากๆเลยค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 25-12-2016 15:25:18
ชอบโมเมนท์พ่อลูก น่ารัก ^^

ตามใจละเกิ๊นนนน 555

แลว่านอกจากท่านพ่อแล้วที่แพ้ทางแล้ว

 ก็มีคนที่กวางน้อยหนีแม่ตามเขามา นี่แหล่ะอีกคนนึง   :mew1:

 :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 25-12-2016 20:03:46
กวางน้อยรับปากบิดาได้ทุกเรื่อง ยกเว้น เคื่องความซนล่ะมั้งงานนี้ // เพ่ยหลิงฉลาดนะ คงไม่ได้เป็นคนร้ายลึกหรอกใช่ไหม? อะไรๆก็ว่าตามสามีคงไม่แทงข้างหลังนะ//
ปล. ขออภัยที่มาช้า ติดภาระกิจหลากหลายมาก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 26-12-2016 17:56:28
เฟสคนแต่งหายไปไหนง่าาาาาา

 :mew4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่2 (P2-18122559)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 28-12-2016 17:23:48
มารออ่านเหมือนเดิม
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 28-12-2016 20:39:37
 ภาคกวางทอง

บทที่สาม


คนงานของเรือนเจ้าเมืองลั่วกำลังวุ่นวายกับการเตรียมงานส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมือง ขณะที่ตัวเจ้าเมือง...ก็ทั้งเจ้าเมืองคนปัจจุบัน และว่าที่เจ้าเมือง เวลานี้กำลังวุ่นวายอยู่กับการที่จะไปสำนักคุ้มกันภัยและเรือนของหยางเฉิง ที่อยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งช่วงถนน
ระยะทางใกล้เพียงแค่นี้ ที่หาได้เกี่ยวข้องกับการจัดงานใหญ่ ทั้งยังเป็นการเดินไปมาหาสู่กันเช่นนี้ทุกวันอยู่แล้ว
แล้วเหตุใดวันนี้จึงวุ่นวายกว่าทุกวัน
ก็เพราะการที่ยามนี้จวนเจ้าเมืองลั่วมีแขกพิเศษมาเยือน
แขกผู้นี้มาถึงตั้งแต่เมื่อวาน ว่ากันว่ามีใบหน้าและรูปร่างงามนัก ที่สำคัญเขามีดวงตาสีทอง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังมิมีผู้ใดที่ได้เห็นดวงตาคู่นั้นชัด ๆ สักคน
มีพี่น้องเซียงเซียงและเสี่ยวเป่า ที่โอ้อวดไปทั่วว่าเห็นดวงตาคู่นั้นชัดเจนยิ่ง แต่สำหรับคนอื่นแล้ว กลับเห็นเพียงประกายสีทอง ที่อาจเป็นแสงสะท้อนของแสงสีอื่นใดเท่านั้น
ยิ่งเห็นไม่ชัดเจนก็ยิ่งสงสัย และยิ่งอยากรู้อยากเห็นคอยแอบเฝ้ามอง...

เมื่อชั่วยามก่อน หยางหลงเสนอให้ลู่เดินทางไปสำนักคุ้มกันภัยด้วยเกี้ยว ลู่ถามกลับว่าเกี้ยวเป็นอย่างไร มิเคยนั่งมาก่อน หยางหลงจึงบรรยายว่า การเดินทางด้วยเกี้ยวมีความสะดวกสบาย ทั้งหยางเจียเจิง และ หยางเจิ้นขุย บุตรชายทั้งสองเวลาที่จะเดินทางไปข้างนอกก็มักจะให้นั่งเกี้ยวไปเช่นกัน เพราะดูแลได้ง่ายกว่าการให้เดินไปเอง   
ที่บรรยายอยู่นานเกี่ยวกับเกี้ยว ลู่ก็เพียงรับฟังไปเรื่อย  ๆ แต่ทันทีที่กล่าวว่าเด็กสองคนมักจะเดินทางเช่นนี้ ลู่ก็พยักหน้ายอมรับทันที
คนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนเจรจาเก่งต้องกลับมาตั้งข้อสงสัยตนเอง ว่าที่คนทั่วไปเขายกย่องชื่นชมนั้นเขาชมด้วยความจริงใจ หรือเขาประชดกันแน่

ที่โรงเก็บเกี้ยว มีเกี้ยวหลายแบบจอดวางเรียงราย แต่คันที่ลู่ชื่นชอบคือเกี้ยวโปร่งคันเล็ก ๆ ที่ไม่มีหลังคา ซึ่งเป็นของหยางเจียเจิงนั่นเอง เมื่อลู่เลือกได้แล้ว หยางหลงก็ให้คนรับใช้เช็ดทำความสะอาดและเปลี่ยนเบาะรองนั่ง แต่เมื่อหยางติงมาเห็นว่า คนรับใช้กำลังทำความสะอาดเกี้ยวเล็กคันนี้ให้ลู่ หยางติงก็โวยวายไม่เห็นด้วย
"เหตุใดเจ้าไม่เตรียมเกี้ยวคันใหม่ให้กับคุณชายลู่ ใช้คันใหม่ของแม่ของเจ้าก็ได้ ช่างเพิ่งเอามาส่งให้เมื่อเดือนก่อนนี้เอง" บิดาหันมาหาบุตรชาย
"ลู่เป็นคนเลือกเกี้ยวนี้เอง"
บิดาดักคอถาม "มิใช่เจ้าจัดหาให้หรือ"
"มิใช่" หยางหลงหันไปมองคนที่กำลังสำรวจเกี้ยวสีน้ำตาลแดงด้วยความสนใจ "แต่แรกข้าก็ให้คนเตรียมเกี้ยวของท่านแม่ไว้แล้ว แต่ลู่ไม่ชอบเพราะมีหลังคา หน้าต่างปิดมิดชิด แล้วชี้ว่าอยากได้เกี้ยวของเจิงเอ๋อร์"
บิดาคิดตาม "คงเพราะเขาเคยชินกับการอยู่ในที่โล่งสบายมาตลอด"
ข้อนี้บุตรชายเห็นด้วย
ระหว่างที่บิดากับบุตรกำลังหารือกันอยู่นี้ ลู่ก็กำลังสนุกสนานอยู่กับการสำรวจเกี้ยว ทั้งลองยกดูและลองนั่งแกว่งเท้า จากนั้นก็หันไปหัวเราะกับเสี่ยวเป่า ท่าทางจะพอใจมิใช่น้อย

เมื่อหยางติงเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจเรื่องเกี้ยว ก็ให้เซียงเซียงล่วงหน้าไปสำนักคุ้มกันภัย และเรือนของหยางเฉิง เพื่อเตรียมผลไม้ และแจ้งเรื่องอาหารตลอดจนของว่างที่จะจัดขึ้นโต๊ะ
สรุปแล้วมีความวุ่นวายเกิดขึ้นที่โรงเก็บเกี้ยว แต่ความวุ่นวายนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมืองเลยสักนิด

จากที่ด้านหน้าของเรือนพักหลังใหญ่ของเจ้าเมือง เหอชินรุ่ยฮูหยินเจ้าเมืองลั่วซึ่งรายล้อมไปด้วยคนสนิทกลุ่มใหญ่ กำลังยืนมองตามหลังของกลุ่มผู้ที่กำลังเดินออกไป 
"นั่นพวกเขาจะไปที่ใดกัน"
"เห็นว่าจะไปที่สำนักคุ้มกันภัยของคุณชายรองเจ้าค่ะ"
"แล้วพาเด็กคนนั้นไปด้วย"
"เจ้าค่ะ"
"ต้องวุ่นวายและใช้คนมากมายขนาดนี้เชียวหรือ" เหอชินรุ่ยกล่าวถาม ทั้งที่กลุ่มผู้ที่ออกไปก็มีเพียงหยางติง หยางหลง ลู่ กับเสี่ยวเป่า ซึ่งมีจำนวนไม่ถึงครึ่งของกลุ่มคนที่ห้อมล้อมนางอยู่ในเวลานี้
หญิงรับใช้อีกคนเสนอความเห็น "เด็กเสี่ยวเป่ากับเซียงเซียงที่เป็นพี่สาวไปโอ้อวดกับคนอื่น ๆว่า เป็นเทพแห่งป่าสีทองด้วยเจ้าค่ะ"
"เหลวไหล" เหอชินรุ่ยเหยียดปาก "ข้าเบื่อเมืองลั่วแห่งนี้เต็มที เบื่อความงมงายไร้เหตุผล เทพที่ไหนจะพิกลพิการเช่นนั้น"
เมื่อฮูหยินเจ้าเมืองออกปากเช่นนี้ บรรดาคนที่ห้อมล้อมก็ช่วยกันกล่าวสนับสนุนความคิดของนาง
เหอชินรุ่ยเหยียดริมฝีปาก ตวัดหางตามองประตูใหญ่อีกครา จากนั้นก็เดินนำกลุ่มผู้ติดตามกลับเข้าไปในเรือนหลังใหญ่ของนาง เสียงสนทนาที่ออกไปในเชิงไม่เชื่อเรื่องเทพแห่งป่าสีทองดังเล็ดลอดออกมาถึงด้านนอกของเรือน 

สำนักคุ้มกันภัยของหยางเฉิง มีเรือนหลังใหญ่ที่เป็นสำนักงาน ซึ่งสูงสองชั้นอยู่หลังหนึ่งปลูกสร้างอยู่ที่ด้านหน้า รับกับประตูใหญ่ ถัดเข้าไปด้านหลังของเรือนหลังนี้ จึงเป็นลานโล่งสำหรับการออกกำลังกาย โรงฝึก โรงเก็บอาวุธ โรงครัวที่ถูกเรียกว่าอาคารสารพัดประโยชน์ และที่พักของผู้คุ้มกันกับคนงาน
ขณะที่กลุ่มเรือนพักอาศัยของหยางเฉิง กลับตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน

เมื่อลงจากเกี้ยวที่หน้าประตูใหญ่ ลู่ก็รับรู้ความรู้สึกของทุกคนที่อยู่รายรอบ ที่มีทั้งความเลื่อมใส ตื่นเต้นยินดี หวาดกลัว และไม่แน่ใจต่อคุณชายลู่ผู้นี้
ถ้อยคำสนทนาที่พอจะได้ยินแว่วมาเข้าหูก็คือ ทั้งหยางติงเจ้าเมืองลั่ว หยางหลงว่าที่เจ้าเมือง ไปจนถึงหยางเฉิงเจ้าสำนักคุ้มกันภัย ต่างก็มิได้มีท่าทีพิเศษอันใดต่อบุคคลที่ว่ากันว่าเป็นเทพจากป่าสีทอง
นี่คือเทพจริง ๆ หรือ เพราะดูไปแล้วเหมือนกับคุณชายลู่ผู้นี้ จะเป็นผู้สูงศักดิ์ผู้หนึ่งที่มีความคุ้นเคยกับครอบครัวของเจ้าเมืองเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการที่ลู่หันไปเกาะแขนหยางติงเจ้าเมืองลั่วให้พาเดินเข้าไปด้านในสำนักคุ้มกันภัย ที่บ่งบอกถึงความใกล้ชิดเป็นอย่างมาก

แต่ทั้งสามคนที่อยู่ตรงนี้หาได้ใส่ใจเสียงพูดคุยเหล่านั้น ตั้งแต่เมื่อวานนี้ปฏิบัติต่อลู่อย่างไร จนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
เว้นแต่....หยางหลงที่กำลังรู้สึกขัดตาต่อภาพเบื้องหน้า
หยางเฉิงที่กำลังทำหน้าที่เจ้าของบ้าน แม้จะแสร้งทำสีหน้านิ่งเฉย แต่ก็ไม่อาจปิดบังแววขบขันที่อยู่ในดวงตาเมื่อหันมาถามพี่ใหญ่ "ทำหน้าตาเหมือนเจิงเอ๋อร์ตอนที่ถูกเย่เจียแย่งของเล่น"
หยางเฉิงหมายถึงบุตรสาวของตน
"ผู้ใดจะทำหน้าตาเช่นนั้น" หยางหลงหันมาเถียง
หยางเฉิงแสร้งยักไหล่ล้อเลียน "คนปากแข็งนี่ไง ชัดเจนยิ่งกว่ามีข้อความกำกับไว้ที่หน้าผากเสียอีก"
หยางหลงได้แต่กระแทกเสียงในลำคอ เดินตามบิดาเข้าไปด้านใน

สำนักคุ้มกันภัยยามนี้ มีคนงานหลายคนกำลังช่วยกันเตรียมการเดินทางให้กับผู้คุ้มกันห้าคน ที่จะออกเดินทางไปคุ้มกันขบวนสินค้าของอีกเมืองหนึ่ง แม้จะเป็นการทำงานตามปกติ แต่การตรวจสอบอาวุธ และยาที่จะนำติดตัวไปก็สำคัญ เหล่าคนงานหันมาทักทายหยางติงเจ้าเมืองลั่ว กับหยางหลง และคุณชายลู่ จากนั้นก็ทำงานต่อ
"เข้มแข็งดี" หยางติงกล่าวชม
หยางเฉิงยังแจ้งให้บิดาทราบว่าในช่วงบ่ายวันนี้จะมีผู้คุ้มกันหลายคนเดินทางกลับมา จากนั้นจะประชุมหารือกับเหล่ามือปราบเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัยของเมืองในช่วงเวลาที่มีการจัดงานใหญ่
หยางติงตบไหล่บุตรชายคนรองเบา ๆ รอยยิ้มโอ้อวดนั้นบ่งบอกว่ามีความไว้วางใจให้กับบุตรชายคนรองอย่างยิ่ง
นี่คือการพูดคุยเกี่ยวกับการส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมือง ครั้งแรกของวันนี้!

แต่เวลานี้ ลู่กำลังมีความไม่สบายใจเกี่ยวกับคนงานที่พากันไปแอบมองจากด้านหลังของโรงฝึก และโรงครัว
เรื่องที่ตกอยู่ในความสนใจนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ลู่ยังไม่คุ้นเคยกับความรู้สึกของผู้คนมากมายที่พุ่งตรงเข้ามาหา
อยากรู้จักกันก็แค่เดินเข้ามาหา มัวแต่ไปหลบซ่อนอยู่ห่างไกลเช่นนั้น จะได้คุยกันเมื่อไหร่....หรือข้าน่ากลัวเกินไป

ในระหว่างที่หยางติงกำลังพูดคุยกับหยางเฉิง ลู่ก็นึกบางเรื่องขึ้นมาได้จึงหันมาหาหยางเฉิง แต่เพราะหยางเฉิงยืนอยู่ข้างหยางหลง เมื่อลู่หันมาจึงกลายเป็นมองสบตากับหยางหลงแล้วผ่านไปหาหยางเฉิง
แต่หยางหลงกลับฉวยโอกาสนั้นไว้อย่างรวดเร็ว 
"เดินไม่ไหวแล้วหรือ" หยางหลงเดินเข้าไปหาแล้วสอดแขนอุ้มลู่ขึ้นมา
อุ้มแบบเดียวกับที่เทพเสือโคร่งภูผาอุ้มลู่เมื่อช่วงเช้านี้

ลู่ดูงุนงง ดวงตาสีทองที่มองมาเต็มไปด้วยคำถาม
"อุ้มทำไม"
"ก็เจ้าอยากให้อุ้มมิใช่หรือ"
ลู่ส่ายหน้า
"มิต้องเกรงใจ อยากให้อุ้มก็บอกได้"
"มิใช่ แค่อยากถามท่านเฉิง ว่าลูก ๆ ของท่านเฉิงอยู่ที่ใด"
"อยู่ที่บ้าน" หยางเฉิงแกล้งยื่นมือมาจะรับลู่ไปอุ้ม แต่หยางหลงเบี่ยงตัวหลบไม่ให้อุ้ม
"ตอบคำถามก็พอ จะยกมือทำไม"
"น้องลู่ถามข้า ข้าก็ต้องเป็นคนอุ้มสิ"
"เกี่ยวอันใด" หยางหลงทำหน้าตาตำหนิน้องรองเต็มที่ "ลู่ถามก็แค่ตอบเท่านั้น จะอุ้มทำไม"
"วางเถอะ ข้าเดินได้" ลู่ขัดขึ้นมาบ้าง
"เจ้ายืนนานแล้ว อุ้มไว้นี่แหละดีแล้ว" หยางหลงหันมาตอบทันที

....เดินเพียงไม่กี่ก้าวจะเหนื่อยได้อย่างไร.....

หยางติงเจ้าเมืองลั่วได้แต่ส่ายหน้าให้กับบุตรชายทั้งสองคน ที่พากันพูดเล่นดั่งกลับไปเป็นเด็ก ๆ อีกครั้ง นี่หากหยางไห่อยู่ที่นี่อีกคน บรรดาคนงานคงได้ชมการแสดงของคณะจำอวดสามคนพี่น้อง และนำไปบอกเล่าเป็นเรื่องขำขันประจำเมืองลั่วอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ถึงจะบ่นเช่นนั้นอยู่ในใจ หยางติงก็ยังเป็นอีกคนหนึ่งที่หัวเราะให้กับการโต้เถียงไร้สาระของบุตรชาย ทั้งเมื่อหันไปเห็นว่าคนงานและคนรับใช้ หลายคนที่เมื่อครู่ยังแอบมองมาจากโรงครัวตอนนี้กลับเดินเข้ามาใกล้ ๆ และหัวเราะให้กับสองคนพี่น้องไปด้วยกัน ก็ยิ่งรู้สึกว่าการโต้เถียงของบุตรชายเป็นเรื่องขำขันมากกว่าเดิม
"เมืองลั่วมีเจ้าเมืองเป็นคนตลก ก็ดีเหมือนกัน" หยางติงบ่นเสียงดัง
"ไม่นะข้าเป็นคนจริงจัง" หยางหลงหันมาเถียงกับบิดาทั้งที่กำลังยิ้มกว้าง
หยางเฉิงรีบขานรับทันที "ใช่ จริงจังมาก ข้ายืนยันได้ น้องลู่ก็เห็นด้วยใช่หรือไม่"
ลู่ที่มองคนนั้นกล่าวหนึ่งคำ คนนี้กล่าวอีกหนึ่งคำ ไม่คิดว่าหยางเฉิงจะโยนคำมาให้ต่อ ถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นก็ส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้า สุดท้ายก็หันไปถามหยางติง
"เมื่อครู่ประโยคแรกคืออะไรนะ"

ท่ามกลางการพูดคุยสนุกสนาน ลู่แน่ใจว่าหยางเฉิงบุตรชายคนรองของเจ้าเมืองลั่วเป็นผู้ที่มีบุคลิกหลากหลาย
เมื่ออยู่ที่จวนเจ้าเมือง หยางเฉิงดูเคร่งเครียดจริงจัง เมื่อมาพบเจอกันที่สำนักคุ้มกันภัยก็ดูเป็นคนที่มีอารมณ์ดีไม่ถือสาหาความอันใด แต่เมื่อมาถึงบ้านพักที่อยู่อีกฝั่ง หยางเฉิงก็วางท่าเป็นผู้ใหญ่สมกับที่เป็นผู้นำครอบครัว
หนุ่มน้อยชักเริ่มเข้าใจแล้วว่า เหตุใดหยางหลงและหยางไห่จึงมักชอบเย้าแหย่หยางเฉิง

เรือนที่พักของหยางเฉิง ประกอบไปด้วยอาคารหลายหลังที่ปลูกแยกห่างจากกัน ตัวของหยางเฉิงพักที่เรือนหลังใหญ่ตามลำพัง ส่วนภรรยาและลูก ๆ แยกพักในเรือนหลายหลัง
มาถึงตอนนี้หยางหลงก็ยังอุ้มลู่อยู่เช่นเดิม ไม่ยอมปล่อยให้ยืนเอง แม้ว่าจะมีคนอยู่มากมายที่เรือนที่พักของหยางเฉิง ทำให้บรรดาบุตรชายหญิงสี่คนของหยางเฉิงพากันสงสัย
เด็กทั้งสี่คนล้วนมีวัยไม่ถึงสิบปี นี่เรียกว่าหยางหลงกับหยางเฉิงมีบุตรในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ที่ลู่ถึงกับหันไปมองหยางเฉิงซ้ำอยู่หลายครา ก็คือบรรดาภรรยาและอนุของหยางเฉิงทั้งเจ็ดคน
"ครอบครัวของท่านเฉิงเป็นครอบครัวใหญ่"
"ภรรยาสาม อนุสี่ตามตำรา" หยางติงยิ้มอารมณ์ดี เมื่ออยู่ท่ามกลางลูกหลานพร้อมหน้า

เหอชินรุ่ยมารดาของพวกเขา มีความไม่พอใจหยางเฉิงบุตรคนรองอยู่หลายเรื่อง ตามแบบของมารดาที่มักเข้าไปจัดการชีวิตของบุตรชาย โดยเฉพาะเรื่องการดูแลสำนักคุ้มกันภัย ที่มารดามองว่าคือขุมกำลังที่สำคัญ แต่หยางเฉิงดื้อรั้น มิยินยอมฝืนใจตนเองทำตามความต้องการของมารดา ยังคงมุ่งมั่นในเรื่องการค้า และการสนับสนุนสำนักมือปราบ มีการออกกฎไว้อย่างเข้มงวด ว่าห้ามวางตนเท่าเทียมกับคนของทางการอย่างเด็ดขาด
นอกจากนี้ในเรื่องครอบครัว หยางเฉิงก็ยังละเมิดข้อห้ามของมารดาอีกหลายเรื่อง ทั้งการมีภรรยาเจ็ดคน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นสตรีชาวเมืองเหอ แต่นางเป็นเพียงอนุและไม่มีบุตรด้วยกัน
หยางเฉิงยังมีความแตกต่างกับบิดาและหยางหลง ตรงที่ปกครองภรรยาและบุตรด้วยความเข้มงวด
อย่าได้คิดฝันว่าภรรยาคนใดของหยางเฉิงจะสามารถแสดงความเห็นในเรื่องการงาน และหากทำความผิด ก็อย่าหวังว่าจะได้รับการงดเว้นโทษ!

ฮูหยินใหญ่ของหยางเฉิงคือชุนผิง นางมีบุตรชายหนึ่งคนคือหยางฉวน  ฮูหยินรองคือฉีถิง นางมีบุตรชายคือหยางจง ฮูหยินสามอี๋อิง นางมีธิดาคือเย่เจีย ที่มักข้ามรุ่นไปมีปากเสียงกับหยางเจียเจิงที่จวนเจ้าเมืองอยู่บ่อย ๆ คือ
ส่วนอนุสี่คนได้แก่ เป้ยอี๋ นางมีธิดาคือจื่อเจ๋อ ขณะที่อนุอีกสามคนคือเย่ถง ซูเหยา และเผิง ไม่มีบุตรหรือธิดา
ในกลุ่มภรรยาทั้งเจ็ดของหยางเฉิง มีเพียงซูเหยา หรือฮูหยินหกที่เป็นชาวเมืองเหอเช่นเดียวกับมารดา
เพียงเท่านี้อย่าได้คิดว่า หยางเฉิงสมรสกับสตรีเมืองเหอเพื่อเอาใจมารดา เพราะแท้จริงแล้วเขากำลังต่อต้านมารดาอย่างที่สุด
เพราะชุนผิงฮูหยินใหญ่นั้นเป็นชาวเมืองลั่ว ตามมาด้วยฮูหยินอีกสี่คนก็เป็นชาวเมืองใกล้เคียง พวกนางมีทั้งบุตรสาวพ่อค้า และคหบดี ส่วนซูเหยาฮูหยินหกเป็นบุตรสาวของบัณฑิตชาวเมืองเหอ สุดท้ายคือเผิงฮูหยินเจ็ดที่เพิ่งรับเมื่อปลายปีก่อนก็ยังเป็นบุตรสาวของพ่อค้าจากเมืองหลวง ที่ว่าจ้างสำนักคุ้มกันภัยทำงานก่อนหน้านี้   

สุดท้ายแล้ว แม้ว่าเหอชินรุ่ยจะรักหลาน แต่ด้วยนิสัยพื้นฐาน จึงพลอยมิชอบการไปที่เรือนของหยางเฉิงไปด้วย หารู้ไม่ว่าเวลานี้สำนักคุ้มกันภัยและเรือนพักของหยางเฉิงกำลังกลายมาเป็นที่หลบภัยของหยางติง

"ขอข้าเล่นกับน้อง ๆได้หรือไม่" ลู่ขออนุญาต
"ได้สิ" หยางเฉิงรีบบอกให้พี่ใหญ่ปล่อยลู่ให้ไปเล่นกับลูก ๆ ของตน "ข้ายังคิดว่าพี่ใหญ่พาเจิงเอ๋อร์กับขุยเอ๋อร์มาด้วยเสียอีก"
หยางหลงมองตามคนที่เดินเข้าไปหาหลาน ขณะที่ตอบคำถามของน้องรอง
"ทั้งสองคนเรียนหนังสืออยู่ที่จวนเจ้าเมือง วันพรุ่งนี้คงได้พามาเล่นด้วยกัน"
เด็ก ๆเมื่อเห็นว่าขาของลู่ผิดปกติ ก็ชวนไปเล่นกับลูกสุนัขในสวน ซึ่งแม่ของมันเพิ่งออกลูกมาห้าตัวเมื่อสัปดาห์ก่อน

"แม่มันร้องอยู่ครึ่งคืนถึงได้ออกลูกมาทีละตัว" หยางฉวนพี่ใหญ่ของบ้านนี้เล่า "ตอนแรกแม่มันหวงลูกมาก แต่ตอนนี้ยอมให้เล่นกับลูกของมันได้แล้ว"
จากนั้นอีกสามคนก็แย่งกันโอ้อวดเพื่อนตัวน้อย ตัวไหนมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร เล่นซนอย่างไร

ครู่ใหญ่หยางไห่จึงมาถึง พร้อมส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล
"ได้ยินเสียงหัวเราะดังไปถึงหน้าบ้าน ลูกชายคนใหม่ของท่านพ่อ เข้ากันได้ดีกับหลาน ๆ ถึงเพียงนี้ ข้าสมควรกลับไปพาบุตรสาวมาเที่ยวเล่นที่นี่ด้วยคน"
หยางเฉิงเพียงยิ้มเฉย แต่ชุนผิงภรรยาเอกของหยางเฉิงอาสาจะไปรับบุตรสาวของหยางไห่ด้วยตนเอง
"เดี๋ยวก่อนก็ได้" หยางเฉิงปรามไว้ แล้วหันไปถามหยางไห่ "มีเรื่องอันใด"
"สมกับเป็นพี่รองจริง ๆ" หยางไห่ยิ้มแย้ม หันไปกล่าวกับบิดา "มีผู้มาร้องทุกข์กับท่านเจ้าเมือง"

หยางติงหันไปกล่าวกับหยางหลงอย่างจริงจัง "ที่ผ่านมาเจ้าก็ช่วยงานพ่อมาตลอด และกำลังเตรียมการที่จะมอบตำแหน่งให้เจ้าในวันพรุ่งนี้อยู่แล้ว ก็สมควรให้เจ้าไปดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มตัวตั้งแต่แรก"
หยางหลงพยักหน้ารับทราบ หันไปกล่าวกับลู่ "เล่นกับน้องไปก่อน หลังการไต่สวนเสร็จแล้ว ข้าจะมารับ"
"เพ้ย" บิดาโบกมือ "จะมารับทำไม ข้ายังอยู่ที่นี่"
หยางไห่หันไปหัวเราะกับหยางเฉิง
"พวกเราจะกลับไปทำงาน รบกวนท่านพ่อดูแลลูกชายคนเล็ก และหลาน ๆ ด้วยนะขอรับ"
บิดาไม่ต่อคำกับหยางไห่ เพียงโบกมือให้บุตรชายทั้งสามคนแยกย้ายกันไปทำงาน ส่วนตนเองกลับนั่งดูหลานเล่นด้วยกัน
ขณะที่บรรดาสะใภ้ที่เรือนนี้ก็ช่างเอาใจ คอยดูแลอยู่ไม่ห่าง 
ไม่นานนัก เจียฉีภรรยาของหยางไห่ก็พาเพ่ยเพ่ยบุตรสาวที่มีอายุเพียงสี่ขวบเดินทางมาถึง
ด้วยความที่ยังเป็นเด็กทำให้ทั้งหมดเข้ากันได้อย่างง่ายดาย พากันเล่นเพลินจนลืมเวลา

แต่ที่โรงครัว และส่วนของคนรับใช้ที่เรือนของหยางเฉิง กลับมีหัวข้อสนทนาที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
"ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ คนที่จวนเจ้าเมืองเล่าว่า เทพแห่งป่าสีทองมาเยือน ข้าก็คิดว่าจะเป็นผู้ที่รูปงาม และน่าเกรงขาม"
"ต่อให้บอกว่ายังเด็กอยู่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเด็กขนาดนี้"
"ข้าไม่เชื่อว่านี่คือเทพแห่งป่าสีทอง"
"ใช่ เทพควรต้องดูรูปร่างสง่างามหรือมีฤทธิ์"
"ตอนที่อยู่ในสำนักคุ้มกันภัยยังคิดว่านี่อาจเป็นบุตรของคุณชายใหญ่"
"จะเป็นไปได้อย่างไร คุณชายน้อยลู่ มีอายุอย่างน้อยก็สิบสี่หรือสิบห้าปี หรือเจ้าจะให้คุณชายใหญ่มีบุตรตั้งแต่อายุสิบสามปี"
"ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้"
"หรือจะเป็นบุตรของท่านเจ้าเมืองที่อยู่กับสตรีที่เมืองหลวง"
"นั่นคือเทพ เจ้ามิเห็นดวงตาสีทองนั่นหรือ"
"เรื่องดวงตาสีทองนั่นก็แค่เรื่องเล่าต่อ ๆกันมา มีใครเคยพบเห็นตัวจริงหรือไง"
"นี่ดูไม่ค่อยแข็งแรง คุณชายใหญ่ต้องอุ้มอยู่แทบตลอดเวลา"
"คุณชายลู่คือเทพแห่งป่าสีทอง มิใช่ผู้ที่เจ้าจะมาวิพากษ์วิจารณ์กันให้สนุกปาก"
"แล้วเช่นไร ถ้าวิจารณ์เขา แล้วข้าจะกลายเป็นสุนัขหรือไง"

เซียงเซียงที่เข้าไปเตรียมของว่างให้กับลู่อยู่ในครัว เงี่ยหูฟังบทสนทนาของคนงานบ้านหยางเฉิงแล้วนึกอยากให้คุณชายลู่แสดงฤทธิ์เดชให้คนที่กล่าวคำสบประมาทเหล่านี้ได้เงียบเสียงลงคงจะดีมิใช่น้อย
เทพต้องมีฤทธิ์เดชหรือ
ไม่มีฤทธิ์เดชไม่ได้หรือ...

เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน ขณะที่หยางติงกินอาหารพร้อมกับเด็ก ๆ เซียงเซียงหันไปมองบรรดาคนรับใช้ที่หันไปซุบซิบกันแล้วต้องถอนหายใจ
บ้านหลังใหญ่ คนมากมาย เสียงนินทาก็มากมายตามไปด้วย

หลังอาหารมื้อเย็นผ่านไปแล้ว หยางหลงจึงกลับมารับหยางติงและลู่กลับไปที่จวนเจ้าเมือง
"จวนเจ้าเมืองก็อยู่แค่นี้เอง จะมารับทำไม" หยางติงแกล้งบ่นให้ได้ยิน
"พรุ่งนี้ยังมีงานรออยู่อีกมาก ท่านหนีหายมาเล่นอยู่กับหลานตั้งแต่เช้า หากข้าไม่มารับท่านคงกลับไปที่จวนในวันพรุ่งนี้"
"เช่นนั้นก็ดี" หยางติงรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ แล้วหันไปพยักหน้ากับสะใภ้ใหญ่ของหยางเฉิง "ที่นี่ข้ามีสะใภ้ใหญ่ช่างเอาใจ ข้านอนที่นี่ก็ได้"
หยางหลงมองหน้าบิดาแล้วนึกสงสัยบางอย่าง แต่ที่นี่ไม่สะดวกพูดคุย ตั้งใจว่าจะรอจนกลับไปถึงจวนเจ้าเมืองค่อยแยกไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่บิดากลับกล่าวขึ้นก่อน

"ไม่ใช่เรื่องผิดหวังหรือน้อยใจที่จะต้องพ้นจากตำแหน่งอะไรหรอก เจ้าก็รู้ว่าพ่อไม่เคยยึดติดเรื่องนั้น" หยางติงกล่าวขึ้น "เจ้ารับผิดชอบงานมาตั้งแต่อายุุสิบแปดปี และก็ทำงานได้ดี ยิ่งเรื่องการเจรจาครานี้ยิ่งพิสูจน์ชัด ว่าเจ้าเหมาะสมกับการเป็นเจ้าเมืองลั่ว เพราะนอกจากจะดูแลทุกคนที่นี่แล้วยังเผื่อแผ่ไปถึงท่านปู่เล็ก และอาของเจ้าที่เมืองหลวงด้วย ทุกสิ่งราบรื่นดี ทั้งเมื่อเห็นพวกเจ้าสามคนพี่น้องมิได้มีความขัดแย้งกันพ่อก็ยิ่งวางใจ"
"เช่นนั้นแล้ว เหตุใดท่านพ่อถึงดูหลีกเลี่ยง"
"พ่อรู้สึกเบื่อที่จะต้องกลับมาถึงจวน แล้วก็ต้องมาโต้เถียงกับแม่ของเจ้าด้วยเรื่องเดิม"
หยางหลงร้องอ้อด้วยความเข้าใจความรู้สึกนี้ ด้วยตนเองก็พบเจออยู่ทุกวัน ทั้งหลิวเพ่ยหลิงผู้เป็นฮูหยิน ก็ยังเคยเล่าให้ฟังเช่นกัน
"คงต้องหลีกเลี่ยงกันไปสักพัก ไปพักผ่อนอยู่ที่บ้านหยางเฉิงก็ดีเหมือนกัน ลูกหลานเยอะดี พอให้ฆ่าเวลาไปได้ อีกอย่างแม่เจ้าเขาก็ไม่ค่อยชอบไปที่นั่น"

"หลง" บิดากล่าวอย่างจริงจัง "เรื่องของพ่อน่ะ มิต้องนำมาเป็นกังวลจนละเลยเรื่องสำคัญ อยู่ด้วยกันมานานจนคาดเดาได้ว่าแม่เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่"
สายตาของผู้เป็นบิดาทอดมองไปไกล แล้วกลับมาที่ลู่ที่กำลังมองดูม้าไม้ ของเล่นที่เสี่ยวเป่าทำให้
"พ่อเชื่อว่า สุดท้ายแล้วเรื่องราวต้องมีบทสรุปที่ดี"

คนที่ถูกมองหันมาส่งยิ้มกว้างพลางยกของเล่นขึ้นสูง ขณะที่เดินมาหา ทั้งยอมให้หยางหลงอุ้มอย่างง่ายดาย
"เสี่ยวเป่าทำให้"
เจ้าเด็กเสี่ยวเป่ายิ้มหน้าบาน ทั้งหน้าบานกว่าเดิม เมื่อหยางหลงกล่าวชม
"เก่งเหมือนกันนะเรา" จากนั้นก็พากันเดินกลับไปที่เกี้ยวที่รออยู่ "เคยเล่นไหม"
ลู่ส่ายหน้า ทำให้หยางหลงเพิ่งนึกขึ้นได้ "จริงสินะ"
"เจ้านี่มันก็คิดไปได้" หยางติงบ่นบุตรชาย

หยางติง หยางหลง และสองพี่น้องเซียงเซียง กับเสี่ยวเป่า ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิด ว่าทุกถ้อยคำสนทนา มีคนผู้หนึ่งที่กำลังจดจำไว้
คำสนทนาที่มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องเล่นผสมกัน จะก่อให้เกิดเรื่องราวใด หากมีผู้ที่คิดว่าทั้งหมดนั่นคือเรื่องจริง

..จบบทที่สาม...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 28-12-2016 21:21:53
มาต่อแล้ว ขอบคุณนะคะ รู้สึกอ่านไปเพลินๆ หมดตอนอีกละ เนื้อหาน่าติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 28-12-2016 21:21:58
 :pig4:  :L1: :pig4:

คนที่เเอบฟังต้องเป็นคนของชินเหอรุ่ยเเน่ๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-12-2016 21:50:54
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 28-12-2016 22:30:08
พี่หลงมีความหวง น้อลู่ทำไมหนูเป็นจำไมล่ะ น่ารักไปอีกแบบ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-12-2016 23:22:40
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 29-12-2016 06:34:50
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-12-2016 08:07:59
พี่น้องรักใคร่กลมเกลียว นับเป็นเรื่องดียิ่ง

หลงจ๊ะ หลงลูกกวางน้อยออกหน้าออกตามากไปแล้ว

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 29-12-2016 14:00:12
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

วันนี้ว่าง ตามมาอ่านอย่างไว 555
แค่น้องลู่ปรายตามอง รีบแย่งกันมาอุ้ม ... มีความอิจแรงมาก
พี่หลงออกอาการมากไปนะ  หวังว่าพี่น้องสามคนจะรักกันเหนียวแน่นต่อไปเนอะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 29-12-2016 15:18:08
น้องลู่ช่างน่ารัก ไร้เดียงสานัก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 30-12-2016 15:17:46
+ ไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านตอนกลางคืน  :mew3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 30-12-2016 15:43:37
รอลู่ :3123: :3123: :3123:
พวกขี้นินทาหาว่าลู่ไม่มีฤทธิ์เดช มันน่าจะให้พ่อน้องลู่มาเจอเสียจริง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 30-12-2016 23:23:45
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่า เน้นไปที่ การที่ท่านหยางทั้งพ่อลูกให้ความสำคัญกับลู่
แล้วก็สงสัยว่า ลู่ที่ต้องได้ยินและรับความรู้สึกต่างๆจะเหนื่อยหรือเปล่า
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีปีใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 31-12-2016 21:41:46
หยางหลงหวงน้องลู่เหลือเกิน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: aehJTS ที่ 05-01-2017 11:25:51
เดินเหนื่อยก็ต้องอุ้ม
อุ้มเหนื่อยก็ต้องนวด
งั้นกลับจวนลู้ก็อย่าลืมนวดแขนให้พี่หลงนะ :o8: (เพ้อ)

 :pig4: ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่3 (P3-281259)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 06-01-2017 09:25:24

แหม่ะ !!!!!!
อยากเห็นลู่น้อยแสดงฤทธิ์เดชแบบไหนถึงจะสมกับคำว่ามีฤทธิ์เดช
ต้องออกแสงหรือเหาะเหินเดินอากาศแบบนั้นเลยรึไง วุ้ยยยย   :3125:

ลู่น้อยเราเอาหน้าตาเป็นอาวุธยังได้เลย อ่ะโธ่ :z2:
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 07-01-2017 20:09:15
ภาคกวางทอง

บทที่สี่

ในยุคนี้ การส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมืองมักจะเป็นการแจ้งล่วงหน้าเจ็ดวันไปยังเมืองหลวง ก่อนที่จะมีผลอย่างเป็นทางการ หรือต่อให้เป็นกรณีฉุกเฉินหากเจ้าเมืองคนเดิมเสียชีวิตลง ก็มักจะแจ้งล่วงหน้านานกว่าสองวัน
แต่ถึงหยางติงเจ้าเมืองลั่วจะประกาศล่วงหน้าสองวันก็มิได้สร้างความประหลาดใจ ด้วยเจ้าเมืองลั่วผู้นี้มอบงานต่าง ๆ ให้แก่หยางหลงบุตรชายคนโตดูแลมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยเฉพาะการที่มอบให้เป็นผู้เจรจากับเมืองหลวง ยิ่งเป็นการย้ำเจตนาที่ชัดเจน
จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นเวลาหลายปีแล้ว ที่ทุกผู้คนเพียงแค่รอว่าการส่งมอบตำแหน่งจะมีขึ้นเมื่อใดเท่านั้น

แต่เมื่อคำสั่งออกมาว่า การมอบอำนาจจะมีขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า หรือหากจะนับวันจริง ๆ แล้ว ต้องเรียกได้ว่าเป็นเวลามากกว่าสองวันอยู่เล็กน้อย บรรดาคนงานของจวนเจ้าเมืองไปจนถึงชาวเมืองลั่วก็ต้องวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงานมากมาย
ก็อย่างที่ทราบกัน เมืองลั่วมิใช่เมืองใหญ่ดังนั้นเมื่อมีงานใหญ่ทุกคนจึงต้องออกมาช่วยกันทำงาน
บรรยากาศนี้เริ่มต้นขึ้นในทันทีที่เจ้าพนักงานออกไปติดประกาศ และคนเดินสารเร่งออกเดินทางไปแจ้งเรื่องต่อวังหลวง

หากในวันนั้นทั้งวันคือการที่หยางติงเจ้าเมืองลั่ว และหยางหลงว่าที่เจ้าเมืองคนใหม่ พาลู่ไปเล่นอยู่ที่บ้านของหยางเฉิงบุตรคนรอง โดยให้ว่าที่เจ้าเมืองคนใหม่กลับมาทำงานวุ่นวายอยู่จวนเจ้าเมือง
ส่วนหยางเฉิงไปหารือกับกรมเมืองและมือปราบ และหยางไห่ไปประชุมกับพ่อค้า จากนั้นทั้งสองคนก็มาช่วยงานว่าที่เจ้าเมืองที่ศาลาว่าการเมือง 
แม้แต่สะใภ้ใหญ่อย่างหลิวเพ่ยหลิง หลังจากที่พาบุตรทั้งสองคนไปฝากไว้กับอาจารย์ที่ห้องสมุดก็ยังต้องไปควบคุมการทำงานที่โรงทาน 
เหอชินรุ่ยฮูหยินเจ้าเมืองจึงหงุดหงิดไม่น้อย ที่มีเพียงหยางติงเพียงผู้เดียวที่ไม่สนใจการจัดงานในครั้งนี้

"เรื่องที่แม่ไม่พอใจที่พวกเจ้าไปเข้าข้างฝ่ายเมืองหลวงนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่บิดาของพวกเจ้ายังมาทำตนหนีหายไม่สนใจการงานนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง จู่ ๆ เขากลายเป็นคนไม่รับผิดชอบเช่นนี้ไปได้อย่างไร"
บุตรทั้งสามคนต่างนิ่งเงียบ
เหอชินรุ่ยกวาดตามองบัญชีสินค้าบนโต๊ะ และคนงานที่กำลังทำงานวุ่นวาย แล้วหันไปถามหยางหลง
"บิดาของเจ้ายังอยู่กับเด็กคนนั้นหรือ" 
"ท่านพ่ออยู่กับหลาน ๆ ที่บ้านข้า" น้ำเสียง และหน้าตาของหยางเฉิงล้วนบ่งบอกว่า ในเมื่อมารดาก็ทราบอยู่แล้วว่าบิดาอยู่ที่ใด แล้วเหตุใดยังมีคำถาม
หยางไห่แตะแขนพี่รองเชิงบอกว่ามิต้องกล่าวคำต่อความ ส่วนตนเองเข้าไปบีบนวดแขนให้มารดาพลางชวนคุยในเรื่องที่จะทำให้อารมณ์ดีขึ้น "ท่านพ่อคงคิดถึงหลาน ๆ ก่อนที่จะมาที่ศาลาว่าการเมือง ข้าก็พาเพ่ยเพ่ยไปเล่นอยู่ที่บ้านพี่รองเช่นกัน หรือท่านแม่คิดถึงหลานชายหลานสาว ให้ข้ากลับไปพามาหาท่านดีไหม"
เหอชินรุ่ยโบกมือ ลำเอียงให้กับบุตรชายคนเล็กอย่างชัดเจน
"สองวันนี้ยังวุ่นวาย หลังจากนี้ค่อยพาเพ่ยเพ่ยมาหาแม่"

หยางเฉิงได้แต่หันไปส่ายหน้าทางอื่น เขาพ้นวัยเรียกร้องความสนใจจากมารดาไปนานแล้ว ในทางตรงข้าม กลับคิดว่าการที่ไม่ใช่บุตรคนโปรดกลับสุขสบายยิ่งนัก
ก็ดูหยางหลงที่ถูกมารดาควบคุมทุกฝีเก้า พี่สะใภ้กับหลาน ๆ จะหายใจยังต้องคอยสังเกตสีหน้าของมารดา ขณะที่หยางไห่ก็ถูกมารดาเรียกหาให้คอยจัดหาสิ่งที่นางต้องการให้อยู่ตลอดเวลา
หากเป็นลูกรักแล้วต้องถูกเคี่ยวกรำขนาดนั้น ขอเป็นลูกชังเช่นเดิมดีกว่า!

รอจนกระทั่งมารดากลับออกไปแล้ว สามคนพี่น้องจึงประชุมลับเป็นการภายใน คนรับใช้เข้ามาเปลี่ยนน้ำชาแล้วกลับออกไป
หยางไห่ที่เป็นน้องเล็กรินน้ำชาให้กับพี่ชายทั้งสองคน จากนั้นหยางเฉิงจึงกล่าวขึ้นเบา ๆ
"ตั้งแต่คืนที่ท่านพ่อประกาศว่าจะมอบตำแหน่งก็มีม้าเร็วออกจากเมือง มุ่งหน้าไปเมืองเหอ"
หยางไห่ชี้ขึ้นฟ้าขณะที่ก้มหน้า "เป็นการส่งข่าวตามปกติ"
หยางเฉิงยักไหล่ "ก็คงอย่างนั้น เพราะก่อนรุ่งสางม้าเร็วของเมืองหลวงก็ออกเดินทางไปเช่นกัน"
"อย่างนั้นเมืองเหอคงมาถึงเราก่อน" หยางหลงสรุปน้องชายอีกสองคนพยักหน้า
จากนั้นหยางเฉิงก็กล่าวต่อ "ส่วนการจับตามองพวกคนยากจน และขอทานกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเดินทางมาถึงยังไม่พบความผิดปกติ"
"เว้นแต่คนที่อยู่ก่อนหน้านี้ ที่มีการสับเปลี่ยนที่อยู่" หยางหลงกล่าวขึ้นบ้าง ทำให้น้องชายหันมามองหน้า
"อันใดกัน ไปเมืองหลวงตั้งนาน กลับมาแค่วันสองวันพี่ใหญ่รู้ความเคลื่อนไหวที่นี่ได้อย่างไร" หยางไห่ทำหน้างอ "รู้ไปหมดเช่นนี้"
"ไม่ได้รู้ไปหมด ก็แค่พอจะรู้บ้างต่างหาก" หยางหลงให้กำลังใจ แต่หยางเฉิงเอื้อมมือมาดีดหน้าผากคนน้องเล็ก
"ชอบพูดเล่น จนคนเขาคิดว่าเป็นเรื่องจริงไปหมดแล้ว"
"เรื่องอะไร" หยางไห่ถามพี่รอง
"เรื่องที่เจ้าชอบเรียกลู่ว่าน้องเล็กคนใหม่ของพวกเราบ้าง ลูกชายคนใหม่ของท่านพ่อบ้างนั่นอย่างไร" หยางเฉิงชี้ไปที่ประตูห้อง "คนเขาคิดว่าเป็นเรื่องจริงแล้ว"
ทั้งหยางหลงและหยางไห่ต่างพร้อมใจกันส่ายหน้า
"เชื่ออะไรแบบนั้น ท่านพ่อกลัวท่านแม่อย่างกับอะไรดี กล้าขัดใจที่ไหน แถมคนของท่านแม่มีอยู่ทั่วไป ท่านพ่อจะไปมีอนุได้อย่างไร"
หยางเฉิงส่ายหน้าล้อเลียนพี่ใหญ่กับน้องเล็ก "เรื่องไม่จริง แต่คนพูดกันไปทั่ว สุดท้ายมันก็จะเป็นเรื่องจริง" 
น้องเล็กลูบหน้าผากตัวเองที่ขึ้นผื่นแดงเป็นรอยนิ้ว หยางหลงจึงใช้ถ้วยชาที่มีความเย็นกดคลึงให้ที่หน้าผาก
"พี่รองรู้เรื่องที่คนเขานินทานั่นนี่มากมาย เพราะบรรดาขบวนการฮูหยินมารายงานให้ฟังละสิ ดีจริงนะเรื่องงานมีขบวนการผู้คุ้มกัน เรื่องชาวบ้านมีขบวนการฮูหยิน"
หยางหลงยังคงรักษาความเป็นกลางไม่เข้าข้างน้องทั้งสองคน "เจ้ามันก็ชอบพูดจาแบบนี้ ถึงได้โดนน้องรองตีเข้าให้ ส่วนเรื่องที่คนพูดไปก็ปล่อยให้เขาพูดไปเถอะ เพราะอีกไม่นานลู่ก็ต้องกลับบ้านเขาแล้ว"
น้องชายสองคนร้องอ้อ เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน
"ลืมไปแล้ว ว่าเขาหนีแม่มา อีกไม่กี่วันก็คงต้องกลับบ้านเขาแล้วสินะ"
หยางหลงพยักหน้า
หลังการหารือที่ไม่มีเสียงสนทนาใด ๆเล็ดลอดออกมาจากห้องจบลง สามคนพี่น้องจึงเดินออกมาจากศาลาว่าการเมืองพร้อมกันโดยมุ่งหน้าไปที่เรือนพักของหยางเฉิง
หยางไห่สะกิดถามพี่ใหญ่ "สังเกตไหมว่า ระยะหลังมานี้ มิว่าท่านแม่จะกล่าวถึงเรื่องอันใดก็ตาม จะต้องเริ่มต้นด้วยการตำหนิพวกเราที่ไม่สนับสนุนท่านลุง"
หยางหลงกับหยางเฉิงพยักหน้า หยางไห่ก็เลยกล่าวต่อ "พวกเรายังมีช่วงที่มิได้พบนาง แต่ท่านพ่อหรือพี่สะใภ้ที่ต้องพบเจอกับท่านแม่อยู่ตลอดก็คงเครียดมิใช่น้อย" กล่าวแล้วนึกขึ้นมาได้ รีบโบกไม้โบกมือกับพี่ใหญ่ "ข้ามิได้มีอะไรกับพี่สะใภ้นะ เพียงแต่เข้าใจว่าทั้งที่มีงานสำคัญ แต่ทำไมทั้งท่านพ่อและพี่สะใภ้ถึงได้พากันแยกย้ายกันไปคนละทางเช่นนี้"
หยางหลงกอดคอน้องเล็กอย่างไม่ถือสา
"ข้าก็เข้าใจเช่นกัน ถึงได้ไม่ทักท้วงต่อว่าท่านพ่อ ที่อ้างว่าจะเล่นอยู่กับหลานที่เรือนของน้องรอง แทนที่จะไปที่เรือนของเจ้าไง"
"เพราะหากไปเรือนน้องเล็ก ท่านแม่อาจจะส่งคนไปตามท่านพ่อให้กลับมาทำงาน ดังนั้นการพักผ่อนอยู่ที่เรือนข้าน่ะปลอดภัยที่วสสุดแล้ว" หยางเฉิงทำอวด
"เหอะ พวกท่านไม่เห็นความดีของข้าก็แล้วไป" หยางไห่น้องเล็กทำท่าน้อยใจ ทำให้พี่ชายทั้งสองคนพากันหัวเราะ

หยางหลงไปรับบิดากับลู่กลับบ้าน ส่วนหยางไห่ไปรับภรรยากับบุตรแล้วแยกกลับบ้านไปอีกทาง
เมื่อกลับมาถึงที่จวนเจ้าเมือง พ่อบ้านจวนเจ้าเมืองก็มาแจ้งให้ทราบว่า เหอชินรุ่ยรอพูดคุยกับหยางหลงอยู่ที่เรือนพักหลังใหญ่ของนาง
"แล้วเพ่ยหลิงกับลูก ๆอยู่ที่ไหน" หยางหลงถามด้วยความเป็นกังวล
"ฮูหยินและคุณชายทั้งสองยังอยู่ที่ห้องสมุดขอรับ ท่านอาจารย์ก็ยังอยู่"
หยางติงได้แต่ส่ายหน้า แล้วกล่าวว่าจะเป็นผู้ที่พาลู่ไปเล่นอยู่ที่ห้องสมุด เสร็จแล้วก็จะกลับไปเรือนหลังใหญ่เอง

หยางหลงจึงกลับมาที่เรือนพักของมารดาโดยลำพัง เห็นว่านางยังรออยู่
สีหน้าของนางเรียบเฉย และห่างเหินดุจคุยเรื่องการงานกับผู้อื่น
"ฟังว่า เจ้ามิต้องการย้ายไปพักที่เรือนหลังใหญ่"
"ขอรับท่านแม่"
เหอชินรุ่นพยักหน้า "ขอบใจ แต่นี่เป็นคนละเรื่องกับการที่เจ้าเป็นผู้ที่นำเมืองลั่วหันหลังให้กับเมืองเหอของแม่หรอกนะ"

หยางหลงเลือกที่จะก้มหน้าซ่อนยิ้ม เมื่อนึกไปถึงคำกล่าวของน้องเล็กก่อนหน้านี้ แต่การที่มิได้ต่อคำด้วยทำให้เหอชินรุ่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจอีกครั้ง
แม้ว่าการตัดสินใจของพ่อลูกทั้งสี่คนจะทำให้นางอารมณ์ไม่ดีชนิดที่ทุกคนในบ้านก็เข้าหน้าไม่ติด แต่อย่างน้อยการที่บุตรชายคนโตไม่หักหาญน้ำใจ ให้นางต้องย้ายออกจากเรือนพักหลังใหญ่ ทั้งไม่เปลี่ยนแปลงเรื่องคนรับใช้ ก็ยังพอให้เหอชินรุ่ยมีความพึงพอใจอยู่หลายส่วน
"เจ้าคงไม่สั่งลดค่าใช้จ่ายของแม่ด้วยใช่ไหม"
"ไม่หรอกขอรับ" หยางหลงตอบ "กิจการต่าง ๆ ของครอบครัวยังเป็นไปด้วยดี หากท่านแม่ต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ก็สามารถบอกกับเพ่ยหลิงได้"
เหอชินรุ่ยโบกมือ "เมียของเจ้าไม่เห็นว่าจะจัดการสิ่งใดเป็น"
หยางหลงเก็บคำอีกครั้ง
เหอชินรุ่ยพอใจบุตรชายคนโตตรงที่เขาเป็นผู้ที่ตามใจนางอยู่เสมอ และต่อให้เขาขัดใจนางในเรื่องหนึ่ง ก็รู้ว่าควรตามใจนางในเรื่องอื่น เพื่อบรรเทาความไม่พอใจนั้นลง
หากเป็นมารดาผู้อื่น อาจกล่าวขอบใจบุตรชายที่ยังคงยกย่องนางให้มีความสุขสบายเช่นเดิม แต่นี่คือเหอชินรุ่ย หลังจากที่กล่าวคำอย่างเป็นทางการอีกหลายคำก็บอกให้หยางหลงส่งนางเข้าไปพักผ่อน จากนั้นหยางหลงถึงได้เดินต่อไปที่ห้องสมุด

บรรยากาศที่ห้องสมุดเวลานี้ ความไม่สบายใจของหยางติงเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถรับรู้ได้ เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดของจวนเจ้าเมืองเล่นหมากกับอาจารย์แล้ววางหมากผิดพลาดจนถึงกับพาตนเองเข้าไปจนมุม
"ข้าสืบทอดเมืองนี้มาจากบิดา ทุกวันนั่งว่าความตัดสินเรื่องราวความขัดแย้ง แต่เมื่อความขัดแย้งนั้นมาถึงครอบครัว ข้ากลับได้แต่หลบหน้าเมียไปวัน ๆ"
"นั่นเพราะท่านเจ้าเมืองรักฮูหยินเป็นอย่างมาก"
หยางติงพยักหน้า "ก็รู้ว่าการตัดสินใจของข้าจะทำให้เขาไม่พอใจ แต่ไม่ว่าจะอธิบายเหตุผลอย่างไร ก็วนกลับไปที่จุดเดิมเสียทุกครั้ง"
อาจารย์ลูบเครายาวขณะที่เอ่ยคำ "สามีภรรยาเป็นดั่งคนเดียวกัน เมื่อสามีรักษาคุณธรรม ภรรยาก็ต้องรู้จักเชื่อฟังสามี ครอบครัวจึงจะมีความสุข"

หลิวเพ่ยหลิงมองบิดาของสามีแล้วหันมามองลู่ ในใจเริ่มคล้อยตามเสียงพูดคุยของผู้อื่น ที่ว่าคุณชายลู่อาจเป็นบุตรชายของเจ้าเมืองลั่วที่เกิดกับภรรยาลับซึ่งอยู่ในเมืองหลวง ที่ขอติดตามหยางหลงกลับมา หรือไม่หยางติงก็อาจบอกให้ไปรับกลับมาอยู่ด้วยกัน ด้วยเรื่องที่หยางติงกล่าวมานั้น มิสมควรกล่าวให้คนภายนอกได้ยิน แต่ยามนี้กลับบอกกล่าวออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
นอกจากนี้แล้ว ตั้งแต่เช้ามาหยางติงก็มิยอมให้คุณชายลู่ผู้นี้อยู่ห่างจากตัว
ทั้งในวันแรกที่มาถึง หยางติงก็วางมือ แล้วส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้กับหยางหลงในทันที
สรุปแล้วเด็กคนนี้ ต้องมีความสำคัญต่อหยางติงอย่างยิ่ง...

ต่อมาเมื่อคนรับใช้เข้ามาสอบถามว่าต้องการให้จัดโต๊ะอาหารค่ำที่ใด หลิวเพ่ยหลิงก็ขอให้จัดโต๊ะในสวน ขณะที่หยางติงเห็นว่าลู่ยังมิได้พักผ่อน ทั้งตลอดวันก็เห็นแต่กินเพียงผลไม้ หากต้องร่วมโต๊ะที่มีอาหารเนื้อสัตว์อยู่ด้วยอาจรู้สึกลำบากใจ จึงให้เสี่ยวเป่าจัดเตรียมอาหารให้ลู่ที่เรือนรับรอง

เสร็จจากมื้อค่ำ ทั้งหยางติงและหยางหลงกลับมาประชุมหารือกับเจ้ากรมและนายกอง ในห้องทำงานที่เรือนต้นบ๊วยอีกครั้ง
หยางติงชอบทำงานที่นี่มากกว่าที่ศาลาว่าการเมือง เพราะความสะดวกในการพูดคุย ทั้งมีหลายคราที่เมื่อหารือกันเสร็จ บรรดาเจ้ากรมและนายกองก็สามารถไปเข้าพักที่ห้องรับรองในจวนได้อย่างสะดวกสบาย การเจรจาที่นี่จึงไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องรีบร้อน

ส่วนเหอชินรุ่ยที่เห็นว่าอาหารมื้อค่ำผ่านไปนานแล้ว แต่หยางติงยังไม่กลับไปพักผ่อนจึงเดินออกมาดู เมื่อเห็นว่าสามีกลับมาแล้ว และกำลังหารือเรื่องงานอยู่ที่เรือนต้นบ๊วยนางก็กลับเข้าเรือนไป
จะเรียกว่าอย่างไรดี
ความสัมพันธ์ของสามีภรรยา ที่แม้ว่าจะมีเรื่องขัดแย้งกันหลายเรื่อง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นห่วงกันอยู่ใช่หรือไม่
 
ยามดึก เมื่อหยางหลงกลับไปที่เรือนพักและอาบน้ำเสร็จแล้ว กลับยังรู้สึกไม่สบายใจจึงไปหาลู่ที่เรือนรับรองดอกโบตั๋น ตั้งใจว่าจะไปสอบถามว่ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือต้องการสิ่งใด
แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าลู่อยู่ตามลำพังเพราะเซียงเซียงและเสี่ยวเป่าไปช่วยงานอยู่ที่โรงครัว ด้วยพรุ่งนี้จะมีการแจกทานตั้งแต่เช้า

"ทั้งที่บอกว่าให้คอยอยู่รับใช้" หยางหลงบ่น
ลู่ส่ายหน้าขณะที่ยิ้มกว้าง "ข้าบอกให้พวกเขาไปเอง" คนตัวเล็กเอียงหน้า นึกถ้อยคำที่เสี่ยวเป่ากล่าวก่อนที่จะออกไป "กินอาหารแล้ว ค่ำแล้ว ควรเข้านอน"
หยางหลงเกาท้ายทอยตนเอง ขยับลุกขึ้นยืน "เช่นนั้น เจ้าก็...ก็..."
"คุยก็ได้" ลู่หัวเราะเบา ๆ พลางรินน้ำชา "ยังไม่ง่วง"
หยางหลงจิบน้ำชา แล้วขยับไปนั่งที่เก้าอี้ติดกับลู่ "เหงาหรือเปล่า"
ลู่ส่ายหน้าแล้วย้อนถาม "เหนื่อยใช่ไหม" ก็วันนี้เป็นวันที่หยางหลงวุ่นวายทั้งวันต้องไปมาอยู่หลายแห่ง
"ไม่หรอก" หยางหลงตอบขณะที่ปัดเส้นผมสีน้ำตาลที่ไหล่ของอีกฝาย "รู้สึกไม่สบายใจที่ไม่ได้ดูแล กลับพาไปฝากไว้ที่บ้านของน้องรองตลอดวัน ทั้งไม่ได้พาไปบ้านของน้องเล็กด้วย"
"ไปพรุ่งนี้ก็ได้"
"พรุ่งนี้ก็ยังมีงานทั้งวัน ทั้งเรื่องการเตรียมงานรับตำแหน่ง และเรื่องอื่นอีก"
"ไปกับเสี่ยวเป่าก็ได้" ลู่พยักหน้าอย่างมั่นใจ แต่หยางหลงปฏิเสธในทันที
"อย่าลืมสิ ว่าเจ้ามากับข้า ข้าสมควรรับผิดชอบต่อเจ้า"

ลู่ลุกขึ้นมากอดคอหยางหลงไว้ แนบต้นคอเข้าหากันจากนั้นก็คลายอ้อมกอด แล้วยืนอยู่ที่เดิม
แม้จะไม่มีคำพูด แต่ท่าทีเช่นนี้ทำให้รู้ว่าลู่ต้องการให้กำลังใจ เพราะตอนที่ลู่พบกับเทพเสือโคร่งภูเขาผู้เป็นบิดา ก็ทำท่าเช่นนี้
แต่หยางหลงเป็นมนุษย์ การสัมผัสทางกายของลู่จึงสร้างแรงสั่นสะเทือนถึงหัวใจ 
เป็นแรงสะเทือนที่ต้องเตือนตนเองว่าเร็วเกินไป ทั้งไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
แต่ทันทีที่เตือนตนเอง ความรู้สึกนั้นกลับเพิ่มขึ้น
มือใหญ่แตะที่ปลายคางของลู่ ภาพสะท้อนในดวงตาสีทองมองเห็นตนเองชัดเจน แม้เมื่อดวงตาคู่นั้นจะหลุบมองไปทางอื่น ก็ยังมองเห็นขนตายาวกับแก้มใส
หยางหลงก้มลงช้า ๆ แล้วจูบสัมผัสที่ริมฝีปาก
สัมผัสเพียงแผ่วเบา เมื่อลู่กระพริบตามอง ทำให้หยางหลงได้สติ ถอนริมฝีปากออกมา และกล่าวคำขออภัยอย่างแผ่วเบา

"ขออภัย...."

ลู่พยักหน้าพลางก้าวถอยช้า ๆ แล้วนั่งลง 
"ข้ามาจากป่าสีทอง ถึงจะยังเด็กและไม่มีพลังอำนาจแก่กล้า แต่ก็ยังพอจะจับความรู้สึกของผู้ที่อยู่รอบตัวได้บ้าง" ดวงตาสีทองหลุบมองมือของตนเอง
สิ่งที่มิได้กล่าวออกมาก็คือลู่เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย รวมถึงรู้ว่าความรู้สึกนี้ยังมิควรกล่าวออกไป   
มือใหญ่ของหยางหลงจับมือของลู่ไว้ ดวงตาสีเข้มจับจ้องคนที่ยังคงก้มหน้า ต่างคนต่างนิ่งเงียบ

ขณะที่หยางหลงตำหนิความวู่วาม และการกระทำที่ไม่เหมาะสมต่ออีกฝ่าย แต่ลู่กลับกังวลไปถึงครอบครัวของหยางหลง
โดยเฉพาะบิดา มารดาของตนเองที่ป่าสีทอง....

สายลมเย็นที่ด้านนอกพัดพากลิ่นดอกไม้กลางคืน ผสานอากาศเย็นเข้ามาในห้อง หยางหลงยังมิคิดที่จะปล่อยมือจากอีกคน
"จะเข้านอนหรือยัง"
ลู่พยักหน้า
เมื่อหยางหลงลุกขึ้น มือที่จับไว้มั่นก็พาให้ลู่ลุกขึ้นตาม ทั้งยังรอจนลู่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน ก็ยังตามไปจัดที่นอน ห่มผ้าให้แล้วนั่งอยู่ข้าง ๆ จับมือเล็กที่โผล่พ้นผ้าห่มไว้อีกครั้ง

ลู่มองท่าทีของอีกคนแล้วหัวเราะเบา ๆ "ถึงข้าจะอายุน้อยเมื่อเทียบกับผู้อื่นในป่าสีทอง แต่หากเทียบกับอายุของมนุษย์ข้าคิดว่า ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว"
"เจ้าเป็นเด็กดื้อและซนที่หนีออกจากบ้าน" หยางหลงกระชับผ้าห่มให้ "นอนเสียเถิด ข้าจะรอจนเจ้าหลับแล้วค่อยกลับออกไป"
ลู่หลับตาลงอย่างว่าง่าย แต่มือใหญ่ที่จับมือไว้ยังไม่คลายออก 

ผ่านไปค่อนคืน เสี่ยวเป่าจึงผลักประตูห้องเข้ามาโดยที่พยายามไม่ให้มีเสียงดัง แต่ยังเห็นว่าหยางหลงนั่งอยู่บนเตียงนอนของลู่
เวลานั้นลู่หลับไปแล้ว หยางหลงจึงหันมาใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปาก
เสี่ยวเป่าย่องเข้ามาปูที่นอนข้างเตียงนอน หยางหลงก็อ้าปากกล่าวคำพูดโดยไม่ออกเสียง ว่าปล่อยให้คุณชายลู่นอนพักผ่อนให้สบาย ไม่ต้องรีบปลุกแต่เช้า ที่จะต้องมีการแจกทานแก่ชาวเมืองลั่วและเมืองใกล้เคียง 

เสี่ยวเป่ารับคำสั่ง จากนั้นหยางหลงจึงกลับออกไป

เช้าวันถัดมา ลู่ตื่นนอนก่อนก็เห็นว่าเสี่ยวเป่ายังนอนอยู่หน้าเตียง จึงลุกไปล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกมาเดินเล่นอยู่ที่ด้านนอกตามลำพัง

จวนเจ้าเมืองกำลังวุ่นวายด้วยมีการแจกทาน และตั้งโรงทานที่ด้านหน้า ส่วนที่เรือนหลังใหญ่ ที่เป็นส่วนทำงานของเจ้าเมือง ก็มีการจัดเตรียมสถานที่สำหรับการส่งมอบตำแหน่ง

คนงานผู้หนึ่งอยู่ในสวนหันมาเห็นลู่เดินอยู่โดยลำพัง ก็นึกเอะใจรีบเข้ามาไต่ถามว่าเสี่ยวเป่ากับเซียงเซียงไปอยู่ที่ใด ลู่ตอบไปว่าพบแต่เสี่ยวเป่าที่ยังไม่ตื่น เมื่อคนงานถามว่าหิวหรือไม่ ลู่ก็ตอบว่ายังไม่หิว

"ตอนนี้ ท่านเจ้าเมืองและนายท่านทุกคนต่างก็ไปแจกทาน คุณชายน้อยจะไปดูหรือไม่ขอรับ"
ลู่เอียงคอคิดตาม
"ไปดูห่าง ๆก็คงไม่เป็นไร"
คนงานผู้นี้ นึกสงสัยว่าหากคุณชายลู่จะไปร่วมแจกทานก็คงมิมีผู้ใดขัด หรือแท้ที่จริงแล้วมี คุณชายน้อยถึงได้กล่าวเช่นนี้
เมื่อไปถึงโรงทาน พบพี่เลี้ยงหลายคนดูแลกลุ่มคุณชายน้อยทั้งสองคนของหยางหลง กับบรรดาลูก ๆ ของหยางเฉิง และหยางไห่ที่มาเล่นอยู่ด้วยกันที่ศาลาด้านหลัง ขณะที่พวกผู้ใหญ่อยู่ที่โรงทานด้านหน้า
เด็ก ๆ ที่ได้พบกันเมื่อวานนี้แล้วครั้งหนึ่ง เมื่อพบกันอีกครั้งก็ชักชวนกันไปเล่นอย่างคุ้นเคย
หลังจากที่คนงานชายที่พาคุณชายลู่มาส่งที่โรงทานกลับไปได้พักหนึ่ง เจ้าเด็กเสี่ยวเป่าถึงได้กระหืดกระหอบมาถึง แล้วก็โดนบรรดาพี่เลี้ยงและคนรับใช้อบรมเสียยืดยาว โทษฐานที่ตื่นทีหลังเจ้านาย 

"ข้าไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว" ลู่ช่วยเถียง แต่เสียงก็เบาเหลือเกิน ทั้งเนื้อเสียงที่ไม่ได้แข็งแรง คำกล่าวนี้จึงไม่ได้เพิ่มน้ำหนักในข้อแก้ต่างของเสี่ยวเป่าเลยสักนิด กลับไปเพิ่มโทษให้กับเสี่ยวเป่าเสียด้วยซ้ำ
"คุณชายไม่แข็งแรงยังไม่รู้จักดูแลให้ดี"
เจ้าเด็กเสี่ยวเป่าโดนดุเสียจนหยางเจียเจิงบุตรชายคนโตของหยางหลงต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
"เสี่ยวเป่ามาทำของเล่นให้พวกเราเล่นเป็นการชดใช้เดี๋ยวนี้เลย"
ใบหน้ากลม ๆ ยิ้มแป้นขณะที่วิ่งเข้าไปในสวนเก็บกิ่งไม้เล็ก ๆ กับใบไม้และดอกไม้มาทำของเล่นให้กับคุณชายและคุณหนูทั้งหลาย

เด็กเสี่ยวเป่าทำม้าไม้หลายตัวแจกจ่ายเหล่าคุณหนู ขณะที่ลู่รับมาแล้วหัวเราะคิกคัก
"นี่คือม้าหรือ"
เสี่ยวเป่าทำปากยื่น "ม้าของเล่นไงขอรับ ต้องใช้จินตนาการเข้าไปช่วย"
"งั้นหรือ" ลู่ถามขึ้น "แล้วมันทำอะไรได้บ้าง"
หยางเจิ้นขุย บุตรเล็กแห่งหยางหลงกล่าวขึ้นทันที "มันย่อมวิ่งได้"
หยางฉวน บุตรคนโตของหยางเฉินตอบด้วยเสียงอันดังขณะที่ชูม้าไม้ในมือของตน "ม้าของข้าวิ่งได้เร็วที่สุด ไม่มีม้าของใครวิ่งได้เร็วกว่าข้า"

ลู่พยักหน้า ขณะที่คิดในใจว่าบุตรชายคนโตของหยางเฉินผู้นี้รอบคอบอย่างยิ่ง ซึ่งอาจเกิดจากการที่เขาอยู่ในครอบครัวใหญ่ และยังมีน้องอีกสามคน ทำให้เวลาพูดจาต้องรัดกุม
หยางจื้อเจ๋อบุตรสาวคนเล็กของหยางเฉิงกล่าวขึ้นบ้าง "เสี่ยวเป่าทำนกให้ข้าเล่นด้วยสิ"
หยางเย่เจียบุตรสาวอีกคนของหยางเฉิงกลับต้องการนกเป็ดน้ำ
"นกเป็ดน้ำเลยหรือ" เสี่ยวเป่าได้แต่ร้องในใจว่าครานี้ย่ำแย่แล้ว คุณหนูร้องขอของเล่นที่ยากขึ้นทุกที

จู่ ๆ บนท้องฟ้ากลับปรากฎนกป่าฝูงหนึ่งบินลงมาที่สวน ลู่หยิบถั่วหนึ่งกำมือเดินนำออกไป
"อย่าเสียงดังนะ"
คุณหนูทั้งหญิงและชายก็ล้วนทำตาม
เสียงเอะอะโวยวายเมื่อครู่พลันเงียบลง ภาพของเด็ก ๆที่ให้อาหารนกและวิ่งเล่นกันโดยที่พยายามไม่ส่งเสียงกลับดูน่าสนุก และพลอยทำให้บรรดานางพี่เลี้ยงทั้งหลายก็พากันไม่กล้าส่งเสียงตามไปด้วย จนกระทั่งเมล็ดถั่วหมดลงไปแล้ว นกฝูงนั้นยังคงอยู่อีกครู่หนึ่งจึงกลับไป

เสี่ยวเป่าหันไปมองหน้ากับเซียงเซียงพี่สาว แต่ลู่กลับกล่าวขึ้นก่อน
"นี่หาใช่เรื่องแปลก ใคร ๆก็ทำได้"
พี่น้องสองคนหันไปมองหน้ากันอีกครา
.....จริงหรือ แต่นั่นคือนกป่าที่ดูอย่างไรก็เห็นได้ชัดเจนว่า พวกมันตั้งใจบินมาที่นี่ แถมพอกินอิ่มก็อยู่เล่นกับเด็ก ๆ เสร็จแล้วก็พากันกลับไป
นี่หาใช่เรื่องแปลก ใคร ๆ ก็ทำได้จริงหรือ....

...จบบทที่สี่....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: ZYSQ_ ที่ 07-01-2017 20:42:21
โดนความน่ารักของกวางน้อยกระแทกใจอย่างรุนแรง
ยิ่งดาเมจแบบคริติคอลตรงฉากจุ๊บกันนี่ทำเอาสุต้องยกธงขาวเลยค่ะ
ยอมแล้วจ้าาาาาา ฟินแล้วจ้าาาาาาาาาา 
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-01-2017 21:34:56
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 07-01-2017 21:55:28
หยางหลง แพ้ทางกวางน้อยแล้วใช่ไหม ลู่นีอาจจะมีอะไรพิเศษซ่อนอยู่อีกเยอะนะ แต่ตอนนี้เป็นหัวหน้าแก๊งค์คุณหนูสกุลหยางไปก่อนเนอะ :)
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 07-01-2017 22:05:28
 :3123: :3123: :L2: :L2: :pig4: :pig4:

ลู่กลายเป็นขวัญใจของคนในบ้านหมดเเล้ว...กวาดทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 07-01-2017 22:56:40
มาลงชื่อไว้ก่อน ขอไปอ่านช้าๆ แล้วจะแวะมาอีกรอบนะจ๊ะ

คิดถึงเด็กน้อยแถวนี้ :)
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 08-01-2017 07:02:24
 :L2:

น้องลู่น่ารัก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: cher7343 ที่ 08-01-2017 08:24:14
มีคนตบะแตกแล้ว ลู่น้อยน่ารักก็งี้ ใครจะทนไหว   :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 08-01-2017 08:52:04
ลู่รู้สึกยังไงกับหยางหลงคะ อ่านตอนนี้แล้วมองความรู้สึกของลู่ไม่ออกเลย รอตอนต่อไปค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 08-01-2017 09:17:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 08-01-2017 09:23:52
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-01-2017 09:39:25
ไว้รอหลาย ๆ ตอนแล้วจะกลับมาอ่านยาวเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 08-01-2017 09:46:42
ระวังโดนพ่อเสือเขมือบนะ 555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 08-01-2017 10:11:38
สนุกมากค่ะรอตอนต่อไปอยุ่นะคะ :katai4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-01-2017 11:19:32
แน่ะ! มาจุ๊บมัดจำหรืออย่างไร

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 08-01-2017 12:35:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 08-01-2017 14:09:10
มีจุ๊บด้วย  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 08-01-2017 17:29:17
กรีสสสสสสสส ลู่น้อยของเราน่ารักมากมาย
ช่วงเวลา2เดือนนี้คงสร้างสีสันให้กับเมืองนี้อีกแยะ

ทำไมให้ความรู้สึกเหมือนรักแรกพบ เพียงแต่อยางหลงนั้นไม่สามารถทำอะไรตามใจจนเองได้ง่ายๆ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: Chise ที่ 08-01-2017 20:21:04
 ลู่น้อยน่ารักมากก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-01-2017 09:06:37
มองเห็นแต่อุปสรรคความรัก รักแต่ครอบครองไม่ได้หรือเปล่านี่  :ling3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-01-2017 00:46:47
เพิ่งเห็นนิยายเรื่องใหม่ของคุณไจฟกับคุณที อิอิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 10-01-2017 09:38:25
น้องลู่น่ารักอ่ะ ตกหลุมเสน่าห์น้องแล้วล่ะซิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 10-01-2017 20:56:07
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา
บทที่สี่ เขาจุ๊บกันแล้ว  ดีจัง...  :impress2:
การบ้านการเมืองให้ผู้ใหญ่จัดการกันไป
เด็กๆ รวมก๊วนเล่นกันดีกว่า โดยมีลูกพี่ลู่เป็นผู้นำ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่4 (P4-7160)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 14-01-2017 21:26:41
หยางหลงคงต้องเปลี่ยนชื่อ เพราะเท่านี้ก็ 'หลง' น้องลู่จนไปเผลอจูบเขาเข้าให้แล้ว ยิ่งวันความรู้สึกก็ยิ่งรุนแรง อย่างนี้หยางหลงจะทำอย่างไรดีล่ะ

เนื้อเรื่องค่อยๆ ถูกปูลาดออกมาให้ผู้อ่านได้เห็นภาพสถานการณ์ต่างๆ ในเรื่อง ทั้งสถานการณ์ในครอบครัวใหญ่ของตระกูลเจ้าเมืองลั่ว และสถานการณ์ของประเทศนี้ อีกทั้งความรู้สึกเป็นกังวลว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับป่าสีทองหรือไม่ จริงอยู่ว่าเทพสถิตอยู่ในป่าสีทอง ทว่านับแต่อดีตเป็นต้นมามนุษย์ก็ช่วงชิงเอาทุกอย่างมาจากธรรมชาติ อย่างนี้เทพเจ้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งธรรมชาติก็ย่อมจะไม่อาจหลีกพ้นต้องถูกทำให้เลือนหายไปเพราะมนุษย์ใช่หรือไม่ และป่าสีทองซึ่งมีเทพเจ้าคอยปกป้องก็อาจถูกทำลาย นี่ดิฉันค่อยๆ อ่านไป และค่อยๆ คิดตามแล้วก็สนุกจริงๆ ค่ะ

อีกอย่างหนึ่งคืออยากให้น้องลู่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์อะไรอื่นอีกให้คนในเมืองได้เห็น จะได้ช่วย confirm ความเชื่อของชาวเมืองอีกว่า เทพแห่งป่าสีทองนั้นมีจริง ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่ากล่าวขานใดๆ อย่างน้อยฮูหยินของหยางติงก็อาจจะลดทิฐิลงมาบ้าง ไม่ใช่ทำตัวมีครอบงำผัวและลูกอย่างที่เป็นทุกวันนี้ เฮ้อ...อ่านแล้วอินค่ะ อิอิ

ขอบคุณไจฟ์กับน้องทีมากนะคะ รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 15-01-2017 06:10:00
ภาคกวางทอง

บทที่ห้า

เมืองลั่วจัดเป็นเมืองเล็ก ไม่ได้เป็นจุดยุทธศาสตร์ใด ๆ ประชากรก็ไม่ได้หนาแน่น พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองนี้คือป่าสีทอง และไร่นาของชาวบ้าน
แต่เมืองลั่วคือเมืองที่ผู้คนมีความสุขมากที่สุดแห่งหนึ่งของอาณาจักรไท่ชาง
ก็ใช่ว่าที่นี่จะเป็นเมืองในฝันที่ผู้คนพากันถือศีล และมีแต่ความสงบ สันติ เมืองลั่วก็มีทั้งโรงน้ำชา มีโรงละคร มีบ่อนการพนัน มีคดีความให้เจ้าพนักงานต้องจัดการกันอยู่เนือง ๆ แต่อาจเพราะมีประชากรน้อย คนต่างเมืองเข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยนและพักผ่อน แต่ไม่ค่อยมีครอบครัวใหม่ย้ายเข้ามาตั้งรกราก
เรียกว่านานข้ามปีกันเลยทีเดียว กว่าที่พนักงานกรมเมืองจะได้ลงทะเบียนประชากรที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่สักครอบครัวหนึ่ง
แต่หากเป็นเรื่องลงทะเบียนแจ้งเกิดแล้วละก็ ที่นี่ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ราวสัปดาห์ละคนเลยทีเดียว ถึงกระนั้นพอเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวก็มักโยกย้ายออกไปพักอยู่ในเมืองใหญ่ ที่มีสีสัน และมีโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งได้มากกว่าที่นี่

เมื่อสรุปโดยรวมอาจถือได้ว่า เมืองลั่วเป็นเมืองน่าอยู่...แบบเงียบ ๆ 

หยางเฉิงเงยหน้าขึ้นจากบัญชีเจ้าพนักงาน และคนงานของสำนักคุ้มกันภัย แล้วหันไปหารือกับนายกองเมือง ตลอดจนหัวหน้ามือปราบ ด้วยจำนวนเจ้าพนักงานที่เห็นว่าในยามปกติมีจำนวนที่มากเกินไป แต่เมื่อมีการจัดงาน คนที่มีอยู่ก็กลับไม่พอ
เพราะเมื่อมีงานสำคัญ บรรดาร้านค้า สถานบันเทิงต่าง ๆ ล้วนนำเสนอสินค้า หรือการแสดงแปลกใหม่ออกมาดึงดูดผู้ที่เดินทางมาท่องเที่ยว
เมืองลั่วไม่ได้มีงานใหญ่เช่นนี้มานานแล้ว ยามนี้หากเดินเข้าไปในร้านค้าสักร้าน ย่อมได้ยินแต่เสียงหารือว่า จะนำเสนอสินค้าใดออกมาดี
อาหารแปลกใหม่
อาภรณ์สีและแบบแปลกใหม่
สุรารสเลิศ
บทเพลงใหม่
ละครเรื่องใหม่
ความคึกคักตื่นเต้นนี้ ช่างน่ายินดีจริง ๆ

นอกจากผู้คนมากมายที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวแล้ว ยังมีกลุ่มคนยากจนที่จะเดินทางมาเพื่อรับแจกสิ่งของเช่นกัน
เรียกว่านับตั้งแต่มีการติดประกาศออกไป เจ้าพนักงานฝ่ายต่าง ๆ ก็เริ่มการตรวจสอบและจับตาผู้คนแปลกหน้าที่ทยอยเดินทางมาในเมือง

หยางเฉิงเสนอว่าจะรับสมัครคนหนุ่มมารับจ้างทำงานชั่วคราวเป็นเวลาสิบวัน เพื่อเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยในช่วงที่มีผู้คนพลุกพล่าน เพราะต้องไม่ลืมว่าที่นี่ยังมีปัญหาของเมืองเหอ ที่ยังเป็นเรื่องค้างคาใจกันอยู่
ทุกคนเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เพราะเป็นการว่าจ้างงานในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน ทั้งยังเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้ทุกครอบครัวเกิดความรู้สึกเป็นเจ้าภาพร่วมกัน

ขณะที่หยางเฉิงจดบันทึกนี้ด้วยตนเองเพื่อนำไปรายงานกับหยางหลง ฝ่ายหยางไห่ก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการกำกับดูแลกิจการร้านค้าต่าง ๆ กำชับเรื่องการตรวจสอบสินค้าที่จะนำเข้ามา และที่จะต้องส่งออกไป สินค้าที่จะต้องใช้ในการจัดงาน แจกทาน สิ่งของกำนัล สิ่งของที่ระลึก และที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมบัญชีรายจ่ายไม่ให้เกิดสีแดงขึ้นโดยเด็ดขาด!

หยางหลงผู้เป็นว่าที่เจ้าเมือง กล่าวขอบใจน้องชายทั้งสองด้วยใจจริง แต่หยางเฉิงกลับตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า "พวกเราวุ่นวายเพียงไม่กี่วันนี้ แต่ท่านจะวุ่นวายนับจากนี้เป็นต้นไป"
ส่วนหยางไห่ผู้เป็นน้องเล็กหัวเราะเสียงดัง หาได้เกี่ยงการทำงานเช่นกัน
"อย่างไรก็ขอบใจมาก" ด้วยจนถึงบัดนี้หยางหลงก็ยังคงคิดอยู่เสมอว่า หากน้องชายทั้งสองคนคิดต้องการตำแหน่งเจ้าเมือง เขาก็พร้อมที่จะมอบให้อย่างมิเกี่ยงงอนเช่นกัน
แต่หยางเฉิงกลับตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉยเช่นเดิมว่า "ข้ากับน้องเล็กดูเป็นคนที่มีความอดทนและยุติธรรมหรือ"
"ไม่เลย" หยางไห่ชิงตอบก่อนพี่ใหญ่ "หากให้พี่รองเป็นเจ้าเมือง เขาจะออกกฎระเบียบควบคุมแม้แต่รายการอาหารที่เราจะต้องกินในแต่ละวัน แต่หากข้าเป็นเจ้าเมืองข้าจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงและเงินรางวัลให้กับทุกคนในเมืองอย่างเท่าเทียม"
หยางหลงทำได้แค่บ่นกับตนเอง "ทำเช่นนั้นได้อย่างไร"
หยางไห่พยักหน้าเร็ว ๆ "ดังนั้นท่านเป็นเจ้าเมืองไปเถอะ อย่ามากล่าวคำเกรงใจ หรือคิดอะไรที่มันเป็นไปมิได้เลย"
และนั่นทำให้พี่ใหญ่ต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะกล่าวคำขอบใจน้องชายทั้งสองคนไปในที่สุด

ตั้งแต่เช้ามืด ก่อนที่โรงทานจะเปิดประตู ก็มีคนจำนวนมากมารอคอยการแจกจ่ายทั้งอาหารและสิ่งของ หยางติงแม้จะมีสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ในใจกลับขื่นขม ด้วยผู้ที่มารับการแจกทานจำนวนมาก คือคนยากจนจากต่างเมือง ขณะที่ชาวเมืองลั่วหลายคนยอมสละสิทธิ์ในการรับของแจก ทั้งมีเศรษฐีหลายคนที่นำข้าวของมาสมทบด้วย

เพราะเมื่อมาคิดดูอีกที ขอทานที่อยู่ในเมืองลั่ว หลายคนที่เป็นชาวเมืองลั่วแต่ดั้งเดิม ซึ่งพิการหรือคนวิกลจริต ยังมีคนที่สมองและร่างกายเสื่อมโทรมด้วยพิษของสุรา ก็หันไปขอทานในช่วงบั้นปลายเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ขอทานที่พบเจอในตลาด คือคนที่มาจากต่างเมือง พวกเขาเป็นขอทานที่มีร่างกายสมบูรณ์ เมื่อได้อาหารหรือสิ่งของมากพอก็จะพากันไปอาศัยอยู่รวมกันตามอารามเก่า 

ทั้งหยางติง และบรรดาชาวเมืองมิได้เห็นว่าขอทานจากต่างเมืองเหล่านี้จะเป็นคนที่นำมาซึ่งความยุ่งยากสร้างปัญหา เพียงแต่อาจมองไม่เห็นช่องทางในการทำงาน หรืออาจเกียจคร้านทำการงาน เมื่อของที่ขอไปใช้หมดลงแล้วก็จะกลับมาขอใหม่เท่านั้นเอง

นอกจากนี้แล้วยังมีคนต่างถิ่นที่มิใช่ขอทาน แต่คือคนยากจนจริง ๆ ที่มาจากเมืองอื่นเพื่อรับของแจกทานคนกลุ่มนี้ทำให้หยางติงรู้สึกไม่สบายใจ
...ขณะที่เราพอใจกับความเป็นอยู่ที่สุขสบายในบ้านของเรา แต่เพื่อนบ้านของเรากลับลำบากถึงเพียงนี้

ก่อนการแจกจ่ายสิ่งของ หยางติง กับหยางหลง เจ้าเมืองที่กำลังจะพ้นจากอำนาจกับว่าที่เจ้าเมืองคนใหม่เริ่มพิธีการด้วยการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพเจ้าประจำเมือง และเทพแห่งป่าสีทอง จากนั้นจึงมอบของกำนัลให้กับบรรดาหัวหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายต่าง ๆ ให้นำไปมอบให้กับคนในสังกัด เสร็จแล้วจึงเริ่มการทำทานแจกจ่ายสิ่งของ
ส่วนเหอชินรุ่ยกับหลิวเพ่ยหลิง คนหนึ่งเพียงร่วมการสักการะสิ่งศักดิ์ก็กลับไปที่จวน ส่วนอีกคนก็กลับไปช่วยงานในโรงครัว
ยังคงความเป็นมารดาสามีกับลูกสะใภ้ที่ห่างเหิน และประหยัดถ้อยคำต่อกันอย่างยิ่ง

หยางติงเป็นผู้มีจิตใจดี หลังแจกของไปได้ครู่ใหญ่ก็วางมือ สั่งการให้หยางหลงแจกจ่ายไปจนกว่าของที่เตรียมไว้จะหมด ส่วนตนเองเดินไปพูดคุยกับคนยากจนที่มาจากต่างเมือง หลายคนเล่าว่าจะเดินทางกลับหลังจากรับของแจกในวันนี้ แต่ก็มีอีกกลุ่มใหญ่ที่เดินทางมาจากเมืองที่กำลังมีการเคลื่อนไหวรวบรวมไพร่พลเพื่อต่อต้านเมืองหลวง เมื่อรู้ว่าเมืองลั่วยังภักดีต่อเมืองหลวงจึงมาขออาศัยอยู่ด้วยสักระยะ
หยางติงพูดคุยกับคนกลุ่มนี้นานเป็นพิเศษ จากนั้นก็กลับไปรับลู่ที่ศาลาด้านหลังของโรงทานชักชวนกันไปช่วยกันจัดหาที่พักและหาที่ทำงานให้พวกเขา
หยางเจียเจิงขอตามไปด้วย แต่พอพี่ใหญ่ของบรรดาลูกสมุนอีกหกคนจะไปข้างนอก มีหรือทั้งหมดจะไม่ร้องตามโดยเฉพาะเพ่ยเพ่ยธิดาอายุสามขวบของหยางไห่ที่ร้องตามขอไปด้วยเช่นกัน
หยางติงเจ้าเมืองลั่วที่เหลือเวลาในการดำรงตำแหน่งอีกเพียงไม่กี่ชั่วยาม จึงต้องตัดสินคดีความที่ยุ่งยากที่สุดในชีวิต ด้วยการให้หลานทุกคนอยู่ที่นี่ และพาเพียงคุณชายลู่ไปช่วยงานดูแลคนต่างถิ่น
คุณชายลู่ไม่อยู่ เสี่ยวเป่าคนทำของเล่นก็ไม่อยู่ เซียงเซียงคนที่คอยเติมขนมและน้ำดื่มให้ตลอดเวลาก็ไปด้วย ดังนั้นเสียงประท้วงของบรรดาผู้มีอิทธิพลตัวน้อยจึงช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
 
ถามว่าจะมีเจ้าเมืองคนใดในอาณาจักรไท่ชางที่ต้องทำเองถึงเพียงนี้ ก็เห็นจะมีแต่หยางติงเจ้าเมืองลั่วคนที่ชื่นชอบการเดินออกมานอกจวนเจ้าเมืองผู้นี้เพียงคนเดียว

ขณะที่หยางหลงกับเพ่ยหลิงรับหน้าที่สำคัญอยู่ที่โรงทานต่อไป ฝ่ายเหอชินรุ่ยที่อยู่ในเรือนพักหลังใหญ่ มีคนสนิทของนางไปแจ้งว่าหยางติงออกจากโรงทานไปช่วยคนต่างถิ่นกับคนยากจนหาที่พักและหางานให้ทำชั่วคราว นางจึงกลับออกมาช่วยบุตรชายและสะใภ้ที่โรงทานอีกรอบ

หลังบ่นไม่พอใจเรื่องที่สามีกับบุตรชายเลือกฝ่ายเมืองหลวง ก็ตามมาด้วยการบ่นเรื่องที่สามีเพิกเฉยต่อการแจกทาน และแจกอาหาร กระทั่งบ่ายจัดเมื่อการแจกอาหารหมดลง นางจึงหันไปกล่าวกับบุตรคนโต
"ที่คนมารับของแจกมากมายเช่นนี้ ก็เพราะการที่มีกองทหารมารั้งรออยู่ใกล้ ผู้คนกลัวว่าจะเกิดสงครามขึ้น นี่หากพ่อของเจ้าเลือกฝ่ายเมืองเหอ ทหารของฝ่ายเมืองเหอก็คงผ่านเมืองลั่วไปแล้ว เมืองลั่วเองก็ไม่จำเป็นต้องรองรับผู้คนจากทุกสารทิศเช่นนี้"

คำกล่าวของผู้เป็นมารดาถือว่ากล่าวเกินไป เมืองเหอมีการรวบรวมผู้คนก็จริง แต่ก็ยังมิอาจเรียกว่าเป็นกองทัพ ส่วนกองทัพของฝ่ายเมืองหลวง ย่อมมีอยู่ในทุกหัวเมืองสำคัญ แต่หัวเมืองใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด ยังอาจต้องใช้เวลาในการเดินเท้านานนับสัปดาห์
ขณะที่คำกล่าวประโยคสุดท้ายของมารดาเกี่ยวกับการเลี้ยงดูผู้คนนั้น หยางหลงเห็นว่าผิดวิสัยของมารดาไปมาก
เมื่อดูสีหน้าของบุตรชาย เหอชินรุ่ยก็รู้ตัวที่กล่าวคำอย่างง่ายดายเกินไป และเห็นแก่ตัวยิ่งนัก นางเป็นธิดาของเมืองเหอ ทั้งเป็นฮูหยินเจ้าเมืองลั่วมานานนับสิบปี ย่อมรู้ดีว่าความเป็นจริงคืออะไร แต่เมื่อกล่าวคำไปแล้วก็มิสามารถเรียกกลับคืนมาได้

เมื่อออกจากโรงทานกลับมาถึงจวนเจ้าเมือง บรรดาหลาน ๆ ที่เล่นอยู่ด้วยกันที่ศาลาหลังใหญ่ต่างหันมากล่าวทักทาย ในที่นี้ไม่มีชุนผิงที่เป็นฮูหยินใหญ่ของหยางเฉิง และ เจียฉี ฮูหยินของหยางไห่ เรียกได้ว่ามีแต่เพียงบรรดาฮูหยินรองและฮูหยินในลำดับถัดมาของหยางเฉิง ที่นั่งสนทนาและกินของว่าง ส่วนเรื่องการดูแลเด็ก ๆ กลับให้เป็นหน้าที่ของพี่เลี้ยงจำนวนนับสิบคน
เหอชินรุ่ยปรายตามองบรรดาสะใภ้เหล่านี้ด้วยสายตาเหยียดหยาม
สุดท้ายแล้วก็มีแต่ภรรยาเอกที่ทำงานหนัก ด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ส่วนสะใภ้รองเหล่านี้ก็ดีแต่กินเปล่าไปวัน ๆ

เมื่อกลับมาถึงเรือนหลังใหญ่ เหอชินรุ่นโบกมือให้คนรับใช้ออกไปก่อน แล้วจึงถามบุตรชายคนโต
"เด็กคนนั้นไม่ได้เล่นอยู่กับหลาน ๆ"
หยางหลงทราบว่ามารดาหมายถึงลู่ และรู้สึกถึงความไม่ไว้วางใจอยู่ในน้ำเสียงของมารดา "ท่านพ่อพาไปช่วยงานดูแลจัดหาที่พัก หากท่านแม่ต้องการพบ..."
เหอชินรุ่ยโบกมือ ขณะที่นั่งลงจิบน้ำชา "เขาอายุเท่าไหร่นะสิบห้าหรือสิบหกปี"
ข้อนี้หยางหลงก็มิแน่ใจ "เท่าที่คุยกันเมื่อคืน ลู่บอกว่าเขามิใช่เด็กแล้ว แต่ทุกคนล้วนปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นเด็ก ๆ"
เหอชินรุ่ยกัดริมฝีปากแน่น แล้วบอกให้หยางหลงเรียกคนรับใช้เข้ามา เพราะนางต้องการจะพักผ่อนแล้ว

ที่ด้านหน้าเรือนพักหลังใหญ่ หยางหลงพบซูเหยา หรือฮูหยินหกของหยางเฉิงรออยู่ นางเป็นชาวเมืองเหอและเป็นญาติห่าง ๆ ของเหอชินรุ่ย เมื่อเห็นว่าหยางหลงเดินออกมาจากเรือนก็ค้อมตัวทำความเคารพ
แม้ซูเหยาจะสมรสกับหยางเฉิงมาปีเศษ แต่ก็ไม่เคยสนทนาอันใดกับพี่ใหญ่ของสามี เมื่อทำความเคารพแล้วจึงเพียงเดินสวนเข้าไปหามารดาของสามี
อันที่จริง เมื่อครู่นางก็อยู่ในกลุ่มสะใภ้ที่มารดาเพิ่งแสดงสีหน้าว่าไม่พึงพอใจเช่นกัน

ชายหนุ่มมองตามหลังซูเหยาแล้วหันมาเห็นว่าหลิวเพ่ยหลิงยืนรออยู่ที่ศาลาหลังใหญ่ในสวน จึงเดินเข้าไปหา
"มีเรื่องไม่สบายใจหรือเจ้าคะ" หลิวเพ่ยหลิงยิ้มอ่อนหวานอย่างยิ่ง เมื่อสามีนั่งลงก็บีบนวดไหล่ให้
หยางหลงพยักหน้า เล่าว่า มารดาคล้ายมีเรื่องค้างคาใจที่ไม่ยอมบอกกล่าวออกมา และอยากให้นางช่วยดูแล
"แต่เมื่อครู่ข้าเห็นซูเหยาเพิ่งเข้าไปหาท่านแม่นี่เจ้าคะ"
"ใช่" หยางหลงบอก "ท่านแม่ไม่พอใจการตัดสินใจของพวกเรา ส่วนฮูหยินหกของน้องรองมาจากเมืองเหอเหมือนกัน หากนางจะช่วยกล่าวคำเพื่อบรรเทาความไม่พอใจของท่านแม่ก็คงดี แต่เกรงว่าจะยิ่งสุมไฟให้รุนแรงขึ้น"
หยางหลงมิได้สนิทกับซูเหยามากนัก เพียงแต่กล่าวแสดงความเห็นจากการดูบุคลิกลักษณะของสตรีผู้นี้เท่านั้น

หลิวเพ่ยหลิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ เรื่องราวภายในของจวนเจ้าเมืองลั่วมีความขัดแย้งฝังอยู่ลึก ๆ หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นยังมีเรื่องของซูเหยา ที่แม้นางจะเป็นอนุแต่ก็มิยอมลงให้กับผู้ใด มักอวดว่านางเป็นญาติห่าง ๆ ของมารดาสามี
หากแต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสามี หรือผู้ใหญ่ ซูเหยาผู้นี้จะมีท่าทีเรียบร้อย อ่อนหวาน และอ่อนน้อมอย่างยิ่ง
ความร้ายกาจของซูเหยาก็เป็นอีกเรื่องที่หลิวเพ่ยหลิง มิได้นำไปบอกเล่าต่อสามี เพราะเห็นว่านี่คือเรื่องธรรมชาติของสตรี 
แต่เรื่องที่สามีจะให้นางเดินเข้าไปหามารดาเพื่อพูดคุยเอาใจ ไม่แน่ว่าอาจถูกแปรเจตนาไปอีกทาง
ด้วยทุกวันนี้ก็ได้แต่หลบหน้า พูดจาน้อยคำที่สุด คิดไปคิดมา คนที่น่าจะให้ความช่วยเหลือเรื่องการเอาใจมารดาของสามี ก็คงจะมีเพียงเจียฉี กับเพ่ยเพ่ย ภรรยาและบุตรสาวของหยางไห่เท่านั้น

เมื่อหยางหลงกลับไปทำงานต่อที่ศาลากลางของเมือง พบว่าหยางติงกับลู่ พร้อมด้วยเสี่ยวเป่ากับเซียงเซียงล้วนกลับมาถึงแล้ว และในเวลาไล่เลี่ยกันหยางเฉิง กับหยางไห่ก็ตามมา
เซียงเซียงจึงรีบไปจัดโต๊ะของว่างที่ห้องด้านใน

"วันนี้ท่านพ่อพาไปเที่ยวที่ไหน" หยางไห่หันมาถามลู่
ผู้มีดวงตาสีทองหันมายิ้มจนดวงตาเป็นสีทองให้กับหยางไห่ "ไปวัด มีพระใจดี ดูแลคนเยอะแยะ" หันไปรับผลไม้สีแดงม่วงจากหยางหลง แล้วหันมาเล่าเรื่อง "พระที่วัดบอกว่าปกติคนจะไม่มาวัดเยอะอย่างนี้"
เพราะผลไม้ที่กัดกินมีรสชาติฝาด ลู่หันไปทำหน้าตาเหยเกกับหยางหลง "มันฝาด"
หยางหลงกล่าวคำขอโทษ รีบเปลี่ยนผลไม้ลูกใหม่ให้ ส่วนหยางไห่หัวเราะร่วน มีเพียงหยางเฉิงที่จิบน้ำชาด้วยรอยยิ้มที่ซ่อนอยู่ในใบหน้า
ลู่กัดผลไม้ลูกใหม่ "ผลนี้เปรี้ยว ๆหวาน ๆ"
"ชอบไหม"
"ชอบ" คนชอบผลไม้ตอบแล้วก็หันมาคุยกับหยางไห่ "ท่านหยางติงพาไปตั้งหลายที่ ไปที่สวนด้วย พอบอกว่าพาคนไปช่วยงาน ฝากให้พักชั่วคราว แล้วก็ทำงาน ทุกคนดีใจกันใหญ่ที่มีงานทำ"

คนรับใช้ทยอยวางของว่างลงบนโต๊ะ ลู่หยุดเล่าเรื่องหันมามองซาลาเปา "อันนี้มีเนื้อ"
หยางหลงรีบหยิบจานซาลาเปาส่งให้กับคนรับใช้ ที่ลนลานเข้ามากล่าวขออภัย รับจานแล้วกลับออกไป
ลู่หันมามองหยางหลงที่กำลังขมวดคิ้วแน่น
"อยากกินซาลาเปาหรือ"
"มิใช่" หยางหลงคลี่ยิ้ม "แต่กำลังคิด"
"คิดเสียดายซาลาเปา"
"ไม่ใช่หรอก"
"แล้วเสียดายอันใด"
"ไม่ได้เสียดายอันใด" ไม่รอให้อีกคนตั้งคำถาม หยางหลงก็รีบบอกก่อน "เซียงเซียงไม่น่าจัดเตรียมของว่างนี้ให้เจ้า"

สองคนพี่น้องแบ่งงานดูแลลู่ตามนี้ เสี่ยวเป่าจะคอยอยู่ใกล้ชิด ขณะที่เซียงเซียงจะคอยจัดเตรียมอาหารและทำความสะอาด แต่เมื่อมีอาหารที่ลู่ไม่กินยกขึ้นมา หยางหลงจึงมีความสงสัย

"นางอาจจัดมาให้ท่าน"
หยางหลงส่ายหน้า ขณะที่เซียงเซียงยกถาดหมั่นโถวและขนมแป้งทอดเข้ามาให้ด้วยสีหน้าตกใจ
"ขออภัยเจ้าค่ะ"
พ่อลูกแซ่หยางทั้งสี่คนย่อมไม่กล่าวตำหนิคนดูแลใกล้ชิดต่อหน้าผู้คนมากมาย แต่เพียงแค่ทั้งหมดมองมาด้วยสายตาตำหนิที่เลินเล่อ ก็ทำให้เซียงเซียงแทบร่ำไห้
"ขออภัยขอรับ" เสี่ยวเป่าก็ช่วยขอโทษด้วย
ลู่หยิบซาลาเปาไส้ผักส่งให้หยางติง "กินเถอะ อย่าโมโหหิวเลย"
"มิได้โมโหหิว เพียงแต่นี่มิใช่มื้อแรกที่จัดให้เจ้า"
ผู้มีดวงตาสีทองส่ายหน้าหันไปหาหยางเฉิง "เมื่อวานฮูหยินของท่านรองทำเกี๊ยวไส้ถั่วกับเห็ดให้กินด้วย อร่อยมาก"
หยางเฉิงที่ไม่คอยแสดงความรู้สึกเมื่ออยู่บ้าน แต่ยามนี้กลับยืดตัว ยักคิ้วโอ้อวดกับหยางไห่ จนคนที่เป็นน้องเล็กวางแผนไว้ในใจว่าจะสั่งการให้ฮูหยินเตรียมอาหารพิเศษไว้รอรับคุณชายลู่เช่นกัน
"วันนี้ก็ยังไม่ได้ไปบ้านท่านหยางไห่เลย"
หยางไห่โบกมือ "ช่วงนี้วุ่นวาย ฮูหยินก็ยังต้องมาช่วยงานที่นี่ ลู่จะไปวันไหนก็ได้ ยังอยู่ที่นี่อีกหลายวันใช่หรือไม่"
ลู่ยิ้มแก้มพองขณะที่พยักหน้า ส่วนหยางติงลอบผ่อนลมหายใจยาว
บุตรทั้งสามคนล้วนตระหนักถึงความกังวลใจของผู้เป็นบิดา จึงชวนคุยเล่นไร้สาระอีกพักใหญ่ หยางหลงจึงกลับมาที่เรื่องการทำงาน

"หนังสือฉบับที่สองที่จะขอให้ท่านพ่อลงนามเสร็จเรียบร้อยแล้ว นับวันที่ส่งไปเมืองหลวงและกว่าจะกลับมาก็คงใช้เวลาเป็นเดือน ระหว่างนี้คงต้องเตรียมรับฝ่ายเมืองเหอที่น่าจะมาถึงก่อนในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า"
อันที่จริงบิดาและบุตรพูดคุยกันเรื่องกำหนดเวลาเหล่านี้กันมาแล้วหลายครั้ง ด้วยเหตุผลสำคัญที่หยางติงประกาศมอบตำแหน่งเจ้าเมืองภายในเวลาสองวันก็เพราะนี่เป็นห้วงเวลาที่ไม่ว่าจะฝ่ายใดก็ไม่สามารถเดินทางมาถึงเมืองลั่ว เพื่อคัดค้านการแต่งตั้ง
หยางติงมิได้กลัวการเจรจากับคู่ขัดแย้ง เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ก็มีการพูดคุยกันมาหลายครั้งหลายหน เพียงแต่เบื่อหน่ายกับการเจรจากับคนที่จวนเจ้าเมืองต่างหาก

หลังจากที่กินของว่างเสร็จ สามคนพี่น้องก็กลับไปทำงานอีกครั้ง ครู่ใหญ่ผ่านไปหยางเฉิงกลับมาแจ้งว่า เหอหลินจื้อ ท่านลุงรองจากเมืองเหออยู่ในระหว่างการเดินทางมาหา คาดว่าจะมาถึงในอีกสองวันข้างหน้า
"อย่างน้อยพวกเขาก็มิต้องให้พวกเรารอนาน" หยางติงกล่าวขึ้นแล้วหันมาหาลู่ "พวกเราก็กลับบ้านกันเถิด"

เหอชินรุ่ยย่อมทราบเรื่องที่พี่ชายคนรองกำลังเดินทางมาถึงเมืองลั่วก่อนที่หยางติงจะเอ่ยปากพูดขึ้น ส่วนจะทราบได้อย่างไร ก็ไม่เกินที่หยางติงจะคาดเดาได้ ดังนั้นหลังจากที่บอกกล่าวให้ทราบว่าเหอหลินจื้อกำลังเดินทางมา หยางติงก็เลี่ยงการพูดคุยกับฮูหยินด้วยการอ้างว่าต้องการไปเล่นหมากสักกระดานกับท่านอาจารย์ก่อนที่จะถึงเวลาอาหารเย็น
เมื่อหันหลังให้กับฮูหยินแล้วเดินห่างออกมา หยางติงก็ยังรับรู้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจของนาง
รู้จัก และรักนางมานานจนรู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ จึงเชื่อว่านางจะเข้าใจในสิ่งที่กำลังทำอยู่เช่นกัน หากเมื่อพบว่านางมิเข้าใจ ทั้งยังคงดื้อรั้นอยู่เช่นเดิม หยางติงจึงรู้สึกทั้งอึดอัดใจ และผิดหวังในเวลาเดียวกัน

หยางหลงกินอาหารมื้อเย็นที่ศาลาว่าการ โดยมีหยางเฉิงกับหยางไห่ร่วมโต๊ะ ทั้งสามคนพี่น้องยังคงกินอาหารไปพลางคุยเรื่องงานกันไปพลาง จากนั้นจึงแยกย้ายกันกลับเรือนของตนเอง
"คิดว่าจะให้ลู่พบกับท่านลุงรองหรือไม่" หยางไห่ถามแล้วเสนอความเห็น "หากไม่สะดวกก็พาไปฝากไว้ที่เรือนของพี่รองก่อนก็ได้ เพราะท่านแม่อาจให้เจียฉีพาเพ่ยเพ่ยไปพบท่านลุงรอง เรือนของข้าจะเหลือแค่พ่อบ้านกับคนรับใช้"
"คิดว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นหรือ" หยางเฉิงถาม "ลู่ยังเด็กอยู่ คงไม่ทำอะไรท่านลุงหรอก"
"ข้าไม่ได้กลัวลู่ แต่กังวลท่านลุงต่างหาก ท่านพี่เห็นแล้วว่า พวกเขาไม่เชื่อเรื่องป่าสีทอง ไม่เชื่อว่าลู่คือเทพแห่งป่า ขณะที่ท่านพ่อกับผู้ใหญ่ของบ้านเราเชื่อโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ตอนนี้ก็ขัดแย้งกันเรื่องที่ท่านพ่อไม่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของพวกเขา ถ้าต้องมาทะเลาะกันในเรื่องเชื่อ หรือไม่เชื่อ มันก็จะยิ่งบานปลาย"
"สำคัญคือท่านแม่ด้วย" หยางหลงกล่าวขึ้น ทำให้หยางเฉิงหัวเราะขึ้นจมูกทันที พี่ใหญ่จึงหันไปเตือน "นี่ก็อีกคน ถ้ามีการโต้แย้งกันเกิดขึ้น เจ้าต้องกระโดดเข้าไปร่วมวงด้วยแน่นอน"
หยางเฉิงเพียงแค่ยิ้มมุมปาก ที่ทำให้พี่ใหญ่กับน้องเล็กแน่ใจว่าคำกล่าวนี้ถูกต้อง
"น้องเล็กจะไปเมืองจ้ายโกวเมื่อใด" หยางหลงเปลี่ยนเรื่องสนทนา
"อีกสักสามวัน รอพบท่านลุงรองก่อน"
"ก็ดี" หยางหลงตอบสั้น ๆ

ค่ำแล้ว หยางหลงจึงกลับมาที่จวนเจ้าเมือง ที่เรือนต้นส้มเวลานี้ ทั้งหลิวเพ่ยหลิงและลูก ๆ กำลังเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ที่แผนกตัดเย็บเพิ่งส่งมาให้ เพื่อสวมใส่ในวันพรุ่งนี้ที่จะเป็นวันแรกที่หยางหลงทำหน้าที่เจ้าเมืองอย่างเป็นทางการ
หยางหลงมิใช่คนมากเรื่องมากความ มิว่าแม่ลูกจะหยิบชุดใดขึ้นมาถาม ก็บอกไปว่าดีงามทั้งสิ้น สุดท้ายหลิวเพ่ยหลิงจึงบอกให้สามีไปอาบน้ำล้างตัว ส่วนเรื่องเสื้อผ้านางจะจัดเตรียมไว้ให้เอง
"บอกแล้ว ว่าสุดท้ายท่านแม่ก็ยังต้องเป็นคนจัดการเช่นเดิม" หยางเจียเจิงหันไปพยักหน้าบอกกับเจิ้นขุยผู้เป็นน้องชาย

เมื่อหยางหลงอาบน้ำเสร็จ ก็พบว่าหลิวเพ่ยหลิงพาเด็ก ๆ เข้านอนไปแล้ว แต่ตัวนางยังรออยู่เพื่อมอบหยกประดับให้ชิ้นหนึ่ง
"ตอนที่ท่านพ่อส่งจดหมายมา ยังมอบหยกประดับมาฝากหลานด้วยหลายชิ้น ข้ามอบให้หลานของทั้งสองบ้านไปแล้วหลายชิ้น แต่ยังเก็บไว้สามชิ้นเพื่อให้ลูก ๆ กับท่านพี่ แต่เห็นว่าหยกชิ้นนี้เหมาะสมกับคุณชายลู่มากกว่า จึงขอฝากท่านพี่ไปมอบให้เขาด้วย"
หยกสีเขียวเนื้อดีชิ้นนี้เกาะสลักคำว่าแข็งแรง และร้อยด้วยเชือกสีแดง
"เพ่ยหลิง ลู่เขา...."
เพ่ยหลิงช้อนมือของหยางหลงให้รับหยกชิ้นนี้ไว้ นางคลี่ยิ้มงดงามปานบุปผา "มิว่าเขาเป็นใคร ข้าก็ยินดีที่เขาอยู่ในครอบครัวของเรา"
"แต่เขาเป็น..."
นางยังคงส่ายหน้า "ข้าเข้าใจ ได้ยินคนรับใช้คุยกันว่าเขาหนีมารดามา และมาอยู่แค่ไม่กี่วัน จึงอยากให้ท่านดูแลเขาให้ดี"
หยางหลงขมวดคิ้ว "เจ้าได้ยินเรื่องใดมา"
"ก็อย่างที่ท่านกังวล ฮูหยินหกเข้าไปรายงานเรื่องใดกับท่านแม่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเมื่อตอนที่นำอาหารมื้อเย็นเข้าไปให้ ท่าทีของนางแปลก ๆ ดูคล้ายกับว่าทั้งเสียใจแล้วก็โกรธในเวลาเดียวกัน"
"ท่านแม่ว่าอย่างไร"
หลิวเพ่ยหลิงส่ายหน้า ขณะที่จัดเสื้อให้สามี "ข้าจะหาโอกาสคุยกับฮูหยินใหญ่ของท่านรองในเรื่องนี้เอง ขอท่านอย่ากังวล อีกอย่าง ตั้งแต่คุณชายลู่มาถึง ท่านพ่อก็ดูผ่อนคลาย และมีความสุข ฮูหยินใหญ่เล่าว่าวันก่อนไปเล่นกับหลาน ๆ ที่เรือนท่านรองอย่างสนุกสนาน จนหลาน ๆ ไม่อยากให้กลับ" หลิวเพ่ยหลิงดันหลังของหยางหลงให้ออกมาจากเรือน "มิว่าคุณชายลู่จะเป็นใคร ขอเพียงเขานำเสียงหัวเราะเข้าบ้าน นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และนี่ก็ดึกแล้ว รีบเอาของไปมอบให้เขาก่อนที่เขาจะเข้านอนเถิด"

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 15-01-2017 06:10:34
(ต่อ)

ในยามดึก บรรดาคนงานที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันพากันแยกย้ายไปพักผ่อน เหลือเพียงผู้ที่เดินเวรยามอยู่รอบบ้าน และคอยดูแลน้ำมันในตะเกียงตามเสาสูงเท่านั้น
ที่เรือนดอกโบตั๋นกลับยังมีแสงไฟลอดผ่านหน้าต่างออกมา แต่ไม่มีเสียงพูดคุย เมื่อเข้าไปในเรือนพบว่าลู่กำลังก้มหน้าเขียนตัวหนังสืออยู่ กองกระดาษเต็มโต๊ะ เมื่อเห็นหยางหลงก้าวเข้ามา ก็หันมาแตะนิ้วที่ริมฝีปาก พยักหน้าไปที่เตียงไม้ตัวยาวติดผนังที่เสี่ยวเป่านอนหลับทั้งที่ในมือยังถือขนมหวานไว้ทั้งสองมือ
หยางหลงได้แต่ส่ายหน้า แล้วเดินเข้ามาหาลู่ กระซิบถาม
"ทำอันใดอยู่"
"เขียนคำมงคล" ลู่อวดตัวหนังสือสวยงาม ที่คัดตามตัวอย่างที่อาจารย์เขียนไว้ "อ่านว่ามั่นคง"
"เก่งมาก" หยางหลงเอ่ยชม "แต่นี่ดึกแล้ว เจ้าควรพักผ่อน"
ลู่พยักหน้า เลือกแผ่นกระดาษที่เพิ่งเขียนเสร็จให้กับหยางหลง "ขอให้ท่านเจ้าเมือง ปฏิบัติหน้าที่ราบรื่น สร้างเมืองลั่วให้มีแต่ความมั่นคง"
"ขอบใจมาก" หยางหลงรับมา แล้ววางผึ่งไว้เพื่อรอให้หมึกแห้ง จากนั้นรวบรวมแผ่นที่ไม่ใช้ไปใส่ตะกร้ารอนำไปทิ้ง ส่วนลู่เดินไปถึงบันไดก็หันมายื่นมือจับมือหยางหลงไว้ ก้าวเดินช้า ๆ ขึ้นไปที่ห้องนอน
"ตอนจะกลับไปอย่าลืมเก็บคำอวยพรกลับไปด้วยนะ"
"ไม่ลืมหรอก" หยางหลงให้คำมั่น "เพ่ยหลิงฝากหยกมาให้เจ้าด้วย"
แต่กว่าที่หยางหลงจะให้หยก ก็เมื่อช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนให้อีกคนเสร็จแล้ว
ลู่กล่าวคำขอบคุณด้วยดวงตาเป็นประกาย รอยยิ้มสดใสดุจแสงตะวัน
"ข้าจะวางหยกไว้ที่โต๊ะ พรุ่งนี้เสี่ยวเป่าช่วยเจ้าแต่งตัวแล้วค่อยประดับหยกไว้ที่เข็มขัด" ชายหนุ่มวางหยกไว้ที่โต๊ะแล้วหันมาหาลู่ที่นั่งอยู่บนเตียง

"เหนื่อยไหม" หยางหลงนั่งลงบนเตียงเช่นกัน
ลู่เอียงหน้าคิด "เหมือนจะเหนื่อย แต่ก็สนุกดี ไม่รู้เหมือนกันว่าเหนื่อยไหม"
ชายหนุ่มมองดวงตาสีทองที่สวยงาม "วันนี้ตอนที่พูดกันถึงเรื่องที่เจ้าจะกลับไปที่ป่าสีทอง ข้ากลับคิดแย้ง ว่าไม่อยากให้เจ้ากลับไปเลย"
ลู่เอนกายซุกตัวเข้ามากอดรอบเอวของหยางหลงไว้
เช่นเดียวกับแขนใหญ่ของหยางหลงกอดกระชับคนตัวเล็กไว้แน่น
"ข้าได้ยินคำอธิษฐานของท่าน"
หยางหลงก้มลงมองคนที่กล่าวคำทั้งที่ยังซุกหน้าแนบอกกว้าง
"ในรอบสองปีมานี้ ท่านเดินทางผ่านป่าสีทองหลายครั้ง ทุกครั้งที่ท่านรินสุราและโปรยข้าวเปลือก คำอธิษฐานของท่านจะเป็นเช่นเดิมมิเคยเปลี่ยน จนถึงครั้งหลังสุดข้ากำลังเล่นกับเพื่อนอยู่ ก็...กำลังคิดอยากหนีท่านแม่ด้วย เมื่อได้ยินคำอธิษฐานของท่าน ข้าก็เลยอธิษฐานอยู่ในใจเช่นกัน ว่าหากท่านเดินเข้ามาในป่าแล้วเราพบกัน ข้าจะตามท่านมา ปรากฎว่าท่านเข้ามาในป่าจริง ๆ"

เมื่อหยางหลงอธิษฐานอย่างมั่นคง แล้วลู่รับคำอธิษฐานนั้นมา แต่ทำไม่ได้จึงต้องขอร้องให้เทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดาช่วยสานต่อให้เสร็จสิ้น
แต่มากไปกว่านั้นก็คือ มีสัตว์เทพหลายตนในป่าได้ยินคำอธิษฐานของหยางหลง และรู้ว่าคำขอนั้นเป็นเรื่องใหญ่เกินไปจึงไม่มีผู้ใดออกมารับ ขณะที่เจ้ากวางทองผู้นี้รู้ทั้งรู้มาตั้งแต่แรกว่าตนเองทำไม่ได้ กลับอธิษฐานซ้ำเข้าไปเสียอีก

หยางหลงเองก็รู้สึกผิดสังเกตที่เดินเข้าไปในป่าสีทองวันนั้นแล้วพบสัตว์หลายชนิด อย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน
"ทุกคราเข้าไปในป่า จะได้ยินแต่เสียงนกร้อง แต่ในวันนั้นพบหลายตัวมาก จนยังนึกแปลกใจ กระทั่งได้พบเจ้า"
ลู่เงยหน้าขึ้นมอง ดวงตางดงามวาววับด้วยความเจ้าเล่ห์ "การพบกันอาจเป็นเรื่องบังเอิญ"
"แต่เรื่องนี้มิใช่เรื่องบังเอิญ" หยางหลงก้มลงจูบที่ริมฝีปากนุ่ม
จูบแรกเป็นเพียงจูบที่มิได้เปิดริมฝีปาก แต่เมื่อลู่ขยับริมฝีปาก หยางหลงก็ไล่ตามดูดริมฝีปากหวานนั้น
เป็นความหวานที่เมื่อได้ชิมแล้วยิ่งต้องการลิ้มรสมากกว่าเดิม จนกระทั่งลู่หอบน้อย ๆ หยางหลงถึงได้ถอนริมฝีปากออก แล้วแนบหน้าผากไว้

หยางหลงรู้อยู่แก่ใจ ว่าลู่คือเทพผู้มาจากป่าสีทอง แต่ตนเองเป็นมนุษย์ ความใกล้ชิดที่เป็นอยู่ในเวลานี้ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหากเทพเสือโคร่งภูผากลับมาแล้วรู้ว่าตนคิดอะไรอยู่ อาจถูกลงโทษถึงแก่ชีวิต
แต่หยางหลงมิเกรงกลัวการถูกลงโทษนั้น
สิ่งที่กังวลกลับเป็นความรู้สึกของลู่ ที่อาจมองว่าตนเองเป็นคนฉวยโอกาส
"นอนเถิด ข้าจะอยู่ที่นี่จนกว่าเจ้าจะหลับ"
ลู่พยักหน้า แล้วเอนกายลงนอน หยางหลงรอจนกระทั่งลู่หลับไปแล้ว จึงกลับไปที่เรือนพักของตนเอง

....จบบทที่ห้า....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 15-01-2017 06:11:43
เพิ่งเห็นว่าเปิดเรื่องใหม่ ดีใจอะ

 :o12: :o12:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 15-01-2017 10:46:46
บางทีก็อยากให้ลู่แสดงอิทธิฤทธิ์ซะบ้าง
ว่าแต่ท่านเจ้าเมืองไปจูบลู่คิดจะรับลู่เป็นฮูหยินรองหรือไง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 15-01-2017 11:54:53
 :o8:
เค้าจุบกันเเล้ววววว :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 15-01-2017 12:39:47
เรื่องราวจะลงเอยแบบไหนนะ  :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 15-01-2017 12:57:17
ลู่ยอมให้จูบเสียแล้ว รู้สึกหวงเล็กน้อย :o211: :o211:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: Wordslinger ที่ 15-01-2017 13:26:38
เรื่องมีภรรยาหลายคนนับว่าเป็นสิ่งธรรมดา เพราะน้องชายของหยางหลงต่างก็มีอนุภรรยาหลายคนทั้งนั้น ก็คงถือว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเมืองและเป็นสภาพสังคมในฉากของเรื่องนี้ แต่การที่ได้ทำอะไรลับลมคมในกับลู่เช่นนี้ อาจนำมาซึ่งเรื่องเศร้าในอนาคต และถ้าหากว่าเรื่องราวมันคลี่คลายออกมาในทางที่ดี คือไม่เกิดสงครามระหว่างเมืองเหอกับเมืองหลวง ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับป่าสีทอง ดิฉันก็ยังคิดว่า ลู่กับหยางหลงจะดำเนินความสัมพันธ์ที่เริ่มขึ้นนี้ต่อไปใช่หรือไม่ แล้วหยางหลงจะรับลู่เข้ามาเป็นอนุใช่หรือไม่

ความจริงแล้วหลิวเพ่ยหลิงเป็นคนใจกว้าง และเห็นความผาสุขของครอบครัวเป็นใหญ่กว่าความรู้สึกตน อย่างนี้คล้ายกับลักษณะของเมียเอกของขุนนางไทยสมัยโบราณเลยค่ะ ก็คงไม่มีปัญหาใดหากลู่จะเข้ามาสู่ตระกูลหยางแห่งเมืองลั่วในฐานะ 'สะใภ้' ชื่อตอนของตอนนี้ดิฉันว่าตรงกับลักษณะความรักความหวังดีที่ผลิบานเป็นดอกไม้เล็กๆ และสวยงามในใจของใครหลายคนเลยค่ะ ทั้งของหยางหลง ลู่ หยางติง หยางไห่ หยางเฉิง และสำคัญที่สุด ดิฉันเห็นดอกไม้งามบานในใจของหลิวเพ่ยหลิง นับว่าตอนนี้อบอุ่นจริงๆ ค่ะ

...แต่ก็ยังหวั่นๆ อยู่ว่า เหอหลินจื้อจากเมืองเหอจะนำความทุกข์ร้อนใจใดๆ มาสู่เมืองลั่วหรือไม่

ขอบคุณคุณไจฟ์กับน้องทีมากๆ เลยนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 15-01-2017 14:05:38
ทำไมเราถึงมีความรู้สึก(อีกละ)ว่าหลิวเพ่ยหลิงเป็นคน น้ำนิ่งไหลลึกล่ะ ไม่มีเมียคนไหนหรอกที่จะใจกว้าง เห็นสามีตัวเองเอาอกเอาใจคนอื่น ถึงแม้จะเป็นลูกกวางน้อยก็เหอะ...พวกอนุทั้งหลายยังเขม่นชิงดีกันเลย...แล้วที่นางบอกสามีว่า เห็นซูเหยาเข้าๆออกๆหาแม่สามี มันดูขัดๆกับนิสัยเงียบๆใจเย็น ของนางยิ่งนัก (อืม หวังว่าเรื่องนี่การคิดวิเคราะห์ของข้าพเจ้าจะถูกบ้างนะ)
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-01-2017 20:42:14
รู้สึกตั้งแต่ที่กล่าวถึงเพ่ยหลินครั้งแรกว่า นางไม่ได้เป็นเมียของหยางหลงทางพฤตินัย
เหมือนสองคนนี้อยู่ด้วยกันเพื่อผลประโยชน์ (ในทางที่ดีนะ)

เพ่ยหลิงดูมีเรื่องอะไรปกปิด และตั้งมั่นจะไม่ทำให้หยางหลงลำบากใจไม่ว่าเรื่องใด

หยางหลง จูบลู่ได้ไง! ฉันอิจฉา !
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-01-2017 20:48:00
หยางหลง ลู่ ใจตรงกัน
กอดรัด สัมผัสจูบกัน จับมือจนลู่หลับ
ดูแล้วช่างเป็นความน่ารัก อ่อนโยน
แต่หยางหลงมีภรรยา มีลูกแล้วด้วย
ลู่ ก็รู้ด้วยตัวเอง 
หรือเพราะว่าแค่รู้สึกดีๆต่อกัน
หรือเพราะคิดว่าไม่ได้จะอยู่ที่นี่ตลอดไป
พี่ชายเหอชินรุ่ย มีปัญหาแน่ๆ
ลู่ น่าจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 15-01-2017 22:31:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 15-01-2017 22:45:53
ดูบรรดาสะใภ้บ้านนี้ไม่น่าไว้ใจซักคน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 16-01-2017 16:42:38
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

ตัวเองคงไม่โอเคกับการต้องแบ่งความรักจากสามี...โชคดีที่ยังไม่มีสามี 555
แต่บางวัฒนธรรม บางสังคมอาจจำเป็น เพราะเหตุผลทางการเมือง ทางสังคม ฯลฯ
และการที่ผู้หญิงอยู่ด้วยกันเยอะ เรื่องก็เยอะตามมาด้วย แถมแต่ละคนมีแบคอัพดีๆ  ยุ่งเหยิงแน่ๆ
แต่อย่ามายุ่งลามปาม แตะต้องน้องลู่นะ มีเคือง  :serius2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-01-2017 10:11:28
ก็นะเพราะลู่รู้ว่าหยางหลงรู้สึกอย่างไร ดังนั้นนี่จึงยิ่งผูกมัดบทพิสูจน์ความรักนี้ของหยางหลงด้วย
รอบทต่อไปอย่างจดจ่อค่ะ  :pig4:


ว่าแต่ ส่งคาถาบูชาเมียให้หยางหลงท่องให้ลู่น้อยฟังทุกวันดีไหม   :laugh3:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: Chrith ที่ 18-01-2017 16:37:09
นี่ยังคงสงสัยอยู่ว่า ลูกๆของหยางหลงนี่ ใช่ลูกแท้ๆหรือเปล่า
ไฉนเมียดูมีลับลมคมใน

แล้วหนูลู่นี่แบบ ดี๊ดี ยอมหมดเลย
พี่เข้าใจนะว่าหนูไม่เด็กแล้ว
แต่หนูไปประสาเอาเสียเลย
พี่กลัวหนูจะเสียใจเสียจริงๆ

แต่ก็นั่นล่ะนะ
ยามชอบ ยามหลง อะไรมันก็หอมหวานเสมอ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 22-01-2017 02:41:04
 :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 24-01-2017 06:07:53
มาส่องรอตอนต่อไป

 :mew3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 25-01-2017 02:56:32
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: lilowria ที่ 25-01-2017 07:24:55
ขอบคุณครับ สงสารลู่จัง เหมือนจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับลู่
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 25-01-2017 16:23:51

ก๊อกๆๆๆๆ รออยู่จ้า มาเต๊อะ   :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 25-01-2017 22:28:36
เหมือนหยางหลงแอบมาอยู่บ้านเล็กยังไงก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ
รู้สึกว่าเป็นที่ที่หยางหลงแสดงความเอาแต่ใจออกมาบ้าง
ดีกว่าตอนอยู่กับเมีย อะไรก็ได้ อะไรก็ดีหมด
แอบมาจุ๊บลูกเขาขนาดนี้ ระวังอย่าให้แม่และเมียทำร้ายกวางน้อยของเราได้นะคะ
ไม่งั้นหยางหลงเจอดีแน่ หึหึ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-01-2017 00:38:48
ท่านแม่เข้าใจท่านพ่อผิดใหญ่แล้วหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 26-01-2017 14:19:48
กินเด็กอย่างซับซ้อน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 26-01-2017 18:21:03
 :m15:อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 26-01-2017 21:20:12
 :z13: :z13:

มาจิ้มนักเขียน....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 28-01-2017 18:19:26
มารอ~~~
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 28-01-2017 18:38:30
มาเถอะพ่อกวางน้อย  :mew2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่5 (P5-150160)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 28-01-2017 18:52:42
 :m15: มาต่อเหอะ
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 28-01-2017 19:01:16
ภาคกวางทอง

บทที่หก

การส่งมอบตำแหน่งเจ้าเมืองลั่วนั้นเรียบง่าย เป็นเพียงการทำบุญ ทำทาน จากนั้นหยางหลงก็สวมเสื้อชุดใหม่ไปทำงานที่ศาลาว่าการเมือง
จากเดิมหยางหลงก็ทำงานแทนบิดาที่ศาลาว่าการเมืองควบคู่ไปกับกิจการของครอบครัว แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องทำหน้าที่อย่างเต็มตัวเช่นนี้ หยางหลงก็พบว่าการทำงานในฐานะเจ้าเมืองลั่วช่างตึงเครียด และเป็นงานที่หนักอย่างยิ่ง
สาเหตุสำคัญก็คือหยางติงที่เคยทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนบุตรชาย กลับพาลู่ไปเล่นอยู่ที่เรือนของหยางไห่ตั้งแต่เช้า
ว่าที่จริงหยางหลงก็ไม่ได้คิดที่จะปรึกษาหารืองานราชการกับหยางติงในเวลานี้ เพราะเมืองลั่วใช้การสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองผ่านตระกูลใหญ่ ไม่ใช่การแต่งตั้งจากเมืองหลวง แต่การที่หยางติงแสดงออกเช่นนี้ ก็ทำให้รู้สึกเครียด และเข้าใจความรู้สึกของมารดาอยู่มิใช่น้อย

ความเป็นอยู่ของผู้ปกครองเมืองลั่วก็ช่างเรียบง่าย เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน หลิวเพ่ยหลิงจะนำอาหารกลางวันมาให้ทั้งบิดาของสามี และสามี แต่เมื่อวันนี้สามีกลายเป็นเจ้าเมือง ส่วนบิดาสามีก็ไปบ้านหยางไห่ นางจึงเตรียมไว้ให้สามีเท่านั้น
หลังมื้ออาหารผ่านไป นางจึงเล่าเรื่องที่ฮูหยินหกของหยางเฉิงมาพบกับมารดาสามีที่เรือนหลังใหญ่ ครานี้มีการพูดคุยกันอยู่นานจึงได้กลับไป ส่วนมารดาไม่ได้ออกจากเรือนมาตั้งแต่เช้า
หยางหลงไม่ได้ซักถามเพิ่มเติม ขณะที่หลิวเพ่ยหลิงก็ไม่ใช่คนคุยเก่ง เมื่อนางเล่าในเรื่องที่สามีมอบหมายไว้เสร็จสิ้นก็รายงานต่อเรื่องการเรียนของหยางเจิ้นเจียง และหยางเจิ้นขุย

เป็นความสัมพันธ์ที่ช่างเป็นการเป็นงาน ที่ทำให้เจ้าพนักงานหลายคนในศาลาว่าการเมืองรู้สึกสงสัย
...ต่อให้อยู่ด้วยกันมานานหลายปี แต่การที่ฮูหยินมาส่งอาหารกลางวัน แล้วก็รายงานเรื่องราวต่าง ๆ เช่นนี้ ช่างดูห่างเหิน...
จากนั้นเมื่อหยางหลงเตรียมตัวจะกลับไปทำงานต่อในช่วงบ่าย หลิวเพ่ยหลิงจึงเตรียมตัวกลับไปที่จวนเช่นกัน
เวลานั้นเองที่หยางติง หยางไห่ และลู่ กลับมาที่ศาลาว่าการเมือง
หยางติงอดีตเจ้าเมืองลั่ว บอกว่าที่กลับมาก็เพราะเพ่ยเพ่ยหลานสาวตัวน้อยจะนอนพักหลังอาหารมื้อกลางวัน แต่ผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่มยังไม่อยากพาคนที่อายุน้อยที่สุดกลับไปจวนเจ้าเมือง จึงพากันกลับมาที่ศาลาว่าการเมือง
"แล้วคนนี้เล่า ไม่นอนหลังอาหารกลางวันหรือ" หยางหลงถามพลางโอบเอวลู่เข้ามานั่งตัก

ดูท่าว่าหยางติงจะพักอยู่ที่นี่อีกหลายชั่วยาม หลิวเพ่ยหลิงจึงเรียกเซียงเซียงให้กลับไปนำน้ำผลไม้ และของหวานมาจากห้องครัวของจวนเจ้าเมือง
 
"เหนื่อยไหม" หยางหลงถาม
"ไม่หรอก สนุกดี"
"กินของว่างเสร็จแล้วนอนพักไหม" หลิวเพ่ยหลิงช่างเอาใจ แม้บุตรชายของตนจะเล็กกว่าลู่ แต่ก็ไม่ได้นอนกลางวันมาหลายปีแล้ว
เด็กเสี่ยวเป่าชิงตอบ "คุณชายลู่เล่นทั้งวัน แต่ไม่เห็นบ่นง่วงหรือเหนื่อยเลยสักครั้ง"
ลู่แกล้งหันมาแหย่ "เมื่อคืนเจ้าหลับทั้งขนมยังอยู่ที่มือ"
เสี่ยวเป่าเสียงอ่อย "เมื่อวานไปที่นั่นที่นี่ทั้งวัน เหนื่อยจะแย่"
หลิวเพ่ยหลิงหันมาตีแขนของเสี่ยวเป่าเบา ๆ แต่เจ้าตัวกลับแสร้งส่งเสียงร้องโวยวายราวกับถูกทุบตีด้วยไม้หน้าสามก็มิปาน
"ดูเถอะ หน้ามิอายจริงเชียว" หลิวเพ่ยหลิงบ่นยิ้ม ๆ

ขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะให้กับความวุ่นวายของเสี่ยวเป่า หยางไห่ก็หันไปกล่าวกับหยางหลงว่า รอเพ่ยเพ่ยตื่นในช่วงบ่าย ฮูหยินจะพาบุตรสาวมาหาท่านย่าที่จวนเจ้าเมือง
"เห็นว่าช่วงนี้อารมณ์ไม่ดี จนใครก็เข้าหน้าไม่ติดหรือ"
หยางหลงไม่ตอบ เพียงชี้ไปที่หลิวเพ่ยหลิง ที่พยักหน้ายอมรับ
การยกเรื่องของเหอชินรุ่ยขึ้นมากล่าวถึง กลับเรียกความเงียบเข้ามาปกคลุม หยางหลงจึงเปลี่ยนเรื่องหันมาถามหยางไห่
"วันนี้พบเจ้ารองหรือยัง"
"ยัง เมื่อวานบอกว่าจะออกไปที่หมู่บ้านสายฝนใกล้ ๆนี่มิใช่หรือ เดี๋ยวก็คงมา"
หลิวเพ่ยหลิงรีบชวนคุยต่อ "เห็นว่าจะไปถามหาสมุนไพรที่จะมอบเป็นของฝากให้กับท่านเจ้าเมืองเหอ และท่านลุงเหอเจ้าค่ะ"
"ดูให้เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยเกินไป" หยางติงบอก จากนั้นขอตัวขึ้นไปนอนพักที่ห้องรับรองด้านบนของศาลาว่าการเมือง

เมื่อหยางติงกลับมาถึงเรือนพักหลังใหญ่ในค่ำวันนั้น หลังจากที่ล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมเข้านอน เหอชินรุ่ยซึ่งพักอยู่ในห้องนอนติดกันก็เดินเข้ามาในห้องนอนของหยางติง
"อีกห้าวันท่านพี่รองกับพวกแม่ทัพคงมาถึง" นางกล่าวขึ้นก่อน
หยางติงพยักหน้ารับ
"วันนี้ข้าไปเลือกของไว้หลายชิ้น เพื่อมอบเป็นของกำนัลให้กับท่านเจ้าเมืองเหอ และพวกเขาด้วย ท่านจะตรวจดูก่อนหรือไม่"
"หากเจ้าเห็นว่าเหมาะสมแล้ว ข้าก็ไม่ขัดข้อง"
หยางติงดึงมือฮูหยินมานั่งข้างกันเพราะคิดจะชวนคุยเรื่องของกำนัล แต่ฮูหยินกลับพูดถึงเรื่องที่รบกวนใจมาตลอดวัน
"หลายวันมานี้ ท่านหลบหน้าข้ามาตลอด สาเหตุเพราะเรื่องใดเราต่างก็รู้ดี" ยามนี้เหอชินรุ่ยเป็นดั่งคนละคนกับที่ไปโวยวายเรื่องการเจรจาถึงเรือนรับรองเมื่อวันก่อน "เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็มีแต่ต้องยอมรับเท่านั้น เพียงแต่ข้ามีเรื่องสงสัยบางอย่าง" นางก้มหน้ามองมือตนเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมามองตาสามี "เด็กคนนั้นเป็นใคร"
 
ไม่จำเป็นต้องวางท่าไม่รู้ว่าภรรยากำลังถามถึงผู้ใด
"คุณชายลู่ เป็นผู้ที่มาจากป่าสีทอง" เมื่อฮูหยินไม่เชื่อเรื่องเทพแห่งป่าสีทอง หยางติงจึงต้องตัดคำกล่าวเรื่องเทพออกไป มิคาด นางยังคงถามไปถึงเรื่องที่พยายามหลีกเลี่ยง
"เขาอยู่กับใครที่นั่น"
"ก็...อยู่กับมารดาของเขา"
"แล้วบิดาของเขาเล่า"
"ก็....แยกกันอยู่กับมารดา"
"คงมีเหตุจำเป็นใช่หรือไม่"
"คงเป็นเช่นนั้น"
"เขามิได้มาจากเมืองหลวงแน่นะ"
"ไม่หรอก เขาอยู่ที่ป่าสีทองนี่เอง" หยางติงกล่าวย้ำ
เหอชินรุ่ยกัดริมฝีปากครุ่นคิด จากนั้นจึงกล่าวขึ้น "เช่นนั้น เขาคือคนสำคัญของท่านใช่หรือไม่"
"ย่อมเป็นเช่นนั้น"
"พวกลูก ๆ ก็ยอมรับว่าเขาสำคัญเช่นกันสินะ"
"น่าจะเรียกว่าพวกเขาก็เข้ากันได้ดี"
"เข้ากันได้ดี ไม่เหมือนกับสำคัญ"
"ก็..." หยางติงหงายมือ "พวกเขาก็ยอมรับ ให้การต้อนรับด้วยดี ดูแลดี ลูกหลงที่เป็นพี่ใหญ่ก็เอาใจใส่ดี กับลูกเฉิงก็ดี ยิ่งกับเจ้าไห่นั่นยิ่งคุยกันถูกคอ หรือกับบรรดาหลาน ๆ ข้าก็เห็นว่าเล่นด้วยกันได้ดี ดูสนิทกับเจิงเอ๋อร์ของหยางหลงเป็นพิเศษ ไม่มีปัญหาขัดแย้งอันใด แต่ถ้าสำคัญไหมอย่างที่เจ้าถาม ข้าก็คิดว่า ไม่ได้ถึงขนาดยกย่องว่าเป็นคนสำคัญ แต่พวกเขาเข้ากันได้ดี ไม่เห็นว่าจะมีเรื่องที่ขัดใจกัน"

หลายคราที่หยางติงก็สงสัยตนเอง ว่าเหตุใดการพูดจากับฮูหยินถึงต้องอธิบายอย่างยืดยาว และใช้ความระมัดระวังคำพูดถึงเพียงนี้
   
"น้องหญิง เจ้าจะคาดคั้นในเรื่องนี้ไปเพื่ออันใด หากเจ้ามีความไม่สบายใจที่เขามาอยู่ด้วยก็ขอให้คิดว่า เขามาอยู่ด้วยเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เพราะแม่เขาคงไม่ยอมให้ลูกของเขาแยกไปนาน"
"แต่เขาก็มากับลูกหลง"
"เขาหนีแม่มา" หยางติงเชื่อมั่นว่า เรื่องนี้คุยกับภรรยาไปแล้วหลายครา "ฮูหยิน เจ้ากังวลเรื่องใดอยู่ บอกกับข้าตามตรงเถิด"
"ได้" ดวงตาของเหอชินรุ่ยร้อนผ่าว เมื่อจะกล่าวคำต่อไป "เขาเป็นบุตรของท่านหรือไม่"
"ย่อมมิใช่" หยางติงผุดลุกขึ้นทันที "จะเป็นไปได้อย่างไร"
"แล้วเขาเป็นใคร ทำไมถึงไปอยู่กับแม่ที่ป่าสีทอง ท่านให้พวกเขาไปหลบซ่อนอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่"
"ไปกันใหญ่แล้ว" ชายสูงวัยแทบทึ้งผมตัวเองให้หมดศีรษะ "ข้าบอกต่อเจ้าตั้งแต่แรกว่าเขาเป็นเทพแห่งป่าสีทอง แต่เจ้าก็มิยอมเชื่อ บอกว่า เขาอยู่ที่นั่นเจ้าก็พาลคิดมากต่อไปอีก ข้าอับจนปัญญามิรู้ว่าจะอธิบายต่อเจ้าอย่างไรแล้ว"
"ก็เพราะเรื่องเทพแห่งป่าสีทองนั่นไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นเพียงนิทานก่อนนอนของเด็ก ๆ ที่มีแต่ชาวเมืองลั่วที่งมงายไร้เหตุผล และคิดว่ามันคือเรื่องจริง"

หยางติงหายใจเข้าลึก ๆ แล้วโอบกอดฮูหยินไว้ "ตามใจเจ้า เจ้าจะไม่เชื่อเรื่องเทพแห่งป่าสีทองก็ได้ แต่ขอให้เชื่อว่า คุณชายลู่ไม่ใช่ลูกของข้า ข้าไม่มีวาสนายิ่งใหญ่เช่นนั้น ฮูหยินที่รักของข้าอย่าได้คิดระแวงเรื่องนี้ ชั่วชีวิตของข้า ข้ามีเพียงเจ้าเท่านั้น"

เหอชินรุ่ยเพียงพยักหน้ากับอ้อมอกของสามี จากนั้นจึงแยกกลับไปนอนที่ห้องพักของนางเอง
....สิ่งที่สามีอธิบายอย่างยืดยาว และจริงจัง กลับเป็นสายลมที่พัดผ่านหูไปอีกครา...

ยังคงเป็นเวลาที่ดึกแล้วที่หยางหลงผลักเปิดประตูเรือนรับรองดอกโบตั๋น แต่ครานี้พบว่ามีเพียงลู่ที่กำลังดูหนังสือภาพที่หยางไห่มอบให้
"เสี่ยวเป่าไปไหนอีกแล้วละ" หยางหลงถามขึ้น
"ไปเอาขนม" ลู่ยิ้มตอบ "เดี๋ยวก็มา"
"ง่วงนอนหรือยัง"
ลู่ส่ายหน้า "ท่านง่วงแล้วหรือ"
"ยัง" หยางหลงตอบพลางก้มลงจูบที่ริมฝีปากสวย แล้วนั่งลงข้าง ๆ
ลู่เพียงอมยิ้ม ขณะที่มองดูสมุดภาพที่วางอยู่ ไม่ได้มีท่าทีเขินอาย แต่ก็ไม่ได้เพิกเฉย เป็นการรับรู้ที่อยู่ในระดับที่พอดี 
"นี่คือเมืองหลวงหรือ"
"ใช่" หยางหลงตอบทั้งที่มองแต่ใบหน้าของคนถาม
"ผู้คนสวยงาม แต่งกายก็สวยงาม บ้านเรือนก็สวยงามด้วย"
"ในภาพวาด เขาย่อมเขียนออกมาให้มันสวยงาม แต่ความงามที่แท้จริงมันอยู่ที่เราพึงพอใจต่างหาก"
"ท่านหลงเป็นกวี" ลู่ตอบแล้วหัวเราะคิกคัก
เสี่ยวเป่าที่กลับเข้ามาพร้อมกับขนม 2 ถ้วยใหญ่ ได้ยินตอนท้ายก็ถามขึ้น
"ผู้ใดเป็นกวี"
"ท่านหลงไง ท่านหลงเป็นกวี" ลู่หันไปตอบ แล้วขมวดคิ้วมองถ้วยขนม "นั่นมีเนื้อสัตว์ด้วยหรือ"
"มีขอรับ ไส้ปลาสับน่ะ" เสี่ยวเป่าตอบเสียงอ่อย "แต่มันอร่อยมากเลยนะ"
ลู่ไม่กิน และไม่ได้ห้ามเสี่ยวเป่ากิน แต่ชี้นิ้วให้ไปกินที่มุมห้อง
"กินอิ่มแล้ว ไปล้างปากแล้วตามขึ้นไปนอนก็แล้วกัน"
"นายท่านกินไหม" เสี่ยวเป่ายังมีน้ำใจชวนผู้ใหญ่ "อ๊ะ ไม่ใช่สิ ท่านเจ้าเมืองกินไหมขอรับ"
หยางหลงยิ้มขำ บอกให้เด็กตัวกลมกินขนมต่อไป ส่วนตนเองช่วยลู่เก็บของแล้วพาเดินขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นบน

เมื่อลู่ล้มตัวลงนอน หยางหลงนั่งลงบนเตียงพลางห่มผ้าให้ แล้วก้มลงจูบปาก ลู่ลดเสียงกระซิบถาม
"ท่านชอบทำแบบนี้หรือ"
"ข้าชอบทำแบบนี้ก็เฉพาะกับเจ้าเท่านั้น"
"มัน...เป็นอย่างไร"
"มันคือความรู้สึกที่ว่า แม้จะรู้ทั้งรู้เจ้าอยู่สูงยิ่งนัก มีเวลาได้พบกันน้อยยิ่งนัก แต่ก็มิอาจห้ามใจ อยากใช้ทุกวันเวลาอยู่ด้วยกัน แต่ก็กังวลว่าเจ้าจะคิดว่าข้าไม่จริงใจ"
"อันที่จริง ข้าพอจะอ่านความรู้สึกบางอย่างได้ แต่บางอย่างก็ไม่ค่อยเข้าใจ เรื่องที่ท่านจริงใจหรือไม่ คิดว่าพอจะรับรู้ได้ แต่ยังมีเรื่องที่ไม่รู้มากมายยิ่งนัก สมควรแล้วที่ไม่มีใครเชื่อว่าข้ามาจากป่าสีทอง"
หยางหลงก้มลงจูบหน้าผาก "เจ้ายังเด็กอยู่ ส่วนเรื่องการฝึกฝนให้มากก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน ไม่ว่าจะเทพหรือคน"
"ท่านหลง"
"หืม"
"ข้าไม่เข้าใจเรื่องความกังวลของท่านหรอกนะ และข้าเองก็มีเรื่องที่สงสัย แต่ก็ช่างมันเถิดวันหนึ่งก็คงได้คำตอบเอง แล้วอย่าลืมว่า ข้าได้ยินเสียงของท่านมาก่อนหน้านี้ ความตั้งใจดีของท่าน เจตนาที่จะทำเพื่อส่วนรวม ทั้งที่ต้องขัดแย้งกับบุพการีน่ะเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากนะ" น้ำเสียงของคนพูดเริ่มงัวเงีย "อีกอย่างนะ ท่านพ่อของข้าเคยบอกไว้ เวลาเจอคนที่ใช่น่ะไม่ต้องใช้เวลาอะไรมากมายหรอก ถ้าใช่ก็คือใช่เท่านั้นเอง"

หยางหลงยิ้มขำให้กับประโยคที่บ่งบอกถึงความไม่ยึดถือจริงจังของอีกฝ่าย
"ทำไมท่านชอบหัวเราะเวลาที่ข้าพูด"
"เป็นที่เสียงของเจ้า ต่อให้เป็นเรื่องใหญ่แต่ก็กลับรู้สึกว่ามิใช่เรื่องใหญ่ ทำให้ข้าอดหัวเราะมิได้"
"โธ่ นี่ข้ากำลังจริงจังมากเลยนะ" คนพูดทำแก้มพอง
"ก็เพราะรู้ว่าเจ้ากำลังจริงจัง แต่เมื่อเป็นน้ำเสียงแบบนี้ข้าก็เลยขำ ขอโทษด้วย" หยางหลงบีบจมูกอีกฝ่ายเบา ๆ "หลับได้แล้ว"
ลู่ทำปากยื่นแล้วหลับตาลง หยางหลงก้มลงจูบหน้าผากสวย ก็พอดีกับเสียงฝีเท้าดังขึ้นบันไดมา จากนั้นเสี่ยวเป่าก็ค่อย ๆแง้มประตูห้องนอน
หยางหลงหันมายิ้มให้ รอจนเสี่ยวเป่าล้มตัวลงนอน จึงกลับออกไป

เรื่องราวในแต่ละวันจากนั้น คือการที่หยางติงพาลู่ไปเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ของเมืองลั่ว ไม่ว่าจะเป็นวัด ตลาด จนถึงการเยี่ยมเยียนสหายเก่าที่ล้วนเป็นผู้คบหากันมาอย่างยาวนาน ทุกคนต่างแสดงออกต่อลู่เหมือนการต้อนรับผู้มีพระคุณ หาใช่การยกย่องจนสูงส่ง แต่ก็ไม่ได้ปฏิบัติเหมือนเป็นวัยรุ่นผู้หนึ่ง ซึ่งทำให้ลู่พึงพอใจเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกับในแต่ละวันจะมีผู้แทนจากหลายเมืองที่ทยอยส่งหนังสือรับทราบเรื่องการเปลี่ยนตำแหน่งเจ้าเมืองมาพร้อมของกำนัล แต่ผู้แทนส่วนใหญ่จะเลือกพักที่โรงเตี๊ยมในเมืองที่รายล้อมไปด้วยสถานบันเทิง แล้วเดินทางกลับไปพร้อมกับของขวัญที่มีมูลค่ามากกว่าที่นำมามอบให้

เช้าของวันหนึ่ง ก่อนที่คณะผู้แทนของเมืองเหอจะมาถึง จวนเจ้าเมืองกลับมีความวุ่นวายเกิดขึ้น เมื่อเลขาส่วนตัวของเหอหลินจื้อนำกลุ่มคนรับใช้นับสิบคนของเมืองเหอล่วงหน้ามาจัดเตรียมที่พักให้เจ้านาย และประกาศว่า พวกเขาต้องการเรือนรับรองโบตั๋นเป็นที่พำนักของท่านเหอหลินจื้อ ผู้แทนเมืองเหอ โดยอ้างว่าทุกครั้งที่มาพักจะพักที่เรือนหลังนี้ นอกจากนี้ยังต้องการเรือนรับรองอีกสามหลังที่อยู่ใกล้เคียงด้วย
เรื่องที่ต้องการอีกสามหลังนั้นมิใช่ปัญหา เพราะหลิวเพ่ยหลิงตระเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว ด้วยทราบดีว่าคณะของเมืองเหอจะเป็นคณะใหญ่ และต้องการความสะดวกสบายเช่นใดบ้าง แต่เพราะครานี้เรือนโบตั๋นจัดให้ลู่พักอยู่ก่อนหน้ามาแล้วหลายคืน การจะให้ย้ายออกเพื่อต้อนรับคนที่เดินทางมาถึงทีหลัง ให้อย่างไรก็ดูไม่เข้าที

ย้อนไปก่อนหน้าที่จะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจ หยางติงเพิ่งสั่งให้เสี่ยวเป่าพาลู่ไปที่ห้องสมุดเพื่อฝากไว้กับท่านอาจารย์ตั้งแต่เช้า ส่วนตนเองหนีไปอยู่ที่ศาลาว่าการเมือง ทำเป็นช่วยงานของหยางหลง รอจนกระทั่งเลขาของเหอหลินจื้อมาถึง หยางติงก็เพียงแค่คาดคะเนเวลา ที่หลิวเพ่ยหลิงจะต้องกำลังหนักใจ และเหอชินรุ่ยจะต้องเข้ามาแทรกแซงจัดการ จึงได้เดินช้า ๆ จากศาลาว่าการเมืองกลับมาที่จวนเจ้าเมืองแล้วทำหน้าที่คนกลาง

"เกิดเรื่องอันใดขึ้น" สีหน้าท่าทางของนายท่านหยาง อดีตเจ้าเมืองลั่วยามนี้ช่างสุขุมยิ่งนัก
เหอชินรุ่ยเป็นผู้ที่ออกหน้ารับแทนกลุ่มคนของเมืองเหอตามที่คาดคิดไว้ บอกว่าท่านลุงเหอต้องการเรือนรับรองหลังใหญ่ หยางติงจึงกล่าวอย่างเป็นงานเป็นการ
"จริงอยู่ที่เรือนโบตั๋น เป็นเรือนรับรองหลังใหญ่ที่สุด และท่านพี่รองก็พักที่นี่เสมอ แต่เจ้าไม่รู้สึกว่าเป็นการหมิ่นเกียรติของท่านพี่รองมากไปสักนิดหรือ ที่ไปแย่งชิงที่พักกับเด็กผู้หนึ่ง"
ที่จริงเรื่องนี้เหอชินรุ่ย ก็เห็นด้วยกับสามีที่ว่าจะแย่งที่พักกับเด็กไปเพื่ออะไร ทั้งนางเองยังเป็นผู้ที่บอกไปด้วยว่า ได้ตระเตรียมที่พักอีกสี่หลังที่อยู่ถัดไปไว้พร้อมแล้ว
เพียงแต่เรื่องประหลาดกลับเกิดขึ้นในทันทีที่หยางติงออกปากยืนอยู่ข้างคุณชายลู่ ต่อหน้าคนจากเมืองเหอ
เหอชินรุ่ยเชิดคางขึ้นสูงแล้วเลือกที่จะอยู่ฝ่ายเมืองเหอ แย่งชิงเรือนหลังใหญ่ให้กับพี่ชายในทันที

"ท่านพี่รองชอบเรือนรับรองหลังนี้ ท่านเองก็บอกว่า เด็กนั่นมิได้เป็นบุคคลสำคัญอันใด แค่ให้ย้ายเรือนพัก ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่"

เป็นคำกล่าวที่ทำให้หลิวเพ่ยหลิงต้องเงยหน้ามองมารดาของสามีด้วยความประหลาดใจ
...การกลับคำ เปลี่ยนคำพูดอย่างฉับพลันเช่นนี้...ทั้งต่อหน้าผู้คนมากมาย
...เกิดอันใดขึ้นกับนาง...
บรรดาคนรับใช้ของจวนเจ้าเมืองที่รอรับคำสั่งให้ทำงานก็ยังหันไปมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ

กล่าวกันตามตรงเรื่องนี้หาสาระอันใดมิได้ นอกจากผู้ใหญ่มีเจตนาบางอย่างที่นายท่านหยางรู้ทันมาตั้งแต่แรกว่าต้องการมาเพื่อสร้างความวุ่นวาย หลายวันนี้มานี้จึงไปพักผ่อนอยู่บ้านบุตรคนนั้นที
เวลานี้ ก็แค่หาเรื่องขัดใจภรรยาเพิ่มขึ้นอีกสักเรื่อง เพราะเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว ลู่ที่ยังเป็นเด็กย่อมหลีกทางให้ผู้ใหญ่ มิคาด พูดไปเพียงไม่กี่คำเจ้าเด็กเสี่ยวเป่าวิ่งมากระตุกแขนเสื้อแล้วกระซิบบอก
"คุณชายลู่เขาว่าเช่นนั้นหรือ" หยางติงถาม
เจ้าเด็กเสี่ยวเป่าพยักหน้ามั่นใจ
"จริงหรือ"
เจ้าเด็กเสี่ยวเป่าพยักหน้าอีกครา
หยางติงแสร้งถอนหายใจที่ทุกเรื่องเป็นไปตามที่คาดไว้อย่างง่ายดายเกินไป หันไปบอกเพ่ยหลิง "เรียกคนรับใช้มาช่วยกันเตรียมที่พักตามที่นายท่านเหอต้องการ ข้าจะไปอยู่ที่ศาลาว่าการ ช่วยงานท่านเจ้าเมือง มื้อเที่ยงมีอะไรก็จัดไปเผื่อข้าด้วยแล้วกัน"
แล้วหยางติงก็จากไปง่าย ๆ ท่ามกลางความงุนงงของทุกคน

เมื่อพ้นออกจากประตูของจวนเจ้าเมืองหยางติงก็สะบัดหน้าเล็กน้อย
คนกลางยอมแพ้ง่ายเกินไป ไม่สนุกเลยสักนิด....

ขณะที่บรรดาคณะเตรียมการของเมืองเหอได้ข้อสรุปที่จะนำไปรายงานต่อเจ้านาย สมตามที่หยางหลงต้องการ
นั่นคือการที่เหอชินรุ่นยืนหยัดเพื่อเมืองเหอบ้านเกิดของนางอยู่เสมอ ทำให้นางขัดแย้งกับทุกคนในครอบครัว
หยางติงอดีตเจ้าเมือง ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะจัดการเรื่องราวใด ๆ 
บางทีคนที่เป็นแกนนำในการเลือกข้างอาจเป็นหยางหลงที่เพิ่งรับหน้าที่เจ้าเมืองต่อจากบิดา

เมื่อมาถีงศาลาว่าการเมืองพบกับเจ้าเมืองที่ยังก้มหน้าก้มตาอยู่กับรายงานสูงท่วมหัว นายท่านหยางก็ทำสีหน้าเบื่อหน่าย
"คนพวกนี้ คิดจะเอาชนะคะคานกันแม้แต่ในเรื่องที่พัก คุณชายลู่ก็เป็นอย่างที่เจ้าว่าไว้ไม่มีผิด เขาทนไม่ได้ที่เห็นพวกเราทะเลาะกัน พ่อเพิ่งไปถึง พูดได้ไม่กี่คำก็ให้เจ้าเสี่ยวเป่าวิ่งมาบอกว่าให้เขานอนที่ใดก็ได้ เพราะไม่มีข้าวของอะไรให้ต้องย้าย"
"เขาอาจรอดูจนท่านไปถึง แล้วให้เสี่่ยวเป่ามาบอก" หยางหลงพูดยิ้ม ๆ
"ก็คงอย่างนั้น เพราะจะให้บอกกับมารดาของเจ้าหรือเพ่ยหลิงก็คงไม่ยอมกันง่าย ๆ ถ้าคนหนึ่งพูดอย่าง อีกคนต้องบอกอีกอย่าง ทะเลาะกันอยู่นาน พอพ่อไปถึงก็เลยรีบมาบอกเรื่องเลยจบลง นึกถึงสีหน้าของมารดาเจ้า กับหัวหน้าคนงานที่มาจากเมืองเหอแล้วยังนึกขำ"
"ข้าว่า เขาเองยังไม่ทันหายสงสัยว่าเหตุใดอดีตเจ้าเมืองถึงเข้าไปสอดมือในเรื่องนี้ แล้วพอลู่ส่งคนมาบอกท่านก็กลับถอยออกมาง่าย ๆ"
"ก็คงเป็นอย่างนั้น" หยางติงกล่าวแล้วหัวเราะเสียงดัง "ทำอะไรที่มันไร้เหตุผลนี่มันก็สนุกดีเหมือนกัน"

แต่ตอนที่เสี่ยวเป่ากลับมารายงานให้ลู่ฟังที่ห้องสมุด ทั้งลู่ หยางเจียเจิง กับหยางเจิ้นขุย ต่างก็มีความเห็นเหมือนกันว่า ท่านปู่หยางติงไม่น่าจะอารมณ์เย็นเหมือนกับที่เห็นภายนอก
"ท่านอาจเห็นว่า คนบ้านเดียวกันมาทะเลาะกันต่อหน้าคนอื่นมันไม่ดี" อาจารย์อาวุโสสอนพลางลูบเคราแหลม
"ก็แค่เรื่องที่พัก จะมีเรื่องขัดแย้งไปทำไมกัน ครอบครัวเดียวกัน ยอมกันได้ก็ยอมไปเถอะ ข้าเป็นคนนอก เดี๋ยวก็กลับไปแล้ว" ลู่บอกด้วยรอยยิ้มกว้าง

.....จบบทที่หก.....
ผมแก้ไขด้วยการตัดชื่อตอนออกไป เพราะดูแปลกๆ ขอบคุณที่ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: Nathi ที่ 28-01-2017 19:14:23
พรุ่งนี้จะมาไล่อ่านเน้อ รอก่อนนะน้องกวาง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 28-01-2017 19:20:16
ลู่น่ารักๆ  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 28-01-2017 20:11:08
อ่านตอนนี้แล้วเข้าใจ ลู่มากขึ้นค่ะ ลู่ยังไม่รู้จักความรักใช่ไหมคะ จูบน่ะไม่ธรรมดาหรอกนะ ลู่น้อย ปล่อยให้จูบไปตั้งหลายทีแล้วนะ หวง :m16:
ตอนนี้ทำให้สงสัยอีกว่า การที่หยางหลงดึงลู่มานั่งตักต่อหน้าภรรยา คนทั้งสามมีความรู้สึกแบบไหนคะ ทำไมหยางหลงถึงทำแบบนั้น ภรรยาเห็นแล้วคิดอย่างไร
ขอบคุณค่ะ รอนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 28-01-2017 20:41:45
 :กอด1: :กอด1:

ถึงเเม้ลู่จะดูเด็กในสายตาคนอื่น เเต่ความคิดบางอย่างดูโตกว่าอีก
เรื่องที่พักปล่อยไป เพราะเรามีเป้าหมายที่เจ้าเมืองลั่วคนใหม่ 5555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: Chrith ที่ 28-01-2017 21:14:15
กับเด็กก็จะเอาชนะเน่อ คนเรา  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-01-2017 22:13:55
จริง ๆ นี่คือแก่นของเรื่อง

ศึกชิงวังดอกโบตั๋น เมื่อหญิงชราหาเรื่องกวางน้อย 555555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-01-2017 23:16:05
อ่านตอนนี้แล้วเข้าใจ ลู่มากขึ้นค่ะ ลู่ยังไม่รู้จักความรักใช่ไหมคะ จูบน่ะไม่ธรรมดาหรอกนะ ลู่น้อย ปล่อยให้จูบไปตั้งหลายทีแล้วนะ หวง :m16:
ตอนนี้ทำให้สงสัยอีกว่า การที่หยางหลงดึงลู่มานั่งตักต่อหน้าภรรยา คนทั้งสามมีความรู้สึกแบบไหนคะ ทำไมหยางหลงถึงทำแบบนั้น ภรรยาเห็นแล้วคิดอย่างไร
ขอบคุณค่ะ รอนะคะ
คิดเหมือนกันนะ
 การที่หยางหลงดึงลู่มานั่งตักต่อหน้าภรรยา คนทั้งสามมีความรู้สึกแบบไหนคะ ทำไมหยางหลงถึงทำแบบนั้น ภรรยาเห็นแล้วคิดอย่างไร
เหอชินรุ่ย ทำน่าเกลียดมาก เรื่องที่พักลู่
เป็นถึงอดีตภรรยาเจ้าเมืองแท้ๆ
ไม่ให้เกียรติแขกของเจ้าเมืองใหม่ซะเลย
นี่ถ้าหยางติงจะมีเมียน้อยหลายๆคนไม่แปลกใจเลย
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 28-01-2017 23:33:16
มันซับซ้อนใช่มั้ยเดาหาตัวร้ายไม่ได้ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 29-01-2017 00:39:23
เข้าใจว่าฮูหยินเป็นห่วงทั้งสามีและลูกตามประสาคนเป็นแม่และเมีย..เราว่าฮูหยินเป็นคนค่อนข้างฉลาดนะ อาจจะดูร้ายแต่ก็แค่เปลือกเท่านั้น
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 29-01-2017 01:32:52
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 29-01-2017 06:09:53
กลับมาอ่านอีกรอบแล้วเจอพิมพ์ตกนิดนึงตรงนี้ค่ะ

ย้อนไปก่อนหน้าที่จะมี วาม วุ่นวายเกิดขึ้นเพียงไม่กี่อึดใจ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 30-01-2017 09:36:35
อื้มมมมม นี่ยังมีเอาอาหารผิดมาให้ลู่อีกเนาะ  :mew5:

ว่าแต่ท่านหลงนี่ชักจะถี่ไปนะ ลู่ช้ำหมด :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-01-2017 21:14:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: ลาวาเนียน ที่ 31-01-2017 01:48:25
FC ลู่น้อย ขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 31-01-2017 06:02:20
^
^
^
เจาะไข่ ขอบคุณมากครับ

น้ำชา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: ขุนอินทร์คนเดิม ที่ 31-01-2017 10:02:40
 o13 :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 31-01-2017 11:50:37
^
^
^
เอะ เอ๊ะ มันยังไงกัน เจาะไข่อีก 1 หรือนี่ ขอบคุณมากครับ

น้ำชา
 
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 31-01-2017 12:04:28
^
^
รีบน เขาอยากมีโมเม้นนี้บ้างงงงงง
ปล. อยากรู้อายุของเสี่ยวเป่า...รู้สึกหลงรักคาแรกเตอร์ของเสี่ยวเป่า อยากรู้ว่าจะมีคู่ตุนางันกับเขาไหม อิอิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 01-02-2017 16:25:48
ขอบคุณนะคะคุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา
 
ผู้ใหญ่บางคนก็ชอบเอาชนะกัน เพราะอารมณ์แท้ๆ
ควรอายเด็ก และข้าทาสบริวารบ้าง
น้องลู่ อย่ารีบกลับบ้านเลย รอท่านหลงสอนหลักสูตรรักเร่งรัดก่อน :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 05-02-2017 13:36:52
คิดถึงลู่แล้ว  แวะมา  แล้วก็จากไปเงียบๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 05-02-2017 14:54:08
มารอเจ้ากวางตัวน้อยๆ :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 05-02-2017 14:58:25
ป่านนี้อาลู่โดนจูบไปกี่ทีแล้วน้าาาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 05-02-2017 18:17:48
แวะเวียนเข้ามา




รอคอยตอนต่อไป



 :กอด1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 05-02-2017 18:24:15
 :z13: :z13:

มาจิ้มน้องที ....รอกวางน้อยอยู่เน้อ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-02-2017 13:09:59
 :call: :call:
โอมจงมา จงมา ..กวางน้อยจงมา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 06-02-2017 17:10:21
กวางน้อยยย จงมาาาาา จงมาาาาาาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-02-2017 17:46:52
 :katai5:

    :katai5:

       :katai5:

มามั้ย มามั้ย มามั้ย..
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: LoveRead ที่ 06-02-2017 19:41:11
ชอบจังค่ะ
มาดันนน
 :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่6 (P6-280160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 06-02-2017 20:49:42
น้องลู่มาได้แล้ววววววว :katai2-1:
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 07-02-2017 05:04:55
ภาคกวางทอง

บทที่เจ็ด

ค่ำวันนั้นเองที่แม้แต่เสี่ยวเป่าก็ยังรู้สึกได้ว่าคุณชายลู่ของเขากำลังหลีกเลี่ยงที่จะพบกับทุกคนที่มาจากเมืองเหอ
เสี่ยวเป่าตัวกลม อารมณ์ดีขอเน้นอย่างมั่นใจว่า ทุกคน! ไม่เว้นแม้แต่คนรับใช้ที่เมืองเหอส่งมา 
เพราะตลอดทั้งวัน คุณชายลู่จะไปอยู่ที่ห้องสมุด ทั้งร่วมรับฟังอาจารย์ไปพร้อมกับคุณชายน้อยทั้งสองคน เล่นอยู่ด้วยกัน ดูสมุดภาพอยู่ด้วยกัน เมื่อคณะของเหอหลินจื้อมาถึงอย่างอึกทึกครึกโครมในช่วงบ่าย แล้วฮูหยินต้องพาคุณชายน้อยทั้งสองออกมาต้อนรับ คุณชายลู่ก็ขอแยกไปอยู่ในสวน มิได้ออกมาต้อนรับ

เสี่ยวเป่ารู้สึกว่ามันแปลก ๆ จึงไปสอบถามหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว ว่าการที่คุณชายลู่ไม่ออกไปรับแขกคนสำคัญ ที่มีศักดิ์เป็นท่านลุงของเจ้าเมืองจะทำให้เกิดความไม่พอใจอะไรหรือไม่
แต่เจ้าเมืองมิได้มีความเห็นอันใด เพียงแค่พยักหน้ารับทราบ
ขณะที่หลิวเพ่ยหลิงฮูหยินเจ้าเมืองลั่ว เมื่อทราบว่าคุณชายลู่ไม่ได้ออกมาร่วมรับแขก ก็บอกกับเสี่ยวเป่าและเซียงเซียงให้เปลี่ยนที่พักให้กับคุณชายลู่อีกครั้ง นั่นคือจากเรือนโบตั๋น แล้วย้ายไปเรือนรับรองสายฝนที่นอนเมื่อคืน ก็จะพากันย้ายออกไปเรือนหลานฮัวที่อยู่ห่างออกไปทางด้านหลังและใกล้กับสวนดอกไม้
เป็นเรือนหลังเล็ก ไม่มีทางเดินเชื่อมต่อกับเรือนหลังอื่น และไม่ค่อยได้ใช้รับแขก
 
"เรือนหลังนั้นออกจะเล็กไปสักนิด แต่ก็อยู่ห่างจากพวกท่านลุงเหอ เจ้าพาคุณชายลู่ไปดูก่อนว่าชอบหรือไม่ หากชอบก็ค่อยทำความสะอาด และเตรียมให้เข้าพัก"

เสี่ยวเป่าเกาแก้มตนเองขณะที่เดินกลับไปหาคุณชายลู่
หลังจากที่รับใช้ใกล้ชิดกันมาหลายวัน ทำให้พอจะเดาใจได้ว่า เมื่อเจ้าบ้านบอกให้ไปนอนเรือนเล็กห่างไกลหลังนั้น คุณชายลู่จะไม่ปฏิเสธ หรือต่อให้ฮูหยินเจ้าเมืองบอกให้ออกไปนอนที่โรงเตี๊ยมในเมือง เสี่ยวเป่าก็คิดว่าคุณชายจะยิ้มรับแต่โดยดี
และก็เป็นดั่งคาด คุณชายลู่พยักหน้าเห็นด้วยตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้ไปดูว่าเรือนนั้นตั้งอยู่ตรงไหนของจวนเจ้าเมือง และมีสภาพแบบไหน
ในมุมมองของเสี่ยวเป่าเป็นดังนั้น
แต่ในมุมมองของลู่กลับเป็นไปอีกทาง เรื่องจะให้ไปพักที่ไหน หรือต่อให้ไม่มีที่พักก็หาใช่เรื่องใหญ่ นั่นเพราะลู่เป็นผู้ที่มาจากป่าสีทอง ซึ่งหาได้ต้องการที่พักใหญ่โต หรือความสะดวกสบายใด ๆ ขอเพียงร่มเงาไม้ให้พักพิงกับผลไม้สะอาด ลู่ก็พึงพอใจแล้ว

แต่เสี่ยวเป่า กับเซียงเซียงสองพี่น้องไม่เข้าใจความคิดนี้ จึงมองว่า การย้ายไปห่างไกลคือการไม่ให้เกียรติ จึงช่วยกันกล่าวถึงข้อดีของเรือนพักหลังนี้อย่างเลิศลอย
สองคนพี่น้องเล่าว่า หยางติงอดีตเจ้าเมืองสร้างเรือนพักแห่งนี้สำหรับรับรองนักพรต เหล่าอาจารย์และบัณฑิตที่เดินทางมาจากต่างเมือง และต้องการมาศึกษาตำราในห้องสมุดที่จวนเจ้าเมือง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะมาพักนานกว่าหนึ่งเดือน ทำให้เรือนรับรองหลังนี้อยู่ห่างจากเรือนหลังอื่น

"บางท่านไม่สะดวกที่จะหยิบยืมตำราจากที่นี่กลับไปศึกษาที่อารามหลวงหรือที่โรงเตี๊ยมในเมืองน่ะขอรับ แล้วก็มีที่เคยพักอยู่ในเรือนรับรองหลังอื่น แต่ก็มีคนนั้นคนนี้เดินทางเข้าออกตลอด สุดท้ายท่านอดีตเจ้าเมืองจึงให้สร้างเรือนหลังนี้ ที่นี่สงบเงียบมากจริง ๆ นะขอรับ"

ลู่เข้าใจความเกรงใจ และความปรารถนาดีของทุกคน เมื่อมาถึงเรือนรับรองหลานฮัว ก็ชื่นชมกับบรรยากาศโดยรอบ สองพี่น้องจึงเบาใจและพากันชี้ชมดอกไม้ในสวนต่อไป
เพียงแต่จวนเจ้าเมืองลั่วมิได้กว้างขวางดั่งวังหลวง ความวุ่นวายของคณะผู้ที่มาจากเมืองเหอ ยังสามารถรับรู้ได้ถึงเรือนพักหลังนี้ ด้วยเสี่ยวเป่าอีกเช่นกันที่นำเรื่องมาเล่าอย่างละเอียดยิบดั่งเหตุการณ์เกิดขึ้นต่อหน้า

"นายท่านเหอ พอมาถึงก็เสียงดังใส่ท่านเจ้าเมือง โวยวายคล้ายกับที่นายหญิงบ่นก่อนหน้านี้ ช่างสมกับที่เป็นพี่น้องกันเลยจริง ๆเลยขอรับ" ยิ่งเล่าก็ยิ่งที่ทำให้คนฟังรู้สึกสงสารฝ่ายเจ้าเมืองลั่วมากขึ้นกว่าเดิม
"แล้วท่านเจ้าเมืองกับนายท่านหยางติงว่าอย่างไร"
"ไม่ว่าอย่างไร และไม่เคยว่าอย่างไรได้อยู่แล้ว ตอนที่นายหญิงบ่นแล้วเงียบอย่างไร มาจนถึงเวลานี้ก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิมขอรับ" เสี่ยวเป่ายกนิ้วชี้ขึ้นมาหมุน ๆ
"เขาจะทะเลาะกันไหม"
"ไม่หรอกขอรับ ตั้งแต่แรกมา ก็มิเคยทะเลาะกัน ทั้งบิดาและบุตรปล่อยให้นายหญิงบ่นว่าไปตามใจ แต่พวกเขาก็ยังคงทำตามที่ตกลงกันไว้"
ลู่หัวเราะเบา ๆ "คล้ายจะดื้อเงียบทั้งพ่อทั้งลูก" จากนั้นลู่ก็เปลี่ยนเรื่องคุย "แล้วนี่ต้องไปช่วยเขารับรองแขกหรือไม่ หากเขาเรียกให้ไปก็ไปได้นะ"
"ไม่ต้องขอรับ ท่านเจ้าเมืองย้ำให้ข้าอยู่กับคุณชายลู่  คาดโทษไว้ด้วยว่าถ้าปล่อยให้คุณชายอยู่คนเดียวอีก จะให้ข้าอดขนมสามวัน"
ลู่ทำหน้าเหยเก "สามวันเชียวหรือ"
"นั่นสิขอรับ ตั้งสามวันเชียวนะ นี่คือโทษรุนแรงที่สุดของเมืองลั่ว ช่างโหดร้ายยิ่งนัก"
ลู่กับเสี่ยวเป่ามองหน้ากันแล้วหัวเราะเสียงดัง

ส่วนบรรยากาศในส่วนของจวนเจ้าเมืองกลับเคร่งเครียดมาตลอดตั้งแต่ฝ่ายเมืองเหอเดินทางมาถึง เมื่อเหอหลินจื้อเปิดปากถึงความสัมพันธ์อันแนบแน่นทั้งเรื่องครอบครัวและการเมืองชนิดไม่เว้นว่างให้ผู้อื่นได้พักหู
 
หยางหลงในฐานะเจ้าเมืองลั่วตอบกลับไปด้วยท่าทีอ่อนน้อมอย่างยิ่ง "ในฐานะหลาน หลานยินดีที่ท่านลุงให้ความเชื่อมั่นมายินดีกับหลานด้วยตนเอง แต่ในฐานะเจ้าเมือง หลานเห็นว่า เมืองลั่วหาได้มีความสำคัญอันใดในทางยุทธศาสตร์ เราเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ หากวันหนึ่งข้างหน้าจะต้องถูกพัดพาเข้าสู่สงคราม ก็ขอให้มันเกิดขึ้นด้วยไม่เหลือทางเลือกอื่นใดแล้วเถิด"
"แสดงว่าเวลานี้เจ้ามีทางเลือกเช่นนั้นหรือ"
หยางหลงพยักหน้าช้า ๆ ทำให้เหอหลินจื้อทุบโต๊ะเสียงดัง
"ญาติพี่น้องดั่งแขนขา เจ้ากลับเลือกที่จะอยู่ฝั่งที่เอาแต่สูบเลือดเนื้อ!"
"ดูเหมือนท่านลุงจะมาเพื่อกล่าวประณาม หาได้มาเพื่อยินดีที่ข้าได้เป็นเจ้าเมือง และไม่คิดที่จะโน้มน้าวให้ข้าเปลี่ยนใจไปหาท่านแม้แต่น้อย"
หยางหลงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตาเป็นเส้นโค้ง จนหยางไห่เปลี่ยนเสียงหัวเราะให้กลายเป็นการไอแทบไม่ทัน

เหอหลินจื้อ และเหอชินรุ่ยนั้นมีนิสัยคล้ายกันตรงที่ไม่ชำนาญในการรอมชอม ต้องการสิ่งใดก็จะพุ่งตรงเข้าหา หากไม่ได้ก็จะโวยวายใส่ผู้ที่ขัดใจ เมื่อต้องมาพบกับนักเจรจาอย่างหยางหลง เมื่อเริ่มเปิดปากเจรจาเพียงไม่กี่ประโยคก็ทราบผู้ชนะแล้ว
ก่อนที่เจ้านายจะเสียหน้าไปมากกว่านี้ เลขาของเหอหลินจื้อ ต้องเลี่ยงไปถามไถ่ถึงความเป็นอยู่ของชาวเมืองลั่ว เพื่อที่จะวกกลับมาที่บรรดาหลาน ๆ
ทั้งที่โดยมารยาทการเจรจา สมควรถามไถ่ความเป็นอยู่ของทั้งสองฝ่าย ก่อนที่จะเข้าสู่ประเด็นการเมือง

หยางไห่ตีสีหน้าเห็นใจเลขาของเหอหลินจื้ออย่างออกนอกหน้า
....เป็นเลขาของคนใจร้อนนี่ช่างเป็นงานหนักยิ่งนัก

หยางเฉิงช่วยคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการหันไปเรียกให้บรรดาสะใภ้ทั้งหลาย พาหลาน ๆ มาคารวะท่านปู่เหอ
เหอหลินจื้อจึงตัดสินใจพักความไม่พอใจนั้นไว้ก่อน นอกจากนี้ฝ่ายเมืองเหอ ยังต้องการสร้างความคุ้นเคยกับบรรดาผู้ที่อยู่หลังบ้านของกลุ่มพ่อลูกเมืองลั่ว เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองในอนาคตต่อไปอีก

ในครอบครัวอื่นสามีเป็นผู้นำ ภรรยาเป็นผู้ตามทั้งไม่เข้าแทรกแซงการทำงานของสามี แต่ไม่ใช่เหอชินรุ่ย ตั้งแต่พี่รองของนางเดินทางมาถึงนางก็ประกาศตัวว่าอยู่ข้างพี่รองมาตลอด จนกระทั่งหยางหลงกล่าววาจายอกย้อนเหอหลินจื้อ นางจึงเงียบไป
รอจนกระทั่งเหอหลินจื้อชมการแสดงของหลาน ๆ จบลงแล้วมอบรางวัล และเด็ก ๆ กลับไปหมดแล้ว เหอชินรุ่ยจึงหันมากล่าวกับพี่รองในเชิงออกตัว
นั่นคือการกล่าวถ้อยคำในฐานะตัวแทนของเมืองลั่ว ว่าแท้จริงแล้ว ทุกคนในเมืองนี้ยืนอยู่ข้างเมืองเหอ มีก็แต่หยางติงที่หวั่นเกรงแต่ภัยสงครามจนพาให้เมืองลั่วไม่ได้พัฒนา
เมื่อน้องสาวเป็นคนเริ่มเรื่อง เหอหลินจื้อก็พร้อมที่จะกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้งในทันที

หยางเฉิงกับหยางไห่ลอบมองหน้ากันอยู่ทางด้านหลัง ดูท่าว่าการสนทนาจะต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้นกันอีกหลายรอบ จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้ไปเอง
 
เมื่อเหอหลินจื้อกล่าวถ้อยคำต่อว่าหยางติงในฐานะอดีตเจ้าเมืองลั่วอย่างตรงไปตรงมาที่ปฏิเสธความหวังดีของฝ่ายเมืองเหอ หลังการเจรจาหารือกันในทางลับอย่างยาวนาน หยางติงก็กลับมอบให้หยางหลงไปยื่นหนังสือที่เมืองหลวง พอกลับมาก็ยกตำแหน่งเจ้าเมืองให้
หยางติงกล่าวคำชี้แจงยังไม่ทันจะจบประโยค เหอชินรุ่ยก็กล่าวความเห็นแทรกขึ้นมา ซึ่งล้วนคือคำกล่าวตำหนิหยางติงเช่นเดียวกัน
นางกล่าวคำตำหนิสามีต่อหน้าพี่ชายตนเอง บุตร และผู้ติดตามมากมาย หากเป็นบ้านอื่น ฮูหยินผู้นี้คงได้กลับไปอยู่ที่ครัวหลังบ้าน แต่สำหรับบ้านนี้ เหอชินรุ่ยยังคงนั่งเคียงข้างพี่ชายอยู่ที่เก้าอี้หัวโต๊ะ ส่วนหยางติงได้แต่กลืนเลือดตนเองแล้วฝืนยิ้มรับแขก

หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว มองบิดาดั่งให้กำลังใจ เพราะรู้แล้วว่า ยิ่งชี้แจง ยิ่งอธิบาย บิดาคือคนที่จะถูกประณามมากขึ้น
ที่ก่อนหน้านี้ตระเตรียมไว้ว่าจะออกหน้ารับแทนบิดา กลับถูกมารดาตีกลับทั้งหมด
หยางหลงยิ้มแย้มขณะที่กล่าวถ้อยคำย้ำว่าตนคือผู้ตัดสินใจเรื่องราวทั้งหมด 
"ข้าตัดสินใจด้วยการยกผลประโยชน์ของเมืองลั่วเป็นที่ตั้ง แน่นอนว่าย่อมมีการพิจารณาเกี่ยวกับการรักษาสายสัมพันธ์อันดีกับทุกฝ่าย ซึ่งการที่เมืองลั่วเปิดบ้านต้อนรับท่านและทุกเมืองที่ให้การสนับสนุนท่าน ก็น่าจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เมืองลั่วมิได้หันหลังให้กับผู้ใด" 

ขณะที่การเจรจาของผู้ใหญ่เป็นไปอย่างตึงเครียดโดยปราศจากความก้าวหน้า บุตรชายบุตรหญิงของหยางเฉิงและหยางไห่กลับไปที่เรือนของตนเอง แต่หยางเจียเจิงกับหยางเจิ้นขุย มิได้กลับไปที่เรือนพัก กลับมาเล่นอยู่กับลู่ และเสี่ยวเป่าที่เรือนหลานฮัวที่อยู่ห่างไกล
ทั้งหมากล้อม วาดภาพ เป่ากระดาษ สารพัดการละเล่นที่จะหามาเล่นด้วยกัน จนยามดึกเมื่อนางพี่เลี้ยงมาเรียกให้กลับไปพักที่เรือนของตนเอง ทั้งคู่ก็ขอที่จะนอนที่เรือนเล็กหลังนี้
"คืนนี้พวกเรานอนที่เรือนนี้กับพี่ลู่ได้ไหม" เมื่อหยางเจิ้นขุยร้องขอ มีหรือที่ลู่จะขัดใจ

ดังนั้น เมื่อหยางหลงแวะมาที่เรือนหลานฮัวในยามดึกจึงพบว่าลู่ยังดูสมุดภาพอยู่กับบุตรชายทั้งสองคน โดยมีหลิวเพ่ยหลิงที่มีสีหน้าเกรงใจอย่างยิ่ง
"เด็ก ๆ ขอว่าจะนอนกับคุณชายลู่"
"นอนได้นะ" ลู่ยิ้มกว้าง
เมื่อเห็นว่าลู่อนุญาต หยางหลงจึงบอกให้หลิวเพ่ยหลิงกลับไปพักก่อน ด้วยวันนี้เหน็ดเหนื่อยวุ่นวายมาทั้งวันแล้ว ส่วนตนเองจะพาเด็ก ๆ ทั้งหมดเข้านอนเอง
หยางเจียเจิงและหยิงเจิ้งขุยสองพี่น้องนอนที่เตียงใหญ่ ทั้งคู่ไม่เคยเข้านอนดึกขนาดนี้มาก่อน เมื่อหัวถึงหมอนก็หลับไปในทันที ส่วนลู่คราแรกก็ทำท่าว่าจะนอนเตียงเดียวกัน แต่เมื่อเห็นทั้งสองคนนอนสบายก็เปลี่ยนใจไปนอนที่เก้าอี้ตัวยาวในห้อง โดยมีเสี่ยวเป่าอาสานอนที่พื้นเหมือนเดิม
หยางหลงกระชับผ้าห่มให้บุตรชายทั้งสองคนแล้วเดินทางหาลู่ที่เก้าอี้ยาวอีกด้าน
"วันนี้ช่างเป็นวันที่ยาวนานของท่าน" ลู่จับมือให้กำลังใจ
"แต่สุดท้ายแล้ววันนี้จะผ่านไป กลายเป็นวันวาน ที่ท่านลุงมิพอใจ ก็เพราะท่านแม่ไปตกปากรับคำพวกเขาไว้"
ลู่พยักหน้า "ตอนที่ไปยื่นหนังสือที่เมืองหลวง ท่านแจ้งมารดาหรือเปล่า"
"นางย่อมทราบอยู่แล้ว"
"นั่นมันก็ใช่" ลู่เกาหน้าผาก "แต่บอกนางก่อน กับการคิดว่านางทราบแล้วก็เลยไม่บอกน่ะมันไม่เหมือนกันนะ"
"หากบอกก่อนไป นางก็จะโกรธและไม่พอใจ"
"แต่หากไม่บอก นางก็ยิ่งไม่พอใจ"
เจ้าเมืองคนใหม่คล้อยตาม "ถูกของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรตามนางก็ไม่พอใจ เพราะประเด็นสำคัญคือพวกเราไม่ได้ทำในสิ่งที่นางต้องการ"

หยางหลงหันไปมองที่เตียงนอนของบุตร เห็นทั้งสองคนหลับไปแล้ว ส่วนเสี่ยวเป่าก็นอนหันหลังให้ จึงก้มลงจูบปากลู่
"หลับเถิด ข้าก็จะกลับไปพักผ่อนแล้ว"

แต่ในคืนวันนั้น เหอหลินจื้อยังคงพูดคุยกับน้องสาวอยู่ที่เรือนรับรองโบตั๋นจนยามดึก คนรับใช้ที่เข้าไปเปลี่ยนน้ำชา ได้ยินเสียงสนทนาบางถ้อยคำเกี่ยวกับคุณชายลู่

ส่วนลู่ แม้จะมีความตั้งใจอย่างแรงกล้า ที่จะหลีกเลี่ยงการพบเจอคนจากเมืองเหอให้มากที่สุด แต่ความพยายามนี้ไม่เป็นผล เพราะในช่วงเที่ยงของวันถัดมา ลู่ก็ต้องพบกับพวกเขาในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง

ตั้งแต่เช้า จวนเจ้าเมืองลั่วยังคงวุ่นวายด้วยการรับรองเหอหลินจื้อ พร้อมคณะผู้ที่มาจากเมืองเหอ วุ่นวายกันตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าจวน จนถึงคนงานในห้องครัว

พอถึงช่วงสายหลังจากที่บุตรชายหญิงของหยางเฉิงรับอาหารเช้าเสร็จสิ้น ก็รบเร้าให้มารดาของพวกตนและพี่เลี้ยงพามาหาลู่ที่จวนเจ้าเมือง
ชุนผิงฮูหยินใหญ่ของหยางเฉิงเห็นว่า การให้เด็ก ๆ มาเล่นด้วยกันไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ทั้งหากมารดามาเห็นว่าเด็ก ๆ เข้ากันได้ดีและมีความสุขก็อาจทำให้นางอารมณ์ดีขึ้น แต่เมื่อพี่เลี้ยงจะพาเด็ก ๆ ออกมาที่จวนเจ้าเมือง ซูเหยาฮูหยินหกของหยางเฉิงทราบเรื่องเข้า ก็ขออาสาเป็นคนพาเด็ก ๆ มากับบรรดาพี่เลี้ยงด้วยตนเอง
ทุกคนล้วนรู้ดีว่า ฮูหยินหกต้องการโอ้อวดกับผู้ที่มาจากเมืองเหอว่าตนก็มีบทบาทสำคัญในเรือน หาใช่เพียงอนุต่ำต้อยผู้หนึ่ง
ดังนั้นก่อนที่จะพากันออกมาจากเรือนของหยางไห่ ชุนผิงจึงกล่าวเตือนเรื่องมารยาทอีกหลายคำ
"จะอย่างไรคุณชายลู่ก็เป็นแขกของท่านพ่อและเจ้าเมือง เจ้าก็อย่าได้ไปวุ่นวายกับเขามากนัก ท่านพี่" นางหมายถึงหยางเฉิง "ไม่ชอบให้เราไปวุ่นวายที่จวนเจ้าเมืองมากนัก"
ซูเหยารับคำ แต่พอหันหลังให้ก็ลอบเบ้ปาก นึกดูหมิ่นคำเตือนของฮูหยินใหญ่ จากนั้นก็นวยนาดเดินนำทุกคนไปที่จวนเจ้าเมือง
ก่อนหน้านี้นางมาที่จวนเจ้าเมืองไม่บ่อยนัก แต่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นางมาที่นี่ทุกวันเพื่อรายงานเรื่องราวต่าง ๆ ให้มารดาของสามีรับทราบ

ครานี้นางพาเด็ก ๆ ตรงไปที่เรือนพักของลู่ ด้วยท่าทีโอ้อวดว่านางรู้จักสถานที่แห่งนี้ดีอย่างยิ่ง
"เด็ก ๆ บ่นคิดถึงคุณชายลู่ เมื่อวานก็ไม่ได้เล่นด้วยกัน เมื่อเช้าพอรู้ว่า เจียเจิงกับเจิ้งขุยนอนอยู่ที่เรือนนี้ วันนี้ก็เลยรบเร้าให้พามาหา"
ซูเหยาเริ่มการสนทนาอย่างเป็นทางการ รู้สึกเก้ออยู่เหมือนกันที่ลู่ไม่หันมามอง
เห็นเพียงมุมปากที่ยกยิ้ม แต่กลับหลุบตามองของเล่นตุ๊กตาม้าไม้ที่อยู่ในมือ จากนั้นก็หันหลังให้ เมื่อหันไปมองเด็ก ๆ ทุกคนก็ตรงเข้าไปหาของเล่น บรรดาพี่เลี้ยงก็หันไปพูดคุยสอบถามเซียงเซียงว่าต้องการให้ช่วยเหลือสิ่งใด
เมื่อไม่เป็นที่สนใจของผู้ใด ซูเหยาจึงขอตัวไปหาเหอชินรุ่ย

เมื่อนางเดินห่างออกไป ลู่ถึงได้หันกลับมามอง และทำให้เห็นบรรดาพี่เลี้ยงคนรับใช้ที่กำลังป้องปากนินทาซูเหยา เมื่อพวกนางเห็นว่าลู่กับเด็ก ๆ กำลังมองมาก็พากันยิ้มเก้อ บางคนหันไปช่วยคนรับใช้ที่ถือถาดขนมและผลไม้มาช่วยกันจัดวาง

"ตอนไปบ้านข้า มีขนมมากกว่าที่จวนเจ้าเมืองเสียอีก" หยางฉวนบุตรชายคนโตของหยางเฉิงหันมาโอ้อวดกับหยางเจียเจิง ทั้งสองคนอายุหกปีเท่ากันและมักจะเรียกชื่อมากกว่าการเรียกหาเป็นพี่น้อง
ส่วนหยางเจิ้นขุย กับหยางจง ไม่สนใจการโอ้อวดของพี่ใหญ่ ต่างสนใจกับตุ๊กตาม้าไม้ที่อยู่ในมือลู่ต่างแย่งกันไต่ถามและชื่นชมเสี่ยวเป่าที่เป็นคนทำของเล่น
ขณะที่หยางเย่เจียกับหยางจื่อเจ๋อ สองสาวน้องเล็ก ไม่สนใจการโอ้อวดและไม่สนใจของเล่น ต่างหันไปหาขนมหวานในขวดโหล เซียงเซียงรีบเปิดขวดโหลเพื่อให้คุณหนูหยิบกินเอง
"เพิ่งกินมาจากบ้าน พอมาถึงก็หิวเสียแล้ว" พี่เลี้ยงหันไปทำหน้าตาเก้อเขินกับเซียงเซียง
"กินเถอะ เซียงเซียงเตรียมไว้เยอะเลย" ลู่บอกแล้วหันไปถามเด็กผู้ชายสี่คนว่าต้องการขนมหรือผลไม้หรือไม่ ทั้งสี่คนบอกว่าต้องการผลไม้ แล้วเข้ามารุมล้อมผลสาลี่ในถาด
ผลไม้สีสวย กลิ่นหอม รสหวาน หยางเจียเจิงกัดคำแรก แล้วหันไปอวดกับหยางฉวนว่าผลไม้ที่จวนเจ้าเมืองต้องมีรสชาติอร่อยกว่าที่เรือนของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน หยางฉวนไม่ยอมแพ้บอกว่า ผลไม้ที่จวนเจ้าเมืองอร่อยสู้ที่เรือนของตนไม่ได้
เสียงโอ้อวดของพี่ใหญ่สองคนพลันชะงักค้างเมื่อหยางเจียเจิงกำมือแน่นกดที่หัวใจ ไม่มีเสียงร้องขณะที่ค่อย ๆ งอตัวลง
หยางฉวนที่โต้เถียงกันอยู่ร้องตะโกนเรียกลู่ และพี่เลี้ยงเข้ามาดู  ลู่หันไปคว้าตัวหยางเจียเจิงให้ทรุดตัวลงมาในอ้อมกอดแล้วหมดลมหายใจไปต่อหน้า

มีเสียงกรีดร้องอยู่รอบตัว แต่ลู่มองเห็นเพียงหยางเจียเจิงบุตรชายคนโตแห่งหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว ที่สิ้นใจอยู่ในอ้อมแขน
ร่างเล็ก ๆ นั่นคล้ายเพียงหลับไป หากว่าริมฝีปากนั้นจะไม่เขียวคล้ำลงอย่างรวดเร็ว ที่บ่งบอกว่าถูกพิษร้าย
ลู่รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อมือคู่หนึ่งชิงหยางเจียเจิงไปจากแขน
เป็นหยางหลง และหลิวเพ่ยหลิง ที่กอดบุตรชายคนโตไว้แล้วเรียกชื่อไม่หยุด
หยางหลงบีบปากของหยางเจียเจิง เพื่อล้วงเศษผลไม้ออกจากลำคอ จากนั้นก็ทุบหลังบุตรชาย พยายามที่จะให้ร่างน้อย ๆ ฟื้นคืนชีวิตอีกครั้ง แต่ไม่อาจฟื้นคืน
แพทย์ประจำจวนเจ้าเมืองที่เร่งเดินทางมาถึงก็ไม่อาจทำให้ลมหายใจกลับคืนมา

"จับเด็กคนนั้นไว้!" เสียงของคนที่ลู่พยายามหลีกเลี่ยงการพบเจอมาตั้งแต่วันแรกดังก้อง
"ท่านลุง!" หยางหลงท้วงขึ้นทันที

แต่ยามนี้เหอหลินจื้อกำลังหยุดยืนนิ่งขึง
เพราะทันทีที่ลู่เงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีทองคู่นั้นก็ผนึกเหอหลินจื้อให้ต้องหยุดยืนอยู่กับที่
.....นี่หรือคือดวงตาสีทองที่ทำให้คนทั้งเมืองลั่วพากันเชื่อว่า เป็นเทพที่มาจากป่าสีทอง
ช่างงดงามยิ่งนัก
นี่อาจมิใช่ดวงตา แต่มันคืออัญมณีล้ำค่า....

"พี่รอง" เหอชินรุ่ยเรียกพี่ชายคนรอง "ที่นี่มีเรื่องอยู่ ท่านจะให้ควบคุมตัวคุณชายลู่ด้วยเรื่องใด"
"เจ้าเด็กนี่ฆ่าหลานเจียเจิงเจ้ามองไม่เห็นหรือไง ผลไม้ที่เจียเจิงกินเข้าไปมีพิษ" นิ้วมือใหญ่ชี้ไปที่ผลไม้ที่ตกอยู่ และริมฝีปากที่เปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำอย่างรวดเร็ว "นี่คืออาการของพิษ แต่จะเป็นพิษอันใด ส่งไปให้เจ้าพนักงานตรวจสอบดูก็รู้เอง"

นับว่าเป็นครั้งแรกของเหอชินรุ่ยเช่นกันที่มองเห็นดวงตาสีทองของลู่อย่างชัดเจน ทั้งมีความเห็นว่า เป็นสีทองสุกสว่าง แต่เมื่อคิดทบทวนก็ตระหนักได้ว่า ที่ผ่านมาลู่มักจะก้มหน้า หรือหันหลังให้จนมองไม่เห็นดวงตาคู่นั้นมาโดยตลอด
แต่มาถึงตอนนี้ ลู่กลับมองมาตรง ๆ
เหอชินรุ่ยนึกสงสัย เหตุใดลู่จึงมีท่าทีเช่นนั้นต่อตนเอง

ความคิดของสองพี่น้องสะดุดลงเมื่อหยางติงก้าวเข้ามาขวางลู่ไว้
"กล่าวคำให้ร้ายคนอื่นโดยง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร"
"ให้เขาจับข้าก็ได้นะ" ลู่พูดขึ้นเบา ๆ
"คุณชายลู่" หยางติงหันมาหา ทั้งสีหน้าแววตา และน้ำเสียง มีแต่ความเสียใจ
"ไม่เป็นไรหรอก" ลู่ยิ้มทั้งที่ไม่เปิดริมฝีปาก 

ดวงตาสีทองหันไปมองหยางหลงกับเพ่ยหลิงที่กอดเจียเจิงร่ำไห้ แล้วมองท่าทีของทุกคนที่อยู่รอบตัว ขณะที่มีความเสียใจปกคลุมที่แห่งนี้ แต่ก็มีความโกรธแค้น และความรู้สึกยินดีปะปนอยู่ด้วย
นั่นเป็นความรู้สึกที่ไม่ควรอยู่ในที่แห่งนี้
เสี่ยวเป่าเห็นว่าลู่นั่งนิ่ง ๆ อยู่เช่นเดิมอาจเพราะตกใจจนเสียขวัญก็เข้ามากอดปลอบ แต่ลู่กลับหันมาลูบหลังเสี่ยวเป่า "ไม่เป็นไรหรอก"
ยิ่งอยู่ตรงนี้เป็นเวลานาน ภายในใจของลู่ก็ยิ่งไม่สงบนิ่งอย่างที่เห็นภายนอก
เมื่อมีทหารสองนายเดินเข้ามา ลู่ก็หันไปถามหยางติง "ข้าต้องไปกับพวกเขาใช่ไหม"
"คุณชายไม่ต้องไปที่ใดทั้งสิ้น นี่คือบ้านของข้า" หยางติงกล่าวเสียงดัง
 
เป็นครั้งแรกที่หยางติงแสดงอำนาจที่มีอยู่ แต่คำพูดถัดมาของเหอหลินจื้อกลับทำลายอำนาจนั้นของหยางติงลงในทันที

"ที่นี่คือจวนเจ้าเมือง ยามนี้เจ้าเมืองลั่วคือหยางหลง แต่ยามนี้เขาสูญเสียบุตรชายคนโตไป"
แต่หยางหลงไม่รอให้อีกฝ่ายจบประโยค
"เหตุใด ท่านลุงจึงชี้ไปที่ลู่"
"ก็เพราะเขาคือคนที่ส่งผลไม้พิษให้กับเจียเจิงอย่างไร" เหอหลินจื้อชี้ไปที่คนรับใช้ "เจ้ามิได้ฟังที่พวกคนรับใช้พูดหรือ เด็ก ๆ เล่นกันอยู่ เขาเรียกเด็ก ๆ เข้ามากินผลไม้ มีผลไม้เต็มตะกร้า แต่เขาส่งผลไม้ผลนี้ให้กับเจียเจิง ควบคุมผู้ต้องสงสัยไว้ก่อน หากมิใช่คนผิดก็ปล่อยตัวออกไป นี่เป็นขั้นตอนการสอบสวนที่ใช้กันทั่วไป หรือเมืองลั่วมิได่ทำเช่นนี้ หรือ...." เหอหลินจื้อทอดเสียง พลางหันมาทางหยางติง "หรือมีเหตุผลพิเศษอื่นใด ที่ทำให้ไม่สามารถควบคุมตัวเด็กผู้นี้ได้"
 
หยางหลงเงยหน้ามองเหอหลินจื้อ มารดา แล้วมาหยุดที่ลู่ ซึ่งกำลังมองกลับมา
ในใจกลับคิดคาดเดาเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
การลุกขึ้นยืนแก้ต่างให้กับลู่ในเวลานี้ยังทำไม่ได้ เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใครวางยาหยางเจียเจิง แต่คือการทำให้มารดายอมรับความจริง และด้วยความเต็มใจ
ทั้งเมื่อหันมามองหลิวเพ่ยหลิง ความสูญเสียบุตรชายก็ยังทำให้นางไม่อาจคิดหาเหตุผลอันใด หากยืนกรานคัดค้านต่อเหอหลินจื้อยังอาจทำให้นางพลอยเข้าใจผิดไปด้วยอีกคนหนึ่ง

"บอกให้ทหารคุมตัวข้าสิ" ลู่กล่าวขึ้น
หยางหลงกลืนก้อนน้ำตาพยักหน้าช้า ๆ ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว
นี่ไม่อาจแยกแยะได้เลยว่า ความเจ็บปวดใจนี้ เกิดขึ้นจากสิ่งใด
มารดาที่ไม่ยอมรับฟัง
บุตรที่ต้องจบชีวิตลง
และการที่ต้องสั่งจำคุกลู่
....ลึกลงไปในใจ หยางหลงโทษตนเองที่เป็นสาเหตุให้เกิดความสูญเสีย
"พาคุณชายลู่ไปที่ห้องขังชั่วคราวที่ศาลาว่าการเมือง" หยางหลงสั่ง "ไม่ต้องตีตรวน"

เสียงหัวเราะที่จวนเจ้าเมืองลั่วมีอันต้องเหือดหายไปด้วยเหตุนี้เอง
   
...จบบทที่เจ็ด....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-02-2017 05:38:11
ขนมมีพิษ ไม่ได้ตั้งใจให้เด็กๆกิน
เด็กๆมาอยู่ผิดที่ ผิดเวลา
คนร้ายจะถูกจับได้มั้ยนะ
ดูเหอชินรุ่ย ไม่ได้โศกเศร้าที่เสียหลานไปนะ
ลู่ อยู่ตรงไหนก็ถูกรังควาน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 07-02-2017 06:46:58
 :sad4: :sad4:

เด็กน้อยกลายเป็นผู้รับเคราะห์....เสียใจ  :o12:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-02-2017 07:14:01
ใครเป็นคนวางยาหนอ ความรู้สึกดีใจที่ลู่สัมผัสได้มาจากใครกัน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 07-02-2017 08:54:33
สงสารเด็กที่ไม่ได้ผิดอะไรแต่ต้องมารับกรรมเพราะเรื่องการเมืองของผู้ใหญ่
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-02-2017 09:14:03
โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-02-2017 11:06:08
นี่ต้องเห็นมาตลอดแน่ๆว่าหยางติงเป็นผู้ที่รักเมียมากมายและรอมชอมที่สุด
แบบนี้ก็เลยยิ่งเข้าทางอิลุงนั่นที่แสดงอำนาจแบบไม่เกรงใจมาตลอด
ช่างแลเป็นลุงที่ละโมบ และขี้โอ่สุดๆ  :m31:  :m31:

แต่เหตุการณ์มันก็ประจวบกับช่วงที่อิลุงนี่มาพอดี คนที่วางแผนนี่ร้ายกาจใช่ย่อยแถมอำมหิตมากที่ทำกับเด็กคนหนึ่งได้ลงคอ

รอวันลู่น้อยเราแสดงอิทธิฤทธิ์ดีกว่า  :a9:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 07-02-2017 18:41:23
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

บีบหัวใจมาก  อะไรฟว่ะ(ขอโทษที่หยาบคาย)....ทำกันเกินไปแล้ว
ไม่ชอบเลย ไม่แมนอ่ะ  สู้กันแบบเปิดเผยไม่ได้รึงัย  สงสารเด็ก #อินมากไปหน่อย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 07-02-2017 19:27:31
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-02-2017 20:49:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 07-02-2017 20:52:36
ดีแล้วที่หยางหลงคิดขังลู่ไว้ เราว่าจะปลอดภัยมากกว่าให้ลู่อยู่ข้างนอก แต่ผลไม้มีพิษนี่ ต่อให้ลู่กินแต่หยิบไม่โดนผลที่มีพิษก็ไม่ตายอยู่ดี...หรือคนร้ายยังไม่ต้องการฆ่าลู่แต่รู้ว่าวันนี้คนเยอะเปอร์เซนต์ที่คนจะกินผลไม่เท่าๆกับขนม...งานนี้อาจเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู...แต่สงสารที่เด็กต้องมารับเคราะห์กรรมนั้น...มีชื่อคนทำอยู่ในใจแล้วแต่ขอให้แน่ใจอีกนิดนึง กลัวเดาผิด 555
หรือคนที่คนร้ายต้องการชีวิตจริงๆคือ หยางหลงไม่ใช่ลู่ แต่ลู่คือคนสำคัญเลยเป็นเป้าของคนร้าย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 09-02-2017 19:08:44
โง้ยยยยยย ตายเลยอ่า ฆ่าตัวละครอย่างเลือดเย็น ฮืออออออออ  :z3: นุ้งลู่ของพี่ :ling3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 10-02-2017 23:19:55
ตอนก่อนๆของเรื่องนี้ ลึกลับนะคะ แต่ก็เรียบเรื่อย พอมาตอนเจ็ดก็รู้สึกเหมือนเดินเกมเร็ว มีเรื่องให้ตื่นเต้น สงสารเด็กน้อยแล้วก็ลู่มาก จะพิสูจน์ตัวเองยังไง ใครทำ อยากรู้ไปหมดเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-02-2017 09:30:47
ปักหมุด ... วันอาทิตย์ อิอิ



 :z13:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 12-02-2017 10:04:59
มาดัน..มาจอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 12-02-2017 11:00:10
 :L2:มีคนรออ่านต่ออยู่นะฮะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 12-02-2017 15:07:39
 :katai5:

มารึยางงง...รอกวางลู่อยู่น๊าาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 12-02-2017 16:32:49
กลับมาอ่านใหม่ ประโยคนี้ "ความรู้สึกยินดีปะปนอยู่ด้วย นั่นเป็นความรู้สึกที่ไม่ควรอยู่ในที่แห่งนี้"
คาใจมาก  อยากรู้ว่า ใครคิด ใครรู้สึกแบบนี้ น่า....จริงๆ
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-02-2017 21:03:50
 :mew1:  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 12-02-2017 23:14:19
 :z2: :z2:

มาดุ๊กดิ๊กรออาลู่
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: เล็กต้มยำ ที่ 13-02-2017 00:46:22
พึ่งได้มาอ่านค่ะ ชอบมากเลยย
ตอนสุดท้ายนี่สงสารอ่ะ โหดร้ายมากเลยย
ตามนะคะ
 :L2: :L2: :L2:
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-02-2017 01:10:54
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 13-02-2017 08:12:33
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ว

ฮึบๆๆ

 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 13-02-2017 09:29:48

เข้ามาดันนน อยากอ่านลู่แล้วจ้า  :กอด1:



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 13-02-2017 10:50:01
 :call: :call:

โอม...จงมา จงมา  จงมา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 13-02-2017 11:00:27
สนุกมาก ทำไมเป็นที่แลดูเลวแบบนี้อ่ะ นั่นหล่นตัวเองนะ ปกครองเมืองได้ไงอ่ะ คนไม่ตายเป็นเบือนเหรอ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 13-02-2017 19:27:26
มาดันรอตอนต่อปายยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 13-02-2017 20:56:25
ใครวางยาพิษเนี่ย แล้วตั้งใจจะทำร้ายเด็กจริงๆ หรือจะป้ายความผิดให้ลู่เฉยๆ เดาไม่ถูกเลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: lilowria ที่ 14-02-2017 04:00:32
ท่านแม่กวาง มาพาลู่น้อยกลับไปเร็ว ท่านพ่อเสือไม่ส่งคนมาดูแลลู่เลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: lilowria ที่ 14-02-2017 04:00:58
สงสารลู่
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 14-02-2017 09:11:14
ก๊อกๆๆๆ วันนี้จะมาไหมเอ่ยย  :L1:
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 14-02-2017 12:53:50
ภาคกวางทอง

บทที่แปด

ลู่ยังคงไม่รู้สึกเดือดร้อนกับการที่ต้องย้ายที่พักมาอยู่ที่ห้องขังชั่วคราวของศาลาว่าการเมืองสักเท่าใดนัก เพราะแม้ห้องขังนี้จะอยู่ใต้ดิน แต่ยังมีช่องหน้าต่างเล็ก ๆ อยู่เกือบชิดผนังด้านบน คอยรับแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านเข้ามา และลู่ก็มีความพึงพอใจอย่างยิ่งกับหน้าต่างและแสงสว่างนั้น กับยังมีเพื่อนร่วมทุกข์ที่อยู่ในห้องใกล้กัน พวกเขาเป็นนักโทษจากคดีฉ้อโกงที่ถูกคุมขังเพื่อรอเวลาส่งตัวให้เจ้าพนักงานจากเมืองของผู้ฟ้องร้องมารับตัวไปพิจารณาโทษ
ลู่รู้เรื่องราวมากมายของเมืองลั่ว และชาวเมืองลั่วก็จากนักโทษเหล่านี้
ส่วนนักโทษในคดีอาญาและคดีอื่น ๆ ที่ต้องรับโทษคุมขังเป็นเวลานาน จะถูกแยกไปคุมขังที่เรือนจำอีกหลังหนึ่ง

ไม่มีผู้ใดในเมืองลั่วที่ไม่รู้ว่าหยางติงเป็นสามีที่เกรงใจฮูหยินเป็นอย่างมาก และหลายคนมีความเห็นว่าแม้หยางหลงเจ้าเมืองลั่วคนปัจจุบันจะเป็นผู้ที่มีความสามารถ แต่พวกเขากลับเห็นว่าหยางเฉิงมีความเป็นผู้นำมากกว่าหยางหลง
"หยางหลงทำเป็นแต่เจรจาให้คนเลิกขัดแย้งกัน แต่หยางเฉิงจะลงโทษทั้งคู่" นักโทษคนหนึ่งกล่าวอย่างผู้ที่รู้จักพี่น้องของเจ้าเมืองเป็นอย่างดี

ส่วนที่จวนเจ้าเมืองหลังจากที่เจ้าพนักงานพาลู่ไปที่ศาลาว่าการเมือง หยางหลงอุ้มร่างของหยางเจียเจิงไปที่เรือนต้นบ๊วย เพื่อรอเจ้าอาวาสจากอารามหลวงประจำเมืองลั่วมาประกอบพิธีในขั้นตอนแรก จากนั้นจึงจะนำร่างไปที่อารามหลวงเพื่อประกอบพิธีสำคัญก่อนนำไปฝังที่สุสานประจำตระกูลต่อไป

หลังจากที่เจ้าอาวาสอารามหลวงเดินทางมาถึงและกำลังจะเริ่มทำพิธี พ่อบ้านของจวนเจ้าเมืองลั่วเข้ามาป้องปากกระซิบบอกกับหยางหลง ว่าคนรับใช้ช่วยกันจับกุมหญิงรับใช้คนหนึ่งไว้และนำไปส่งไว้ที่สำนักของมือปราบแล้ว รอให้ไปสอบถามด้วยตนเองเมื่อเสร็จเรื่อง
พ่อบ้านผู้นี้เป็นผู้ที่ทำงานมานาน ยามเมื่อป้องปากกระซิบบอกก็หาได้เหลียวมองซ้ายขวา น้ำเสียงก็อยู่ในระดับที่มีเพียงหยางหลงเท่านั้นที่ได้ยิน ทั้งแจ้งเรื่องราวอย่างรวบรัด ชัดเจน เสร็จเรื่องก็ล่าถอยออกไป
เหอหลินจื้อที่คอยเฝ้าจับตามองจึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้ามาเลียบเคียงถาม
"ท่าทางจะมีเรื่องด่วนให้หลานต้องไปจัดการ"
"มีเรื่องด่วนอยู่จริง แต่หลานอยากทำหน้าที่นี้ก่อน" หยางหลงตอบขณะที่มองหลิวเพ่ยหลิงร้องไห้อยู่ใกล้กับร่างของหยางเจียเจิง โดยมีอี๋อิงภรรยาสามของหยางเฉิงคอยปลอบโยน ขณะที่หยางเจิ้นขุยบุตรชายคนเล็กไปอยู่กับชุนผิงภรรยาเอกของหยางเฉิง ที่มาช่วยจัดการงานต่าง ๆ
ส่วนเหอชินรุ่ยดวงตาแดงก่ำแต่ปราศจากน้ำตาคอยมองตามการเคลื่อนไหวของเหอหลินจื้อ จากนั้นจึงหันมามองหยางติงที่หารือกับเจ้าอาวาสเกี่ยวกับพิธีการและสิ่งของที่ต้องจัดเตรียม
แต่นางมิได้มองร่างไร้วิญญาณของหยางเจียเจิง และไม่ได้มองหลิวเพ่ยหลิง

เลขาของเหอหลินจื้อเข้ามาป้องปากกระซิบกับเจ้านาย หยางหลงจึงหันมากล่าวคำ
"ดูท่า ท่านลุงก็มีเรื่องด่วนให้ต้องไปจัดการเช่นกัน"
เหอหลินจื้อฝืนยิ้ม "มิใช่เรื่องด่วนอันใด"
"อาจเพราะมีคนที่จัดการให้แล้ว"
"เมื่อเราเป็นผู้นำ ย่อมหมายถึงการที่เรามีคนจัดการเรื่องให้โดยที่มิต้องลงมือลงแรงเอง"
หยางหลงพยักหน้า "นั่นเป็นเรื่องที่หลานยังต้องเรียนรู้จากท่านลุงอีกมาก"
"ลุงพร้อมที่จะช่วยหลานจัดการแก้ไขปัญหาทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในที่นี้ ประหนึ่งว่าเป็นบ้านของลุงเอง เพราะแท้จริงแล้ว เมืองเหอ เมืองลั่วก็เป็นเครือญาติที่ใกล้ชิดอย่างยิ่ง" น้ำเสียงของผู้อาวโสเปี่ยมไปด้วยความเมตตา "ในการดำเนินความสัมพันธ์ใด ๆ ก็ตามย่อมมีทั้งที่เป็นทางการลงลายลักษณ์อักษร และมีความร่วมมือกันในรูปแบบของความไว้วางใจ จริงอยู่ยามนี้ไม่ควรที่จะมาพูดคุยกันเรื่องการเมือง แต่ก็อยากแจ้งไว้ในเบื้องต้นนี้ว่า ในฐานะที่ลุงเป็นตัวแทนเจ้าเมืองเหอ มาแสดงความยินดีต่อเจ้าเมืองคนใหม่ ลุงย่อมมีอำนาจที่จะตัดสินใจพักเรื่องหนังสือแสดงความภักดีไว้ จะกลับไปแจ้งต่อเจ้าเมืองเหอว่าการตัดสินใจของเจ้าเมืองลั่วมีปัจจัยซับซ้อน แต่เพราะเราเป็นญาติกัน พวกเราย่อมสามารถพูดคุยเจรจากันได้"

เจ้าเมืองลั่วพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
...เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำกล่าวที่แสดงถึงความสนิทสนมเหล่านั้น...

"ที่นี่ยังมีงานมากมายรออยู่ข้างหน้าให้เจ้าจัดการ ลุงจะอยู่ช่วยหลานดูแลเรื่องราวต่าง ๆ จนกว่าจะคลี่คลาย"
หยางหลงหันมาเลิกคิ้วสูงในเชิงถาม เหอหลินจื้อก็กล่าวต่อ "ก็เรื่องสาเหตุการเสียชีวิตของเจิงเอ๋อร์นี่อย่างไร การที่คนผู้หนึ่งจะวางยาพิษเพื่อสังหารใครสักคนมันต้องเป็นเรื่องที่สร้างความคับแค้นใจต่อกันยิ่งนัก แล้วนี่ได้ยินมาว่า เด็กคนนั้นเป็นคนที่มาจากเมืองหลวง หากเรื่องราวมันส่อแววว่าจะวุ่นวาย ลุงก็พร้อมที่จะสนับสนุนหลานในทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องการทหาร"

เหอหลินจื้อไม่เคยเรียกตนเองว่าลุง และไม่เคยเรียกอีกฝ่ายว่าหลาน แต่ครานี้กลับใช้ถ้อยคำสรรพนามเหล่านี้ ทั้งยังมีคำกล่าวที่ค่อย ๆ จูงเข้าสู่เรื่องการทหารก็ทำให้ทุกคนในเรือนโปร่งหลังนี้ หันไปมองเหอหลินจื้อสลับกับหยางหลง
แต่หยางหลงก็เพียงกระแทกลมหายใจในลำคอคราหนึ่งเป็นคำตอบ
มิได้กล่าวคำ
มิได้พยักหน้า
และมิได้ส่ายหน้า

เสร็จจากพิธีการต่าง ๆ เวลาก็ผ่านไปถึงยามค่ำ เนื่องจากชาวเมืองลั่วมากมายทยอยเดินทางมาร่วมไว้อาลัยที่อาราม แต่ร่างของหยางเจียเจิงยังต้องบรรจุเก็บไว้ที่โรงเก็บศพทางด้านหลังของวัด เพื่อให้พนักงานสอบสวนและมือปราบมาตรวจสอบซ้ำ โดยคาดว่าจะสามารถนำไปฝังที่สุสานประจำครอบครัวได้ภายในสามวันข้างหน้า

เมื่อกลับมาที่จวนเจ้าเมือง หยางหลงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปสั่งงานไว้กับพ่อบ้าน จากนั้นจึงกลับมาที่สำนักมือปราบเพื่อสอบปากคำหญิงรับใช้ เสร็จแล้วจึงมาที่ศาลาว่าการเมือง ซึ่งเป็นเวลาที่ดึกมากแล้วแต่พบว่าลู่ยืนรออยู่ที่ประตู ทั้งที่เจ้าพนักงานไม่ได้ร้องขานล่วงหน้า ว่าเจ้าเมืองมาที่นี่
รอยยิ้มสดใสแบบนั้น คือความมั่นใจว่า ลู่รู้ว่าหยางหลงจะมาหา และรออยู่
แต่เมื่อหยางหลงมองไปรอบห้องขังก็ยิ่งทุกข์ใจมากกว่าเดิม
สีหน้าหม่นหมอง หลังงองุ้มขณะที่รับฟังรายงานจากผู้คุมว่าสถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี และลู่กินผลไม้ตามที่จัดเตรียมไว้ให้ ไม่ได้ร้องขอสิ่งใดเพิ่มเติม
นักโทษในห้องติดกันร้องถามเจ้าเมืองว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองลั่ว ถึงได้ต้องจับกุมเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่สามารถแยกแยะระหว่างคนดีกับคนเลวได้

ช่างเป็นคำถามที่เต็มไปด้วยคำตำหนิ ที่ตรงไปตรงมา และชัดเจนยิ่งนัก!

หยางหลงไม่ตอบคำถาม ก้มหน้าก้าวเข้ามาในห้องขังแล้วนั่งลงข้างลู่บนเตียงไม้ เด็กหนุ่มเอียงหน้ามองอีกฝ่ายแล้วอวดชุดนักโทษสีขาว
"เสื้อชุดนี้ตัวใหญ่มาก ข้าเดินแล้วขากางเกงมันลากพื้น เลยพับขึ้นมา" ยิ้มกว้างเช่นนี้ ทำให้หยางหลงอยากโอบกอดไว้ให้แน่น แล้วพาออกไปจากที่นี้
"ข้าผิดต่อเจ้ามาก" ชายหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะมองตาอีกฝ่ายเมื่อกล่าวคำ
"ก็แค่ขากางเกงมันยาวไปเท่านั้นเอง" ลู่หัวเราะเสียงเล็ก ๆ "ไม่เห็นต้องรู้สึกผิดเลย"
คนตัวใหญ่ยิ้มขมขื่น ที่ผ่านมาน้ำเสียงพูดคุยเช่นนี้ เสียงหัวเราะเช่นนี้ จะทำให้อารมณ์ดีได้ทันที แต่ครานี้สามารถลดน้ำหนักที่บ่าไหล่ลงไปได้เล็กน้อยเท่านั้น

ลู่ขยับเข้ามานั่งเบียดแล้วเอนศีรษะพิงต้นแขนใหญ่ของอีกคน ครู่หนึ่งจึงกล่าวคำ
"ข้าไม่เป็นไร เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำร้ายเจิงเอ๋อร์ ทำไมจึงได้ชี้นิ้วกล่าวโทษข้าง่ายดายนัก แต่ไม่ได้โกรธ"

ตั้งแต่จำความได้ เจ้าลู่กวางน้อยแห่งป่าสีทองรู้แต่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ และถูกตามใจมาโดยตลอด อาจน้อยใจ หรือแง่งอนในบางครา ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนเองในเวลานี้ก็ไม่คิดโกรธ
"ฮูหยินเป็นอย่างไรบ้าง"
"นางเสียใจมาก" หยางหลงเลื่อนตัวนั่งพิงผนังห้อง "มันยากที่จะเชื่อว่า เมื่อเช้าพวกเรายังกินอาหารร่วมกัน หลังจากที่แยกจากกันไปชั่วครู่หนึ่ง เจิงเอ๋อร์ก็ไม่อยู่กับพวกเราแล้ว"
เจ้าเมืองลั่วเงยหน้ามองช่องหน้าต่างในห้องใต้ดิน แม้จะเป็นเวลากลางคืนก็ยังเหมือนมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ภายนอก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวขึ้น
"เป้าหมายที่แท้จริงคือเจ้า ไม่ใช่เจิงเอ๋อร์"
ดวงตาสีทองที่เต็มไปด้วยคำถามมองหน้าผู้พูด ต่อไปที่ผู้คุมที่ยังอยู่ด้านนอกห้อง และนักโทษในห้องถัดไปจากนั้นก็กลับมาที่คนพูดอีกครั้ง
"เจ้าพนักงานตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าผลไม้ที่เจิงเอ๋อร์กินมียาพิษเคลือบอยู่ แต่ปกติแล้ว ทั้งเจิงเอ๋อร์และขุยเอ๋อร์ ล้วนชอบกินขนมหวาน ในบรรดาลูกหลานในที่นั้นมีเพียงเจ้าคนเดียวที่กินผลไม้"
ลู่พยักหน้ารับทราบถ้อยคำของหยางหลง มิรู้ว่าควรกล่าวถ้อยคำใด
"ขอโทษ"
"ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษเจ้า ทำให้ต้องมาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้"
ลู่เอียงหน้าด้วยความไม่เข้าใจ "ข้าคือเป้าหมายของคนร้าย แต่ทำให้เจิงเอ๋อร์เสียชีวิต ดังนั้น ข้าก็สมควรกล่าวคำขออภัยต่อท่าน"
หยางหลงมีท่าทีจะกล่าวคำแย้ง ลู่ก็รีบขัดขึ้น "ท่านไม่รับคำขออภัยจากข้าหรือ"
ชายหนุ่มตัวใหญ่มีสีหน้าลำบากใจ "ข้าไม่อาจรับไว้ เพราะเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า"
หนุ่มน้อยพยักหน้าอีกครั้ง แล้วกล่าวอย่างจริงจัง "เช่นนั้นข้าก็อยากขอให้ท่านไต่สวนคดีและให้ความเป็นธรรมกับเจิงเอ๋อร์"
"เรื่องนั้นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว" มือใหญ่ที่จับมือเรียวยาวของลู่ไว้ เพิ่มน้ำหนักมือแรงขึ้น "หากแม้แต่บุตรของข้าเอง ข้ายังให้ความเป็นธรรมมิได้ ข้าก็ไม่สมควรเป็นเจ้าเมืองลั่ว"

แต่เมื่อดวงตาสองคู่มองสบกันต่างรู้ดีว่า มีความจริงบางอย่างที่ยากจะเอ่ยปากออกมา
การหาความเป็นธรรมให้กับเจิงเอ๋อร์ มิได้ยากเท่ากับการทำให้ทุกคนยอมรับความจริง

ลู่พยักหน้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวคำ "ตอนนี้.....ดึกมากแล้ว"
"ง่วงแล้วหรือ"
"ยังหรอก" ลู่เกาแก้มของตนเอง "แต่....ดึกแล้ว"
"ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะหลับ จึงจะกลับไป" หยางหลงเลื่อนตัวมานั่งที่ขอบเตียง เพื่อให้ลู่นอนด้านใน
เด็กหนุ่มส่ายหน้ายิ้มอ่อนให้กับความดื้อดึงเพียงไม่กี่เรื่องของอีกฝ่ายแล้วขยับตัวลงนอน
ผ้าห่มในห้องขังมีเนื้อผ้าบาง หยางหลงจึงหันไปขอผ้าห่มเพิ่มจากเจ้าหน้าที่
"นักโทษขอผ้าห่มเพิ่มได้ด้วยหรือ" ลู่ถามยิ้ม ๆ
"ได้สิ" หยางหลงตอบ "ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาวเย็น อีกอย่าง คนเมืองลั่วมิได้ใจร้ายกันไปหมดทุกคนหรอกนะ"

ท่ามกลางความเงียบที่เข้าปกคลุม ลู่กระซิบบอก "หากท่านมีถ้อยคำที่อยากพูดกับใครสักคน ขอให้ข้าเป็นคนนั้นได้ไหม"
มือใหญ่ของหยางหลงลูบผมนิ่ม พลางส่ายหน้า ลู่จึงกล่าวต่อ
"ความทุกข์ใจเก็บไว้ในใจนาน ๆ มันอาจกลายเชื้อโรคร้ายที่กลับมากัดกินสุขภาพร่างกายของท่านได้"
ชายหนุ่มยิ้มอย่างอ่อนล้าและส่ายหน้าอีกเช่นเดิม ทำให้ลู่สรุปขณะที่หลับตาลง
"ยังไม่อยากกล่าวตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ขอให้รู้ว่าข้าพร้อมที่จะเป็นผู้รับฟังเสมอ"

ในยามเช้า ลู่ก็พบว่าหยางหลงนอนหลับอยู่ที่หน้าเตียงไม้ในห้องขังนั่นเอง
ชายหนุ่มตัวใหญ่ผู้เป็นเจ้าเมืองลั่ว ใช้ม้วนผ้าห่มหนุนนอนแทนหมอน และไม่มีผ้าห่ม เมื่อลู่ขยับตัวตื่นขึ้น หยางหลงก็ตื่นขึ้นทันทีเช่นกัน
"กลับไปดูขุยเอ๋อร์กับฮูหยินเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงข้า"
"แต่เป้าหมายของคนร้ายคือเจ้า"
ลู่ยิ้มให้กำลังใจ บอกว่า เมื่ออยู่ในที่นี้คนร้ายตัวจริงคงไม่บุกเข้ามาก่อเหตุได้ หยางหลงจึงจำใจต้องกลับไป เพื่อที่จะกลับมาอีกครั้งในตอนค่ำ และนอนหน้าเตียงไม้ทุกคืน
 
ส่วนหยางเฉิง กับหยางไห่ก็มาเยี่ยมเช่นกัน
หยางเฉิงนั้น หลังจากที่ไปรับของที่สั่งไว้ที่หมู่บ้านนอกเขตเมือง ก็เดินทางไปทำการค้าต่อ แต่เมื่อรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นจึงรีบกลับมา และให้คำมั่นว่าจะช่วยหยางหลงไต่สวนเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ส่วนหยางไห่ที่มีนัดจะต้องเดินทางไปตรวจบัญชีการค้าที่เมืองทางใต้ ก็เลื่อนกำหนดการเดินทางออกไปก่อน
ขณะที่หยางติงมาเยี่ยมหนึ่งครั้งเพื่อกล่าวคำขออภัยและแจ้งว่าจะไปถือบวชสักหลายวัน
"ท่านไม่ควรทำเช่นนั้น"
เมื่อเห็นว่าหยางติงถอดใจ ซึ่งนับเป็นสิ่งที่ผิดวิสัยผู้ที่เป็นผู้นำ ลู่จึงให้กำลังใจไปอีกหลายคำและขอให้ช่วยหยางหลงจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นก่อน
"ข้าติดตามท่านไปที่นั่นที่นี่อยู่หลายวัน ทราบว่าท่านมีความต้องการละวางทุกสิ่ง แต่ขอให้เห็นแก่เจิงเอ๋อร์ที่จากไป มอบความเป็นธรรมให้แก่เขาก่อนเถิด"
สุดท้ายหยางติงจึงพยักหน้ารับคำว่าจะช่วยสืบสวนเรื่องนี้ก่อนที่จะวางมือจากทุกสิ่ง 
ขณะที่ในแต่ละวันของหยางหลงเจ้าเมืองลั่วยังคงดำเนินไปด้วยความเคร่งเครียดกับการสอบสวน วุ่นวายอยู่กับการต้อนรับผู้ที่มาแสดงความยินดี และส่งหนังสือรับทราบเรื่องการเปลี่ยนผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง จากนั้นก็คือการตรวจตราความสงบเรียบร้อยของเมืองลั่ว

วันหนึ่งลู่จึงได้รับทราบว่ามีการฝังศพหยางเจียเจิงแล้ว จากนั้นก็รับทราบว่าหญิงรับใช้คนหนึ่งรับสารภาพว่าเป็นคนวางยาพิษที่ผลไม้ และถูกคุมขังไว้ที่ห้องขังอีกแห่ง
และหลายวันถัดมา หยางหลงก็พาคนผู้หนึ่งมาที่ห้องขัง
ชายหนุ่มผู้นี้มีอายุไม่ถึงยี่สิบห้าปี สวมเครื่องแบบทหาร รูปร่างสูงเท่ากับหยางหลง แต่ผอมกว่ามาก ความกว้างของไหล่เล็กกว่าหยางหลงมากกว่าหนึ่งคืบ แต่มีองค์ประกอบของใบหน้าที่จัดว่าเป็นชายรูปงามผู้หนึ่ง ตรงข้ามกับหยางหลงที่มีใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม

ทันทีที่ผู้คุมเปิดประตูห้องขัง ชายหนุ่มผู้นี้ก็กล่าวขึ้นทันที
"บิดาเจ้าต้องฆ่าข้าแน่ ๆ"
ลู่กระพริบตามองคนที่ก้าวเข้ามาในห้อง ไอเทพจาง ๆ ของเทพเสือโคร่งที่ปกคลุมอยู่บ่งบอกว่าเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับบิดา
"ท่านคือแม่เล็กหรือ"
ผู้ที่เพิ่งมาถึงยกยิ้มมุมปาก "รู้สึกแปลก ๆ เหมือนกันนะที่ถูกเรียกแบบนี้" ไม่เพียงกล่าวคำ คนผู้นี้ยังอุ้มลู่ขึ้น แต่หยางหลงกลับขยับเข้ามาหา
"ท่านรองแม่ทัพ ขออภัย"
หยางหลงสีหน้าเรียบตึงฉวยลู่ไปจากมือของรองแม่ทัพ แล้วก็เดินนำออกมาจากห้องขังในทันที
ลู่ชะโงกหน้าข้ามไหล่หนาเพื่อร้องบอกคนที่เดินตามมา "แม่เล็กอย่าถือสา เขาขี้หวง"
รองแม่ทัพที่ลู่เรียกว่าท่านแม่เล็กหัวเราะเบา ๆ เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของคนช่างพูด "เจ้ารู้จักเดือดร้อนกับใครเขาบ้างไหม"
ลู่ทำปากยื่น หันไปมองหยางหลง ก็พบว่ากำลังมีรอยยิ้มกว้างเป็นคราแรกในรอบหลายวัน
"วันนี้ท่านก็ดีขึ้นแล้ว"
หยางหลงพยักหน้าอย่างมั่นใจ แต่นั่นทำให้ลู่มีคำถามในใจ ในช่วงหลายวันมานี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่ต้องมีเรื่องอีกมากมายเช่นกันที่ยังไม่รู้

ในรอบหลายวันมานี้ย่อมเกิดเรื่องขึ้นมากมายจริง ๆ ในระหว่างที่เดินมาที่จวนเจ้าเมือง หยางหลงสรุปเรื่องราวอย่างรวบรัดให้ทั้งสองคนรับฟัง
หยางติง หลิวเพ่ยหลิงและหยางเจิ้งขุย สามคนย้ายไปพักอยู่ที่เรือนของหยางไห่เป็นการชั่วคราว
หญิงรับใช้ที่รับสารภาพว่าเป็นผู้วางยา เวลานี้นางถูกควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำอีกแห่งหนึ่ง
เหอหลินจื้อ ท่านลุงผู้มาจากเมืองเหอ เข้ายึดครองจวนเจ้าเมืองไปโดยปริยาย เมื่อเขาเชื้อเชิญผู้สนับสนุนเมืองเหออีกหลายคนเข้ามาพัก โดยมีเหอชินรุ่ยเป็นธุระจัดการต้อนรับเป็นอย่างดี
ดังนั้น เมื่อหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว รองแม่ทัพเฉินอวี้ และลู่เดินทางมาถึง จึงพบกับกลุ่มของเหอหลินจื้อออกมาเผชิญหน้าที่บริเวณลานด้านหน้าของเรือนหลังใหญ่
ดูท่าว่าการที่หยางหลงยอมถอยให้หลายก้าวในช่วงไม่กี่วันมานี้ จะทำให้อีกฝ่ายหลงลืมตนไปว่าเมืองลั่วเลือกที่จะภักดีต่อฮ่องเต้แห่งไท่ชาง มิใช่ฝ่ายเมืองเหอ

"มิทราบว่าท่านรองแม่ทัพเฉินอวี้ คิดดีแล้วหรือจึงได้ชิงตัวนักโทษคนสำคัญของเมืองลั่วเช่นนี้"
"ตลกแล้ว" รองแม่ทัพเฉินอวี้ทำเสียงขึ้นจมูก "ผู้ใดคือนักโทษกัน นี่คือเรื่องของผู้ใหญ่ที่ให้เด็กสองคนเป็นผู้รับเคราะห์"
"นักโทษจินลู่ผู้นี้สั่งการวางยาสังหารหยางเจียเจิงบุตรของหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว ผู้สมรู้ร่วมคิดรับสารภาพแล้ว"
เหอหลินจื้อมีอาวุโสมากกว่ารองแม่ทัพเฉินมากกว่าสิบปี ทั้งมีความคิดต่อต้านฝ่ายเมืองหลวงมาตั้งแต่แรก จึงมิได้มีท่าทีเคารพอีกฝ่ายเลยสักนิด แต่รองแม่ทัพเฉินอวี้มิได้ถือสา เพราะในใจกำลังกังวลเรื่องอื่นมากกว่า
"ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าจึงทำหน้าดั่งกินยาขมอยู่ตลอดเวลา" ไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวตอบก็พูดต่อ "พาลู่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะได้รีบพาเขากลับบ้าน"
หยางหลงยืนตัวตรงรับคำสั่ง แล้วรีบพาลู่เข้าไปภายในเรือนต้นส้มที่เป็นที่พักของตนเอง รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงก้าวไปยืนขวางทุกคนไว้ที่บริเวณลานด้านหน้าเรือนหลังใหญ่ มิให้ใครตามเขาไปด้านใน ทั้งปล่อยให้พวกเหอหลินจื้อเอะอะโวยวาย จนกระทั่งมีคนไปเรียกหยางติง หยางเฉินและหยางไห่ให้มาที่จวนเจ้าเมือง ส่วนเหอชินรุ่ยก็มาถึงแล้วเช่นกัน
ในที่สุดกลุ่มผู้ที่อยู่ลานหน้าเรือนหลังใหญ่ ก็ถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายที่ต่างก็โต้เถียงกันในเรื่องที่รองแม่ทัพเฉินอวี้พาลู่ออกมาจากเรือนจำ

แต่รองแม่ทัพเฉินอวี้ไม่โต้เถียงด้วย หันไปหาหยางติงแล้วเรียกให้มารับพระบรมราชโองการแบบไม่มีพิธีรีตองใด ๆ แต่ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกจากปากทั้งหมดก็พากันนิ่งอึ้ง
"ทรงรับสั่งให้หยางไห่เตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองหลวงไปทำงานรับใช้ แต่ยังไม่ต้องไปตอนนี้ เพราะทรงโปรดใบชาที่เขานำไปถวายอยู่มาก หากจะให้เดินทางไปเมื่อไหร่ จะมีผู้แทนพระองค์ถือพระบรมราชโองการมาอีกที" ไม่รอให้หยางติงถามคำถาม รองแม่ทัพก็กล่าวต่อ "ดูเหมือนพระองค์จะถูกคอกับท่านผู้เฒ่าหยางจงจินมิใช่น้อย"
หยางจงจินมีศักดิ์เป็นปู่เล็กของหยางหลง เดินทางเข้าเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อครั้งที่บิดาของหยางติงรับตำแหน่งเจ้าเมืองเมื่อหลายปีก่อน
และเมื่อหยางติงเป็นเจ้าเมืองลั่ว หยางลี่ที่เป็นน้องชายคนรองก็เดินทางเข้าเมืองหลวงเช่นกัน พระบรมราชโองการฉบับนี้ที่กำหนดให้หยางไห่เข้าเมืองหลวง จึงทำให้ทุกคนประหลาดใจไม่น้อย
หยางเฉิงหันไปกอดหยางไห่น้องเล็กไว้แน่น "ต้องไม่ใช่เจ้า ข้าจะไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อกราบทูลว่า ผู้ที่ควรเดินทางเข้าเมืองหลวงคือข้า"
"เป็นข้าก็ไม่เห็นเป็นไร ไม่แน่ว่าท่านอาอาจจะได้กลับมาเมืองลั่ว ท่านพ่อจะได้พบกับน้องชายแล้ว"

หยางติงกลับส่ายหน้า หันไปโอบไหล่บุตรชายทั้งสองไว้ "จะเป็นคนไหนก็ทำให้ข้าไร้ความสุขได้เหมือนกัน....."

แม้จะรู้มาแต่แรกว่าเมื่อส่งต่อตำแหน่งเจ้าเมืองให้กับหยางหลง จะต้องเสียบุตรหนึ่งคนให้กับฮ่องเต้ แต่เมื่อได้ทราบพระบรมราชโองการก็ยังรู้สึกใจหาย
รองแม่ทัพเฉินอวี้เกือบหลั่งน้ำตาให้กับความรักของหยางติงพ่อลูก แต่พอหันไปเห็นเหอชินรุ่ยน้ำตานั้นก็เหือดแห้งไปด้วยนางยังคงยืนอยู่ข้างพี่ชาย ด้วยสีหน้าที่พยายามสะกดความรู้สึกเสียใจที่บุตรชายจะต้องเข้าเมืองหลวง
....สตรีผู้นี้มีความดื้อรั้นมิใช่น้อย

"ยังไม่ได้ให้ไปในเวลานี้เสียหน่อย แค่มาเตือนว่าอย่าลืมส่งชาให้ตรงเวลาเท่านั้น อีกอย่างหากท่านจะไปเยี่ยมพวกท่านปู่หยาง ท่านอาหยางก็สามารถทำได้ทุกเมื่อ ถึงจะเป็นหยางไห่เมื่อเข้าเมืองหลวงไปแล้วพวกท่านก็สามารถไปเยี่ยมได้เสมอ เขาไปช่วยราชการหาได้ถูกจองจำ"

เหอหลินจื้อที่ไม่ชอบกฎระเบียบข้อบังคับมากมายของเมืองหลวงอยู่แล้วจึงพูดขัดขึ้นด้วยเสียงอันดัง
"ต่อให้ที่นี่เป็นเมืองหลวง ท่านก็ไม่อาจทำอะไรตามใจตนเอง จู่ ๆ ก็เดินเข้ามาชิงนักโทษ แล้วก็มาชี้สั่งผู้คนให้ต้องทำตาม นี่มันบ้าอำนาจชัด ๆ"

ว่าที่จริงเหอหลินจื้อมิได้อยู่ในสายของรองแม่ทัพเฉินอวี้มาตั้งแต่แรก อยากโวยวายหรือจะพูดอะไร รองแม่ทัพผู้นี้ก็หาได้ใส่ใจ เมื่อหยางหลงอุ้มลู่ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเดิมเดินกลับออกมา รองแม่ทัพเฉินอวี้ก็หันไปกล่าวทักกับหยางหลงว่าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วจริง แต่เมื่อก้าวเท้าได้เพียงสองก้าวเพื่อที่จะเข้าไปรับเด็กหนุ่ม แสงสีขาวพาดผ่านเบื้องหน้าอย่างฉับพลัน เมื่อแสงสีขาวหายไปกลับปรากฎชายรูปร่างสูงใหญ่ขึ้นแทนที่
ชายผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ยิ่ง ใบหน้ามีหนวดเคราสีเหลือง ทั้งสวมชุดสีเหลือง ขาวและดำ
ดวงตาสีเหลืองส่องประกายจนต้องมองซ้ำ จึงแน่ใจว่านั่นคือสีเหลืองหาใช่สีทอง
"เจ้าตัวแสบกลับบ้านได้แล้ว"
ทั้งรูปร่างและน้ำเสียงของชายผู้นี้ กดดันให้ฝ่ายเหอหลินจื้อรู้สึกว่าตนเป็นเพียงมดปลวก ทั้งกลายเป็นผู้ที่ไม่มีตัวตนไปในที่สุด เมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้สนทนากับผู้ที่เพิ่งมาถึงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"บอกให้ข้ามารับลู่กลับบ้าน แต่สุดท้ายก็ยังมาด้วยตนเอง"
"แม่เขารู้แล้วน่ะสิ ว่ามาหลบซ่อนอยู่ที่นี่ พวกเราต้องรีบไปแล้ว" เทพเสือโคร่งภูผาตรงเข้าไปหาหยางหลง "เสร็จเรื่องข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า"
ยังไม่ทันที่เทพเสือโคร่งภูผาจะสัมผัสถูกตัวลู่ กระแสลมแรงพัดกรรโชกขึ้นอีกครา เมื่อสายลมสงบลงพลันปรากฎสตรีรูปร่างสูงสง่าผู้หนึ่ง นางสวมชุดสีน้ำตาลทอง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อน ที่เคียงข้างกันคือชายวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดสีขาวสว่าง
"กวางทอง! เจ้ามาหลบอยู่ที่นี่เองกลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้!" นิ้วมือสวยชี้สั่งให้หยางหลงปล่อยลู่ลงเดินเข้ามาหานาง
"ท่านแม่"
เทพเสือโคร่งภูผาจะเข้าไปอุ้มบุตร แต่ถูกนางเทพกวางดุด้วยสายตาจนต้องชะงักเท้า ปล่อยให้ลู่เดินช้า ๆ เข้าไปหา
นางขมวดคิ้ว "เหตุใดเจ้ามีกลิ่นไอแปลก ๆ เจ้าไปที่ใดมากันแน่"
ลู่ยิ้มกว้าง  "ข้าไปอยู่เรือนจำมา"
"เรือนจำ!" นางเสียงดัง หันไปหาเทพเสือโคร่งภูผา "ตาแก่! เหตุใดกวางทองถึงไปอยู่ที่เรือนจำ!"
"ท่านพ่อไม่รู้เรื่องหรอก" ลู่กอดแขนมารดาไว้ "ข้าโง่เขลา และเลินเล่อจนทำให้ท่านเจ้าเมืองต้องสูญเสียบุตรชาย ท่านแม่ให้ท่านพ่ออยู่ช่วยท่านเจ้าเมืองสะสางเรื่องที่ข้าก่อไว้ก่อนได้หรือไม่"
"นี่เจ้า" นางดุบุตรชายแล้วหันไปมองหยางหลง "กวางทองทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้"
"มิได้ขอรับ" หยางหลงกล่าวอย่างสุภาพยิ่ง "แท้จริงมีคนต้องการทำร้ายลู่ แต่บุตรชายของข้าน้อยเป็นผู้ที่กินผลไม้นั้น"
นางนิ่งอึ้งกอดบุตรชายไว้แน่นกว่าเดิม "เสียใจด้วย แต่หากกวางทองมิได้เกี่ยวข้อง ข้าก็จะพาเขากลับไป แล้วให้ตาแก่...เทพเสือโคร่งภูผาอยู่ช่วยเจ้าก่อน"
"ท่านแม่ ข้าหิวแล้ว ง่วงนอนมากด้วย กลับบ้านกันเถิด"
นางกระแทกเสียงขึ้นจมูก แล้วหันไปมองเทพเสือโคร่งภูผาด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นก็หันไปมองรองแม่ทัพเฉินอวี้ ที่คลี่ยิ้มงามขณะที่คุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพ "ท่านใหญ่"
นางพยักหน้ารับการทำความเคารพนั้น

"แม่เล็กเป็นคนที่ไปพาข้าออกมาจากเรือนจำ"
"อ้อ..." นางหันไปที่เทพเสือโคร่งภูผา รองแม่ทัพเฉินอวี้ และหยางหลงเจ้าเมืองลั่วอีกครั้ง "เช่นนั้นก็รีบจัดการเรื่องที่นี่โดยเร็วแล้วกลับไปพบข้าที่ป่าสีทอง"
ลู่หันไปหาชายวัยกลางคนสวมชุดสีขาวอีกคนที่ด้านหลังมารดา "ท่านพ่อกวาง ข้าอยากกลับบ้านแล้ว"
"เจ้าเด็กวุ่นวายเอาแต่ใจ ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน" มารดาหันกลับมาดุบุตรชาย จากนั้นจึงมีสายลมแรงพัดเข้ามา ทั้งสามก็หายไป

เป็นการมาและไปกับสายลมอย่างแท้จริง

เหอชินรุ่ยกล่าวถ้อยคำแทนใจทุกคนในที่นี้ "นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้น"
หยางติงเดินเข้าไปจับมือนางไว้ "ข้าบอกต่อเจ้าหลายครา ว่าคุณชายลู่มิได้เป็นบุตรของข้า" ชายสูงวัยหันไปหาเทพเสือโคร่งภูผาแล้วกล่าวอย่างนอบน้อม "กราบเรียนท่านเทพ เรื่องที่จะไต่สวนการเสียชีวิตของหยางเจียเจิง หลานชายของข้าน้อย ข้าขอให้เป็นการสอบสวนลับได้หรือไม่ขอรับ"

เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้าเห็นชอบตามนั้น การสอบสวนจึงมีขึ้นที่เรือนรับรองด้านใน ซึ่งยามนี้มีการจัดเรียงโต๊ะตัวเตี้ยสองตัวต่อกัน และจัดเบาะที่นั่งอีกหลายเบาะไว้ที่ด้านข้าง

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 14-02-2017 12:58:52
(ต่อ)

เทพเสือโคร่งภูผาเห็นว่าที่นี่คือเมืองลั่ว แม้หยางหลงเจ้าเมืองลั่วจะเป็นบิดาของผู้เสียชีวิต แต่ก็สมควรทำหน้าที่ของเจ้าเมือง ดังนั้นด้านซ้ายของโต๊ะจึงเป็นเทพเสือโคร่งภูผากับรองแม่ทัพเฉินอวี้ ในฐานะตัวแทนของลู่
ส่วนทางฝั่งขวามือมีทั้งหยางติง เหอชินรุ่ย หลิวเพ่ยหลิง ส่วนเหอหลินจื้อและตัวแทนจากอีกหลายเมือง ร่วมนั่งฟังคดีอยู่ด้านหลัง
จากนั้นหญิงรับใช้ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้วางยาก็ถูกนำตัวเข้ามา พร้อมด้วยเซียงเซียงและเสี่ยวเป่าสองพี่น้อง
สุดท้ายคือหยางเฉิง และฮูหยินทั้งเจ็ดคน
เมื่อคนกลุ่มนี้มาถึงเหอชินรุ่ยก็ขยับนั่งตัวตรง ดวงตายังจับจ้องอยู่ที่พี่ชาย

หยางหลงเริ่มการพิจารณาคดีด้วยการกล่าวถึงเหตุการณ์ในวันที่เกิดเหตุอีกครั้ง จากนั้นจึงสอบถามสองพี่น้องเซียงเซียงและเสี่ยวเป่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เซียงเซียงเป็นผู้ตอบ "ข้าเข้าไปในครัว พบว่ามีการจัดผลไม้ไว้สำหรับคุณชายลู่เสร็จแล้ว พี่ซู่ซู่ผู้นี้" นางชี้ไปที่หญิงรับใช้ "บอกว่านางเป็นผู้จัดเรียงเองให้ข้ายกออกมาได้ เมื่อมาถึงที่ศาลา คุณหนูทั้งหมดก็หยุดเล่นแล้วมารับของว่าง คุณหนูผู้หญิงสองคนกินขนมหวานจากในโถ ส่วนคุณหนูผู้ชายกินผลสาลี่ในถาดเช่นเดียวกับคุณชายลู่ ที่ผ่านมาคุณหนูทุกคนชอบกินขนมหวานพวกเราจึงจัดเตรียมขนมหวานไว้มากหน่อย และมีเพียงคุณชายลู่คนเดียวที่ชอบผลไม้ ดังนั้นเราจึงมีผลไม้เพียงห้าผล เมื่อข้าน้อยเห็นว่าผลไม้หมดแล้ว ข้าน้อยจึงเก็บถาดออกมา เพื่อที่จะนำไปจัดมาใหม่ แต่ถอยออกมาได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงร้องเรียก ด้วยคุณชายหยางเจียเจิงที่กัดกินผลไม้ไปแล้ว ล้มลงไปเจ้าค่ะ"
เทพเสือโคร่งภูผาถามขึ้น "เขากินผลไม้อะไร"
"ผลไม้ทั้งถาดคือสาลี่เจ้าค่ะ"
"เป็นสาลี่ทั้งห้าผลเลยหรือ"
"เจ้าค่ะ" เซียงเซียงอธิบายต่อ "ปกติข้าน้อยจะจัดผลไม้หลายชนิด แต่วันนี้พี่ซู่ซู่จัดไว้ให้แล้ว จึงยกมาก่อน ตั้งใจว่าอีกสักครู่จะกลับมาจัดเพิ่ม"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ถาม "เจียเจิงหยิบผลไม้นั้นเอง หรือผู้ใดหยิบให้"
"เรื่องนี้ ไม่อาจบอกได้เจ้าค่ะ เพราะพอคุณหนูหยุดเล่น ก็ตรงเข้ามาหาของว่าง ตอนนั้นช่างสับสนยิ่งนัก ที่จำได้ชัดเจนก็คือคุณหนูผู้หญิงหยิบกันเอง เพราะได้ยินเสียงโต้เถียงกันว่า ผู้ใดต้องการขนมชิ้นใด ส่วนของคุณหนูผู้ชายไม่ได้โต้เถียงกัน เพราะมีผลไม้เพียงชนิดเดียว"
คำให้การเหล่านี้เป็นเรื่องราวในเบื้องต้นซึ่งเซียงเซียงเคยกล่าวให้การไปแล้วหลายครา

หยางหลงเปิดสมุดรายงานผลการตรวจสอบพิษที่ผลไม้แล้วส่งมอบให้กับเทพเสือโคร่งภูผา "สาลี่ที่เจียเจิงกินมีพิษอยู่ที่เปลือก ส่วนผลอื่นไม่มีขอรับ"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า หันไปถามซู่ซู่ หญิงรับใช้ที่ยอมรับสารภาพ "แท้จริงเจตนาของเจ้าคืออะไร"
ซู่ซู่ก้มตัวลงเมื่อตอบคำถาม "เจตนาของข้าคือคุณชายลู่"
เทพเสือโคร่งภูผากำมือแน่น จนรองแม่ทัพเฉินอวี้ต้องจับข้อมือไว้ แล้วหันไปถามซู่ซู่ "เขาล่วงเกินอะไรเจ้าหรือ"
"หามิได้เจ้าค่ะ" ซู่ซู่ตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ข้าเพียงไม่พอใจที่เขาทำตัวสนิทสนมกับท่านเจ้าเมืองอย่างยิ่งจนละทิ้งฮูหยิน ทั้งฟังว่าเขาคือผู้ที่มาจากป่าสีทอง พิษเพียงแค่นี้คงทำอันใดเขามิได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเตือนเขาได้ว่า เขาทำเรื่องมิสมควรและมีผู้ที่มิพอใจเขาอยู่"
เรื่องราวในส่วนนี้ ทุกคนในที่นี้ล้วนเคยรับฟัง เมื่อมาได้ยินอีกครั้งก็ยิ่งแน่ใจ ว่านี่คือเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อให้หญิงผู้นี้รับผิดแต่เพียงผู้เดียว
รองแม่ทัพเฉินอวี้ถามขึ้น "เพียงเท่านี้เจ้าก็คิดวางยาฆ่าคน"
"หามิได้เจ้าค่ะข้ามิได้คิดวางยาฆ่าคน เพียงหวังให้เจ็บป่วย"
"เจ้าเชื่อเรื่องเทพแห่งป่าสีทองไหม" รองแม่ทัพเฉินอวี้เปลี่ยนคำถาม ซู่ซู่ลังเลแล้วพยักหน้า "รู้หรือไม่ว่าเจ้าล่วงเกินเทพแห่งป่าสีทอง"
ซู่ซู่ก้มหน้าลงสะอื้นไห้

หยางหลงหันมากล่าว "ในตอนแรกที่จับกุมตัวนางไว้ ก็ด้วยเซียงเซียงและเสี่ยวเป่าสองพี่น้อง รวมถึงคนงานในครัวระบุว่านางคือผู้ที่ล้างผลไม้และจัดเตรียม แรกสารภาพว่าต้องการวางยาคุณชายลู่ ต่อมานางเปลี่ยนคำสารภาพ โดยซัดทอดว่าคุณชายลู่สั่งการเพื่อหวังสังหารเจียเจิง"
"เจ้าเรียกลู่มาสอบถามหรือไม่" รองแม่ทัพเฉินอวี้ถาม
"ไม่ขอรับ ด้วยเซียงเซียงและเสี่ยวเป่า รวมถึงคนรับใช้ทั้งหมดต่างระบุว่าคุณชายลู่มิเคยพบหรือสนทนากับนางมาก่อน"
รองแม่ทัพเฉินอวี้หันมาหาซู่ซู่ "เจ้าไม่คิดหรือว่า แผนการหละหลวม และคำสารภาพที่กลับไปกลับมาเช่นนี้ หมายความว่าผู้บงการหวังจะสังหารเจ้าเมื่อเสร็จเรื่อง" น้ำเสียงเนิบช้าของรองแม่ทัพ กับเสียงสะอื้นของซู่ซู่ดังผสานกัน "คนบงการเจ้า ไม่เชื่อเรื่องเทพแห่งป่าสีทอง เขาต้องการกำจัดใครสักคนในที่นั่นเพื่อจุดชนวนความขัดแย้ง ส่วนตัวเจ้าเองก็ก้ำกึ่งมาตลอดว่าจะเชื่อดีหรือไม่ หากลู่เป็นเพียงเด็กที่หยางหลงบังเอิญพบเจอแล้วพามาด้วย สามารถซัดทอดลงโทษเขา แล้วเจ้าหลบหนีไปหรือถูกสังหารเพื่อปิดปาก เรื่องก็จะเงียบหายไป แต่แท้จริงแล้วเรื่องมิได้ง่ายดายเช่นนั้น เขาเป็นเทพจริง ๆ เรื่องที่เจ้าล่วงเกินเทพ ไม่เพียงเจ้าจะไม่รอด ครอบครัวก็อาจได้รับความเดือดร้อนไปด้วย คนบงการไม่มีแรงที่จะปกป้องครอบครัวของเจ้าได้หรอก ทุกคำสัญญาที่ให้ไว้ไม่อาจเป็นจริง เจ้าก็เห็นแล้วว่า ที่เทพเสือโคร่งภูผายังอยู่ที่นี้ ก็เพราะต้องการทวงความเป็นธรรมให้เจียเจิง แต่หลังจากนี้ เขาต้องคิดบัญชีคนที่ทำร้ายลูกเขาจนต้องไปอยู่ในเรือนจำแน่ ๆ เจ้ายังคิดจะปล่อยให้ผู้บงการเหล่านั้นรอดพ้น และยอมให้ครอบครัวของเจ้าต้องแบกรับชะตากรรมนี้จริงหรือ"

ถ้อยคำที่ทั้งขู่และปลอบไปพร้อมกันเช่นนี้ ทำให้ทุกคนแม้แต่เหอหลินจื้อยังต้องยอมรับและยกย่อง
คนผู้นี้อายุยังน้อยแต่ได้เป็นรองแม่ทัพ นี่ย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ซู่ซู่เชื่อตามที่รองแม่ทัพเฉินอวี้กล่าว ว่าเมื่อเรื่องราวมาถึงตอนนี้แล้ว สุดท้ายก็จะมีแต่นางและครอบครัวที่ถูกลงโทษ นางจึงเงยหน้ามองหยางหลงเมื่อกล่าวคำ
"เป็นฮูหยินหกเจ้าค่ะ นางเล่าเรื่องของคุณชายลู่จากนั้นก็ให้ยามาห่อหนึ่ง บอกว่าเป็นเพียงการตักเตือน ไม่ถึงชีวิต หลังจากที่ส่งถาดผลไม้ออกไปจากครัวแล้วก็ให้รีบหลบหนีออกไป"

สีหน้าของหยางเฉิง และชุนผิงผู้เป็นฮูหยินใหญ่ล้วนบ่งบอกว่าพวกเขาสงสัยฮูหยินหกซูเหยาอยู่เช่นกัน และรู้ว่านางมีนิสัยเช่นใด หากพานางมาคนเดียวในวันนี้ เรื่องราวอาจยิ่งยืดเยื้อ จึงชักชวนฮูหยินทั้งหมดมาด้วย โดยอ้างว่าเป็นการมาร่วมฟังการพิจารณาคดี แต่แท้จริงคือการเตรียมพร้อมที่จะร่วมให้การ
ฮูหยินใหญ่บอกให้ฮูหยินหกขยับไปนั่งคุกเข่าข้างซู่ซู่ แรกนั้นนางมิยินยอม แต่เมื่อหยางเฉิงออกคำสั่งนางจึงขยับไป
คำแรกที่นางกล่าวออกมาย่อมเป็นการปฏิเสธว่ามิรู้เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ซู่ซู่จึงบอกว่า ฮูหยินหกให้คำมั่นว่า นางจะมอบเงินทองให้ร้อยตำลึง หรือหากถูกจับกุมตัวก็จะเพิ่มเป็นร้อยห้าสิบตำลึง โดยให้ยืนกรานซัดทอดว่าคุณชายลู่คือผู้สั่งการ จากนั้นนางจะช่วยขอลดโทษ เมื่อพ้นโทษออกมา นางจะฝากฝังให้ย้ายไปอยู่ที่เมืองเหอ
แม่ทัพเฉินอวี้ถึงกับชื่นชม "วางแผนลงมือหละหลวมยิ่งนัก แต่วางแผนหลบหนีกลับดียิ่ง สมควรที่จะคล้อยตามจริง ๆ"
เทพเสือโคร่งภูผาที่นิ่งฟังมานานส่งเสียงกระแทกในลำคอไม่เห็นด้วย แล้วถามขึ้น "เหตุใดต้องเป็นลู่น้อยของข้า"

น้ำเสียงดังก้องของเทพเสือโคร่งภูผากดดันทุกผู้คน โดยเฉพาะซู่ซู่และฮูหยินหกซูเหยาที่รู้สึกใกล้จะขาดใจตาย รองแม่ทัพเฉินอวี้ต้องเรียกถามฮูหยินหกซ้ำ
"เพราะ ข้าคิด คิดว่าเขาคือบุตรลับ ๆ ของท่านหยางติงเจ้าค่ะ"
หยางติงหันไปมองหน้าเหอชินรุ่ยที่กัดริมฝากแน่น
"ท่านแม่ มิได้เห็นด้วยกับเรื่องนี้เจ้าค่ะ เป็นข้าที่คิดประจบเอาใจเท่านั้น" เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ นางได้แต่กล่าวไปตามจริง "ทั้งท่านแม่ และข้ามาจากเมืองเหอ พวกเรามิเชื่อเรื่องเทพแห่งป่าสีทอง ผู้คนมากมายที่นี่ก็หาได้เชื่อเรื่องนี้ ทั้งคูณชายลู่ก็เป็น....เอ่อ...มีรูปร่างพิการ หาได้มีฤทธิ์เดช ไม่ว่าจะไปที่ใด ก็ต้องนั่งเกี้ยว ต้องให้นายท่านใหญ่ และท่านเจ้าเมืองดูแลตลอดเวลา ยิ่งทำให้ยากที่จะเชื่อได้ว่า เขาเป็นเทพหรือเป็นเพียงผู้ที่พลัดหลงแล้วตามท่านเจ้าเมืองกลับมา เขาก็ไม่น่าที่จะได้รับการดูแลพิเศษเยี่ยงนี้ แต่น่าจะเป็นผู้ที่มีความสำคัญยิ่งต่อนายท่านใหญ่มากกว่า ข้าเห็นท่านแม่เป็นทุกข์เรื่องนี้อย่างยิ่งจึงคิดเอาใจ กำจัดผู้ที่ทำให้นางเป็นทุกข์"
"ตกลงแล้ว เจ้าเพียงหวังให้เขาเจ็บป่วย หรือหวังให้ตาย" หยางหลงถามด้วยเจตนาในเรื่องนี้สำคัญต่อบทลงโทษ ซึ่งทั้งซู่ซู่ และฮูหยินหกต่างก็บอกเจตนาแตกต่างกัน
แต่ทั้งสองคนยังมิทันจะตอบหยางหลงก็กล่าวต่อ "เห็นทีจะเป็นชีวิต เพราะเจียเจิงกัดกินเพียงคำเดียวก็หาชีวิตไม่แล้ว"

สรุปแล้ว พวกเขาหวังสังหารลู่ แต่เมื่อหยางเจียเจิงเสียชีวิตก็คิดซัดทอดให้ลู่ โดยอ้างว่าลู่เป็นผู้ส่งผลไม้นี้ให้กับหยางเจียเจิง ซึ่งเรื่องนี้ มิมีผู้ใดที่ยืนยันได้ว่า ลู่ส่งผลไม้ให้หรือหยางเจียเจิงหยิบผลไม้นี้มากินเอง ด้วยในเวลานั้นมีเด็ก ๆอยู่หลายคน ทำให้มีความวุ่นวาย หยางหลงเคยถามลู่ในเรื่องนี้ ตอนที่อยู่ในห้องขัง ลู่บอกว่าเป็นหยางเจียเจิงหยิบขึ้นมาเอง

หยางหลงหันมากล่าวขออภัยต่อเทพเทพเสือโคร่งภูผา
"กราบเรียนท่านเทพ เรื่องนี้ยิ่งสืบสาวยิ่งพบว่า เกี่ยวข้องใกล้ชิดภายในครอบครัวของข้าน้อยเอง ทั้งในเวลานี้มีผู้คนมากมายมาเยี่ยมเยือน เรื่องราวบางอย่างไม่สมควรเผยแพร่ออกไป ลู่บอกไว้ว่า เขาขอให้ท่านมารับในอีกสองเดือน เอ่อ นับจนถึงตอนนี้ก็เหลือประมาณหนึ่งเดือน รอจนถึงเวลานั้น ผู้มาเยือนคงลดลงไปแล้ว ค่อยสอบสวนเขาที่ศาลาว่าการเมืองก็ได้"
"เด็กคนนั้น เป็นแบบนั้นแหละ" เทพเสือโคร่งภูผาถอนหายใจ "ทั้งที่ตนเองถูกใส่ความ กลับไปคิดเห็นใจคนที่ใส่ความตนเอง"
หยางติงหันกลับไปมองเหอชินรุ่ยที่นั่งอยู่ด้านหลัง ที่ขอกล่าวถ้อยคำ
"ข้ายอมรับว่ามิเคยเชื่อเรื่องที่คุณชายลู่มาจากป่าสีทอง แม้ท่านพี่จะยืนยันหลายครั้ง ก็คิดว่าเป็นเพราะคิดปิดบังเพราะข้าเกลียดชังครอบครัวที่มีหลายเมีย"

เมื่อกล่าวถึงตอนนีหยางเฉิงยิ้มมุมปาก ยังมีรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่หันไปมองหน้าเทพเสือโคร่งภูผาที่กำลังยิ้มมุมปากเหมือนกับหยางเฉิง ทำให้ทุกคนหันมามองหน้ากัน
บรรยากาศที่กำลังตึงเครียดแปรเปลี่ยนไปดั่งมีเรื่องลับลมคมใน

รองแม่ทัพเฉินอวี้กระแอมไล่ลมในลำคอก่อนเล่าเรื่อง "เรื่องที่ท่านมิเชื่อว่าเทพแห่งป่าสีทองมีอยู่จริงนั้น เรื่องนี้เข้าใจได้ เพราะก่อนหน้านี้ข้าก็มิเชื่อเช่นกัน สาเหตุเกิดจากพวกเขามิชอบออกจากป่า และยิ่งมิชอบไปไหนไกลจากเมืองลั่ว เรื่องคนบ้านเดียวกันเดือดร้อนแทนกัน แม้จะดูไร้เหตุผลแต่ก็พบเจอบ่อย ๆ ส่วนอีกเรื่อง คือครอบครัวของลู่กวางทองซึ่งออกจะไม่เกี่ยวข้องกับที่นี้ แต่อาจขัดใจท่านฮูหยินมากที่สุด ด้วยมารดาของเขาคือนางเทพกวางสายลม แต่บิดาของเขาคือเทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้" รองแม่ทัพผายมือมาที่เทพเสือโคร่งภูผา "เพราะบิดาและมารดาแตกต่างกัน ทำให้ลู่เติบโตช้ากว่าผู้อื่น ที่ท่านเห็นว่าเขาพิการนั้น ย่อมมิใช่ ลูกกวางโดยทั่วไปก็แขนขามิแข็งแรงอยู่แล้ว นางเทพกวางจึงเคี่ยวเข็ญฝึกฝนกวางทองให้แข็งแกร่งขึ้น" รอยยิ้มของรองแม่ทัพเฉินอวี้ดูไม่จริงใจเลยสักนิด "แต่ไม่ว่าจะเสือโคร่งหรือกวาง พวกเขาล้วนรักและเป็นห่วงกวางทองอยู่มาก ท่านเจ้าเมืองที่ให้คำมั่นไว้กับเทพเสือโคร่งภูผาจึงดูแลลู่เป็นอย่างดี ส่วนท่านหยางติง และบุตรอีกสองคนก็เป็นผู้ที่มีความเชื่อและศรัทธาต่อเทพแห่งป่าสีทองอยู่แล้ว ย่อมพร้อมที่จะดูแลด้วยความเต็มใจ นี่หาใช่เรื่องเกินเลยแต่อย่างใด แต่ปัญหาก็คือการคิดมากเกินไปของท่านได้ก่อให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงตามมา"

"ฮูหยิน" หยางติงกล่าวด้วยความเสียใจ
"ข้าเพียงคิดว่าเขาคือบุตรของท่าน แต่มิได้สั่งการให้ทำร้ายใคร" เหอชินรุ่ยกล่าวแต่ละคำอย่างยากเย็น "ท่านบอกว่า อีกไม่กี่วันเขาก็จะกลับไป ข้าก็รอเพียงวันนั้น แต่อาจเพราะบ่นว่ามากเกินไป จนทำให้สะใภ้หกไม่สบายใจตามไปด้วย หากนางมีความผิดข้าก็ย่อมต้องมีความผิดเช่นกัน"
หยางหลงหันมาถามฮูหยินหกซูเหยา "เจ้าได้พิษมาจากที่ใด"
ฮูหยินหกมิคิดว่าหยางหลงจะถามในเรื่องนี้จึงสะดุ้งคราหนึ่งขณะที่เหลือบตามองเหอหลินจื้อแล้วก้มหน้ามิกล่าวคำ
แม้การเหลือบตามองจะรวดเร็วยิ่ง แต่ก็ไม่เร็วไปกว่าผู้ที่จับตาสังเกตความเคลื่อนไหว

"เช่นนั้นข้าจะตอบให้" หยางหลงกล่าว "มันคือกล้วยไม้ดำ กับยาพิษอีกห้าชนิด ทั้งหมดมิได้เป็นของที่หายากเกินไปนัก แต่วิธีการผสมให้เป็นยาพิษออกจะพิเศษอยู่บ้าง จนสามารถบ่งบอกที่มาได้"
หยางหลงหันไปมองเหอหลินจื้อ และทำให้ทุกคนในที่นี้หันไปมองเช่นกัน

เหอหลินจื้อก่อนหน้านี้วางท่ายิ่งใหญ่ แต่เมื่อเทพเสือโคร่งภูผาปรากฎตัวขึ้น ก็สงบปากมาโดยตลอด เรื่องของเทพแห่งป่าสีทองที่ไม่เคยเชื่อถือกลับคือเรื่องจริงทั้งแสดงฤทธิ์ต่อหน้า นอกจากนี้ยังต้องตื่นตระหนกด้วยเรื่องที่ทำลงไปก่อนหน้านี้
หยางหลงกล่าวกับเหอหลินจื้อ "ท่านมีเรื่องใดจะกล่าวหรือไม่"
เหอหลินจื้อไม่รู้สึกละอายใจต่อหยางหลง แต่กลับเกรงกลัวจนไม่กล้าสบตาเทพเสือโคร่งภูผา
สำหรับเหอหลินจื้อผู้นี้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด ด้วยเหตุนั้นจึงมีความมั่นใจที่จะคิดการณ์ใหญ่ แต่ครานี้ต้องรับแรงกดดันจากรอบด้านที่ถาโถมเข้ามา เพื่อให้เป็นผู้รับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น
หยางหลงกล่าวอย่างเน้นถ้อยคำ "ท่านลุงเหอ ท่านทราบดีว่าถ้อยคำที่ออกมาจากปากท่านคือคำชี้แจง แต่หากเมื่อใดที่ออกมาจากปากข้า คือคำตัดสินว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ท่านแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าเป็นผู้กล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น"
เหอหลินจื้อหายใจเข้าลึก ๆ พยายามยืดตัวขึ้นเพื่อที่จะกล่าวถ้อยคำ แต่ก็ยังไม่สามารถกระทำได้
ทุกถ้อยคำคล้ายสะดุดอยู่เพียงกลางอกเท่านั้น
รองแม่ทัพเฉินอวี้ หันไปหาหยางหลง "เช่นนี้เถิด ข้าจะเป็นคนกล่าว หากมีสิ่งใดที่ผิดไปจากนี้ ท่านก็ค่อยโต้เถียง"

ทุกคนในที่นี้ล้วนประหลาดใจ ที่ฝ่ายผู้ถูกปรักปรำยื่นมือเข้ามาในคดี

"เหอชินรุ่ยหวาดระแวงว่าสามีจะภริยาลับ นางพร่ำบ่นความไม่สบายใจนั้นกับซูเหยาฮูหยินหกของท่านหยางเฉิง ซึ่งการที่นางมิได้เป็นคนโปรดของสามีมากนัก ฮูหยินหกจึงคิดกระโดดข้ามขั้นมาเอาใจแม่สามี เพื่อให้สามียอมรับว่านางสำคัญ  อ้อ..ตัวของท่านหยางเฉิงเองก็มิได้เป็นที่พอใจของมารดามากนักเช่นกัน ฮูหยินหกจึงต้องใช้แรงมากหน่อยในการกระโดด และติดต่อกับท่านเหอหลินจื้อที่กำลังจะเดินทางมาที่นี่ท่านเหอที่ยึดถือเมืองเหอเป็นสำคัญจึงเดินทางมาพร้อมกับยาพิษ ในเวลาเดียวกันกันเอง ซูซู่ที่กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินรับที่จะทำงานนี้เพราะมองเห็นแต่ชีวิตที่ดีขึ้นเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน เรื่องของท่านเหอสามารถมองได้ทางเดียวคือความมุ่งหวังทางการเมือง คุณชายลู่ผู้นี้จะมาจากเมืองหลวงก็ดี จะมาจากป่าสีทองก็ดี หากเขาเสียชีวิตท่านสามารถยื่นมือเข้ามาแทรกแซงให้พ่อลูกสี่คนขัดแย้งกันเอง เพื่อที่จะนำไปสู่จุดแตกหักกับเมืองหลวง แต่ข้ากำลังคิดต่อไปว่า พวกท่านเชื่อว่ามารดาของคุณชายลู่เป็นบุคคลสำคัญอยู่ที่เมืองหลวงจึงเลือกที่จะลงมือต่อเขา หากท่านคิดเช่นนั้นจริง ก็ต้องถือว่าพวกท่านลงมือเร็วไป หากรอให้ข้าเดินทางมาถึง แล้วค่อยวางยาฆ่าคน เรื่องนี้จะสมบูรณ์มาก"

เหอชินรุ่ยมองเทพเทพเสือโคร่งภูผาด้วยความสำนึกผิด "ข้าถามสามีหลายคราเรื่องที่มาของคุณชายลู่ แม้เขาจะยืนยันว่า คุณชายลู่พักอยู่ที่ป่าสีทอง แต่ที่นั่นไม่มีบ้านเรือนผู้คน เขาจะอยู่กับมารดาตามลำพังได้อย่างไร ข้าจึงแน่ใจว่าคุณชายลู่มาจากเมืองหลวงเพื่อมาเยี่ยมบิดา จากนั้นเขาก็จะกลับไปเมื่อบุตรชายชองข้าเดินทางกลับเมืองหลวงคราหน้า" นางประสานมือกล่าวคำ ค่อย ๆ ก้มหน้าจนหน้าผากแนบพื้น "เรื่องทั้งหมดเกิดจากจิตใจคับแคบของข้าน้อย จนทำให้สูญเสียหลานชาย ทั้งอาจทำให้เรื่องบานปลายกลายเป็นเรื่องระหว่างเมือง ข้าเหอชินรุ่ย ไม่ขอลดทอนบรรเทาโทษใด  ๆ ได้โปรดลงโทษตามกฎหมายด้วยเถิด"
หยางติงขยับไปนั่งข้างฮูหยิน "ฮูหยิน เจ้าคิดเอาชีวิตคุณชายลู่จริง ๆหรือ"
"ไม่" เหอชินรุ่ยกลืนก้อนสะอื้น ทั้งยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น "ข้าเพียงนับวันเวลาให้เขากลับไป"

เหอหลินจื้อนั้นมิได้ต้องการที่ยอมรับความผิดโดยง่ายดาย ยิ่งมีรองแม่ทัพเฉินอวี้อยู่ที่นี้ ยิ่งไม่ต้องการยอมรับ ด้วยแม่ทัพเฉินอวี้ คือตัวแทนของฝ่ายศัตรู สิ่งที่เหอหลินจื้อต้องการคือการแสดงอำนาจยิ่งใหญ่ต่อหน้าตัวแทนจากฝ่ายเมืองหลวง
แต่เพราะที่นี่มีเทพเสือโคร่งภูผาทุกความตั้งใจของเหอหลินจื้อจึงไม่อาจเกิดขึ้น ยิ่งเมื่อเจ้าพนักงานกองเมืองเข้ามาควบคุมตัวให้มานั่งเคียงข้างซูเหยา และซู่ซู่ ก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกดูหมิ่น
เหอชินรุ่ยลุกขึ้นยืนและก้าวเดินมานั่งเคียงข้างพี่ชาย ย้ำว่านางเลือกที่จะอยู่กับเมืองเหออีกครั้ง

แรงกดดันทั้งหมดจึงกลับไปตกอยู่ที่หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว ด้วยเหอชินรุ่ยยืนกรานรับผิดเท่ากับเหอหลินจื้อ และ ซูเหยา หลังการโต้เถียงด้วยความดื้อรั้นอย่างยาวนาน รองแม่ทัพเฉินอวี้ จึงขอคุยเป็นการส่วนตัวกับหยางหลงอยู่ครู่หนึ่ง ก็เรียกหลิวเพ่ยหลิงเข้าไปคุยด้วย จากนั้นจึงกลับออกมาเพื่อประกาศคำตัดสิน
หยางหลงกำมือแน่น ขณะที่กล่าวคำ
"โทษฆ่าคนตาย แม้จะเจตนาคนที่คนหนึ่ง แต่พลาดพลั้งทำให้อีกคนหนึ่งต้องตาย ก็มีความผิดเฉกเช่นมีเจตนาฆ่าผู้นั้นเช่นนั้นเช่นกัน ตัดสินโทษจำคุกยี่สิบปี เหอหลินจื้อ ซูเหยา ซู่ซู่ และเหอชินรุ่ย" เจ้าเมืองลั่วกล่าวคำช้า ๆ "ทั้งหมดให้การสารภาพ เนื่องจากเหอหลินจื้อเป็นผู้มีตำแหน่งสำคัญของเมืองเหอ ให้ส่งตัวกลับไปรับโทษที่เมืองเหอ ต้องห้ามเข้าเมืองลั่วตลอดชีวิต ส่วนเหอชินรุ่ยให้ทำงานรับใช้อารามเทียมฟ้า ห้ามออกจากอารามตลอดชีวิต ซูเหยาให้ไปรับใช้อารามวิเวก ห้ามออกจากอารามตลอดชีวิต และ ซู่ซู่ไปรับใช้อารามสันติ ห้ามออกจากอารามตลอดชีวิต"

เมื่อมาถึงยามนี้ ทุกคนล้วนตระหนักดีว่า ในเรื่องราวที่เกิดขึ้น หลิวเพ่ยหลิงคือผู้ที่เสียสละอย่างยิ่ง ด้วยนางคือมารดาผู้สูญเสียบุตรชาย และยังต้องอภัยให้กับคนที่สังหารบุตรชายของนาง
เรื่องราวในการสนทนาที่ห้องทางด้านหลัง คือการที่รองแม่ทัพเฉินอวี้เป็นผู้เจรจาขอความเมตตาจากนาง และนางก็มอบความเมตตานั้น
ดังนั้นหลังจากที่หยางหลงอ่านคำตัดสิน เหอชินรุ่ยจึงหันไปมองหลิวเพ่ยหลิงสะใภ้ใหญ่เต็มตาเป็นคราแรก และเป็นคราแรกเช่นกันที่มารดาของสามีก้มศีรษะแสดงความขอบใจ

....จบตอนที่แปด...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่7 (P7-070260)
เริ่มหัวข้อโดย: Nathi ที่ 14-02-2017 12:59:44
จิ้มเป็ดไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-02-2017 13:40:48
อิลุงกับซูเหยาใจร้ายมาก

อ่าาา....แม่เล็ก.... นี่ท่านเทพเสือโคร่งภูผากินหนุ่มน้อยหน้ามนสินะ

สมน้ำหน้าตอนโดนแม่กวางดุ หุหุหุ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-02-2017 14:02:07
เทพแห่งป่าสีทองปรากฏตัวแล้ว
ผลการไตร่สวน 
เหอชินรุ่ยหมดบทบาททางการเมืองไปเลย
เจ้าเมืองหยางหลง คงทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีอะไรมาวุ่นวาย
แต่หยางหลง จะได้เจอลู่อีกมั้ยนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 14-02-2017 14:59:58
ลู่ เรียกรองเเม่ทัพว่า..เเม่เล็ก
รองเเม่ทัพเรียกเเม่กวางว่า..ท่านใหญ่

พ่อกวาง พ่อเสือ โอ้ว...ครอบครัวสุขสันต์

กวางลู่กลับป่าไปแล้ววว..จะได้เจอกันอีกมั้ยหนอ :mew2:   


****มีคำผิด...คนบงการเจ้าไม่เชื่อเรื่องป่าสีทอง // เมื่อกล่าวถึงตอนนี้หยางเฉนยิ้มมุมปาก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-02-2017 16:03:52
สารเด็กที่ต้องตายไปจริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 14-02-2017 16:47:28
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

วันนี้ วันพิเศษ บทนี้ยาวมาก  แต่อ่านได้แค่ครึ่งเดียว
เดี๋ยวกลับมาอ่านต่อ...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 14-02-2017 17:42:51
มีพิมพ์ผิดหน่อยนึง :ling1:
แต่นางมิได้มองร่างไร้วิญญาณของเหอเจียเจิง

คนที่ไม่ยอมรับผิดก็มีนะ ไม่ได้สารภาพทุกคนนี่
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 14-02-2017 19:28:14
เหมือนวันรวมญาติ  :hao7:

อ่านเม้นบน เพิ่งเอะใจกับคำว่า แม่เล็ก พ่อกวาง  55555 ครอบครัวใหญ่นะน้องลู่



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-02-2017 19:33:44
อาลู่มาแล้ววววววววววววววว  :oni2: :oni2: :oni2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 14-02-2017 19:43:30
ยาวจุใจสุดๆ แล้วนุ้งลู่น้อยจิได้กชับมาอีกมั้ยนะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 14-02-2017 20:47:02
โอยยยย เด็กน้อยต้องตายไปโดยไม่รู้อิโหน่นอิเหน่อะไรเลย
สงสารเบาๆ ส่วนลู่ ขุ่นแม่มารับกลับบ้านแบบนี้ จะได้มาเที่ยวเล่นอีกไหม
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 14-02-2017 22:03:36
แปะไว้ก่อนนน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 14-02-2017 22:51:33
 :L2: :L2: :L2: :L2: :L2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: lilowria ที่ 14-02-2017 23:33:40
หน่วงๆ ทีมลู่น้อย ลู่น้อยทำไมหนูดีอย่างนี้
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 15-02-2017 06:03:09
แม่มาพากลับไปแล้วลู่น้อย เมื่อไรจะได้กลับมาเที่ยวเล่นอีกนะ #ทีมลู่

 :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 15-02-2017 11:23:19

ทางออกที่ล้วนแต่นำมาซึ่งความอาวรณ์จริงๆในตอนนี้

ดีแล้วหันหน้าเข้าหาธรรมะซะเถ่อะ ลูกชายที่รักมากต้องไปอยู่เมืองหลวงและหลานชายตัวเองตายส่วนหนึ่งมาจากตัวเอง
นี่มันเป็นตราบาปอยู่ในใจของเหอชินรุ่ยตลอดไปแน่ๆ
แต่บทลงโทษของตัวก่อกวนและวุ่นวายมาตลอดแบบอิลุงนี่ ทำไมมันรู้สึกว่าเบ๊า-เบา

แต่งานนี้รอบทลงโทษต่อไปจากแม่กวาง ให้....ท่านพ่อเสือที่มีส่งสายตาอาฆาตก่อนเอาลู่ไปนี่ท่าจะมัน :hao3:

หยางหลงเอ้ยยยย ลู่น้อยนี่มีเพิ่มทั้งแม่เล็ก กับท่านพ่อกวางอีก โอโหกว่าจะฝ่าด่านแต่ละด่าน (ได้แต่เดินเข้าไปตบบ่าปุๆ)

ขออภัยเจ้าของเรื่องนะคะหากเม้นนี้จะยาวไป  :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 16-02-2017 09:33:38
สงสัยตรงนี้ค่ะ
"รอยยิ้มของรองแม่ทัพเฉินอวี้ดูไม่จริงใจเลยสักนิด"
ตอนนี้ยาวดีจริงๆ แถมมีรายละเอียดให้คิดเยอะด้วย ต้องค่อยๆอ่าน นี่อ่านสองรอบแล้วนะคะ รอบหน้า คงต้องทำแผนผังเครือญาติก่อน 55

กรี๊ดกับการเปิดตัว แม่เล็ก และพ่อกวางนะคะ อยากรู้เรื่องของทั้งสองคนมาก
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 17-02-2017 16:14:02
อ่านต่อจบแล้ว เป็นตอนที่ยาว และสนุกมาก
เข้าใจแล้วว่า ทำไมลู่ถึงเป็นกวางทองน้อยที่น่ารัก
ถึงจะโดนแม่ดุ แต่เต็มเปี่ยมด้วยความรักของคนในครอบครัว
แต่ พอ"ข้าหิวแล้ว ง่วงนอนมากด้วย กลับบ้านกันเถิด"
ก็ทิ้งหยางหลงดื้อๆ เลย น่าตีชะมัด :p
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-02-2017 17:56:13
บทลงโทษสำหรับสี่คนนั้นก็พอจะรับได้นะ สงสารก็แต่หลิวเพ่ยหลิง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 17-02-2017 18:52:25
รอ คู่ของเทพเสือโคร่งกับรองแม่ทัพเฉินอวี้  มีความสงสัยว่า กว่าจะได้มาซึ่งแม่เล็กนี่ คงพยศน่าดู 555 อ่านตอนนี้ไม่รู้จะสงสารใครดี เหอซินรุ่ย หลิวเพ่ยหลิง หรือหยางหลงดี คนนึงแม่คนนึงเมีย ที่จริง ฮุหยิน ไม่ต้องรับผิดก็ได้นะ เพราะนางแค่เล่าให้ฟัง แต่คนเป็นแม่ผัวและแม่ของเจ้าเมือง เรานับถือความเด็ดเดี่ยวของนางตรงนี้

ปล.กลัวว่าเพ่ยหลิงจะเก็บเอาความแค้นนี้ไว้แล้วย้อนกลับมาทำร้ายลู่หรือทุกคนในตระกูลหยางน่ะสิ คำโบราณจีนว่าไว้ 10 ปีแก้แค้นก็ยังไม่สาย (หรือเราจะคิดมากวะเนี่ย)
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 17-02-2017 20:16:28
เข้ามารอกวางทอง

 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 17-02-2017 20:29:47
แอบมาปักรอ^^
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 19-02-2017 11:11:41
พึ่งเข้ามาอ่าน ไม่ผิดหวังเลย ลู่น่ารักมากกกกก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 20-02-2017 14:07:27

มาจองที่ไว้รอ ตอนต่อไปค่า  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 22-02-2017 13:54:58


แค่เข้ามาบอกว่า คิดถึงลู่น้อยแล้ววววววว  :mew2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 22-02-2017 14:51:43
 :mc4: :mc4:

จุดพลุเรียกกวางทอง 5555555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 23-02-2017 13:04:55
ลู่กลับถึงบ้าน แล้วนอนหลับหรา
ไม่มีพี่หลงมากล่อมก่อนนอนอ่ะ
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่8 (P8-140260)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 23-02-2017 16:46:00
หน้าใหม่แล้ว มารอแม่เล็ก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 24-02-2017 07:52:42
ภาคกวางทอง

บทที่เก้า

เทพเสือโคร่งภูผาเห็นว่าคดีในส่วนที่เกี่ยวข้องกับลู่คลี่คลายลงแล้ว ที่เหลืออยู่ก็คือการที่หยางหลงเจ้าเมืองลั่วต้องใช้อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่จัดการต่อไป เมื่อพนักงานควบคุมตัวผู้ถูกกล่าวโทษทั้งสี่คนออกไป จึงกล่าวแสดงความต้องการกลับไปที่ป่าสีทอง
"ป่านนี้นางเทพกวางใจร้ายนั่น อาจจับลู่น้อยของข้าไปแขวนไว้บนหน้าผาแล้วก็เป็นได้" สีหน้าท่าทางของเทพเสือโคร่งดูทุกข์ร้อนเกินจริง จากนั้นก็สั่งให้รองแม่ทัพเฉินอวี้ แวะไปพบที่ป่าสีทองก่อนที่จะเดินทางกลับ
ในเวลาที่จากไป ก็ช่างสร้างความตื่นตาให้กับทุกคนไม่ต่างไปจากตอนที่มาถึง

เมื่อทุกคนได้สติกลับคืนมา หยางหลงจึงขอให้หยางเฉิง ช่วยรับรองรองแม่ทัพเฉินอวี้ และจัดการงานต่าง ๆ ในระหว่างที่ตนเองต้องไปดูแลมารดา และฮูหยิน
"เรื่องมารดาของเจ้ามิต้องเป็นกังวล พ่อจะดูแลเอง เจ้าควรไปดูแลเพ่ยหลิงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนี้นางคือคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมากที่สุดแล้ว" หยางติงกล่าวด้วยความยุติธรรม

ความวุ่นวายที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ ทำให้ยังไม่มีผู้ใดที่เอ่ยปากบอกกับหยางหลงเจ้าเมืองคนใหม่ ว่าหยางไห่น้องเล็กจะต้องออกเดินทางไปเมืองหลวง
เมื่อหยางหลงแยกออกไป รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงหันไปถามหยางไห่ที่รออยู่ด้านนอก ว่าจะบอกกับหยางหลงเอง หรือให้ตนเป็นคนบอก หยางไห่ขอที่จะเป็นผู้บอกกับพี่ใหญ่เอง
"ข้ารู้ว่าพี่ใหญ่เป็นคนอย่างไร หากให้ท่านรองแม่ทัพหรือท่านพ่อเป็นคนบอก เขาต้องกล่าวว่ามิเป็นไร จากนั้นก็จะคิดมาก ห่วงหน้าพะวงหลัง เป็นห่วงไปหมดทุกคน หากให้ข้าบอกเองจะดีกว่า เพราะข้าจะได้ยืนยันว่าข้ามิเป็นไร การไปเมืองหลวงจะช่วยให้ข้าสามารถเป็นตัวแทนการค้าระหว่างเมืองลั่วกับเมืองหลวงได้คล่องตัวมากขึ้น"
การที่หยางไห่คิดแบบพ่อค้าในช่วงเวลาเช่นนี้ ทำให้พี่รองหยางเฉิงต้องผลักศีรษะน้องเล็กไปหนึ่งครั้งด้วยความหมั่นไส้

ด้านหยางหลงไปพบกับหลิวเพ่ยหลิงที่เรือนต้นส้ม ซึ่งจนถึงเวลานี้นางก็ยังอยู่ในความเสียใจที่ต้องสูญเสียบุตรคนโต แต่ก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยการกล่าวถึงคำตัดสินนั้น
"ดังที่ท่านรองแม่ทัพกล่าว ซูเหยาไม่ได้รับความเมตตาจากสามี นางจึงต้องการสร้างความสำคัญให้กับตนเอง พวกเราเห็นนางประจบเอาใจท่านแม่ ก็พากันตั้งข้อเกี่ยงงอนกีดกันนางไว้เป็นคนนอกมาตลอด ยิ่งห่างเหินจากนาง นางก็ยิ่งเรียกร้องความสำคัญมากขึ้น ทุกคนต่างก็มีส่วนในความผิดนี้เช่นกัน อีกอย่าง คนที่ฉวยโอกาสทำให้เรื่องร้ายแรงมากขึ้น คือท่านลุงเหอหลินจื้อ"

ดวงตาของนางทอดมองหยางเจิ้นขุยบุตรชายคนเล็กที่กำลังนอนหลับ
นางมิใช่แม่พระที่จะให้อภัยผู้ที่ฆ่าบุตรของตนเอง แต่เพราะเวลานี้นางคือฮูหยินของเจ้าเมือง ความสูญเสียบุตรในครั้งนี้ย่อมอยู่กับนางตลอดไป แต่นางไม่อาจฝังตัวเองไว้กับการคร่ำครวญโศกเศร้า

"พวกเราเป็นบุตร จะอย่างไรความกตัญญูก็เป็นเรื่องสำคัญ ตั้งแต่แรกมา ข้ากลับกังวลว่าท่านจะลงโทษท่านแม่รุนแรง เมื่อตัดสินเช่นนี้ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว และทำให้พวกเขาไม่กล้ามายุ่งกับพวกเราไปอีกสักพัก" หลิวเพ่ยหลิงหันมาหาสามี "ท่านพี่ ข้ายังมีเรื่องที่อยากบอกต่อท่าน"
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วพยักหน้ารับ
"เรื่องที่ข้าทำผิดต่อท่าน จนให้กำเนิดขุยเอ๋อร์ แต่ท่านยังให้ความเมตตาต่อข้าเช่นเดิมนั้น ข้าถือเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง และทำให้ข้าต้องการรับใช้ท่าน มิว่าท่านต้องการสิ่งใด ข้าพร้อมที่จะให้ท่านทุกสิ่ง"
"ขุยเอ๋อร์ย่อมเป็นบุตรของข้า"

หลิวเพ่ยหลิงยิ้มจาง ในปีนั้นหยางหลงเดินทางออกจากเมืองลั่วไปหลายเดือน ระหว่างนั้นบิดาของนางที่เมืองหลวงให้คนผู้หนึ่งนำของขวัญ และสิ่งของมามอบให้เหมือนดังที่ผ่านมา แต่นางกลับพลาดพลั้งให้กับเขา โดยที่เขาเองก็มิได้รับรู้เลยว่านางตั้งครรภ์
แต่หลิวเพ่ยหลิงย่อมทราบดีว่าใครคือบิดาของบุตรคนรอง หลังจากที่หยางหลงกลับมาได้ไม่ถึงเดือน อาการตั้งครรภ์ก็เริ่มปรากฎชัด หลิวเพ่ยหลิงจึงสารภาพกับหยางหลง และพร้อมที่จะรับการลงโทษ
หยางหลงนิ่งอึ้งไปชั่ววูบแล้วก็กลับมามีความยินดีอย่างยิ่ง ทั้งไม่ยินยอมให้นางจากไป และคอยดูแลนางเป็นอย่างดี
...นางสรุปท่าทีของสามีว่า เป็นเพราะความเสียใจจนไม่อาจยอมรับความจริงได้ ยิ่งเขาดีต่อนาง นางก็ยิ่งไม่ให้อภัยตนเอง
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนางกลับเป็นคนที่ปฏิเสธการสัมผัสจากอีกฝ่าย ไม่ยอมให้อีกคนถูกต้องตัว ด้วยรู้สึกว่าตนเองนั้นสกปรกและน่ารังเกียจยิ่งนัก...
หากทุกครั้งที่หลีกเลี่ยง หยางหลงมักมีสีหน้าผิดหวังเสียใจ หลิวเพ่ยหลิงจึงมักกลบเกลื่อนด้วยการบีบนวดเอาใจ

เป็นปฏิกริยาที่สอดคล้องกันระหว่างคนสองคน ที่บุคคลภายนอกลงความเห็นว่าสามีภรรยาคู่นี้ดูห่างเหิน แต่ก็มีความเอาใจใส่กันและกัน

หลังจากหลิวเพ่ยหลิงคลอดหยางเจิ้งขุยแล้ว นางขอให้บุตรทั้งสองคนพักในห้องเดียวกันกับนาง แทนที่จะให้พวกเขาแยกไปพักอีกเรือน ทั้งแนะนำให้หยางหลงรับฮูหยินเพิ่ม แต่หยางหลงปฏิเสธ
เมื่อมารดานอนห้องเดียวกับบุตร และไม่ยอมร่วมห้องกับบิดา สุดท้ายพวกเขาจึงเพียงอยู่ร่วมชายคาแต่หาได้ร่วมห้องไม่
หลิวเพ่ยหลิงคิดว่าหยางหลงยังเป็นคนหนุ่ม สักวันจะต้องรับภรรยาอีกคน แต่เขากลับทำตนเป็นดั่งหลวงจีนผู้หนึ่ง
ในส่วนนี้นางมองว่าหยางหลงก็เป็นเช่นเดียวกับหยางติงบิดาของเขา คือพร้อมที่จะให้อภัยฮูหยินเสมอ นางจึงมีความตั้งใจที่จะสนับสนุนสามีในทุกวิถีทาง

"ข้าเพียงอยากรู้เรื่องของคุณชายลู่"
หยางหลงเล่าให้นางฟังทุกสิ่ง เว้นเพียงเรื่องหนึ่งที่นางต้องซักถาม "ท่านพี่พอใจคุณชายใช่หรือไม่"
เมื่อหยางหลงไม่ปฏิเสธ นางจึงกล่าวต่อ "ท่านพี่ทำเพื่อผู้อื่นมาโดยตลอด หากเรื่องนี้ท่านพี่จะตามใจตนเอง ข้าก็ไม่คิดว่านี่จะส่งผลต่อตำแหน่งหน้าที่ของท่านพี่ เพียงแต่เท่าที่ดูท่านเทพเสือโคร่งภูผา และจากที่ฟังคนรับใช้กล่าวถึงมารดาของคุณชาย ข้าคิดว่านี่มิใช่เรื่องง่ายเลย"
หยางหลงสำลักลมในลำคอตนเอง "เพ่ยหลิง นี่เจ้า...เจ้า"
"ท่านพี่ทำงานหนักทุกวัน ตกกลางคืนยังต้องไปดูเขาก่อนจึงจะกลับมา หากจะบอกว่า เมตตาเขาเหมือนน้องหรือเหมือนลูก นั่นมิใช่แน่นอน" นางใช้ปลายนิ้วแตะหลังมือสามี "ขออภัยที่ก้าวก่ายเรื่องนี้ แต่ข้าอยากให้ท่านพี่มีความสุข"

ความเห็นของหลิวเพ่ยหลิงในเรื่องนี้ ช่างเหมือนกับหยางเฉิง และหยางไห่ ที่กล่าวเตือนพี่ใหญ่ของพวกเขาในวันถัดมา
"หากพี่รองคนที่มีเจ็ดฮูหยินยังให้คำปรึกษาท่านเจ้าเมืองมิได้ ก็มิมีผู้ใดให้คำปรึกษาท่านได้แล้ว" ทั้งน้ำเสียงและรอยยิ้มของหยางไห่ช่างสนุกสนานอย่างยิ่ง
แต่หยางเฉิงที่เป็นคนยิ้มยาก พูดน้อย กลับรู้สึกเจ็บลึกเมื่อหยางไห่กล่าวคำว่าฮูหยิน และยอมรับว่า เพราะการที่ตนเองละทิ้งฮูหยินหกซูเหยามาตลอด เป็นสาเหตุที่ทำให้นางก่อเรื่องขึ้น
หยางไห่อ้อมแอ้มกล่าวคำขออภัยพี่รอง ที่โบกมือไม่ถือสา ทั้งหันไปกล่าวคำขออภัยต่อหยางหลงต่ออีกทอดหนึ่ง
เพราะในการสืบสานตำแหน่งเจ้าเมืองลั่ว ผู้ที่จะรับตำแหน่งนี้ต่อจากหยางหลงก็คือ หยางเจียเจิงนั่นเอง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งหยางเจียเจิงและหยางเจิ้นขุยสองพี่น้องมักถูกแยกจากพี่น้องคนอื่น เพื่อร่ำเรียนตำราในทางปกครอง ทุกวันได้ยินแต่คำว่าในวันหน้าเมืองลั่วจะเป็นของเจ้า เจ้าต้องดูแลทุกคนให้มีความสุข ซึ่งไม่ต่างอันใดจากหยางหลงเมื่อครั้งยังเด็ก
"การทำร้ายเจิงเอ๋อร์ ไม่ต่างอะไรกับการทำร้ายความหวังของท่านเจ้าเมือง ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก" หยางเฉิงกล่าวอย่างเป็นทางการ

มีความเคลื่อนไหวที่เรือนพักหลังใหญ่ สามคนพี่น้องที่กำลังสนทนากันอยู่จึงหันไปมอง เห็นหยางติงออกมาส่งเทพเสือโคร่งภูผา กับรองแม่ทัพเฉินอวี้ แต่เทพเสือโคร่งภูผากลับแยกกลับไปก่อน ด้วยการที่มีแสงสว่างพาดผ่านลงมา และเมื่อแสงสว่างนั้นหายไป เทพเสือโคร่งภูผาก็หายไปด้วย เหลือเพียงหยางติง กับรองแม่ทัพ และบรรดาเจ้าพนักงานกับคนรับใช้ที่มีสีหน้าตกใจ

...ท่านเทพเสือโคร่งภูผามาตั้งแต่เมื่อใด แล้วลู่มาด้วยหรือไม่..

"แสดงให้เห็นกันต่อหน้าขนาดนี้ ยังจะกล้าพูดว่าเทพแห่งป่าสีทองเป็นเรื่องโกหกอยู่อีกหรือไม่" หยางไห่ใช้ศอกกระทุ้งเอวพี่รอง
"ตอนนี้เรื่องที่ต้องจริงจังมิใช่เรื่องนั้นแล้ว"
 
เมื่อหยางติง และรองแม่ทัพเฉินอวี้ เห็นสามพี่น้องยืนคุยกันอยู่ไม่ไกลจึงเดินมาสมทบเพื่อหารือด้วย
แต่แท้จริงแล้วควรเรียกว่าแจ้งให้ทราบมากกว่า
ด้วยหยางติงจะไปส่งเหอชินรุ่ย และพักอยู่กับนางที่อาราม
ส่วนรองแม่ทัพเฉินอวี้จะเป็นผู้ส่งตัวเหอหลินจื้อไปที่เหมืองเหอ ซึ่งหยางเฉิงจะเดินทางไปด้วย ในฐานะหัวหน้าสำนักคุ้มกันภัย 
"ไม่ไปส่งฮูหยินหกที่อารามหรือ" หยางไห่ถามพี่รอง
หยางเฉิงส่ายหน้า "กลับมาก็ยังมีเวลาไปพูดคุย"
ทั้งหมดเพียงรับฟังไม่มีผู้ใดสอดแทรกการตัดสินใจของหยางเฉิงในเรื่องนี้

หลังการสนทนาเรื่องการเดินทางอีกหลายคำ หยางติงก็กล่าวกับหยางหลงว่า หลิวเพ่ยหลิงมาขอพบกับมารดา ซึ่งอาจจะดูแปลกไปสักนิด และทำให้ระแวงไปว่า นางอาจมาต่อว่า หรือเยาะเย้ย แต่หลิวเพ่ยหลิงมาเพื่อกล่าวคำขอโทษที่มิได้ทำหน้าที่สะใภ้ที่ดี และทำให้เหอชินรุ่ยกล่าวคำขออภัยต่อนางเช่นกัน สุดท้ายแล้วก็คือต่างคนต่างก็ขอโทษอีกฝ่าย
ที่ผ่านมาแม้จะพักอยู่ในบ้านเดียวกันแต่ต่างก็หลีกเลี่ยงที่จะพบเจอกัน และพูดคุยกันให้น้อยคำที่สุด เมื่อสะใภ้ยอมเข้าหาก่อนด้วยการกล่าวคำขอโทษ มารดาที่เริ่มคิดได้ว่าความสูญเสียนี้เกิดขึ้นเพราะตนก็ยอมอ่อนลงเช่นกัน
หลังจากทื่หยางหลงต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามมาในลักษณะนี้จึงย่อมเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง

ตลอดการสนทนา รองแม่ทัพเฉินอวี้มิได้กล่าวคำใด มีเพียงรอยยิ้ม กับหัวเราะคำกล่าวของหยางไห่ที่ล้อเลียนหยางเฉิงเป็นระยะ ผ่านไปครู่หนึ่งหยางหลงจึงชักชวนรองแม่ทัพไปที่ศาลาว่าการเมือง เพื่อหารือเรื่องการส่งตัวเหอหลินจื้อกลับไป
แต่เมื่อเดินทางมาถึงศาลาว่าการเมือง ประโยคแรกที่รองแม่ทัพเอ่ยขึ้นก็คือคำแนะนำเกี่ยวกับลู่ ที่ไม่ได้ต่างจากเพ่ยหลิง และ น้องชายทั้งสองคนแนะนำไว้
แต่คำแนะนำของรองแม่ทัพยังนับว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง อาทิ ลู่คือกวางทอง แม้จะยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นเทพ แต่เมื่อดูจากท่าทีของเทพบิดาและมารดาแล้ว คาดว่าพวกเขาจะต้องเคี่ยวกรำฝึกฝนให้เป็นเทพอย่างแน่นอน ต่อมาคือควรสะสางการงานที่นี่ให้เรียบร้อย รอจนหยางเฉิงกลับมาจากเมืองเหอ แล้วค่อยมอบตำแหน่งรักษาการให้ จากนั้นจึงค่อยเดินทางไปพบลู่ที่ป่าสีทอง
ยังคงเป็นคำเตือน และคำขู่ที่หลากเข้ามาหาหยางหลงเจ้าเมืองลั่วไม่ผิดกับน้ำในฤดูน้ำหลาก

"ผู้อื่นในป่าสีทอง มีชื่อเรียกตามคุณสมบัติพิเศษของเขา อย่างเทพเสือโคร่งภูผา หรือ นางเทพกวางสายลม ซึ่งเป็นบิดาและมารดาของลู่ได้ชื่อตามพลังพิเศษที่ติดมากับตัวเมื่อถือกำเนิด แต่ลู่คือกวางทอง เพราะดวงตาของเขามีสีทองมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนเรื่องพลังพิเศษกลับยังไม่ชัดเจน แต่จะมีพลังแบบใดก็ไม่สำคัญเท่ากับดวงตาของเขา ที่ตอกย้ำว่าเขาเป็นสมบัติของป่าสีทอง เหมือนสัตว์เทพอีกหลายตนในป่าสีทอง นกยูงทอง กระเรียนทอง จิ้งจอกทอง เจ้าไม่อาจเก็บกวางทองไว้เป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียวหากยอมรับเรื่องนี้ได้ จึงไปพบเขา แต่หากยอมรับไม่ได้ก็ควรตัดใจเสียแต่ตอนนี้"

แต่หยางหลงตัดสินใจเรื่องนี้ไปนานแล้ว และรู้ดีว่าบทสรุปจะเป็นเช่นไร ดังนั้นจึงรอจนกระทั่งหยางเฉิงกลับมาจากเมืองเหอในอีกหนึ่งเดือนถัดมา แล้วมอบตำแหน่งรักษาการให้กับหยางเฉิงและหยางไห่ก่อนที่จะออกเดินทาง

ซึ่งที่จริงแล้ว หยางหลงมีเจตนามอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้กับน้องชายและไม่กลับมาอีก แต่น้องชายย่อมรู้ใจพี่ใหญ่เป็นอย่างดี ทั้งสองคนพร้อมใจกันขู่ว่า หากทำเช่นนั้นจริงพวกเขาก็จะมอบตำแหน่งนี้ให้กับหยางเจิ้นขุย บุตรชายคนเล็กของหยางหลงผู้มีวัยเพียงห้าขวบ จากนั้นอนาคตของเมืองลั่วจะเป็นเช่นใด ก็สุดจะคาดเดาแล้ว
หลังโต้เถียงกันอยู่หลายคำ หยางหลงจึงให้คำมั่นว่าจะกลับมาทำหน้าที่เจ้าเมืองอย่างแน่นอน
ส่วนรองแม่ทัพเฉินอวี้ เมื่อกลับมาจากเมืองเหอก็เดินทางล่วงหน้าไปที่ป่าสีทอง เพราะยังมีภารกิจที่จะต้องกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งเจ้าตัวมั่นใจว่า จะต้องเดินทางระหว่างเมืองลั่ว เมืองเหอ และเมืองหลวงอีกหลายครา

"แล้วตกลงการส่งตัวท่านลุงเหอเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยากรู้เรื่องที่ท่านจะไม่เขียนลงไปในบันทึกเสนอเจ้าเมืองลั่ว และทางการ" หยางไห่ทำสีหน้าอยากรู้ ทั้งตั้งคำถามอย่างคนที่รู้นิสัยทุกคนในครอบครัวเป็นอย่างดี มีหรือที่เหอหลินจื้อจะว่าง่าย และทางเจ้าเมืองเหอจะไม่โกรธหยางหลง
หยางเฉิงเหลือบตามองพี่ใหญ่หนึ่งคราแล้วกล่าวด้วยเสียงต่ำ ๆ "ระหว่างการเดินทางก็ไม่ได้โวยวายมากมาย แต่พอไปถึงเมืองเหอ ช่วงที่ท่านรองแม่ทัพไม่ได้อยู่ด้วย ก็อาละวาดไม่ยอมรับความผิด ข้าคิดว่านั่นอาจเป็นพลังของเทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้นกดดันให้เขาอยู่ในความสงบ ลู่เรียกเขาว่าแม่เล็กใช่หรือไม่"
"ใช่ บางทีท่านเทพเสือโคร่งอาจคอยติดตามอยู่ห่าง ๆ" หยางหลงถามต่อ "แล้วท่านเจ้าเมืองเหอว่าอย่างไร"
"ตอนแรกที่พวกเราไปถึงก่อน ก็ดูไม่ค่อยให้เกียรติท่านรองแม่ทัพสักเท่าไหร่ ตอนที่เอาคดีให้อ่านก็ไม่พอใจ จนกระทั่งท่านรองแม่ทัพอธิบายซ้ำเรื่องหลักฐาน และบอกว่าเจิงเอ๋อร์คือหลานตาของพวกเขา ที่ต้องจากไปเพื่อให้เป็นตัวจุดชนวนความขัดแย้ง ซึ่งหากพวกเราต้องขัดแย้งกันจริง วิญญาณของเจิงเอ๋อร์จะเป็นสุขได้อย่างไร หากท่านตา กับท่านพ่อของเขาขัดแย้งกัน"
หยางไห่นึกขึ้นได้ "หลังจากที่ท่านออกเดินทางไปได้สามวัน ผู้ติดตามของท่านรองแม่ทัพจึงมาถึงแล้วออกเดินทางติดตามพวกท่านไป"
หยางเฉิงพยักหน้า "พวกเขาไปถึงเมืองเหอหลังพวกเราสองวัน"
น้องเล็กวิเคราะห์ต่อ "ดูท่ารองแม่ทัพเฉินอวี้กับเทพเสือโคร่งภูผา จะชอบทำงานโดยอิสระเหมือนกัน"
สองคนพี่น้องสนทนากันเพลินกระทั่งนึกขึ้นได้หันมาหาพี่ใหญ่ที่กำลังมองไปไกลสุดสายตาแล้วถอนหายใจยาว จากนั้นจึงกล่าวคำ
"ข้าสูญเสียเจิงเอ๋อร์ไปแล้วจริง ๆ"

เมื่อเดินทางมาถึงชายป่าสีทองเมืองลั่ว  แม้ใจของหยางหลงจะเต้นแรงด้วยคาดหวังว่าจะได้พบลู่ แต่ในเวลาเดียวกันก็กลับรู้สึกเป็นกังวลมากกว่าทุกคราที่เดินทางผ่านมา ด้วยเป้าหมายที่เดินทางมาในครานี้แตกต่างไป ทั้งยังมีแต่คำเตือนเชิงข่มขู่จากผู้คนมากมาย จึงได้แต่คาดหวังว่ามารดาของลู่จะมองเห็นความจริงใจของตนเอง

เพราะลู่เคยเล่าว่า ได้ยินเสียงอธิษฐานของหยางหลง ดังนั้นเมื่อมาถึงเชิงป่า ชายหนุ่มจึงถวายสุราและข้าวเปลือก จากนั้นจึงเดินลึกเข้าไปในป่าตามเส้นทางที่นำไปสู่การพบกับลู่ในครั้งก่อน แต่ที่ใต้ร่มไม้ใหญ่ในป่ากลับไม่มีผู้ใด แม้จะได้ยินเสียงนกร้องอยู่ใกล้ ๆ แต่กลับไม่เห็นนกสักตัว ไม่พบสัตว์ตัวใด
"ลู่" หยางหลงร้องเรียก แต่หลังจากที่เวลาผ่านไปครู่หนึ่งจึงแน่ใจว่า ลู่อาจถูกมารดาลงโทษตามที่เทพเสือโคร่งภูผาเป็นกังวลอยู่ก่อนหน้านี้

แต่ลู่กลับมาป่าสีทองนานกว่าหนึ่งเดือนแล้ว การลงโทษยังมิเสร็จสิ้นอีกหรือ....

ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบตัว แล้วคุกเข่าลง กล่าวถ้อยคำด้วยความเคารพและอ้อมน้อมอย่างยิ่ง
"เรียนท่านเทพแห่งป่าสีทอง ท่านเทพเสือโคร่งภูผา ท่านเทพกวางสายลม ผู้น้อยหยางหลงมาขอพบลู่ กวางทองผู้นั้นขอรับ"
หยางหลงรับรู้ว่ามีความเคลื่อนไหวรอบตัว แต่ไม่เห็นว่ามีผู้ใดปรากฎตัวขึ้นจึงได้แต่คุกเข่าต่อไป จวบจนท้องฟ้ามืดลง ขาทั้งสองข้างจากที่ปวดอย่างยิ่ง กลายเป็นไร้ความรู้สึก ขณะที่อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ
หยางหลงถูสองมือแล้วอังฝ่ามือกับลมหายใจตนเอง จากนั้นก็กอดอกแน่น ยังคงมีความเชื่อมั่นว่า ความตั้งใจนี้จะทำให้ได้รับความเมตตาให้พบกับลู่ในที่สุด

ท่ามกลางความเงียบสงบ เสียงก้าวเดินช้า ๆจากทางด้านหลังจึงชัดเจนยิ่ง หยางหลงรีบหันกลับไปมอง แต่พบเพียงกวางตัวเมียสีน้ำตาลตัวหนึ่งก้าวเขามาหา จากนั้นก็เปลี่ยนร่างเป็นหญิงสาวสวมชุดสีฟ้าท่ามกลางแสงสลัวจากแสงจันทร์ หยางหลงเห็นว่านางมีรูปร่างเล็กกว่านางกวางสายลม จึงคาดเดาว่านางอาจเป็นพี่สาวที่ลู่เคยกล่าวถึง

"ลู่ออกมาหาท่านไม่ได้หรอก" น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความกังวล กับมีท่าทีหวาดกลัว เมื่อกล่าวจบก็หันหลังจะจากไป
"เดี๋ยวก่อน" หยางหลงเรียกไว้ ทั้งที่อยากลุกขึ้นยืนแต่ขากลับไม่มีเรี่ยวแรงจึงได้แต่คุกเข่าอยู่เช่นนั้น "ลู่เป็นอย่างไรบ้าง"
"กวางทองถูกท่านแม่ลงโทษ รออีกสักพักให้ท่านแม่หายโกรธ แล้วค่อยกลับมาจะดีกว่า"
เมื่อได้ฟังเช่นนี้หยางหลงจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
"เช่นนั้นข้ายิ่งสมควรคุกเข่ารออยู่ในที่นี้"
"นี่"
นางต้องการกล่าวคำเพื่อให้ชายหนุ่มเปลี่ยนใจ แต่ขณะนั้นเอง เทพเสือโคร่งภูผาก็ปรากฎตัวขึ้น นางกวางสาวจึงยืนรออยู่ที่เดิม
เทพเสือโคร่งภูผามิได้เหลือบตามองนาง แต่กลับพยักหน้ารับการเคารพของหยางหลง จากนั้นก็สะบัดมือคราหนึ่ง ก่อกองไฟเล็ก ๆ ขึ้นสี่กอง ห่างจากที่ทั้งสามคนยืนอยู่
เมื่อหยางหลงจะกล่าวคำ เทพเสือโคร่งภูผาเพียงยกนิ้วแตะริมฝีปาก เชิงบอกว่าอย่าเพิ่งกล่าวคำ จากนั้นชายหนุ่มรูปร่างหนา และแต่งกายคล้ายเทพเสือโคร่งภูผาก็ปรากฎขึ้นพร้อมกับรองแม่ทัพเฉินอวี้
ชายหนุ่มผู้ที่เพิ่งมาใหม่ แม้จะคล้ายกับเทพเสือโคร่งภูผาอยู่หลายส่วน แต่เสื้อผ้าส่วนใหญ่จะมีสีดำจึงสามารถแยกแยะได้
ส่วนรองแม่ทัพเฉินอวี้พอเห็นหยางหลงที่ยังคุกเข่าอยู่ก็อุทานขึ้นมาคำหนึ่ง เทพเสือโคร่งภูผาจึงกระแอมเตือนว่าอย่าส่งเสียง

ที่ไม่เข้าใจก็คือรองแม่ทัพเฉินอวี้หาได้เดินเข้าไปหาเทพเสือโคร่งภูผา แต่กลับเดินไปคุกเข่าอยู่ข้างหยางหลง
รออยู่พักใหญ่จึงได้ยินเสียงลม และเสียงใบไม้ในป่า
เมื่อลมแรงพัดมาตรงหน้าแล้วจางหายไป นางเทพกวางสายลม มารดาของลู่ก็ปรากฎตัวขึ้น
หยางหลงและรองแม่ทัพเฉินอวี้ทำความเคารพ
นางกวางกวาดตามองทุกคนที่อยู่ในที่นี้แล้วแค่นเสียงขึ้นจมูก จากนั้นกล่าวกับหยางหลง
"กวางทองยังเด็ก คิดอ่านวู่วาม ทั้งไม่รู้จักแยกแยะจิตใจของคนที่ซับซ้อนจนทำเรื่องเสียหาย ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ ข้าเสียใจด้วยที่ทำให้ท่านต้องเสียบุตรชาย ส่วนเรื่องอื่นระหว่างท่านกับกวางทอง ข้าไม่อนุญาต"

ช่างสมกับเป็นนางกวางสายลมแห่งป่าสีทอง ไม่ว่าจะพูดหรือลงมือทำสิ่งใดล้วนหมดจดในคราเดียว
หยางหลงเรียนรู้ลักษณะนิสัยนี้จากการพบกันในคราก่อน จึงเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
"ข้าน้อยขอเพียงได้พบกับลู่อีกสักครั้ง เพียงอยากรู้ว่า เขาเป็นอย่างไรบ้าง"
นางกวางกลับตอบตามตรง "ก็คงไม่ค่อยสบายสักเท่าไหร่ บนยอดเขานั่นหนาวเกินกว่ากวางทองอย่างเขาจะทนได้"
คำตอบนี้กลับทำให้เทพเสือโคร่งภูผาที่เข้าข้างบุตรชายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ถึงกับชี้มือ แต่ไม่กล้ากล่าวคำตำหนินางอย่างเต็มเสียงมากนัก
"เจ้า...เจ้า...รู้ว่าเขายังเด็ก แต่ยังลงโทษเช่นนั้นอีก"
"เดิมเขาก็ต้องฝึกฝนเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่กลับหลบหนีไปเสียก่อน เมื่อกลับมาแล้วก็แค่ต้องอยู่ที่นั่นมากกว่าเดิมอีกเท่าตัวเท่านั้นเอง"
หยางหลงก้มลงโขกศีรษะกับพื้น "ความผิดนี้ ข้าก็มีส่วนร่วมอยู่ด้วย ขอให้ข้าได้รับโทษนั้นด้วยเถิด"
นางเทพกวางกระแทกเสียงในลำคอก่อนตอบอีกครา "เจ้ารู้หรือว่าข้าให้กวางทองอยู่ที่นั่นนานเท่าใด" นางเว้นไปนิดหนึ่ง แล้วกล่าวต่อ "สิบปี เจ้าอยู่ได้หรือไม่"
"เท่าตัวก็ยี่สิบปี" เทพเสือโคร่งภูผาร้อนรน หันไปถามนางกวางสาวที่ยืนอยู่ทางด้านหลัง "น้องอยู่ที่นั่นมานานกว่าหนึ่งเดือนแล้วใช่หรือไม่"
นางกวางไพลินยังไม่ทันตอบคำ เทพเสือโคร่งภูผาก็หันไปสั่งชายหนุ่มที่มีลักษณะคล้ายตนเองให้ไปพาลู่กลับมา
"ศิลาดำไปกับไพลินพาน้องลงมา"
"เจ้ากล้าหรือ"
นางเทพกวางสะบัดมือ มวลสายลมหมุนวนอยู่บนฝ่ามือของนาง ทำให้เทพเสือโคร่งศิลาดำหยุดชะงัก เทพเสือโคร่งภูผาจึงเร่งให้เทพเสือโคร่งศิลาดำและนางกวางไพลินเร่งไปรับลู่ด้วยกัน ส่วนตนเองก้าวเข้าไปยืนขวาง เผชิญหน้ากับนางเทพกวางสายลม

ใจของนางกวางไพลินนั้นก็ต้องการช่วยเหลือน้องอยู่แล้ว เมื่อได้รับคำสั่งก็คว้าข้อมือของเทพเสือโคร่งศิลาดำหายตัวไปในทันที

"ตาแก่ นี่เจ้ากล้าช่วยเหลือคน ขัดคำสั่งข้างั้นหรือ"
"คนอื่นไกลที่ไหนกัน กวางทองเป็นลูกเจ้านะ" เทพเสือโคร่งภูผาไม่ยอมแพ้ตะโกนโต้ตอบ "การลงโทษคือให้หลาบจำ สำนึกผิด ไม่ใช่คิดลงโทษไปตามอารมณ์เช่นนี้"
"ใครใช้อารมณ์ลงโทษลูก เขาต้องฝึก แล้วเขาก็ทำผิดย่อมต้องรับผิด"
"ให้เขาอยู่บนนั้นสิบปี...ยี่สิบปีไม่เรียกว่าเกินไป ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอย่างไรแล้ว"

ทั้งสองฝ่ายต่างโต้เถียงกันด้วยคำพูดแต่ไม่มีผู้ใดลงมือ
ลมแรงที่พัดหมุนอยู่ในที่นี้ จึงเพียงก่อกวนให้กองไฟโหมแรงขึ้น

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 24-02-2017 07:53:21
(ต่อครับ)



"กวางทองตามเจ้าเมืองลั่วออกไป ก็เพราะพวกเขามีใจต่อกัน แต่เมื่อเจ้าเห็นว่าลูกยังเด็กยังไม่อยากให้คบหา ก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่อง"
"เจ้าเมืองลั่วมีครอบครัวแล้ว ยิ่งเวลานี้เสียลูกไปคนหนึ่ง เขาควรดูแลลูกเมีย มิใช่มาตามเด็กน้อยอ่อนต่อโลกอย่างกวางทอง"
"เพ่ยหลิงยินยอมให้ข้ามาขอรับ" หยางหลงพูดแทรกขึ้น ทำให้ผู้ที่กำลังโต้เถียงกันหันมามอง
หยางหลงค้อมตัวอีกครั้งก่อนที่จะกล่าวต่อ "เรื่องความเสียใจนั้นย่อมไม่อาจเลือนหายไป เจิงเอ๋อร์คือบุตรชายของข้าน้อยและว่าที่เจ้าเมืองคนต่อไป เมื่อสูญเสียเขาไปข้าน้อยสมควรอยู่ดูแลภรรยาจริง ๆ ซึ่งในเรื่องความสัมพันธ์นี้ ข้าน้อยกับเพ่ยหลิงมิได้อยู่ร่วมห้องมาหลายปีแล้ว ข้ามิเคยพึงพอใจผู้ใดอีก จนเมื่อได้พบกับลู่ ข้าน้อยทราบดีว่าพวกเราแตกต่างกัน ทั้งลู่ก็ยังเด็ก แต่ยิ่งนานก็ยิ่งรู้สึกอยากอยู่ใกล้ชิด ข้าน้อยมีความจริงใจ ขอเพียงได้พบและพูดคุย หากท่านเทพกวางจะให้รอ ไม่ว่าจะนานกี่ปีข้าน้อยก็พร้อมที่จะรอขอรับ"

นางเทพกวางสายลม แม้จะอยู่ในป่าสีทองเป็นส่วนใหญ่ แต่นางก็พบเห็นผู้คนมามิใช่น้อย ความซับซ้อนของครอบครัวที่อยู่ในป่าแห่งนี้ ก็มิได้ต่างกันสักเท่าใด เมื่อเห็นว่าหยางหลงเจ้าเมืองลั่วมีท่าทีอ่อนน้อม การพูดจามีความน่าเชื่อถือ ทั้งแสดงความจริงใจต่อบุตรชาย ทำให้นางกวางยอมรับเขาอยู่ในใจ
....อย่างน้อยก็สุขุมกว่าเสือโคร่งแก่ ๆ นั่น ที่เอะอะโวยวายไม่หยุด...

นางเทพกวางสายลมสะบัดมือบอกให้รองแม่ทัพเฉิวอวี้พยุงหยางหลงลุกขึ้นยืน
แต่เพราะหยางหลงคุกเข่ามาหลายชั่วยาม จึงต้องให้นั่งเหยียดขาแล้วกดจุดเพื่อให้โลหิตไหลเวียนและคลายเส้นก่อน

"เจ้านั่งคุกเข่าด้วยทำไม" นางเทพกวางสายลมเปลี่ยนมาถามรองแม่ทัพที่กำลังกดจุดให้คนตัวใหญ่
"ท่านพี่ไปเรียกให้ข้ามาดูกวางทอง แต่ข้ามาช้าจนทำให้เกิดเรื่องขึ้น ข้าสมควรได้รับโทษเช่นกัน"

"เมืองหลวงกับที่นี่ต้องใช้เวลาเดินทางนานถึงสองเดือน ที่เจ้ามาก็นับว่าเร็วมากแล้ว" นางเทพกวางสายลมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
รองแม่ทัพเฉินอวี้ เห็นว่านางเทพกวางสายลมเป็นผู้มีความยุติธรรม และรักบุตรไม่น้อยไปกว่าผู้ใด ที่ลงโทษลู่รุนแรงก็เพราะเห็นว่าความวุ่นวายนี้เกิดขึ้นเพราะความวู่วามหนีไปกับหยางหลง
"แต่แรกมาเหอหลินจื้อก็คิดฉวยโอกาสยืมมือผู้อื่นเพื่อสร้างความเข้าใจผิดอยู่แล้ว เพราะไม่พอใจหยางติง ทั้งไม่เคยเชื่อเรื่องเทพแห่งป่าสีทองว่ามีอยู่จริง เมื่อน้องสาวและซูเหยามาหารือเรื่องลู่กวางทอง ที่พวกเขาคิดว่าต้องเกี่ยวพันกันในทางใดทางหนึ่งกับพวกหยางติง เขาจึงมองเห็นเป็นช่องทางในการลงมือ มิว่าใครจะตายก็ส่งผลดีต่อเขาทั้งนั้น"
"เขารีบลงมือ อาจเพราะรู้ว่าเจ้ากำลังเดินทางมา" เทพเสือโคร่งภูผาพูดขึ้น
ข้อนี้ทุกคนเห็นพ้อง
"เขาจึงวางแผนให้ซู่ซู่รีบหลบหนีไปในทันทีที่ลงมือ เพื่อที่จะฉวยโอกาสนั้นสังหารคนเพื่อปิดปากอีกครา มิคาดพวกคนรับใช้หลายคน โดยเฉพาะสองพี่น้องคู่นั้น จับตาซู่ซู่มาตั้งแต่แรก จึงช่วยกันจับตัวส่งให้มือปราบได้เร็ว ส่วนที่บ้านของหยางเฉิงเอง พวกเขาก็จับตาซูเหยาที่มักไปพบเหอชินรุ่ยเป็นระยะ ทั้งที่รู้ว่าเหอชินรุ่ยไม่ค่อยชอบหยางเฉิงสักเท่าไหร่"
นางกวางสายลมหัวเราะเบา ๆ "คงจับตามองด้วยความหมั่นไส้ ที่นางประจบแม่สามี"
"สรุปคือทั้งสองคนถูกควบคุมตัวไว้ เหอหลินจื้อไม่มีโอกาสลงมือฆ่าคนปิดปาก เรื่องราวจึงจบลงเช่นนี้"
"ยังไม่จบ" เทพเสือโคร่งภูผาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน "เจ้าคนแซ่เหอนั่น ทำให้ลูกข้าต้องติดคุกสกปรกนานเป็นเดือน ข้ายังไม่มีโอกาสได้แก้แค้นมันเลย"
รองแม่ทัพเฉินอวี้มิได้กล่าวคำใด แต่แววตาก็สะท้อนความไม่พอใจอยู่เช่นกัน

มีสายลมหมุนวนที่ด้านหลังอีกครั้ง ทั้งเทพเสือโคร่งศิลาดำ นางกวางไพลิน และลู่ปรากฎตัวขึ้น
ลู่ทักทายบิดา มารดา และรองแม่ทัพเฉินอวี้ ที่ลู่เรียกว่าแม่เล็ก ขณะที่เดินเข้ามาหาหยางหลงซึ่งลุกขึ้นยืนรอ
"ท่านมานานหรือยัง"
หยางหลงส่ายหน้า "ไม่นานสักเท่าใด เจ้าเป็นไรอย่างไรบ้าง"
"หนาว"
ถัดจากคำทักทาย ก็คือการมองตาและมอบยิ้มกว้างให้แก่กัน เพียงเท่านี้กลับทำให้ทุกคนในที่นี้รับรู้ถึงความผูกพันของทั้งคู่
นางเทพกวางสายลมส่ายหน้าให้กับบุตรคนเล็กผู้นี้ แล้วบอกให้นางกวางไพลินพาลู่กลับไปพักก่อน จากนั้นก็หันมาเรียกเทพเสือโคร่งภูผา เทพเสือโคร่งศิลาดำ รองแม่ทัพเฉินอวี้ และหยางหลงไว้

"ข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องมากมายที่อยากพูดคุยกัน แต่พวกเรามีเรื่องต้องหารือและทำความตกลงกันก่อน"

ลู่เห็นว่าเทพเสือโคร่งภูผายังอยู่ในที่นี้ จึงเชื่อว่าหากจะมีเรื่องให้ทดสอบ หรือลงโทษกัน บิดาก็คงต้องออกหน้ารับแทน จึงมิได้เกี่ยงงอนอันใด เมื่อกล่าวคำขอบคุณมารดาก็กลับไปกับนางกวางไพลิน

ที่ถ้ำของฝูงกวางเทพแห่งป่าสีทอง เทพกวางสายฟ้าผู้เป็นบิดาบุญธรรมของลู่ยืนรออยู่ เมื่อเห็นว่าลู่กลับมาพร้อมกับนางกวางไพลินก็ถอนหายใจยาว รับการแสดงความเคารพแล้วเรียกให้มาพักผ่อน และกินผลไม้ ขณะที่บรรดาพี่สาว พี่ชายต่างเข้ามาห้อมล้อมพูดคุย
"ท่านแม่ใจแข็งยิ่งนัก ให้เจ้าเมืองลั่วมารออยู่ตั้งหลายชั่วยาม ท่านพ่อพูดอย่างไรก็ไม่ยอมไปพบ คงตั้งใจให้เขาท้อใจแล้วกลับไปเอง"
"ท่านพ่อสงสารเจ้าเมืองลั่ว กลัวว่าจะหนาวตายไปเสียก่อนได้พบกวางทอง จึงให้กวางไพลินไปบอกให้เขากลับไป"
"แต่เพราะเทพเสือโคร่งภูผาตามกวางไพลินไปพบเขา ท่านแม่กลัวจะเสียเรื่อง ถึงได้ไปพบ"
"แล้วนี่อย่างไรถึงได้เป็นไพลินที่กลับมากับเจ้า"
ลู่พยักหน้าให้นางกวางไพลินเป็นคนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น โดยที่ตนเองช่วยเสริมเป็นระยะ

เวลาผ่านไปจนใกล้รุ่งสาง เทพกวางสายฟ้าลูบศีรษะของลู่ด้วยความอ่อนโยน
"ที่ผิดไปแล้วคือบทเรียน จิตใจและการกระทำของมนุษย์นั้นช่างซับซ้อน เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก"
ลู่หันไปยิ้มให้บิดาบุญธรรมแล้วกอดเอวซุกหน้ากับอกกว้าง
เทพกวางสายฟ้ารับรู้ว่ามีความเคลื่อนไหวที่ด้านหน้าของถ้ำ จึงแตะที่ไหล่ของลู่แล้วจูงมือพาเดินออกมา
ที่ด้านหน้าถ้ำเวลานี้ นอกจากนางเทพกวางสายลมแล้ว ยังมีเทพเสือโคร่งภูผา เทพเสือโคร่งศิลาดำ และหยางหลงเจ้าเมืองลั่วอยู่พร้อมหน้า
หยางหลงทำความเคารพเทพกวางสายฟ้า ที่มองหยางหลงด้วยดวงตาที่ไม่ต่างอันใดจากสายฟ้า ขณะที่กล่าวคำ "ข้ายังไม่ได้มอบกวางทองให้เจ้า เพราะเขายังเด็ก และที่นี่คือป่าสีทอง ข้ารับรู้ทุกการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมาะสมในที่นี้"
เทพเสือโคร่งภูผาที่ด้านข้างกำลังหัวเราะ ขณะที่หยางหลงเจ้าเมืองลั่วยิ้มกว้าง
ว่ามารดาขี้หวงแล้ว บิดาทั้งสองคนก็หวงบุตรคนนี้ไม่ต่างกัน
เมื่อรักคนผู้เป็นที่รักและหวงแหนของทุกคน จะมีทางเลือกอื่นใด นอกจากการรับฟังและปฏิบัติตามด้วยดี

หนึ่งเดือนถัดมา มีข่าวว่าเกิดโรคประหลาดขึ้นที่เมืองเหอ ทำให้บุตรชายคนโต และคนรองของเหอหลินจื้อเสียชีวิต
เมื่อทราบข่าวลู่หันไปมองหน้าเทพเสือโคร่งภูผา เทพกวางสายฟ้าและเทพเสือโคร่งศิลาดำด้วยสายตาที่ไม่ไว้วางใจ

...พวกเขาเป็นสัตว์เทพแห่งป่าสีทองที่เปี่ยมไปด้วยเมตตานี่นา นี่คงเป็นโรคประหลาดที่บังเอิญเกิดขึ้นที่จวนเจ้าเมืองเหอสินะ คงเป็นเช่นนั้นแหละ...

...จบบทที่เก้า ...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-02-2017 08:43:15
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 24-02-2017 09:33:54
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:
อย่างน้อยก็เรื่องฮูหยินที่ไม่เป็นอุปสรรคแล้วกับความรักของลู่และหยางหลง

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-02-2017 10:48:21


ผู้สนับสนุนหลักฝั่งท่านเจ้าเมืองและท่านเจ้าเมืองจะต้องเหนื่อยมากซะหน่อย
ความหวงแบบนี้น่าจะทำเอาจูบกล่อมนอนต้องรอไปอีกนาน
มาดูว่าท่านเจ้าเมืองจะอดได้นานเท่าไหร่ดีกว่า   :teach:


ป.ล ว่าแต่การโดนเอาคืนแบบเท่าตัว จะเข็ดกันไหมล่ะนั่น ช่างน่ากลัวว่าอย่าเป็นศัตรูเด็ดขาด

 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 24-02-2017 13:20:12
เราว่าต้องเป็นคำสาบหรืออะไรซักอย่างที่เกิดแค่ในบ้านเมืองเหอแน่ๆ ดีไม่ดีเกิดแค่ในบ้านเจ้าเมืองเท่านั้น
อาจจะเป็นคนใดคนหนึ่งของญาติแม่ท่านเจ้าเมืองที่โกรธที่ลงโทษแม่ของเจ้าเมืองก็ได้ ไม่อยากให้เอะอะอะไร
ก็มาลงที่เด็กๆ เลย เด็กๆ น่าสงสารที่ต้องมารับกรรมจากพวกผู้ใหญ่ที่บ้าการเมืองจริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 24-02-2017 13:20:32
 :heaven

เหล่าชายชาตรีเเห่งป่าสีทองนี่น่ากลัวนะ...ดีนะเนี่ยที่หยางหลงยังพอมีพวกอยู่บ้าง..ฝ่าด่านพ่อกวางได้ก็ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่งเเล้วว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-02-2017 13:31:05
คงเป็นโรคประหลาดที่บังเอิญเกิดขึ้นที่จวนเจ้าเมืองเหอ  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 24-02-2017 14:51:47
หยางหลง ต้องเข้าตามตรอก ออกทางประตู นะจ๊ะ!!  #ลู่ผู้เป็นที่รัก :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 24-02-2017 15:15:09
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

กว่าหยางหลงจะผ่านบรรดาญาติมิตรของลู่ครบ
มีเหงื่อตกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-02-2017 17:42:51
พ่อตาแม่ยายดุทุกคน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-02-2017 17:57:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 24-02-2017 18:47:06
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 24-02-2017 21:14:02
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-02-2017 21:46:00
ความหวงระดับยกกำลังสาม
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 24-02-2017 21:51:02
เอาคืนโหดมากค่า  :katai2-1: ลู่น้อยของพี่เมื่อไหร่จะโต ใส่ปุ๋ยเร่งใบ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 26-02-2017 12:22:02
บรรดาท่านพ่อตาท่านแม่ยายมีความหวงลู่ระดับสิบ แล้วมีกันสามคนก็ยกกำลังสามจริงด้วย หยางหลงเหนื่อยหน่อยน้า แต่ละคนกันท่ากันไว้อย่างรอบคอบเชียว 5555555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 26-02-2017 20:30:57
อยากได้ลูกกวางก็ต้องเข้าถ้ำกวาง 55555 อดทนเอานะพี่หยางของเรา แม่กวางนี่เด็ดขาดจริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 26-02-2017 22:35:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 27-02-2017 21:45:47
เรื่องของหลิวเพ่ยหลิงนี่เหนือความคาดหมายไปมากเลยค่ะ ลู่น้อยมีพี่สอง พ่อสอง และแม่อีกสอง ถูกไหมคะ หยางหลงน่าจะต้องเหนื่อยมากเลยนะคะ กว่าจะได้ลู่ไปอยู่ด้วยกัน
ตอนนี้ แค่ลู่บอกว่า หนาว แล้วก็ยิ้มกว้าง ก็รู้สึกว่าน่ารักมาก งือ หลง :o8:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 01-03-2017 00:03:19
สนุกมากๆๆเลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 03-03-2017 14:44:26
อยากรู้จัก สามหยางน้อย แล้ว
เรารออยู่นะ  เราคิดถึง.... 
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 03-03-2017 17:39:25
 :katai5: :katai5:
มารอกวางทอง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: rinia ที่ 03-03-2017 18:34:04
มารอกวางทอง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 06-03-2017 09:26:11


ก๊อกๆๆๆ มารอแล้วจ้า 
:กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-03-2017 11:45:57
ดัน มะดันดอง ตี1ตี2 ปลุกน้องขั้นมาดัน....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 07-03-2017 19:25:26
ดันๆๆมารอน้องกวางของเรา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 09-03-2017 01:00:11
มารอน้องลู่ :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 09-03-2017 07:27:34
 :z2: :z2:

ระบำเรียกกวางทอง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่9 (P9-240260)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 09-03-2017 07:28:05
รอน้องกวาง
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-03-2017 09:19:45
ภาคกวางทอง

บทที่สิบ

แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องแสงสว่าง พร้อมนำความอบอุ่นเข้ามาแทนที่คืนอันเหน็บหนาว สัตว์ป่าน้อยใหญ่แห่งป่าสีทองเริ่มออกหากิน

เหนือหน้าผาความสูงสิบจั้ง กวางสาวเขาสีฟ้าดั่งพลอยไพลินย่างก้าวช้า ๆเลียบผ่านหน้าผา ดวงตากลมกวาดตามองไปทั่วเพื่อตรวจตรา
ลึกเข้าไปจากหน้าผาที่กวางสาวก้าวเดิน หาใช่ทางเดินแคบเชิงเขา แต่คือลานหญ้าผีเสื้อ กับต้นไม้สูงใหญ่
ต้นหญ้าชนิดนี้มีกลีบดอกสวยงามดั่งปีกผีเสื้อ สีฟ้าอมม่วงที่แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่ไปทั่วบริเวณ ให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ รับแสงอาทิตย์ยามเช้า เมื่อถึงยามสายกลิ่นหอมนี้ก็จะสลายไป

หยางหลงเจ้าเมืองลั่วนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ขนาดหลายคนโอบ โดยมีลู่เอนตัวนั่งพิงอกว้าง ต่างคนต่างทอดสายตามองพระอาทิตย์ขึ้น ขณะที่รับรู้ถึงสายลมเย็นและกลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนจางในอากาศ
กวางสาวไพลินหันมามองทั้งสองคน แล้วเดินห่างออกไปหลายก้าว จากนั้นก็ยอบตัวลงนอนหลับตารับแสงอาทิตย์

พื้นที่กว้างส่วนนี้ย่อมเป็นพื้นที่ของฝูงกวางเทพ แต่ในเวลานี้ หาได้มีกวางตัวอื่นใด ด้วยเทพกวางสายฟ้ามีคำสั่งให้เหลือเพียงกวางสาวไพลินตัวเดียวคอยดูแลหยางหลงกับลู่

"ง่วงแล้วหรือ"
"อือ" ลู่พยักหน้า แต่กลับย้อนถามเหมือนหยางหลงคือคนที่ง่วงนอน "ถ้าท่านง่วงนอนข้าจะพาไปพักที่กระท่อมที่มีชาวบ้านแถวนี้เขามาสร้างไว้ ถ้าหลับที่ตรงนี้ท่านอาจไม่สบายได้"
หยางหลงก้มลงหอมหน้าผากสวย
"หลายวันมานี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง"
เมื่อลู่ชวนคุยต่อ หยางหลงก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองให้ทราบ จากนั้นจึงถามบ้างว่า หลายวันมานี้ลู่เป็นอย่างไรบ้าง
"ถูกเอาไปแขวนอยู่บนยอดเขานั่นไง หนาวจะแย่"
หยางหลงเงยหน้ามองยอดเขาตามที่ลู่ชี้บอก
"แขวนเลยหรือ"
"ก็..ไม่เชิงหรอก" เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงลู่ก็บอกความจริง "ข้ากล่าวเกินจริงไปนิดหน่อย ที่จริงบนยอดเขานั่นมีท่านอาจารย์เทพกวาง ซึ่งเป็นเทพสูงสุดพำนักอยู่ ท่านสอนอะไรหลายอย่าง เพียงแต่มันหนาวไปหน่อย"

ก่อนนี้เทพเสือโคร่งภูผาก็เคยกล่าวไว้ว่าอากาศที่นั่นหนาวเกินไปสำหรับลูกกวาง

คนร่าเริงยิ้มกว้าง "ตอนที่อยู่บนนั้น คิดอยู่ในใจว่าถ้าท่านมาหา ข้าจะเล่าเรื่องนั้น เรื่องนี้ให้ท่านฟัง ท่านอยากฟังเรื่องใดก่อน"
แล้วคนฟังจะรู้ได้อย่างไรว่ามีเรื่องใดบ้าง "ก็..ค่อย ๆ เล่าไปก็ได้"
ลู่ทำท่าคิดหนัก "ท่านจะอยู่ที่นี่ได้กี่วัน"
"คงได้สักห้าวัน แต่ตอนนี้ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว"
"เหลืออีกสี่วัน" ลู่กล่าวต่อประโยคของหยางหลงทันที "มีเวลามากมาย" หนุ่มน้อยลุกขึ้นยืน แล้วหันมาดึงมือหยางหลงให้ลุกตาม "ไปเดินเที่ยวกันดีกว่า"
หยางหลงลุกขึ้นตามแต่ยังสงสัย "เจ้าไม่นอนพักสักหน่อยหรือ"
"เดินเล่นไปเรื่อย ๆ ง่วงตรงไหนก็หลับตรงนั้นแล้วกัน แต่ถ้าท่านง่วงนอนต้องกลับไปที่กระท่อม" ลู่ตอบง่าย ๆ
"เช่นนั้น" หยางหลงหันไปมองกวางสาวไพลินที่กำลังหลับอยู่
นางเทพกวางสายลมกำชับให้นางดูแลน้องชายกับหยางหลง แต่นับจากเมื่อวานมาจนถึงขณะนี้นางเพิ่งจะได้พักผ่อน หยางหลงจึงรู้สึกเกรงใจ
ลู่หันไปมองตามสายตาของหยางหลงแล้วหันมายิ้มหวาน "เช่นนั้นพวกเราไปพักก่อนก็ได้ ช่วงบ่ายค่อยออกมาเที่ยวกัน" หนุ่มน้อยหันไปเรียกพี่สาว ที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที
"พวกเราพาท่านเจ้าเมืองไปพักที่กระท่อมหลังเก่านั่นดีไหม"

กระท่อมหลังนั้น อยู่ห่างจากเขตที่พักของกวางเทพไม่มากนัก โดยตั้งอยู่ในเส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปทางยอดเขาเทียมฟ้า ซึ่งเป็นเขาที่สูงที่สุดในป่าสีทองแห่งนี้ แต่เพราะเป็นที่พักชั่วคราว จึงไม่มีการขุดบ่อน้ำ สภาพภายนอกของกระท่อมทรุดโทรม เพียงพอที่จะกันลมกันแดดได้เท่านั้น
ภายในกระท่อมมีโต๊ะตัวหนึ่งอยู่ชิดหน้าต่าง กับมีส่วนที่เป็นเตาครัว และแคร่ไม้ หลังจากที่เดินวนสำรวจรอบหนึ่งลู่ก็บอกว่า จะลองหารือกับเทพเสือโคร่งภูผาเรื่องซ่อมแซมที่นี่
"ตอนที่เดินผ่านไปก็คิดว่ากระท่อมนี้มันทรุดโทรมมาก" กวางทองอารมณ์ดีเล่าไปหัวเราะไป "แต่พอเข้ามาดูถึงได้รู้ว่ามันทรุดโทรมมากกว่าที่คิด ท่านพอจะอยู่ไปก่อนได้ไหม"
"ได้" หยางหลงลูบผมนิ่ม
 
ลู่เล่าว่า ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงกันนี้ เข้ามาสร้างกระท่อมไว้เมื่อนานมากแล้ว เพื่อใช้เป็นที่พักเมื่อยามพวกเขาจะมาสักการะเทพที่เชิงเขาที่สูงที่สุดแห่งนั้น
หยางหลงนึกสงสัย ในฐานะเจ้าเมืองลั่ว ย่อมรู้ว่าหมู่บ้านนายพรานที่อยู่ใกล้กับป่าสีทองจะล่าสัตว์หรือหาของป่าอยู่ในบริเวณรอบนอกของป่าสีทอง และเคยมีผู้ที่พยายามจะเข้ามาที่นี่แต่ก็มักจะกลายเป็นการเดินย้อนกลับไปอยู่ที่จุดที่พวกเขาเข้ามา แต่จากที่ลู่เล่ามานั้น แสดงว่ายังมีพรานอีกกลุ่มที่สามารถเข้ามาในป่าได้ลึกถึงขนาดนี้
"พวกเขายังมาอีกไหม"
ลู่ส่ายหน้า หันไปมองกวางสาวที่ยืนขวางประตูกระท่อม "ตอนที่พี่หญิงยังเล็ก ๆ น่ะมีอยู่ แต่ตั้งแต่ข้าเกิดมา ก็เพิ่งเห็นท่านเป็นคนแรกที่เข้ามาถึงที่นี่ ส่วนใหญ่จะล่าสัตว์กับหาของป่าอยู่รอบนอก ส่วนใหญ่จะอยู่แค่ที่ปากทางถวายสุราแล้วก็ไป"

เป็นเวลานานมาแล้วที่ชาวบ้านจะเข้ามาเก็บของป่าและล่าสัตว์ โดยจะมีการสักการะเทพแห่งป่าตามความเชื่อ จนมาถึงช่วงที่ท่านปู่หยางปกครองเมืองลั่ว มีพรานป่าลอบเข้ามาล่าสัตว์เพื่อนำไปขาย เพราะลักษณะของขน เขา งา และหนังที่มีความแตกต่างจากสัตว์ป่าทั่วไป การล่าสัตว์ในลักษณะนี้ถือว่าเป็นอันตรายต่อป่าสีทอง เหล่าเทพทั้งหลายจึงร่วมกันปิดผนึกผืนป่า เหลือเพียงส่วนรอบนอกให้ชาวบ้านได้ทำมาหากินกันต่อไป

แต่ไหนแต่ไรหยางหลงมิได้เชื่อทุกเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับป่าสีทอง เพราะทุกเรื่องล้วนเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว และไม่เคยมีใครพบเห็นกับตา แต่เมื่อได้พบกับลู่ และพบเห็นเรื่องราวมากมายด้วยตาตนเอง มาจนถึงกระท่อมหลังนี้ หยางหลงก็เชื่อโดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ

กวางสาวไพลินหันมามองทั้งสองคนที่อยู่ในกระท่อมที่พูดคุยกันไปหัวเราะกันไป ก็เดินออกไปด้านนอกแล้วนอนขวางประตูไว้
ประเด็นนี้ หยางหลงเคยขอให้กวางสาวเข้ามานอนด้วยกันในบ้าน แต่กวางสาวก็ทำหน้าตาพิกลออกไปนอนหน้าประตูเหมือนเคย

หยางหลงปัดแคร่ ทำความสะอาดที่นอนเสร็จแล้วหันมาบอกให้ลู่คลานเข้าไปด้านในก่อน จากนั้นจึงนอนลงข้างกัน ครู่หนึ่งลู่ก็ขยับตัวเข้ามานอนซุกหน้ากับต้นแขน
"ข้าดีใจมากที่ท่านมา"
"ข้าก็ดีใจมากเช่นกัน ที่ได้พบเจ้าอีกครั้ง"

เมื่อตื่นขึ้นมาในยามใกล้เที่ยงวัน ลู่จึงพาหยางหลงไปทำความเคารพเทพสูงสุด หรือที่ลู่เรียกว่าอาจารย์เทพ ซึ่งพำนักอยู่บนยอดเขาสูงที่สุดของป่าแห่งนี้
ทั้งหมดเดินมาด้วยกันนานนับชั่วยามจากเขาลูกหนึ่ง มาถึงอีกลูกหนึ่ง กระทั่งด้านหน้าคือหน้าผาสูงชัน ลู่ก็เอื้อมมือขวามาจับมือซ้ายของหยางหลงไว้ ส่วนอีกมือแตะที่ด้านหลังคอของกวางสาวไพลิน ที่ยังอยู่ในร่างกวาง 
ทั้งหมดยกตัวขึ้นช้า ๆ จนมาถึงยอดเขา

ยอดเขาสูงเหนือป่าสีทอง คือที่พักของเทพสูงสุดแห่งป่าสีทอง ยอดเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม อากาศหนาวจัดและลมแรง ลู่พามนุษย์และกวางไปที่ถ้ำบนยอดเขา
ภายในถ้ำซึ่งปราศจากหินงอก หินย้อย แต่มีแสงสว่างที่เกิดจากผลึกหินหลากหลายสี ทำให้ไม่ต้องจุดคบไฟ เมื่อเข้าไปถึงด้านในสุดของถ้ำ มีเทพกวางตัวใหญ่กว่ากวางทั่วไปมากถึงสามเท่าพำนักอยู่ตามลำพัง   
กวางเทพตนนี้มีเขาและกีบเท้าเป็นสีทอง
สีทองนั้นส่องประกายเจิดจ้า ดั่งเขาและกีบเท้านั้นทำด้วยทองคำ
ต่างจากดวงตาของลู่ที่เป็นสีทองส่องประกายสวยงาม   
เมื่อหยางหลงเจ้าเมืองลั่วคุกเข่าลงทำความเคารพ เทพสูงสุดแห่งป่าสีทอง ผู้ปกปักรักษาเมืองลั่วและป่าสีทองจึงลืมตาขึ้นหันมามอง 
หยางหลงได้ยินที่เทพกวางผู้นี้กล่าวด้วยใจ มิใช่ด้วยหู
ผ่านไปครู่หนึ่งหยางหลงค้อมตัวน้อมรับคำสอนและคำบอกกล่าว จากนั้นจึงล่าถอยออกมา

"ท่านอาจารย์เทพว่าอย่างไรบ้าง" ลู่ถามขึ้นทันทีที่ลงมาจากยอดเขา
"ก็มิได้ว่าอันใดนี่" หยางหลงกล่าวยิ้ม ๆ ทำให้อีกคนทำแก้มพอง "ก็จริง ๆ ท่านมิได้ต่อว่าอันใด เพียงบอกให้ข้ารอจนกว่าเจ้าจะเข้มแข็งมากกว่านี้"
คำกล่าวนี้แม้แต่กวางไพลินยังต้องหัวเราะขำ
"เข้มแข็งแปลว่าต้องฝึกเยอะ ๆ ถ้าไม่ต้องฝึกเยอะก็น่าจะดี"
หยางหลงเห็นท่าทางท้อใจของอีกคนก็ นึกอยากกอดเพื่อให้กำลังใจ แต่เมื่อเห็นว่ากวางสางไพลินจับตามองอยู่ก็เปลี่ยนเป็นลูบผม และกล่าวให้กำลังใจ
"ถ้าเจ้าไม่เข้มแข็ง และยังเป็นน้องเล็กอยู่เช่นนี้ ท่านอาจารย์ก็คงไม่อนุญาตให้พวกเราได้อยู่ด้วยกัน"
ลู่ทำหน้ายู่ แล้วชวนไปเดินเที่ยวเล่นกันต่อ

กว่าที่จะกลับมาถึงที่พักซึ่งอยู่ใกล้กับเขตฝูงกวางเทพก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ผลไม้จำนวนมากวางอยู่ในถาดที่วางไว้บนตอไม้หน้ากระท่อมที่พัก กับมีน้ำนมและน้ำดื่มใส่กระบอกไม้วางไว้หลายกระบอก นอกจากนี้ยังมีกิ่งไม้แห้ง และฟางหญ้าสำหรับใช้รองนอนด้วย
ลู่หันมาบอกกับหยางหลง "ร่างกายท่านคุ้นเคยกับการกินเนื้อสัตว์ หากให้กินแต่ผลไม้เหมือนพวกเรา ท่านอาจเจ็บป่วยได้ ท่านแม่กวางจึงไปขอน้ำนมจากนางแพะ และเตรียมพวกถั่วและธัญพืชให้ท่าน" หนุ่มน้อยหันไปมองพี่สาว แล้วหันมากล่าวกับหยางหลง "พรุ่งนี้พวกเราไปแถวลำธารใกล้หมู่บ้าน น่าจะหาเนื้อปลาให้ท่านได้"

ดูท่าว่าลู่กับกวางไพลินจะเจรจากัน ด้วยถ้อยคำที่หยางหลงมิได้ยิน เพราะนางยังไม่ยอมกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ ลู่บอกว่า นางสะดวกใจที่อยู่ในร่างนั้นมากกว่าร่างมนุษย์
ส่วนลู่ หากหยางหลงไม่ได้อยู่ในที่นี้ก็จะไปอยู่ในร่างของกวางทองเช่นกัน

เมื่อหยางหลงกล่าวคำว่ารู้สึกเกรงใจที่ทุกคนต้องมาช่วยจัดหาสิ่งต่าง ๆ ให้ ลู่ก็หัวเราะคิกหันไปพยักหน้ากับพี่สาว ทำให้หยางหลงสงสัย
ลู่รีบโบกมือ"มิมีอันใดพี่หญิงเพิ่งบอกว่า หากบอกก่อนว่าจะทำอะไร ท่านอาจเกรงใจ แล้วท่านก็พูดขึ้นมาว่ารู้สึกเกรงใจก็เลยหัวเราะกัน"

ภายในป่าสีทองที่กว้างใหญ่ ยังแบ่งพื้นที่เป็นเขตของสัตว์เทพต่าง ๆ ซึ่งมิได้หมายความว่าสัตว์ป่าต่างสายพันธุ์จะห้ามล้ำเขตแดนเข้าไป แต่เป็นที่รู้กันโดยนัยยะ ว่าเขตของเสือโคร่ง ป่างูพิษ บ่อจระเข้ และถ้ำของหมีป่าคือเขตอันตราย
และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ลู่ไม่ได้พาหยางหลงไปหาพี่สาว พี่ชายในเขตของเทพเสือโคร่ง
"ถึงข้าจะเป็นเสือโคร่งอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าท่านพ่อเทพเสือโคร่งไม่อยู่ ก็ไม่ควรเข้าไป"
หยางหลงเข้าใจ แต่แกล้งถาม "กลัวว่าเขาจะกินเจ้าหรือ"
ลู่รับมุกต่อด้วยการหันมาทำตาโต "นี่ไม่รู้หรือว่าข้าน่ะใหญ่ขนาดไหน พ่อแม่ของข้าเป็นใคร ถ้ามีเสือโคร่งสักตัวหิวโซ จนทำร้ายข้า พ่อแม่ข้าต้องไม่ยอมแน่ ทีนี้นะ ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน"
ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ "เข้าใจแล้ว ที่แท้ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในป่าสีทองคือเจ้านี่เอง"
"ใช่ข้านี่แหละ รู้ไว้ซะ!" ลู่ตบอกแห้ง ๆของตนเอง
กวางไพลินทำเป็นพ่นลมออกจมูกเสียงดังฟืดฟาด แล้วหันไปทางอื่น ลู่จึงหันไปทำหน้างอใส่พี่สาว
"อ้าว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ทำหน้างอเสียแล้ว แล้วพรุ่งนี้พวกเราจะได้ไปเที่ยวที่ลำธารหยกหรือไม่"
ลู่ตบมือเสียงดัง ดวงตาสีทองเป็นประกาย "จริงสินะ ไปลำธารหยกกัน" ท่าทางดีใจดั่งจะไปเที่ยวในเวลานี้
"ตอนนี้หรือ"
เมื่อหยางหลงท้วงขึ้น ก็ทำให้ลู่รู้สึกเก้อเขิน "จริงสินะ ตอนนี้ค่ำแล้ว ต้องเป็นพรุ่งนี้"

ว่ากันว่าเวลาแห่งความสุขจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ หยางหลงเจ้าเมืองลั่วได้เรียนรู้ความจริงข้อนี้ เมื่อเทพกวางสายฟ้าปรากฎตัวขึ้นที่ด้านหน้ากระท่อมในเช้าวันหนึ่ง
"ขอบใจมากที่รักษาสัญญา" เทพกวางผู้เป็นบิดาบุญธรรมของลู่ กล่าวเป็นนัยว่าเวลาหมดลงแล้ว "เรายินดี หากเจ้าจะกลับมาเยี่ยมกวางทองในคราต่อไป"
หยางหลงค้อมตัวลงเพื่อรับคำอนุญาต เทพกวางสายฟ้ามิได้กล่าวคำใดอีก แต่ให้ลู่และกวางไพลินไปส่งหยางหลงที่ชายป่า
ตอนที่เดินกลับออกมาในครานี้ หยางหลงยิ่งรู้สึกว่าเป็นการเดินทางที่รวดเร็วอย่างยิ่ง คล้ายก้าวเท้าเพียงก้าวเดียวก็มาถึงจุดที่จะต้องกลับไป
"อีกสักครึ่งปีท่านค่อยกลับมาเยี่ยมลู่ก็ได้" กวางไพลินที่กลับมาใช้ร่างมนุษย์กล่าวขึ้น "เพราะหลังจากนี้ กวางทองต้องกลับขึ้นไปอยู่กับท่านอาจารย์" นางหมายถึงเทพสูงสุดแห่งป่าสีทอง "หากมาก่อนหน้านั้น คงมิได้พบกัน ทั้งอาจทำให้ท่านแม่ไม่พอใจได้"
ลู่เงยหน้ามองหยางหลง "เวลาที่เกิดปัญหาขึ้นท่านมักกล่าวโทษเอง และให้อภัยผู้อื่น แต่ไม่ให้อภัยตนเอง ข้าขอว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป จะให้อภัยหรือไม่ให้อภัยก็ขอให้มันผ่านไป แล้วอีกครึ่งปีข้าจะมารอท่านอยู่ที่นี่" คนตัวเล็กกล่าวจบแล้วเอียงคอ "รู้สึกว่าข้าชักเริ่มจะพูดจาอะไรแล้วจบในประโยคเดียวเหมือนท่านพ่อกับท่านแม่มากเลย"
"ใกล้จะเหมือนแล้ว" หยางหลงให้กำลังใจ "ที่แตกต่างกันก็คือ เจ้าจะต้องมีคำถามต่อท้ายอีกหน่อย"
ลู่ยิ้มกว้างพลางพยักหน้า "ข้าจะรอนะ"
หยางหลงแตะที่แก้มใส จากนั้นหันไปกล่าวขอบคุณกวางสาวไพลินแล้วจึงเดินเท้าต่อไปที่หมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งฝากม้าไว้

เมื่อส่งลู่กลับขึ้นเขาไปอยู่กับเทพสูงสุดแห่งป่าสีทองแล้ว กวางไพลินก็ต้องเข้ามารายงานเรื่องราวต่อเทพทั้งสามเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงห้าวันนี้อีกครั้ง
นางรายงานเรื่องราวไปตามตรง ว่าลู่กวางทองมีความจริงใจให้กับหยางหลงเจ้าเมืองลั่วโดยมิคิดปิดบัง ความสดใสร่าเริงของความรักครั้งแรกชัดเจนตั้งแต่ดวงตา หัวใจไปจนถึงการกระทำ และขึ้นเขาไปด้วยความเชื่อมั่นว่าอีกหกเดือนจะได้พบกับหยางหลงอีกครั้ง
"กวางทองมีความสุขมาก ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย และสดใสร่าเริง"
ส่วนหยางหลงเจ้าเมืองลั่วก็แสดงออกว่ารักลู่กวางทองมากเช่นกัน แต่เป็นเพราะถูกผู้ใหญ่ทักท้วงไว้จึงมีความระมัดระวังมาก ตั้งแต่เทพกวางสายฟ้าขู่ว่าจะเฝ้าจับตามองการเคลื่อนไหว ถูกนางเทพกวางสายลมออกปากไว้แต่แรกว่าทั้งที่เพิ่งสูญเสียบุตรชายที่เป็นทายาทในตำแหน่งเจ้าเมืองไปแต่กลับมาตามติดอยู่กับเด็กน้อยเช่นลู่ ส่วนเทพเสือโคร่งภูผาถึงจะไม่ได้พูดอะไร แต่หยางหลงย่อมรู้ดีว่าเทพเสือโคร่งภูผารักบุตรชายคนเล็กผู้นี้มาก
"เขามีเรื่องให้คิดและเป็นกังวลมากมาย หลายคราที่เห็นว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่"
"มันก็เรื่องปกติ" เทพกวางสายฟ้าแสดงความเห็น "เขาเป็นเจ้าเมือง มีปัญหาทั้งเรื่องการเมืองและครอบครัวที่ต้องแบกรับไว้ การที่เขาเดินทางมาอยู่กับกวางทองถึงห้าวัน ก็เพื่อให้พวกเรายอมรับในความรักของทั้งสอง
"ข้าว่าห้าวันนี้เขาคงเครียดน่าดู" เทพเสือโคร่งภูผาหัวเราะเสียงดัง

ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเทพทั้งสามที่ประสานกัน กวางไพลินส่ายหน้าแล้วเดินไปทางอื่น
เพราะมีบิดามารดาเป็นแบบนี้ ลู่ถึงไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่สักที....
 
เพียงแต่ไม่กี่วันหลังจากนั้น มีคนผู้หนึ่งมาที่ชายป่าสีทอง นางถวายสุราหนึ่งจอก ข้าวเปลือกหนึ่งกำมือแล้วนั่งคุกเข่ารอ  การรอคอยของนางใช้เวลาไม่นานนัก นางเทพกวางสายลมก็ออกมาพบ
"มีเรื่องอันใด"
หลิวเพ่ยหลิงค้อมตัวก้มต่ำ และกล่าวคำโดยที่มิได้เงยหน้าขึ้น "ข้าน้อยเพ่ยหลิง ฮูหยินเจ้าเมืองลั่ว ข้าน้อยมีเรื่องหารือกับท่านเทพเจ้าค่ะ"
ในฐานะผู้เป็นมารดาของลู่กวางทอง นางเทพกวางสายลมยอมรับว่ารู้สึกหวั่นใจ เมื่อเห็นฮูหยินของหยางหลงที่นี่ และคิดกังวลไปว่า นางจะมาต่อว่าที่ให้การต้อนรับหยางหลงคบหากับลู่ หรือไม่ นางก็อาจจะมาต่อว่าเรื่องที่ลู่ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งจนเจิงเอ๋อร์ต้องตาย
ทั้งหมดนี้เพราะนางรู้สึกติดค้างสตรีผู้นี้มากเกินไป

"ว่ามา"
หลิวเพ่ยหลิงเริ่มต้นการหารือด้วยการยอมรับว่าการมาในครานี้มิได้หารือกับผู้ใดมาก่อน แต่เป็นความตั้งใจของนางเอง จากนั้นจึงกล่าวถึงเรื่องที่จะหารือ.....

นางเทพกวางสายลมนิ่งงันเมื่อรับฟังคำหารือของหลิวเพ่ยหลิงจบลง จากนั้นจึงกล่าวขึ้น "เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยหรือ"
"เจ้าค่ะ" หลิวเพ่ยหลิงยอมรับ "ข้ามิได้ยึดติดกับตำแหน่งฮูหยินเจ้าเมือง พร้อมที่จะถูกลงโทษหรือต้องกลายเป็นอนุ หรือถูกขับไล่ แต่เมื่อท่านพี่ให้ความเมตตากับข้าและลูก ข้าจึงตั้งใจว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุข จะดูแลเจิงเอ๋อร์ให้ดีที่สุด แต่ความขัดแย้งของผู้ใหญ่ก็กลับเป็นการทำร้ายเด็ก และดับความคาดหวังของชาวเมืองไปด้วย เมื่อข้าแน่ใจว่าท่านพี่กับคุณชายลู่มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน ข้าจึงหวังความเมตตาของท่านเทพ ช่วยให้ข้าได้มีโอกาสชดใช้ท่านพี่ด้วยเถิด"

"ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีเรื่องแบบนี้ แล้วลู่กวางทองก็ยังเด็ก เขายังไม่เหมาะที่จะเอ่อ..." นางนึกหาคำที่เหมาะสม "แต่ข้าเข้าใจความกังวลของเจ้า ถือเสียว่าข้ายังมิได้ตกลงให้ตามที่เจ้าขอ แต่รับว่าจะไปหารือกับพ่อของเขา และท่านเทพกวางสายฟ้าก่อน"

สตรีผู้นี้ฉลาดนัก นางมิได้เอ่ยคำสู่ขอลู่ให้หยางหลง ไม่กล่าวคำใด ๆ ที่อาจถูกตีความไปทางที่เป็นการลดศักดิ์ศรีของลู่ ตลอดจนเทพแห่งป่าสีทอง เพราะนางรู้ดีว่าเทพทั้งสามรักบุตรผู้นี้มาก นางจึงกล่าวให้น้ำหนักเกี่ยวกับการที่นางต้องสูญเสียบุตรที่เป็นความหวังของนางและคนทั้งเมือง และนางขออุ้มบุญบุตรที่เกิดจากหยางหลงกับลู่เพื่อทดแทนบุตรของนางที่เสียชีวิตไปแล้วคนนั้น

เทพกวางสายฟ้า และ เทพเสือโคร่งภูผาเองก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน เมื่อได้ฟังเรื่องราวจากนางเทพกวางสายลม
"ต้องยึดถือเรื่องสายเลือดมากขนาดนี้เชียวหรือ" เทพกวางสายฟ้ากล่าวขึ้นในที่สุด หากจะมีใครสักคนที่ไม่เข้าใจความคิดนี้ของหลิวเพ่ยหลิง ย่อมเป็นเทพกวางสายฟ้าผู้รักลู่กวางทองยิ่งกว่าลูกของตนเองผู้นี้อย่างมิต้องสงสัย
"ข้าอยากช่วยนาง แต่ข้าไม่ยอมส่งลูกให้กับหยางหลงเวลานี้ เพราะหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับส่งลูกไปตาย" เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ เทพกวางสายฟ้า และเทพเสือโคร่งภูผา ต่างพยักหน้าเห็นด้วย

การสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองลั่ว สืบทอดโดยสายเลือดให้แก่บุตรคนแรก ยามนี้หยางเจียเจิงหาชีวิตไม่แล้ว แต่หยางเจิ้นขุยก็หาใช่บุตรที่แท้จริงของหยางหลง
หยางหลงไม่ติดใจเพราะรักหยางเจิ้นขุยดั่งลูกและพร้อมที่จะมอบตำแหน่งนี้ให้ แต่หลิวเพ่ยหลิงไม่ยินยอม นางจึงยินดีอย่างยิ่งที่ป่าสีทองต้อนรับหยางหลง และเฝ้ารอโอกาสที่จะได้ถามสามีว่ามีหนทางหรือไม่ที่จะทำให้ลู่มีบุตรของหยางหลง
เมื่อสามียืนยันว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปมิได้ หลิวเพ่ยหลิงจึงตัดสินใจเดินทางมาหารือกับนางเทพกวางสายลม

ทารกคนหนึ่งถือกำเนิดจากอะไร เรื่องน้ำเชื้อของหยางหลงนั้นมิต้องกังวล เรื่องที่หลิวเพ่ยหลิงรับจะอุ้มบุญนั้นก็มิเป็นปัญหา ทั้งคู่อยู่ในวัยที่เหมาะสม
ปัญหาแรกคือลู่ยังเด็กเกินไป
ปัญหาต่อมาคือสิ่งที่อยู่ในใจของหลิวเพ่ยหลิง
 
"นางกล่าวหลายคราว่ามาหารือ แต่ข้ากลับรู้สึกว่านางกำลังบอกว่า การที่เมืองลั่วต้องเสียว่าที่เจ้าเมืองไปก็เพราะลู่ตามหยางหลงไปที่จวนเจ้าเมือง"
หลังจากการตั้งคำถามและทวนคำตอบกันหลายหน สุดท้ายเทพทั้งสามก็นิ่งเงียบมองหน้ากันไปมา เพราะลึกลงไปในใจทั้งสามต่างไม่ต้องการให้ลู่ต้องทำเรื่องเช่นนี้

"ต้องมีน้ำเชื้อทั้งของหยางหลง แล้วก็ลู่สินะ" เทพเสือโคร่งภูเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า "แล้วจะตั้งท้องได้อย่างไร หากมิได้นอนด้วยกัน"
"มิได้นะ!" นางเทพกวางสายลมลุกขึ้นยืนทันที "เรื่องนี้ข้าไม่ยอม!" 
จะให้ลู่และหยางหลงไปหลับนอนกับหลิวเพ่ยหลิง ข้อนี้เป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด แค่คิดเทพทั้งสามก็รู้สึกโมโหแล้ว
ลำพังหยางหลงมาอยู่ที่ป่าสีทองหลายวัน ได้นอนข้างกันแต่ไม่มีอะไรที่เกินเลยไปมากกว่านั้น แต่สตรีนางนี้กลับมาขอบุตรจากป่าสีทอง ใครจะยอม!
จากนั้นทั้งหมดก็นิ่งเงียบกันไปอีกหน นางเทพกวางสายลมมองเทพกวางสายฟ้า และเทพเสือโคร่งภูผาที่มองมาก็รู้สึกร้อนตัว
"พวกท่านตำหนิข้าอยู่สินะ"
เมื่อนางคิดกังวลในแบบกวาง เทพเสือโคร่งภูผาก็แก้ปัญหาในแบบของเสือ
"หากคิดเช่นนั้น ก็ควรต้องโทษว่า เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะข้าลอบเข้ามาหาเจ้า จนทำให้เจ้าตั้งครรภ์แล้วก็มีกวางทอง"
ผลก็คือนางเทพกวางสายลมหันมาชี้หน้าอีกฝ่ายในทันที "เพราะท่านนั่นแหละ เพราะท่านทำนิสัยไม่ดีให้ลูกเห็นอยู่ตลอด กวางทองถึงได้มีนิสัยทำอะไรตามใจตนเองเหมือนท่านไม่มีผิด ดังนั้นท่านต้องรับผิดชอบ!"
เทพเสือโคร่งภูผาชี้จมูกตนเอง ไม่ได้กล่าวโต้แย้ง เพราะก็คิดอยู่เหมือนกัน ว่านิสัยคิดอะไรแล้วทำทันทีน่ะเหมือนใคร ที่แท้ก็เหมือนตนเองหาใช่ใครที่ไหน

แต่ลึก ๆ ในใจเทพทั้งสามล้วนทราบดีว่า มีวิธีการที่จะทำให้หลิวเพ่ยหลิงได้ตามที่ขอมา แต่ต่างก็ทำเป็นไม่รู้วิธีการเหล่านั้น เพราะต่างก็รักบุตรมาก
ลู่คือลูกของพวกตน
ลู่ยังเด็กเกินไป
และยังไม่ต้องการมอบลู่ให้กับผู้ใด ต่อให้คนผู้นั้นจะดีพร้อมเช่นหยางหลงก็ตาม

.......จบบทที่สิบ .......
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-03-2017 10:46:06
ความหวงลูกนี้ดูน่าเอ็นดูเสียจริง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-03-2017 11:17:23

 :mew5:  :mew5: อะไรคือความจริงที่อยู่ในใจฮูหยินนะนี่
อ่านมาถึงตอนนี้แล้วรู้สึกว่าคนที่ดูฮูหยินออกคือเหล่าพ่อเทพแม่เทพของลู่แน่ๆ ว่ามีเจตนาไม่ดี
แลดูมีลับลมคมในและร้ายกาจ

ลุ้นตอนต่อไปค่ะว่าจะเดินหมากอย่างไร
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-03-2017 12:42:29
กลัวความคิดฮูหยิน เหมือนนางเป็นคนดี แต่เราไม่เคยไว้ใจนางมาตั้งแต่แรก อ่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-03-2017 12:56:16
หวงลูกระดับ 100

หยางหลงก็นกต่อไป 555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 09-03-2017 14:11:10
เราว่าฮูหยินไม่น่าวางใจเลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 09-03-2017 14:12:52
ไม่ใช่ว่าฮูหยินคิดการใหญ่อะไรเหรอ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 09-03-2017 14:46:17
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 09-03-2017 18:41:12
ลู่ผู้ยิ่งใหญ่ในป่าสีทอง... :a5:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 09-03-2017 18:55:20
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา
เราไม่โอเค...  กับความคิดของฮูหยิน
เจตนาแปลกๆๆ  ถ้าคิดดีจริงก็ปล่อยมือจากหยางหลงดิ  ลู่เป็นเทพนะ ลู่น่าจะท้องเองได้
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-03-2017 19:41:49
หลิงเพ่ยหลิง กล้าปกปิดเล่ห์เหลี่ยมกับเทพกวางทอง เทพเสือโคร่งหรือ
ดูเหมือนช่วยเหลือเรื่องตั้งท้อง แต่ถ้าคลอดมานางก็เป็นแม่น่ะสิ
ถ้าโทษว่าเพราะลู่ ตามหยางหลงเข้าไปในเมือง ทำให้ลูกนางตาย
งั้นพูดอีกอย่างคือ ถ้านางไม่แต่งงานกับหยางหลง ลูกนางก็ไม่ตาย
ทำไมไม่บอกว่าถ้าแม่หยางหลง พี่ชายแม่หยางหลงไม่มายุ่งที่เมือง
ก็ไม่เกิดเหตุการณ์นี้ หาเรื่องโทษลู่สินะ แพะรับบาป :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 09-03-2017 21:44:56
หรี่ตามองฮูหยิน ไม่ไว้ใจ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-03-2017 01:52:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 10-03-2017 06:20:18
ฮูหยินไม่น่าไว้ใจ ส่วนเหล่าเทพหวงลูกระดับล้าน

อยากอ่านต่อแล้ว ขอบคุณมากนะคะ

 :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: lilowria ที่ 10-03-2017 20:27:58
ก็ว่าอยู่ฮูหยินดูแปลกๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-03-2017 20:31:58
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: naplatoo ที่ 11-03-2017 00:10:01
วิธีไหนกันนะ หึหึ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 11-03-2017 00:26:45
 :z10: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 11-03-2017 01:38:52
นังฮูหยินนี่ร้ายใช่มั่ยคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 11-03-2017 06:15:46
เหตุผลที่อยากจะท้อง ของหลิวเพ่ยหลิง มันแปลกๆอยู่นะคะ แต่ก็รอขั้นตอนของการท้องนะคะ :impress2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-03-2017 07:52:16
ลู่น้อย  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 11-03-2017 08:34:21
กว่าจะได้มาเป็นเขยป่าแห่งนี้ ยังต้องเจอบททดสอบอีกแยะ ท่านหยางหลง 5555 รักเด็กก็ต้องทำใจหลายด่านหน่อยนะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 11-03-2017 19:36:49
ปกติจะไม่อ่านนิยายที่แต่งยังไม่จบ กลัวค้าง
แต่ถ้าคุณไจฟ์ ที ต้องอ่านค่ะ คุณ 2 คน ไม่ทิ้งนิยายแน่นอน เรามั่นใจ
อ่านทุกเรื่องของคุณ (ยกเว้น 3P) เป็น FC เลยค่ะ เรื่องนี้สนุกอีกแล้วว แนวไม่เคยซ้ำกันเลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 14-03-2017 11:55:36
นังฮูหยินนี่อะไรยังไง ร้ายลึกชิมิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: Teddysdeath ที่ 15-03-2017 15:42:41
ถ้ารอให้ลู่โตก่อนแล้วท้องเองล่ะ กวางเทพท้องได้มั้ยนิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-03-2017 11:39:07



 :oni3:   จงมาๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 17-03-2017 13:42:34
 :katai5:

เเวะมารอกวางทอง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 17-03-2017 19:56:34
ติดภารกิจยาวนาน ติดไว้หลายตอนเลย
เดี๋ยวตามไปเก็บย้อนหลังก่อน
คิดถึงน้องลู่ & คนแต่งคับ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่10 (P10-90360)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 18-03-2017 18:27:32
ลู่จ๋า...มาเถอะ
พี่คิดถึง
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 19-03-2017 06:20:49
ภาคกวางทอง

บทที่สิบเอ็ด

ช่วงบ่ายของหลายวันต่อมา นางเทพกวางสายลมจึงมาพบหลิวเพ่ยหลิงฮูหยินของเจ้าเมืองลั่ว ที่จวนเจ้าเมือง 
เมื่ออยู่ในร่างเทพกวาง นางคือเทพกวางที่ตัวใหญ่ยิ่ง และเมื่อนางอยู่ในร่างของมนุษย์ นางก็รูปร่างสูงใหญ่ยิ่งเช่นกัน ทั้งส่งแรงกดดันจนทำให้อีกฝ่ายได้แต่คุกเข่าค้อมตัวก้มหน้า
หลิวเพ่ยหลิงยอมรับมาตั้งแต่แรกว่าเรื่องที่ขอไปนั้น เป็นการเอาแต่ใจมากเพียงใด และเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากใจมากที่สุดแล้วสำหรับผู้ที่เป็นมารดาทุกคน
แต่นางก็มีเป้าหมายสำคัญที่จะต้องลองเสี่ยงดู
ตัวของนางเองหากมีสตรีสักคนเข้ามาขอบุตรชายไปเป็นภริยาของสามีผู้หนึ่ง นางคงจะต้องโกรธมาก ไม่แน่ว่าอาจขับไล่ไปให้พ้นหน้า ร้องตะโกนด่า และไม่ยอมให้สตรีผู้นั้นเข้ามาในบ้านอย่างแน่นอน
แต่นางเทพกวางสายลมยังคงรักษาสัจจะนั้น
 
"ลู่เป็นกวางทอง ที่พ่อเป็นเสือโคร่งแต่แม่เป็นกวาง เขาติดอยู่ในร่างของเด็กน้อยมาหลายปี แขนขาที่ลีบเล็กนั่นมิใช่เพราะพิการ แต่เพราะยังโตไม่เต็มที่ ไม่อาจให้น้ำเชื้อที่แข็งแรง และพวกเรา...ข้ากับพ่อทั้งสองของกวางทองก็ไม่อาจคาดเดาได้เช่นกันว่าต้องรออีกนานเท่าใด"
หลิวเพ่ยหลิงมองตามย่างก้าวของนางเทพกวางที่เดินเข้ามาใกล้
"คิดว่าน่าจะอยู่ระหว่างสองถึงห้าปีนี้ หากเป็นห้าปีจริง ข้าก็คิดว่าเจ้าน่าจะยังคงตั้งครรภ์ได้" นางเทพกวางหยุดยืนอยู่ข้างหน้า แตะข้อศอกให้ลุกขึ้นยืน "แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วหยางหลงกับกวางทองยังคงมีรักมั่นต่อกัน และเจ้ามิได้รู้สึกต่อต้านทารกในครรภ์" หลิวเพ่ยหลิงเข้าใจคำกล่าวนั้น "เจ้าต้องรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง"
จากนั้นนางเทพกวางมอบยาบำรุงร่างกายให้ และนัดแนะว่าจะมาตรวจสุขภาพของเพ่ยหลิงด้วยตนเองเดือนละครั้ง
เรื่องนี้ย่อมมิใช่แค่มาตรวจสุขภาพของหลิวเพ่ยเพียงอย่างเดียว เพราะในฐานะมารดา นางเทพกวางยังต้องการติดตามความเคลื่อนไหวของหยางหลง กับหลิวเพ่ยหลิงด้วย
เวลาสองถึงห้าปีนี้ อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น นางไม่ต้องการยกบุตรอันเป็นที่รักให้กับคนที่มิได้จริงใจต่อบุตรของนางอย่างแน่นอน

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ทั้งหยางหลงและลู่ต่างก็มิได้รู้เลยว่ามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นลับหลัง ยังคงเฝ้ารอคอยเวลาที่จะได้พบกันอีกครั้งเมื่อครบหกเดือน

ก่อนที่น้องชายทั้งสองคนจะออกเดินทางไปสำรวจกิจการที่ต่างเมืองเมื่อสองเดือนก่อน หยางหลงเจ้าเมืองลั่วก็ย้ำแล้วย้ำอีกให้หยางเฉิง และหยางไห่กลับมาให้ทันกำหนดเวลาที่ตนเองจะไปป่าสีทอง และเมื่อเห็นว่าหยางไห่เดินทางกลับมาถึงก่อนกำหนดนัดเพียงหนึ่งวัน หยางหลงที่ไม่เคยเป็นคนชอบบ่น ทั้งไม่ใช่คนใจร้อน ก็ทั้งบ่นทั้งออกอาการร้อนใจที่น้องรองไม่กลับมาเสียที แต่คำบ่นและสีหน้าเป็นกังวลนั้นหายไปทันทีที่หยางเฉิงเดินทางกลับมาในวันถัดมา
เรียกว่าหยางเฉิงกลับมาทันกำหนดเวลาพอดีไม่ขาดไม่เกิน 
หยางหลงรีบส่งต่องานให้น้องชายทั้งสองคน เพื่อที่จะไปเตรียมตัวออกเดินทางไปป่าสีทอง
แม้จะเร่งรีบ แต่สีหน้าท่าทางมีความสุขนั้นทำให้หยางไห่อดไม่ได้ที่จะต้องออกปากก่อกวน
"นี่หากไม่รู้เรื่องในบ้านของพี่ใหญ่มาก่อน ข้าคงต้องออกปากว่า พี่ใหญ่หลงภริยาใหม่จนกลายเป็นคนละคน"
"ไม่ใช่" หยางหลงหันมาดุน้องเล็กในทันที "ลู่ยังเด็ก แล้วท่านเทพผู้เป็นบิดาและมารดาของลู่ก็ยังไม่อนุญาต"
"ต้องรออนุญาตด้วย" หยางเฉิงยังพลอยเย้าแหย่พี่ใหญ่ไปด้วยอีกคน ทั้งที่รู้ว่า การรอเพื่อขออนุญาตคือนิสัยที่แท้จริงของหยางหลงเจ้าเมืองลั่วผู้นี้

พี่ใหญ่ของพวกเขา ถูกเลี้ยงดูให้ดำเนินชีวิตที่อยู่ในกรอบที่ดีงามมาตลอด
....ช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก

"เป็นเช่นนั้น" หยางหลงรู้ว่าน้องชายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็แสร้งพูดจาดั่งไม่รู้ทันตามไปด้วย "หรือเจ้าจะกล้าลองดี สองคนเป็นเทพกวาง อีกหนึ่งคือเทพเสือโคร่ง" พี่ใหญ่ยังคงทำสีหน้าครุ่นคิดที่แฝงเลศนัยมากถึงเก้าส่วน "พวกเขาดูน่าเกรงขามอย่างไรพวกเจ้าก็คงเคยเห็นแล้ว นอกจากนี้ลู่ยังมีพี่น้องที่มีทั้งที่เป็นเทพ และยังไม่ถึงขั้นเทพทั้งกวางและเสืออีกนับสิบตัว "
หยางไห่ทำตาโต "พวกเขาน่ากลัวขนาดนี้ หากวันใดพี่ใหญ่ทำอะไรให้พวกเขาไม่พอใจ หรือหากพี่ใหญ่เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา....."
"หากลู่เปลี่ยนใจ" หยางหลงยังคงไม่พลาดตกลงไปในช่องว่างประโยคคำกล่าวของหยางไห่ "หากเขาไม่ต้องการข้าแล้ว ข้าก็จะไม่ห้าม แต่สำหรับข้าแล้วไม่มีวันเปลี่ยนใจ"

หยางเฉิงหันไปมองน้องเล็กด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่า น้องเล็กคงจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีจึงจะสามารถวางหลุมพรางให้พี่ใหญ่เหยียบเท้าพลาดลงไป
เห็นว่าพี่ใหญ่ไม่ค่อยขัดใจใคร ดูนิ่ง ๆ และดูเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้ อย่าได้หวังว่าเขาจะไม่รู้เท่าทันผู้อื่น
แต่ขณะที่หยางไห่กลอกตามองบน หมัดแข็ง ๆ ก็ชกเข้าที่ต้นแขนของพี่รอง
"ท่านก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้านักหรอก"

หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว ฝากงานไว้กับน้องชายอีกครู่หนึ่งก็กลับไปเตรียมตัวที่จวนเจ้าเมือง แต่ก่อนที่จะออกเดินทางหลิวเพ่ยหลิงและชุนผิงฮูหยินใหญ่ของหยางเฉิง ก็นำขนมมาฝากไปให้ลู่ ซึ่งมีท่าทียินดีอย่างยิ่งเมื่อเปิดกล่องอาหารออกมาแล้วพบว่าฮูหยินของทั้งสองบ้านช่วยกันเตรียมขนมที่เป็นของชอบมาให้มากมาย
น้องชายคนเล็กหันไปพูดอวดกับกวางสาวไพลินว่า ขนมเหล่านี้มีรสชาติอร่อยมาก
กวางสาวทำเสียงฮึดอัด จากนั้นก็เปลี่ยนร่างกลับมาเป็นมนุษย์เพื่อรับขนมจากมือของน้องชาย
"เจ้านำไปมอบให้ท่านพ่อกับท่านแม่ก่อนดีกว่า จากนั้นข้าค่อยขอแบ่งมา"
หยางหลงหันไปเปิดห่อผ้าอีกห่อ ด้านในมีกล่องขนมอยู่สามกล่อง "มีอีกสามกล่อง สำหรับท่านเทพกวางสายลม เทพกวางสายฟ้า และท่านเทพเสือโคร่งภูผา"
ลู่เอียงคอมองขนมในกล่อง "ข้าว่าท่านทั้งสามน่าจะพอใจสุราดอกท้อมากกว่าขนมเหล่านี้นะ"
ครานี้หยางหลงขมวดคิ้ว "ข้าเตรียมมาเพียงขวดเดียว ถวายไปทั้งหมดแล้วตั้งแต่ปากทาง" นี่เป็นคราแรกที่มาทำความรู้จักกับผู้ใหญ่ฝ่ายลู่ แต่กลับเลือกของกำนัลผิดพลาดครั้งใหญ่ "ขอข้ากลับไปแจ้งคนที่หมู่บ้านให้ไปนำสุราดอกท้อมาสักหลายไหดีหรือไม่"
ลู่โบกมือหัวเราะเสียงใส "ไว้คราหน้าก็ได้ หรือไม่ก็ไว้เมื่อท่านหยางเฉิง หรือหยางไห่ผ่านมาก็ทิ้งสุราดอกท้อไว้ที่ปากทางสักสามไหก็พอ"
หยางหลงคิดเห็นขัดแย้งในใจ ให้น้องชายนำสุรามามอบให้ จะเหมือนกับตนเองนำมามอบให้ได้อย่างไร

คำแนะนำของลู่ทั้งหมดล้วนเป็นความจริง เพราะเมื่อหยางหลงนำขนมไปมอบให้ ทั้งเทพกวางสายฟ้า และ นางเทพกวางสายลมไม่ได้ให้ความสนใจกับขนมในกล่องมากนัก เมื่อรับมาก็ส่งต่อให้กวางสาวไพลินนำไปแบ่งกับพี่น้องตนอื่น แต่เมื่อรู้ข้อเสนอเรื่องสุราดอกท้อที่ลู่บอกกับหยางหลง เทพกวางสายฟ้าก็ยกมือขึ้นกุมขมับ ขณะที่นางเทพกวางสายลมมีสีหน้าจะโกรธก็มิใช่ จะอายก็มิเชิง เมื่อกล่าวกับหยางหลง
"ไม่ต้องจัดเตรียมขนาดนั้น ของฝากพวกนี้ก็เช่นกัน เพียงแค่เมื่อเจ้ามาแล้วลู่กวางทองมีความสุข ก็ทำให้พวกเรามีความสุขแล้วเช่นกัน"
ลู่ยิ้มจนตาพราวให้กับมารดา ทราบว่ามารดาวางตนไม่ถูกเมื่อกล่าวถึงเรื่องของขวัญของฝาก จึงชวนเปลี่ยนเรื่องคุย "ขนมแป้งอันนี้ฮูหยินของท่านหยางเฉิงทำเองอร่อยมาก"
นางเทพกวางสายลมเปลี่ยนความคิดมาตามใจบุตรในทันทีเช่นกัน "ขนมอันใด"
ลู่หยิบขนมแป้งนึ่งซึ่งด้านในเป็นใส้ถั่วและเม็ดบัวให้กับมารดา มารดาก็หันไปถามกวางสาวไพลินต่ออีกทอดหนึ่ง "ไพลินเจ้าทำเป็นไหม"
กวางสาวไพลินมีสีหน้าดั่งคำกล่าวตัดพ้อ ว่านางเป็นกวางที่มีหน้าที่คอยดูแลน้องอยู่ทุกวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนทำขนมจากมนุษย์
นางเทพกวางสายลมกล่าวต่อ "กวางทองชอบขนมแบบนี้หรือ งั้นพอเจ้าขึ้นเขาไปฝึกวิชากับท่านเทพสูงสุด แม่จะให้ไพลินไปเรียนทำขนมกับฮูหยินท่านหยางเฉิง"
เมื่อกวางไพลินกลอกตามองบนอีกสองรอบ ลู่ก็หัวเราะอารมณ์ดี ส่วนหยางหลงได้แต่มองด้วยความความชื่นชมกับความสุขในครอบครัวเทพกวางแห่งป่าสีทอง

พูดคุยกันอีกสักครู่ตามมารยาท นางเทพกวางก็บอกให้ไปพักผ่อนได้
บริเวณที่พักของเทพกวาง มีพี่ชายและพี่สาวของลู่ที่ยังอยู่ในร่างกวางหลายตัวที่พักผ่อนอยู่ เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นลู่ก็ส่งเสียงเล็ก ๆ ทักทายกัน แต่ไม่ได้เดินเข้ามาหา
ลู่จึงพาหยางหลงไปทางเชิงเขา แล้วชวนนั่งกินขนมด้วยกันที่โคนต้นไม้ใหญ่
น้องเล็กส่งขนมกล่องหนึ่งให้กับนางกวางไพลิน ส่วนอีกกล่องหนึ่งเลือกหยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่งยื่นให้หยางหลงด้วยความมีน้ำใจ
"ให้ชิ้นหนึ่ง"
คนตัวใหญ่ส่ายหน้า "เจ้ากินเถอะ"
แต่เมื่อลู่ย้ำชวนให้กินด้วยกัน หยางหลงก็รับขนมมาแล้วบิออกครึ่งหนึ่ง เพื่อป้อนคนชวน 
กวางสาวไพลินที่กำลังเลือกดูขนมในกล่องที่รับมาลอบอมยิ้ม แล้วบอกว่า จะขอขนมไปฝากจิ้งจอกไฟซึ่งเป็นเพื่อนสนิท 
"เจ้านั่นชอบมนุษย์ จนจะกลายเป็นมนุษย์อยู่แล้ว น่าจะชอบขนมเหล่านี้"
ลู่พยักหน้าเห็นด้วย ถามว่าแล้วจะอยู่กินขนมกับเพื่อนหรือไม่ กวางไพลินก็บอกว่า อาจแค่นำไปให้แล้วก็จะรีบกลับมา
แต่เมื่อกวางสาวเดินห่างออกไปได้ไม่กี่ก้าว  เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับปรากฎตัวขึ้นโดยก้าวเท้าออกมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ ขวางทางกวางไพลินไว้

เพราะทั้งสองอยู่ในร่างมนุษย์ ทำให้หยางหลงพอจะคาดเดาความคิดของพวกเขาได้จากลักษณะการเคลื่อนไหวของร่างกาย และสีหน้าแววตา เนื่องด้วยเทพเสือโคร่งศิลาดำพี่ชายของลู่ผู้นี้ มีนิสัยเงียบขรึมแตกต่างจากบรรดาเทพอื่น ๆ ที่หยางหลงพบเจอมา
ว่าที่จริงเทพแห่งป่าสีทองที่พบเจอก็ล้วนแตกต่างกัน เพียงแต่เทพผู้นี้แปลกที่สุดแล้ว
ลู่ที่มักจะอ้อนออเซาะผู้อื่นไปทั่ว มองเทพเสือโคร่งศิลาดำคราหนึ่ง หันมามองกวางสาวไพลินคราหนึ่ง สมองน้อย ๆ กำลังคิดว่าจะพูดอะไรดี เพื่อมิให้พี่หญิงถูกตำหนิ

เทพเสือโคร่งสิลาดำมองกวางไพลิน มองขนมในมือ แล้วหันไปมองลู่ จากนั้นก็มองกวางไพลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยถ้อยคำตำหนิมากมาย
เป็นการใช้สายตาแทนคำกล่าว ที่หยางหลงตีความเอาเองว่า มารดาให้อยู่เฝ้าดูแลน้อง แต่กลับจะนำขนมไปให้เพื่อน เจ้ากำลังละเลยหน้าที่...น่าจะอนุมานได้ราว ๆ นี้

"พี่หญิงจะเอาขนมไปให้จิ้งจอกไฟ เดี๋ยวก็จะกลับมา ท่านพี่ศิลาดำมากินขนมด้วยกัน" ลู่ชักชวน
เทพเสือโคร่งศิลาดำมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำชวนของน้องเล็ก เพียงแต่เปลี่ยนมาจ้องมองหยางหลงขณะที่ก้าวถอยหลังไปอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ เป็นท่าทางที่สามารถเข้าใจได้ว่า อีกฝ่ายตั้งใจที่จะจับตามองชนิดไม่ให้มีการกระทำใด ๆ คลาดสายตาไปได้...น่าจะเป็นเช่นนั้นนะ
กวางไพลินหันมาร้องบอกกับลู่ โดยที่สายตายังคงมองไปทางด้านหลังต้นไม้ใหญ่ ว่าจะรีบกลับมา จากนั้นนางก็หมุนตัวหายไป

จากลักษณะท่าทีนี้ หากมิได้รู้เบื้องหลังอะไรก็มาก่อนก็คงคิดว่าเป็นความระแวดระวังแบบกวางกับเสือ
ซึ่งความจริงแล้ว ทั้งหมดนี้คือการร่วมกันทำหน้าที่ดูแลน้องเล็กที่เคยหนีออกป่าไประยะหนึ่ง โดยมิให้คลาดสายต่างหาก

เมื่อพี่สาวและพี่ชายพ้นไปจากสายตา ลู่ก็หันมาทำหน้าตลกขณะที่กระซิบกระซาบกับหยางหลง "ปกติข้าก็จะอยู่กับพี่หญิงกวางไพลิน แต่ตอนนี้ท่านพ่อเทพเสือโคร่งภูผาให้พี่เทพเสือโคร่งศิลาดำมาอยู่ด้วยกัน นี่จะทำให้ท่านรู้สึกไม่สะดวกสบายหรือไม่"
ที่ต้องส่งเทพเสือมาเฝ้าก็เพราะตนเองเป็นสาเหตุแท้ ๆ แต่ลู่กลับมองเป็นเรื่องสนุกไปเสียได้
"ไม่หรอก"
ที่จริงหยางหลงไม่เคยรับรู้ถึงแรงกดดัน หรือ ความรู้สึกว่ากำลังถูกเฝ้ามอง
ไม่เคยได้กลิ่นสาบเสือ ไม่เคยรู้สึกถึงความไม่หวังดีเลยสักครา
หรือต่อให้เป็นเวลาปกติที่จะมีกวางไพลินอยู่ด้วยก็หาได้รู้สึกไม่สะดวกสบายอันใด เพราะหยางหลงเองก็ต้องการแสดงความเชื่อมั่นต่อผู้ใหญ่เช่นกัน ว่ามิได้คิดฉวยโอกาสล่วงเกินลู่
"ให้พี่ ๆอยู่ด้วยก็ดี ผู้ใหญ่จะได้วางใจ ว่าข้าบริสุทธิ์ใจต่อเจ้า"
ลู่ยิ้มยิงฟันแล้วกินขนมต่อ
หยางหลงใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดเศษขนมที่มุมปาก
"ข้าคิดว่า พวกเขาเป็นห่วงเจ้า และต้องการศึกษาข้า หาได้มีเจตนาที่จะขัดขวางการคบหากัน เพียงแต่การที่ท่านพี่ออกไปอยู่ข้างนอกเช่นนั้น ดูห่างเหินไปสักหน่อย ให้ท่านพี่เข้ามากินขนมด้วยกันก็ได้"
ลู่ส่ายหน้า "ขอสุราดอกท้อเพิ่มอีกสักไหไปให้ท่านพี่เทพศิลาดำดีกว่า"

หยางหลงพยักหน้ารับคำ
ดูท่ากลับไปครานี้ ต้องเตรียมสุราดอกท้อของชอบของบรรดาเทพแห่งป่าสีทองให้มากสักหน่อย

ลู่หันมามองคนที่นิ่งเงียบไป
"คิดอันใดอยู่"
"คิดว่า....." หยางหลงกระซิบถ้อยคำบางคำที่ข้างหูของลู่ ถ้อยคำนั้นทำให้อีกฝ่ายหน้าแดง
ผู้ที่มีอาวุโสกว่าก้มลงจูบที่แก้มใส เรื่อยมาถึงริมฝีปากสวย ชิมความหอมหวานให้ชื่นใจ แต่ถึงกระนั้น ผู้ที่เฝ้ามองอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ก็หาได้เข้าขัดขวางความใกล้ชิด
"ท่านน่ะร้ายเงียบ" ลู่ต่อว่าทันทีที่อีกฝ่ายละริมฝีปากออก แล้วกัดขนมคำใหญ่
หยางหลงเฝ้ามองท่าทีเขินอายนั้น มือใหญ่แตะที่แก้มแดงเรื่อ "ทุกคนล้วนตามใจ และถือความพอใจของเจ้าเป็นหลัก"
ลู่พยักหน้ายอมรับ "ท่านอาจารย์มักกล่าวว่า ทุกคนน่ะแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องคบหาท่าน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังตามใจข้า สักวันข้าจะเติบโตเป็นกวางเกเรผู้หนึ่ง"
"แล้วเจ้าจะเป็นกวางเกเรหรือไม่"
ลู่ทำแก้มพอง "ข้าว่า เวลานี้ข้าก็เกเรอยู่มากแล้วนะ ถ้าเกเรกว่านี้จะเป็นยังไง" พูดแล้วก็นึกขึ้นมาได้ "ถ้าเกเรกว่านี้ท่านจะยังชอบข้าไหม อีกสามวันเมื่อท่านกลับไปแล้ว ท่านจะมาหาข้าอีกในอีกหกเดือนข้างหน้าหรือไม่"
หยางหลงพยักหน้าช้า ๆ "อันที่จริงข้าไม่เคยคิดเรื่องที่เจ้าจะเกเร หรือการก้าวเท้าออกจากป่าสีทองแล้วไม่กลับมา แต่ก็คิดว่า......"
เมื่อคนกล่าวคำพูดแกล้งทอดเสียงช้า ๆ คนที่ฟังก็ตั้งใจฟังอย่างเต็มที่
"เจ้าไม่คิดว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าทดลองกันทั้งสองฝ่ายหรอกหรือ"
ลู่พลอยพยักหน้าช้า ๆ ตามหยางหลงไปด้วย "นั่นสินะ ไม่ควรทำตัวเป็นกวางเกเรจริง ๆ"

เทพเสือโคร่งศิลาดำที่ยังคงอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่กลับมีความคิดเห็นขึ้นมาอย่างหนึ่ง
การมีคนรักที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ทั้งด้วยวัยและความคิดก็ดีเช่นนี้เอง มีเรื่องมากมายที่ทั้งมารดาและบิดาไม่กล้าจะบอกกล่าวกับลู่ แต่หยางหลงผู้นี้กลับกล่าวออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
เมื่อกวางสาวไพลินกลับมา แล้วเห็นว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำมีรอยยิ้มอยู่ในใบหน้า ก็นึกสงสัยและมีคำถามที่ต้องการถาม แต่เทพเสือโคร่งศิลาก็กลับขึงใบหน้าเรียบตึงอีกครั้ง ทั้งพยักหน้าให้นางรีบกลับเข้าไปอยู่กับลู่
"ข้ารู้หน้าที่ของตนเองหรอกน่า"

ใกล้ค่ำ ลู่และกวางสาวไพลินจึงพาหยางหลงกลับมาที่กระท่อมหลังเดิม ซึ่งได้รับการซ่อมแซมให้แข็งแรงขึ้น ทั้งมีเครื่องใช้อยู่พร้อม
กวางสาวไพลินเป็นผู้อธิบาย "ท่านเทพเสือโคร่งภูผาให้ท่านแม่เล็กว่าจ้างชาวบ้านแถวนี้มาซ่อมบ้าน รวมถึงการจัดหาของพวกนี้ด้วย" นางตวัดตามองน้องชายดั่งกำลังค้อน "ที่จริงพวกเรากังวลกันว่าหากเตรียมพร้อมไว้ แล้วท่านไม่กลับมาจะทำอย่างไร แต่กวางทองบอกว่า หากท่านไม่มาเขาก็จะมาพักอยู่ที่นี่เอง"

ว่ากันตามความสัมพันธ์แล้ว รองแม่ทัพเฉินอวี้ย่อมมีศักดิ์เป็นแม่เล็กของลู่ แต่มิได้เกี่ยวพันกับกวางสาวไพลิน แต่เพราะต้องอยู่กับน้องเล็กแทบตลอดเวลา ฟังอีกคนเรียกรองแม่ทัพเฉินอวี้ว่าแม่เล็กอย่างนั้น แม่เล็กอย่างนี้ กวางสาวไพลินก็เลยเรียกตามไปด้วย

ลู่ทำปากยื่นเมื่อฟ้องหยางหลง "เรื่องมันเริ่มจากท่านแม่เทพกวางไง นางชอบคิดเยอะแยะ เตรียมของไว้ก็เดี๋ยวจะทำให้ท่านได้ใจ ไม่เตรียมไว้เดี๋ยวท่านจะว่าพวกเราไม่รู้จักการต้อนรับแขก ท่านพ่อเทพเสือโคร่งก็เลยไปขอให้ท่านแม่เล็กช่วยจัดการให้ แต่ตอนที่ทุกอย่างเสร็จสิ้น พ่อเทพเสือโคร่งก็มาบอกว่า หากท่านหยางไม่มาเขาก็จะให้แม่เล็กพักอยู่ที่กระท่อมนี่" เมื่อฟ้องมาถึงตอนนี้ ลู่ก็หันไปหัวเราะกับกวางสาวไพลิน ก่อนที่จะเล่าต่อ "ท่านแม่เล็กก็เลยโกรธมาก บอกว่าท่านพ่อเป็นอย่างนี้ทุกที เริ่มต้นก็ให้ทำเรื่องนั้น เรื่องนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องของตนเอง แล้วแม่เล็กก็กลับไปเลย"
"แล้วกวางทองก็เลยบอกว่า งั้นเขาจะมาอยู่ที่นี่เอง แม่เล็กจะได้ไม่มาอยู่" กวางสาวไพลินช่วยเติมต่อเรื่อง
แต่เรื่องยังไม่จบ เพราะลู่กล่าวต่อว่า "ท่านพ่อเทพเสือเลยบอกว่า เช่นนั้นเขาคงต้องหาที่ปลูกบ้านใกล้แหล่งน้ำให้มากกว่านี้ เพื่อปลูกบ้านสองหลัง"

หยางหลงนึกภาพไม่ออก ว่ารองแม่ทัพเฉินอวี้คนใจเย็น เวลาที่โกรธผู้อื่นจะมีท่าทีอย่างไร และเมื่อนึกภาพเวลาที่เทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้นกล่าวคำเจ้าชู้......นั่งคงเป็นภาพที่....ยากเกินกว่าจะนึกภาพออกจริง ๆ

"ท่านแม่เล็กมีงานมาก เพราะฮ่องเต้ทรงมอบหมายงานปราบปรามกลุ่มโจรให้ และนับตั้งแต่มีผลงานเรื่องการปราบปรามกลุ่มกบฎทางตะวันออก ก็ทำให้ถูกคนลอบทำร้ายอยู่หลายครั้ง ท่านเทพเสือโคร่งก็คงร้อนใจเรื่องเหล่านี้จึงอยากให้กลับมาพักอยู่ที่นี่"
ลู่คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเล่าให้หยางหลงฟังอีกเรื่อง "ที่นี่เองก็ใช่ว่าจะเรียบร้อยดี มีสัตว์เทพสูญหายไปแล้วหลายครั้ง ท่านพ่อเทพเสือโคร่งตามหามาหลายปี"
หยางหลงคิดกังวล "เช่นนั้นหรือ ข้าไม่เคยรู้เรื่องเลย"
ลู่หันมาหัวเราะ "จะรู้ได้อย่างไร เวลามีใครหายไป พวกเราไม่มีใครไปแจ้งความต่อกองเมือง หรือท่านมือปราบนี่"

เมื่อสัตว์ป่าหายไปตัวหนึ่ง จะให้เทพเสือโคร่งภูผาเดินเข้าไปที่กองเมืองหรือ...นั่นเป็นไปไม่ได้เลย

"เรื่องมันเป็นอย่างไร" ในฐานะเจ้าเมืองลั่ว หยางหลงย่อมต้องการรู้เรื่องราวนี้ แต่ลู่ก็ไม่ได้รู้เรื่องมากมายนัก รู้แต่ว่าในบรรดาสัตว์เทพที่หายไป ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์เทพที่ออกจากไปเขตป่า แล้วสูญหายไป และหนึ่งในผู้ที่หายไปคือกระเรียนโกเมนที่เป็นสหายของเทพเสือโคร่งภูผาและเทพกวางสายฟ้า

"ท่านเทพทั้งสองต้องร้อนใจมาก"
"เคยโกรธกันไปพักหนึ่งด้วย"
แต่กวางสาวไพลินแย้งขึ้น "พวกเขามีเรื่องขัดแย้งกันหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องมารดาของพวกเราด้วย"
ลู่เกาที่คิ้วของตนเอง "งั้นก็ไม่รู้แล้ว ว่าที่ตอนนั้นโกรธกันเพราะเรื่องท่านลุงกระเรียนโกเมน หรือเรื่องไหน" ผู้มีดวงตาสีทองโบกมือสรุปเรื่องโดยง่ายเหมือนเดิม "เอาเป็นว่าทุกเรื่องก็แล้วกัน"
จากนั้นลู่ก็ขอให้หยางหลงช่วยติดไฟที่เตา ส่วนตนเองเตรียมต้มโจ๊ก
"แม่เล็กบอกว่าอย่างไรท่านก็เป็นมนุษย์ยังต้องการอาหารที่สร้างกล้ามเนื้อ จึงสอนให้ข้าทำโจ๊กธัญพืชและถั่วเหล่านี้ให้ท่าน"
"แม่เล็กของเจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่มากความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ ไม่ว่าผู้บังคับบัญชาหรือลูกน้องล้วนให้ความนับถือและวางใจ"
ลู่พยักหน้าเร็ว ๆ "ใช่เลยในครอบครัวอันซับซ้อนของข้าก็เช่นกัน ปกติแล้วท่านแม่กวางมักอารมณ์ไม่ดี หากได้ยินเรื่องบรรดาแม่ ๆ คนอื่น แต่ท่านแม่กวางก็วางใจท่านแม่เล็กที่สุด อนุญาตให้เดินทางเข้าออกได้ตามสบาย"
"แม่ ๆหรือ" หยางหลงถามย้ำ
"ฮื่อ" ลู่ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "แม่ ๆ ท่านคงไม่คิดว่า พ่อเทพเสือโคร่งของข้าจะมีภรรยาแค่สองหรอกใช่ไหม"
หยางหลงกล่าวยอมรับ "คิดว่าอย่างมากก็สาม"
ได้แก่นางเทพกวางสายลมมารดาของลู่ นางเทพเสือโคร่งบงกชผู้เป็นมารดาของเสือโคร่งศิลาดำ และคนที่สามก็คือรองแม่ทัพเฉินอวี้
ลู่ส่ายหน้า ขณะที่หัวเราะเสียงใส "มากกว่าสาม"

ในเวลากลางคืนอากาศเย็นลง กวางสาวไพลินก็กลับมาอยู่ในร่างของกวางเมื่อออกไปนอนที่ด้านหน้าของกระท่อมเช่นเดิม 
ส่วนลู่นอนหนุนแขนหยางหลง มองแสงจันทร์ที่ลอดผ่านใบไม้
"ข้ากำลังนับถอยหลังคืนที่ห้า คืนที่สี่ คืนที่สาม คืนที่สอง คืนที่หนึ่ง จากนั้นท่านก็จะกลับไปในตอนเช้า" คนตัวเล็กกล่าวขณะที่พลิกตัวหันมาจับปกเสื้อของหยางหลงไว้แน่น
"จากนั้นก็นับถอยหลังวันที่หนึ่งร้อยแปดสิบ หนึ่งร้อยเจ็บสิบเก้า ไปเรื่อย ๆ และข้าก็จะกลับมาหาเจ้า"
ใบหน้างดงามเงยขึ้นมาหา "ท่านจะกลับมาเสมอทุก ๆหกเดือนใช่หรือไม่"
"แน่นอน"
"แล้ว....เมื่อไหร่ที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกัน"
"เมื่อเจ้าเป็นผู้ใหญ่ และแข็งแรงกว่านี้"
"ข้าอยากแข็งแรง อยากโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ"
"ก็ต้องตั้งใจฝึกฝน ส่วนข้าเอง ก็อยากเป็นคนที่ทุกคนไว้วางใจ ว่ามีความเหมาะสมกับเจ้า"
ลู่พยักหน้า "ข้าจะทำให้ได้"
"ข้าก็เช่นกัน"
หยางหลงก้มลงจูบที่ริมฝีปากสวย นิ้วมือใหญ่เกลี่ยที่ปลายคางสวย แล้วกระชับอ้อมกอด
"หลับเถิด พรุ่งนี้เจ้าบอกว่าจะพาไปเที่ยวบึงน้ำใช่ไหม"
ลู่พยักหน้า แล้วหลับตาลง

ลู่ของข้า ข้าเองก็นับเวลารอคอยให้เจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ อยากอยู่เคียงข้างกันโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องราวมากมาย
แต่เมื่อถึงเวลานั้น วันที่เจ้าเป็นกวางทองที่งดงาม เจ้าจะยังออกไปรอคอยข้าอยู่ที่ปากทางป่าสีทองอยู่หรือไม่....

กลับมาที่เมืองลั่วครานี้ หลังจากที่หยางเฉิงและหยางไห่ แจ้งเหตุการณ์ในช่วงห้าวันมานี้ให้กับหยางหลงรับทราบแล้ว สามพี่น้องก็ยังร่วมโต๊ะดื่มสุราอยู่ด้วยกันต่อ
พี่ใหญ่นึกสงสัย แต่ไหนแต่ไรมา หากคิดจะดื่มสุราก็คือดื่ม มิเคยต้องชักชวนกันอย่างเป็นทางการเช่นนี้มาก่อน
"ฮ่องเต้มีพระบรมราชโองการเรียกคนมาแล้วหรือ" หยางหลงถามคำถามที่ทำให้น้องชายทั้งสองคนหันไปมองหน้ากัน "ทรงมีพระประสงค์จะให้เดินทางเมื่อใด"พี่ใหญ่หันไปถามน้องรอง แต่หยางเฉิงพยักหน้าไปทางหยางไห่
"มิใช่ข้า แต่เป็นน้องเล็ก"
หยางไห่ยิ้มกว้างพลางโบกมือ "เป็นข้าเอง แต่พระองค์รับสั่งว่ายังทรงโปรดใบชาที่นำไปถวาย จึงยังให้อยู่ดูแลกิจการไปก่อน อีกอย่างท่านรองแม่ทัพเฉินกล่าวไว้ว่า พระองค์ทรงโปรดท่านปู่อยู่มิใช่น้อย อาจจะมีการหารืออะไรบางอย่างก็เลยยังทรงไม่เรียกตัวเวลานี้"
"คงเพราะพี่ใหญ่เองก็เป็นผู้ที่ไปส่งหนังสือยืนยันเจตนาด้วยตนเอง จึงทรงวางพระทัย" หยางเฉิงช่วยเสริม
"ว่าที่จริง" หยางไห่เดินนำออกไปที่ด้านห้องทำงาน ตรงไปยังห้องโถงใหญ่ที่มีการจัดเตรียมสุราอาหารไว้พร้อม กับยังมีฮูหยินของทั้งสามคนรอคอยอยู่ด้วย
"ว่าที่จริง ตอนที่ได้ยินว่าทรงมีพระประสงค์จะให้ไปเมืองหลวง ข้าก็คิดเรื่องทำเลการค้าทันที" หยางไห่บอกด้วยท่าร่าเริง
หยางหลงทำหน้านิ่งขณะที่นั่งลง "ไม่ต้องมีรับสั่ง ก็สามารถจริงจังเรื่องการค้าที่เมืองหลวงได้ตั้งแต่เวลานี้"
หยางเฉิงกับหยางไห่ถึงกับอึ้งขณะที่หันไปมองหน้ากัน เช่นเดียวกับบรรดาฮูหยินที่ต่างก็หันไปมองเจียฉีภรรยาของหยางไห่
พี่ใหญ่เลิกคิ้วสูง มองน้องสะใภ้แล้วหันมามองหน้าน้องชายคนเล็ก
"อยากไปอยู่เมืองหลวงคนเดียวหรือเอาลูกเมียไปด้วย"
"หาก....หากจะไปก็ยะ..ย่อมต้องพาไปด้วยสิ จะให้อยู่กันตามลำพังแม่ลูกได้อย่างไร" หยางไห่รีบพูดปากคอสั่น ทั้งลุกไปกอดไหล่ฮูหยินไว้
พี่ใหญ่ยักไหล่แล้วยกจอกสุราขึ้นดื่ม ทำให้น้องชาย น้องสะใภ้พากันโวยวาย
"พี่ใหญ่ท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว ล้อเล่นเช่นนี้ได้อย่างไร เมียข้ายังสาว ลูกก็ยังเล็กนะ" หลังจากโวยวายอีกหลายคำหยางไห่ก็ถามอีก "แล้วจะให้ไปเมื่อใด"
"เมื่อทรงมีรับสั่ง ระหว่างนี้ก็ขยันออกไปเก็บใบชานำไปถวายอย่าให้ขาดก็แล้วกัน"
หยางไห่เข้าใจคำกล่าวของพี่ใหญ่ แต่ยังต้องการถามซ้ำ "หมายความว่า ข้ายังไม่ต้องกลับไปเก็บข้าวของตอนนี้ใช่ไหม"
"ไม่ต้อง" พี่ใหญ่กอดไหล่น้องรองและน้องเล็กไว้ "ส่งของขวัญไปมอบให้กับท่านปู่และท่านอา หากไปเมืองหลวงก็แวะไปชักชวนท่านพ่อว่าจะไปเมืองหลวงเพื่อเยี่ยมท่านปู่และท่านอาด้วยหรือไม่"
น้องชายทั้งสองคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของพี่ใหญ่

เหตุที่ฮ่องเต้เลือกน้องชายของเมืองลั่วในแต่ละรุ่นไปทำงานรับราชการในวังก็เพราะตระกูลหยางแห่งเมืองลั่วมีความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องที่เข้มแข็ง การยึดน้องชายไว้ ทำให้ผู้เป็นพี่ชายไม่กล้าคิดแข็งข้อ  แต่ที่เลือกหยางไห่มิใช่หยางเฉิง ทั้งยังมิให้เดินทางไปรับราชการในเวลานี้ย่อมต้องมีเหตุผลอื่นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้สมควรขอบคุณความเสียสละของท่านผู้เฒ่าทั้งสองให้มาก


วันที่หยางหลงรอคอย มิใช่สิ ควรเรียกว่าหลิวเพ่ยหลิงรอคอยใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนถึงวันที่หยางหลงเดินทางมาที่ป่าสีทองตามลำพังเป็นครั้งที่สี่ โดยที่ต้องใช้รถเข็นของฝากมากมาย พบว่าลู่ยืนรออยู่กับกวางสาวไพลิน โดยมีเทพเสือโคร่งศิลาดำยืนห่างออกมาหลายก้าว
ทั้งสามอยู่ในร่างมนุษย์ หยางหลงทำความเคารพพี่ชายและพี่สาวทั้งสองก่อนจะหันมาทักทายลู่

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 19-03-2017 06:22:05
(ต่อครับ)

ลู่ในยามนี้ ไม่อาจเรียกว่าลู่น้อยได้อีกแล้ว แม้จะยังคงโดดเด่นด้วยดวงตาสีทองงดงาม ใบหน้าอ่อนเยาว์ รอยยิ้มกว้างและน้ำเสียงสดใสที่พัดพาความเหนื่อยล้าทั้งมวลให้หายไป
แต่เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนนั้นยาวกว่าเดิม ความสูงที่เพิ่มขึ้นเกือบสองคืบ ไหล่กว้างกว่าเดิม และขาที่แข็งแรงมากพอที่จะยืนคอยเป็นเวลานาน
แต่ทั้งหมดนี้ยังมีความไม่สมส่วน และดูแปลกตา ไม่ได้บอบบาง หากก็มิได้แข็งแรง มิใช่หนุ่มน้อยแล้ว แต่จะบอกว่าเป็นชายหนุ่มก็ยังมิใช่อีกเช่นกัน อย่างไรก็ตามด้วยความลำเอียงเป็นพื้นฐาน หยางหลงก็ยังอดที่จะเอ่ยชมมิได้
"หล่อขึ้นนะ"
ลู่ยิ้มกว้าง "จริงหรือ ท่านเป็นคนแรกเลยนะ ที่ชม"
"แล้วคนอื่นว่าอย่างไร"
ลู่หันไปทำปากยื่นใส่กวางสาวไพลิน "เขาบอกว่าข้ากำลังจะกลายเป็นเนื้อสมันหรือไม่ก็ตัวละมั่ง"
หยางหลงยังคงเข้าข้าง "ก็.....ดูดีเหมือนกันมิใช่หรือ"
"ไม่" ลู่หันมาทำหน้างอใส่ "กวางแข็งแรงกว่า และสวยงามกว่าเนื้อสมันกับละมั่งนั่น"
ชายหนุ่มหัวเราะไม่มีเสียง "ถูกต้อง เจ้าแข็งแรงกว่า สวยงามกว่า"
"ดีมาก" ลู่กำลังจะหัวเราะ แต่กลับหันมาทำหน้าตาไม่เข้าใจ "ทำไมถึงรู้สึกว่าคำชมนี้มันแปลก ๆนะ" จากนั้นก็โบกมือ "ทำไมของฝากมากมาย" มาแต่ละครั้งก็มีของฝากเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนรู้สึกกรงใจ
หยางหลงชี้ไปที่กล่องอาหารและขนมมากมายที่เตรียมมา รวมถึงสุราดอกท้ออีกห้าไหที่จะนำไปผู้ใหญ่ทั้งสาม รวมถึงพี่น้องของลู่ด้วย
เมื่อเวลาผ่านไปพี่สาวและพี่ชายของลู่ก็รู้หน้าที่ กวางสาวไพลินหันไปกวักเมือเรียกเทพเสือโคร่งศิลาดำ ให้แบ่งกล่องขนมและสุราดอกท้อไปด้วย แต่เมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำทำหน้าตาแปลก ๆ ใส่กล่องขนม กวางสาวไพลินก็เลยชี้บอกว่าให้แบ่งสุราดอกท้อไปสองไห

ที่จริงแล้วเทพเสือโคร่งศิลาดำอยู่ในลำดับที่เหนือกว่ากวางสาวไพลินอยู่หลายขั้น ทั้งด้วยอายุและลำดับของเทพ เพราะกวางสาวไพลินยังมีการบำเพ็ญฌานไม่ถึงขั้นเทพ แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำก็ยังรู้จักรับฟังคำแนะนำจากอีกฝ่ายด้วยดี

"ท่านพ่อไม่อยู่หรือ" หยางหลงทักเมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำหยิบไหสุราดอกท้อ และกำลังจะก้าวนำไปก่อน
"จะว่าอยู่ก็อยู่นะ" ลู่ตอบ "แต่ก็กำลังพยายามง้อท่านแม่เล็กอยู่เหมือนกัน" เป็นคำตอบที่หยางหลงไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าใด "ให้พี่ศิลาดำนำของไปเก็บไว้ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยตามไปพบกันที่กระท่อมก็ได้"
หยางหลงสงสัย "ดูเหมือนทุกคราที่ข้าจะมา ท่านพ่อก็ทำให้ท่านแม่เล็กไม่พอใจทุกครั้งไปใช่ไหม"
ลู่พยักหน้า "นั่นสิ ส่วนครั้งหลังสุดนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร รู้แต่ว่าท่านแม่เล็กพาคนมาซ่อมบ้านเสร็จก็ขัดแย้งกัน"
กวางสาวไพลินกล่าวขึ้นบ้าง "ศิลาดำน่าจะรู้ว่าท่านเทพเสือโคร่งไปทำอะไรให้แม่เล็กไม่พอใจ แต่ถามไปเขาก็คงไม่บอก"
หยางหลงเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้

หยางหลงมีความคุ้นเคยกับพี่สาว พี่ชายของลู่คู่นี้แล้ว แต่ก็ยังมีเพียงกวางสาวไพลินที่อยู่ใกล้ชิด ส่วนเทพเสือโคร่งศิลาดำมักจะยืนมองอยู่ห่าง ๆ เช่นเดิม

นางเทพกวางสายลมตกใจกับสุรา อาหารมากมายที่หยางหลงนำมามอบให้ จนถึงกับเอ่ยปากว่า ให้นำมาเฉพาะขนมที่ลู่ชอบก็พอ เพราะสำหรับผู้อื่นแล้ว ล้วนไม่คุ้นเคยกับอาหารเช่นนี้ จากนั้นก็บอกให้ไปพักผ่อน มิต้องมากธรรมเนียมพิธีการใด ๆ
ลู่ขอแบ่งขนมมาสองกล่อง แล้วลามารดากลับออกมา จากนั้นก็แบ่งให้กวางสาวไพลินไปหนึ่งกล่อง เหลือสำหรับตนเองเพียงกล่องเดียว

กระท่อมเล็ก ๆ หลังนั้นมีการปรับปรุงให้มั่นคงขึ้นอีกในระหว่างที่หยางหลงไม่อยู่ ทั้งยังมีแปลงผักและดอกไม้สวยงามอยู่ที่ด้านหน้ากระท่อมด้วย
มิใช่ ในเวลานี้สมควรเรียกว่าบ้านได้แล้ว
"สวยงามมาก ตอนที่บอกว่าให้คนมาซ่อมบ้าน ยังไม่คิดว่าจะปลูกสร้างอย่างมั่นคงเช่นนี้"
ลู่พยักหน้าพร้อมกับผลักเปิดประตู "เพิ่งเสร็จก่อนที่ท่านจะมาได้สัปดาห์เดียวเท่านั้น"
"ข้ารู้สึกเกรงใจที่ทำให้ทุกคนต้องวุ่นวาย"
ลู่กลับส่ายหน้า "มิได้วุ่นวายถึงขนาดนั้นหรอก" ดวงตาสีทองมองผ่านหน้าต่างกระท่อมออกไปด้านนอก ขณะที่นิ้วมือเล็ก ๆ เกี่ยวม้วนปลายผม  "ที่จริง มีคำกล่าวหนึ่ง ที่ท่านพ่อเสือโคร่งภูผากล่าวกับแม่เล็ก ตอนที่พาคนงานมาซ่อมที่นี่ ท่านกล่าวว่า การเตรียมการต่าง ๆ ให้พร้อมช่วยให้คนรอมีความหวัง ขอเพียงอีกคนรักษาสัญญา กลับมาอยู่เคียงข้างกัน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็ทำให้คนรอมีความสุขมาก สามารถต่อลมหายใจต่อไปได้อีกหลายวัน"
คำกล่าวนี้ ย่อมเป็นคำกล่าวจากใจของเทพเสือโคร่งภูผา ต่อรองแม่ทัพเฉินอวี้โดยมิต้องสงสัย แต่ก็ตรงกับใจของหยางหลงและลู่เช่นกัน
ชายหนุ่มเดินเข้าไปกอดคนรูปร่างผอมบางไว้ แล้วก้มลงหอมหน้าผาก
"สำหรับอีกคนหนึ่ง การที่มาถึงแล้วพบว่ามีคนรออยู่ ความรู้สึกนั้น เปรียบได้กับเม็ดฝนที่ตกลงมาในหัวใจที่แห้งแล้งและหวาดหวั่น กลัวว่าจะไม่เป็นที่ต้อนรับ กลัวว่าจะถูกขับไล่ กลัวว่าจะไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป เมื่อเห็นว่าเจ้ารออยู่ ข้าก็รู้สึกว่าเวลาหกเดือนนั้นมิได้มีความหมายอันใดเลย"
ลู่เงยหน้าขึ้นขณะที่หลับตารับรู้จูบหวานที่สัมผัสริมฝีปาก

"สักวันข้าจะเป็นกวางทองที่สง่างาม เหมาะสมกับท่านเจ้าเมืองลั่วให้ได้"
หยางหลงกลับส่ายหน้า "มิใช่ เจ้าคือเทพกวางทองแห่งป่าสีทอง ข้าต่างหากที่จะต้องเพียรทำความดี เพื่อให้เทพแห่งป่าสีทองยอมรับ" ชายหนุ่มหันมาชวนลู่ชิมขนมที่เตรียมมา "กินขนมเถอะ ข้าจะติดไฟ จะได้เตรียมอาหารเย็น เจ้าอยากกินอะไร"
"มิได้นะ" ลู่กล่าวด้วยน้ำเสียงเล็ก ๆ "ท่านติดไฟ ข้าจะเป็นคนแสดงฝีมือเอง แล้วพรุ่งนี้พวกเราไปเที่ยวทุ่งดอกผีเสื้อกัน"

เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่ทันไรก็ห้าเดือนผ่านพ้น หยางหลงส่งหนังสือไปกำชับน้องชายทั้งสองให้เร่งเจรจาการค้า และกลับมาเมืองลั่วให้ทันเวลาอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ทั้งสองคนก็ตอบกลับมาว่าทราบแล้ว และในระหว่างที่กำลังอ่านจดหมายอยู่นั้น มีคนรับใช้เข้ามาแจ้งว่า ฮูหยินขอเชิญเจ้าเมืองกลับไปที่จวนอย่างเร่งด่วน ด้วยมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยม
หยางหลงนึกสงสัย ด้วยหลิวเพ่ยหลิงมิเคยให้ผู้ใดมาเรียกกลับไปที่จวนในเวลาค่ำมืดแล้วเช่นนี้
"ผู้ใดกัน ท่านพ่อตามาจากเมืองหลวงหรือ"
"มิใช่ขอรับ แต่เห็นว่าเป็นผู้ที่มาจากป่าสีทอง"
ฟังเพียงเท่านี้หยางหลงก็เร่งเท้ากลับไปที่จวนเจ้าเมือง
เกิดเรื่องอันใดขึ้น!

....จบบทที่สิบเอ็ด....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 19-03-2017 07:33:18
มาจองพื้นที่ไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 19-03-2017 07:50:55
ดำเนินเรื่องรวดเร็วทันใจดีจริง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 19-03-2017 09:34:54
 :serius2:
ค้างงงง...ใครที่มาจากป่าสีทอง อาจจะเป้นลู่ก็ได้ใช่มั้ยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-03-2017 09:46:08
นั่นสิ เกิดอะไรขึ้น หรือเป็นลู่ที่มาหา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 19-03-2017 10:04:13
เกิดเรื่องอันใดขึ้น!  :m22: :m22:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-03-2017 10:48:07
ขอให้ใครก็ตามที่มา มาด้วยดรื่องดีๆ เถอะนะๆๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-03-2017 12:24:49
เทพกวางแม่ลู่ มาตรวจหลิวเพ่ยหลิง
แล้วมีข่าวจากลู่ด้วยใช่ปะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-03-2017 16:02:15
ใครมา?


ประทับใจความรักของพี่น้องทั้งสองฝั่ง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-03-2017 19:20:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 19-03-2017 20:08:51
ลู่โตขึ้นแล้ว/ตกลงมีแม่ๆเยอะแยะเลยเหรอเนี่ย/ ชอบคำว่า กวางเกเร ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 19-03-2017 21:19:29
อยากอ่านตอนต่อไปเลยได้มั้ย :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 19-03-2017 21:29:36
 :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 19-03-2017 21:35:40
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าค่ะ :katai1:

ลุ้นตอนต่อไปมากๆ ขอบคุณมากค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 20-03-2017 09:05:38

ป๊าดดดดดดดดดด เมียของท่านพ่อเสือ บริหารยังไงกันล่ะนั่น  :a6:

ว่าแต่แลดูมีการเตรียมความพร้อมจะเป็นศรีภรรยาของตัวลู่ ด้วยล่ะ อดทนกันอีกนิดนะทั้งสองคน  o17

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 20-03-2017 10:51:56
ใครกันที่มาจากป่าสีทอง หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากนัก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 21-03-2017 16:13:06
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

ลู่น่ารัก ลู่รู้ตัวด้วยว่าเป็นกวางเกเร แต่เราว่า ลู่เป็นน้องคนเล็กมีแต่คนรุมรักเลย แอบซน ซ่า
ชอบที่พี่น้องเขารักกันดีเนอะ ทั้งสองครอบครัวเลย
อยากเผือกเรื่อง ท่านพ่อเสือโคร่งกับแม่เล็กจัง   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 23-03-2017 10:52:42
"มิใช่ เจ้าคือเทพกวางทองแห่งป่าสีทอง ข้าต่างหากที่จะต้องเพียรทำความดี เพื่อให้เทพแห่งป่าสีทองยอมรับ"  คำพูดนี้นึกถึง ซู่ซู่และสี่เซียนใน ตำนานเดชนางพญางูขาวเลย คนนึงเป็นปีศาจบำเพ็ญเพียรอีกคนเป็นมนุษย์ ห่างกันเพียงแค่ เจดีย์เหลยเฟิง กั้น เศร้าแน่ๆถ้าลู่กับหยางหลงต้องห่างกันแบบนั้น แง๊ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 26-03-2017 11:49:37
อ่าววว ยังไงกัน

รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 27-03-2017 20:37:36
 :hao7:เกิดอะไรขึ้นนนน..
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 27-03-2017 21:06:17
 :z13: :z13:

ปลุกน้ำชามาแปะกวางทองไวๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 27-03-2017 21:47:24
ลุ้นๆ รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-03-2017 01:53:04
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่าาาา :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 29-03-2017 10:16:07


วันนี้จะมาป่าวน๊อ  รออยู่จ้า  :mew1:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 29-03-2017 18:06:49
 :katai5: :katai5:

พี่มารอกวางน้อยที่ชายป่าสีทองทุกวันเลยยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 29-03-2017 19:33:50
กรี๊ดดดดดดดใครมาเจ้าคะ ตื่นเต้นอยากจิอ่านต่อแล้วว  :katai1: :hao5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 31-03-2017 10:20:20
 :z2: :z2:
 
มาเต้นรอกวางทอง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 31-03-2017 11:41:03
น้องลู่.... มาเถอะ  เรามีของกินมาฝากนะ
เราเพิ่งกลับมาจากเชียงใหม่ เรามีผลไม้ เรามีขนมมาเยอะเลย
มาเถอะนะ  เราคิดถึง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่11 (P11-190360)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 31-03-2017 16:22:50
 o9 รอฉันรอเธออยู่ ~~~~
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 31-03-2017 19:39:32
ภาคกวางทอง

บทที่สิบสอง


นับตั้งแต่หยางติงและเหอชินรุ่ยย้ายออกไป จวนเจ้าเมืองก็มีผู้คนน้อยลงไปหนึ่งในสาม ด้วยหยางหลงเจ้าเมืองคนปัจจุบันมักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ศาลาว่าการเมืองทั้งพักค้างคืนอยู่ที่นั่น 5 คืนในรอบสัปดาห์ ทั้งมักจะออกไปตรวจหมู่บ้านต่าง ๆ ในเมืองด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ
จวนเจ้าเมืองจึงมีเพียงหลิวเพ่ยหลิงฮูหยินเจ้าเมืองลั่ว ที่ทำหน้าที่ดูแลบุตรชายคือหยางเจิ้นขุยเป็นหลัก  หากหลิวเพ่ยหลิงก็มีผู้รับใช้ส่วนตัวเพียง 2 คน หาได้มีคนติดตาม คนรับใช้ และผู้ช่วยมากมายล้อมหน้าล้อมหลังดั่งเช่นเหอชินรุ่ย
หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น หยางหลงที่รู้จักแยกแยะ หาได้มีความคิดที่จะไล่คนติดตามมารดาออกไปสักคน  แต่เป็นหยางไห่ที่ยื่นมือเข้ามาสอบถามกลุ่มคนเหล่านี้ ว่ายังต้องการติดตามไปรับใช้มารดาที่วัด หรือจะไปช่วยงานจัดการร้านค้าในส่วนที่กิจการย่ำแย่ สุดท้ายพวกนางจึงทยอยลาออกไปเอง
ต่อมาการที่หยางหลงไม่ค่อยกลับมาบ้าน และหลิวเพ่ยหลิงสนใจแต่การดูแลบุตร ก็ยังทำให้คนที่มาติดต่อไม่ต้องมารอคอยอยู่ที่จวนเจ้าเมือง สามารถไปยื่นเรื่องไว้ที่ศาลาว่าการเมืองได้ตลอดเวลา
หลายเดือนผ่านไปจวนเจ้าเมืองก็ค่อย ๆ เข้าสู่ความสงบอย่างแท้จริง

ค่ำวันนี้ ที่จวนเจ้าเมืองยังมีคนน้อยลงไปอีกจนหยางหลงยังแปลกใจ ที่หน้าประตูใหญ่มีเวรยามอยู่สองคน ถัดเข้ามาด้านในก็มีเพียงคนรับใช้คนหนึ่งที่รับหน้าที่เดินจุดโคมไฟที่ด้านหน้าเรือนพัก และในสวน จากนั้นก็กลับไปพัก เช่นเดียวกับคนรับใช้ชายที่ไปหาหยางหลงที่ศาลาว่าการ เมื่อเดินนำกลับมาถึงเรือนต้นส้ม ก็ค้อมตัวกลับไปเช่นกัน
หยางหลงยังคงพักอยู่ที่เรือนต้นส้มหลังเดิม ส่วนหลิวเพ่ยหลิงกับหยางเจิ้นขุยย้ายไปพักอยู่ที่เรือนต้นหลิวที่อยู่ถัดไปจากเรือนดอกโบตั๋น แม้นางจะดูแลหยางหลงด้วยตนเองเหมือนที่ผ่านมาก็ตาม

หยางหลงอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองกลับไปที่เรือนรับรองดอกโบตั๋นที่ปิดเงียบมานาน ก่อนที่จะหันมาเปิดประตูเรือนพักของตนเองเข้าไป
หญิงรับใช้ของหลิวเพ่ยหลิงที่ยืนรออยู่ แจ้งว่า ฮูหยินและแขกที่มาพบรออยู่ที่ห้องพักของฮูหยินที่ชั้นบน หยางหลงจึงถามถึงบุตรชาย นางตอบว่าอยู่กับนางพี่เลี้ยง ชายหนุ่มบอกให้หญิงรับใช้กลับไปพักผ่อนจากนั้นจึงก้าวขึ้นไปที่ชั้นบน

ภายในห้องนอนเดิมของหลิวเพ่ยหลิงในยามนี้ นอกจากหลิวเพ่ยหลิงแล้ว ยังมีแขกที่มารออยู่ คือนางเทพกวางสายลม และลู่
ทั้งสามคนหาได้สนทนากันในระหว่างที่รอหยางหลง เมื่อชายหนุ่มก้าวเข้ามา ทั้งนางเทพกวางสายลม และหลิวเพ่ยหลิงก็ดูผ่อนคลายลง ส่วนลู่หันมายิ้มกว้างทักทาย
สายตาของหยางหลงหยุดอยู่ที่ลู่นับตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง จนกระทั่งนางเทพกวางกระแอมเตือน เจ้าเมืองลั่วถึงได้หันมาทำความเคารพ
เวลาเพียงไม่กี่เดือนที่มิได้พบกัน ลู่เติบโตไปเป็นชายหนุ่มผู้งดงามยิ่ง ใบหน้านั้น คิ้ว ดวงตา จมูก ริมฝีปาก เรือนผม และผิวล้วนงดงาม โดยเฉพาะรอยยิ้ม ช่างงามยิ่งกว่าทุกสิ่งใดในโลกที่ว่างาม
จิตวิญญาณของหยางหลงล่องลอยเข้าไปอยู่แทบเท้าของชายหนุ่มผู้นี้ จนกระทั่งได้ยินเสียงหลิวเพ่ยหลิงเรียกชื่ออีกครา หยางหลงจึงได้สติ หันมากล่าวคำทักทาย

นางเทพกวางสายลมพยักหน้ายอมรับว่า การแสดงออกของหยางหลงเมื่อได้พบลู่ครานี้ ทำให้นางมีความพึงพอใจมิใช่น้อย แต่นางมิได้พาบุตรชายมาที่นี่เพื่อให้เจ้าเมืองลั่วทำตาหวานเชื่อมใส่
นางมาเพราะคำอธิษฐานของหลิวเพ่ยหลิง ที่ยังต้องขอความร่วมมือจากทั้งสองคน เมื่อหยางหลงนั่งลงที่เบาะและมีท่าทีว่าจะดึงจิตวิญญาณกลับมาได้บางส่วน นางเทพกวางสายลมจึงบอกให้หลิวเพ่ยหลิงเป็นคนกล่าวคำ

"หลิวเพ่ยหลิงฮูหยินเจ้าเมืองลั่วอธิษฐานต่อข้า นางรักษาสัญญาไม่บอกคำอธิษฐานนั้นต่อเจ้า ข้าก็รักษาสัญญาไม่บอกลู่ก่อนเช่นกัน อยากให้ฟังพร้อมกัน แล้วตัดสินใจว่าจะคิดเห็นเช่นใด หากไม่เห็นด้วยพวกเจ้าย่อมมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ"

แม้นางเทพกวางจะเริ่มต้นเช่นนี้ แต่ทุกคนรู้ดีว่า เมื่อผู้อธิษฐานรักษาสัญญา แต่หากผู้รับคำอธิษฐานนั้นมาแล้วไม่ปฏิบัติตาม ผลเสียหายย่อมตกอยู่กับผู้รับคำอธิษฐานนั้น

หลิวเพ่ยหลิงเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงเรื่องราวค้างคาใจของนาง ตั้งแต่เรื่องการสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองลั่ว การให้กำเนิดหยางเจิ้นขุย ความต้องการให้สามีรับภริยาอีกคนหรือหลายคนเพื่อให้มีทายาทที่ถูกต้อง การฝากความหวังทั้งหมดทั้งมวลไว้ที่หยางเจียเจิง แล้วก็สูญเสียหยางเจียเจิงไป นางมิอาจสนับสนุนให้บุตรคนเล็กเป็นเจ้าเมืองได้ และไม่เห็นหนทางอื่น จึงอธิษฐานกับนางเทพกวางสายลม เพื่อขอบุตรผู้สืบทอดตระกูลหยาง
หลิวเพ่ยหลิงกล่าวย้ำหลายครา ว่าเรื่องนี้เป็นความต้องการของนางเอง ส่วนนางเทพกวางสายลมมิได้กล่าวสิ่งใดที่เป็นการโน้มน้าวการตัดสินใจ

หยางหลงมองฮูหยินด้วยความตกใจพยายามจะขัดหลิวเพ่ยหลิงหลายครา แต่นางเทพกวางสายลมขอให้หยางหลงฟังให้จบ ส่วนลู่นั้นตกใจยิ่งกว่า ดวงตาสีทองที่มองมายังอีกสามคนในห้องเต็มไปด้วยความสับสน

"ขอบุตรผู้สืบทอดตระกูลหยางจากป่าสีทองคืออะไร"

นางเทพกวางสายลมกล่าวตอบ "ใช้น้ำเชื้อของท่านเจ้าเมืองกับเจ้าไปฝากในครรภ์ของเพ่ยหลิง"
"ข้าหรือ"
นางเทพกวางสายลมย้อนถาม "หรือจะให้ใช้น้ำเชื้อของผู้อื่นกับท่านเจ้าเมือง เจ้ายอมหรือ"

ลู่หน้างอใส่มารดา "ขอคุยกับท่านเจ้าเมืองก่อนได้หรือไม่" ไม่รอให้มีผู้ใดกล่าวอนุญาต ลู่ก็ลุกขึ้นแล้วก้าวเดินออกไปรอที่ด้านนอกห้อง 
จากที่ยืนอยู่ก็มิได้ไกลเกินกว่าที่คนในห้องจะได้ยินบทสนทนา เพราะลู่ต้องการซักถามหยางหลงโดยที่ไม่ถูกมารดา หรือ ฮูหยินขัดจังหวะ
"ท่านรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือไม่"
"ไม่" หยางหลงกล่าวความจริง "แต่ข้ารู้ว่านางเป็นทุกข์ เรื่องบุตร เรื่องครอบครัว หากข้าก็มิต้องการที่จะรับภรรยาหรืออนุอีก"
"เพราะอะไร เพราะท่านรักนางมากจนไม่อาจกอดใครได้อีกหรือไง" ลู่ไม่เคยโกรธใคร แต่เมื่อน้ำเสียงที่ห้วนกว่าเดิมและแววตาเช่นนี้ ก็ชัดเจนมากเกินพอว่าลู่กำลังโกรธมาก
หยางหลงจับมือของลู่ไว้ "ก่อนนี้ข้าไม่ต้องการกอดใคร ไม่มีความต้องการที่จะมีภริยาหรือมีบุตรอีก ข้าก็แค่รู้สึกว่าข้าพอใจกับความเป็นอยู่เหล่านั้นแล้ว"
"แล้วข้าล่ะ ท่านมายุ่งกับข้าทำไม"
"ข้ารักเจ้า" หยางหลงกล่าวอย่างหนักแน่น แต่ลู่กลับยิ่งขัดใจจนต้องกระทืบเท้า
"ก็ท่านบอกว่า ท่านพอใจกับความเป็นอยู่ทุกวันนี้ มิต้องการจะมีภริยา"
หยางหลงก้าวมาโอบกอดลู่ไว้ เพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นและรับฟังความในใจ
"นั่นเป็นเรื่องก่อนจะพบเจ้า ข้าพอใจกับชีวิตในเวลานั้น แต่เมื่อพบเจ้าที่ป่าสีทองข้าก็พบว่า ข้าชอบเจ้ามากกว่า ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งคาดหวังไปไกล แต่เจ้าก็อยู่สูงยิ่งนัก"
ลู่ทุบที่เอวหนาของอีกฝ่าย ยิ่งฟังคำตอบของหยางหลงแทนที่จะชื่นชมกับคำหวาน แต่กลับยิ่งไม่พอใจ
"ข้ารักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น ข้ามั่นใจว่าข้าแสดงออกต่อเจ้าอย่างชัดเจน แต่เพราะเจ้าอยู่สูง ดังนั้นข้าจึงต้องพิสูจน์ตนเองกับผู้ใหญ่"
"พิสูจน์อะไร"
"พิสูจน์ว่าข้าดีเพียงพอ ข้าสมรสแล้ว การยกให้เจ้าเป็นภรรยาเอกไม่ได้ยุ่งยาก ติดที่ผู้ใหญ่จะคัดค้านหรือไม่"
"แล้วที่ท่านไปหาข้าทุกหกเดือนมานานกว่าสองปี นั่นยังไม่เรียกว่าผู้ใหญ่ยอมรับหรือ คำหวานพวกนั้นของท่านมันคืออะไร ท่านอ้างนั่นนี่มากมาย เพราะที่แท้ท่านก็ต้องการแค่น้ำเชื้อจากข้าเพื่อให้กำเนิดบุตรอีกคนแก่ท่าน เพราะท่านทำไม่ได้แล้ว!"
หยางหลงกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น "อย่านำความรักของข้า ไปปะปนกับคำขอของเพ่ยหลิง"
ลู่กำหมัดทุบแผ่นหลังกว้างของหยางหลง "พวกท่านใจร้ายนัก ทั้งที่ข้าเฝ้ารอวันที่จะเป็นผู้ใหญ่ ได้อยู่กับท่าน แต่ท่านก็กลับ...."
"มิใช่ ลู่ฟังข้านะ" หยางหลงลูบแผ่นหลังของลู่เพื่อให้ใจเย็นลง "ข้ากอดใครไม่ได้ก็จริง แต่ข้าอยากกอดเจ้า รอให้เจ้าเป็นผู้ใหญ่ รอให้ทุกคนยอมรับ ซึ่งนั่นเป็นเรื่องสำคัญมากต่อศักดิ์ศรีและชีวิตของเจ้าเอง ท่านเทพทั้งสามรวมถึงท่านรองแม่ทัพล้วนย้ำเตือนให้ข้ารอวันที่เจ้าพร้อม เพราะมิเช่นนั้นเจ้าจะเป็นอันตราย ดังนั้นต่อให้ข้าต้องการเจ้ามากเพียงใด ข้าก็ต้องเก็บงำความต้องการของข้าไว้ แต่หากทั้งหมดนี้จะทำให้เจ้าเข้าใจผิด ข้าขอโทษ"

หยางหลงและหลิวเพ่ยหลิงไม่มีเรื่องให้เกี่ยงงอนหากจะยกให้ลู่เป็นภริยาเอก เพียงแต่ลู่คือเทพแห่งป่าสีทอง หากต้องกลายเป็นภริยาของชายคนหนึ่งจะเหมาะสมแล้วหรือ ต่อให้เป็นเจ้าเมืองลั่วก็ตาม นอกจากนี้แล้ว ลู่เป็นกวางทองซึ่งเป็นที่รักของเทพและสรรพสัตว์ทั้งป่าสีทอง หากจะมีใครสักคนทัดทานขึ้นมา ลู่ก็คงไม่มีความสุข
ลู่มองดวงตาของหยางหลง จากนั้นหันกลับไปมองมารดาที่อยู่ในห้อง แล้วหันกลับมาถามหยางหลงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
"ข้าถามใจท่าน ท่านคิดเห็นเรื่องขุยเอ๋อร์อย่างไร"
"ขุยเอ๋อร์เป็นบุตรของข้ามิเปลี่ยนแปลง"
"แต่ส่วนลึกในใจของท่านรู้ดีว่าความจริงคืออะไร"
หยางหลงกล่าวย้ำด้วยคำเดิม ว่าหยางเจิ้นขุยคือบุตรของเขาอย่างแน่นอน ลู่พยักหน้าเข้าใจ เพราะความเห็นนี้มิได้ต่างจากเทพกวางสายฟ้า ที่แม้จะไม่ได้เป็นบิดาที่ให้กำเนิดแต่ก็ปกป้องดูแลลู่มาตลอด
"หากมีเพียงน้ำเชื้อของข้าที่ฝากในครรภ์ของฮูหยิน ท่านยอมหรือไม่"
หยางหลงส่ายหน้า นี่กลับเป็นเรื่องที่ยอมมิได้ เขายินยอมเลี้ยงบุตรอีกสักคนหรือหลายคน หลิวเพ่ยหลิงจะตั้งครรภ์กับใครเขากลับไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่เมื่อคิดว่าบุตรนั้นเป็นของลู่กับหลิวเพ่ยหลิง เขากลับยอมรับมิได้
หรือจะเป็นลู่กับสตรีผู้ใด ก็ล้วนทำให้เจ็บปวดใจทั้งนั้น
ลู่ไม่รู้ว่าหยางหลงคิดอะไรอยู่ เพียงแต่มองเห็นดวงตากับสีหน้าท่าทางลำบากใจของหยางหลงก็คิดไปว่า ความคิดของหยางหลงนั้นช่างซับซ้อน
"ที่แท้ท่านอยากให้ข้าทำอะไร ท่านต้องการบุตรหรือไม่" จากความโกรธกำลังกลายเป็นความผิดหวัง
แต่ครานี้หยางหลงกลับพยักหน้าช้า ๆ "หากเป็นข้ากับเจ้า ข้าย่อมต้องการ แต่หากเจ้ามิเต็มใจ ข้าย่อมมีหนทางอื่น"
"หนทางนั้นคืออะไร ท่านจะหลับนอนกับฮูหยินหรือ"
"ไม่" เป็นหลิวเพ่ยหลิงที่ร้องแทรกขึ้นมา
ลู่หันไปมองหลิวเพ่ยหลิง แล้วหันมามองหยางหลง "นี่มิใช่ว่า ที่แท้ท่านมิได้ไม่ต้องการ แต่เป็นเพราะนางมิยินยอมต่างหาก"
"ไม่ใช่ ลู่อย่านำทุกเรื่องมารวมกัน" หยางหลงที่ทำเพื่อผู้อื่นมาตลอด มิเคยต้องกล่าวถึงความต้องการ และความในใจของตนเอง เมื่อต้องมาเปิดเผยเรื่องราวเช่นนี้ย่อมรู้สึกขัดแย้ง และกังวลว่ายิ่งกล่าวจะยิ่งทำให้หลิวเพ่ยหลิงเสียหายหรือไม่ และลู่จะเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮูหยินหรือไม่ "ตั้งแต่มีเจิงเอ๋อร์ข้าก็...ข้าก็...."
"ตั้งแต่ข้าตั้งครรภ์เจิงเอ๋อร์ พวกเราก็มิได้หลับนอนด้วยกันอีก" หลิวเพ่ยหลิงกล่าวขึ้น ความอ้างว้างนั้นทำให้นางหลงกลชายอื่นจนตั้งครรภ์ ขณะที่หยางหลงก็กล่าวโทษตนเอง
เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงเป็นเพียงพี่ชายกับน้องสาวที่คอยดูแลกันและกันเท่านั้น

ลู่คิดทบทวนเรื่องราว พยายามแยกแยะคำอธิษฐานของหลิวเพ่ยหลิงออกจากความคิดของหยางหลง และของตนเอง จากนั้นจึงกล่าวคำ "ข้าให้ได้เพียงน้ำเชื้อเท่านั้น"
ที่จริงลู่กล่าวคำนี้ด้วยน้ำเสียงปกติที่มิได้ดังนัก แต่ทำให้หลิวเพ่ยหลิงดีใจอย่างยิ่งนางถึงกับโขกศีรษะขอบคุณเสียงดังหลายครา จนนางเทพกวางที่อยู่ใกล้กว่า ต้องเข้าไปดึงแขนไว้

สำหรับนางเทพกวางสายลมนั้น รู้สึกหวั่นใจมาตั้งแต่แรก กลัวว่าลู่จะต้องเข้าหอกับหยางหลง ถึงได้สงวนถ้อยคำมากมายไว้  เมื่อได้ยินว่าลู่จะให้เพียงน้ำเชื้อ และหยางหลงก็ตอบรับทำให้นางวางใจไปมาก
มาถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่มีความคลางแคลงใจว่าหยางหลงจะไม่ควบคุมตนเอง
ที่กังวลย่อมเป็นบุตรชายของนางเองต่างหาก
ลู่นั้นจะอย่างไรก็เป็นสัตว์ป่า เมื่อถึงฤดูกาลผสมพันธุ์ ความต้องการย่อมมาก่อนสิ่งใด นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มที่จะทำอะไรตามใจตนเองเหมือนกับเทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดาที่แท้จริงอีกด้วย

นางเทพกวางสายลมเรียกหยางหลงและลู่กลับเข้ามาในห้อง กล่าวถึงขั้นตอนต่าง ๆ พร้อมกำชับว่า ลู่และหยางหลงจะต้องมอบน้ำเชื้อด้วยความเต็มใจ และหลิวเพ่ยหลิงจะดูแลทารกในครรภ์ด้วยความรักเป็นอย่างดีตลอดเวลานับจากนี้
ทั้งสามคนค้อมตัวรับคำสั่ง นางจึงให้หยางหลงพาลู่ไปที่ห้องนอนใหญ่ของหยางหลงที่อยู่ติดกัน

นางเทพกวางสายลมปรายตามองหลิวเพ่ยหลิง ทิ้งเวลาให้หยางหลงและลู่ได้อยู่ด้วยกันสักครู่ จึงบอกให้หลิวเพ่ยหลิงไปอาบน้ำแล้วรออยู่ในห้องนี้ ส่วนตนเองตามไปที่ห้องนอนของหยางหลง
ทั้งสองคนอาบน้ำเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมนอนแล้ว แต่กลับนั่งคุกเข่าหันหน้าเข้าหากัน ทิ้งช่องว่างเบื้องหน้าไว้กว้าง บ่งบอกถึงความตึงเครียดของทั้งสอง
"นี่พวกเจ้ามิได้รักกันหรอกหรือ ถึงได้นั่งอยู่ห่างกันถึงขนาดนั้น"
ไม่มีคำตอบจากทั้งสองคน ด้วยหยางหลงกำลังมองลู่ที่ก้มหน้ามองมือตนเอง
"กวางทอง" มารดาเรียก
"ขอรับ"
"เจ้าจะให้ทายาทที่ดีได้อย่างไร หากเจ้าไม่สร้างเขาด้วยความรัก"
ลู่ยังคงก้มหน้า ทำให้นางเทพกวางถอนหายใจ
"ข้าจะรออยู่ที่หน้าประตู ท่านเจ้าเมือง ข้ามีเวลาจนถึงเที่ยงคืนนี้เท่านั้น หากท่านยังมัวแต่มองหน้าลูกชายข้าอยู่เช่นนี้ ข้าก็คงได้แต่ผิดคำอธิษฐานแล้ว"
"ท่านแม่" ลู่หันมาทำหน้าตาน่าสงสาร ประหนึ่งว่ามารดากำลังจะส่งเข้าเรือนจำ
นางเทพกวางสายลมหรี่ตามอง "เรื่องในห้อง ท่านเจ้าเมืองจะสอนเจ้าเอง ส่วนแม่จะไปรอที่ด้านนอก"

หยางหลงเองก็เครียดและลำบากใจมิใช่น้อย เมื่อนางเทพกวางสายลมบอกว่าจะรออยู่นอกห้อง
หากใครต้องมาพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ย่อมเข้าใจความรู้สึกของหยางหลง
ด้วยเบื้องหน้าคือคนรัก แต่ติดอยู่ที่มารดาของเขาอยู่หน้าห้อง แล้วที่ห้องติดกันคือภรรยาที่รอน้ำเชื้อเพื่อตั้งครรภ์
ช่างลำบากใจ กระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก!
 
เมื่อนางเทพกวางสายลมกลับออกไปแล้ว หยางหลงจึงลุกขึ้นมาหาลู่แล้วดึงขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียงนอน
"กลัวข้าหรือ"
"มิใช่หรอก ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ มันสับสน แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องขอเช่นนี้"
"เพ่ยหลิงน่ะหรือ"
ลู่พยักหน้า "เป็นคำขอที่.....ก็อยากให้ตามที่ขออยู่หรอกนะ แต่มันแปลก ๆ ยิ่งคิดยิ่งไม่น่าวางใจ"
"หากเจ้าไม่ต้องการ" หยางหลงจะลุกขึ้น แต่ลู่จับข้อมือไว้
"มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านจะเลี้ยงดูบุตรของพวกเราเป็นอย่างดี จะไม่ให้เขาเป็นคนเกเร เอาแต่ใจแบบข้าใช่ไหม"
หยางหลงแตะที่ปลายคางของลู่ให้หันมามอง "เจ้ามิได้เกเร หรือเอาแต่ใจ แต่เพราะที่ผ่านมาทุกคนคิดแทนเจ้า ทำให้เจ้าทุกอย่าง ต่อให้มีเรื่องราวที่ผิดพลาดขึ้น พวกเขาซึ่งก็รวมถึงข้าด้วย ต่างก็พร้อมที่จะพาเจ้าออกจากปัญหาแล้วแก้ไขเรื่องเหล่านั้น"
ลู่ย่นจมูก "นั่นมิใช่จะทำให้ข้ากลายเป็นกวางเกเรหรือ"
"ย่อมมิใช่"

หยางหลงชวนพูดคุยให้ลู่มีความผ่อนคลาย เพราะเรื่องนี้หากเป็นคนหนุ่มทั่วไป หรือคนที่มีครอบครัวแล้วอาจมิต้องคิดมากวุ่นวาย หากเป็นหยางเฉิงก็คงยักไหล่ กับยกยิ้มมุมปากแบบคนเจ้าเล่ห์แล้วเดินเข้าหอไปกับฮูหยินคนใดคนหนึ่งในทันที หรือถ้าเป็นหยางไห่ คงหัวเราะเสียงดังแล้วถามกลับว่า ต้องการมากสักเท่าใด
แต่นี่คือครั้งแรกของลู่  หยางหลงจึงคาดหวังที่จะสร้างความประทับใจต่ออีกฝ่าย มิคาด เมื่อเวลามาถึงกลับกลายเป็นการทำตามคำร้องขอ และหน้าที่

ลู่หันมามองคนที่กำลังกล่าวคำอยู่ดี ๆ แล้วก็หยุดกล่าวคำไปเสียเฉย ๆ
"มีอันใด"
"เจ้างามมาก"
ลู่หน้าแดงไปถึงคอ กล่าวคำไม่เต็มเสียง "อันใดกัน จู่ ๆ ก็เปลี่ยนเรื่อง คนอื่นเขากำลังคิดวุ่นวายอยู่นะ"
แต่เพราะสายตาหวานเชื่อมของหยางหลงที่ทำให้ลู่ที่คิดโวยวายยังต้องพลอยสงบคำตามไปด้วย
ที่ผ่านมาหยางหลงก็มักทำสายตาแบบนี้ เคยกล่าวคำชมคล้ายกับแบบนี้
แต่ครานี้กลับทำให้ใจสั่น แม้จะรู้สึกกังวลหลายเรื่อง แต่ก็เชื่อว่า หากปล่อยให้อีกฝ่ายนำทางไป เรื่องราวจะผ่านไปด้วยดี

มือใหญ่ของหยางหลงแตะที่ปลายคางสวยให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบ ที่ไม่ต่างจากจูบที่ผ่านมาแล้วหลายครั้ง แต่มือที่สัมผัสร่างกายกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง
เป็นสัมผัสที่ให้ความรู้สึกดีอย่างยิ่ง และต้องการให้สัมผัสไม่สิ้นสุด จนกลายเป็นความหวาดกลัวใจตนเอง
ร่างกายผอมบางสั่นไหวเบา ๆ หยางหลงจึงเปลี่ยนไปจูบแก้ม และซุกไซ้ที่ต้นคอ ลู่เหยียดกายขึ้นหาส่งเสียงครางแผ่วเบา
มือใหญ่ลากสัมผัสลงไปที่แผ่นหลัง แล้วรั้งสะโพกบางให้เข้ามานั่งอยู่บนตัก
นี่ทำให้ลู่ถึงกับเกร็งตัวดันไหล่กว้างไว้ แต่กลับทำให้เกิดช่องว่างให้หยางหลงแกะสายรัดเสื้อนอก เปิดเผยผิวกายงดงาม
สายตาของหยางหลงที่มองมามีแต่ความชื่นชม เป็นถ้อยคำที่ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใด
หยางหลงช้อนด้านหลังคอของลู่ให้เงยหน้ารับจูบ ขณะที่ฝ่ามือใหญ่สัมผัสที่อกบาง แผ่นหลังแล้วกลับมาบีบนวดที่ต้นขา จูบนี้ยิ่งนานยิ่งร้อนแรงจนแทบหายใจไม่ทัน
เมื่ออีกฝ่ายแกะเชือกกางเกง ลู่ขยับตัวหนี แต่หยางหลงรั้งเอวไว้ บีบนวดก้นกลม แล้วลูบไล้วนมาส่วนหน้าสัมผัสแก่นกาย
ลู่พยายามจะเงยหน้าหนีจูบร้อนของอีกฝ่าย ติดที่มือใหญ่ที่ยังคงดันต้นคอด้านหลังไว้แน่น ได้แต่หลับตามัวเมาอยู่กับรสจูบนั้น จนกระทั่งแท่งร้อนของอีกฝ่ายทาบลงมาหามือใหญ่ของหยางหลงรูดรั้งแก่นกายทั้งสองไปพร้อมกัน
หยางหลงละจูบริมฝีปาก ลงมาขบดูดต้นคอขาว แม้จะรู้สึกดีแต่ความเร่าร้อนที่ลุกลามไปทั่วตัว เสียงร่ำร้องต้องการมากกว่านี้ดังก้องอยู่ทั้งในใจและสมอง ทำให้ลู่ยิ่งหวาดกลัวและพยายามจะดึงมือหยางหลงออก
หัวใจเต้นแรงจนคล้ายจะหลุดออกมาอยู่ที่ด้านนอก
หยางหลงยื้อไว้ด้วยคำหวาน และขอให้วางใจ 
ลู่จิกข้อมือใหญ่ไว้แน่น ปล่อยให้หยางหลงนำทางต่อไปจนกระทั่งในสมองขาวโพลน หยาดน้ำสีขาวหลากท่วมจากส่วนปลายลงมาที่หลังมือ
ลู่หอบหายใจ ก้มหน้าลงแนบกับต้นคอของหยางหลง ริมฝีปากหนาหันมาจูบที่ขมับและแก้มใส
 
หยาดน้ำสีขาวที่ฝ่ามือและหน้าท้องของทั้งสองคน ค่อย ๆ ลอยขึ้นด้านบนแล้วรวมเป็นกลุ่มก้อน เมื่อลู่จะหันไปมองตาม หยางหลงก็ดันใบหน้างดงามให้ซุกที่ต้นคอ ลู่จึงได้ยินเพียงเสียงประตูที่เปิดออกจากนั้นปิดลง
"คืนนี้นอนที่นี่ไหม"
ลู่เงยหน้าขึ้นมองหยางหลง แล้วส่ายหน้า "ข้าจะกลับพร้อมกับท่านแม่"
หยางหลงได้แต่ยอมรับ ทั้งที่ในใจอยากให้อีกฝ่ายอยู่ก่อน "เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าล้างตัว แล้วออกไปรอท่านแม่อยู่ด้วยกัน

หลังเที่ยงคืนเล็กน้อยนางเทพกวางสายลมจึงลงมาจากห้องนอนของหลิวเพ่ยหลิง และดูแปลกใจที่ลู่ซึ่งนอนหนุนตักของหยางหลงอยู่ รีบลุกขึ้นมาในทันที
"ข้าจะกลับไปพร้อมกับท่านแม่"
"ก็ได้" นางเทพกวางสายลมหันไปมองหน้าหยางหลง "อีกหนึ่งเดือนเจ้าค่อยตามไปก็ได้"
หยางหลงยิ้มกว้างด้วยความยินดีจนลู่ต้องลอบทำปากยื่นด้วยความหมั่นไส้อยู่ข้างมารดา จากนั้นหยางหลงจึงเดินไปส่งทั้งสองที่ด้านหน้าของเรือน

กระแสลมแรงพัดเข้ามาหาแล้วหมุนวนรอบกาย เมื่อสายลมนั้นจางหายไป ทั้งสองก็หายไปเช่นกัน

หลายวันถัดมา นางเทพกวางสายลมมาดูอาการของหลิวเพ่ยหลิงตามสัญญา ระหว่างนั้นก็ขอให้พ่อบ้านไปเชิญเจ้าเมืองลั่วมาหารือที่เรือนพักของหลิวเพ่ยหลิง 
แม้นางเทพกวางจะกล่าวคำด้วยท่าทีเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง แต่นี่คือคำขอจากเทพแห่งป่าสีทอง พ่อบ้านเมืองลั่วจึงเร่งฝีเท้าแล้วก็ไปยืนหอบต่อหน้าเจ้าเมืองลั่วอยู่ที่ห้องทำงานในศาลาว่าการ กว่าที่จะกล่าวคำว่า นางเทพกวางมาดูอาการของฮูหยินและขอให้มาเชิญท่านเจ้าเมืองไปพบ
เมื่อต้องวิ่งตามเจ้าเมืองกลับมาที่จวนเจ้าเมืองอีกครา พ่อบ้านก็ตั้งใจไว้ว่า ในคราหน้าทันทีที่นางเทพกวางมาถึงจะให้เด็กรับใช้ในบ้านไปเชิญท่านเจ้าเมืองกลับมาที่จวน
หลังจากที่นางเทพกวางตรวจดูฮูหยินเสร็จก็ขอให้ทุกคนออกไปจากห้อง และขอพูดคุยกับหยางหลงกับหลิวเพ่ยหลิงเป็นการส่วนตัว

"กวางทองน่ะ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ยังคงเป็นเด็กน้อยของพวกเราอยู่เสมอ เราไม่อาจยอมรับให้เขาเป็นภรรยารอง และยิ่งให้เป็นอนุไม่ได้ แต่จะให้เป็นภรรยาเอกก็ไม่ยุติธรรมต่อฮูหยิน....ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร" นางเทพกวางมองเพ่ยหลิงด้วยสายตาครุ่นคิด "มนุษย์ย่อมมีความคิดซับซ้อนกว่าพวกเรา ความคิดของพวกเราคือ หากนี่คือความสุขของลู่กวางทอง พวกเราก็พร้อมสนับสนุน แต่เพราะเจ้าเป็นมนุษย์พวกเราก็ยังลังเลในบางสิ่งบางอย่าง จนแน่ใจว่า เจ้ากับท่านเจ้าเมืองไม่เหลือความผูกพันในแบบสามีภรรยา แต่มีความผูกพันในทางหน้าที่ แล้วมากกว่าหน้าที่นั้นคืออะไร ข้ามองเห็นการที่นางย้ำกล่าวโทษตนเองเรื่องที่ให้กำเนิดหยางเจิ้นขุย แม้นางจะกล่าวกับเจ้าเมืองว่าพร้อมที่จะยอมรับการถูกหย่าร้าง แต่แท้จริงแล้วนางไม่ยอมรับ นางไม่อาจกลับไปเมืองหลวง นางจึงหวังให้เจ้าเมืองรับภรรยาหรืออนุ แต่เมื่อเขาไม่รับ นางจึงหันไปทุ่มเทให้กับหยางเจียเจิง แต่เพราะความขัดแย้งการเมืองทำให้ความหวังของนางสูญเสียไป ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ เรื่องบางอย่างข้ายอมรับได้ ข้ารับรองว่าลู่จะไม่เข้ามาแย่งชิงตำแหน่งใด ๆกับเจ้า ขอเพียงดูแลลูกของเขาให้ดีเท่านั้น"

นางเทพกวางกล่าวรวดเดียวจบตามลักษณะนิสัย แล้วบอกให้นางพักผ่อนให้มาก จากนั้นจึงเดินออกมากับหยางหลง จนถึงที่เรือนต้นส้ม จึงกล่าวขึ้นอีก
"สมรสกับนางเพราะอะไร"
"ข้าไปติดต่องานที่เมืองหลวง แล้วมีแม่สื่อแนะนำผ่านมาทางท่านย่าขอรับ"
นางเทพกวางทำหน้าตาพิกล ที่ดูไปแล้วละม้ายกับลู่อยู่หลายส่วน "มนุษย์นี่ซับซ้อนเสียจริง สมรสกัน มีบุตรด้วยกัน แต่หาได้มีความรัก ครอบครัวถึงได้ดูห่างเหินกันถึงเพียงนี้"

ท่ามกลางแสงแดดอุ่น ๆ ยามเช้า กลุ่มเพื่อนแห่งป่าสีทองมารวมตัวกัน
เมื่อนานกว่าสิบปีก่อน ในกลุ่มนี้ประกอบไปด้วยกวางไพลิน นกยูงทอง และจิ้งจอกไฟ แต่ทันทีที่นางเทพกวางสายลมให้กำเนิดลู่กวางทอง นกยูงทองกับจิ้งจอกไฟก็เลื่อนตำแหน่งของกวางไพลินขึ้นเป็นพี่สาว แล้วลดตำแหน่งของพวกตนเองลงมาเป็นเพื่อนกับกวางทองกันทั้งคู่
ตอนแรก ๆ กวางไพลินก็ยังหัวเราะกับการได้เป็นพี่สาวโดยที่มิได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็มักรู้สึกว่านอกจากตนเองจะต้องเลี้ยงกวางทองที่เป็นน้องเล็กแล้ว ตนเองกำลังเป็นนางพี่เลี้ยงให้กับนางยูงทองกับจิ้งจอกไฟด้วยเช่นกัน

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 31-03-2017 19:40:21
(ต่อ)

"สรุปแล้ว มารดาเทพกวางพากวางทองไปหาเจ้าเมืองลั่วเพื่ออันใด" นกยูงทองถามขึ้น
"ฮูหยินเจ้าเมืองเขาต้องการบุตรน่ะ" ลู่ตอบกว้าง ๆ แต่ปรากฎว่าเพื่อนทั้งสอง รวมไปถึงพี่สาว และ เทพเสือโคร่งศิลาดำที่เฝ้าดูอยู่ห่าง ๆพากันตกใจ
ก็ตกใจถึงขนาดที่เทพเสือโคร่งศิลาดำในร่างของเสือโคร่งตัวใหญ่ต้องก้าวออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ใหญ่
ลู่หันไปมองหน้าตาตื่นตกใจของทั้งสี่แล้วรีบโบกมืออธิบาย
"ใช้น้ำเชื้อของข้ากับท่านหยางไปฝากในครรภ์ของฮูหยิน"
"แล้ว" นกยูงทองยังไม่หายตกใจ "เจ้ารีดน้ำเชื้อเป็นหรือ"
ลู่น้อยแสนซื่อตอบเพื่อนไปตามตรงด้วยการส่ายหน้าแล้วบอกว่า หยางหลงเป็นฝ่ายทำให้
นกยูงทองอึ้งไปครู่แล้วหันไปร้องโวยวายใส่จิ้งจอกไฟ
"เพราะเจ้า เจ้ามันจิ้งจอกไฟร้ายกาจ แก่แดด ชอบมนุษย์แล้วก็ถูกทิ้งกลับมาทุกครา เจ้าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เพราะเจ้าทำให้กวางทองไปชอบมนุษย์ แล้วสุดท้ายกวางทองก็จะถูกทิ้งกลับมาเก็บตัวร้องไห้อยู่ในถ้ำอย่างน่าเวทนาเหมือนกับจ้า"
"กวางทองชอบมนุษย์เหมือนกัน แล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้า" จิ้งจอกไฟพยายามเถียง
จู่ ๆ เทพเสือโคร่งศิลาดำก็คำรามขัดบทสนทนาที่กำลังจะกลายไปเป็นการโต้เถียงกัน
"อย่าเพิ่งรีบตัดสินได้ไหม" กวางไพลินเตือนเพื่อนตัวเล็ก แล้วหันมาหาน้องชาย "ฮูหยินอธิษฐานขอกับมารดาเทพกวางหรือ"
ลู่พยักหน้า "ท่านแม่ก็ถามข้าก่อนนะ ว่าข้าเต็มใจหรือไม่ หากไม่เต็มใจก็จะหาทางอื่น"
"แล้วเจ้าก็รีบตอบตกลงเลยสินะ เจ้ารอโอกาสนี้อยู่ใช่ไหม" นกยูงทองโวยวายต่อ
"นกยูงทองฟังให้จบก่อนแล้วค่อยตัดสินมิได้หรือ" กวางไพลินบอกกับนกยูงทอง แต่กลับพยักหน้าไปทางเทพเสือโคร่งศิลาดำที่เดินเข้ามาใกล้
นกยูงทองโบกมือให้ลู่เล่าต่อ แต่ลู่น้อยที่อ่อนเยาว์กลับสรุปจบง่าย ๆ ว่าหลังจากที่มอบน้ำเชื้อให้แล้วก็กลับมา
"ท่านเจ้าเมืองมิได้ยื้อเจ้าไว้เลยหรือ" กวางไพลินถาม
"ไม่รู้เหมือนกัน" ความรู้สึกอับอายในเวลานั้นมันมีมากจนเกินไป
จิ้งจอกไฟเอ่ยขึ้นบ้าง "เจ้ามิได้รักท่านเจ้าเมืองหรอกหรือ"
ลู่ยังมิทันจะตอบ นกยูงทองก็แสดงความเห็นขัดขึ้นมา "ข้าว่าฝ่ายนั้นต่างหากที่มิได้ชอบลู่ พวกเขาต้องการเพียงทายาทเท่านั้น"
เทพเสือโคร่งศิลาดำคำรามขึ้นอีกครั้ง นกยูงทองก็หันไปเสียงดังกับพี่ใหญ่ และผู้ที่ตัวใหญ่ที่สุดในที่นี้ทันที "ไม่ยุติธรรมเลย ผู้อื่นถามได้ ตอบได้ แสดงความเห็นได้ แต่พอข้าพูดขึ้นมาทีไร ท่านก็ดุทุกครา"
จิ้งจอกไฟช้อนตามองเทพเสือโคร่งศิลาดำแล้วหันมาบอกกับลู่
"เรื่องมันไปไกลจนเกินกว่าจะถามว่าเจ้าคิดกับเขาอย่างไร ตอนแรกก็เหมือนจะทำตามที่ใจต้องการ ต่อมาก็ทำตามหน้าที่ที่มารดาเทพกวางบอก ไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยหรือ"
"ใครแปลก เจ้าเมืองใช่ไหม" นกยูงทองคาดเดาอย่างมั่นใจ
จิ้งจอกไฟหันมาตอบทันที "ข้าหมายถึงกวางทองต่างหาก ถ้าเจ้าเป็นแบบนี้ ความรักของเจ้าจะเติบโตได้อย่างไร"
นกยูงทองย่นจมูก "ความรักจะเติบโตหรือไม่มันขึ้นอยู่กับทั้งสองฝ่าย กวางทองยังเด็ก อายุยังไม่ถึงสิบแปดปีด้วยซ้ำ แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่รู้จักมนุษย์ รักแรก จูบแรก แล้วก็ถูกล่อลวงครั้งแรก"
เทพเสือโคร่งศิลาดำคำรามเสียงต่ำ ๆ นกยูงทองก็ยิ่งพูดเสียงดังจนเหมือนตะโกน "ข้าพูดความจริง เมื่อกวางทองรับคำอธิษฐานของเขา แล้วปรากฎว่าทั้งท่านบิดาเทพเสือ พี่ใหญ่ ท่านแม่เล็กทุกคนล้วนกระโดดลงมาให้ความช่วยเหลือ เจ้าเมืองลั่ววิเคราะห์แล้วว่าต่อไปหากได้ทายาทจากกวางทอง เขาย่อมได้ความมั่นคงในระยะยาว" เทพเสือโคร่งศิลาดำคำรามเสียงดังจนนกยูงทองกระโดดตัวลอย แต่ก่อนที่จะหนีไปยังร้องตะโดนทิ้งท้าย "กวางทองมีความสามารถพิเศษเรื่องการรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น ถึงได้ระแวงไม่ไว้ใจ ข้าไม่ได้คิดเอาเองนะ"

เจ้านกยูงทองจากไปแล้ว เทพเสือโคร่งศิลาดำเดินเข้ามาใกล้ ใช้จมูกดันที่ไหล่ของลู่ ขณะที่จิ้งจอกไฟ จับมือเพื่อนไว้ "คนที่อธิษฐานขอคือฮูหยินไม่ใช่หรือ" ลู่พยักหน้า จิ้งจอกไฟก็กล่าวช้า ๆ "เขาเป็นคนละคนกัน จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ด้วยคำสั่งแบบนี้ มันทำให้น่าสงสัยก็จริง แต่ค่อย ๆคิดนะว่า ที่เจ้าทำตามคำอธิษฐานก็เพราะอีกฝ่ายคือคนที่เจ้าชอบ เขาเองก็เหมือนกัน ที่เขายอมก็เพราะอีกคนคือเจ้าใช่หรือไม่ ส่วนไอ้เรื่องแผนการอะไรนั่น มาถึงขั้นนี้แล้ว เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว"
ลู่พยักหน้าเห็นด้วยกับทุกคำของเพื่อน
"นกยูงทองคงไม่อยากเห็นเพื่อนสองตัวอกหักจากมนุษย์เหมือนกันน่ะ" จิ้งจอกไฟกล่าวเสียงแผ่วเบา
ลู่หันไปมองจิ้งจอกไฟแล้วมองต่อไปที่เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้เป็นพี่ชาย
ดวงตาสีเหลืองสดใสคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างมนุษย์ในอาภรณ์สีแดงของจิ้งจอกไฟ
....ปัญหาความรักของตนเองเมื่อเทียบกับพี่ใหญ่กับเพื่อนรักคู่นี้แล้ว ต้องถือว่าเป็นเรื่องเล็กไปเลย

...จบบทที่สิบสอง...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-03-2017 19:53:39
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 31-03-2017 21:25:55
หลิวเพ่ยหลิง ที่มาขอลูก
ดูแล้วเหมือนเพิ่มความสำคัญให้ตัวเอง
ทำให้ตัวเองตั้งท้อง มีฐานะเป็นแม่
แล้วยังอยู่ในฐานะภรรยาเจ้าเมืองต่อไป
ไมงั้นก็หมดความสำคัญ
เพราะหยางหลง ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอีก
ใครจะมารับรู้ว่าไม่เได้เกี่ยวข้องฉันสามีภรรยา
เมื่อตั้งท้อง ก็ย่อมเป็นลูกเจ้าเมือง
เลยแปลกๆ ลู่ หยางหลงจะมีลูกไปทำไม
หยางหลง มีเมียง่ายจริงๆ
มีแม่สื่อมาติดต่อทางย่า ย่าให้แต่งก็แต่ง
ไม่มีความคิด ความต้องการเป็นของตนเองเลย ประหลาดมาก
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 31-03-2017 21:58:09
คำขอของเพ่ยหลิงทำเอาทุกคนระแวงไปหมด
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 31-03-2017 22:11:51
รอลุ้นเลยว่าลูกของลู่เเละหลงจะน่ารักเเค่ไหน จะได้นิสัยพ่อคนไหน...5555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 31-03-2017 22:31:18
เหมือนจะเรียบง่าย แต่กลับซับซ้อนยิ่งนัก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 31-03-2017 23:18:28
อ่านตอนนี้ ต้องสมัครมาตอบจริงๆ

ไม่รู้ว่าจะโทษความเด็กและความไม่เข้าใจของลู่หรือ
นิสัยของหยางหลงไม่เคยต้องบอกถึงความในใจของตนเองหรือ
ความต้องการของฮูหยินที่อยากให้ผู้สืบทอดมีสายเลือดของหยางหลงจริงๆ

แล้วก็กลายเป็นว่าทำเพื่อทำหน้าที่ ไม่ได้ตามความรัก เกิดข้อกังขาในความรัก
แต่ก็อย่างที่จิ้งจอกไฟว่า ผ่านมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ได้แต่ต้องเดินหน้าต่อไป

ปล.ช่วงท้ายๆ จิ้งจอกไฟกับเทพเสือโคร่งศิลาดำต้องมีเรื่องอะไรกันแน่นอน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 31-03-2017 23:42:19
โห....ตกใจกับเรื่องของฮูหยิน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 01-04-2017 07:06:14
รู้สึกแปลกๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: lilowria ที่ 01-04-2017 09:15:57
ทำไมคนแต่งได้หน่วงอย่างนี้ ขอตอนที่บอกเลยว่าหลิวเพ่ยหลิวชั่วหรือไม่เลยได้ไหม TT มันแบบรู้สึกค้างคามาก แม่กวางเทพสายลมนี่ก็กระไร ให้ลู่คลอดลูกด้วยตนเองยังดีกว่า เห็นความสำคัญผิดประเด็นไปแล้ว อีกหน่อยลูกที่ออกมาคงไม่เห็นความสำคัญของลู่ แล้วฝ่ายที่เจ็บปวดก็คือลู่ไง ฮือออ คนเขียนช่วยแง้มประเด็นเพ่ยหลิงที~~~อยากให้นางเผยธาตุแท้ด้านมืดออกมาสักนิดให้คนอ่านเห็นแม้เพียงนิดก็ยังดี
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 01-04-2017 09:17:18
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 01-04-2017 10:36:21
อย่างนี้เท่ากับหลิวเพ่ยหลิงก็จะได้ลูกแฝดใช่ไหม เพราะใช้น้ำเชื้อจากหยางหลงกับลู่นี่นา :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 01-04-2017 11:53:34
ไม่รู้ฮูหยินคิดยังไงถึงจะได้ยอมตั้งท้องให้ลู่กับหลางหลงแบบนี้ ก็อย่างว่าล่ะมันทำให้ระแวงจริงๆ
เพราะไม่รู้ว่าความคิดและการกระทำมันจะตรงกับที่พูดเอาไว้หรือเปล่าเนี่ยซิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 01-04-2017 14:15:51
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

อ่านไป ระแวงไป อย่างที่แม่ลู่บอก มนุษย์มีความคิดซับซ้อนนัก
หวังว่า นางเทพกวางทองคงมองสถานการณ์ทะลุว่า เจตนาจริงของฮูหยินเป็นอย่างไร
ตอนที่แล้ว เราอยากเผือกเรื่องท่านเทพเสือโครงกับแม่เล็ก
ตอนนี้ เราอยากเผือกเรื่องจิ้งจอกไฟกับเทพเสือโคร่งศิลาดำอีก...ทำไมเรานิสัยไม่ดีเยี่ยงนี้ 555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 02-04-2017 00:47:11
อ่านละรู้สึกว่านังฮูหยินนี่ร้ายลึกมากๆๆๆๆๆๆ  นังนี่แหละที่จะทำให้เรื่องยิ่งซับซ้อน  :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 02-04-2017 09:40:20
อ่านเหตุผลของหลิวเพ่ยหลิงแล้ว ก็ยังระแวงนางอยู่ตลอดเวลา
กวางทองใสซื่อมากๆ ขนาดอยู่ในฉากแบบนั้น เราก็ยังรู้สึกว่า กำลังอ่านฉาก เด็กที่กลัวการฉีดวัคซีน 55 น่ารักน่าชัง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 02-04-2017 14:04:28
ฮูหยินนี่ยังไง แปลกๆแฮะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 04-04-2017 11:33:58

เอาเรื่องลูกมาต่อรองกับอนาคต ทำไมดูเห็นแก่ตัว

ที่เฉยๆคือรอโอกาสมาตลอดซินะ เพ่ยหลิงร้ายกาจเกินไปแล้ว :mew5:

และคงคิดว่าเป็นต่อที่เห็นว่าลู่ยังเด็กแน่ๆ โว๊ะ เจอสายโหดของตระกูลเสือแน่ถ้าทำอะไรลู่

คาใจ อยากอ่านตอนต่อไป  :hao5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 04-04-2017 22:48:00
มาขอแปะไว้ก่อน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-04-2017 10:41:51

ก๊อกๆๆๆ มารอจ้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 07-04-2017 16:00:32
เราปล่อยให้ลู่ไปเล่นน้ำสงกรานต์ก็ได้
กลับจากเที่ยวแล้ว แวะเอาขนมมาฝากเราด้วยนะ
เราคิดถึง... :impress3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: dellyamin ที่ 07-04-2017 19:56:08
โอ้ เรื่องราวมันช่างซับซ้อน มารอตอนใหม่จ้าาาา-------
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 07-04-2017 20:35:57
จิ้งจอกไฟคงจะซนเหมือนลู่ 5555 ส่วนเรื่องหลิวเพ่ยหลิง มีความรู้สึกว่าที่นางขอบุตรเพราะต้องการความมั่นคง สิ่งที่ยึดเหนี่ยวหยางหลง และตำแหน่งของนาง หวังว่าคงไม่เลี้ยงลูกให้ออกมาเป็นหอกข้างแคร่ของลู่และหยางหลงหรอกนะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-04-2017 10:09:20


 :z12:  :z12: ลู่น้อยไปวิ่งเล่นที่ไหนกลับมาที่เล้าด้วยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 11-04-2017 05:43:01
รอน้องลู่ มาก่อนสงกรานต์นะ Please...

 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 11-04-2017 09:46:34

เข้ามารอแบบสงบเสงี่ยม   :mew1:  :mew1:




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 11-04-2017 11:44:51
มารอกวางทองงง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 11-04-2017 13:15:54
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 12-04-2017 12:48:45
ลู่น้อยกลับมาหรือยัง
เราใส่คอกระเช้า กะ โจงกระเบน รอสาดน้ำอยู่นะ
มาเหอะ  เราคิดถึง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 12-04-2017 12:51:11
มารอ~~~~~ อากาศร้อนมาก อยากได้นิยายปลอบใจ 55
พรุ่งนี้สงกรานต์น้องลู่จะแอบไปเที่ยวรึเปล่า ตอนใหม่จะมาไหมน้า~~~
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่12 (P12-310360)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 12-04-2017 12:59:41
มาอ่ะยังงง
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 12-04-2017 13:01:30
ภาคกวางทอง

บทที่สิบสาม

คนรับใช้ของจวนเจ้าเมืองลั่ว ช่วยหยางหลงเข็นรถบรรทุกของฝากมาถึงปากทางเข้าป่าสีทอง รอจนหยางหลงถวายสุรา และข้าวเปลือกเสร็จก็กลับไป จากนั้นเจ้าเมืองลั่วจึงเข็นรถบรรทุกสิ่งของเข้ามาโดยลำพัง แต่เมื่อมาถึงจุดที่ลู่เคยยืนรออยู่กับกวางไพลิน และเทพเสือโครงศิลาดำ ยามนี้กลับพบแต่เพียงเทพเสือโคร่งศิลาดำยืนรออยู่เพียงผู้เดียว
เทพเสือโคร่งผู้นี้สีหน้ามิได้แสดงอารมณ์ใด ๆ เมื่อเห็นว่าหยางหลงมาถึง ก็ตรงเข้ามาช่วยเข็นรถ
"ลู่ ไปไหนหรือขอรับ"
เทพเสือโคร่งศิลาดำเพียงส่ายหน้า ดวงตายังคงมองตรงไปข้างหน้า และไม่ได้กล่าวถ้อยคำใดอีก

เมื่อไม่มีลู่เดินคุยไปด้วยกัน เวลาประมาณหนึ่งชั่วยามที่เดินไปยังที่พักของเทพกวางทั้งสองก็ทำให้รู้สึกว่าหนทางนั้นช่างยาวไกล ทั้งใช้เวลานานกว่าที่เป็นมา

ระหว่างที่เดินไปนั้น หยางหลงพบจิ้งจอกไฟตัวเล็กหมอบรออยู่ด้านข้าง ใกล้กันจึงเป็นนกยูงที่เกาะคบไม้สูงมองลงมา

ที่จริงสมควรเรียกว่า หยางหลงมองเห็นแล้ว และมองผ่านไป แต่ที่ต้องหันไปมองซ้ำก็เพราะเทพเสือโคร่งศิลาดำที่เดินมาด้วยกัน จ้องมองทั้งสองไม่วางตา
และเมื่อหันกลับไปมองครานี้ ก็ทำให้สบตากับนกยูงเข้า  เจ้านกยูงสะบัดหน้าแล้วแพนหางงดงามจนต้องหยุดมองด้วยความตกตะลึง
นกยูงทั่วไปจะขนหางเป็นสีเขียวหรือฟ้าเป็นหลัก แต่นกยูงตัวนี้มีสีทองเป็นหลัก มิใช่สีทองทั้งตัว แต่มีสีทองเป็นส่วนใหญ่แล้วแต่งแต้มด้วยสีขาว และสีฟ้าเพียงเล็กน้อย หยางหลงได้คำตอบในใจ ว่านี่คือนกยูงทอง เมื่อนกยูงทองงดงามถึงเพียงนี้แล้วเจ้าจิ้งจอกสีแดงตัวเล็กนั่นจะมีลวดลายอันใดมาอวด
แต่จิ้งจอกไฟที่นอนหมอบอยู่ด้านข้างก็ขยับตัวเพียงเล็กน้อยที่ดูเหมือนจะกำลังถอนหายใจ มากกว่าจะอวดความงามของตนเอง
เพราะเทพเสือโคร่งศิลาดำไม่ใช่คนช่างพูด เดินมาด้วยกันตั้งนานก็ไม่ได้คุยกัน จะถามว่าทั้งสองคือเพื่อนของลู่หรือไม่ ก็รู้สึกเกรงใจ

นกยูงทองที่งดงามหันมามองหยางหลงที่หยุดเท้ายืนมองซ้ายขวา ก็ส่งเสียงร้องดังก้องป่าด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็สะบัดหน้ากระโดดลงจากคบไม้ เดินจากไปโดยมีจิ้งจอกไฟเดินไปด้วยกัน

ท่าทีเช่นนี้ทำให้หยางหลงวางความเกรงใจ หันไปถามเทพเสือโคร่งศิลาดำ ว่านกยูงทองที่สวยงามนั่นไม่พอใจที่เขาหยุดยืนมองใช่หรือไม่ แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับส่งสายตาที่แสดงความเห็นใจ พลางส่ายหน้า ตบท้ายด้วยเสียงถอนหายใจมาให้
"แปลว่า ข้าน้อยทำท่านนกยูงโกรธหรือ โกรธเรื่องใด เขาไม่ชอบให้มองหรือ" หยางหลงถามย้ำ แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับเดินนำไปก่อน หยางหลงจึงหันกลับมาร้องกล่าวคำขออภัยไปยังทิศทางที่นกยูงทองและจิ้งจอกไฟเดินจากไป แล้วเร่งฝีเท้าตามเสือโคร่งศิลาดำออกมา

ที่ผ่านมาหยางหลงมีลู่คอยทำหน้าที่แปลภาษาต่าง ๆ ของเทพและสัตว์ป่าในป่าสีทองให้รับรู้ ยามนี้ได้แต่พึ่งตนเอง ทั้งการตีความภาษาของเทพเสือโคร่งศิลาดำผ่านสีหน้า แววตา และท่าทาง ไปจนถึงเพื่อน ๆ ของลู่ด้วยเช่นกัน

คิดไปคิดมาก็วนกลับมาที่เดิมว่า ลู่ไปที่ใด 

เมื่อมาถึงเขตที่พักของเหล่าเทพกวางแห่งป่าสีทอง เทพเสือโคร่งศิลาดำก็หยุดเดินแล้วหยิบไหสุราดอกท้อสองไหขึ้นมา ใช้สายตาที่แสดงความเห็นใจหยางหลงอีกครา ตบไหล่อีกครั้ง แล้วก็เดินจากไป
สำหรับผู้ที่ไม่พูดไม่จาอย่างเสือโคร่งศิลาดำแล้ว การที่มารอรับที่หน้าปากทาง จนมาถึงสีหน้าท่าทางเหล่านั้น ล้วนแต่ตอกย้ำว่ามีเรื่องหนักหนาสาหัสรอหยางหลงอยู่ข้างหน้า แต่มิว่าจะถามอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบ นั่นยิ่งทำให้หยางหลงยิ่งเป็นกังวล
หลังการทำความเคารพและถวายของที่นำมา นางเทพกวางสายลมก็ถามไถ่ถึงผู้คนที่เมืองลั่วว่าเป็นอย่างไรบ้าง หยางหลงตอบทุกคำถาม แต่เมื่อถามไปว่าลู่อยู่ที่ใด นางเทพกวางสายลมหันไปสบตากับเทพกวางสายฟ้า หยางหลงจึงเปลี่ยนคำถามว่า ลู่มิได้บาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยใช่หรือไม่ นางเทพกวางจึงยิ้มและตอบว่าลู่มิได้บาดเจ็บและมิได้เจ็บป่วย แต่ก็มิได้กล่าวว่าเพราะอะไรลู่ถึงไม่มารอรับ หยางหลงจึงกลับออกมาด้วยความไม่เข้าใจ

หยางหลงกลับมาถึงกระท่อมก็ยังไม่พบลู่ จึงคิดว่า หากไม่ได้กำลังถูกทดสอบ ก็กำลังถูกเกลียดชังจนไม่อยากพบเจอ
ชายหนุ่มลงมือทำความสะอาดที่พัก จัดเรียงสิ่งของที่จัดเตรียมมา จากนั้นก็รดน้ำต้นไม้ และแปลงผักเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านข้างกระท่อม ยังไม่ถึงชั่วยามก็ไม่มีงานการอันใดให้ต้องทำอีก จึงเดินดูรอบ ๆ แล้วกลับมานั่งรออยู่ที่หน้ากระท่อมนั่นเอง

หากเป็นเรื่องการงาน เทพเสือโคร่งศิลาดำก็คงบอกให้รู้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อลู่มิได้บาดเจ็บ และไม่ได้เจ็บป่วย เช่นนั้นก็แสดงว่ามีเรื่องที่ทำให้ไม่อยากมาพบเจอ แล้วเรื่องนั้นคืออะไร เมื่อคิดย้อนกลับไป ก็มีเพียงเรื่องในคืนนั้น
หยางหลงกล่าวโทษตนเองในทันที ว่ามิได้ทนุถนอมอีกฝ่ายมากพอ เพราะมัวแต่กังวลที่นางเทพกวางสายลมซึ่งเป็นมารดาของลู่ยืนอยู่หน้าห้อง และลู่เองก็ยังดูคล้ายไม่แน่ใจบางอย่าง จึงมุ่งมั่นเพียงขอน้ำเชื้อจากลู่
คิดไปคิดมาหยางหลงได้แต่ตบหน้าตนเอง โทษฐานที่ไม่ได้ใส่ใจความรู้สึกของอีกฝ่าย
ตั้งแต่ต้นมาทุกสิ่งบ่งชี้ชัดเจนอยู่แล้วว่าลู่ยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก ยิ่งไม่พูดอะไรก็ยิ่งทำให้เข้าใจผิด

เมื่อครั้งที่มาแนะนำตัวเมื่อสองปีก่อน นางเทพกวางสายลมก็ปล่อยให้คุกเข่ารออยู่หลายชั่วยาม มาครานี้คงมิใช่นางเทพกวาง แต่น่าจะเป็นลู่กวางทองผู้งดงามผู้นั้น
หยางหลงตัดสินใจแล้วว่า คราวนี้จะให้รอนานเพียงใดก็จะรอ

เช้าวันถัดมา หยางหลงเดินเท้าไปยังเชิงเขาเทียมฟ้าที่พำนักของอาจารย์เทพสูงสุด เพราะคาดว่าลู่อาจจะอยู่ที่นี่ แม้จะรู้ว่า เมื่อมาถึงช่วงหนึ่งจะไม่สามารถปีนป่ายต่อไปได้อีกก็ตาม

ที่เชิงหน้าผาสูงลิ่วแห่งนั้น
หยางหลงยืนมองอยู่ครู่ใหญ่แล้วใช้เวลาอีกหลายชั่วยามเพื่อเดินวนรอบหนึ่ง หน้าผาที่เรียบลื่นดั่งกระจก ไม่มีหนทางให้ปืนป่าย สุดท้ายชายหนุ่มจึงต้องเดินกลับมาถึงกระท่อมอย่างเหนื่อยล้า เมื่อตื่นนอนขึ้นมาอีกครั้ง ก็เตรียมอาหารและผ้าห่ม ไปปักหลักรออยู่ที่เชิงเขา
อากาศหนาวจัดยามค่ำคืนทำให้ชายหนุ่มต้องขยับตัวเข้าไปใกล้กองไฟ หยิบไม้ฟืนท่อนใหม่เพิ่มเติมอยู่ทั้งคืน
เมื่อแสดงอาทิตย์พ้นขอบฟ้า หยางหลงจึงเป่าลมออกปากแล้วล้มตัวลงนอน ตั้งใจว่าเมื่อตื่นนอนอีกคราค่อยลุกไปหากิ่งไม้แห้งมารอไว้
จะกี่วันกี่คืนก็จะรอ....

กลางวันที่อบอุ่นและกลางคืนที่เหน็บหนาวยังคงหมุนเวียนไป แม้ชายหนุ่มจะรักษาสุขภาพด้วยการใช้เวลาหลายชั่วยามเพื่อเดินวนรอบหน้าผาสูงชันอยู่ทุกวัน แต่ร่างกายมนุษย์ไม่อาจต้านทานสายลมที่หนาวเย็นในยามค่ำคืน สุดท้ายจึงเริ่มป่วย
หยางหลงรู้ตัวว่าไม่ได้ป่วยหนัก ทั้งไม่ได้คิดที่จะมาฆ่าตัวตายที่นี่ เพียงแต่มีความตั้งใจรอให้ลู่มาพบ เพื่อถามให้แน่ใจว่าต้องการให้ทำอย่างไรต่อไป

แต่ขณะที่นอนมองท้องฟ้าในยามค่ำคืน ภาพของดวงดาวที่พร่ามัวลง กองไฟเล็ก ๆ และผ้าห่มที่เตรียมไม่เพียงพอที่จะให้ความอบอุ่นแก่ชายหนุ่ม จึงตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้จะกลับไปหาเครื่องกันหนาวที่กระท่อมแล้วค่อยกลับมาใหม่
"ลู่....." เสียงเรียกหานั้นแผ่วเบาดั่งละเมอ
เงาร่างสองร่างปรากฎขึ้น ความรู้สึกพลันดำดิ่งลงสู่การหลับลึกมิรู้สึกตัว ชายผู้มีรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสีขาวก้าวเข้ามาแบกหยางหลงไว้บนหลัง แล้วพากลับมาที่กระท่อม โดยมีผู้ร่างที่เล็กกว่าสวมชุดน้ำตาลทองตามกลับมาด้วย

หยางหลงตื่นขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ได้ยินเสียงไม้ที่ปะทุไฟจากเตาผิง กับกลิ่นยาแตะที่ปลายจมูก เมื่อลืมตาขึ้น คนที่นั่งมองอยู่ข้างเตียงนอนก็ลุกเข้ามาหาในทันที
"ตื่นแล้ว"
เมื่อได้ยินเสียง และได้เห็นว่าเป็นคนที่รออยู่ หยางหลงก็ยิ้มแย้มดั่งหายป่วย
แต่หมัดเล็ก ๆกลับชกเข้าที่ไหล่ในทันทีที่ลุกขึ้นนั่ง "อย่ามาฆ่าตัวตายที่นี่"
หยางหลงจับมือนั้นไว้ "ข้าไม่ได้อยากฆ่าตัวตาย แต่สำหรับคนไม่เอาไหนอย่างข้าแล้ว ก็มีแต่ตามตื้อเจ้า รอให้เจ้าลดตัวลงมาหาเท่านั้น"
ลู่กัดริมฝีปาก หันหน้าไปทางอื่น
"ข้าเพียงอยากถาม ว่าเจ้าอยากให้ข้าทำอะไรต่อไป ข้าพร้อมที่จะทำทุกอย่างขอเพียงเจ้าบอกมาเท่านั้น"
แต่ลู่ยังไม่ตอบคำถาม
"ลู่..."
"ข้ามิได้สูงส่งขนาดนั้น ก็แค่กวางทองที่จะเด็กก็มิใช่ จะผู้ใหญ่ก็มิเชิง ไม่ค่อยเข้าใจอะไร แล้วก็เอาแต่ใจมากด้วย"
มือใหญ่แตะที่แก้มใส แล้วดึงไหล่เข้ามาสวมกอด
"บอกได้ไหม ว่าอะไรที่เจ้าไม่เข้าใจ เกี่ยวกับข้าหรือไม่"
เมื่อลู่พยักหน้า หยางหลงจึงกล่าวต่อ "เช่นนั้นข้าต้องขออภัยที่ไม่มีความสามารถมากพอ ทำให้เจ้าไม่มีความสุข"
ลู่เงยหน้าขึ้นมองหยางหลงด้วบแก้มที่แดงเรื่อเพราะรู้ว่าคำกล่าวนั้นหมายถึงเรื่องใด
"ไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดหรอก แต่ข้ายังไม่อยากคุยเรื่องนี้ ท่านเทพอาจารย์เพิ่งมาดูท่านเมื่อสักชั่วยามก่อน สั่งไว้ว่าเมื่อท่านตื่นขึ้นมาก็ให้ดื่มยาอีกชามแล้วนอนพัก"
หนุ่มรูปงามเดินไปรินยาจากหม้อต้มมาส่งให้ "เมื่อท่านตื่นขึ้นมาอีกครา พวกเราค่อยคุยกัน....ข้ายังไม่ไปไหน"
หยางหลงรับยามาดื่ม แล้วล้มตัวลงนอนตะแคงเพื่อมองตามอีกคนที่รับถ้วยเปล่าไปวางไว้ แล้วกลับมานั่งลงที่ข้างเตียงนอน
"เหตุใดจึงเรียกตนเองว่าเป็นคนไม่เอาไหน" ลู่ถามขึ้น
"ข้าไม่เอาไหน ทำให้เจ้าโกรธ โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรให้เจ้าโกรธ แต่เมื่อพอจะคาดเดาได้ว่าทำอะไรไม่ดีลงไป ก็กลับไม่รู้ว่าจะพบเจ้าได้อย่างไร สุดท้ายแล้วข้าก็ยังเป็นคนไม่เอาไหน ที่ทำได้แต่เพียงวิธีการเดิม ๆ คือการเฝ้าตามตื้อจนกว่าเจ้าจะหันมา"
"เช่นนั้นข้าเองก็เป็นคนไม่เอาไหนเช่นกัน เพราะข้าก็แค่...ไม่กล้าที่จะรักท่านต่อไปเท่านั้นเอง"
หยางหลงลุกขึ้นนั่ง "ข้าทำอะไรให้เจ้าคิดเช่นนั้น"
คิดว่าอาจงอนเพียงเล็กน้อย แต่หากจะหยุดรักกันนั่นก็เกินไปแล้ว
ลู่ค้อนตาคว่ำ "ท่านมักจะโทษตนเองอยู่ร่ำไป ทั้งที่นี่เป็นความคิดวุ่นวายของข้า"
"หากเรื่องที่เจ้าคิดวุ่นวายเกี่ยวกับข้า นั่นย่อมเป็นความผิดของข้า ที่ไม่อาจทำให้เจ้ามีความมั่นใจว่าข้ารักเจ้า"
ลู่เอียงคอมองหยางหลงแล้วส่ายหน้า "ท่านก็คือท่าน จนถึงบัดนี้ท่านก็ยังคิดกังวลแต่เรื่องของผู้อื่นก่อนตนเอง เหมือนแรกที่ข้าพบท่าน แต่ข้าคือคนที่ ที่ผ่านมาคิดแต่เรื่องตนเอง ตอนนี้ก็ยังคงคิดแต่เรื่องตนเองเหมือนเดิม"
เมื่อกล่าวมาถึงตอนนี้ ลู่กลับยิ้มกว้างแล้วหุบยิ้มอย่างรวดเร็วเมื่อรู้ตัว ว่าทำให้หยางหลงเป็นกังวลจนไม่สบายเช่นนี้สมควรปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น
"ขออภัย"
"ยังไม่ให้อภัย จนกว่าจะบอกว่า เจ้าโกรธข้าเรื่องใด" มือใหญ่บีบจมูกรั้น
"ไม่ได้โกรธท่าน" ลู่บอกแล้วดันไหล่หยางหลงให้นอนลง "ไม่ถามถึงเรื่องหลายวันก่อนหน้านี้ได้หรือไม่"
"ก็ได้" หยางหลงตามใจ "หากเจ้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีก"
ลู่พยักหน้า "เห็นไหม เมื่อครู่นี้เองท่านเพิ่งกล่าวว่าไม่ให้อภัย แต่พอข้าเกเรท่านก็ให้อภัยทันที"
"เช่นนั้นหรือ ข้าจำไม่ได้แล้ว" หยางหลงกล่าวยิ้ม ๆ รู้ดีว่า การที่อารมณ์ดีอย่างง่ายดายก็เพราะลู่นั่นเอง
หนุ่มรูปงามส่ายหน้า "ท่านนอนเถิดข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่"

หยางหลงเป็นคนที่เสมอต้นเสมอปลายโดยแท้ ยังคงเป็นพี่ใหญ่และเป็นเจ้าเมืองผู้ปราศจากความโกรธ ก็ขนาดสูญเสียบุตรชายคนโตไป แต่หยางหลงก็หาได้โกรธแค้นผู้ที่เป็นสาเหตุ
ต่อให้หลิวเพ่ยหลิงทำเรื่องผิดพลาดจนกระทั่งตั้งครรภ์ หยางหลงก็หาได้ลงโทษนาง ทั้งยินดีที่จะดูแลหยางเจิ้นขุย
ลู่แน่ใจว่าหยางหลงเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับหยางเจียเจิง และ หลิวเพ่ยหลิง แต่ก็ไม่ได้โกรธและไม่กล่าวโทษผู้ใดทั้งสิ้น
"บางที การคาดหวังให้ท่านโกรธ หรือบ่นว่าข้าบ้าง อาจเป็นการคาดหวังที่มากเกินไปก็เป็นได้"

สิ่งที่ลู่คิดอยู่นั้นเป็นความจริง เพราะหลังจากที่หลับไปประมาณหนึ่งชั่วยามแล้วตื่นขึ้นมา หยางหลงก็มิได้ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น กลับถามไถ่ถึงการฝึกที่ยากลำบาก และความเป็นอยู่ โดยเฉพาะการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายเดือนมานี้

"ตอนที่สูงอย่างรวดเร็ว เจ้าเจ็บป่วยด้วยหรือไม่ เพราะเหมือนกับว่าเมื่อวันวานเจ้ายังตัวเล็กจนข้าอุ้มได้ด้วยแขนเดียว แต่พอนอนหลับไปตื่นหนึ่งเจ้ากลายเป็นหนุ่มรูปงาม ทั้งสูงขึ้นมาก" หยางหลงกล่าวขณะที่ถักผมเปียให้อีกคน
สายลม และแสงแดดอ่อนยามสาย กับยังมีกวางอีกหลายตัวนอนรับแดดอยู่ห่าง ๆ ช่างเป็นบรรยากาศของป่าสีทองที่หยางหลงคุ้นเคย
"อาจารย์บอกว่า อาจเป็นเพราะที่ผ่านมาข้าพอใจกับการเป็นน้องเล็กที่ทุกคนตามใจมาตลอด ร่างกายของข้าจึงหยุดอยู่เพียงแค่นั้นมาหลายปี แต่พอมาพบท่าน ข้าก็อยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่เร็ว ๆ ร่างกายจึงเติบโตขึ้น"
"หากเจ้าพอใจกับชีวิตในตอนนี้เจ้าก็จะหยุดอยู่เพียงแค่นี้ มิเปลี่ยนแปลงหรือ"
"ก็คงเช่นนั้น เพราะอย่างท่านพ่อกับท่านแม่ทั้งสี่ก็เห็นว่าเป็นเช่นนี้มาตลอด" ลู่หันมามอง "ท่านอยากให้ข้าเป็นแบบไหน"
"เป็นผู้ที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอ" หยางหลงตอบทันที จนลู่เถียงว่าผู้ใดจะสามารถยิ้มแย้มได้ตลอดเวลาเช่นนั้น
"อ้อ.." คนรูปงามนึกขึ้นได้ "ว่าจะถามหลายคราแล้ว เหตุใดท่านถึงชอบข้า"
"เจ้าทำให้ข้ามีความมั่นใจมากขึ้น"
"จริงหรือ" ลู่ยิ้มกว้างด้วยความยินดี แม้จะฟังดูแปลก ๆ "มิใช่เพราะหน้าตาข้าหรือ"
"ข้าพบเจอคนหน้าตาดีมากมาย หากพอใจคนที่หน้าตานั่นคงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจแล้ว แต่ตอนครั้งแรกที่ข้าพบเจ้าที่นี่ แล้วเจ้าก็ยิ้มให้ข้า ทำให้ข้าเชื่อมั่นว่า ทุกปัญหาที่ข้าเผชิญอยู่ ข้าจะสามารถผ่านพ้นมันไปได้"
ลู่หัวเราะคิกคักแล้วหันไปร้องตะโกนเข้าไปในป่า "ได้ยินหรือไม่  เขาบอกว่าชอบข้าเพราะรอยยิ้ม เพราะข้าทำให้เขามีความมั่นใจ เขาชอบข้าจริง ๆ"
มีเสียงนกยูงร้องดังก้องขึ้นมาจากในป่า จากนั้นลู่ก็หันมายิ้มจนดวงตาเป็นประกาย
หยางหลงแตะที่แก้มงาม พอจะนึกออกแล้วว่าเสียงนกยูงที่ขานรับขึ้นมานั้นมาจากที่ใด เกิดอะไรขึ้นลู่ถึงได้ต้องการจะตัดใจ และเพราะอะไรที่ทำให้เปลี่ยนใจกลับมาพบกันอีกครา
แม้ร่างกายจะเปลี่ยนไป แต่เนื้อแท้ข้างในก็ยังคงเป็นเด็กน้อยอยู่เสมอ
เมื่อเราคิดเอาตนเองเป็นที่ตั้งก็หลงลืมไปว่า นอกจากอีกฝ่ายจะเป็นที่รักและถูกตามใจมาตลอด ลู่ยังมีเพื่อนมาก ย่อมรับฟังเสียงของเพื่อนและต้องการการยอมรับจากฝูง
ลู่หันมายิ้มระรื่นแล้วทำตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ "ท่านแม่เทพกวางบอกว่า ฮูหยินของท่านตั้งครรภ์แล้ว"
หยางหลงพยักหน้า "ท่านเทพกวางให้คำแนะนำเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ไว้หลายอย่าง ก่อนที่จะมาก็บอกกับหมอหญิงให้ช่วยดูแลใกล้ชิดไว้แล้ว"
ลู่ส่ายหน้าเพราะแน่ใจว่าหยางหลงจะไม่หลงลืมความสำคัญในการดูแลภรรยาและบุตรในครรภ์อย่างแน่นอน "ท่านยังต้องการมีบุตรอีกไหม" ไม่รอฟังคำตอบลู่ก็รีบพูดต่อ "ข้าเป็นตัว...เอ่อ..เป็นชายมีบุตรให้ท่านไม่ได้หรอกนะ ต้องรอให้เกิดใหม่เป็นหญิงเท่านั้น"
"ข้าไม่ได้ยึดติดเรื่องทายาทขนาดนั้น ต่อให้ไม่มีบุตรชายเลย ข้าก็ยังมีน้องชายอีกสองคน"
ลู่ยิ้มจนดวงตาสีทองเป็นประกาย "ถ้าท่านอยากมีบุตร คราวนี้พวกเราไปฝากท้องพี่หญิงไพลินกันไหม"
หยางหลงหลุดหัวเราะพรืด แล้วก็หยุดหัวเราะมิได้ หัวเราะจนรู้สึกเจ็บท้อง หัวเราะจนลู่ต้องชกที่ไหล่หนาเบา ๆ
"นี่ข้าจริงจังนะ มีอะไรให้ขำนักหนากัน"

จนถึงเวลาค่ำลง ขณะที่ลู่เตรียมอาหารให้กับหยางหลง ชายหนุ่มก็ถามถึงกวางไพลิน และเทพเสือโคร่งศิลาดำที่ไม่พบเห็นมาหลายวัน
"ท่านแม่ให้พี่หญิงไปทำงาน ส่วนท่านพี่ศิลาดำอาจไปจัดการเรื่องส่วนตัวของเขา"
"ไม่ต้องคอยดูแลเจ้าแล้วหรือ" หยางหลงรับถ้วยโจ๊กธัญพืชมาดื่มแล้วเอ่ยชม "รสชาติดีมาก"
ลู่ยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้งเมื่อกล่าวคำขอบคุณแล้วตอบว่า ท่านแม่เห็นว่าเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงวางใจมิต้องให้กวางไพลินมาคอยดูแลอีก ส่วนบิดาทั้งสองคือทั้งเทพกวางสายฟ้าและเทพเสือโคร่งภูผาที่ยังมองเห็นว่าลู่เป็นเด็กอยู่ กลับเห็นพ้องให้เทพเสือโคร่งศิลาดำคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ  แต่เพราะพี่ชายผู้นี้กำลังมีปัญหาส่วนตัว เมื่อมาส่งหยางหลงที่หน้าที่พักของเทพกวางทั้งสองเสร็จแล้วก็กลับไป ผ่านไปหลายวันเมื่อกลับมาดูที่กระท่อมเห็นว่าหยางหลงไม่อยู่จึงออกตามหาและพบว่า ชายหนุ่มไปรอเฝ้าพบลู่อยู่ที่หน้าผาเขาเทียมฟ้า จึงได้กลับไปแจ้งเทพกวางทั้งสองทราบเรื่อง
ลู่รอให้หยางหลงซักถาม แต่หยางหลงกลับพอใจที่จะรับรู้เฉพาะในส่วนที่ลู่บอกมา เมื่อลู่หยุดเล่าก็เพียงพยักหน้ารับรู้ ลุกขึ้นหยิบถ้วยชามไปล้าง

"ท่าน...ไม่ถามจริง ๆ หรือ"
"เจ้าไม่อยากให้ข้าถามถึงเรื่องเมื่อหลายวันก่อน หากเจ้าไม่อยากเล่าก็มิเป็นไร สำหรับข้าแล้วขอเพียงในวันนี้มีเจ้าอยู่ที่นี่ก็พอใจแล้ว"

มันก็แปลกที่เมื่อเป็นเรื่องลำบากใจที่จะเล่า บอกไปว่าให้มันผ่านพ้นไป ไม่อยากให้ถามถึง แต่เมื่อเขาทำตามที่บอก ก็กลับรู้สึกร้อนใจเอง
ความอดทนของลู่มีแค่เพียงในอีกครึ่งชั่วยามถัดมา ขณะที่นั่งพิงอกกว้างมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่ด้วยกัน
ลู่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของหยางหลงฟังเรื่องราวในเมืองหลวง ที่รู้สึกว่าเป็นเรื่องราวที่แสนห่างไกล ผู้คนที่ไม่รู้จัก และไม่อยากรู้จัก แต่ก็ยังอยากให้เขาเล่าให้ฟัง อยากได้ยินน้ำเสียง

"ข้าอยากให้ท่านซักถาม หรือต่อว่าข้าสักคำว่าเหตุใดจึงทำตัวไร้เหตุผล" ลู่ขัดขึ้น
"เวลาที่เราจะทำหรือไม่ทำอะไร ล้วนแต่มีเหตุผล"
"เหตุผลของข้าคือ ข้ากลัว กลัวว่ายังไม่เป็นผู้ใหญ่ กลัวว่าท่านจะรำคาญ กลัวว่าแสดงออกมากเกินไป และกลัวว่าเมินเฉยเกินไป" ลู่เงยหน้าขึ้นมามองคนที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนให้เสมอ "เรื่องที่เวลาถึงฤดูผสมพันธุ์ ถึงจะไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็นแต่ก็ย่อมรู้ย่อมเห็นอยู่ดี แต่ข้าก็เฉย ๆ พี่หญิงก็จะพาเดินหนีไปทางอื่น  แต่ในตอนที่ท่านจูบข้า ข้าก็มักคิดเสมอว่า...ว่าต้องการมากกว่านี้ ตอนที่ฮูหยินของท่านมาขอทายาท ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ แต่อีกใจก็ยินดี แต่ตอนที่ท่านกอดข้า มันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่คิดว่าข้าต้องตายแน่ ๆ แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ ข้ากังวลว่าข้าแสดงออกมากเกินไปว่าต้องการท่านจนท่านรังเกียจหรือไม่ หรือข้าเรื่องมากจนท่านไม่คิดอยากกอด"
หยางหลงหัวเราะหึหะในลำคอทำให้ลู่หันมามองค้อน "ไร้สาระใช่ไหม"
"ไม่หรอก" เพราะนี่เป็นเรื่องที่ลู่ไม่มีความอยากรู้อยากเห็นมาก่อน แม้จะเคยพบเห็นแต่ก็ปล่อยให้ผ่านไป

....ออกจะเป็นวัยรุ่นที่แปลกไปสักหน่อยเท่านั้น

"ยังมีอีก เมื่อกลับมาที่ป่าข้าก็คุยกับเพื่อน เจ้านกยูงทองปากเสียนั่น บอกว่าที่ท่านขอเพียงน้ำเชื้อของข้า ก็เพราะว่าต้องการแค่ทายาทจากป่าสีทองเท่านั้น"
หยางหลงขมวดคิ้ว และสงสัยว่าเมื่อยังไม่เคยพบกันมาก่อน เหตุใดนกยูงทองจึงแสดงความเห็นเช่นนั้น
"ข้าบอกว่า ท่านชอบข้าจริง ๆ แล้วนี่ก็เป็นความเห็นของฮูหยินท่านต่างหาก" หนุ่มรูปงามเมื่อเริ่มฟ้องก็ฟ้องไม่หยุด "แล้วเมื่อวันก่อนก็มาบอกว่า ท่านก็แค่ชอบความสวยงาม หากพบผู้ที่งามกว่า ท่านจะต้องเปลี่ยนใจ ต่อมาตอนที่ท่านพบเขา ท่านก็ยังหยุดมองเลย"
"ข้าไม่เคยเห็นนกยูงสีแบบนั้นมาก่อน" แม้ตั้งใจว่าจะรับฟังเงียบ ๆ แต่ประเด็นนี้ทำให้ไม่อาจนิ่งเฉย "แล้วเขาอยู่กับจิ้งจอกไฟ เคยได้ยินพี่หญิงพูดว่าจะนำขนมไปฝาก แต่วันนั้นไม่พบทั้งเจ้าทั้งพี่หญิงก็ยังสงสัยอยู่ว่าจะเป็นจิ้งจอกไฟตัวเดียวกันหรือไม่"
"แต่พวกเขาบอกว่าท่านมองพวกเขาด้วยตาลุกวาว"  ลู่กางมือด้านข้างดวงตาคู่สวย
แม้จะไม่แน่ใจว่าคำกล่าวนี้มีความหึงหวงเจือปนอยู่หรือไม่ แต่หยางหลงก็กลับยิ้มขำ ทำให้ลู่ค้อนตาคว่ำ
"ข้าก็ไม่รู้ตัวหรอกนะ  ว่ามองพวกเขาด้วยสายตาแบบใด แต่หากจะทำให้พวกเขาเข้าใจอะไรผิดไป ข้าฝากไปบอกเขาว่าขออภัย สิ่งเดียวที่อยู่ในใจและในความคิดของข้าก็คือเจ้าไปไหน ถูกลงโทษ หรือเกิดเหตุร้ายอันใด"

ลู่จ้องมองลึกลงไปในดวงตาหยางหลงแล้วยกตัวขึ้นจูบปาก
"คนซื่อบื้อ ที่นี่คือป่าสีทอง ใครที่ไหนจะทำร้ายข้าได้นอกจากข้าจะทำร้ายตัวเอง"
"เรื่องคำพูดและความเห็นของผู้อื่น ข้าแก้ไขไม่ได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าคิดว่าแก้ไขได้"
ลู่เอียงหน้ามองคนที่กำลังพูด แล้วก้มลงมองมือที่กอดเอวอยู่ สองแก้มก็แดงเรื่อ
"ข้ารู้แล้ว ว่าคิดกลัวไม่เข้าเรื่อง"
"เดี๋ยวนะ" หยางหลงจับให้หันมานั่งคร่อมบนตักหันหน้าเข้ามาหาแล้วกอดเอวไว้หลวม ๆ "ไหนบอกว่า เคยเห็นแต่ไม่สนใจ แล้วไปรู้มาจากไหน"
"ท่านแม่บอก" เมื่อถามมาตรง ๆ ก็ตอบกลับไปเหมือนกัน "ก็ตอนที่ท่านพี่เทพเสือโคร่งศิลาดำไปพบท่านอยู่ที่เชิงเขา เขาก็เลยไปบอกท่านพ่อเทพกวางสายฟ้า ท่านพ่อก็ไปตามข้าที่ยอดเขา แต่ก่อนจะมารับท่าน ท่านแม่ก็ถามก่อนว่า ตกลงนี่มันเรื่องอะไร ผิดใจเรื่องใดกันแน่ พอข้าบอกไปทั้งสามก็โมโหกันใหญ่ บอกว่าข้ากำลังจะฆ่าท่านด้วยสาเหตุที่ไม่ควรเป็นสาเหตุที่สุด ข้าคิดอะไรในสิ่งที่ไม่มีใครเขาคิดกัน"

หยางหลงพยักหน้าช้า ๆ สรุปคือ "เจ้าไม่มาพบข้าที่ปากทาง เพราะว่ากลัวหลายเรื่อง ต่อมาก็ทิ้งให้ข้ารออยู่ที่เชิงเขา เพราะเพื่อนบอกว่า ข้ามองพวกเขาด้วยสายตาชื่นชม"
ลู่ช้อนตามองหยางหลงแล้วพยักหน้ายอมรับ
แม้จะพอคาดเดาความเป็นวัยรุ่นของลู่ แต่หลังจากที่นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ หยางหลงก็หัวเราะอารมณ์ดี
"คราหน้าข้าควรเตรียมสุราดอกท้อมาสักหลายคันรถแล้ว"
"แล้ว....ข้าเป็นอนุจริง ๆ หรือ"
ข้อนี้หยางหลงนิ่งไป "เจ้าอยากเป็นอะไร"
"เป็นอะไรก็ได้ ท่านพ่อเทพเสือน่ะ ทั้งที่มีท่านแม่เทพเสือโคร่งบงกช มีบุตร ธิดาด้วยกันหลายตัว ก็ยังลอบมาหาท่านแม่เทพกวาง แล้วก็ยังมีท่านแม่เล็กอยู่ที่กองทัพอีก แล้วก่อนหน้าแม่เล็กนะก็มี....มี....." ลู่ทำท่านึกแล้วก็ปัดมือปัดไม้ในอากาศ "สรุปคือเราไม่ได้จัดลำดับกันแบบพวกท่าน ไม่มีอนุ"
"เจ้ามิใช่อนุอย่างแน่นอน"
ลู่ยกตัวขึ้นจูบปากหยางหลงอีกครา
"แต่เจ้าเรียกท่านรองแม่ทัพว่า ท่านแม่เล็กใช่ไหม"
"ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนสุดท้าย แต่เพราะเขาตัวเล็กที่สุดในบรรดาภรรยาของท่านพ่อต่างหาก" จู่ ๆ ลู่ก็หยุดเล่าแล้วก็หัวเราะเมื่อนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ ลุกขึ้นยืนทำท่าทางประกอบการเล่าเรื่อง "ตอนที่ท่านพ่อเทพเสือโคร่งถูกแม่เล็กขัดใจนะ เขาจะเงื้อมือทำท่าเหมือนอยากลงมืออะไรสักอย่าง แต่ทำอะไรไม่ได้สุดท้ายหันมาทึ้งผมตนเอง ท่านแม่เล็กก็จะเท้าเอว แล้วก็พยักหน้า บอกกับท่านพ่อลงมือกับผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาลงมือกับตนเอง"
เมื่อนึกถึงท่าทางของคนตัวหนา สูงใหญ่มีท่าทีคลุ้มคลั่งเช่นนั้นต่อหน้าคนใจเย็นอย่างรองแม่ทัพเฉินอวี้ก็ชวนให้ต้องหัวเราะตามจริง ๆ

ลู่ซุกหน้าลงหาอกกว้าง
"ข้าเคยถามไปแล้ว แต่ยังอยากถามอีก"
หยางหลงพยักหน้า
"ทำไมถึงชอบข้า"
"เพราะมีแต่เพียงเจ้า ที่ทำให้ข้ามีความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง"
ลู่ยกตัวขึ้นจูบปากที่กล่าวคำหวาน ดวงตาสีทองเป็นประกาย
ช่างเป็นคำบอกรักที่ทำให้ผู้รับ รู้สึกว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่
"ในส่วนของข้า ข้าไม่มีเหตุผลที่สวยงามแบบนั้น มีเพียงความอยากรู้ว่าผู้ที่เอ่ยคำอธิษฐานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นคงนั้นคือใคร แล้วพอได้พบก็เดินตามท่านไปเลย"
"ไม่ใช่ว่าเพราะต้องการหนีท่านแม่หรอกหรือ"
"ไม่ใช่ว่าหนีตามใครก็ได้สักหน่อย" ลู่ทำแก้มพอง "ที่ข้าตามท่าน ก็เพราะว่าเป็นท่านต่างหาก....ข้าอยากเรียกท่านว่าท่านพี่บ้าง....ให้ข้าเรียกท่านว่าท่านพี่ได้ไหม"

ในความคิดของลู่แล้ว หยางหลงนั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจดี และงามสง่า เทพหรือสัตว์ป่าทุกตนในป่าสีทองแห่งนี้ล้วนชื่นชม ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้ขัดขวาง ถึงเพื่อนอย่างนกยูงทองกับจิ้งจอกไฟนั่น แม้จะมีความเห็นที่ชวนให้รู้สึกลังเล แต่แท้จริงพวกเขาก็ยกย่องเจ้าเมืองลั่วผู้นี้เช่นกัน

(ต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 12-04-2017 13:02:10
(ต่อ)

หยางหลงก้มลงจูบที่หน้าผากสวย "ถ้าเรียกด้วยคำนั้นแล้ว ก็ต้องเรียกตลอดไป และต้องเชื่อฟังข้าด้วยทำได้ไหม"
หนุ่มรูปงามมีท่าทีขัดเขิน เมื่อกล่าวโต้แย้ง "หากท่านพี่คิดเห็นไม่เหมือนกับท่านแม่ข้าควรเชื่อผู้ใด"
ทั้งที่รู้ว่าหยางหลงหมายถึงการที่ไม่ควรฟังเพื่อนมากนัก จนทำให้ตนเองขาดความมั่นใจ แต่ก็ยังต้องการสร้างความปั่นป่วนอีกสักเล็กน้อย
"บิดา มารดาย่อมเป็นที่หนึ่ง หากท่านมีความเห็นตักเตือนเราก็ควรรับฟัง ถามแบบนี้เจตนาสร้างความขัดแย้งกันตั้งแต่ต้นมือใช่ไหม" หยางหลงแกล้งแตะหน้าผากสวยเบา ๆ "ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ แต่เพื่อนพูดเพียงไม่กี่คำ เจ้าก็ยังคิดวุ่นวาย"
ลู่อมยิ้มแก้มพองสองมือผอมบางจับใบหน้าของหยางหลงไว้ "ตอนที่ท่านพ่อเทพกวางพาข้ามาพบท่านพี่ที่เชิงหน้าผา ข้ายังกลัวว่าจะเสียท่านพี่ไปแล้วจริง ๆ"
"ข้าจะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้พบเจ้าก่อน"
หยางหลงก้มลงจะจูบปาก แต่ลู่กลับพูดขึ้นมาอีกครา "คราวหน้าหากมาถึงแล้วไม่พบข้าที่ปากทาง ก็ถวายสุราดอกท้อ หรือ ผลไม้สักลูก แล้วเรียกชื่อข้าก็พอ"
"เจ้าก็ชอบสุราดอกท้อด้วยหรือ"
ลู่ส่ายหน้าแรง ๆ "ข้าดื่มได้แค่จอกเดียวก็ง่วงหลับแล้ว ที่บอกไว้ ก็เพื่อให้เทพที่มารับสุราหรือผลไม้ไป เรียกหาข้าให้มารับท่านพี่ ท่านจะได้ไม่ต้องรอนาน"

เสียงนกกลางคืนร้องเสียงดังก้องป่า สายลมหนาวพัดพาใบไม้เอนลู่ หยางหลงลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง แล้วกลับมาล้างหน้า ล้างมือ เตรียมตัวเข้านอน 
แม้จะดับเทียนไปแล้ว แต่ยังคงมองเห็นคนที่ยืนรออยู่ข้างเตียงนอนอย่างชัดเจน
ภาพที่ไม่ได้มองเห็นด้วยดวงตา แต่มองเห็นกระจ่างชัดด้วยหัวใจ

มือใหญ่แกะสายรัดเอวบาง คลี่เสื้อคลุมนอนสีอ่อน ชื่นชมความงดงามนั้นด้วยถ้อยคำหวาน จากนั้นจึงก้มลงจูบปากอย่างดื่มด่ำ พรมจูบทั่วใบหน้าเรื่อยลงมาถึงลำคอ นิ้วมือใหญ่สัมผัสยอดอก แล้วช้อนใต้สะโพกอุ้มมาที่เตียงนอน
ทุกสัมผัสและรอยจูบ ทำให้ภายในร่างกายงดงามเปลือยเปล่าปั่นป่วนไปด้วยระลอกแห่งความต้องการที่มาพร้อมกับความกังวล ยามเมื่อมือใหญ่รูดรั้งแก่นกาย พร้อมกับก้มลงจูบที่หน้าท้อง แล้วเปลี่ยนเป็นริมฝีปากกับปลายลิ้นที่โลมเลีย
ลู่จิกนิ้วมือกับไหล่กว้าง...ไม่แน่ใจว่าต้องการผลักออกหรือรั้งไว้
มีแต่เพียงเสียงหอบหายใจแผ่วเบา
ยามเมื่อน้ำใสไหลซึมจากส่วนปลาย หยางหลงจึงผละไปหยิบขวดน้ำมันหอมที่ด้านข้างเตียง หยดลงที่จุดอ่อนไหวด้านหลัง

ลู่มองตาหยางหลง
หยางหลงมักกล่าวชมว่าตนนั้นงดงามมากมาย แต่ลู่กลับไม่กล้าที่จะเอ่ยคำชมอีกฝ่าย ว่าเป็นผู้ที่มีความสง่างาม โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น สายตาที่มีความชัดเจนว่าแตกต่างจากการมองผู้อื่น
ลู่เป็นเจ้าของสายตานั้นแต่เพียงผู้เดียว 
ความอ่อนโยน อ่อนหวาน ที่ทำให้ยากที่มองสบตาได้นานกว่าหนึ่งอึดใจ  โดยเฉพาะในเวลานี้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ
ยากนักที่จะละสายตา... 

ต่างสบตากันและกันตลอดเวลาที่ชายหนุ่มปรนนิบัติ ปลายนิ้วที่แตะจุดอ่อนไหวภายในทำให้ลู่จิกนิ้วลงกับต้นแขนใหญ่ไว้แน่น ความต้องการมากกว่านิ้วมือร่ำร้องอยู่ภายในใจ ร่างกายบัดเดี๋ยวร้อนรุ่ม บัดเดี๋ยวเกร็ง บัดเดี๋ยวอ่อนไหว หยาดน้ำตาไหลรินมาก่อนหยาดน้ำสีขาวที่ไหลหยดส่วนปลาย
หยางหลงเปลี่ยนจากนิ้วมือเป็นแก่นกายรุ่มร้อนกดเข้าหาอย่างช้า ๆ ทั้งหยุดรอเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเคร่งเครียดเกินไป

ทั้งที่อากาศเย็น แต่หยาดเหงื่อหยดจากปลายคางของหยางหลง แผ่นหลังชื้นมีรอยเล็บบางกรีดยาว สะโพกหนาเกร็งแน่นเมื่อขยับเข้าหาจากเนิบช้าเป็นเร่งเร้า เสียงหอบหายใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ หยาดน้ำสีขาวจากร่างที่อยู่ด้านใต้ไหลหลั่งอีกครา จากนั้นร่างสูงใหญ่ที่อยู่ด้านบนหยุดนิ่งหลั่งเข้าสู่ภายในแล้วค่อยถอนออกมา
หยางหลงก้มลงจูบปากคนรูปงามแล้วหอมแก้มใสอีกครา พลิกตัวลงมานอนกอดไว้ ลู่ขยับตัวกลับมานอนกอดเอวหนาไว้
ชายหนุ่มจูบที่หน้าผากสวย "ข้าต้องทำความสะอาดให้เจ้า เหนื่อยหรือไม่ เจ็บหรือไม่ หากข้าอุ้มเจ้าไปเช่นนี้จะเจ็บหรือไม่"
ลู่ส่ายหน้า ยกมือขึ้นโอบรอบคอให้อีกคนอุ้มไปทำความสะอาด และทั้งที่หลับไปตั้งแต่ยังทำความสะอาดไม่เสร็จ แต่ลู่ก็ยังกล่าวอย่างงัวเงีย "ไม่เห็นจะน่ากลัวเลยสักนิด ข้ากลัวอะไรที่มันไร้สาระจริง ๆ"
หยางหลงยิ้มกว้างเมื่อรู้สึกโล่งอกที่ขจัดความกังวลครั้งใหญ่ของลู่ออกไปได้สำเร็จ

ท่ามกลางสายลมอ่อนในยามบ่าย ลู่นั่งพิงอกกว้างของหยางหลงมองดูดอกหญ้าที่เอนตัวล้อเล่นกับสายลม ใกล้กันคือกระต่ายหลากสี
"หลังจากที่ท่านเทพกวางปฏิบัติตามคำขอของเพ่ยหลิงได้ไม่กี่วัน ท่านกลับไปที่จวนเจ้าเมืองอีกครั้งเพื่อตรวจสุขภาพของเพ่ยหลิง" ลู่เงยหน้าขึ้นมองหยางหลงที่กำลังกล่าวคำ " ท่านกล่าวกับข้าหลายเรื่อง มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าคิดว่าควรจะกล่าวกับเจ้า แต่คิดมานานหลายวันก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดี"
"ทำไมล่ะ"
"เพราะมันเหมือนคำแก้ตัว และไม่ว่าจะเรียบเรียงอย่างไรมันก็คือการกล่าวโทษผู้อื่น"
ลู่พยักหน้าอีกครั้งด้วยความเข้าใจ ว่านั่นมิใช่นิสัยของหยางหลง
"ข้ารักเจ้า" จู่ ๆ อย่างหยางหลงก็พูดขึ้นมา ทำให้ลู่หันมาหรี่ตามอง
"นั่นมันกล่าวโทษผู้อื่นตรงไหน จะโทษว่าข้าทำให้ท่านหลงรักข้าใช่ไหม"
หยางหลงหัวเราะเสียงดัง "นั่นก็ใช่นะ" โดนชกไปหมัดหนึ่งเป็นการสั่งสอน "ท่านเทพกวางกล่าวว่าในครอบครัวของข้า หาได้มีความรักผสานไว้ทำให้เราห่างเหินกัน ทั้งข้าและเพ่ยหลิงต่างผูกพันกันด้วยหน้าที่ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ข้ายอมรับว่ามันเป็นความจริง ข้าอยู่ในวัยที่สมควรมีครอบครัว เมื่อท่านย่าเห็นว่าธิดาของรองเสนาบดีหลิวมีความเหมาะสมกับว่าที่เจ้าเมืองลั่ว ข้าก็เห็นชอบตามนั้น"
"เดี๋ยวนะ" ลู่ท้วงขึ้น "ธิดาของรองเสนาบดี กับ ว่าที่เจ้าเมืองลั่ว มิใช่สมรสเพราะหลิวเพ่ยหลิงกับหยางหลงชอบพอกับหรอกหรือ"
หยางหลงส่ายหน้า "มิใช่"
คนรูปงามทำหน้าตาพิกล "นั่นมัน...แย่มาก แล้วก็น่าสงสารเด็ก ๆด้วย"
ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ทำให้คนทั่วไปมองว่าสามีภรรยาคู่นี้ดูแปลก ๆ คล้ายจะรักกันมากก็มิใช่ จะห่างเหินกันก็มิเชิง
"ตั้งแต่แรกมาก็ผูกพันกันด้วยหน้าที่เช่นนั้น จนเมื่อได้พบกับเจ้า ข้าจึงรู้ว่าเจ้าคือความรัก แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามีความแตกต่างมากมาย แต่ข้าก็รักเจ้า รักทุกสิ่งที่เป็นเจ้า ในตอนที่รอเจ้าอยู่ที่เชิงหน้าผา ข้าคิดทบทวนเรื่องนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าขอเพียงได้เอ่ยความในใจนี้ให้เจ้าได้รับรู้ แต่เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครา กลับรู้สึกว่าต้องการบอกกับเจ้าเพียงประโยคเดียว"
"บอกว่า..."
"เจ้าคือความรักของข้า"

หยางหลงใช้เวลาอยู่ที่ป่าสีทองครานี้นานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนหยางหลงเจ้าเมืองลั่วถึงได้ออกเดินทางจากป่าสีทองกลับไปทำงานด้วยความรู้สึกอย่างแท้จริงว่าป่าสีทองคือบ้าน และเมืองลั่วคือที่ทำงาน

...จบบทที่สิบสาม...
ตอนหน้าจบภาคกวางทองนะฮะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 12-04-2017 16:00:56
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

มาหล่ะ...  ยังไม่อ่านสะดวก เดี๋ยวกลับมาใหม่นะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-04-2017 16:20:53
 :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-04-2017 17:53:49
หยางหลง ลู่  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
เข้าใจกันแล้ว  :mew1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 12-04-2017 18:43:18
 :haun4: :haun4: :haun4:

หยางหลงพรากผู้เยาว์มั้ยยย 5555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-04-2017 20:01:45
หลิวเพ่ยหลิงน่าเห็นใจ

ในที่สุดหยางหลงก็เป็นอมตะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 12-04-2017 20:53:21
ง่อวววววววว รอมานานมาก  o18
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 12-04-2017 21:53:56
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-04-2017 23:34:52
 :pig4: :pig4:

 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 13-04-2017 00:10:50
ละเมียดละไม
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 13-04-2017 08:42:42
 :mew1:


ขอบคุณนะค๊าาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 13-04-2017 14:32:00
ในที่สุดก็เคลียร์กันเรียบร้อยละ แอบหวั่นๆกลัวลู่ไม่พูดออกมา หยางหลงก็ใส่ใจแต่คนอื่น
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 13-04-2017 16:01:58
หยางหลงเป็นผู้ใหญ่และใจเย็น เข้าใจลู่มาก
ปรับความเข้าใจกันได้เร็ว เลยมีเวลาหวานใส่กัน 555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 14-04-2017 19:56:33
ลู่น้อยโตขึ้นแล้วเนอะ  :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 18-04-2017 10:25:53

>>>>ความรักของข้า <<<<     ชอบบบบบบบบ o13  o13


เอาจิงนะ รอบต่อไปพี่หญิงเป็นคนอุ้มท้อง อยากเห็นเด็กๆแบบลู่เย๊อะๆ ความวุ่นวายที่น่ารัก  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 21-04-2017 10:35:42
มารอว่าเขาหวานกันไปถึงไหนแล้ว
น้องลู่จ้า มาเล่าต่อเหอะ  เค้าคิดถึง :mew1: :mew2: :mew3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 23-04-2017 11:20:09
มารอหยางหลงกะอาลู่
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 23-04-2017 15:30:41
 :mew2: ไม่ได้ comment เลย อ่านอย่างเดียว ยังรออ่านอยู่น๊า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-04-2017 00:13:09
มารอน้องลู่ :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 26-04-2017 13:32:26
ย่องมาแอบดู มายังอ่ะ
มาเหอะ เราคิดถึง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 27-04-2017 21:11:12
รอนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-04-2017 09:23:18
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 28-04-2017 10:30:40
 :z2: :z2: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 29-04-2017 16:24:28
มาเถอะ มาเถอะนะ
เราคิดถึง.....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 29-04-2017 17:03:09
สวัสดีค่ะคุณไจฟ์น้องที
เพิ่งจะเห็นว่าลงเรื่องใหม่แล้ว ขนาดคอยเข้ามาดูเป็นระยะๆ ยังพลาดจนได้
เรื่องนี้กวางทองน่ารักมุ้งมิ้งเด็กน้อยมาก
ส่วนหยางหลงนั้นไม่ต้องพูดถึง ยกให้เป็นพระเอกแห่งปีเลย คนอะไรจะใจดีใจเย็นปานนั้น
ยิ่งฉากที่ไปปักหลักรอลู่น้อยที่เชิงเขานั่น ทั้งอบอุ่น จริงใจ และยอมทุกอย่างให้ลู่น้อยแล้วจริงๆอ่ะ
รอตอนต่อไปนะคะ อยากเห็นสองคนนี้หวานกันให้มดขึ้นไปเลย อิอิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-04-2017 10:01:37
คิดถึงน้องลู่มากๆ มาเร็วๆนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่13 (p13/120460)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 30-04-2017 10:07:51
 o15 เรื่องใหม่ของพี่ไจฟ์ น้องน้ำชา..น่าอ่านอีกแล้ว เรามาช้าหน่อย แต่จะรีบตามอ่านให้ทันนะคะ
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 30-04-2017 10:27:58
*บทที่สิบสี่  จบภาคกวางทอง*


เมื่อทราบข่าวว่าหลิวเพ่ยหลิง ฮูหยินของเจ้าเมืองลั่วกำลังตั้งครรภ์ บรรดาชาวเมืองต่างมีการเฉลิมฉลองเพื่อแสดงความยินดี แต่ยังมีคนผู้หนึ่งที่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง และความเปลี่ยนแปลงนั้นค่อนข้างจะเป็นไปในทางที่มิดีนัก
เดิมหยางเจิ้นขุยเป็นบุตรคนรองซึ่งถูกมารดาย้ำเตือนมาตลอด ว่าอย่าได้คิดแข่งขันกับหยางเจียเจิงเพื่อที่จะเป็นเจ้าเมืองลั่ว และพร่ำสอนให้เขาเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางไปรับราชการที่เมืองหลวง เมื่อพี่ชายรับตำแหน่งต่อจากบิดา
ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาหยางเจิ้นขุยก็ยอมรับในคำสั่งสอนนั้น แม้จะกังวลที่จะต้องถูกแยกออกจากครอบครัว เหมือนกับท่านปู่ทวด และท่านปู่เล็กที่ตนเองมิเคยเห็นหน้า แต่เมื่อพิจารณาจากท่านอาทั้งสองแล้วหยางเจิ้นขุยก็มีความผ่อนคลายความกังวลลง เพราะท่านอาหยางเฉิง ที่ก่อนหน้านี้ถูกคาดหมายว่าจะต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงไม่เคยมีท่าทีกังวลอะไร หรือมาจนถึงท่านอาหยางไห่ ก็กลับมีความยินดีที่จะได้ทำการค้ากับทางเมืองหลวงได้คล่องตัวมากขึ้น
แต่ในช่วงก่อนที่จะมีการเปลี่ยนตัวบุคคลจากท่านอาหยางเฉิง เป็นท่านอาหยางไห่นั้นมีเหตุการณ์เกิดขึ้น นั่นคือการที่หยางเจียเจิงเสียชีวิต อาจารย์จึงเปลี่ยนหัวข้อการเรียนการสอนจากเรื่องข้อกฎหมายมาเน้นที่หลักการปกครอง ส่วนบรรดาพี่เลี้ยง และคนรับใช้ก็พูดกันว่าหยางเจิ้นขุยคือเจ้าเมืองคนต่อไป
จะมีก็แต่มารดาที่ทำให้เขาไม่แน่ใจ เพราะมารดาไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ ทั้งตอนนั้นเขายังมีอายุไม่ถึงห้าขวบ จึงไม่ได้คิดมากเรื่องท่าทีของมารดา แต่ในตอนที่มารดาตั้งครรภ์อีกครั้งเขามีอายุเพิ่มขึ้นแล้ว จึงมองเห็นท่าทีของบุคคลรอบข้างชัดเจนขึ้น จนวันหนึ่งที่ได้ยินที่มารดากล่าวกับหญิงรับใช้อาวุโส ว่าเด็กในครรภ์จะเป็นเจ้าเมืองลั่วต่อจากบิดา
หญิงรับใช้อาวุโสซึ่งทำงานมานานรู้จักสงบปากสงบคำจึงมิได้เอ่ยปากแสดงความเห็น แต่หยางเจิ้นขุยจดจำคำกล่าวนั้นได้อย่างแม่นยำ แล้วนำไปถามอาจารย์ผู้เฒ่าในเวลาต่อมา
อาจารย์เฒ่าแม้จะรู้สึกว่าคำกล่าวของฮูหยินเจ้าเมืองออกจะไม่เหมาะสม จึงตอบคำถามของศิษย์ไปตามหลักการว่าไม่ว่าจะเมืองใดในอาณาจักรไท่ชาง ล้วนไม่มีกฎหมายที่ระบุว่าพี่ชายคนโตจะเป็นผู้ปกครองคนต่อไป ถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็หาใช่องค์ชายใหญ่
ส่วนการที่พี่ใหญ่แห่งเมืองลั่วสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองมาหลายชั่วคน นั่นก็เพราะได้รับการยอมรับจากทุกคน ซึ่งนั่นมิได้เป็นเรื่องง่ายดาย
"คุณชายน้อยพิจารณาการทำงานของบิดา  กว่าที่ท่านเจ้าเมืองคนก่อนจะมอบตำแหน่งให้ บิดาของคุณชายน้อยต้องทำงานหนักมาก จนมาถึงการเจรจาเพื่อสลายความขัดแย้งกับเมืองเหอ และการสร้างความมั่นใจกับฮ่องเต้ เขาต้องเดินทางตลอดเวลาจนแทบไม่ได้กลับบ้าน แบกรับคำวิจารณ์ไว้แต่เพียงผู้เดียว ต่อเมื่อเรื่องราวคลี่คลายลง ทุกคนจึงสนับสนุนโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ในการทำงานใหญ่นั้น จำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้คน การงานนั้นจึงก้าวหน้า หากกำหนดไว้ว่าขอเพียงเป็นพี่ใหญ่แล้วจะได้ตำแหน่งใหญ่โต ก็อาจทำให้เกียจคร้าน ไม่ทำการงาน ไม่หาความรู้ ไม่รู้จักการเจรจา สุดท้ายก็จะถูกผู้อื่นหลอกลวงและบ้านเมืองจะเสียหาย"
หยางเจิ้นขุยเอียงคอคิดตาม "เช่นนั้นข้าต้องตั้งใจเรียน และขยันทำงาน เพื่อให้ทุกคนยอมรับ"
"คิดถึงเป้าหมายเช่นนั้นก็ยังมิถูกต้องเสียทีเดียว คุณชายยังต้องคิด และลงมือทำด้วยความมุ่งมั่นว่าจะทำให้ทุกคนที่อยู่ในการปกครองมีความเป็นอยู่อย่างสงบสุข การงานนั้นจึงจะออกมาอย่างสมบูรณ์ อย่าได้วางเป้าหมายเฉพาะเจาะจงไปที่การเป็นผู้ปกครองจึงจะทำงานได้ ควรมองว่าเรามีเจตนาที่จะทำงานเพื่อผู้อื่น ดังนั้นแล้วไม่ว่าคุณชายจะอยู่ในฐานะใด ก็จะสามารถทำงานรับใช้ให้ชาวเมืองลั่วมีความเป็นอยู่สงบสุขได้เช่นกัน"
หยางเจิ้นขุยยิ้มกว้าง "ท่านพ่อกล่าวคำนี้บ่อย ๆ ตอนที่ไปเยี่ยมท่านปู่กับท่านย่าที่วัด"

ที่ด้านนอกห้องเรียน เสี่ยวเป่าที่ลอบฟังการสนทนาผ่อนลมหายใจยาว รู้สึกเบาใจที่คุณชายเจิ้นขุยได้ยินเพียงบางถ้อยคำของมารดา เพราะหากได้ยินทุกถ้อยคำอย่างที่หญิงรับใช้อาวุโส และเขาได้ยินมา เกรงว่ารอยยิ้มแห่งความหวังนั้นจะหายไป

เสี่ยวเป่ามิได้มีเจตนาจะฟ้องหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว แต่เรื่องราวเริ่มขึ้นหลังจากที่เขาสอบถามถึงคุณชายลู่ที่ป่าสีทองว่าสบายดีหรือไม่ และขอติดตามไปที่ป่าสีทองด้วยคนได้หรือไม่ ให้ช่วยเข็นรถขนของไปส่งที่ปากทางป่าสีทองก็ยังดี
หยางหลงเห็นว่าแม้วันนี้เสี่ยวเป่าจะมีร่างกายที่สูงขึ้นมาก แต่ก็ยังเด็กเกินกว่าที่จะให้ไปส่งและต้องรออยู่ตามลำพัง เพราะเมื่อหยางหลงเข้าไปในป่าสีทองแล้ว คนงานที่เดินทางไปด้วยหาได้เดินทางกลับมาที่จวน แต่จะพักอยู่กับชาวนาระหว่างรอเขากลับมา ซึ่งก็เป็นไปได้ไม่ได้ที่หยางหลงจะทิ้งคนงานให้กินเปล่าอยู่กับผู้อื่น จะต้องให้ทำงานช่วยเหลือในระหว่างที่รอ
"ข้าไม่ได้เป็นห่วงเรื่องที่เจ้าจะใช้แรงช่วยข้าเข็นของ แต่เจ้าจะไปช่วยเขาทำนาระหว่างที่รอข้าได้หรือไม่"
เสี่ยวเป่าไม่เคยทำนา หลายเดือนมานี้เลื่อนขั้นจากทำความสะอาดมาเป็นการช่วยดูแลหยางหลง และก็เอ่อ....ทำความสะอาดจวนเจ้าเมือง
แต่ก็ไม่เคยทำนาสักครา
"ระหว่างที่ข้าไปป่าสีทอง ข้าให้เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนคุณชายน้อย เพราะช่วงนี้มารดาของเขาตั้งครรภ์ คุณชายอาจไม่มีคนคอยดูแล"
เสี่ยวเป่าพยักหน้าหลุดปากพูดถึงสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา "แต่ไหนแต่ไรมาฮูหยินก็ไม่ได้ดูแลคุณชายนักหรอกขอรับ" เพียงแค่หยางหลงหันมามองเต็มตา เสี่ยวเป่าก็ตบปากตัวเอง "บ่าววิจารณ์เจ้านาย จะลงโทษให้ไปล้างห้องน้ำก็ได้ขอรับ"
"เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ลงโทษใครเช่นนั้น" เสี่ยวเป่าที่รับใช้มานานย่อมรู้ดีว่าหยางหลงจะลงโทษอะไร "เล่ามาให้หมด"
"เอ่อ คือ..." เสี่ยวเป่าก้มหน้าสารภาพ "บางอย่างบ่าวเห็นแล้วก็คาดเดาไปเอง บางอย่างบ่าวได้ยินที่ฮูหยินกล่าวกับคุณชาย บางอย่างได้ยินคุณชายกล่าวกับอาจารย์ คืออาจมีหลายอย่างที่บ่าวไม่รู้.."
"เสี่ยวเป่า" หยางหลงดุ
จากนั้นเสี่ยวเป่าจึงเล่าเรื่องภายในจวนเจ้าเมืองในช่วงหลายเดือนมานี้
การลำเอียงต่อหยางเจิ้นขุยมิได้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อมารดากำลังตั้งครรภ์ แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่เพราะในเวลานั้นคุณชายใหญ่ยังอยู่ ของทุกสิ่งที่ได้มาก็จะแบ่งให้น้องชายกึ่งหนึ่ง หรือหากอาจารย์มอบงานให้คนละชิ้น คุณชายใหญ่มักจะได้รับคำชมและกำลังใจจากมารดา แต่สำหรับคุณชายน้อย หลายคราที่มารดาไม่ได้มองผลงานของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
จนมาถึงเรื่องที่มารดาคุยกับหญิงรับใช้อาวุโส และที่คุณชายน้อยนำไปถามอาจารย์ผู้เฒ่า

หยางหลงทราบมาตลอดว่าหลิวเพ่ยหลิงไม่ต้องการให้ขุยเอ๋อร์เป็นเจ้าเมืองลั่วเพราะเกี่ยงที่เขามิได้เป็นสายเลือดของสกุลหยางที่แท้จริง เพียงแต่ไม่คิดว่านางจะลำเอียงต่อบุตรมากถึงเพียงนี้ จึงเรียกขุยเอ๋อร์และพ่อบ้านเจ้าเมืองลั่วเข้ามาพบ เพื่อหารือเกี่ยวกับการแยกเรือนพักของบุตรชาย กับให้จัดหาบ่าวรับใช้ชายหญิงให้คอยรับใช้  "แปดขวบแล้ว และเป็นพี่ใหญ่แล้ว สมควรแยกเรือนกับมารดา พ่อจะส่งเจ้าไปเรียนรู้งานจากท่านอาสามเพิ่มเติม ก่อนที่เขาจะต้องเดินทางไปเมืองหลวง ทำได้ไหมขุยเอ๋อร์"
"ได้ขอรับ" หยางเจิ้นขุยยิ้มด้วยความเชื่อมั่น

เมื่อครบกำหนดหกเดือน หยางหลงก็ออกเดินทางมาที่ป่าสีทองตามนัดหมาย เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับได้กลับบ้าน โดยเฉพาะยามที่พบว่าลู่มารออยู่ปากทางเข้าป่าสีทอง โดยมีเทพเสือโคร่งศิลาดำมารออยู่เป็นเพื่อน แล้วเดินเข้ามาช่วยหยางหลงเข็นของ
ชายหนุ่มทำความเคารพเทพเสือโคร่งศิลาดำ ที่ยังคงไม่คุ้นเคยกับการรับการทำความเคารพจากผู้อื่น และไม่ยินยอมให้หยางหลงเข็นรถเองอยู่เช่นเดิม
ชายหนุ่มยอมรับว่า เทพเสือโคร่งศิลาดำแข็งแรงกว่าก็จริง แต่อย่างไรอีกฝ่ายก็มีศักดิ์เป็นพี่เขย การดูแลน้องชายอย่างใกล้ชิดนั่นก็เหมาะสมแล้ว แต่การที่เผื่อแผ่มาถึงเขาด้วย ทำให้รู้สึกเกรงใจ
ระหว่างเส้นทางที่จะไปยังที่พักของเทพกวาง ลู่ร้องทักทายชายหนุ่มดวงตาเรียวยาว ผู้มีผมสีแดง และสวมชุดสีแดง ที่ยืนรออยู่ข้างทาง "จะไปที่หมู่บ้านหรือ"
ชายหนุ่มผู้นั้นพยักหน้ากับลู่ แต่กลับตวัดตามองไปที่เทพเสือโคร่งศิลาดำ แล้วหันมาถามหยางหลงอย่างตรงไปตรงมา "วิธีการทำให้คนทรยศตายอย่างช้าที่สุด และทรมานที่สุดต้องทำอย่างไร"
หยางหลงอึ้งไปที่จู่ ๆ มีคนผู้หนึ่งมาถามเช่นนี้ ขณะที่ลู่หัวเราะเสียงสดใส "ถามผิดคนแล้ว" จากนั้นจึงหันมาแนะนำ "จิ้งจอกไฟ จำได้ใช่ไหม"
หยางหลงพยักหน้าว่าจำได้ แต่ทุกครั้งที่พบก็คือจะอยู่คู่กับนกยูงทอง แต่ครานี้คาดว่าจะทะเลาะกันอีกเช่นเดิม และดูท่าว่าจะมีเรื่องกับใครอีกคนหนึ่งถึงขนาดต้องการให้ตายอย่างช้า ๆด้วย
จิ้งจอกไฟสะบัดมือด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก "จะไม่อยู่หลายวันนะ กลับมาเมื่อไหร่จะไปหา"
กล่าวจบก็หันหลังให้ พร้อมกับกลายร่างเป็นจิ้งจอกไฟวิ่งลับหายไปในป่าทันที
ลู่ดูไม่ค่อยประหลาดใจกับการกระทำของเพื่อนสักเท่าใด แต่เสือโคร่งศิลาดำยืนมองอีกฝ่ายจนลับตา จากนั้นจึงเดินตามมาส่งถึงที่พักของเทพกวางเหมือนเคย

เมื่อกลับมาถึงกระท่อมที่พัก ลู่จึงเล่าเรื่องของจิ้งจอกไฟ นกยูงทอง กับเทพเสือโคร่งศิลาดำให้หยางหลงฟัง
สรุปโดยง่ายก็คือ ท่านพี่เทพเสือโคร่งผู้เงียบขรึมหลงรักจิ้งจอกไฟมานานหลายปี แต่จิ้งจอกไฟผู้นี้กลับไปชอบมนุษย์ที่หมู่บ้านไม่ห่างจากป่าเท่าใดนัก และดูท่าว่าเวลานี้จะมีปัญหากับมนุษย์ผู้นั้น ส่วนนกยูงทองผู้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ยืนยันไม่เห็นด้วยกับความรักของทั้งจิ้งจอกไฟ และเทพเสือโคร่งศิลาดำ
ก็เหมือนกับที่เคยวิจารณ์ความรักของหยางหลงกับลู่ จนลู่เสียความมั่นใจ ทำให้หยางหลงเกือบตายมาคราหนึ่ง
"จิ้งจอกไฟบอกว่า นกยูงทองไม่เคยรักใครนอกจากตัวเอง มีสิทธิ์อะไรไปตัดสินผู้อื่น จากนั้นก็ต่างคนต่างเงียบไม่พูดกัน" ลู่กล่าวพลางกัดขนมคำใหญ่
หยางหลงพยักหน้า เพื่อนกลุ่มนี้เดี๋ยวทะเลาะกัน ไม่พูดกัน แล้วก็จะกลับมาดีกันอยู่เสมอ จากนั้นหยางหลงจึงถามถึงเทพเสือโคร่งภูผาว่าเป็นอย่างไรบ้างเพราะไม่ได้พบมาระยะหนึ่งแล้ว "เรื่องของเมืองเหอไง"
"รวมถึงเรื่องเมืองหลวงด้วยใช่ไหม"
ลู่กลอกตาแล้วพยักหน้า "ก็คงเป็นเช่นนั้น"
เมืองเหอไม่ได้ส่งคนมาส่งหนังสือหรือติดต่อในทางลับกับเมืองลั่วนานแล้ว แต่นั่นมิได้หมายความว่าพวกเขาไม่ได้คิดเคลื่อนไหวเป็นปฏิปักษ์กับเมืองหลวง
"ตั้งแต่รั้งตำแหน่ง ข้าก็พอจะทราบว่าพวกเขายังมีการเคลื่อนไหวอยู่ คนของเขาที่อยู่ในวังก็ต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด"
ลู่พยักหน้าแต่ยังคงกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย หยางหลงจึงหยิกแก้มใสไปครา
"เห็นอย่างนี้ก็รู้การเคลื่อนไหวภายนอกดีเหมือนกันนะเรา"
"ทั้งหมดนั่นคือผลจากคำอธิษฐานของท่านนะ แล้วอย่างข้าน่ะจะไปรู้อะไร ท่านพ่อไม่ให้ตามไปด้วย หากอยากรู้ต้องไปถามท่านแม่เล็กโน่น" คนพูดทำปากยื่นปากยาวไปอีกทาง
"ท่านแม่เล็กที่เมืองหลวงช่วงนี้ก็ปัญหาอยู่มาก" หยางหลงกล่าว
ลู่เกาหน้าผากของตนเอง "ท่านพ่อเสือก็เลยยุ่งมากขึ้นไปอีกหลายเท่า" จากนั้นก็ชวนเปลี่ยนเรื่องเสียดื้อ ๆ "ฮูหยินใกล้คลอดแล้วใช่ไหม"
"ใช่" นิ้วมือใหญ่เช็ดเศษขนมที่ติดอยู่ที่มุมปาก "อยากให้เจ้าไปในวันที่เพ่ยหลิงคลอดบุตรของเรา"
"บุตรของเรา" ลู่กล่าวตามด้วยดวงตาเป็นประกาย

ในช่วงเดือนสุดท้ายก่อนที่จะถึงกำหนดคลอด บรรยากาศในเมืองลั่วมีทั้งความเครียดและความยินดีในเวลาเดียวกัน เมื่อแพทย์ผู้ตรวจอาการของหลิวเพ่ยหลิงมาตลอดแจ้งให้หยางหลงทราบว่าบุตรในครรภ์ของฮูหยินเป็นทารกแฝด
"ข้าสมควรแจ้งให้ท่านเจ้าเมืองทราบตั้งแต่เมื่อตรวจพบ แต่ฮูหยินขอไว้ขอรับ เห็นว่าเป็นธรรมเนียมของทางบ้านฮูหยิน แต่พวกเราดูแลเป็นอย่างดี ท่านเทพกวางสายลมก็มาดูแลอย่างสม่ำเสมอ มาถึงตอนนี้ก็คาดว่าไม่น่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นแล้ว ฮูหยินจึงขอให้ข้าเป็นผู้แจ้งให้ท่านทราบ"
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วพยักหน้ารับทราบตามนั้น ทั้งเชื่อว่านางเทพกวางสายลมน่าจะรู้เรื่องนี้มาแต่แรก จึงมีความกังวลเดินทางมาตรวจดูหลิวเพ่ยหลิงด้วยตนเองเป็นระยะ
ในยุคนี้การตั้งครรภ์ทารกแฝดเป็นเรื่องยาก ทั้งยากยิ่งกว่าที่มารดากับทารกทุกคนจะปลอดภัย

ในวันที่ถึงกำหนดคลอด บรรดาคนงานและบ่าวไพร่ในเรือนพากันไปรวมกลุ่มอยู่ที่หน้าเรือนพักของหลิวเพ่ยหลิง ในกลุ่มคนยังมีหยางหลงกับหยางเจิ้นขุยสองพ่อลูก ซึ่งในตอนแรกถูกขอให้ไปนั่งรออยู่ที่ศาลาในสวน แต่ครู่หนึ่งก็ย้ายเข้ามารอที่ห้องโถงชั้นล่างของเรือนพัก
การคลอดครั้งนี้ มีทั้งแพทย์ประจำครอบครัวซึ่งเป็นชายคอยกำกับดูแลอยู่ด้านนอกของผ้าม่าน และหมอตำแยมากถึงสี่คน กับยังมีหญิงรับใช้อาวุโสอีกสองคนที่ช่วยกันทำคลอด ช่างเอกเกริกวุ่นวายประหนึ่งว่านี่คือท้องแรกก็มิปาน
จากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงทารกร้องดังครั้งที่หนึ่ง เว้นไปอีกครู่หนึ่งจึงเป็นทารกอีกคนหนึ่ง ขณะที่หมอตำแยอุ้มทารกสองคนที่ล้างตัวสะอาดแล้ว และห่มผ้าเนื้อนุ่มลงมาหาหยางหลง ก็ยังได้ยินเสียงทารกร้องไห้เสียงดังเป็นครั้งที่สาม
แพทย์ประจำครอบครัว ออกมาประกาศ "แฝดสาม ชายทั้งสาม มารดาแข็งแรงดี ยินดีด้วยขอรับท่านเจ้าเมือง"
ท่ามกลางเสียงแสดงความยินดี แพทย์ประจำครอบครัวประกาศอีกครั้งว่าขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เนื่องจากฮูหยินอ่อนเพลียมากและต้องการพักผ่อน

หยางหลงกับหยางเจิ้นขุยอุ้มทารกทั้งสองคนเข้าไปในห้องพักของหลิวเพ่ยหลิง นางส่งยิ้มให้ด้วยความอ่อนเพลีย ที่ด้านข้างกายของนางยังมีทารกคนที่สามนอนอยู่
"ขอบคุณท่านเจ้าเมืองมากเจ้าค่ะ"
"ข้าต่างหากที่ต้องขอบใจเจ้า" หยางหลงกล่าว แต่เมื่อจะแตะที่หน้าผาก หลิวเพ่ยหลิงก็เบี่ยงหน้าหลบมืออีกครา
เสียงยินดีที่ด้านนอกเงียบลง เมื่อชายหนุ่มรูปร่างผอมโปร่งใบหน้างดงาม สวมเสื้อผ้าในชุดสีน้ำตาลทองปรากฏกายขึ้นเคียงข้างนางเทพกวางสายลม และเทพกวางสายฟ้า ทุกคนในที่นั้นทำความเคารพ และกล่าวคำขอบคุณ
นางเทพกวางสายลมก้มศีรษะเล็กน้อยรับคำขอบคุณเหล่านั้น แล้วเดินนำเข้าไปในเรือนพัก จนถึงห้องพักชั้นบน
มีเพียงนางเทพกวางสายลมที่ก้าวเข้าไปในห้อง ขณะที่อีกสองคนยืนรออยู่ที่ด้านนอก หยางหลงกับหยางเจิ้นขุย และหมอตำแยคนหนึ่งจึงอุ้มทารกทั้งสามให้นางเทพกวางสายลมได้ชื่นชมก่อน จากนั้นจึงพาออกมาหาเทพกวางสายฟ้าและลู่ที่ด้านนอก
"คนแรกตาสีน้ำตาลเหมือนข้า ส่วนคนที่สองและสามมีตาสีเดียวกับเจ้า" หยางหลงกล่าว ขณะที่หยางเจิ้นขุยค่อย ๆ ประคองส่งทารกในแขนให้กับลู่
"ลูกของพวกเราทั้งสามคนนี่เลยหรือ"
"ใช่ ทั้งสามคนคือลูกของพวกเรา" หยางหลงกล่าว
แต่เทพกวางสายฟ้ากลับแทรกขึ้นขณะที่มองไปยังหยางเจิ้นขุย "ทั้งสี่คนต่างหาก"
หยางเจิ้นขุยยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง "ข้าจะดูแลน้อง ๆเป็นอย่างดีขอรับ"
เทพกวางสายฟ้าจับศีรษะเล็ก ๆ "ฝากด้วยนะหยางเจิ้นขุย"
หยางหลงคุกเข่าลงต่อหน้าเทพกวางสายฟ้า "ข้าน้อยขอรบกวนท่านเทพกวางสายฟ้าผู้เมตตา ตั้งชื่อให้กับบุตรชายทั้งสามนี้ของพวกเราด้วยขอรับ"
เทพกวางสายฟ้าหันไปมองหน้านางเทพกวางสายลมที่อยู่ในห้องที่กำลังยิ้มกว้างด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ในที่นี้ยังจะมีผู้ใดที่มีจิตใจยิ่งใหญ่กว่าผืนฟ้าดั่งเทพกวางสายฟ้าผู้นี้

"หยางเจี่ยน หยางหมิง และหยางจิน"

หยางหลง ลู่ และหลิวเพ่ยหลิงต่างกล่าวคำขอบคุณเทพกวางสายฟ้า จากนั้นจึงให้หญิงรับใช้อุ้มทารกทั้งสามกลับไปพักในห้อง แล้วพากันออกมาพูดคุยกันต่อที่ด้านนอก
"ชื่อหยางเจี่ยนกับหยางหมิงนี่ไม่โต้แย้งหรอกนะ แต่หยางจินนี่ยังไง นอกจากจิน-ทอง นับร้อยในป่าสีทองนี่เรายังมีหยางจิน-พระอาทิตย์สีทองอยู่ในเมืองด้วยอีกหรือ ดูเหมือนท่านเทพกวางสายฟ้าจะประกาศความยิ่งใหญ่ไปทั่วเลยนะ" ลู่ทำปากยื่นแก้มพองกับบิดา
"หรือจะให้ชื่อหยางลู่" เทพกวางสายฟ้ากล่าวขำ ๆ "นั่นมันยิ่งประหลาดไปใหญ่"
ลู่คิดตามแล้วยอมแพ้ "หยางจินก็ได้"
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นนางเทพกวางสายลมก็กลับลงมา แจ้งให้ทุกคนรับรู้ว่า การคลอดบุตรแฝดสามทำให้หลิวเพ่ยหลิงอ่อนเพลียมาก แพทย์ประจำครอบครัวรับปากว่าจะดูแลเป็นอย่างดี แต่นางก็ฝากเรื่องไว้กับกลุ่มหญิงรับใช้อาวุโสเช่นกัน "ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่บุตรคนแรกของเจ้า แต่พวกเขาเป็นหลานสามคนแรกของพวกเรา หากวุ่นวายมากไปสักหน่อยก็ขออภัย ส่วนลู่คืนนี้จะพักที่จวนเจ้าเมืองก่อนก็ได้" 
"จะให้พี่หญิงไพลินมารับหรือ"
"กลับเองได้แล้วนี่" นางเทพกวางสายลมกล่าว แต่ลู่ทำหน้าตาไม่มั่นใจสักนิด เทพกวางสายฟ้าจึงเข้าช่วยเหลือ
"เอาเถิดหากจนถึงค่ำวันพรุ่งนี้เจ้ายังไม่กลับไป พ่อจะมารับเจ้าเอง"
นางเทพกวางสายลมชักสีหน้าเรียบตึง แสดงความไม่พอใจ "ก็เป็นเสียอย่างนี้ ลู่ถึงได้ไม่เก่งสักที"
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะกลับไป ท่านพ่อบ้านจวนเจ้าเมืองทำใจกล้าเข้าไปสอบถาม
"ท่านเทพขอรับ พวกเราเตรียมสุราดอกท้อไว้ มิทราบว่าพวกท่านจะนำกลับไปด้วย หรือจะให้คุณชาย เอ่อ ท่านกวางทองนำไปในวันพรุ่งนี้ หรือจะให้พวกเราใส่รถเข็นนำไปส่งให้ที่ป่าสีทองดีขอรับ"
เทพกวางทั้งสองหันมามองหน้ากัน จากนั้นเทพกวางสายฟ้าก็กวักมือให้ยกเข้ามา เสี่ยวเป่าที่รออยู่ด้านหลังรีบยกไหสุราดอกท้อสองไหเขามาถวายให้กับเทพทั้งสอง
"ขอบใจมาก" เทพกวางสายฟ้ากล่าวขึ้น ขณะที่รับไหสุรา แล้วหายไปทั้งสองคน

เมื่อเหลือกันอยู่สามคนตรงนี้ ลู่จึงหันไปทักทายเซียงเซียงและเสี่ยวเป่า "เสี่ยวเป่าสูงขึ้นมากเลย"
"ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ คุณชายลู่ต่างหาก เมื่อวานนี้ยังตัวเล็กนิดเดียว วันนี้สูงขึ้นเกือบถึงไหล่ท่านเจ้าเมืองแล้ว ทั้งงดงามขึ้นด้วย"
"งดงามขึ้นหรือ" ลู่ยิ้มจนดวงตาสีทองเป็นประกาย
"เมื่อวันวานก็งดงามมากนะขอรับ แต่วันนี้งามมากกว่าเดิมจนไม่แปลกใจที่ท่านเจ้าเมืองไม่ยอมให้ข้าตามไปด้วย" เสี่ยวเป่าหันไปชี้ที่บรรดาคนงานและคนรับใช้ในเรือนที่ยังพากันอยู่ในสวน หาได้กลับไปที่เรือนพักของตน "เห็นดวงตาของพวกนางไหมขอรับ ช่างกล้ามาทำตาวิบวับใส่คุณชาย ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป"
ลู่หัวเราะเสียงใส แล้วหันไปกล่าวคำขอบใจทุกคน พร้อมด้วยยิ้มงามชนิดล่มบ้านล่มเมือง
"ฝากดูแลบุตรของพวกเราด้วยนะ"
เหล่าคนงานและคนรับใช้ของจวนเจ้าเมืองสูญสิ้นสติสัมปชัญญะไปในบัดดล

ยามค่ำคืนได้ยินเสียงดนตรีเครื่องสายคลอมาในสายลม สองร่างอิงแอบแนบชิดชมจันทร์ เจ้าของอกกว้างที่ให้พักพิงขยับตัวก้มลงจูบ คนที่รูปร่างเล็กกว่ากันมากกว่าครึ่งแรกนั้นยังเกี่ยงงอนด้วยยังต้องการฟังเพลง และชมจันทร์ แต่อีกคนรุกไล่ไม่นานร่างกายผอมบางก็หลอมเหลวอยู่ภายใต้
ความงดงามที่เป็นของหยางหลงผู้นี้เพียงคนเดียว
ก่อนที่จะกลับป่าสีทองในช่วงสายของวันถัดมา ลู่กวางทองก็บอกกับหยางหลงว่าไม่ต้องเดินทางไปพบกันที่ป่าสีทอง เพราะอยากจะมาพบที่จวนเจ้าเมืองเอง "ข้าอยากมาดูลูกด้วย"
"เช่นนั้นก็ได้ ส่วนเรื่องสุราดอกท้อ ข้าจะนำไปถวายเดือนละครั้งดีไหม"
ลู่หัวเราะ "เช่นนั้นก็ได้ แต่ข้าอาจไม่ได้มารับเองทุกครั้ง"
จากนั้นหยางหลงจึงเดินออกมาส่งลู่ที่สวนภายในจวนเจ้าเมือง เมื่อสายลมอ่อนพัดมา ลู่ก็หายไป

มาถึงเวลานี้ทุกคนในเรือนได้รู้แล้วว่า ทารกทั้งสามคนเกิดจากฝากครรภ์ของหลิวเพ่ยหลิง
"ท่านแม่ถึงได้ทนุถนอมน้อง ๆที่อยู่ในครรภ์เป็นยิ่งนัก" หยางเจิ้นขุยสรุปแบบเด็ก ๆที่ ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนโล่งใจ
ส่วนหยางติงที่กลับมาเยี่ยมหลานชายทั้งสามพร้อมกับคำแสดงความยินดีมาจากเหอชินรุ่ย เมื่อได้รับทราบถึงที่มาของเรื่องราวส่วนนี้อดีตเจ้าเมืองลั่วก็รู้สึกเป็นกังวล ว่าชาวเมืองลั่วหรือเมืองอื่น ๆจะพากันมาอธิษฐานขอให้เทพจากป่าสีทองทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ไม่รู้จักจบสิ้น
"สุดท้ายแล้วจากเทพแห่งป่าสีทองศักดิ์สิทธิ์ ก็จะกลายเป็นคนรับใช้ของคนเกียจคร้าน"
หยางหลงจึงชี้แจง "ไม่ใช่ว่าจะขออะไรก็ได้ เรื่องคำขอของเพ่ยหลิงนั้น ท่านเทพกวางยอมรับว่าเป็นความผิดของพวกเขาที่ทำให้ลู่หนีออกมาแล้วทำให้เจิงเอ๋อร์เสียชีวิต จึงชดใช้ให้ตามที่ขอ"
หยางติงเข้าใจ แต่ก็ยังเป็นกังวลอยู่เช่นเดิม "คนอื่นเขาจะไม่คิดเช่นนี้น่ะสิ ส่วนเรื่องที่ฮูหยินของเจ้าไปขอน่ะ ลูกก็คือลูกไม่มีใครทดแทนใครได้ แล้วพวกเจ้าก็ยังมีขุยเอ๋อร์ วันข้างหน้าหากโดนเปรียบเทียบเขาอาจจะคิดน้อยใจได้ อีกอย่างคือให้มาสามคนแบบนี้ดูท่าเราจะได้กำไรมากไปสักหน่อย" หยางติงบ่นยืดยาวมองทารกน้อยที่กำลังนอนหลับ "มีดวงตาสีทองสองคนหรือ"
"ขอรับ" หยางหลงอธิบายว่าเพราะมีน้ำเชื้อของลู่อยู่ด้วย
ที่ผ่านมาหยางติงก็เป็นคนที่เป็นเจ้าเมืองที่เป็นห่วงเป็นใยคนทั้งเมือง ห่างหายไปอยู่วัดมานานสามปี กลับมาคล้ายจะมีเรื่องให้ต้องเป็นห่วงเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า "เจ้าจะยกย่องท่านกวางทองอย่างไร อย่างไรเขาเป็นชาย ต่อให้ยกเป็นฮูหยินเอกก็ยังเหมือนกับดูหมิ่นกัน"
หยางหลงตอบว่าเคยถามเรื่องนี้กับบิดา มารดาทั้งสามของลู่ รวมถึงลู่ทุกคนต่างพอใจกับการที่หยางหลงเดินทางไปหาลู่อย่างสม่ำเสมอ มิได้ต้องการตำแหน่งฐานะอะไร
หยางติงโคลงศีรษะ "กับคนที่ดีกับเรา แล้วเขาไม่ได้เรียกร้องอะไร ยิ่งต้องทำดีกับเขาให้มาก"
"ว่าที่จริง สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการคือสุราดอกท้อ"
หยางติงทวนคำแล้วหัวเราะเสียงดัง จากนั้นก็ชักชวนบุตรชายออกไปดื่มสุราดอกท้อกันต่อที่สวน ส่วนหนึ่งของบทสนทนาก็คือการที่หยางหลงสมควรย้ายไปพักในเรือนหลังใหญ่ และให้สี่คนพี่น้องย้ายมาพักที่เรือนต้นส้มด้วยกัน
"พ่อและแม่รู้ว่าเจ้าเป็นบุตรกตัญญู แต่ก็ไม่อยากทำให้ยกย่องจนทำให้เกิดการเสียเปล่า เรือนนั้นสวยงามและกว้างขวาง ปรับปรุงตกแต่งอีกสักนิดให้เหมาะสมกับฐานะของคุณชายลู่ในยามที่คุณชายลู่มาพักอยู่ที่นี่"
หยางหลงมองบิดาแล้วก้มหน้ายอมรับ "บุตรมิได้คิดไปถึงเรื่องนั้น"
"เจ้ามักละเลยเรื่องราวในบ้านของตนเองอยู่เสมอ" บิดาตำหนิตรง ๆ แล้วยกจอกสุราขึ้นดื่ม
ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่นั้น หยางเจิ้นขุยกลับเข้ามาขออนุญาตบิดาที่จะไม่ศึกษาวิชาการปกครอง แต่จะขอไปศึกษาวิชาการแพทย์
"การแพทย์หรือ เจ้าเป็นคนแรกในสกุลหยางแห่งเมืองลั่วเลยนะที่เรียนแพทย์" หยางติงกล่าวด้วยความประหลาดใจ
"เหตุใดจึงอยากเรียนแพทย์" หยางหลงไต่ถาม
"บุตรเห็นท่านหมอจื่อดูแลรักษาคนน่ะขอรับ หลายวันมานี้ก็ไปขอเรียนรู้งานที่ร้าน ยิ่งรู้สึกชอบมากขึ้น จึงมาขอท่านพ่อไปเรียนแพทย์"
หยางหลงพยักหน้า "เช่นนั้นหรือ หากเจ้าชอบทางนั้นพ่อก็ตามใจเจ้า" ชายหนุ่มหันมาจิบสุราในถ้วย
ยอมรับว่าเขาเป็นบิดาที่ละเลยในเรื่องในบ้านจริง ๆ

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 30-04-2017 10:28:44
(ต่อครับ)

ในปีที่แฝดสามแห่งเมืองลั่วอายุครบสามขวบ ผู้แทนพระองค์ของฮ่องเต้แห่งไท่ชาง ถือพระบรมราชโองการมาที่เมืองลั่ว
ขบวนม้าของผู้แทนพระองค์มิใช่ขบวนเล็ก เมื่อเดินทางผ่านปากทางของป่าสีทองมีหรือที่ผู้ซึ่งเฝ้าดูอยู่จะไม่รู้ พวกเขาจึงรีบไปแจ้งต่อนางกวางไพลิน
ส่วนคนของสำนักคุ้มกันภัยหยางเฉิง เมื่อเห็นว่ามีขบวนจากวังหลวงเข้ามา ทางหนึ่งรีบไปแจ้งข่าวต่อหยางหลง ส่วนอีกทางก็ไปแจ้งต่อหยางติงเพื่อเชิญหยางติงกลับมาที่จวนเจ้าเมือง
เมื่อผู้แทนพระองค์เดินทางมาถึงที่จวนเจ้าเมือง หยางหลงเชื้อเชิญไปที่เรือนต้นบ๊วย ซึ่งหยางติงเจ้าเมืองคนก่อนมักจะใช้ในการรับแขกและเจรจาการงานอยู่เสมอ
ที่เรือนแห่งนี้ นอกจากหลิวเพ่ยหลิงและลูก ๆแล้ว ยังมีหยางเฉิง และหยางไห่ที่พาฮูหยินและบุตรมารออยู่เช่นกัน หยางไห่นั้นเรียกว่าอยู่ในการเตรียมพร้อมที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวงเลยทีเดียว
คนในสกุลหยางทั้งหมดคุกเข่าลงน้อมรับพระบรมราชโองการ

"หยางไห่มีความโดดเด่นในเรื่องกิจการค้า ทรงมีพระราชดำริว่า มีความเหมาะสมที่จะช่วยเหลือหยางหลงเจ้าเมืองลั่วต่อไป แต่ทรงมีพระประสงค์ให้แฝดคนเล็กหยางจิน บุตรของหยางหลงเจ้าเมืองลั่วเดินทางไปรับราชการในวังเมื่อมีอายุครบแปดปี"
หลิวเพ่ยหลิงเปล่งเสียงร่ำไห้โฮขณะที่กอดหยางจินบุตรคนเล็กไว้แน่น
"ท่านผู้แทนพระองค์ขอรับ" หยางเจิ้นขุยกล่าวขึ้น ในวันนี้เขาเป็นวัยรุ่นตอนต้นที่มีอายุสิบเอ็ดปีแล้ว "ให้ข้าไปกับท่านแทนน้องได้ไหมขอรับ ข้าสามารถเดินทางไปกับท่านได้ภายในวันนี้ และสามารถทำงานได้ แต่หากเป็นน้องท่านยังต้องรออีกหลายปี"

ผู้แทนพระองค์ส่ายหน้า "พระบรมราชโองการไม่ใช่สิ่งที่จะนำมาต่อรองหรือเปลี่ยนแปลงได้ตามใจ อีกอย่าง เจ้าไม่ใช่บุตรของหยางหลง"
"นายท่าน!" หยางหลงร้องขัดขึ้น ขณะที่ทุกคนในที่นั้นต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ
หยางเจิ้นขุยหันไปกล่าวกับหยางหลง "ข้ารู้เรื่องนี้มานานแล้ว ว่ามิได้เป็นบุตรของท่านพ่อ แต่ความเมตตาที่ได้รับมาตลอดหลายปีมานี้ ทำให้ข้าตั้งใจว่าจะตอบแทนบุญคุณนี้ให้ดีที่สุด ที่ข้าเปลี่ยนไปเรียนแพทย์ก็ด้วยเหตุนี้" หยางเจิ้นขุยกล่าวอย่างมั่นใจ "ท่านผู้แทนพระองค์ขอรับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าได้รับการศึกษาด้านการแพทย์และฝึกงานอยู่เสมอ การไปเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยผู้มีความรู้ จะทำให้วิชาการแพทย์ของข้ากว้างขวางมากขึ้น สามารถรับราชการรับใช้องค์ฮ่องเต้ได้เป็นอย่างดี หากเป็นน้องเล็กพระองค์ยังอาจต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี กว่าที่เขาจะสามารถรับราชการได้"
ผู้แทนพระองค์หัวเราะในลำคอ
"กล้าหาญดี แต่ไม่ต้องรีบร้อนไป คืนนี้ข้าจะออกไปพักที่เรือนพักในเมืองจากนั้นจึงจะเดินทางกลับ ให้พวกเจ้าได้มีเวลาหารือกัน" จากนั้นจึงหันมากล่าวกับหยางหลง "หลายปีก่อนพระองค์เคยมีพระดำริว่าท่านปู่หยางจงจินชรามากแล้ว จึงจะให้เดินทางกลับมาพักผ่อน ที่นั่นจึงเหลือเพียงท่านอาหยางลี่ จึงอยากได้หยางไห่ไปเสริมการค้า แต่ที่จู่ ๆ ทรงเปลี่ยนพระทัยมาเป็นหยางจินบุตรแฝดคนเล็กนี้จะด้วยเพราะอันใดข้าก็ไม่อาจล่วงรู้ได้" ผู้แทนพระองค์หันมาถามกับหยางหลง “ท่านรองแม่ทัพแวะมาที่นี่บ้างหรือไม่”
หยางหลงเจ้าเมืองสะกดความรู้เท่าทันในคำถามนั้น และตอบกลับไปด้วยความสุภาพ “ไม่ได้มานานแล้วขอรับ”
ผู้แทนพระองค์พยักหน้ารับรู้ และถามไถ่ความเคลื่อนไหวของเมืองเหออีกหลายคำจากนั้นจึงจะขอตัวกลับออกไปพักที่บ้านพักรับรองในตัวเมือง ทุกคนจึงจะพากันออกไปส่ง  แต่ข้าราชการอาวุโสผู้นี้ขอให้คนสนิทของหยางหลงเป็นผู้พาไปที่เรือนรับรอง
"พวกเจ้ามีเรื่องให้ต้องหารือกัน อย่าลืมว่าข้าจะรอจนถึงพรุ่งนี้เท่านั้น"
คนสนิทของหยางหลงก็รู้งาน ไปส่งผู้แทนพระองค์และดูแลเป็นอย่างดี จนกระทั่งส่งกลับไปเมืองหลวงโดยไม่ได้ปริปากเรื่องกำเนิดของแฝดสามแม้สักครึ่งคำ

ด้านหยางหลง เมื่อผู้แทนพระองค์ก้าวออกจากเรือนต้นบ๊วยก็หันไปกอดหยางเจิ้นขุยไว้แน่น ขณะที่มองหลิวเพ่ยหลิงและน้องชายทั้งสองคนที่ต่างก็รอคอยให้หยางหลงกล่าวคำพูดสักคำ
"ขุยเอ๋อร์เป็นลูกของข้า ไม่มีใครหรืออะไรมาเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้"
หยางเจิ้นขุยกอดตอบบิดา น้ำตาไหลอาบแก้ม 
สายลมพัดมาวูบหนึ่ง ลู่กวางทองกลับปรากฏตัวขึ้นกลางห้อง "เกิดอะไรขึ้น พี่ไพลินไปตามข้าที่ยอดเขาบอกว่าที่นี่เกิดเรื่องราว" ขณะที่กำลังกล่าวคำ หยางหมิงแฝดคนกลางผู้มีดวงตาสีทองก็เดินเข้ามาหาลู่ยกแขนให้อุ้ม
"ฮ่องเต้จะพาจินเอ๋อร์ไป" หยางไห่ตอบพลางพยักหน้าไปทางหลิวเพ่ยหลิงที่กอดบุตรคนเล็กไว้แน่น "ขุยเอ๋อร์ขอไปแทน แต่ทรงทราบว่า เขาไม่...ไม่เหมาะสม"
ลู่หันไปมองหยางหลงที่มีสีหน้าเคร่งเครียด และยังกอดขุยเอ๋อร์ไว้แน่น กับท่าทางของหลิวเพ่ยหลิงที่กอดบุตรคนเล็กไว้ โดยที่ไม่ยอมสบตาผู้ใดในห้องนี้ ก็รู้ว่าความลับที่เก็บไว้เป็นเวลานานถูกเปิดโปงแล้ว

"แฝดตาสีทองคู่นี้ออกจากเมืองลั่วไม่ได้หรอก"
ทุกคนต่างตกใจอีกครา
"ท่านเห็นข้าไปที่ไหนได้ไกลจากเมืองลั่วหรือไง" ลู่พยายามยิ้มร่าเริงที่ดูจะไร้ผล เพราะทุกคนในที่นี้พากันตกใจจนมึนงงไปหมดแล้ว "ดวงตาสีทองนี่ คือตราสัญลักษณ์ว่าพวกเราคือป่าสีทอง การที่เราถูกเรียกว่ากวางทอง นกยูงทอง หรือไก่ฟ้าทองไม่ได้หมายความแค่เพราะเรามีสัญลักษณ์ของป่าสีทอง แต่เรา...คือป่าสีทอง ท่านเทพสูงสุดที่เป็นอาจารย์ของข้าก็เป็นกวางทอง ต่อให้เป็นเทพหรือสามารถเดินทางได้โดยอิสระก็จริง แต่ก็ต้องระมัดระวังตนเอง ผู้ที่มีสัญลักษณ์ของสีทองจึงไม่ออกไปจากป่าหรือเมืองลั่ว  แฝดทั้งสองคนนี้แม้จะมีกายเป็นมนุษย์  ก็ต้องเรียนรู้เรื่องการระวังตน วันหนึ่งพวกเขาอาจจะกลับไปที่ป่าหรือจะอยู่ที่นี่ก็สุดแต่เขาจะเลือก  ส่วนเหมี่ยนเอ๋อร์ที่เหมือนกับท่านพี่ เขามีไอของท่านพี่อยู่มากกว่าข้า จึงแข็งแรงดี แต่พวกเราจะอธิบายแบบนี้กับคนที่ไม่เชื่อเรื่องป่าสีทองก็คงไม่ได้ใช่ไหม เปลี่ยนเป็นบอกกับเขาไปว่า จะเอาคนที่ตาสีทองไปเพื่ออันใด อยู่ที่นี่พวกเขายังมีคนดูแล แต่หากไปอยู่กับพระองค์คงเป็นได้แค่คนประหลาด ที่ถูกผู้อื่นกลั่นแกล้ง แล้วก็จบชีวิตอยู่ในละครเร่"
"ดังนั้นข้ายิ่งสมควรไป" หยางเจิ้นขุยกล่าวอีกครา
ลู่หันมาดุในทันที "จะให้พ่อเจ้าขาดใจตายหรือไง ขนาดแค่ท่านอาสองคนของเจ้าไปติดต่อการค้าที่เมืองหลวง พ่อเจ้าเขายังกินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวว่าฮ่องเต้จะถือโอกาสควบคุมคนไว้"
"แต่ว่าต้องมีใครสักคนที่เดินทางไป" หยางไห่กล่าวขึ้น
"ทำไมพวกท่านจึงอยากไป" ลู่หันมาถาม
"ไม่ได้อยากไป แต่หากไม่ไปอาจทำให้เดือดร้อน อีกอย่างนี่จะทำให้ท่านปู่ได้กลับมาด้วย"

คราวนี้ลู่งงจริง ๆแล้ว หลายปีที่รู้จักกับคนเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจความคิดเป็นห่วงไปหมดทุกคนในโลกของพวกเขาเลยสักนิด

คนงามหันมาหอมแก้มของบุตรชายคนรอง ทำให้บุตรคนโตที่อยู่กับพี่เลี้ยง และบุตรคนเล็กที่อยู่กับหลิวเพ่ยหลิงแย่งกันเข้ามาหาให้กอดและหอมแก้มเช่นกัน
หยางหลงช่วยอธิบาย "ท่านปู่ชรามากแล้ว อยู่ในเมืองหลวงมาหลายสิบปี อาจต้องการออกจากราชการกลับมาพักผ่อนที่บ้าน"
"พ่อมีข้อเสนอ" เสียงของหยางติงดังขึ้นที่ภายนอก จากนั้นเจ้าตัวก็ก้าวเข้ามาถึงในห้อง และหันไปกล่าวกับหยางเจิ้นขุย "ปู่กับย่าอยู่ที่นี่ไม่ได้ทำอะไร ทั้งคิดถึงน้องชายที่ไม่ได้พบกันมาหลายปีจึงขออาสาเดินทางไปเมืองหลวงเอง ปู่ไม่เชื่อหรอกว่าด้วยการทำงานที่ผ่านมา ปู่จะมีค่าน้อยกว่าเจ้าแฝดสาม จะไปขอพระเมตตารับราชการที่เมืองหลวง และจะได้ดูแลขุยเอ๋อร์เรียนแพทย์ด้วย นี่จึงเป็นทางออกที่ดียิ่ง"
ด้านหลังของหยางติงคือเทพเสือโคร่งภูผาที่เดินตามเข้ามาในห้อง ด้วยสีหน้าชื่นชมหยางติงเป็นอย่างยิ่ง
หยางติงหันไปบอกกับหยางหลง "รบกวนท่านเจ้าเมืองลั่วรีบทำหนังสืออย่างเร่งด่วน ฝากไปกับผู้แทนพระองค์ และก็ต้องมีหนังสืออีกฉบับเพื่ออภัยโทษให้กับท่านแม่ของพวกเจ้า นางจะได้เดินทางไปด้วยกัน ข้าขอรับรองว่าจะดูแลขุยเอ๋อร์ให้ดีที่สุด"

หยางหลง หยางเฉิง หยางไห่ และทุกคนในห้องนั้นคุกเข่าลงโขกศีรษะแสดงความขอบคุณ

แต่ท่ามกลางความราบรื่น ยินดีนั้นย่อมมีผู้ที่ไม่พอใจเป็นอย่างมาก มากขนาดที่จะถล่มภูเขาได้ทั้งลูก!
"อยากได้หลานของข้าหรือ ได้! ข้าจะจัดให้เป็นอย่างดี!" เสียงของเทพเสือโคร่งภูผาดังสะท้านสะเทือน
หลายวันถัดมาหยางหลงเจ้าเมืองลั่วก็เดินทางเข้าเมืองหลวงเกี่ยวกับฎีกาขอเปลี่ยนคนในสกุลยางแห่งเมืองลั่วที่จะเดินทางเข้าเมืองหลวง และเมื่อเสร็จเรื่องกลับมาก็พบว่ามีใครบางคนที่ป่าสีทองถูกลงโทษอย่างหนัก
แต่ในเวลาเดียวกันการที่คนผู้นั้นถูกลงโทษ ก็ทำให้เทพเสือโคร่งศิลาดำเฝ้าโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง
“ท่านพี่เทพเสือโคร่งช่วยปกปิดความผิดของจิ้งจอกไฟมาตลอดหรือ” หยางหลงเจ้าเมืองลั่วถามลู่กวางทอง
“ฮื่อ” คนงามรินน้ำชาให้ แล้ววางคางลงบนนิ้วมือที่ประสานกันไว้ “เรื่องมันยาวนะ ต้องตั้งใจฟัง”
หยางหลงหัวเราะเบา ๆ ปล่อยให้ลู่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เรื่องราวที่เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่ลู่กวางทองจะถือกำเนิดขึ้น และยังไม่มีทีท่าว่าจะไปถึงจุดสิ้นสุดลงเมื่อใด ... 

หลังจากที่หยางหลงเดินทางกลับมาจากเมืองหลวงได้หนึ่งปีครึ่ง หยางติง เหอชินรุ่ย และหยางเจิ้นขุยก็ออกเดินทางไปเมืองหลวง
นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่หยางหลงเจ้าเมืองลั่วร่ำไห้ คนตัวใหญ่ร้องไห้น้ำตาไหลพราก สั่นสะเทือนฟ้าดิน และทำให้ผู้อื่นต้องร้องไห้ตามไปด้วย
จากนั้นท่านปู่หยางจงจินและครอบครัวจึงเดินทางกลับมาที่เมืองลั่ว หยางหลงจัดเรือนพักหลังใหญ่ที่เพิ่งปลูกสร้างเสร็จให้ท่านปู่ได้พำนัก
จนถึงเวลาที่แฝดสามอายุสิบปี หยางหลงเจ้าเมืองลั่วจึงออกเดินทางไปที่ป่าสีทองปีละสองครั้ง ครั้งละหนึ่งเดือน
และในวันที่แฝดสามอายุยี่สิบปีเขาจัดงานสมรสให้กับหยางเหมี่ยนบุตรชายคนโต จากนั้นหนึ่งปีจึงยกตำแหน่งเจ้าเมืองให้
ในวันถัดมาที่กลายเป็นอดีตเจ้าเมือง หยางหลงในวัยสี่สิบแปดปีเดินทางตามลำพังไปยังป่าสีทอง แล้วไม่กลับมาอีกเลย
ตลอดเวลาที่หยางหลงเป็นเจ้าเมืองลั่ว ภัยสงครามและความขัดแย้งหาได้ลุกลามเข้ามาในเมืองลั่วตามที่หยางหลงอธิษฐานขอไว้
และบ้านเมืองที่ปกครองโดยแฝดสามเมืองลั่ว ก็ราบรื่นสุขสงบเช่นกัน

....ท่านรู้ไหม ในแต่ละวันผู้คนอธิษฐาน ร้องขอ และสวดมนต์ขอพรกันมากมายเท่าใด
คำอธิษฐานเหล่านั้นส่วนใหญ่คือเพื่อตนเอง หรือต่อให้ขอคนในครอบครอบครัว หรือคนรักมีสุขภาพแข็งแรง แต่แท้จริงก็ยังหมายถึงการขอเพื่อตนเองอยู่ดี
แต่มีคนผู้หนึ่งที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภาระที่แบกไว้จะเพิ่มน้ำหนักมากมายขนาดไหน แต่คำอธิษฐาน ร้องขอ และสวดมนต์ขอพรจะมีอยู่เพียงเรื่องเดียว ทั้งเป็นเรื่องเดิม
และนั่นทำให้ข้าหลงรักเขา ทั้งที่ไม่เคยพบเขามาก่อน และเมื่อได้พบกับเขา ข้าก็ไม่อยากพรากจากเขาอีกเลย....ตลอดกาล....

...จบภาคกวางทอง...
*ย่อหน้าซ้ำแก้แล้ว ขอบคุณมากครับ*
*ตอนต่อไปคือเทพเสือโคร่งภูผา และตอนสุดท้ายคือจิ้งจอกไฟ*
*ยังมีเรื่องที่ไม่ได้เฉลยอีกประมาณสองกระบุง จะทยอยเล่าในตอนต่อ ๆไป ก็ให้ลู่เป็นคน..เอิ่มกวางเล่า ก็โยกโย้ นึกอะไรได้ก็จะบอกมาตามที่นึกออกละนะ*
*ก่อนจะไปหาคุณพ่อเทพเสือ จะมีตอนพิเศษมาคั่นอีกหน่อยนึง*
*ชอบก็บอก ไม่ชอบก็กระซิบเบา ๆก็ดีนะ ผมเป็นคนอ่อนไหวง่าย  :m15:*
ขอบคุณมากครับ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 30-04-2017 11:29:37
น้องลู่จบแล้ว  :mc4: :mc4:

ต่อไปเป็นใครหนอ  :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-04-2017 11:37:48
รอภาคสอง  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

จิ้งจอกไฟ ถูกลงโทษใช่มั้ย เพราะทำผิดอะไรหรือ
หยางเจ้นขุย จิตใจงาม รักน้องแฝด

หยางเพ่ยหลิง ทำเกินไปกับหยางขุย
อาจเพื่อความถูกต้องของตระกูลหยาง
แต่ไม่ใช่ความผิดของหยางขุยเลย
ที่ผิดน่ะเป็นพวกผู้ใหญ่ ที่ห้ามตัวเองไม่ได้
     :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-04-2017 11:54:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 30-04-2017 11:57:05
จบแล้ว อยากเห็นว่า รอยยิ้มที่แทบล่มบ้านล่มเมือง ของกวางทองจังเลย
จะรีบเข้ามาแจ้งเรื่อง มีย่อหน้าซ้ำ แต่มีท่านอื่นแจ้งแล้ว
มีข้อสงสัยเรื่อง ทำไมฮ่องเต้อยากได้ หยางจิน และถามหาแม่เล็กทำไม และจิ้งจอกไฟทำความผิดอะไร
ชอบข้อคิดเรื่องการอธิษฐาน ตอนท้ายเรื่องค่ะ
ขอบคุณนะคะ รอภาคต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-04-2017 12:20:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 30-04-2017 13:02:29
เป็นการรอคอยเพื่ออยู่ด้วยกันแบบอดทนมากนะ ในความคิดของพี่ เหมือนคนที่จะออกบวชเลย 5555ไม่มีความห่วงอะไรแล้ว หยางหลงทำเพื่อคนอื่นมาโดยตลอด ในที่สุดก็ถึงเวลาของตัวเองสักทีนะ หวังว่าในภาคของ เทพเสือโคร่งจะมีคู่ของหยางหลงและลู่แอบโผล่มาบ้างนะ
ปล. แอบซึ้งกับคำอธิษฐาน จริงที่สุด คนเรามักจะขอเพื่อตัวเองก่อนคนอื่นตลอด เป็นย่อหน้าสุดท้ายที่ทำให้เราคิดว่า ครั้งต่อไปเราควรทำเพื่อคนอื่นก่อนบ้างก็ดีเนอะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 30-04-2017 13:42:37
เดี๋ยวจะเป็นภาคอะไร พี่เสือโคร่งหรือเปล่า

มีแก้ไขนิดหน่อย
ผู้แทนพระองค์พยักหน้ารับรู้ และถามไถ่ความเคลื่อนไหวของเมืองเหออีกหลายคำจากนั้นจึงจะขอตัวกลับออกไปพักที่บ้านพักรับรองในตัวเมือง ทุกคนจึงจะพากันออกไปส่ง  แต่ข้าราชการอาวุโสผู้นี้ขอให้คนสนิทของหยางหลงเป็นผู้ที่พัก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 30-04-2017 13:48:37
เรื่องของน้องลู่น่ารัก เบาๆ สบายๆ อ่านแล้วเพลินดีค่ะ
แต่เรื่องของคุณพ่อเทพเสือโคร่งภูผานี่ท่าทางจะโลดโผนโจนทะยานน่าดู อิอิ
ส่วนเรื่องสุดท้าย เอาใจช่วยพี่ศิลาดำ อยากให้สมหวังกับจิ้งจอกไฟอ่ะ
รออ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 30-04-2017 14:30:18
ขุ่ยเออร์น่ารักมาก เป้นเด็กดีสุดๆ  รอพ่อเสือต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-04-2017 20:42:03
จบสวยงามมาก

หยางหลงเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย ลู่รักถูกคนแล้ว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 01-05-2017 12:57:55
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

เรื่องนี้ แอบหมั่นไส้หยางหลงมากที่สุด  พ่อคุณจะดีไปถึงไหน
คิดถึงคนอื่นตลอดเวลา ... แต่อย่างว่า คนทำดี ก็ได้รับผลของความดี
รอตอนต่อไปนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 01-05-2017 14:43:07
จบแล้ววววว

รู้สึกว่าตอนสุดท้ายรวบรัดตัดความไปหน่อย ตอนอ่านรู้สึกงงความคิดและความรู้สึกตัวละครไปบ้าง และยังคงคาใจกับพฤติกรรมของฮูหยิน รวมไปถึงของหยางหลงตอนท้ายๆ รู้สึกว่าตัวละครนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร (อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ น้องทีไม่นอยด์เนอะ)

จะติดตามตอนต่อๆไปนะคะ เดาว่าต่อไปเป็นตอนของจิ้งจอกไฟ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 02-05-2017 01:23:24
มันจบด้วนๆหรือเรารู้สึกไปเอง?
คือยังสงสัยอีกนิดหน่อยว่าจิ้งอกไฟไปทำผิดอะไร
แต่ไม่เป็นไร รออ่านจากตอนของคนอื่นๆละกัน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 02-05-2017 11:39:10

 o18  ชักอยากเห็นอาวุธทำลายล้างของลู่ "ยิ้มงามล่มบ้านล่มเมือง" 
ว่าแต่อย่าไปยิ้มที่อื่นแล้วกัน กลัวว่าหยางหลง อาจจะลงโทษสถานหนักเอานะ ฮรี่ ๆ ๆ ๆ ๆ
ว่าแต่ทางวังนี่คงยังไม่รู้ฤทธิ์ของเทพเสือโคร่งภูผาซินะ เอาเลยค่ะท่านตาเสืออย่าให้น้อยหน้ากว่าเมืองเหอ  o13  o13


แม้จะบอกว่าจบภาคกวางทองก็ได้แต่หวังว่าในภาคต่อก็จะยังมีลู่น้อยเรามาโล่นแล่นอยู่ให้แอบหายคิดถึงมั่งนะคะ
หรือว่าจะเป็นความซนของลูกๆกันแน่ อยากอ่านจังว่าลู่น้อยเราจะสอนลูกๆ อย่างไร จะแสบหรือจะดุดันหรือจะมาแนวไหน อยากตามมาก

และคนที่น่าชื่นชมอีกคนที่อยากปรบมือให้ดังๆ คือหยางเจิ้นขุย นี่คือตัวอย่างของคนที่จิตใจดีไม่ต่างจากพ่อเลยแม้แต่น้อย ความอิจฉา ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความริษยา ไม่มีให้เห็นแม้แต่น้อย โอ้ยยย เป็นเด็กที่เติบโตมาอย่างงดงามมาก กอดๆ หยางเจิ้นขุย

ส่วนคนที่เข้าไม่ถึงจิตใจและได้แต่สงสัยว่าทำไม ๆๆ คือ หลิวเพ่ยหลิง จริงๆ เอิ่มมมมม ...... งงกับนางมากจริงๆ


รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: Premo1492 ที่ 02-05-2017 22:56:04
 :pig4: :pig4: :pig4:ยังไม่อยากให้จบเลยอะ
อยากอ่านอีกเยอะๆเลยยยยย :L1: :L2: :L2:
ขอบคุณที่สร้างสรรค์และแบ่งปันนิยายดีๆ o13 o13
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 03-05-2017 02:19:11
น้องลู่คนงามจบแล้ว เห็นด้วยว่าจบรวบรัดแต่ถ้าเรื่องมันจบก็ควรจบอ่ะค่ะ แม้ฉากสวีทพระนายจะน้อยไปหน่อยในตอนท้ายๆ งื​ออ​ออ รอมานานสำหรับตอนจบ และตอนต่อไปเป็นของพ่อเสือน่าติดตามมากๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 05-05-2017 19:53:13
อ่านจบภาคกวางทองแล้ว น่ารักและน่าติดตามค่ะ แต่ตอนจบรวบรัดตัดความไปนิดนึง เหมือนกับจะบอกบทสรุปของแต่ละคน แต่รายละเอียดมันขาดหายไป

จะรออ่านภาคต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-05-2017 19:17:48
 :katai5: :katai5:

มารอพ่อเสือออ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 06-05-2017 19:57:46
ขอภาคต่อไป พ่อเสือโคร่งและตอนพิเศษน้องลู่กับเด็กแฝดด้วยเน้อ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 06-05-2017 19:58:20
 :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่14 (P14) จบภาคกวางทอง
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-05-2017 20:20:14
 :z13: :z13:

 มาจิ้มๆ
หัวข้อ: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 07-05-2017 08:09:09
พิเศษตอนที่หนึ่ง

เรื่องนี้เกิดขึ้นในเช้าวันถัดมาของคืนที่นางเทพกวางสายลมพาลู่ไปร่วมค่ำคืนกับหยางหลง เพื่อถ่ายทอดน้ำเชื้อฝากทารกในครรภ์ของหลิวเพ่ยหลิง

นางเทพเสือโคร่งบงกชในอาภรณ์เหลืองอ่อน สลับขาว เดินทางมาถึงปากทางของเขตเทพกวางแล้วแจ้งต่อเทพกวางที่ทำหน้าที่ในละแวกนั้นว่านางมาขอพบเทพกวางสายลม
นางคือเทพเสือโคร่ง จึงเป็นเสือโคร่งที่มีร่างกายสูงใหญ่กว่าเสือโคร่งทั่วไป และเมื่อนางอยู่ในร่างของสตรีนางก็เป็นสตรีตัวหนาร่างกายสูงใหญ่ยิ่ง มีโครงสร้างของใบหน้าที่บ่งบอกว่าเป็นคนดุมาก เข้มงวดมาก ยิ่งยามที่นางไม่พอใจยิ่งสามารถแผ่รังสีกดดันสรรพสัตว์รอบตัวให้ต้องถอยห่างออกไป เมื่อนางเทพกวางสายลมมาถึง ยังต้องรวบรวมพลังขึ้นต้านทานแรงกดดันนั้นแล้วเปลี่ยนมาอยู่ในร่างมนุษย์ในชุดสีน้ำตาลทอง
การแผ่รังสีของนางเทพเสือโคร่ง มิได้เกิดจากความต้องการสังหารใคร แต่เป็นเพราะนางไม่พอใจในเรื่องที่นางเทพกวางสายลมพอจะคาดเดาได้ว่าคือเรื่องใด
หลังจากที่นางเทพกวางสายลมทำความเคารพ นางเทพเสือโคร่งบงกชจึงถามขึ้น

"ข้าอยากรู้เหตุผล" ท่าทีของนางคุกคาม ข่มขู่อย่างชัดเจน
นางเทพกวางสายลมใช้ความสงบนิ่งบรรเทาความไม่พอใจนั้น
"หลิวเพ่ยหลิงภริยาเจ้าเมืองลั่ว อธิษฐานขอบุตรแห่งป่าสีทอง"
ขณะที่นางบอกเล่าเรื่องราวไปตามลำดับ เทพกวางสายฟ้าก้าวย่างช้า ๆ ออกมาจากเขตเทพกวางแล้วเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ จากนั้นเทพเสือโคร่งภูผาก็ปรากฎตัวขึ้นจากฝั่งของนางเทพเสือโคร่งบงกช แรกนั้นเขาอยู่ในร่างของเสือโคร่ง เมื่อเห็นว่าทั้งหมดอยู่ในร่างมนุษย์จึงเปลี่ยนร่างตาม ทำให้เทพทั้งสี่ยืนล้อมกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม
"ข้าหาได้ตัดสินใจโดยพลการ ได้ขอความเห็นจากท่านพี่เทพเสือโคร่งแล้ว"
นั่นเป็นคำกล่าวอ้างที่ผิดพลาดมาก เพราะทำให้นางเทพกวางกลายเป็นผู้ที่ไม่มีความรับผิดชอบ นางจึงรีบยกมือขอกล่าวคำชี้แจงต่อ
"ก็ไม่เชิงว่าจะยกให้ท่านพี่เทพเสือโคร่งตัดสินใจแต่ผู้เดียว แต่เพราะข้ารับคำอธิษฐานของนางมา ก็ต้องหาทางทำตามนั้น ข้าไม่รู้วิธีการบางอย่างจึงสอบถามท่านพี่เทพเสือโคร่งไป จนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายกวางทองก็เป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะร่วมห้องกับเจ้าเมืองลั่ว"
นางเทพเสือโคร่งบงกชมีสีหน้าที่ไม่ค่อยเชื่อคำกล่าวนี้
"กวางทองยังเด็ก เป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินใจร่วมห้องแบบนั้น"
"เขาไม่เด็กแล้ว" เทพเสือโคร่งภูผากล่าวขัด "เขาจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มันขึ้นอยู่กับใจของเขาไม่ใช่เพราะเจ้าชี้บอกให้เขาเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่"
นางเทพเสือโคร่งบงกชไม่พอใจคำชี้แจงนี้ ใบหน้าของนางเรียบตึง หากสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยสายตา นางคงทำไปแล้ว
...กวางทองตัวเล็กจ้อยอ่อนแอผู้นั้น ยังคงเป็นเด็กอ่อนแอเสมอในสายตาของนาง

"พวกเขารักกัน แต่ท่านเจ้าเมืองก็ไม่ได้เร่งรัดที่จะร่วมห้อง ทำตามคำอธิษฐาน เขาผิดหวังอยู่เหมือนกันที่กวางทองขอกลับมาพร้อมข้า แต่ก็มิได้คัดค้าน"
"กวางทองมีเหตุผลที่ดีที่จะไม่แน่ใจ" นางเทพเสือโคร่งบงกช ปรายตามองไปทางเทพเสือโคร่งภูผา ที่ยังคงเป็นผู้ผิดในความเห็นของนาง
"คำขอแบบนั้นมันก็เกินไปจริง ๆ" เทพกวางสายฟ้ากล่าวขึ้นบ้าง
นางเทพเสือโคร่งบงกชพยักหน้า "ข้ารู้ว่าสตรีผู้นั้นมาอธิษฐานกับเจ้า รู้ว่าเจ้าปฏิเสธไม่ได้ ขัดใจกวางทองก็ไม่ได้ เพราะกวางทองกับเจ้าเมืองลั่วรักกันอย่างที่เจ้าว่า แต่อย่างน้อยก็สมควรรอให้เจ้าเมืองลั่วกับสตรีผู้นั้นหย่ากันก่อน"
นั่นเป็นคำที่เทพสัตว์ป่าทั้งสามหันไปมองหน้ากัน เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
"พวกเขายังไม่ได้หย่ากัน แล้วรับลู่ไปอีกคน ทำให้ลู่ต้องเป็นภรรยารอง นั่นคือการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเทพแห่งป่าสีทอง"

นางเทพกวางสายลมยอมรับว่าตนเองผิดพลาดครั้งใหญ่
"ข้าไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย รู้แต่เพียงว่าเจ้าเมืองลั่วกับกวางทองใจตรงกัน แต่เจ้าเมืองลั่วกับฮูหยินไม่ได้มีใจต่อกันแล้ว"
เทพเสือโคร่งภูผาขัดขึ้น "เจ้าเมืองลั่วกับฮูหยินน่ะหรือ"
นางเทพกวางสายลมพยักหน้า "สิ่งที่หลิวเพ่ยหลิงแสดงออกต่อเจ้าเมืองลั่วตรงข้ามกับความต้องการที่แท้จริงในใจ เพราะรู้ว่าเจ้าเมืองลั่วเป็นคนจิตใจดี นางทำผิดต่อเขา หากไม่ตั้งครรภ์ก็แล้วไป แต่หากตั้งครรภ์ก็แค่ตีหน้าเศร้ากล่าวคำสารภาพ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าจะอย่างไรเขาก็ให้อภัย แต่การอยู่กับคนดีเกินไป เข้าใจ และตามใจทุกอย่างมันทำให้รักจืดจาง ในเวลาเดียวกันนางสมรสกับว่าที่เจ้าเมืองลั่ว ต่อให้เป็นเมืองเล็ก ทั้งอยู่ห่างไกล แต่ที่นี่ก็อุดมสมบูรณ์ นางจึงต้องการรักษาตำแหน่งฮูหยินเจ้าเมืองไว้"
"ก็คิดอยู่ว่ามันแปลก ๆ" เทพเสือโคร่งภูผากล่าวขึ้นบ้าง "ข้ารู้ว่ามีกรณีที่ภรรยาเอกมีบุตรไม่ได้เขาก็จะหาภรรยารอง หรือหาอนุให้ สามี แต่นางก็ยังมีบุตรอยู่อีกคนหนึ่ง"
"หยางเจิ้นขุยมิใช่บุตรของเจ้าเมืองลั่ว นางไม่ต้องการให้เขารับตำแหน่งต่อจากหยางหลง" นางเทพกวางสายลมอธิบาย
เทพกวางสายฟ้าผู้สุขุมรอบคอบช่วยเสริม "หากเขาครองเมือง แล้วผู้เป็นบิดาที่แท้จริงกลับมาเรียกร้อง หยางเฉิง และหยางไห่ต้องไม่ยอม หลิวเพ่ยหลิงจะถูกประณาม อีกอย่างหากนางต้องการตำแหน่งฮูหยินเจ้าเมือง นางย่อมไม่ยอมหย่าให้แน่นอน"

"แต่ข้าก็ลืมเรื่องภรรยาเอก ภรรยารองนั่นจริงๆ" นางเทพกวางสายลมยอมรับ
"เพราะพวกเราก็มิได้ยึดติดกับเรื่องนั้น" นางเทพเสือโคร่งบงกชชะงักมือที่กำลังจะนวดขมับตนเอง เปลี่ยนเป็นกอดอกไว้ "รองแม่ทัพคนนั้นเรียกเจ้าว่าท่านใหญ่ใช่ไหม"
นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่นางเทพกวางสายลม รวมถึงเทพเสือโคร่งภูผาลืมนึกไปเช่นกัน นางเทพเสือโคร่งบงกช รีบโบกมือห้ามก่อนที่ทั้งสองจะคิดวุ่นวาย
"ข้าไม่ได้อยากให้เขามาเรียกข้าแบบนั้น มันฟังดู...อาวุโสมากไปสักหน่อย"
ทั้งเทพกวางสายฟ้า และเทพเสือโคร่งภูผาต่างหัวเราะกับประโยคนี้ ส่วนนางเทพกวางสายลมยิ้มกว้าง เพราะทั้งสามรู้ดีว่านางเทพเสือโคร่งบงกชไม่ชอบการถูกเรียกขานแบบนั้น ทุกคราที่พบกัน นางเทพกวางสายลมจึงมักทำความเคารพตามลำดับชั้นของเทพ แต่มิได้เรียกขานชื่อ

ในบรรดาเทพทั้งป่าสีทอง นางคือผู้ที่ออกไปนอกเขตของตนเองน้อยที่สุดแล้ว
ส่วนเทพเสือโคร่งภูผา แม้จะดูเหมือนว่าเป็นเทพเจ้าชู้แต่ที่จริงแล้วก็มีเพียงนางเทพกวางผู้นี้ กับสตรีอีกสองสามคนที่เป็นมนุษย์ ซึ่งล้วนจากไปแล้ว
จนกระทั่งวันหนึ่งเทพเสือโคร่งศิลาดำที่เป็นบุตรชายมาเล่าให้ฟังว่า บิดาติดตามชายหนุ่มผู้หนึ่ง และบอกให้บุตรเรียกเขาว่าแม่เล็ก แต่แม่เล็กผู้นี้เรียกนางเทพกวางสายลมว่า ท่านใหญ่
นางเทพเสือโคร่งบงกชถึงกับหัวเราะเสียงดังด้วยความอารมณ์ดี จนกระทั่งบุตรชาย และหญิงสงสัยว่า หากจะนับกันจริง ๆ นางเทพเสือโคร่งบงกชต่างหากที่เป็นท่านใหญ่ เหตุใดนางจึงไม่โกรธ
"ทำไมต้องโกรธ ปล่อยให้เขาเรียกสายลมว่าท่านใหญ่ต่อไป ข้าอยู่ของข้าแบบนี้ดีที่สุดแล้ว"

นางเทพเสือโคร่งบงกชไม่ได้หึงหวง เพราะนางก็มีหน้าที่ของนาง เหมือนกับเทพเสือโคร่งภูผาที่ก็มีหน้าที่สำคัญของตนเอง

ว่าแต่ เจ้ากวางทองตัวน้อยนั่น เติบโตเป็นหนุ่มที่สามารถมีคู่ได้แล้วหรือ....

"ไอ้เรื่องการจัดลำดับที่น่าปวดหัวนี่ เป็นเรื่องที่ข้าขัดใจกับอวี้เอ๋อร์บ่อยที่สุดแล้ว" เทพเสือโคร่งภูผาเจตนาชักจูงออกนอกเรื่อง "เจ้าลองคิดดูเฉพาะในความสัมพันธ์ของพวกเราสี่คน ข้ากลายเป็นสามีรองให้สายลม โดยสายฟ้าเป็นท่านใหญ่ ส่วนสายลมเป็นท่านรอง แล้วบงกชเป็นท่านใหญ่...."
"หุบปาก!"
"ก็ไม่จริงหรือไง" เทพเสือโคร่งภูผายังไม่รู้ตัวว่ากล่าวคำต้องห้ามออกไป "ถ้ามีท่านรองก็ต้องมีท่านใหญ่ไง"
"ภูผา! อยากตายใช่ไหม! ห้ามเรียกคำนั้นกับข้าอย่างเด็ดขาด!"
เสียงเสือโคร่งคำรามดังก้องป่า ตามมาด้วยเสียงต้นไม้ใหญ่ล้มครืน

ที่ตั้งใจจะมาสอบถามด้วยความเป็นห่วงกวางทองตัวน้อย ไว้มาถามใหม่ในวันหน้าก็ได้!

.....

เฉินอวี้รู้จักกับเทพเสือโคร่งภูผามานานหลายปี ถึงได้พบกับนางเทพกวางสายลม และอีกสองปีถัดมาจึงได้พบกับนางเทพเสือโคร่งบงกช และผู้ที่พาไปพบก็คือนางเทพกวางสายลมนั่นเอง

ชายหนุ่มมีสีหน้าตกใจ เมื่อทราบว่าสตรีรูปร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าคือนางเทพเสือโคร่งบงกช ซึ่งเป็นคู่ครองของเทพเสือโคร่งภูผา
"ท่านใหญ่" ทันที่กล่าวคำเรียกขานออกมา นางเทพกวางสายลมก็สะดุ้งรีบโบกมือห้ามพูดต่อ
เฉินอวี้รู้ตัวรีบกล่าวคำขออภัย แต่กระนั้นรอยยิ้มของนางเทพเสือโคร่งก็ยังดูเกร็ง
"ขออภัยที่เพิ่งได้มาทำความเคารพ ข้ามาที่ป่าสีทองหลายครั้ง แต่ก็มักจะอยู่ในเขตป่าของเทพกวางเท่านั้น"
สตรีรูปร่างสูงใหญ่เบื้องหน้ายกนิ้วชี้ขึ้น
นางรู้ว่ามนุษย์ผู้นี้เข้ามาที่ป่าสีทองก็เพื่อจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้กับกวางทอง
หากไม่ใช่เพราะกวางทอง เทพเสือโคร่งภูผาคงไม่พาอีกฝ่ายเข้ามา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้นางก็มีคำถาม
"เขาเคยพูดถึงข้าไหม"
เฉินอวี้ ตอบตามตรง "เคยขอรับ บอกว่าพวกท่านครองคู่กัน และท่านเป็นมารดาของเทพเสือโคร่งศิลาดำ"
เมื่อเฉินอวี้หยุดกล่าวคำ นางจึงคาดเดาต่อ "เขาเล่าแค่นี้ ทั้งไม่เคยพาเจ้ามาที่นี่ เจ้าจึงคิดว่า ข้าหาชีวิตไม่แล้ว และเข้าใจผิดว่าสายลมคือท่านใหญ่มาตลอดใช่หรือไม่"
ชายหนุ่มรูปงามพยักหน้าอีกครั้ง
"เป็นความหลงลืมของข้าเอง ตอนที่ได้พบกับท่านเทพกวางที่จวนเจ้าเมือง เหตุการณ์ทุกอย่างเร่งรีบ จึงกล่าวคำผิดพลาดไป"
"ไม่ผิดหรอก" นางเทพเสือโคร่งภูผายิ้มกว้างอารมณ์ดี "เรียกสายลมว่าท่านใหญ่เหมือนเดิมน่ะดีแล้ว และเรียกข้าว่าบงกชเหมือนกับผู้อื่นก็ได้ ข้าไม่ได้ถือสาในเรื่องนี้"
เฉินอวี้พยักหน้ารับปฏิบัติตามคำสั่ง นางเสือโคร่งเรียกเสือโคร่งสาวที่อยู่ใกล้ ๆ ไปนำสุรา และอาหารมาเพิ่ม
"ในเมื่อเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว เล่าเรื่องที่เมืองหลวงให้ข้าฟังหน่อย ผู้คนที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง"
เฉินอวี้จิบสุรา แล้วเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้นางเทพทั้งสองรับฟัง

.....

ในคืนนั้น ขณะที่เฉินอวี้กำลังนอนหลับสบายอยู่ในถ้ำยา ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนรุนแรงคล้ายแผ่นดินไหว และเสียงต้นไม้ใหญ่หักโค่น เมื่อเหตุการณ์ข้างนอกสงบลง เสือโคร่งตัวใหญ่โซซัดโซเซเข้ามาในถ้ำแล้วนอนหลับตา หมดแรง
"ท่านพี่ ข้าทายาให้นะ"

.....

นกยูงทองเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดดั่งเห็นมากับตาตนเอง สีหน้าท่าทางเกินความจริงไปมากจนเหมือนนางเทพเสือโคร่งบงกชจะกลายเป็นนางมารช้างสารบงกชก็ไม่ปาน
"ท่านแม่เสือโคร่งดุขนาดนั้นเชียวหรือ" ดวงตาสีทองเป็นประกายของกวางทองเต็มไปด้วยความรู้สึกว่าเหลือเชื่อ "ท่านแม่เสือใจดีจะตาย"
"เฉพาะกับเจ้าคนเดียวน่ะสิ" นกยูงทองเสียงดัง "นี่นะ นางสะบัดขาหลังคราหนึ่งต้นไม้ใหญ่ทางฝั่งขวาก็หักโค่นลงมา ฟาดหางไปอีกทีต้นไม้ใหญ่ทางฝั่งซ้ายก็โค่นลงมา พอส่งเสียงคำรามฝุ่นก็คลุ้งตลบ พอกระทืบเท้าหน้าลง เทพเสือโคร่งภูผาก็กระเด็นไปไกล"
"โห..." กวางทองอ้าปากค้าง
"โห นี่คือไม่เชื่อใช่ไหม นี่นะ ในคืนนั้นนะ สรรพสัตว์ทั้งป่าล้วนตื่นขึ้นมากันหมดเลย ผู้เฒ่านกฮูกที่หลับอยู่ยังตกจากคอนเลยนะ"
กำปั้นแข็ง ๆ เขกลงกลางศีรษะเล็ก ๆ ของเจ้านกยูงทองช่างพูด "ไม่มีความจริงสักคำเดียว ท่านแม่จะสะบัดขาหลัง ฟาดหางอะไรนั่นได้อย่างไร"
กวางทองเกาคางตนเอง "ก็จริงนะ"
เทพเสือโคร่งศิลาดำหันไปส่งสายตาดุ ๆ ใส่นกยูงทอง "รู้ว่ากวางทองเชื่อผู้อื่นโดยง่ายก็ชอบเอาเรื่องไม่จริงมาเล่าให้ฟัง" จากนั้นพี่ใหญ่ก็หันมาหากวางทองเตือนว่าได้เวลากลับขึ้นเขาไปหาอาจารย์แล้วโดยที่ไม่ได้กล่าวตำหนิน้องเล็กสักคำ
...ก็นี่ใคร เขาคือกวางทอง ทุกสิ่งที่คิดและทำคือสิ่งที่ถูกต้อง ผิดที่เจ้านกยูงทองนั่นต่างหากที่ชอบเล่าเรื่องเกินจริง

...จบพิเศษหนึ่ง...
ที่มีความเห็นว่าจบห้วน ผมก็ว่าจริง :ling2:
พิเศษของกวางทองที่จะเรียงลำดับกันมาหลังจากนี้ ที่จริงมันอยู่ในเรื่อง แต่ห้วงเวลาที่เกิดเหตุมันอยู่ห่างไกลกันมาก เลยยกออกมาเล่าต่างหาก แต่กำลังสงสัยตัวเองว่า คิดผิดไหมหว่า ฮ่าๆ
คือถ้าจะบอกว่า "ผมคิดแบบนี้ และจะทำแบบนี้" จะกลายเป็นคนเขียนอีโก้จัดไหม
หรือถ้าจะบอกว่า "ถ้าอยากให้ยกกลับเข้าไป ผมก็โอเคนะ" ผมก็จะกลายเป็นคนไม่มั่นใจสินะ
แต่ที่จริง....ผมอยากบอกว่า "คิดยังไงก็บอกผมหน่อย ผมอยากได้รีพลาย ผมชอบคุย ผมชอบอ่าน" ก็อาจโดนว่าปั่นกระทู้
ดังนั้น... "คิดยังไงก็บอกผมหน่อย ผมอยากได้รีพลาย ผมชอบคุย ผมชอบอ่าน" เนี่ยจริงใจสุดละ

น้ำชาครับ

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 07-05-2017 08:37:53
 :pig4: :pig4:
ชอบเเบบนึ้ เพราะเหมือนได้รู้ความเป้นมาพร้อมทั้งโครงสร้างของครอบครัวลู่ เพราะเดี๋ยวจะเข้าพาร์ทของพ่อเสือเเล้ว ส่วนตอนพิเศษของลู่กะหยางหลงก็อยากอ่านพาร์ทที่เด็กๆโตเเล้ว อยากรู้ว่าเมื่ออยู่กัรมานานจะเป้นยังไงมั้ง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 07-05-2017 08:41:15
สรุปแล้วเทพในป่าสีทองรักลู่มากที่สุดซินะ
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 07-05-2017 09:36:09
ชอบแบบนี้แหละค่ะ

ท่านเทพเสือโคร่งภูผานี่ เจ้าชู้มากกกก

กวางทองน้อย เป็นที่รักของทุกๆคนจริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-05-2017 10:47:46
เราอยากอ่านฉากกุ๊กกิ๊กของพ่อเสือกับแม่เล็กอ่ะ ป๋าไจฟ์กับน้องทีคนหล่อจะใจดีสนองนี๊ดให้เราไหมนะ :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-05-2017 11:22:28
เอาล่ะ พ่อเสือเจ้าชู้ แต่ดูเหมือนจะครองคู่ทีละรายใช่ไหม? ไม่คบซ้อน

แต่พ่อคุณก็ทำเอาป่าปั่นป่วนเพราะลำดับญาติได้อย่างซับซ้อนอย่างยิ่ง

แม้ว่าตอนจบอาจจะดูห้วนไปหน่อย แต่ก็รู้สึกว่า เป็นการเล่าเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกันกับหยางหลงและลู่โดยตรงเท่านั้น เรื่องจึงไม่ออกทะเลและครอบคลุมหลายเรื่องย่อยจนเกินไป

ชอบแบบนี้นะ แล้วค่อยมาขยายความบางส่วนจากตอนพิเศษ ขยายปมอื่น ๆ ในเรื่องหลักของตัวละครนั้น ๆ เอง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-05-2017 14:26:44
ไรท์ มาเฉลยในเรื่องแล้ว  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
ที่คนอ่านวิพากย์ เรื่องหลิวเพ่ยหลิงมาขอลูกกับนางเทพกวางสายลม
คนอ่านก็ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ถูกไม่ต้อง หลิวเพ่ยหลิงต้องมีความคิดไม่ชอบแน่ๆ
สุดท้ายที่ตรงประเด็นที่สุดตือ หวางหลง ยังไมได้หย่ากับหลิวเพ่ยหลิง อะจ๊ากกกกก

แต่แฝดสามช่างน่ารักจริงๆ หยางเหมี่ยน หยางหมิง หยางจิน
ก็ลู่ งามอย่างล่มฟ้าล่มเมือง  ลูกๆ คงงามไม่แพ้ลู่หรอกนะ
รออ่านตอนใหม่  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 07-05-2017 15:05:43
  :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 07-05-2017 15:50:14
แยกเป็นตอนพิเศษแบบนี้ก็ดีค่ะ อ่านแล้วไม่งง  o13

ลู่เป็นเด็กน้อยที่ใครๆก็รักและเอ็นดู อ่านแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ขนาดเทพเสือโคร่งบงกช ยังหวงและห่วงเด็กน้อยราวกับคลอดออกมาเองเลยเชียว น่ารักอ่ะ.. :mew1:

รออ่านตอนพิเศษ และภาคต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 07-05-2017 19:58:25
อ่านรวดเดียว บอกได้คำเดียว เรื่องนี้ดีงามมากกกกก :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 07-05-2017 20:54:08
อยากอ่านเรื่องแม่เล็กกัยเทพเสือโคร่งภูผา :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 07-05-2017 21:43:08
ตอนที่ 14 แอบสงสัยพระประสงค์ของฮ่องเต้ ทำไมต้องเปลี่ยนเป็นลูกของหยางหลงหรือว่าเพราะเป็นแฝดสาม จะทำให้เมืองลั่วมีเพิ่มมากขึ้น? ฮ่องเต้ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นลูกของหยางหลงแทน เพื่อลดอำนาจลง?
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 07-05-2017 21:47:23
อ่านตอนพิเศษ ชอบที่เทพแห่งป่าสีทองแต่ละคน เรียกชื่อกันมากเลยค่ะ ทั้ง ภูผา บงกช สายฟ้า สายลม ดูสนิทสนมกันมากๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง P14
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 08-05-2017 16:13:57
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

พี่ชอบแบบนี้ แยกตอนพิเศษ อ่านแล้วได้อารมณ์เหมือนเอารายละเอียดมาคุย มาเม้าจุกจิก
กับเพื่อน เพื่อเสริมโครงเนื้อเรื่องหลัก ...
นี่ใคร กวางทอง เอง...กวางทองน้อยเป็นศูนย์กลาง ทุกสิ่งต้องหมุนตามนะ

อยากรู้ว่า เวลาพ่อเสือโดนแม่เสือบงกชอัด จะมีใครเห็นใจพ่อเสือบ้าง 555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง P14
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 08-05-2017 18:21:20
อยากอ่านภาคต่อไปแล้วค่ะ
อ่านระบบ แม่ๆ พ่อๆ ของลู่น้อยทีไร ก็ งงๆ เรียงไม่ค่อยถูกเลยค่ะ 55 สงสัยต้องอ่านบ่อยๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง P14
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 09-05-2017 02:34:47
พออ่านตอนพิเศษแล้วก็อยากจะรู้ว่าพ่อเทพเสือโคร่งภูผามารักกับแม่เล็กได้ยังไงเลยค่ะ ฮี่ๆๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง P14
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-05-2017 12:08:03
ไว้ตรงไหนก็ได้ มีเพิ่มมาทำให้เรื่องสมบูรณ์ขึ้น

ชอบมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษหนึ่ง P14
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 11-05-2017 13:04:24

ภาคกวางทองเราว่ามันจบในเนื้อหาที่เข้าใจแล้วนะคะ
ส่วนตอนพิเศษนี่เหมือนมันเป็นมุมของแต่ละคนที่มอบให้กับลู่ก่อนจะเติบโต ซึ่งจะอ่านให้มันต่อเนื่องจากภาคหรือทำแยกออกมาก็ไม่ทำให้มันเปลี่ยนเนื้อเรื่องไป หรือจะเป็นส่วนที่มาขยายเพื่อต่อยอดในตอนต่อไป ไม่ขัดในอารมณ์แต่อย่างใด
เพราะฉะนั้นในเนื้อเรื่องเราถึงมองว่ามันสมบูรณ์ในตัวของหยางหลงและลู่แล้ว

แต่ๆๆๆ เห็นรีบนอยากอ่านตอนกุ๊กกิ๊กพ่อเสือเหรอ เราขอหยางหลงกับลู่ มาก่อนดีกว่าไหม  :z1:


หัวข้อ: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 11-05-2017 13:07:42
พิเศษตอนที่สอง

ค่ำวันหนึ่งของป่าสีทอง อากาศกำลังเย็นสบาย ได้กลิ่นหอมของสุราดอกท้อ และอาหารจากทางด้านหน้าของกระท่อมหลังเล็กใกล้เขตที่พักของฝูงกวาง เมื่อสัตว์เทพ สัตว์ และมนุษย์ร่วมกลุ่มสนทนาและดื่มกิน
หยางหลงรินสุราให้กับเทพเสือโคร่งทั้งสอง จากนั้นจึงรินสุราให้กับเทพกวางทั้งสอง ลู่กวางทองขยับเข้ามาวางถาดใส่ผลไม้ดองแกล้มสุราที่เบื้องหน้าของเทพทั้งสองคู่
"มันกินด้วยกันหรือ" เทพกวางสายฟ้าถามขึ้น
"ใช่ อร่อยมากนะ เจ้าลองกินคู่กับหัวไชเท้าดองนั่นสิ" เทพเสือโคร่งภูผาให้คำแนะนำ
นางเทพกวางสายลมกับเทพเสือโคร่งบงกชหันไปกล่าวขอบใจลู่กวางทองแล้วหยิบผลไม้ดองขึ้นมาชิม จิบสุรา จากนั้นก็พยักหน้าท่าทางพอใจอย่างยิ่ง
กวางทองมองบิดา มารดาทั้งสี่ด้วยความไม่เข้าใจ 
"มันอร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ ทั้งขม ทั้งฉุนจนแสบจมูก"
เทพกวางสายฟ้าตอบแบบผู้ใหญ่ใจดี "นั่นเพราะเจ้ายังไม่คุ้นเคย หากดื่มบ่อย ๆ อีกไม่นานก็คงจะมาแย่งพ่อดื่มแล้ว"
"ไม่ได้นะ" เทพเสือโคร่งภูผารีบห้าม "ไม่ดื่มก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง"
กวางทองทำหน้าตาผิดหวัง "ที่แท้ท่านก็หวงสุรานั่นเอง"
ทันทีที่ไม้ตายนี้ปรากฎ เทพเสือโคร่งภูผาก็ทำอะไรไม่ถูก "ไม่ใช่ พ่อไม่ได้หวงเจ้า พ่อแค่จะบอกว่า หากเจ้าเห็นว่าสุรามันขม ทั้งฉุนจนแสบจมูก ก็กินผลไม้ดองพวกนี้ก็ได้ อร่อยดีนะ แม่กวางของเจ้าส่งไพลินไปหัดทำจากฮูหยินบ้านของท่านรองเชียวนะ"
เทพเสือโคร่งภูผากล่าวยืดยาวพลางหันไปขอความช่วยเหลือจากนางเทพกวาง เทพกวางสายฟ้าและเทพเสือโคร่งบงกช แต่ทั้งหมดก็กำลังชื่นชมกับสุราอาหาร ครั้นหันไปหากวางไพลิน นางก็กลับกำลังสนทนาอยู่กับเจ้านกยูงทองอยู่ทางด้านหลัง และเมื่อกลับมาที่บุตรชาย ดวงตาผิดหวังที่บิดาหวงของกินก็ยังคงอยู่
"พ่อไม่ได้หวงจริง ๆ นะ ไม่ชอบก็กินอย่างอื่นไง"
ลู่กวางทองชี้ไปที่มะกอกดอง "อยากกินอันนั้น"
"ได้ ๆ นี่คือมะกอกดองรสเลิศ ทั่วทั้งแผ่นดินไท่ชาง มีเพียงมะกอกดองของป่าสีทองเท่านั้นที่รสชาติดีที่สุด"
ลู่กวางทองคลี่ยิ้มแล้วหัวเราะสดใส พาให้ทุกคนหัวเราะไปด้วย

สุราดอกท้อพร่องไปมากแล้ว หยางหลงจึงลุกออกมาหยิบไหสุราไปเพิ่มเติม เห็นกวางไพลินกำลังพูดคุยอยู่กับนกยูงทองจึงเข้าไปทักทาย
"ท่านเทพกวางเล่าว่าพี่หญิงไปเรียนทำอาหารกับฮูหยินของน้องรอง"
"ใช่ สนุกดีนะ" กวางไพลินยิ้มกว้าง
หยางหลงมีสีหน้าสงสัย "ไปตั้งแต่เมื่อใดขอรับไม่เห็นน้องรองเล่าให้ฟัง"
กวางไพลินหัวเราะอารมณ์ดี "โอ้ย บอกไม่ได้หรอก เพราะขอไว้ว่าอย่าบอกใคร  ทีแรกท่านแม่ก็อยากให้ไปเรียนทำขนมที่กวางทองชอบ แต่พอฮูหยินรู้ว่า ท่านแม่ชอบสุราดอกท้อ ทีนี้ก็เลยสอนการทำผลไม้ดองอีกหลายอย่าง"
หยางหลงพยักหน้า นึกทบทวนรายการสิ่งของที่ต้องจัดส่งมาที่ป่าสีทอง ที่ยิ่งนานยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนจิ้งจอกไฟที่นั่งอยู่เยื้องไปทางด้านหลัง พูดดักคอขึ้นมา
"ไม่ต้องจัดเตรียมมานะ ไพลินทำเองได้" ที่จริงก็ทำได้หลายอย่างแล้ว "เพราะที่นี่มีผลไม้มากมาย พวกเราช่วยกันเก็บมาให้ไพลินทำ เพียงแต่อันนี้ เพิ่งทำเสร็จแล้วเอามาให้ท่านเทพเสือโคร่งกับเทพกวางลองชิมเป็นครั้งแรก"
นกยูงทองกล่าวขึ้นบ้าง "ก็เพราะว่ารสชาติมันเพิ่งเข้าที่วันนี้พอดีต่างหาก ให้ผู้ใหญ่มาทดลองชิมอาหาร หากเป็นอะไรไป ได้เดือดร้อนกันถึงคนเก็บผลไม้แน่ ๆ"
"ไม่เป็นไรหรอก" กวางไพลินชี้ไปที่เทพเสือโคร่งศิลาดำที่นั่งเป็นเงาทะมึนอยู่ด้านหลังจิ้งจอกไฟ "ให้พี่ศิลาดำชิมแล้ว"
นกยูงทองยังไม่ยอมแพ้ "ท่านพี่ศิลาดำผู้นั้นเคยเป็นอะไรกับเขาด้วยหรือไง อย่าว่าแต่อาหารเน่าเสียเลย ต่อให้เป็นยาพิษ หรืออาวุธก็ทำอะไรเขาไม่ได้"
หยางหลงเกือบจะเชื่ออยู่แล้วเชียว หากจิ้งจอกไฟไม่กล่าวขึ้นมาเสียก่อนว่า เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้นี้หาใช่ผู้ที่ทนทานต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
"ชริ รู้ดีจริงนะ" นกยูงทองผู้เชื่อมั่นในความงดงามของตนเองว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองหันไปทำปากยื่นต่อว่าเพื่อน "จิ้งจอกไฟอย่างเจ้าน่ะรู้จักแต่หลอกใช้ผู้อื่นไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ"
จิ้งจอกไฟมีสีหน้าเจื่อนลงในทันที ขณะที่เทพเสือโคร่งศิลาดำคำรามเบา ๆ

"เจ้าคือผู้ที่บอกกับลู่ ว่าข้าหลอกลู่ด้วยสินะ ทำไมข้าถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปได้" หยางหลงกล่าวขึ้นขณะที่ก้มลงมาหาผู้ที่นั่งอยู่  "การมีเพื่อนที่จริงใจ คิดอะไรกล่าวออกไปแบบนั้นมันก็ดี แต่หากทุกถ้อยคำที่ออกมา มีแต่การทำร้ายจิตใจกันนั่นไม่เรียกว่าจริงใจ เขาเรียกอิจฉา"
"ใครอิจฉา บอกมานะ" นกยูงทองหันไปหากวางไพลินที่เมื่อครู่ยังคุยกันถูกคอ แต่ตอนนี้กลับกำลังกลั้นยิ้ม เมื่อหันไปหาจิ้งจอกไฟ ก็เห็นว่ากำลังชื่นชมกับสุรารสดี พอจะหันไปหาเทพเสือโคร่งศิลาดำก็....เออ ผ่านไปก่อนดีกว่า
หันมาที่คนที่ยืนก้มตัวลงมาหา เงาที่ทาบลงมาข่มขวัญกันอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

...คนรักของกวางทองมีมุมนี้ด้วยหรือนี่ ใครสั่งใครสอนกัน!...

"ไม่ได้อิจฉานะ ก็แค่เตือนกันตรง ๆ เท่านั้นเอง"
"ท่านพี่ คุยอะไรกัน" ลู่กวางทองเดินมาตาม "สุราหมดแล้ว"
หยางหลงหันไปยิ้มหวานให้ลู่กวางทองแล้วรีบไปหยิบไหสุราทันที

"นี่ ๆๆๆๆๆๆ" นกยูงทองชี้ไปที่หยางหลง แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดสนใจเช่นเดิม
...ชริ จิ้งจอกไฟที่ว่าร้าย ยังร้ายไม่ถึงครึ่งเจ้าเมืองลั่วคนนี้ ทีกับผู้อื่นช่างเอาใจ แต่กับข้ามาทำเป็นข่มขู่ คอยดูนะ ข้าจะกระชากหน้ากากแสนดีของเขาออกมาให้ได้...

หยางหลงถือไหสุราสองไหกลับมาแล้ว แต่เมื่อเดินผ่านนกยูงทองก็เพียงแค่เม้มปากเป็นเส้นตรง หรี่ดวงตาลงและพยักหน้าช้า ๆ สีหน้าท่าทางอาฆาตถึงที่สุด

"ก็แค่มนุษย์ จะเท่าไหร่กันเชียว" นกยูงทองตอบโต้
กวางไพลินกระซิบบอก "เขาไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่เขาคือเขยของท่านเทพทั้งสี่ต่างหาก แล้วเรื่องมันก็เกิดจากคำพูดของเจ้ากับกวางทอง"
นกยูงทองยังคงเถียง "ก็เพราะว่าที่ข้าพูดไป มันมีความเป็นไปได้ใช่ไหมเล่า"
กวางไพลินมองนกยูงทองแล้วถอนหายใจ จากนั้นก็หันไปถามจิ้งจอกไฟ ว่าต้องการผลไม้ดองเพิ่มอีกหรือไม่ ปล่อยให้นกยูงทองเหลียวมองซ้ายขวา แล้วดื่มสุราต่อไป

...

ป่าสีทองเมืองลั่วเป็นป่าที่มีพืชพรรณหลากหลาย เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของสัตว์เทพ และสัตว์ป่ามากมาย โดยในเขตป่าที่ค่อนไปทางตะวันตก มีส่วนที่เป็นป่าสนสูงเสียดฟ้า  ขณะที่พื้นดินปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าดอกขาว และพุ่มไม้ที่มีผลไม้ออกดอกออกผลตลอดปี
ทันทีที่ลู่พาหยางหลงมาถึงที่นี่ หนุ่มน้อยรูปงามก็ตรงไปที่พุ่มผลไม้ในทันที
นิ้วมือสวยเด็ดผลไม้สีสวยสดจากต้น เช็ดกับแขนเสื้อ แล้วหันมาส่งให้
"อร่อยนะ"

ท่ามกลางแสงแดดอบอุ่นที่ลอดผ่านยอดไม้
สายลมอ่อนที่พัดพายอดหญ้าพริ้วไหว
เสียงนกร้องจากที่ห่างไกล
พี่มองเห็นเพียงประกายงดงามในดวงตาเจ้า
รอยยิ้มของเจ้า
และได้ยินแต่เสียงของเจ้าเท่านั้น

ลู่ยิ้มกว้าง "ท่านพี่คิดอะไรอยู่"
หยางหลงรับผลไม้จากลู่แล้วจับมือข้างนั้นไว้ "กำลังคิดว่า เจ้างามมาก"
ลู่พยักหน้า เกิดความคิดอยากกลั่นแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมา จึงแสร้งทำแก้มพอง
"ท่านพี่ชอบที่ข้างดงาม หากวันหนึ่งข้าไม่งดงามท่านก็คงจะไม่ชอบข้าแล้ว"
"อันที่จริง" มือใหญ่ป้อนผลไม้ให้คนแก้มพอง "ข้าเคยเห็นวันที่เจ้าไม่งดงามนะ"
"ห๊ะ" ลู่ตาโต "เมื่อไหร่กัน"
ขณะที่กำลังคิดอย่างจริงจังว่าวันที่ไม่งดงามคือวันใด ลู่ก็เคี้ยวผลไม้ไปด้วย
"เหตุใดถึงคิดว่าหากเจ้าไม่งดงามแล้วข้าจะไม่ชอบเจ้า"
"เพราะท่านมักบอกว่าข้างดงาม"
"ที่บอกว่าเจ้างดงามก็เพราะเจ้างดงาม และที่กล่าวว่าข้ารักเจ้าก็เพราะว่าข้ารักเจ้า"

ลู่รู้ดีว่าหยางหลงมีรักมั่นคง แต่ใครเล่าจะไม่ชอบฟังคำหวานจากปากคนรัก
ทุกคราที่หยางหลงกล่าวคำว่ารัก มักจะมีบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในน้ำเสียง ทั้งดวงตา สีหน้าท่าทางล้วนบ่งบอกว่า นี่มิใช่คำบอกรักที่เลื่อนลอย แต่มาจากหัวใจที่มั่นคง

ว่าแต่...."วันที่ข้าไม่งดงามนี่คือวันไหน ตอนไหนกัน"
หยางหลงยกยิ้มมุมปาก ลู่ก็เดาต่อ
"ตอนที่เป็นกวางทองหรือ ไม่นะ ข้าว่าข้าเป็นกวางทองที่งดงามมากนะ ใคร ๆ ก็ชม"
พอเห็นว่าอีกฝ่ายส่ายหน้า ลู่ก็ยกนิ้วชี้ขึ้นฟ้า "ตอนที่ตื่นนอน ต้องเป็นตอนที่เพิ่งตื่นนอนแน่ ๆ"
หยางหลงยังคงส่ายหน้าอีกครา
"หรือตอนที่งอแงกับพ่อเทพเสือ" ทั้งป่าก็มีอยู่ผู้เดียวนี่แหละที่สามารถงอแงได้ ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งมาคู่กับหยางหลง ก็ยังคงเป็นกวางทองที่รู้แต่งอแงบิดาเทพเสือโคร่งอยู่เช่นเดิม
กับท่านแม่กวางน่ะหรือ...แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว
หยางหลงก้มลงกระซิบข้างหู "คืนนี้จะบอก" กล่าวจบก็เม้มใบหูนิ่มจนลู่หน้าแดงจัดหันมาผลักแขนด้วยความแง่งอน
"นี่ยังเช้าอยู่นะ"
"ถึงได้บอกว่าคืนนี้อย่างไร"
"แล้วนี่ก็มิใช่ฤดูผสมพันธุ์ด้วย" ลู่ช้อนตามองอีกฝ่าย มือที่เพิ่งผลักแขนอีกฝ่ายจับแขนเสื้อไว้
เรื่องนี้หยางหลงไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไหร่ ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นว่าลู่จะเกี่ยงเรื่องที่เป็นฤดูผสมพันธุ์หรือไม่ แต่จู่ ๆ ลู่ก็กลับเขย่งปลายเท้าขึ้นมาจูบปาก
"มัดจำคนจริงจังไว้ก่อนเดี๋ยวลืม"
กล่าวจบเจ้าตัวก็วิ่งหนีไปตามแนวของต้นสน หยางหลงผ่อนลมหายใจพลางลูบอกตนเอง

จะหลับตาหรือลืมตาก็มองเห็นเพียงเจ้า
จะเงียบสงบหรืออยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายก็ยังได้ยินเสียงเจ้า
พี่จะลืมคำกล่าวของเจ้า และของพี่ไปได้อย่างไร...

หยางหลงเดินไปเรื่อย ๆ จู่ ๆ ลู่ก็วิ่งมาจากด้านหลัง
"ไม่ตกใจหรือ" ลู่ดึงแขนคนตัวใหญ่ไว้
"ตกใจเรื่องอะไร" หยางหลงแกล้งทำหน้าตาไม่รู้เรื่อง
"ก็นี่ไง" นิ้วมือสวยวาดไปทางด้านหน้าแล้ววนอ้อมกลับมาด้านหลัง "ข้าวิ่งไปทางโน้น แล้วกลับมาอยู่ทางนี้ไง"
ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่หัวเราะ "แล้วต้องตกใจหรือ"
"ฮื่อ"
"แต่ไม่ได้ตกใจนี่"
ลู่เขย่าแขนอีกฝ่าย "ทำไมถึงไม่ตกใจล่ะ"
"ก็ไม่ตกใจ"
ลู่อยากกระทืบเท้าทำหน้างอ เพราะหยางหลงช่างไร้อารมณ์เล่นสนุก จนทำให้อีกฝ่ายไม่สนุกไปด้วย
"ถึงจะไม่ตกใจ ก็ต้องทำเป็นตกใจ  ทำแบบเล่น ๆ น่ะ ท่านพี่เล่นไม่เป็นหรือไง"
"ก็...ไม่ได้ตกใจนี่"
"รู้แล้วว่าไม่ได้ตกใจจริง ๆ แต่เวลาที่ถูกแกล้งก็ต้องมีปฏิกริยาบ้างสิ ทำเป็นตกใจอะไรแบบนั้นน่ะ"
หยางหลงทำหน้านิ่ว จนคิ้วเป็นปม
ลู่ถอนหายใจแรง ๆ แล้วส่ายหน้า "ท่านนี่เหลือเกินจริง ๆ ตอนเด็ก ๆ เคยออกไปวิ่งเล่นกับใครบ้างไหม"
"เล่นนะ " คิ้วหนายังคงขมวดเป็นปม "ข้าก็นับว่าเป็นคนที่มีเพื่อนอยู่มากเหมือนกัน"
"แล้วเล่นอะไรกัน เวลาโดนแกล้ง รู้ตัวหรือเปล่าว่าโดนแกล้ง"
หยางหลงก้มหน้าลงมาใกล้กับลู่ แล้วพยักหน้าช้า ๆ "เรื่องโดนแกล้งน่ะ ไม่เคย แต่เรื่องแกล้งผู้อื่นน่ะ ข้าถนัดมาก"

ลู่ทำตาโต อ้าปากค้าง ยิ่งเมื่อหยางหลงหัวเราะเสียงดังก็รู้สึกเหมือนคำพูดจุกอยู่ที่ลำคอ
"หยะ หยางหลง ท่านนี่มัน!"
ลู่กระโดดกอดคอคนตัวใหญ่ไว้ หยางหลงก็ช้อนใต้สะโพกยกตัวขึ้นอุ้มแล้วเหวี่ยงหมุน จนลู่ต้องกอดอีกฝ่ายไว้แน่น
เสียงหัวเราะที่เปี่ยมไปด้วยความสุขดังประสานในป่าสน....

แนวหลังต้นไม้ใหญ่ไม่มีเทพเสือโคร่งศิลาดำ ที่ด้านหน้ากระท่อมของหยางหลงในป่าสีทองก็ไม่มีกวางสาวไพลิน
เปลวไฟจากตะเกียงที่เสาหน้าประตูถูกจุดไว้ตั้งแต่หัวค่ำ เมื่อสายลมเย็นพัดผ่านหน้าต่าง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เดินมาปิดหน้าต่างรอบบ้าน 
คนรูปงามอาบน้ำล้างตัวเปลี่ยนเป็นชุดคลุมนอนเดินมากอดเอวทางด้านหลัง
"หนาวหรือไม่"
หยางหลงหันมาสวมกอดไว้ "กอดเจ้าก็ไม่หนาวแล้ว"
ลู่เลื่อนแขนขึ้นมาโอบรอบคอ "จริงหรือ"
"จริงสิ" มือใหญ่หยิบผ้านุ่มมือมาเช็ดปลายผมที่เปียกชื้น "เจ้าอาบน้ำนาน เดี๋ยวจะไม่สบาย"
"แค่นี้สบายมาก อีกอย่างตอนที่อยู่กับท่านอาจารย์เทพบนยอดเขา ก็ไม่ได้อาบน้ำอยู่แล้ว พอลงมาได้ สิ่งแรกที่ทำคือวิ่งไปอาบน้ำ" ลู่ก้มหน้าลงมองปกเสื้อของหยางหลง "ที่จริง ข้าก็ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องนี้นักหรอก แต่จิ้งจอกไฟบอกว่า มนุษย์อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทุกวัน แต่มนุษย์มักต้มน้ำอาบ ข้าไม่ชอบน้ำอุ่น แต่ถ้าท่านพี่ชอบก็ดีแล้ว" ดวงตาสีทองช้อนมองหวานหยาดเยิ้ม "บอกได้หรือยัง ว่าตอนไหนที่ข้าไม่งาม"
"ไม่มี" หยางหลงตอบตามตรง
เพราะพอใจในคำตอบ ลู่เขย่งปลายเท้าเพื่อจูบคาง "ก็คิดอยู่ว่าต้องเป็นอย่างนั้น ข้าย่อมงามที่สุดในสายตาท่านพี่อยู่แล้ว" ลู่กล่าวด้วยใบหน้าแดงจัด "ชมตัวเองก็เขินอยู่เหมือนกันนะ" จากนั้นก็ทำตาโต "แกล้งผู้อื่นสินะ"
หยางหลงเม้มปาก พยักหน้าเพียงเล็กน้อย "ก็คงเช่นนั้น แต่มีคนที่รู้ตัวช้ามากว่าโดนแกล้ง"
คนช่างแกล้งสมควรถูกชกสักหนึ่งหมัดเป็นการสั่งสอน

หยางหลงเช็ดผมให้คนงามจนแห้ง ก็หันไปดับไฟในห้องแล้วอุ้มคนที่เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้จนเข้ามาอยู่ในห้องนอน
กระท่อมหลังนี้เป็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ต่อเติมจากกระท่อมผุพังหลังเดิมที่เป็นของพรานป่า จนมีสภาพที่แข็งแรงและสวยงามกว่าเดิม
ต่อให้ไม่มีแสงจันทร์ที่ลอดผ่านรอยแยกของเนื้อไม้ตามขอบหน้าต่าง หยางหลงก็ยังมองเห็นลู่อย่างชัดเจน
มองเห็นด้วยการใช้มือสัมผัสใบหน้า คิ้ว จมูก และริมฝีปาก
คลี่เสื้อนอนออกแล้วใช้ปลายนิ้วจดจำเรือนกายงดงาม
ใช้ริมฝีปากต่อริมฝีปากจดจำรสจูบแสนหวาน
ใช้หูฟังจดจำคำบอกรักและเสียงครางแผ่วของคนรูปงาม
ร่างกายเสียดสีอุ่นร้อน
"ท่านพี่..."
หยางหลงจูบที่ริมฝีปากสวย แล้วยกสะโพกบางขึ้น ค่อยสอดแทรกเข้าหาช้า ๆ ทั้งที่อากาศเย็น แต่หยาดเหงื่อที่แผ่นหลังไหลซึม ทั้งรู้สึกแสบตามรอยเล็บ
ดวงตาสีเข้มจ้องมองใบหน้างดงามยามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ
ร่างกายที่ขยับไปตามแรง เรียวขาที่เกาะเกี่ยว ช่องทางตอดรัด
ช่างยั่วยวน ยั่วเย้าให้โหมแรงเข้าใส่
ชายหนุ่มขยับสะโพกเนิบช้ากดย้ำที่จุดอ่อนไหว มือใหญ่บีบที่ยอดอกบาง
ลู่พร่ำเรียกชื่อเร่งเร้าให้หยางหลงตามใจ ช่องทางบีบรัดแน่นขึ้น แก่นกายสีอ่อนเหยียดแข็ง พร้อมที่จะปลดปล่อยอยู่ทุกเมื่อ หยางหลงกลับบีบกระชับที่สะโพกแล้วกดแน่น ร่างกายผอมบางกระตุกแรงแล้วผ่อนคลาย
ดวงตาสีทองเป็นประกายช้อนมองแล้วพลิกตัวขึ้นคร่อม กัดริมฝีปากแดงเรือขณะที่ใช้สายตาโลมเลียร่างกายแข็งแรง จับข้อมือใหญ่ให้มาจับหน้าอกของตนเองไว้ ส่วนอีกข้างหนึ่งให้จับใต้สะโพก
นี่คือรางวัลใหญ่ที่หยางหลงรอคอย
จูบร้อนที่มาพร้อมกับการขยับสะโพก
เสียงหอบหายใจที่ผสานกัน กับคำบอกรักนับไม่ถ้วน
เมื่อลู่เหยียดตัว น้ำสีขาวขุ่นล้นจากส่วนปลาย ไหลลงอาบแก่นกาย หยางหลงรูดเบา ๆ เพื่อช่วยรีดน้ำ พร้อมเตรียมพร้อมต่อไปอีก
"พอแล้ว..." ลู่ประท้วง
หยางหลงเลียน้ำหวานที่ยังเลอะอยู่ที่นิ้วมือ
ลู่มองตามการเคลื่อนไหวของปลายลิ้นที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกโลมเลีย
"อีกนิดนะ พี่ยังไม่เสร็จ"
ลู่พยักหน้ายอมตามใจอย่างว่าง่ายจะขยับสะโพกเองแต่หยางหลงเปลี่ยนให้ลู่ลงนอนคว่ำ
หลังจากที่ถูกฟอนเฟ้นมาเกือบครึ่งคืนทั้งร่างกายงดงามคือจุดอ่อนไหว ไม่ว่าจะสัมผัสไปที่ใดล้วนทำให้ลู่รู้สึกดี จนต้องร้องขอ
หยางหลงกอดรัดไว้แน่นขณะที่บดสะโพกแกร่งเข้าหา หยาดน้ำรักของคนผอมบางกลายเป็นน้ำสีใส ช่องทางภายในรีดเค้นหยาดน้ำรักสีขาวขุ่นอุ่นอยู่ภายใน
ลู่หอบหายใจแรง หลับตาพิงอกกว้าง

"ไม่มีเวลาใดที่เจ้าไม่งดงาม ไม่มีเวลาใดที่พี่ไม่รักเจ้า"
"ท่านพี่..."
ริมฝีปากสวยกดจูบที่ลำคอขาวจนทิ้งรอย
"กวางทองของพี่ พี่รักเจ้า....."

...จบตอนพิเศษตอนที่สอง...
ยังเหลือตอนพิเศษกวางทองอีกหนึ่งนะฮะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 11-05-2017 14:35:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 11-05-2017 15:01:53
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

อยากลองชิมผลไม้ดองบ้าง  อ่านไปกลืนน้ำลายไป 555
ที่สำคัญ...ทำไม รู้สึกเขินนนน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 11-05-2017 16:13:24
ตอนหวานๆมาแล้ว  :-[ :-[ ขอบคุณมากค่ะ :pig4:
แอบอยากเห็นลู่เมา  :ling1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: himoru ที่ 11-05-2017 16:17:01
เขามากดเป็ดให้ก่อนน้าาา
พึ่งตามเจอ ดีใจ
งึดดดดดดดด
เป็นแนวแฟนตาซี+จีนโบราณ ใช่ไหมค่ะ
เดี๋ยวอ่านแล้วมาเม้นต์อีกทีนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 11-05-2017 16:19:18
ไม่ค่อยชอบ ยูงทองเท่าไหร่ /สักวันลู่น้อยจะชอบกินสุราหรือเปล่า/ อ่านต่อมาถึงตอนจบแล้ว อื้อหือออออออ :pighaun:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 11-05-2017 16:46:08
 :jul1: :jul1:
นี่มันหวานเกินไปเเล้วนะ....เขิลลล
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 11-05-2017 16:59:52


 :pighaun:  :pighaun:  :pighaun:


ลู่น้อยยยยยยยยยยยยยย พัฒนาแล้วววววววววววววววววววว





หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 11-05-2017 20:22:35
ลู่น้อยโตเป็นหนุ่มแล้ว  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 12-05-2017 08:05:38
หยางหลงจัดเต็มมากกกกกกกก
ลู่น้อยก็ร้อนแรงมากเหมือนกัน อิอิ  :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 12-05-2017 08:18:29
พี่หยางทำเราเบาหวานขึ้นตา  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 12-05-2017 09:07:43
 :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun: :pighaun:

พี่หยางทำดีๆๆๆๆๆๆๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 12-05-2017 10:27:37
ขำท่าท่านพ่อหวงของกิน 5555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 12-05-2017 10:50:06
ละมุนมาก

สงสารท่านพ่อเสือ โดนลูกกวางแกล้งตลอด
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-05-2017 11:11:08
นกยูงทองหลงตัวเอง แถมยังดื้อรั้นอีกนะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 12-05-2017 11:15:42
โอยยยยยย หวานมาก  :heaven
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 12-05-2017 12:07:35
 :o8: อ่านแล้วเขิน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 15-05-2017 00:18:02
 :katai5:  :katai5:  :katai5:
กระดึ๊บๆๆ มารอตอนต่อไป อิอิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 19-05-2017 10:02:11
 :z2: :z2:
มาดิ้นๆรอตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสอง P15
เริ่มหัวข้อโดย: dellyamin ที่ 19-05-2017 10:33:46
อ๊าาา เพิ่งเห็นว่าลงตอนพิเศษ วิ่งไปอ่านอย่างไว  :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 19-05-2017 10:50:35
ตอนพิเศษสาม

เช้าวันนี้ เทพเสือโคร่งภูผาพาลู่กวางทองมาที่จวนเจ้าเมือง แล้วก็สั่งการให้ลู่ดูแลกิจการงานที่เมืองลั่วชั่วคราว เพราะต้องการให้หยางหลงเจ้าเมืองลั่วไปช่วยงานด่วนที่เมืองหลวง
หยางหลงไม่ได้เกี่ยงที่ต้องไปช่วยการทำงานของเทพเสือโคร่งภูผา เพราะรู้ดีว่านี่ต้องเป็นเรื่องที่มีความพิเศษแบบเฉพาะเจาะจงมาที่ตนเอง แต่คำสั่งถัดมาที่บอกให้ลู่ดูแลกิจการงานของเมืองลั่วนั้น ทำให้รู้สึกเป็นห่วงลู่เป็นอย่างมาก
แท้จริงแล้วเทพเสือโคร่งภูผาก็มีความเป็นห่วงเช่นกัน เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาลู่ไม่เคยเข้าไปควบคุมจัดการผู้ใด ตอนที่พามาด้วยกันจึงบอกว่าจะชวนกันมาที่จวนเจ้าเมืองและอยากให้อยู่ที่นี่สักหลายวัน จนมาถึงเห็นว่าทุกคนในเมืองต่างก็ทำงานกันทั้งสิ้น จะปล่อยให้บุตรชายเที่ยวเล่นไปวัน ๆ ได้อย่างไร จึงได้เอ่ยถึงหน้าที่ ที่อยากให้ทำในระหว่างที่เจ้าเมืองลั่วไม่อยู่
ลู่จับชายเสื้อของบิดาไว้แน่น กัดริมฝีปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ และเสียใจ
เป็นสายตาที่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาปวดใจยิ่งนัก
"เจ้าโตจนมีบุตรฝาแฝดถึงสามคนแล้ว ทั้งสามีก็เป็นเจ้าเมือง จะมัวแต่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ ได้อย่างไร"
ลู่ไม่ตอบคำ แต่จ้องมองบิดาด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอ
ก่อนที่เทพเสือโคร่งภูผาจะพลาดท่าให้กับไม้ตายของบุตรชาย หยางหลงก้าวเข้ามาแตะที่เอวของลู่ แล้วกล่าวอย่างสุภาพกับเทพเสือโคร่งภูผา "เป็นเรื่องร้อนที่จะต้องออกเดินทางในทันทีเลยหรือขอรับ"
"ก็...." ที่จริงมันคือเรื่องร้อน แต่ดูท่าว่าหากบอกให้ออกเดินทางในทันที จะต้องมีผู้ที่เสียใจมากอยู่เบื้องหลัง
....เรื่องทำร้ายจิตใจของบุตร เทพเสือโคร่งภูผาทำไม่ได้จริง ๆ

"เกี่ยวกับแฝดสามหรือไม่ขอรับ"
....การมีเขยที่ฉลาดเกินไปมันอันตรายเช่นนี้เอง
ลู่ทำตาโตหันมามองหยางหลงแล้วหันมาหาบิดา "ฮ่องเต้นั่นยังคิดจะพาแฝดสามไปอีกหรือ"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า ขณะที่ลอบสังเกตท่าทีของบุตรชาย
ลู่ก็ยังคงเป็นลู่ ที่ต่อให้โกรธมากเพียงใดก็ยังดูเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่นอยู่เช่นเดิม
แต่ทั้งเทพเสือโคร่งภูผา และหยางหลงรู้ว่านี่แหละคืออาการโกรธมากที่สุด เท่าที่ลู่จะโกรธได้
"น้อง"
"จัดการฮ่องเต้นั่นเอาให้ลืมชื่อลืมแซ่ไปเลยนะ" ลู่หันมาบอก ด้วยสีหน้าท่าทางที่จริงจังที่สุดเท่าที่จะทำได้

หยางหลงตระหนักชัดถึงอาการห่วงหน้าพะวงหลังของตนเองก็เมื่อเห็นท่าทีของลู่ เพราะในเวลานี้ทั้งหยางเฉิงและหยางไห่ล้วนไม่อยู่ที่เมืองลั่ว แต่พ่อตากลับสั่งให้ลู่มาดูแลงานที่ไม่เคยทำมาก่อน
"ขอเวลาสักชั่วยามนะขอรับ ตอนนี้น้องรองกับน้องเล็กไม่อยู่ในเมือง ข้าน้อยต้องไปสั่งงานไว้กับเลขาฯ ที่ศาลาว่าการ"

เมื่อมาถึงที่ศาลาว่าการ หยางหลงเจ้าเมืองลั่วยังต้องรักษาหน้าของลู่ด้วยการแจ้งกับเลขาฯว่า ลู่จะมาช่วยดูแลงานที่ศาลาว่าการเมือง ในระหว่างที่รอหยางเฉิงหรือหยางไห่กลับมา
"ปฏิบัติหน้าที่เหมือนกับเวลาที่ข้าไปที่ป่าสีทอง"
เลขาฯของหยางหลงเข้าใจข้อความคำสั่งนี้เป็นอย่างดี เพราะหยางหลงเดินทางไปที่ป่าสีทองอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งเพ่ยหลิงคลอดบุตรแฝดสาม จึงเปลี่ยนเป็นคุณชายลู่ผู้นี้ที่จะเดินทางมาที่จวนเจ้าเมืองเป็นระยะ แต่ทุกครั้งที่คุณชายลู่เดินทางมา เจ้าเมืองลั่วก็มักถือโอกาสหยุดงานเป็นเวลาหลายวัน

ความเป็นกังวลของเจ้าเมืองลั่วยังไม่หมดไปโดยง่าย หลังจากที่สั่งงานที่ศาลาว่าการเมือง ก็ต้องกลับไปที่จวนเจ้าเมือง เพื่อบอกกับเพ่ยหลิง พ่อบ้าน และลาแฝดทั้งสาม จากนั้นจึงได้ออกเดินทางพร้อมให้คำมั่นว่าจะกลับมาโดยเร็วที่สุด
แฝดสามหยางเหมี่ยน หยางหมิง และ หยางจินมีอายุสามขวบเศษแต่ทั้งสามเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดเมื่อเทียบกับเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน
เมื่อออกไปส่งหยางหลงขึ้นม้าที่ด้านหน้าจวน สี่คนพ่อลูกก็พากันเดินกลับเข้ามาเล่นอยู่ด้วยกันที่ศาลาในสวน

ไม่นานนักเพ่ยหลิงก็ยกถาดผลไม้มาให้ลู่ด้วยตนเอง แล้วคอยดูอยู่ใกล้ ๆ
หลายปีที่ผ่านมา นางใช้สกุลเดิมของบิดาซึ่งเป็นรองเสนาบดีอยู่ในเมืองหลวง จนกระทั่งหยางหลงรับตำแหน่งเจ้าเมือง นางจึงเปลี่ยนมาใช้สกุลหยาง
คงไม่ต้องอธิบายต่อไปกระมัง ว่าภรรยาทั้งเจ็ดของหยางเฉิงละทิ้งสกุลเดิมตั้งแต่สมรสกับกับหยางเฉิง เช่นเดียวกับหยางไห่ผู้มีหนึ่งภรรยา

ลู่ขอบใจเพ่ยหลิง แล้วถามว่าเหตุใดจึงต้องออกไปนั่งอยู่ด้านนอกของศาลา นางตอบว่า แฝดสามแทบไม่ได้พบกับพ่อกวางทองของพวกเขา นางจึงไม่ต้องการเข้าไปแทรกช่วงเวลานี้
ลู่พยักหน้าทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจความคิดแปลกประหลาดของนาง
ตั้งแต่แรกที่พบกัน ลู่เห็นว่านางก็มิได้ต่างไปจากภรรยา และมารดาผู้อื่น จนกระทั่งนางไปอธิษฐานขอบุตร จึงพบว่านางเป็นสตรีที่ไม่เหมือนใคร

เสี่ยวเป่าและพี่เลี้ยงอีกหลายคน ช่วยกันยกหีบของเล่นมาให้คุณหนูทั้งสาม
เหมี่ยนเอ๋อร์คว้ากล่องของเล่น หยิบแท่งไม้จากในกล่องมาวางเรียง แล้วซ้อนต่อกันเป็นรูปร่างสัตว์ชนิดหนึ่งที่กำลังนอนหมอบ
"พ่อกวางทอง" หมิงเอ๋อร์ ผู้มีดวงตาสีทองหันมาบอก หลังจากที่วางแท่งไม้ลงไปเพียงแท่งเดียวบนผลงานของเหมี่ยนเอ๋อร์
"นี่พ่อกวางหรือ เก่งจริง ๆ" ลู่ชื่นชม แม้เจ้ากวางทองตัวนี้จะไม่มีเขา และดูเหมือนจะเป็นสุนัขนอนหมอบอยู่มากกว่าก็ตาม
จินเอ๋อร์ไม่ได้ทำอะไร แต่จับจองที่นั่งบนตักของลู่มาตั้งแต่แรก กล่าวเพิ่มเติม "กวางเด็ก ไม่มีเขา"
"ไม่มีก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็มี" ลู่ยังคงให้กำลังใจ
เสี่ยวเป่าทำหน้าตายับยู่ "ท่านกวางทองขอรับ คุณหนูทั้งสาม ไม่ยอมพูดเป็นประโยคสักที มักจะพูดเป็นคำ ๆ แบบนี้ตลอดเลย"
แฝดตาสีทองทั้งสองคนยังพอกล่าวคำสนทนา แต่หยางเหมี่ยนคนโต ยิ่งกล่าวคำน้อยกว่า
ลู่ก็ยังพูดให้กำลังใจเหมือนเดิม ทั้งกับเพ่ยหลิง และเสี่ยวเป่าที่ทำหน้าที่พี่เลี้ยงคนสำคัญ  "อาจเพราะพอเขาชี้มือ พวกเราก็เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ถึงได้ไม่อยากพูด"
เสี่ยวเป่า กล่าวขัดขึ้น "แต่บ่าวกำลังคิดว่า คุณชายน้อยทั้งสามอาจคิดว่าบ่าวโง่เขลาจนเบื่อหน่ายที่จะพูดด้วยต่างหาก ท่านกวางทองดูที่คุณชายน้อยทั้งสามเล่นสิขอรับ มีเด็กที่ไหนเล่นแบบนี้บ้าง นี่เดี๋ยวจะพาไปดูที่เรือนพักนะขอรับ พวกคุณชายน้อยทั้งสาม พากันไปสร้างเมืองสร้างป่าไว้ในห้องนอนกัน"

ในตอนแรกลู่ยังคิดว่านั่นเป็นประโยคเปรียบเทียบที่อาจหมายถึงห้องนอนที่รกมาก แต่แท้ที่จริงแฝดสามกำลังช่วยกันสร้างเมืองลั่วขึ้นในห้องนอนจริง  ๆ
บริเวณกลางห้องนอนคือเมืองลั่วแบบจำลอง ตั้งแต่จวนเจ้าเมือง สำนักคุ้มกันภัย โรงแลกเงิน ร้านค้า เว้นช่วงว่างไว้ช่วงหนึ่งก็คือกองหินและดินเล็ก ๆ กับต้นไม้
"นี่คือน้ำตกนอกเมืองที่ท่านพ่อเจ้าเมืองพาพวกเราไปเที่ยวกันในคราวก่อนใช่ไหม" ลู่หันมาถามเหมี่ยนเอ๋อร์ที่พยักหน้าอย่างภูมิใจ
"พี่ใหญ่แฝด กับพี่รองทำในเมือง น้องสามทำน้ำตก" จินเอ๋อร์บอกอย่างภูมิใจ ทำให้หมิงเอ๋อร์ท้วงขึ้น
"ทำหลายคน"
ลู่ซักถามต่อ "มีใครช่วยพวกเจ้าบ้าง แล้วทำอะไรกัน"
คิดว่าตั้งคำถามปลายเปิด เจ้าแฝดสามจะตอบยาว แต่หมิงเอ๋อร์ยังตอบเป็นถ้อยคำสั้น ๆ เหมือนเดิม "เสี่ยวเป่า เสี่ยวไป่ เสี่ยวจาง เซียงเซียง"
ลู่ต้องซักถามต่อ "ช่วยกันหลายคนเลยหรือ ใครทำอะไรกันบ้าง" ดวงตาสีทองมองตามเหมี่ยนเอ๋อร์ ที่หันไปหยิบแท่งไม้เล็ก ๆ จากในหีบมาต่อเป็นบ้านหลังหนึ่งที่ยังทำไม่เสร็จ ขณะที่อีกสองคนยังเกาะแขนพ่อกวาง ช่วยกันบอกว่า บรรดาพี่เลี้ยงและคนงานมีหน้าที่ไปหาวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามที่คุณชายน้อยต้องการ 
ลู่ก้มลงมองบ้านเรือนหลังเล็กที่เชื่อมต่อกันแน่นด้วยสลัก
"ใครสอนพวกเจ้าทำแบบนี้"
"พ่อเจ้าเมือง" จินเอ๋อร์ตอบ
ลู่หยิกแก้มใสด้วยความมันเขี้ยว "ไม่น่าถามเลยเนอะ"
เพ่ยหลิงช่วยอธิบายต่อ "ท่านเจ้าเมืองสอนทั้งสามคนทำรถเข็นคันเล็กก่อน" นิ้วมืองดงามชี้ไปที่กลุ่มรถเข็นคันเล็กที่วางเรียงรายด้านหน้า "ให้เสี่ยวเป่า กับพี่เลี้ยงช่วยเรื่องการใช้มีดแกะทำสลัก ไม่กี่วันถัดมาเด็ก ๆ ก็ทำจวนเจ้าเมืองจำลองเสร็จ แล้วก็ไปถึงละแวกบ้าน"
"คงเพราะทำกันสามคนแล้วผู้ช่วยหลายคนนี่เอง" ลู่กังวลที่เหมี่ยนเอ๋อร์ก้มหน้าก้มตาอยู่กับการต่ออาคารหลังหนึ่ง โดยมีเสี่ยวเป่าเป็นผู้ช่วย "เวลาที่ทำแบบจำลอง จะแยกคู่ลูกกับพี่เลี้ยงแบบนี้ แล้วต่างคนต่างทำหรือ"
เพ่ยหลิงพยักหน้า ลู่ก็ถามต่อ "ท่านพี่มีความเห็นอะไรหรือไม่"
"ไม่เจ้าค่ะ บอกให้เล่นไป แล้วไม่ให้เก็บของที่แฝดสามทำไว้ด้วย"
"เช่นนั้น.....ก็คงไม่เป็นไรกระมัง"  เรื่องที่ลูกเป็นเด็กฉลาดนั่นก็ดี แต่ลู่เป็นกวางที่ชอบพื้นที่โล่งกว้างมากกว่าการอยู่ในห้อง เมื่อเห็นว่าแฝดสามแยกย้ายกันเข้าประจำเพื่อที่จะสร้างเมืองกันต่อก็ถามขึ้น "พ่อกวางอยากไปกินขนมน้ำตาลขาวแล้ว มีใครอยากไปกินด้วยกันไหม"
เด็ก ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง ลู่ก็กล่าวต่อ "พ่อกวางขอให้เซียงเซียงไปจัดของว่างให้ที่เรือนต้นบ๊วย"
เหมี่ยนเอ๋อร์วางแท่งไม้ลง แล้วลุกมาดึงมือให้ลู่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินนำออกไปก่อน
ต่อมาเมื่อนั่งลงกินของว่างด้วยกัน เหมี่ยนเอ๋อร์ก็กวาดตามองขนมบนโต๊ะแล้วหันมาพยักหน้ากับลู่ จากนั้นก็ส่งขนมให้ชิ้นหนึ่ง
"ให้พ่อกวางหรือ"
เหมี่ยนเอ๋อร์พยักหน้าอีกครั้ง แต่ไม่ยอมพูด ลู่จึงถามเพื่อชักชวนให้พูดคุยกัน
"ทำไมถึงให้พ่อกวางกินขนมนี้"
"ขนมน้ำตาลขาว"
"แล้วขนมอื่น ๆ พ่อกวางกินได้ไหม"
"ได้"
"เพราะอะไรถึงกินได้"
"ไม่มีเนื้อสัตว์" เหมี่ยนเอ๋อร์ตอบอย่างตั้งใจมาก ขณะที่หมิงเอ๋อร์ กับจินเอ๋อร์มองด้วยความสนใจและแสดงท่าทีอยากตอบคำถามของพ่อกวางทองเช่นกัน
"เหมี่ยนเอ๋อร์ชอบไหม"
"ชอบ/ชอบ/ชอบมาก"
อีกสองคนช่วยกันตอบขณะที่จินเอ๋อร์น้องเล็กไม่ยอมแพ้ถึงกับเปลี่ยนที่นั่งมานั่งตักพ่อกวางทอง
"ทั้งสามคนชอบกินขนมเหมือนกันหรือ"
"ผลไม้ก็ชอบด้วย" หลิงเอ๋อร์ตอบ
"ชอบทุกอย่างเลย" เมื่อจินเอ๋อร์ตอบ พ่อกวางก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงหอมแก้มนิ่มอีกสักที
เหมี่ยนเอ๋อร์ ส่งขนมอีกชิ้นให้น้อง แล้วค่อยกินขนมในมือของตนเอง

ไม่เพียงแต่มีดวงตาสีเดียวกันกับหยางหลง แต่ฝาแฝดคนโตผู้นี้ยังมีลักษณะ และนิสัยที่เหมือนกับหยางหลงยิ่งนัก
ขณะที่มองแฝดสามนอนกลางวันหลังกินของว่างยามบ่าย ลู่ค่อย ๆ เอนตัวลงนอนด้านข้างหยางเหมี่ยน นิ้วมือเรียวยาวกระชับผ้าห่มให้ลูก
 
ไม่ได้พบกันมานานหลายวัน แล้วได้พบกันเพียงชั่วยาม จากนั้นก็ห่างกันไปอีกครึ่งวัน ก็กลับคิดถึงท่านมากขนาดนี้

....เมื่อไหร่ท่านพี่จะกลับมาสักที คนทางนี้คิดถึงท่านยิ่งนัก.....

หลายวันต่อมาหยางหลงจึงขี่ม้ากลับมาถึงเมืองลั่ว ตรงมาถึงจวนเจ้าเมือง คนรับใช้ชี้บอกว่า ท่านกวางทองอยู่กับเด็ก ๆที่สวนด้านใน
เมื่อไปถึงหยางหลงพบว่าลู่นอนหลับอยู่ในสวนโดยมีจินเอ๋อร์นอนซุกแขนหลับอยู่ข้าง ๆ ส่วนเหมี่ยนเอ๋อร์กับหมิงเอ๋อร์ นั่งดูสมุดภาพอยู่ด้วยกัน เมื่อเห็นว่าหยางหลงกลับมา หมิงเอ๋อร์จะวิ่งลุกมาหา แต่พี่ใหญ่ดึงแขนไว้ ใช้นิ้วชี้แตะริมฝีปาก พลางมองไปที่ผู้ที่กำลังหลับอยู่
น้องรองเข้าใจท่าทีนี้จึงเปลี่ยนเป็นค่อย ๆ ย่องมาหา แล้วกระโดดกอดหยางหลงไว้แน่น
"พ่อเจ้าเมืองกลับมาแล้ว"
หยางหลงอุ้มแฝดทั้งสองด้วยสองแขน หอมแก้มซ้ายขวา "กวนพ่อกวางหรือเปล่าลูก"
"ไม่"เหมี่ยนเอ๋อร์ตอบ
หมิงเอ๋อร์ตอบบ้าง "พ่อกวางเล่าเรื่องในป่าให้ฟังเยอะแยะ"
บุตรทั้งสองพูดคุยอีกหลายคำเพ่ยหลิงก็เข้ามารับบุตรทั้งสองไป "ท่านพ่อเจ้าเมืองกลับมาแล้ว พวกเจ้าก็สมควรเข้าไปเตรียมตัวล้างหน้าล้างมือ ให้ท่านพ่อทั้งสองได้พูดคุยกันบ้าง"

หยางหลงมองผ่านเพ่ยหลิงไปที่ลู่ ซึ่งตื่นนอนแล้ว และกำลังอุ้มจินเอ๋อร์ที่ยังไม่ค่อยอยากจะตื่น
"จินเอ๋อร์ยังอยากนอนต่อ" ลู่กล่าวยิ้ม ๆ
เพ่ยหลิงพลอยสนับสนุน "เวลาอยู่กับท่านกวางทองแล้วจะหลับได้นาน กินก็เยอะขึ้นด้วย"
"เล่นสนุกมากด้วยใช่หรือไม่" หยางหลงกล่าวแล้วเข้ามาหา อยากจะอุ้มจินเอ๋อร์อีกคน แต่อีกสองคนที่อยู่บนแขนก็กอดคอพ่อเจ้าเมืองไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
"ให้นอนต่ออีกหน่อยก็ได้" ลู่ลุกขึ้นเดินคู่กับหยางหลงกลับเข้ามาในเรือนต้นส้ม ซึ่งเดิมเป็นที่พักของหยางหลงกับเพ่ยหลิง แต่ตอนนี้หยางหลงย้ายไปพักที่เรือนสนเพียงลำพัง
...มิใช่..หยางหลงมิได้พักอยู่เพียงลำพัง เพราะลู่มาที่จวนเจ้าเมือง ก็จะพักที่เรือนหลังนี้

แม้ว่าแฝดสามจะไม่ใช่เด็กช่างพูด แต่ล้วนมีความสามารถในการเกาะคอ เกาะแขนบิดาทั้งสองไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนลู่ต้องยอมแพ้ "พ่อกวางยังไม่กลับไปที่ป่าสีทองในตอนนี้ ยังอยู่กับพวกเจ้าอีกหลายวัน แล้วขอให้ท่านพ่อเจ้าเมืองไปพักสักครู่แล้วพวกเราค่อยมาเล่นด้วยกันดีหรือไม่"
แฝดสามเชื่อตามที่ท่านพ่อกวางบอก แต่ก็ยังไม่อยากห่างจากพ่อทั้งสองอยู่ดี ยังคงเกาะแน่นอยู่แช่นนั้น จนกระทั่งหยางเจิ้นขุย หรือขุยเอ๋อร์กลับมาถึง หลังจากที่ทักทายบิดาทั้งสองแล้วก็หันมาชวนน้อง ๆ เข้าไปด้านในเรือน
"ไปล้างหน้า ล้างมือแล้วไปเล่นด้วยกันในระหว่างรอกินอาหารค่ำพร้อมกับท่านพ่อดีไหม"
แฝดสามเปลี่ยนไปหาขุยเอ๋อร์อย่างไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่นัก  ยังคงช่วยกันส่งสายตาที่เรียกร้องคำยืนยันจากพ่อกวางว่าจะไม่กลับไปป่าสีทองระหว่างที่ทั้งหมดเข้าไปในเรือน
"พ่อจะไปรอพวกเจ้าที่เรือนต้นบ๊วย ตกลงไหม"
เท่านั้นเอง ทั้งสามคนก็ตามขุยเอ๋อร์เข้าไปในเรือน โดยมีบรรดาพี่เลี้ยงชายหญิงตามไปเป็นขบวนใหญ่

เรื่องของพี่เลี้ยงมากมายของแฝดสามนี้ เป็นความต้องการของเพ่ยหลิงที่แม้ทุกคนจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่มีผู้ใดคัดค้านนางอย่างจริงจัง
หยางไห่เคยกล่าวไว้ว่า แฝดสามบ้านนี้มีพี่เลี้ยงเท่ากับบุตรชายหญิงสิบคนของหยางเฉิง

อืม...หยางเฉิงหย่าจากซูเหยา ผู้ที่คิดวางยาสังหารลู่เมื่อหลายปีก่อน จากนั้นชุนผิง ภรรยาเอก และฉีถิงภรรยารองตั้งครรภ์ แบบหัวปีท้ายปี รวมแล้วหยางเฉิงผู้นี้มีบุตรชายหญิงรวมสิบคน คนคิดว่าเขาคงพอใจกับครอบครัวในปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็แต่งอีกคนเข้าบ้าน เป็นชาวเมืองลั่วชื่อคงเซียะ


ค่ำแล้วลู่เอนตัวนั่งพิงอกกว้างของหยางหลงชมดวงจันทร์จากทางหน้าต่างห้อง
"เหมี่ยนเอ๋อร์ เหมือนท่านพี่มาก"
หยางหลงพยักหน้า ขณะที่ช้อนปอยผมสีอ่อนของอีกฝ่ายขึ้นมาหอม
"ตั้งแต่แรกเกิดก็มองว่า สีผมสีตาเหมือนกัน แต่ยิ่งโตเขาก็ยิ่งถอดนิสัยความเป็นพี่ใหญ่ของท่านมาจนหมด" ลู่เหลียวหน้าหันมามอง "นั่นทำให้น้องคิดถึงท่านพี่ยิ่งนัก"
ชายหนุ่มก้มลงจูบปากแล้วเบียดปลายลิ้นเข้าหา มือใหญ่ลูบไล้ที่อกบาง
ทั้งที่อีกฝ่ายกำลังจูบและสัมผัสด้วยความคิดถึง แต่ลู่กลับกำลังพยายามกลั้นเสียงหัวเราะของตนเอง
"น้องนี่เหลือเชื่อจริง ๆ"
หยางหลงเองพลอยหัวเราะตามเสียงหัวเราะแปลก ๆของลู่ ที่เกิดจากความพยายามที่จะไม่หัวเราะในเวลาเช่นนี้
ลู่ทำปากยื่น หันมาหาเรื่องอีกฝ่ายเพื่อแก้อาการขัดเขินของตนเอง "ห้ามหัวเราะนะ"
"ครานี้เจ้าหัวเราะก่อนต่างหาก"
คนตัวเล็กหันมานั่งคร่อมบนต้นขาแข็งแรง "ถึงข้าจะไม่หัวเราะท่านพี่ก็ยังหัวเราะก่อนอยู่ดี"
"มันก็จริง" หยางหลงยอมรับ ทั้งที่กำลังยิ้มอยู่ หาได้มีแววจะสำนึกผิดแม้แต่น้อย
"ท่านพี่หัวเราะอีกแล้ว" ลู่ชกที่ไหล่กว้างเบา ๆ
"ไม่ได้หัวเราะ แบบนี้เรียกว่ายิ้ม"
"แล้วท่านพี่ยิ้มทำไม"
"ยิ้มเพราะดีใจที่ได้อยู่กับน้อง"
"จริงหรือ"
"จริง"
ลู่จูบที่ริมฝีปากสวย "น้องก็ดีใจที่ได้อยู่กับท่านพี่"
หยางหลงยิ้มให้กับกวางทองผู้งดงาม
"ทีแรกยังคิดว่า ท่านพ่อเทพเสือโคร่งจะมาส่งท่านแล้วมารับข้ากลับไปป่าเสียอีก แต่พอเห็นว่าท่านพี่กลับมาคนเดียวก็ดีใจมาก" ลู่ทำแก้มพอง "มีเรื่องจะบอกด้วย"
หยางหลงพยักหน้าให้เล่าต่อ
"วันแรก ๆ น้องก็ไปช่วยงานที่ศาลาว่าการเมือง ก็อ่านนั่นอ่านนี่ แต่รู้สึกว่าการอยู่แต่ในห้องมันน่าเบื่อ ท่านเลขาฯก็เลยพาไปหลายที่" ลู่เล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ แล้วสรุปว่า "ครึ่งเดือนที่ท่านพี่ไม่อยู่ นอกจากการไปที่นั่นที่นี่แล้ว ก็คือการเล่นอยู่กับแฝดสามที่จวนเจ้าเมือง ไม่ได้ทำงานอะไรเลย"

หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว หัวเราะเสียงดังก้อง แล้วกอดรัด หอมฟัดแก้มใสจนลู่แทบจมหายไปในอ้อมกอด
"พอแล้ว จะอารมณ์ดีอะไรนักหนา" ลู่โวยวาย "น้องไม่ได้ทำงานอะไรเป็นเรื่องเป็นราวสักอย่าง"
"สัญญาก่อนว่าจะฟังให้จบ"
เพราะประโยคนี้ทำให้คนฟังไม่แน่ใจ "ฟังก็ได้"
"น้องมักกล่าวว่าตนเองไม่มีพลังพิเศษ แต่แท้จริงแล้วน้องมีพลังพิเศษที่แตกต่าง และยอดเยี่ยม"
ลู่เอียงหน้ามอง เพราะเวลาที่หยางหลงจะตำหนิใครก็มักใช้ถ้อยคำรอมชอมไม่ให้คนฟังรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้
"สังเกตไหมว่าไม่เคยมีใครทะเลาะกัน ขัดแย้งกันรอบตัวน้อง ต่อให้เดิมเขามีเรื่องขัดแย้งกันอยู่ แต่ทันทีที่เจ้ามาถึงทุกอย่างจะสงบลง" ลู่ตั้งใจฟังมาก "ตั้งแต่แรกมา แม้ท่านแม่จะระแวงเจ้า แต่เขาไม่เคยโกรธเจ้าได้อย่างจริงจัง คนในเมืองลั่วไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องป่าสีทอง พวกเขาอาจเคยกล่าวลับหลังในแง่มุมร้าย ๆ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้า ความคิดเหล่านั้นจะหายไป น้องอาจคิดว่าเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของน้องที่ทำให้ผู้อื่นปฏิบัติเช่นนั้น แต่ลองมองดูอีกที ยังมีผู้ที่ถือกำเนิดออกมาด้วยรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างจากผู้อื่น แล้วถูกเกลียดกลัว หรือถูกตราหน้าว่าเป็นปีศาจมากมายเท่าไหร่"
หยางหลงใช้ข้อนิ้วสัมผัสแก้มใส
"ยามที่น้องมาที่นี่ การงานทุกอย่างราบรื่น บ้านเมืองสงบสุข"
ลู่คลี่ยิ้มขัดเขินขณะที่ส่ายหน้า "น้องไม่ได้ทำ นั่นเป็นสิ่งที่ท่านพี่ขอไว้ต่างหาก"
"พี่ขอให้เมืองลั่วแคล้วคลาดปราศจากสงคราม"
"น้องรับคำขอของท่านพี่มา ท่านพ่อเทพเสือจัดการคนที่เข้ามารบกวน แล้ว...ท่านแม่เทพกวางก็ยกน้องให้ท่านพี่"
หยางหลงมองดวงตาสีทองงดงามคู่นั้น
"ทั้งหมดเพราะความรักของน้อง ขอบใจมาก"
ลู่ยกตัวขึ้นจูบปาก "อย่าลืมสิว่า น้องหลงรักท่านพี่ทั้งที่ยังไม่เห็นหน้า เมื่อท่านกล่าวคำอธิษฐาน นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด"

ลู่เคยบอกหลายครั้ง ว่าหลงรักตนก็เพราะคำอธิษฐาน ซึ่งหยางหลงกลับคิดว่านั่นเป็นคำขอที่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ผู้ปกครองเมืองย่อมคาดหวังให้บ้านเมืองที่ตนเองปกครองอยู่มีแต่ความสงบสุขมิใช่หรือ
จริงอยู่ว่าอาจมีผู้ที่ต้องการอำนาจ และความมั่งคั่ง แต่สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากผู้อยู่ใต้ปกครองไม่มีความสุข
...แต่หยางหลงมิได้ต้องการอำนาจ สิ่งเดียวที่ต้องการมาตลอดก็คือขอให้เมืองลั่วสุขสงบ ปราศจากสงคราม

ทั้งที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี แต่ลู่ก็อยากกล่าวคำนี้
"คำอธิษฐานอย่างแน่วแน่ของท่าน ความจริงใจ และการลงมือทำของท่านที่มันสอดคล้องกัน ทำให้ข้าหลงรักท่านพี่ แล้วพอได้พบกับท่านพี่ ที่หล่อมาก น้องก็ยิ่งหลงรักท่านพี่ ยังมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ห่างออกมา แล้วน้องคิดได้ว่า น่าละอายยิ่งนัก ที่เข้าไปแทรกในครอบครัวผู้อื่น คิดว่าเมื่อห่างกันออกไป ก็คงตัดใจได้ แต่พอรู้ว่าท่านก็มีปัญหาในครอบครัว ทั้งฮูหยินของท่านก็หมดรักท่านแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกว่าท่านเป็นคนดี และหล่อ ที่น่าสงสารยิ่งนัก"

"อา..." หยางหลงรู้เจ็บลึกในใจยิ่งนัก "ถึงแม้พอจะรู้ตัวอยู่บ้างในเรื่องนี้ แต่พอฟังจากปากของน้อง ทำไมถึงได้เจ็บขนาดนี้นะ"

ลู่รู้ว่าหยางหลงเสแสร้งครึ่งหนึ่ง เจ็บจริงอีกครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงได้หัวเราะออกมา
"โอย..." หยางหลงคร่ำครวญมากกว่าเดิม "ที่สุดแล้วน้องนี่แหละที่ทำร้ายพี่เจ็บปวดยิ่งนัก นี่เจ็บจริงๆ นะ"
ลู่กวางทองหัวเราะจนน้ำตาคลอ
หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว กำลังเสแสร้งคร่ำครวญเพื่อเรียกร้องความสงสาร
นี่มันตลกแทบตาย ตลกที่สุด
ข้าจะเอาไปเล่าให้ท่านหยางเฉิง กับหยางไห่ฟังอย่างแน่นอน!!!

...จบตอนพิเศษสาม...
ยังมีตอนพิเศษของกวางทองเหลืออีกหนึ่งตอน ครือ...มันงอกออกมาน่ะ คนเขียนเขาวางไว้สาม พอมานับกลับมีสี่ เมลล์ไปถามเขาเถียงว่าสามไม่ใช่หรือ  :z6:
ก็เอาเป็นว่ายังมีอีกตอน ที่เขาขอไปเขียนเพิ่ม เสร็จแล้วจะมานะ
(มานะนี่คู่กับมานีไหมแล้วเป็นญาติกับมารูโกะปะ)
น้ำชาเอง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: himoru ที่ 19-05-2017 11:04:59
หวานนนนนนนนน น้ำตาลเรียกเทพ
น้องลู่นี่แบบดีอ่า รู้สึกก็พูดออกมา
มีน้องลู่ที่ไหนสงบสุขที่นั่น
สรุป มันสงบจริงๆหรือหยางหลงแค่ทิ้งงานมาจีบน้องลู่ 555555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 19-05-2017 11:33:47
 o22 o22 o22

มานะ มานี มารูโกะ มุกนี่มัน...

 :pig4: :pig4:

ชอบแฝด3 มีความเป็นเด็กแปลกเเบบเต็มตัว 5555

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 19-05-2017 11:49:48
แฝดสามน่ารักจังค่ะ... ขอบคุณที่เขียนตอนพิเศษมาให้หายคิดถึง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 19-05-2017 14:18:04
ชอบตอนลู่อยู่กับลูกจริงๆ โดยเฉพาะตอนถามแฝดคนโตแล้วอีกสองแฝดแย่งกันตอบ น่ารักเลยทีเดียว
ปล.แอบอยากรู้ว่าท่านเทพเสือโคร่งภูผากับหยางหลงจัดการยังไงกับฮองเต้เรื่องสามแฝด
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-05-2017 16:39:47
ลู่ โกรธแล้ว  ฮ่องเต้ยังไม่เลิกวุ่นวายกับแฝดสาม
อยากรู้เหมือน รี บน  ว่าจัดการกับฮ่องเต้อย่างไร

ชอบตอนลูกแฝดสาม ตามติดลู่ หลง
แฝดสาม ฉลาด น่ารัก  :mew1: :mew1: :mew1:
หวานมากกกก เวลาลู่ อยู่กับหยางหลง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 19-05-2017 23:14:20
น่ารักมาก

อ่านแล้วรู้สึกเหมือนเห็นสีทองผ่องอำไพ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 20-05-2017 06:48:28
หวานมากกกกกกกก อาลู่น่ารักน่าเอ็นดูมากๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 20-05-2017 06:50:00
ชอบตอนพิเศษเพราะมันจะหวานเป็นพิเศษ ^^
รอตอนที่งอกนะคะ 555

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 20-05-2017 09:51:24
ทำไมเด็กๆเก่งขนาดนี้ o13
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 20-05-2017 18:27:04
สอนลูกดูผังเมืองแต่เด็กเลย  คนเล็กขี้อ้อนมากเลย
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 20-05-2017 20:49:02


ว้ายยยยยย หลานๆช่างน่ารัก  :mew1: อิป้าแอบคิดไปไกลถึงคู่ครองของหลานๆแต่ละคน เลยเชียว

สมัยพ่อกว่าจะได้พ่อกวางมาเชยชม ก็ลุ้นอยู่นาน

นี่มาเจอหลานของลูกสุดหวงของปู่ๆย่าๆ (ตาๆยายๆ) คาดว่าแค่ความดีคงไม่พอ
 (นี่อิป้าอ่านไปก็มโนตามว่าบุคลิกเหมือนพ่อเจ้าเมือง1 พ่อกวาง2  :-[  )

ขอบคุณค่ะที่มีตอนพิเศษมาให้อ่านเรื่อยๆ

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 21-05-2017 14:22:23
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

เห็นหลายวันแล้ว อยู่ต่างจังหวัด จ้องที่มือถือไม่ไหวตัวมันเล็ก 555
ชอบเวลาพ่อกวางทองลู่ อยู่กับสามหยางน้อย  ดูละมุนละไมมาก
ไม่ได้โลภ แต่ขอตอนพิเศษ ตอนหลักไปเรื่อยๆ ... ขอแบบไม่เห็นใจคนเขียนคนโพสต์เลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 24-05-2017 12:03:22
น้องน่ารักมาก แฝดสามก็น่ารักมาก ฉลาดแท้
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-05-2017 19:10:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 25-05-2017 08:42:50
เราว่าง  เรามารอ บ้านเราน้ำท่วม  ออกจากบ้านไม่ได้
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 25-05-2017 08:44:22
นับ 2...มารออ่านค่า วันนี้ฝนตก อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การอ่านนิยายมากๆ 555+
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 25-05-2017 09:14:11
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 25-05-2017 09:47:11


ก๊อกๆๆๆ เปิดบ้านมารอเจ้าบ้านจ้า   :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 25-05-2017 09:52:19
มารอตอนใหม่ฮะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสาม P16
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 25-05-2017 09:52:53
ดันๆๆๆ :z13:
หัวข้อ: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 25-05-2017 10:14:46
ตอนพิเศษตอนที่สี่

ใกล้ค่ำแล้วที่ด้านหน้ากระท่อมที่พักของหยางหลงในป่าสีทอง ลู่กวางทองกับเฉินอวี้และกวางไพลินช่วยกันจัดเตรียมอาหารค่ำ โดยมีจิ้งจอกไฟกับนกยูงทองคอยให้ความช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ
ส่วนเทพทั้งสี่ คือเทพเสือโคร่งภูผา เทพเสือโคร่งบงกช เทพกวางสายฟ้า และเทพกวางสายลม ร่วมด้วยหยางหลงนั่งสนทนากันในเรื่องราวทั่วไป โดยมีเทพเสือโคร่งศิลาดำคอยเติมสุรา และกับแกล้มให้เป็นระยะ
แต่ส่วนใหญ่แล้วเทพเสือโคร่งศิลาดำ กลับทำหน้าที่รับฟังการสนทนาของทั้งห้ามากกว่าการเติมสุราอาหาร
ก็เรื่องที่พวกเขายกขึ้นมาหารือกันนั้นมันช่างมากมายไม่รู้จักจบสิ้น ตั้งแต่เรื่องของแฝดสามไปจนถึงการค้าขาย และเรื่องราวในเมืองหลวง
เดิมนั้นทั้งห้าก็มิใช่นักดื่ม เทพทั้งสี่แม้จะชอบสุราดอกท้อกลิ่นหอมรสหวานแต่ก็ไม่ได้ถึงกับต้องดื่มทุกวัน ส่วนหยางหลงเจ้าเมืองลั่วเองก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นหนึ่งในนักดื่ม เพราะต้องรับรองแขกที่มาเยือน หรือไม่ก็ต้องไปงานเลี้ยงอยู่เป็นระยะ แต่ในช่วงหลังมานี้ยังลดปริมาณการดื่มลงมาก แต่ละวันเหลือเพียงจอกหรือสองจอกเท่านั้น หลายคราที่กินอาหารมื้อค่ำกับน้องชายทั้งสองก็จะขอเพียงน้ำอุ่น แทนที่จะเป็นสุรา
"พี่ใหญ่เจ็บป่วยหรือ" หยางไห่เคยถามด้วยความเป็นห่วง
"เพราะข้ามิได้ดื่มสุรากับเจ้าหรือ"
หยางไห่พยักหน้ายอมรับ "เห็นท่านไม่ดื่มสุรามาสักสองสามวันแล้ว แพทย์สั่งงดสุราหรือ"
"ไม่หรอก" หยางหลงตบไหล่น้องชาย "รู้สึกว่าไม่อยากดื่ม ก็ไม่ดื่มเท่านั้นเอง"
"อ้อ..." หยางไห่ลากเสียงยาวเหมือนจะเข้าใจ แต่เมื่อพบเลขาฯ ของหยางหลงก็ยังสอบถามให้แน่ใจว่าพี่ชายเจ็บป่วยหรือไม่ เลขาฯ จึงตอบว่า เจ้าเมืองลั่วมีสุขภาพแข็งแรงดี
หลังจากที่สอบถามไปทั่วจนแน่ใจ หยางไห่จึงกลับมากล่าวกับหยางหลงอย่างตรงไปตรงมา
"อย่าเพิ่งไปจากเมืองลั่ว ข้ากับพี่รองไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเป็นผู้ปกครองที่นี่ ท่านต้องอยู่กับพวกเรา จนกว่าเจ้าแฝดสามจะแข็งแรงและพร้อมที่จะเป็นผู้นำของพวกเรา"
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วพยักหน้ายอมรับคำขอร้องของน้องเล็ก
"ข้ารับปาก"

พูดถึงเรื่องของสุราดอกท้อที่ดื่มกินกันอยู่เวลานี้ มีอยู่สองสูตร สูตรหนึ่งได้เฉินอวี้เป็นผู้หมักไว้ให้ กับอีกสูตรเป็นของกวางไพลินซึ่งเรียนมาจากเมืองลั่ว
แต่ไม่ว่าจะเป็นสูตรใดก็ให้กลิ่นหอมหวานที่สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ดื่มทั้งสิ้น
ถัดจากสุราก็คือกับแกล้มในชามขนาดใหญ่ที่จิ้งจอกไฟกับนกยูงทองช่วยกันยกมาวางบนโต๊ะ
นี่คือถังหูลู่ที่สวยงามและน่าเอร็ดอร่อย
โดยทั่วไปถังหูลู่ที่เป็นผลไม้เคลือบน้ำตาลจะต้องเสียบไม้ แต่เพราะกวางไพลินเป็นผู้ที่มีความรอบคอบ นางจึงเอาไม้ยาวออกแล้วเปลี่ยนเป็นไม้ที่มีขนาดเพียงคืบเดียวสำหรับผู้ใหญ่ทั้งห้าวางไว้ข้างชามใหญ่ให้ใช้จิ้มผลไม้รับประทาน
ส่วนถังหูลู่ที่ยังเสียบอยู่ในไม้ยาวถูกวางเรียงมาในชามทรงสูงอย่างสวยงาม ทั้งสองคนเอามาวางไว้ที่โต๊ะตัวเล็กถัดมา
จากนั้นก็คือปลาย่างสำหรับเทพเสือทั้งสาม และให้หยางหลงกับเฉินอวี้
“ที่จริงเสือโคร่งกับจิ้งจอกน่ะเป็นสัตว์กินเนื้อ ส่วนนกยูงน่ะกินได้ทั้งเนื้อและผลไม้ มีแต่กวางที่กินผักผลไม้” นกยูงทองพูดขณะที่หยิบไม้ถังหูลู่ขึ้นมา “แต่ว่านะ อยู่มาตั้งหลายปีเพิ่งรู้ว่ามีผลไม้อร่อยแบบนี้ด้วย”
กวางไพลินหันมาค้อน “ทำไมไม่พูดสั้น ๆว่านกยูงทองที่กินได้ทั้งเนื้อและผลไม้มานานหลายปี ตอนนี้กำลังชอบผลไม้เคลือบน้ำตาล”
ลู่กวางทองจิบสุราที่หยางหลงส่งให้ ก่อนที่จะช่วยเสริมคำกล่าวของพี่หญิง “ถ้าพูดสั้น ๆ ก็ไม่ใช่นกยูงทองแล้ว”
กวางไพลินหันมาหัวเราะกับน้องชาย “ข้าว่าที่ข้าพูดแทนนกยูงทองเมื่อครู่ มันก็เป็นประโยคที่ยาวอยู่เหมือนกันนะ”
กวางสองพี่น้องมัวแต่หัวเราะกัน กว่าที่จะรู้ตัวว่าทำไมนกยูงทองถึงไม่โต้ตอบ และทำไมจิ้งจอกไฟถึงได้เงียบไป พอหันไปดูถึงได้เห็นว่าสองเพื่อนรักกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารตรงหน้า
“ปลารสดีขนาดนั้นเชียวหรือ” ลู่กวางทองถามจิ้งจอกไฟ หยิบปลาย่างตัวหนึ่งใส่จานส่งให้กับหยางหลง เพราะในส่วนของเทพเสือโคร่งทั้งสองนั้น เฉินอวี้จัดการให้แล้วเรียบร้อย
“ไพลินทำอาหารอร่อย” จิ้งจอกไฟกล่าวชมด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ดวงตายาวเรียวกลายเป็นเส้นโค้ง
นกยูงทองอดไม่ได้ที่จะโต้แย้ง “อย่าเชื่อคำพูดของจิ้งจอก”
“อ้าว....” กวางไพลินหันมาทำตาขวาง “แปลว่าข้าทำไม่อร่อยหรือ เช่นนั้นก็เอาผลไม้คืนมาเลย”
นกยูงทองรู้ตัวว่าพูดผิดไป ก็รีบคว้าของชอบไปนั่งอยู่ข้างเทพกวางสายลมที่นับว่าเป็นผู้ที่ใจดีที่สุดแล้วในที่นี้?
“แม่เล็กทำปลาย่าง อร่อยไหม” ลู่กวางทองช่วยเพื่อนด้วยการเปลี่ยนเรื่องไปหาแม่เล็ก เทพเสือโคร่งทั้งสองก็ชื่นชมไปตามบุตรชาย ส่วนเทพกวางทั้งสองไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังยิ้มชื่นชม
“หน้าตาดีแล้วยังทำอาหารอร่อยอีก” ลู่กวางทองหันไปออเซาะแม่เล็ก แต่นกยูงทองสบโอกาสอันดี
“ระหว่างแม่เล็กกับกวางทองใครรูปงามกว่ากัน” ดวงตากลม ๆ ของนกยูงทองมองเทพเสือโคร่งภูผาเชิงบังคับ
“อ่า...ก็รูปงามกันทั้งสองนั่นแหละ” หยาดเหงื่อที่หน้าผากเริ่มซึมแล้วหยดลงมาที่ปลายคาง
หนึ่งก็เมีย หนึ่งก็ลูก
อยากชมลูกอยู่หรอก แต่กวางทองชงให้กล่าวชมแม่เล็กมาตั้งแต่แรก จะชมแต่เมียไม่ชมลูกมันก็กระไรอยู่
“อะ งั้นเพื่อให้ง่ายขึ้น ถามต่อไปว่า ท่านแม่กวาง แม่เสือโคร่ง แม่เล็กแล้วก็กวางทองใครงามที่สุด” ทุกคนล้วนให้ความร่วมมือในการกลั่นแกล้งด้วยการจ้องมองกดดันเทพเสือโคร่งให้ตอบคำถาม “งั้นเพิ่มจิ้งจอกไปอีกหนึ่งก็ได้”
“พอแล้ว!” เทพเสือโคร่งภูผาตัดสินใจตอบ “ผู้ที่งดงามที่สุดย่อมเป็นกวางทองแน่นอนที่สุด”
ลู่ทำริมฝีปากยื่นมองหน้าบิดาด้วยสีหน้าผิดหวัง จนทำให้เทพเสือโคร่งภูผากระวนกระวายมากกว่าเดิม
“ไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นก็ถามเจ้าเมืองดูสิ ว่าเขาเห็นด้วยกับพ่อหรือไม่”
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วที่กำลังกลั้นหัวเราะจนน้ำตาคลอ พยักหน้าเห็นด้วย “เจ้าย่อมงดงามเสมอ”
ลู่ยิ้มกว้าง ขยับเข้าไปหาเพื่อจูบแก้มของหยางหลง และกล่าวคำขอบคุณ
แต่ในเวลาเดียวกันเทพเสือโคร่งภูผาหันไปชี้เจ้านกยูงทองที่กำลังหัวเราะร่วนอยู่ด้านหลังเทพกวางสายฟ้า
จำไว้เลยนะ เจ้านกยูงตัวแสบ!

ลู่กวางทองหันไปหันมาก็หันไปถามเทพเสือโคร่งภูผา ว่าแม่เล็กไม่งดงามหรือ
"งดงามสิ" เทพเสือโคร่งทำน้ำเสียงหนักแน่น "แต่เรื่องนี้ต้องไปชมกันเป็นการส่วนตัว"
ลู่มองหน้าบิดาแล้วชี้ไปที่หยางหลง "แต่คนนี้ไม่ได้ชมเป็นการส่วนตัว นี่ชมกันต่อหน้าทุกคนเลย ตอนที่อยู่ในจวนเจ้าเมืองก็เหมือนกัน นึกจะพูดก็พูดเลย"
"เขาเรียกว่า คนเรานิสัยไม่เหมือนกันไง" เทพเสือโคร่งภูผาพยายามอธิบาย
"เจ้าเมืองลั่วขี้อวดไง" นกยูงทองพูดแทรกขึ้นมา เทพเสือโคร่งภูผาคว้าเมล็ดผลไม้ที่เทพเสือโคร่งบงกชคายทิ้งไว้ ขว้างไปที่นกยูงทองถูกหน้าผากอย่างจัง  แล้วนึกขึ้นได้ ว่า บุตรเขยชมบุตรของตนว่างดงามต่อหน้าทุกคนมันก็ถูกต้องแล้วนี่
นกยูงทองลูบหน้าผากบวมปูดของตนเอง "คราวนี้ข้าพูดถูกต้องแล้วชัด ๆทำไมยังโดนอีก"

หลังการดื่มกินทุกคนแยกย้ายกลับไปพักผ่อน หยางหลงคือผู้ที่ช่วยลู่เก็บสถานที่
"ข้ามักคิดว่าท่านพ่อเทพกวาง กับท่านพ่อเทพเสือโคร่งน่าจะขัดแย้งกันรุนแรง รวมถึงกับท่านแม่ทั้งสองด้วย แต่นี่ก็กลับอยู่ด้วยกันได้ดี"
ลู่ส่ายหน้า "ไม่ดีหรอก" คนรูปงามยกถ้วยชามเข้าไปในบ้าน "พวกเขาแค่ไม่ทะเลาะกันต่อหน้าข้าเท่านั้น แต่ทุกครั้งท่านพ่อเทพเสือจะยอมให้ทั้งสามทุบตี"
หยางหลงทำเสียงแปลก ๆ ในลำคอ แต่ก็พยักหน้า "จะว่าไป ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว"
ลู่เล่าต่อ "ท่านพ่อกวางเคยบอกว่า อาจเพราะพวกเขารู้จักกันมานาน และรู้จักกันดีเกินไป ข้ายังเคยคิดว่า ท่านพ่อกวางน่ะ รู้มานานแล้วว่า ท่านแม่กวางพอใจท่านพ่อเทพเสือโคร่ง ก็ผู้หญิงมักจะชอบคนที่ดูกล้าหาญ เป็นผู้ปกป้อง มากกว่าคนบอบบางที่มีแต่ความระมัดระวังใช่ไหม"
หยางหลงไม่ขัดคำกล่าวของอีกคน ปล่อยให้เล่าต่อไป
"ที่สำคัญนางเป็นเทพกวาง ท่านพ่อเทพเสือโคร่งไม่มีทางบังคับนางได้ แต่ท่านก็เห็นแล้วว่า ท่านพ่อเทพเสือโคร่งน่ะมีวิธีการของเขาเอง ไม่เช่นนั้นท่านแม่เล็กคงไม่ทิ้งทุกอย่าง เพื่อมาอยู่ที่นี่" 
เทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้มีท่าทีกรุ้มกริ่ม หรือปากหวานอย่างคนเจ้าชู้ แต่รู้ที่จะรอคอย ทั้งมีวิธีการที่จะให้ได้ครอบครองคนที่เขารักในแบบของเขาเอง
และทำให้รองแม่ทัพเฉินอวี้ยอมสละทิ้งทุกอย่างในช่วงเวลาที่อยู่ในจุดสูงสุดของชีวิต เพื่อกลับมาอยู่กับเทพเสือโคร่งภูผาจริง ๆ
"เวลาเห็นพวกเขาทั้งหมดอยู่ด้วยกัน บางทีข้าก็สงสัยว่า ความรักแบบที่อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขน่ะเป็นอย่างไร" หยางหลงตั้งข้อสังเกต
ลู่หันมาหรี่ตามอง "สงสัยแล้วอยากทดลองทำด้วยหรือเปล่า"
หยางหลงรู้ตัวว่ากล่าวพลาดไปรีบโบกมือวุ่นวาย "ไม่ ๆ พี่มีแต่เจ้าคนเดียว ก็แค่สงสัยเท่านั้น เพราะพอลองคิดว่า หากน้องไปชอบใครอีกคน พี่คงต้องปวดใจมาก"
ลู่พยักหน้าช้า ๆ น้ำเสียงเข้มขึ้นมาในทันที "ลองคิดว่าน้องชอบผู้อื่น ไม่ใช่คิดจะลองไปชอบคนอื่นใช่ไหม"
"ใช่สิ" หยางหลงเข้ามากอดเอาใจ "พี่มีแต่เจ้าคนเดียวเท่านั้น จึงขอร้องว่าอย่าไปชอบใครมากกว่าพี่เลยนะ"
คนรูปงามหัวเราะเสียงสดใส "เข้าใจพูดนะเนี่ย"

....

หลังฝนตก อากาศที่ป่าสีทองเมืองลั่วยิ่งหนาวเย็นมากกว่าเดิม ชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาวนั่งอยู่ตามลำพังหน้าบึงน้ำกว้างใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาลทอดมองดอกบัวในบึง ข้างกายมีขวดสุราทรงสูงวางอยู่ข้าง ๆ แต่คนที่นั่งอยู่นานแล้วก็ยังมิได้ยกขึ้นดื่มสักหยด
คนที่เพิ่งมาถึงลังเลที่จะเดินเข้าไปทักทาย ด้วยระดับฌานของผู้ที่มาถึงก่อน ย่อมรู้ดีว่ามีคนเข้ามาใกล้ แต่เมื่อหยุดมองอยู่พักใหญ่แล้วคนผู้นั้นยังนิ่งเฉย ไม่ได้ขับไล่ให้ไปที่อื่น หรือเรียกให้เข้าไปหา ก็ยักไหล่แล้วทำในสิ่งที่อยากจะทำ 
"สายฟ้า"
คนที่ถูกเรียกหันมาพยักหน้าเพียงเล็กน้อย
"วันนี้อากาศเย็น"
"ใช่ ไม่ออกไปไหนหรือ"
"ยัง"
เทพกวางสายฟ้าพยักหน้าให้กับคำตอบที่ดูจะไม่สอดคล้องกับคำถาม แต่เพราะรับรู้ว่าอีกไม่กี่วันเทพเสือโคร่งภูผาจะออกไปจากป่าเพื่อตามอวี้เอ๋อร์ของเขาไปทุกหนทุกแห่งเหมือนที่ผ่านมา 
วันเวลาของเทพเสือโคร่งภูผาช่างวุ่นวาย ผิดกับวันเวลาของเทพกวางสายฟ้าที่หยุดนิ่งอยู่ในป่าสีทอง
เทพเสือโคร่งภูผาถามขึ้นก่อน "คิดถึงโกเมนหรือ"
"เจ้าเองก็คิดถึงเขามิใช่หรือไง ถึงได้มาที่นี่"
"คิดถึงมาก" เทพเสือโคร่งภูผายอมรับ "และรู้สึกผิดต่อเขามากเช่นกัน"
เทพทั้งสองสนทนากันโดยที่มิได้หันไปมองกัน ต่างมองไปที่บึงขนาดใหญ่ ภาพในวันวานที่ไหลย้อนกลับมาหา
หลังจากที่กระเรียนโกเมนเกิดได้ห้าปีเทพเสือโคร่งภูผาจึงถือกำเนิด และอีกสิบปีถัดมาจึงเป็นเทพกวางสายฟ้า
แต่เทพเสือโคร่งภูผาคือผู้ที่สำเร็จขั้นเทพเป็นตนแรก ตามมาด้วยเทพกวางสายฟ้าขณะที่กระเรียนโกเมนจวบจนวาระสุดท้ายก็ยังอยู่ในขั้นของสัตว์ป่าสีทองที่สามารถเปลี่ยนร่างได้เท่านั้น

หลังจากที่ต่างก็เงียบกันไปชั่วหนึ่งกาน้ำชา เทพเสือโคร่งภูผาจึงตั้งคำถามขึ้นอีกครั้ง
"คิดว่าหากตั้งใจจริง โกเมนจะสำเร็จถึงขั้นเทพได้ไหม"
"ได้สิ แต่ที่ไม่สำเร็จก็เพราะไม่ตั้งใจ" เทพกวางสายฟ้าหันมายกขวดสุราดื่มไปอึกหนึ่งก็ส่งให้อีกฝ่าย "เจ้านั่นมักโอ้อวดว่ากระเรียนคือตราประทับแห่งอายุขัยยืนยาว จึงปล่อยให้วันเวลาไหลไปเรื่อย"
แต่สุดท้ายกระเรียนโกเมนก็จากไปก่อน

บทสนทนาเงียบหายไปอีกหนึ่งชั่วกาน้ำชา
ความหนาวเย็นที่เข้าปกคลุมกดทับเข้ามาถึงในใจให้เหน็บหนาว ทำให้ต่างคนต่างนั่งมองไปเบื้องหน้าเงียบ ๆ 
"สุราที่ไพลินเอามาฝากอันนี้ดีไหม" เทพกวางสายฟ้าถามขึ้น
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า "เขาเรียกหอมหมื่นลี้"
เทพกวางสายฟ้าตอบรับด้วยเสียงในลำคอ บทสนทนาเกี่ยวกับกระเรียนโกเมน ที่บึงน้ำซึ่งกระเรียนโกเมนเคยอาศัยอยู่ทำให้ความเศร้าแทรกซึมอยู่ทั่วไปจนแม้แต่จะชักชวนให้โต้เถียงกันก็ยังไม่ได้ผล
"เห็นเจ้านั่งอยู่ตั้งนานคิดว่าจะไม่ดื่มเสียอีก" เทพเสือโคร่งภูผาดื่มอีกอึกใหญ่
เทพกวางสายฟ้ายกยิ้มมุมปาก "ชอบก็ดื่มเถอะ ข้าชอบสุราผลไม้มากกว่า"

เทพเสือโคร่งภูผาจิบสุราปล่อยให้ความเงียบเข้ามาทำหน้าที่ของตนเองอีกครา จึงได้ถามขึ้น
"สายฟ้า" ยกขวดสุราขึ้นดื่ม "ที่จริงแล้ว ตอนที่ถามว่าใครงามที่สุดน่ะ ข้าคิดว่า...เจ้างามที่สุด"
คนที่ได้รับคำชมว่างามที่สุดกลอกตามองบนแล้วถอนหายใจ
"ก็ได้ ก็ได้" เทพเสือโคร่งภูผาดื่มอีกอึก "อยากนั่งเงียบ ๆก็ตามใจ" แต่เงียบไปเพียงอึดใจก็กล่าวต่อ "ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อคำชมของข้า แต่ก็อยากบอกว่าขอถอนคำพูดเมื่อครู่ ผู้ที่งดงามที่สุดย่อมเป็นลู่กวางทองของพวกเรา"
เทพกวางสายฟ้าหันมายิ้มกว้าง "ลู่กวางทองของพวกเรา"
"แน่นอน งดงามที่สุด ดีที่สุดย่อมเป็นลู่กวางทองของเรา" เทพเสือโคร่งภูผาส่งขวดสุราในมือให้
เทพกวางสายฟ้าไม่ได้รับขวดสุรา แต่หันไปมองบึงน้ำขนาดใหญ่เบื้องหน้า ดวงตาสีน้ำตาลที่หม่นหมองเมื่อครู่ มีประกายของความหวังปรากฎขึ้นจาง ๆ

ผู้ที่มีรูปร่างหนาดื่มสุราไปเรื่อยจนหมดขวด ก็นอนหนุนแขนตนเอง ดวงตาสีเหลืองของเสือโคร่งมองท้องฟ้าสีเทา

"ภูผา"
"อืม"
"อย่าโทษตนเอง"
"แต่ข้าโทษตนเอง เหมือนกับที่เจ้าโทษตนเอง"
"ก็จริง" เทพกวางสายฟ้ายอมรับ
ทั้งสองต่างก็โทษตนเองที่ทำให้กระเรียนโกเมนต้องตาย แต่เทพกวางสายฟ้าหันมาเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมสถานที่แห่งนี้ ขณะที่เทพเสือโคร่งภูผาวิ่งไปทั่วเพื่อหาตัวคนที่ทำร้ายสหาย
แต่สุดท้ายก็ยังคงมีสัตว์ในป่าสีทองที่ต้องกลายไปเป็นเครื่องประดับฝาผนังในห้องจัดเลี้ยงของมนุษย์อยู่เช่นเดิม
"แล้วก็ ให้อภัยจิ้งจอกไฟกับเทพเสือโคร่งศิลาดำเถิด"
เทพเสือโคร่งภูผาผุดลุกขึ้นนั่ง 
"จิ้งจอกไฟมีความแค้น ขณะที่เทพเสือโคร่งศิลาดำมีความรัก" เทพกวางสายฟ้าชี้ไปที่บึงด้านหน้า "เมื่อนั่งอยู่ที่นี่วันละหลายชั่วยาม ข้าก็คิดได้ว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นผลมาจากวันวาน ซึ่งเมื่อคิดดูดี ๆ แล้วจุดเริ่มต้นมันก็มาจากพวกเราทั้งสามนั่นเอง"
การที่นางเทพกวางสายลมเข้มงวดต่อลู่กวางทองเป็นอย่างยิ่งก็เกิดจากเรื่องนี้เช่นกัน
"ถัดจากอาจารย์เทพสูงสุดแล้ว เราก็มีเพียงลู่กวางทอง เขาคือกวางทองตัวแรกในรอบมากกว่าสองร้อยปี ไม่ว่าเขาจะไปถึงขั้นที่จะเป็นเทพหรือไม่ ข้ารู้ว่าเราทุกคนพร้อมที่จะดูแลและสนับสนุนเขาเช่นกัน แต่ในเบื้องต้นนี้ต้องให้เขาเข้มแข็งขึ้นก่อน"
เทพเสือโคร่งภูผาทำเสียงฮึดฮัดในลำคอแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้ ทำให้ไม่เห็นรอยยิ้มขำของอีกฝ่าย เทพกวางสายฟ้าหยิบขวดเหล้ายกขึ้นแล้วหันไปเรียกกวางไพลิน
"จะเอาสุราอีกหรือไม่"
"ไม่ละ จะนอน"
"จะเอาแต่ปกป้องเขาอย่างเดียวไม่ได้ แล้วยิ่งเจ้าเมืองลั่วเป็นมนุษย์...อีกไม่นานเขาก็จะจากไป กวางทองจะเจ็บปวดมาก เจ้าเองก็เหมือนกัน วันหนึ่งอวี้เอ๋อร์ก็จะจากไป"
เทพเสือโคร่งภูผาที่นอนหันหลังให้กล่าวอย่างดื้อรั้น "พวกเขาเป็นของข้า ใครหน้าไหนก็เอาของข้าไปไม่ได้"
เทพกวางสายฟ้าส่ายหน้าช้า ๆ "เจ้าสมควรมานั่งอยู่ที่บึงของโกเมนบ่อยๆ"

กวางไพลินพลิกขวดสุราที่ว่างเปล่า จึงถามบิดา "ท่านพ่อจะรับสุราไหมเจ้าคะ"
"ไม่ละ ขอบใจมาก เจ้ากลับไปพักเถิด"
เทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้นอน
เทพกวางสายฟ้าหันไปมองบึงน้ำเบื้องหน้าเช่นเดิม
ทั้งคู่มิได้พูดคุยกัน
ต่างปล่อยให้เวลาในแต่ละวัน และคืนผ่านไปอย่างช้า  ๆ 

...จบตอนพิเศษ...
ลำดับต่อไปจะเป็นตอนที่ 15 เทพเสือโคร่งภูผาละนะฮะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 25-05-2017 12:05:58
เทพเสือโคร่งภูผา เอ่ยปากชมเทพกวางสายฟ้าว่างามที่สุด...มีความนัยอันใดหรือเปล่า 555+

ถ้ามีซัมติงอะไรบางอย่างระหว่างสองเทพนี้ การลำดับวงศาคณาญาติของตระกูลเทพในป่าสีทองแห่งนี้ คงปวดหัวน่าดู  :z1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-05-2017 13:39:32
ท่าทางเทพเสือโคร่งภูผา จะรักแม่เล็กมากที่สุดนะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 25-05-2017 15:38:23

 :mew2:  อ่านตอนนี้มันรู้สึกหม่นๆ ในใจ  แต่อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆ

โอ๊ยยยย นี่ก็แอบกลัวว่าพ่อเสือกับแม่กวางไม่ได้รักกันมาก่อนหรือเปล่าพ่อเสือเลยมีแม่เล็ก
นี่ก็แอบบคิดว่าจากที่มี 3 ท่านแม่กวาง แม่เสือโคร่ง แม่เล็ก นั้นจะเป็น 3 ของ พ่อเสือ แม่กวาง และกระเรียนโกเมน มาก่อนหรือเปล่า
แต่แบบ อื้มมมม เรารักลู่ ลู่รักแม่ๆดังนั้นเราก็รักแม่ๆด้วย (แบบนี้แหล่ะ ไม่ปวดใจ)



ฮรืออออ นี่ตอนนี้อิป้าของแฝดสามผู้นี้อึนๆ มันกลัวมาม่า คิดไปไกล

เอาเป็นว่ามาปูทางเปิดเรื่องให้คู่พ่อเสือได้น่าติดตามมากๆ ค่ะ   o13
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 25-05-2017 15:49:06
      อ่านช่วงท้ายแล้ว ถึงจะมีฉากเอ่ยปากชมของเทพเสือโคร่งภูผาให้ชื่นใจ แต่ก็มีกลิ่นความเศร้าลอยอบอวลอยู่จางๆ คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมผ่านไปด้วยดีโดยเฉพาะเรื่องของหยางหลงกับเฉินอวี้ที่เป็นมนุษย์ บางทีก็รู้สึกว่าเทพเสือโคร่งศิลาควรมานั่งอยู่ที่บึงบ่อยๆ ตามที่เทพกวางสายฟ้าบอก ความรู้สึกของเทพกวางสายฟ้าน่าจะปลง คือให้ปล่อยไป

      ยังมีหลายเรื่องที่ยังรู้สึกค้างๆ อย่างเรื่องความรักของเทพเสือโคร่งภูผาที่ทำเอานึกไปถึงเรื่อง 7 ยอดดวงใจจ้าวยุทธ์ เรื่องของเทพเสือโคร่งศิลาดำกับจิ้งจอกไฟ เรื่องใหม่ที่เข้ามาอย่างเรื่องกระเรียนโกเมน เรื่องราวจุดเริ่มต้นทั้งหมด ยิ่งตอนต่อไปเป็นของเทพเสือโคร่งภูผา รอตามยาวๆเลยค่ะ เคลียร์ปมเป็นรายๆคนไป เป็นกำลังใจให้ค่ะ  :L2: :L2:
ตอนนี้มืดมนมากมาย เหมือนดราม่าจะยังไม่หมดไปง่ายๆ  :hao5: สุดท้ายขอให้จบแฮปปิ้งเอนดิ้ง!
 :call: :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 25-05-2017 19:29:05
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-05-2017 19:53:11
น่าสงสารพ่อภูผาถูกรุมแกล้ง

ฮ่า ๆ ๆ

ส่วนคู่รักหลงลู่....ปล่อยไปเถอะ อิจจนเกินตะพูด

เอาล่ะ เตรียมผ้าเช็ดหน้ารอภาคถัดไป
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 25-05-2017 20:10:28
มาขอแปะดองไว้เน้อ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 25-05-2017 20:55:43
 
รอตอนใหม่ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: natalee22 ที่ 25-05-2017 22:02:58
กรี๊ดแรงงงงงงงงงงง ไหงเทพเสือโคร่งภูผาบอกว่าเทพกวางสายฟ้างามที่สุดซะงั้น
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 25-05-2017 22:40:27
นกยูงนี่สายเสี่ยมชิมิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 26-05-2017 14:48:28
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

ครอบครัวสุขสันต์มาก ดูเหมือนจะปรองดอง และมีหนึ่งเทพผู้เสียสละ
อยากอ่านท่านพ่อเสือแล้ว   รอค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 26-05-2017 15:18:29
อยากรู้เรื่องต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 26-05-2017 21:20:18
อ่านตอนนี้แล้ว เหมือนจะได้รับสัญญาณของการพลัดพราก
โกเมนเป็นตัวละครใหม่ ขอกระดาษเอสี่เพิ่มค่ะ วาดเครือข่ายตัวละครไม่พอแล้ว   :really2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษสี่ P16
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 27-05-2017 04:39:57
พ่อเสือชมพ่อกวางทำไม อิเจ๊ข้องใจเหลือเกิน  :hao4:
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 28-05-2017 07:34:26
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่สิบห้า


ปีที่สี่สิบเก้าแห่งอาณาจักรไท่ชาง ฮ่องเต้จางหยวนเสด็จสวรรคตในขณะที่มีพระชนมายุห้าสิบพรรษา จากนั้นองค์ชายห้าพระชนมพรรษายี่สิบสี่พรรษาเสด็จขึ้นครองราชย์ พระนามว่าฮ่องเต้จางฉวน

เรื่องราวก่อนหน้าที่ฮ่องเต้จางฉวนจะเสด็จขึ้นครองราชย์นั้นน่าสนใจยิ่ง ด้วยองค์ชายใหญ่ใหญ่รั้งตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทเป็นเวลานานสิบปี แต่ในระหว่างนั้น องค์ชายสามประสบอุบัติเหตุตกจากหลังม้าสิ้นพระชนม์ขณะที่มีพระชนม์สิบห้าปี อีกหกเดือนถัดมาองค์ชายสี่ทรงลอบออกจากพระราชวังไปกับพวกมหาดเล็กกลุ่มหนึ่งเพื่อไปเล่นการพนันแต่ในระหว่างที่พวกทหารองครักษ์จะไปเชิญเสด็จกลับมา กลับเกิดเหตุวิวาทกันภายในบ่อน องค์ชายสี่สิ้นพระชนม์พร้อมกับมหาดเล็กคนหนึ่ง ส่วนคนอื่น ๆที่ได้รับบาดเจ็บกลับมา ก็ถูกประหารชีวิตในภายหลัง
จนมาถึงปีสุดท้ายของการที่องค์ชายใหญ่รั้งตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท พระองค์ทรงลุ่มหลงสาวงามนางหนึ่ง และก็สุดท้ายเช่นกัน ที่พระองค์ทรงติดโรคร้ายจากนางจนล้มป่วย หลังจากที่นางเสียชีวิตได้สองเดือนองค์ชายใหญ่ก็สละตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท และสิ้นพระชนม์ในอีกหกเดือนถัดมา
องค์ชายรองอยู่ในตำแหน่งขององค์ชายรัชทายาทจนกระทั่งในปีสุดท้ายของฮ่องเต้จางหยวน ก็ทรงเสด็จไปยังเมืองจิ้วจ่าย แต่เมื่อเสด็จกลับมาถึงพระราชวังก็ทรงมีอาการป่วยหนัก แพทย์หลวงระดมสมองเพื่อวินิจฉัยและรักษาพระอาการแต่ไม่เป็นผล องค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น
หลังจากที่องค์ชายห้ารับการสถาปนาเป็นองค์ชายรัชทายาทได้เพียงสองเดือน ฮ่องเต้จางหยวนก็เสด็จสวรรคต

หลายคนกล่าวว่านี่คือลิขิตสวรรค์โดยแท้

"หึ ข้าต่างหาคือคนที่ลิขิต" ฮ่องเต้หนุ่มกล่าวขึ้นด้วยความภาคภูมิพระทัย ขณะที่ประทับยืนอยู่บนหอสูงของอารามหลวง ทอดพระเนตรบรรดาขุนนาง และผู้คนมากมายที่มาเข้าร่วมในพิธีทางศาสนาอยู่ที่บริเวณลานด้านหน้าของหอสูงหลังนี้ เพื่อแสดงความภักดีต่อพระองค์
พิธีการต่าง ๆ  หลังจากที่ทรงครองราชบัลลังก์มีมากมาย แต่ฮ่องเต้จางฉวนไม่มีพระราชดำริที่จะลดทอนออก ในทางตรงข้าม หากมีใครสักคนกล่าวถึงพิธีการใดสักพิธีที่จะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคล ก็จะทรงรับคำแนะนำนั้น มิใช่เพราะเชื่อเรื่องเคล็ดพิธีอะไร แต่เป็นเพราะนี่คือช่วงเวลาของการตอบแทน
ทุกพิธีการ ทุกงานที่จัดขึ้นมาล้วนหมายถึงผลประโยชน์ที่จะมอบให้กับบุคคลที่ประกาศตนว่าเป็นผู้สนับสนุนของพระองค์ และแน่นอนว่าหากจะมีขุนนางรายใดที่ไม่ได้มาร่วมงานโดยไม่มีเหตุผลอันควรก็จะต้องถูกจับตามองเป็นพิเศษ และจะมีผลต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไป
หากมิใช่เพราะผลประโยชน์ที่แจกจ่ายออกไป องค์ชายห้าแห่งไท่ชางคงไม่อาจได้รับเสียงสนับสนุนที่มากพอที่จะลงมือทำการมากมายจนก้าวมาถึงตำแหน่งที่ประทับอยู่ในปัจจุบัน

ในช่วงเวลาห้าวันของการถือศีลในอารามหลวง ตามที่พระปิตุลาแนะนำมานี้ แม้จะดูว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่หลังจากที่ต้องทำอะไรมากมายเพื่อที่จะก้าวมาถึงตรงจุดนี้ การที่มาถือศีลที่อารามหลวงเพียงห้าวันก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี
พระปิตุลาทรงรู้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมา ฮ่องเต้จางฉวนทรงลงมือกระทำใดลงไปบ้างเพื่อให้มีวันนี้ ดังนั้นจึงทรงคาดว่าหวังว่า อย่างน้อยที่สุด การที่ได้อยู่ในพระอารามหลวงได้ฟังพระธรรมเทศนาอยู่ทุกวันน่าจะพอให้ทรงตระหนักถึงการทำบาปเหล่านั้น หรืออย่างน้อยก็น่าจะอยู่ห่างจากบรรดาที่ปรึกษาสักระยะหนึ่ง
มิคาด นี่คือเวลาที่พระองค์จะหารือกับคณะที่ปรึกษาเรื่องการตกรางวัลทดแทนบุญคุณ และแน่นอนว่าย่อมมีการกำจัดผู้ที่ต่อต้านอย่างจริงจัง และสะดวกกว่าการหารือกันในวังหลวงเสียอีก

พระญาติชราผู้นั้นรู้ว่าพระองค์ทำอะไร ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่กลับคิดฉวยโอกาสนี้แสดงท่าทีข่มขู่ในฐานะพระญาติ เอาความอาวุโสมาบังคับให้พระองค์ต้องทำตาม
แต่ฮ่องเต้จางฉวนผู้นี้จะไม่เปิดโอกาสให้พระญาติชรานั่นได้คุยโตโอ้อวดเกินสองปีแน่
...หากทรงกำหนดเป้าหมายแล้ว ไม่มีผู้ใดที่มีลมหายใจเกินกว่านั้นเลยสักคน..

"เจ้าคือจางฉวนหรือ" น้ำเสียงกว้างใหญ่ลึกล้ำดั่งห้วงอากาศดังขึ้นทางด้านหลัง
ฮ่องเต้หนุ่มหันไปทอดพระเนตร
คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่อย่างยิ่ง แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีเหลือง ดำ และขาว โดดเด่นด้วยดวงตาสีเข้มที่มีประกายของสีเหลืองทอง ที่ทำให้ต้องทอดพระเนตรซ้ำ จากนั้นจึงทรงตระหนักได้ว่า พระองค์ไม่ทราบว่าเขาเข้ามาได้อย่างไร หากนี่เป็นนักฆ่าก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง

"แต่เราไม่รู้จักเจ้า"
"แต่ข้ารู้จักจางหยวนบิดาของเจ้า"

เพราะดวงตาคู่นั้นทำให้ฮ่องเต้หนุ่มก้าวพระบาทเข้าไปหา
"แต่เราก็ยังไม่รู้จักเจ้าอยู่ดี ดังนั้นในสายตาของฮ่องเต้พระองค์ก่อน เจ้าอาจไม่ได้เป็นคนสำคัญ ถึงขนาดที่พระองค์จะใส่พระทัยนำมาเล่าให้องค์รัชทายาทรับฟัง"
คนผู้นั้นกระตุกริมฝีปากเหยียดยิ้ม ซึ่งนั่นทำให้คนผู้นี้ที่จัดอยู่ในขั้นที่หน้าตาดีมาก กลายเป็นผู้ที่หน้าตาดีมากและร้ายกาจมากในเวลาเดียวกัน
"ตกลงจะแนะนำตัวไหม"
"เรียกข้าว่าเสือโคร่งภูผา"
"น่าเกรงขามดี เจ้าต้องการอะไร"
เทพเสือโคร่งภูผาส่ายหน้า "คนที่ติดค้างข้าคือบิดาของเจ้า" คนรูปร่างสูงใหญ่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ขณะที่ฮ่องเต้หนุ่มก้าวเข้ามาอยู่ห่างจากอีกคนประมาณสองก้าวแล้วเปลี่ยนเป็นก้าวพระบาทเดินรอบ ๆ เพื่อสำรวจ
"สรุปคือไม่ได้มาหาเราสินะ"
"ใช่"
"อ้อ..." ฮ่องเต้หนุ่มที่มีความสูงอยู่เพียงระดับไหล่ของอีกฝ่ายหยุดยืนข้างหน้า "งานพระราชพิธีศพของฮ่องเต้พระองค์ก่อนจัดอย่างยิ่งใหญ่ งานราชพิธีครองราชย์ของข้าก็ยังเฉลิมฉลองกันมานานนับเดือนก็ยังไม่เสร็จ จนถึงตอนนี้คนทั้งอาณาจักรไท่ชางไม่น่าจะใครที่ไม่รู้เรื่องนี้ แล้วเจ้าไปอยู่ที่ใดมา"
"ป่าสีทอง" เทพเสือโคร่งภูผากล่าวแล้วถอนหายใจ การบำเพ็ญภาวนา และการฝึกฝนครานี้ใช้เวลายาวนาน เมื่อออกมายังต้องไปตามง้อนางเทพเสือโคร่งบงกชผู้ที่ครองคู่กัน แล้วยังต้องไปเยี่ยมนางเทพกวางสายลมที่เพิ่งให้กำเนิดบุตรชาย ซึ่งเป็นถึงกวางทอง สหายเก่าก็หายไปไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เรียกว่าวุ่นวายกันอยู่นาน กว่าที่จะนึกขึ้นได้ว่ายังต้องคิดบัญชีกับฮ่องเต้จางหยวนในเรื่องค้างเก่า ซึ่งก็ล่าช้าไปมากจนอีกฝ่ายก็กลายเป็นอดีตฮ่องเต้ไปเสียแล้ว

"ป่าสีทอง เมืองลั่วน่ะหรือ"
"ใช่"
"ที่นั่นไม่มีคนอาศัยอยู่ไม่ใช่หรือ"
"ไม่มี"
ฮ่องเต้จางฉวนยอมรับว่า กำลังทรงชวนคนผู้นี้สนทนา ด้วยความสนพระทัยอย่างยิ่ง
เพราะที่นี่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด หอนี้มีความสูงแปดชั้น และพระองค์ประทับอยู่ที่ชั้นที่แปด
ตั้งแต่ลานด้านล่างจนถึงที่หน้าห้องที่ประทับมีทหารองครักษ์ และมหาดเล็กดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่นับร้อยคน แต่คนผู้นี้สามารถลอบเข้ามาได้โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้
นี่หากเขาลงมือต่อพระองค์ จะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดกว่าที่บรรดาทหารที่อยู่ด้านหน้าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องประทับ
"ในเมื่อเจ้าเคยรับใช้ฮ่องเต้พระองค์ก่อน ท่านสนใจจะทำงานกับเราไหม"
เทพเสือโคร่งภูผาถึงกับต้องแคะหูเพื่อขอฟังรับสั่งเมื่อครู่ใหม่อีกครั้ง
"ข้าไม่ได้รับใช้พ่อของเจ้า อีกอย่าง" ดวงตาร้ายกาจคู่นั่นหรี่ลง "บิดาของเจ้าก็ลงทุนอะไรไปมากมายเพื่อให้ได้นั่งเก้าตัวเดียวกับที่เจ้านั่งอยู่ แต่มือของเขาไม่ได้เปื้อนเลือดอย่างเจ้า ข้าเคยเตือนเขาแล้วว่า สักวันลูกชายของเขาคนใดคนหนึ่งจะเดินตามรอย แต่เขากลับไม่กลัว ที่ผิดพลาดก็คือ การที่วางองค์ชายใหญ่ไว้ที่นั้นเพื่อล่อให้บรรดาน้องชายฝึกฝีมือในการทำร้ายเขา ข้าเคยประณามเขาว่าเขาช่างเหี้ยมโหด แต่....เจ้าโหดร้ายกว่า" คนตัวใหญ่กล่าวช้า ๆ "ไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวข้า เพราะข้าไม่สนใจทำงานให้เจ้า และไม่สนใจเจ้าเช่นกัน"

กล่าวคำจบร่างสูงใหญ่นั้นก็กระโดดออกไปทางหน้าต่าง เมื่อฮ่องเต้หนุ่มเร่งพระบาทเพื่อตามไปทอดพระเนตรก็พบว่า เขาหายไปแล้ว
คนที่อยู่ด้านล่างไม่มีผู้ใดที่ส่งเสียงโวยวายเมื่อคนผู้หนึ่งกระโดดลงไป
แต่...นี่มันชั้นแปด พระองค์ทบทวนความจริงเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
จริงอย่างที่เสือโคร่งภูผาผู้นั้นบอก พระองค์ทรงสนพระทัยคนผู้นี้แล้วจริง ๆ

หลังจากนั้นทรงมีรับสั่งให้เรียกเสนาบดีกลาโหม เสนาบดีกรมวัง และหัวหน้ากองทหารมหาดเล็ก มาเข้าเฝ้าฯ เพื่อหารือเรื่องการคัดสรรยอดฝีมือรุ่นใหม่เข้าทำงานในโรงเรียนองครักษ์เพิ่มเติม และการปรับปรุงการทำงานของกององครักษ์และมหาดเล็ก นี่คือเรื่องเร่งด่วนที่พระองค์ยอมรับว่าทรงกังวลเป็นอย่างยิ่ง
และที่สำคัญ พระองค์ต้องการรู้ว่า เสือโคร่งภูผาแห่งป่าสีทองผู้นั้นคือใคร
ในวันถัดมาฮ่องเต้เรียกผู้เฒ่าหยางจงจินแห่งเมืองลั่วมาเข้าพบ 'เพื่อเล่นหมากรุก' เป็นเพื่อนกันสักกระดาน
ผู้เฒ่าหยางจงจินอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้มานานนับสิบปีย่อมพอจะ 'รู้จัก' ฮ่องเต้พระองค์ใหม่อยู่บ้าง ดังนั้น เมื่อทรงรับสั่งให้มาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อน ผู้อาวุโสจึงเตรียมความพร้อมสำหรับการเล่นหมากรุก และสนทนาเกี่ยวกับหมากรุก ผ่านไปถึงกระดานที่สาม จึงทรงมีรับสั่งถามผู้อาวุโสเมืองลั่วเกี่ยวกับป่าสีทอง
"ที่นั่นมีคนพักอยู่ด้วยหรือ"
"ไม่มีพระเจ้าข้า"
"ข้าก็เคยได้ยินมาว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อวานเราพบคน ๆ หนึ่งซึ่งบอกว่ามาจากป่าสีทอง"
"โดยทั่วไปชาวเมืองลั่ว ไม่แนะนำตัวว่ามาจากป่าสีทอง เพราะที่นั่นเป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับเขตป่าก็จะไม่บอกกล่าวเช่นนั้นพระเจ้าข้า"
พระเนตรสีเข้มมองถ้วยพระสุธารสในพระหัตถ์ "เขาบอกว่า เขาคือเสือโคร่งภูผา"
"นั่นเป็น...."
ครานี้ทรงหันมาทอดพระเนตรคู่สนทนาตรง ๆ "คราวนี้เจ้ารู้จักแล้ว"
ผู้เฒ่าหยางจงจินคุกเข่าลง "ขอทรงพระกรุณา เมื่อหลายปีก่อนองค์ฮ่องเต้ผู้ล่วงลับทรงมีรับสั่งเรียกข้าพระองค์มาเข้าเฝ้าฯ เพื่อถามถึงเสือโคร่งภูผาผู้นี้เช่นกัน แต่ข้าพระองค์ด้อยความสามารถ มิอาจบอกเล่าเรื่องราวได้ตามที่ทรงมีพระประสงค์ เนื่องด้วยเรื่องของเสือโคร่งภูผานี้ เป็นหนึ่งในเรื่องของเหล่าเทพซึ่งปกปักรักษาป่าสีทองและเมืองลั่ว ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่เล่าขานกันต่อ ๆ กันมาหาได้เคยมีผู้ใดที่ได้พบด้วยตาตนเอง"
"เทพหรือ" ทรงลูบพระทาฒิกะ "พวกเขากราบไหว้รูปปั้นเทพเหล่านั้นหรือ"
"หามิได้พระเจ้าข้า ชาวเมืองลั่วมิได้ทำรูปปั้นขึ้นมากราบไหว้บูชาพระเจ้าข้า มีเพียงภาพวาดประกอบนิทานที่เล่าต่อๆ กันมา"

คนเมืองลั่วช่างแปลก และแตกต่างอย่างไม่สิ้นสุด

"เล่าว่าอย่างไร"
"ส่วนใหญ่ก็คือให้พวกเราขยันทำมาหากิน ไม่ไปรบกวนเหล่าสัตว์ในป่า"

ฟังดูก็ไม่ได้แตกต่างจากนิทานทั่วไป

"แต่ข้าเชื่อว่า เมื่อเสด็จพ่อทรงมีรับสั่งถาม ท่านย่อมกลับไปค้นคว้าหาคำตอบมาถวาย ข้าต้องการรู้เรื่องราวที่ท่านนำถวายพระองค์ในครั้งนั้น รวมถึงเรื่องที่ท่านไม่ได้นำถวายด้วย"
ผู้เฒ่าหยางจงจินถามฮ่องเต้ด้วยความสุภาพเช่นเดิม "ผู้ที่แนะนำตัวกับฝ่าบาทว่า เขาคือเสือโคร่งภูผา มีลักษณะอย่างไรหรือพระเจ้าข้า"
ฮ่องเต้จางฉวนมีรอยยิ้มเจือจางในใบหน้า เมื่อคิดถึงคนผู้นั้น "ตัวใหญ่มาก สวมเสื้อผ้าสีเหลือง ดำ ขาว น้ำเสียงกว้าง ใหญ่ และลึกล้ำชวนให้คิดถึงความมั่นคงและเวิ้งว้างในเวลาเดียวกัน ข้าไม่เคยเจอใครที่เป็นแบบนี้"
หยางจงจินกล่าวถวายรายงานไปตามลำดับต่อ "คนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนถามถึงก็มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้พระเจ้าข้า ซึ่งจากการที่ข้าพระองค์กลับไปค้นคว้าก็พบบันทึกเกี่ยวกับเทพแห่งป่าสีทองอยู่ไม่น้อย แต่ทั้งหมดถูกระบุว่าเป็นนิทาน ในส่วนของเรื่องที่เล่าเกี่ยวกับเสือโคร่งภูผานั้น ระบุว่าเขาเป็นเทพเสือโคร่งซึ่งครองคู่กับนางเทพเสือโคร่งบงกช แต่บ้างก็ว่านางมิใช่เสือโคร่งแต่คือเสือขาวที่ถือศีลเคร่งครัดยิ่ง ขณะที่เทพเสือโคร่งภูผารักการเดินทางไปทั่ว มีความเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร ในนิทานย่อมมีที่เล่าถึงอภินิหารของเทพเสือโคร่งผู้นี้ ว่าเพียงส่งเสียงคำราม กองทัพนับหมื่นก็แตกพ่าย แต่เมื่อจะสืบหาต่อไปว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็ไม่อาจหาเรื่องราวที่จะมายืนยันว่าเป็นเรื่องจริง"

ผู้เฒ่าเมืองลั่วย้ำหลายครา ว่านี่เป็นนิทานที่ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง และเมื่อได้ฟังเรื่องการโอ้อวดฤทธิ์ที่ว่า มา หากเป็นความจริงก็ย่อมมีบันทึกเรื่องนี้อยู่ในหอสมุดของวังหลวง และคนทั้งอาณาจักรโดยเฉพาะพวกจอมยุทธ์ทั้งหลายคงพากันไปกราบไหว้เทพเสือโคร่งผู้นี้แล้ว

หรือนี่เป็นคนโอ้อวดคนหนึ่งที่กล้ากล่าวถ้อยคำเท็จกับพระองค์
"เจ้าคิดว่า คนที่ข้าพบคือเทพเสือโคร่งภูผาจริงหรือไม่"
หยางจงจินกล่าวความเห็นเหมือนกับเมื่อครั้งที่แสดงความเห็นถวายฮ่องเต้พระองค์ก่อน
"พระองค์ ตลอดจนฮ่องเต้ผู้ล่วงลับเห็นคนผู้หนึ่งที่มีรูปร่างและแต่งกายเหมือนกัน บอกว่าเป็นเสือโคร่งภูผาจากป่าสีทอง แต่ในนิทานทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเทพแห่งป่าสีทอง ไม่มีเรื่องราวใดที่บอกว่าพวกเขาสามารถแปลงร่างเป็นคนได้พระเจ้าข้า"

นี่เป็นเรื่องที่น่าผิดหวังมิน้อย...

จนกระทั่งในปีถัดมาขณะที่กองงานข้าราชบริพาร เปิดสอบข้าราชการทั้งหน่วยงานพลเรือนและกองทัพ หรือฝ่ายบุ๋นและบู๊ ซึ่งเป็นการจัดสอบทุกห้าปี
การสอบที่ดำเนินไปนานถึงหนึ่งเดือน จึงทราบผลการสอบ และมีการติดประกาศที่ลานกีฬากลางเมือง จากนั้น
ผู้ที่สอบได้ในหน่วยงานพลเรือน จะไปรายงานตัวที่กองเมืองซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของพระราชวัง ส่วนผู้ที่สอบได้หน่วยงานทางทหารต้องไปรายงานตัวที่ค่ายทหารซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออก แต่ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวนเพียงห้าคนที่จะมารายงานตัวโดยตรงกับเสนาบดีฝ่ายขวาติงกั๋วหลง ด้วยกลุ่มห้าคนนี้เป็นผู้ที่มีคะแนนในระดับยอดเยี่ยมทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊
ฮ่องเต้จางฉวนเองก็มีความสนพระทัยความสามารถของกลุ่มห้าคนนี้เป็นอย่างมาก หลังจากที่ทรงงานในช่วงบ่ายเสร็จสิ้น จึงเสด็จพระราชดำเนินไปที่ตึกทำงานของเสนาบดีติงกั๋วหลง ที่ตั้งอยู่ส่วนหน้าของพระราชวัง

ก่อนที่จะพบกับกลุ่มคนทั้งห้า พระองค์กลับได้พบกับชายผู้นั้นเสียก่อน
ผู้ที่เรียกตนเองว่าเสือโคร่งภูผา
รูปร่างสูงใหญ่สะดุดตามาแต่ไกล แม้ว่าจะหลบไปยืนอยู่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ แต่กำลังมองไปที่กลุ่มคนห้าคนที่ยืนรออยู่ที่ด้านหน้าของตึกทำงานไม่ผิดแน่
ฮ่องเต้หนุ่มมือส่งสัญญาณไม่ให้ผู้ติดตามเดินตามมา ขณะที่ทรงก้าวพระบาทอ้อมไปทางด้านหลังของชายผู้นั้น
"กำลังมองใครอยู่"
คนรูปร่างสูงใหญ่ หาได้มีท่าทีตกใจ หรือหาได้หันมามอง แสดงว่ารู้ตัวว่าพระองค์ทรงมาหา แต่ก็ถือดีมากพอที่จะไม่สนใจ ยังคงจ้องมองคนที่ตนเองสนใจอยู่เช่นนั้น
"ไม่ใช่เจ้า"
และยังคงมีความแน่วแน่ที่จะไม่สนใจพระองค์เหมือนเดิมอีกด้วย!
"เทพเสือโคร่งภูผา และเทพจากป่าสีทองทุกตน ล้วนแปลงร่างเป็นมนุษย์ไม่ได้"
คนผู้นั้นกระแทกเสียงในลำคอ แต่ก็ยังคงไม่ได้หันมามอง
"ชาวเมืองลั่วให้ความเคารพต่อชีวิตและป่าสีทอง พวกเขารู้ว่าควรอะไรมิควร ไม่ทำตัววุ่นวายรุกราน พวกเราถึงได้อยู่อย่างสงบมายาวนาน"
"เช่นนั้นหรือ" ทรงก้าวพระบาทไปยืนซ้อนด้านหลังของอีกฝ่ายแล้วมองตามสายตาของอีกคนไป

เด็กหนุ่มผู้นั้นอายุมีอายุเพียงสิบห้าหรือสิบหกปี รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้างดงาม ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเฉลียวฉลาด

"พอใจคนที่สวมชุดสีฟ้านั่นหรือ เขาเป็นอะไรกับท่าน"
คราวนี้เทพเสือโคร่งภูผาหันมามองพระองค์อย่างเต็มตาแล้ว
"อย่าแตะต้องอวี้เอ๋อร์"
"ทำไมเราจะทำไม่ได้ เขาจะทำงานสบายอยู่ที่นี่ หรือต้องไปตกอยู่ที่เรือนจำ มันขึ้นอยู่กับเรา"
เทพเสือโคร่งภูผาโกรธแล้ว
รังสีอำมหิตที่เปล่งประกายออกมากดดันฮ่องเต้หนุ่มตรง ๆ
แต่ฮ่องเต้จางฉวนผู้นี้เป็นใคร นี่คือบุตรมังกรผู้ที่หากกำหนดเป้าหมายแล้ว จะไม่มีวันเปลี่ยนพระทัย
"หากคิดจะปกป้องเขา เจ้าต้องรับใช้ข้า"
รังสีอำมหิตนั้นถดถอยลง เทพเสือโคร่งภูผาเพียงหรี่ตามองอีกฝ่าย "ข้ารู้ว่าเจ้าโหดเหี้ยมยิ่งนัก การอยู่ใกล้เจ้าทำให้รังสีเทพของข้าแปดเปื้อน ข้ารู้วิธีมากมายที่จะปกป้องเขาโดยที่ไม่ต้องรับใช้เจ้า"
"นี่!" ฮ่องเต้จางฉวนถึงกับอึกอัก นึกถ้อยคำมิออก
"อีกอย่าง ข้ายังได้แต่มองเขาอยู่ไกล ๆ เพราะกังวลว่าข้าจะไปทำให้เขาต้องแปดเปื้อน"
"ท่านก็มีวันนี้" ฮ่องเต้หนุ่มคลี่พระโอษฐ์บาง
ในช่วงหนึ่งของชีวิต ทุกคนย่อมพบเจอกับสถานการณ์นี้
"จะให้เราช่วยไหม"
จากให้มารับใช้ เปลี่ยนเป็นเสนอความช่วยเหลือ นี่ถือว่าเป็นการค้าที่ขาดทุนแล้ว
"ไม่ต้อง ข้าไม่อยากติดหนี้บุญคุณเจ้า" คนตัวใหญ่หันไปชะเง้อมองตาม ทั้งห้าคนที่เดินแถวเข้าไปในตึกของเสนาบดี "เขายังเด็กอยู่ ให้งานที่เหมาะสมกับความสามารถของเขา"
"ถ้าเขาเป็นคนที่ไม่มีความสามารถเล่า"
คนตัวใหญ่เสียงดังทันที "ไม่มีความสามารถอะไร เขาเป็นหนึ่งในห้าของผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมที่สุดในรอบห้าปีนี้เชียวนะ เจ้าตอนที่อายุเท่านี้ฉลาดยอดเยี่ยมอย่างเขาหรือเปล่าเถอะ"

ดูท่าว่าแม้จะเป็นเพียงการแอบมองอีกฝ่าย แต่เทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้ ก็หลงรักอีกฝ่ายจนหัวปักหัวปำแล้ว

ทรงขยับพระพาหุ "เทพเสือโคร่งภูผา ท่านไม่รับใช้เรา แต่กลับคอยแอบมองเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง"
อีกคนหาได้ทุกข์ร้อน จนกระทั่งพระองค์จะทรงก้าวพระบาทผ่านไป จึงได้เรียกไว้
"อวี้เอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในเส้นทางอำนาจของเจ้า ดังนั้นก็อย่าไปยุ่งกับเขา"
"กลัวหรือ"
"ข้าย่อมไม่กลัว....ไม่กลัวที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสร้างมา หากเจ้าแตะต้องอวี้เอ๋อร์"

ทรงหันกลับมามองคนตัวสูงใหญ่ที่ก้าวออกมาพ้นจาก เงาของต้นไม้ใหญ่
คนผู้นี้ตัวสูงใหญ่ยิ่ง ใบหน้าหล่อเหลา มีพละกำลังและอำนาจที่คุกคามผู้อื่น ส่วนหนุ่มน้อยที่ถูกเรียกว่าอวี้เอ๋อร์ก็เป็นผู้ที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง
เพียงแต่...
ฮ่องเต้จางฉวน ไม่ใช่ผู้ที่ใครจะมาออกคำสั่งได้!
ทรงเรียกทหารมหาดเล็กเข้ามาหา แล้วรับสั่งให้ไปสืบประวัติของทั้งห้าคน
การจะใช้คนทำงานย่อมต้องรู้ก่อนว่าเขามีความสามารถอะไรบ้าง ใช่หรือไม่!


...จบบทที่สิบห้า...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 28-05-2017 08:33:46
เทพเสือโคร่งภูผาจอมเจ​้าชู้​...  อยากรู้​เสียจริงว่าไปพบเจออวี้เอ๋อร์ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไหร่
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-05-2017 08:58:02
เอ๊า! ท่านภูผา ไปแหวกหญ้าให้งูตื่นซะอย่างนั้น
ลูกเจี๊ยบตัวน้อยเลยซวยไป

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-05-2017 09:44:14
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: Ginny Jinny ที่ 28-05-2017 09:58:27
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 28-05-2017 12:14:58
พ่อเสือมาเเล้ว.. :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 29-05-2017 13:22:38

อำมหิตมากกกก การนั่งบัลลังค์ที่มีแต่เลือดเนื้อของพี่น้อง 
พ่อเสือคะ แลดูแล้วฮ่องเต้อยากลองของพ่อเสือช่วยจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบเลยนะคะ  :3125:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 29-05-2017 16:22:57
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

สะใจกับประโยคนี้มาก  "ไม่มีความสามารถอะไร เขาเป็นหนึ่งในห้าของผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยมที่สุดในรอบห้าปีนี้เชียวนะ เจ้าตอนที่อายุเท่านี้ฉลาดยอดเยี่ยมอย่างเขาหรือเปล่าเถอะ"

แต่พ่อเสือค่ะ น้องอวี้เอ๋อร์เพิ่งสิบห้านะ   รอติดตามตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-05-2017 21:37:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: Nocto ที่ 01-06-2017 21:49:31
อ่านตอนนี้แล้วมีความรู้สึกว่าเทพเสือโคร่งภูผาเหมือนจะรักรองแม่ทัพจากใจจริง เพราะเท่าที่รู้อย่างเทพกวางสายลม เหมือนจะปฏิเสธไม่ได้ ส่วนเทพบงกชไม่รู้อาจจะเพราะหน้าที่ รู้สึกค้างมากมาย  :katai1: รอจบแล้วค่อยมาอ่านได้ไหมคะเนี่ย :hao5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 02-06-2017 15:11:02


 :music:  เข้ามานั่งรอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 03-06-2017 09:18:54
ต้องหาคนมาปราบความร้ายของฮ่องเต้ 5555555 ส่วนตาเทพเสือโคร่งนี่จองท่านรองแม่ทัพตั้งแต่เด็กๆเลยเน้อ มาช้ายังดีกว่าไม่มานะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 05-06-2017 14:15:15
พ่อเสือ ทำอะไรอยู่ มาเล่าต่อเหอะ  เราคิดถึง
น้องอวี้เอ๋อร์ โดนฮ่องเต้บ้าบอแกล้งแล้วมั่ง...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 05-06-2017 21:37:04
หลังจากหายไปเกือบ 2 เดือน ที่ไม่ได้เข้ามาอ่านนิยายเลย
เข้ามารายงานตัวก่อน อิอิ
ขอเวลาไล่เก็บย้อนหลังก่อนน๊าาา 
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-06-2017 21:02:12
 :katai5: :katai5: :katai5:

มารอพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 06-06-2017 21:28:06
มาลงชื่อรอด้วยคน :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-06-2017 09:41:12


 :z12:   :z12:  เรารออยู่น้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 07-06-2017 11:09:06
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 07-06-2017 11:45:22
รออ่านตอนใหม่อยู่นะคะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-06-2017 09:14:57

 :ling1: มาไม๊น๊อออออออ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 08-06-2017 12:49:14
 :pig4: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 08-06-2017 12:58:33
พ่อเสือ พ่อเสื่อ พ่อเสื้อ....
ว่าง  มารอพ่อเสือ
มาเหอะ  เราคิดถึง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 09-06-2017 07:27:54
วันนี้มามั้ยยย   :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่15P17(28052560)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 09-06-2017 07:43:34
เก๊ามารอพี่เทพเสือโคร่งภูผากับอวี้เอ๋อร์ที่ท่าน้ำทุกวันเลยยย

โอมมม...จงมาาาาา  5555
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-06-2017 08:06:55
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่สิบหก


ครอบครัวของเฉินอวี้เป็นครอบครัวใหญ่ ด้วยเฉินอู่ผู้เป็นบิดามีภรรยาสอง อนุสอง ตัวของเขาเป็นบุตรคนที่สองของภรรยารอง
หากจะนับพี่น้องชายหญิงจากมารดาทั้งสี่คนรวมกัน เฉินอวี้มีพี่ชายพี่สาวรวมเก้าคน คือเป็นชายสี่คน และหญิงอีกห้า คนและเขาคือลำดับที่สิบ ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นคนที่บิดามักออกปากชื่นชมบ่อยที่สุดว่ามีความฉลาดผิดกับพี่น้องทุกคน แต่เขาก็ยังต้องเป็นน้องเล็กและต้องรออยู่หลังจากพี่ชายและพี่สาวทุกเรื่อง
ดังนั้นนิสัยอย่างหนึ่งที่ติดตัวเขามาตลอดโดยมิได้ตั้งใจก็คือ เมื่อเกิดปัญหาใด ๆ ภายในบ้าน เขาจะวางตัวเป็นคนกลางที่เกือบจะกลายเป็นคนนอก ไม่เข้าข้างผู้ใด ไม่สนับสนุนใคร เป็นนิสัยด้อยที่ทำให้บิดารู้สึกกังวลว่าวันหนึ่งเขาอาจกลายเป็นคนที่ไม่มีพี่น้อง

เฉินอู่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวรับรู้การแข่งขันและความขัดแย้งภายในบ้านเป็นอย่างดี แต่เขาก็อ้างกับตนเองว่า มีเหตุผลที่ดีที่จะปฏิบัติต่อบุตรชายคนเล็กเช่นนี้ เพราะนี่เป็นยุคนี้มีการจัดลำดับในสังคมอย่างซับซ้อน คือตั้งแต่ในครอบครัว ไปจนถึงการพบปะบุคคลทั่วไปและการทำงาน
ดังนั้น ต่อให้รักเฉินอวี้บุตรชายคนเล็กมากเพียงใด แต่ก็ยังคงมีความเข้มงวด ไม่ยินยอมให้บุตรผู้นี้วางตนเสมอพี่ ๆ และไม่ได้คัดค้านเรื่องที่ภริยารอง ซึ่งก็คือมารดาของเฉินอวี้จะพาบุตรทั้งสองคนของนาง คือเฉินกั๋วสงกับเฉินอวี้ ไปเข้าเรียนที่สำนักศึกษาเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างจากบ้านพักไปช่วงหลายถนน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องขัดใจกับภรรยาเอกที่ส่งบุตรชายของนางไปเรียนในสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียง

แต่เพราะเฉินอวี้เป็นผู้ใฝ่รู้ และไม่ค่อยชอบใจนักเวลาที่ผู้คนวิจารณ์ว่าหน้าตางดงามเหมือนสตรี นอกจากการร่ำเรียนทางวิชาการแล้ว ยังไปฝึกหมัดมวยจากครูมวยต่อไปอีก
วันหนึ่งอาจารย์ที่สถานศึกษาก็มาพบกับเฉินอู่เพื่อแนะนำว่า หากมิต้องการให้เฉินอวี้ช่วยเหลือกิจการทางบ้าน ก็สมควรพาบุตรไปฝากตัวกับข้าราชการ หรืออาจารย์ในวังหลวงเพื่อเตรียมตัวเข้ารับราชการต่อไป แต่ความคิดของเฉินอู่ที่ยังยึดติดอยู่กับลำดับชั้นในครอบครัว จึงไม่ต้องการให้บุตรคนเล็กเติบโตอย่างรวดเร็วจนอาจล้ำหน้าพี่ชายทั้งสี่คนจึงให้เฉินอวี้ย้ายสำนักการศึกษาไปยังสำนักที่ได้รับการยกย่องว่ามีบัณฑิตที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งเท่าที่ดูเฉินอวี้มิได้มีความเห็นคัดค้านอะไร ยังคงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเป็นอย่างดี ผู้เป็นบิดาจึงสรุปเอาเองว่าบุตรชายว่านอนสอนง่าย

เฉินอู่ถ่วงรั้งการศึกษาของเฉินอวี้ไว้จนกระทั่งเฉินอีจิ้งบุตรชายคนรองรับราชการไปได้สองปี จึงพาไปที่บ้านของหยางจงจินผู้เฒ่าแห่งเมืองลั่วเพื่อแนะนำตัว
แต่บิดามิได้ฝากให้เขาร่ำเรียนอยู่ที่บ้านของท่านผู้เฒ่าหยางหรืออาจารย์ท่านใด เพียงแต่พาไปแนะนำตัว จากนั้นก็พากลับมาบ้านเพื่อให้ท่องตำราอยู่ตามลำพัง
ตรงข้ามกับเมื่อครั้งที่เฉินอีจิ้งพี่ชายคนรองจะเข้ารับราชการ เฉินอู่ผู้เป็นบิดาสนับสนุนอย่างเต็มที่ โดยพาไปขอคำแนะนำจากข้าราชการหลายคน จากนั้นก็พามาฝากตัวรับใช้และศึกษากับผู้เฒ่าหยาง เมื่อสอบเข้ารับราชการได้ก็ซื้อบ้านเล็ก ๆ ให้หลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับสำนักงานที่เขาได้รับการบรรจุให้ทำงาน ทั้งว่าจ้างแม่สื่อเพื่อเลือกหาสตรีให้กับบุตรชาย
เฉินอวี้มักบอกกับตนเองว่ามิได้คาดหวังว่าบิดาจะสนับสนุนเขาเท่าเทียมกับพี่รอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาก็ยังไกลจากความคาดหวังในระดับที่น้อยที่สุดอยู่ดี
ดังนั้นหลังจากที่เข้ารับราชการได้แล้ว เขาจึงยิ่งกดดันตนเองมากขึ้น เพื่อที่จะแสดงให้บิดาเห็นว่า ต่อให้ถูกบิดาวางไว้ในลำดับสุดท้าย แต่เขาก็ยังสามารถอยู่เหนือกว่าพี่ ๆ ได้ด้วยตนเอง
นอกจากนี้ การผลักดันแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ จากบิดา ยังทำให้เฉินอวี้เหินห่างจากครอบครัว และหันไปยึดติดกับคนผู้หนึ่งอย่างเหนียวแน่น

ถัดจากปัญหาในครอบครัวของเฉินอวี้ เรื่องที่สมควรกล่าวถึงในลำดับต่อไปคือ ผู้เฒ่าหยางจงจิน ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้รอบรู้หลากหลายสาขา  และอยู่ในกลุ่มของผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด หากเกิดความขัดแย้งใด ๆ แล้วคิดไปขอรับการสนับสนุนจากผู้เฒ่า สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงรอยยิ้มและกำลังใจในการทำงานต่อไปเท่านั้น
ตำแหน่งผู้แทนของเมืองลั่ว มิใช่ตำแหน่งที่ใหญ่โต แต่ความที่ไม่มีศัตรูก็ทำให้เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยต่อเนื่องตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนมาจนถึงฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
และการที่เฉินอวี้ติดตามบิดาไปที่บ้านของท่านผู้เฒ่าหยางในวันหนึ่งก็ทำให้ได้พบกับคนผู้นั้น

บ้านของท่านผู้เฒ่าหยางปลูกสร้างในแบบของบ้านเรือนของเมืองลั่ว คือจะเป็นบ้านพักหลายหลังที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดิน ขณะที่พ่อลูกกำลังรออยู่ที่เรือนหลังใหญ่ด้านหน้า เฉินอวี้ก็รับรู้ว่ามีเงาร่างเคลื่อนไหวอยู่ที่ด้านบนของขื่อหลังคา เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปจึงพบชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในช่องว่างใต้หลังคานั้น
ช่างเป็นเรื่องน่าขัน ที่คนรูปร่างเช่นนั้นขึ้นไปอยู่บนที่สูงทั้งคับแคบ แต่พอหันไปสะกิดเรียกบิดาให้ดู คนผู้นั้นก็หายไปแล้ว

...เฉินอวี้ไม่เคยรู้ตัวเลยว่า ตกเป็นเหยื่อของเสือโคร่งตั้งแต่วันนั้น ถูกจับตัวเอาไว้แล้วปล่อยไปหลายครั้ง ถูกหลอกลวงอีกหลายครา สูญเสียไปทั้งเลือดและน้ำตา แต่ท้ายก็ยังคงยึดมั่นอยู่ที่คนผู้นี้อย่างมั่นคง
แต่หากรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง จะไม่สนใจคนผู้นั้นได้หรือ
ไม่หรอก...ต่อให้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฉินอวี้ก็ยังคงเต็มใจที่จะตกเป็นเหยื่อของเสือโคร่งผู้นั้นอยู่เช่นเดิม...

นับจากวันที่ได้พบกันครั้งแรก เฉินอวี้เก็บความสงสัยว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่อยู่หลายวัน ในที่สุดก็พบคนผู้นี้เดินปะปนอยู่กับผู้อื่นในตลาดใกล้บ้าน เมื่อตอนที่เห็นอยู่บนขื่อบ้านของท่านผู้เฒ่าหยางก็เห็นว่าคนผู้นี้ตัวใหญ่ยิ่งนัก แต่เมื่อมาเดินอยู่ท่ามกลางผู้คน ก็ยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำจนโดดเด่นสะดุดตา เพียงแต่เมื่อไล่ตามมาจนถึงหัวมุมถนน คนผู้นี้กลับลับหายไป
เป็นการหายไปที่เหมือนกับหายไปในความว่างเปล่าของอากาศ...

เมื่อพบกันแล้วครั้งหนึ่งก็ย่อมมีครั้งต่อ ๆ ไป แต่เฉินอวี้มักสรุปเอาเองว่าเป็นเหตุบังเอิญ เนื่องเพราะทุกครั้งที่พบก็คือคนผู้นี้กำลังเดินจากไป หรือไม่ก็กำลังก้มหน้าก้มตาทำการงานบางอย่างอยู่ ไม่เคยมีคำทักทาย หรือแม้แต่หันมาสบตากันเหมือนในวันแรก และอีกหลายหนที่เฉินอวี้คิดว่าเงาร่างสูงใหญ่ที่พบเห็นคือคนผู้นั้น แต่เมื่อหันไปมองซ้ำเงาร่างนั้นก็หายไปแล้ว
มาถึงวันหนึ่งเฉินอวี้ที่เดินออกจากบ้าน ก็พบว่าตนเองกำลังเหลียวมองหาคนผู้นี้ไปตลอดเส้นทางจนกระทั่งถึงสถานที่ประกาศผลการสอบ

ในวันที่ต้องรายงานตัวต่อเสนาบดีฝ่ายขวาติงกั๋วหลง เพื่อจัดสรรไปทำหน้าที่ในกรมกอง เกิดเรื่องที่เหนือความคาดหมายไปมาก เมื่อองค์ฮ่องเต้เสด็จมา
สายพระเนตรที่มองมายังตนเอง ทำให้เฉินอวี้รู้ตัวว่ากำลังถูกอีกฝ่ายเกลียดชังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรับสั่งในวันนั้น
"ในเมื่อพวกเขามีความสามารถยอดเยี่ยม ทั้งพลังสมองและพลังร่างกาย ดังนั้นก็ให้พวกเขาไปฝึกกับทหารใหม่ที่กองทัพฝั่งตะวันตกสักครึ่งปี จากนั้นค่อยมารับการอบรมงานราชการอีกสักครึ่งปี แล้วค่อยมาคัดเลือกว่าพวกเขาเหมาะกับงานใด"
นี่หมายความว่ากลุ่มผู้ที่ทำคะแนนยอดเยี่ยมทั้งห้าคนจะเริ่มงานช้ากว่าผู้อื่นไปครึ่งปี
เฉินอวี้ที่กดดันตนเองให้ต้องอยู่เหนือกว่าพี่ชายทั้งหมดรู้สึกร้อนใจ แต่ก็ต้องข่มใจไม่แสดงออกมาว่ารู้สึกเช่นใด
เมื่อเดินทางกลับมาถึงที่พัก เพื่อแจ้งว่าจะต้องเตรียมตัวออกเดินทางในอีกครึ่งเดือน ทุกคนในครอบครัวต่างพากันเป็นกังวล โดยเฉพาะเมื่อพี่รองเฉินอีจิ้งตั้งข้อสังเกต
"ในพวกเจ้าห้าคนมีใครที่อยู่ในสกุลของผู้สนับสนุนบรรดาอดีตเจ้าชายที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วบ้างหรือไม่"
เฉินอวี้ส่ายหน้า หากในกลุ่มมีคนผู้นั้นอยู่จริงก็นับได้ว่าเป็นคนที่มีขวัญกล้าแข็งอย่างยิ่ง ถึงได้เข้ามาสอบรับราชการในฮ่องเต้พระองค์นี้
"ต้องมีใครคนหนึ่งคนใดในพวกเจ้าห้าคนที่ขัดพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้"
แต่หลังจากที่พากันเป็นกังวลอยู่ครึ่งวัน ทุกคนก็กลับมาให้กำลังใจเขา เพราะที่กังวลกันนั้นหาใช่เรื่องความยากลำบาก แต่เกรงว่าจะถูกกลั่นแกล้ง หรือหากถูกรวมกลุ่มไปอยู่กับผู้ที่ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยคนนั้นแล้วอาจจะอายุสั้นได้
เฉินอู่ผู้เป็นบิดากล่าวสรุปว่า "ไม่ได้สอนให้เอาตัวรอดทิ้งเพื่อนพ้อง แต่หากรู้ว่าเป็นผู้ใด ก็ควรให้กำลังใจกันทำหน้าที่ของตนเองอย่างเข้มแข็ง หากมีผลงานที่ดี เรื่องที่พระองค์ไม่พอพระทัยอยู่ก็อาจจะบรรเทาลงไปได้"

และในคืนนั้นเอง ที่ผู้ซึ่งเป็นเหตุของทุกเรื่องราวก็ปรากฎตัวขึ้นในห้องนอนของเขา

นั่นคือหลังจากที่ปลอบโยนและให้กำลังใจมารดาที่เป็นกังวลอย่างยิ่งที่เขาต้องติดร่างแห เสียเวลาที่จะได้เริ่มต้นการทำงานไปปีหนึ่ง จนกระทั่งมารดาเข้านอนแล้วเฉินอวี้กลับมาที่ห้องพัก ขณะที่กำลังจะเตรียมตัวไปอาบน้ำ เมื่อหันกลับมาคนผู้นี้ก็มายืนอยู่ข้างหลัง โดยที่ไม่ได้ยินทั้งเสียงประตู และเสียงฝีเท้า
"ขอโทษที่ทำให้เจ้าเดือดร้อน"
ต่อให้การปรากฎตัวครั้งนี้จะน่าตกใจ แต่หลังจากที่มองเห็นผ่านไปผ่านมาอยู่หลายวัน เฉินอวี้แน่ใจว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ภูติผีปีศาจ  นิ้วมือสวยชี้ไปที่เก้าอี้ในห้อง "นั่งคุยกันก่อนไหม"
ตลอดวันนี้เฉินอวี้ต้องข่มใจรับแรงกดดันจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากมาย จนมาถึงเรื่องนี้ก็เพียงควบคุมลมหายใจ และรอให้อีกคนกล่าวขึ้นมาก่อน
แต่เทพเสือโคร่งภูผามองว่านั่นคือการแสดงออกของคนใจเย็น

"ไม่โกรธ ไม่ตกใจเลยหรือ" ที่จู่ ๆก็มีคนตัวใหญ่ ๆ โผล่ขึ้นมากลางห้อง
"คุยกันก่อนแล้วค่อยทำแบบนั้นก็ได้"
เทพเสือโคร่งภูผา ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนคร้านที่จะนับแล้วว่ามีอายุเท่าใดกันแน่ คิดเข้าข้างตนเองว่านี่คือคนที่ตนจะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้
"ยิ้มอะไร" เฉินอวี้รินน้ำชาให้ผู้อาวุโสกว่า
"นอกจากเจ้าจะเป็นคนรูปงาม เจ้ายังเป็นคนใจเย็นมาก"
เฉินอวี้เลิกคิ้วสูงด้วยแน่ใจว่าตนเองมิใช่คนใจเย็น และกำลังถูกเข้าผิด "เพราะเป็นคนคนรูปงามและใจเย็น ท่านจึงยิ้มให้หรือ"
"เพราะเป็นเจ้าต่างหาก เจ้าทำให้ข้าอยากยิ้มทั้งวัน"
เฉินอวี้คลี่ยิ้มจาง ๆ รู้สึกถึงความตึงเครียดที่ลดลงทีละน้อย "ข้าคือเฉินอวี้"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้าเร็ว ๆ "เสือโคร่งภูผา"
คนรูปงามเอ่ยชมอย่างจริงใจ "ชื่อเหมาะสมกับตัวเองมาก ท่านมาจากที่ใด พักอยู่ที่ไหน"
"ข้ามาจากป่าสีทองเมืองลั่ว"
ดวงตาที่มองมาบ่งบอกว่าไม่เชื่อ
"ปกติข้าจะพักอยู่ที่อารามหลวง เพราะเป็นที่กว้างขวาง สงบเงียบ จะไปจะมาก็ไม่มีใครรู้" นี่ถึงจะไม่ได้ถาม แต่ก็อยากบอกให้ทราบ "แต่ที่วันนั้นพบกันที่เรือนของหยางจงจินก็เพราะจะไปหาหนังสือเก่า แต่พบเจ้า ก็เลยขอเฝ้ามองเจ้าอยู่ห่าง ๆ ไม่ได้ทำให้ลำบากใจใช่หรือไม่"
ชายหนุ่มสะดุดหูที่เสือโคร่งภูผาเรียกผู้เฒ่าหยางด้วยชื่อเต็ม แต่กลับสนใจเรื่องหนังสือมากกว่า
"ท่านหาหนังสืออะไร"
"เป็นหนังสือเกี่ยวกับเมืองโพ้นทะเล จำได้ว่าครอบครัวเมืองลั่วเคยได้มาเมื่อหลายปีก่อน ก็ว่าจะไปยืมมาอ่านสักหน่อย"
เฉินอวี้ลุกขึ้น แล้วเรียกให้เดินตามมา

บ้านสกุลเฉินพ่อค้าผ้าไหมแห่งเมืองหลวง ไม่ได้มีห้องสมุดใหญ่โต แต่ที่ห้องทำงานของเฉินอู่ มีตู้หนังสือเล็ก ๆ เฉินอวี้เดินตรงไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา แล้วพลิกให้ดูที่หน้าปก
"เล่มนี้หรือ"
ว่าที่จริงเรื่องราวผ่านไปนานมาก เทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้ต้องการหนังสือแล้ว แต่ยังต้องการพูดคุยกับอีกคนให้นานอีกสักหน่อย
"ใช่"
"งั้นกลับไปคุยกันข้างนอก" เฉินอวี้มองผ่านไปทางด้านหลัง เห็นคนรับใช้ผู้หนึ่งกำลังลอบมองมาจากด้านหลังประตู
เมื่อจะมีคนลอบมอง ก็พาออกไปนั่งคุยกันที่สวนด้านนอกเสียเลยดีกว่า

แม้จะเป็นเวลาค่ำแล้ว แต่ในเรือนของพ่อค้ายังมีคนที่ทำงานอยู่ในตึกด้านหน้า เฉินอวี้จึงพาไปยืนคุยกันที่สวนด้านหน้าตึกพักของตนเองและพี่ชายที่ยังไม่ได้ออกเรือน
"ทำไมถึงบอกว่าท่านทำให้ข้าเดือดร้อน"
"เพราะข้าไปขัดใจฮ่องเต้ในเรื่องของเจ้า ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย ส่งพวกเจ้าไปกองทัพฝั่งตะวันตก"
สำหรับเฉินอวี้แล้ว การไปที่กองทัพที่เมืองตะวันตกมิใช่เรื่องใหญ่ แต่หากสิ่งที่คนที่เรียกตนเองว่าชื่อเสือโคร่งภูผากล่าวมาเป็นความจริง เขาก็รู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้เพื่อนอีกสี่คนต้องเดือดร้อนไปกับการฝึกที่ไม่จำเป็นนี้
...และทำให้โอกาสในการก้าวหน้าในงานราชการล่าช้าไปด้วย...

"ขัดใจฮ่องเต้ในเรื่องของข้าด้วยเรื่องอันใด"
เพราะยังไม่อยากแยกจากกันไปโดยง่ายแท้ ๆ เชียวที่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาสารภาพเรื่องที่คอยเฝ้ามองอีกฝ่ายมานานหลายเดือน จนกระทั่งฮ่องเต้มาพบเข้า

เล่ามาถึงตรงนี้เฉินอวี้ก็พอจะเดาออกว่า ฮ่องเต้พอพระทัยคนผู้นี้ ส่วนคนผู้นี้จะคิดอย่างไรกับตนเอง เฉินอวี้ยังไม่กล้ารับไว้ แต่คิดว่า นี่คือผู้ที่สามารถเดินทางไปได้ทุกหนทุกแห่งโดยไม่ถูกพบเห็น ไม่ว่าจะในวังหลวง หรือเรือนท่านผู้เฒ่าหยาง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาย่อมมิใช่คนธรรมดา
...แต่ก็ยังไม่น่าไว้ใจโดยง่าย

"ขอบใจที่รู้สึกดีต่อข้า" เฉินอวี้ส่งหนังสือให้ "รับหนังสือเล่มนี้ไป แล้วอย่ามาตามเฝ้าข้าอีก"
เทพเสือโคร่งภูผาคลี่ยิ้ม "แต่ตอนนี้ข้าไม่ได้อยากได้มันแล้ว...อวี้เอ๋อร์"
"เช่นนั้น ท่านต้องการอะไร" นี่เป็นคนแรกที่เรียกเขาว่าอวี้เอ๋อร์ ทำให้รู้สึกแปลกหูจนต้องอมยิ้มเล็ก ๆ
"ข้าต้องการเจ้า" คนตัวใหญ่ก้มลงมาจูบที่มุมปากแล้วหายวับไปต่อหน้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้สติเฉินอวี้หันไปมองรอบตัว
คนผู้นั้นหายไปต่อหน้าต่อตาจริง ๆ แต่เฉินอวี้กลับจดจำเรื่องนี้ได้ไม่รู้เลือน

ในวันถัดมาเฉินอวี้พบหนังสือเล่มเล็กที่บันทึกเคล็ดวิชา กับยาขวดเล็กสีน้ำตาลที่มีข้อความกำกับว่าให้กินวันละเม็ดวางไว้ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน
ไม่มีเหตุผลใด ๆมารองรับความเชื่อ แต่เฉินอวี้ก็เชื่อว่านี่เป็นของที่เสือโคร่งภูผานำมาวางไว้
เมื่อฝึกวิชาโดยผสานเคล็ดวิชาตามที่หนังสือที่ระบุไว้ และกินยาวันละเม็ดที่สั่ง ก็พบว่ามีขุมกำลังที่เข้มแข็งสายหนึ่งสนับสนุนลมปราณ ส่งเสริมให้วรยุทธ์ก้าวหน้าขึ้น ฝีเท้ารวดเร็ว และไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยโดยง่าย

...เป็นเวลาอีกนานหลายปีที่เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย และไม่ว่าจะเดินทางไปที่แห่งใดในไท่ชาง เมื่อครบกำหนดเวลาเฉินอวี้จะพบยาขวดใหม่มาวางเปลี่ยนให้เสมอ จนกลายเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจในวันที่ต้องอยู่ก้าวเดินอยู่ตามลำพัง ว่าแท้ที่จริงมิได้อยู่ตามลำพัง ยังมีเจ้าของยาขวดนี้ที่คอยเฝ้ามองอยู่จากที่ใดที่หนึ่ง...

เพียงแต่ตลอดเวลาครึ่งเดือนหลังจากที่ได้รับยาขวดแรกจนถึงวันเดินทาง เฉินอวี้ไม่ได้พบกับเทพเสือโคร่งภูผาอีกเลย ไม่ว่าจะมองหาอย่างไรก็ไม่เห็น เงาวูบไหวที่เคยมองเห็นจากหางตาก็ไม่มี
"ไหนบอกว่าไม่อยากได้หนังสือแต่อยากได้คน ที่แท้ก็ดีแต่พูด" เฉินอวี้บ่นกับตัวเอง

กล่าวถึงสหายอีกสี่คนในรุ่นเดียวกันของเฉินอวี้ หากเรียงตามลำดับอาวุโส จะได้แก่ อู่ติ้งเกา ซุนไป่ซื่อ เฉินหรุ่ย และสีจิ้นอัน ทั้งหมดมาจากครอบครัวของขุนนาง ทำให้เฉินอวี้ไม่เพียงอายุน้อยที่สุด แต่ยังเป็นผู้เดียวที่มาจากครอบครัวพ่อค้า
แต่ครอบครับพ่อค้าสกุลเฉินก็นับเป็นสกุลใหญ่พอตัว พี่ชายสามคนของเฉินอวี้คือพี่ใหญ่ พี่สาม และพี่สี่รับสานต่องานการค้าจากบิดา ส่วนพี่ชายคนรองแม้จะเป็นข้าราชการในระดับล่าง แต่เจ้าตัวก็มิได้เดือดร้อนและมีความสุขกับครอบครัวเล็ก ๆและบ้านหลังเล็กที่อยู่ห่างจากบ้านหลังใหญ่ไปหลายช่วงถนน
แม้จะไม่ค่อยพอใจฐานะของตนเองในครอบครัวสักเท่าใด แต่เฉินอวี้ก็ยอมรับว่ากำลังใช้อำนาจเงินของบิดา และชื่อเสียงของพี่รองในการผูกมิตรกับสหายเหล่านี้ รวมไปถึงกลุ่มทหารที่จะต้องออกเดินทางไปด้วยกัน

จนมาถึงวันที่จะต้องออกเดินทาง บิดาและมารดาส่งเขาได้เพียงแค่หน้าบ้าน ขณะที่พี่รองเฉินอีจิ้งเดินมาส่งเขาถึงจุดนัดหมาย
บรรดาพลทหารที่เห็นครอบครัวขุนนางกลุ่มใหญ่ยกขบวนมาส่งกลุ่มคุณชายสี่คนแล้วพากันนึกดูหมิ่นอยู่ในใจ ว่าที่แท้ก็ยังคงเป็นคุณชายที่ถูกพะนอเอาใจ
ส่วนคุณชายเฉินจากร้านผ้าไหมผู้นี้ก็คงมิเท่าไหร่เช่นกัน เพราะคนที่มาส่งก็คือบุตรชายคนรองของครอบครัว ทั้งเป็นข้าราชการระดับล่างที่สมถะเป็นอย่างยิ่ง
ต่อให้มีผลการสอบโดดเด่นเพียงไร แต่ที่แท้ก็คุณชายเล็กปลายแถวที่ถูกครอบครัวละเลย
เมื่อถึงกำหนดเวลา เฉินอวี้ก็เข้าร่วมกับกลุ่มทหาร และเสมียนกองทัพรวมห้าสิบคนออกเดินทางไปที่เมืองฝั่งตะวันตก

เมื่อกลับมาถึงบ้านเฉินอีจิ้งรายงานกับบิดา และมารดารอง ว่าเฉินอวี้หาใช่น้องเล็กของบ้านอีกต่อไปแล้ว
"ที่ผ่านมาน้องอวี้ก็ไม่เคยทำตัวเป็นน้องเล็ก เมื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มบัณฑิตและทหาร แม้จะอายุน้อยที่สุด แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่และเยือกเย็นกว่าทุกคน ถ้าเรามัวแต่ฟูมฟายกันอยู่อย่างนี้ จะสนับสนุนให้เขาเติบโตได้อย่างไร"
พี่รองของบ้านสกุลเฉินร้านผ้าไหมรับรู้ว่ามีสายตาดูหมิ่นอยู่รอบตัว แต่เฉินอวี้ที่เยือกเย็นมองข้ามสายตาเหล่านั้น และมุ่งมั่นอยู่ที่การฝึกที่รออยู่ข้างหน้า
"ในวันหนึ่งเขาต้องมีตำแหน่งที่ใหญ่โตอย่างแน่นอน" พี่รองกล่าวอย่างมั่นใจ

ที่เมืองฝั่งตะวันตก อู่ติ้งเกา ซุนไป่ซื่อ เฉินหรุ่ย  สีจิ้นอัน และเฉินอวี้ ถูกจัดให้เข้าพักในโรงนอนซึ่งเป็นห้องโล่ง จัดวางเตียงนอนเรียงยาวด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นโต๊ะทำงานและตู้เก็บของใช้ส่วนตัว
อู่ติ้งเกาที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของกลุ่ม ย่อมเลือกเตียงนอนด้านในสุดของห้อง เขากล่าวขึ้นโดยที่ไม่มีผู้ใดไต่ถาม "บิดาของข้ารู้จักกับรองแม่ทัพของที่นี่"
อีกสี่คนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ แต่ยังมิทันที่จะเอ่ยปากขอบใจ อู่ติ้งเกาก็กล่าวขึ้นอีก "บิดาของข้าคิดว่า การที่พวกเราต้องมาฝึกอะไรที่นี่ อาจเพราะเมื่อครั้งที่ไปล่าสัตว์กับฮ่องเต้ครั้งล่าสุดแล้วท่านไปยิงจิ้งจอกที่องค์ฮ่องเต้หมายตาไว้ ทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย"
ซุนไป่ซื่อกล่าวขึ้นบ้าง "ท่านอาของข้าเป็นรองแม่ทัพผู้คุ้มกันขบวนหยกล้ำค่ามาจากเมืองทางฝั่งตะวันตก แต่ระหว่างทางถูกโจรปล้น แม้จะรักษาของไว้ได้ครบทุกชิ้น แต่ก็สูญเสียคนไปหลายคน ทั้งเมื่อมาถึงพบว่าหยกชิ้นหนึ่งมีตำหนิ แม้พระองค์จะไม่ถือโทษ แต่พวกเราก็คิดว่า นี่อาจเป็นการลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆของพระองค์"
เฉินหรุ่ย นั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่สาม "สามเดือนก่อนมีนางข้าหลวง มาติดต่อให้น้องหญิงของข้าให้เข้าไปรับใช้องค์ฮองเฮา แต่นางไม่ได้เข้าไป "
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกับคำกล่าวนี้
"นางเพิ่งอายุสิบสี่ปี ทั้งไม่เคยเข้าเฝ้าพระองค์มาก่อน บิดาของข้าเองรับราชการในตำแหน่งตุลาการก็ไม่เคยเข้าเฝ้าพระองค์ จู่ ๆ มีนางข้าหลวงมาที่เรือน ทุกคนจึงคิดว่านี่อาจเป็นเรื่องหลอกลวง แต่ผลการสอบสวนต่อมาพบว่านี่เป็นความจริง ก็...อาจเป็นเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยได้เช่นกัน"
สีจิ้นอันกระแอมไล่ลมในลำคอ "ในข้อสอบเกี่ยวกับการปกครอง ข้าวิจารณ์การปกครองหัวเมืองที่ค่อนข้างรุนแรงเกินไปสักหน่อย"
จากนั้นทุกคนก็หันมามองหน้าเฉินอวี้ที่ได้แต่เกาหน้าผากตนเอง เพราะไม่แน่ใจว่าสามารถบอกเล่าเรื่องที่เทพเสือโคร่งภูผาบอกมาได้หรือไม่
"พี่ชายข้าเป็นข้าราชการระดับล่างอยู่ในกองวัง เคยเข้าเฝ้าครั้งเดียวเมื่อสามปีก่อน ส่วนบิดาของข้าขายผ้าไหม ก็เคยถวายผ้าให้กับพระสนม..."
อีกสี่คนพากันส่ายหน้า แน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องนี้
"เจ้าต้องติดร่างแหมากับพวกเราทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไร ขอโทษด้วย"
"ไม่ ๆ" เฉินอวี้ รีบโบกมือ "พวกเราอาจทำอะไรที่ผิดพลาดไป โดยที่ไม่รู้ตัวก็เป็นได้"
ผู้อาวุโสน้อยที่สุดพยายามชี้แจง แต่อู่ติ้งเกาผู้เป็นพี่ใหญ่ชิงกล่าวตัดบท "พ่อค้าผ้าไหม กับพนักงานกองวังจะทำอะไรที่ไปขัดพระเนตรพระกรรณได้"
"น้องอวี้แซ่เดียวกับข้าไง" เฉินหรุ่ยโพล่งขึ้นมา ทำให้ทุกคนยิ่งพากันเวทนาน้องเล็กของกลุ่มมากกว่าเดิม
"พระองค์คงไม่ได้คิดบัญชีแบบรวบยอดเช่นนั้นกระมัง"
ทรงเป็นฮ่องเต้แห่งไท่ชาง จะคิดเล็กคิดน้อยเช่นนั้นได้อย่างไร
"แต่ตอนนี้พวกเราก็มาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว และหากไม่เพราะท่านอู่ พวกเราอาจต้องไปนอนในโรงนอนหลังเก่ากับพวกพลทหารแล้วก็เป็นได้" สีจิ้นอันกล่าวขึ้น

นับจากวันนั้น เฉินหรุ่ยก็มักจะนับญาติเรียกเฉินอวี้ว่าน้องอวี้และคอยดูแลดั่งเป็นน้องชายคนเล็กอยู่เสมอ ด้วยรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ต้องชดใช้ให้กับอีกฝ่าย ขณะที่เฉินอวี้ได้แต่เก็บซ่อนความรู้สึกผิดนั้นไว้ในใจ
ที่สำคัญก็คือ จะเชื่อคำพูดของคนพูดนั้นได้สักครึ่งหนึ่งหรือไม่

เมื่อทั้งหมดเข้าไปรายงานตัวต่อแม่ทัพตะวันตกหลิวจิ้ง เรื่องราวก็พลิกผันออกไปอีกครา เมื่อแม่ทัพให้บรรดาคนรับใช้ทั้งหมดออกไปจากห้องก่อน
"เฉินอวี้" แม่ทัพหลิวจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
"ขอรับ"
"รู้จักกับฝ่าบาทมานานแล้วหรือ"
เฉินอวี้งุนงง "ข้าน้อยเคยเข้าเฝ้าฯ ครั้งเดียวก็ตอนที่ไปรายงานตัวกับท่านเสนาบดีฝ่ายขวาขอรับ"
แม่ทัพตะวันตกลูบเครายาว "งั้นก็น่าแปลกมาก เพราะก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึง ข้าได้รับพระบรมราชโองการให้เข้มงวดกับเจ้ามากสักหน่อย"

 ....เข้มงวดหรือ เฉินอวี้กำลังคิดไปถึงคำกล่าวของเทพเสือโคร่งภูผาก่อนหน้านี้

ท่าทีครุ่นคิดของอีกฝ่ายทำให้แม่ทัพตะวันตกยิ้มขำ "ตอนที่ได้รับพระบรมราชโองการยังแปลกใจว่า เจ้าไปขัดใจอะไรฝ่าบาท  แต่พอเห็นหน้าก็คิดไปว่า หรือเจ้าปฏิเสธที่จะถวายตัวเข้าไปรับใช้ฝ่าบาทในวังหลัง"
ครานี้เฉินอวี้ตกใจจนรีบโบกมือ "ไม่ขอรับ ข้าน้อยเคยเข้าเฝ้าฯ ฝ่าบาทเพียงครั้งเดียว แล้วเรื่องถวายตัวอะไรนั่น ยิ่งเป็นไปไม่ได้"
"ข้าคิดเอาเองน่ะ เพราะคนสกุลเฉินอีกคน เจ้าเฉินหรุ่ยนั่น ก็มีเรื่องที่น้องสาวปฏิเสธจะเข้าไปรับใช้พระสนม ก็คิดว่าหรือเจ้าปฏิเสธที่จะถวายตัวต่อฝ่าบาท ข้าก็แค่ถามไปเพราะมีคนบอกกับข้าว่า เจ้าไม่ใช่คนที่ตกใจอะไรง่าย ๆ" 
เฉินอวี้เหลียวมองไปรอบตัว จากนั้นก็กลับมาสงสัยตนเองอีกคราว่า เพียงแค่คำจำกัดความว่า ไม่ใช่คนที่ตกใจอะไรง่าย ๆ แล้วเหตุใดถึงคิดไปถึงคนผู้นั้น แต่หากไม่ใช่คนผู้นั้นแล้วจะเป็นใคร
ความคิดนี้ยังไม่ทันจะสิ้นสุดผู้อาวุโสกว่าก็เฉลยขึ้นมาเสียก่อน

"เขาไปแล้ว แค่แวะมาบอกว่า เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะเขา แล้วก็ฝากให้ข้าอย่าได้ตึงมือกับเจ้ามากนัก"
"เรื่องนี้...." เฉินอวี้มีคำถามมากมาย
"ข้ารับปากได้แค่ว่า ข้าจะทำตามหน้าที่ หากเจ้าทำผิดกฎทหารก็จะถูกลงโทษอย่างทหาร"
"ท่านแม่ทัพขอรับ...." นี่คือคำถามที่เขาอยากรู้มากที่สุด "ท่านรู้จักเขามานานแล้วหรือขอรับ"
แม่ทัพตะวันตกหลิวจิ้งตอบยิ้ม ๆเช่นเดิม "ก็นานเท่ากับอายุของข้านี่แหละ บุญคุณของเขาต่อข้าและครอบครัวยิ่งใหญ่ชนิดที่ต่อให้ตายแทนอีกสิบครั้งก็ชดใช้ให้ไม่หมด และเจ้าเป็นคนแรกที่เขาออกปากขอให้ข้าดูแล"
แม่ทัพตะวันตกรู้ว่าเฉินอวี้เป็นกังวลเรื่องใด "วางใจเถอะ เขาเพียงมาบอกว่า เขาเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าถูกส่งมาที่นี่ และรู้เรื่องพระบรมราชโองการ ทั้งรู้ว่าเจ้าจะไม่ร้อนใจทั้งสองเรื่อง แต่เขาร้อนใจมาก"
เฉินอวี้เอียงคอคิดในใจ

....รู้ว่าข้าไม่ได้สนใจทั้งเรื่องที่ต้องมาที่นี่ และไม่ได้คิดอะไรหากต้องถูกจับตาอย่างเข้มงวด แต่กลับมาร้อนใจเรื่องข้า ทั้งในเวลาเดียวกันก็มีเรื่องให้ต้องเร่งรีบมากถึงขนาดที่แวะมาฝากคนไว้กับผู้อื่น โดยที่ไม่ได้พบหรือคุยกันสักคำ
....คนผู้นี้เข้าใจยากจริง...

"ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านเชื่อเรื่องป่าสีทองแห่งเมืองลั่วหรือไม่ขอรับ"
"นั่นขึ้นอยู่กับเจ้า ว่าจะมองที่นั่นในแบบไหน สำหรับข้า นั่นคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สมควรแตะต้อง เพราะผู้ที่อยู่ที่นั่นเขาเป็นพวกขี้หวง" แม่ทัพตะวันตกยิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี "หวงทั้งป่าผืนนั้น คน และสิ่่งของต่าง ๆ ที่เป็นของเขา"

...จบบทที่สิบหก...
ขอบคุณมากครับ  :m3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 09-06-2017 08:59:48
เฉินอวี้น่าสงสารแฮะ ตาพ่อ(เฉินอู่)รัก แต่ก็คอยถ่วงรั้งไม่ให้เจริญเติบโตเร็วเกินหน้าพี่ๆ ลูกของแม่ใหญ่ ..ไม่ยุติธรรมเลย  ยังดีที่ไม่มีดราม่าเรื่องความอิจฉาริษยาระหว่างพี่น้องในครอบครัว

ท่านเทพเสือโคร่งภูผาก็ทำอะไรลับๆล่อๆ ไม่ค่อยเปิดเผยตัว...แต่ขนาดไม่เปิดเผยตัว ก็ยังเป็นต้นเหตุนำพาความซวยมาให้เฉินอวี้  :m16: อย่างนี้ต้องรับผิดชอบชีวิตของอวี้เอ๋อร์ตลอดไปจนกว่าจะตายจากกันนะ 555+
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-06-2017 09:25:23

 :laugh:  รู้แล้วๆๆๆ ทำไมพ่อเสือเราเป็นอมตะ 
แต่ทำไมรู้สึกว่าลึกๆเฉินอวี้เรามีปมกับครอบครัวน๊อ

ขอบคุณค่ะ รอตอนต่อไปจ้า  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-06-2017 15:34:13
รำคาญตาพ่อเฉินอู่ อยากมีเมียหลายคน ก็ต้องยุติธรรมสิ
ทำไม่ได้ก็มีเมียคนเดียวไป จบ

เรื่องลูกก็เหมือนกัน เอาใจแต่ลูกเมียใหญ่
ลูกเมียตามลำดับหลังก็ใส่ใจรั้งท้าย ฮึ่ยยยย   :m16: :m31: :fire:
ถ้างั้นแต่งเมียพร้อมกันทีเดียวไปเลย
ลูกจะได้มีลำดับเท่ากัน  ไม่ต้องเกรงใจเมียใหญ่ เมียรอง
พูดแล้วขึ้น ความผิดของอีตาพ่อคนเดียว อึตาบ้า  :z6: :z6: :z6:

อีตาเสือโคร่งก็หลบๆซ่อนๆ สนใจเขาแล้วหลบหัวหลบหาง ป๊อดดดโคตรๆ 
ทำให้ฮ่องเต้ หมั่นไส้เฉินอวี้ หาเรื่องเขาฝ่ายเดียว  :z3: :z3: :z3:
อีตาฮ่องเต้ ก็ไม่ยุติธรรมคิดเล็กคืดน้อยเข้าไป เป็นราชาซะเปล่า   :m31: :fire:
สรุป ผิดหวังทั้งอีตาเฉินอู่ เสื่อโคร่ง ฮ่องเต้ ไม่ได้เรื่ิองซักตัว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 09-06-2017 17:11:10
รอตอนต่อไปนะคะ :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 09-06-2017 17:44:12
 :pig4: :pig4: :pig4:

พ่อเสือก็ไม่มาให้เจอบ้างเลย เห็นมั้ยมีคนชะเง้อคอมองหาอ่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-06-2017 21:00:34
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-06-2017 21:12:34
ที่พ่อเสือไม่มาวุ่นวายมากนักเพราะยังเคลียร์กับแม่ ๆ ไม่จบหรือเปล่า ฮาาาาาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-06-2017 21:20:32
รักแรกพบทีเดียว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-06-2017 23:47:05
พ่อเสือคะ !!!!
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 13-06-2017 16:36:09
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

ชอบๆๆๆ ชอบคนขี้หวง  พ่อเสือน่ารักมาก
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 13-06-2017 17:23:16
ความสุขุมของเฉินอวี้ เป็นเสน่ห์ การแอบดูแลของท่านเสือโคร่ง ก็น่ารักดี :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 13-06-2017 20:43:44
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 15-06-2017 10:26:22


 :ling1:  :ling1: พ่อเสือนี่คือ ทำให้อยากแล้วจากไปอย่างแท้จริง
อยากอ่านต่อไปแล้ววววว  :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 16-06-2017 07:39:29
เรามารอตอนต่อไป :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 17-06-2017 11:38:54
แปะและจิ้มไว้ก่อนเน้อ เดี๋ยวจะกลับมาอ่านตามหลัง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 18-06-2017 09:19:40
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 18-06-2017 16:16:32
เรามารอพ่อเสือตั้งแต่เช้าแล้วนะ
มาเหอะ เราคิดถึง...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 18-06-2017 18:23:46
จองไว้แต่เนิ่นๆเลยนะพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 18-06-2017 19:46:25
 :katai5:
มารอว่าที่เเม่เล็ก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 19-06-2017 08:34:21


ฮึ๊บบบบบบบบบบบบบบบบบบบ เรารออยู่น้า  :impress:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 19-06-2017 10:43:01
เมื่อวานวันอาทิตย์
วันนี้วันจันทร์
เราแวะมารอพ่อเสือ  กะ แม่เล็ก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 19-06-2017 13:32:54
 :sad4: :sad4:
ทำไมยังไม่มาาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 20-06-2017 08:03:50
พ่อของเฉินอวี้ เห็นแก่ตัวนะ เราเข้าใจว่า ลูกอนุแต่นั้นก็ลูกปะ ควรจะให้ความรักเท่าๆกัน แต่ในครอบครัวคนจีนสมัยก่อนก็เป็นแบบนี้จริงๆในบางครอบครัว ที่จะเห็นความสำคัญของลูกชายคนโตมากกว่า นี่แหละน้าาา เมียมากก็มากเรื่องตามมา 5555 สู้เขานะเฉินอวี้
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 20-06-2017 12:55:40
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 21-06-2017 10:56:59
 :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 21-06-2017 14:07:01
พ่อเสือ มาเหอะ
เราคิดถึง... :a11: :a11: :a11: :a11: :a11:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 22-06-2017 08:12:13
มาช่วยดันพ่อเสือโคร่งกับอวี้เอ๋อ  :z1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่16P18(09062560)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 22-06-2017 08:23:28


 :z12:  :z12:  มาเถิดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 22-06-2017 08:33:58
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่สิบเจ็ด


การฝึกทหารของเฉินอวี้กับพวกย่อมไม่เหมือนกับการฝึกของนายกองและพลทหารที่เดินทางมาด้วยกัน
หลังการฝึกในยามเช้าร่วมกับทุกคนในค่ายแล้ว ทั้งห้าคนก็จะแยกไปทำงานอยู่ภายในสำนักงานของแม่ทัพตะวันตก และเตรียมความพร้อมที่จะลงพื้นที่เพื่อสนับสนุนการทำงานของหน่วยปฏิบัติการ

งานแรกที่ได้รับมอบหมายมีขึ้นในวันที่สองของการเข้ามาในกองทัพ และสำเร็จลงในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ โดยทั้งห้าคนได้รับมอบหมายในตำแหน่งหัวหน้าหน่วยย่อยออกปราบปรามโจรป่ากลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมและการยอมรับจากทหารในกองทัพในระดับหนึ่ง เว้นแต่ในกลุ่มของบุตรหลานผู้ปกครองในกองทัพ ที่รู้สึกไม่ชอบใจทั้งห้าคนอย่างออกนอกหน้า
กลุ่มบุตรหลานของผู้ปกครองในกองทัพเหล่านี้มีหลานชายของแม่ทัพเป็นหัวหน้ากลุ่ม ซึ่งเรียกทั้งห้าคนรวมๆ ว่า 'ห้าบัณฑิตจากเมืองหลวง'

คนที่เรียกคำนี้เป็นคนแรกเรียกด้วยความชื่นชม เพราะทั้งห้าคนมีผลงานในเชิงบุ๋นและบู๊ที่โดดเด่น แต่เมื่อออกมาจากปากของกลุ่มบุตรหลานของผู้ปกครองกองทัพ ความหมายก็เปลี่ยนไปในเชิงประชดประชันและดูหมิ่น
ส่วนฝ่ายห้าบัณฑิตเองเมื่อแน่ใจว่า คำเรียกขานนี้มิใช่การชื่นชม ก็พากันเรียกอีกฝ่ายว่าคุณชายนอกกองทัพ ซึ่งมีความหมายชัดเจนว่าไม่มีความยกย่องนับถือกันเลยสักนิดเป็นการตอบโต้ 
ด้วยคุณชายเหล่านี้ ถือตนว่าเป็นบุตรหลานของผู้มีอำนาจ ไม่ต้องผ่านการทดสอบ และฝึกหนักก็จะได้รับสืบทอดตำแหน่งในกองทัพต่อจากบิดา จึงพากันใช้ชื่อเสียงของบิดาอวดเบ่งไปทั่ว
คนที่ยังพอจะเชื่อฟังบิดาอยู่บ้างก็โอ้อวดน้อยหน่อย แต่หลานชายของแม่ทัพที่มีผู้คนคอยให้ท้ายหลายคนก็โอ้อวดมากหน่อย
สาเหตุหลักที่ทำให้กลุ่มคุณชายแสดงออกอย่างชัดเจนมาตั้งแต่สัปดาห์แรก ว่าไม่ค่อยพอใจกลุ่มบัณฑิตทั้งห้าก็เพราะการที่ผู้ใหญ่ในเมืองตะวันตกมักกล่าวชื่นชมว่าทั้งห้าคนนี้นอกจากการเติบโตอยู่ในตระกูลที่ดีแล้ว ยังมีความรู้และความสามารถที่ยอดเยี่ยม
ผู้ใหญ่บางคนให้กำลังใจว่า หากมีผลงานที่โดดเด่นวันหนึ่งข้างหน้าอาจไปได้ไกลถึงตำแหน่งแม่ทัพก็เป็นได้
เจตนาของผู้ใหญ่ก็คงเป็นการเตือนให้บรรดาบุตรหลานของตนมีความขยันและตั้งใจทำงานมากขึ้น อย่าได้หวังแต่จะพึ่งพาบารมีของบิดา แต่สำหรับบรรดาคุณชายถูกตำหนิต่อหน้าผู้อื่นก็คงไม่ชอบใจสักเท่าไหร่

อู่ติ้งเกาพี่ใหญ่ของกลุ่มแสดงความเห็นว่า การได้รับความชื่นชมนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็มักควบคู่มากับความไม่พอใจของคนที่ถูกเปรียบเทียบและถูกตำหนิ
เพราะในเวลาเดียวกัน หากคนที่ถูกตำหนิยอมรับเพื่อนำไปพัฒนาตนเอง หรือแข่งขันกันทำให้ดีกว่าเดิมนั่นย่อมเป็นเรื่องดียิ่ง
แต่หากเป็นในทางตรงข้ามเล่า!
ส่วนเฉินอวี้กลับเห็นว่า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่ทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่จะต้องพบเจอต่อไปไม่ว่าจะรับราชการหรือจะทำการค้า ดังนั้นก็จะต้องเรียนรู้และอยู่กับคนในรูปแบบต่างๆ ให้ได้

...นี่ไม่เห็นว่าจะแตกต่างกับบรรยากาศในบ้านหลังใหญ่ที่ตนเติบโตมาเลยสักนิด
ถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างว่าคือความดีงามและความสำเร็จ เพื่อที่จะถูกเกลียดชัง และกดให้ต่ำลงในท้ายที่สุดเป็นรางวัลของความดีงามและความสำเร็จนั้น...

ในวันหนึ่งแม่ทัพตะวันตกหลิวจิ้งประกาศเรื่องการแข่งขันล่าสัตว์ในเขตป่านอกด่าน โดยเลือกพื้นที่ที่บัณฑิตทั้งห้าเคยลาดตระเวณในช่วงที่ออกตามล่าโจรป่า เนื่องจากในกลุ่มของแม่ทัพ นายกองต่างก็มีการล่าสัตว์กันเป็นระยะเพื่อประลองความสามารถ
แต่เมื่อครั้งนี้ก็คือกลุ่มบัณฑิตทั้งห้าจะเข้าร่วมการประลอง กลุ่มคุณชายจึงจะลงแข่งขันด้วยเช่นกัน

...คงเป็นบันไดอีกขั้นในการสั่งสอนลูกหลานกระมัง...

มีคำท้าทายมากมายเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้นเพราะในบรรดาทั้งหมดเฉินอวี้คือผู้ที่ประสบการณ์ในเรื่องการล่าสัตว์น้อยที่สุด ทั้งไม่เคยล่าสัตว์ป่าในเขตป่านอกเมืองเช่นนี้มาก่อน อู่ติ้งเกาพี่ใหญ่ของกลุ่มจึงกำชับให้เฉินอวี้คอยติดตามอยู่ใกล้ๆ
“ถึงอีกฝ่ายจะเป็นคุณชายที่วรยุทธอ่อนด้อย แต่พวกเขาคุ้นเคยกับพื้นที่ มีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย ทั้งมีพรรคพวกอยู่มาก เราต้องระมัดระวังว่าอีกฝ่ายจะเล่นลับหลัง”

เมื่อถึงเวลาที่จะออกเดินทาง กลุ่มคุณชายพรั่งพร้อมด้วยอาวุธชั้นดี และเครื่องแต่งกายสวยงาม ส่วนพวกของเฉินอวี้สวมเครื่องแบบเหมือนทหารคนอื่นๆ แต่ใช้ผ้าพันคอแบ่งเป็นสีแดงกับสีน้ำเงินตามที่แบ่งกลุ่มกันไว้
ดังนั้นการล่าสัตว์ในครั้งนี้จึงแบ่งออกเป็นสามกลุ่มโดยปริยาย
เมื่อขบวนม้าล่าสัตว์ออกไปถึงเขตที่แม่ทัพกำหนดไว้ให้เป็นพื้นที่แข่งขัน ความรู้สึกไม่สบายใจก็เข้ามาเกาะอยู่ในใจ เมื่อหันไปมองเพื่อนอีกสี่คนก็ล้วนคิดเช่นเดียวกัน
อู่ติ้งเกาคนเดิมที่กล่าวขึ้นว่า "ป่าวันนี้ดูแปลกๆ ข้าไม่อยากล่าสัตว์เลย"
เมื่อหันไปดูกลุ่มคุณชายทั้งหลาย ก็เห็นว่ายังดูหัวเราะสนุกสนาน ครั้นเห็นว่าห้าคนทางนี้ดูเป็นกังวล ก็กล่าวคำดูหมิ่นว่ากลุ่มบัณฑิตเหล่านี้ที่แท้ก็หวาดกลัว

หลายวันมานี้ทั้งห้าคนได้เรียนรู้ว่าหากถูกกล่าวคำดูหมิ่นก็จงเพิกเฉย แล้วมุ่งมั่นกับหน้าที่ที่อยู่ตรงหน้า สุดท้ายแล้วบรรดาคุณชายจะแพ้ภัยน้ำลายของตนเอง กลายเป็นผู้ที่ถูกนินทาลับหลังว่าเป็นเพียงกลุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ เฝ้าหาเรื่องผู้อื่นอยู่เรื่อยไป

แม่ทัพหลิวจิ้งพยักหน้าให้สัญญาณปล่อยสุนัขล่าสัตว์ล่วงหน้าออกไป จากนั้นกลุ่มล่าสัตว์ที่แบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่จึงไล่ตาม
ระหว่างทางที่ควบม้า เฉินอวี้เห็นคนรูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อสีเหลืองขาวจากทางหางตา แต่เพราะการขี่ม้าตามกันมาเป็นกลุ่ม ทำได้เพียงเหลียวกลับมามองหาเพียงแวบหนึ่งก็ต้องบังคับม้าไปด้านหน้า กระนั้นก็ทำให้เสียสมาธิไปมาก

จากสามกลุ่มใหญ่ต้องแบ่งออกเป็นกลุ่มขนาดเล็กลงมาเพื่อแบ่งหน้าที่ในการไล่ล่าและต้อนสัตว์ป่าที่ตกเป็นเป้าหมาย   
อู่ติ้งเกาขี่ม้านำทางเข้าไปใกล้ลำธารก็ให้สัญญาณมือแยกย้าย ท่าทางเหมือนกับว่าเห็นสัตว์ป่าอยู่เบื้องหน้า แต่เฉินอวี้ไม่เห็นแม้แต่ไก่ป่าสักตัวจึงชะลอม้าเพื่อจะเพ่งตามองไปตามทิศทางที่อู่ติ้งเกากำลังมองอยู่
ซุนไป่ซื่อที่ไม่ต้องการพ่ายแพ้ให้กับบรรดาคุณชายจึงหันมาเร่งเฉินอวี้ให้ติดตามมาโดยเร็ว
น้องเล็กของกลุ่มห้าคนเหลียวมองซ้ายขวายังไม่ทันจะทำอะไร เจ้าม้าแสนดีจู่ๆก็ร้องเสียงดัง ยกขาหน้าขึ้นสูง จากนั้นก็วิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนเฉินอวี้ได้แต่แนบตัวติดกับหลังม้า
เจ้าม้าที่ไม่เคยดื้อดึงเลยสักครั้งตั้งแต่รู้จักกันมาสี่เดือนได้แต่ควบไปข้างหน้าโดยที่ความเร็วไม่ลดลง จนกระทั่งมาถึงเชิงหน้าผา ก็ลดความเร็วกระทันหันแล้วเลี้ยวขวาส่งผลให้เฉินอวี้หลุดจากหลังม้าแล้วกลิ้งตกหน้าผา ทั้งรากไม้และก้อนหินก้อนดินขนาดใหญ่กระแทกทั้งลำตัวและศีรษะ แต่ยังพอจะมีสติคว้ารากไม้เอาไว้ได้ แต่ก็ยังลื่นหลุดมือ
ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนและเสียงม้าที่ดังขึ้นจากด้านบน เฉินอวี้มองเห็นคนผู้นั้นปรากฎตัวขึ้นจากความว่างเปล่าในอากาศจากทางด้านล่าง แล้ววิ่งสวนทางขึ้นมาแล้วคว้าร่างไว้ จากนั้นเฉินอวี้ก็หมดสติไป

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งคนรูปงามก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในโรงยาหลังหนึ่ง โดยมีอาการปวดศีรษะเป็นอย่างมาก กับรู้สึกเจ็บร้าวที่ศอกและข้อเท้า 
"ตื่นเร็วจริง" น้ำเสียงกว้างและคนรูปร่างใหญ่โตก้าวออกมาจากด้านหลังของฉากไม้ ในมือถือชามยากลิ่นฉุนออกมาด้วย
"ยังคิดว่าจะหลับต่ออีกสักชั่วยาม แต่ตื่นมาก็ดีแล้ว" ดวงตาสีเหลืองที่มองมามีประกายของความยินดี "ต่อให้ทำหน้าตาเหม็นยานี่อย่างไร ข้าก็ต้องบังคับให้เจ้ากินมันเข้าไป"
เฉินอวี้ขมวดคิ้วพยักหน้ายอมรับว่าเหม็นกลิ่นยาจริงตามที่อีกฝ่ายท้วงขึ้นมา แต่พอจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งจึงพบว่า ตนเองสวมเสื้อคลุมตัวยาวกับกางเกงขายาว ส่วนที่ศีรษะมีผ้าพันแผลไว้
"เจ้าตกจากหลังม้า แล้วก็กลิ้งลงมา มีรอยแผล รอยฟกช้ำทั่วตัว ข้าก็เลยรักษาอาการบาดเจ็บแล้วก็ทายาให้"
ชายหนุ่มกระชับเสื้อคลุมกล่าวคำขอบคุณ รับถ้วยยามาดื่มจนหมดจากนั้นจึงดื่มน้ำ
"กินยาง่ายดี"
หลังจากที่นำถ้วยยาไปเก็บ คนตัวโตก็กลับมานั่งบนเตียงเดียวกัน โดยที่หันหน้ามามองตรง ๆ
"ชอบล่าสัตว์หรือ"
เฉินอวี้ส่ายหน้า
"ไม่ชอบแล้วทำไมถึงมากับพวกเขา"
"มันเป็นการแข่งขันอย่างหนึ่ง พวกเขาก็ล่าสัตว์อยู่เรื่อย แต่เหตุใดท่านถึงโกรธข้า"
"ไม่ได้โกรธ"
"ท่านโกรธอยู่" เฉินอวี้ชี้ที่คิ้วเข้ม
"คิ้วข้ามันก็เป็นอย่างนี้ ข้าก็แค่ซักถาม"
"ซักถามแล้วต้องทำหน้าตาเช่นนี้ด้วยหรือ"
"หน้าข้าก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว สรุปคือเจ้ามาเพราะมันคือการแข่งขัน แล้วเจ้าแข่งขันกันล่าสัตว์บ่อยไหม"
เฉินอวี้แปลกใจที่คนผู้นี้จริงจังเรื่องล่าสัตว์เป็นอย่างมาก
"ไม่บ่อยหรอก ครั้งนี้เป็นครั้งห้า"
"แล้วล่าอะไรได้บ้าง"
คนรูปงามเริ่มคิดนานขึ้นก่อนที่จะตอบคำถาม "จิ้งจอก"
"เคยล่าเสือไหม"
เฉินอวี้ส่ายหน้า "การล่าสัตว์ในป่าจัดเป็นการแข่งขันหรือบททดสอบอย่างหนึ่ง เพราะต้องใช้ทักษะในการต่อสู้ และความรวดเร็ว ทั้งต้องมีการตัดสินใจที่ดี"
เทพเสือโคร่งภูผาย่นจมูก "ไปฝึกทักษะด้วยการจับโจรป่า ผู้ร้ายสิถึงจะมีประโยชน์ ชีวิตของพวกเรามีค่าแค่บททดสอบเท่านั้นเองหรือ"
เฉินอวี้เอียงคอมองอีกคน เทพเสือโคร่งภูผาจึงท้วงขึ้น
"ข้าคือเสือโคร่งภูผา นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าลืมข้าไปแล้ว"
"ไม่ได้ลืม แต่พบกับท่านทีไร ก็ไม่เคยพูดกันมากกว่าห้าประโยค เมื่อท่านติดใจเรื่องการล่าสัตว์ แล้วย้ำชื่อของท่านขึ้นมา ข้าก็คิดสงสัย"
"สงสัยอันใด"
เฉินอวี้ขยับตัวกลับมาเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง "ข้ามีคำถามเกี่ยวกับท่านมากมายนัก แต่ก่อนอื่น ข้าขอขอบคุณท่านเรื่องหนังสือเคล็ดวิชา และยาเหล่านั้น"
เทพเสือโครงภูผายิ้มกว้าง ฟังอีกฝ่ายกล่าวต่อไป
"และที่อยากรู้มากที่สุดก็คือเหตุใดผู้ใหญ่ในบ้านเมืองนี้หลายคนรู้จักท่าน และเคารพท่านมาก แต่พวกเขากลับเสแสร้งว่าไม่รู้จัก"
เทพเสือโคร่งภูผามองลึกลงไปในดวงตาคู่สวย คนผู้นี้รู้ว่ากำลังได้รับการเอาใจ จึงไม่เร่งรัดที่จะให้ได้ในสิ่งที่ต้องการในทันที แต่กลับค่อยๆ จัดลำดับความสำคัญของเรื่องราวแล้วไต่ถามจากส่วนยอดลงมาที่ฐานล่าง
และคำถามนี้ย่อมหมายถึงแนวทางของการที่เฉินอวี้จะปฏิบัติต่อเทพเสือโคร่งภูผาอีกด้วย
แต่ต่อให้รู้ว่าคนรูปงามนี้กำลังคิดอะไรอยู่ ก็ยังคงยินดีที่จะได้ใช้เวลาไปกับการพูดคุยกับอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ

...เขาจะปฏิบัติต่อข้าอย่างไรมันก็เป็นเรื่องของเขา สำคัญคือแนวทางที่ข้าจะปฏิบัติต่อเขาต่างหาก...

"เจ้ารู้จักป่าสีทองเมืองลั่วไหม" เฉินอวี้ย่อมพยักหน้า "ข้าคือเทพเสือโคร่งภูผา ข้ามีครอบครัวที่ใหญ่มากและพวกเขาอยู่ที่นั่น"
....นั่นเป็นนิทานมิใช่หรือ "แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ได้อยู่ที่ป่าสีทอง"
"อยู่สิ เพียงแต่หลังจากที่ข้าบำเพ็ญภาวนาอยู่หลายปี แล้วกลับออกมาหาฮ่องเต้องค์ก่อนเพราะมีสัญญาผูกกันอยู่ ปรากฏว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว พบเจอแต่จางฉวน ที่ก็ไม่ได้รู้เรื่องสัญญานั่น ข้าก็เลยจัดการเรื่องราวไปเท่าที่ทำได้"
เฉินอวี้สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยพระนามของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันโดยตรง
"ท่านคงวุ่นวายน่าดู"
"เป็นเช่นนั้น นอกจากนี้สหายของข้ายังหายไป ส่วนเมียกวางของข้าก็เพิ่งคลอดบุตร เขาไม่ค่อยแข็งแรงสักเท่าไหร่ ทำให้ทุกคนเป็นกังวล"
เฉินอวี้ท้วงถามขึ้น "เมียกวางหรือ"
เทพเสือโคร่งพยักหน้า
"แล้วบุตรของท่านเป็นกวางหรือเสือ"
"เมียกวางย่อมให้กำเนิดบุตรที่เป็นกวาง"
"แล้ว...ท่านมีเมียที่เป็นเสือไหม"
"มี นางคือนางเทพเสือโคร่งบงกช ข้ามีบุตรธิดากับนางที่เป็นเสือโคร่งอยู่หลายตน ทั้งหมดก็แข็งแรงดี พอมาถึงเจ้าตัวเล็กนี่ทุกคนจึงพากันกล่าวโทษว่าเป็นเพราะข้าทำเรื่องแย่ๆ กับเมียของผู้อื่น ทั้งยังข้ามเผ่าพันธุ์ ผลจึงมาตกอยู่กับลูก"
"เมียผู้อื่นหรือ แล้ว...ท่านมีเมียเป็นคน หรือเป็นสัตว์ป่าอื่น ๆ อีกไหม"
"ก็มีที่เป็นคนนะ แต่ไม่มีลูกหรอก"
เฉินอวี้ยิ่งฟังยิ่งประหลาดใจ และตกใจกับคำตอบทั้งหมดของเสือโคร่งภูผาผู้นี้ แต่พยายามรักษาอาการไม่แสดงท่าทีใด ๆออกมา

ไม่ว่าจะถามอะไรไป เทพเสือโคร่งภูผาก็ตอบหมดทุกคำถามโดยไม่คิดปิดบัง แทนที่จะทำให้อีกคนเข้าใจแต่เฉินอวี้กำลังก่อกำแพงในใจสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
ขณะที่การสนทนาไหลรื่นดั่งสายน้ำ เฉินอวี้ก็ตระหนักได้ว่าไม่สำคัญว่าที่ผ่านมาจะเคยพบเจอกันอย่างไร ทำดีต่อกันอย่างไร
แต่กลับสงสัยว่าจูบแรกนั้นหมายความว่าอย่างไร
คนผู้นี้จะเป็นเทพก็ดี หรือเป็นสุดยอดฝีมือที่ได้รับการยกย่องเป็นเทพก็ดี แต่ถ้ามีครอบครัวใหญ่และซับซ้อน ที่เกิดจากความมิสนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นภรรยาของผู้ใดก็พาตนเข้าไปข้องเกี่ยวจนกระทั่งมีบุตรด้วยกันนั่นย่อมหมายถึงการเป็นคนที่ทำอะไรตามใจแต่ตนเอง
และเป็นที่ชัดเจนว่าเขาชอบสตรี
เมื่อรู้ตัวอีกทีก็คือเทพเสือโคร่งที่นั่งอยู่เบื้องหน้าถามขึ้น "ไม่เชื่อที่ข้าบอกหรือ"
"ข้าเชื่อ" เฉินอวี้ตอบกลับไปพร้อมกับรอยยิ้ม
"เชื่อแล้วทำไมเงียบไป"
"ข้ากำลังคิดน่ะ"
"คิดว่าอะไร"
"ช่างเถอะ ข้าอยากนอนพักแล้ว"
เฉินอวี้รู้ตัวว่า ไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะไปแง่งอนผู้ที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ซึ่งเป็นผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือมาหลายครั้งหลายครา
ชายหนุ่มรูปงามพลิกตัวนอนหันหน้าเข้าหากำแพง หยดน้ำตาไหลริน
...บ้าจริง นอกจากโดนมารดาตีเมื่อตอนห้าขวบก็มิเคยเสียน้ำตาให้กับเรื่องใดอีก แต่ทำไมครานี้ถึงได้มีน้ำตา....

ทั้งที่กำลังนอนหลับอยู่ แต่อาการปวดศีรษะนั้นรุนแรงมากขึ้น จนไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตา ทั้งมือทั้งขาก็หนักกว่าที่เคย ทำได้แค่ส่งเสียงร้องแผ่วเบา
แต่ท่ามกลางความเจ็บปวดนั้น ชายหนุ่มยังรู้สึกถึงสายลมพัดอยู่ข้างกาย ใครสักคนอุ้มจากที่นอนบนเตียงให้มานอนลงกับพื้นห้อง จากนั้นก็ถูกห่อหุ้มด้วยความอบอุ่น นุ่มและกลิ่นสาบเสือที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกลัว หากเมื่อหน้าผากและแก้มสัมผัสความอุ่นชื้น อาการปวดเหล่านั้นก็บรรเทาลงไปพร้อมกับความกลัวที่จางหาย ทำให้หลับต่อไป

ตอนที่รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง เฉินอวี้ไม่มีอาการปวดหลงเหลืออยู่แล้ว เพียงแต่มิกล้าขยับตัว เมื่อพบว่าตนเองนอนอยู่ในอ้อมกอดของเสือโคร่งตัวใหญ่
กลิ่นสาบเสือเมื่อคืนนี้ สัมผัสเมื่อคืนนี้มิใช่ความฝันของผู้บาดเจ็บ!
เสือโคร่งตัวนั้นลืมตาขึ้น แล้วค่อยๆ ขยับตัวถอยห่างออกมานอนหมอบอยู่ด้านหน้า
เป็นการเคลื่อนไหวช้าๆ ที่ให้ความรู้สึกที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง
"จริงหรือนี่"
เสือโคร่งตัวใหญ่ส่งเสียงในลำคอบ่งบอกว่ารู้สึกผิดหวัง เฉินอวี้ยกมือที่ยังสั่นเทาลูบขนนุ่มที่ใบหน้า
"ขอโทษด้วยที่ไม่เชื่อ ข้าคิดว่านั่นอาจเป็นสมญานามของจอมยุทธ เพราะไม่เคยพบผู้ที่สามารถเปลี่ยนร่างได้มาก่อน"
เมื่อเสือโคร่งหันหน้ามาหามือที่ลูบใบหน้า เฉินอวี้ก็ชักมือหนี จากนั้นก็กล่าวคำขอโทษอีกครา
เสือโคร่งตัวใหญ่ลุกขึ้นยืน แล้วเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นเทพเสือโคร่งภูผา พอเห็นว่าเฉินอวี้ลอบผ่อนลมหายใจ ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ก็หัวเราะเสียงดัง
"ข้าจะไปทำโจ๊กให้กิน"
"ท่าน..." เฉินอวี้เรียกไว้ "ข้าอยากกลับไปที่ค่ายทหาร"
เทพเสือโคร่งภูผาจ้องมองอีกฝ่ายเงียบ ๆ จากนั้นก็หันหลังให้
"ท่าน..."

โจ๊กธัญพืชนั้นมีรสชาติดีที่สุดเท่าที่เคยกินมา บ่งบอกถึงความตั้งใจของคนที่ทำให้
"ร้อนไปหรือ" คนที่ทำให้เป็นกังวลเมื่อเห็นคนเจ็บค่อยๆ ยกชามโจ๊กดื่มทีละนิด
"ไม่หรอก ข้าดื่มได้"

...เพียงการที่ดื่มโจ๊กแล้วมีท่านมานั่งจ้องมองอยู่ต่างหาก ที่ทำให้ต้องสำรวมมารยาท

เมื่อดื่มโจ๊กหมดชาม เทพเสือโคร่งภูผาก็เดินไปรินยาใส่ชามอีกใบ
เฉินอวี้เดินตามมายืนมองด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
"ไม่เจ็บแผล แล้วก็ไม่ปวดหัวแล้ว"
เทพเสือโคร่งภูผาทำหน้าตารู้ทัน "ขออีกสักสองชาม เอาให้แน่ใจว่าไม่เป็นไรจริง ๆ เจ้าถูกสลัดตกลงมาจากที่สูง แล้วก็กระแทกนั่นนี่มาตลอดทาง อาจมีอาการบอบช้ำอยู่ภายในก็เป็นได้" พอเห็นว่าเขาเปิดปากคุยด้วยก็คุยไม่หยุดทันที "ไม่ขม...มากนักหรอก"
ดวงตาคู่สวยที่ช้อนมองแล้วหลุบตาลงมองยาในชามทันที พาให้ใจของเทพเสือโคร่งภูผาเต้นแรงผิดจังหวะจนต้องลูบอกตัวเองเพื่อบอกให้ใจเต้นให้เบาลงอีกสักหน่อย
เฉินอวี้มองท่าทีนั้นแล้วแปลความหมายไปอีกทาง "ท่านก็บาดเจ็บหรือ"
"ไม่หรอก ข้าคือเทพเสือโคร่งภูผานะ จะบาดเจ็บง่ายๆได้อย่างไร"
คนรูปงามมองอีกฝ่ายตาค้าง จนคนที่พูดอะไรไปแล้วมากมายต้องกระแอมไล่ลมด้วยความเก้อเขิน

"ท่านเป็นเทพหรือ ไม่ได้เป็นเพียงเสือโคร่งภู...ผา..."
เฉินอวี้หลับตาลง ขณะที่ตำหนิตนเองในใจ
...เขาปรากฎกายจากความว่างเปล่า เปลี่ยนร่างได้อย่างง่ายดาย แล้วยังมีที่แม่ทัพตะวันตกบอกว่ารู้จักมาเท่ากับอายุตนเอง และย้อนกลับไปจนถึงการที่รู้จักกับผู้อาวุโสหยางจงจิน และฮ่องเต้พระองค์ก่อนอีก...
อุบัติเหตุเล็กน้อยมีผลต่อการรวบรวมความคิดมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ทำไมถึงได้หลงลืมเรื่องนั้นเรื่องนี้มากมาย
"อวี้เอ๋อร์ เวียนหัวหรือ" เทพเสือโคร่งภูผาจับต้นแขนอีกคนพาเดินกลับมาที่เตียงนอน "ดื่มยาชามนี้แล้วค่อยนอนพัก"
เฉินอวี้รับชามยามาดื่มอย่างว่าง่าย แล้วล้มตัวลงนอน
เทพเสือโคร่งภูผาลูบใบหน้าซีดเซียวของอีกคนอย่างเบามือ
"นอนพักก่อนนะ ตื่นขึ้นมาแล้วค่อยคุยกัน ข้าพร้อมที่จะตอบคำถามเจ้าทุกคำถาม"
เฉินอวี้ลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย "ท่านไม่ต้องกลับไปดูบุตรของท่านหรือ"
"เขาอยู่กับแม่และอาจารย์เทพ แต่เจ้าอยู่ตามลำพัง ข้าเป็นห่วงเจ้ามากกว่า"
คนรูปงามยิ้มอ่อน "เขาเป็นบุตรของท่าน ส่วนข้า ท่านก็เพียงแค่ส่งข้ากลับไป ที่กองทัพมีแพทย์ดูแลอยู่"
ดวงตาสีเหลืองเข้มที่มองมานิ่งๆอีกครายังคงบ่งบอกถึงความน้อยใจอยู่เต็มเปี่ยม จนเฉินอวี้ต้องจับมือใหญ่นั้นไว้
"เขาเป็นบุตรของท่านนะ เด็กๆ ที่ไม่สบายย่อมต้องการอยู่ใกล้ชิดบิดา มารดาส่วนข้าน่ะ ไว้ท่านแวะมาหาเมื่อใดก็ได้"
"บุตรของข้าอยู่ที่ป่าสีทอง แม้จะแตกต่างไปจากกวางตัวอื่นๆ แต่เขาก็มีพื้นฐานที่เข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ ขณะที่มนุษย์มักจัดลำดับ ยึดถือธรรมเนียม ความคิดวุ่นวายซับซ้อน และสับสน"
ทั้งที่กำลังถูกต่อว่า แต่น้ำเสียงกว้างใหญ่ของอีกฝ่ายทำให้เฉินอวี้รู้สึกง่วงงุน
"ข้าคิดว่าเทพแห่งป่าสีทองเป็นเพียงนิทาน"
"ข้าพอใจที่มันเป็นนิทาน และเจ้าจะเชื่อว่าข้าเป็นนิทานก็ได้ หากนั่นทำให้เจ้าไม่กีดกันข้าออกไป"
คนรูปงามหลับตาลงทั้งที่มีรอยยิ้มติดอยู่ที่มุมปาก

เมื่อตื่นนอนในเช้าของวันถัดมา เฉินอวี้ยอมรับกับตัวเองว่า แม้จะได้กลิ่นสาบเสือแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกกังวล แต่กลับพาลคิดต่อไปว่า ต่อไปในภายหน้าหากต้องเดินทางเข้าป่าแล้วได้กลิ่นสาบเสือแล้วจะมีความระมัดระวังหรือจะเพิกเฉยเหมือนในเวลานี้
และทั้งที่คิดมาตลอดว่า ขนเสือ หนังเสือนั้นสวยงามก็จริง แต่ก็น่ากลัวมากเช่นกัน แต่การที่ได้นอนซุกอยู่เช่นนี้กลับทำให้รู้สึกอุ่นสบายจนเคลิ้มหลับต่อไปอีกครา
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็คือเป็นเวลาเกือบเที่ยงวัน ตลอดสิบห้าปีมานี้เฉินอวี้ไม่เคยตื่นนอนในเวลานี้มาก่อน แล้วเมื่อมาเกิดขึ้นในเวลาที่อยู่กับเทพเสือโคร่งภูผาก็ทำให้คนรูปงามทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่

"เรื่องธรรมดาของคนที่นอนหลับสบาย" เทพเสือโคร่งภูผานั่งมองอีกฝ่ายดื่มโจ๊ก แล้วตามด้วยยาเหมือนเคย
เฉินอวี้กระแอมไล่ลมที่ติดคอ "ดื่มยาถ้วยนี้แล้วกลับได้เลยใช่ไหม"
คนตัวใหญ่ส่ายหน้าเร็ว ๆ "มิได้ ดื่มยาแล้วย่อมต้องนั่งพักหรือนอนพักอีกครู่หนึ่ง แล้วนี่ก็เที่ยงวันแล้ว ใครที่ไหนออกเดินทางยามเที่ยงกัน"
คนรูปงามอมยิ้มจนแก้มบุ๋มดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมามองเพียงคางของฝ่ายตรงข้ามแล้วก็กลับไปมองที่ถ้วยยาในมือ
ท่าทีนี้บ่งบอกชัดเจนว่ารู้ทัน

...ข้ารู้ว่าท่านกำลังคิดอะไร และข้ากำลังรอดูลูกไม้ต่อไปของท่าน...

พอเขาไม่พูดอะไรทั้งอมยิ้มแบบนี้ เทพเสือโคร่งภูผาก็ร้อนตัว "อวี้เอ๋อร์ เมื่อเจ้าหายดีข้าย่อมต้องส่งเจ้ากลับไปที่กองทัพอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เจ้ายังไม่แข็งแรง จะพาเจ้าข้ามผ่านทางลัดไปกับข้าไม่ได้ หากจะให้นั่งม้ากลับไปก็อาจกระเทือนศีรษะ กับหลัง"
เฉินอวี้พยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เมื่อดื่มยาเสร็จก็เดินไปนั่งเล่นอยู่ที่หน้าเรือนยา
"ที่เมืองลั่วอากาศเย็นตลอดปีใช่ไหม" เฉินอวี้ชวนคุย
เทพเสือโคร่งภูผารีบสานต่อบทสนทนาทันที "เป็นเช่นนั้น ที่นั่นอากาศเย็นตลอดปี คนก็จิตใจดี..." ที่จริงคนพูดยังไม่หมดถ้อยคำที่ต้องการพูดออกไป แต่กลับได้กลิ่นสาบเสือจางๆ อยู่ในอากาศ จากนั้นชายหนุ่มอีกคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเทพเสือโคร่งภูผาก็ก้าวออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ใหญ่
เทพเสือโคร่งภูผาหยุดเล่าเรื่องหันมาแนะนำผู้ที่มาใหม่ "นี่เทพเสือโคร่งศิลาดำ บุตรคนโตของข้าเอง"
ผู้ที่เพิ่งมาถึงก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อทักทาย ซึ่งสำหรับเฉินอวี้แล้วนี่เป็นการทำความเคารพที่มากเกินไป จึงตอบรับด้วยการก้มศีรษะในระดับที่ต่ำกว่า จนทำให้เทพเสือโคร่งภูผาที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมารยาทใด ๆ ต้องดึงต้นแขนของเฉินอวี้เพื่อไม้ให้ค้อมตัวลง ขณะที่หันไปถามบุตรชาย
"มีเรื่องใด"
"พบตัวคนที่สลายกระเรียนไฟไปทำเป็นยาพิษแล้ว"
เทพเสือโคร่งภูผาหันมามองเฉินอวี้แล้วหันไปสั่งบุตรชาย "ไปคุมไว้ก่อน หลังจากที่ข้าส่งอวี้เอ๋อร์กลับไปหาหลิวจิ้งแล้วจะตามไป"
เป็นอีกครั้งที่เทพเสือโคร่งภูผาเรียกชื่อของผู้มีอำนาจโดยไม่มียศตำแหน่งนำหน้า
"แต่ว่า..." เฉินอวี้ทักท้วงขึ้น เพราะต้องการกลับไปที่ค่ายทหารมาตั้งแต่แรก และเมื่อเห็นว่าเทพเสือโคร่งภูผามีเรื่องร้อนให้ต้องไปจัดการก็คิดว่าสมควรกลับไปในเวลานี้ แต่อีกฝ่ายไม่ยินยอม
"ข้าบอกเจ้าแล้วว่าข้าไม่อาจทิ้งเจ้าไว้ตามลำพัง ส่วนเจ้าคนนั้นที่ถูกพบตัวแล้ว จะถูกทำเครื่องหมายไว้ ต่อให้มันอยู่ใต้ดิน ข้าก็ยังตามหามันจนพบ"
ดวงตาสีเหลืองคู่นั้นวาวโรจน์เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจและความแค้น จนทำให้ชายหนุ่มต้องย้ำเตือนตนเองอยู่ในใจ ว่ามิว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าได้ทำให้คนผู้นี้โกรธโดยเด็ดขาด
แต่เมื่อรู้สึกตัวดวงตาสีเหลืองคู่นั้นก็อ่อนโยนลง
“ข้าสัญญา ทันทีที่เจ้าหายดี ข้าจะส่งเจ้ากลับไป”

...จบตอนที่สิบเจ็ด...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 22-06-2017 09:26:18
เกือบจะหวานแล้วหล่ะ...แต่นึกถึงตอนอวี้เอ๋อกินยาแล้ว...ขมแทนเลย  :t2: :t2: :t2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 22-06-2017 10:33:12
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-06-2017 11:11:10
ทำไมอยู่ๆ ม้าถึงได้เตลิด
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-06-2017 11:17:07
แน่ะ

พาลูกชาวบ้านเขามากก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 22-06-2017 14:20:51

อั๊ดโถ่วะ !!!!!! รอจะไปส่งเพราะจะไปแก้แค้นคนที่บังอาจมาแตะต้องคนของตัวเองล่ะซิ  o13  o13

ว่าแต่..............จูบนั้นแน่ๆ เฉินอวี้แลดูจะมอบใจให้กับพ่อเสือเราซะแล้ว
มันซับซ้อนความสัมพันธ์จริงๆถ้ามองในมุมของเฉินอวี้ ไม่ง่ายแน่ ๆพ่อเสือกับเฉินอวี้ผู้มีปมกับอันอับลูกคนสุดท้ายผู้นี้ เดาว่าความดีอย่างเดียวเอาไม่อยู่แน่

ขอบคุณค่ะ คุณMyTeaMeJive รอลุ้นไปกับตอนต่อไปนะคะ  :กอด1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-06-2017 02:10:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 23-06-2017 13:30:39
รอความหวานน้ำตาลเรียกพี่ตอนหน้านะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-06-2017 15:29:41
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 23-06-2017 16:02:42
เฉินอวี้ ร้องไห้ด้วย แสดงว่ามีใจให้แล้วสิ ตอนนี้ พัฒนาความสัมพันธ์ไปมากเลย   :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 23-06-2017 17:18:24
พ่อเสือนี่จัดว่ามีความเจ้าชู้ที่อบอุ่นมาก  :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 24-06-2017 22:41:38
ตามอ่านทันแล้ววว ❤️❤️
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: Min*Jee ที่ 25-06-2017 06:59:11
ยังอยู่ในช่วงจีบกันนนน พี่เสือช่างดูแลจริง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 26-06-2017 16:29:47
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

เราเข้าใจแล้วว่า ทำไมพ่อเสือมีเมียเยอะ
พ่อเสือเวลาดูแลคนรัก น่ารักอบอุ่นจริงๆ
แต่เวลาดุ ท่าทางเอาเรื่อง
รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 27-06-2017 18:28:42
ท่านเทพเสือโคร่ง ทำยังไงให้เฉินอวี้รู้ทันซะได้ อิอิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 29-06-2017 08:21:37

พ่อเสือคะ มาช่วยทางนี้หน่อย ทางนี้อยากอ่านต่อแล้วค่ะ  :m18:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 29-06-2017 21:33:56
 o11 o11

มาม่ะ...พ่อเสือจงมาสักที
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 30-06-2017 16:15:42
เรากลับมาแล้ว มารอพ่อเสือ
มาเล่าต่อเหอะ....เราคิดถึง
:m1: :m1: :m1:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 30-06-2017 16:29:55
 :a11: :a11:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-06-2017 18:13:53
เรามารอพ่อเสือด้วยคน :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 02-07-2017 08:51:22
 :hao4: :hao4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 02-07-2017 16:41:51
 พ่อเสือ พ่อเสื่อ พ่อเสื้อ....
มาเถอะ  เราคิดถึง...
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 02-07-2017 16:46:25
ฮึบ ฮึบ ฮึบ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 02-07-2017 20:29:35
 :fcuk:

เดินมาดูพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 03-07-2017 12:47:42
 แวะมาดู  และจากไปเงียบๆๆ
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: kitty08 ที่ 03-07-2017 17:25:08
เด็กๆนี่ขโมยซีนตลอด น้องริชน่ารักจริงๆจริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 03-07-2017 21:07:19
 :z2: มายังอ่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 04-07-2017 20:31:59
 เราอยากอ่านตอนต่อไปแล้วววววววว :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 05-07-2017 08:36:55
 :mew3: :mew3:

มาอ่ะยังง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่17P19(220660)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 05-07-2017 09:11:50
ติดไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวมาอ่านย้อนหลัง 2 ตอนล่าสุด 

เอ้า..ฮึบๆ คนเขียนสู้ๆ กินสุกี้เยอะๆนะ
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 05-07-2017 10:12:05
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่สิบแปด



เทพเสือโคร่งภูผาแห่งป่าสีทองเมืองลั่ว คือสัตว์เทพที่มีภารกิจวุ่นวายมากกว่าสัตว์เทพทั้งป่ารวมกัน เพราะนิสัยปกป้องคุ้มครองผู้อื่นเป็นพื้นฐาน รวมกับการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่นแล้วถือเอาว่านั่นคือเรื่องของตนเช่นกัน
เรียกอย่างง่ายก็คือ เรื่องในครอบครัวตนเองก็ยุ่งอยู่แล้ว ยังจะไปยุ่งในเรื่องของครอบครัวผู้อื่นเพิ่มเข้ามาอีก

เรื่องของสัญญาที่เทพเสือโคร่งภูผาทำไว้กับฮ่องเต้พระองค์ก่อน กับเรื่องราวทำให้กระเรียนโกเมนต้องเสียชีวิตนั้น จะว่าไปมันก็หาได้เกี่ยวข้องกัน และสามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยง่าย
แต่เพราะนี่คือเทพเสือโคร่งภูผาผู้วุ่นวาย จึงต้องมีการสั่งการให้ผู้นั้น ผู้นี้ไปสืบค้นจนกระทั่งเรื่องมันมาบรรจบกัน ณ จุดหนึ่ง ที่พบว่าจุดเริ่มต้นนี้ คืออดีตคนใกล้ชิดของตนเอง
แต่เพราะนี่คือเทพเสือโคร่งภูผา เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างแน่ชัด ถึงเวลาที่ต้องตัดก็ต้องตัดให้ขาด!

ตั้งแต่ฮ่องเต้จางหยวนเพิ่งครองราชย์ได้ไม่ถึงห้าปี พระธิดาพระองค์หนึ่งล้มป่วย แพทย์หลวงรักษาอยู่นานพระอาการก็ไม่ดีขึ้น เทพเสือโคร่งภูผาที่มีความสัมพันธ์อยู่กับสตรีผู้หนึ่งในเวลานั้นทราบเรื่องเข้า จึงถวายสมุนไพรหายาจากป่าสีทองเพื่อใช้ในการรักษา แลกกับการที่พระองค์จะต้องให้การดูแลสตรีผู้นั้น
ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนในระยะยาว เพราะเทพเสือโคร่งภูผาต้องมารักษาพระอาการของพระธิดาเป็นระยะ แม้ในภายหลังพระองค์จะเข้าพิธีอภิเษกไปแล้วก็ตาม ส่วนสตรีของเทพเสือโคร่งภูผาก็มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายมาโดยตลอดแม้ในภายหลังจะห่างกันไป 
ถือว่าทั้งสองฝ่ายต่างรักษาสัญญาด้วยดี
ต่อมาเทพเสือโคร่งภูผาต้องกลับไปบำเพ็ญเพียรที่ป่าสีทอง ระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ขึ้น เมื่อกระเรียนโกเมนที่สูญหายไป เทพเสือโคร่งภูผาติดตามเรื่องราวจนพบว่าเกี่ยวข้องกับพรานป่าที่พักอยู่ใกล้ป่าสีทอง จากนั้นก็ตามต่อไปจนถึงเมืองหลวงจึงสรุปเรื่องราวได้ว่า มีผู้ว่าจ้างให้ใครบางคนหลอกล่อกระเรียนสีแดงออกมาจากป่า เพื่อสลายร่างทำโอสถวิเศษรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้จางหยวน

ตรงผู้ว่าจ้างคือใคร และใครบางคนนั้นคือใคร คือคำถามที่เทพเสือโคร่งใช้เวลาตามหาอยู่นานนับปี
ในทางตำรายา เคยได้ยินว่าอวัยวะสัตว์ป่าของหลายชนิดมีสรรพคุณด้านการกระตุ้นตัวยา บ้างมีฤทธิ์เป็นยาบำรุง หรือในทางตรงข้ามก็คือเป็นยาพิษ แต่กระเรียนมีสรรพคุณทางยาด้วยหรือ 

นกกระเรียนเป็นสัตว์ที่มีอายุยืนยาว จะผ่านการบำเพ็ญเพียรถึงขั้นเทพหรือไม่ถึงขั้นเทพ ก็ล้วนเป็นผู้ที่มีความสุขุมและเยือกเย็นไม่ต่างกัน แต่กระเรียนโดยทั่วไปจะเป็นสัตว์ย้ายถิ่น รวมถึงกระเรียนในป่าสีทองก็เป็นสัตว์ย้ายถิ่น เว้นก็แต่กระเรียนโกเมนตนนี้ที่อยู่แต่ในป่าสีทองมาตลอดชีวิต และอีกประการหนึ่งก็คือเขาเป็นสหายกับเทพเสือโคร่งภูผา และเทพกวางสายฟ้า

ย้อนกลับไปในตอนที่กระเรียนโกเมนหายไป เกิดขึ้นในช่วงที่เทพเสือโคร่งภูผา และสัตว์เทพอีกหลายตนกำลังอยู่ในระหว่างการบำเพ็ญเพียรที่ต้องใช้เวลานานหลายปี ดังนั้นกว่าที่จะออกจากการบำเพ็ญเพียร เรื่องราวก็สายเกินกว่าจะแก้ไข บุคคลในเรื่องราวส่วนนี้หลายคนหาชีวิตไม่แล้ว
ทั้งหมดที่เทพเสือโคร่งภูผาได้รับรู้จึงเป็นคำบอกเล่าของพรานพื้นบ้านที่ว่า มีผู้มาว่าจ้างให้หากระเรียนสีแดง ซึ่งมีพรานอยู่คนหนึ่งที่รับงานเพราะต้องการเงินจำนวนมาก เพื่อนำไปใช้ในการตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เมืองอื่น
แต่การจะลงมือต่อกระเรียนที่มีลักษณะพิเศษไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีพรานอีกหลายคนร่วมมือด้วย
....น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ใช้เงินที่ได้มาจากการล่ากระเรียนสีแดง...กระเรียนโกเมน
ในความจริงโกเมนเป็นอัญมณีที่มีสีเหลื่อมกัน ตั้งแต่แดง ม่วง น้ำตาลไปจนถึงชมพู
เทพเสือโคร่งภูผา จึงสันนิษฐานว่า คำสั่งนั้นอาจหมายถึงกระเรียนสีแดงทั่วไป หรือกระเรียนไฟก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้กระเรียนโกเมนยังไม่ชอบออกมาจากป่าสีทอง ดังน้้นแสดงว่า ต้องมีผู้ที่รู้เรื่องคำว่าจ้างนี้แล้วไปล่อลวงกระเรียนโกเมนให้ออกมาจากป่า

กระเรียนโกเมนมีความแค้นกับผู้ใดกัน!
และ
เจ้าคนอุตริกำหนดสูตรโอสถที่มีกระเรียนที่มีสีแดงเป็นส่วนประกอบนั่นมันคือใคร!

ตั้งแต่ตอนที่สอบปากคำพวกคนในหมู่บ้าน เทพเสือโคร่งภูผาก็รู้แล้วว่า ฮ่องเต้จางหยวนสิ้นพระชนม์แล้ว นั่นคือแม้จะรับโอสถวิเศษที่มีกระเรียนโกเมนเป็นส่วนประกอบแต่พระองค์ก็หลีกหนีความตายไม่พ้น
จากนั้นในการที่ไปสำรวจที่สุสานพระราชวงศ์ ก็ทำให้ทราบว่า ฮ่องเต้จางฉวนองค์ปัจจุบันใช้พิษอะไรกับบรรดาพระเชษฐา และพระบิดา
ฮ่องเต้จางฉวน ทรงนับเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้พิษโดยแท้
การพบกันที่อารามหลวงจึงเป็นการลองเชิง และเสแสร้ง เพื่อที่จะทำความรู้จักกับฮ่องเต้พระองค์นี้ให้มากขึ้น
รู้ว่าใช้พิษอะไร จากนั้นก็รู้จักคนที่วางยาพิษ แต่ยังไม่รู้ว่าใครคือคนที่สั่งโอสถถวายเพื่อแก้พิษนั้น
เทพเสือโคร่งภูผา เสียเวลาไปหลายสัปดาห์กับการรื้อค้นห้องยา และสำนักแพทย์หลวง รวมถึงการลอบติดตามแพทย์หลวงหลายคนเพื่อลอบฟังและหาว่า คนผู้นั้นคือใคร

แต่ในระหว่างการสืบค้นที่ดูสิ้นหวังนี้ดำเนินต่อไป เทพเสือโคร่งภูผายังพอมีเรื่องให้ชุ่มชื่นหัวใจ นั่นคือการได้พบกับเฉินอวี้
การสืบหาประวัติของชายหนุ่มผู้นี้เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดแล้ว และสามารถเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ยินดีจะทำที่สุดแล้ว นับตั้งแต่พบหน้าที่บ้านของหยางจงจิน แล้วภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วยามถัดมาเทพเสือโคร่งภูผาก็ล่วงรู้ทุกอย่างที่อยากรู้ รวมถึงตำแหน่งห้องนอนของชายหนุ่มผู้นี้ด้วย
แต่การที่ได้เข้าไปในห้องนั้น กลับเป็นเรื่องที่ใช้เวลานานอย่างไม่น่าเชื่อ

...ที่ตลกที่สุดก็คือขณะที่กำลังรื้อค้นห้องยา แล้วพลันนึกถึงใบหน้าของอวี้เอ๋อร์ นึกถึงรอยยิ้ม การเคลื่อนไหว ทุกสิ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เทพเสือโคร่งภูผาก็จะยิ้มตาม อยากไปหา อยากเห็นหน้า
 อยากทักทาย รู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปหลายชั่วยาม จากนั้นก็ไปแอบมองเขาจากที่ไกลๆ สีหน้าท่าทางเวลาที่อวี้เอ๋อร์เหลียวมองหานั่นน่ารักมาก แต่จะไปหาทั้งที่ยังจัดการเรื่องราวไม่ลงตัวมันก็ไม่ดีใช่หรือไม่...

ยังมีเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับปัญหาใดๆ แต่กลับเป็นเรื่องที่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาเป็นทุกข์มากที่สุดก็คือเรื่องนางเทพกวางสายลมให้กำเนิดกวางทองตัวน้อยที่มีขนาดเพียงฝ่ามือ แขนขาลีบเล็กจนไม่อาจยืนได้ด้วยตนเองเมื่อแรกเกิด
ตามกฎของสัตว์ป่า กวางทองผู้นี้อ่อนแอเกินไปและจะต้องถูกปล่อยให้ตาย
ถึงนางเทพกวางสายลมจะเป็นสัตว์เทพ แต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ ประกอบกับเนื้อในที่ยังเป็นกวางทำให้นางเป็นผู้ที่ความกังวลอยู่ในระดับสูง ต่อให้นางบดบังความกังวลนั้นไว้ด้วยคำพูดเด็ดขาด แต่เมื่อต้องถูกกดดันให้ต้องปล่อยบุตรไป นางก็ไม่อาจบดบังความกังวลนั้นไว้ได้อีก จะหนทางใดก็ไม่กล้าตัดสินใจเลือกทั้งสิ้น จึงหารือกับเทพกวางสายฟ้าผู้เป็นคู่ครอง และถ่วงเวลารอให้เทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดาที่แท้จริงกลับมาตัดสินใจ

เทพเสือโคร่งภูผากล่าวขณะที่อุ้มกวางทองตัวน้อยไว้แนบอกว่าขอเวลาเจ็ดวันในการดูแล แล้วค่อยตัดสินอีกครั้งว่าจะปล่อยกวางทองไปหรือไม่
ซึ่งในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้เอง ที่เทพเสือโคร่งภูผาถ่ายพลังชีวิตให้กับกวางทองทุกวัน จนกระทั่งกวางทองลุกขึ้นยืนได้ด้วยตนเอง ดวงตาสีทองคู่นั้นเปล่งประกายงดงาม
พลังชีวิตของเสือโคร่งภูผาที่พยุงชีวิตของกวางทองตัวน้อยไว้ เจือจางอยู่ในมวลอากาศรอบตัวจนเทพผู้ปกครองป่า ไปจนถึงสัตว์ป่าทุกตัวในป่าสีทองรับรู้ได้ แม้จะรู้สึกว่าการสละพลังชีวิตนี้ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อเป็นสิ่งที่บิดายกให้กับบุตร ก็กลับกลายเป็นการยกย่องและชื่นชมในความเสียสละที่ยิ่งใหญ่

และในเวลาเดียวกันนี้ เทพกวางทั้งสองรู้สึกละอายใจอย่างยิ่งที่หาได้มีความกล้าหาญมากพอที่จะมอบพลังชีวิตของตนเองเพื่อพยุงชีวิตของกวางทอง
หากเมื่อเวลาผ่านไป ขณะที่เทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้อยู่ในป่า แต่กวางทองตัวน้อยมีอาการอ่อนแรงลงเรื่อยอีกครั้ง  เทพผู้ปกครองก็มาขอให้เทพกวางทั้งสองยึดมั่นในกฎแห่งป่า แต่เทพกวางทั้งสองลักลอบส่งข่าวถึงเทพเสือโคร่งภูผา เพื่อขอให้ช่วยเหลือ จากนั้นเทพเสือโคร่งก็เร่งรีบกลับมาแล้วถ่ายทอดพลังชีวิตให้กับกวางทองตัวน้อยทันที

"ข้าเข้าใจว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงต้องการปล่อยกวางทองไป" ผู้ที่มีรูปร่างหนากำยำแสร้งกล่าวประชดประชัน ทั้งที่เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าเทพทั้งสองก็พยายามอย่างเต็มที่แล้ว ที่จะช่วยกวางทอง ทั้งตนเองก็ภูมิใจที่ได้ดูแลบุตร แต่พอเห็นทั้งคู่มีสีหน้าท่าทางเสียใจ และยอมทำตามคำพูดของตนเองทุกอย่างก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมต้องการวางท่าใส่ทั้งสองอีกสักเล็กน้อย "กวางตกลูกได้ง่ายกว่าเสือ พวกเจ้าจึงตัดใจได้ง่ายกว่าข้า"
"การปล่อยบุตรไปย่อมเป็นเรื่องเจ็บปวด แต่จะฝ่าฝืนรักษาเขาไว้ เราก็มิได้เข้มแข็งมากพอ" เทพกวางสายฟ้ากล่าวยอมรับด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง "ข้ามักกล่าวว่าข้ารักเขามาก แต่เทียบกับท่านแล้ว ข้าก็เป็นแค่กวางที่ได้แต่พูดพร่ำไปเรื่อย"
เห็นเทพกวางผู้งดงามรู้สึกเสียใจด้วยใจจริงเช่นนี้ เทพเสือโคร่งภูผาได้แต่ลอบหัวเราะอยู่ในใจ
"ข้าก็แค่มอบพลังชีวิตของเสือโคร่งแก่ ๆ ตัวหนึ่ง ให้กวางทองลูกชายที่งดงามของข้า หาใช่เรื่องยิ่งใหญ่อันใด" คนรูปร่างสูงใหญ่กอดกวางทองตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน
กวางทองย่อมมิใช่บุตรตนแรกของเทพเสือโคร่งภูผา แต่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นบุตรที่รักมากที่สุด "อีกอย่าง เมื่อเขาคือลูกของข้า เขาย่อมอยู่เหนือกฎใด ๆก็ตามที่มีอยู่ในแผ่นดินนี้" เทพเสือโคร่งภูผามีสีหน้าท่าทางที่จริงจัง "หากพวกเจ้าเลี้ยงไม่ได้ข้าจะพาไปให้พวกจิ้งจอกเลี้ยง"
"ไม่" นางเทพกวางสายลมแย้งขึ้น
เทพกวางสายฟ้ากล่าวขึ้นบ้าง "เขาเป็นลูกของพวกเราเช่นกัน แม้ก่อนหน้านี้เราจะทำอะไรให้ท่านไม่มั่นใจ แต่ขอรับรองว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก พวกเราจะไม่ปล่อยเขาไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม และท่านยังสามารถมาพบเขาได้ตลอดเวลา"
"รวมถึงหากเขาอ่อนแอลงไปอีก ก็ต้องเรียกข้าทุกครั้ง"
"ได้" เทพกวางสายฟ้ารับคำ
"กวางอ่อนแอ พูดมากอย่างพวกเจ้ามีหน้าที่แค่บอกกับเทพผู้ปกครองว่า ต้องรอข้ากลับมาเข้าใจหรือไม่"
"เข้าใจแล้ว" ถึงยามนี้มิว่าเทพเสือโคร่งภูผาจะกล่าวคำประชดอีกสักกี่คำ หรือจะเรียกร้องสิ่งใด เทพกวางทั้งสองก็มิได้ต่อรองสักคำ
"ข้ารู้ว่าเจ้าจะดูแลกวางทองเป็นอย่างดี" ยังมีใครที่ไหนที่ไม่รักกวางทองตัวน้อยของข้า เทพเสือโคร่งภูผาหรี่ตาหันไปมองนางเทพกวางสายลมที่จ้องมองกวางทองตัวน้อยในอ้อมกอดของเขาไม่วางตา แต่ไม่มีความกล้าที่จะแย่งไปอุ้มเอง
"ขอโทษที่ข่มเหงบังคับเจ้า แต่อย่าปล่อยกวางทองไปได้ไหม"
"ใครจะไปทำเช่นนั้นกัน" ดวงตาของนางบ่งบอกชัดเจนว่าอยากอุ้มกวางทองใจจะขาด "ที่พวกเราถ่วงเวลารอท่านกลับมา ก็เพราะไม่อยากปล่อยกวางทองไปไม่ใช่หรือไง ท่านเองก็เห็นแล้วว่า ตั้งแต่แรกมาไม่ว่าพวกเราจะกล่าวอะไรออกไปล้วนไร้น้ำหนัก มีแต่ท่านที่พอพูดอะไรขึ้นมาสักคำ ต่อให้เป็นถ้อยคำเหลวไหล พวกเขาก็กลับถือเป็นเรื่องจริงจัง"

ถึงจะถูกเหน็บแนมกลับมาว่าพูดจาเหลวไหว แต่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาอารมณ์ดีขึ้น
...การโต้เถียงแบบนี้ต่างหากที่คุ้นเคย ไม่ใช่ท่าทีกังวลแบบนั้น...
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าต้องไม่ถ่ายพลังชีวิตให้กวางทอง ข้าจะรับหน้าที่นี้เอง เพราะพวกเจ้ายังต้องคุ้มครองที่นี่ ข้ามีความรู้สึกว่านิทานเพ้อเจ้อเรื่องขุมทรัพย์ในป่ากำลังชักนำภัยพิบัติมาที่นี่"
"แต่ท่านเองยังต้องไปจัดการเรื่องกระเรียนโกเมน" เทพกวางสายฟ้าท้วงขึ้น กระเรียนโกเมนก็เป็นสหายของเขาเช่นกัน
ผู้ที่ยังกอดบุตรไว้ไม่ยอมคลายออกทำท่าว่าไม่ใส่ใจ "ข้ามีพรรคพวกอยู่มาก ไม่ต้องออกแรงเองมากมาย แค่วางตำแหน่งให้เหมาะสมเท่านั้น"

หลังเจรจาโอ้เอ้วกวนอีกพักใหญ่ เทพเสือโคร่งภูผาจึงมอบกวางทองให้นางเทพกวางสายลม นางก็รีบอุ้มกวางทองเข้าไปในถ้ำทันที
"กลัวข้าจะแย่งกวางทองไปหรือไง บอกเสียก่อนนะ ว่าต่อให้เจ้าหลบเข้าไปในถ้ำหรือมุดลงไปใต้ดิน หากข้าจะแย่งเขามาข้าก็ย่อมทำได้"
หลังจากที่เย้าแหย่นางเทพกวางสายลมเพื่อช่วยผ่อนคลายความกังวล ก็หันมาทำสีหน้าลำบากใจกับเทพกวางสายฟ้า
"ข้าไม่รู้ว่าจะโกรธท่านดีหรือไม่" เทพกวางสายฟ้าผู้สง่างามกล่าวตามตรง
"ไม่ต้องชอบข้าก็ได้ แค่ไม่โกรธข้าก็พอ" เทพเสือโคร่งภูผายิ้มยิงฟัน แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้านิ่ง
"เจ้าเป็นกวางที่ไม่มีอารมณ์ขัน"
เทพกวางสายฟ้าสายฟ้าส่ายหน้าเหนื่อยใจ "ช่างเถอะ เรื่องกวางทองน่ะ ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านวุ่นวาย แต่พวกเราก็พยายามแล้ว ถึงได้ให้ศิลาดำไปตามท่านกลับมา"
เทพเสือโคร่งภูผาหัวเราะเสียงแปลกๆ "ข้ารู้จักคนผู้หนึ่งนิสัยคล้ายท่าน"
"คนที่ไม่มีอารมณ์ขันน่ะหรือ"
"ใช่" เทพเสือโคร่งภูผากล่าวด้วยรอยยิ้ม "เวลาที่เขาพูดคุยกับคนอื่น ก็เห็นเขาพูดเรื่องสนุกสนานได้ หัวเราะเสียงดังและมีชีวิตชีวา แต่เวลาพูดกับข้า เขามักจะเจรจาเรื่องการงานเท่านั้น"

ดวงตาสีเหลืองจ้องมองอีกฝ่ายตรง ๆ แล้วก็พยักหน้า ทำให้เทพกวางสายฟ้าสงสัย
"ท่าทีนี้หมายความว่าอะไร"
"ข้าก็แค่เพิ่งเข้าใจบางอย่าง" เทพเสือโคร่งภูผายิ้มกว้าง "ข้ามักสงสัยตนเองว่าที่ผ่านมา ข้าพบกับสัตว์เพศผู้ หรือชายรูปงามมากมาย โดยเฉพาะเจ้า แต่ข้ากลับไม่เคยคิดอยากผูกพัน ทำไมเมื่อพบกับอวี้เอ๋อร์แล้วข้ากลับรู้สึกต้องการทำความรู้จัก อยากผูกพัน เฝ้าตามตอแยเขาไม่เลิก"
"อวี้เอ๋อร์...คนเดียวหรือ"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า
เทพกวางสายฟ้าหัวเราะก้อง แล้วหันมาทำหน้าตาล้อเลียน "ท่านไม่คิดว่า ที่เขาไม่มีอารมณ์ขันกับท่านก็เพราะว่าเขามิได้สนใจท่านหรอกหรือ
"เป็นไปไม่ได้" ผู้ที่มีรูปร่างหนายืนกางขา ยืดไหล่กว้างออก "ข้าออกจะสง่าผ่าเผยเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่สนใจข้า"
"เขาอาจไม่กล้าที่จะปฏิเสธท่านก็ได้"
"เขาปฏิเสธข้าตั้งแต่แรกเจอ" กล่าวแล้วก็เอียงคอสงสัยตนเอง "ข้าถูกปฏิเสธแต่แรกเช่นนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้"
"ท่านชอบเขาเช่นนั้นหรือ"
อีกฝ่ายพยักหน้า
"เช่นนั้นขอเตือนท่านอย่างจริงจัง แม้ว่าข้าจะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านความรักเช่นท่าน แต่ข้าก็พอจะรู้ว่า นางเทพเสือโคร่งบงกชอาจเป็นปัญหาที่ท่านแก้ไขได้ยากที่สุดหากท่านยังตามตอแยอวี้เอ๋อร์ของท่านต่อไป"
เทพเสือโคร่งภูผาเกือบจะโบกมือไม่สนใจเหมือนทุกครา แต่กลับนึกขึ้นได้
"นางเคยมาที่นี่ใช่ไหม"
เทพกวางสายฟ้าเพียงมองตรงไปยังขอบฟ้าห่างไกล คนที่เป็นสาเหตุของเรื่องราวมากมายจึงกล่าวคำขออภัย
"เรื่องที่นี่ข้าพอจะมีแรงจัดการได้ ท่านไปจัดการเรื่องของกระเรียนโกเมนเถิด"
เทพเสือโคร่งภูผาหันไปมองปากทางเข้าถ้ำกวางแล้วกล่าวขึ้น
"หากมีเรื่องใดก็เรียกข้าได้ โดยเฉพาะเรื่องของกวางทอง ข้าจะมาในทันที"

ก่อนที่เทพเสือโคร่งจะจากไป เทพกวางสายฟ้าจึงให้คำแนะนำที่สำคัญ
"อ่อนโยนกับคนรักของท่านบ้าง ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือเทพล้วนไม่พอใจการปฏิบัติต่อกันเหมือนเป็นสิ่งของ ตอนที่ท่านรักพวกเขาก็เฝ้าตามตื้อ แต่เมื่อได้มาก็ละเลย"
"บงกชเป็นเทพเสือโคร่ง ส่วนอวี้เอ๋อร์เป็นผู้ชาย เขาไม่ต้องการความอ่อนโยนอะไรนั่น"
เทพกวางสายฟ้าทำเสียงแปลก ๆ ในลำคอขณะที่ส่ายหน้า ผู้ที่กำลังดื้อรั้นก็หยุดคิด เหลียวกลับมามองเทพกวางสายฟ้า อดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่อีกสักคำ
"ข้าว่า ข้าน่าจะเฝ้าตามตื้อเจ้าบ้างนะ"
"ภูผา!" เทพกวางสายฟ้า ที่ไม่ได้ใช้พลังวิเศษของตนมานานนับปี กำลังส่งเสียงดังปานสายฟ้าจนผืนดินสะเทือน
แต่เมื่อนางเทพกวางสายลมรีบออกมาดูด้วยความเป็นกังวลก็พบว่าต้นเหตุหายไปแล้ว
"ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น"
เทพกวางสายฟ้าไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่กระนั่นนางเทพกวางก็ยังรู้สึกถึงความไม่พอใจในระดับเข้มข้นที่เจือจางอยู่ในอากาศ

เทพเสือโคร่งภูผา ยังไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวง แต่แวะมาที่ป่าเสือโคร่ง
นางเทพเสือโคร่งบงกชเป็นเสือโคร่งผู้มีปลายหางเป็นสีดั่งดอกบัว เมื่อเห็นว่าเทพเสือโคร่งภูผากลับมาในร่างมนุษย์จึงเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์เช่นกัน
"ท่านพี่"
"บงกช สบายดีหรือไม่"
คำถามนี้ไม่เพียงนางเทพเสือโคร่งที่ประหลาดใจ บรรดาบุตรชายหญิงและบริวารที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ประหลาดใจเช่นกัน
"สบายดี" นางกล่าวขึ้นหลังจากที่หายประหลาดใจแล้ว
เทพเสือโคร่งภูผา หันไปเรียกเทพเสือโคร่งศิลาดำ เทพเสือโคร่งศิลาแดง และนางเทพเสือโคร่งมุกดาเข้ามาหารือ ขณะที่เสือโคร่งตัวอื่น ก้าวถอยออกไปอยู่รอบ ๆ
การที่เทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้ได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากในป่าสีทอง นอกจากพลังอำนาจในการคุ้มครองที่อยู่เหนือสัตว์เทพหลายตัวแล้ว เขายังมีบุตร ธิดาอีกสามตนที่มีพลังอำนาจอยู่ในระดับเทพ

"เรื่องของกระเรียนโกเมน มีแนวโน้มว่าเป็นการหยั่งเชิงเรื่องขุมทรัพย์ในป่าสีทอง คนร้ายบุกรุกเข้ามาในตอนที่พวกเราบำเพ็ญเพียร และหลบซ่อนตัวเพื่อรอดูว่าเราจะพบเขาเมื่อใด พ่อจึงให้ศิลาดำออกไปช่วยการสืบค้นที่ด้านนอก ส่วนที่นี่ต้องขอให้บงกชเป็นผู้สั่งการตรวจตราอย่าให้นายพรานหรือใครเข้ามาโดยเด็ดขาด"
นางเทพเสือโคร่งบงกชกล่าวขึ้น "เขารู้กำหนดเรื่องการบำเพ็ญเพียรหรือว่ามีคนในที่บอกเขา"
"ข้าสงสัยว่าอาจเป็นพรานป่าที่รู้จักกับพวกเรา แต่ตอนนี้เจ้าพรานนั่นถูกสังหารไปแล้ว"
นางเทพเสือโคร่งมุกดากล่าวเบา ๆ "เพราะรู้จักกัน ท่านลุงโกเมนถึงได้ตามออกไปนั่นเอง"
"ก่อนที่จะถูกสลายร่างอาจถูกบังคับให้เปิดเผยเรื่องราวขุมทรัพย์ด้วยก็เป็นได้" เทพเสือโคร่งศิลาแดงคาดเดา "แล้วยังมีเรื่องโอสถวิเศษนั่นที่ถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้อง"
"มันเป็นความประจวบเหมาะ ชาวไท่ชางยกให้กระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุยืน เมื่อฮ่องเต้ประชวรก็สรรหาโอสถวิเศษ หวังที่จะให้กระเรียนมาต่ออายุของพระองค์ แต่ไม่สำเร็จ"
"หากพระองค์หายป่วยจริงๆ พวกเขาคงบุกเข้ามาไล่จับสัตว์ป่าที่นี่ไปทำยาอายุวรรธนะ" เทพเสือโคร่งศิลาแดงยังคงเป็นกังวล
"สัตว์ทุกตัวในป่าย่อมต้องร่วมกันเฝ้าระวัง จะให้พวกนกป่า และลิงค่างคอยเฝ้าจับตาพื้นที่โดยรอบให้มากขึ้น ส่วนพวกเรากับพวกจิ้งจอกจะต้องพร้อมที่จะเข้าจัดการกับผู้บุกรุกในทันที" นางเทพเสือโคร่งบงกชบอกแผนการณ์คร่าวๆ "แต่ข้ายังกังวล ว่าเทพหรือสัตว์ป่าตนใดในที่นี้ ที่เปิดเผยเรื่องของพวกเรา"
นางเทพเสือโคร่งมุกดาหันไปมองเทพเสือโคร่งศิลาดำผู้มีศักดิ์เป็นพี่ใหญ่แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น
"เช่นนั้นก็ต้องระวังจิ้งจอกไฟของท่านพี่ศิลาดำแล้ว เขาชอบพวกมนุษย์ไม่ใช่หรือ"
"ไฟชอบมนุษย์แต่ไม่ได้โง่" เป็นครั้งแรกที่เสือโคร่งศิลาดำเอ่ยปาก น้ำเสียงนั้นก็ยังคล้ายกับผู้เป็นบิดา เหมือนกับรูปร่างหน้าตาเช่นกัน
และเมื่อเอ่ยปากออกมา น้องสาวน้องชายต่างก็เก็บปาก
"เอาเถอะ อย่างไรพวกเราก็ต้องบอกเรื่องราวให้สัตว์ป่าและเทพอื่น ๆ ทราบเรื่องอยู่แล้ว รีบหาตัวคนที่คิดร้ายต่อที่นี่ให้เร็วที่สุด

หลังจากที่การเจรจาเรื่องการงานผ่านไป เทพเสือโคร่งภูผาจึงหันมาหานางเทพเสือโคร่งบงกช
"ดูเหมือนเจ้าจะมีคำถาม"
"ท่านถ่ายพลังชีวิตให้กวางทองอีกแล้วหรือ"
"ก็แค่พลังชีวิตเล็กน้อยไม่กี่ปี"
"แล้วยังต้องถ่ายพลังให้อีกกี่ครั้ง หากถ่ายพลังชีวิตแล้วท่านก็จะต้องบำเพ็ญฌานเพื่อชดเชยก็จะไม่ทักท้วงหรอก แต่นี่ท่านกลับเตรียมตัวออกเดินทางต่อ"
เทพเสือโคร่งภูผามักนิ่งเงียบ เมื่อนางกล่าวความจริง
"ข้ายังรู้สึกถึงไอมนุษย์เบาบาง ที่จะรีบกลับไปเพราะนางด้วยใช่หรือไม่"
"ข้าบุ่มบ่ามเข้าไปขวางทางฮ่องเต้คนปัจจุบัน จนทำให้...ทางนั้นต้องเดือดร้อนไปด้วย จางฉวนเป็นคนโหดเหี้ยมฆ่าได้แม้แต่บิดา และพี่น้องของตนเอง ข้าจึงไม่อาจวางใจ"
นางเทพเสือโคร่งบงกชพลอยถอนหายใจหนัก ๆ "คนดี ๆ มีมากมายทำไมไม่ไปคบหาเขา"

เทพเสือโคร่งภูผายังคงเถียงนางอยู่ในใจ เมื่อนางสรุปรวมผู้คนทั้งหญิงและชายมากมายมาไว้ในหนึ่งประโยคที่ทำให้ฟังดูแปลก ๆ
ส่วนบุตรชายหญิงที่รับฟังโดยไม่มีความเห็นต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความสงสัยไม่เข้าใจคำกล่าวของมารดาเลยสักนิด
ว่าที่จริงมีเพียงเทพเสือโคร่งศิลาดำเท่านั้นที่ฟังแล้วเข้าใจ เพราะรู้เรื่องทั้งหมด แต่ที่ทำเป็นไม่รู้เรื่องไปด้วย ก็เพราะยังไม่พอใจที่จิ้งจอกไฟถูกกล่าวหาว่าอาจเป็นคนที่เปิดเผยเรื่องราวของป่าสีทอง
ส่วนน้องชายและหญิง กว่าจะรู้ความจริงก็หลังจากนั้นอีกนานนับปี
นานทีเดียวกว่าที่จะได้รู้ว่า จางฉวนคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ส่วนคนที่บิดาพัดพาความเดือดร้อนไปถึงคือเฉินอวี้ซึ่งเป็นชาย หาใช่สตรีแต่อย่างใด
แต่สำหรับเทพเสือโคร่งภูผาใช้เวลาอีกไม่นานนักจึงได้รู้ว่า เรื่องที่คาดคิดไว้นั้นถูกต้องครึ่งหนึ่ง
เอาเป็นว่าในช่วงเวลานี้ หลังจากที่จัดการเรื่องที่ป่าสีทองเสร็จสิ้นก็กลับไปที่เมืองหลวง แล้วได้ยินเรื่องรับสั่งพิเศษของฮ่องเต้จางฉวนเข้าก็ร้อนใจจนต้องกลับไปที่กองทัพฝ่ายตะวันตกแล้วตามไปจนถึงขบวนล่าสัตว์ถึงได้พบว่าเฉินอวี้ตกม้า

สาเหตุนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการที่เจ้าม้านั่นตกใจเกินเหตุ ม้าอื่น ๆ ก็ได้กลิ่นของเสือโคร่งไม่เห็นจะมีม้าใดที่ตกใจ เว้นแต่เจ้านี่ที่ใจเสาะเกินกว่าม้าตัวอื่นวิ่งเตลิดแล้วสะบัดเฉินอวี้จนตกหน้าผา ใจจริงอยากกลับไปจัดการแยกร่างเจ้าม้านั่น แต่ติดขัดก็ตรงที่ต้องอยู่ดูแลเฉินอวี้ที่หมดสติไป
ตั้งแต่ถ่ายพลังชีวิตให้กับกวางทอง เทพเสือโคร่งภูผาก็ยังไม่ได้หยุดพักเพื่อบำเพ็ญฌานและฟื้นฟูพลัง เพราะต้องเร่งรีบเดินทางแล้วยังต้องมาถ่ายพลังเพื่อรักษาอาการให้กับเฉินอวี้อีก
การคืนร่างเสือโคร่งนอกเขตป่าสีทองจึงมีสาเหตุจากความอ่อนเพลียนั้นเอง
ก็อ่อนเพลียขนาดที่ไม่มีแรงจะกลับคืนร่างจนกระทั่งอีกฝ่ายตื่นนอนขึ้นมาก่อน
โชคดีที่เฉินอวี้เป็นคนใจเย็น ไม่เอะอะโวยวาย ค่อย ๆ ซักถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผู้ที่ตอบทุกคำถามก็ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญบังคับตนเอง และถือโอกาสระหว่างที่เฉินอวี้พักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่นั้น มาฟื้นฟูพลังของตนเองเช่นกัน
 
แต่ทั้งหมดนี้จะปิดใครก็ปิดได้ แต่ปิดเจ้าเทพเสือโคร่งศิลาดำไม่เคยได้สักเรื่อง แถมเจ้านั่นยังทำสีหน้ารู้ทันในตอนที่บอกไปว่าต้องการรักษาอาการบาดเจ็บของเฉินอวี้ก่อน แล้วจึงจะตามไปที่บุคคลที่เป็นสาเหตุของเรื่องราว

ที่จริงก็ห่วงเฉินอวี้อยู่ว่าการเดินทางด้วยม้าจะกระทบกระเทือน แต่สภาพในตอนนี้ก็พร้อมอยู่เพียงเจ็ดส่วน ซึ่งโดยทั่วไปยังถือว่าอยู่ในระดับที่ดี แต่เพราะที่นี่อยู่ห่างไกลจากเมืองลั่ว และป่าสีทองอยู่มาก การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของอีกฝ่ายบ่งบอกว่า มีการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี เทพเสือโคร่งภูผาจึงไม่ประมาท

หลังจากที่เทพเสือโคร่งศิลาดำมาแจ้งข่าวแล้วกลับไป อีกสามวันถัดมาเทพเสือโคร่งภูผาจึงมาส่งเฉินอวี้ ที่ค่ายทหารของกองทัพฝ่ายตะวันตก หลังจากที่เข้าไปกล่าวฝากฝังดูแลคนกับทางแม่ทัพฝ่ายตะวันตกสักหลายจอกก็ออกเดินทางไปยังเมืองจงพวน

....จบตอนที่สิบแปด...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 05-07-2017 10:27:57
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-07-2017 21:06:51
ย่อหน้าแรกของตอนนี้สรุปตัวตนของท่านเสือ (ก) ได้อย่างดี

ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ไม่ได้ตั้งใจจะว่านะ แต่คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวทันที ฮ่า ๆ ๆ ๆ

ท่านภูผานับว่าเป็นผู้มีความรับผิดชอบอย่างยิ่ง นับถือในความเป็นพ่อและผู้นำ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 05-07-2017 21:23:08
แปะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 05-07-2017 23:33:17
เทพเสือนี่จัดได้ว่าเป็นพวกใจง่าย ดูจะรักคนง่ายไปหน่อย ถ้าถามถึงบ้านเล็กบ้านน้อยน่าจะมีหลายหลังอยู่ นอกจากเทพกวางเเม่ของลู่เเล้วยังจะตอดเล็กๆกะพ่อเทพกวางอีก...เจ้าชู้จริงๆ555

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 06-07-2017 08:02:18
มาแปะจองพื้นที่ก่อนเน้อ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 06-07-2017 14:32:20
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

พ่อเสือ... พ่อเจ้าประคุณ ท่านทั่วถึงมากกก
ถ้าไม่ได้เป็นเทพ ท่านน่าจะหมดแรงข้าวต้มซะก่อน 5555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 06-07-2017 16:49:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 06-07-2017 19:47:25
กระเรียนโกเมนถูกกล่าวถึงหลายครั้งแล้ว แต่ปมก็ยังคงเป็นปริศนา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 10-07-2017 16:49:30
ขอมารอตอนต่อไปฮะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 10-07-2017 20:23:46


มองเห็นความรักที่ยิ่งใหญ่ของพ่อ

แต่ ........... พ่อเสือคะ พ่อจะขยันปลูกอ้อยมากไปนะคะ


ช่างเป็นผู้ที่ขยันในสิ่งที่น่าปวดหัวดีจัง  :really2:





หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-07-2017 21:30:03
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 10-07-2017 23:28:31
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 13-07-2017 13:40:24
ค่อยๆตามเก็บรายละเอียดทีละเล็กทีละน้อย แต่แอบสงสัยนิดๆว่า เทพเสือโคร่งภูผาแอบไปตีท้ายครัวเทพกวางสายฟ้าได้ยังไง แถมยังไม่มีเรื่องบาดหมางกันด้วย สุดยอดดด 555+

เฉินอวี้แอบมีใจให้เทพเสือโคร่งภูผา...อย่างนี้นี่เอง   :m12:  แล้วที่หายตัวไปจากกลุ่มห้าบัณฑิตตั้งหลายวัน คนในกลุ่มไม่มีใครตามหาเลยหรือ  :m28:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 15-07-2017 13:43:25
ขำเมนท์คุณ piggyfree

ตรงใจมาก  ทั่วถึงจริงๆ 5555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 15-07-2017 16:24:04
 :katai5: :katai5:

มารอพ่อเสือใจง่าย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 19-07-2017 10:19:22
จริงเนอะ  เม้นท์เอง ก็ขำเอง
ขำเมนท์คุณ piggyfree

ตรงใจมาก  ทั่วถึงจริงๆ 5555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 19-07-2017 10:20:48
พ่อเสือจ้า ...  เราป่วย เราเหงา
มาเหอะ  เราคิดถึง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 19-07-2017 12:09:42
 :hao5: รอ ร้อ รอ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 19-07-2017 15:07:30


มาร์!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เข้ามารอพ่อเสือด้วยคน

ที่จะเต็มแล้วค่ะพ่อ มาเล้ยยย :L2:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 20-07-2017 11:00:14
อีกนิด  มาเติมอีกนิด มารออีกนิด
พ่อเสือมาเหอะ  เราคิดถึง...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 20-07-2017 11:43:20
มาหรือยังๆ...มาปูเสื่อรออ่านแล้วค่า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: Nathi ที่ 20-07-2017 11:51:48
ดันๆ ฮึบๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 20-07-2017 12:07:04
 :3059: :3059:

มารอพ่อเสือที่ชายป่า....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 20-07-2017 14:33:11


 o11 มาไฟท์พ่อเสืออออ


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 20-07-2017 14:43:06
ทำได้ทุกอย่างเพื่อพ่อเสือออออออ  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-07-2017 07:43:48
เข้ามารอพ่อเสือ :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 21-07-2017 11:52:33
 :z2:  มามามา...โอมจงมาาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 21-07-2017 14:14:40
 พ่อเสือ มายัง
:ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่18P20(050760)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 21-07-2017 16:37:08


ฮาหลูๆๆๆๆๆๆ พ่อเสืออออ ออกมาเต๊อะ  :m18:
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 21-07-2017 19:52:31
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่สิบเก้า


เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้เป็นบุตรชายแห่งเทพเสือโคร่งภูผา เป็นเสือโคร่งที่มีพลังพิเศษในด้านการได้ยิน สะกดรอย และการสืบค้น สามารถบรรลุถึงขึ้นเทพได้ตั้งแต่มีอายุเพียง
ห้าสิบปี หรือใช้เวลาเพียงครึ่งหนึ่งของผู้เป็นบิดา ดังนั้นบิดาจึงให้ความเชื่อถือในทุกถ้อยคำที่บุตรผู้นี้กล่าวออกมา แม้จะเป็นเรื่องที่ลึกลงไปในใจแล้วไม่อยากจะเชื่อถือเลยก็ตาม
เรื่องที่ทำให้ต้องไปเมืองจงพวน
เรื่องที่มีจุดเริ่มต้นด้วยข้อสงสัยที่ไม่ติดต่อกัน
เรื่องที่ไม่อยากเชื่อ
ทุกอย่างคือเรื่องจริง...

เมืองซึ่งมีประวัติความเป็นมาอย่างยาวนานแห่งนี้ ตั้งอยู่ทางใต้ของอาณาจักรไท่ชาง เป็นเมืองสวยงามที่มีป่าไม้สมบูรณ์
เทพเสือโคร่งภูผารู้จักกับหญิงงามผู้หนึ่งที่เมืองหลวง ซึ่งเป็นผู้ที่มีพื้นเพมาจากเมืองจงพวนแห่งนั้น
สถานที่พบเจอกันคราแรกจึงย่อมเป็นเมืองหลวง แต่หลายปีผ่านไปจึงได้ทราบว่านางกลับไปที่จงพวนแล้ว

เมื่อในสมองมีแต่คำว่าเมืองหลวง จงพวน และเมืองลั่ว เทพเสือโคร่งภูผาจึงต้องใช้ข้อมือกระแทกที่หน้าผากตนเองเพื่อเรียกสติกลับคืนมา ก่อนที่จะหันไปมองหน้าบุตรชาย เจ้าบุตรผู้นี้ก็ช่างกระไรเลย จะทำเป็นไม่รู้ทันบิดาสักครั้งก็ไม่ได้

"พ่อก็แค่ยังมีเรื่องให้ต้องการจัดการก่อนที่จะไปที่จงพวน" เป็นการแก้ตัวที่เปล่าประโยชน์ยิ่งนัก
"กลัวว่าจะเป็นนาง หรือถ่วงเวลาที่จะยอมรับว่าจะเป็นนาง" เทพเสือโคร่งศิลาดำใช้มักถ้อยคำโดยประหยัด เมื่อกล่าวถ้อยคำออกมาแต่ละคราจึงทำให้บิดารู้สึกเหมือนถูกมีดสั้นปักเข้าที่กลางอกเช่นนี้เอง
"เจ้านี่มัน" ผู้เป็นบิดาโบกมือแล้วยอมรับ "แวะไปดูเพื่อความแน่ใจ หากไม่ใช่นางก็จะได้ไม่ต้องไปสร้างความยุ่งยากให้นางต่างหาก"
เทพเสือโคร่งศิลาดำขึงหน้าเรียบตึงยืนรอฟังคำสั่ง
ถ้าไม่ทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่าเดิมก็คงเป็นบิดาตัวปลอมแล้ว...
"เจ้าแวะไปดูอวี้เอ๋อร์จนกว่าเขาจะกลับเมืองหลวง จากนั้นเจ้าจะกลับไปดูคนของเจ้าก็ตามใจ"
ผู้ที่มีสีหน้าเรียบตึงหม่นหมองลงในทันที ผู้เป็นบิดาจึงตบไหล่ให้กำลังใจ
"ขอโทษด้วยที่ดึงเจ้าไว้กับเรื่องนี้เป็นเวลานานหลายเดือน"

เทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดาย่อมรู้ว่าบุตรชายผู้นี้เป็นทุกข์เพราะความรัก
...เรื่องเดียวที่เจ้าตัวไม่ยอมปริปากขอความช่วยเหลือจากใคร...
...รู้ทั้งรู้แต่ก็ยัง...เฮ่ย...ทั้งบิดาและบุตรต่างมีรักพร้อมกับแบกรับปัญหา นี่มันจะเหมือนกันมากเกินไปหรือไม่...
เมื่อคนที่เป็นทุกข์เพราะความรักมาตลอดเวลาหลายปี แต่ยังคงปิดปากเงียบ ผู้เป็นบิดาก็ได้แต่เฝ้ามอง...
..และใช้ให้ทำงานมากมาย....
ก็จะเก็บความความสามารถพิเศษของบุตรผู้นี้ไว้ด้วยเหตุใด ในเมื่อความสามารถของเทพเสือโคร่งศิลาดำผู้นี้ อยู่ในระดับเป็นหนึ่งไม่มีสองเลยทีเดียว

เทพเสือโคร่งศิลาดำจากไปตามคำสั่ง ผู้เป็นบิดาจึงเดินทางเข้าเมืองหลวง และหอยาของวังหลวง
ส่วนที่เป็นห้องยาสมุนไพรจากพืชนั้นไม่เท่าไหร่
แต่ส่วนที่เป็นห้องสมุนไพรที่เก็บตัวยาจากกระดูก ขน หนัง และเลือดของสัตว์ต่างๆ นั่นต่างหากที่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาต้องขนลุกชันอยู่เสมอ
ผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่หยุดยืนอยู่กลางห้องแล้วกวาดตามองไล่ไปตามชั้นเก็บยาในตู้ที่เรียงรายรอบตัว
เสียงฝีเท้าของผู้คนมากมายหยุดอยู่ที่ด้านหน้าของหอยา จากนั้นคนผู้หนึ่งจึงก้าวเข้ามา

"เทพเสือโคร่งภูผาแห่งป่าสีทอง"  คนที่มาถึงกล่าวขึ้นก่อน
อีกฝ่ายพยักหน้ารับแล้วกล่าวโดยที่มิได้หันไปมอง "จางฉวน"
หากเป็นคนผู้อื่นกล่าวพระนามโดยตรงเช่นนี้ คงต้องถูกประหารชีวิตในทันที แต่ยามนี้พระองค์กลับแย้ม
พระโอษฐ์ด้วยความยินดี
"เราเพิ่งได้พระโอรสเมื่อเดือนก่อนนี่เอง ยินดีกับเราไหม"
เทพเสือโคร่งภูผาโคลงศีรษะกล่าวคำว่ายินดีโดยปราศจากความจริงใจ
"ท่านนี่ช่างเป็นคนไร้ความรู้สึก"

ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ทำเสียงแปลกๆ ในลำคอ
..ข้าเป็นเทพเสือโคร่งมิใช่คน ส่วนเรื่องความรู้สึก ถ้าเป็นความรู้สึกไม่ชอบหน้า ข้ามีให้เจ้ามากมายยิ่งกว่าเม็ดทรายที่ชายหาดเสียอีก...

"กำลังหาอะไรอยู่" ฮ่องเต้หนุ่มกำลังอารมณ์ดี
"แพทย์ระดับล่างแซ่หนานกง ซึ่งมิได้มาจากเมืองหนานกง"
"ไม่เห็นจะมีอันใดแปลก ที่นี่คือเมืองหลวง ผู้คนมากมายเดินทางมาจากทั่วอาณาจักร รวมถึงคนที่แซ่หยางซึ่งมาจากเมืองลั่ว และจะเป็นแพทย์หลวงระดับใดก็มีหน้าที่รักษาคนไข้ทั้งนั้น"
เทพเสือโคร่งสะบัดมือด้วยความรำคาญ "อารมณ์ดีๆ ของเจ้าช่างน่ารำคาญ"
"เรากำลังอารมณ์ดีจริงๆ"ฮ่องเต้ยอมรับ  "แต่เราก็รู้ ว่าท่านกำลังอารมณ์ไม่ดี แล้วก็กำลังสะกดอารมณ์ไม่ดีนั้น ยอมให้เราแกล้งท่าน เพราะท่านอยากรู้...เรื่องของแพทย์หลวงหนานกงหรือ..."
ท่าทีลูบคาง ดวงตากลิ้งกลอกนั่น หากอีกฝ่ายไม่ใช่ฮ่องเต้ รับรองว่าหมดลมหายใจไปตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเมื่อปีก่อนแล้ว...
"ว่าที่จริงเขาเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ที่มีบทบาทขึ้นมาในช่วงท้ายของรัชสมัย" จู่ๆ พระองค์ก็ก้าวเข้ามาใกล้ผู้ที่กำลังมีอารมณ์ไม่ดี "สีหน้าท่านไม่ค่อยดีนัก"
เทพเสือโคร่งภูผาไม่รู้สึกยินดีกับเมตตาอันน้อยนิดจากพระองค์
"ยังมีอะไรที่อยากพูดอีก ก็พูดออกมา จบแล้วข้าได้พูดบ้าง"
"ที่อารมณ์ไม่ดีอยู่นี่เป็นเพราะเราหรือไง"
ผู้อาวุโสกว่ามากกว่าร้อยปี ไม่ให้อีกฝ่ายมีความยินดีมากนัก "เพราะห้องนี่ต่างหาก" มือใหญ่โบกไปที่ตู้ยาเรียงรายรอบตัว ทำให้อีกคนร้องอ้อด้วยความเข้าใจ
"เขา และกระดูกเหล่านี้ทำให้ท่านไม่สบายใจถึงเพียงนี้"
"ข้ารู้สึกแย่ และทำให้อยากอาละวาดทำลายที่นี่ อยากทำลายคนที่ทำให้เลือดเนื้อของพวกเราต้องสูญเปล่า ดังนั้นเจ้าไม่ควรโยกโย้ต่อไป"

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยรอยแย้มสรวล
ไม่ใช่เพราะความเสี่ยงที่อาจต้องเสียตัวยาเหล่านี้ แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอ่อนข้อลงให้มากขนาดนี้แล้ว ก็ไม่สมควรกลั่นแกล้งต่อไป
พระองค์ต้องการผู้สนับสนุนที่เข้มแข็ง หาใช่ศัตรูที่เข้มแข็ง

"อยากรู้เรื่องแพทย์หลวงหนานกงแล้วอย่างไร"
"เขาตายไปแล้ว"
"ก็ใช่..." ทรงก้าวพระบาทช้า ๆ ไปรอบห้อง
"ในรัชสมัยฮ่องเต้พระองค์ก่อน แพทย์หลวงแซ่หนานกงไม่ได้เป็นคนสำคัญ แต่เหตุใดเขาถึงสามารถเขียนใบสั่งยาได้"
ฮ่องเต้จางฉวนตอบในสิ่งที่อีกฝ่ายก็พอจะคาดเดาคำตอบได้อยู่แล้ว
"เมื่อป่วยหนักจนมองเห็นความตายมายืนรออยู่ข้างหน้า ใครแนะนำอะไรก็ทำหมด แต่เขากลับถามผิดคน"
'เขา' ในที่นี้หมายถึงฮ่องเต้พระองค์ก่อน
"ถ้าเขาถามเจ้า แล้วเจ้ามอบยาถอนพิษให้เขาหรือ"
พระเนตรที่หันมามองคนถาม กับรอยสรวลกดลึกมุมปากนั้น ช่างน่ากลัวยิ่งกว่าคนชั่วร้ายที่มาพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้าย เพราะนี่ยังหมายถึงการที่ฮ่องเต้พระองค์นี้เลือดเย็นกว่าที่คาดคิด
"ขึ้นอยู่กับข้อแลกเปลี่ยน"
เทพเสือโคร่งภูผากลอกตามองบน "เขาเป็นพ่อของเจ้า เขาย่อมรู้จักเจ้าดีมากพอที่จะรู้ว่าไม่มีกำลังที่จะแลกเปลี่ยนกับเจ้า ถึงได้ไปเชื่อคำแนะนำแย่ ๆ พวกนั้น"
ฮ่องเต้จางฉวนพยักหน้าเห็นด้วย รอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกระแวงนั้นยังคงอยู่

"แพทย์หลวงหนานกงเป็นคนของเจ้าหรือไม่"
ฮ่องเต้หนุ่มรับสั่งด้วยท่าทีครุ่นคิด "ว่ากันตามฐานะเขาย่อมเป็นคนของเรา แต่เราย่อมมิใช่คนบอกให้เขาสั่งยาประหลาดนั่นมารักษาพระอาการ"
"เจ้าจะสั่งยาอะไร"
เทพเสือโคร่งมิได้คาดหวังคำตอบ เพราะรอยพระสรวลที่ฉาบใบหน้านั่นเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว
"ไม่ตอบก็แล้วไป" ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่หมุนตัวจะเดินออกไป ฮ่องเต้หนุ่มจึงรับสั่งถาม
"ไม่ถามเรื่องเฉินอวี้หรือ"

ในตอนที่เทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ฮ่องเต้จางฉวนยังมีดำริไปว่า น่าจะมาสอบถามความคืบหน้าความเป็นอยู่ของเฉินอวี้ผู้นั้น แต่หลังจากที่พูดคุยกันไปหลายคำกลับยังมีแต่เรื่องของแพทย์หลวงสกุลหนานกง

"ถ้าอยากรู้เกี่ยวกับเขา ข้าจะไปถามจากเขาเอง"
"แต่เราคิดว่า เรื่องการงานของเขาจะเกี่ยวกับเรา"
"งานราชการมีขั้นตอนปฏิบัติ ผิดถูกก็พิจารณาไปตามเกณฑ์"
"คราวนี้ท่านไม่ขู่เราไม่ให้แกล้งเขาแล้ว"
"บุตรมังกรอย่างเจ้ารู้จักรับฟังคำขู่ของผู้อื่นด้วยหรือ"
ผู้ที่ถูกเรียกว่าบุตรมังกรยังยิ้มสดใส "ในที่สุดท่านก็รู้ว่าท่านมีทางเลือกเดียวคือการตามใจเรา"
เทพเสือโคร่งภูผายิ้มสดใสเลียนแบบ "เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้แล้วเช่นกัน ว่าข้าไม่สนใจใครหรืออะไรมากไปกว่าคนของข้า"
คำกล่าวนี้ทำให้รอยยิ้มสดใสนั่นหายไปจากใบหน้าในทันที "คนของเจ้า! ช่างไม่อายปาก"
"รู้ว่าเป็นคนของข้าก็ดีแล้ว อย่าได้ไปสร้างความยุ่งยากให้เขา เสร็จเรื่องของแพทย์หลวงหนานกง ข้าจะกลับมาหาเจ้า"
"เจ้า..." ฮ่องเต้หนุ่มขยับจะโวยวาย แต่แล้วก็กลับไปคลี่ยิ้มจนดวงตาเป็นเส้นโค้ง "จะกลับมาหาเราหรือ"
"ฮื่อ.." เทพเสือโคร่งภูผากระโดดออกจากหน้าต่างของหอยาแล้วลับหายไป

เมืองจงพวนเป็นเมืองสวยงามน่าอยู่ เทพเสือโคร่งภูผาเคยมาเยือนเมืองนี้เมื่อนานหลายสิบปี จึงไม่คุ้นเคยกับสภาพเมืองในปัจจุบัน ทำให้เสียเวลาอยู่นาน กว่าที่จะพบว่าเป้าหมายที่แท้จริงนั้นต้องออกไปที่หมู่บ้านนอกตัวเมือง
เมื่อเข้ามาที่หมู่บ้านก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าบ้านที่ตามหาอยู่คือหลังใด เพราะมีบ้านหลังหนึ่งที่ประกอบไปด้วยกลุ่มเรือนพักหลายหลัง อยู่ด้านหลังแนวรั้วสูง ส่วนที่ด้านหน้าประตูใหญ่ก็ยังมีปูนปั้นเสือโคร่งตัวหนึ่งวางอยู่
เทพเสือโคร่งภูผาจึงเดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปในบ้านด้วยความสง่างามดั่งที่นี่เป็นเรือนของตนเอง
คนงานชายหญิงที่ทำงานอยู่ด้านหน้าของเรือนเมื่อหันมาเห็นผู้ที่เดินทางมา หลังจากที่มีท่าทีตกใจ คนงานชายก็รีบเชื้อเชิญเข้าไปในเรือน ส่วนคนงานหญิงกลับลับหายไปทางด้านในบ้าน
เมื่อก้าวเข้ามาถึงห้องโถงของเรือนรับรองด้านหน้า เทพเสือโคร่งภูผาจึงได้เข้าใจ
เพราะที่นี่ยังมีภาพวาดผืนใหญ่ของเขาประดับผนังอยู่

เวลาผ่านไปชั่วหนึ่งกาน้ำชา สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวย่างออกมา ฝีเท้าของนางแผ่วเบาดุจขนนก ท่าทีอ่อนช้อยงดงาม
นางยอบตัวทำความเคารพเทพเสือโคร่งภูผาด้วยความอ่อนหวานอย่างยิ่ง
"ท่านพี่"
เทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้เดินเข้าไปหานาง แต่กลับเรียกให้นางนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม
"ไม่ได้เจอกันนาน เจ้ายังงดงามไม่เปลี่ยน"
ในสายตาของเทพเสือโคร่งภูผา นางมิเคยเปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ ไม่ว่าจะเมื่อครั้งแรกพบที่นางมีอายุสิบห้าปีหรือในวันนี้ที่นางมีอายุห้าสิบปี
"ท่านพี่ยังคงกล่าวคำอ่อนหวานไม่เปลี่ยนเช่นกัน" นางรินน้ำชาให้กับอีกฝ่าย

ปีนี้นางมีอายุห้าสิบปีแล้ว เส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาว ความงดงาม และสุขภาพย่อมโรยราไปตามอายุ ผิดกับเทพเสือโคร่งภูผา ที่ยังไม่มีอะไรแตกต่างไปจากวันแรกที่พบกัน
ความแตกต่างระหว่างเทพกับมนุษย์ที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด...

"ในบรรดาคนทั้งหมดที่พบมาก็มีแต่เจ้าคนเดียว ที่บอกว่าวาจาของข้าอ่อนหวาน" เทพเสือโคร่งภูผาแตะริมฝีปากที่ถ้วยชา จากนั้นจึงจิบดื่มหมดถ้วย
นางช้อนตามอง "รู้ว่ามียาพิษก็ยังดื่ม นี่คือนิสัยของท่านที่ไม่เคยเปลี่ยนไป"
"เผิงเอ๋อร์ เจ้ารู้ดีว่า ข้าไม่เคยเปลี่ยนไป"
นางก้มหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง "คนที่เปลี่ยนไปคือข้า" เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน นางจึงถามขึ้น "ไม่ถามหรือ"
"ข้าอยากฟังเจ้าเล่ามาก่อน"
"เช่นนั้น...." นางลุกขึ้น "ท่านคงไม่รีบร้อน เข้าไปพักผ่อนด้านในสักพักหนึ่งก่อน ข้าให้คนจัดเตรียมอาหาร และห้องพักไว้ให้ท่านแล้ว"
"เผิงเอ๋อร์"
นางหันมามอง "หรือท่านรีบร้อนจะจากไปอีกแล้ว"
"ข้าไม่มีเรื่องรีบร้อน"
นางคลี่ยิ้มงาม เกาะแขนใหญ่ของเทพเสือโคร่งไว้ ขณะที่ก้าวเดินเข้าไปด้านในด้วยกัน

หนานกงเผิงเป็นหญิงงามที่รู้ตัวว่านางนั้นงดงามเป็นหนึ่งไม่มีสอง และยิ่งรู้ดีว่านางต้องการอะไร
ยิ้มงดงามของนางทำลายผู้คน เหนี่ยวรั้งความคิด สำนึกผิดถูกทั้งหมด จมดิ่งอยู่กับความงดงามนั้นอย่างไม่รู้วันรู้คืน
เทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้โทษนาง แต่โทษตนเองที่ลุ่มหลงจนละเลยหน้าที่ของตนเอง
นางก็เป็นคนงามเช่นนี้ นางอ่อนหวานเช่นนี้ และร้ายกาจเช่นนี้ แต่เจ้าก็ยังรักนางและมอบให้นางทุกอย่างที่นางต้องการ ดังนั้นเจ้าจึงสมควรลงโทษตนเอง

เช้าวันถัดมาเทพเสือโคร่งภูผาตื่นนอนแล้ว แต่ไม่อาจขยับแขนขา จึงได้แต่นอนรอจนคนรับใช้เข้ามาเช็ดหน้าแล้วจากไป จากนั้น จึงมีคนงานชายหญิงเข้ามาช่วยพยุงให้นั่งขึ้นใช้หมอนใบใหญ่ซ้อนหลังไว้ หญิงงามหนานกงเผิงจึงก้าวเข้ามา
นางสวมชุดสีฟ้าขาว ใบหน้าสดใส งดงามจนเทพเสือโคร่งอดไม่ได้จะเอ่ยปากออกไป
"วันนี้เจ้างดงามกว่าเมื่อวานเสียอีก"
นางยิ้มงามล่มเมือง
"ข้าให้คนเตรียมอาหารที่ท่านพี่ชอบไว้"
"เจ้าช่างรู้ใจ"
สองคนเอ่ยคำหวานให้กัน หลังอาหารมื้อเช้าผ่านไป บรรดาคนรับใช้ชายสามคนจึงพยุงเทพเสือโคร่งไปที่เก้าอี้ตัวใหญ่ด้านหน้าห้องพักเพื่อรับแสงแดดยามเช้า
เทพเสือโคร่งภูผาเงยหน้ารับแสงแดด รับรู้ถึงสายลมที่สัมผัสผิวกาย และรับฟังเสียงใบไม้รอบตัว
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อเทพเสือโคร่งภูผายอมให้นางจัดวางตนตามใจ และไม่เอ่ยปากถามเรื่องราว จนบ่ายวันหนึ่งหนานกงเผิงพาสตรีน้อยมาเยี่ยมเยือน
"นี่คือหนานกงอี่ เป็นหลานสาวของข้าเอง ปีนี้นางเพิ่งมีอายุสิบสี่ปี"
เพียงประโยคนี้ และด้วยสาเหตุนี้ที่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาคิดว่าการตามใจนางสมควรหยุดลง
"เช่นนั้นก็นั่งลงคุยด้วยกันทั้งสามคน" เทพเสือโคร่งภูผาหันไปถามหนานกงเผิง "นางมีลำดับญาติเป็นอะไรกับเจ้า และแพทย์หลวงหนานกง"
เป็นครั้งแรกที่หนานกงเผิงยิ้มอย่างผ่อนคลาย "ท่านหมดความอดทน เมื่อข้าแนะนำสตรีอ่อนวัยให้ท่าน นี่เป็นเรื่องที่สมควรยินดีให้มากจริง ๆ "
"เผิงเอ๋อร์ เจ้าจะให้ข้ารออีกสามเดือนเพื่อให้เจ้าเล่าเรื่องออกมาก็ได้ แต่ข้ามิมาได้มาเพื่อให้เจ้าจัดหาสตรีให้ข้า"
หนานกงเผิงก้มหน้า เทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้ชมชอบหญิงงาม แต่มิชอบการชี้นำจัดหา

...เขายังคงเป็นเทพเสือโคร่งคนเดิม...

"นางเป็นหลานปู่ของแพทย์หลวงหนานกงผู้นั้น โดยบิดาเป็นบุตรคนโตและนางคือธิดาคนรองของภริยาเอก" เทพเสือโคร่งอยากยกมือนวดขมับเมื่อนางเริ่มลำดับฐานะสมาชิกในครอบครัว "เมื่อแพทย์หลวงหนานกงต้องโทษประหาร เพราะมิสามารถรักษาฮ่องเต้ได้ บิดาของนางก็ถูกขับออกจากราชการกลับมาอาศัยอยู่ที่นี่เช่นกัน นางมีพี่สาวงดงามเพียบพร้อมอายุสิบหกปีแล้ว ส่วนน้องสาวก็อายุสิบสามปี คนหนึ่งถือว่าอายุมากเกินไป อีกคนก็ยังเด็กเกินไป" เด็กกว่าในครั้งแรกที่เทพเสือโคร่งภูผาพบนาง "แต่เมื่อท่านมิพอใจ...ข้าก็ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก"

นางรู้ดีว่า เทพเสือโคร่งภูผาอารมณ์ไม่ดีขณะที่นางลำดับครอบครัว แต่ทันทีที่นางกล่าวคำขอบคุณจากใจจริง เขาก็ผ่อนคลายลง

หนานกงเผิงเติบโตมาในครอบครัวแพทย์ นางเองก็รู้วิชาแพทย์จากบิดา
เมื่อแพทย์หลวงหนานกงเข้ารับราชการ ก็ชักชวนน้องชายคือบิดาของนางมาเปิดร้านอยู่ที่เมืองหลวง และนั่นทำให้ได้พบกับเทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้
ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันคราละหลายวัน แม้จะมีช่วงเวลาหนึ่งที่อีกฝ่ายจะหายไปนานหลายเดือน แต่ก็จะกลับมาพักอยู่ด้วยกัน
นางและครอบครัวรู้ว่าเขาเป็นใคร เทพเสือโคร่งภูผามิเคยปิดบังพลังอำนาจของตนเมื่ออยู่ในบ้าน
คำกล่าวที่ว่า ธิดาพาเทพเซียนเข้าบ้าน ทำให้บิดามารดากลายเป็นเทพเซียนไปด้วยนั้น มิได้เป็นคำกล่าวที่เกินเลย
สิ่งที่นางและครอบครัวเฝ้ารอก็คือวันที่เขาจะพาไปแนะนำทำความรู้จักกับครอบครัวที่ป่าสีทอง
แต่เขาก็มิเคยพาไป
เวลาผ่านไปนานหลายปี บิดามารดาของนางหาชีวิตไม่แล้ว แต่นางก็ยังรั้งรอที่จะอยู่เมืองหลวง ท่ามกลางความสุขสบายที่เทพเสือโคร่งภูผาจัดไว้ให้

ต่อมาฮ่องเต้องค์ก่อนทรงประชวรหนัก แพทย์หลวงหนานกงผู้มีศักดิ์เป็นลุงร้อนใจยิ่งนัก นางจึงเสนอความเห็นเกี่ยวกับสมุนไพรหายากจากป่าสีทอง
สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของอายุยืนยาว
นกกระเรียน!
้ทันทีที่แพทย์หลวงหนานกงเสนอความคิดเห็น และมีการถวายรายงานความเห็นนั้นต่อฮ่องเต้ แล้วทรงเห็นด้วย การจัดการทุกอย่างในลำดับต่อไปจึงมีคนออกหน้าจัดการให้ทั้งหมด ในเวลาเพียงห้าเดือนถัดมายาวิเศษนั้นก็ถูกนำขึ้นถวาย

แพทย์หลวงหนานกงย่อมคาดเดาชะตากรรมของตนเองได้ตั้งแต่กราบทูลเกี่ยวกับตัวยาวิเศษ หากสำเร็จก็ดีไป แต่หากไม่สำเร็จก็ต้องวางหนทางรอดไว้ ด้วยการเร่งส่งครอบครัวเดินทางกลับมาที่จงพวน เหลือเพียงบุตรชายที่ยังรับราชการอยู่

ดังนั้นเมื่อฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ แพทย์หลวงหนานกงจึงก้มหน้ายอมรับการประหารชีวิต โดยไม่ร้องขอความเมตตาใดๆ ส่วนบุตรชายถูกลงโทษด้วยการให้ปลดออกจากตำแหน่งราชการ และเดินทางกลับมายังบ้านเกิด

"ต้องเป็นนกกระเรียนจากป่าสีทองเท่านั้นหรือ"
นางก้มหน้าบีบมือแน่น "ในห้องพระคลังยาของวังหลวงมีตัวยามากมาย ต่อให้หายากเพียงใดก็จะมีคนไปจัดหามาจนได้ แต่ไม่มียาจากนกกระเรียน ข้าเคยได้ยินท่านพี่เล่าเรื่องนกกระเรียนในป่าสีทองไม่ย้ายถิ่นที่อยู่ แต่ท่านพี่ก็บอกเช่นกันว่าคนนอกไม่สามารถเข้าไปที่นั่นได้ จึงคิดว่าเมื่อถวายความเห็นไปแล้ว แต่ทำไม่ได้ความผิดก็จะไปตกอยู่กับผู้อื่น หรืออย่างมากก็เปลี่ยนไปเป็นยาตัวอื่น"
"เจ้าบอกว่าเป็นนกกระเรียน หรือเฉพาะเจาะจงอะไรเป็นพิเศษ"
"ข้าบอกว่ากระเรียนสีแดง"
เทพเสือโคร่งหลับตาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดใจ ขณะที่นางกล่าวต่อ
"โดยทั่วไปเราจะพบเห็นแต่นกกระเรียนสีขาว ขาวดำ และก็มีบ้างที่เป็นสีชมพู หากเป็นเช่นนั้นคนที่ไปหาของก็อาจจะไปนำมาจากที่อื่น จึงบอกไปว่าสีแดงเพื่อให้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าเป็นป่าสีทอง"
"เพราะเหตุใด"
"ข้าก็แค่อยากส่งสัญญาณไปถึงท่านเท่านั้น"

...แต่นั่นทำให้กระเรียนโกเมนต้องตาย...

เทพเสือโคร่งภูผาลืมตาขึ้น "ทั้งหมดนี้ เพราะข้ามิได้พาเจ้าไปที่ป่าสีทองเช่นนั้นหรือ"
หยดน้ำตาตกกระทบหลังมือที่สั่นเทา "ท่านมอบของกำนัลให้ข้ามากมาย บิดามารดา พี่น้องของข้าสุขสบาย แม้จะไม่สามารถบอกกับใครได้ว่า สามีของข้าเป็นใคร แต่ข้าก็ยังคาดหวังอยู่เสมอว่า จะได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของท่าน แต่ท่านกลับหายไป เพียงแต่เมื่อท่านกลับมาอีกครั้ง ข้าก็คิดได้ว่า อาจเพราะข้าชรามาก ท่านจึงไม่ต้องการข้าแล้ว จึงติดต่อไปที่ครอบครัวของหลานชาย"

วันที่จากนางไปคือวันที่นางมีอายุยี่สิบสี่ปี วันนี้นางห้าสิบปีแล้ว ยี่สิบหกปีเป็นเวลายาวนานของมนุษย์
นานเกินไปสำหรับการรอคนผู้หนึ่ง
และนานเพียงพอที่จะคิดวางแผนการ

"ข้าต้องบำเพ็ญเพียรเพื่อรักษาพลังเทพเป็นระยะ และข้าเป็นเสือโคร่ง หน้าที่ของข้าคือการเป็นผู้พิทักษ์ มีเรื่องราวให้ข้าต้องไปจัดการ ส่วนนกกระเรียนที่เจ้านำมาทำยานั้น เขาเป็นสหายของข้า"
หนานกงเผิงคุกเข่าลงเบื้องหน้า หนานกงอี่ที่ร่วมรับฟังเรื่องราวด้วยกันก็คุกเข่าตาม

"ผิดที่ข้าก่อขึ้นข้ายอมรับการลงโทษ เพราะข้าได้พบท่านอีกครั้ง และได้รับรู้กับตนเองว่าที่ท่านจากไปเพราะมีเหตุจำเป็น มิใช่เพราะเบื่อหน่าย หรือเพราะข้าทำผิดต่อท่าน ทั้งหมดนี้ข้ายอมรับผิดเพียงผู้เดียว เพียงแต่ยังขอรบกวนท่านอีกเรื่อง" นางหันมาทางหลานสาว "เมื่อข้าถามไปทางหลานชาย แม้เขาจะไม่เห็นด้วยกับความคิดของข้า แต่อี่ก็อาสาที่จะมาพบกับท่าน"
"เพราะอะไร"
หนานกงอี่กล่าวขึ้นเป็นคราแรก "ข้าได้ยินท่านพ่อพูดเรื่องที่ท่านยายเคยรับใช้เทพแห่งป่าสีทองนานนับสิบปี ท่านจึงจากไป แต่ข้าเชื่อว่า ท่านมีเหตุผลที่มิได้พาท่านยายไปอยู่ที่ป่าสีทอง และเชื่อว่า มิใช่เพราะท่านหมดรักท่านยายแล้ว"
"มาเพราะรู้ว่าข้าจะไม่รับเจ้า" เทพเสือโคร่งสรุป "ก็จริงนะ เจ้างดงามไม่ได้แม้สักครึ่งของยายเจ้า ไม่ว่าจะในยามนี้ หรือต่อให้ย้อนเวลากลับไปในตอนที่นางอายุสิบสี่ปีก็ตาม ไม่ได้ฉลาดเท่านาง ไม่อ่อนโยนรู้ใจ....เมื่อได้พบเผิงเอ๋อร์ การตัดใจกลับไปที่บำเพ็ญเพียรที่ป่าสีทองช่างยากยิ่ง" ดวงตาสีเหลืองที่มองมาอ่อนโยน "เพียงแต่เมื่อกลับออกมาในอีกสิบปีถัดมา ข้าก็ไม่อาจมาพบกับเผิงเอ๋อร์ได้อีก เพราะกลไกการเมืองที่ซับซ้อนในราชสำนัก ข้ามีข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับฮ่องเต้องค์ก่อนก็จริง แต่เรื่องราวเริ่มบานปลาย ทำให้ข้าไม่อยากทำให้ครอบครัวของเจ้าต้องเดือดร้อน"
กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนดั่งมิได้เคยถูกพิษใด
"ข้ารู้ในสิ่งที่ควรรู้ เจ้าเองก็รู้ในสิ่งที่ควรรู้ ดังนั้นข้าก็ควรไปได้แล้ว"
"ท่านพี่...จะไม่กลับมาแล้วใช่ไหม"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้าทั้งที่ไม่ได้หันกลับมา
"เช่นนั้น ข้าขอส่งท่านพี่เพียงเท่านี้ ให้อี่ออกไปส่งท่านที่หน้าประตูใหญ่"

หนานกงอี่พยุงท่านยายให้ลุกขึ้นนั่งที่เก้าอี้ แล้วจึงรีบเดินตามเทพเสือโคร่งภูผาออกมา
เมื่อเดินออกมาใกล้ประตูใหญ่เพียงไม่กี่ก้าว คนรับใช้หญิงผู้หนึ่งก็รีบวิ่งออกมาเรียกให้ทั้งสองกลับเข้าไปด้านในอีกครั้ง

ยาถ้วยหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
ส่วนหนานกงเผิงที่นอนหลับอยู่บนเตียงนอนยังคงงดงามล่มบ้านล่มเมือง
จะวันที่นางอายุสิบสี่ปี หรือห้าสิบปี นางก็ยังคงงดงามอยู่ไม่เปลี่ยนแปร
เมื่ออยู่ด้วยกันมีคำหวานพรั่งพรูไม่รู้จบ แต่ยามแยกจากกลับเงียบหายไร้ซึ่งข่าวคราวใด ๆ
ปีแล้วปีเล่าที่นางยอมรับว่าในสังคมของนาง นางไม่อาจพูดเรื่องเทพแห่งป่าสีทอง นางจึงขอเป็นส่วนหนึ่งในสังคมของสามี แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่ว่างเปล่า
ได้แต่รอให้เขากลับมาหา
ความรัก ความเสียใจ พัวพันยากที่จะแยกจากกัน
และในวันที่เขากลับมา เขาแสดงให้เห็นว่า ความรู้สึกที่มีต่อนางยังคงเดิม
ดังนั้น นางจึงมิต้องรออีกต่อไป....

หลังจากจัดการเรื่องราวที่เมืองจงพวนเสร็จสิ้นเทพเสือโคร่งภูผาก็กลับมาที่บึงน้ำของฝูงกระเรียนแห่งป่าสีทอง หัวหน้าฝูงรับฟังเรื่องราวเสร็จก็รับว่าจะไปบอกกับกระเรียนตนอื่นๆ ให้เพิ่มความระมัดระวังยามเมื่อต้องออกไปนอกป่า
ส่วนเทพกวางสายฟ้าที่กอดอกยืนฟังเงียบๆ ไม่ได้ซักถามอะไร เมื่อฟังจบก็หันหลังเดินออกมา แต่เทพเสือโคร่งภูผาตามมาจนทันเมื่อพ้นจากเขตบึงน้ำแล้ว
"สายฟ้า"
เทพกวางหยุดยืนรอ แต่มิได้หันมามอง
"ข้าเสียใจ"
แต่เทพกวางเชิดหน้าขึ้นสูง ไม่รับคำเสียใจนั้น "เจ้าคิดกังวลมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับเจ้า ถึงได้วิ่งวุ่นไปทั่ว"
"นั่นมันก็ใช่ แต่ข้ายังมีเรื่องจะหารือกับเจ้าด้วย"
เทพกวางสายฟ้าพยักหน้าแล้วกล่าวคำ "เจ้าสงสัยว่าต้องมีใครในนี้ให้ความร่วมมือกับพราน เข้ามาหลอกให้โกเมนออกไปข้างนอกงั้นหรือ"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า "และข้าก็กังวลว่า ต่อให้แพทย์หลวงหนานกง และท่านหญิงหนานกงจะหาชีวิตไม่แล้ว แต่ก็ยังมีผู้ที่ต้องการบุกรุก หรือหลอกลวงสัตว์เทพเพื่อนำไปสลายร่างทำยาอยู่อีก"
เมื่อถึงเวลานั้น ความสงบสุขของป่าสีทองจะหมดไป

เทพทั้งสองเหลียวมองไปรอบตัว รู้สึกถึงภาระอันหนักอึ้งที่จะต้องพาให้ป่าสีทองแห่งนี้รอดพ้นจากภัยคุกคามที่เรียงหน้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องให้ได้
 

...จบตอนที่สิบเก้า...

ย่องมาบอกว่า *ในบรรดาฝ่ายรุกทั้งหมดทั้งมวลในเรื่องนี้นะ พ่อกวางเนี่ย เพอเฟ็กต์ที่สุดละ*
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-07-2017 21:42:02
ความเจ็บแค้นจากความรักช่างน่ากลัว

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 22-07-2017 03:46:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 22-07-2017 07:05:47
 :really2: :z3:

เดี๋ยวๆ..ฮ่องเต้นี่ยังไงเนี่ยะ

 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 22-07-2017 10:21:09
ฮ่องเต้นี่ชักจะแปลกๆ นะ...เรียกร้องความสนใจจากพ่อเสือมากกกกกกกกก  :z1:

อารมณ์ของผู้หญิงช่างน่ากลัวยิ่งนัก  :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 23-07-2017 22:33:51
ตอนนี้หดหู่จัง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-07-2017 06:50:40
ความรัก ให้ทั้งความสุข และให้ความทุกข์  :mew2:

ฮ่องเต้ นี่มีไรกับเทพเสือโคร่งภูผาหรือเปล่า  :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-07-2017 13:49:17


ค่ะ..พ่อ พ่อช่างห่างไกลจากคำว่าเจ้าชู้ไปไกลมากกกกกกกกกกกก
อิรุงตุงนัง ที่สุด กินเรียบไม่เว้น วุ้ยยยยยยจะเกลียดหรือรักพ่อดีนะเนีย   :really2:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-07-2017 15:17:28
พ่อเสือฟันเรียบ จะชาย หญิง เสือ กวาง พ่อจัดการหมด
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: nin@ ที่ 25-07-2017 13:47:26
กระเรียนโกเมนตาย เป็นผลจากความเจ้าชู้ของเทพเสือโคร่งภูผานี่เอง  :monkeysad:

นี่เป็นเรื่องแรกที่อ่าน ที่ตัวเอกเจ้าชู้มาก มีเล็กมีน้อยตลอด ช่างน่าตื้บยิ่งนัก เฮ้อ...วิสัยของสัตว์ เปลี่ยนคู่ ก็ไม่โดนด่า 555+ :z6:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 25-07-2017 16:48:25
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

สงสารพ่อเสือ จะรู้สึกผิดขนาดไหน..
ความทั่วถึงของพ่อเสือ เป็นเหตุให้เพื่อนตาย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 25-07-2017 19:44:15
พิมพ์ตั้งเยอะ เมนท์ไม่ขึ้นนน  :z3:
เอาใหม่ ๆ
ซีรีส์ชุดนี้  เรียกซีรีส์ได้ป่าวว
อ่านแบบไม่ข้ามบรรทัดเลย เพราะเนื้อความแน่นมาก
ดีใจ ที่ตัวเอง อ่านหนังสือเกิน 8 บรรทัด จากนิยายเรื่องนี้ 5555
ขอบคุณคุณไจฟ์และน้ำชาค่ะ
 :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 01-08-2017 09:07:53

 :z12:  :z12: มาวิ่งเล่นรอพ่อเสือแล้วจ้า


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 01-08-2017 12:06:25
 :mc4: :mc4:

จุดประทัดเรียกตอนใหม่ 555555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 01-08-2017 16:03:13
มารอ เรามารอพ่อเสือ
 :hao3: :hao3:  :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 03-08-2017 12:45:59
 :hao4: :hao4:

เมียงๆมองๆ...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 03-08-2017 13:32:44
มารอพ่อเสือ :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 03-08-2017 22:24:59
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 04-08-2017 08:08:37
 :m22: :m22:

มาแอบดูพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: windy49 ที่ 04-08-2017 08:16:11
พ่อเสือเจ้าชู้มาก
รอตอนต่อไปนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: pubpibs ที่ 04-08-2017 09:11:20
ปักรอ  :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 04-08-2017 10:30:35
พ่อเสือมัวแต่ไปเคลียร์บ้านเล็กๆ อยู่เหรอออออออออออ  :m16:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 04-08-2017 10:43:34


 :z7:  :z7: กวาดถูบ้านไว้รอพ่อเสือ



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 04-08-2017 21:35:19
มาต่อคิวรออ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 05-08-2017 15:32:45
มารอ เรามารอพ่อเสือ
 :hao3: :hao3:  :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 05-08-2017 16:46:11
 :3129: :3129:
 
มาเเอบดูพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 06-08-2017 08:34:46
เข้ามาส่อง เมื่อไหร่พ่อเสือจะมา  :z13:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 06-08-2017 08:36:05
 :L1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-08-2017 10:22:35
 :katai5: :katai5:

อีกนิดนึง....ฮึบ...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-08-2017 13:06:55
 :mc4: :mc4:

หน้าใหม่เเล้วววว ตอนใหม่ต้องมาเเน่ๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่19 P21(210760)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 06-08-2017 13:12:08
เมื่อคนน้องต้องไปทำงานวันหยุด
เราเลยมาให้กำลังใจคนน้อง สู้ สู้ คับ
:mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 06-08-2017 19:39:35
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่ยี่สิบ


เรือนพักของคหบดีเฉินอู่ พ่อค้าผ้าไหมแห่งเมืองหลวง เป็นเรือนพักหลังใหญ่เพราะมีภรรยาสองและอนุอีกสอง โดยตนเองกับภรรยาเอกพักที่เรือนฝั่งตะวันออกของบ้าน ส่วนภรรยารองและอนุทั้งสองแยกพักที่เรือนอีกฝั่ง บุตรหญิงพักอยู่กับมารดา
ส่วนบรรดาบุตรชายห้าคนแยกไปพักที่เรือนอีกหลังมาตั้งแต่เยาว์วัย
ในบรรดาบุตรชายทั้งหมด เฉินอู่ย่อมวางใจเฉินเต๋อหมิงบุตรชายคนโต  แต่หากถามว่าใครที่นำความภาคภูมิใจมาให้มากที่สุดย่อมเป็นเฉินอวี้บุตรชายคนเล็ก แม้การสนับสนุนบุตรคนนี้จะเป็นไปแบบไม่ได้สม่ำเสมอ แต่เขาคือผู้ที่นำเสียงชื่นชมมาให้ครอบครัวมากที่สุด

ในเรือนพักของบุตรชายทั้งห้าคน เฉินเต๋อหมิงพี่ใหญ่ของบ้านย่อมเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดมาตลอด ต่อมาเมื่อสมรสและฮูหยินย้ายเข้ามา เฉินอู่ผู้เป็นบิดาก็ต้องให้บรรดาน้องชายทั้งสี่คนแยกไปพักที่เรือนที่มีขนาดเล็กลงมา
แต่ความอึดอัดคับแคบของที่พักไม่หนักหนาเท่ากับการที่พี่ใหญ่เฉินเต๋อหมิงพยายามจะเข้ามาบงการและควบคุมชีวิตของน้องๆ มากกว่าเดิม...ต่อให้เป็นเฉินอีจิ้ง และเฉินตงเป็นบุตรของมารดาเดียวกันก็ไม่ละเว้น
ดังนั้นหลังจากที่เฉินอีจิ้งเข้ารับราชการ เขาจึงสมรสและแยกไปตั้งครอบครัวใหม่อย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเฉินตงที่ไม่มีความสุขกับการค้าขายผ้าไหมสักเท่าใดชิงออกเรือนไปกับบุตรสาวของร้านสุราตั้งแต่อายุยี่สิบปีกับอีกหนึ่งวัน
จากนั้นเมื่อเฉินกั๋วสงพี่ชายร่วมมารดาของเฉินอวี้มีอายุครบยี่สิบปีกับอีกหนึ่งเดือน เขาก็สมรสกับบุตรสาวร้านขายธัญพืชแล้วย้ายออกไปเช่นกัน
เรือนพักหลังใหญ่จึงเป็นของเฉินเต๋อหมิง ส่วนเรือนพักหลังเล็กกลายเป็นของคุณชายเล็กหรือเฉินอวี้ไปโดยปริยาย
แต่นั่นก็หมายความว่า เฉินเต๋อหมิงเหลือคู่เจรจาคือน้องเล็กคนนี้เพียงคนเดียว ในการที่จะบอกว่าต้องการห้องพักทั้งสามห้องที่ว่างอยู่ให้กับบรรดาคนรับใช้ของฮูหยินของตนเอง

เฉินอู่ปิดตาข้างหนึ่งให้กับการอวดอำนาจของบุตรชายคนโตและครอบครัว เพราะเห็นว่า บุตรผู้นี้เป็นกำลังสำคัญทางการค้าของครอบครัว
ส่วนตัวของเฉินอวี้เองก็พยักหน้ายอมรับคำขอของพี่ใหญ่ง่าย ๆ
หากภายในใจเฉินอวี้กลับคิดว่า การถกเถียงกับคนแบบนี้มีแต่จะสร้างความเสียหายตามมา อีกอย่างมารดาก็ยังอยู่ที่นี่ ตอนที่ตนยังอยู่ทุกอย่างมันก็ดี แต่เมื่อต้องไปอยู่ในที่ห่างไกลมารดาอาจถูกกลั่นแกล้งได้

ต่อมาเมื่อสอบได้ พี่รองเฉินอีจิ้งก็เพิ่มความหวังของเฉินอวี้ในการที่จะออกไปจากบ้านหลังใหญ่ ด้วยการบอกว่า จากตำแหน่งที่สอบได้นี้ทำให้เขาอาจได้รับสิทธิ์เรื่องที่พักประจำตำแหน่ง ดังนั้นในระหว่างนี้ ขอให้อดทนต่อความอึดอัดคับข้องใจนี้ไปก่อน
นี่คือความหวังเล็กๆ ในใจของเฉินอวี้ ที่ทำให้เขายังสามารถพักอยู่ในห้องเดิม ปฏิบัติตนเหมือนเดิม รวมถึงการเข้าออกบ้านทางประตูด้านหลังของบ้านต่อไป
ชายหนุ่มเรียนรู้ว่า ยิ่งทำตนให้ลีบเล็กเท่าใด ปัญหาก็จะยิ่งลดน้อยลงเท่านั้น

หลังจากการฝึกที่กองทัพฝ่ายตะวันตกเสร็จสิ้น เฉินอวี้กลับมาทำงานที่สำนักผู้ตรวจการ และพักอยู่ในบ้านหลังเดิม ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม รวมถึงการที่เลิกงานในค่ำวันหนึ่ง ก็เข้าประตูทางด้านหลังบ้านตรงไปที่โรงครัวเพื่อกินอาหารมื้อค่ำโดยมีมารดาเป็นผู้จัดหาให้ ถามไถ่ว่าการทำงานในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีกำหนดที่จะต้องเดินทางไปไกลอีกหรือไม่ จากนั้นก็เดินกลับไปส่งมารดาที่เรือนพักหลังใหญ่เช่นทุกวัน
ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือคืนนี้ ในห้องพักของเฉินอวี้มีคนรูปร่างสูงใหญ่นอนหลับอยู่
อาจเพราะเตียงนอนนั้นไม่ใช่เตียงขนาดใหญ่ คนผู้นี้จึงนอนกับพื้นโดยใช้ผ้าห่มมาปูรอง
ยังไม่ทันที่จะคิดว่าสมควรปลุกหรือไม่ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านนอก จึงรีบออกไปบอกหญิงรับใช้ว่าให้กลับไปพักผ่อนได้  ส่วนตนเองเดินกลับเข้าไปในห้อง เปิดตู้หยิบหมอนใบใหม่กับผ้าห่มออกมา จากนั้นก็นำหมอนมาหนุนศีรษะ ถอดรองเท้าของคนที่นอนหลับอยู่ แล้วห่มผ้าให้
เดินกลับออกไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับมานั่งลงข้าง ๆ
เทพเสือโคร่งภูผายกยิ้มมุมปากทั้งที่ยังไม่ลืมตา เฉินอวี้จึงถามขึ้นเบา ๆ
"เหนื่อยหรือ"
เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเฉินอวี้ก็จะขยับลุกขึ้น แต่ถูกดึงข้อมือไว้
"จะไปไหน"
"ไปนอนบนเตียง"
"นอนที่นี่ด้วยกันเถิด" กล่าวพลางดึงอีกคนให้ลงมานอนโอบเอวไว้ “คิดถึง”
คนที่อยู่ในอ้อมแขนไม่มีท่าทีใด ผู้ที่คิดจะแกล้งหลับต่อจึงลืมตาขึ้น “เวลาที่ผู้อื่นบอกว่าคิดถึง เจ้าต้องตอบว่าอะไร”
“ต้องตอบว่าอะไร”
“ก็ตอบมาสิ ว่าคิดถึงเหมือนกัน หรืออย่างน้อยพยักหน้าก็ยังดี”
“ฮื่อ” เฉินอวี้พลิกตัวหันหลังให้
“ไม่เจอกันตั้งนาน ไม่คิดจะแสดงท่าทีดียินดีที่ได้พบกัน ดีต่อกันสักนิดบ้างหรือไร”

เฉินอวี้ลืมตาหันมามอง
.....นอนอยู่ข้างกัน นี่ยังไม่เรียกว่าดีต่อกันหรือไร เทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้ต้องการอะไร...

“มีเรื่องไม่สบายใจหรือ” พลิกตัวหันกลับมาหาอีกครั้ง
“ก็...ใช่” ผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่ยอมรับ แล้วบอกความในใจมากมายให้อีกฝ่ายรับฟังอย่างไม่ปิดบัง โดยเฉพาะเรื่องความรัก ความแค้นของท่านหญิงหนานกงที่มีผลให้กระเรียนโกเมนต้องตาย “สัตว์เทพ และสัตว์ป่าแห่งป่าสีทองล้วนเป็นกังวล ข้าวิ่งวุ่นจากเหนือจดใต้ เพื่อที่จะได้รับรู้ว่าที่แท้ข้าคือต้นเหตุของเรื่องราวเหล่านี้”
"ท่านไม่ได้บอกนางก่อนหรือว่าท่านจะไปบำเพ็ญเพียร"
เทพเสือโคร่งภูผาส่ายหน้า
"แล้วท่านรู้มาก่อนหรือไม่ ว่าผลจากการบำเพ็ญเพียรจะทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง"
"ไม่แน่ใจ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เป็นเช่นนี้"
แขนใหญ่กอดรัดแน่นขึ้น
"ข้าอยู่มานานกว่าร้อยปี ย่อมเคยมีประสบการณ์กับหญิงอื่น แต่นางเป็นเพียงคนเดียวที่กลับไปหานานหลายปีติดต่อกัน ถือว่ามีความผูกพันมากกว่าใคร แต่ข้าก็ยังไม่รู้จริง ๆ ว่านี่จะเกี่ยวกันหรือไม่"
“เพราะผูกพันกันขนาดนั้น นางจึงรอคอยท่านนานถึงยี่สิบห้าปี คงมีทั้งช่วงที่เสียใจ สับสน และโกรธแค้นท่านปนเปกันไป แต่ก็แสดงให้เห็นว่านางรักท่านมาก”
มือใหญ่ของเทพเสือโคร่งภูผาจับปอยผมนิ่มมาสูดดม

ตอนที่อยู่กับนางก็ลุ่มหลงนาง แต่เมื่อจากนางไปบำเพ็ญเพียร ความรู้สึกต่างๆ กลับเลือนหายไป ไม่มีความคิดถึง ไม่มีความต้องการกลับไปหานางอีก ทั้งยังเก็บตัวอยู่ที่ป่าสีทองต่ออีกหลายปี
จนเมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำกล่าวว่าแพทย์หลวงหนานกงผู้นั้นหาได้มาจากเมืองหนานกง แต่มาจากเมืองจงพวน เมื่อกล่าวถึงจงพวน ความทรงจำต่าง ๆ จึงกลับมาดั่งสายน้ำ
แต่เป็นความทรงจำที่มาพร้อมกับความกังวล และความละอายแก่ใจ ไม่ใช่ความคิดถึง ไม่ใช่ความรัก จนต้องถ่วงเวลาที่จะเดินทางมาเมืองจงพวน
เรื่องให้ทำดีต่อกันน่ะมิได้เป็นปัญหา คนจากกันไปโดยที่มิได้โกรธกัน สามารถดูแลกันได้ แต่จะให้ร่วมเตียงเหมือนเดิม...ทำมิได้แล้ว
ยิ่งได้ฟังสิ่งที่นางกล่าว รับการดูแลจากนาง ทั้งหมดล้วนยิ่งตอกย้ำถึงความเลวร้าย
ขณะที่นางมีรักมั่นคง แต่เขากลับลืมความรักที่มีต่อนาง

"นางงดงามมากหรือ"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า "เวลาที่ข้าบอกว่างดงามก็คืองดงาม มันไม่ได้เกี่ยวกับสีของเส้นผม หรือริ้วรอย แต่คำพูดและการกระทำของนางบ่งบอกว่า ความเปลี่ยนแปลงภายนอกของนางเป็นเรื่องใหญ่มาก"
เฉินอวี้หัวเราะเบาๆ "ท่านนี่ไม่เข้าใจสตรีเอาเสียเลย"
"ข้าเอาแต่ใจตนเองมากเกินไปจริง ๆ" เทพเสือโคร่งภูผาจูบที่หน้าผากคนงาม "อวี้เอ๋อร์ หากวันหนึ่งที่ข้าออกมา แล้ว...ข้าหลงลืมความรักที่มีต่อเจ้าไป..."
"ก็ไม่เป็นไร" ราวกับมีช่องว่างเกิดขึ้นภายในอก "ชีวิตของข้ามิได้ยืนยาวดั่งท่าน เพียงแต่หากวันหนึ่งในภายหน้า พวกเราบังเอิญได้พบกัน ก็...ทักทายข้าบ้าง"
ร่างกายสูงใหญ่กำยำกระชับกอดผู้ที่นอนอยู่ข้างกันแน่นขึ้น
"หลายวันมานี้ ท่านเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว นอนหลับเถิด พรุ่งนี้ข้าจะบอกคนรับใช้ว่าไม่ต้องเข้ามาทำความสะอาด"

ค่ำวันถัดมา เฉินอวี้กลับมาถึงที่พักก็พบว่าเทพเสือโคร่งภูผานั่งกอดอกรออยู่บนเตียงนอน ท่าทางอารมณ์ไม่ดี
"เป็นอะไรไป"
คนตัวใหญ่พยักหน้าไปที่ตู้เก็บผ้า
"วันนี้หญิงรับใช้เอาผ้าห่มมาวางไว้ที่โต๊ะด้านนอก ข้าเอามาเก็บไว้ในตู้แล้ว"
คนรูปงามเอียงคอสงสัยว่าเพียงแค่ผ้าห่ม เหตุใดต้องอารมณ์ไม่ดี
"ข้ายังได้ยินพวกนางคุยกันเรื่องหญิงรับใช้ประจำตัว และเมียบ่าวของเจ้า"
เฉินอวี้พยักหน้าพยายามเก็บงำรอยยิ้ม เมื่อทราบสาเหตุที่ทำให้เทพเสือโคร่งผู้นี้อารมณ์ไม่ดี
"ตั้งแต่แรกที่มาถึง ข้าก็ได้กลิ่นแป้ง กลิ่นผู้หญิงในห้องนี้ ไม่คิดว่าเจ้าจะกล้ารับเมียบ่าว"
"ไม่จำเป็นต้องใช้ความกล้าเพื่อทำสิ่งนั้น"
"นี่!" ผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่ผุดลุกขึ้น
"ตั้งแต่สอบรับราชการได้ บิดาก็บอกให้ข้ารับเมียบ่าวสักคนเพื่อคอยดูแลเรื่องส่วนตัว"
"บิดาบอก เจ้าก็ต้องทำตามทุกอย่างเลยหรือ"
"ใช่" คนงามกำลังคลี่ยิ้มงดงามแล้ว "แต่ข้าปฎิเสธไปแล้ว"
"หมายถึงไม่มีเมีย แล้วคนรับใช้เล่า"
"ก็มีคนรับใช้คอยดูแลทำความสะอาด แล้วก็ซักผ้าให้ เรื่องทั่วไปเท่านั้น"
เทพเสือโคร่งภูผาก้าวเข้ามากอดรัดคนงามไว้แน่นด้วยความดีใจ
เฉินอวี้ตบหลังอีกฝ่ายเบา ๆ
"ที่ผ่านมาท่านแม่จะจัดการทั้งเรื่องอาหาร เสื้อผ้า และทำความสะอาดให้ข้าด้วยตนเองทั้งหมด ที่รับคนรับใช้ส่วนตัวก็เพื่อไม่ให้ท่านแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยอีก"
"ไม่มีเมียบ่าวแน่นะ"
เฉินอวี้ส่ายหน้า
เทพเสือโคร่งภูผา อ้าปากจะกล่าวถ้อยคำบางอย่าง แต่กลับพูดไม่ออก เฉินอวี้ลูบแผ่นหลังกว้าง แล้วผละไปหยิบผ้าอาบน้ำจากนั้นก็เดินออกไปเฉย ๆ

"อะไรของเขา คุยกันยังไม่ทันจบก็ออกไปอีกแล้ว"

พักใหญ่เฉินอวี้จึงกลับเข้ามา ใบหน้าสดใสหลังการอาบน้ำ แต่อีกคนกลับยืนกอดอกหน้าเครียดอยู่กลางห้อง
"อ้าว เมื่อครู่อารมณ์ดีแล้วไม่ใช่หรือ"
"ที่กลับมาอารมณ์ไม่ดี ก็เพราะเจ้านั่นแหละ คุยกันอยู่ดี ๆ ก็เดินออกไป ทำนั่นทำนี่ ไม่พูดไม่จา"
เฉินอวี้เดินไปหยิบผ้าห่มมาปูที่พื้นแล้วนั่งลง จากนั้นก็ตบที่ฝั่งตรงข้าม บอกให้อีกฝ่ายนั่งลงคุยกัน
"ที่ถามมาก็ตอบไปแล้ว ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีกหรือ"
ผู้ที่มีดวงตาสีเหลืองสดใสทำหน้ายุ่ง "ข้าไม่ชอบที่คุยกันอยู่แล้วเจ้าก็หันหลังให้ทันทีแบบนั้น มันเหมือนเจ้าไม่อยากคุยกันข้าแล้ว"
ดวงตางดงามเป็นประกายเมื่อเฉินอวี้ยิ้มกว้าง
"เออ ข้ารู้ว่าข้าเอาแต่ใจ ที่ผ่านมาก็นึกจะทำอะไรก็ทำ ไม่ได้สนใจความรู้สึกผู้อื่น แต่เจ้าห้ามไม่แยแสข้า"

ดวงตางดงามคู่งดงามยิ่งนัก  แก้มใสที่ปราศจากแป้ง ริมฝีปากแดงที่ปราศจากการแต่งแต้ม เส้นผมยาวที่ยังชื้นอยู่ แขนที่สัมผัสนุ่มลื่นด้วยความเย็นหลังการอาบน้ำ กลิ่นหอมอ่อน ๆ ไม่เหมือนดอกไม้ใด เรือนร่างผอมบางที่มีกล้ามเนื้องดงาม
เทพเสือโคร่งภูผาขยับเข้าไปนั่งใกล้ ช้อนใบหน้างดงามขึ้นมารับจูบ
ความหวานของริมฝีปากที่กระชากหัวใจออกจากร่าง เผลอดูดแรงจนอีกคนต้องจิกเล็บลงกับไหล่หนา
เปลี่ยนลงมาจูบแก้ม และซอกคอ
...หอมยิ่งนัก หวานยิ่งนัก...
ชุุดนอนพ้นจากร่างผอมบางที่คร่อมตัก มือใหญ่ที่สัมผัสเอวบางหยุดชะงัก ด้วยร่างกายนี้ยังเล็กเกินกว่าจะครอบครอง จึงจับเอวยกขึ้นให้อกบางอยู่ในระดับเดียวกับริมฝีปาก ดูดชิมลิ้มรสผลอิงเถาจนกลายเป็นสีแดงสด
เฉินอวี้รู้สึกอายที่ถูกจับให้อยู่ที่ท่าทางที่ล่อแหลม ใบหน้างดงามนั่นเป็นสีแดงจัด เรื่อยลงมาจนถึงแผ่นอก ขณะที่ทั้งสองมือต้องเกาะไหล่อีกฝ่ายไว้แน่น
มือใหญ่บีบเคล้นก้นกลม ข้างหนึ่งแตะที่รอยจีบด้านหลังทำให้ร่างกายผอมบางสั่นไหว  เลื่อนมือลงมาหาผลแฝดลูบไล้หยอกล้อ แล้วสัมผัสที่ส่วนหน้าด้วยนิ้วมือ ฝ่ามือ จากนั้นจึงเป็นริมฝีปาก และปลายลิ้น
เสียงหายใจแรง ร่างกายที่เคร่งเครียดขึ้น แรงที่ผลักไหล่หนา ล้วนแต่ทำให้อีกฝ่ายยิ่งเร่งเร้าปรนเปรอจนถึงฝั่ง
เฉินอวี้หอบหายใจ ขณะที่รูดตัวลง แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยให้นอน ยังคงกอดรัดให้อยู่บนตักอยู่เช่นเดิม
"อวี้เอ๋อร์..."  เสียงอ่อนโยนที่ดังอยู่ข้างแก้ม แต่มือใหญ่กลับ บีบเคล้นที่อกบาง
เจ้าของชื่อพยักหน้าคล้ายเป็นไปตามสัญชาติญาณเมื่อถูกเรียกชื่อ
"ข้าอยากสัมผัสเจ้า...มากกว่านี้"
ดวงตางดงามช้อนมองแล้วถอนหายใจยาว
....ตั้งแต่รู้จักกันมา เคยขัดใจอีกฝ่ายได้สักครั้งไหม....

เช้าวันถัดมาเฉินอวี้เตรียมตัวจะออกไปทำงาน เทพเสือโคร่งภูผาก็บอกว่า วันนี้สามารถทำให้คนรับใช้เข้าทำความสะอาดห้องพักได้ เพราะตนอาจกลับมาในช่วงค่ำเช่นกัน
คนรูปงามพยักหน้าไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่อีกฝ่ายกลับอยากบอก
"วันนี้ข้าจะตามเฝ้าเจ้าทั้งวัน ดูสิว่าเจ้าออกไปทำอะไร ถึงได้กลับบ้านค่ำมืดอยู่ทุกวัน"
คนรูปงามหันมามองหน้า แล้วหัวเราะ จากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง

"อีกละ ไม่สนใจข้าอีกละ เจ้านี่มันยังไงกัน ถือตัวว่าเป็นคนงาม เห็นว่าข้ารักเจ้าจนหัวปักหัวปำ แล้วคิดจะทิ้งขว้างไม่แยแสข้าได้งั้นหรือ" ผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่กำยำบ่นตามหลัง จากนั้นก็เดินไปเปิดหน้าต่างห้องนอนแล้วกระโดดตามออกไป

เมื่อเทพเสือโคร่งบอกว่าจะคอยตามเฝ้าอยู่ทั้งวัน เฉินอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะคอยมองหา แต่หลังจากที่มองหาอยู่สามคราแล้วไม่เห็น ก็หันไปสนใจกับการทำงานเบื้องหน้าต่อไป

ตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ผู้ร่วมงานต่างชักชวนกันไปดื่มกินที่หอสุรา และเร่งมือรวบรวมรายงานเพื่อให้ท่านผู้ตรวจการณ์นำขึ้นทูลเกล้าฯ ฮ่องเต้ในช่วงค่ำวันนี้
“หากไม่ต้องไปดื่มกิน ก็จะนับว่าวันนี้เป็นวันเลิกงานที่เร็วที่สุดในรอบหลายปี” ซุนไป่ซื่อพี่รองของกลุ่มห้าบัณฑิตกล่าวขึ้น และทำให้เฉินหรุ่ยซึ่งอยู่ในลำดับสามแสดงความเห็นขึ้นมาบ้าง
"แต่เพราะว่า พวกเราเสร็จงานเร็ว จึงสมควรออกไปดื่มกินมิใช่หรือ"
อู่ติ้งเกาไม่สนใจความงุนงงที่เฉินหรุ่ยเจตนาก่อกวนขึ้น หันไปกล่าวกับเฉินอวี้ “น้องอวี้ห้ามหนีหายไปโดยไม่บอกกล่าวอีกนะ เจ้านี่มันขึ้นชื่อเรื่องการหนีกลับบ้านนักเชียว”
เฉินหรุ่ยหันมากอดคอเฉินอวี้ “พูดขึ้นมาแล้วยังแค้นไม่หาย ตอนที่เจ้าหายไปในป่าตะวันตกนั่นตั้งหลายวัน พอกลับมาก็เอาแต่พูดคำว่าไม่มีอะไร ทั้งที่ผู้อื่นวุ่นวายตามหาเจ้าแทบตาย”
“แต่ท่านแม่ทัพก็บอกว่า ไม่มีอะไรไม่ใช่หรือไง เจ้านี่ก็ยังไม่พอใจอยู่นั่นแหละ” อู่ติ้งเกาช่วยเหลือเฉินอวี้ไว้อีกครา แล้วหันไปกำชับทั้งสี่คนว่าให้ช่วยกันคิดว่าค่ำนี้จะไปดื่มกันที่ร้านใดในระหว่างที่ตนเองนำรายงานไปเสนอต่อผู้ตรวจการณ์

แต่เมื่อเดินออกมาจากสำนักงานอู่ติ้งเกาก็หันมาถามเฉินอวี้ด้วยความเป็นห่วง ว่าจะกลับไปที่บ้านเพื่อบอกมารดาก่อนหรือไม่ ว่าวันนี้มิต้องรอคอยกินข้าว
เฉินอวี้ยังมิได้ให้คำตอบก็พบกับพี่รองเฉินอีจิ้งเสียก่อน เฉินอีจิ้งเข้าใจการทำงานของข้าราชการ ทั้งเป็นผู้ที่พร้อมที่จะให้การสนับสนุนน้องเล็กอยู่แล้ว จึงรับว่าจะไปบอกกับมารดาของเฉินอวี้ให้ด้วยตนเอง
เฉินอวี้บอกให้สหายทั้งสี่คนล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตนเองเดินสนทนามากับพี่รอง
"ตั้งแต่กลับมาเมืองหลวง เจ้ามักจะดูแลแม่รองเป็นหลักจนไม่ค่อยได้ไปดื่มกินกับเพื่อนฝูง และไม่ค่อยได้ไปรับใช้ผู้ใหญ่ การงานมันจะไม่เจริญก้าวหน้า"
"ก่อนหน้านี้ข้าต้องเดินทางไปนั่นมานี่ตลอด เมื่อกลับมาอยู่บ้านจึงอยากดูแลท่านให้ดี นี่ก็ทำได้เพียงแค่กลับบ้านมากินข้าวฝีมือท่านเพียงวันละมื้อ"
เฉินอีจิ้งให้คำแนะนำ "อีกวันสองวัน เขาจะจัดแบ่งเจ้าไปลงกรมกองงานวังหลวงแล้วนี่ เจ้าอาจได้ที่พักเป็นของตนเองอยู่ส่วนใน  หรือหากต้องออกไปอยู่ในเรือนด้านนอก เจ้าอาจขอให้ท่านแม่เล็กย้ายไปพักด้วยกันก็ได้"
เป็นอีกครั้งที่พี่รองกล่าวถึงเรื่องที่พักของเจ้าหน้าที่
"ข้าเพิ่งทำงานได้ปีเศษ คงไม่ถึงขนาดที่จะได้ที่พักที่สามารถพาท่านแม่ไปพักอยู่ด้วยกันได้หรอก"
"อะไรกัน" เฉินอีจิ้งอวดโอ่ด้วยความภูมิใจ และตั้งใจให้คนที่เดินผ่านไปมาได้ยินบทสนทนา "น้องเล็กของข้าเป็นถึงหนึ่งในห้าผู้ยอดเยี่ยมทั้งบุ๋นและบู๊เชียวนะ สิ่งที่ยังขาดไปก็มีเพียงการทำตัวโดดเด่นออกมาให้ผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายมองเห็นเจ้า อยู่ในที่ที่เขาสามารถเรียกใช้เจ้าได้ทุกเมื่อ งานราชการมันเป็นเช่นนั้น ใครที่ไหนจะมอบรางวัลให้กับคนที่รู้จักแต่ทำงานแต่ไม่รู้จักเข้าหาผู้คน"
เฉินอวี้พยักหน้าเข้าใจคำแนะนำของพี่รองเป็นอย่างดี
"อยู่ในบ้านเจ้าอยากทำตัวให้เล็กเข้าไว้เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา หากเจ้าสบายใจจะทำเช่นนั้นข้าก็ตามใจ แต่ในที่ทำงานเจ้าต้องรู้จักเสนอหน้าบ้างในบางเวลา"

เมื่อเดินสนทนาไปด้วยกัน เฉินอวี้พบใต้เท้าฝูซึ่งประจำอยู่ในห้องยาเดินออกมาจากร้านขายยาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขณะที่ในมือโบกตั๋วแลกเงินแล้วซุกในอกเสื้อ แล้วเดินไปอีกทาง

"นั่นคือใต้เท้าฝู" เฉินอวี้กล่าวขึ้น
เฉินอีจิ้งพยักหน้า "เขามาที่นี่ตกเดือนละครั้ง" จากนั้นก็หันมากล่าวกับน้องชาย "เขามีความกล้าในการทำเรื่องทุจริต ถึงขนาดที่บอกกับคนไปทั่วว่านอกจากเสื้อคลุมหนังสัตว์แล้ว ฮ่องเต้ไม่โปรดยาที่มาจากสัตว์หายาก ดังนั้นจะเก็บไว้ในห้องยาให้เปื่อยเน่าไปทำไม สู้เอามาขายยังดีกว่า"

ใช่ว่าเฉินอวี้จะไม่เคยรู้เรื่องที่ข้าราชการลักลอบนำของในวังออกมาขาย ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฏหมาย ยิ่งเป็นทรัพย์สินที่มีผู้นำมาถวายโทษก็ยิ่งร้ายแรง แต่การที่ผู้ทำไม่เกรงกลัวการลงโทษ มีผู้ที่รู้เรื่องนี้มากมาย แสดงให้เห็นว่ามีสิ่งที่น่าสงสัยอยู่เบื้องหลัง

เฉินอวี้ไม่ได้คิดกังวลว่าฮ่องเต้จะมีพระราชดำริอย่างไร
แต่กำลังกังวลว่าหากเทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้นรู้เข้า เขาจะคิดอย่างไร

หลังยามจื่อ เฉินอวี้ถึงเพิ่งจะกลับมาถึงที่พัก เมื่อเห็นว่าเทพเสือโคร่งภูผานั่งรออยู่ที่โต๊ะไม้ในสวนก็เดินเข้ามาถาม
"กลับมานานแล้วหรือ"
ผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่มองดั่งค้อน
"ไม่ถามหรือไง ว่าทำไมถึงต้องออกมารอที่นี่ ไม่กลัวใครมาเห็นหรือไง ทำไมเจ้าถึงได้เมินเฉยนักนะ"
เฉินอวี้แม้จะดูเฉยชาเพราะไม่ได้กล่าวถ้อยคำที่อ่อนหวาน แต่กลับซ่อนยิ้มอยู่ในแววตา
"ท่านเป็นคนที่รออยู่ด้านนอก กลัวใครเห็นหรือไม่ล้วนเป็นเรื่องของท่าน แต่ตอนนี้ข้ากลับมาแล้ว ก็เข้าไปข้างในเถอะ"
"เช่นนั้นข้าจะตามเจ้าไปด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องของข้าใช่หรือไม่"
เฉินอวี้พยักหน้า แล้วเดินนำไปเข้าไปด้านใน เทพเสือโคร่งภูผาใช้สันหมัดกระแทกหน้าผากตนเองเบา ๆ แล้วเดินตามเข้าไป

เมื่อผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่กลางห้อง ห้องที่ไม่ได้กว้างขวางนักก็ยิ่งดูคับแคบลงไปอีก แต่อีกฝ่ายทำเหมือนไม่รู้
"มีเรื่องไม่สบายใจหรือ"
เฉินอวี้พยักหน้า แต่เมื่ออีกฝ่ายเร่งเร้าให้เล่าเรื่องที่ไม่สบายใจนั้น คนรูปงามก็เพียงส่งยิ้มอ่อนมาให้
"อวี้เอ่อร์ หากเจ้ามีเรื่องที่ไม่สบายใจ ข้าก็อยากเป็นคนที่เจ้าวางใจบอกเล่าเรื่องนั้นให้ข้าฟัง"
เฉินอวี้ส่ายหน้า ทำท่าจะเดินออกไปจากห้อง แต่เทพเสือโคร่งภูผาจับข้อมือไว้
"อวี้เอ๋อร์"
"เรื่องของข้าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่กล้ารบกวนท่าน"
เทพเสือโคร่งภูผาขมวดคิ้วเข้ม
"เหตุใดคำพูดของเจ้าจึงห่างเหินยิ่งนัก"
เฉินอวี้ส่ายหน้าอีกครา
"เช่นนั้นก็บอกมา ว่านี่มันเกิดอันใดขึ้น เมื่อคืนพวกเรายังดีต่อกันมิใช่หรือ"
คนรูปงามทำท่าจะเลี่ยงจากไป เทพเสือโคร่งภูผาจึงจับข้อมือแน่นขึ้น
"อวี้เอ๋อร์"
"ท่านอยากฟังเรื่องอะไร"
"เรื่องที่อยู่ในใจเจ้า" ผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนกลับรู้สึกกังวลคำตอบของอีกฝ่าย
"สิ่งที่อยู่ในใจข้า" ดวงตาคู่งามนั้นหลุบลงมองพื้น "เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่ท่านไม่อยากรับฟัง"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า แต่ยังไม่คลายมือออก
"ในใจของข้ากำลังคิดว่าพวกเราพอแค่นี้เถอะ"
"เหตุผลเล่า อวี้เอ๋อร์"
เฉินอวี้ไม่กล้าสบตาคู่นั้น "ท่านมีครอบครัวแล้ว และท่านก็รักพวกเขามาก บุตรของท่านเองก็ไม่แข็งแรง พวกเขาต้องการท่าน ทุกสรรพสัตว์ในป่าสีทองล้วนต้องการท่าน ส่วนข้า...ข้าเป็นชาย ท่านจะให้ข้าเป็นอะไรของท่าน ชายบำเรอหรือ ต่อให้ข้าเป็นบุตรของเมียรองก็ไม่ได้ไร้ศักดิ์ศรีขนาดนั้น"
"เจ้าพูดอะไรของเจ้า" เทพเสือโคร่งภูผาไม่เข้าใจเรื่องชายบำเรอ หรือศักดิ์ศรีที่อีกฝ่ายกล่าวมาแม้แต่น้อย "เมียก็คือเมีย ไม่ได้มีตำแหน่งอันใด บงกชคือนางเทพเสือโคร่งที่ครองคู่กับข้ามาตั้งแต่ยังมิได้เป็นเทพ ส่วนมารดาของลู่เขาก็มีคู่ของเขาอยู่ หรือหากจะเป็นสตรีคนอื่น ก็...."
"นี่ท่านมองไม่เห็นถึงความผิดปกติในสิ่งที่ท่านเล่ามาเลยหรือ"
"ไม่" เทพเสือโคร่งภูผากล่าว "การหลับนอนด้วยกันแต่ไม่ผูกพันจะนับเป็นครอบครัวได้อย่างไร"
"เราถึงคุยกันไม่เข้าใจ"
"อวี้เอ๋อร์ ข้าเป็นเสือโคร่ง ข้าไม่ใช่สัตว์มักมากร่วมรักไปเรื่อย จริงอยู่เสือโคร่งตัวหนึ่งอาจมีตัวเมียหลายตัว แต่ข้าอยู่กับบงกชมานานกว่าร้อยปี ข้ามีสายลมก่อนที่จะพบเจ้าไม่นานนัก ส่วนมนุษย์ที่อาจทำให้เจ้ากังวลเหล่านั้น จริงอยู่ว่าทั้งหมดเป็นสตรี พวกนางล้วนรู้ดีว่าข้าคือใคร รู้ดีว่าไม่ผูกพัน ส่วนเรื่องของท่านหญิงหนานกงหากทำให้เจ้าไม่สบายใจ ก็ขอให้คิดว่าเวลานี้นางจากไปแล้ว”
อธิบายไปยืดยาวแต่เฉินอวี้ก็ยังพยายามจะบิดข้อมือออกตั้งแต่ถ้อยคำแรกจนถึงถ้อยคำสุดท้าย
“หรือที่พูดจาตัดรอนกับข้า เพราะเจ้ากังวลเรื่องที่ข้าลืมความรักหลังจากที่ออกมาจากบำเพ็ญเพียร”

นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนยิ่ง และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจนมิรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร สมควรแก้ไขอย่างไร
เทพเสือโคร่งภูผาไม่เคยหลงลืมความรักต่อนางเทพเสือโคร่งบงกช และนางเทพกวางสายลม กับสตรีเหล่านั้นก็มิได้ผูกพันกันมาแต่แรก มาถึงท่านหญิงหนานกงก็...อาจลุ่มหลงและรักนางมากกว่าผู้อื่นสักหน่อย
...เรื่องนี้ ในเวลานี้ ยังไม่สามารถอธิบายได้จริงๆ ...

เฉินอวี้หันไปมองทางอื่นไม่ได้กล่าวทัดทานหรือซักถามคำกล่าวของอีกฝ่าย
"เช่นนั้นท่านก็คงไม่เข้าใจว่าเหตุใดข้าจึงเป็นชายคนเดียวในรอบเวลามากกว่าร้อยปีของท่าน" เฉินอวี้ไม่ได้คาดหวังคำตอบนี้ เพราะถามไปด้วยอารมณ์พาลเกเรล้วนๆ แต่อีกฝ่ายถึงกับร้องอ้อ
"ที่แท้เจ้าต้องการเหตุผล ความรักมันไม่มีเหตุผล สำหรับข้า รักก็คือรัก เมื่อข้ารักเจ้าก็คือรักเจ้า หรือเจ้ากลัวว่าวันหนึ่งข้าจะลืมเจ้าเช่นกัน"
เทพเสือโคร่งภูผากล่าวย้ำ

...คิดไปคิดมามันก็สมควรที่เขาจะตัดรอน แต่คิดหรือว่าจะยอมง่ายๆ...
"ข้าไม่ได้กังวลในเรื่องนั้น ข้าคิดว่า ตั้งแต่แรกมา ข้าแสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว ว่ามิได้ต้องการอยู่กับท่าน"
"แต่เมื่อคืนนี้..."
เฉินอวี้ขัดขึ้นก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวจบ "ท่านไม่เคยสนใจว่าข้ารู้สึกอย่างไร ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม ท่านจะบอกว่าท่านต้องการอะไร ทำอะไร คิดอะไร ต้องการให้ข้าทำอะไร ไม่เคยถามข้าสักคราว่าข้าต้องการอะไร"
"ข้า...เห็นแก่ตัวถึงเพียงนั้น..."
ถ้อยคำนั้นช่างเจ็บปวด
"อวี้เอ๋อร์ ข้าคิด....." ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้อง "จริงอย่างที่เจ้าพูด ตลอดเวลามีแต่เรื่องของข้าจริง ๆ ขอโทษด้วย"
เมื่อมือใหญ่คลายออก ก็คล้ายวิญญาณหลุดลอยตามมือนั้นไปด้วย เฉินอวี้มองตามมือนั้นที่ห่างออกไป จนลับหายไปหลังประตูที่ปิดลง

...อย่าได้คิดเชียวนะอวี้เอ๋อร์ ว่าข้าจะยอมจากไปง่ายๆ... 

...จบบทที่ยี่สิบ...

วันนี้ผมไปทำงาน ก็ฝากป๋าไว้ว่าขึ้นหน้าใหม่แล้วมาลงให้ด้วยผลก็คือ..."ทีเลิกงานแล้วกลับมาลงดีกว่า"
เฮ้อ....
อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณทีมงานผลัก ถีบ และทวงทุกท่านที่ทำให้ขึ้นหน้าใหม่ได้ทุกตอน
และดังนั้นเอง ขึ้นหน้าใหม่ก็มาตอนใหม่ ก็แหม...ผมก็อยากรู้มั่งอะ ผมเล่าไปเรื่อยๆ มันเหมือนพูดอยู่คนเดียวไม่สนุกเลย ถ้ายังไม่อยากคุยเรื่องนิยาย อยากคุยกันในเรื่องอื่น ก็คุยกันได้นะ ผมชอบ
...
...
ชอบคนที่คุยกับผมน่ะ  :o8:
น้ำชา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 06-08-2017 21:37:37
ท่านเสือโคร่งก็ยังเอาแต่ใจอยู่ดี

น้องทีหายไปไหนมา พี่แวะเวียนมาดูตั้งหลายที จนนึกกังวลว่าไม่สบายไปหรืออย่างไร
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-08-2017 22:30:21
 :a5: :a5:

พ่อเสือถูกฟันเเล้วทิ้งใช่มั้ยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 06-08-2017 23:32:11
พ่อเสือยังต้องศึกษาอวี้เอ๋อร์อีกเยอะ  :z1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-08-2017 16:57:42

อิพ่อคะ อยากจะเปิดโหวตให้อิพ่อแบบจริงจังมาก

โหวตให้กับคำว่าเจ้าชู้ตัวพ่อที่แท้จริง  :katai1:

หรือสาขาหลงตัวเองเป็นที่ 1 นี่ก็วินนะคะอิพ่อ


แต่ทว่า.......... เฉินอวี้ๆๆๆๆๆๆๆๆ ดูเก็บกดมาก 
อยากรู้จังว่าเฉินอวี้จะปลดปล่อยกับความกดดันแบบนี้ยังไง



 :pig4: รอตอนต่อไปจ้า





หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-08-2017 20:03:51
พ่อเสือจะสิ้นลายเพราะเฉินอวี้รึเปล่านะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 07-08-2017 21:27:44
แปะ

❤️❤️
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 08-08-2017 13:43:06
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

พ่อเสืองอแง เอาแต่ใจ น่าตีจริงจัง
อวี้เอ๋อร์ จัดการพ่อเสือเลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 08-08-2017 14:42:49
พ่อเสืองอแงอยากให้คนง้อ  :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 08-08-2017 18:14:54
เฉินอวี้ เป็นคนดูยากเหมือนกันนะเนี่ย ตอนกลางๆก็หวานกันดี ท้ายตอนงอนกันซะแล้ว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: himoru ที่ 09-08-2017 13:41:27
อ่านไปก็ถามตัวเองไป
นี่พ่อเสื้อหรือไม้เลื้อยจ๊ะ
อะไรจะขนาดนั้นนนนนนนนน
บางทีก็คิดนะว่า อะไรทำให้คนคนหนึ่ง(เทพก็ได้) เจ้าชู้ได้แบบนี้
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 11-08-2017 18:10:21
มากลิ้งๆๆๆรอตอนต่อไปปปปป  :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 14-08-2017 10:07:01

ก๊อกๆๆๆๆๆ พ่อเสืออยู่ไม๊ค่า แวะมากอดอวี้เอ๋อร์ ค่า

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 14-08-2017 11:53:35
ไม่ได้แวะมาอ่านนานเลย ........ค่อยๆอ่านวันละนิดแล้วกัน มาแปะจองพื้นที่รอการ edit  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 14-08-2017 12:36:06
มารอดูหน้าพ่อเสือคนโดนเมิน 5555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 15-08-2017 14:00:31
มาส่องพ่อเสือ :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 15-08-2017 16:35:44
 :m9: :m9:

มารอคนโดนเมิน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 16-08-2017 16:28:27
มายัง  เรามารอ
ไม่มา  เราไปเดินเล่นก่อนนะ
 :oni1: :oni1:  :oni1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 17-08-2017 20:16:49
อ่านตอนล่าสุดไปวันแรกที่มาลง  แล้วลืมเมนท์
วันนี้จะมาเมนท์ ก็ลืม เนื้อเรื่องที่อ่าน
วนกลับไปอ่านอีกรอบ   :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 17-08-2017 21:49:17
 :t3: :t3:

มานอนรอพ่อเสืออ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 18-08-2017 10:00:20
 ท่านเทพเสือ  ...ก็ไม่อยากจะสมน้ำหน้าหรอกนะ
แต่ก็ ...โดนซะมั่ง

 :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 19-08-2017 12:21:38
 :katai5: :katai5:

ยังไม่มาหรอออ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 19-08-2017 12:25:31
ฮึบ ฮึบ ฮึบ :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 19-08-2017 13:34:34
มายัง เรามารอนะ
พ่อเสือมาเหอะ  เราคิดถึง
 :m3:  :m18:  :m3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 20-08-2017 16:32:50
วิ่งวนรอ  เดี๋ยวแวะมาใหม่นะ
 :m7: :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 20-08-2017 17:43:07
 :z13: :z13:
เเวะมาจิ้มน้ำชาาาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 21-08-2017 14:25:05

 :pig2:  :pig2: รออยู่ๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 21-08-2017 17:31:49
 :serius2: :serius2: :serius2:

อยากอ่านพ่อเสือโดนทิ้งเเล้ววว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 22-08-2017 06:51:07
อ่านแล้ว ให้ความรู้สึกว่าไรท์ คงใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ แมกไม้ เขียวขจี
ถึงร้อยแก้วออกมาได้ไหลรื่นแบบนี้
อ่านแล้วเหมือน คนอ่านอยู่ในธรรมชาติ ร่มเย็น มีลำธารๆไหลผ่านเลย

พ่อเสือ ก็เจ้าชู้อ่ะนะ แต่อยู่กับใครก็จริงใจ จริงจังนะ
ไม่ไดคิดฟันทิ้ว ฟันขว้าง
ตอนนี้ก็งอนๆเฉินอวี้ ที่ทำตัวไม่ใส่ใจพ่อเสือ แถมบอกเลิกความสัมพันธ์ซะอีก
เล่นเอาพ่อเสือวุ่นวายใจ แต่ไม่ยอมแพ้ /ทีมพ่อเสือ

ที่จริงเรื่งที่ลงไม่สั้นนะ แต่เหมือนอ่านเท่าไรไม่พอ อยากอ่านต่อ  :ling1: :ling1: :ling1:
รอตอนใหม่  :mew2:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 23-08-2017 09:43:21

 :m22: ยังๆๆๆ  ยังไม่มา

หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 23-08-2017 10:18:03
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่ยี่สิบเอ็ด


เฉินอวี้ไม่ได้นับว่าเป็นเวลากี่วันแล้วที่เทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้กลับมาที่ห้อง
แต่ภาพของมือใหญ่ที่คลายออกแล้วห่างออกไปยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน
กลิ่นสาบเสือเจือจางยังอยู่ในห้อง คล้ายบอกว่า มิได้จากไปไหน
เฉินอวี้บอกกับใจตนเองให้ยอมรับว่าอีกฝ่ายจากไปแล้ว เพราะแม้ในวันที่ประกาศเรื่องการแต่งตั้งให้เข้าไปอยู่ในกององครักษ์รักษาพระองค์ ก็ยังไม่เห็นว่าเทพเสือโคร่งภูผาจะมากล่าวแสดงความยินดี หรือมากล่าวเตือนที่ต้องทำงานรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้

ในวันที่มีการแจ้งเรื่องการแต่งตั้งนั้น แม้ทั้งห้าคนจะรู้ตัวล่วงหน้าว่าคงต้องแยกย้ายกันไป แต่ก็ยังคงให้คำมั่นที่จะกลับมาร่วมดื่มสุราสังสรรค์กันเหมือนเช่นเคย ด้วยต่างก็รู้ถึงความสำคัญในการมีพวกพ้องให้มากเข้าไว้
เพียงแต่ตำแหน่งของเฉินอวี้ออกจะเหนือความคาดหมายของทุกคน
เนื่องด้วยเฉินอวี้ บุตรคนเล็กของภรรยารองพ่อค้าผ้าไหมสกุลเฉินผู้นี้ ได้เข้าไปอยู่ในกองงานสำคัญใกล้ชิดฮ่องเต้

ผู้ที่จะเป็นองครักษ์ ไม่เพียงแต่จะเป็นยอดฝีมือ ยังต้องเป็นบุคคลที่ไว้วางพระทัยอย่างยิ่ง ดังนั้นอีกสี่คนจึงพากันสงสัยว่า ผู้รับรองของเฉินอวี้จะต้องเป็นผู้ที่พระองค์ไว้วางพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
เฉินอวี้ตอบไปแบบกลาง ๆ ว่าอาจเป็นท่านผู้เฒ่าหยางแห่งเมืองลั่ว ซึ่งบิดาพาไปฝากตัวตั้งแต่ช่วงก่อนสอบ

"ท่านผู้เฒ่าหยางเมืองลั่วมีอิทธิพลถึงเพียงนี้เชียวหรือ คิดไม่ถึงจริง ๆ" อู๋ติ้งเกากล่าวขึ้น
เฉินหรุ่ยช่วยเสริม "เห็นท่านอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ค่อยได้ออกปากรับรองผู้ใด แต่หากท่านออกปากในรับรองให้แก่น้องอวี้ก้าวหน้าเช่นนี้ เจ้าก็ต้องทำให้ดีที่สุดมิเช่นนั้นท่านผู้เฒ่าจะพลอยถูกตำหนิไปด้วย"

แต่เฉินอวี้ระแวงว่า ผู้ที่ออกปากรับรองให้ไปเป็นองครักษ์จะมิใช่ท่านผู้เฒ่าหยาง แต่เป็นเทพเสือโคร่งภูผา
...เห็นกล่าวโทษฮ่องเต้อยู่บ่อยๆ แล้วเหตุใดจึงฝากให้ทำงานในตำแหน่งนี้
...หรือจะมีเรื่องอื่นอยู่เบื้องหลัง...

ตามระเบียบการของโรงเรียนองครักษ์ ผู้มีสิทธิ์เข้าเรียนได้ในทันที คือ ผู้มีเชื้อพระวงศ์ในระดับล่าง หรือบุตรหลานขุนนางในระดับบุตรภรรยารอง และอนุ ขอเพียงเป็นผู้ที่มีความภักดีต่อฮ่องเต้ตั้งแต่ผู้เป็นบิดามาจนถึงบุตร และต้องเป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมในเชิงยุทธ์
หากเป็นบุคคลทั่วไปหรือเป็นยอดฝีมือในยุทธจักรก็จะต้องมีผู้รับรอง

ถึงขั้นตอนการรับเข้าเรียนจะดูเปิดกว้าง แต่การเรียนและสอบของที่นี่กลับเข้มงวดอย่างยิ่ง ในแต่ละปีมีผู้ที่ผ่านขึ้นปีที่สองประมาณหนึ่งในห้าของนักเรียนปีหนึ่งทั้งหมด
ผู้ที่จบการศึกษาเข้าบรรจุเป็นทหารองครักษ์ในแต่ละปีมีจำนวนไม่ถึงสิบคน บางปีไม่มีผู้ใดสอบเข้าได้เลย
และในทุก ๆ ปีจะมีนักเรียนโรงเรียนองครักษ์เสียชีวิตจากการฝึก และการสอบ

ในความเข้มงวดและยิ่งใหญ่ของกองทหารองครักษ์รักษาพระองค์ และโรงเรียนองครักษ์ที่สืบทอดมาจากฮ่องเต้จางหยวนนี้ มีปัญหารุนแรงเกิดขึ้นในช่วงผลัดแผ่นดิน ทำให้ต้องสูญเสียกำลังทหารไปนับร้อยนาย เนื่องจากมีกระแสข่าวลือว่าฮ่องเต้จางฉวนลอบปลงพระชนม์พี่น้องของพระองค์เอง มาจนถึงองค์ฮ่องเต้จางหยวน ก่อให้เกิดความไม่พอใจและการแบ่งฝ่ายกันขึ้น นำไปสู่การต่อสู้กันเองในที่สุด
เมื่อเหตุการณ์นั้นสงบลง กองทหารองครักษ์ และโรงเรียนทหารองครักษ์จึงเพิ่มการตรวจสอบ และการฝึกอบรมใหม่ทั้งหมด โดยเน้นไปที่การแสดงความภักดีต่อฮ่องเต้ในปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการเป็นผู้ที่มีฝีมือเชิงยุทธ์อย่างยอดเยี่ยม

มาจนถึงเวลานี้ กองทหารองครักษ์รักษาพระองค์ยังมีกำลังทหารไม่ถึงห้าร้อยคน และมีผู้ที่อยู่ใกล้ชิดในระดับองครักษ์ระดับเอกเพียงห้าคนเท่านั้น

ดังนั้นแล้ว บรรดาเพื่อน ๆ และทุกคนที่ได้รับรู้ว่าเฉินอวี้จะถูกบรรจุเข้าโรงเรียนองครักษ์จึงพากันประหลาดใจ

โรงเรียนองครักษ์ตั้งอยู่นอกเขตพระราชวังทางฝั่งตะวันตก หากได้รับการบรรจุจึงจะได้ข้ามถนนและเดินเข้าประตูฝั่งตะวันตกเข้ามาที่กองงานองครักษ์
ภายในโรงเรียนยังเหมือนกับหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เพราะมีทั้งส่วนที่เป็นโรงเรียน โรงฝึก และโรงนอน
ในโรงนอน ส่วนที่เป็นห้องพักของนักเรียนปีที่หนึ่งจะประกอบไปด้วยเตียงนอนแปดเตียง วางเตียงสองด้าน คั่นไว้ด้วยตู้และโต๊ะหนังสือ ทำให้ผู้รับการฝึกส่วนใหญ่มักใช้เวลาอยู่ด้านนอกห้อง ทั้งการอ่านตำรา ฝึกวิชา และการสันทนาการ
หากผ่านการสอบขึ้นไปถึงชั้นปีที่สองจึงได้พักในห้องเดี่ยว

ช่วงหกเดือนแรกของเฉินอวี้ในโรงเรียนแห่งนี้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างดียิ่ง แม้ว่าบรรดาเพื่อนร่วมชั้นจะล้วนเป็นผู้ที่มีลำดับทางสังคมสูงกว่าเขาหนึ่งขั้นเป็นอย่างน้อย
กล่าวคือ ไม่มีใครในที่นี้ที่เป็นบุตรคนเล็ก ของภรรยารองพ่อค้าผู้หนึ่งของเมืองหลวง
ระดับที่ใกล้ที่สุดก็คือบุตรคนรองของภรรยาเอก ข้าราชการชั้นสี่
แต่เมื่อต้องมาใช้ชีวิตอยู่อย่างเท่าเทียมกันเป็นเวลาหลายเดือน หลายคราพวกเขาก็ลืมเลือนการแบ่งลำดับชั้นด้วยฐานะของบิดา อันดับของมารดา  ลำดับชั้นในครอบครัว และค่อย ๆ ซึมซับการทำหน้าที่สำคัญเพื่อปกป้องฮ่องเต้

ถือว่าเป็นช่วงเวลาของการละลายพฤติกรรมที่ประสบความสำเร็จยิ่ง แต่หลังการฝึกผ่านไปหกเดือน ทหารมหาดเล็กก็มาที่โรงฝึกเพื่อแจ้งต่ออาจารย์ว่า ฮ่องเต้มีรับสั่งให้เฉินอวี้ไปเข้าเฝ้าฯ ที่พระตำหนักหลวง
การใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายของเฉินอวี้สิ้นสุดลงนับจากวันนั้น

เมื่อมาถึงพระตำหนัก ทหารมหาดเล็กนำเฉินอวี้ไปรอที่ห้องทรงงานเล็กด้านใน แล้วออกไปรอที่ด้านนอกห้องเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม ฮ่องเต้จึงเสด็จมาถึง

"วันนี้อากาศร้อนนะ" รับสั่งแรกเมื่อมาถึง หลังจากที่จิบพระสุธารส ก็ทรงรับสั่งให้มหาดเล็กล่าถอยออกไปรอที่ด้านนอก
"รู้ไหมทำไมเจ้าถึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนองครักษ์"
เฉินอวี้เกือบถวายคำตอบไปตามมารยาทว่า เป็นเพราะผลการสอบที่ดีเยี่ยม แต่ก็คิดว่าพระองค์คงไม่รับสั่งถามในเรื่องที่มองเห็นคำตอบโดยง่ายดายเช่นนั้น
"คงมิใช่เรื่องผลการสอบกระมังฝ่าบาท"
ฮ่องเต้จางฉวนส่ายพระพักตร์แล้วหันไปมองนอกหน้าต่าง "มีเสือโคร่งผู้หนึ่งฝากไว้"
เฉินอวี้เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้แล้วก้มหน้าลงตามเดิม

...เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ...

"จะเรียกว่าอะไรดี" ทรงจิบพระสุธารสอีกครั้ง "ตอนที่ยังเด็ก ๆ เราถูกส่งไปฝากเลี้ยงไว้ที่ตำหนักนอกเมือง แต่วันหนึ่งเราหนีกลับมาที่นี่แล้วเห็นเขาออกมาจากห้องของพระมารดาน่ะ"
เฉินอวี้กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ทำให้ทรงพระสรวล "อย่าเพิ่งด่วนตัดสินสิ...เอ่อ..ตัดสินก็ได้ เพราะมันก็ไม่ต่างจากที่เจ้าคิดไว้สักเท่าไหร่ เพียงแต่เราจำเขาไม่ได้เอง ตอนที่กลับมาเจออีกครั้งก็ยังจำไม่ได้ จนกระทั่งหลายเดือนก่อนที่เขามาหา และบอกให้วางเจ้าไว้ใกล้ ๆ หากเราต้องการพบเขาก็ให้บอกกับเจ้า เราก็เลยเพิ่งนึกออก" ทรงชะโงกเข้ามาหา "เรียกเขามาให้หน่อยสิ เรามีเรื่องอยากถามเขา"
"ขออภัยฝ่าบาท ข้าพระองค์ก็ไม่ได้พบกับเขามาหลายเดือนแล้วเช่นกันพระเจ้าค่ะ จึงไม่ทราบว่าจะเรียกเขาได้อย่างไร"
ฮ่องเต้จางฉวนทรงมีท่าทีผิดหวัง "ที่โรงฝึกองครักษ์เขาก็ให้กลับบ้านเดือนละสองวันมิใช่หรือ"
"กระหม่อม แต่ก็มิได้พบ"
"หรือเพราะเจ้ามัวแต่วุ่นวายช่วยกิจการของครอบครัว และก็มีนัดกับเพื่อนของเจ้า ทำให้เขาหาโอกาสมาพบเจ้ามิได้" พระเนตรของฮ่องเต้หนุ่มวาววับด้วยความสนุกสนานเมื่อเห็นท่าทีกังวลของอีกฝ่าย
เฉินอวี้หลุบตาลงต่ำ ปิดบังความรู้สึกในใจ "คืนสุดท้ายที่เขากลับไปที่เรือน ข้าพระองค์พูดจาไม่ค่อยดีกับเขา หลังจากนั้น เขาก็มิได้มาอีกพระเจ้าค่ะ"
"อ้อ เช่นนี้เอง"
ฮ่องเต้จางฉวนทรงพระสรวลเสียงดังแล้วหยุดลงในทันที
"ไปง้อเขา เราให้เวลาสามวัน ทำอย่างไรก็ได้ให้เขามาหา"

อารมณ์ดี นี่เป็นเรื่องที่ทำให้อารมณ์ดีจริง ๆแม้จะมีเรื่องเกี่ยวกับการค้าหนังสัตว์ที่ต้องการหารือกับเทพเสือโคร่งผู้นั้น แต่การที่ได้รับรู้ว่า สองคนนี้มิได้พบกันมาหลายเดือนทำให้อารมณ์ดี
"มีการค้าบางอย่างที่มันช่างกวนใจเราอยู่ หากเราจะสั่งการโดยตรงก็อาจถูกวิจารณ์ว่าคิดเล็กคิดน้อย แต่หากไม่ทำอะไรเลยก็จะถูกวิจารณ์เอาได้"
เฉินอวี้หยุดยืนตรงแล้วค้อมตัวลง "ฝ่าบาท การคิดเช่นนั้นอาจจะเป็นการรุนแรงเกินไป"
"แต่เราคิด และต้องการสอบถามเขา" ประทับยืนขึ้น "ออกไปข้างนอกกัน"

เมื่อรับสั่งแล้วก็ทรงก้าวพระบาทนำไปในสวนด้านหน้าพระตำหนักนั่นเอง
องครักษ์ชั้นเอก มหาดเล็ก และนางกำนัล นางข้าหลวงรวมแล้วเกือบห้าสิบคนตั้งขบวนรออยู่ที่ด้านนอกของพระตำหนัก แต่ทรงหันมาแตะไหล่ของเฉินอวี้ให้เดินไปข้าง ๆ รับสั่งในระดับที่มีเพียงผู้ที่เดินตามมาทางด้านหลังไม่เกินสามก้าวจะได้ยิน

"เราอ่านคำตอบเรื่องการปกครองของเจ้า" ทรงหมายถึงข้อสอบเข้ารับราชการเมื่อหลายปีก่อน ทรงหันมามองคนที่เดินข้าง ๆ แล้วโบกพระหัตถ์ "มีความเห็นของเจ้าที่มันกวนใจเราทุกครั้งที่คิดถึงมัน"
เมื่อดำเนินมาถึงศาลาในสวนก็ทรงเลือกที่ประทับนั่งที่ม้านั่งตัวยาวในศาลา

"ความเท่าเทียมกันไม่มีจริง การแบ่งแยกชนชั้นการปกครองก็ไม่มีจริงเช่นกัน"
เฉินอวี้ยืนตัวตรงเพื่อที่จะถวายคำตอบ แต่พระองค์กลับตบที่ว่างด้านข้าง เชิงรับสั่งให้นั่งลง
คนรูปงามค้อมตัวก่อนที่จะนั่งตัวตรงด้านข้าง มีความตั้งใจที่อธิบายคำตอบของตนอย่างยิ่งจนคนถามอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง
เป็นรอยยิ้มผ่อนคลายครั้งแรกในรอบหลายวัน ที่ทำให้บรรดาผู้ติดตามพากันประหลาดใจ

"ในทุก ๆ กลุ่มสังคมจากบ้านไปจนถึงเมืองที่มีการแบ่งลำดับการปกครอง ไม่ว่าจะด้วยหลักอาวุโส ทรัพย์สิน อาวุธที่มีอยู่ในครอบครอง หรือจะด้วยเชื้อสายวงศ์ตระกูล หรือต่อให้ในกลุ่มคนที่ประกาศตนว่าทุกคนในกลุ่มล้วนเท่าเทียมกัน ไม่มีผู้ใดที่มีอำนาจเหนือใคร เพราะเบื้องหลังของการจัดลำดับหรือไม่จัดลำดับนั้น จะมีการยอมรับเป็นตัวแปรที่ทำให้มีความเท่าเทียมกันแฝงตัวอยู่ในการจัดลำดับ และการไม่เท่าเทียมกันแฝงตัวอยู่ในการไม่จัดลำดับนั้น"
"การยอมรับหรือ"
"ทรงมีกฎหมายเรื่องการสืบทอดตำแหน่งขุนนางชั้นสูงจากบิดานั้นก็จริงอยู่ แต่หากบุตรหลานของขุนนางชั้นสูงนั้นประพฤติตนเสื่อมเสียไม่สนใจการทำหน้าที่ของตน ประชาชนไม่ยอมรับ เกิดแรงต่อต้านนำมาซึ่งความระส่ำระสาย การบังคับให้ยอมรับคือแรงต่อต้านที่จะเพิ่มมากขึ้น ข้าพระองค์เชื่อว่าฝ่าพระบาทจะไม่วางผู้ที่ทำให้เกิดแรงต่อต้านไว้ในตำแหน่งสำคัญ เพราะสุดท้ายแล้วจะส่งผลกระทบต่อพระองค์เอง
ส่วนที่บอกว่าเปิดกว้างทางการแข่งขันเพื่อสร้างความเท่าเทียมนั้น ข้าพระองค์เองที่เป็นบุตรคนเล็กของภรรยารองในครอบครัวพ่อค้า แม้จะได้รับโอกาสที่จะเข้าสู่แวดวงของทางการที่ทุกผู้คนต่างลงความเห็นว่า คือความเท่าเทียมที่ทำให้สามารถก้าวขึ้นบันไดไปสู่ลำดับชนชั้นที่สูงกว่า ถึงแม้ว่าจะสอบได้คะแนนที่ดี แต่หากไม่ได้รับการยอมรับ สุดท้ายทุกสิ่งก็ว่างเปล่า
ดังนั้นแล้ว ความเท่าเทียมจึงไม่มีจริง และลำดับชนชั้นก็ไม่มีจริงเช่นกัน และในเบื้องหลังการปกครองก็คือการยอมรับ พระเจ้าค่ะ"

ฮ่องเต้จางฉวนทรงเอนพระวรกายลงนอนหนุนตักอีกฝ่าย
...เจ้านี่มันรูปงาม มีรอยยิ้มเจือจางอยู่ในใบหน้าอยู่เสมอก็จริง แต่เนื้อแท้มันเป็นคนร้ายกาจ...

"ตอบได้ดีสมกับคะแนนอันดับหนึ่ง"
"อันดับหนึ่ง กระหม่อมหรือพระเจ้าค่ะ"
"ก็เจ้าน่ะสิ จะมีใครอีก คนที่เขียนคำตอบแบบยกยอเราและตบหน้าเราในเวลาเดียวกัน อาจารย์คนตรวจคำตอบเจ้าก็จริง ๆ เลยให้คะแนนเจ้าเต็มเสียอีก"
"แล้วพระองค์จะให้คะแนนกระหม่อมสักเท่าไหร่พระเจ้าค่ะ"
"ก็สัก.....เฮ่ย...วันนี้พูดเยอะมาก เหนื่อยจริง ๆ เลย ขอนอนหลับตรงนี้สักครู่ บอกพวกนั้นให้กลับไปด้วย"
เฉินอวี้เงยหน้าขึ้นมองต้นห้อง และมหาดเล็กเชิงถามว่าคำว่าพวกนั้นของฮ่องเต้คือใคร ก็ปรากฎว่า ต้นห้องหันไปบอกให้กลุ่มผู้ติดตามล่าถอยไป ส่วนองครักษ์และต้นห้องรับใช้แยกไปนั่งรออยู่ที่ศาลาในสวนที่ห่างออกไป

เมื่อเฉินอวี้กลับมาถึงที่โรงเรียนองครักษ์ก็พบว่า ทุกย่างก้าวและคำพูดในที่อุทยานของพระตำหนักหลวงเดินทางมาถึงที่โรงฝึกก่อนที่ตนเองจะกลับมาถึงเสียอีก
อาจารย์อาวุโสของโรงเรียนองครักษ์ เรียกเฉินอวี้ไปอบรมและฝึกเพิ่มเติมเรื่องการรักษามารยาทในเวลาเข้าเฝ้าฯ โดยย้ำว่า ไม่ต้องถวายการรับใช้ในระดับเดียวกับมหาดเล็กหรือต้นห้อง แต่ต้องหูไวตาไวให้เหมาะสมกับการเป็นองครักษ์ผู้มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองฮ่องเต้

เฉินอวี้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดพระองค์จึงทรงเลือกที่จะสนทนาเรื่องลับในห้องทรงงานเล็กด้านใน แล้วชวนสนทนาในเรื่องอื่นๆ ที่อุทยาน ดังนั้นที่ตั้งใจไว้ว่าค่ำวันนี้จะลองเรียกเทพเสือโคร่งภูผามาถ่ายทอดข้อความตามพระประสงค์ของฮ่องเต้ ก็ต้องเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาที่อยู่ตามลำพังภายในห้องอ่านหนังสือส่วนตัวภายในหอสมุดหลวง
ชั้นแรกและชั้นสองของที่นี่คือตู้หนังสือความสูงจรดเพดาน ทางเดินคับแคบ เมื่อขึ้นไปที่ชั้นสามจึงเป็นหนังสือโบราณ
หนังสือและเอกสารที่นี่ ไม่ใช่เอกสารลับ ทุกคนที่ทำงานอยู่ในวังหลวง สามารถเข้ามาใช้งานได้
เฉินอวี้เลือกหนังสือหลายเล่ม แล้วเดินขึ้นไปที่ห้องอ่านหนังสือส่วนตัวที่อยู่ชั้นห้า จากนั้นจึงเปิดหน้าต่างห้อง

"เทพเสือโคร่งภูผา..." คนรูปงามไม่รู้ว่าควรกล่าวคำต่อไปอย่างไร รู้แต่ว่าไม่ควรใช้ประโยคคำสั่งอย่าง จงปรากฎกายหน้าต่อหน้าข้า หรือ ออกมาหาข้า หรือควรจะเป็น...
"เทพเสือโคร่งภูผา...ข้า...ขอโทษ"
สายลมแรงพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องพัดพาหนังสือเล่มบางที่วางอยู่บนโต๊ะร่วงหล่นลงพื้น เฉินอวี้ก้มลงเก็บหนังสือ เงาร่างสูงใหญ่ก็ปรากฎขึ้นอย่างฉับพลันทางด้านหลัง
ผู้ที่เพิ่งมาถึงรับหนังสือมาวางไว้บนโต๊ะ แม้จะไม่มีรอยยิ้ม แต่ดวงตาสีเหลืองสดใสคู่นั้น ไม่อาจปกปิดความยินดีไว้ได้
"ข้าไม่ได้กลัวว่าท่านจะลืมข้า" เฉินอวี้กล่าวขึ้นทันที "ใจข้าคิดอย่างไรข้ารู้ดี  ข้าไม่ยินยอมให้ท่านมาตัดสินในสิ่งที่ข้าคิด ที่ท่านเล่าเรื่องครอบครัว เรื่องคนรักมากมายของท่านนั้น ทั้งหมดคือเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และเมื่อมองจากช่วงเวลานานกว่าร้อยปีของท่าน ข้าไม่ได้ติดใจสงสัยอันใด"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า และรอให้อีกฝายพูดต่อ
"อีกเรื่อง....ฮ่องเต้ต้องการพบท่าน" กล่าวจบรวดเดียว แล้วผ่อนลมหายใจยาว
"ฮ่า ที่เรียกข้ามา หาใช่เพื่อที่จะกล่าวคำขอโทษจากใจ" เทพเสือโคร่งภูผาเงยหน้ามองเพดานห้อง "ทั้งหมดนี้เพราะเจ้าฮ่องเต้นั่นสั่งมา น่าผิดหวังจริง เวลาที่เป็นคำพูดของข้า เจ้าไม่ชอบ บอกว่าข้าชอบสั่งเจ้า แต่ทีคำพูดของเจ้านั่นเจ้ากลับปฏิบัติตามง่าย ๆ"
เฉินอวี้ส่ายหน้า "ไม่ง่ายสักหน่อย"
ผู้ที่มีร่างกายกำยำก้าวเข้ามาประชิดตัว แล้วโอบเอวบางเข้ามาแนบชิด
"ช่วงเดือนแรกเจ้ายังมองหาข้า ยังมีสีหน้าผิดหวังที่ไม่พบ แต่หลังจากนั้นข้าก็ไม่มีความหมายใด ๆ สำหรับเจ้า จนกระทั่งจางฉวนสั่ง หากเขาไม่สั่งข้าก็เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านไป ข้าต้องขอบใจเขาหรือไม่"
แต่เมื่อใบหน้าคมเข้มจะก้มลงมาหา เฉินอวี้ก็ชิงกล่าวขึ้นมาก่อน "ท่านเคยเข้าหาพระมารดาของฮ่องเต้"
แขนใหญ่คลายออกทันที "ไม่เคย ไม่ว่าจะแม่แท้ ๆ ของเขาหรือพระมเหสีเป็นแม่บุญธรรมของเขาข้าก็ไม่เคย" แต่จู่ ๆก็หยุดโวยวายเมื่อนึกขึ้นได้ "อ้อ ใช่ เคยเข้าหาพระสนมอยู่ครั้งหนึ่งนะ"
เฉินอวี้เหวี่ยงหมัดเข้าใส่ต้นแขนของคนที่ตัวโตกว่ากันหลายคืบ
"ท่านนี่มัน! น่าโมโหจริง!"
"อะไรกัน เรื่องมันตั้งนานแล้วนะ นานมาก ๆ เลยด้วย"
เฉินอวี้หันไปเก็บหนังสือบนโต๊ะ ขณะที่อีกฝ่ายยังพยายามชี้แจง
"ไหนบอกว่าเข้าใจว่ามันคือเรื่องในอดีต แล้วเหตุใดไม่พอใจได้เล่า"
"ไปหาฮ่องเต้ก่อน แล้วค่อยมาคุยกัน"
"นี่!" มือที่กำลังจะรั้งไว้หยุดอยู่กลางอากาศ "แล้วค่อยมาคุยกันหรือ"
"ฮื่อ แล้วค่อยมาคุยกัน"
ประตูห้องอ่านหนังสือปิดลงแล้ว แต่ผู้ที่มีร่างกายกำยำสูงใหญ่ยังยิ้มกว้าง

สองวันถัดมาขณะที่เฉินอวี้ อยู่ในโรงอาหาร มีมหาดเล็กมาแจ้งว่า ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ให้ไปเข้าเฝ้าฯ อีกครั้ง
บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป เฉินอวี้รู้สึกถึงแรงกดดันที่พุ่งตรงเข้ามาหา ขณะที่รับฟังอาจารย์อาวุโสเตือนให้รักษามารยาทในการเข้าเฝ้าฯ

มหาดเล็กนำเฉินอวี้ไปรอที่ห้องทรงงานเล็กด้านในเช่นเคย และเมื่อฮ่องเต้เสด็จมาถึงก็รับสั่งตั้งแต่ต้นห้องใหญ่ยังไม่ล่าถอยออกไป ว่าคนผู้นั้นมาพบพระองค์แล้ว และทรงขอบใจมาก
แต่เมื่อประตูห้องทรงงานปิดลงก็หยุดทอดพระเนตรมองเฉินอวี้ตรง  ๆ
"เจ้าไม่เหมาะกับการอยู่ในห้องเล็ก ๆ นี่สักเท่าไหร่ ออกไปเดินคุยกันข้างนอกเหมือนเดิมดีกว่า" จากนั้นก็ทรงก้าวพระบาทออกไปจากห้องทันที

เฉินอวี้แน่ใจว่า ผู้ที่ไม่ชอบอยู่ในห้องแคบ ๆน่าจะเป็นพระองค์เองมิใช่เขา เพราะเมื่อออกมาด้านนอกก็ทรงยืดพระวรกาย หายพระทัยเข้าลึก แล้วรับสั่งให้มหาดเล็กไปเตรียมน้ำชาของว่างที่ศาลาด้านหน้าของพระตำหนักเช่นเคย

"เรารู้ว่าเจ้าดื่มเก่งพอตัว แต่เรายังมีงานที่ต้องกลับไปทำต่อ ดื่มน่้ำชาแล้วกัน"
บรรดานางข้าหลวงเตรียมสำรับของว่างน้ำชารวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจ
"ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ถูกจับตามองว่าเป็นเด็กน้อยของฮ่องเต้ร้ายกาจหรือไม่"
เฉินอวี้แทบสำลักลมในคอ
"กราบเรียนฝ่าบาท เรื่องคำเรียกขานแบบนั้น กระหม่อมไม่เคยได้ยินพระเจ้าค่ะ แต่เรื่องที่ถูกจับตามอง และตกอยู่ในความสนใจนั้นก็มีบ้าง"
"ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ และไม่ชอบเลยสินะ"  ทรงชี้ไปที่หว่างคิ้วของเฉินอวี้ "สีหน้าของเจ้าบ่งบอกว่า ไม่ชอบที่ต้องมาพบเรา แต่ในเมื่อเจ้ากำลังจะเป็นองครักษ์ของเรา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาที่นี่อยู่ดี"
บุตรมังกรยังคงเป็นผู้ผูกขาดบทสนทนา "เรื่องความคิด เรื่องหลักปรัชญา เจ้าเหนือกว่าองครักษ์ชั้นเอกในเวลานี้ของเราอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เจ้ายังต้องพัฒนาฝีมือเชิงยุทธ์ให้เหนือกว่านี้อีกมากกว่าห้าขั้น เจ้าถึงจะได้รับการยอมรับ"
เมื่อรับสั่งมาถึงตอนท้ายก็ทรงคลี่ยิ้มกว้าง ที่ทำให้เฉินอวี้หัวเราะเบา ๆ
"อีกปีครึ่งเมื่อเรียนจบแล้วยังพอจะมีเวลาอีกห้าปีถึงจะมาอยู่ขั้นเอกได้"
เฉินอวี้รู้ดีว่าทุกถ้อยคำของฮ่องเต้จางฉวนคือกับดัก จึงกล่าวด้วยความระมัดระวัง
"การเป็นองครักษ์ขั้นเอก ไม่เพียงเป็นยอดฝีมือ แต่ยังเป็นผู้ที่มีความรู้กว้างขวางและหลากหลาย กระหม่อมจะตั้งใจฝึกฝน และหาความรู้เพิ่มขึ้นพระเจ้าค่ะ"

"ทำไมไม่ตอบว่า จะเป็นองครักษ์ขั้นเอกให้ได้"
"กระหม่อมชอบเก็บความตั้งใจไว้ในใจ มิใช่การกล่าวออกมาพระเจ้าค่ะ"
ทรงชี้หน้าเฉินอวี้แล้วหัวเราะอย่างผ่อนคลาย
"เจ้านี่มันไล่ต้อนอย่างไรก็ไม่จนมุม"
"นั่นเพราะพระองค์ไม่ได้คิดจะไล่ต้อนอย่างจริงจังต่างหากพระเจ้าค่ะ"

ทรงลุกจากพระเก้าอี้ไปประทับที่ม้านั่งตัวยาวในศาลา จากนั้นก็เรียกให้เฉินอวี้มานั่งลงข้าง ๆ เพื่อที่พระองค์จะได้นอนหนุนตักเหมือนเคย

"สิ่งที่ยากที่สุดในการหาองครักษ์ขั้นเอกสักคนก็คือ การหาคนที่เราสามารถวางใจได้ว่า เงิน และความแค้นส่วนตัวจะไม่ทำให้เขาหันดาบมาหาเรา" พระดัชนีม้วนปลายผมของอีกฝ่ายเล่น

เทพเสือโคร่งภูผาเคยกล่าวเตือนไว้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทำลงไปจะย้อนกลับมาในวันหนึ่ง และเมื่อวันนั้นมาถึงพระองค์จะไม่อาจบรรทมได้สนิท ไม่อาจจิบเมรัยรสเลิศได้อย่างผ่อนคลาย ต้องอยู่ตามลำพังด้วยความหวาดกลัว
เทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้นไม่ได้รู้ว่า นานหลายปีมาแล้ว ที่พระองค์ไม่เคยบรรทมสนิท ไม่เคยผ่อนคลาย และต้องใช้อำนาจคุกคามผู้อื่นเพื่อที่จะไม่ต้องอยู่ตามลำพังด้วยความหวาดกลัว เพราะมิเช่นนั้นแล้ว อาจเป็นพระองค์เองที่ต้องไปอยู่ในสุสานเชื้อพระวงศ์ ไม่ใช่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุดของไท่ชางดั่งทุกวันนี้

เฉินอวี้ มองกลุ่มองครักษ์ชั้นเอกที่ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง แล้วหันมามองผู้ที่กำลังหลับพระเนตรเพื่อพักผ่อนยามบ่าย
หรือการที่มีรับสั่งให้เขามาในวันนี้ ก็เพราะว่าเทพเสือโคร่งภูผาไม่รับปากทำงานให้กับพระองค์

เมื่อกลับมาจากพระตำหนักหลวง ก็ถูกเรียกไปอบรมที่ห้องของอาจารย์อาวุโสอย่างยาวนานจนเลยเวลาอาหารเย็น กว่าที่จะไปถึงโรงครัวก็เหลือเพียงอาหารสำหรับคนงาน
คนรูปงามไม่ได้คิดอะไรมาก รับถาดอาหารมาแล้วเดินไปรับประทานโดยลำพัง คนรับใช้เข้ามาส่งจดหมายให้แล้วล่าถอยออกไปโดยที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด

เฉินอวี้อ่านจดหมายแล้วหัวเราะ จากนั้นก็ไปตามนัดกลางดึกของคืนนั้น
เคยได้รับจดหมายนัดในลักษณะนี้ตั้งแต่ตอนที่เรียนหนังสือในโรงเรียนที่หมู่บ้าน ด้วยเหตุที่ครองตำแหน่งที่หนึ่งของโรงเรียนนับตั้งแต่เข้าเรียน จนทำให้กลุ่มบุตรคนแรกของภรรยาเอกไม่พอใจ
แต่ที่นี่ไม่มีกลุ่มบุตรคนแรกของภรรยาเอก...เช่นนั้นหากต้องมีการต่อสู้ก็มิต้องเกรงใจ
ว่าที่จริง เฉินอวี้ก็ไม่เคยเกรงใจผู้ใดอยู่แล้ว
กลุ่มผู้ที่รออยู่ด้านหลังโรงเรียนองครักษ์คือรุ่นพี่ปีสอง กับยังมีองครักษ์ระดับล่างจำนวนมากกว่าสิบคน
เป็นการต่อสู้ที่น่าสนใจไม่น้อย

หัวหน้าของกลุ่มคือหลี่กัง รุ่นพี่ปีสองที่แสดงออกว่าไม่ชอบเฉินอวี้มาตั้งแต่พบกันวันแรก
"เจ้ามิได้สังกัดสำนักใหญ่" รุ่นพี่หลี่หมายถึงสำนักด้านการฝึกยุทธ "มิได้เป็นศิษย์นักปราชญ์ หรือยอดฝีมือท่านใด ก็แค่โรงมวยเล็ก ๆ ชานเมือง กับอาจารย์สูงอายุกลุ่มหนึ่ง ยังคิดอยู่ว่าเจ้าอาศัยอะไรถึงได้เป็นอันดับหนึ่งมาตลอด ที่แท้...ก็คือฝีมือในการประจบเอาใจคน"
เฉินอวี้ยิ้มหวานล่มเมือง
นี่ก็เป็นเรี่องเดิม ๆ ที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่เช่นกัน
บางทีหากจะมีคำดูหมิ่นใหม่ ๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนอาจทำให้รู้สึกไม่พอใจได้สักนิดหน่อย แต่เมื่อคำกล่าวดูหมิ่นของคนอายุมากกว่ายี่สิบปี ไปเหมือนกับคนอายุสิบขวบจึงทำให้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องน่าขัน
"ข้าไม่ยอมรับองครักษ์ที่รู้จักแต่การประจบผู้อื่น" หลี่กังขยับไม้พลองในมือขณะที่ก้าวมาข้างหน้า "ข้าสั่งให้เจ้าไปลาออกจากโรงเรียน!"
เฉินอวี้ยิ้มหวานขณะที่ส่ายหน้า หลี่กังก้าวเข้ามาอีกหนึ่งก้าว
"หากเจ้าไม่ไปลาออก เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องพ้นสภาพขององครักษ์เอง!"
ไม้พลองในมือที่ฟาดลงมา เฉิวอวี้ปัดออกด้วยมือขวา แล้วชกหน้าอีกฝ่ายด้วยมือซ้าย
หลี่กังเซถอยไปทางด้านหลัง โลหิตไหลจากจมูก
คนรูปงามเลิกคิ้วสูง ด้วยไม่คิดว่า อีกฝ่ายนอกจากจะไม่สามารถหลบกระบวนท่าง่าย ๆ ยังจมูกเปราะขนาดนี้
หลี่กังเองก็เสียหน้ามิน้อย ผลุนผลันจู่โจมเข้ามาอีก เฉินอวี้เพิ่มแรงเหยียดหยามด้วยการใช้กระบวนท่าพื้นฐานตอบโต้กลับไปจนอีกฝ่ายทรุดลงกับพื้น
พรรคพวกที่เหลือปรี่เข้ามารุมล้อม เฉินอวี้ทั้งแสดงความอวดดี และดูหมิ่นผ่านเพลงหมัดมวยที่แสนจะธรรมดาแต่แฝงไว้ด้วยพลังภายในที่เต็มเปี่ยม
ครู่หนึ่งรอบตัวของเฉินอวี้ก็รายล้อมไปด้วยรุ่นพี่ และองครักษ์ ที่นอนเกะกะระเนระนาด
คนรูปงามส่งยิ้มให้กับทุกคน แล้วค้อมตัวทำความเคารพ
"ขอบคุณรุ่นพี่ที่สั่งสอน นักเรียนองครักษ์เฉินอวี้ขอน้อมรับไว้" จากนั้นก็เดินจากมาอย่างสง่างาม

เมื่อเฉินอวี้กลับมาถึงห้องพัก พบว่าเพื่อนร่วมห้องอีกเจ็ดคนยังไม่มีใครนอน ทั้งผุดลุกขึ้นยืนในทันที จากนั้นก็มีเสียงถอนหายใจและเสียงหัวเราะผ่อนคลายดังขึ้น
"ข้าสบายดี" เฉินอวี้พูดขึ้นลอย ๆ
เฉินฟู่ซึ่งเป็นหัวหน้าชั้นปีก้าวเข้ามาหา "ขอโทษด้วย"
เฉินอวี้ตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ "ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ ข้าไม่อาจลาออกจากโรงเรียนอย่างที่พวกเขาต้องการ แต่จะพยายามอย่างเต็มที่  เพื่อไม่ให้พวกเจ้าต้องเดือดร้อน"
"เจ้าเป็นสนมชายของฮ่องเต้จริงหรือ" เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งถามโพล่งขึ้น
เฉินอวี้หัวเราะเสียงดัง "ไม่ใช่ และฮ่องเต้จะส่งสนมชายมาโรงเรียนองครักษ์ทำไม"

คนรูปงามเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของตนเองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
...เพราะเป็นคนรูปงามจึงได้รับทั้งการชื่นชมและดูหมิ่นในเวลาเดียวกัน
...และในความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชาย ต่อให้อีกฝ่ายเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ได้คุ้มครองให้เขารอดพ้นจากการถูกรังเกียจ
นี่เป็นสิ่งที่เทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้นไม่เคยเข้าใจ
เหมือนที่ไม่เข้าใจลำดับความสัมพันธ์ในครอบครัว และสังคมของเมืองหลวง
เหตุใดท่านจึงส่งข้ามาที่นี่...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่20 P22(060860)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 23-08-2017 10:18:36
(ต่อ)

หลายวันถัดมา ระหว่างทางที่เดินกลับไปยังเรือนพัก มือใหญ่คว้าต้นแขนเข้าไปในห้องหนึ่งซึ่งไม่มีผู้ใช้งาน เฉินอวี้ไม่ได้ขัดขืน เพราะเมื่อหันมาเห็นว่าเป็นใครก็เดินตามมาโดยดี ทั้งยืนมองหน้าอีกฝ่ายที่เท้าเอวถาม
"สนิทกับจางฉวนขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ทั้งรู้ว่าเจ้านั่นไม่จริงใจกับใคร แล้วไปคุย ไปหัวเราะ และยอมให้เขานอนหนุนตักได้อย่างไร"
เฉินอวี้ปัดเศษผมที่ไหล่กว้างเบา ๆ "พระองค์คือฮ่องเต้ การพูดคุย การหัวเราะ หรือจะยอมให้นอนหนุนตัก ก็ถือเป็นการทำงานอย่างหนึ่ง ข้าไม่ได้ดีกับเขามากไปกว่าท่านหรอก"
"แล้วเรื่องหลังโรงเรียนนั่นมันอย่างไร บาดเจ็บหรือไม่"
เฉินอวี้ หงายมือคว่ำมือให้อีกฝ่ายดู เพื่อยืนยันว่าไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใด ๆ
"พวกเขาภูมิใจในการเป็นทหารองครักษ์รักษาพระองค์ที่สง่างาม จึงไม่ชอบคนที่ใช้ร่างกายของตนเองเป็นทางลัด ข้าก็แค่ยืนยันว่า ข้ามีฝีมือพอที่จะเป็นองครักษ์ได้" เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายยังเป็นกังวล จึงแตะที่แก้มของอีกฝ่ายเบา ๆ "คราวหน้าหากพวกเขาถามว่า อาจารย์ของข้าคือใคร ข้าจะบอกเขาว่า คือเทพเสือโคร่งภูผาดีหรือไม่"

ผู้ที่รูปร่างสูงใหญ่มีอาการแก้มกระตุกพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่คลี่ยิ้มกว้างออกมา
"ดี! บอกไปเลย บอกเสียงดัง ๆ ด้วย"
คนรูปงามพยักหน้าให้คำมั่น "ข้าไม่ลืมคำที่ท่านเตือนไว้ และก็ระมัดระวังตนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะที่นี่ หรือเวลาที่ต้องไปเข้าเฝ้าฯ"
"ดีแล้ว อย่าได้เชื่อคำพูดหวานของเจ้านั่นเชียวนะ เจ้านั่นน่ะถนัดเรื่องหลอกลวงผู้อื่น ยิ่งเจ้ารูปงามแบบนี้ยิ่งต้องระมัดระวังตน"
คนงามคลี่ยิ้มงาม เมื่ออีกคนกล่าวคำเตือนซ้้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
"ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะท่านไปกราบทูลพระองค์ไว้หรือ ว่าให้ข้าเป็นผู้ประสานงานให้ท่าน"
..ทำไมถึงเป็นข้า...
เทพเสือโคร่งยักไหล่ ยกยิ้มมุมปาก
"เช่นนั้นข้าจะลองคาดเดาความคิดของท่านอีกสักครา ท่านต้องการให้ข้ามีตำแหน่งสูง ๆ แต่ก็ไม่อยากให้ใกล้ชิดพระองค์" เฉินอวี้ยิ้มอย่างอ่อนล้าให้กับความขัดแย้งเหล่านี้ "ทุกครั้งที่ไปเข้าเฝ้าฯ ในห้องทรงงานเล็กส่วนพระองค์นั่น จะใช้เวลาไม่นานนัก มักจะรับสั่งเพียงไม่กี่ประโยคก็จะทรงเสด็จออกไปคุยที่ศาลาหน้าพระตำหนัก"

เทพเสือโคร่งภูผามีท่าทีเคร่งขรึมลงเมื่อฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น

"ข้าคิดว่า ที่ทรงเรียกไปเข้าเฝ้าฯ มิใช่เพราะทรงโปรดข้าหรอก" ตอนที่เข้าเฝ้าครั้งแรก พระองค์แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าไม่โปรดเขาเลยสักนิดถึงกับส่งให้ไปอยู่ที่อื่นเสียหลายปี จู่ๆกลับทรงเรียกให้มาเข้าเฝ้าแบบนี้ ต้องมีเบื้องหลังแน่นอน "ข้าเชื่อว่าพระองค์ต้องการโดดเดี่ยวข้า เดิมนั้นข้าก็ไม่มีสังกัดสำนัก ไม่มีพี่น้อง ไม่มีเพื่อน ทั้งยังถูกมองว่าเป็นสนมชายเสียอีก พระองค์ต้องการความมั่นพระทัยว่า งานที่พระองค์มอบหมายให้ข้าจะไม่รั่วไหลไปยังบุคคลอื่น แต่เมื่องานจบลง ข้าจะถูกกำจัดออกอย่างง่ายดาย จากนั้นคนที่มาจากชนชั้นเดียวกับข้าจะไม่ได้รับโอกาสนี้อีก เพราะในเมื่อคนที่เป็นอันดับหนึ่งยังทำไม่ได้ ก็ไม่ควรเสียโอกาสและเวลานี้ให้กับคนอื่น"

ฮ่องเต้ไม่โปรดเขา เทพเสือโคร่งภูผาก็รู้ดี แต่ยังต้องการให้เขามาอยู่ในตำแหน่งนี้ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นเบี้ยตัวหนึ่งที่รอวันกำจัดออกไป เฉินอวี้จึงมักจะถามตนเองอยู่เสมอว่า ทำไมถึงต้องเป็นเขา...

ก่อนนี้เฉินอวี้มีคำถาม แต่ไม่กล้าถามโดยตรง เพราะกำลังอยู่ในระหว่างการทำใจยอมรับ ว่าเทพเสือโคร่งภูผาจะจากไปและไม่กลับมา
แต่เมื่อพบกันในสถานที่ลับอีกครั้งจึงลองกล่าวคำที่คิดไว้ออกไป
มิคาด มันถูกต้องตามนั้น 
เทพเสือโคร่งภูผาโอบกอดผู้ที่มีร่างกายผอมบางไว้หลวมๆ สีหน้ายุ่งยากใจที่เฉินอวี้คาดเดาเรื่องราวส่วนใหญ่ได้อย่างถูกต้อง

"ขอบคุณที่สนับสนุน ท่านอยากให้ข้าทำอะไร ก็บอกมาตามตรง"
"อวี้เอ๋อร์" จมูกคมก้มลงหอมเส้นผม
"เป้าหมายของข้ามีเพียง ไม่ทำให้ท่านพ่อและท่านแม่เสียใจ ยังมีพี่รองอีกคน ทุกคนคาดหวังกับความสำเร็จของข้าไว้มาก และข้าอยากพาท่านแม่ออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วย"
เมื่ออ้อมแขนที่กอดอยู่กระชับแน่นขึ้น คนรูปงามก็กล่าวดั่งรู้ใจ "เรื่องคำพูดของคน ข้าไม่ได้เดือดร้อนอันใด เพราะตั้งแต่คิดว่าจะเข้าสอบเพื่อรับราชการก็คิดอยู่แล้วว่า จะต้องพบกับเรื่องราวเช่นนี้ในสักวัน และข้าอยากผ่านมันไปให้ได้ด้วยตนเอง"
"เรื่องแค่นี้เองเจ้าผ่านมันไปได้สบายๆ อยู่แล้ว" เทพเสือโคร่งภูผาช้อนคางอีกคนขึ้นมารับจูบ "ข้าอยู่ข้างเดียวกับเจ้าเสมอ อีกอย่าง ขอให้เชื่อใจว่าข้าไม่ได้วางเจ้าไว้ในตำแหน่งที่รอวันถูกกำจัดไป"
"แต่..."
"ข้าจะทำเช่นนั้นกับเจ้าได้อย่างไร"
"แล้วเหตุใดถึงได้..."
"อวี้เอ๋อร์ เจ้าเป็นคนมีความสามารถนะ ความฝันของเจ้าอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่ความสามารถของเจ้ามันโดดเด่นมาก จนไม่สมควรที่จะไปนั่งอยู่ในห้องเสมียน หรือประจบสอพลอจางฉวนไปวันๆ ข้าไม่ได้อยากให้เจ้าต้องรับใช้เจ้านั่น แต่เจ้าต้องเข้มแข็งมากกว่านี้เพื่อที่จะก้าวต่อไป"

คำพูดวกวนเต็มไปด้วยช่องว่าง และคำถาม แต่เมื่อมองลึกลงไปในดวงตาสีเหลืองสดใสคู่นั้น เฉินอวี้ก็เริ่มเข้าใจ "ป่าสีทองหรือ"
ที่ซึ่งท่านหญิงหนานกงรอคอยจนถึงลมหายใจสุดท้าย ว่าหนึ่งเทพเสือโคร่งภูผาจะพานางไปอยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่อาจสมหวัง
เขาจะพาข้าไปที่นั่นหรือ จริงหรือ ข้ากำลังคิดเพ้อเจ้ออยู่ใช่ไหม...เฉินอวี้ได้แต่ร้องตะโกนอยู่ในใจ...

"อวี้เอ๋อร์"
เฉินอวี้ยกตััวขึ้นจูบเทพเสือโคร่งภูผาหยุดถ้อยคำต่อไป
ทั้งที่อยากถามให้ชัดเจน แต่ก็กลัวคำตอบ
เฉินอวี้มิได้ต่างจากท่านหญิงหนานกงในเรื่องนี้ มีคำถามเดียวกัน และเลือกที่จะอยู่กับความหวังเหมือนกัน เสแสร้งว่ามิได้คิดอะไร แกล้งทำเป็นคนว่าง่ายเพื่อรอวันที่เขาเมตตา
ช่างน่าสมเพชนัก
 
จูบอุ่นร้อน และสัมผัสบ่งบอกความต้องการไปทั่วแผ่นหลังจนถึงใต้สะโพกสวย
"อวี้เอ๋อร์ ข้า...อยากสัมผัสเจ้า" ริมฝีปากหนาจูบไปทั่วแก้ม เรื่อยลงมาถึงลำคอ
เฉินอวี้ตอบอย่างยากลำบาก "รอ รอกลับไปบ้าน ที่ ที่นี่ไม่ได้"
มือใหญ่ที่บีบก้นกลมเพิ่มน้ำหนักขึ้น จนต้องตีมือใหญ่ให้หยุด "เจ็บนะ"
"งั้นจูบได้ไหม"
เฉินอวี้พยักหน้า เตือนว่า ห้ามทำรุนแรงอีก เทพเสือโคร่งภูผารีบพยักหน้า ช้อนใบหน้างดงามขึ้นมารับจูบเร่าร้อน แข้งขาอ่อนแรง

...จบบทที่ยี่สิบเอ็ด...
สารภาพว่าก็อยากคุยตอนท้ายอยู่ทุกตอนน่ะแหละ แต่ถ้าคุยไปมันต้องหลุดสะ-ปอย ออกมาแน่ๆ เลย แต่อีกนิดนะ เดี๋ยวก็จะคลายปม แล้วไปผูกปมใหม่อีกละ (อะไรของตาคนเขียนเรื่องเค้าก็ไม่รู้)
ตอนนี้เขียนจบแล้ว (เย๊) รอลงอย่างเดียวละ ขึ้นหน้าใหม่เมื่อไหร่ไปเคาะเรียกให้มาลงตอนใหม่ได้เลยนะ

รักนะ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 23-08-2017 11:20:21

อ่านแล้วเจ็บปวดตรงที่อวี้เอ๋อร์คาดเดา อิตาฮ่องเต้นี่ต้องโดนพ่อเสือสอนมวยให้ดูเป็นขวัญตาสักตั้ง ขอให้นอนไม่หลับแบบนั้นไปอีกนานๆก็แล้วกัน   :m16:

แต่ๆๆๆ อวี้เอ๋อร์มีใจแล้วสินะ โลกเป็นสีชมพูขึ้นแล้วว   :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 23-08-2017 12:48:06
 :a5:

ฮ่องเต้นี่ดูชอบใจมากเวลาเทพเสือกะอวี้เอ๋อร์ไม่คุยไม่้เจอกัน...จะเเอบเป็นมดเเดงเเฝงตวงมะม่วงใช่มั้ย :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-08-2017 13:19:10
เฮอะๆ...........ฮ่องเต้ร้ายกาจซะจริง  o22
อย่างว่า ไม่ร้ายกาจจะเป็นฮ่องเต้ได้ยังไง  :ling3:
วังหลวงอันตรายตั้งแต่บนสุดลงมาเลย :z6:

จางฉวน วางแผนแตกแยกเฉินอวี้ กับเสือโคร่ง
ที่ว่าเห็นเสือออกมาจากห้องพระมารดา ทั้งที่ไม่จริง
แถมทำเป็นนอนหนุนตัก ให้คนเห็นเอา
เสียงก็ออกไปว่าร้าย ว่าว่าปรนนิบัติฮ่องเต้ เป็นชายบำเรอ
ให้ร้ายเฉินอวี้ชัดๆ จนพวกองครักษ์มารุมทำร้าย  :z6: :z6: :z6:
แต่เฉินอวี้เก่งสุดๆ เลยพวกมาเจ็บตัวซะเอง
เป็นฮ่องเต้ที่น่าตายจริงๆ ปากปราศรัยใจเชือดคอสินะ  :fire: :fire: :fire:
ไม่น่าทำงานให้เอาซะเลย ดีที่เฉินอวี้อ่านฮ่องเต้ออก  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-08-2017 15:59:58
รักเสือโคร่งภูผาต้องอดทน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-08-2017 17:44:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 23-08-2017 19:42:03
แปะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: pubpibs ที่ 24-08-2017 15:04:50
 :pig4: :pig4:
:L1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 24-08-2017 21:45:22
อวี้เอ๋อร์รู้ทันทุกคนแบบนี้ เทพเสือโคร่งภูผาถึงหนีไปไหนไม่รอด  :z1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 26-08-2017 13:03:14
เข้าใจกันแล้ว
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: Theshadowreader ที่ 28-08-2017 19:35:23
ต้นเรื่องแห่งความยุ่งยากก็ยังคงเป็นเทพเสือโคร่งซินะ
 :katai4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 29-08-2017 16:32:58
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

ยังไม่สะดวกอ่านเลย
เดี๋ยวหาเวลา แวะเข้ามาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 29-08-2017 18:15:08
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 29-08-2017 18:26:21
 :z13: :z10: :z2:

มารอดูเเผนการพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 03-09-2017 16:32:40
มายัง มาเหอะ เราอยากอ่านแล้ว
 :m5: :m5: :m5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 04-09-2017 11:48:40


เดินเข้ามาเอากำลังใจส่งอวี้เอ๋อร์  :กอด1:  :กอด1:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 04-09-2017 14:51:46
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 04-09-2017 16:12:47
แวะมา  :a11: :a11: :a11:
แล้วก็จากไป   :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 05-09-2017 13:41:49
เราจะรอ ต่อไป
มาเหอะ  เราคิดถึง
 :sleep2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-09-2017 12:29:29
 :ling2: :ling2:

ช่วงนี้ไม่ได้เข้าเล้าเลยยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 06-09-2017 15:18:17
เลาก้อเข้ามารอเตงนะ  (เลียนแบบ)
 :music:  :music:  :music:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: pubpibs ที่ 08-09-2017 09:02:49
 :pig4:
 :mew1: :mew1:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-09-2017 09:03:52

 :L2:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 08-09-2017 09:13:33
 :pig2: :pig2:
มารอเเม่เล็กคนเจ้าเสน่ห์
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 08-09-2017 09:37:33
บางทีก็สมน้ำหน้าเทพเสือของเราอ่ะ โดนโกรธซะบ้าง เหอะๆ
แต่เขาก็ตรงๆดีนะ เมียเยอะแต่รักไม่แยะ 555555
เส้นใหญ่ซะด้วย ขนาดอวี้เอ๋อร์งอนก็ยังมีแบ็คดี คนงอนต้องเรียกมาให้ง้ออีก
และเทพเสือคะ..เจ้าชู้เกินไปและ อ้อนอยากกินอวี้เอ๋อร์ตลอดดดดดด  :hao7:


อนึ่ง
กลับมาแล้วค่าาา....
สารภาพว่า นิยายของพี่ไจฟ์กับน้องน้ำชานี่มันใช้พลังอ่านพอสมควรนะ
แล้วเราก็ไม่อยากข้ามรายละเอียด ช่วงเวลาที่สมองเราอึนๆก็เลยไม่ได้เข้ามาอ่านเลย
แต่ตอนนี้พร้อมแล้ว พยายามไล่อ่านอยู่ 555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 08-09-2017 10:01:18
มายัง มาเหอะ  เราคิดถึง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 08-09-2017 11:07:17
ยังไม่มาอีกเหรอจ้ะ...งั้นก็ช่วยกดดันกันต่อไป  :mew4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 08-09-2017 20:00:39
 :z2: :z2: :z2:

มาอ่ะยังงง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: jiki ที่ 08-09-2017 20:24:48
เอ๊โอ~
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 08-09-2017 20:58:39
มารอพี่เสือ :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่21 P23(230860)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 08-09-2017 21:16:07
มารอด้วยคนนนนนนน
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-09-2017 22:36:17
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่ยี่สิบสอง



ในยามค่ำ หอยาของวังหลวงปิดทำการแล้ว ประตูหน้าต่างปิดมิดชิด ทหารยามที่อยู่รอบนอกเดินตรวจการณ์ให้แน่ใจว่าไม่มีการจุดตะเกียงหรือโคมไฟทิ้งไว้ แล้วเดินจากไป
แต่ภายในของหอยา เทพเสือโคร่งภูผาก้าวเดินอย่างแผ่วเบา จากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง เมื่อเข้าสู่ห้องยาส่วนสมุนไพรจากสัตว์ ภายในร่างกายพลันเกิดอาการปั่นป่วนสะอิดสะเอียน
ด้วยสิ่งที่ถูกบรรจุอยู่ในขวดโหลเรียงราย คืออวัยวะของสัตว์ป่าจำนวนมาก ยิ่งกะโหลกและเขาที่เก็บอยู่ในตู้ยิ่งย้ำเตือนว่า ที่นี่หาใช่หอยา แต่ที่นี่คือสุสาน

ผู้มีร่างกายใหญ่โตก้าวต่อไปยังโต๊ะทำงาน เพื่อค้นหาบันทึกที่ต้องการ
หลังจากรื้อค้นอยู่เกือบสว่างจึงได้ออกมาจากห้องแล้วกลับไปพักอยู่ที่หอแปดชั้นในอารามหลวงจึงพบว่า เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้เป็นบุตรชายรออยู่
"กวางทองอาการทรุดลง"

ชั่วชีวิตที่ผ่านมา นี่เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้มีหมอกหนาปกคลุมหัวใจ แต่ในเวลาเดียวกันก็กลับทำให้พลังในกายเพิ่มพูนและพร้อมที่จะออกเดินทางในทันที
แต่ก่อนที่จะออกเดินทาง ผู้เป็นบิดายังต้องฝากการทำงานอีกหลายอย่างไว้กับบุตรชายให้สืบต่อ

"เจ้ากับข้าภายนอกคล้ายกัน คงพอจะตบตาเจ้าฮ่องเต้นั่นได้ ให้เจ้าไปพบกับเขาสักครั้งก็พอ บอกกับเขาว่าต้องกลับป่าสีทอง แต่ยังไม่ต้องรีบกลับไป ข้าอยากให้เจ้าจัดการให้พวกองครักษ์หน้าโง่เหล่านั้นตกเป็นหนี้บุญคุณอวี้เอ๋อร์เสียก่อน"
หลังจากที่สั่งเรื่องของตนเองจนเสร็จ ถึงได้ถามเรื่องของบุตรชาย
"เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หายปวดใจหรือยัง"
สีหน้าที่เคร่งขรึมของผู้เป็นบุตรหม่นมองลงขณะที่ส่ายหน้า
เห็นอย่างนี้ผู้เป็นบิดาก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไรเหมือนกัน เพราะทุกถ้อยคำที่ควรพูด ก็พูดไปตั้งนานแล้ว แต่บุตรชายผู้นี้ก็ยังคงเหมือนเดิม
"เอาเถิด พ่อฝากเรื่องอวี้เอ๋อร์ให้เจ้าช่วยจัดการต่อ จากนั้นก็แล้วแต่เจ้าจะตัดสินใจว่าจะกลับไปที่ป่าสีทองหรือไม่"
เมื่อบิดาทำท่าจะจากไป เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงถามอีกคำ
"ข้าควรเรียกเขาว่าอะไร"
เทพเสือโคร่งภูผายิ้มชั่วร้ายก่อนที่จะกล่าวคำ "แม่เล็ก"

หลายวันถัดมา เมื่อเฉินอวี้ไปที่ห้องอ่านหนังสือของหอสมุดหลวงแล้วเรียกหาเทพเสือโคร่งภูผา แต่ผู้ที่มาพบกลับเป็นเทพเสือโคร่งศิลาดำ
เพียงแค่สายลมที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามา คนรูปงามก็รู้แล้วว่า ผู้ที่มาถึงไม่ใช่เทพเสือโคร่งภูผาที่เรียกหา จึงอยู่ในท่าเตรียมพร้อมทันที
รูปร่าง ดวงตา ใบหน้า การแต่งกายที่คล้ายกัน แต่ไม่ใช่คนเดียวกัน
"แม่เล็ก" ผู้ที่มาถึงก้มศีรษะเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
ช่างเป็นบุตรที่เชื่อฟังบิดายิ่งนัก
เฉินอวี้สีหน้านิ่งขึงด้วยความไม่พอใจที่ถูกเรียกว่าแม่เล็ก แต่เมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายคือเทพเสือโคร่งจึงต้องทักทายตามมารยาท "เทพเสือโคร่งศิลาดำ" อีกฝ่ายค้อมศีรษะรับคำทักทาย "บิดาของท่านไปไหน"
"กวางทองอาการทรุด บิดาต้องไปถ่ายพลังเพื่อยื้อชีวิตของกวางทอง และให้ข้าอยู่ช่วยแม่เล็กทำงาน"
จากที่พบกันมา เฉินอวี้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ที่ช่างเจรจา ทั้งวิธีการพูดจายังฟังดูแปลก ๆ   
"เช่นนั้นก็นั่งลงคุยกันก่อน"
การพูดคุยกับเทพเสือโคร่งศิลาดำผู้นี้ ไม่ต้องระมัดระวังตนเหมือนตอนที่คุยกับเทพเสือโคร่งอีกตน
พออีกฝ่ายนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามจึงสามารถออกปากขอร้อง "ไม่เรียกแม่เล็กได้หรือไม่"
เฉินอวี้รู้ว่าคู่สนทนากำลังหัวเราะ ต่อให้มุมปากไม่ขยับ และกำลังส่ายหน้าอยู่ก็ตาม
"เช่นนั้นก็ช่วยเรียกในใจ ไม่ต้องกล่าวออกมา"
คู่สนทนาต้องกำลังหัวเราะอยู่แน่ ๆ ทั้งที่กำลังพยักหน้า
"ดี เช่นนั้นเรามาคุยเรื่องงานกัน"

เรื่องราวหลังจากนั้นล้วนดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เมื่อเฉินอวี้ไม่สนใจความบาดหมางในอดีต ชักชวนหลี่กังซึ่งเป็นรุ่นพี่ กับเฉินฟู่ไปดื่มกินพร้อมหน้ากับเพื่อนอีกสี่คน
ในระหว่างที่เดินผ่านร้านขายยาแห่งหนึ่งพบใต้เท้าฝูเดินร่าออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งเห็นว่ามีเงินมากมายไปเลี้ยงพวกพ้อง
บรรดาคนหนุ่มผู้มีความภักดีต่อฮ่องเต้เป็นที่ตั้ง หันมาตั้งคำถามว่า พนักงานในห้องยาผู้หนึ่งมีเงินมากมายไปเลี้ยงดูเพื่อนพ้องเช่นนี้ได้อย่างไร
เฉินอวี้ผู้ที่ชักจูงให้ทั้งหมดมาพบเห็นเหตุการณ์ ก็ออกแรงอีกเพียงเล็กด้วยการเล่าเรื่องที่อ้างว่าได้ยินมาจากพี่ชายอีกต่อหนึ่ง แล้วปล่อยให้เรื่องเดินหน้าต่อไปเอง เพราะหลี่กังอาสาเป็นหัวหน้ากลุ่มสืบสวน เมื่อได้หลักฐานเพียงพอก็แจ้งต่อกรมราชองครักษ์เพื่อเข้าจับกุมคนผิดแล้วให้กรมอาญาขยายผลการสอบสวน
ผลงานของหลี่กังและนักเรียนรุ่นเดียวกันอีกสิบคน ในการเปิดโปงทุจริตห้องยา ไม่เพิกเฉิยต่อผู้ที่ยักยอกทรัพย์ส่วนพระองค์ ทำให้พวกเขาสามารถเข้ารับราชการในตำแหน่งองครักษ์ระดับล่างโดยที่ไม่ต้องสอบ จากนั้นในปีถัดมา ก็เลื่อนขึ้นไปเป็นระดับสอง และพร้อมที่จะโยกย้ายที่จะเข้าประจำหน่วยที่มีความสำคัญต่อไป

เวลาผ่านไปจนในวันหนึ่ง ขณะที่เฉินอวี้กำลังเตรียมสอบเพื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนองครักษ์ องครักษ์หลี่กังก็กลับมาพบกับรุ่นน้องผู้นี้

"ข้ารู้ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของเจ้า"
เฉินอวี้ยิ้มหวาน
"ข้ารู้ว่าเจ้าเจตนาพาพวกเราเดินผ่านไปที่ร้านขายยาร้านนั้น พูดจาเหมือนไม่ใส่ใจเกี่ยวกับความผิดปกติ แล้วยังมีบัญชีร้านค้า ตั๋วเงินพวกนั้นที่ข้าหามาเป็นหลักฐานได้อย่างง่ายดายนั่นอีก" รุ่นพี่ร่างกายล่ำสันยืนหลังตรง "ความภาคภูมิใจในครอบครัว และตนเองทำให้ข้ารู้สึกว่ามันยากที่จะพูดออกมา แม้จะรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่สงสัยว่าเจ้าทำเช่นนี้เพื่ออะไร"
เฉินอวี้หันไปมองทางอื่น "ข้าไม่มีความกล้าหาญที่จะปกป้องผลประโยชน์ของฮ่องเต้ แต่ท่านมีความกล้าหาญนั้น ข้ารู้ว่ามีคนทำผิด แต่ข้าก็กลับคิดกังวลว่าหากข้าเปิดโปงการกระทำความผิดของคนผู้นั้นแล้วครอบครัวของข้าจะเดือดร้อน"
หลี่กังส่ายหน้า 
คนผู้นี้เข้าเฝ้าฯ ฮ่องเต้แทบจะทุกสัปดาห์ ยังต้องกลัวอันใดกับการที่ครอบครัวจะเดือดร้อน เขาพบเรื่องราวทุจริตของข้าราชการหลายคน แต่กลับส่งเรื่องเหล่านั้นให้กับรุ่นพี่ และเพื่อนร่วมรุ่นผู้อื่นได้หน้าไปหลายต่อหลายครา
ทุกเรื่องราวมีลักษณะเฉพาะตัวคือเป็นความผิดเฉพาะบุคคล สามารถจัดการได้โดยไม่เกินแรงของนักเรียนองครักษ์ และองครักษ์ระดับล่างจะเข้าไปตรวจสอบ
เคยมีผู้ที่แสดงความเห็นว่านี่อาจเป็นรับสั่งของฮ่องเต้ที่ส่งผ่านเฉินอวี้ แต่ต่อมาเมื่อเข้ารับราชการแล้วก็ยังไม่เห็นว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้น ทุกคนต่างทำหน้าที่ไปตามปกติ
หลี่กังพยักหน้า "ขอบใจมาก ในวันหนึ่งข้างหน้า หากเจ้าจะมาเป็นหัวหน้าของข้า ข้าให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนอย่างเต็มที่"
คนรูปงามหันไปมองหน้า "ต้องเป็นหัวหน้าของท่านเท่านั้นหรือ หากข้าต้องย้ายไปทำอย่างอื่นแล้วมาขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านจะหันหลังให้หรืออย่างไร"
"เจ้ายังจะต้องย้ายไปที่ใดอีก"
"ไม่รู้สิ" เฉินอวี้ถอนหายใจ "ข้ารู้สึกว่า ฮ่องเต้ไม่ทรงโปรดให้ข้ารับราชการ อาจทรงกำลังมีแผนการอยู่ในพระทัยว่าจะส่งข้าไปเรียนอะไรอีกแน่ ๆ"
ก่อนที่หลี่กังจะกลับไป ยังมีอีกคำถามที่อยากถามมานาน "เพลงหมัดเหล่านั้น เจ้าเรียนจากที่ใดกันแน่ และอาจารย์ของเจ้าคือใคร"
"ข้าก็เรียนจากสำนักมวยแถวบ้าน หาใช่สำนักใหญ่โต ท่านก็รู้อยู่แล้วว่ามารดาของข้าเป็นเพียงฮูหยินรอง และข้ายังเป็นบุตรคนเล็ก ส่วนอาจารย์ของข้า เขาชื่อเทพเสือโคร่งภูผา"
"เทพเสือโคร่งภูผา" หลี่กังทวนชื่อ พยายามรีดเค้นสมองหาชื่อจอมยุทธ์ผู้นี้ "ไม่เคยได้ยินชื่อ แต่เขาต้องมีพลังหมัดที่หนักมาก จึงได้ชื่อนี้"
 
...

ส่วนที่ป่าสีทองเมืองลั่ว ที่บริเวณปากทางเข้าสู่เขตของกวางเทพ เสียงดังประหนึ่งฟ้าผ่าฟาดเปรี้ยงกลางแดด เปลวไฟลุกโหมขึ้นที่ต้นไม้ใหญ่แล้วดับวูบ เหลือเพียงควันไฟที่ลอยขึ้นสูง และเถ้าถ่าน ต้นไม้ใหญ่ที่ถูกฟ้าผ่าล้มครืนลงมาตามกัน
ณ จุดกึ่งกลางของพื้นที่ที่ถูกทำลายจนราบ เทพเสือโคร่งภูผานอนหงายหมดสภาพ ที่ปอยผมด้านหน้ายังมีเปลวไฟติดอยู่ แต่เจ้าตัวใช้มือดับไฟ 
นี่เป็นเพราะเมื่อมาถึงก็บุ่มบ่ามเข้าไปในเขตที่พักของเหล่ากวางเทพจนถูกเทพกวางสายฟ้าซัดเข้าจนหมดท่า
กวางเทพสีขาวตัวใหญ่ก้าวเดินเข้ามาหาด้วยท่าทีงดงามหยุดยืนมองด้วยหางตา จากนั้นก็ส่งเสียงในจมูก แล้วเปลี่ยนร่างเป็นชายรูปร่างผอมสูง ในชุดสีขาว
"ถึงกับจะฆ่ากันเชียวหรือ" คนที่นอนอยู่ลุกขึ้นนั่ง ดวงตาสีเหลืองมีแนวตวัดเฉียงขึ้นด้วยความไม่พอใจ แต่พอเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่ก้มลงมามองก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อน "ก็แค่รีบร้อนไปนิดเดียวเอง"
เทพกวางสายฟ้าส่ายหน้า แล้วหันหลังให้ "ตามมา"
ผู้ที่กำลังคิดจะแกล้งตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดต้องรีบวิ่งตามมา อีกฝ่ายจึงตวัดตามองอีกครา
"เออ ข้าไม่เป็นไร ไม่เจ็บ ไม่ร้อนเพราะสายฟ้าของเจ้าสักนิดเดียว ไม่ต้องสนใจก็ได้ รีบ ๆ ไปกันเถิด"
เทพกวางสายฟ้ากำมือแน่น พยายามควบคุมความโกรธให้สงบลง แล้วจึงหันมากล่าว "ท่านไม่แสดงตนก่อนที่จะเข้ามาเขตกวาง ข้าสมควรฆ่าท่านแต่แรกอยู่แล้ว แต่ที่ท่านไม่เป็นไรก็เพราะว่าท่านมันพวกตายยาก ดังนั้นไม่ควรพูดมาก"
"เดี๋ยวนะ แสดงว่าที่แท้มีเจตนาฆ่า แต่ที่ข้ารอดก็เพราะว่าข้าดันไม่ตายเองใช่ไหม"
ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่ากล่าวคำโต้เถียงจนลิ้นพันกัน
"ใช่" เทพกวางสายฟ้าก้าวเข้ามาหา "ข้ายังมีเหตุผลอีกนับร้อยที่สมควรฆ่าท่าน"
แค่นับเรื่องของวันนี้ก็ถือว่าควรตายแล้วจริง ๆ  ไม่ต้องย้อนไปอีกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าเรื่องที่ขัดแย้งกันมา โดยเฉพาะการล่อลวงนางเทพกวางสายลมผู้เป็นคู่ของเทพกวางสายฟ้า
เรื่องนั้นเพียงเรื่องเดียวก็สมควรตายเพิ่มอีกสักหลายครั้ง

"จะเรื่องนั้นหรือเรื่องใด ข้าก็ขอโทษแล้วไง เจ้าจะจิตใจคับแคบคิดแค้นไม่จบไม่สิ้นไปเพื่ออะไร" เทพเสือโคร่งภูผาทำเสียงอ่อน แต่อีกฝ่ายกำลังโกรธมากจริง ๆ
"แล้วหากเปลี่ยนเป็นข้าเข้าหาบงกช เจ้าจะโกรธไหม"
ทั้งสองยืนมองหน้ากันจากนั้นเทพกวางสายฟ้าก็เป็นฝ่ายหันไปมองทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนอาการรู้ตัวว่าพูดผิดไป ส่วนเทพเสือโคร่งภูผาหัวเราะเบา ๆ

กวางลอบเข้าเสือโคร่ง...คงถูกกินตั้งแต่ปากทางเขตเสือแล้ว

"กวางทองอาการไม่ดี เขาไม่รับพลังของข้า ถึงต้องให้ศิลาดำไปตามหาเจ้า" เทพกวางสายฟ้าเปลี่ยนเรื่อง
"อะไรกัน" เทพเสือโคร่งภูผาโวยวาย "บอกว่าไม่ต้องให้ถ่ายพลังให้เขาไง นั่นมันหน้าที่ข้า"
มือใหญ่คว้าข้อมือผู้สวมชุดขาวเพื่อจับชีพจร
"ไม่ต้อง" เทพกวางสายฟ้ายื้อยุด พร้อมต้านทานพลังที่เทพเสือโคร่งภูผาพยายามถ่ายทอดให้
แต่เพราะเทพกวางสายฟ้ามีความโกรธเป็นทุนเดิมจึงกระแทกพลังกลับไปอย่างรุนแรง
ผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่เซถอยไปหลายเก้าแล้วคุกเข่าลง บ้วนลิ่มเลือดที่พุ่งขึ้นมา
"เจ้ามีเจตนาฆ่าจริง ๆ"
เทพกวางสายฟ้ายังยืนอยู่ห่าง ๆ "ลุกขึ้น แล้วไปรักษากวางทอง"
เจ้าของดวงตาสีเหลืองยังก้มหน้า มือข้างขวากดอยู่ที่กึ่งกลางหน้าอก
"กวางใจร้าย อาฆาต ไม่รู้จักให้อภัย"

...ยังพรรณาแบบนี้ได้แสดงว่าไม่ได้เป็นอะไร...

"หากเจ้ายังไม่ลุกขึ้น ข้าจะกลับไปถ่ายพลังให้กวางทอง"
เมื่อถึงคำสุดท้าย เทพกวางสายฟ้าก็ห่างไปไกล ทิ้งให้อีกคนต้องรีบไล่ตาม
"นี่ข้าเจ็บจริง ๆนะ เจ้าซัดใส่ข้าเต็มแรงขนาดนี้ ต่อให้เป็นภูเขา ภูเขายังเคลื่อนที่ได้เลย เฮ้ สายฟ้า เจ้ากวางใจร้าย รอกันก่อน...."

เมื่อมาถึงถ้ำกวาง พบเทพกวางสายฟ้าที่มาถึงก่อนหันมามองแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน
ภายในถ้ำกวางมีลักษณะโล่ง และแสงแดดลอดผ่านช่องว่างด้านบนเป็นระยะ เมื่อไปถึงส่วนที่กว้างที่สุดในถ้ำพบนางเทพกวางสายลม อยู่กับเทพกวางผู้เฒ่าที่อุ้มกวางทองตัวน้อยไว้
"ข้าบอกแล้วว่าเขาไม่เป็นไร" กล่าวจบเทพกวางสายฟ้าก็กลับออกไป
เทพเสือโคร่งภูผากลับมามีท่าทีสุขุม ทำความเคารพเทพกวางผู้เฒ่า แล้วสอบถามนางเทพกวางสายลมว่ากวางทองเป็นอย่างไร
นางเทพกวางสายลมมีสีหน้าเป็นกังวลอย่างยิ่ง หันไปขอกวางทองจากเทพกวางผู้เฒ่า แล้วมอบให้กับเทพเสือโคร่งอีกทอดหนึ่ง
ขณะที่นางหันหลังให้กับเทพกวางผู้เฒ่า นางเหลือบตาไปมองทางด้านหลัง ท่าทางคล้ายมีเรื่องที่อยากกล่าว แต่ก็มิได้กล่าวออกมา
"ข้าจะพาเขาไปถ้ำยา" เทพเสือโคร่งภูผา กอดกวางทองตัวเล็กไว้แลัวรีบกลับออกไปในทันที

กวางทองตัวน้อยมีลมหายใจรวยริน เทพเสือโคร่งภูผาต้องกอดไว้ตลอดเวลาเพื่อถ่ายทอดพลังชีวิตให้อย่างช้า ๆ
เวลาผ่านไปข้ามวัน กวางทองจึงมีลมหายใจที่สม่ำเสมอ อ้อมแขนแข็งแรงจึงค่อย ๆ วางร่างกายอ่อนแอลงบนผ้าห่มหนังสัตว์อ่อนนุ่มที่ใช้ปูนอน
"กวางทองเอย เจ้าเกิดมาทีหลังผู้อื่นได้ ตัวเล็กได้ อ่อนแอได้ แตกต่างได้ แต่ต้องไม่ยอมแพ้"

ขณะที่ภาวะจิตเข้าสู่ความสงบ เทพเสือโคร่งภูผาได้กลิ่นไอของกวางเทพนำทางมาก่อน จากนั้นจึงเป็นเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่ด้านหน้าของปากถ้ำหนึ่งครั้ง เป็นการแจ้งสัญลักษณ์ที่ไม่ต้องลุกขึ้นมามองก็รู้ว่าเป็นผู้ใด
แต่ผู้ที่มาถึงก็ยังรักษามารยาท เมื่อเข้ามาในถ้ำจนถึงส่วนที่เป็นห้องยาก็ยังส่งเสียงถามนำเข้ามาก่อน
"เข้าไปได้ไหม"
"ได้ กวางทองหลับแล้ว"
เทพเสือโคร่งภูผาหันไปมองหญิงงามในชุดสีฟ้าใส ความจริงแล้วนางมีฝีเท้าที่เบาอย่างยิ่ง ทำให้นางเป็นเทพกวางสายลม แต่นั่นกลับทำให้นางมักจะเจตนาก้าวเดินกระแทกเสียงตึงตัง พูดจาเสียงดังเอะอะโวยวาย ให้ตรงกันข้ามกับลักษณะเฉพาะของนางอยู่เสมอ 
แต่เพราะที่นี่มีดวงใจของนางอยู่ นางจึงย่ำเท้าเสียงดังอยู่ด้านหน้าถ้ำเพียงครั้งเดียว และระดับเสียงของนางในการถามคำถามก็ไม่ได้ดังมากนัก
"ที่ด้านหน้าถ้ำ มีบุตรชายของท่านมารออยู่" นางเทพกวางกล่าว ทั้งที่ดวงตามองผ่านไปยังกวางทองที่หลับสบายอยู่บนหนังสัตว์อ่อนนุ่ม 
"เขาก็มีหน้าที่รอเฝ้าอยู่เช่นนั้นอยู่แล้ว"
นางเทพกวางสายลมตวัดตามองอีกฝ่าย
"ข้าอยากอยู่กับกวางทองสักครู่"
"ก็อยู่ไปสิ ใครห้ามเจ้า"
"แต่ข้าไม่อยากอยู่กับท่านตามลำพัง"
เทพเสือโคร่งภูผาโบกมือ แล้วล้มตัวลงนอน "ตามสบายเจ้าเลย ข้าจะนอนพัก จะกลับไปเมื่อไหร่ก็เรียกแล้วกัน"

แต่ผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่กลับนอนลืมตามองนางกวางเทพสายลมที่สัมผัสกวางทองอย่างเบามือ
"พออยู่กับท่านกวางทองก็นอนหลับสบายเชียว" นางยอมรับว่ารู้สึกอิจฉาเทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้ "หลายวันมานี้กวางทองมักส่งเสียงร้องแล้วก็หายใจไม่ค่อยถนัด ดูทรมานมาก ข้าลองถ่ายพลังให้ แต่กวางทองไม่รับ ทั้งปฏิเสธพลังของท่านพี่สายฟ้า แล้วนี่ดูสิ พอเป็นท่าน เขาทั้งรับพลังของท่านและยังหลับสบายขนาดนี้"
"เขาเกิดมาเป็นกวางเหมือนเจ้ายังไม่พอใจอีกหรือไง กวางทองอาจรู้ว่ามีพ่อขี้อวดก็เลยทำเป็นยกยอข้าสักเล็กน้อย ทำเป็นพึ่งพิงข้าเพื่อให้ข้ามีความภูมิใจบ้างก็เท่านั้น"
นางกวางเทพสายลมอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำคำกล่าวของอีกฝ่าย "ท่านก็เป็นเสียอย่างนี้"
เทพเสือโคร่งภูผานอนหนุนแขนตนเอง ขณะที่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนโยน
"ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น"
นางหยิบหนังสัตว์ผืนบางมาห่มให้กวางทองก่อนที่จะลุกมานั่งลงข้าง ๆ ผู้ที่นอนอยู่
น้ำเสียงของนางแผ่วเบาดุจสายลมที่พัดผ่าน ทั้งที่เรื่องราวนั้นหนักอึ้ง

"ตอนที่ท่านจากไป กวางทองแข็งแรงดี เขาเดินเองได้หลายก้าวแล้ว และกินผลไม้ได้มากขึ้น แต่เมื่อเจ็ดวันก่อน กระเรียนฟ้าหายไปจากป่าทางตะวันออก พวกเราจึงออกไปตามหา กระทั่งเสือโคร่งหิมะบุตรของท่านไปพบกระเรียนฟ้าที่ติดอยู่ในพงหญ้าจึงช่วยออกมาได้  แต่เมื่อพวกเรากลับมาที่เขตป่ากวาง พบกวางทองนอนอยู่ตามลำพังกลางทุ่งหญ้าห่างจากปากถ้ำไปมาก ตรงนั้นเป็นเขตที่เขาไม่เคยเดินไปถึงมาก่อน"
ผู้ที่นอนอยู่ขยับจะลุกขึ้น แต่นางเทพกวางกดไหล่ให้นอนต่อ
"พวกเราออกไปนานเขาจึงรู้สึกกังวล ก็เลยหนีไพลินออกไปตามหา" นางเทพกวางสายลมก้มหน้ายอมรับผิด "ไพลินบอกว่าพวกเราออกไปนานนับชั่วยามแล้ว และเห็นกวางทองนอนหลับอยู่ จึงออกไปพบเพื่อน เมื่อกลับมาเห็นว่าภายในถ้ำกวางเงียบอยู่ ก็คิดว่ากวางทองยังไม่ตื่น นางจึงนอนเฝ้าอยู่ที่ปากถ้ำ จนกระทั่งข้าอุ้มกวางทองกลับมา ตอนนี้ข้าลงโทษไพลินให้ไปรับใช้อาจารย์เทพที่ยอดเขาแล้ว"
"กวางทองอาการทรุดลงนับจากนั้นหรือ" นั่นคือสิ่งเดียวที่ผู้เป็นบิดาสนใจ
นางเทพกวางสายลมพยักหน้า "กวางทองมีอาการทรุดลงช้า ๆ พอถึงวันที่สามข้าจึงถ่ายพลังชีวิตให้เขา แต่ไม่สำเร็จ จากนั้นท่านพี่สายฟ้าก็ถ่ายพลังให้เขาก็ทำไม่ได้เช่นกัน ข้าจึงไปหาศิลาดำ ขอให้ไปหาท่านกลับมา"
"แต่ตอนที่ข้าไปรับกวางทอง  มีท่านผู้เฒ่าอยู่ด้วย เขามาโน้มน้าวให้เจ้าปล่อยกวางทองไปอีกหรือ"
นางเทพกวางกัดริมฝีปากตนเอง หันหน้าหนีไปทางอื่น
"เดิมเขาก็อ่อนแอ ต่อมาทั้งที่เป็นกวางแต่ไม่รับพลังจากกวาง กลับไปรับพลังจากเสือโคร่ง ท่านผู้เฒ่าจึงกังวลมาก เกรงว่าต่อไปจะยิ่งเกิดความสับสน ดีที่ท่านกลับมาพอดี"

เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้าเข้าใจแล้วว่า เหตุใดนางเทพกวางสายลมจึงมีท่าทีเร่งให้เขารับบุตรมาโดยเร็ว
ทั้งที่ในใจของเทพเสือโคร่งภูผามีความไม่พอใจบรรดาผู้เฒ่าอยู่มาก แต่ก็ยังต้องการให้นางเทพกวางมีความผ่อนคลาย

"ที่จริงข้าน่าจะไปหาเจ้าได้เร็วกว่านี้อีก หากเจ้าสายฟ้าไม่ซัดข้าจนป่าราบ เจ้านั่นแค้นข้ามากเลยทีเดียว"
นางเทพกวางหันมามองอีกฝ่ายเต็มตาพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ท่าทางมีความสุขที่เทพเสือโคร่งภูผาจะถูกจัดการเสียบ้าง
"เขามีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น"
"เหอะ เข้าข้างตลอด" เพียงเห็นนางยิ้มได้ หัวใจของเทพเสือโคร่งก็ยิ้มตามนางไปด้วย
"ภูผา ข้าขอถามสักอย่าง" เมื่อผู้มีร่างกายสูงใหญ่พยักหน้า นางจึงถามต่อ "ศิลาดำเล่าเรื่องคนรักของท่าน"
"อวี้เอ๋อร์น่ะหรือ"
นางเทพกวางสายลมงุนงง "ไม่ใช่ชื่อนี้นะ อวี้เอ๋อร์อยู่เมืองจงพวนหรือ" แต่เมื่อเห็นอีกฝายกลอกตามองบน นางก็ถอนหายใจเบา ๆ "ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าท่านเจ็บไม่รู้จักจำอยู่แล้ว เพียงแต่เห็นว่าเรื่องของกระเรียนโกเมนมีสาเหตุมาจากหญิงงามเมืองจงพวนแค้นท่าน สุดท้ายนางยังทำร้ายตนเอง ข้าจึงกังวลว่าท่านจะคิดมาก แต่เมื่อท่านมีอวี้เอ๋อร์ในทันทีเช่นนี้ ก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว"
"ไม่นะ" เทพเสือโคร่งภูผาโบกมือ ดูท่าว่านางจะเข้าใจสับสนเรื่องลำดับเวลา "ข้าพบท่านหญิงหนานกงเมื่อนานกว่ายี่สิบปีที่แล้ว พอกลับมาบำเพ็ญเพียรก็ลืมเลือนความรู้สึกที่มีต่อนางไป จากนั้นเพราะตามเรื่องกระเรียนไฟถึงได้ไปหานางอีกครั้ง" ผู้มีดวงตาสีเหลืองคำนวนเวลา "หลังจากที่พบกับอวี้เอ๋อร์แล้ว เมื่อประมาณสามปีก่อนนี้เอง"
"อวี้เอ๋อร์ทราบเรื่องหรือไม่"
เทพเสือโคร่งพยักหน้า นางจึงกล่าวต่อ
"ที่ท่านต้องถ่ายพลังให้กับกวางทองเช่นนี้ หากต้องบำเพ็ญเพียรเพื่อฟื้นฟูพลัง แล้วความรู้สึกของท่านที่มีต่ออวี้เอ๋อร์จืดจางลง..."
"ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่ออวี้เอ๋อร์ไม่ได้จืดจางลงอย่างง่ายดายเช่นนั้นหรอก" เทพเสือโคร่งภูผาบอกปัด "และหากออกจากการบำเพ็ญเพียรแล้วความรู้สึกแปรเปลี่ยนไป  ข้าก็จะหลงรักอีกสักหลาย ๆ ครั้งเท่านั้นเอง"

เทพเสือโคร่งภูผาหันไปทางปากถ้ำ เมื่อรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวที่ด้านหน้า "ที่มันเป็นปัญหาไม่เข้าใจกันอยู่ คือเรื่องลำดับความสัมพันธ์ในครอบครัว ดูจะกังวลเรื่องผู้คนรอบข้างมากกว่า"
นางเทพกวางสายลมส่ายหน้าเชิงไม่เข้าใจเช่นกัน
"แล้วก็มีที่พูดถึงนายบำเรอ สนมชายอะไรพวกนั้นด้วย"
นางเทพกวางเลิกคิ้วขึ้นสูง "อวี้เอ๋อร์เป็นผู้ชายหรือ"
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้ารับกับนางเทพกวางสายลม แล้วหันไปมองผู้ที่เพิ่งก้าวเข้ามา
นางเป็นสตรีรูปร่างหนา สวมชุดสีครีมอ่อน ที่โดดเด่นคือดวงตาสีเหลืองสดใส เหมือนกับเทพเสือโคร่งภูผา เมื่อนางปรากฎตัวขึ้น นางเทพกวางสายลมลุกขึ้นยืนก้มศีรษะทำความเคารพ
"ไม่เป็นไร นั่งลงเถอะ" ผู้ที่เพิ่งมาถึงมองผ่านไปที่กวางทองตัวน้อย แต่ไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ เพราะเข้าใจความกังวลของนางเทพกวางสายลม "กวางทองเป็นอย่างไรบ้าง"
"ยังต้องถ่ายพลังให้อีก" เทพเสือโคร่งภูผากล่าวตอบทั้งที่ยังนอนอยู่
นางหันมามองเทพเสือโคร่งภูผา จากนั้นหันไปหานางเทพกวาง "อวี้เอ๋อร์ผู้นี้ต้องนับว่าไม่ธรรมดา" นางไม่ปิดบังว่าได้ยินคำสนทนาโดยตลอด "สามารถทำให้ผู้ที่ไล่ตามสตรีมานานกว่าร้อยปีคอยเฝ้าดูแลไม่ห่าง "
"นั่นสิ" นางเทพกวางสายลมพยักหน้า ขณะที่ยิ้มกว้าง "ข้ากำลังคิดอยู่ว่าควรกลับไปเตือนท่านพี่สายฟ้าให้ระวังเสือเฒ่าผู้นี้ให้มากขึ้นเสียแล้ว"
นางเทพเสือโคร่งบงกช เดินมานั่งลงบนที่นอนของเทพเสือโคร่งภูผา "ท่านออกไปกินอาหารก่อนดีหรือไม่ ให้สายลมเฝ้ากวางทองสักครู่"
"ข้าอยากพักก่อน"

คำตอบสั้น ๆ ที่ทำให้สตรีทั้งสองรู้ว่าเทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้อ่อนเพลียอยู่มาก แต่นี่เป็นสิ่งที่เสือโคร่งผู้นี้ไม่เคยยอมรับ และไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ นางเทพกวางสายลมจึงขอตัวกลับไปก่อน
"เช่นนั้นข้าจะกลับไปก่อน แล้วจะกลับมาดูกวางทองเป็นระยะ" แม้นางจะเป็นสตรีที่มีรูปร่างสูง แต่การทำความเคารพของนางกลับดูนุ่มนวลอย่างยิ่ง
เทพเสือโคร่งภูผาที่มองตามหลังของนางเทพกวางออกไปจากถ้ำ หันมาเห็นสายรู้ทันของนางเทพเสือโครงบงกช จึงแกล้งเฉไฉ
"เจ้าเข้ามาตามข้าออกไปกินอาหาร หรือกังวลว่าพวกเราจะให้กำเนิดกวางทองน้อยอีกตัว"
"ข้าอยู่กับท่านมานานจนเลิกสนใจแล้วว่าท่านจะมีบุตรอีกเท่าไหร่ หรือจะไปตามเฝ้าใคร แต่ข้ากังวลที่บุตรเกิดมาแล้วไม่แข็งแรง ท่านไม่รู้หรอกว่า กวางเทพทั้งสองพบเจออะไรมาบ้างเพื่อปกป้องกวางทองไว้จนท่านกลับมา หากจะมีน้องให้กวางทองก็สมควรดูแลสุขภาพของตนเองให้ดีเสียก่อน จะได้มีบุตรแข็งแรง"

เทพเสือโคร่งภูผาอับจนถ้อยคำได้แต่พยักหน้า
....นี่สินะแม่เสือ แล้วไม่ใช่เสือธรรมดา นางคือเทพเสือโคร่งบงกช หนึ่งในผู้ปกครองป่าสีทองแห่งนี้...

...จบตอนที่ยี่สิบสอง...
เมื่อคืนมาดึก เพราะนึกได้ว่า ไปขอแรงพี่ๆ ทีมงานผลัก ไส และถีบไว้นี่ พอเข้ามาดู เอ๊าๆๆๆๆๆ ข้ามมาหน้าใหม่หลายรีพลายแล้ว จึงลงเรื่องตอนต่อไปในทันใด
แล้วลงไปด้วยความมึนงง ทอล์คท้ายเรื่องหายไปอี๊กๆๆๆๆ มาเห็นตอนเช้า ไม่มีใครรีพลายต่อเลย อาจเพราะคิดว่าเดี๋ยวต้องมีอีกบล็อคละสิ เพราะหลายๆ ตอนจะมีสองบล็อค (เออ เขาเรียกบล็อคไหม หรือเขาเรียกว่าอีกรีพลาย เรียกภาษาไทยง่ายกว่าไหม แล้วภาษาไทยเรียกว่าอะไร)
อะ ตามนี้แหละ คนลงมันบ้า แต่ก็ยังอยากคุย
รักนะ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080860)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 09-09-2017 08:29:15
พ่อโคร่งภูผาไข่ไปทั่วจริงๆ ยุให้อวี้เอ๋อจับตอนซะเลยดีไหม :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080860)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 09-09-2017 09:58:24
น่านสิ...เราก็ไม่กล้าเม้นท์  :mew4:

พ่อเสือโคร่งนี่หยอดไปทั่วเลยนะ โดนสายฟ้าฟาดกี่ครั้งก็ไม่หวั่นไหว  :z1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080860)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 09-09-2017 12:42:02
อ่านไป ก็ทำใจไป เผื่อจะชิน กับพระเอกแนวนี้ 5555
ขอบคุณคนแต่งค่าาา

 :L1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080860)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-09-2017 12:49:37

ความทั่วถึงที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบนี้   :เฮ้อ:


แต่นะทายาทพ่อแลจะไม่มีใครเอาดีทางนี้หมือนพ่อนะพ่อนะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080860)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-09-2017 17:46:34
ก็สมควรโดนสายฟ้าฟาดแหละ

ปล. วันที่ผิดหรือเปล่าจ๊ะ นี่เดือน 9 แล้ว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: FaiiFay_Elle ที่ 11-09-2017 16:51:08
ตามค่ะ สนุกมาก :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 14-09-2017 15:52:53

 :กอด1:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 14-09-2017 18:36:29
เทพเสือโคร่งผู้หญิงที่ใจกว้างมาก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 14-09-2017 19:34:53
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 15-09-2017 09:52:21


มายังๆๆๆ  :impress:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 15-09-2017 12:38:25
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

มาสารภาพ ยังไม่ได้อ่านเลย ผ่านมาสองตอนแล้ว
เดี๋ยวจะแวะเข้ามาอ่านอย่างละเอียดอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 15-09-2017 23:22:01
อ่านรวดเดียวตาแฉะ  ผลงาน ไจฟ์ ที ไม่เคยผิดหวัง   :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: windy49 ที่ 16-09-2017 22:14:45
ขอบคุณค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ  :mew3:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: Kkookai ที่ 17-09-2017 00:01:38
 o22 o22 o22 o22
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-09-2017 07:28:02
มารอพ่อเสือ :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 18-09-2017 20:14:02
 :t3: มานอนรอ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 19-09-2017 19:42:05
ฮึบ ฮึบ ฮึบ  :z10:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 19-09-2017 20:34:42
 :z13: :z13:  อีกนิดนึงงงงงง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 21-09-2017 16:30:48

 :z13:  :z13:



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 21-09-2017 17:37:34
 :hao4: :hao4:
มารึยางงงง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 23-09-2017 13:26:40
มายัง มาเหอะ
เราคิดถึง...
 o15 o15 o15
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 23-09-2017 14:26:14
พ่อเสือน่าตีจริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 24-09-2017 12:02:25
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 24-09-2017 12:56:54
 :z2: :z2:

เต้นเรียกพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 24-09-2017 12:59:55
 :catrun:
มารอพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่22 P24(080960)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 24-09-2017 14:08:49
รอพ่อเสือจอมเจ้าชู้ด้วยค่า  :z2:
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 24-09-2017 17:49:21
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่ยี่สิบสาม


อาการป่วยของกวางทองไม่ดีนัก และทำให้ข้อสงสัยของเทพเสือโคร่งภูผาพอกพูนมากขึ้น หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เจ้ากวางทองตัวน้อยที่นอนหลับอย่างยาวนานจึงลืมตาขึ้นมามองบิดา ส่งเสียงเล็กๆทักทายแต่ยังไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกเดิน

"เจ้ามันกวางทองติดพ่อเสือโคร่ง จนทำให้พ่อกวาง แม่กวางของเจ้าถึงได้น้อยใจอย่างนั้น เวลาข้าไม่อยู่ก็ต้องรู้จักเอาใจเขาบ้างรู้ไหม"

กวางทองส่งเสียงเล็กแสดงความรับรู้แล้วก็หลับตานอนต่อ
ผ่านไปสองเดือนกวางทองก็ยังทำได้เพียงพลิกตัวขึ้นมานอนหมอบกินผลไม้ที่นางเทพกวางสายลมนำมาให้ ผู้เป็นบิดาต้องพยายามอย่างมากเพื่อให้กวางทองขยับขาเพื่อให้มีเรี่ยวแรง
กระทั่งเข้าสู่เดือนที่สาม กวางทองตัวน้อยจึงพยายามจะลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง จากนั้นอีกนานนับสัปดาห์จึงสามารถก้าวเดินได้
ผู้เป็นบิดาที่รออยู่ถึงกับกำมือแน่น บังคับตนเองไม่เอื้อมมือออกไปช่วยพยุงเจ้าตัวเล็กมากอดไว้
แม้จะเพียงห้าก้าวที่เข้ามาหา แต่เทพเสือโคร่งภูผาก็ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความยินดี
เทพกวางสายฟ้าที่เป็นผู้รับหน้าที่นำผลไม้มาส่งถึงกับหยุดยืนมองด้วยความประหลาดใจ
"ท่านร้องไห้หรือ"
เทพเสือโคร่งภูผาที่ยังไม่หยุดร้องไห้หันมาบอก "กวางทองเดินได้ตั้งห้าก้าวแล้ว"
เทพกวางสายฟ้ากลั้นยิ้มจนเจ็บแก้ม เมื่อก้าวเข้ามาวางผลไม้ไว้ที่โต๊ะตัวเตี้ยในห้อง แล้วเดินกลับไปที่หน้าถ้ำเพื่อฝากให้เสือโคร่งผู้ทำหน้าที่รักษาปากทางของถ้ำยาช่วยไปแจ้งเรื่องให้นางเทพกวางสายลมรับทราบด้วย

เมื่อกลับเข้ามา เทพกวางสายฟ้ามองผู้ที่กำลังร้องไห้น้ำตาไหลพรากไปพร้อมกับการป้อนผลไม้ให้กับบุตรที่ไม่มีอะไรที่เหมือนกับตนเองสักอย่าง
ทุกสิ่งที่เทพเสือโคร่งผู้ทำลงไปล้วนพิสูจน์ถึงความรักที่ไม่มีขีดจำกัดอย่างแท้จริง

เทพกวางสายฟ้ารู้มานานว่าเทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้ชอบนางเทพกวางสายลม แต่มิกล้าที่จะล่วงล้ำเข้ามาในเขตเทพกวาง
ในวันหนึ่งของการบำเพ็ญเพียร เทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้กลับลักลอบออกมาล่อลวงนางเทพกวางสายลมออกจากเขตกวาง ไปไกลถึงเขตป่าสนทางทิศเหนือ ผ่านไปข้ามวัน นางก็กลับมาพร้อมกับกลิ่นไอของเสือโคร่งที่ผนึกอยู่ที่กายของนางอย่างชัดเจน
เทพกวางสายฟ้าแน่ใจ หากนางไม่มีใจให้ เทพเสือโคร่งภูผาย่อมไม่อาจบังคับนางได้
จนกระทั่งอีกหนึ่งเดือนถัดมา นางจึงเปิดปากเล่าเรื่อง และกล่าวด้วยว่า
"ข้าตั้งครรภ์แล้ว และไม่ว่าเขาจะออกมาเป็นเสือหรือกวาง ข้าก็ต้องการเขา"
ด้วยคำกล่าวนี้ เทพกวางสายฟ้าออกไปที่ป่าด้านนอก สาดสายฟ้าทำลายต้นไม้ใหญ่ไปหลายต้น จากนั้นเปลี่ยนร่างกลับไปอยู่ในร่างของกวางเทพนานจนกระทั่งนางเทพกวางคลอดบุตรออกมาเป็นกวางทองตัวน้อย
เพราะนั่นคือกวางทอง หาใช่ลูกเสือโคร่ง เทพกวางสายฟ้ายังพอมีเรื่องที่ให้กำลังใจตนเอง และรักเจ้าตัวเล็กอ่อนแอนั่นยิ่งกว่าบุตรของตนเอง

"กวางทองแข็งแรงขึ้นแล้ว ให้พวกเราดูแลเขาในระหว่างที่ท่านไปพักผ่อนดีหรือไม่"
"ไม่" ดวงตาสีเหลืองไม่ได้หันมามองอีกฝ่ายเลยสักนิด "ข้าจะดูแลเขาเองจนกว่าข้าจะวางใจ"
เทพกวางสายฟ้านับหนึ่งถึงสิบ "เช่นนั้น ข้าขอดูแลเขาสักครึ่งวัน ระหว่างที่ท่านไปกินอาหารให้อิ่ม อาบน้ำให้สะอาด และนอนหลับสักพักดีหรือไม่"
"ไม่"
เทพกวางสายฟ้านับหนึ่งถึงสิบอีกครา "งั้นพวกเราพากวางทองออกไปข้างนอก ข้าจะพาเขาไปเหนือลมระหว่างที่ท่านกินอาหาร รออยู่บนฝั่งระหว่างที่ท่านอาบน้ำและอยู่ใกล้ๆ ระหว่างที่ท่านนอนพักดีหรือไม่"
เทพเสือโคร่งภูผาคิดแล้วคิดอีก "นี่แสดงว่าสภาพข้าในตอนนี้มันต้องย่ำแย่จนท่านทนไม่ได้ถึงกับยื่นข้อเสนอพวกนี้ถึงสามรอบ"
เทพกวางสายฟ้าเม้มริมฝีปาก ขณะที่พยักหน้ายืนยัน

ในเมื่อเทพกวางสายฟ้าลดตัวลงมาขอร้องด้วยตนเองถึงขนาดนี้...
เทพเสือโคร่งภูผา ก้มลงหอมหน้าผากกวางทองตัวน้อย "ออกไปรับแสงแดด และสัมผัสยอดหญ้าบ้างก็ดีเหมือนกัน"

การยื้อชีวิตของกวางทองตัวน้อยไว้ใช้พลังไม่น้อย ในวันหนึ่งเทพเสือโคร่งภูผาก็ไปจนถึงขีดจำกัด และต้องเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรที่ยอดเขา แต่ก็ย้ำกับเทพกวางทั้งสองว่าหากกวางทองอ่อนแอลงก็สามารถเรียกให้มาดูแลได้ตลอดเวลา
เวลาผ่านไประยะหนึ่ง เทพเสือโคร่งภูผา ก็ลงมาดูสักคราหนึ่งแล้วก็กลับขึ้นไปใหม่ จากนั้นก็จะกลับลงมาอีก  นางเทพกวางสายลมรู้ว่าห้ามไปก็เท่านั้น จึงขอให้เทพเสือโคร่งภูผามาพบกวางทองในร่างของเทพเสือ เพื่อให้ไอของเทพเสือโคร่งปรากฎขึ้นก่อนที่จะมาถึง
"ท่านนึกจะมาก็มาเช่นนี้ ทำให้กวางตัวอื่นๆ ตกใจกลัว ทั้งกวางทองก็ยังไม่เปลี่ยนร่าง ในเมื่อท่านบำเพ็ญเพียรในร่างสัตว์เทพอยู่แล้ว ก็แวะมาเยี่ยมเขาในร่างนั้นจะดีกว่า"
เทพเสือโคร่งจะต่อรองอะไรได้นอกจากยอมรับ

เพียงแต่เมื่อการบำเพ็ญเพียรครั้งนี้สิ้นสุดลง เวลาก็ผ่านไปนานถึงเจ็ดปี
กวางทองแข็งแรงขึ้นจนสามารถอยู่ในร่างของมนุษย์ได้แล้ว ดังนั้นบรรดาเทพอาวุโสทั้งหลายจึงไม่มีเหตุที่จะมาแสดงความเห็นให้ปล่อยกวางทองไปได้อีก
หลังจากที่เฝ้าอยู่จนแน่ใจ เทพเสือโคร่งภูผาจึงออกจากป่าสีทองมาที่เมืองหลวง

ชายหนุ่มผู้นั้นสวมเครื่องแบบทหารองครักษ์ชั้นตรี ทั้งที่มีอายุเพียงยี่สิบสี่ปี
หากเปรียบกับในตอนที่จากมา คนผู้นี้สูงขึ้นมาก ไหล่กว้างขึ้น ก่อนหน้านี้มีพลังในเชิงยุทธ์ในระดับปานกลาง แต่ยามนี้กลับมีพลังยุทธ์ที่เพิ่มขึ้นไปอีก พาลให้นึกถึงคำถามที่บรรดาองครักษ์ทุกคนมักสงสัยอยู่เสมอว่า อาจารย์ของเฉินอวี้คือใคร
จอมยุทธ์ลึกลับที่เรียกว่าเทพเสือโคร่งภูผาแท้จริงคือผู้ใด

ขณะที่เฉินอวี้เป็นชายหนุ่มรูปงาม แต่เจ้าฮ่องเต้จางฉวนที่เดินอยู่ข้างกัน กลับยังไม่น่ามองอยู่เช่นเดิม
เมื่อทหารองครักษ์เฉินอวี้ตามเสด็จเข้าไปในห้องทรงงานส่วนพระองค์ด้านใน ก็พบว่าเทพเสือโคร่งภูผายืนรออยู่ในห้อง

"ไม่เจอกันนาน" ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งขึ้นก่อน "มีผู้บุกรุกป่าสีทอง หรือมีเทพสัตว์ป่าถูกหลอกลวงออกมาอีกหรืออย่างไร เจ้าถึงมาถึงที่นี่ได้"
เทพเสือโคร่งภูผายักไหล่ "กระเรียนขาว"
พระขนงเข้มขมวดแน่น "คราก่อนก็กระเรียนใช่ไหม"
"ใช่ เมื่อประมาณสิบปีก่อนเป็นกระเรียนโกเมนสีแดง" ดวงตาสีเหลืองกวาดตามองไปรอบห้องแล้วกลับมาหยุดอยู่ที่ฮ่องเต้ "เจ้าไม่ได้ต้องการยาอายุวัฒนะจากกระเรียน"
ทรงพยักพระพักตร์พร้อมรอยพระสรวล "เรารู้วิธีที่จะมีอายุยืนยาวโดยที่ไม่ต้องไปยุ่งกับป่าสีทองของเจ้า"
"กระเรียนขาวฝูงนี้ไม่ได้อาศัยอยู่ในป่าสีทองตลอดปี พวกเขาจะย้ายถิ่นระหว่างป่าสีทองกับเมืองทางใต้ แต่เมื่อหลายวันก่อนพวกเขากลับมาที่ป่าสีทอง และหัวหน้าฝูงเล่าเรื่องที่มีกระเรียนในฝูงสูญหายไปแล้วสามตัว ในช่วงสามปีมานี้"
"เมืองทางใต้หรือ" ทรงหันไปถามเฉินอวี้ "ตอนที่อยู่เมืองทางใต้ ได้ยินข่าวเรื่องนี้หรือไม่"
"ไม่มีกระหม่อม" เฉินอวี้ถวายคำตอบโดยที่ไม่ได้แสดงความเห็นเพิ่มเติม
 
เฉินอวี้รับฟังการสนทนาระหว่างฮ่องเต้กับเทพเสือโคร่งภูผาโดยที่ไม่ได้แสดงความเห็น แต่รู้สึกได้ว่า เรื่องที่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผามาที่นี่ อาจเพราะมาพบฮ่องเต้
การบำเพ็ญเพียรที่ใช้เวลานานกว่าเจ็ดปี และผลที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น
แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจที่จะยอมรับว่า เมื่อพบกันอีกครั้ง เทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้จะหลงลืมความรู้สึกที่ดีที่มีให้กัน แต่การที่อีกฝ่ายมิได้แม้แต่จะหันมามองนั่นกลับทำให้รู้สึกเจ็บปวด

มองข้าสักนิดได้หรือไม่
ยังไม่ต้องกล่าวถ้อยคำใดๆกับข้าก็ได้
เพียงนิดเดียว ให้ข้ารู้ว่าท่านจำข้าได้

เมื่อพระสุธารสในกาเริ่มเย็นลงเฉินอวี้จึงถือโอกาสออกไปเปลี่ยน เมื่อประตูห้องปิดลงจึงทรงรับสั่งถาม
"จำเขาไม่ได้หรือ"
เทพเสือโคร่งภูผาตอบด้วยน้ำเสียงหนัก ๆ "จำได้"
"จำได้ว่าเขาคือเฉินอวี้ หรือจำได้ว่ารักเขา"
ดวงตาสีเหลืองหันมามองฮ่องเต้ "เจ้ารู้เรื่องนี้"
ทรงพยักพระพักตร์ด้วยความยินดี "เจ้าคิดว่าหลายปีที่เจ้าไม่อยู่ พวกเราน่าจะสนิทกันมากขนาดไหน"
"อ้อ..." 
ฮ่องเต้จางฉวน ทรงย่างก้าวพระบาทช้าๆ เข้ามาหาแล้วโอบรอบเอวหนาไว้
"หลายปีก่อน มีเทพเสือโคร่งผู้หนึ่งมาบอกกับเรา ว่าจะกลับไปที่ป่าสีทอง เรารู้ว่าเทพเสือโคร่งผู้นั้นไม่ใช่ท่าน"
เทพเสือโคร่งภูผารับฟังเงียบๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสที่ใบหน้า
"แต่รู้สึกว่า เขาน่าจะอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลเฉินอวี้ เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่คิดว่าเฉินอวี้ไม่น่าจะรอดพ้นมาได้ แต่ก็รอดมาได้ทุกครั้ง"

ได้ยินเสียงเดินมาหยุดที่หน้าประตูห้อง เสียงของผู้ที่มาถึงประกาศชื่อและตำแหน่งของตน
สายพระเนตรจับจ้องดวงตาสีเหลืองที่สงบนิ่ง ขณะที่ยกตัวขึ้นจุมพิตที่ริมฝีปากหนา พร้อมกับเสียงประตูที่เปิดออก
ต่างไม่ได้หันไปมองผู้ที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง
แต่ความเงียบงันที่เกิดขึ้นทำให้รู้ได้ว่าคนที่ยืนอยู่ใบหน้าซีดเผือด ทั้งกำลังกลั้นหายใจ หรืออาจหยุดหายใจไปแล้ว
เมื่อทรงเลื่อนพระหัตถ์ที่ด้านหลังของเอวหนา คนผู้นั้นก็ค้อมตัว ปิดประตู แล้วหันหลังกลับออกไป

บ้านพักของเฉินอวี้เป็นบ้านพักหลังเล็กๆ ตั้งอยู่ภายในเขตที่พักของทหารองครักษ์ และไม่มีทหารรับใช้ มารดาจึงส่งคนรับใช้ชายผู้หนึ่งมาคอยซักผ้า ทำความสะอาด และเตรียมอาหารให้ทุกวัน จากนั้นก็จะกลับไป ค่ำวันนี้เฉินอวี้กลับมาถึงบ้านพักก็พบว่าอาหารมื้อค่ำจัดเตรียมอยู่ในกล่องเรียบร้อยแล้ว
เพียงแต่ยามนี้ไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด
เมื่อเดินไปเปิดหน้าต่างบ้านแทนที่จะได้พบเจอกับสายลมเย็น หรือกลิ่นหอมของดอกไม้ ก็พบเห็นแต่ฝาผนังของบ้านหลังถัดไป คนรูปงามถอนหายใจ เดินกลับเข้ามาในห้อง สายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามา เงาร่างสูงใหญ่ และไอเทพที่ปรากฎขึ้นทำให้รู้ว่าเป็นผู้ใด

เฉินอวี้หันกลับมามอง "ท่านเทพ...นายท่าน"
"จางฉวนส่งเจ้าไปทำอะไรที่เมืองทางใต้"
คนรูปงามหลับตาแน่น แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง "ไปคุมงานสร้างเขื่อนขอรับ"
"กี่ปี"
"ห้าปีขอครับ"
"ทำไมเขาถึงส่งเจ้าไป"
ดวงตาที่มองมาคล้ายถามว่าเหตุใดถึงไม่ไปถามฮ่องเต้ แต่เฉินอวี้ก็ยังต้องตอบคำถามนั้น "ฮ่องเต้สั่งประหารท่านเสนาฝู่ ผู้เป็นบิดาของพระสนมตำหนักสีฟ้า ด้วยเหตุยักยอกของกำนัล ข้าทัดทานไว้และสืบหาหลักฐานมายืนยันว่าของกำนัลเหล่านั้นถูกปล้นชิง เสนาฝู่พยายามที่จะนำมาคืนแล้ว หากจะมีความผิดก็คือการนำของกำนัลมาถวายล่าช้า มิใช่การยักยอก"
"เมื่อได้ของคืนมา ก็เรียกเจ้ากลับมาหรือ"
"หามิได้ขอรับ เหตุเกิดขึ้นในช่วงที่ข้าน้อยเพิ่งจบจากโรงเรียนองครักษ์ จากนั้นมีการกล่าวโทษเสนาบดีฝู่ ข้าน้อยใช้เวลาหนึ่งปีเพื่อหาหลักฐานมาแก้ต่าง เมื่อได้ของคืนมา และอภัยโทษเสนาบดีแล้ว พระองค์ให้ส่งข้าไปเมืองทางใต้ โดยให้กลับเข้ามารายงานตัวต่อพระองค์ทุกๆ หกเดือนในช่วงห้าปีนั้น เมื่อครบกำหนดแล้วข้าจึงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นองครักษ์ชั้นตรี"
"นับจนถึงวันนี้ เจ้ากลับมาจากเมืองทางใต้นานเท่าใด"
"หนึ่งปีขอรับ"
"เคยพบฝูงกระเรียนขาวในพื้นที่ป่า ที่สร้างเขื่อนหรือไม่"
เฉินอวี้ส่ายหน้า
เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า จากนั้นก็หยุดยืนมองนิ่งๆ แล้วหันไปมองที่โต๊ะอาหาร
"เจ้ากำลังจะกินข้าวหรือ"
เฉินอวี้อยากส่ายหน้าบอกว่าไม่หิว แต่อีกคนกลับเดินไปเปิดกล่องอาหาร แล้วดึงมือให้นั่งลงที่เก้าอี้ทางขวามือ
"นั่งลงสิ"
เฉินอวี้ไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจอีกฝ่าย และยิ่งไม่เข้าใจตนเอง เมื่อเทพเสือโคร่งภูผาคีบผักชิ้นหนึ่งป้อนจนถึงปาก
"ไม่ต้องป้อนหรอกขอรับ ข้าน้อยมิได้เจ็บป่วย"
"กินสิ"
ผักชิ้นหนึ่งรสชาติขมยิ่งนัก ข้าวคำเล็ก ก็ทำให้รู้สึกเจ็บร้าวที่หัวใจ เนื้อปลาก็ยิ่งทำให้หมดความรู้สึกอยากอาหาร พาลทำให้ขอบตาร้อนผ่าว
"นายท่าน ข้าน้อยอิ่มแล้วขอรับ"
แต่มือที่ถือตะเกียบคีบข้าวให้อีกคำยังไม่ลดลง เฉินอวี้อยากจะแย่งตะเกียบกลับมา แต่มือทั้งสองข้างก็ยกขึ้นมาได้แต่ขอบโต๊ะเท่านั้น
"นี่ใครมาเตรียมให้เจ้า"
"คนรับใช้ที่บ้านขอรับ" เมื่ออ้าปากพูดอีกคนก็ป้อนข้าวให้ทันที
"มาเตรียมไว้ให้แล้วกลับไปหรือ"
เฉินอวี้พยักหน้า รีบกลืนอาหารลงคอ "ขอรับ"
มือใหญ่คีบผักอีกชิ้น "เช่นนั้นก็สมควรกินให้อิ่ม คนทำให้จะได้ไม่เสียกำลังใจ"

ป้อนไปชวนคุยกันไปจนข้าวหมดถ้วย เทพเสือโคร่งภูผาก็บอกให้ไปอาบน้ำ และเตรียมตัวเข้านอน ส่วนตัวเองไปล้างถ้วยชามวางเรียงไว้
เฉินอวี้ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เห็นว่าอีกฝ่ายสวนเข้าไปในห้องน้ำ จึงเดินไปหยิบหนังสือมาอ่าน
ผ่านไปพักใหญ่ เทพเสือโคร่งภูผาจึงออกมาจากห้องน้ำ โดยสวมเพียงกางเกงนอนตัวหนึ่ง
"ขอยืมกางเกงตัวนี้ มันใหญ่ที่สุดในตู้เสื้อผ้าของเจ้า"
เฉินอวี้กัดริมฝีปาก แล้วพยักหน้า ไม่ได้กล่าวคำว่าอะไร
ไม่ได้บอกว่า เสื้อผ้าตัวใหญ่ทั้งหมดในตู้นั้น ผ้าปูนอนผืนใหญ่ในตู้เหล่านั้นคือของที่เตรียมไว้ให้ท่าน...
เทพเสือโคร่งภูผาวางเสื้อผ้าชุดเดิมไว้ที่หน้าห้องน้ำ แล้วเดินมานั่งมองคนที่ก้มหน้าอ่านหนังสือ
คนรูปงามก็ปล่อยให้มองอยู่ครู่หนึ่งจึงลุกขึ้น
"นายท่านจะนอนหรือยังขอรับ"
"นอนก็ได้"
เตียงนอนในห้องพักของทหารองครักษ์ชั้นตรี ไม่ได้เป็นเตียงกว้าง แต่เทพเสือโคร่งภูผาเดินไปเปิดตู้เก็บผ้าห่มมาปูที่พื้น แล้วนอนลง
เฉินอวี้ก็เดินไปนอนบนเตียงของตนเอง แต่พลิกตัวหันมานอนมองคนที่นอนอยู่ที่พื้น สักพักก็ลุกมานอนลงข้างๆ เทพเสือโคร่งภูผาพลิกตัวหันมาหา
ดวงตาสีเหลืองคู่นั้นที่มองมาว่างเปล่า
ไม่มีน้ำเสียงอ่อนโยนเจือปนอยู่ในถ้อยคำที่สนทนา
ทุกการปฏิบัติต่อกัน เป็นเพียงการเคลื่อนไหวไปในสิ่งที่ร่างกายจดจำได้
มิใช่หัวใจ...
ตอนที่ได้ยินเรื่องราวของท่านหญิงหนานกง แห่งเมืองจงพวน เฉินอวี้รับฟังด้วยความกังวลว่าสิ่งเหล่านั้นอาจมาถึงตนในวันหนึ่ง
จึงตั้งใจไว้ว่า เมื่อวันหนึ่งที่เทพเสือโคร่งจากไปก็พร้อมที่จะยอมรับว่าต้องกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน
และหากมีโอกาสได้พบหน้ากันอีกครา ก็ตั้งใจว่าจะลองเป็นฝ่ายไล่ตามอีกฝ่ายดูบ้าง
ในช่วงเวลาหลายปีมานี้ เฉินอวี้หัวเราะให้กับความคิดเพ้อฝันเหล่านั้นอยู่หลายครา

แต่....เมื่อเทพเสือโคร่งกลับมาจริงๆ กับภาพที่เห็นในห้องทรงงานส่วนพระองค์
มาจนถึงการที่เทพเสือโคร่งภูผาติดตามมาถึงที่นี่ การเคลื่อนไหวเหล่านั้น
ใช่ สมควรที่จะเรียกว่านั่นคือการเคลื่อนไหว
เพราะทั้งหมดนั้นไร้ซึ่งหัวใจ
เฉินอวี้เข้าใจความรู้สึกของท่านหญิงหนานกงอย่างชัดเจนแล้ว
เข้าใจแล้วว่า การที่เขาลืมไปแล้วว่ารักเรานั่นก็เรื่องหนึ่ง เพราะอย่างไรคนเราเมื่อคบหากันไปนานๆ วันหนึ่งความรักก็ย่อมจืดจางลง
คู่สามีภรรยามากมาย แม้ความรักห่างหายไป แต่ก็ยังมีความเป็นห่วงกันและกัน อยู่ด้วยกันอย่างเพื่อนสนิท
แต่ที่เกิดขึ้นกับตนในเวลานี้มันมิใช่
เทพเสือโคร่งภูผามิได้มีความรักต่อกันแล้ว
ดวงตาที่มองมาดั่งกำลังมองผ่านไปที่ไหนก็ไม่รู้
รอยยิ้ม คำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความใกล้ชิดเหล่านั้นไม่มีอีกแล้ว
แต่เขากลับยังทำดีต่อกันเหมือนวันที่รักกันท่วมท้นหัวใจ
ทั้งหมดนี้ช่างเจ็บปวดยิ่งนัก
เข้าใจแล้วว่า เหตุใดท่านหญิงแห่งเมืองจงพวนจึงเลือกความตาย....
เฉินอวี้ขยับตัวซุกหน้าลงกับท่อนแขนหนา บอกกับตนเอง ว่าเจ็บที่หัวใจ เจ็บที่ดวงตา น้ำตาจึงไม่อาจหยุดไหล

...จบตอนที่ยี่สิบสาม....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 24-09-2017 18:29:58
ประทับใจ ตอนที่ ยี่สิบสองและยี่สิบสาม มากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-09-2017 18:45:03
บางทีที่เทพเสือโคร่งเฉยเมย ส่วนหนึ่งเพราะออกจากฌาณ
หรือส่วนหนึ่งมาจากเฉินอวี้ ที่ทำตัวเฉยเมยก่อน
เพราะทำใจว่าจะเป็นเหมือนอย่างท่านหญิงจงพวน

ฮ่องเต้ กอดเอว จูบเทพเสือโคร่งเพื่อยั่วเฉินอวี้  o22
หรือเพราะชอบเทพเสือโคร่งซะเอง  o18
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 24-09-2017 21:39:53
สงสารคนงาม  :hao5:  :hao5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-09-2017 22:18:16
อ้าว
อ้าว
อ้าว

ฮ่องเต้น่าตีมาก ท่านเสือโคร่งภูผาก็น่าตี ทำเฉินอวี้เจ็บอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 24-09-2017 22:30:23
หา 'สามีใหม่' เถอะ ถ้าเขาไม่รักเราแล้ว :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 25-09-2017 07:38:22
หน้าที่ที่ดีที่สุดที่พ่อเสือทำคือการเป็นพ่อจริงๆ....เเต่สำหรับหน้าที่ของการเป็นสามีต้องปรับปรุงอีกนาน :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 25-09-2017 10:40:45

 :angry2: ฮ่องเต้นี่เจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยน เฉินอวี้เลยกลายมาเป็นผู้ถูกกระทำ
เจ็บปวดแทนกับการเรียกที่ดูห่างเหินแบบนั้นอีก โอ้ยยย อยากอ่านต่อตอนต่อไปแล้วค่า  :katai1:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 25-09-2017 15:05:01
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

แวะมาขอบคุณ  เดี๋ยวกลับมาอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 26-09-2017 16:48:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 30-09-2017 13:15:02
หมั่นไส้... อยากจะเกลียดพ่อเสือ ในความเป็นสามีแห่งทั่วหล้า
โชคดีที่พ่อเสือมีกวางทอง และเป็นพ่อที่แสนจะทุ่มเท  เราหยวนให้ก็ได้

ส่วนอีตาฮ่องเต้  ตอนเด็กไม่ได้กินนมแม่หรา 
นิสัยไม่ดี ชอบสร้างความร้าวฉาน หวาดระแวงให้กับคนอื่น
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 30-09-2017 14:24:13
 :hao4: :hao4:
มารอตอนใหม่
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 01-10-2017 20:25:38
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: swoooaa ที่ 01-10-2017 22:35:45
อยากให้คนงามทิ้งขวางพ่อเสือมั่งเหลือเกิน พ่อคนหล่อเลือกได้ หึยยยย :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 02-10-2017 14:01:21


 :ped149: เราเข้ามาดัน



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 02-10-2017 16:30:55
ไม่ชอบฝนตกเลย มันออกจะเงียบเหงา
 พ่อเสือมาเหอะ  เราให้อภัยแล้ว...
 :m13: :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 05-10-2017 16:39:59
อยากอ่านต่อแล้วค่า
 :catrun:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 05-10-2017 19:17:19
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 05-10-2017 23:25:51
 :katai5:
มารอพ่อเสือคนใจร้ายย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 06-10-2017 09:04:21


มายังๆๆๆๆ  :mew2:



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 06-10-2017 20:25:04
เอาจริงๆนะ คือสงสัยเรื่องชาติกำเนิดของกวางทองมาตั้งกะภาคโน้นนนแล้ว
ว่าเป็นบุตรของใครกันแน่ หรือ เป็นบุตรจริงๆของทั้งท่านเทพกวาง และ เทพเสือโคร่ง
 พอมาตอนนี้ กระจ่างแระ 5555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-10-2017 17:43:49
 :z10: :z10: :z10:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 07-10-2017 21:17:10
 :katai5: :katai5:
กระดืบๆๆ มานอนรอ
 :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 08-10-2017 13:35:59
พ่อเสือมาเหอะ
เราคิดถึง  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 08-10-2017 13:42:10
มารอเชียร์เเม่เล็ก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 08-10-2017 16:14:48
ตามทันละ อิอิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 08-10-2017 16:45:44
 :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 08-10-2017 22:27:19
หมั่นไส้พ่อเสือ...ขอให้ถูกสายฟ้าฟาดบ่อยๆ นิสัยจะได้ดีขึ้น  :angry2: :m16: :m31:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-10-2017 13:35:21


  o15   
รอ ร๊อ รอ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 09-10-2017 15:39:29
 :call :call:

จุดธูปเรียกพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่23 P25(240960)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 10-10-2017 13:46:27


 o9  มาไหมๆๆๆๆ


 :z13: มาเถ่อะพ่อ อยากอ่านแล้วววว
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 10-10-2017 17:36:09
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่ยี่สิบสี่


เฉินอวี้มีกำหนดที่จะต้องไปเข้าเฝ้าเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในวันนี้ตั้งแต่ก่อนเที่ยง จึงจำต้องเข้าวังไปในสภาพที่ใบหน้าซีดขาวจากการนอนไม่หลับ ดวงตาแดงก่ำ ทั้งบวมช้ำ
แต่นั่นทำให้ฮ่องเต้จางฉวนทรงมีพระอารมณ์ดีอย่างยิ่ง เสียงพระสรวลดังก้อง
"มีสภาพแบบนี้แล้วยังจะออกไปข้างนอกกับเราไหวไหม"
เฉินอวี้ค้อมตัวพร้อมรับคำสั่ง "ไหวพระเจ้าค่ะ"
"งั้นก็ไปกัน" เมื่อทรงมีรับสั่งก็ทรงพระดำเนินนำไปข้างหน้า "นัดกันไว้แล้วนี่ว่าจะไป ก็ต้องไป"

ฮ่องเต้ทรงมีกำหนดนัดที่จะต้องเดินทางไปอารามหลวงเพื่อหารือกับท่านอ๋องปราบตะวันออกจางหมิง ผู้มีศักดิ์พระมาตุลา ท่านอ๋องผู้นี้มีอายุมากกว่าห้าสิบปีแล้ว แต่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขามีการเคลื่อนไหวรวบรวมพรรคพวก ตั้งแต่เสนาบดี พ่อค้า ไปจนถึงยอดฝีมือในยุทธภพ เพื่อหวังแย่งชิงบัลลังก์
เมื่อครั้งที่ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ ทรงเสด็จไปพักอยู่กับท่านอ๋องผู้นี้เป็นเวลานานนับปี ซึ่งเป็นช่วงที่พระองค์ทรงเริ่มการศึกษาเกี่ยวกับการใช้พิษ
เมื่อผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้พิษสองคนมาพบกัน เรื่องนี้จึงน่าสนใจมากเลยทีเดียว

ขบวนเกี้ยวและม้าของฮ่องเต้เมื่อออกเดินทางจากประตูด้านข้างของพระราชวัง ดูไปแล้วมิได้แตกต่างจากขบวนม้าของเสนาบดีผู้หนึ่ง
รอบขบวนเกี้ยวมีนักดาบชั้นดีติดตามอยู่สองคน
ส่วนบรรดาราชองครักษ์ชั้นเอก และชั้นโท นอกเครื่องแบบเฝ้าตามเฝ้าอารักขาตลอดเส้นทาง
เฉินอวี้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบใช้ผ้าสีฟ้าปกปิดใบหน้าแล้วควบม้านำหน้าออกไปหลายก้าว กับยังมีองครักษ์อีกสองคนที่ใช้ผ้าปกปิดใบหน้าเช่นกัน ติดตามเกี้ยวมาทางด้านหลัง
เมื่อไปถึงอารามหลวง หลวงจีนรูปหนึ่งออกมาให้การต้อนรับแล้วนำทางเข้าไปด้านใน เพื่อพบกับผู้ที่รออยู่
ตลอดเวลาที่ทั้งสองสนทนากันต่างก็มิได้ดื่มน้ำชาสักหยด ไม่ได้สัมผัสสิ่งของใด ๆ เป็นเพียงการกอดอกสนทนากัน เกี่ยวกับผลประโยชน์ตอบแทน เหมือนที่เคยเป็นมา
แต่คราฮ่องเต้มิได้มีพระประสงค์ที่จะมอบผลประโยชน์ให้อีกฝ่ายอีกต่อไป เมื่อออกจากอารามหลวงเข้าสู่ป่าดอกท้อ ซึ่งยามนี้หาได้มีดอกท้อสักดอกในป่า เสียงกิ่งไม้สั่นไหว กลุ่มชายฉกรรจ์สวมชุดดำปกปิดหน้าตาพุ่งตรงเข้ามาหาเกี้ยว
กลุ่มราชองครักษ์ปรากฏกายขึ้นขัดขวาง นักฆ่าชุดแรกจึงหันไปหาองครักษ์ ตามมาด้วยชุดที่สองที่ตรงเข้ามาสมทบแต่ยังไม่ทันจะถึงตัวก็พบกับบรรดาราชองครักษ์อีกกลุ่มที่เข้าล้อมอยู่อีกชั้น
นักฆ่าฝีมือดีคนหนึ่งฟันม้าตัวที่เฉินอวี้ขี่อยู่จนล้มลง แต่ชายหนุ่มก็บั่นคอนักฆ่าผู้นั้นในเวลาเดียวกัน
องครักษ์รูปงามยืนขวางเกี้ยวตวัดดาบครั้งแล้วครั้งเล่า จนเมื่อเหตุการณ์สงบลง ผู้โจมตีถูกสังหารหมดสิ้น องครักษ์ทั้งหมดจึงคุกเข่าลงที่ด้านหน้าของเกี้ยว
"เฉินอวี้"
"พระเจ้าค่ะ"
"ไปพาจางหมิงมาหาเรา" จากนั้นรับสั่งให้องครักษ์ผู้หนึ่งไปหาม้ามาทดแทนม้าที่ถูกฆ่าตายอยู่ในที่นี่

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามเฉินอวี้ที่แบกอ๋องปราบตะวันออกจางหมิงอยู่บนหลังจึงกลับมาถึง เมื่อวางผู้มียศศักดิ์ใหญ่โตลงกับพื้นเบื้องหน้าเกี้ยว ฮ่องเต้จึงก้าวพระบาทลงจากเกี้ยวแล้วพยักหน้าให้เฉินอวี้คลายจุดให้อีกฝ่าย
มีบุญคุณจากการเลี้ยงดูนั่นก็เรื่องหนึ่ง ถือว่าหลายปีมานี้ชดใช้ไปมากกว่าที่ได้รับมาหลายเท่าตัว ส่วนเรื่องพยายามแย่งชิงบัลลังก์ก็เรื่องหนึ่ง และพระองค์ต้องการจัดการเรื่องนี้ให้สิ้นซากอย่างรวดเร็ว
ท่านอ๋องเหลียวมองรอบตัวด้วยความตื่นตระหนก "นี่มันอะไรกันจางฉวน"
"เราควรถามท่านต่างหากว่าคิดอะไรอยู่ หากของที่จัดส่งให้ยังไม่เป็นที่พอใจก็น่าจะบอกกันตามตรง"
ดวงตายาวเรียวมองไปที่ศพของบรรดานักฆ่าที่ถูกนำไปกองสุมอยู่ด้านข้าง
"นั่น..."
"ท่านมิได้ส่งพวกเขามาหรือ"
"ไม่ เจ้ากับข้าเพิ่งหารือกัน ทั้งเจ้ายังขนองครักษ์มาตั้งมากมายขนาดนี้ ข้าไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะทำเช่นนั้น"
องครักษ์สองคนช่วยกันนำอาวุธและตราเครื่องหมายที่บ่งชี้ว่าเป็นคนของอ๋องปราบตะวันออกมาวางไว้เบื้องหน้า
"เช่นนี้ ก็คงแสดงว่ามีคนที่เจตนาใส่ร้ายท่านสินะ" รอยแย้มสรวลที่น่าหวาดกลัวปรากฎขึ้นบนพระพักตร์ "เราขอเชิญท่านอ๋องเข้าไปพักในวัง และนัดให้ท่านอ๋องน้อยจางซิงมาคุยกับเราสักหน่อย"

เรื่องราวการกำจัดผู้ต่อต้านฮ่องเต้ในส่วนนี้ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับเฉินอวี้ เมื่อกลับมาถึงพระราชวัง เขากับองครักษ์ที่ได้รับบาดเจ็บก็แยกตัวออกไปพบแพทย์หลวง แล้วกลับไปพักที่กลุ่มเรือนพักขององครักษ์
อากังคนรับใช้ที่มารดาจัดส่งให้มาทำงานเสร็จแล้วและกำลังเตรียมตัวจะกลับบ้าน เมื่อเห็นว่าคุณชายน้อยกลับมาเร็วก็รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง  แต่เมื่อเห็นว่าว่าได้รับบาดเจ็บกลับมาก็มีสีหน้าแตกตื่นตกใจ เฉินอวี้บอกว่ามิได้เป็นอะไรมาก ทั้งไปพบแพทย์แล้ว อากังก็ถามต่อไปว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่
เฉินอวี้หันไปมองประตูห้องนอน แล้วส่งเงินให้อากังไปซื้อผ้าห่มหนาให้สักผืน
"ของที่มีอยู่ค่อนข้างบาง"
คนรับใช้ร้องอ้อ "บ่าวกำลังว่าจะถาม ว่าคุณชายน้อยเอาผ้าห่มมาปูพื้นหรือขอรับ วันนี้บ่าวเก็บเอาไปตากไว้ทั้งวัน พับวางไว้ในตู้แล้ว จะให้บ่าวไปเตรียมไว้เหมือนเดิมหรือไม่ขอรับ"
เฉินอวี้ปฏิเสธ "ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าทำเอง"
"งั้นถ้าคุณชายจะใช้ปูพื้นอีก ก็เอาเสื่อปูพื้นไว้ก่อนชั้นหนึ่ง แล้วค่อยปูผ้าหนาๆ หรือคุณชายต้องการพรมจากทางตะวันตก บ่าวจะไปเลือกมาจากร้านของคุณชายสาม"
เฉินอวี้ส่ายหน้า "ขอเป็นผ้าห่มหนา แล้วก็จ่ายเงินให้ท่านพี่ด้วย"
คนรับใช้กลับไปแล้ว เฉินอวี้จึงเข้าไปล้างคราบเลือด และเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้บาดแผลถูกน้ำ ทั้งที่อยากนอนแช่ในน้ำอุ่นสักครึ่งชั่วยามให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย จากนั้นจึงกลับออกมาเปิดหน้าต่างออกกว้างแล้วนั่งอ่านหนังสือ
ต่อให้บอกกับตนเองเป็นร้อยครั้งว่าไม่ควรรอ แต่เมื่อรู้สึกตัวก็คือการที่มือถือหนังสืออยู่ แต่ดวงตามองผ่านหน้าต่างห้องออกไปไกล

ด้วยความอ่อนเพลีย เฉินอวี้เอนตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับไป เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็คือผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่นั่งอยู่ที่เก้าอี้อีกตัว ใกล้จนเข่าเกือบจะสัมผัสกัน  แต่ดวงตาสีเหลืองที่มองมากลับเหมือนกำลังมองผ่านไปยังที่ห่างไกล หลังตรง ทั้งสองมือวางพักอยู่หน้าขา
ไม่รู้ว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อใด และนั่งมองเช่นนี้อยู่นานเพียงใดแล้ว
เฉินอวี้ขยับตัว แก้เก้อด้วยการจะรินน้ำชา แต่อีกคนรีบรินให้ก่อน
คนรูปงามกล่าวคำขอบคุณก่อนที่จะรับจอกน้ำชา ยิ้มบางขณะที่ก้มลงจิบ

นี่อาจเป็นโอกาสดีที่จะทำในสิ่งที่คิดไว้เล่น ๆ ว่าจะเป็นฝ่ายไล่ตามอีกฝ่าย หากได้พบกันอีกครา
การที่ท่านยังดีต่อกันเหมือนเดิม แสดงว่าข้ายังพอมีหวังใช่หรือไม่...

แต่เมื่อนอนกอดแขนใหญ่ไว้เหมือนที่ผ่านมาน้ำตาก็ยังคงไหล เฉินอวี้ร้องไห้จนปวดศีรษะ ไข้ขึ้นสูงจนต้องให้องครักษ์ที่มีที่พักอยู่ติดกันช่วยไปแจ้งลางานให้ด้วย 
และเมื่อขาดงานเป็นวันที่สาม ฮ่องเต้ถึงกับทรงเสด็จมาถึงเรือนพักขององครักษ์ด้วยพระองค์เอง
เมื่อมาถึงพระองค์ก็สำรวจไปทั่วบ้าน ก่อนที่จะทักคนป่วย
"เขาไม่อยู่หรือ"
เฉินอวี้ถวายคำตอบว่าไม่อยู่
"เช่นนั้น พรุ่งนี้เจ้าจะไปทำงานไหวหรือไม่"
"ไหวพระเจ้าค่ะ"
"ดี" ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง "อีกสามวันเราจะประหารครอบครัวของจางหมิงฐานก่อกบฎ และพยายามลอบปลงพระชนม์"

นับตั้งแต่ทรงครองราชย์ ทรงประหารคนไปมากมายเกินจะนับไหว หากจะเพิ่มครอบครัวของท่านอ๋องเข้ามาอีกสักครอบครัว ก็ไม่ได้เพิ่มเสียงร่ำลือว่าทรงโหดร้ายให้ดังไปมากกว่าเดิมสักเท่าใด แต่คงมีผลต่อบรรดาผู้สนับสนุนที่อยู่ในเมืองทางฝั่งตะวันออก
การปราบปรามท่านอ๋องปราบตะวันตกใช้เวลานานหลายปี แม้การลงมือกำจัดผู้นำจะรวดเร็ว แต่ก็ต้องเร่งกำราบผู้สนับสนุนมิให้เคลื่อนไหว
"เรื่องตรวจสอบทรัพย์สิน ยึดเข้าคลัง คงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน ระหว่างนี้ก็เลยอยากจะตั้งเจ้าเป็นรองแม่ทัพฝ่ายตะวันออก ตอนที่จะให้เจ้ายกกำลังไปเอาทรัพย์สินกลับมาจะได้ดูยิ่งใหญ่ อีกอย่าง เรากำลังคิดจะให้เจ้าสมรสกับองค์หญิงจื่อด้วย"
เฉินอวี้เลิกคิ้วสูง
"นี่คือรางวัลของเจ้า"
เฉินอวี้งุนงง องครักษ์ และต้นห้องที่รับใช้อยู่ใกล้ก็หันไปมองหน้ากันและกันด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน
ทหารและองครักษ์มากมายร่วมในการทำงานสำคัญนี้ ทุกคนล้วนลงมือไปตามแผนการที่วางไว้
หรือผลงานของเฉินอวี้จะมีบางสิ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษกว่าผู้อื่น
ย่อมมิใช่ มีแต่ในกลุ่มองครักษ์ของฮ่องเต้ และผู้รอดตายจากกลุ่มท่านอ๋องที่รู้ว่าเฉินอวี้คือคนที่ไปลักพาท่านอ๋อง ในกลุ่มองครักษ์ฮ่องเต้ย่อมไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ แต่ผู้รอดตายจากอีกฝั่งย่อมหาทางล้างแค้นเอากับเฉินอวี้
แล้วพระองค์ก็เลือกที่ยกเฉินอวี้ขึ้นมาวางไว้ที่แท่นสูงหน้าบ้านเพื่อให้ทุกคนเห็นได้ถนัดเสียอีก

องค์หญิงจื่อผู้นี้มีศักดิ์เป็นพระขนิษฐา ทรงมีชันษาสิบสี่ปีหากจะให้สมรสก็ทำได้ แม้จะมิใช่พระขนิษฐาพระองค์โปรด แต่หากจะถึงขั้นยกพระขนิษฐาให้ต้องถือว่าเป็นการลงโทษที่เกินไปสักหน่อย
แต่นี่คือฮ่องเต้จางฉวนซึ่งเฉินอวี้รู้ดีว่า บางเรื่องพูดว่ารู้ทันได้ แต่ไม่ใช่เรื่องนี้
 เฉินอวี้ทราบว่าพระองค์มีแผนจะส่งเขาเดินทางไปเก็บกวาดกลุ่มผู้สนับสนุนของท่านอ๋องที่อยู่ในกองทัพตะวันออก เรียกว่าโยนเข้าไปในถ้ำเสือกันเลยทีเดียว แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดจะต้องกลั่นแกล้งด้วยการเพิ่มศัตรูให้เขาอีกหนึ่งคนในวัง
ทหารองครักษ์เดนตายผู้หนึ่งได้รับพระราชทานพระขนิษฐาเป็นรางวัลจากการทำงาน แต่กลับหาญกล้ากล่าวคำปฏิเสธมีหรือจะรอดพ้นจากการล้างแค้นของสตรี
วังหลังที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี องค์หญิงจื่อต้องประสบกับเสียงนินทาว่าร้ายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และพระองค์ก็ย่อมมาลงที่เขาอย่างรุนแรง

เฉินอวี้คุกเข่าลง  "ขอได้โปรดลงพระอาญา เรื่องนี้กระหม่อมมิอาจรับได้จริง ๆ"
"ไม่รับเรื่องไหน"
"ทั้งสองเรื่องพระเจ้าค่ะ กระหม่อมทำงานตามหน้าที่ หาได้มีความโดดเด่นอันใด"
ทรงก้าวมาประทับยืนอยู่ข้างหน้าแล้วก้มพระพักตร์ลงมาหา
"เลือกมาอย่างหนึ่ง"
"ขอไม่สมรสได้ไหมพระเจ้าค่ะ"
"นี่เจ้าปฏิเสธพระขนิษฐาของเราหรือ ตำแหน่งพระญาติเชียวนะ"
เฉินอวี้โขกศีรษะกับพื้น "ขอได้โปรดพิจารณาลงพระอาญาด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ"
ดวงตายาวเรียว ตวัดหางขึ้นสูง
"ปฏิเสธที่จะแต่งงาน แต่ไม่ปฏิเสธตำแหน่งรองแม่ทัพใช่ไหม เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าไปรับหนังสือส่งตัวไปค่ายเมืองตะวันออก แล้วออกเดินทาง"

ช่างเถิด ในเมื่อกำลังจะต้องออกเดินทางอีกครั้ง คงสามารถหลีกเลี่ยงการถูกองค์หญิงและพระสนมผู้เป็นพระมารดาลงโทษไปได้ระยะหนึ่ง
และสุดท้ายเฉินอวี้ก็อดมิได้ที่จะถามตนเองว่า หากตอบรับไปจริงๆ เทพเสือโคร่งภูผาจะมีท่าทีเช่นใด
ความรักก็เป็นเช่นนี้หนอ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นก็ยังลากจูงเข้ามาคิดให้มันเกี่ยวข้องกัน

เมื่อทรงเสด็จกลับไปแล้ว อากังจึงเข้ามาในบ้านสีหน้าท่าทางดูกังวลที่คุณชายจะต้องเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้ง แต่เฉินอวี้ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ กล่าวว่ามิต้องเป็นกังวลแล้วเขียนจดหมายฝากให้นำไปมอบให้กับมารดา
เมื่ออากังกลับไป เฉินอวี้เดินไปปิดหน้าต่างรอบชั้นล่างของบ้าน พบจดหมายลับของฮ่องเต้ที่ซ่อนอยู่ใต้หนังสือหลังตู้ ในระหว่างที่ทรงทำเป็นสำรวจไปทั่วบ้าน เฉินอวี้เปิดอ่านในคืนนั้น แล้วท่องจำจนขึ้นใจจากนั้นก็เผาทำลายทิ้ง
คืนนั้นเช่นกันที่เทพเสือโคร่งภูผามิได้กลับมา และเฉินอวี้ก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะเปิดหน้าต่างห้องนอนแล้วเรียกเทพเสือโคร่งภูผาเหมือนในอดีต
เพราะหากเรียกแล้วมาก็ย่อมดีใจ
แต่หากเรียกแล้วไม่มา...

การเดินทางไปกองทัพฝ่ายตะวันออกใช้เวลาครึ่งเดือน ระหว่างทางเฉินอวี้พยายามเปลี่ยนความสนใจไปที่ภารกิจที่ทรงมอบหมาย แทนที่จะจดจ่ออยู่กับคำถามว่าเทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้นไปอยู่ที่ใด รู้หรือไม่ว่าตนกำลังเดินทางไปเมืองตะวันออกซึ่งอยู่ติดชายฝั่งทะเล
หรือที่ไม่ได้กลับมาพบกันเพราะไปอยู่ที่พระตำหนักหลังหนึ่งหลังใดในวังหลวง
ยิ่งบอกว่ามิต้องคิด ยิ่งใจจดใจจ่ออยู่กับหน้าที่  แต่เฉินอวี้ก็ยังคงเป็นเฉินอวี้ที่เมื่อรู้ตัวอีกทีก็คือกำลังมองหา และกำลังคิดถึง

ยามเมื่อสายลมเย็นสัมผัสใบหน้า ข้ารู้สึกถึงหยาดน้ำตาที่กำลังไหลอาบแก้ม
ยามเมื่อล้มตัวลงนอน ข้าขยับตัวหาไออุ่นจากคนผู้หนึ่ง
คนที่เข้าในชีวิตแล้วจากไปพร้อมกับสายลม....

กองทัพฝ่ายตะวันออก มีขอบข่ายการทำงานครอบคลุมสี่เมืองทางฝั่งตะวันออกของอาณาจักรไท่ชาง โดยมีสองเมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลและเมืองหลวง พื้นที่นี้จึงนับเป็นพื้นที่สำคัญด้านการค้าและแลกเปลี่ยน
แม่ทัพหม่าแห่งกองทัพฝ่ายตะวันออกก็เป็นผู้ที่มีความสำคัญเช่นกัน
กองทัพแห่งนี้มีผู้อยู่ในตำแหน่งรองแม่ทัพมากถึงสิบคน โดยหนึ่งในสิบคนนั้นคือหม่าหย่งผิงบุตรชายของแม่ทัพ อีกสองคนเป็นบุตรชายของรองแม่ทัพคนก่อน
ดังนั้นจึงเหลือนายทหารที่เติบโตในหน้าที่จนมาถึงตำแหน่งนี้อยู่เจ็ดคน โดยห้าในเจ็ดคนคือผู้ที่มีอายุมากกว่าสี่สิบปี
แต่มีทหารหนุ่มสี่คนที่อยู่ในตำแหน่งแม่ทัพน้อย แยกดูแลกองเรือในพื้นที่สองเมืองที่ติดทะเล
การจัดกำลังทหารของกองทัพฝ่ายตะวันออกมีความซับซ้อน เกี่ยวพันกันหลายชั้นจนก่อให้เกิดความขัดแย้งฝังลึก เป็นความขัดแย้งทั้งจากหน้าที่การงานและเรื่องส่วนตัว ที่กลายมาเป็นช่องว่างซึ่งฝ่ายปกครองและผู้มีอิทธิพลยื่นมือเข้ามาแทรกแซงได้โดยง่าย
อ๋องจางหมิง กับแม่ทัพหม่าซูเว่ยที่เฉินอวี้ต้องมาพบในวันนี้ ต่อหน้าพูดดีต่อกันเกรงใจกันตามตำแหน่งหน้าที่ แต่พอคล้อยหลังต่างก็หวาดระแวง ไม่เคยไว้วางใจกัน
และต่อให้ท่านอ๋องจะถูกประหารไปแล้ว แต่ผู้สนับสนุนก็ยังคงอยู่ กองทัพฝ่ายตะวันออกยังต้องเพิ่มการตรวจตราเฝ้าระวังมากกว่าเดิม
เมื่อมาถึง รองแม่ทัพเฉินอวี้เข้าไปรายงานตัวต่อแม่ทัพหม่าซูเว่ย ซึ่งมองหนังสือส่งตัวรอบหนึ่ง ก็พาไปที่เรือนพักประจำตำแหน่งด้วยตนเอง
บรรดานายทหารทั้งหมดของกองทัพล้วนมีที่พักอยู่นอกค่ายทหาร แต่เรือนที่พักซึ่งแม่ทัพหม่าจัดไว้ให้กับรองแม่ทัพเฉินอวี้นั้นตั้งอยู่ในค่ายทหาร
เรือนไม้แน่นหนาสองชั้นปลูกสร้างและตกแต่งอย่างงดงาม หันด้านหน้ามาทางถนน แต่ทางฝั่งขวาคือคลองขุด ที่ใช้ในการระบายน้ำ และปรับสมดุลยามน้ำขึ้นน้ำลง
ที่นี่มีคนที่พักอยู่ก่อนหน้าและเพิ่งย้ายออกไปเมื่อไม่นานมานี้
"ที่นี่มีคนพักอยู่ก่อนหรือขอรับ"
"หย่งผิงบุตรชายของข้าเอง"
รองแม่ทัพหม่าหย่งผิงผู้นี้มีอายุสามสิบปีแล้ว ทั้งยังอยู่ในตำแหน่งใหญ่พร้อมที่จะสานต่อตำแหน่งแม่ทัพจากบิดาได้ทุกเมื่อ กลับยอมสละที่พักให้กับผู้ที่มาใหม่อย่างเฉินอวี้ ทำให้ชายหนุ่มมีคำถาม
แม่ทัพหม่ากล่าวชี้แจง "ปกติเขาจะพักที่จวนแม่ทัพนอกค่ายทหาร ส่วนบ้านหลังนี้ปลูกไว้เป็นที่พักในตอนกลางวัน ถึงได้ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ หากต้องการอะไรเพิ่มเติมก็เรียกคนรับใช้ได้"
แม่ทัพหม่าแสดงท่าทีว่ายังมีเรื่องที่ต้องการคุยกันเป็นการส่วนตัว รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงบอกให้ทหารติดตามแยกย้ายไปพักผ่อน
ดั่งที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่ากองทัพฝ่ายตะวันออกนั้นซับซ้อน รู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่ว่าเรื่องใดที่จะออกจากปากต้องคิดให้รอบคอบก่อนเสมอ
"ม้าสื่อสารเดินทางมาถึงก่อนท่านครึ่งเดือน แจ้งเรื่องประหารครอบครัวของท่านอ๋องตะวันออก" น้ำเสียงของแม่ทัพบ่งบอกถึงความไม่สบายใจ 
แม้จะเป็นพระญาติชั้นผู้ใหญ่ที่เคยถวายการเลี้ยงดูฮ่องเต้เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ต่อมายังได้คุมกำลังคนกำลังทรัพย์มากมาย เมื่อถูกประหารด้วยข้อหากบฎกลับมิมีผู้ใดกล้าออกหน้ารับรอง แต่นั่นหมายถึงการเคลื่อนไหวในทางลับเพื่อต่อต้าน
แม่ทัพหม่าผู้อยู่ในพื้นที่กังวลเรื่องนี้ยิ่งนัก
ในตอนที่แน่ใจเรื่องอ๋องจางหมิงเตรียมก่อกบฎ เขาก็เลือกที่จะแสดงความภักดีด้วยการยืนอยู่ทางฝั่งของฮ่องเต้แล้ว  แม้จะตระหนักว่า ในช่วงที่อ๋องจางหมิงสร้างถนนเข้าสู่เมืองหลวง สกุลหม่าแห่งกองทัพฝ่ายตะวันออกจะถูกกำจัดออกไปจากเส้นทาง จนสิ้น
แต่ในวันที่อ๋องตะวันออกถูกประหารไปแล้วด้วยความรวดเร็วยิ่ง แม่ทัพหม่าก็ยังมีเรื่องให้ต้องกังวลต่อไปอีก เพราะไม่ชัดเจนว่าในการสอบสวนนั้น อ๋องตะวันออกและครอบครัวจะพาดพิงมาถึงพวกตนอย่างไรบ้าง หากฮ่องเต้จะทรงรับฟังคำชี้แจง หรือหลักฐานแก้ต่างนั่นก็ดีไป แต่หากไม่เปิดโอกาสให้โต้แย้งเหมือนในคราวท่านอ๋อง สกุลหม่าแห่งกองทัพฝ่ายตะวันออกก็คงสูญสิ้นเช่นกัน
“ตั้งแต่แรกมาจนถึงบัดนี้สกุลหม่ามีความภักดีต่อฮ่องเต้มาตลอด หากในวันหน้ามีเรื่องราวใด ก็ขอให้น้องอวี้ช่วยกราบทูลเพื่อขอเวลาให้พวกเราได้ชี้แจงเท่านั้น”
รองแม่ทัพเฉินอวี้ประสานมือมิได้กล่าวคำรับรองหรือให้คำมั่นใด
"เจ้าทำงานให้กับพระองค์มาหลายปี พระองค์วางใจให้เจ้าทำหน้าที่อะไร พวกเราล้วนทราบกันเป็นการภายใน แต่ที่นี่ก็มีคนของท่านอ๋องอยู่มิใช่น้อย ต้องระมัดระวังการเคลื่อนไหวให้มาก"
เฉินอวี้คลี่ยิ้มงามขณะที่กล่าวคำขอบคุณ และรับทราบความหมายที่แฝงอยู่ในประโยคเหล่านั้น จากนั้นจึงกล่าวถึงแนวทางการทำงานอย่างกว้างๆ
“เพื่อป้องกันการถูกนำไปกล่าวอ้างในภายหลัง และหากเกิดความผิดจะไม่พัวพันมาถึงท่าน ข้าและทหารผู้ติดตามขอการทำงานที่เป็นอิสระ และไร้ตัวตนในที่นี้”
“อิสระและไร้ตัวตนเช่นนั้นหรือ”
แม่ทัพหม่ายอมรับข้อตกลงนี้ พร้อมกับการยอมรับในใจว่า ที่คิดไว้ว่าเรื่องนี้มีความรุนแรงในระดับห้า ที่แท้มันอาจอยู่ในระดับสิบ
จากนั้นฐานะของรองแม่ทัพเฉินอวี้ในกองทัพฝ่ายตะวันออกก็เริ่มต้นด้วยความห่างเหิน และกลายเป็นความไม่น่าไว้วางใจเมื่อพิจารณาจากถ้อยคำที่นายทหารนำมารายงานว่ารองแม่ทัพเฉินอวี้และทหารติดตามมักจะหายไปประมาณสามถึงสี่วันจึงจะกลับมาพักที่เรือนพักในที่จัดไว้ ส่วนจะไปที่ใดนั้น ไม่มีผู้ใดทราบร่องรอย
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนมีทหารสองนายจากกองทหารส่วนพระองค์เดินทางมาถึงเพื่อเปลี่ยนสองนายแรกกลับไป จากนั้นอีกสองวันก็มีทหารมาสมทบอีกสองนาย
ผ่านไปอีกครึ่งเดือนทั้งหมดออกเดินทางไปที่กองเรือแล้วควบคุมตัวแม่ทัพน้อยผู้หนึ่งส่งตัวกลับไปที่เมืองหลวง
แม่ทัพหม่ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นก็เมื่อการส่งตัวแม่ทัพน้อยผู้นั้นกลับไปถึงที่หมายแล้ว และทหารจากเมืองหลวงเดินทางมาที่ค่ายทหารตะวันออกเพื่อแจ้งให้ทราบ
เป็นการแจ้งให้ทราบที่ทำให้แม่ทัพหม่ารู้สึกไม่พอใจ เพราะแม้จะรู้ว่านี่เป็นไปตามแผนที่ตกลงกันไว้ แต่อย่างน้อยเมื่อจะควบคุมตัวนายทหารคนสำคัญ ก็สมควรแจ้งให้แม่ทัพใหญ่ทราบ และยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อหัวหน้าผู้ตรวจการส่วนพระองค์เดินทางมาถึง
ตลอดชีวิตในการรับราชการแม่ทัพหม่าไม่เคยพบกับหัวหน้าผู้ตรวจการเฉินมาก่อน ซึ่งเมื่อคิดไปแล้วก็นับว่าแปลกอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับความซื่อตรงในการทำงานมาไม่น้อย รวมถึงเรื่องคนเขาว่ากันว่าหัวหน้าผู้ตรวจการแซ่เฉินผู้นี้ถูกชะตารองแม่ทัพเฉินอวี้อยู่มาก ถึงขนาดที่หากถูกอีกฝ่ายเย้าแหย่ก็ไม่ถือโกรธ
ชายสูงวัยผู้นี้มีสีหน้ามึนตึงโกรธขึ้งอยู่ตลอดเวลา ท่าทีจริงจัง พูดจาน้อยคำ แค่มาถึงแล้วนั่งลงแล้วจิบน้ำชา ก็สร้างความกดดันต่อผู้อื่นแล้ว
แม่ทัพหม่าที่มีเรื่องร้อนใจอยู่หลายเรื่อง จนนับไม่ถูกแล้วว่าควรจะแก้ไขเรื่องใดก่อนดี ได้แต่สร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเองว่า การทำงานด้วยความภักดีมาตลอดจะช่วยรักษาชีวิตไว้ได้ 
แม่ทัพหม่าผู้ยิ่งใหญ่ ยังคงก่นด่าเถ้ากระดูกของท่านอ๋องสมควรตายนั่น ตอนอยู่ก็มีแต่ปัญหา ตายไปก็ยังทิ้งเรื่องร้อนไว้ให้แก้ไข
ยังดีที่ในอีกชั่วยามถัดมารองแม่ทัพเฉินอวี้ก็กลับมาถึงค่ายทหาร แล้วตรงมาที่ห้องทำงานของแม่ทัพหม่าก่อนเป็นอันดับแรก
ความเหน็ดเหนื่อยของรองแม่ทัพเฉินอวี้กับนายทหารติดตามทั้งสี่คนปรากฎชัดเจน
"กองทัพขนาดใหญ่ ย่อมมีช่องว่างอยู่บ้าง ท่านแม่ทัพก็พยายามอย่างที่สุดแล้ว" รองแม่ทัพเฉินอวี้หันไปกล่าวกับหัวหน้าผู้ตรวจการเฉิน "ขอเวลาเขียนรายงานสักหนึ่งวัน" คนรูปงามหันมาหาแม่ทัพหม่า "ต้องขอยืมเครื่องเขียนของท่านด้วย"
"ไม่คิดจะพักสักหน่อยหรือ" หัวหน้าผู้ตรวจการเฉินยังอยากแสดงท่าทีข่มขู่แม่ทัพอีกสักเล็กน้อย

...นี่คือแม่ทัพหม่าผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ หากพลาดโอกาสนี้ไป ก็จะไม่มีโอกาสอีกเลยตลอดชีวิต

รองแม่ทัพเฉินอวี้หัวเราะ เดินเข้าไปกล่าวกับหัวหน้าผู้ตรวจการเฉิน “การแกล้งท่านคือการพักผ่อนของข้าแล้ว”
“เหอะ” ผู้ตรวจการโบกมือ “ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นของเล่นของท่านรองแม่ทัพ”
แทนที่จะกล่าวคำว่ามิกล้า แต่รองแม่ทัพเฉินอวี้กลับประสานมือ “ระหว่างที่เด็กน้อยเขียนรายงาน รบกวนท่านผู้เฒ่าเตรียมพร้อมให้ดี”
จากนั้นก็หันไปหารองแม่ทัพตะวันออกหม่าหย่งผิง ผู้เสนอให้ใช้ห้องทำงานของตนที่อยู่ถัดไป โดยมีเพียงช่องประตูคั่นอยู่เท่านั้น
“รบกวนแล้ว”
รองแม่ทัพหนุ่มกล่าวด้วยความเกรงใจ "น้องอวี้มาประจำที่นี่หลายเดือนแต่พวกเรายังมิได้จัดห้องทำงานให้ รู้สึกเกรงใจจริง ๆ"
"มิได้” ที่ผ่านมารองแม่ทัพเฉินอวี้ก็ใช้ห้องทำงานที่เรือนพักเพื่อเขียนหนังสือ หรือคำสั่งต่างๆ อยู่แล้ว “ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการเฉินตั้งใจมาด้วยตนเองเพื่อสร้างความกดดันกันขนาดนี้ แสดงว่านี่เป็นเรื่องร้อนที่สมควรจัดการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว" 
หัวหน้าผู้ตรวจการเฉินได้ยินคำกล่าวนั้นเต็มสองหู จึงตะโกนโต้ตอบออกมาในทันที "ข้าได้ยินนะ"
รองแม่ทัพทั้งสองคนหันมาหัวเราะให้กัน
แม่ทัพหม่าผู้ยิ่งใหญ่ส่ายหน้าให้กับตนเอง ตั้งแต่ท่านอ๋องถูกประหารทั้งตระกูลตนก็กลายเป็นตาแก่คิดมาก ระแวงไปทุกสิ่ง สมควรมอบตำแหน่งนี้ให้กับบุตรชายในเร็ววัน มิเช่นนั้นกำลังพลทั้งกองทัพและชาวเมืองคงได้มีอาการขวัญผวาตามไปด้วยเป็นแน่แท้
หัวหน้าผู้ตรวจการหันมาเห็นแม่ทัพกำลังใช้หมัดทุบหน้าผากตนเองเบาๆ ก็หันมากระแทกเสียงใส่หนึ่งครา
“ใครทำอะไรไว้ก็ได้รับผลตามนั้น จะเคร่งเครียดไปใย”

รองแม่ทัพเฉินอวี้ใช้เวลาเขียนรายงานอยู่เพียงครึ่งชั่วยามก็เสร็จสิ้น จากนั้นก็ถือออกมาพร้อมกับจดหมายอีกหนึ่งฉบับเพื่อไปถวาย
"ถือว่าเสร็จงานแล้วใช่ไหม" หัวหน้าผู้ตรวจการเฉินเก็บรายงานและจดหมายใส่กล่องไม้ใส่กุญแจ จากนั้นแม่ทัพหม่าจึงนำไปเก็บซ่อนไว้ที่ช่องทางลับหลังภาพวาดในห้องทำงานใหญ่ของตนเอง
แต่แม่ทัพหม่ายังมีกล่องไม้ที่เหมือนกันอีกใบถือออกมาส่งให้กับทหารคนสนิทที่รออยู่ด้านนอก
"เอาไปเก็บไว้ก่อน แล้วตามไปที่จัดเลี้ยง"

แต่แรกนั้นแม่ทัพหม่าจัดเตรียมร้านสุราหรูหราในเมืองเพื่อจัดเลี้ยงต้อนรับหัวหน้าผู้ตรวจการณ์เฉิน แต่ทันทีที่รองแม่ทัพเฉินอวี้ก้าวเข้ามาในห้องทำงาน แผนสำราญในเมืองก็ต้องยกเลิกไป กลายเป็นการจัดเลี้ยงเรียบง่ายภายในค่ายทหารแทน
ก็นี่คือใคร
เขาคือรองแม่ทัพเฉินอวี้ คนโปรดของฮ่องเต้ ผู้หาญกล้าปฏิเสธการสมรสกับพระขนิษฐา เป็นผู้แสดงตนชัดเจนว่า มีเป้าหมายในการทำงาน และปฏิเสธการดื่มสังสรรค์
ที่เมืองหลวงเขาดื่มกับเพื่อนของเขาเมื่ออยู่นอกเวลางาน ไม่เคยห้ามผู้ติดตาม หรือลูกน้องจะดื่มกิน หรือไปเที่ยวสตรี
แต่ไม่ใช่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่
แม่ทัพหม่าพาหัวหน้าผู้ตรวจการเฉินและรองแม่ทัพเฉินอวี้ไปยังสถานที่จัดเลี้ยง ซึ่งก็คือบริเวณลานฝึกที่มีการตกแต่งไว้อย่างสวยงาม
รองแม่ทัพเฉินอวี้ หันไปเลิกคิ้วสูงถามท่านหัวหน้าผู้ตรวจการเฉิน "ไม่มีสตรี"
"เพ้ย" ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการโบกมือด้วยสีหน้าเคร่งเครียดเช่นเดิม "ทีแรกแม่ทัพหม่าก็จะพาข้าออกไปข้างนอก แต่เจ้ากลับมาเสียก่อน เลยต้องย้ายมาที่นี่"
รองแม่ทัพเฉินอวี้หัวเราะเสียงดัง "ขอโทษจริงๆ"
"เพราะอย่างนั้น คราวนี้เจ้าต้องดื่มชดใช้ให้ข้า" ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการเฉินชี้หน้า ทั้งที่กำลังยิ้มกว้าง
...คนผู้นี้ ต่อให้กำลังยิ้มกว้างก็ยังดูเคร่งเครียดอยู่เช่นเดิม ช่างเป็นผู้ที่ทำงานได้เหมาะสมกับ 'ใบหน้า' เสียจริง
แม่ทัพหม่ากล่าวขึ้นบ้าง "เสร็จจากดื่มกินที่นี่ก็เข้าไปในเมืองได้"
"ไม่ต้องหรอก" ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการหันไปกล่าวกับเจ้าของบ้าน "อายุมากแล้ว ไม่สามารถดื่มกินต่อเนื่องเหมือนเมื่อครั้งยังหนุ่ม"
"แต่ถ้าอยู่ต่อ ก็ไปพรุ่งนี้ได้" รองแม่ทัพเฉินอวี้กล่าวรู้ทัน
"เกลียดเจ้าเด็กแซ่เดียวกันกับข้าคนนี้จริง ๆ"
เสียงหัวเราะผ่อนคลายของแม่ทัพใหญ่ บ่งบอกว่าแรงกดดันที่กดทับมานานหลายชั่วยามสลายไปแล้ว


(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 10-10-2017 17:37:24
(ต่อ)

การดื่มกินผ่านไปได้พักใหญ่ รองแม่ทัพเฉินอวี้ก็ขอตัวกลับไปพักผ่อน โดยอ้างว่าเผื่อให้ท่านผู้ตรวจการได้ออกไปยังสถานที่ที่ชื่นชอบ
แต่ทุกคนในที่นี้ต่างรู้ดีว่า เป็นเพราะรองแม่ทัพผู้นี้ไม่ชอบการจัดงานเลี้ยงใหญ่โต เท่าที่นั่งอยู่ด้วยกันประมาณหนึ่งชั่วยามต้องนับว่าเป็นโอกาสพิเศษมากแล้ว
ตั้งแต่นิสัยส่วนตัวไปจนถึงวิธีการทำงานของรองแม่ทัพเฉินอวี้ ล้วนมีแต่ข้อด้อยที่จะทำให้เป็นที่เกลียดชังมากกว่าเป็นที่รัก 
ซึ่งก็เหมาะสมกับที่ฮ่องเต้มีพระประสงค์จัดวางตำแหน่งของเขาไว้มาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ
แต่มันก็น่าแปลกที่ยิ่งเขาวางตัวห่างเหินจากผู้อื่น เขากลับได้รับความชื่นชมจากคนมากมาย
ยิ่งโดดเดี่ยวมากเท่าใด บรรดาผู้กล้าเหล่านี้ก็กลับยิ่งชื่นชมและไว้วางใจเขามากขึ้นเท่านั้น

รองแม่ทัพหม่าหย่งผิงเดินตามมาส่งพอให้พ้นจากเขตงานเลี้ยง รองแม่ทัพเฉินอวี้ก็หันไปขอบคุณ และกล่าวว่าสามารถเดินกลับไปที่เรือนพักเองได้
"ข้าทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จไปเรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีพระบรมราชโองการให้กลับไปคงต้องรบกวนพี่หม่าอีกนาน ดังนั้นขออย่าได้เกรงใจไป"
รองแม่ทัพหม่าพยักหน้า อีกฝ่ายจึงกล่าวต่อ "ขอบคุณที่ช่วยสนับสนุนการทำงาน หากมิได้ท่านช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง คงไม่สำเร็จได้โดยรวดเร็วเช่นนี้"
รองแม่ทัพพม่าผู้นี้ คือผู้ที่ลอบเป็นสายส่งข่าวให้กับทางวังหลวงมาโดยตลอด โดยผู้เป็นบิดามิได้ล่วงรู้ ปล่อยให้เครียดจนกินมิได้นอนมิหลับมาหลายวัน เพราะกังวลว่าจะถูกซัดทอด
รองแม่ทัพเฉินอวี้ประสานมือแสดงความขอบคุณอีกครั้งแล้วเดินกลับมาที่เรือนพัก พบว่าทหารรับใช้ที่รีบล่วงหน้ามาถึงก่อนเตรียมน้ำอาบไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มจึงไล่ให้กลับไปดื่มกินในงาน
แต่ขณะที่เตรียมตัวจะเข้านอน มีสายลมเย็นพัดผ่านหน้าต่าง ชายร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งปรากฎตัวขึ้นต่อหน้า
หัวใจกระตุกดั่งจะหลุดออกมาอยู่ข้างนอก รองแม่ทัพเฉินอวี้คลี่ยิ้มงาม ขณะที่หยาดน้ำตารื้นด้วยความยินดี
...ในที่สุดท่านก็มาสักที...
คนรูปงามเดินเข้าไปหา เขย่งปลายเท้าแล้วจูบที่ริมฝีปาก
เฉินอวี้มิได้หลับตาเมื่อจูบเทพเสือโคร่งภูผา จึงมองเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
แน่ใจว่า เมื่อคนผู้นี้ปรากฎกายขึ้นต่อหน้า ดวงตาคู่นั้นไร้ความรู้สึก เมื่อแตะสัมผัสริมฝีปากนั้นเย็นชืด จากนั้นก็เริ่มอ่อนนุ่มและจูบตอบ เอวบางถูกโอบรัดแน่น
ทั้งที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน แต่กลับมาเป็นฝ่ายที่ถูกรุกไล่จนมุมอย่างง่ายดาย ริมฝีปากและลมหายใจทั้งหมดถูกช่วงชิง 

"อวี้เอ๋อร์" น้ำเสียงเรียกขานที่อ่อนโยนจากริมฝีปากที่ติดแก้ม ทำให้ต้องเบี่ยงใบหน้าออกมามองดวงตาสีเหลืองคู่นั้นให้ชัดขึ้นกว่าเดิม
"อวี้เอ๋อร์ของข้า"
หยาดน้ำตาเอ่อล้นดวงตาคู่งาม หลากอาบแก้ม เมื่อคนงามพยักหน้าตอบรับน้ำตาก็หยดกระทบเสื้อ
ข้าคืออวี้เอ๋อร์ของท่านมาตั้งแต่แรกพบจนถึงวันนี้
ข้าหัวเราะได้ก็เพราะท่าน
ร้องไห้มากมายก็เพราะท่าน
เดินดุ่มไปในความมืดมนไม่รู้เหนือใต้ ก็เพราะนี่คือทางที่ท่านวางข้าไว้
ทั้งหมดนี้หากมิใช่เพราะข้าเป็นของท่าน แล้วจะเรียกว่าอะไร
รักแต่ท่านเพียงผู้เดียว
เป็นคนของท่าน เป็นอวี้เอ๋อร์ของท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น

เทพเสือโคร่งภูผาไม่เคยเข้าใจว่าสมองและหัวใจของตนเล่นตลกอะไรกัน จะในเวลานี้ หรือในอีกห้าสิบปีข้างหน้าก็ไม่เคยเข้าใจ
เพราะแน่ใจว่า มิได้หลงลืมเฉินอวี้ ไม่เคยเลย มิเช่นนั้นจะตามกลับมาหาถึงที่พักและคอยดูแลได้อย่างไร
ส่วนเรื่องความรู้สึกรักมันจะไปหลบซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งในหัวใจ แต่ทุกอณูของร่างกายกลับจดจำการดูแลปรนนิบัติอีกฝ่าย จดจำได้แม้การติดตามเฝ้ามองใบหน้างดงามนั้น
เขามักจ้องมองใบหน้านั้น มองเขาไม่ว่าจะในยามหลับหรือตื่น
เรื่องนี้แตกต่างจากคราวของท่านหญิงหนานกง ที่เทพเสือโคร่งภูผามีแต่ความรู้สึกผิด และละอายใจ จึงต้องการหลีกเลี่ยง
แต่กับเฉินอวี้นั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเทพเสือโคร่งภูผาไม่ขัดขืนสัญชาติญาณของตนเองที่จะเฝ้าติดตามอีกฝ่าย เฉินอวี้ใจเย็นพอที่จะไม่ได้เร่งรัดที่จะรื้อฟื้นความรู้สึกที่หายไป ไม่ได้ทวงถาม ตัดพ้อหรือต่อว่า ปล่อยให้ความเคยชินของทั้งสองคนเป็นสิ่งนำทาง
ทั้งที่เจ็บปวด แต่ก็ไม่คิดที่จะกล่าวถ้อยคำคร่ำครวญ

คนที่นอนอยู่เคียงกันกำลังร้องไห้ เจ้าจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใจหรือ
รู้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาร้องไห้ แต่มันก็เหมือนยังมีกำแพงหนาที่บดบังสมองและหัวใจไว้ หน่วงรั้งแขนไม่ให้ยกขึ้นมากอด ปิดปากไว้ไม่ให้กล่าวคำปลอบใจ
แต่จูบนี้ของเฉินอวี้กลับพัดพากำแพงหนานั้นให้สลายหายไปในทันที ปลดปล่อยเจ้าตัวความรักที่อยู่หลังกำแพง วิ่งออกมาแล้วร้องตะโกนใส่หน้า
'คนนี้ไงเจ้าโง่ คนที่เจ้ารักเขา คนที่บังคับให้เขารักเจ้า และเจ้าก็ทำให้เขาร้องไห้แทบตาย เจ้าโง่!'
ใช่ข้ามันโง่ และเลวมากที่ทำให้เขาร้องไห้ ทอดทิ้งให้เขาผจญกับแผนการวุ่นวายของฮ่องเต้จางฉวนอยู่ผู้เดียวมาเป็นเวลานาน
เฉินอวี้โอบรอบไหล่กว้างรับจูบย้ำที่ริมฝีปาก ไม่มีคำพูดใดนอกจากการจูบที่ดูดดื่ม
มือใหญ่ที่สัมผัสแผ่นหลัง และพยายามจะถอดเข็มขัดออก
"อวี้เอ๋อร์ ขอข้าสัมผัสเจ้าได้ไหม"
อวี้เอ๋อร์ของเทพเสือโคร่งภูผา ช่างใสซื่อในเรื่องความรัก คิดไม่ทันว่าจู่ๆ เหตุใดเทพเสือโคร่งภูผาจึงเปลี่ยนไปในฉับพลันทันที
เทพเสือโคร่งภูผาเองก็ไม่เคยรอคำตอบ เสื้อนอนของรองแม่ทัพก็พ้นไปจากร่างกาย ตามไปด้วยกางเกงชั้นใน
ดวงตางดงามยังมีน้ำตาคลอ ขณะที่มีแต่ความไม่เข้าใจ
"ดะ เดี๋ยว"
เวลานี้เราควรแสดงความยินดีที่ท่านจำข้าได้ เรียกข้าว่าอวี้เอ๋อร์มิใช่หรือ
ริมฝีปากหนาจูบปิดคำค้าน
คนรูปงามเติบโตจากหนุ่มน้อย กลายเป็นคนรูปงามที่รูปร่างสมส่วน กล้ามเนื้อไหล่ และแผ่นอกที่แน่นมือ ยิ่งกระตุ้นให้บีบคลึง ริมฝีปากหนากดจูบที่เหนือกล้ามเนื้ออก แต่ยังไม่เป็นรอยสมใจยิ่งเพิ่มรอยฟันลงไปแล้วเปลี่ยนเป็นปลายลิ้นโลมเลียที่ยอดอก
ยิ่งคนที่อยู่ใต้ร่างตอบรับด้วยลมหายใจขาดห้วง ก็ยิ่งตวัดปลายลิ้นแล้วดูดแรง
"พอ พอแล้ว" ความสามารถนี้ เกินกว่าที่คนรูปงามจะทนไหวต้องร้องขอ แต่มีหรือที่อีกฝ่ายจะยอม
อกข้างหนึ่งถูกโจมตีด้วยปลายลิ้น สลับกับริมฝีปาก อีกข้างหนึ่งถูกโจมตีด้วยมือและปลายนิ้วที่บีบส่วนปลาย
รองแม่ทัพเฉินอวี้ผู้หาญกล้า ถูกโจมตีจนแตกพ่าย สะอื้นไห้ขอความเมตตา
มือใหญ่ที่บีบเค้นอก เลื่อนลงมาหาแก่นกายชูชัน สัมผัสตั้งแต่ส่วนปลายลงไปหาผลแฝด เรื่อยลงไปช่องทางด้านหลัง คนรูปงามลืมตาโพลง รีบผลักอีกคนออกทันที
"ไม่"
แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว สายเกินไปที่จะหยุดมือ เทพเสือโคร่งภูผาเลื่อนมือจากทางด้านหลังมากอบกุมที่ด้านหน้า ยกตัวขึ้นมาจูบปากและใบหู
"สัมผัส เหมือน ก่อนนี้ ไม่ ด้านหลัง" รองแม่ทัพตะกุกตะกักอ้อนวอน ปราศจากความกล้าหาญ ฮึกเหิมอย่างสิ้นเชิง
"เรียกท่านพี่ก่อน"
คนรูปงามกระพริบตามอง มือใหญ่ก็เลื่อนลงไปด้านล่าง
"ท่านพี่"
"เรียกอีก"
"ท่านพี่"
"ไม่เอาสิ เรียกหวาน ๆ น่ะ"
คนรูปงามใบหน้าแดงจัด
"ท่านพี่" น้ำเสียงนั้นอ่อนหวานยิ่งนัก ใบหน้ายามเขินอายก็งดงามยิ่งนัก
ยังมีอะไรที่เกี่ยวกับคนผู้นี้ที่ไม่พาให้หลงใหลอีกหรือไม่
เทพเสือโคร่งขยับตัว คว้ามือที่อีกคนให้มาจับที่แก่นกายร้อนของตนเอง
น้ำเสียงที่กระซิบบอกอีกคนเต็มไปด้วยความต้องการ "เรียกข้า และทำให้ข้า อวี้เอ๋อร์ ข้าต้องการเจ้ามากเกินกว่าที่จะปล่อยเจ้าไปในคืนนี้"
คนรูปงามทำตามอย่างว่าง่าย
....จนถึงขนาดนี้แล้วยังจะคิดว่าข้าไม่ต้องการท่านอีกหรือ...
เทพเสือโคร่งภูผาที่กลับมาในครั้งนี้ มีความต้องการมากเกินกว่าที่ร่างกายของเขาจะรับไหวจริง ๆ
เวลาผ่านไปจนใกล้รุ่งเช้าเฉินอวี้หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อถูกชักนำให้ปลดปลอยครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่คนตัวใหญ่กลับนอนตะแคงข้างมองคนรูปงาม

นานมาแล้วที่เจ้าศิลาดำก็เตือนแล้วเตือนอีกว่าเวลาจะหลับนอนด้วยกันต้องอย่าลืมน้ำมันหอม เพื่อใช้เตรียมความพร้อมให้กับอีกฝ่าย แต่นี่เพราะเจ้ากำแพงประหลาดนั่นแท้ๆ ทำให้ลืมไปเสียได้ ไม่อย่างนั้น....
รอยยิ้มชั่วร้ายลามกกดลึกที่มุมปาก
...มันน่าโมโหตัวเองจริง ๆ

....จบตอนที่ยี่สิบสี่....
พ่อเสือมันร้าย

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 10-10-2017 19:03:36
ฮ่องเต้ วางแผนร้ายกาจ
รู้ทั้งรู้ว่าพ่อเสือเกี่ยวข้องกับเฉินอวี้
ยังจะให้เฉินอวี้ รับพระขนิษฐา ไปแต่งงาน  :fire: :fire: :fire:
ก็ว่าและ ว่าเฉิน ไม่แต่งงานแน่ๆ

คิดๆอยู่ว่าพ่อเสือต้องมาหาเฉินอวี้แน่ๆ
แล้วก็มาจริงๆ
ถถถถถถถ พ่อเสือ ไม่น่าลืมน้ำมันหอมเลย  :z3: :z3: :z3:
พ่อเสือ เฉินอวี้      :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-10-2017 19:48:36
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 10-10-2017 20:34:24
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 10-10-2017 21:05:20
ครึ่งแรกของตอนนี้เจ็บปวด ครึ่งหลังดี๊ดี
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-10-2017 22:54:00
ฮ่องเต้นี่ไม่น่ารักเลย
พ่อเสือมาปลอบคนงามตัวน้อยแล้วววว
สมน้ำหน้า ทำเขาร้องไห้ อดไปซะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 11-10-2017 03:28:10
พ่อเสือ return   :hao3:  :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 11-10-2017 04:02:30
ตอนที่แล้วพ่อเสือลืม  :z6:
พอตอนนี้มาเรียก...อวี้เอ๋อร์...ท่านพี่ช่างเรียกร้องเหลือเกินนะคะ  :m16:
แต่ดันลืมน้ำมันหอมเสียได้...สมน้ำหน้า  :m20:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 11-10-2017 09:19:02


เป็นฮ่องเต้ที่เห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์แบบไม่อาจบรรยายได้หมดจริงๆ



ดีนะ ที่พ่อเสือจำได้สักที  :mew6: สงสารอวี้เอ๋อร์ ตอนที่แล้วมากๆ
นึกเลยว่าถ้าไม่ใช่เฉินอวี้พ่อเสือก็ต้องเจอเหตุการณ์แบบท่านหญิงหนานกงซ้ำๆ
แต่นี่ก็แอบสงสัยไปอีกว่า แม่เล็กคนนี้พ่อจะหยุดหรือเปล่า  :hao5:




อวี้เอ๋อร์คนงาม ปล่อยให้พ่องุ่นง่านไปอีกสักเดือนหลังจำได้ก็น่าดีจะนะ  :hao3:




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 11-10-2017 16:36:59
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

ยังไม่สะดวกอ่าน  เดี๋ยวแวะมาใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 11-10-2017 17:23:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 11-10-2017 20:05:45
 :hao5: :hao5:

เกือบทั้งเรื่องสงสารเเม่เล็กมากกก อยากจะให้เปลี่ยนพระเอกเเทน  เเต่!!!....ตอนท้ายดีมากกกพี่ให้อภัย :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-10-2017 11:28:05

แวะเวียนมารอ  :กอด1:  :กอด1:



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 17-10-2017 18:49:05
 :z13: :z13:
มารอพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 21-10-2017 15:38:05


พ่อเสืออออ มาปูเสื่อรออยู่หน้าบ้านแล้วจ้า
 :z13:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 21-10-2017 20:24:43
พ่อเสือมันร้ายยยยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 30-10-2017 10:23:07



 :L2: นั่งจิบกาแฟรอจ้า



 :กอด1:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 31-10-2017 17:09:45
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 01-11-2017 10:47:50



 :call:  :call:  :call:


มาเถ่อะๆๆๆ


:call:   :call:   :call:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-11-2017 12:57:48
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 02-11-2017 09:47:30


 :m5: มาเต๊อะๆๆๆ

เข้ามาปูเสื่อกินหนมรอจ้า


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 05-11-2017 12:43:35
แม่เล็กร้องไห้ไปตั้งเยอะ พ่อเสือยังได้กำไรอีกแน่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 05-11-2017 14:59:59
 :hao4: :hao4:
มาดักพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 06-11-2017 15:43:19


 :ling1:  :ling1:  :ling1:

        มาเถ่อะ ๆๆๆๆ


 :ling1:  :ling1:  :ling1:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-11-2017 08:10:26
พ่อเสือหายตัว :ling1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 08-11-2017 13:13:04
 :serius2:

จะครบเดือนเเล้ววว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-11-2017 13:14:04


เข้ามาทวง  :call:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่24 P26(101060)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 08-11-2017 16:39:26
เราจะไม่เกรงใจ
เราเอาแต่ใจ
เรามาทวง
เราคิดถึงพ่อเสือ
 :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-11-2017 07:21:04
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่ยี่สิบห้า

ทหารรับใช้ประจำจวนแม่ทัพหม่ามาที่เรือนพักของรองแม่ทัพเฉินอวี้ตั้งแต่เช้า สังเกตเห็นว่าพื้นห้องอาบน้ำยังเปียกอยู่ และประตูห้องนอนยังปิดสนิท จึงวางอาหารเช้าไว้แล้วเก็บเสื้อผ้าชุดเก่าจากตะกร้าหน้าห้องน้ำไปซัก เมื่อออกมาที่หน้าเรือนพักพบกับทหารติดตามของรองแม่ทัพเฉินอวี้ผู้หนึ่งเข้ามาพอดีแล้วสอบถามว่า รองแม่ทัพตื่นนอนแล้วหรือยัง เพราะใกล้จะถึงเวลาที่ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการเฉินจะออกเดินทางแล้ว
ทหารรับใช้ตอบไปว่า ยังไม่ตื่น และดูท่าว่าเพิ่งจะอาบน้ำเข้านอน ทั้งสองคนก็พากันสงสัยว่า รองแม่ทัพไปที่ใดมาถึงได้เพิ่งกลับมา จะว่าออกไปข้างนอกกับรองแม่ทัพหม่าก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเมื่อคืนนี้รองแม่ทัพหม่า ออกมาส่งคนแล้วกลับเข้าไปในงาน
หรือจะมีงานเร่งด่วนอันใด ที่ทำให้ต้องเร่งไปจัดการเพียงลำพังแล้วเพิ่งกลับมาถึง
ทหารติดตามจึงเข้าไปในเรือน เคาะประตูห้องนอน เพื่อแจ้งว่า ใกล้จะได้เวลาที่ท่านหัวหน้าผู้ตรวจการจะออกเดินทางแล้ว
มีน้ำเสียงบอกให้จัดการไปได้เลย แต่เสียงที่ตอบออกมานั้นฟังดูมีน้ำหนักเข้มแข็ง ไม่ค่อยเหมือนกับรองแม่ทัพสักเท่าไหร่ จึงถามซ้ำว่าไม่สบายหรือ
"ข้าเจ็บคอน่ะ ฝากด้วย" น้ำเสียงนั้นตอบออกมาอีกครั้ง
และนั่นก็เป็นครั้งแรกในรอบปี ไม่สิในรอบหลายปี ที่รองแม่ทัพเฉินอวี้ไม่สบายจนถึงขั้นที่ต้องเสียมารยาทกับขุนนางผู้ใหญ่
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มผู้นี้เคยบาดเจ็บมาแล้วหลายครั้ง แต่เมื่อถึงยามเช้าก็มักจะลุกขึ้นมาทำงานได้เสมอ
หรือครานี้จะเจ็บป่วยหนัก
ทหารติดตามผู้นั้นได้แต่นำความสงสัยกลับไปบอกกล่าวต่อทหารคนอื่น แล้วรายงานต่อแม่ทัพและขุนนางผู้ใหญ่ว่ารองแม่ทัพรู้สึกไม่สบาย จากนั้นก็ทำความเคารพส่งท่านหัวหน้าผู้ตรวจการณ์เดินทางกลับไป
ฝ่ายของรองแม่ทัพเฉินอวี้ หลังจากที่ทหารรับใช้กลับไป เทพเสือโคร่งภูผาก็ออกมาต้มยาบำรุงให้ พอถึงตอนบ่ายก็สามารถเดินออกจากที่พักไปพบแม่ทัพหม่าที่ห้องทำงาน เพื่อรับคำสั่งใหม่ได้แล้ว
"ฟังว่าน้องอวี้ไม่ค่อยสบาย พักผ่อนก่อนก็ได้" แต่ดูไป รองแม่ทัพหนุ่มผู้นี้กลับดูแข็งแรงดีกว่าคนทักถามเสียอีก 
ดวงตา สีหน้าสดใส ฝีเท้ามั่นคงเช่นนี้
หรือจะมีเหตุอันใดทำให้ไม่มาส่งท่านหัวหน้าผู้ตรวจการณ์เมื่อเช้า
“น้องอวี้ ไม่ทราบมีเรื่องใด”
“หามิได้” รองแม่ทัพเฉินอวี้ประสานมือตอบ “เมื่อเช้านี้ยังรู้สึกไม่ค่อยดีจริงๆ แต่หลังจากที่นอนพัก และกินยาก็มิเป็นไรแล้ว”
“อ้อ เช่นนั้นพวกเราก็หารือเรื่องงานกันเถิด”
หลังการหารือเรื่องการทำงานอีกประมาณหนึ่งชั่วยาม เมื่อกลับออกมา พบว่ารองแม่ทัพหม่ารออยู่หน้าห้องทำงาน
ชายหนุ่มผู้เสียสละที่พักให้แก่รองแม่ทัพเฉินอวี้ผู้นี้ มีความเชี่ยวชาญเรื่องการเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องใดอยู่ในระดับปรมาจารย์ สมควรแสดงความเคารพและหากมีโอกาสก็ควรขอคำแนะนำจากเขาให้มาก 
"ฟังว่าน้องอวี้ไม่ค่อยสบาย"
คนรูปงามยกมือบอกว่าไม่เป็นไร "ท่านรองแม่ทัพ มีเรื่องใดให้รับใช้ โปรดสั่งการมาได้"

รองแม่ทัพหม่าผู้เป็นมิตร วันนี้มารอเพื่อชักชวนกันไปซ้อมยิงธนูด้วยกัน ฝ่ายของรองแม่ทัพเฉินอวี้ กับบรรดาผู้ติดตามไม่มีใครเกี่ยงในเรื่องนี้ กลุ่มนายทหารระดับแนวหน้าเกือบยี่สิบคนจึงร่วมการฝึกซ้อมยิงธนู ซึ่งแท้จริงแล้วคือการแข่งขันที่ผู้ชนะได้รับเสียงชื่นชม ผู้แพ้จะถูกล้อเลียน แต่ทั้งหมดนี้จะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน
สำหรับรองแม่ทัพหม่า และรองแม่ทัพเฉินอวี้แล้ว การฝึกซ้อมครั้งนี้เป็นมากกว่านั้น เพราะนี่คือการหยั่งความสามารถอีกฝ่าย แต่ผู้ที่แสดงความเหนือกว่าให้เห็นอย่างชัดเจนคือรองแม่ทัพเฉินอวี้ เพราะยิ่งแข่งก็ยิ่งมีผลงานที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อทราบผลสรุป รองแม่ทัพหม่าประสานมือยอมรับความสามารถของอีกฝ่าย "ทุกครั้งที่ได้ฝึกซ้อมร่วมกัน ได้ทำงานด้วยกัน น้องอวี้ได้พิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเป็นหนึ่งไม่มีสอง"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย "ที่ข้าเป็นที่หนึ่งก็เพราะท่านยอมเป็นที่สองต่างหาก"
"ไม่หรอก ทุกคนเห็นอยู่แล้ว ว่าข้าสู้น้องอวี้ไม่ได้จริง ๆ"
ต่างผลัดกันถ่อมตัวอยู่อีกหลายคำ ผู้ช่วยของรองแม่ทัพหม่าจึงเตือนเรื่องที่จองเหลาสุราเลิศรสในเมืองไว้
รองแม่ทัพหม่าหันมาเชิญชวน "ข้ารู้ว่าน้องอวี้ไม่ชอบไปที่เหลาสุรา หรือเที่ยวหาสตรี แต่ขอให้ยกเว้นครั้งนี้สักคราได้หรือไม่"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ยิ้มกว้างดวงตาเป็นประกายเมื่อหันไปเห็นว่าลูกน้องทุกคนในที่นี้แสดงท่าที่กระตือรือร้นที่จะได้ออกไปดื่มกิน แต่เมื่อนึกได้ว่าเทพเสือโคร่งภูผาอาจรออยู่ที่เรือนพักท่าทีก็เปลี่ยนไปเป็นครุ่นคิด
"มีภาระกิจใดหรือ"
"ไม่มี" ผู้อ่อนอาวุโสตอบ
"เช่นนั้นอีกครึ่งชั่วยาม ข้าจะไปรับน้องอวี้ที่เรือนพักรับรองตกลงไหม"
จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปด้วยความรวดเร็ว
รองแม่ทัพเฉินอวี้หันไปประสานมือกล่าวขออภัยเจ้าบ้านด้วยความเกรงใจอีกครั้ง
แต่ยังไม่ทันจะถึงเวลานัด บรรดาคนสนิทของรองแม่ทัพเฉินอวี้ก็มารอกันอยู่ที่หน้าเรือนพักแล้ว
รองแม่ทัพเฉินอวี้หัวเราะเสียงดัง ลูกพี่และลูกน้องไม่ต้องพูดจาอะไรกันมากมาย ต่างรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้ไปดื่มสุรา ฟังหญิงงามเล่นดนตรีก็ยังต้องหูไว ตาไว และทำความรู้จักกับผู้คนมากมายไปในเวลาเดียวกัน
รองแม่ทัพหม่ามารับตรงเวลา และนำทางไปสถานที่รื่นรมย์ในตัวเมือง พบเพื่อนทหารหลายคนที่มาพักผ่อนดื่มสุราและฟังดนตรี
เหลาสุรา 'เลิศรส' ที่รองแม่ทัพหม่าพาไปเที่ยวชมนั้น เป็นหนึ่งในสถานที่หลายแห่งที่ทหารคนสนิทของรองแม่ทัพเฉินอวี้เคยมาเยี่ยมเพื่อหาข่าวตั้งแต่เมื่อนานกว่าหนึ่งเดือนที่แล้ว แต่ก็ยังคงให้เกียรติผู้ที่เป็นเจ้าบ้านผลัดกันกล่าวคำชื่นชมไม่ขาดปาก
แม้ชื่อของเหลาสุราออกจะขาดความคิดสร้างสรรค์ไปบ้าง แต่กลับตกแต่งสวยงามยิ่ง สุรา อาหารรสดี ดนตรี และหญิงงามล้วนสร้างความพึงพอใจให้กับแขกที่มาเยือน
ห้องรับรองห้องใหญ่ของเหลาเลิศรสจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว แต่รองแม่ทัพหม่าขอให้เลื่อนโต๊ะสุราและเบาะของทุกคนเข้ามาติดกัน
"พวกเรามาดื่มสุรา ใยต้องมากพิธีการ"
หลังจากที่ฟังหญิงงามเล่นเพลงให้ฟังได้เพียงสามเพลง ทหารผู้ติดตามของรองแม่ทัพหม่าก็เข้ามาขอตัวไปเลือกหาสาวงามร่วมห้อง จากนั้นฝ่ายของรองแม่ทัพเฉินอวี้ก็ติดตามออกไปบ้าง กระทั่งในห้องเหลืออยู่เพียงสี่คน คือรองแม่ทัพทั้งสองคนกับคนสนิททั้งสองคน
"ข้ารู้มาว่าตอนที่น้องอวี้อยู่ที่ฐานทัพตะวันตก จนถึงไปสร้างเขื่อนที่เมืองทางใต้ เจ้ามักปฏิเสธงานเลี้ยงรื่นเริง"
รองแม่ทัพเฉินอวี้โบกมือ "ท่านรู้มาผิดแล้ว ข้าไปทุกงานที่มี เพียงแต่ดื่มได้ไม่มากนักก็ต้องขอตัวกลับมาก่อน อีกอย่างก่อนหน้านี้ข้าใช้ตำแหน่งองครักษ์ เวลาไปงานเลี้ยงทุกคนก็จะพูดคุยกันอย่างระมัดระวัง"
"แต่หากเป็นสหายเล่า"
"ไปดื่มกับสหาย ย่อมสนุกสนานที่สุดอยู่แล้ว"
"นั่นสินะ" รองแม่ทัพหม่าหัวเราะเสียงดัง "ข้าเองก็รู้สึกผ่อนคลายมากที่สุดหากดื่มสุรากับเพื่อนที่รู้ใจ แล้วการดื่มของพวกเราในวันนี้จะถือว่าเป็นการดื่มกับสหายที่รู้ใจได้หรือไม่"
รองแม่ทัพเฉินอวี้คลี่ยิ้มงาม "หากก่อนหน้านี้ ท่านมิได้ออมมือให้ข้าเมื่อต้องแข่งขัน ข้าจะนับท่านเป็นสหาย"
"ได้ พรุ่งนี้พวกเราแข่งขันกันใหม่อีกรอบ" รองแม่ทัพหม่ายกจอกสุรากล่าวท้าทาย
การสนทนาถูกคอผ่านไปเกือบครึ่งคืน คนรูปงามก็ขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำ
เมื่อเสร็จธุระเปิดประตูห้องน้ำออกมาพบชายรูปร่างสูงใหญ่ดักรออยู่ สีหน้าร้อนรน น้ำเสียงที่กล่าวบ่งบอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนรออยู่
"ไปบอกกับพวกเขาว่า เจ้ามีธุระด่วน อาจไม่อยู่สักสองสามวัน"
รองแม่ทัพเฉินอวี้มิได้ถามไถ่ว่าเป็นเรื่องใดก็พยักหน้ารับคำแล้วรีบขึ้นไปบอกรองแม่ทัพหม่า จากนั้นก็กลับลงมาหา
สีหน้าที่ดูเป็นกังวลของคนรูปงาม หงาดเหงื่อที่ไรผม ทำให้เทพเสือโคร่งภูผารู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย

สถานที่ที่เทพเสือโคร่งภูผาพามา คือคฤหาสน์ของคหบดีหลี่แห่งเมืองดันตง เมืองนี้อยู่ห่างจากฐานทัพตะวันออกอยู่มากชนิดที่ต่อให้ขี่ม้าก็ยังต้องเดินทางกันหลายชั่วยาม แต่เทพเสือโคร่งภูผาอุ้มอีกฝ่ายพาลัดหนทางมาถึงในเวลาประมาณครึ่งชั่วยาม ดังนั้นเมื่อถูกปล่อยลงที่หน้าเรือนพักหลังหนึ่ง คนรูปงามก็รีบโผไปหาเก้าอี้ยาวที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วพลิกตัวลงนอนเหยียดยาว
เทพเสือโคร่งภูผาเดินตามมาจับข้อมือจะถ่ายพลังให้ แต่อีกคนปัดออกแล้วลุกขึ้นนั่ง ใบหน้างดงามขาวซีด
"ข้าไม่เป็นไร ขอพักสักครู่ ท่านพี่ไปช่วยคนก่อนเถิด"
ท่ามกลางความมืดที่อาศัยแสงสว่างจากคบไฟที่จุดไว้เชิงบันไดหน้าเรือนพัก สะท้อนสีเหลืองจากดวงตาวับวาว "ไม่มีใครเป็นอะไรนอกจากข้า"
เฉินอวี้เงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่เข้าใจ "ท่านพี่หรือ ท่านเป็นอะไร"
"เจ้าไปกอดคอ หัวเราะมีความสุขกับเจ้านั่น ข้าโมโหแทบตาย เจ้าไม่รู้หรือไง"
เฉินอวี้ส่ายหน้าด้วยความเหลือเชื่อ "ท่านไม่พอใจถึงขนาดที่ต้องพาข้ามาถึงดันตงเชียวหรือ"
หากรองแม่ทัพหม่าเป็นปรมาจารย์ด้านการเสแสร้ง เทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้ต้องนับว่าเป็นปรมาจารย์ของปรมาจารย์แล้ว...
"ใช่" เทพเสือโคร่งภูผาตอบรับแล้วย้อนถาม ก่อนที่จะถูกคนงามโกรธ "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่คือดันตง"
"บ้านคหบดีหลี่แห่งดันตงผู้ใดจะไม่รู้จัก"
เมื่อกล่าวถึง คหบดีหลี่ผู้มีรูปร่างสูงเพียงไหล่ของเฉินอวี้ก็วิ่งมาหา
"นายท่านทั้งสอง ที่พักและอาหารจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว" คหบดีหันมามองเฉินอวี้เต็มตา "อ้อ ท่านเฉินนั่นเอง"
"เขาเป็นรองแม่ทัพ" เทพเสือโคร่งภูผาช่วยแก้ไข แต่ผู้ด้อยอาวุโสที่สุดในที่นี้ลุกขึ้นประสานมือคารวะ
"รบกวนท่านผู้อาวุโสแล้ว เคยเรียกเช่นใดก็เรียกต่อไปเช่นนั้นเถิด"

เทพเสือโคร่งภูผาย่อมมีอาวุโสมากกว่าคหบดีหลี่ และมีความเคารพนับถือกันอยู่ แต่เฉินอวี้ที่มีอาวุโสน้อยที่สุด ทั้งเมื่ออยู่กับเทพเสือโคร่งภูผา ก็มักจะรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงเด็กน้อยผู้หนึ่งอยู่เสมอ จึงรู้สึกไม่สบายใจที่จะถูกเรียกว่าเป็นรองแม่ทัพ
นอกจากนี้ เทพเสือโคร่งภูผายังดูท่าจะมีอารมณ์พาลเกเรอยู่มาก เฉินอวี้ไม่ต้องการพูดจาโต้เถียงกันต่อหน้าบุคคลอื่น ทั้งรู้สึกมึนเมาอยู่เล็กน้อยแถมยังถูกพาลัดเส้นทางมาอย่างรวดเร็วขนาดนี้ จึงรู้สึกไม่ค่อยสบาย
เมื่อคหบดีหลี่กล่าวเชิญชวนอีกครั้งให้ทั้งสองเข้าไปพักในเรือนรับรองด้านหลัง เฉินอวี้จึงกล่าวขอบคุณและเดินตามไปโดยดี

คหบดีหลี่ เป็นผู้มีจิตใจดี อนุญาตให้คนเดินทางไกลมาพักที่บ้านพักของตนเองได้ แต่ส่วนที่จัดให้พักนั้นอยู่ทางส่วนตะวันตกค่อนไปทางเรือนครัวและที่พักของคนงาน ไม่ได้อยู่ในเขตที่พักของคหบดี
ส่วนที่พักที่จัดเตรียมไว้นี้ อยู่ลึกเข้าไปด้านในของส่วนที่พักของครอบครัว เป็นเรือนพักชั้นเดียวที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ มีความเป็นสัดส่วนและหลุดพ้นออกมาจากทุกคน
เมื่อเปิดประตูเรือนเข้ามาด้านใน ที่มีการทำความสะอาดเป็นอย่างดี แม้จะไม่มีของประดับอยู่มากนัก แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่บ่งบอกถึงความคุ้นเคย
"ท่านมาพักที่นี่บ่อยหรือ" คนรูปงามมองไปรอบที่พัก
ผู้ที่เดินตรงไปเปิดประตูห้องอาบน้ำและห้องนอนคล้ายกำลังหาใครบางคนหันมาบอก "มาตั้งแต่รุ่นปู่ของเขานั่นแหละ"
"ท่านอายุเท่าใดกันแน่"
"พอครบร้อยข้าก็เลิกนับแล้ว" ผู้ที่มีสีหน้าเรียบตึงกล่าวเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา
เจรจากับคนพาลเกเรนี่ต้องใช้ความอดทน และคิดให้มากก่อนกล่าวคำ
เฉินอวี้นั่งลงแล้วหลับตา ใช้นิ้วหัวแม่มือกดที่หัวตาไว้แน่นแล้วคลายออกช้าๆ 
"รู้สึกไม่สบายหรือ ร่างกายของเจ้าคงปรับไม่ทัน" ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่หันไปรินน้ำชาให้ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามให้เข่าทั้งสองชนต่อกัน
"ดึกมากแล้ว ข้าอยากนอนพัก"
เมื่อจิบน้ำชาอุ่นจนหมดถ้วย เทพเสือโคร่งภูผา รับถ้วยน้ำชาไปวาง แต่ไม่มีท่าทีว่าจะพาไปพักผ่อน
"เจ้ากำลังหลีกเลี่ยงเหมือนที่ผ่านมา"
"ท่านพี่ ข้าอยากนอนพักจริงๆ"
"แต่ข้าอยากรู้เรื่องที่เจ้าทำตัวสนิทสนมกับเจ้านั่น"
"ท่านพี่ ข้ารู้สึกไม่สบาย"
"ไม่" เทพเสือโคร่งภูผาจับข้อมือบางไว้ รู้สึกได้ว่ามือนั้นเย็นเฉียบ "อวี้เอ๋อร์"
เฉินอวี้ค่อยๆ เอนตัวลงมาหา "ข้า ไม่สบาย..."  แล้วหมดสติไปเช่นนั้นเอง

เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็คือยามสายแล้ว คาดว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ และช่วยเช็ดตัว เพราะยังมีอ่างน้ำกับผ้านุ่มวางอยู่บนโต๊ะ แต่เทพเสือโคร่งผู้นั้นไม่ได้อยู่ที่เรือนพัก เมื่อขยับตัวจะลงจากที่นอน คนรับใช้ก็รีบเข้ามาในห้อง รายงานถ้อยคำที่เทพเสือโคร่งภูผาสั่งการไว้โดยไม่ต้องถาม และเฉินอวี้ก็ไม่คิดที่จะต่อรองไม่ทำตามคำสั่งเหล่านั้น
“นายท่านคาดว่า คุณชายอาจไม่ถูกกับตัวยาบางอย่างที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ จึงออกไปเตรียมยาให้ใหม่ ตอนนี้ยายังไม่ได้ที่ นายท่านขอให้คุณชายดื่มโจ๊กปลาแล้วรออยู่ก่อนขอรับ”
เฉินอวี้พยักหน้า ขอไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วค่อยออกมาดื่มโจ๊กปลา คนรับใช้ที่กำลังจะกลับออกไปหยุดรอเมื่อเทพเสือโคร่งภูผาก็สวนเข้ามาพร้อมกับยาถ้วยหนึ่ง
รอจนชายหนุ่มรับมาดื่มแล้วส่งถ้วยคืนให้ คนรับใช้จึงล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เป็นความเคร่งครัดแบบที่เฉินอวี้ไม่เคยพบเจอ
ตอนที่มาครั้งก่อน ก็ไม่เคยเห็นว่าคนรับใช้จะเคร่งครัดเช่นนี้
ส่วนผู้ที่นั่งลงที่เก้าอี้ตัวเดิมกับเมื่อวาน ก็ยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อนเช่นกัน
"ดื่มหนักขนาดนี้บ่อยไหม"
เฉินอวี้ส่ายหน้า ตกลงที่ไม่สบายเพราะไม่ถูกกับตัวยาหรือเพราะเมากันแน่
เหมือนรู้ใจ เพราะเทพเสือโคร่งกล่าวต่อทันที “เจ้าอ่อนเพลีย ข้าให้กินยาบำรุง พอบ่ายก็ออกไปโอ้อวดอยู่กับเจ้านั่น ตกค่ำก็ยังไปดื่มหนักกับเจ้านั่นอีก ต่อให้เป็นเหล็กยังโค้งงอได้ แล้วคิดว่าตนเองเป็นอะไร” เจ้านั่นคงได้จามติดๆกันอยู่ตอนนี้ "ปกติเจ้าจะดื่มกับสหายจากสำนักบัณฑิตแห่งเดียวกัน สหายทั้งสี่ที่ไปตะวันตกด้วยกัน แล้วก็องครักษ์ร่วมรุ่น แสดงว่าสนิทกับเจ้านั่นมากสินะ"
ดวงตาคู่งามที่มองมามีคำถามเจือปนอยู่ "เรื่องมันตั้งแต่เมื่อคืนนี้"
แต่ความไม่พอใจนั้นยังเหมือนกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้น
"จะเกิดเมื่อไหร่ก็เถอะ พอคิดถึงขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ทำให้รู้สึกโมโหได้เท่ากันนั่นแหละ"
"ไว้ท่านคลายโมโหค่อยคุยกันจะดีกว่า"
"แต่ข้าอยากรู้ ยิ่งเจ้าไม่ตอบคำถาม ข้าก็ยิ่งอยากรู้"
เฉินอวี้จับข้อมือของอีกคนไว้ พยายามผ่อนคลายความไม่พอใจนั้น "ท่านกำลังโมโห หากข้าพูดไปเราก็จะทะเลาะกัน รอให้ท่านเย็นลงอีกนิดค่อยคุยกัน"
"อ้อ รู้ด้วยหรือว่าจะทะเลาะกัน ใช่สิ เวลาอยู่กับข้า พูดจากันได้ไม่เกินห้าประโยค แต่กับเจ้านั่น เห็นคุยกันสนุกสนานมาตลอดวัน อ้อต้องรวมกับอีกครึ่งคืนด้วย"
เฉินอวี้รู้สึกปวดศีรษะมาก เพราะต่อให้ชักจูงไปเรื่องอื่น เทพเสือโคร่งภูผาก็ยังพากลับมาที่เรื่องที่จะต้องทะเลาะกันอีก
"รองแม่ทัพหม่าหย่งผิง เป็นผู้แจ้งเบาะแสเกี่ยวกับผู้สนับสนุนอ๋องปราบตะวันออก"
"เจ้าอ๋องนั่นกับครอบครัวถูกประหารฐานก่อกบฎไปหมดแล้ว"
"ก็ใช่" มือสวยจะหยิบกาน้ำชา แต่กลับถูกแย่งไปเสียก่อน "ข้าถูกย้ายมาที่นี่ อ้อ...ที่ฐานทัพตะวันออกก็เพื่อจัดการผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าได้รับความช่วยเหลือจากเขาก็สมควรตอบแทนเขาบ้าง ทั้งเขายังเป็นผู้ที่อยู่ที่นี่ ยิ่งสมควรทำความรู้จักกันไว้"
"ตอบแทนด้วยการทำตัวสนิทกับเจ้านั่นขนาดนั้นเชียวหรือ"
"ไม่ได้สนิทมากไปกว่าท่านหรอก" คนรูปงามยิ้มหวาน ที่ทำให้อีกคนรู้สึกอยากยิ้มตามไปด้วย
"ก็ลองดูสิ ข้าจะจับมันฉีกร่างโยนให้จระเข้กิน"

เฉินอวี้เข้าใจผิดว่าเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจจะหมดลงไปได้โดยง่าย แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นเสือโคร่งหากเหยื่อที่อยู่ตรงหน้าแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอ ก็จะยิ่งไล่ต้อนให้จนมุม แล้วเปลี่ยนเป็นการหยอกล้อ หลอกให้เหยื่อนั้นตายใจแล้วตะปบกิน 

"รู้จักกับเจ้านั่นตั้งแต่เมื่อใด" ดวงตาสีเหลืองคู่นั้นแม้จะอ่อนโยนกว่าเดิม แต่น้ำเสียงและท่าทีก็ยังคงแสดงให้เห็นว่าต้องการให้ตอบคำถามไปจนกว่าจะพอใจ
เฉินอวี้คิดทบทวน "เขาเคยไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เมื่อหลายปีก่อน"
เป็นการเข้าเฝ้าตามวาระของการทำงาน และการทำความรู้จักกันไว้ ซึ่งในเวลานั้นทั้งแม่ทัพหม่า และบุตรชายต่างก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นการเคลื่อนไหวของท่านอ๋อง แต่เริ่มการส่งข่าวเกี่ยวกับขุมกำลังเป็นระยะ จนกระทั่งท่านอ๋องวางแผนจะลอบปลงประชนม์ แล้วพระองค์ซ้อนแผนจัดการได้ทั้งหมด ต่อมาก็มอบให้เฉินอวี้เดินทางมาเพื่อจัดการผู้สนับสนุนที่อยู่ในที่แจ้ง และแน่นอนว่าพระองค์ต้องมอบให้องครักษ์อีกกลุ่มคอยไล่ตามจัดการกลุ่มคนที่อยู่ในที่ลับ เฉินอวี้จึงรู้สึกร้อนใจที่ทิ้งให้เพื่อนกับลูกน้องจัดการกับคนเหล่านี้ไปโดยลำพัง
"หากที่นี่มิได้มีเรื่องร้อนอันใด ข้าขอกลับไปที่ค่ายทหารได้หรือไม่"
"จะกลับไปหาเจ้านั่นหรือ"
ความหึงหวงของเทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้มิใช่เรื่องล้อเล่น แต่เป็นเรื่องจริงจังมาก ชนิดที่เจ้าตัวไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปง่ายๆ
"ไม่ใช่ไปหาเขา แต่เป็นเพราะเขาอยู่ที่นั่น งานของข้ายังไม่เสร็จสิ้น ผู้สนับสนุนอ๋องปราบตะวันออกยังเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ ลูกน้องของข้าทุกคนตกอยู่ในอันตรายหากไม่จัดการให้เด็ดขาดก็จะลุกลามต่อไป"
คิ้วหนาข้างหนึ่งยกขึ้นสูง "จะกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของสองพ่อลูกคู่นั้นด้วยสินะ"
แม้จะรู้ว่าไม่ว่าจะตอบอย่างไรอีกฝ่ายก็ยังไม่พอใจอยู่ดี  แต่รองแม่ทัพเฉินอวี้ก็ยังต้องพยักหน้า "ไม่ใช่แค่สองพ่อลูกคู่นั้น แต่ยังมีลูกน้องของข้าด้วย ข้าอยู่ที่นี่นานไม่ได้"
"ไม่ให้ไป!"
เสียงฝีเท้าที่ด้านหน้าเรือนพักหยุดอยู่ที่หน้าประตู
"นะ นายท่านขอรับ ขออนุญาตขอรับ"
เมื่อได้รับอนุญาต ขบวนคนรับใช้หลายคนก็ลำเลียงอาหารว่างเข้ามา เปลี่ยนน้ำชา ถามไถ่ว่าต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม กับยังมีคนรับใช้ที่รีบเข้าไปเก็บกวาดห้องนอน นำเสื้อผ้าชุดใหม่เข้าไปวางให้ เก็บเสื้อผ้าชุดเก่าออกไปซัก

เฉินอวี้เพิ่งดื่มโจ๊ก ทั้งการที่ต้องโต้เถียงกับเทพเสือโคร่งภูผาที่วกวนอยู่กับความหึงหวงทำให้รู้สึกไม่อยากอาหารเลยสักนิด
หากเรื่องของรองแม่ทัพหม่าทำให้ไม่พอใจก็สมควรเปลี่ยนเรื่องพูดคุยกัน
"กวางทองเป็นอย่างไรบ้าง"
เทพเสือโคร่งภูผายกยิ้มที่มุมปาก "แข็งแรงขึ้นแล้ว เขาใช้ร่างมนุษย์ได้ แต่เวลาเดินก็ยังไม่ค่อยดีนัก"
"งดงามเหมือนมารดาของเขาไหม"
เทพเสือโคร่งภูผาหัวเราะเบา ๆ "เขางดงามกว่าสายลม"
เมื่อคู่สนทนาเงียบไป เทพเสือโคร่งภูผาจึงรู้สึกตัว แต่เฉินอวี้ก็เปลี่ยนความสนใจต่อไปอย่างรวดเร็ว
"ท่านพี่เคยถามข้าเกี่ยวกับกระเรียนที่ป่าทางใต้"
ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ดูงุนงง "ข้าถามเจ้าหรือ เมื่อไหร่"
"วันแรกที่ท่านกลับมา ฮ่องเต้บอกกับท่านพี่ว่า ข้าเพิ่งมาจากการคุมการสร้างเขื่อนทางใต้" เมื่อเทพเสือโคร่งภูผาร้องอ้อ ก็กล่าวต่อ "ข้าไม่เคยพบเห็นฝูงกระเรียนที่ป่าแห่งนั้น แต่พบว่ามีพรานที่เขาล่ากวางเพื่อเอาเขา และกระดูกไปทำยา กับมีผู้ที่ล่าเสือเพื่อเอาหนังและชิ้นส่วนอวัยวะไปทำยา"

ทุกวันนี้คนปรุงยาหลายคนเพาะเลี้ยงสัตว์เองเพื่อนำไปปรุงยา แต่ก็ยังมีผู้ที่ว่าจ้างพรานป่าล่าสัตว์ที่ต้องการใช้ปรุงยาอยู่อีก

ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ถอนหายใจ จากนั้นหันมาถามเฉินอวี้
"อยากนอนพักอีกสักหน่อยไหม หรืออยากออกไปนั่งพักในสวนข้างนอก"
มีบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านั้นทำให้รู้สึกไม่สบายใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย เฉินอวี้เดินออกไปข้างนอก แล้วนอนลงที่เก้าอี้ไม้หน้าที่พักนั้นเอง

เฉินอวี้นอนพักได้ครู่เดียวก็ลุกขึ้นนั่ง แต่เทพเสือโคร่งภูผาก็ไม่อยู่แล้ว
ชายหนุ่มยิ้มมุมปากพลางส่ายหน้า
ตนเองมีเรื่องมากมายให้ต้องไปจัดการ รู้จักผู้คนครึ่งเมือง สนิทกับคหบดีหลี่ถึงขนาดจัดที่พักและคนรับใช้มาดูแลอย่างเต็มที่ แต่พอทางนี้สนิทกับคนผู้หนึ่งกลับหึงหวงไร้สติ
และเพราะเฉินอวี้กล่าวถึงกวางทอง เทพเสือโคร่งจึงตระหนักถึงหน้าที่ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ของทั้งสองฝ่าย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทรงงานส่วนพระองค์ ไปจนถึงเรื่องราวมากมายของทั้งสองฝ่ายที่อาจนำไปสู่ความห่างเหิน แทนที่จะเป็นการได้อยู่ด้วยกัน
เพื่อไม่ให้จิตใจสับสนคิดเรื่องวุ่นวาย คนรูปงามเดินไปจนถึงที่พักของคนต่างถิ่น พูดคุยกับกลุ่มคนเหล่านั้น จนกระทั่งค่ำลงก็ถือโอกาสกินอาหารด้วยกัน หันมาอีกทีก็พบว่า ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่มายืนรออยู่ใกล้กับต้นไม้ใหญ่ จึงขอตัวแล้วลุกออกมาจากกลุ่ม

"สรุปคือเจ้าอยู่เฉยไม่ได้จริงๆ" เปิดปากออกมาก็เป็นคำกล่าวประชดอีกครั้ง "เมื่อก่อนไม่เห็นว่าจะเป็นแบบนี้"
เฉินอวี้หันไปเด็ดดอกไม้สีขาวดอกเล็กเพียงปลายนิ้วก้อยมาดอกหนึ่ง "ข้าเป็นลูกพ่อค้า ย่อมเข้ากับผู้อื่นได้โดยง่าย"
เทพเสือโคร่งภูผามองดอกไม้ในมือแล้วบอก "อาบน้ำเสร็จแล้วค่อยเอามาประดับผมก็ได้"
ชายหนุ่มยิ้มงามล่มเมือง
"ห้ามไปยิ้มแบบนี้กับใครนะ"
"ไม่หรอก" รอยยิ้มงดงามนั้นดั่งมีพลังวิเศษที่ทำให้คนเห็นลุ่มหลง งมงาย

จนกระทั่งอาบน้ำและเตรียมตัวจะเข้านอน เทพเสือโคร่งภูผาถึงสามารถสรุปความคิดของตนเองเพื่อที่จะกล่าวความรู้สึกออกมา
"ขอบใจมาก ข้ายินดีมาก และข้ารักเจ้า"
ไม่มีคำกล่าวนำหน้า แต่ก็ทำให้คนฟังใบหน้าแดงเรื่อ พยักหน้ารับคำกล่าวนั้นไว้ในหัวใจ แต่มิได้กล่าวว่าอะไร ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาต้องขอให้กล่าวถ้อยคำออกมา
"เจ้ามักบอกว่า ข้าไม่ยอมฟังที่เจ้าพูด ตอนนี้ข้าพร้อมที่จะฟัง และหากเจ้ามีคำถาม ก็ขอให้เจ้ารู้ว่าข้ายินดีมากที่จะตอบคำถามนั้น"
แต่คนรูปงามไม่อยากทบทวนเรื่องที่ทำให้เสียใจ  เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นดั่งเข็มแหลมคมที่คอยทิ่มแทงหัวใจเมื่อคิดถึง
มือใหญ่ของเทพเสือโคร่งภูผาจับมือของอีกฝ่ายไว้
มือของผู้ฝึกยุทธ์หาได้นุ่มนวล แต่เป็นมือที่ไม่ต้องการปล่อยไป
"อวี้เอ๋อร์ เวลาแปดปีสำหรับมนุษย์มันยาวนานยิ่งนัก หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็แล้วไป แต่เจ้าร้องไห้ตลอดเวลาที่พวกเราพบกันอีกครั้ง มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ"
"มันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าในระหว่างนั้นหรอก เมื่อข้ารู้ตัวดีว่าข้าต้องการอะไร และมีความตั้งใจว่าจะบอกบางอย่างกับท่านพี่เมื่อท่านพี่กลับมา รู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไป ปีแล้วปีเล่า จนกระทั่งท่านพี่มายืนอยู่ข้างหน้าข้า ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า แล้วท่านพี่ก็..." เฉินอวี้กลืนก้อนแข็งที่ตีตื้นขึ้นมาในลำคอ แต่นอกจากจะไม่ยอมกลับลงไปในอก ยังกลับทำให้หายใจลำบาก ทั้งปวดร้าวที่ดวงตา
"เรื่องที่ห้องทำงานของฮ่องเต้นั่นมันไม่มีอะไร"

เฉินอวี้พยักหน้า หยดน้ำตาตกกระทบหลังมือ
รู้ว่ามันไม่มีความหมาย เพราะความสัมพันธ์นั้นมิใช่ความรัก เทพเสือโครงภูผาถึงไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนคนนี้ที่เป็นคนที่รักมาก จึงกลายเป็นคนที่ถูกหลงลืมไป
คนที่ถูกลืมจึงเจ็บปวดยิ่งนัก...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-11-2017 07:21:48
(ต่อ)

"ตอนที่ท่านพี่ตามกลับมาที่เรือนพัก ทั้งสายตาและคำพูดของท่านพี่ล้วนดูว่างเปล่า แต่เพราะท่านพี่ทำทุกอย่างเหมือนเดิม ข้าจึงคิดว่าต่อให้ใจท่านพี่ไม่มีข้าแล้วแต่ท่านพี่ยังมีข้าอยู่ในการกระทำ นั่นอาจเป็นสัญญาณที่ดี และข้ายังพอจะมีหวัง"
มือที่จับไว้บีบแน่นขึ้น
"ข้าไม่รู้จะอธิบายเรื่องนั้นอย่างไร รู้แต่ว่าต้องไปพบเจ้า แต่พบแล้วอย่างไร จะพูดอะไร ไปพบเพื่ออะไร ทุกอย่างล้วนว่างเปล่า ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าจะบอกกับเจ้าอย่างไรดี แล้วเจ้าก็ร้องไห้ ข้าก็คิดถึงเรื่องก่อนหน้านั้นขึ้นมาได้ ว่าข้าเคยดูแลเจ้า แต่พอเจ้าจูบข้า มันเหมือน...เหมือนมีใครสักคนจุดดอกไม้ไฟในหัวของข้า เรื่องราวมากมายย้อนกลับมา หัวใจ สมอง ร่างกายของข้าที่มันว่างเปล่ามันกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกต่อเจ้า จากนั้นก็รู้สึกผิดต่อเจ้า แล้วก็หึงหวง ข้า...ขอโทษที่ทำให้เสียใจ"
คนรูปงามยิ้มทั้งน้ำตา โน้มคออีกฝ่ายเข้ามาหาแล้วจูบ
"ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจ"

เทพเสือโคร่งภูผาเอียงใบหน้าดูดริมฝีปากบาง แล้วแทรกปลายลิ้นแตะปลายลิ้นนุ่ม รสชาติที่ทำให้รู้สึกมึนเมา มือใหญ่ข้างหนึ่งบีบนวดที่ต้นขาแล้วแทรกเข้าส่วนที่สูงขึ้น
ไหล่ของคนผอมกระตุกเกร็ง ริมฝีปากหนาไล่จูบจากปลายคางเรื่อยลงมาที่ต้นคอจนถึงลาดไหล่ แต่อีกคนก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะผ่อนคลาย ยิ่งมือใหญ่ที่แทรกผ่านเสื้อแล้วแตะที่อกบาง เฉินอวี้ก็คว้าที่ข้อมือหนาไว้
"อวี้เอ๋อร์"
มาถึงขั้นนี้เทพเสือโคร่งภูผาไม่คิดว่าคนงามจะบ่ายเบี่ยงอะไร และเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงจัดเรื่อยลงมาจนถึงอกก็เข้าใจ
"กลัวหรือ"
เฉินอวี้เขินอายมาก ทั้งกลัว และเครียดมากเพราะรู้ตัวดีว่า เทพเสือโคร่งภูผาจะต้องไม่ปล่อยผ่านค่ำคืนนี้ไปอย่างแน่นอน
ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ช้อนใต้ขาอุ้มไปที่เตียงนอน เมื่อวางลงบนที่นอน ดวงตาสีเหลืองคู่นั้นอยู่ห่างเพียงคืบ เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการมองมาอย่างไม่ละสายตา ขณะที่มือเคลื่อนไหวถอดเข็มขัดและเปลือยร่างกายงดงาม จากนั้นใช้ปลายนิ้วลากจากหน้าผาก จมูก ริมฝีปาก ลำคอ อก จนถึงหน้าท้อง
เฉินอวี้ตัวแข็งทื่อ ทั้งกลั้นลมหายใจ
เมื่อดวงตาสีเหลืองเหลือบตามองส่วนใต้ท้องน้อย คนงามถึงได้รู้สึกตัว สองมือรีบปกปิด ทั้งกระถดตัวหนี แต่มือใหญ่กดไหล่ลงกับที่นอน ริมฝีปากหนาตามมาบดจูบช่วงชิงลมหายใจ มือข้างหนึ่งลูบไล้ที่แก่นกายอ่อนไหว ขยับแยกขาแข็งแรงออกกว้าง แต่ตนเองยังทิ้งน้ำหนักตัวนอนอยู่ด้านข้าง มีเพียงลำตัวส่วนบนที่คร่อมไว้
"อวี้เอ๋อร์ สัมผัสข้า"
เฉินอวี้ทำตามที่สั่งอย่างเงอะงะ แต่เมื่อแตะปลายนิ้วสัมผัสลงไปตรงๆ ก็ดึงมือหนี
เทพเสือโคร่งภูผาขบใบหู "ทำดีๆ"
เฉินอวี้ส่งเสียงขานรับในลำคอ เลียนแบบการลูบไล้แก่นกายตามที่อีกฝ่ายทำให้ แลกเปลี่ยนความรู้สึกวาบหวามถึงกันผ่านปลายนิ้ว และริมฝีปาก 
เทพเสือโคร่งภูผาดูดย้ำลำคอที่เหยียดรับ เสียงครางอ่อนหวานในลำคอกระตุ้นความต้องการ ยอดอกแข็งตึงรับฝ่ามือและปลายนิ้วที่เคล้นคลึง จากนั้นก้มลงมาดูดยอดอก เมื่อเลื่อนตัวลงมา แก่นกายอุ่นร้อนในมือของเฉินอวี้ก็พ้นจากมือไปด้วย
ดวงตาสีเหลืองช้อนมองขณะที่ก้มลงจูบท้องน้อย แล้วโลมเลียแก่นกาย ริมฝีปากครอบลงแล้วดูดส่วนปลาย เฉินอวี้ถึงกับแอ่นสะโพกตาม
มือใหญ่จับพลิกให้นอนคว่ำแล้วขบที่ไหล่ จากนั้นก็จูบเรื่อยไปทั่วแผ่นหลัง  ขณะที่บีบนวดที่ก้นกลม อีกมือหนึ่งรูดรั้งแก่นกายในมือ
เทพเสือโคร่งภูผายกตัวขึ้นมองดวงตาชุ่มน้ำ ขณะที่ยังไม่หยุดมือ
"ข้าคือใคร"
"ท่านพี่" ทั้งดวงตาและน้ำเสียงที่เรียกช่างอ่อนหวานยิ่งนัก
"เรียกอีก"
ยกสะโพกของอีกฝ่ายขึ้นอีกเล็กน้อย ก้มลงลากปลายลิ้นจากก้นกบลงหารอยจีบ แผ่นหลังที่เคร่งเครียดบ่งบอกว่าอีกฝ่ายยังไม่พร้อม จึงเลื่อนตัวขึ้นมาจูบไหล่ช้อนใบหน้าให้หันมารับจูบ
ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ นำมาก่อนจากนั้นจึงรู้สึกถึงของเหลวที่รอยจีบด้านหลัง
ท่อนแขนใหญ่ช้อนรัดผ่านอก ขณะที่ความรู้สึกแปลกๆ เริ่มจากรอยจีบนั้น และจูบร้อนแรงที่ไม่หยุดให้หายใจ
เฉินอวี้กำผ้าปูเตียงไว้แน่น เมื่อรู้สึกถึงนิ้วมือที่เลื่อนเข้าไปลึกกว่าเดิม
"อวี้เอ๋อร์ รักข้าไหม"
เฉินอวี้หันมามองด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลออย่างน่าสงสาร แต่เทพเสือผู้นี้ก็ไม่อาจเลื่อนเวลาออกไปได้อีกเช่นกัน
"อวี้เอ๋อร์ รักข้าไหม" นิ้วมือทางด้านหลังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง
เฉินอวี้หันมาจะคว้าใบหน้าอีกฝ่ายมาจูบแต่ก็กลับเบี่ยงหนี "ตอบข้าสิอวี้เอ๋อร์"
หยาดน้ำตาหยาดลงจากหางตา "รัก"
รางวัลของคำนี้คือจูบแรงจนรู้สึกได้ว่าริมฝีปากเริ่มช้ำ ช่องทางด้านหลังรัดนิ้วมือไว้แน่น จนต้องถอนออกมาก่อนเพื่อหยดน้ำมัน คนรูปงามผ่อนลมหายใจยาวแล้วยอบตัวลงเมื่อนิ้วมือใหญ่แทรกเข้ามาหา ขยับเลื่อน แล้วเพิ่มนิ้วอีก จนกระทั่งพบจุดอ่อนไหว
"เรียกข้าสิอวี้เอ๋อร์ เรียกจนกว่าข้าจะพอใจ"
เฉินอวี้ผู้ว่าง่ายพร่ำเรียกตามที่สั่งทั้งที่ส่ายหน้า หยาดน้ำตาอาบแก้ม
"ท่านพี่ ข้า ข้าไม่ไหวแล้ว" แต่ในทันทีที่กล่าวคำหยาดน้ำสีขาวขุ่นก็หยดลงที่นอน
คนรูปงามรู้สึกอับอายจนอยากหนีไปให้ไกล แต่อีกฝ่ายกลับจับให้พลิกตัวแล้วพรมจูบไปทั่วหน้า
"เป็นเมียข้านะ"
เฉินอวี้สะอื้น ทุบที่ไหล่หนา
...หากปฏิเสธ ท่านจะปล่อยข้าไปหรืออย่างไร...
มือใหญ่แยกขาแข็งแรงออกกว้าง แล้วแทรกตัวเข้าอยู่กลาง หยดน้ำมันหอมลงที่แก่นของตนเอง แล้วเพิ่มน้ำมันที่รอยจีบของอีกฝ่าย
"อวี้เอ๋อร์"
เมื่อแก่นกายร้อนกดเข้าหา เฉินอวี้ถ่ายเทความรู้สึกเจ็บนั้นไปที่ปลายนิ้วกดลึกลงไปที่ต้นแขนหนาของอีกฝ่าย
น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความรู้สึกเจ็บจุกอยู่ในลำคอ
"เจ็บหรือ" ถามทั้งที่ขยับเข้าหา
เฉินอวี้พยักหน้า ไม่กล้าพูดออกมา
"มองตาข้าอวี้เอ๋อร์"
เมื่อมองอีกฝ่ายผ่านม่านน้ำตา แก่นกายแข็งขึงก็กดรวดเดียวเข้ามาจนสุด เฉินอวี้กรีดร้องเสียงดังเมื่อรู้สึกว่ากล้ามเนื้อในช่องทางด้านหลังจะฉีกขาด ร่างกายทั้งร่าง จนถึงปลายเท้าสั่นไหวด้วยความรู้สึกเจ็บร้าวนั้น
เทพเสือโคร่งภูผามองความพยายามอดกลั้นของอีกฝ่าย ขณะที่ขยับสะโพกช้าๆ อีกมือหนึ่งปลุกเร้าแก่นกายที่หลับไหลหมดแรง ให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
ฝ่ายที่เหนือกว่าเรียกร้องให้เฉินอวี้กล่าวถ้อยคำว่ารักครั้งแล้วครั้งเล่า ร่างกายถูกควบคุมให้เป็นไปตามที่อีกฝ่ายต้องการ
ฟันสวยขบกัดที่ไหล่ทำเครื่องหมาย จากนั้นยกตัวขึ้นขยับสะโพกกดย้ำแล้วหลั่งภายในปล่อยให้หยาดของความต้องการเจือปนกับหยดเลือด
เฉินอวี้หอบหายใจจนตัวโยน รู้สึกได้ว่าช่องทางด้านหลังไม่ได้ผ่อนคลายลงสักนิด เมื่อมองดวงตาคู่นั้นก็เหมือนจะรู้คำตอบได้ในทันที
ผู้ที่เริ่มขยับสะโพกอีกครั้งยิ้มชั่วร้าย
รักคนฉลาดก็ดีอย่างนี้แหละ ไม่ต้องพูดกันมาก แค่มองตาก็รู้ใจ...

หลังจากที่อุ้มไปทำความสะอาดภายใน ซึ่งมันยากที่จะห้ามใจไม่ให้ร่วมรักอีกรอบ เทพเสือโคร่งภูผาก็อุ้มคนที่หลับไหลไม่รู้เรื่องกลับมาทายาให้แล้วเปลี่ยนชุดนอน จากนั้นก็จัดท่าทางให้นอนหนุนแขน

เจ้าและความรักของเจ้าคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของข้า
แต่ข้าอาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยดีนักในชีวิตของเจ้า ทั้งที่รู้ว่าเจ้าต้องเสียสละไปมากมายในระหว่างที่รอข้า เสียใจมากขนาดไหนที่เห็นข้ากับฮ่องเต้นั่น เศร้ามากเพียงใดที่ข้าจำเจ้าไม่ได้
เจ้าไม่ได้บอกรักข้าด้วยคำพูด แต่บอกรักข้าด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวดที่ไหลหลากแทบกลายเป็นสายเลือด
ข้าไม่มีพลังที่จะย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องเหล่านั้น
แต่ขอสัญญาว่า ข้าจะชดใช้ให้เจ้า ด้วยทุกอย่างที่ข้ามี
"อวี้เอ๋อร์ของข้า"

...จบบทที่ยี่สิบห้า...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-11-2017 08:08:41
พ่อเสือร้ายยยยยยยยย

ทำอวี้เอ๋อร์เจ็บใจเจ็บตัวอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 09-11-2017 13:46:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-11-2017 14:11:03


:katai2-1: ในที่สุดเฉิ้นอวี้มีความสุขแล้ว เสียน้ำตาไปมากมายในที่สุดพ่อเสือก็กลับมา


แต่ เคืองและหมั่นใส้พ่อเสือค่ะ  ตกลงว่าเรื่องอิตาฮ่องเต้นั่นมันจริงซะนี่ ชิชะ :3125:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 09-11-2017 14:23:35
ทีอย่างนี้มาทำเป็นหึง  :angry2:
ลืมเขาไปตั้งหลายปีนะพ่อเสือออออออออออ  :m16:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-11-2017 15:50:22
ว้าว ๆๆๆๆๆ
ในที่สุด.....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 09-11-2017 16:22:39
 :m25:

ใจหนึ่งก็อยากให้เเม่เล็กใจเเข็งทิ้งพ่อเสือไปซะ เเต่พอเจอบทโอ้โลมก็นะ  :z1:  :pighaun:
ยอมให้พ่อเสือฟัดไปละกัน 555555 เขิลลลลลล
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 13-11-2017 15:21:37
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

มาแปะแล้วออกไปก่อน  ว่างจะแวะมาอ่านต่อค่า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 18-11-2017 12:51:12
พ่อเสือหึง แล้วงอแง  แม่เล็กตีเลยยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-11-2017 20:03:08
แล้วมันยังไงงงงงง พ่อเสือ
ที่ว่าอยู่ในห้องกับฮ่องเต้ไม่มีอะไร จริงหรือ

แล้วอีตาฮ่องเต้  ก็เป็นเด็กของพ่อเสือด้วยรึ  o22 o22 o22
ทำม้ายถึงตีสนิทถึงเนื้อถึงตัวพ่อเสือ มันยังไงกันแน่ ฮึ
อีตาฮ่องเต้นี่ก็แปลก รู้ทั้งรู้ว่าเฉินอวี้มีไรๆกับพ่อเสือแท้ๆ  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
กินพ่อเสือด้วยรึ แอร๊ยยยยย  o18

พ่อเสือก็ประหลาด ประสาทด้วย  :angry2:
ออกจากกรรมฐานก็ทำลืมเลือนเฉินอวี้เฉยเลย
แต่พอเฉินกินเหล้าคุยกับรองแม่ทัพหม่า
พ่อเสือก็หึงหน้ามืดตามัว ไม่ยอมเลิกงา่ยๆ
ทีตัวเองปล่อยให้อีตาฮ่องเต้ตีสนิท บอกไม่มีอะไร เชอะๆ.......
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 18-11-2017 21:28:24
 :z13: มาปลุกพ่อเสือออ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 18-11-2017 23:14:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 19-11-2017 12:33:02
พ่อเสือนี่นะ  ทีเรื่องตัวเองกะฮ่องเต้ ทำเหมือนตัวเองไม่ผิดเลยนะ
บางทีพ่อเสือก็คิดน้อยไปเน้อ
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 19-11-2017 20:16:09
เฉินอวี้น่าเห็นใจสุดอ่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-11-2017 20:52:57
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 19-11-2017 23:23:33
 :katai5:
มารอตอนต่อปายยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 23-11-2017 13:47:57


 :z12:   :z12:



 :ped149:  :ped149:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 26-11-2017 08:19:17
มีคนบ่นว่าพ่อเสือหลงทาง...เลยจูงอวี้เอ๋อร์มาส่งหน้าแรก  :z1:
โดนพ่อเสือโดดถีบ :z6:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 26-11-2017 08:46:26
 :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 26-11-2017 10:31:46
 :call: :call:
อันเชิญพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 26-11-2017 14:47:21
อ่านกี่รอบก็ยังไม่หายเคืองพ่อเสือ 5555
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-11-2017 02:00:38
 :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 28-11-2017 13:31:16
เราเสร็จ ภารกิจแห่งชาติแล้ว
เราเริ่ม มารอพ่อเสือได้
เราคิดถึง มาเหอะนะ
 :m5: :m5: :m5: :m5: :m5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 28-11-2017 17:52:37
 :katai5: :katai5:

แวะมาดัน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-11-2017 00:23:57
 :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 30-11-2017 07:14:04
 :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 30-11-2017 10:24:07


 :z12:   :z12:


o15


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 06-12-2017 07:17:54
 :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 06-12-2017 08:02:13
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่25 P27(91160)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-12-2017 08:41:16

 o15
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 07-12-2017 10:12:54
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่ยี่สิบหก


ห่างกันไปแปดปี เมื่อกลับมาก็ย่อมต้องมีการชดเชยและชดใช้ที่ทำให้คนรอต้องเสียใจ แต่ก็ยังเป็นคนรออีกเช่นเดิมที่ต้องปวดร้าวไปทั้งตัวดั่งถูกม้าเหยียบจนต้องพักอยู่ที่เรือนของคหบดีหลี่อีกถึงสี่วัน
ฟังจากบรรดาคนรับใช้ที่พูดถึงเทพเสือโคร่งภูผา ทุกคนล้วนบอกตรงกันว่านายท่านที่เป็นแขกพิเศษของท่านคหบดีหลี่เป็นห่วงท่านรองแม่ทัพยิ่งนัก ไม่ยอมให้ผู้ใดได้เข้าใกล้ ทุกวันจะออกมาต้มยาให้ด้วยตนเอง คอยดูแลเรื่องอาหารการกินทุกอย่าง ในช่วงสายก็จะพาไปนั่งพักนอกเรือนระหว่างที่คนรับใช้เข้าไปทำความสะอาดที่พัก และจะออกไปข้างนอกก็ต่อเมื่อท่านรองแม่ทัพหลับอยู่ แต่ก็จะรีบกลับมาดูแลอยู่เสมอ
ท่านคหบดีเจ้าของบ้านรู้สึกเป็นห่วงจะจัดแพทย์ฝีมือดีมาดูแล แต่นายท่านก็ไม่ยินยอมบอกว่าต้องการดูแลด้วยตนเอง
ดูท่า ท่านรองแม่ทัพคงเจ็บป่วยหนักมากเลยทีเดียว...
ช่วงสายของวันที่สี่ เทพเสือโคร่งภูผา และรองแม่ทัพเฉินอวี้ จึงเข้ามาหาคหบดีหลี่ถึงเรือนหลังใหญ่เพื่อแสดงความขอบคุณในความอาทรของเจ้าของบ้าน และลากลับไปฐานทัพ
คหบดีหลี่มองสีหน้าของรองแม่ทัพแล้วแสดงความเห็นว่า รองแม่ทัพยังดูอิดโรย สมควรพักอีกสักหลายวัน แต่รองแม่ทัพก็กล่าวทันทีว่า เป็นห่วงการงานที่เมืองฝั่งตะวันออกแล้วมอบเงินให้จำนวนหนึ่งเป็นค่าที่พักและอาหารหลังจากที่มารบกวนอยู่นานหลายวัน
คหบดีรับเงินนั้นไว้โดยมารยาทและบอกว่าจะมอบเงินนี้ให้กับคนรับใช้นำไปแบ่งปันกัน
“หากมีโอกาส ก็แวะมาได้ทุกเมื่อ”
ทั้งสองฝ่ายประสานมืออำลา จากนั้นเทพเสือโคร่งภูผาต้องกดจุดหลับใหลให้รองแม่ทัพ ช้อนอุ้มใต้ขาเพื่อพาเดินทางกลับมาที่เรือนพักของรองแม่ทัพในกองทัพฝ่ายตะวันออก

คนรับใช้ที่เข้ามาทำความสะอาดเรือนเปิดหน้าต่างห้องนอนไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท แต่เมื่อจะกลับเข้ามาในห้องก็พบว่า มีผู้ที่อยู่ในห้องสองคน คนหนึ่งคือรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่นอนหลับอยู่บนเตียง อีกผู้หนึ่งเป็นชายที่มีรูปร่างสูงใหญ่ คิ้วหนา ดวงตาสีเหลือง สวมเสื้อผ้าสีเหลือง ดำ และขาว กำลังห่มผ้าให้คนที่นอนอยู่
คนรับใช้ยังไม่ทันจะกล่าวคำพูดอะไร คนผู้นั้นก็หันมาออกคำสั่ง "รองแม่ทัพไม่ค่อยสบาย ขอให้เขานอนพัก"
น้ำเสียงนั้นช่างมีอำนาจกดดันให้คนรับใช้ต้องลานลานกลับออกไป
แต่หลังจากนั้นไม่นาน บรรดาคนสนิทของรองแม่ทัพเฉินอวี้จนถึงรองแม่ทัพหม่า ไปจนถึงรองแม่ทัพอีกหลายคนและกลุ่มคนสนิทก็มาชุมนุมที่เรือนพักของรองแม่ทัพ ตอนที่มาถึงก็เห็นว่าคนรูปร่างสูงใหญ่กำลังประคองถาดยาเข้ามาให้กับรองแม่ทัพที่ยังนั่งพิงพนักหัวเตียง
รองแม่ทัพเฉินอวี้มิใช่คนเรื่องมาก ที่ผ่านมาบรรดาคนสนิทก็เข้ามาถึงห้องนอนได้ แต่ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่นั้นไม่ค่อยพอใจที่มีคนมากมายเข้ามารวมกลุ่มกันอยู่ในห้องนอน ถึงกับทำหน้าตาถมึงทึงบอกให้ทุกคนออกไปรอที่ห้องด้านนอก
จากนั้นก็ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้แล้วพาออกมาพบทุกคน ที่กำลังสนทนาเกี่ยวกับการที่ทั้งสองคนเข้ามาในฐานทัพโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้
รองแม่ทัพเฉินอวี้นั้นเป็นผู้ที่มีรูปร่างสูงโปร่ง มีความสามารถในเชิงยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม และคุ้นเคยกับสถานที่นี้ จึงเป็นไปได้ที่จะไม่มีผู้ใดเห็นยามเมื่อเข้ามา แต่อีกคนหนึ่งนั้นมีรูปร่างสูงใหญ่ ต้องมีความสามารถสูงส่งเพียงใด จึงสามารถเข้านอกออกในฐานทัพโดยไม่มีใครล่วงรู้
รองแม่ทัพเฉินอวี้ยกยิ้มที่มุมปากขณะที่แนะนำกับทุกคน
"นี่คือท่านเทพเสือโคร่งภูผา"
คนสนิทของรองแม่ทัพเฉินอวี้ร้องอ้อเสียงดัง แล้วประสานมือทำความเคารพ "คารวะท่านผู้เฒ่า"
เมื่อหนึ่งคนนึกขึ้นได้ว่านี่คืออาจารย์ของรองแม่ทัพเฉินอวี้ คนอื่นก็พากันนึกออกขึ้นได้เช่นกัน
นี่คือเทพเสือโคร่งภูผา อาจารย์ผู้ลึกลับของรองแม่ทัพเฉิน ผู้คิดค้นวิชาที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่เข้มแข็งนั่นเอง!

จากนั้นการทำงานและใช้ชีวิตของรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่กองทัพฝ่ายตะวันออกก็ดำเนินไปตามปกติ โดยมีเทพเสือโคร่งภูผาพักอยู่ที่เรือนแห่งนี้ด้วย ผู้คนต่างพากันคาดเดาว่ารองแม่ทัพจะได้รับบาดเจ็บ และมีอาการป่วยด้วยโรคประหลาดชนิดหนึ่งที่มีแต่อาจารย์เทพเสือโคร่งภูผาผู้นี้สามารถดูแลรักษาได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น อาการนี้เกิดขึ้นบ่อยเฉลี่ยแล้วสองถึงสามสัปดาห์ต่อครั้ง 
แม้จะเจ็บป่วยเรื้อรัง แต่เรื่องผลงานแล้วรองแม่ทัพเฉินอวี้ก็หาได้ลดน้อยด้อยลง เครือข่ายขุนนางที่ลอบสนับสนุนอ๋องปราบตะวันออกถูกกำจัดลงอย่างต่อเนื่อง
ความเคลื่อนไหวของเทพเสือโคร่งภูผาในช่วงนี้จึงเป็นการตามติดรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่ฐานทัพตะวันออกสลับกับการไปดูแลกวางทองที่ป่าสีทอง
ผ่านไปนานกว่าสองปี ฮ่องเต้ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งรองแม่ทัพคนใหม่มาประจำที่ฐานทัพตะวันออกแล้วให้ย้ายรองแม่ทัพเฉินอวี้กลับไปเป็นรองแม่ทัพของกองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
ขั้นตอนการส่งงานของเฉินอวี้ให้กับรองแม่ทัพคนใหม่ไม่ได้ยุ่งยากอันใด เพียงแต่ผู้ที่ย้ายมาใหม่นั้นต้องออกไปพักที่บ้านพักประจำตำแหน่งที่ตั้งอยู่นอกค่ายทหาร ส่วนหลังเดิมที่รองแม่ทัพเฉินอวี้พักอยู่นั้น ทั้งแม่ทัพหม่า และรองแม่ทัพหม่าสองพ่อลูกต่างยืนกรานว่าจะเก็บไว้เป็นเรือนรับรอง หากรองแม่ทัพเฉินอวี้หรืออาจารย์เทพเสือโคร่งภูผาจะเดินทางมาละแวกนี้
ตลอดชีวิตรับราชการเรื่องนี้สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีนั้น แต่กลับทำให้เทพเสือโคร่งภูผาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าเคยกล่าวคำปฏิเสธผู้อื่นหรือไม่ มันยากตรงไหนกัน”
รองแม่ทัพเฉินอวี้หัวเราะเมื่อผู้รูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้นแสดงท่าทีไม่พอใจเหมือนกับเป็นเรื่องใหญ่โต แต่เมื่อพ้นจากฐานทัพ เทพเสือโคร่งภูผาก็แยกตัวไปที่ป่าสีทองเพื่อดูแลกวางทองอีกครั้ง

ว่ากันว่า ในยามที่ใครสักคนเดินจากไปเราไม่ควรมองตามหลัง เพราะอาจทำให้ไม่ได้พบเจอกันอีก แต่เฉินอวี้ก็ยังคงมองเงาร่างสูงใหญ่ที่ลับหายไป และมองผ่านความว่างเปล่าอยู่อีกครู่หนึ่งจึงเดินทางต่อ                                                                                                                                                               

ที่เมืองหลวง รองแม่ทัพเฉินอวี้ต้องย้ายที่พักอีกครั้ง คราวนี้เป็นบ้านพักขนาดกลางซึ่งมีพื้นที่ว่างรอบบ้าน ภายในเขตที่พักของทหารองครักษ์ ทหารรับใช้ย้ายของใช้ส่วนตัวที่มีอยู่ไม่มากนักมาจัดรอไว้ที่เรือนหลังนี้แล้ว แต่เมื่อยังอยู่ในเขตที่พักของทหาร ก็ยังคงไม่สะดวกที่จะให้มารดาย้ายมาอยู่เช่นเดิม
หลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ยังไม่ทันจะได้พัก ก็มีทหารมหาดเล็กมาพบ และนำทางไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในทันที
ที่ศาลาหลังใหญ่ในเขตพระราชอุทยาน มีแพทย์หลวงมารออยู่ และกล่าวถึงเรื่องกองทัพตะวันออกแจ้งว่ารองแม่ทัพเฉินมีอาการเจ็บป่วยเป็นระยะ ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้แพทย์หลวงมาตรวจอาการก่อนที่จะเสด็จมา แต่เมื่อแพทย์หลวงตรวจอาการอย่างละเอียดก็ไม่พบว่ามีอาการป่วยใดๆ เวลาผ่านไปชั่วหนึ่งกาน้ำชา ฮ่องเต้จึงเสด็จมาถึงและไต่ถามถึงเรื่องอาการป่วย เมื่อทราบว่าไม่ได้เจ็บป่วยอะไรก็บอกให้แพทย์หลวงกลับไปได้
"ส่งมือมา" ทรงจับชีพจรอยู่ครู่หนึ่งก็ทรงมีวินิจฉัย "เจ้าไม่ได้ถูกพิษ"
"พระเจ้าค่ะ"
รองแม่ทัพเฉินอวี้กล่าวขอบพระทัยในพระเมตตา จากนั้นก็ถวายรายงานเกี่ยวกับการทำงานทางฝั่งตะวันออกของอาณาจักร
ทหารมหาดเล็กทยอยเข้ามาจัดโต๊ะแล้วล่าถอยออกไป เหลือแต่องครักษ์ชั้นเอก ที่ยืนอารักขาโดยรอบ ทำให้รองแม่ทัพเฉินอวี้เริ่มการคาดเดาว่าจะต้องมีเรื่องราวเกิดขึ้น เพราะพระองค์ไม่เคยให้มีองครักษ์ประจำพระองค์จำนวนมาก ทั้งที่นี่ยังอยู่ในเขตพระราชฐานส่วนพระองค์ด้วย

"เทพเสือโคร่งภูผาตามไปหาเจ้าที่กองทัพตะวันออกหรือ"
รองแม่ทัพเฉินอวี้กล่าวตอบ "พระเจ้าค่ะ"
"เขาจำเจ้าได้แล้วหรือ"
"พระเจ้าค่ะ" รองแม่ทัพเฉินอวี้รินพระสุธารสถวาย แต่ทรงมองถ้วยพระสุธารสแล้วมองคนรูปงาม
"จำได้...ทุกอย่างเลยหรือ"
คนรูปงามก้มมองมือของตนเอง "จำได้...แต่ไม่เหมือนเดิมพระเจ้าค่ะ"
รองแม่ทัพเฉินอวี้มิได้กล่าวเท็จ เพราะความสัมพันธ์ในช่วงก่อนหน้านี้ กับปัจจุบันแตกต่างกันจริง ๆ
ฮ่องเต้จางฉวนทรงพระสรวล "นี่แสดงว่าเพราะเจ้าป่วยเขาจึงไปดูแล เจ้าก็เลยป่วยแทบจะทุกเดือนสินะ" เมื่ออีกฝ่ายไม่ตอบคำก็ทรงรับสั่งต่อ "คิดไม่ถึงจริง ๆ เฉินอวี้ของข้าก็รู้จักการใช้มารยาหญิงเช่นกัน"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ยิ้มบางขณะที่ส่ายหน้า ยิ่งทำให้ฮ่องเต้ทรงมีพระอารมณ์ดีกว่าเดิม
ที่นี้มีทั้งมหาดเล็กและองครักษ์จำนวนมาก รองแม่ทัพเฉินอวี้ต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนที่จะตอบคำถามของฮ่องเต้ที่ยังคงวนเวียนอยู่ที่เทพเสือโคร่งภูผา
"ที่งานคืบหน้าไปมากก็เพราะเขาช่วยสนับสนุนใช่ไหม"
เมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้ไม่ปฏิเสธ และทรงพอใจกับคำตอบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่แล้ว จึงมีรับสั่งถึงเรื่องต่อไป "กล้าดื่มน้ำชาในถ้วยของเราไหม"
คนรูปงามยิ้มหวานดื่มน้ำชาในถ้วยโดยไม่เกี่ยงแม้แต่น้อย
"ในช่วงสามเดือนมานี้เราถูกลอบวางยาพิษสองครั้ง"
คิ้วสวยของรองแม่ทัพเฉินอวี้ขมวดแน่น เมื่อรับรู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นมหาดเล็กที่ได้รับเงินว่าจ้างให้มาลงมือ แต่เสียดายที่พระองค์ยังไม่มีหลักฐานเอาผิดไปถึงผู้ว่าจ้าง 
ทรงเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญเรื่องการใช้ยาพิษ การถูกคนลอบทำร้ายด้วยยาพิษย่อมทำอะไรพระองค์ไม่ได้ มีแต่ทำให้ถูกพระองค์เยาะเย้ยและตอบโต้กลับด้วยการทำให้อับอาย
 แต่การกวาดล้างผู้ต่อต้านจะเกิดขึ้นต่อไปอีกนานเท่าใด
"ในที่ประชุมเสนาบดี มีผู้เสนอความเห็นเรื่องให้เก็บคนเลวเอาไว้ เพื่อให้คนเลวไปคานอำนาจพวกผู้ครองอำนาจ" เมื่อทรงผินพระพักตร์มาที่รองแม่ทัพเฉินอวี้ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังขมวดคิ้วอย่างที่คาด "เราอยากฟังความเห็นของเจ้า"
"เลวหรือดีเป็นเรื่องของความพึงพอใจ" ช่างเป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมาถูกพระทัยยิ่งนัก "เมื่อทำการขึ้นมาอย่างหนึ่ง หากถูกใจได้ประโยชน์ก็ว่าดี หากขัดประโยชน์ก็ว่าเลว เราจึงต้องใช้เกณฑ์ของกฎหมายดูแลทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน เช่นเดียวกับพระราชอำนาจ หากใช้เพื่อปราบปรามคนที่สร้างความเดือดร้อนต่อส่วนรวม นั่นย่อมเป็นการสมควรอยู่แล้วมิใช่หรือพระเจ้าค่ะ"
ทรงประทับยืนเพื่อทอดพระเนตรผ่านต้นไม่ใหญ่ในพระราชอุทยาน และพระตำหนักมากมายไปไกลสุดสายตา
ในช่วงหลายปีมานี้นอกจากการปราบปรามบรรดาเชื้อพระวงศ์ที่คิดก่อกบฎแล้ว ยังมีผู้ครองอีกหลายเมืองที่คิดก่อการเพราะไม่พอใจที่ทรงจัดผู้แทนพระองค์ไปตรวจสอบการทำงานอย่างสม่ำเสมอ
แม้ว่าประชาชนในหัวเมืองใหญ่ใช้ชีวิตสุขสงบ คนในท้องถิ่นห่างไกลไม่ต้องคอยกังวลกับโจรป่า สถานพยาบาลที่ทรงจัดให้ก็สามารถดูแลและสกัดโรคระบาดได้
แต่การดูแลอย่างใกล้ชิดนี้ กลับทำให้กลุ่มผู้ปกครองในแต่ละเมืองสูญเสียผลประโยชน์ไปมาก
"เจ้าเองก็รู็ดี ว่ามีหลายเมืองที่เคลื่อนไหวเพื่อที่จะเป็นอิสระจากเรา แต่กรณีของเมืองเหอยังมีประเด็นที่เราสนใจก็คือ การที่พวกเขาหมายตาเมืองลั่วของหยางติง"

เมืองลั่วก็คือป่าสีทอง...หากเมืองลั่วเลือกที่จะอยู่กับเมืองเหอ ก็ย่อมหมายความว่าเทพเสือโคร่งภูผาจะอยู่ฝ่ายเมืองเหอเช่นกัน

"ตอนนี้หยางหลงว่าที่เจ้าเมืองลั่วมารอยื่นหนังสือกับเรา แต่เราอยากรู้ว่าเทพเสือโคร่งภูผาคิดว่าอย่างไร"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ตอบตามตรง "เขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้พระเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นพวกเจ้าคุยอะไรกัน"
"เรื่องของสหายกระเรียนของเขาที่หายไปพระเจ้าค่ะ เพราะสิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือการที่ป่าสีทองจะอยู่ด้วยความสงบ"
ทรงเอียงพระศอด้วยความสงสัย "เรารู้ว่าเขาตามหากระเรียนโกเมนที่เกี่ยวข้องกับแพทย์หลวงหนานกง นี่ยังไม่จบอีกหรือ"
"เรื่องนั้นเห็นว่าได้ข้อสรุปและกลับไปแจ้งให้ป่าสีทองทราบแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ยังพบว่ามีกระเรียนขาวที่ย้ายถิ่นแล้วสูญหายไปอีก ที่เขาถามกับกระหม่อมในเรื่องนี้ ก็เพราะเคยไปคุมการสร้างเขื่อนที่เมืองทางใต้พะเจ้าค่ะ"
“แล้วเจ้าตอบไปว่าอย่างไร”
“ตอบไปว่า ไม่เคยเห็นกระเรียนในละแวกที่มีการก่อสร้างพระเจ้าค่ะ”
การก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ใช้คนงานจำนวนมาก ทั้งการเร่งก่อสร้างที่ทำให้มีเสียงดังแทบจะทั้งวันทั้งคืน บรรดาสัตว์ป่าจึงพากันหลบหนีเข้าป่าลึก
“แล้วที่เขาตามไปทางฝั่งตะวันออก ก็ไปตามหาจากป่าแถบนั้นด้วยหรือไง”
รองแม่ทัพเฉินอวี้ตอบด้วยความสุภาพ ไม่มีท่าทีตึงเครียดปรากฏแม้สักนิด “ข้อนี้ไม่ทราบพระเจ้าค่ะ เพราะเขานึกจะมาก็มา แล้วก็ไป ไม่เคยบอกอะไร”
เมื่อทรงพอพระทัยในคำตอบเหล่านี้ ก็หันไปรับสั่งกับมหาดเล็ก "ไปเรียกหยางจงจิน หยางลี่ และหยางหลงมาหาเรา" จากนั้นจึงหันมารับสั่งกับรองแม่ทัพเฉินอวี้
"พูดกันตามตรง เมืองลั่วหากไม่มีป่าสีทอง ก็จะถือว่าไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจ ผู้คนเรียบง่าย ไร้ความทะเยอทะยาน อ้อ ยังมีใบชาชั้นดีของพวกเขานั่นก็นับว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว ส่วนป่าสีทองนั่น" ทรงทำสุรเสียงจิ๊กจั๊กก่อนที่จะกล่าวต่อ "เจ้ารู้ไหมว่าการค้าเขาสัตว์ และ หนังสัตว์ทำรายได้ปีละเท่าไหร่"
รองแม่ทัพเฉินอวี้พยักหน้า
"คนเมืองลั่วมีขุมทรัพย์อยู่หน้าบ้านแต่กลับยกให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่คิดหาผลประโยชน์ ซึ่งคนเมืองเหอไม่คิดเช่นนั้น แต่เพราะพวกเขาจัดเป็นเครือญาติ ทั้งยังอยู่ใกล้เมืองลั่วมากกว่าเราด้วย นี่จึงไม่อาจวางใจ"
ต่อให้ผู้ปกครองมีความภักดี แต่ในกลการเมืองก็ยังมียุทธวิธีมากมายที่จะสร้างความแตกแยก จากนั้นก็เข้าครอบครอง
"อ้อจริงสินะ" ทรงหันไปรับสั่งกับหัวหน้ามหาดเล็กผู้รับสนองงานหนังสือทั่วไป "เมื่อพูดถึงใบชาเมืองลั่วก็นึกขึ้นได้ หากหยางหลงรับตำแหน่งเจ้าเมืองเมื่อใด ก็ให้หยางไห่เตรียมพร้อมเข้ามาทำงานกับข้าดีกว่า ไปทำหนังสือรอไว้ หากหยางติงมอบตำแหน่งเมื่อใดก็ถือหนังสือไปได้เลย"
ขณะที่รองแม่ทัพเฉินอวี้กำลังครุ่นคิด พระองค์ก็หันมารับสั่งถาม "รู้ไหมเพราะอะไร"
"หยางเฉิงบุตรคนรองของหยางติงเจ้าเมืองลั่ว เป็นเจ้าของสำนักคุ้มกันภัย เขาเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลทางเหนือ จะเป็นประโยชน์กับหยางหลงเมื่อเขาเป็นเจ้าเมือง ขณะที่หยางไห่เป็นพ่อค้าที่มีเครือข่ายกว้างขวาง เขาเป็นประโยชน์กับพระองค์มากกว่าหยางเฉิง"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ตอบเรียบ ๆ แต่ทำให้ทรงพระสรวลเสียงดังก้อง
"พ่อลูกสกุลหยางน่ะเป็นคนดี ให้พวกเขาดำรงคุณธรรมอยู่ในเมืองทางเหนือต่อไป ดังนั้นเราจึงเอาความร้ายกาจของพวกเขามาอยู่กับเรา" เมื่อเห็นว่ารองแม่ทัพเฉินอวี้กำลังลอบอมยิ้ม ก็ทรงหันมาชี้หน้า "เจ้ามันคือเฉินอวี้จอมมารยา ร้ายกาจ ถึงต้องอยู่ใกล้คนดีอย่างเราเสมอ"
รองแม่ทัพเฉินอวี้จะทำอะไรได้ นอกจากน้อมรับคำวิจารณ์นั้น

เป็นเวลาค่ำแล้ว ที่ผู้แทนจากเมืองลั่วทั้งสามคนเดินทางมาเข้าเฝ้าฯ
รองแม่ทัพเฉินอวี้มีความคุ้นเคยกับผู้เฒ่าหยางจงจิน และหยางลี่อยู่มาก มักเดินทางไปทำความเคารพทุกครั้งที่กลับมาเมืองหลวง เพราะผู้เฒ่าหยางจงจินเป็นผู้ให้การรับรองเพื่อเข้าสอบเมื่อหลายปีก่อน แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับหยางหลง 
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นนักการทูต มีความสุภาพ อ่อนน้อม จนทำให้เกิดคำถามว่าเมืองลั่วที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาจะเดินหน้าไปอย่างไร หากต้องพบกับเล่ห์เหลี่ยมกลโกงทางการเมืองจากเมืองใหญ่รอบด้าน
แต่...คนสกุลหยางปกครองเมืองลั่วมาหลายชั่วคน ดูแลบ้านของพวกเขาให้อยู่ในความสงบมาตลอด ดังนั้น ภายใต้ท่าทีสุภาพ รอมชอมนี้ย่อมต้องมีบางสิ่งซ่อนอยู่
หลังจากที่ทรงสนทนากับทั้งสามคนอยู่หนึ่งชั่วยามก็มีรับสั่งให้รองแม่ทัพเฉินอวี้ออกไปส่ง จากนั้นก็ให้ไปรอที่ห้องทรงงานส่วนพระองค์ในตำหนัก
พระบัญชาแรกเมื่อทรงพระดำเนินเข้ามาในห้องนี้ก็คือ "เรียกเขามาพบเรา"
คนรูปงามรับพระบัญชา เดินไปเปิดหน้าต่างแล้วกล่าวเรียกชื่อ จากนั้นเทพเสือโคร่งภูผาจึงปรากฏขึ้น รองแม่ทัพเฉินอวี้ค้อมตัวทำความเคารพแล้วกราบทูลลา เมื่อออกมาที่ด้านนอกของพระตำหนัก ทหารองครักษ์หันมามองด้วยความประหลาดใจที่เห็นคนรูปงามออกมาจากพระตำหนักเร็วกว่าที่เคย
เมื่อกลับมาถึงที่พัก ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวเข้านอนตามปกติ สายลมเย็นพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง ไฟในตะเกียงดับวูบ แต่คนที่ยืนรออยู่กลางห้องกลับยิ้มกว้างจนผู้ที่เพิ่งมาถึงชี้หน้า
"เจ้าน่ะตัวดีนัก เรียกข้ามา แล้วก็หนีออกมาเสียได้"
เฉินอวี้คลี่ยิ้มกว้าง เพราะวันนี้ถูกต่อว่าแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ผลจากยิ้มกว้างทำให้ถูกดึงเข้ามากอดจูบ "คิดมากหรือไม่"
"ก็มีบ้าง แต่เพราะท่านพี่ตามมาถึงที่นี่ข้าก็ไม่คิดมากแล้ว" เฉินอวี้เปลี่ยนเรื่องถาม "กวางทองเป็นอย่างไรบ้าง"
"แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้กำลังเปลี่ยนจากกวางทองตัวน้อยเป็นกวางทองตัวแสบแล้ว"
เทพเสือโคร่งภูผาเล่าเรื่องของกวางทองด้วยรอยยิ้มกว้าง ผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินอวี้จึงเล่าเรื่องความเคลื่อนไหวของเมืองเหอให้ฟัง เทพเสือโคร่งภูผาพยักหน้า ตอบว่าเมื่อครู่ฮ่องเต้ก็ถามถึงเรื่องนี้เช่นกัน รวมถึงเรื่องสมุนไพรหายากที่ป่า ทั้งสองต่างแลกเปลี่ยนข้อมูลที่รับรู้มาแล้วหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เพื่อที่จะกลับมายังเรื่องที่เคยทำความตกลงกันไว้
"สรุปคือที่เมืองหลวงข้าต้องทำหมางเมินต่อเจ้า"

ต่างคิดตรงกันว่า ข้างนอกนั้นมีคนคอยเฝ้าจับตามองรองแม่ทัพเฉินอวี้อยู่ตลอดเวลา ทั้งสองจึงไม่ควรพบกันข้างนอกโดยเด็ดขาด
เพราะต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ถูกนำไปกราบทูล ก็อาจจะมีผลต่อความปลอดภัยต่อครอบครัวของรองแม่ทัพเฉินอวี้ได้

"คงไม่ต้องอยู่ที่นี่นานนัก เพราะคาดว่าอีกไม่กี่วันข้าก็คงต้องออกเดินทางอีก" เฉินอวี้กล่าวให้กำลังใจ
การเป็นผู้ที่ได้ทำงานใกล้ชิดฮ่องเต้ หากพอพระทัยในผลงานย่อมนำมาซึ่งชื่อเสียง ลาภ ยศ แต่หากไม่พอพระทัยก็อาจหมดลมหายใจได้โดยง่ายเช่นกัน
ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในฐานทัพตะวันออก ทั้งคู่เคยพูดคุยกันในเรื่องนี้ และทำความตกลงกันไว้ล่วงหน้า หากรองแม่ทัพเฉินอวี้ต้องเร่งเดินทางกลับมาในช่วงที่เทพเสือโคร่งภูผาไม่อยู่
แต่ที่ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ก็คือคุยกันไปมือของเทพเสือโคร่งภูผาก็ลูบไล้เข้าไปใต้สาบเสื้อ เฉินอวี้ตีมือก็แล้ว รั้งมือไว้ก็แล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายหยุดมือ ทั้งยังถูกผลักให้ล้มตัวลงนอน
"ท่านพี่ ข้าถูกคนคอยเฝ้าจับตาอยู่"
เทพเสือโคร่งภูผาแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ดวงตาเต็มไปด้วยรังสีของความชั่วร้าย ก้มลงโลมเลียที่ยอดอก แล้วลดลงไปจูบที่หน้าท้องแน่น เฉินอวี้ได้แต่ถอนหายใจยาว ยากที่จะฝืนความต้องการของตนเอง และปฏิเสธอีกฝ่าย
"พรุ่งนี้ข้ายังต้องไปทำงาน และจะไปหาท่านแม่ด้วย ขอความเมตตาท่านพี่อย่าเคี่ยวกรำข้านักเลย" เฉินอวี้เชื่อว่านี่คือคำอ้อนวอนขอความเมตตาที่เป็นเหตุเป็นผลที่สุดแล้ว หากมีร่องรอยใดๆ เกิดขึ้นฮ่องเต้จะต้องทรงทราบแน่ แต่เทพเสือโคร่งภูผากลับกอบกุมแก่นกายด้านหน้า แล้วนวดคลึง
"เจ้าก็รู้ว่าข้าชอบเวลาที่เจ้าร้องขอเป็นที่สุด"
"แต่ข้าขอร้องว่า..." เฉินอวี้กัดริมฝีปาก เมื่อนิ้วมือใหญ่สะกิดรอยแยกที่ส่วนปลาย
"ขอร้องว่า..."
เฉินอวี้ได้แต่ส่ายหน้า หยาดน้ำตาหยดจากหางตา ได้แต่คิดว่า พรุ่งนี้จะสามารถลุกจากที่นอนไปเยี่ยมมารดาไหวหรือไม่
เทพเสือโคร่งภูผากอดจูบร่างกายแข็งแรงด้วยความเสน่หา
ที่เฉินอวี้ใช้คำว่าเคี่ยวกรำนั้นก็มีเหตุผลอยู่ ด้วยเพราะการร่วมรักทุกครั้งเทพเสือโคร่งภูผาจะใช้สารพัดกลเม็ดเพื่อมากลั่นแกล้ง จนกระทั่งหมดแรงไปจึงจะหยุด ว่าที่จริงเทพเสือโคร่งภูผาหาได้มีความอดทนมากนัก เพียงแต่เมื่อคิดรางวัลที่ได้รับก็คิดว่าช่วงเวลาเหล่านั้นช่างยั่วยวนและแสนหวาน
เฉินอวี้เคยถึงขนาดที่แกล้งทำเป็นยอมแพ้หมดเรี่ยวแรง แต่ไหนเลยจะตบตาอีกฝ่ายที่เป็นเทพเสือโคร่งภูผาได้ ทั้งยังทำให้กลั่นแกล้งหนักกว่าเดิม ร่างกายอ่อนล้าดั่งถูกถอดกระดูกออกจากร่าง หลายครายังทำให้เกิดบาดแผล พอถูกเฉินอวี้โกรธ เทพเสือโคร่งภูผาก็ให้สัญญาว่าจะไม่รุนแรงเช่นนั้นอีก แต่ภายในหนึ่งเดือนก็อดไม่ได้ที่จะกลั่นแกล้งอีกสักครา และอีกครา
เทพเสือโคร่งภูผาอุ้มเฉินอวี้ไปอาบน้ำล้างตัวแล้วทายา จากนั้นก็สวมชุดนอนให้
ดวงตาสีเหลืองมองคนที่หลับไหล ริมฝีปากสวยเป็นสีแดงจัดด้วยรอยจูบ
“เด็กโง่...”
ทั้งที่เฉลียวฉลาดเป็นที่หนึ่ง ชนะผู้คนมามากมาย แต่กลับมองไม่ออกว่าแท้ที่จริงฮ่องเต้จางฉวนผู้นั้นกำลังมองผู้ใด
เขาต้องการการสนับสนุนจากข้า แต่เขามองเจ้า
เขาเรียกร้องความภักดี และต้องการให้เจ้าชื่นชมเขา
คนที่ฮ่องเต้ชอบมาตลอดหลายปีมานี้คือเจ้า เฉินอวี้...

การประจำอยู่ในเมืองหลวงเป็นเรื่องที่ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าเดิม เพราะที่นี่อยู่ห่างจากเมืองลั่วมากกว่าฐานทัพตะวันออก และ ตะวันตก ที่เฉินอวี้เคยไปประจำการ
ใจจริงอยากให้ย้ายรองแม่ทัพเฉินอวี้ไปอยู่ที่ฐานทัพฝ่ายเหนือมากกว่า เพราะเมืองลั่วอยู่ในขอบเขตของฐานทัพแห่งนั้น แต่เมื่อดูท่าทีของฮ่องเต้แล้วเทพเสือโคร่งภูผาเชื่อว่า เรื่องนี้คือเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
อีกอย่างการกลับมาอยู่เมืองหลวง ก็คือการที่ต้องตกอยู่ในสายพระเนตรของฮ่องเต้ตลอดเวลา
นั่นมันยิ่งน่าโมโหเป็นเท่าทวีคูณ
กลับมาอยู่เมืองหลวงได้ไม่เท่าไหร่ ฮ่องเต้ก็มีพระบัญชาให้ไปจัดการกลุ่มอิทธิพลที่เมืองชิ่งเหยียน ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่มากนัก
แม้ว่าสภาพภูมิประเทศของเมืองนี้จะคล้ายกับเมืองลั่ว แต่ป่าของชิ่งเหยียนไม่ได้เขียวขจีตลอดปีเหมือนเมืองลั่ว หลังการใช้เวลาหลายชั่วยามเพื่อสำรวจป่า เทพเสือโคร่งภูผาไม่พบร่องรอย ของสัตว์เทพแห่งป่าสีทองพลัดหลงมาที่ละแวกนี้
“จะว่าไปนี่ต้องถือว่าเป็นข่าวดี” ดวงตาสีเหลืองมองทิวเขาที่ทอดยาว “ถึงที่หายไปจะยังหาไม่พบแต่ก็ไม่มีผู้ใดที่หายไปอีก”
แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่ภายในใจก็ยังคงหนักอึ้ง
ระหว่างที่อยู่ที่เมืองชิ่งเหยียนนี้เอง กวางทองติดตามหยางหลงออกมาจากป่าสีทอง เรียกหาเทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดา
เพราะนี่มิใช่ครั้งแรกที่เทพเสือโคร่งภูผาจากไปอย่างเร่งด่วน เมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้เสร็จงานก็เดินทางกลับเมืองหลวง
แต่ในตอนที่เข้าเฝ้าฯ พบว่าเทพเสือโคร่งภูผามารออยู่ที่เมืองหลวงแล้ว
“เมืองเหอพยายามกดดันให้เมืองลั่วเปลี่ยนไปอยู่ฝ่ายเดียวกับตน” เทพเสือโคร่งภูผากล่าวกับฮ่องเต้มิได้กล่าวกับรองแม่ทัพเฉินอวี้โดยตรง “มันถึงเวลาที่จะต้องบอกกับเมืองเหอไปตามตรงว่าเจ้ารู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไร”
ฮ่องเต้จางฉวนทอดพระเนตรมองคนที่ก้มหน้ามองพื้น
"ให้เฉินอวี้ไปจัดการเรื่องของเมืองเหอก็ได้ แต่ข้ายังมีข้อแลกเปลี่ยนให้ท่านต้องไปจัดการให้ข้าระหว่างที่เฉินอวี้เดินทางขึ้นเหนือ"
เทพเสือโคร่งภูผากอดอกมองฮ่องเต้ แต่ออกคำสั่งกับอีกคนโดยที่มิได้มองหน้าว่าให้ไปเตรียมตัวออกเดินทาง
เมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้ออกเดินทางไปแล้ว จึงกล่าวถึงงานที่ตกลงกันไว้ "เรื่องนี้เกี่ยวกับอำนาจของเจ้าโดยตรง ยังต่อรองเพื่ออะไร"
ทรงจิบน้ำจัณฑ์เล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อ "เมืองเหอจะทำอะไรได้ นอกจากข่มขู่เพื่อนบ้านของเขาเองไปวันๆ ข้ายังอยากถามเรื่องที่อดีตฮ่องเต้ติดค้างท่าน"
"ข้ารักษาอาการป่วยของพระธิดา แลกกับการที่พระองค์จะดูแลผู้หญิงของข้า รวมถึงท่านหญิงหนานกง"
ทรงพยักพระพัตร์ "ญาติแพทย์หลวงหนานกงน่ะหรือ"
"ใช่"
เมื่อเทพเสือโคร่งภูผานิ่งไป ก็ทรงกระตุ้นให้เล่าต่อ
เรื่องราวในส่วนนี้จบลงไปหลายปีแล้ว เมื่อพบว่าท่านหญิงหนานกง คือผู้ให้คำแนะนำแพทย์หลวงใช้กระเรียนสีแดงมาเป็นตัวยากระตุ้นโอสถเพื่อรักษาพระอาการของฮ่องเต้องค์ก่อน
เหตุที่ต้องเป็นกระเรียนสีแดงก็เพื่อหวังให้มีความพยายามบุกรุกเข้าไปล่าสัตว์ในป่าสีทอง เพื่อให้เทพเสือโคร่งภูผากลับออกมา แต่สุดท้ายตั้งแต่นายพราน แพทย์หลวงหนานกง จนถึงท่านหญิงหนานกงก็สิ้นชีวิตไปแล้วทั้งหมด
“นางไม่รู้ว่าเจ้ากลับออกมานานแล้ว แต่คิดว่าเจ้ายังอยู่ที่นั่นมาตลอดจึงไม่ได้กลับมาหานาง”
เทพเสือโคร่งภูผายอมรับว่าเป็นเช่นนั้น ขณะที่ฮ่องเต้ทรงพระสรวลเบา ๆ
“ในช่วงเวลานั้น เจ้ายังเคยเข้าหาพระสนมของอดีตฮ่องเต้ด้วยซ้ำ”

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 07-12-2017 10:15:04
(ต่อ)

เห็นได้ชัดว่าความสนใจในประเด็นนี้ของฮ่องเต้ แตกต่างจากเทพเสือโคร่งภูผา แต่ก็ยังคงรับฟังเผื่อว่าจะได้เบาะแสเพิ่มเติม
ข้อสังเกตเรื่องการใช้กระเรียนเพื่อกระตุ้นตัวยา ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาต้องเดินทางไปที่เมืองจงพวนอีกครั้งเพื่อสอบถามจากบุคคลในครอบครัวหนานกงที่ยังเหลืออยู่ พวกเขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นำสมุดบันทึกทั้งหมดที่มีอยู่มามอบให้ เทพเสือโคร่งภูผาเสียเวลาไปกับการตรวจสอบอยู่หลายวัน จึงได้เดินทางกลับมาที่เมืองลั่ว
ซึ่งก็ยังช้ากว่ารองแม่ทัพเฉินอวี้ไปก้าวหนึ่ง
ต่อให้มีพลังของเทพแห่งป่าสีทอง ต่อให้รู้วิธีการใช้เส้นทางลัดแล้วอย่างไร หากมัวแต่ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้วุ่นวายอยู่ตลอดทาง สุดท้ายเจ้าก็ไปถึงที่หมายสุดท้ายอยู่ดี
ส่วนในการเดินทางของรองแม่ทัพ ระหว่างทางนั้นมีม้าเร็วจากเมืองหลวงไล่ตามมาจนทันเพื่อส่งต่อพระบรมราชโองการไปยังหยางหลงเจ้าเมืองลั่วคนใหม่
เรื่องการเดินทางของหนังสือและผู้คนระหว่างเมืองลั่วกับเมืองหลวงเหล่านี้ ใช้เวลาเดินทางไปกลับหลายรอบจนน่ามึนงงสงสัยในความเร็วของม้าเร็วสื่อสารยิ่งนัก
ดังนั้น เมื่อรับพระบรมราชโองการมาอยู่ในมือ รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงหัวเราะ จนทำให้ม้าเร็วสื่อสารสงสัยว่าหัวเราะอันใด
"มีเรื่องผิดพลาดหรือขอรับ"
"ไม่มีอะไรหรอก"
รองแม่ทัพบอกปัดแล้วบอกให้ม้าเร็วสื่อสารไปพักผ่อน
...จะไม่ให้หัวเราะได้อย่างไร
เทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้น สมควรเป็นคนแรกที่ได้รู้ว่าตำแหน่งเจ้าเมืองลั่วมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว
แล้วตอนนี้เขาไปอยู่เสียที่ใดกัน...

รองแม่ทัพเฉินอวี้ที่เร่งเดินทางโดยลำพังไปถึงเมืองลั่ว และตรงไปที่ศาลาว่าการเมืองเพื่อพบกับหยางหลงเจ้าเมืองลั่วคนใหม่เป็นลำดับแรก แต่ต้องเป็นฝ่ายประหลาดใจและกังวลใจในเวลาเดียวกันเมื่อพบว่า ลู่กวางทองบุตรชายผู้เป็นที่รักยิ่งของเทพเสือโคร่งภูผาถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ

เด็กหนุ่มผู้นั้นมีแขนขาลีบเล็กผิดปกติอย่างชัดเจน แต่มีดวงตา คิ้ว จมูก ริมฝีปาก ไปจนถึงเส้นผมที่งดงามอย่างยิ่ง
เทพเสือโคร่งภูผาเคยชมว่าตนนั้นงามนัก  หลายคนบอกว่าตนเป็นชายรูปงาม แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มผู้นี้ รองแม่ทัพเฉินอวี้กลับรู้สึกว่าตนเองนั้นเปรียบเหมือนดินก้อนหนึ่ง
ลู่กวางทองผู้นี้ต่างหากคือคนรูปงาม ทั้งมีจิตใจที่ดีงาม มองทุกสิ่งทุกอย่างในแง่มุมเดียวจนรู้สึกถึงความแปลกแยกเมื่อต้องมาอยู่ท่ามกลางมนุษย์ธรรมดา

โดยไม่รู้ตัว รองแม่ทัพเฉินอวี้ยังกลายเป็นอีกคนหนึ่งที่คิดว่าหยางหลงเจ้าเมืองลั่วยังดีไม่พอที่จะดูแลลู่กวางทอง คนผู้นี้อาจมีความสามารถ มีความรอบรู้ แต่ก็กลับมีข้อบกพร่องที่ทำให้ไม่อยากมอบลู่กวางทองให้ดูแล 
นอกเหนือจากเรื่องนี้แล้วรองแม่ทัพเฉินอวี้ยังรู้สึกเป็นกังวลที่บรรดาเทพแห่งป่าสีทองปรากฎตัวหน้าเหอหลินจื้อ ซึ่งอาจส่งผลต่อเมืองลั่วและป่าสีทองในภายหน้า
ความกังวลเหล่านี้ ทำให้รองแม่ทัพเฉินอวี้ยื่นมือเข้าไปช่วยจัดการเรื่องการตัดสินคดีฆาตกรรมหยางเจียเจิง แล้วร่วมเดินทางไปกับหยางเฉิงเจ้าสำนักคุ้มกันภัย เพื่อควบคุมตัวเหอหลินจื้อไปที่เมืองเหอ

และที่นั่น รองแม่ทัพเฉินอวี้ได้พบเบาะแสบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกับการที่กระเรียนขาวแห่งป่าสีทองสูญหายไป
ชาวเมืองเหอตั้งแต่ผู้ปกครองลงมาจนถึงชาวบ้านไม่เชื่อว่าป่าสีทองคือป่าของเทพแห่งสัตว์ป่า แต่มองว่าป่าแห่งนี้มีสัตว์ป่าซึ่งมีลักษณะเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นกระเรียนหลากสี งาช้างที่มีสีเหมือนอัญมณี และหนังสัตว์อ่อนนุ่ม

ชายหนุ่มรู้ใจเทพเสือโคร่งภูผา ว่าในเรื่องการล่าเพื่อเป็นประโยชน์ใช้สอยนั้นยอมรับได้ แต่ล่าเพื่อการอื่นเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
ส่วนเหอหลินจื้อที่ว่าง่ายยามอยู่ในการควบคุมของรองแม่ทัพเฉินอวี้ กลายเป็นหนึ่งในผู้ปกครองเมืองเหอที่แสนจะดื้อรั้น เมื่อเดินทางมาถึงเมืองเหอ ทั้งมีท่าทีว่าจะหลงลืมไปแล้วว่าพบเห็นเทพแห่งป่าสีทอง
...หรือจะถูกล้างความทรงจำในส่วนนี้...รองแม่ทัพเฉินอวี้ตั้งใจว่าจะสอบถามเทพเสือโคร่งภูผาในโอกาสต่อไป

อาจกล่าวได้ว่า เมืองเหอแห่งนี้มีรังสีของการไม่ต้อนรับรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่สามารถรับรู้ได้ตั้งแต่ยามที่ประตูเมือง เมื่อพวกยามและเจ้าพนักงานต่างแสดงท่าทีขึงขังไม่พอใจเมื่อเห็นว่ารองแม่ทัพควบคุมตัวผู้ใดมา
แต่หลังจากการทำงานรับใช้ฮ่องเต้จางฉวนมาหลายปี ทำให้ชายหนุ่มพอจะรู้วิธีรับมือสถานการณ์เช่นนี้อย่างน้อยห้าวิธี
และวิธีที่รองแม่ทัพเฉินอวี้เลือกใช้ก็คือ การควบคุมตัวของเหอหลินจื้อเข้าไปที่ศาลาว่าการเมือง ส่งหนังสือให้เจ้ากรมเมืองรับทราบ จากนั้นก็ไปพบกับเหอชินจ้าว เจ้าเมืองเหอ
เหอชินจ้าวเป็นชายรูปร่างอ้วน ดวงตายาวเรียว ไว้เคราแพะ ทุกคำพูดที่ออกมาล้วนมีแต่คำโอ้อวด และย้ำแต่คำว่า เหอหลินจื้อผู้เป็นน้องชายถูกคนปรักปรำใส่ร้าย ต่อให้รองแม่ทัพเฉินอวี้ยื่นรายงานการพิจารณาคดีให้อ่าน หรือกล่าวถึงคำสารภาพ เหอชินจ้าวผู้นี้ก็จะย้อนกลับไปที่เรื่องเดิม

เหอชินจ้าว เหอหลินจื้อ มาถึงเหอชินรุ่ย ล้วนมีนิสัยดื้อรั้นไม่สนใจผู้อื่น รู้แต่ว่าตนเองต้องการสิ่งใดเท่านั้น
หรือนี่จะเป็นนิสัยประจำตระกูลเหอ

รองแม่ทัพเฉินอวี้มีสีหน้าหนักใจยามเมื่อกล่าวคำ "หนึ่งในการเป็นผู้นำที่สามารถมัดใจคนก็คือการแสดงตนว่าเป็นผู้มีความยุติธรรม เหอชินรุ่ยมีความเคารพพี่ชายของนางยิ่งนัก และทำให้หยางติงที่รักฮูหยินมาก ก็ให้ความเคารพพี่ใหญ่และพี่รองของฮูหยินเป็นอย่างมากเช่นกัน ทั้งปู่และย่าสองคนมีหยางเจียเจิงเป็นความหวัง แต่เขาถูกคนวางยาพิษจนถึงตาย จะด้วยความผิดพลาดหรือเจตนาก็ตาม แต่เหอชินรุ่ยก็เสียใจเป็นอย่างมาก หรือต่อให้เด็กคนอื่นต้องตายไปเพราะการนี้ นางก็เสียใจไม่ต่างกัน นางสำนึกในความผิดของตน ยอมรับการลงโทษโดยไม่ต่อรอง ชาวเมืองลั่วจึงให้ความเคารพนางไม่เสื่อมคลาย" น้ำเสียงที่กล่าวต่อไปนั้นเนิบช้า เพื่อให้เจ้าเมืองเหอ และเหอหลินจื้อได้มีเวลาคิดทบทวน "ความขัดแย้งของผู้ใหญ่ไม่ควรให้เด็กต้องเป็นผู้รับเคราะห์ ศรัทธานั้นสร้างได้ยาก ต้องใช้เวลานาน แต่การจะทำลายมันใช้เวลาเพียงชั่วกระพริบตาเท่านั้น"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ และหยางเฉิง เมื่อส่งผู้ต้องหาให้กับเมืองเหอแล้วก็ไปพักอยู่ในเมืองคืนหนึ่ง แต่การสืบข่าวของทั้งคู่ไม่ได้ผล เพราะการเคลื่อนไหวที่เป็นไปอย่างเปิดเผย
แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำที่ถูกเรียกให้เข้ามาที่เมืองนี้ก่อนหน้าที่รองแม่ทัพจะเดินทางมาถึง และเดินทางกลับออกไปทีหลัง ได้ข้อมูลที่น่าสนใจยิ่ง

"ข้าได้กลิ่นไอของสัตว์เทพแห่งป่าสีทองที่จวนเจ้าเมือง"

เป็นคำรายงานสั้น ๆ ที่ทำให้ที่ประชุมของป่าสีทองซึ่งประกอบไปด้วย เทพเสือโคร่งภูผา เทพกวางสายฟ้า เทพกวางสายลม รองแม่ทัพเฉินอวี้ และหยางหลงเต็มไปด้วยความตึงเครียด
ที่กล่าวกันว่าป่าสีทองมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี เห็นจะไม่เป็นความจริง เพราะในเวลานี้บรรดาเทพทั้งสี่มาจนถึงหยางหลงล้วนมีแต่ความไม่พอใจสุ่มเสี่ยงที่จะพากันไปวางเพลิงเมืองเหอได้ตลอดเวลา
สาระแรกของการประชุมครั้งนี้ คือการแก้แค้นที่กวางทองต้องถูกคุมขังในเรือนจำ
และสาระต่อมาคือเรื่องสัตว์เทพของป่าสีทองที่จวนเจ้าเมืองนั้น
รองแม่ทัพเฉินอวี้ต้องบรรเทาความไม่พอใจด้วยการขอให้ทั้งหมดใช้ความรอบคอบก่อนลงมือ "คนจากเมืองเหอไม่เชื่อเรื่องสัตว์เทพแห่งป่าสีทอง เหอหลินจื้อกับผู้ติดตามที่แม้จะพบเห็นพวกท่านด้วยตาตนเอง เมื่อกลับไปถึงเมืองเหอก็ทำเหมือนกันลืมเรื่องนี้ไปแล้ว"
เปลี่ยนเรื่องสนทนาไปเพียงเล็กน้อย ทั้งหมดก็เริ่มผ่อนคลายความเคร่งเครียดลง
นางเทพกวางสายลมเอียงคอเล็กน้อยแต่พองาม "จะว่าไปก็ไม่เชิงลืมนะ"
เทพเสือโคร่งภูผากล่าวเสริม "น่าจะเรียกว่าทำให้ไม่แน่ใจ แล้วก้าวข้ามไป"
เทพกวางสายฟ้ายิ้มแบบคนดีมีเมตตาขณะที่กล่าวกับเฉินอวี้ และหยางหลง "ในแต่ละวันเราพบเจอเรื่องราวมากมาย ทำไมบางเรื่องเราถึงจำได้แม่นยำ บางเรื่องก็ลืม นั่นขึ้นอยู่กับลำดับความสำคัญที่เรามีให้กับเรื่องนั้น  พื้นฐานของจิตใจ และช่วงเวลาที่เกิดขึ้นด้วย คนพวกนั้นพบพวกเราเพียงครู่เดียวก็หายไปเราจึงชักจูงจิตใจให้เขาไปสนใจเรื่องอื่น ยกให้เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง สุดท้ายเขาก็จะก้าวข้ามและเมื่อกลับมาทบทวนก็ไม่แน่ใจว่าถูกต้องครบถ้วน ส่วนเรื่องที่พบเทพเสือโคร่งกับลู่กวางทองแม้จะมีระยะเวลายาวนานกว่า แต่ทั้งคู่ไม่ได้ตอกย้ำเรื่องพลังใด ๆ แล้วยิ่งมีเทพเสือโคร่งศิลาดำตามไปถึงเมืองเหอเช่นนี้ เขามีเวลามากมายที่จะบิดเบือนการรับรู้ของคนเหล่านั้น"
เฉินอวี้ที่พบเจอพลังวิเศษมากมายของบรรดาเทพแห่งป่าสีทอง พยักหน้าด้วยความเข้าใจ
เข้าใจว่าเทพเหล่านี้ทำได้ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับว่าทำหรือไม่เท่านั้น
เมื่อเข้าใจแล้วก็กลับไปเรื่องที่เทพเสือโคร่งศิลาดำชี้เบาะแสไว้
"ท่านศิลาดำคาดว่าจะอยู่ในจวนเจ้าเมือง แต่เท่าที่สำรวจดูไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติ"
นางเทพกวางสายลมเหลือบตามองเทพเสือโคร่งภูผา ก่อนที่จะแสดงความเห็น "อาจอยู่ใต้ดิน หรืออาจเปลี่ยน...เป็นอย่างอื่น..."
เทพเสือโคร่งภูผานั่งหลังตรงกอดอกมองเทพกวางสายฟ้ารอให้แสดงความเห็น แต่เมื่อไม่ได้เอ่ยคำใด ก็พูดขึ้น
"ได้ ข้าจะไปเมืองเหอ จะจัดการเรื่องที่กวางทองต้องไปอยู่ในเรือนจำก่อน"
...ส่วนเรื่องของไอสัตว์เทพที่ว่า ขึ้นอยู่กับสถานการณ์...

...จบตอนที่ยี่สิบหก...

ในที่สุดเรื่องก็มาป๊ะกันแหมกับภาคแรกแล้ว
คุยกับเราบ้างนะ เราอยากคุยกับเตงนะ

น้ำชา

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: windy49 ที่ 07-12-2017 11:24:21
ขอบคุณมากๆ ค่ะ อ่านตอนนี้แล้วคิดถึงกวางทองจัง  :hao5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-12-2017 14:22:20

เบาะแสอยู่ที่เมืองเหอนี่เอง  เหมือนจะอยู่ใต้จมูกพ่อเสือนิดๆไม่น่าเชื่อว่าตบตาพ่อเสือได้มาขนาดนี้

แต่......เอาจริงเหรอพ่อเสือที่ว่าฮ่องเต้สนใจเฉินอวี้ นี่หื้มมมมในใจยาวมาก คือทั้งหมดนั่นแกล้งเพราะรักหรอกเหรอ  :mew5:




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-12-2017 15:21:51
ไอสัตว์เทพอยู่ที่เมืองเหอ อาจเปลี่ยนแปลงรูป
ไม่ใช่ถูกเอาไปเป็นตัวยา หรือเป็นเครื่องประดับห้องไปแล้วรึ

น่าคิดที่ว่าฮ่องเต้สนใจเฉินอวี้คนงาม
ไม่ใช่สนใจเทพเสือโคร่งภูผาหรอกรึ
ฮ่องเต้ได้ประโยชน์สองต่อ
ได้ใช้งานเฉินอวี้ ขณะเดียวกันก็ได้ประโยชน์จากเทพเสือโคร่งด้วย
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 07-12-2017 15:56:22
ก็เดาอยู่ว่าฮ่องเต้จอมเจ้าเล่ห์นั้นต้องชอบอวี้เอ๋อร์แน่ๆ  :m16:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 07-12-2017 16:05:44
เข้มข้นขึ้นล่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-12-2017 10:11:48

 :mc3:  :mc3: มีตอนพิเศษมาฉลองก่อนหรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 15-12-2017 15:55:14
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 15-12-2017 19:48:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 19-12-2017 11:25:00
 :serius2: :serius2:

ฮ่องเต้ควรได้รับบทเรียนบ้าง เเต่ก็นะบางทีพ่อเสือก็ทำตัวไม่น่ารักกับเเม่เล็กจริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 21-12-2017 16:44:37

 :จุ๊บๆ:



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 22-12-2017 05:08:15
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 22-12-2017 07:00:09
 :m27: :m27:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-12-2017 22:31:02
เบียดเบียนไม่เลิกรา เมืองเหอนี่ยังไงนะ

ฮ่องเต้น่าตี แกล้งคนงามอยู่ได้ เหมือนเด็ก ๆ เลย ชอบเขาเลยเรียกร้องความสนใจด้วยการแกล้งเขา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 25-12-2017 16:03:20

 :mc1: เมอร์รี่คริสต์มาส


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 28-12-2017 10:28:03

มานั่งรออยู่หน้าบ้านนี่แหล่ะ  :mew1:

ว่าแต่ใกล้ถึงปีใหม่แล้วววววววว


 :pig3:

+

 :L2:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 28-12-2017 19:10:06
 :L2: แวะมาหาพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 02-01-2018 09:51:41
 :3123: :3123:

แวะมาสวัสดีปีใหม่ค่ะ...รอพ่เสือต่อไป
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 02-01-2018 17:24:40
สวัสดีปีใหม่2561นะคะ :L2: :L1: :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 06-01-2018 16:04:40
มายัง มายัง  คิดถึงแล้วนะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 08-01-2018 13:46:25


ก๊อกๆๆๆ พ่อเสืออออออออออออออ


ฮาโหลๆๆๆๆ เฉินอวี้


มาเถิดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

 :m5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-01-2018 08:24:46


 :z12:     :impress:     :z12: 


ฮึบ ฮึบ




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 09-01-2018 09:21:43
 :z13: :z13:

จิ้มๆพ่อเสือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 10-01-2018 13:21:32

:ped149: 

:ped149:


อีกนิดเดียว


:กอด1:


:กอด1:



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 10-01-2018 18:59:23
 :mew2:
 ยังไม่มาเลยยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 12-01-2018 06:53:34
 :impress3:

 :katai4:

 :ling1:

 :ling2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-01-2018 11:36:58


   อีกนิดๆๆๆๆ  :ped149:   :ped149:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่26 P28(71260)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-01-2018 17:10:29
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 14-01-2018 13:16:04
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่ยี่สิบเจ็ด


รองแม่ทัพเฉินอวี้ตระหนักว่าตนเองกำลังเข้าใกล้ความเป็นที่หนึ่งแห่งแผ่นดิน ด้านการสังเกตการณ์แล้วสรุปทุกอย่างด้วยตนเอง อันเป็นผลมาจากการที่มีเทพเสือโคร่งภูผาเข้ามาอยู่ในชีวิต
ในตอนแรกก็สรุปผิดมากกว่าถูก แต่หลังจากที่รู้จักกันมาเกินสิบปี ความสามารถด้านนี้ก็ก้าวหน้าไปมิใช่น้อย
ลำดับขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากอันใด เพียงแต่ต้องใช้ความอดทนมากเป็นพิเศษเท่านั้น เพราะเทพเสือโคร่งภูผา เป็นผู้ที่มีภารกิจวุ่นวายตลอดเวลา เรื่องเดียวที่เต็มใจเล่าให้ฟังก็คือเรื่องของลู่กวางทอง บุตรชายผู้เป็นที่รัก นอกนั้นแล้วจะเล่าเพียงครึ่งหนึ่ง หรือหากถามมากเข้าก็จะแสร้งบ่ายเบี่ยงแล้วก็ไม่เล่าให้ฟังเลย
ดังนั้นหากเจ้ารู้เรื่องของเขา เดาใจเขาได้ ก็ไม่ควรพูดออกไปว่ารู้
เรื่องต่อมาคือการใช้พลังในการเดินทางลัด ที่น่าจะใช้พลังในการเดินทางแต่ละครั้งไม่น้อยเลย แม้ทุกคราที่เดินทางเช่นนี้แล้วเทพเสือโคร่งทั้งพ่อและลูกมักมีท่าทีนิ่งเฉย ทำเหมือนเป็นการเดินทางที่ช่างจะปกติธรรมดา แต่การที่พวกเขาไม่เดินทางต่อเนื่อง เมื่อมาพบกันแล้วจะหยุดครู่หนึ่ง หรืออาจต้องพักข้ามวันแล้วจึงเดินทางต่อ หรือในกรณีที่ต้องทำงาน ทั้งคู่จะใช้วิธีฝังตัวอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเพื่อสืบค้นจนแน่ใจแล้วจึงลงมือ
ในแง่ของประสิทธิภาพของการลงมือ นี่ย่อมมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
และหลังจากที่ลงมือพวกเขาต้องการช่วงเวลาอีกเล็กน้อยเพื่อฟื้นฟูพลัง
แต่ก็ดั่งที่กล่าวมา คือด้วยศักดิ์ศรีแห่งเทพเสือโคร่ง ก่อนที่จะแยกย้ายกลับไปเมืองหลวง เฉินอวี้จึงกล่าวให้กำลังใจต่อเทพเสือโคร่งภูผา และบอกว่าจะช่วยสืบเรื่องทางเมืองหลวงเพื่อให้เทพเสือโคร่งภูผาสามารถดูแลกวางทองได้อย่างเต็มที่ แต่เทพเสือโคร่งภูผากลับกังวลว่าอีกฝ่ายจะมัวแต่รับใช้ฮ่องเต้ ไม่กลับมาที่ป่าสีทอง จึงบอกให้ช่วยนำคนงานมาซ่อมกระท่อมที่พักของลู่กวางทองกับหยางหลง
“พวกเราอยู่ในนี้จะให้เดินออกไปว่าจ้างนายช่าง คนงานมันก็กระไรอยู่ใช่หรือไม่ รบกวนเจ้าจัดการเรื่องนี้น่าจะดีกว่า” หน้าตาใสซื่อนั่น หลอกตนเองยังทำไม่ได้ ยังจะคิดไปหลอกผู้อื่นอีก
“ให้ศิลาดำจัดการก็ได้”
“เพ้ย เจ้านั่นมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ” ยังแสร้งทำสีหน้าแบบนั้นอยู่อีก
“ก็ได้”
ไม่ต้องบรรยายก็ได้กระมังว่าเทพเสือโคร่งภูผามีความยินดีขนาดไหน
แต่ตอนที่กลับมาอีกครั้งในอีกหลายเดือนถัดมา หลังจากที่เฉินอวี้และคนงานมาถึงปากทางของป่าสีทอง ถวายสุราจอกเล็ก เมล็ดข้าวเปลือกแล้วยืนรอครู่หนึ่งเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ออกมารับ
ท่าทีเงียบขรึมของเทพเสือโคร่งศิลาดำทำให้บรรดาคนงานที่เดินตามเข้ามามีความหวาดกลัว แต่เมื่อเฉินอวี้ให้คำรับรองทั้งหมดก็เดินตามกันมาด้วยความวางใจมากขึ้น
ในช่วงเวลากลางวันเฉินอวี้อยู่คุมคนงานก่อสร้างกระท่อม แต่เมื่อเย็นลงเทพเสือโคร่งภูผาจึงปรากฎตัวขึ้นเพื่อมารับเฉพาะเฉินอวี้กลับไปที่ถ้ำยาซึ่งเป็นที่พักของเทพเสือโคร่งภูผา
ขณะที่อากาศภายนอกหนาวเย็น แต่ที่นี่อากาศกำลังอบอุ่นสบาย เช่นเดียวกับหนังสัตว์อ่อนนุ่มที่เทพเสือโคร่งภูผานำมาปูนอน ทำให้เฉินอวี้หลับสนิทไปแทบจะในทันทีที่ล้มตัวลงนอน
"ไม่เจอกันตั้งหลายเดือน แต่พอมาเจอกัน เจ้ากลับหลับสบายเสียนี่" เทพเสือโคร่งภูผาบ่นด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เปลี่ยนร่างกลับไปเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ลงนอนข้างกัน
ครั้นในยามสายของวันถัดมา เทพเสือโคร่งภูผาก็จะพาคนงามกลับมาส่ง ส่วนตนเองก็กลับไป
“เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่” เฉินอวี้ไต่ถามคนงาน ทั้งหมดตอบว่าหลับสบายมาก
“ที่นี่เงียบสงบ มีเสียงนกกลางคืนดังมาเป็นระยะ แต่นอกนั้นแล้วก็ไม่มีเรื่องใด นอนหลับสบายมากขอรับ”
สองวันถัดมาการซ่อมแซมกระท่อมก็เสร็จสมบูรณ์ เมื่อเทพเสือโคร่งภูผามาเห็นเข้าก็พลันเกิดความคิดอยากให้เฉินอวี้พักอยู่ที่ป่าสีทองต่อไปอีก
"อยู่ต่อคงมิได้ เพราะข้าต้องเดินทางและตามทำงานตามพระบัญชา ทั้งไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่นอนแบบเจ้าเมืองลั่วที่กลับมาที่นี่"
ทุกวันนี้ยังมีเวลาที่ได้กลับบ้านไปพบท่านแม่ได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้นเอง
"เช่นนั้นก็ลาออกกลับมาอยู่ที่นี่ดีหรือไม่"
เฉินอวี้มองคนเสนอความเห็นเหมือนไม่เชื่อสายตาตนเอง "ท่านจะให้ข้าลาออกหรือ"
"ใช่ กวางทองบอกว่าถ้าหยางหลงไม่กลับมาเมื่อครบกำหนดหกเดือน เขาจะมาอยู่กระท่อมนี้เอง เจ้าก็มาอยู่เป็นเพื่อนกวางทองดีหรือไม่"
“ที่กวางทองกล่าวแบบนั้นก็เพราะเขาเป็นกังวล ท่านพี่รู้หรือไม่” แทนที่จะปลอบใจให้กำลังใจแก่บุตร กลับจะให้ภรรยาย้ายมาอยู่กับบุตรในทันที
เทพเสือโคร่งภูผาหงายมือยอมรับสารภาพ
"ข้าก็แค่อยากให้เจ้ามาอยู่ด้วยกันที่นี่เท่านั้นเอง"
คาดว่าหลายวันมานี้จะสุขสบายเกินไป สมองไร้เรี่ยวแรงคิดไม่ทัน
"สรุปคือในใจท่านพี่ อยากให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนกวางทอง หรืออยากให้มาอยู่กับท่าน"
"มันก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไง"
เฉินอวี้ยอมรับว่าภายนอกนั้นเหมือนกัน แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเทพเสือโคร่งภูผาต่างหากคือเรื่องที่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ
เทพเสือโคร่งภูผาเป็นบิดาที่รักบุตรมาก เฉินอวี้ก็รักกวางทองมากเช่นกัน และต่างก็รู้ว่ากวางทองต้องการกำลังใจเพื่อฝึกฝน แต่ก็ถูกถ่วงรั้งไว้ด้วยความรู้สึกหวั่นไหวในเรื่องความรัก ความกังวลว่าหยางหลงจะไม่กลับมาหาตามกำหนด
ลำพังการที่จะให้มาอยู่กับกวางทองและให้กำลังใจนั้นเฉินอวี้ย่อมให้ได้
แต่ก็เชื่อว่าหากมาอยู่ที่กระท่อมนี้กับลู่กวางทองขึ้นมาจริงๆ ก็จะต้องพบเจอกับเทพเสือโคร่งภูผาที่ไม่ปิดบังสีหน้าท่าทางมีความสุขมาก อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้
เพียงแค่คิดก็ทำให้เฉินอวี้รู้สึกละอายใจต่อกวางทองเป็นอย่างมาก จึงหันไปบอกคนงานให้เริ่มเก็บของ
เมื่อเขาทำเมินเฉย ทางนี้รู้ตัวก็แกล้งเย้าแหย่ให้คนงามหันมาตอบสักคำ แต่เฉินอวี้ก็ยังนิ่งเงียบ
“ทำงานเสร็จแล้วจะรีบไปที่ใดกัน ในเมืองมีงานรื่นเริงหรือ”
กวางทองกับสหายตัวเล็กที่เพิ่งมาถึงเห็นแม่เล็กหน้าตาเรียบเฉย กำลังบอกให้คนงานเก็บของก็ตกใจว่า จะกลับแล้วหรือ
“เหตุใดท่านแม่กลับไปเร็วนัก เพิ่งมาได้เพียงสามวันเองมิใช่หรือ”
เฉินอวี้ยิ้มอ่อนโยนให้กับกวางทองและสหาย “การเดินทางระหว่างป่าสีทองกับเมืองหลวงใช้เวลาหลายวัน ครานี้ข้าเสียเวลาคัดหาคนงานมาทำงานให้เจ้าไปหลายวัน ทั้งการซ่อมกระท่อมก็เสร็จแล้ว จึงสมควรกลับไป”
กวางทองหันไปมองหน้าบิดา แล้วหันมาหาแม่เล็ก สีหน้า สายตาตัดพ้อที่เป็นอาวุธร้ายแรงนั้น ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาถึงกับทำอันใดไม่ถูก
“พวกเรามิได้ขัดแย้งกัน”
“ไม่เลย”
“ตอนนี้ซ่อมกระท่อมเสร็จแล้ว”
“แล้วข้าก็ต้องพาคนงานกลับไปส่ง”
“จากนั้นก็ไปเมืองหลวง”
“แล้วก็จะกลับมา พาคนงานมาซ่อมบ้านให้เจ้าอีก”
“เพราะว่าบ้านที่ไม่มีคนอยู่จะทรุดโทรมเร็ว ต้องคอยซ่อมอยู่เสมอ”
“ข้าจะกลับมาและเชื่อว่าหยางหลงจะต้องมาหาเจ้าตามที่นัดกันไว้อย่างแน่นอนเช่นกัน"
กวางทองคลี่ยิ้มงามที่ทำให้มวลบุปผาในป่าสีทองต้องอับอาย "จริงๆนะ"
"จริงสิ เมื่อหยางหลงให้สัญญากับเจ้าไว้แล้ว เขาก็ต้องทำตามสัญญาอย่างแน่นอน"
เทพเสือโคร่งภูผาอมยิ้มแก้มแทบแตก เมื่อเห็นเฉินอวี้ให้คำมั่นกับลู่กวางทองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าจะกลับมา แต่ก่อนที่จะออกเดินทางเทพเสือโคร่งภูผาก็อดไม่ได้ที่จะถามย้ำอีกหลายครา
เฉินอวี้ชะโงกมองไปทางลู่กวางทองกำลังพูดคุยอยู่กับกวางไพลิน ก่อนที่จะหันมากัดฟันกล่าวกับเทพเสือโคร่ง
"ให้กำลังใจบุตรทำได้หรือไม่”
“ได้สิ”
“แล้วเหตุใดจึงไม่ทำ กลับพูดนั่นพูดนี่เพื่อให้ข้าลาออกมาอยู่กับท่านพี่”
"เพ้ย ลูกผู้ชายไม่ต้องกล่าวคำมากมาย” เทพเสือโคร่งภูผาทำท่าทางไม่ใส่ใจ “ทั้งหมดนี้มันคือแผนสำรอง"
"เรื่องนี้มีแผนเดียวก็พอ ถึงเจ้าเมืองลั่วจะมีภาระหน้าที่มากมาย แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีรักมั่นคงต่อกวางทอง ท่านควรให้กำลังใจต่อบุตรต่างหาก" ไม่ใช่มาทำหวานชื่นกับผู้อื่น ต่อหน้าคนที่กำลังเป็นกังวล
"ก็เผื่อไว้ก่อนไง"
เฉินอวี้ชกที่ไหล่หนา "ห้ามพูด"
“หมัดหนักไปแล้ว”
“ห้ามทำหน้าตาระรื่น เวลาที่ลูกเป็นทุกข์ใจด้วย”
“แต่ข้า...” เทพเสือโคร่งภูผาจับใบหน้าตนเอง “ข้ารู้สึกเจ็บแก้ม”
“ท่านพี่”
“ก็ได้ๆ อยากให้ทำอะไรเล่า”
“ให้กำลังใจเขา ปลอบโยน แล้วก็บอกให้เขาเชื่อมั่นในความรักของตนเอง”
“เหมือนเจ้ากับเข้าใช่หรือไม่”
นี่คือเทพเสือโคร่งภูผาคนเดียวกับที่พบกันที่เมืองหลวงจริง+หรือนี่ หรือยังมีเทพเสือโคร่งผู้อื่นที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน
สรุปแล้ว รองแม่ทัพคนงามตอนที่มาถึงก็มาอย่างรีบเร่ง และตอนที่กลับไป ก็ยังกลับไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ต่อมาเฉินอวี้ได้รับจดหมายแจ้งว่า หยางหลงเจ้าเมืองลั่วมาพบลู่กวางทองตามที่นัดไว้ก็รู้สึกคลายความกังวล เมื่อถึงช่วงวันหยุดพัก ก็ไปที่หมู่บ้านของนายช่างเพื่อรับมาซ่อมแซมกระท่อม แต่นายช่างเสนอให้ซ่อมกระท่อมให้แข็งแรง เพื่อป้องกันลมและฝนได้ดีขึ้น
ดังนั้นการมารอบนี้จึงมีคนงานจำนวนมากกว่าเดิม วัสดุอุปกรณ์จำนวนมาก พร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้สำหรับหยางหลงและกวางทอง
การก่อสร้างในรอบนี้มีความจริงจังมากกว่าเดิมเมื่อมาถึงก็มีการแบ่งกลุ่มกัน กลุ่มหนึ่งช่วยกันสร้างเพิกที่พักคนงานระหว่างก่อสร้าง
อีกกลุ่มรวมถึงเฉินอวี้ช่วยกันรื้อถอนกระท่อมหลังเดิม ระหว่างนั้นหัวหน้าคนงานถามว่าในเมื่อจะต้องปลูกใหม่เหตุใดไม่ย้ายไปอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำมากกว่านี้
"เขาอยากให้บุตรอยู่ใกล้ๆน่ะ" 
ด้วยกระท่อมที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นบ้านชั้นเดียวหลังนี้ตั้งอยู่ใกล้กับเขตของฝูงกวางเทพ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเทพกวางทั้งสองหรือเทพเสือโคร่งภูผาก็สามารถมาดูแลลู่กวางทองได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่การทำงานผ่านไปได้หนึ่งชั่วยาม คนงานก็ทักถามเรื่องความผิดปกติที่เกิดขึ้น
"คราก่อนที่พวกเรามายังเห็นว่ามีสัตว์ป่าแวะเวียนมาดูว่าเราทำอะไรกัน แต่ครั้งนี้พวกเราทำเสียงดัง จากการรื้อถอนขนาดนี้ยังไม่พบแม้แต่นกสักตัว นี่มันเกิดอะไรขึ้นขอรับ"
เฉินอวี้ส่ายหน้าเพราะก็ไม่รู้สาเหตุเช่นกัน นอกจากนี้เทพเสือโคร่งก็ยังไม่ได้มารับกลับไปนอนที่ถ้ำยาเหมือนในครั้งก่อน ส่วนเทพเสือโคร่งศิลาดำที่ไปรับที่ปากทางของป่าก็หายไปในทันทีที่มาส่งถึงจุดที่จะสร้างบ้าน
เมื่อสถานการณ์ไม่แน่ชัด เฉินอวี้จึงนอนอยู่กับกลุ่มคนงาน และทำหน้าที่หาอาหารทั้งสามมื้อให้กับพวกเขาทั้งกำชับว่าห้ามออกไปไหนโดยลำพัง
ผ่านไปจนถึงวันที่สี่ เมื่อการก่อสร้างและตกแต่งก็ใกล้จะเสร็จสิ้นเทพเสือโคร่งภูผากลับเพิ่งมาหา
"เสร็จเร็วจริง"
เสียงทักทายดังล่วงหน้ามาก่อนที่จะปรากฎตัว
บรรดาคนงานหยุดมือเพื่อทำความเคารพ แล้วแยกย้ายกันไปทำงานเพื่อให้เสร็จสิ้นภายในวันนี้
"เกิดอะไรขึ้น" เฉินอวี้ถาม
เทพเสือโคร่งภูผาเท้าเอวมองคนงานอยู่ครู่หนึ่งก็เดินห่างออกมาแล้วนั่งลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ตบที่พื้นข้าง ๆให้เฉินอวี้นั่งลงแล้วจึงเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนมานี้

เรื่องราวสืบเนื่องจากที่เฉินอวี้พบกระเรียนของป่าสีทองต้องกลายเป็นภาพประดับผนังในห้องจัดเลี้ยงจวนเจ้าเมืองเหอ ซึ่งทับซ้อนกับความแค้นที่เหอหลินจื้อใส่ร้ายลู่กวางทอง เทพเสือโคร่งสองพ่อลูกที่ไปยังเมืองเหอพบว่า บรรดาผู้ปกครองของเมืองเหอ ตั้งแต่เหอชินจ้าวลงมา ล้วนมิได้ใส่ใจกับความสูญเสียของเมืองลั่ว
ชีวิตของหยางเจียเจิงมิได้มีค่าอันใด เมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้และหยางเฉิงเดินทางกลับมา พวกเขาก็ปล่อยคน
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่เทพเสือโคร่งพ่อลูกพบกระเรียนขาวจากป่าสีทองในจวนเจ้าเมืองเหอ
กระเรียนขาวหาได้อยู่ในบึงน้ำ แต่อยู่ภายในเรือนเลี้ยงรับรอง สถานที่จัดแสดงดนตรี ผู้คนในที่นี้ต่างเพลิดเพลินไปกับนารีและสุรารสเลิศ
กระเรียนขาวสองตนอยู่ที่นั่น
ที่ภาพวาดประดับผนัง
ภาพวาดกระเรียนที่ประดับด้วยขนสีขาวของกระเรียนขาวจากป่าสีทอง
งดงามประหนึ่งกระเรียนทั้งสองกำลังชื่นชมกับธรรมชาติ จนเมินเฉยต่อความรื่นรมย์ในที่นี้
เทพเสือโคร่งภูผาเจ็บปวดยิ่งนัก!
ความปวดร้าวที่แล่นพล่านจากหัวใจพุ่งตรงไปถึงปลายนิ้ว
ความโกรธแค้นที่ระเบิดขึ้นในศรีษะแล้วกระจายไปทุกอนู

"ข้าต้องการแก้แค้น"

ดังนั้น เทพเสือโคร่งภูผาจึงใช้พิษต่อบุตรชายของเหอหลินจื้อทีละน้อย จากที่เจ็บป่วยเล็กน้อย ก็เริ่มมีอาการรุนแรงขึ้นจนเสียชีวิตในที่สุด
เฉินอวี้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเทพเสือโคร่งภูผาในข้อนี้ แต่เทพเสือโคร่งภูผายืนกรานว่า ตลอดช่วงเวลาบุตรชายป่วยอยู่ เหอหลินจื้อมิได้สำนึกผิดสักนิดว่านี่เกิดจากการที่ไปล่วงเกินผู้อื่น ยังคงตามหาแพทย์ฝีมือดีหลายคนมารักษาบุตร เมื่อรักษามิได้ตามที่โอ้อวดไว้ ก็จะถูกลงโทษ 

สัตว์เทพทั้งหลายแห่งป่าสีทองมิได้ต่อต้านเรื่องการล่าเพื่อใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร หรือให้ความอบอุ่น แต่การฆ่าเพื่อเอาขนไปประดับภาพวาดในสถานที่เช่นนั้น ทำให้ความโกรธแค้นนี้ยากที่จะบรรเทาลง

"แต่หลังจากที่ลงโทษพวกมันแล้ว ความแค้นนี้ก็ยังไม่หายไป ความกังวลก็มิได้ลดลง ที่ลดลงคือพลังของข้า"

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้เทพเสือโคร่งภูผาหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เมื่อเห็นว่าสีเลือดหายไปจากใบหน้าก็ต้องรีบโบกมือ
"ไม่ได้รุนแรงมากนัก ข้าได้พักมานานข้ามปี นี่ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว"
เฉินอวี้เข้าใจแล้วว่า เหตุใดเมื่อครั้งก่อน เทพเสือโคร่งภูผาถึงได้กลับมาอยู่ในร่างของเสือโคร่งในเวลากลางคืน ทำไมถึงต้องทำเรื่องไร้สาระ กล่าวถ้อยคำเหลวไหลผิดวิสัย จนทำให้ตนเองต้องกลับออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
ที่แท้ก็เพื่อปิดบังความโกรธแค้นในใจ ปิดบังพลังที่เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นหลังจากที่การทำงานในวันนี้เสร็จสิ้นลง เฉินอวี้ส่งคนงานทั้งหมดออกไปจนถึงหมู่บ้าน ก็เดินทางต่อเข้าไปในเมืองเพื่อเตรียมเสบียงอาหารเพิ่มเติม เมื่อกลับมาที่ป่าสีทองอีกครั้งก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ผู้ที่ออกมารับครานี้ คือนางเทพกวางสายลมผู้สง่างาม ระหว่างที่เดินกลับเข้าไปในป่าด้วยกัน นางชวนพูดคุยว่า เวลานี้เทพเสือโคร่งภูผาพักอยู่ที่ถ้ำยา
"การที่เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับทุ่มเทดูแลกวางทอง และตามหาสหายที่หายไป ทำให้เจ้าไม่สบายใจหรือไม่"
"ไม่ขอรับ" เฉินอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม "ข้าเองก็รักกวางทองเช่นกัน ส่วนเรื่องการตามหาสหาย ข้าเห็นว่าสมควรแล้ว" เว้นแต่เรื่องความแค้นที่กลายมาเป็นการทำร้ายตนเอง ออกจะเป็นเรื่องที่เกินเลยไปสักหน่อย
นางเทพกวางกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้หันมามองเฉินอวี้ "เจ้าไม่ควรตามใจเขามากนัก ตาเสือโคร่งเฒ่านั้นมีนิสัยทำอะไรเอาแต่ใจตนเอง" เดินต่อไปอีกหลายก้าวนางก็ถามขึ้นมา "เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาป่วยหนัก"
เฉินอวี้รู้สึกร้อนขอบตาขึ้นมาในทันที ว่าเป็นเทพเสือโคร่งภูผาเล่าให้ฟังในวันนี้
“ที่เขาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเขาดีขึ้นมากแล้ว”
“ขอรับ” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในส่วนของตนเอง "ตั้งแต่คราวที่ตามไปส่งตัวเหอหลินจื้อสองปีก่อน เขาไม่ได้ตามเข้าไปถึงเมือง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้ตามกลับไปที่เมืองหลวง ข้าคิดว่าเขาอาจกลับมาบำเพ็ญเพียรเหมือนครั้งก่อน" ซึ่งเมื่อกลับมาพบกันอีกครั้ง เทพเสือโคร่งภูผาก็จำความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองไม่ได้ "ข้าไม่อยากเจ็บปวดเช่นนั้นอีก จึงตั้งใจว่า จะตามมาพบกับเขาเอง" เฉินอวี้จะไม่เป็นผู้ที่ถูกลืมอีกครา "ครั้งก่อนเขายังมารับข้ากลับไปที่ถ้ำยา แต่มาในครั้งนี้เขามาหาในวันสุดท้าย และเล่าเรื่องของกระเรียนขาวที่จวนเจ้าเมือง กับความแค้นของเขา"
"มันบั่นทอนพลังชีวิตของเขาลงไปมากจริงๆ" น้ำเสียงของนางเทพกวางช่างหม่นหมอง "หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว บอกว่านอกจากความโกรธแค้นแล้ว อาจเพราะหลายสิบปีมานี้เขามีชีวิตเพื่อการตามหาสหาย และเพื่อกวางทอง แต่ในวันนี้เขาพบสหายแล้ว และกวางทองก็แข็งแรงขึ้นจนไม่ต้องการพลังชีวิตจากบิดาอีกต่อไป ยิ่งทำให้เขาถดถอยลงอย่างรวดเร็วและฟื้นพลังกลับมาได้ยากยิ่ง"
นางเทพกวางสายลมหันมาหาเฉินอวี้ ดวงตาสีน้ำตาลงดงามคู่นั้นบ่งบอกถึงความกังวลที่เต็มเปี่ยม
กังวลและเข้าใจ ว่าเฉินอวี้กำลังหวาดกลัวที่จะต้องกลายเป็นคนที่ถูกลืมไปอีกครั้ง จึงได้กลับมา
“ข้าเป็นกำลังใจให้เจ้า”
เฉินอวี้ก้มศีรษะเพื่อแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็เดินตามต่อไปจนเชิงเขา พบเสือโคร่งตัวหนึ่งนอนหมอบขวางอยู่ด้านหน้าถ้ำยา เสือโคร่งตัวนี้มีใบหูและส่วนหางเป็นสีขาวขุ่น เมื่อเห็นนางเทพกวางสายสายลม และเฉินอวี้เดินมา ก็เปลี่ยนร่างเป็นหญิงสาวรูปร่างหนาผู้หนึ่ง
"ท่านเทพกวางสายลม แม่เล็ก"
นางเทพกวางสายลมก้มศีรษะรับคำทักทายนั้น ขณะที่เฉินอวี้ยังเก้อเขินทุกครั้งที่ถูกเรียกเช่นนี้
"นี่คือเทพเสือโคร่งมุกดา นางกับพี่ชายจะผลัดกันมาเฝ้าบิดาที่นี่"
นางเทพกวางสายลม ชี้บอกให้เฉินอวี้เดินเข้าไปตามลำพัง
"เขาต้องยินดีมากที่เห็นเจ้ากลับมา"

เมื่อครั้งที่พบกันครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน เฉินอวี้ตกจากหลังม้า เทพเสือโคร่งภูผาเคยพาไปพักที่กระท่อมยาในป่า และต่อมาเทพเสือโคร่งเคยพูดถึงถ้ำยาที่เป็นที่พัก และสถานที่ดูแลกวางทอง เฉินอวี้ก็คิดว่าถ้ำยาน่าจะมีลักษณะคล้ายกันกับกระท่อมหลังนั้น แต่ต่อมาเมื่อได้มาพบเห็นกับตาตัวเองถึงได้รู้ว่าถ้ำแห่งนี้ ไม่ได้มีสิ่งใดที่ใกล้เคียงกับที่คิดไว้เลยสักนิด
ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่เหมือนกับมีขึ้นมาเพื่อให้เทพเสือโคร่งตัวใหญ่พักอยู่
นี่คือสถานที่ที่เคยมานอนพักหลายคืนแล้ว หรือต่อให้มาเป็นครั้งแรกก็ไม่มีวันหลงทาง
จากปากถ้ำกว้าง แม้จะเดินผ่านห้องเล็กห้องน้อยหลายห้อง แต่ทางเดินกว้างที่ค่อนข้างเรียบจะพาไปที่ห้องด้านใน มวลอากาศภายในห้องนี้สงบนิ่ง ท่ามกลางความมืดสลัวมีแสงอ่อนๆ จากร่างของเสือโคร่งตัวใหญ่ที่นอนหมอบหลับอยู่บนพรมขนสัตว์อ่อนนุ่ม
เฉินอวี้วางห่อสัมภาระลงบนแคร่ตัวหนึ่งที่วางอยู่ชิดผนังแล้วเดินเข้าไปหา ลูบขนจากส่วนคอลงไปที่ส่วนหลัง
เสือโคร่งตัวใหญ่ลืมตาขึ้นมามอง ยื่นหน้ามาเลียน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
เฉินอวี้กอดเสือโคร่งตัวใหญ่ไว้ เสียงร้องไห้ของชายหนุ่มดังสะท้อนอยู่ในถ้ำยา ได้ยินไปถึงด้านนอก นางเทพกวางสายลมถอนหายใจยาว แล้วหันหลังจะกลับออกไป นางเทพเสือโคร่งมุกดาขอตามไปส่ง
"เรากลับไปเองได้ ไม่ต้องไปส่งหรอก"
"ขอข้าตามไปด้วยเถิด ท่านแม่เล็กร้องไห้แบบนั้นมันบีบหัวใจเกินไป" นางเทพเสือโคร่งมุกดามีขอบตาแดงเรื่อท่าทางอยากจะร้องไห้ตามไปด้วย
เพราะนางมีคู่ครองแล้ว จึงเข้าใจความโศกเศร้าที่ปรากฎชัดเจนอยู่ในเสียงสะอื้นไห้ของแม่เล็ก จนอยากกลับไปดูแลคู่ครองสักครู่ก็ยังดี แต่นางไม่อาจทิ้งบิดาไปโดยพลการจึงขออนุญาตจากนางเทพกวาง
ผู้อาวุโสกว่าพยักหน้า แล้วเดินนำออกมา
เฉินอวี้ตื่นนอนตอนเช้าในสภาพที่ดวงตาทั้งบวม และแดงช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก ทั้งยังรู้สึกปวดศีรษะอยู่เล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเทพเสือโคร่งภูผายังหลับอยู่จึงออกมาล้างหน้าที่ด้านหน้าถ้ำ ซึ่งนอกจากจะมีถังน้ำวางอยู่ยังมีตระกร้าผลไม้ กับมีน้ำนมแพะอีกหนึ่งกระบอก เมื่อล้างหน้าเสร็จก็หยิบตระกร้าเข้าไปด้านใน เทพเสือโคร่งลืมตาขึ้นมามองแล้วขยับตัวเล็กน้อย
"มีน้ำนมแพะด้วย ท่านพี่ดื่มสักนิดเถิด"
เฉินอวี้กำลังจะเทน้ำนมลงในจาน ได้ยินน้ำเสียงต่ำๆ จากเทพเสือโคร่งตัวใหญ่ก็หันไปมอง "ท่านกล่าวว่าอะไรนะ"
เทพเสือโคร่งกำลังมองไปที่กระบอกใส่น้ำนมแพะแล้วพยักหน้ามาทางเฉินอวี้ "หมายความว่านี่เป็นของข้าหรือ แล้วท่านจะกินผลไม้หรือ"
เทพเสือโคร่งส่ายหน้า
"เช่นนั้นท่านกินอะไร"
เทพเสือโคร่งส่ายหน้าแล้วหลับตาลง
เฉินอวี้ดื่มน้ำนมไปหนึ่งอึกแล้วถือที่เหลือมานั่งลงด้านหน้าเทลงเล็กน้อยในฝ่ามือ
"รับรองว่าจะไม่บอกใครว่าเสือดื่มนมแพะ"
เทพเสือโคร่งลืมตาขึ้นมามองเหมือนกำลังยิ้มขำ
"ดื่มสักนิดนะ" เฉินอวี้ยังคงพยายามจะป้อนน้ำนมจากมือ แต่เมื่อไม่ยอมดื่มก็ดื่มเสียเอง แต่พอมาถึงอึกที่สามก็เปลี่ยนเป็นอมน้ำนมไว้ในปาก วางกระบอกน้ำนมแพะลงข้างๆ ให้แน่ใจว่าจะไม่หกไปเสียก่อน แล้วยกคางของเทพเสือโคร่งให้เงยหน้าขึ้น จรดริมฝีปากเพื่อให้เทพเสือโคร่งดื่มน้ำนมจากปากตนเอง
แต่ในตอนที่กำลังคิดสงสัยตนเองว่า ทำไมต้องทำอะไรให้มันยุ่งยาก ก็แค่ยกคางของเทพเสือโคร่งขึ้นมาแล้วป้อนน้ำนมจากกระบอกให้ตรงๆก็สิ้นเรื่อง ปลายลิ้นของเทพเสือโคร่งก็ตวัดเลียริมฝีปากสวย
ด้วยความมึนงงเฉินอวี้หันไปยกกระบอกน้ำนมอีกครั้ง อมน้ำนมไว้ในปากแล้วป้อนแบบเดิม อย่างระมัดระวัง แต่แล้วเทพเสือโคร่งที่กำลังดื่มน้ำนมแพะจากปาก ก็เปลี่ยนร่างอย่างฉับพลัน
ทันทีที่รู้สึกว่าเอวบางถูกโอบรัด แผ่นหลังก็สัมผัสกับขนสัตว์อ่อนนุ่ม
มือสวยแตะที่อกหนาในทันที ดวงตากลมกระพริบถี่ ๆ มองภาพข้างหน้าด้วยความสงสัย
สีหน้าเหรอหราที่ไม่เคยเห็นมาก่อนทำให้เทพเสือโคร่งหัวเราะ
"ข้าอยากจูบเจ้า อยากสัมผัสเจ้า อยากกอดเจ้าจนทนไม่ไหวน่ะสิ"
"ท่านพี่อ่อนเพลียอยู่มิใช่หรือ"
"ข้าอ่อนเพลีย แต่เจ้าแข็งแรงดี"

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่27 P28(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 14-01-2018 13:18:30
(ต่อ)

มือใหญ่ถอดเข็มขัดออก แล้วปัดสาบเสื้อให้เปิดกว้างบีบคลึงที่ยอดอกบางแล้วก้มลงจูบ
เฉินอวี้ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรจู่ ๆ เทพเสือโคร่งที่มีท่าทีคล้ายพลังชีวิตกำลังจะหมดลงในทุกขณะ ถึงได้เปลี่ยนมาเป็นร่างมนุษย์ และแสดงความต้องการโอบกอดในทันที ทั้งไม่แน่ใจว่าการตามใจในครั้งนี้จะส่งผลเสียหรือไม่
ผ่านไปค่อนวันถูกรีดเค้นจนหมดแรง ก็ถูกอุ้มออกไปล้างตัวทำความสะอาดจากนั้นก็สวมเสื้อนอนให้แล้วนอนกอดไว้
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เฉินอวี้ป้อนน้ำนม หรืออาหารอื่นใดให้กับเทพเสือโคร่งภูผาด้วยวิธีการนั้น
วิธีการอื่นก็ไม่ทำเช่นกัน วางทิ้งไว้ในถาดเช่นนั้นแหละ อยากกินก็กิน ไม่สงสารเสือเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่นอีกต่อไป...
อีกเจ็ดวันถัดมาเฉินอวี้จึงเดินทางออกจากป่าสีทอง พร้อมกับแผนการณ์บางอย่างที่จะต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในห้าปีนี้
และเมื่อมาถึงเมืองหลวง ทหารคนสนิทก็รีบมาแจ้งว่า ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้ไปเข้าเฝ้าฯโดยเร่งด่วน
"ทรงมีรับสั่งถามอยู่ทุกวันว่าท่านรองแม่ทัพกลับมาหรือยัง"
รับสั่งแรกเมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้เข้าเฝ้าฯ ก็คือ "หวังว่าเจ้าจะมีเหตุผลที่ดีที่ทำให้ต้องหายไปนานกว่าหนึ่งเดือน"
"สืบเนื่องมาจากการส่งตัวเหอหลินจื้อกลับไปเมืองเหอพระเจ้าค่ะ กระหม่อมพบการเคลื่อนไหวที่เป็นภัยต่อเมืองลั่ว และป่าสีทอง"
ฮ่องเต้ทรงคาดเดา "เขารู้เรื่องแล้วใช่ไหม"
"ทราบแล้วพระเจ้าค่ะ และกำลังเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิดเช่นกัน"
ทรงส่ายพระพักตร์อย่างไม่เห็นด้วย "พวกเขามัวแต่ตั้งรับ สุดท้ายแล้วก็จะต้องพ่ายแพ้ให้กับความโลภ" แม้จะทรงวิจารณ์เมืองลั่วและป่าสีทอง แต่พระองค์ยังมีความสนใจสมุนไพรที่เทพเสือโคร่งใช้รักษาพระขนิษฐาของพระองค์ ซึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในรัชกาลก่อน
การที่ทรงเป็นหนึ่งในผู้รอบรู้เรื่องยาพิษ การที่จะให้ความสนพระทัยในเรื่องนี้ก็ไม่นับว่าแปลก แต่การที่สอบถามเรื่องยาตัวนั้น จากเทพเสือโคร่งภูผาแล้วไม่ได้รับคำตอบ ทำให้ทรงรู้สึกเคลือบแคลงสงสัย 
"ข้าควรส่งทหารสักพันนายไปเมืองลั่วไหม"
รองแม่ทัพเฉินอวี้แสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมา "สกุลหยางแห่งเมืองลั่วไม่ใช่คนที่กลับไปกลับมา  ตั้งแต่ก่อนที่หยางหลงจะเป็นเจ้าเมือง พวกเขาก็มีความภักดีต่อฮ่องเต้ทุกพระองค์ด้วยดี จนกระทั่งมาเผชิญกับเรื่องของเมืองเหอ แม้ในช่วงเวลาหนึ่งสายสัมพันธ์เครือญาติจะทำให้ต้องลังเล แต่เพราะการกระทำของเมืองเหอเองความภักดีของเมืองลั่วจึงกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม"
ทรงทอดพระเนตรมองรองแม่ทัพเฉินอวี้นิ่งๆแล้วโบกพระหัตถ์ให้ทุกคนออกไป
"พูดความจริงกับเรา"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ค้อมตัว ก่อนที่เล่าเรื่องย้อนไปถึงการที่หยางติงเลือกที่จะภักดีต่อฮ่องเต้ทำให้สกุลเหออาศัยมือของฮูหยินหกของหยางเฉิงมาวางยาฆ่าคน และทำให้บุตรชายคนโตของหยางหลงเสียชีวิต เมื่อกลุ่มผู้ก่อเหตุจำนนด้วยหลักฐาน รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงควบคุมตัวคนไปส่งที่เมืองเหอ ซึ่งยังทำให้พบกระเรียนขาวแห่งป่าสีทองที่หายไป
"เหตุใดกระเรียนขาวจึงเดินทางขึ้นทางเหนือ ปกติพวกมันจะลงใต้มิใช่หรือ" ทรงมีพระปุจฉา
รองแม่ทัพเฉินอวี้ตอบรับว่าเป็นการเดินทางที่ผิดปกติตามที่ทรงมีพระปุจฉาและถวายความเห็นว่า "จากการตรวจสอบบริเวณรอบนอกของป่าสีทอง พบว่าเป็นพื้นที่ที่พรานและคนหาของป่าสามารถเข้ามาล่าสัตว์และเก็บของป่าได้ สามารถพบเห็นไก่ฟ้าสีแปลกหรือช้างป่าที่มิได้มีงาสีขาวออกมาหากิน แต่พรานป่ากับชาวบ้านในละแวกนั้นมักละเว้นไว้ บอกว่าเป็นสัตว์เทพ หากจะล่าสัตว์ป่าก็มักเป็นสัตว์ป่าทั่วไป
ส่วนกระเรียนที่พบในจวนเจ้าเมืองเหอ มีลักษณะเด่นคือการที่มีขนสีขาวสะอาดที่สะท้อนประกายสีทองยามต้องแสงอาทิตย์ บ่งบอกว่า เป็นกระเรียนจากป่าสีทองอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อนำมาพิจารณาร่วมกับเหตุที่เคยเกิดขึ้นกับกระเรียนโกเมนก่อนหน้านี้ และการที่เมืองเหอไม่เชื่อเรื่องสัตว์เทพแห่งป่าสีทอง จึงมีความเป็นไปได้ว่า พวกเขามองว่าสัตว์เทพเหล่านี้เป็นเพียงของประดับตกแต่ง จึงว่าจ้างคนเข้ามาลอบดักสัตว์ป่าจากเขตรอบนอกการที่เกิดเหตุขึ้นมาแล้วหลายครั้งยังบ่งชี้ว่าป่าสีทองกำลังจะกลายเป็นเพียงป่าผืนหนึ่งที่ถูกรุกล้ำได้โดยง่าย ทรัพยากรในป่าแห่งนั้นที่เป็นของพระองค์กำลังจะถูกแย่งชิงพระเจ้าค่ะ"
ตามหลักการแล้วป่าสีทองเมืองลั่วย่อมเป็นของฮ่องเต้จางฉวนแห่งอาณาจักรไท่ชาง พระองค์ไม่ได้ต้องพระทัยสัตว์แปลก ไม่โปรดสมุนไพรจากสัตว์ป่า และไม่ได้มีพระประสงค์ในทรัพยากร เทพเสือโคร่งภูผาถึงได้ยอมรับพระองค์ในระดับหนึ่ง ทุกคราที่ทรงประสงค์สิ่งใดจากป่าสีทองก็จะมีรับสั่งตรง ๆ เทพเสือโคร่งภูผาก็จะไปจัดหามาถวายตามพระประสงค์อยู่แล้ว
แต่หากป่าสีทองถูกบุกรุก นั่นย่อมมีผลกระทบต่อพระองค์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
"เทพเสือโคร่งภูผากับพวกของเขาว่าอย่างไร"
แม่ทัพเฉินอวี้ถวายคำตอบ "พวกเขาถนัดแต่การตั้งรับอย่างที่พระองค์ทรงมีพระวินิจฉัยพระเจ้าค่ะ"
หลังการหารืออีกครึ่งชั่วยาม ทรงมีพระราชโองการให้กองทัพฝ่ายเหนือเพิ่มการจับตาเมืองเหอ ขณะที่สายลับจากเมืองหลวงที่แทรกซึมเข้าสู่เมืองที่ให้การสนับสนุนเมืองเหอ ค่อย ๆ บ่มเพาะความขัดแย้งทีละน้อยทั้งภายในเมืองและระหว่างเมือง เมื่อเวลาผ่านไปนานสองปี ความร่วมมือของกลุ่มก็ค่อย ๆจางลง ขณะที่กองทัพฝ่ายเหนือออกให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างสม่ำเสมอ เปลี่ยนการต่อต้านให้กลายเป็นการยอมรับความเป็นหนึ่งเดียวกันของอาณาจักรไท่ชางมากขึ้น
เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นหัวเมืองแห่งอาณาจักรไท่ชาง
ขัดแย้งกันมาก ก็จะต่อสู้กันเอง กลายเป็นความไม่มั่นคงของไท่ชาง
สามัคคีกันมาก วันหนึ่งก็จะหันมาจับดาบต่อสู้เป็นอิสระ เกิดความไม่มั่นคงต่อไท่ชางเช่นกัน

บ่ายวันหนึ่ง หลังจากที่ทรงประชุมร่วมกับคณะเสนาบดีฝ่ายกลาโหม และทอดพระเนตรรายงานจากกองทัพฝ่ายเหนือ จู่ ๆก็ทรงหันไปรับสั่งกับรองแม่ทัพเฉินอวี้ว่า  "ความเท่าเทียมกันไม่มีจริง การแบ่งแยกชนชั้นการปกครองก็ไม่มีจริงเช่นกัน"
นั่นคือคำตอบของรองแม่ทัพเฉินอวี้เมื่อครั้งที่สอบเข้ารับราชการเมื่อหลายปีก่อน
"สิ่งเดียวที่มีอยู่จริงก็คือ การยอมรับหรือไม่ยอมรับ"
ขณะที่เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ และที่ปรึกษาในห้องทรงงานกำลังหันไปมองหน้ากันด้วยความสงสัย แต่การที่ทรงทอดพระเนตรมาที่ชายหนุ่มรูปงามขณะที่กำลังมีรับสั่ง จึงทำให้พอจะคาดเดาได้ว่านี่อาจเกี่ยวข้องกับการลดทอนบทบาทของเมืองเหอ
รองแม่ทัพเฉินอวี้คลี่ยิ้มงาม 
"หากทรงเห็นว่าท่านแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือทำงานได้ยอดเยี่ยม ก็น่าจะทรงพระราชทานของขวัญเป็นกำลังใจ"
ฮ่องเต้ทรงชี้หน้าผู้เสนอความเห็นขณะที่หัวเราะเสียงดัง จากนั้นจึงรับสั่งกับผู้ที่อยู่ในห้องทรงงานว่า ดังที่ทุกคนทราบว่าเมืองเหอคิดการใหญ่ จุดชนวนสร้างความไม่พอใจที่เมืองทางเหนือต้องไปให้ความช่วยเหลือเมืองที่อยู่ทางใต้ แต่เพราะจะอย่างไรทุกคนล้วนเป็นชาวไท่ชางเหมือนกัน รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงเสนอแผนการทำงานเพื่อให้ชาวเมืองเหล่านี้ตระหนักถึงความเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร
"สองปีมานี้ท่านแม่ทัพและบรรดาเจ้าเมืองต่าง ๆ ต้องทำงานหนักมากจริง ๆ" จากนั้นก็มีรับสั่งเรื่องของขวัญที่จะนำไปมอบให้กับแม่ทัพใหญ่ และเจ้าเมืองต่าง ๆ โดยให้รองแม่ทัพเฉินอวี้เป็นผู้แทนพระองค์นำของขวัญเหล่านี้ไปด้วยตนเอง
รองแม่ทัพเฉินอวี้ที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือนเพื่อตระเวนไปหลายเมือง เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานในเมืองสุดท้ายก็บอกให้ทหารคนสนิทและผู้ติดตามเดินทางกลับไปเมืองหลวง ส่วนตนเองเดินทางกลับไปที่ป่าสีทองโดยลำพัง
การเดินทางมาถึงครานี้ทำให้ได้ทราบเรื่องที่นางเทพกวางสายลมรับปฏิบัติตามคำอธิษฐานของหลิวเพ่ยหลิง

"นางมีแผนการ" เฉินอวี้กล่าว
เทพเสือโคร่งภูผาถอนหายใจหนัก ๆ "เรื่องนั้นก็พอจะรู้ แต่กวางทองกับเจ้าเมืองลั่วก็รอคอยที่จะได้อยู่ด้วยกันมานานหลายปี จะขัดขวางพวกเขาเพราะไม่อยากให้หลิวเพ่ยหลิงสมหวังมันก็กะไรอยู่"
"ขอคุยกับกวางทองได้ไหม"
"หลังจากที่เจ้าเมืองลั่วมาหาเมื่อหลายวันก่อนก็ได้ทำความเข้าใจกันไปแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวลหรอก สายลมก็คอยกำชับอยู่" เทพเสือโคร่งตอบปัดทั้งที่ก็เป็นห่วงทั้งลู่กวางทอง และหลานที่กำลังจะเกิดมา และอาจต้องกลายเป็นกลไกในการรักษาอำนาจการเมืองของหลิวเพ่ยหลิงในอนาคต
เฉินอวี้พยักหน้าแล้วหันหลังกลับ ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาท้วงถาม
"เจ้าเพิ่งมาถึง แล้วจะไปที่ใดอีก"
"จะไปคุยกับเจ้าเมืองลั่วและหลิวเพ่ยหลิง ส่วนท่าน..." สีหน้าท่าทางของคนรูปงามดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน "ขอให้รู้ว่าข้าไม่พอใจ ข้ากลับมาที่นี่อย่างน้อยสองครั้งต่อหนึ่งปี อยู่กับท่านครั้งละหลายวัน แต่ท่านกลับไม่เคยบอกกับข้าสักคำในเรื่องคำอธิษฐานของหลิวเพ่ยหลิง"
"ข้าเห็นว่าเจ้าทำงานหนัก พอกลับมาก็อยากให้พักผ่อนให้เต็มที่ ไม่อยากให้ต้องมาร้อนใจเรื่องนี้อีก"
เฉินอวี้เชื่อตามที่เทพเสือโคร่งภูผากล่าว แต่เพราะตลอดเวลาที่หลายปีผ่านมา เหล่าเทพแห่งป่าสีทองแสดงให้เห็นว่าพวกเขารักษาสัจจะเพียงใด และยังคงความเป็นสัตว์ป่าที่เลือกจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งเป็นอันดับแรก จะออกล่าเมื่อหิว และต่อสู้เมื่อถูกต้อนให้จนมุม
มาถึงขั้นนี้แล้ว จะให้นิ่งเฉยได้อย่างไร

แต่เมื่อเฉินอวี้มาพบกับหยางหลงเจ้าเมืองลั่วที่ศาลาว่าการเมือง ซึ่งยังคงมีสีหน้าท่าทางดั่งแบกโลกไว้ ที่คิดว่าจะกล่าวตำหนิกันอย่างตรงไปตรงมาก็ต้องเปลี่ยนใจ ลดความจริงจังลง
"ทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง" เจ้าเมืองลั่วเริ่มต้นด้วยคำกล่าวที่ไม่ได้เหนือกว่าความคาดหมาย จากนั้นจึงกล่าวถึงความตั้งใจของตนเอง
"ตั้งแต่แรกมาท่านเทพกวางสายลมย้ำให้เพ่ยหลิงรักและมีความปรารถนาดีต่อบุตรในครรภ์ ข้าจึงตระหนักได้ว่า ท่านเทพกวางทราบเจตนาของเพ่ยหลิง และไม่ยอมปล่อยวางให้นางทำการใดที่จะเป็นอันตรายต่อเมืองลั่ว และยังมีความเป็นห่วงความรู้สึกของขุยเอ๋อร์ด้วย"
"ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดต่อลู่อย่างไร"
หยางหลงยอมรับ "ข้าเป็นห่วงความรู้สึกของลู่มาก แต่พอได้คุยกันก็ดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ค่อยวางใจ ไม่แน่ใจว่าเขาพอใจ และมีความสุขจริง ๆ หรือไม่"

เฉินอวี้คลี่ยิ้มงาม
...ความไม่แน่ใจเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับผู้ให้ความรักอีกฝ่ายไปแล้วอย่างหมดใจ ต่อให้ผู้ที่ได้หัวใจไปกำลังหัวเราะอยู่ผู้ให้ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่า เพียงพอแล้วหรือไม่ พอใจจริงหรือไม่ มีความสุขจริงหรือ และยังมีอะไรที่จะทำให้ผู้รับมีความสุขได้มากกว่านี้อีกไหม
หยางหลงผู้นี้หลงรักลู่กวางทองแห่งป่าสีทองจนหมดหัวใจ จนไม่แปลกใจเลยถ้าบรรดาเทพในป่าสีทองจะหาเรื่องกลั่นแกล้งเสียบ้าง

หยางหลงกับเฉินอวี้เกิดปีเดียวกัน แต่เฉินอวี้แก่เดือนกว่าเพียง 2 เดือน แต่เพราะพบเจอเรื่องราวและผู้คนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงจึงมีความเห็นเกี่ยวกับการเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต่างกัน
เว้นแต่เรื่องของลู่กวางทอง ที่มีความเห็นพ้องกันอย่างราบรื่นตั้งแต่เฉินอวี้เริ่มการตั้งข้อสังเกต หยางหลงก็เสนอความเห็น แล้วสรุปการทำงานที่สอดคล้องกัน ตั้งแต่ในป่าสีทอง เมืองลั่ว ไปจนถึงเมืองหลวง
อาจเพราะทั้งคู่ต่างก็รู้ตัวว่า ในวันหนึ่งข้างหน้าพวกเขาจะต้องเป็นสหายกันไปอีกนานหลายปี...ในป่าสีทอง

เฉินอวี้ยังสนทนากับหยางหลงที่ศาลาว่าการเมืองไปจนถึงเวลาอาหารเย็นที่หลิวเพ่ยหลิงมาส่งอาหารที่ศาลาว่าการเมือง นางอุ้มท้องใหญ่นำเซียงเซียงถือกล่องอาหารมาให้กับหยางหลงเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่ในวันนี้มีอาหารเย็นมากเป็นพิเศษ เพราะมีเฉินอวี้ร่วมโต๊ะ
แต่ถึงจะมีความเกรงใจหยางหลง แต่ก็เป็นคนละเรื่องกับความไม่พอใจที่หลิวเพ่ยหลิงคิดจะรักษาอำนาจไว้ผ่านบุตรในภครรภ์
เพราะต่อให้นางไม่อุ้มท้องบุตรจากป่าสีทอง หยางหลงก็ไม่คิดที่จะไปเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของนางอยู่แล้ว
"คำขอที่ยิ่งใหญ่ ย่อมตามมาด้วยภาระที่ยิ่งใหญ่" เฉินอวี้กล่าวเตือนไว้

เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นาน รองแม่ทัพเฉินอวี้ก็ได้รับจดหมายจากหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว แจ้งว่าหลิวเพ่ยหลิงให้กำเนิดทารกแฝดสาม ซึ่งเทพกวางสายฟ้าเป็นผู้มอบชื่อให้
เมืองลั่วที่เงียบสงบกำลังมีงานฉลองครั้งใหญ่อีกครั้ง
แต่เพราะระยะทางระหว่างเมืองหลวงกับเมืองลั่วอยู่ห่างไกลกัน กว่าจดหมายฉบับนี้จะส่งมาถึงมือ งานฉลองก็คงผ่านพ้นไปแล้ว รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงฝากของขวัญไปกับขบวนสินค้าของบ้านสกุลหยางแห่งเมืองลั่ว
ผู้เฒ่าหยางจงจิน และหยางลี่ยินดีที่รองแม่ทัพเฉินอวี้มีน้ำใจมอบของขวัญไปมอบให้กับแฝดสาม แต่หลังจากสนทนากันตามมารยาทได้หลายคำ ผู้เฒ่าทั้งสองก็ขอให้รองแม่ทัพเฉินอวี้เข้าไปที่ห้องทำงานด้านใน และสอบถามเรื่องราวในเมืองลั่ว
ผู้เฒ่าทั้งสองที่ถูกจำกัดให้อยู่แต่ในเมืองหลวงมีความเป็นห่วงทุกคนในเมืองลั่วเป็นอย่างยิ่ง
"คาดว่าสัปดาห์หน้า หยางไห่คงมาถึงเมืองหลวง พวกเราจะฝากของขวัญทั้งหมดกลับไปกับหยางไห่ และก็คิดว่าจะสอบถามเรื่องราวบางอย่างกับเขา แต่ในเมื่อท่านรองแม่ทัพมีความคุ้นเคยกับพวกเขาไม่น้อยจึงอยากสอบถามก่อน" หยางลี่เกริ่นนำยืดยาวด้วยความเกรงใจ
รองแม่ทัพเฉินอวี้อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง
...ความเกรงใจเช่นนี้คงเป็นลักษณะนิสัยของคนสกุลหยาง แห่งเมืองลั่ว
"แฝดสามเหล่านั้น มีอยู่สองคนที่มีดวงตาสีทองจริงหรือ"
ว่าที่จริงรองแม่ทัพเฉินอวี้ก็เพียงเห็นจากตัวหนังสือ แต่เมื่อเป็นหนังสือจากหยางหลงก็คิดว่าจริงตามนั้น จึงเล่าถึงกำเนิดของทารกทั้งสาม เมื่อผู้เฒ่าทั้งสองได้รับรู้ก็รู้สึกตกใจมาก
"ทำไมนางถึงกล้าทำเช่นนี้ แล้วนี่หากความลับของป่าสีทองแพร่งพรายออกไป" ผู้เฒ่าหยางจงจินมีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง "ต่อให้เริ่มแรกไม่มีใครรู้นอกจากหยางหลง เพ่ยหลิง และคุณชายลู่ แต่ความอยากรู้อยากเห็นของคนไม่สิ้นสุด ความโลภก็ไม่สิ้นสุดเช่นกัน"
หยางลี่หันมากล่าวกับรองแม่ทัพเฉินอวี้ "ฮ่องเต้จะต้องทราบเรื่องดวงตาของทารกในเร็วๆ นี้และจะต้องทรงมีพระวินิจฉัยได้ว่านี่เกี่ยวข้องกับป่าสีทอง"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ที่นับเป็นหนึ่งในรู้พระทัยมากที่สุดเสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมา "หากทรงมีพระปุจฉาก็ขอให้ทูลถวายคำตอบไปตามตรง ว่าได้รับทราบมาเช่นนั้น"

ทรงเคยพบกับเทพเสือโคร่งภูผา และเทพเสือโคร่งศิลาดำ การหลีกเลี่ยงถวายคำตอบจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
ผ่านจากเรื่องของแฝดสาม ผู้เฒ่าทั้งสองจึงถามถึงเทพเสือโคร่งภูผาที่มิได้มาเมืองหลวงนานแล้ว
"ท่านเทพบำเพ็ญเพียรอยู่ขอรับ ข้าเองก็ทราบเพียงเท่านี้เช่นกัน"
หยางจงจินถอนหายใจอย่างผ่อนคลาย "ดีแล้วที่ท่านอยู่ที่ป่าสีทอง"
หยางลี่ หันมาอธิบายต่อรองแม่ทัพเฉินอวี้ "เมื่อกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความอายุยืน เสือโคร่งก็คือสัตว์ผู้พิทักษ์ เมื่อท่านอยู่ที่นั่นเราก็วางใจ"
รองแม่ทัพเฉินอวี้คิดต่อในใจ....กวางคือสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์
หยางหลงเคยเล่าว่า เทพผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของป่าสีทองเป็นกวางตัวใหญ่ที่มีเขาและกีบเท้าเป็นสีทองคำ
แล้ว...ลู่กวางทองเล่า
กวางทองสองตนในป่าสีทอง นั่นหมายถึงความมั่งคั่งทวีคูณหรือไม่
รองแม่ทัพเฉินอวี้ฉุกใจคิดบางอย่างขึ้นมาได้
หยางหลง....มังกรสกุลหยาง
มังกรหรือ...
หลายคราที่เข้าไปในป่าสีทองเคยเห็นงูใหญ่ หรือสัตว์ใดที่อาจถูกสรุปว่าเป็นมังกรหรือไม่
ไม่เคย...
นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
หลังจากที่รู้จักคนจากสกุลหยางเมืองลั่วมาครึ่งชีวิต รองแม่ทัพเฉินอวี้เพิ่งแน่ใจก็ในวันนี้ ว่าพวกเขารักษาความลับได้เป็นที่หนึ่งในแผ่นดินไท่ชาง


...จบตอนที่ยี่สิบเจ็ด...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-01-2018 15:55:03
 :L2: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-01-2018 17:49:16
เอาเรื่องชาวบ้านมาแบกบนบ่าเหมือนเดิม
เจ้าเล่ห์หลอกกินคนงามเช่นเดิม
พ่อเสือมันร้ายนัก!

ทิ้งท้ายไว้เรื่องมังกร ทำให้อยากอ่านต่อเลยอ้ะ

สวีวดีปีใหม่ย้อนหลังค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-01-2018 19:18:49
สวัสดีปีใหม่๒๕๖๑

ดีใจ ไรท์มา  :mew1: :mew1: :mew1:
เทพเสือโคร่งภูผา เฉินอวี่  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 14-01-2018 22:56:38
พ่อเสือยังคงความเจ้าเล่ห์ไว้อย่างเหนียวแน่น  :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 16-01-2018 16:33:55
ขอบคุณนะคะ  คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา

สารภาพ เสียเวลาไปอ่านย้อนหลัง
เรื่องนี้ ตัวละครเยอะ  แก่แล้ว จำไม่ค่อยได้ 555
แม่เล็กฉลาดมาก เก่งทั้งบู๊ ทั้งบุ๋น
แต่แพ้พ่อเสือทุกที
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 19-01-2018 13:39:12

นี่อ่านมาถึงตอนนี้ คิดว่าความโชคดีของเมืองเหอคือมีแม่ที่มีลูกชายอยู่ที่เมืองลั่วแค่นั้นแล้วล่ะตอนนี้ 

ส่วนลูกหลานที่มาจากทางเมืองเหอเองคงสิ้นชื่อในเร็ววัน

ว่าแต่พ่อคะ พ่ออ่อนแอจริงๆหรือคะนั่น  :hao6:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-01-2018 21:30:01
แม่เล็กเก่งและฉลาดที่สุด
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 23-01-2018 23:41:04
 :z3: :z3:

ทิ้งปมเรื่องมังกรให้อยากรู้มากกก...บางครั้งฮ่องเต้ก็เหมือนเป้นคนดี บางทีก็ดูร้ายไม่น่าไว้ใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 25-01-2018 16:38:55


เห็นเด็กแฝดอยากให้มีภาคของแฝดมั่งจัง จะเป็นไปได้ป่าวนนี่  :mew2:  (คนอ่านขี้โลภ) 
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 27-01-2018 21:13:27
 :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 29-01-2018 13:48:56
 :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 30-01-2018 15:51:45


มารออยู่จ้า  :กอด1:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 30-01-2018 17:56:16
 :amen: :amen:

เรามารออออออ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 05-02-2018 14:49:30


 :impress:



ใกล้แล้วๆ ฮึบ ๆ



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 16-02-2018 16:21:38


 :ling1:   :ling1:

รออยู่น้า 



มาเถอ่ะๆๆๆๆๆ
 :sad4:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 19-02-2018 18:32:23
 :z2: :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 20-02-2018 11:07:22



 :z12:   :z12:


มาเถ่อะๆๆๆๆๆ



มานั่งรอหน้าจอคิดถึงแล้วววววว


 :ped149:  :ped149:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 26-02-2018 09:49:28



 :mew6:  อยากอ่านต่อแล้ว   :mew6:



 :call:  :call:  :call:




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 26-02-2018 10:00:57
 :z13: เข้ามาจิัมๆปลุกน้ำชา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 27-02-2018 09:11:40


 :ped149:  ฮึบ ฮึบ  :ped149:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 27-02-2018 13:17:15
 :z7: :z7: :z7: :z7:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 28-02-2018 20:23:18
 :call: :call:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 01-03-2018 13:16:08
มาสารภาพ  Notebook เราหมดสภาพ
ไม่ได้แวะเข้ามาเลย  จะอ่านในมือถือก็ไม่ไหว แก่แล้ว
คิดถึงนะ .... เหล่า พ่อเสือ แม่เล็ก กวางน้อย สบายดีไหม
หลบพวกใจร้ายมาลอบยิงนะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 02-03-2018 04:05:04
 :110011: :110011: :110011: :110011: :110011:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 02-03-2018 06:28:51
 :z10: :z10: :z10:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 06-03-2018 13:05:15
มานั่งเฝ้า

 :music: :music: :music:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 06-03-2018 15:20:22
 :m7: :m7: :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่27 P29(14012561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-03-2018 10:06:07


 :วู้วว1:  ขึ้นหน้าใหม่แล้ววววววววว รออยู่น้า  :วู้วว1:
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-03-2018 17:22:01
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่ยี่สิบแปด



เมื่อเวลาผ่านไป หลิวเพ่ยหลิงฮูหยินเจ้าเมืองลั่วให้กำเนิดแฝดสามผู้มีรูปลักษณ์แตกต่างจากคนทั่วไป คนหนึ่งมีผมสีเข้ม ดวงตาสีเข้ม แต่อีกสองคนมีดวงตาสีทองและผมสีอ่อน และด้วยคุณสมบัติแฝงบางอย่างที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากลู่กวางทอง ทำให้แฝดสามแห่งเมืองลั่วเป็นที่รักของทุกคนที่ได้พบ
ขณะที่ทุกคนในครอบครัวยิ่งหลงแฝดสามหนักชนิดที่มิยอมน้อยหน้ากว่ากัน
พ่อกวางทองของพวกเขาหลงบุตรยิ่งนัก หากมีโอกาสเป็นต้องไปอ้อนวอนให้เทพเสือโคร่งศิลาดำ หรือกวางไพลินพามาหาบุตรอยู่เสมอ
ที่กล่าวว่าหาโอกาสก็เพราะลู่กวางทองยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะเดินทางได้โดยลำพัง แต่เวลานี้ป่าสีทองกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาคับขัน เนื่องจากนางเทพกวางสายลมกับเทพกวางสายฟ้าต้องทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องป่าสีทองระหว่างที่เทพเสือโคร่งภูผายังไม่สามารถฟื้นฟูพลังได้อย่างเต็มที่ ขณะที่นางเทพเสือโคร่งบงกชและบุตรชายหญิงของนางก็ต้องรับหน้าที่อารักขาเหล่าเทพที่ต้องผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันบำเพ็ญเพียรกันตลอดทั้งปี
เฉินอวี้มาถึงเมืองลั่ว โดยที่ไม่ทราบว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในป่าสีทอง หลังจากที่แวะถวายสุราและข้าวเปลือกที่ปากทางเข้าป่า ก็เดินทางต่อมาที่ตัวเมืองและจวนเจ้าเมืองเพื่อเยี่ยมแฝดสามแล้วพบลู่กวางทองมาพักอยู่ที่จวนเจ้าเมือง เมื่อพูดคุยสอบถามทำให้ได้ทราบว่า ลู่กวางทองขอให้กวางไพลินพามาที่จวนเจ้าเมือง
เหตุใดจึงเป็นกวางไพลิน แล้วบรรดาผู้อาวุโสไปอยู่เสียที่ใด ลู่กวางทองก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ปิดบัง
ความบริสุทธิ์ใจของลู่กวางทองกับหยางหลงนั้นช่างงดงาม จนเฉินอวี้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะทำทุกทางเพื่อปกป้องความงดงามเหล่านี้ไว้ แม้จะรู้ว่าทั้งห้าคนมิได้อ่อนแอถึงกับต้องให้ใครมาปกป้อง โดยเฉพาะหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว
ต่อให้ไม่มีเฉินอวี้หรือเทพเสือโคร่งภูผา หรือต่อให้ไม่มีเทพแห่งป่าสีทองทั้งป่าก็ไม่มีใครทำอะไรพวกเขาทั้งห้าได้ แต่เฉินอวี้ก็ยังมีความกังวล และมีความตั้งใจที่จะดูแลทุกคนเป็นอย่างดี
ทั้งหมดนี้เพราะการเป็นผู้ที่รู้เรื่องมากเกินไป

"ท่านเทพเสือโคร่งภูผา มาดูหลานบ้างหรือยัง" เฉินอวี้ถามหยางหลง แต่ลู่กวางทองหันมาตอบว่ายังไม่ได้มา มีแต่นางเทพกวางสายลมที่มาดูแลอยู่ทุกเดือนตั้งแต่หลิวเพ่ยหลิงตั้งครรภ์จนถึงตอนนี้
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทั้งหมดเฉินอวี้จึงคิดว่าสมควรกล่าวกับลู่กวางทองและหยางหลงไปตามตรง
"เจ้าทั้งสองต้องเข้มแข็งขึ้น จะหวังพึ่งพาแต่เทพทั้งสี่มิได้ อย่างน้อยลู่ก็ต้องสามารถเดินทางระหว่างป่าสีทองกับจวนเจ้าเมืองได้โดยที่ไม่ต้องให้พี่สาว พี่ชายคอยช่วยเหลือ" เผื่อไว้ในกรณีฉุกเฉิน "ส่วนเจ้าเมืองลั่ว ตอนนี้ท่านไม่ได้แค่ปกครองเมืองลั่ว แต่ท่านปกครองไปถึงป่าสีทอง จะมัวแต่เกรงใจผู้อื่น ยึดแนวทางสร้างสันติเพียงอย่างเดียวไม่ได้"
ลู่กวางทองมีสีหน้าเจื่อนลงไป แต่เมื่อเป็นคำกล่าวของแม่เล็ก ก็พยักหน้ารับคำว่าจะตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้มีพลังที่กล้าแข็งมากกว่านี้
"เรื่องของแฝดสามเมืองลั่วมาพร้อมกับคำบรรยายเกี่ยวกับสีตาของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวพันกัน เมื่อพวกเจ้าไม่ต้องการรุกรานใคร และไม่ต้องการให้ใครเข้ามารบกวน ก็ต้องเข้มแข็งให้มาก ถ้ามีใครข้ามเส้นเข้ามา ก็ต้องสามารถไล่พวกมันกลับไปชนิดที่จะไม่ให้มีใครหน้าไหนกล้าข้ามเส้นพวกเจ้าได้อีก"
เฉินอวี้อธิบายไปแล้วลู่กวางทองรับคำก็จริง แต่บางอย่างในดวงตาสีทองคู่นั้นยังมีความไม่เข้าใจ ทั้งเมื่อแม่เล็กกล่าวจบก็ยังหันไปเล่นกับลูกๆ
สุดท้ายแม่เล็กก็ต้องหันมาตำหนิตนเอง
...นี่ข้ากำลังทำอันใดอยู่ เหตุใดจึงไปย้ำคิดย้ำทำกับลู่กวางทอง ผู้ที่ไม่เข้าใจความดำมืดในจิตใจมนุษย์ ที่สมควรคือต้องไปย้ำกับหยางหลง หรือเทพเสือโคร่งภูผามิใช่หรือ...
ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงป่าสีทอง ผู้ที่โดน 'อาละวาด' คือเทพเสือโคร่งภูผา ซึ่งอยู่ในร่างของเทพเสือโคร่ง และเดินออกมารอรับอยู่ที่หน้าถ้ำยา
"เมื่อไหร่ท่านจะแข็งแรงกว่านี้"
เสือโคร่งตัวใหญ่มองตาปริบๆ หันไปมองบุตรเสือโคร่งผู้ทำหน้าที่อารักขาและไปนำทางเฉินอวี้เข้ามา ก็ไม่เห็นว่าจะเข้าใจที่แม่เล็กกล่าวมาสักคำ
ที่หนักไปกว่านั้นก็คือ เฉินอวี้กำลังอารมณ์ไม่ดี...ครั้งสุดท้ายที่เขาอารมณ์ไม่ดีคือเมื่อไหร่กันนะ

คนรูปงามตบหน้าผากตนเองก่อนที่จะกล่าว "ฮ่องเต้จับตามองเมืองลั่วมาโดยตลอด แม้กระทั่งเรื่องที่หยางหลงมักจะเดินทางมาที่ป่าสีทองเป็นระยะก็ยังทรงมีพระปุจฉา และครานี้ก็ทรงสนพระทัยเรื่องทารกแฝดที่มีดวงตาสีทอง ทรงแน่พระทัยว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกัน" จากนั้นก็กล่าวคำที่เทพเสือโคร่งภูผากังวลที่สุด "อีกไม่นานพระองค์จะทราบเรื่องของลู่กวางทอง คนที่รู้จักท่านคือผู้ใหญ่ที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับท่าน เขาจึงช่วยท่านเก็บความลับเกี่ยวกับป่าสีทองไว้ แต่ลู่กวางทองกับลูก ๆไม่เป็นเช่นนั้น คนที่รู้จักพวกเขาจะรักและชื่นชมช่วยกันปกป้อง แต่ยังมีพวกตัวร้ายที่มองเห็นเป็นช่องทางแลกเปลี่ยนผลประโยชน์"
ผู้ใหญ่หลายคนในอาณาจักรไท่ชางรวมถึงฮ่องเต้จางฉวนรู้จักเทพเสือโคร่งภูผามานาน ผู้คนมากมายตกเป็นหนี้ชีวิตของเทพผู้นี้ และรู้ว่าข้อแลกเปลี่ยนเพียงข้อเดียวที่เทพเสือโคร่งร้องขอก็คือ อย่ารุกรานเมืองลั่วและป่าสีทอง
หนึ่งคือติดหนี้บุญคุณ สองคือเพราะเป็นเทพเสือโคร่ง
แต่กับกวางทองและบุตรแฝดทั้งสาม มีอะไรที่น่ากลัว
เฉินอวี้ยังมีเชื้อเพลิงอีกเล็กน้อยที่จะเร่งเวลาให้เทพเสือโคร่งภูผากลายเป็นระเบิดเร็วขึ้น
"หลังจากนี้ข้าจะต้องย้ายไปที่เมืองทางใต้ ยังไม่รู้ว่าจะต้องไปเมื่อใด และจะได้กลับมาเมื่อใด ไม่อาจส่งหนังสือมาแจ้งข่าวได้"
หลังจากที่กล่าวคำยืดยาวเฉินอวี้เดินนำเข้าไปในถ้ำ วางสัมภาระ แล้วนั่งลงบนพรมขนสัตว์อ่อนนุ่ม 
เสือโคร่งตัวใหญ่เดินตามเข้ามาแล้วหมอบลงข้าง ๆ เฉินอวี้หันไปมองแล้วถอนหายใจอีกครา
โกรธไปก็เท่านั้น ร้อนใจไปก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด เป็นเหมือนกันหมดทั้งบิดาและบุตร
เทพเสือโคร่งภูผาเองก็คงอยากมีพลังที่เข้มแข็งเพื่อให้ความคุ้มครองทุกสรรพสัตว์ในป่าสีทองแห่งนี้ เหมือนที่ผ่านมา
"ขอโทษที่ใจร้อน"
เทพเสือโคร่งภูผาส่งเสียงตอบรับต่ำ ๆ พยักหน้าบอกให้เฉินอวี้กินผลไม้ แล้วพักผ่อน แต่ในระหว่างที่กินผลไม้ เฉินอวี้ก็ย้อนกลับไปเล่าถึงความสนพระทัยของฮ่องเต้ใหม่อีกครั้ง
"ฮ่องเต้ไม่ได้สนพระทัยเรื่องยาอายุวัฒนะ เพราะทรงเชื่อมั่นในพระปรีชาเรื่องยาสมุนไพร และยาพิษต่าง ๆ แต่หากเป็นความมั่งคั่ง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
อย่าลืมว่ากวางคือสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง และหากทรงรู้ว่าเป็นมีกวางทองอยู่ที่ป่าสีทอง ก็จะยิ่งดึงความสนพระทัยมากขึ้นไปอีก
เรื่องนี้ใช่ว่าเทพแห่งป่าสีทองจะไม่รู้ พวกเขาจึงปกป้องลู่กวางทองอย่างดียิ่ง แต่เวลานี้เฉินอวี้กำลังร้อนใจเพราะต้องเตรียมตัวเดินทางไปอยู่ในที่ห่างไกล จึงบอกเล่าแผนการณ์เบื้องต้นที่ตกลงไว้กับหยางหลง
"หากวันนั้นมาถึง ข้าขอให้ท่านพี่กับเทพกวางสายฟ้าช่วยกันสนับสนุนเจ้าเมืองลั่ว"
เมื่อเทพเสือโคร่งภูผารับคำ เฉินอวี้ก็ถอนหายใจยาวให้กับตนเอง
...นี่ข้าเป็นบ้าอะไร เป็นมนุษย์ตัวเล็กจ้อยที่กล้าโวยวายต่อผู้มีพลังเข้มแข็งทั้งมีอายุยืนยาวกว่าร้อยปี ช่างไม่ประมาณตนเองเอาเสียเลย...

ในช่วงห้าวันที่เฉินอวี้อยู่ที่ป่าสีทอง มีเพียงครั้งเดียวที่เทพเสือโคร่งภูผาเปลี่ยนร่างมาเป็นมนุษย์ แต่ก็ทำได้เพียงแค่กอดจูบและกลั่นแกล้งอีกฝ่ายจนพอใจแล้วจากนั้นก็หลับไปในร่างของเสือโคร่ง
เฉินอวี้ที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดรุ่ย ผมยุ่งเหยิงได้แต่ส่ายหน้า "ข้ามาเพราะเป็นห่วง กลัวว่าฮ่องเต้จะมาพรากลูก หลานที่รักของท่านพี่ไป ไม่ได้มาเพราะติดในเพศรส ไม่จำเป็นต้องฝืนตนเองเพื่อข้าเช่นนี้" เฉินอวี้จูบที่หน้าผากของเสือโคร่งตัวใหญ่ "ทุกคนรอท่านพี่อยู่ ข้าเองก็เช่นกัน"

เมื่อกลับมาจากป่าสีทอง เฉินอวี้ก็ถูกส่งตัวไปอยู่ที่เมืองทางใต้ในทันที และรอคอยให้เทพเสือโคร่งภูผาเดินทางมาหาอยู่เสมอ

วันที่มีผู้แทนพระองค์อัญเชิญพระบรมราชโองการเรียกหยางจิน แฝดคนเล็กผู้มีตาสีทองให้เดินทางเข้าเมืองหลวงนั้น เฉินอวี้ยังอยู่ในเมืองทางใต้ แต่เมื่อพระองค์หาได้มีพระประสงค์ให้หยางจินต้องเดินทางเข้าเมืองหลวงในทันที ก็ทำให้ทุกคนยังพอจะมีเวลาที่จะจัดการเรื่องราว
หลังจากที่หยางติงเข้ามาแทรกแซงพระบรมราชโองการ และถวายฎีกาเพื่อขอแลกเปลี่ยนคนไปกับผู้แทนพระองค์แล้ว เทพเสือโคร่งภูผาก็ให้หยางหลงเจ้าเมืองลั่วเดินทางล่วงหน้าไปก่อน คำนวนเวลาไปถึงที่หมายในเวลาที่ใกล้เคียงกัน เพราะเมื่อหยางหลงเจ้าเมืองลั่วเดินทางไปถึงแล้ว พระองค์จะไม่โปรดให้เข้าเฝ้าฯ ในทันที มักถ่วงเวลาไว้อย่างน้อยห้าวันอยู่เสมอ
เทพเสือโคร่งภูผา และเทพกวางสายฟ้าจึงมีเวลามากพอที่จะพักฟื้นฟูพลัง
...หลังจากที่ต้องเก็บพลังด้วยเหตุเศร้าซึมมานานหลายปี พอถึงเวลาที่จะต้องปกป้องลูกหลานของตนเอง เทพทั้งสองจึงมีพลังที่เต็มเปี่ยม และพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฮ่องเต้จางฉวนได้โดยที่มิต้องผ่านหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว...หากรองแม่ทัพเฉินอวี้มิได้เตือนไว้ก่อน...
เมื่อมาถึงเมืองหลวง หยางหลงเจ้าเมืองลั่วผู้สุภาพอ่อนน้อมเข้าถวายฎีกาที่ระบุว่า แฝดผู้มีดวงตาสีทองมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรง ไม่อาจเดินทางไกลจากเมืองลั่ว ขณะที่หยางจงจินผู้เฒ่าก็มีอายุมากแล้ว ต้องการเดินทางกลับไปพักผ่อนที่บ้านเกิด หยางติงอดีตเจ้าเมืองลั่วจึงขออาสาเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อรับราชการแทน
ในห้องทรงงานของพระตำหนักว่าราชการยามนี้มีเสนาบดีฝ่ายซ้าย และฝ่ายขวาอยู่ทั้งสองคน ร่วมด้วยมหาดเล็ก และทหารรักษาพระองค์
โดยปกติเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสองมักมีความเห็นที่ขัดแย้งกันในเรื่องงานราชการ แต่หลายครั้งก็มีความเห็นพ้องกัน ที่ทำให้งานราชการราบรื่น
หลังจากที่ทรงอ่านฎีกาของหยางหลงเสร็จก็ทรงยื่นให้เสนาบดีทั้งสองนำไปอ่านทบทวนอีกครา
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วมีรอยยิ้มจางอยู่ในสีหน้า ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นมีแววยินดีเจืออยู่เล็กน้อย มิได้สั่นไหวต่อสายพระเนตรแข็งกร้าวที่ทอดมา
หลังจากที่เสนาบดีทั้งสองอ่านฎีกาฉบับนั้นเสร็จก็หันไปมองหน้ากันแล้วก้าวถอยหลัง แสดงท่าทีว่าจะไม่แทรกแซงการตัดสินพระทัยของพระองค์

"ตั้งแต่เราขึ้นครองราชย์ เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าถวายฎีกาไม่ส่งคนที่ข้าต้องการตัว"
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วในชุดประจำตำแหน่งดูสง่างามแม้ในยามที่ค้อมตัวก่อนถวายคำชี้แจง
"บุตรของข้าพระองค์ยังเป็นเพียงทารกเท่านั้น และสุขภาพไม่แข็งแรง ข้าพระองค์ไม่อาจวางใจให้ออกจากเมืองลั่ว พระเจ้าค่ะ"
"เราไม่ได้บอกให้เข้ามาเมืองหลวงในทันที"
หยางหลงมิได้ค้อมตัวเมื่อกราบทูลต่อไป "แต่ก็ไม่แน่ชัดว่า จะพร้อมเมื่อใด หากพระองค์เรียกตัวแล้วยังไม่พร้อม ก็อาจกลายเป็นการขัดพระบรมราชโองการได้พระเจ้าค่ะ"
ทรงประทับยืนขึ้น แล้วก้าวพระบาทช้าๆเข้ามาหา "คนที่เราต้องการคือหยางจินทารกแฝดหนึ่งในสองคนที่มีดวงตาสีทองนั่น"
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วยืดตัวตรง ทำให้ความสูงของเขาโดดเด่น หลังไหล่กว้าง ดวงตา และใบหน้าเปล่งประกาย
สรรพเสียงรอบพระองค์พลันสงบเงียบ จากนั้นจึงทรงได้ยินเสียงคลื่นทะเลจากที่ห่างไกล
แต่ที่นี่คือพระราชวังหลวงแห่งไท่ชาง อยู่ห่างไกลจากชายหาดถึงขั้นที่ต้องเดินทางข้ามวัน จะเป็นไปได้อย่างไร
"มีเรื่องเล่ากันว่า ทารกแฝดเหล่านั้นของเจ้าเป็นบุตรแห่งป่า...."
ฮ่องเต้จางฉวนประทับยืนนิ่งเมื่อทอดพระเนตรเห็นดวงตาของหยางหลง
เห็นอยู่ว่าเป็นดวงตาที่มีสีน้ำตาลเข้ม แต่จู่ๆ สีน้ำตาลเข้มนั้นก็กลับบีบแคบลงจนกลายเป็นเส้นเล็กบาง บนพื้นวงกลมสีน้ำตาลอ่อน ขณะที่ส่วนที่เป็นตาขาว กลายเป็นสีเหลืองนวล หนวดยาวสองข้างเหนือริมฝีปากย้อนแนบไปกับแนวจมูกขึ้นไปจรดหว่างคิ้ว ฟันที่เรียงซี่สวย กลายเป็นแหลมคม เกล็ดขนาดใหญ่ปรากฏที่ลำคอ
ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นโบกให้ทุกคนในห้องทรงงานออกไปก่อน เหลือเพียงพระองค์กับหยางหลงตามลำพัง
"เจ้าเมืองลั่ว..."
"เราชาวเมืองลั่วและป่าสีทองเมื่อให้คำมั่นแล้วไม่แปรเปลี่ยน พวกเรามั่นคงและพร้อมที่จะทำตามพระบัญชา เพียงแต่ทารกของหยางหลง มังกรแห่งสกุลหยางผู้นี้ ข้าพระองค์มิอาจถวายตามพระบัญชาพระเจ้าค่ะ"
...มังกรแห่งสกุลหยาง...
เมื่อมังกรแห่งสกุลหยางยืนอยู่เบื้องหน้า และประกาศความภักดี ก็ทำให้พระองค์มิได้ประสงค์ในตัวของทารกนั้นอีกแล้ว แต่กลับมีคำถามเกิดขึ้น...
"เราได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับทารกแฝดคู่นั้น และเรื่องที่เจ้ามักเดินทางไปพักผ่อนในป่าสีทองเป็นระยะ"

หยางหลงมิได้ขยับตัวเมื่อกล่าวตอบ "แต่ข้าพระองค์เชื่อว่า พระองค์ไม่ได้ทรงเชื่อเรื่องที่ผู้คนเล่าต่อกันมา เท่ากับการที่ทอดพระเนตรเห็นด้วยพระองค์เอง"
"นั่นก็ใช่" ทรงกวาดตามองเกล็ดมังกรที่ปรากฏขึ้นที่หลังมือของหยางหลง "เจ้าก็คงรู้จักกับเทพเสือโคร่งภูผา"
หยางหลงพยักหน้า
"รวมถึงบุตรของเขาด้วยใช่หรือไม่"
หยางหลงพยักหน้าอีกครา
"ดังนั้นแล้ว พระองค์คงจะมิต้องการให้ทารกอ่อนแอเดินทางเข้ามาที่เมืองหลวงแล้วใช่หรือไม่ฝ่าบาท"
ฮ่องเต้จางฉวนพยักพระพักตร์
"จะไม่ให้ทารกแฝดก็ได้ แต่เรื่องการแลกเปลี่ยนกับเทพเสือโคร่งภูผายังเหมือนเดิม" จะให้ยอมถอยจนสุดทางก็มิใช่พระองค์แล้ว
หยางหลงก้มศีรษะเพียงเล็กน้อย สัญลักษณ์ของมังกรค่อยเลือนหายไปต่อหน้าองค์ฮ่องเต้
"ที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยแสดงให้เรารู้เรื่องนี้"
"ที่ผ่านมา ข้าพระองค์ได้แสดงให้ทรงเห็นถึงความภักดีมาตลอด จนมาถึงการที่พระองค์ต้องการบุตรฝาแฝด ก็คิดว่าพระองค์อาจจะยังไม่วางพระราชหฤทัย"
หยางหลงผายมือออกไปทางด้านนอกของห้องทรงงาน ฮ่องเต้จางฉวนจึงก้าวพระบาทออกมาที่ด้านนอกบริเวณทางเดินหน้าห้องทรงงาน ฝั่งหนึ่งคือผนังของห้องทรงงาน อีกด้านคือหน้าต่างบานใหญ่
เมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไปยังโคนต้นไม้ใหญ่ในราชอุทยาน ชายรูปร่างสูงใหญ่สองคนกำลังยืนมองมาทางนี้
คนหนึ่งสวมชุดสีเหลือง-ดำ อีกคนหนึ่งที่มีรูปร่างบางกว่าสวมชุดสีขาว-เทา
แม้ทั้งสองจะมีรูปร่างที่โดดเด่น จนพระองค์สามารถมองเห็นได้ในทันที แต่เป็นเรื่องแปลกที่บรรดาทหาร  และมหาดเล็กที่รออยู่กลับมิมีผู้ใดที่มีท่าทีว่ามองเห็นคนแปลกหน้ายืนอยู่ในราชอุทยาน 
"เขาก็มาด้วยหรือ แล้วอีกคนคือใคร"
"เทพกวางสายฟ้าพะย่ะค่ะ"

แต่พอจะก้าวพระบาทไปหา ก็ปรากฎไอสีขาวปกคลุมเทพทั้งสอง และเมื่อไอสีขาวจางลงทั้งคู่ก็หายไป
"เจ้าเรียกพวกเขาได้หรือไม่"
หยางหลงตอบตามตรง "มิได้พระเจ้าค่ะ"
"เฉินอวี้เคยทำได้ แต่ในตอนหลัง...พวกเขามีปัญหากัน"
มาถึงตอนนี้ต้องนับได้ว่าทรงวางพระทัยหยางหลงมากกว่าเดิม
"เฉินอวี้ไปที่เมืองลั่วบ้างหรือไม่"
"ครั้งหลังสุดก็คือนานกว่าสองปีแล้ว พะย่ะค่ะ"
"แล้วเฉินอวี้รู้หรือไม่ว่าเจ้า..."
หยางหลงส่ายหน้า
ทรงทอดพระเนตรไปทางต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง "แฝดสามคนนั้นต้องสำคัญกับพวกเขามาก"

หลังจากที่ทรงทบทวนเรื่องราวทั้งหมดอีกครู่จึงมีรับสั่ง
"เราจะไม่แตะต้องบุตรของเจ้าตราบใดที่มีการแลกเปลี่ยนกันอย่างสมเหตุสมผล"
นั่นช่างเป็นข้อสรุปที่เหมาะสมกับพระองค์เป็นอย่างยิ่ง แต่หยางหลงก็รู้จักการแปลกเปลี่ยนอย่างสมเหตุสมผลเช่นกัน
ในระหว่างที่หยางหลงเดินทางกลับเมืองลั่ว ได้พบกับเทพทั้งสองที่มาดักรอระหว่างทางเพื่อพูดคุย
ก็อย่างที่ทราบกัน ไม่ว่าจะในเมืองหลวงหรือเมืองลั่ว ล้วนอยู่ในพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ไปทั้งสิ้น ถึงจะอยู่ในระหว่างการเดินทางก็ใช่ว่าจะรอดพ้น แต่การพบกันที่นี่ทำให้ในรายงานที่จะนำขึ้นถวายในภายหลังไม่แน่ชัดว่า เทพทั้งสองกำลังจะเดินทางต่อไปที่ใด
รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงถูกเรียกตัวกลับมาที่เมืองหลวงในทันที
แต่ข่าวร้ายที่มารออยู่ที่บ้านพักก่อนที่จะเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ ก็คือมารดากำลังป่วยหนัก
อากังคนรับใช้ที่มาแจ้งข่าวเล่าว่า นางป่วยมาเป็นเวลานานหลายเดือนแล้ว แต่ที่ไม่ได้ส่งหนังสือไปบอกก็เพราะเชื่อว่าบุตรชายคนเล็กจะกลับบ้านในเร็ว ๆ นี้ ชายหนุ่มจึงบอกกับอากังไปว่า เมื่อเสร็จจากการเข้าเฝ้าฯ แล้วจะกลับไปเยี่ยมมารดาที่บ้าน
หลังจากที่เปลี่ยนเครื่องแบบแล้วรองแม่ทัพเฉินอวี้จึงมาเข้าเฝ้าฯ แน่นอนว่าทรงซักถามเรื่องของทารกแฝดทั้งสามซึ่งรองแม่ทัพเฉินอวี้แทบไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย
ทรงโบกพระหัตถ์อย่างขัดพระทัย ก่อนที่จะรับสั่งว่า "รู้เรื่องที่เจิ้นขุยไม่ใช่บุตรของหยางหลงหรือไม่"
รองแม่ทัพเฉินอวี้พยักหน้า "พิจารณาจากระยะเวลาที่หยางหลงมาที่เมืองหลวง กับช่วงที่หลิวเพ่ยหลิงตั้งครรภ์ก็ทราบแล้วพระเจ้าค่ะ แต่หยางหลงยังคงยืนยันว่าหยางเจิ้นขุยเป็นบุตรของเขา"
"แล้วหลิวเพ่ยหลิงคนนี้ ก็ตั้งครรภ์ทารกแฝดสามซึ่งสองในสามมีดวงตาสีทอง แต่คนที่ไปที่ป่าสีทองเป็นระยะคือหยางหลง"
"พระองค์หมายความว่า..."
"เพราะว่าหยางหลงคนนี้คือมังกร" ทรงลดพระสุรเสียงลง ด้วยมิต้องการให้ผู้ใดได้ยินบทสนทนา "เจ้าลองคิดดูถ้าเราสามารถควบคุมได้ทั้งเทพเสือโคร่งภูผา และมังกรแห่งเมืองลั่ว...เฉินอวี้ พวกเขาคือความมั่งคั่งและยิ่งใหญ่ของเรา"
"อ้อ...." รองแม่ทัพเฉินอวี้จะแสดงความเห็นอะไรได้
"ที่เจ้าบอกว่า เทพเสือโคร่งภูผาป่วยหนัก เราคิดว่าที่จริงแล้วเขาหายดีนานแล้ว แต่ที่มิได้ไปพบเจ้า ก็เพราะเขาลืมเจ้าไปแล้ว"

ตะกอนในใจพร้อมจะเพิ่มมวลให้กลายเป็นโคลนแห่งความกังวล ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม

"เมื่อครั้งที่หยางหลงมาที่นี่เพื่อยื่นฎีกาค้านเรื่องการส่งทารกแฝด  เทพเสือโคร่งภูผามาด้วย พร้อมกับเทพกวางสายฟ้า"
รองแม่ทัพเฉินอวี้มองพระเนตรที่บัดเดี๋ยวแข็งกร้าว บัดเดี๋ยวเต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็ได้ข้อสรุปในใจ
การประทับอยู่บนบัลลังก์ที่สร้างขึ้นด้วยเลือดเนื้อของผู้คนมากมายมานานกว่าสิบปี ทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนไปมาก
หรือไม่ นี่อาจคือตัวตนของพระองค์ที่แท้จริง ที่ทรงปิดบังมานานหลายสิบปี

ขณะที่หยางหลงและสัตว์เทพแห่งป่าสีทองล้วนทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัวของตน  แต่พระองค์กลับทำทุกทางเพื่อที่จะอยู่ในอำนาจ แม้แต่การฆ่าครอบครัวของตนเอง
"เรียกเขาออกมาพบเรา"
"ข้าพระองค์ไม่ได้เรียกเขามานานหลายปีแล้วพะย่ะค่ะ"
พระโอษฐ์ยกยิ้ม "ลองดูสิ เราอยากรู้"
รองแม่ทัพเฉินอวี้เดินไปเปิดหน้าต่างบานหนึ่งแล้วเรียก
ในวันเวลาที่เฝ้ารอให้มาหา แต่เทพเสือโคร่งภูผาก็ไม่เคยมาหา
วันนี้ ไม่อยากให้มาหา แต่ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางห้องทรงงานส่วนพระองค์
ความกลัว ความกังวล ความผิดหวัง ความรู้สึกที่ปนเปกันจนยากจะแยกแยะทำให้ชายหนุ่มก้มหน้า เพื่อหลบซ่อนความรู้สึกแล้วถวายความเคารพ จากนั้นจึงถอยออกมาจากห้อง
ต่อให้เทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้มองคนรูปงามแม้สักนิดเดียวแต่ก็กลับมองเห็นใบหน้าขาวซีด กับขอบตาแดงก่ำนั้นอย่างชัดเจน และยิ่งรู้สึกขัดตาเมื่อเห็นว่าฮ่องเต้กำลังแย้มพระโอษฐ์กว้างด้วยความยินดี
เมื่อวันก่อนมองจากที่ห่างไกล ทั้งมองผ่านช่องหน้าต่างจึงเห็นไม่ชัดเจน
แต่วันนี้ชัดเจนว่าพระองค์มีพระวรกายอวบอ้วนกว่าเดิม พระนลาฎเปิดกว้าง และสายพระเนตรที่ดูแข็งกร้าวไม่น่าไว้วางใจมากกว่าเดิม
“ไม่ได้พบกันนาน” ทรงรับสั่งขึ้นขณะที่จ้องมองเทพเสือโคร่งภูผา “ท่านยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เทพแห่งป่าสีทองคงเป็นอมตะสินะ”
ชายรูปร่างสูงใหญ่กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พวกเราไม่ได้เป็นอมตะ ยังรู้จักการเจ็บป่วย บาดเจ็บ และตาย ท่านเองก็รู้ดี”
ทรงพยักพระพักตร์เมื่อนึกขึ้นได้ จากนั้นจึงมีรับสั่งถามต่อ “ระยะนี้ไม่มีสัตว์เทพหายไปจากป่าหรือ”
ทั้งที่ใจรู้สึกเป็นห่วงคนที่เดินออกไปจากห้องอย่างโศกเศร้า แต่เทพเสือโคร่งภูผาก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ในการตอบคำถามมากมาย
เทพกวางสายฟ้าเคยถามว่า เหตุใดต้องอดทนต่อผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์คนแล้วคนเล่า แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ที่ไม่มีความจำเป็นต่อป่าสีทอง
เหตุผลก็คือการที่เนื้อแท้แล้วทั้งหมดเป็นเพียงสัตว์ป่า ต่อให้มีพลังอำนาจมากมายสักเพียงใดสุดท้ายก็ยังคงเป็นผู้ถูกล่า และถูกรุกราน
เทพเสือโคร่งภูผาเพียงต้องการปกป้องครอบครัวของป่าสีทองให้ดำเนินชีวิตด้วยความสงบสุข

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 08-03-2018 17:23:30
 (ต่อ)

เมื่อออกจากพระราชวัง รองแม่ทัพเฉินอวี้ตรงกลับมาบ้าน มารดาที่รออยู่สามารถลุกขึ้นมาสนทนากับบุตรชายคนเล็กเป็นเวลานาน จนกระทั่งหญิงรับใช้เข้ามาเตือนว่านางต้องนอนพัก ชายหนุ่มจึงพามารดาเข้านอนแล้วกลับออกมา
หลายปีผ่านไปคฤหาสน์ของเฉินอู่พ่อค้าผ้าไหมมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อบุตรชายหญิงทั้งหมดล้วนแยกเรือนออกไป และเฉินเต๋อหมิงพี่ชายคนโตเข้ามาควบคุมกิจการเต็มตัว
บิดาและท่านแม่ใหญ่ที่ชราลงไปมากยังพักอยู่ในตึกใหญ่เหมือนเดิม ร่วมกับครอบครัวของเฉินเต๋อหมิง ที่ย้ายเข้ามาพัก ส่วนมารดาของเฉินอวี้ กับท่านแม่สี่ซึ่งเป็นอนุคนหนึ่งของบิดาแยกมาพักอยู่ในตึกที่เคยเป็นที่พักของบุตรชาย ขณะที่ท่านแม่สามเสียชีวิตไปตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน
ทั้งที่ท่านแม่ทั้งสองคนสามารถที่จะแยกออกไปอยู่กับบุตรได้ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้เลือกที่จะทำเช่นนั้น
รองแม่ทัพเฉินอวี้เข้าใจความยึดติดของมารดา ที่มิได้แตกต่างไปจากการที่ตนเองยึดติดอยู่กับเทพเสือโคร่งภูผา

ตอนที่เทพเสือโคร่งภูผาตามรอยของเฉินอวี้มาจนถึงเรือนพักประจำตำแหน่ง ก็มองเห็นหลายสิ่งที่มองข้ามมาตลอด
ต่อให้มีตำแหน่งใหญ่โต
ต่อให้มีผลงานที่โดดเด่น
ต่อให้ไว้วางใจ
ต่อให้ฆ่าคนเพื่อจางฉวนไปมากมายสักเท่าใด
เฉินอวี้ก็ยังคงต้องพักอยู่ในเรือนพักหลังเดิม
เพราะเหตุใด...

เทพเสือโคร่งภูผากระโดดผ่านหน้าต่างบานหนึ่งเข้าไปหยุดยืนอยู่กลางห้อง คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารลุกขึ้นมามอง ค้อมตัวทำความเคารพ หยาดน้ำตาไหลริน
ที่เรือนพักฝั่งตรงข้ามคนผู้หนึ่งขยับตัวลุกขึ้นยืนมอง
เทพเสือโคร่งภูผานั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่งหันหลังให้กับหน้าต่าง เฉินอวี้เข้ามารินน้ำชา จากนั้นถามว่าหิวหรือไม่ ที่นี่ยังมีน้ำแกงที่มารดาทำมาให้ แล้วกุลีกุจอตักน้ำแกงมาถ้วยหนึ่ง
สีหน้าที่เรียบเฉย และการที่อีกฝ่ายมิได้เอ่ยคำพูดสักคำทำให้เฉินอวี้ยิ่งปวดใจ หลังจากที่เทพเสือโคร่งภูผาดื่มน้ำแกงจนหมด ก็นั่งนิ่ง ๆ มองใบหน้าของอีกฝ่ายอีกครู่หนึ่ง แล้วจากไป
เป็นความเฉยชาที่ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อครั้งแรกที่เทพเสือโคร่งภูผากลับมาจากการถ่ายพลังให้ลู่กวางทองเมื่อหลายปีที่แล้ว
เฉินอวี้น้ำตาไหลพรากมองถ้วยแกงว่างเปล่า แล้วก้มหน้าลงแนบหลังมือที่วางอยู่บนโต๊ะ
ผู้ที่อยู่ในเรือนพักฝั่งตรงข้ามนำทุกการเคลื่อนไหวไปกราบทูลโดยไม่มีการตกหล่น
เว้นแต่...
ในคืนนั้นเฉินอวี้เข้านอนแล้ว แต่เทพเสือโคร่งภูผากลับมาที่เรือนพักอีกครั้ง
คนรูปงามจ้องมองคนที่เข้ามาในห้องนอนด้วยความงุนงง แต่ในทันทีที่อีกฝ่ายกล่าวคำ "อวี้เอ๋อร์" เฉินอวี้ก็โผเข้ามาหาทั้งตัวแล้วกอดไว้แน่น
แม้จะรู้ว่าคนผู้นี้เต็มไปด้วยความกังวลและอ่อนไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เทพเสือโคร่งภูผาก็ยังไม่อาจเอ่ยคำขอโทษ ทั้งไม่อาจให้สัญญาว่าจะไม่ทำให้เสียใจ

รองแม่ทัพเฉินอวี้ลาป่วยในวันถัดมาตามคาด นายทหารผู้ติดตามรายงานว่า รองแม่ทัพป่วยหนัก ใบหน้าขาวซีด ดวงตาบวมช้ำอย่างคนที่ร้องไห้อย่างหนัก
ฮ่องเต้จางฉวนมีพระวินิจฉัยว่า อาการเหล่านี้ไม่ได้ต่างไปจากความคาดหมาย
คนเดียวที่ทำให้รองแม่ทัพเฉินอวี้อ่อนแอก็คือเทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้น
หลายปีก่อนเป็นอย่างไร มาจนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
หรือรองแม่ทัพเฉินอวี้ผู้นี้ไม่รู้จักตัดใจจริง ๆ 
แต่ในขณะที่ทรงทอดพระเนตรเพื่อพิจารณา ทรงตระหนักถึงความผิดปกติบางอย่าง
นับตั้งแต่วันที่พบกับรองแม่ทัพเฉินอวี้ผู้นี้ครั้งแรกมาจนถึงวันนี้ การเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มมีเพียงรูปร่างที่สูงขึ้น และไหล่กว้างขึ้นเท่านั้น
ส่วนองค์ประกอบอื่น ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า หรือผิวพรรณล้วนคงเดิมทุกอย่าง แล้วว่าที่จริงทุกคราที่คนผู้นี้เจ็บป่วย ผู้ที่ให้การดูแลรักษามาตลอดคือเทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้น แต่ในช่วงสองปีมานี้ก็ไม่เคยได้รับรายงานว่าคนผู้นี้เจ็บป่วยเลยสักครา
บรรดาองครักษ์และทหารทุกนายที่รับใช้พระองค์เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง มักมีใบหน้าเฉยชา ดวงตาโหดเหี้ยม นิสัยแข็งกร้าว
ถึงพระองค์เองก็มีรูปร่างที่เปลี่ยนไปตามวัย
แต่ไม่ใช่ชายหนุ่มผู้นี้
เพื่อคลายข้อสงสัย ทรงเสด็จไปถึงที่พักของรองแม่ทัพด้วยพระองค์เอง
"เจ้าเคยพบกับท่านหญิงหนานกงหรือไม่"
"ไม่เคยพระเจ้าค่ะ"
ทรงผินพระพักตร์ไปสอบถามองครักษ์ชั้นเอก ผู้มีอาวุโสสูงสุดในที่นั้น เกี่ยวกับท่านหญิงหนานกงเมื่อครั้งที่เดินทางกลับไปบ้านเกิด
เรื่องราวนี้นานหลายปีแล้ว ทั้งไม่แน่ใจว่าทรงต้องการทราบในเรื่องใดกันแน่ แต่เพราะการที่ทรงเป็นหนึ่งผู้เชี่ยวชาญในเรื่องพืชสมุนไพร และสุขภาพ จึงกราบทูลไปว่า นางมีสุขภาพแข็งแรงดี
นี่ยังมิใช่คำตอบที่พระองค์ต้องการ จึงทรงโบกพระหัตถ์ให้ทุกคนในห้องนั้นออกไปรอด้านนอก จากนั้นจึงรับสั่งถามกับรองแม่ทัพเฉินอวี้
"เขาเคยเล่าถึงนางให้เจ้าฟังหรือไม่"
รองแม่ทัพเฉินอวี้พยักหน้า "เคยพระเจ้าค่ะ"
"นาง...ดูเยาว์วัยจนถึงวาระสุดท้ายหรือไม่"
คิ้วสวยขมวดแน่นเมื่อคิดถึงบทสนทนาในอดีต "นางมีความกังวลว่านางชราไปมาก จึงแนะนำหลานสาวให้ แต่เขาปฏิเสธ"

แล้วเหตุใดเฉินอวี้จึงดูเยาว์วัยไม่เปลี่ยนแปลงไป
ป่าสีทองเมืองลั่วช่างน่าสนใจจริงๆ

...จบตอนที่ยี่สิบแปด...

เธอ เราสองคนเขียนเรื่องนี้จบไปนานแล้ว และลงเรื่องนี้มาปีกว่าแล้ว ไม่จบสักที
เธอช่วยพิมพ์ความเห็น หรืออะไรสักอย่างให้เรารู้ว่ามีใครอ่านเรื่องนี้บ้าง, จะได้ขึ้นหน้าใหม่ แล้วเราจะได้มาลงตอนใหม่ จะได้ไม่ต้องรอนานไง แล้วก็จะได้อ่านเรื่องใหม่กัน
นะเธอนะ
 MyTeaMeJive
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 08-03-2018 20:50:07
 เขามาแล้วววววว จะทยอยอ่านนะตะเอง :L1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: swoooaa ที่ 08-03-2018 21:18:58
ท่านพี่ก็ยังทำเฉินอวี้เสียใจอยู่ร่ำไป อยากให้ไปอยู่ด้วยกันแล้วอ่าา ความป่าสีทองมาอีกแล้วววว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-03-2018 00:05:47
ความอยากไม่สิ้นสุดจริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-03-2018 09:56:17
อิฮ่องเต้โลภมากในทุกเรื่อง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 11-03-2018 23:46:11
ฮ่องเต้นิสัยเจ้าเล่ห์
ไม่ชอบๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 12-03-2018 00:57:49
ฮ่องเต้เจ้าเล่ห์ นิสัยเสีย :z6:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-03-2018 08:24:51

อิตาฮ่องเต้นี่จะมีวันสำนึกอะไรกะเค้าบ้างป่ะนี่ ความโลภไม่มีสิ้นสุดเลยจริงๆ  :beat:  :beat:
นี่อยากยุให้ไปแย่งอวี้เอ๋อร์ไปจากพ่อเสือต่อหน้าสักตั้ง เผื่ออิตาฮ่องเต้จะได้เห็นความพินาศที่แท้จริงสักครา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-03-2018 09:55:06


เรามารออยู่น้า  :กอด1:  :กอด1:





หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 03-04-2018 15:25:13

 :z12:   มารอจ้า







หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 07-04-2018 09:45:07
มาตามเก็บ ทันแล้วววว
 :3123:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 12-04-2018 09:16:06
มารอสาดน้ำพ่อเสืออออ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 12-04-2018 09:18:45
ไม่ได้อ่านมาตั้งหลายตอน สงกรานต์นี้จะเก็บแต้มนะเจ้าคะ ไล่อ่านรัวๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 12-04-2018 14:39:11
 :a11: :a11: :a11: :a11:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-04-2018 16:20:03
แม้จะยาวนาน  แต่ตามต่อ ตามติดตลอด   :mew1: :mew1: :mew1:

เบื่อหน่าย รำคาญผู้เป็นใหญ่ที่ช่างโลภมากในทุกทาง  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
สักวันความอยากจะทำให้ชีวิตตัวเองพังทลาย    :fire: :fire: :fire:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 13-04-2018 12:55:34
 o15 o15 o15  คิดถึง....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 13-04-2018 17:03:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 13-04-2018 17:08:06
สวัสดีปีใหม่  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 14-04-2018 09:10:20
เรื่องนี้จะจบอย่างมีความสุขสุดๆ ถ้ามีใครสักคนจัดการฮ่องเต้จอมแสบนี้สักที  :m16:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 14-04-2018 10:35:01
รอ รอ รอ
ยังคงรอ

เทพเสือโคร่ง ในดวงใจ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-04-2018 09:30:19


สวัสดีวันสงกรานต์นะคะ  แวะมานั่งรอพ่อเสือจ้า

:กอด1:  :กอด1:




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-04-2018 16:07:23
 :110011: :z7: :110011: :z7: :110011: :z7:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 19-04-2018 14:09:35

 :3123:  ฮึบ ฮึบ 


รออยู่จ้า  :L1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 22-04-2018 12:03:22
 :z2: มารอพ่อเสือคนขี้ลืมมมม
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: Iammai2017 ที่ 22-04-2018 14:11:43
ขอบคุณค่าาา
 :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: ปีศาจน้อยสีชมพู ที่ 22-04-2018 14:21:20
ที่หายไปไม่ได้หายไปไหนอ่านตลอด  แต่เพิ่งหาพาสเวิดเจอ 555
ล :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 22-04-2018 23:30:48
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 23-04-2018 11:36:15


พ่อเสืออออออ ยู้ฮูววววววววว


 :write-a-letter:


รออยู่น๊า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่28 P30(08032561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 23-04-2018 14:49:14
เราคิดถึง
:catrun:
:catrun:
:catrun:
:catrun:
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 24-04-2018 14:17:10
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่ยี่สิบเก้า


หลายวันถัดมารองแม่ทัพเฉินอวี้ได้รับพระราชทานบ้านพักประจำตำแหน่ง ซึ่งเป็นบ้านพักหลังเดิมของข้าราชการผู้หนึ่งที่ถูกยึดทรัพย์เมื่อครึ่งปีก่อน หลังการเร่งซ่อมแซมอยู่ไม่ถึงครึ่งเดือน ก็พร้อมให้เข้าพักได้ แต่รองแม่ทัพเฉินอวี้กลับไม่อาจเชิญมารดาให้มาพักอยู่ด้วยกัน เนื่องจากนางเสียชีวิตลงเสียก่อน
งานศพของภรรยารองพ่อค้ารายใหญ่ แม้จะบอกว่าไม่มีพิธีการยิ่งใหญ่อันใด แต่ก็มีผู้มาไว้ร่วมอาลัยหนาตา
ในระหว่างที่บรรจุร่างของมารดาไว้ในสุสาน ชายหนุ่มก็คิดถึงความหวาดระแวงของมารดาที่มีต่อบรรดานายทหารผู้ติดตามเขา
เป็นความหวาดระแวงแบบชาวบ้านที่มีต่อผู้ที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
แต่นางไม่เข้าใจเรื่องจิตสังหาร ก็คิดไปว่าเพราะบรรดาผู้ที่ผลัดเปลี่ยนกันมาติดตามบุตรชายนั้นล้วนเคยลงมือฆ่าคน นางจึงรู้สึกระแวงและไม่ไว้ใจ นางรู้ว่าเฉินอวี้ก็เคยลงดาบฆ่าคน แต่เพราะนี่คือบุตรชายของนาง นางจึงไว้ใจ
ซึ่งในเวลาเดียวกัน เฉินอวี้ที่มีความตั้งใจอยากพามารดาออกมาจากบ้านหลังนั้นตั้งแต่จำความได้ แต่เมื่อถึงวันที่มีบ้านพักส่วนตัว สามารถพามารดาออกมาได้ มารดาก็ไม่อยู่แล้ว
ความรู้สึกในเวลานี้จึงคล้ายยืนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า...
 
ในช่วงหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นทหารผู้ติดตาม นายทหารคนสนิท หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ ที่เดินทางไปกับรองแม่ทัพเฉินอวี้ทั่วอาณาจักรไท่ชาง ทุกคนจะทำงานผลัดเปลี่ยนตามวงรอบในช่วงสองถึงหกเดือน ผ่านไปหลายปีนายทหารระดับนายกองขึ้นมาถึงองครักษ์จำนวนมากกว่าร้อยคนจึงผ่านการร่วมงานกับรองแม่ทัพผู้นี้มาแล้วทั้งสิ้น
แต่เฉินอวี้รู้ดีว่าพวกเขามิได้แค่ติดตาม แต่เป็นการจับตามองความเคลื่อนไหว ยิ่งนานวันก็ยิ่งชัดเจนว่าฮ่องเต้กำลังไม่ไว้วางพระทัยเขามากขึ้นเรื่อยๆ และจากงานที่ทำอยู่ทุกวัน จึงรู้ดีว่าหลังจากนี้จะพบกับอะไร 
ดังนั้นเมื่อถึงงานวันปีใหม่ บ้านของคหบดีเฉิน พ่อค้าผ้าไหมรายใหญ่ของเมืองหลวงจัดงานเลี้ยงใหญ่ บรรดาพี่น้องชายหญิงทั้งหมดกลับมาบ้านมาพร้อมหน้ากันตั้งแต่เช้าเพื่อร่วมอวยพรให้กับบิดา มารดา บรรดาลูกจ้างคนงานก็มาเข้าแถวรอรับเงินรางวัลพิเศษ เสียงหัวเราะครึกครื้นและการดื่มกินดำเนินไปตลอดทั้งวัน ส่วนเฉินอีจิ้ง กับรองแม่ทัพเฉินอวี้ต้องรอจนกระทั่งงานในวังหลวงเสร็จสิ้นลงก่อนจึงจะสามารถกลับมาร่วมงานเลี้ยงที่บ้านได้
เวลานั้น มีเพียงบิดากับมารดาทั้งสองที่พูดคุยอยู่กับพี่ใหญ่เฉินเต๋อหมิง  หลังการอวยพรปีใหม่ตามธรรมเนียมแล้ว ทั้งหมดจึงกลับเข้าไปพักผ่อนในช่วงบ่าย สามคนพี่น้องจึงออกมาพูดคุยกันที่ลานหน้าบ้าน

แม้ในกลุ่มพี่น้องทั้งสิบคนของบ้านสกุลเฉินพ่อค้าผ้าไหม จะมีความเกรงใจพี่ใหญ่เฉินเต๋อหมิง ผู้ก้าวขึ้นควบคุมการค้าแทนบิดา และให้ความเคารพพี่รองเฉินอีจิ้งผู้ประสานการค้ากับวังหลวงและข้าราชการ แต่ความขัดแย้ง และการแข่งขันที่เริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อครั้งจำความได้ ใช่ว่ามันจะลบหายไปได้ง่าย ๆ เมื่อเติบใหญ่

รองแม่ทัพเฉินอวี้ยืนกอดอกหลังตรงถามพี่ใหญ่ขึ้นก่อนว่าการค้าในปัจจุบันมีปัญหาอะไรหรือไม่
"จะว่าไปปัญหามันมีมาเรื่อย ๆ นะ แต่มันก็มาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้หนักหนาอันใด" พี่ใหญ่ตอบ ขณะที่ในใจรู้สึกไม่พอใจกับท่าทีและน้ำเสียงของอีกฝ่าย
แม้จะรู้ว่าเฉินอวี้คือคนโปรดของฮ่องเต้ แต่สำหรับตนแล้วจะอย่างไรเฉินอวี้ก็ยังเป็นน้องชายคนเล็กอยู่เช่นเดิม
เฉินอีจิ้งถามต่อ "มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น"
"ข้าต้องการให้พวกท่านเลิกนำผ้าไหมไปกำนัลกลุ่มฮูหยินท่านเสนาบดี ตั้งแต่บัดนี้" เฉินอวี้บอกกับพี่ชายทั้งสองตามตรง
"เรื่องของขวัญ ของฝากเหล่านี้ ถือเป็นการตอบแทนที่ช่วยแนะนำลูกค้าให้ มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด" พี่รองกล่าวขึ้น
"แต่ก็อยากให้เลิกทำเช่นนั้น" เฉินอวี้หันไปมองทางอื่น ท่าทางคล้ายมิได้ฟังที่พี่ชายทั้งสองคนพูด "บอกหลายคราแล้วด้วยว่าไม่ควรทำ หากวันหนึ่งวันใดเสนาบดีที่ท่านไปติดสินบนไว้ ถูกกล่าวหาว่าทุจริต ข้าจะเดือดร้อน"
"ข้าเองก็รับราชการ" เฉินอีจิ้งกล่าว "ถึงแม้จะมีตำแหน่งเพียงชั้นผู้น้อย แต่ก็รู้จักแยกแยะ ไม่เคยไปทำให้คนสนิทฮ่องเต้อย่างเจ้าต้องเดือดร้อน อีกอย่างสิ่งที่เราทำมิใช่การติดสินบน แต่มันก็คือการมอบของขวัญ"
แต่เฉินอวี้ยกมือขึ้นเพื่อตัดบทก่อนที่เฉินอีจิ้งจะกล่าวจบ "ท่านจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่ แต่ต้องหยุดเดี๋ยวนี้ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ข้าไม่อยากเดือดร้อนไปด้วย"

จากที่คนรับใช้ที่อยู่ในละแวกนั้นเล่าในเวลาต่อมาก็คือ เห็นว่าพี่น้องทั้งสามคนคุยกันอย่างเคร่งเครียด เกี่ยวกับเรื่องของกำนัล จู่ ๆ เฉินอีจิ้งซัดหมัดเข้าใส่ใบหน้าของรองแม่ทัพเฉินอวี้จนคนที่ไม่ทันได้ระวังตัวเซไปหลายก้าว จากนั้นพี่ใหญ่ของบ้านก็เข้าไปช่วยห้ามไว้ แล้วบอกให้เฉินอวี้รีบกลับไปก่อน
"หากครอบครัวคือสิ่งที่ถ่วงรั้งความก้าวหน้าของเจ้า เจ้าก็ไปเสียเถอะ"
ขณะที่พี่ใหญ่ขับไล่ เฉินอีจิ้งยังร้องตะโกนด่าเสียงดัง
"เป็นรองแม่ทัพแล้วไง ยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน! ลืมไปแล้วหรือไง ว่าข้าราชการระดับล่างอย่างข้านี่แหละที่เป็นบันไดให้เจ้าเหยียบข้าขึ้นไป!"

รองแม่ทัพเฉินอวี้กลับมายังไม่ทันจะถึงบ้านพักประจำตำแหน่ง องครักษ์ผู้หนึ่งก็มาดักรออยู่ระหว่างทางและแจ้งว่า ทรงมีรับสั่งให้ไปเข้าเฝ้าฯ ที่อุทยานหน้าพระตำหนักในทันที

ทรงแตะที่รอยช้ำบนใบหน้าของรองแม่ทัพเฉินอวี้เบา ๆ  "เฉินอีจิ้งออกหมัดรวดเร็ว จนเจ้าหลบไม่ทัน หรือเพราะเจ้าไม่คิดจะหลบ"
แต่ในขณะที่ทรงกำลังสำรวจอาการบาดเจ็บของรองแม่ทัพเฉินอวี้ ทรงได้ข้อสรุปว่า ในความเยาว์วัยของรองแม่ทัพเฉินอวี้ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้จักบาดเจ็บ
ก็เหมือนกับที่เทพเสือโคร่งภูผายอมรับว่า เทพแห่งป่าสีทอง เจ็บป่วยได้ บาดเจ็บได้ และตายได้
เทพเสือโคร่งภูผาใช้สมุนไพรจากป่าสีทองรักษารองแม่ทัพเฉินอวี้โดยมิต้องสงสัย และผลของมันก็ทำให้รองแม่ทัพเฉินอวี้มีพลังที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะบาดเจ็บ หรือเจ็บป่วยก็จะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และความอ่อนเยาว์นี้คือผลข้างเคียง
หลายปีมานี้ทรงเรียกร้องสมุนไพรหายากหลายชนิด ซึ่งเทพเสือโคร่งภูผาก็สามารถจัดหามาให้ได้ตามพระประสงค์ แลกกับการที่พระองค์จะต้องดูแลรองแม่ทัพเฉินอวี้ผู้นี้
แต่ยาเหล่านั้นไม่สามารถเร่งรัดให้มีพลังที่เข้มแข็งเทียบเท่ากับรองแม่ทัพเฉินอวี้
หรือว่ายังมีเพลงยุทธวิชาหมัดมวยใด หรือตัวยาตัวใดที่เทพเสือโคร่งภูผาปิดบังไว้

รองแม่ทัพเฉินอวี้ ไม่ได้ตระหนักว่าทรงกำลังมีพระวินิจฉัยในเรื่องสมุนไพรที่เทพเสือโคร่งใช้กับตน จึงถวายคำตอบเรื่องอาการบาดเจ็บ
"ไม่คิดว่าพี่รองจะออกหมัดด้วยฝ่าบาท คุยกันอยู่ดีๆก็ชกเลย"
"ถ้าคุยกันดีๆคงไม่โดนชกหรอก" ทรงแย้มพระสรวล เรียกให้รองแม่ทัพนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัว
ชายหนุ่มรินน้ำจันถวาย
"ขัดใจกันเรื่องอะไร"
เมื่อทรงมีพระปุจฉา รองแม่ทัพเฉินอวี้ก็ตอบไปว่า เป็นเรื่องที่ครอบครัวมักนำของกำนัลไปมอบให้กับฝ่ายใน ฮูหยินของเสนาบดีและข้าราชการฝ่ายต่างๆเป็นระยะ ซึ่งชายหนุ่มพูดเตือนมาหลายคราว่าการกระทำเช่นนี้ สุ่มเสี่ยงที่จะถูกมองว่ากำลังเป็นการติดสินบน หรือหากวันหนึ่งข้างหน้าพบว่าคนผู้นั้นกระทำการทุจริตขึ้นมาก็อาจถูกลากเข้าไปพัวพันได้
"ว่าที่จริงของที่พี่ใหญ่ของเจ้านำมามอบเป็นของกำนัล ก็เหมือนกับสินค้าตัวอย่าง ทำให้บรรดาฮูหยิน นางข้าหลวง มาจนถึงสนมของเราแข่งขันกันว่าใครจะสามารถเป็นเจ้าของสินค้ารุ่นใหม่ที่รวดเร็วกว่าเดิม"
เมื่อชายหนุ่มถอนหายใจ ฮ่องเต้ก็ทรงแย้มพระสรวลแล้วรับสั่งต่อ "เจ้าจริงจังเกินไปแล้ว"
ชายหนุ่มรินน้ำจันถวายอีกครา แต่ตนเองกลับไม่ดื่มสักหยด
"เคยเตือนมาก่อนแล้วมิใช่หรือ"
"พระเจ้าค่ะ เตือนหลายครา แต่เขาก็ยังทำอยู่ดี มาคราวนี้โกรธถึงขนาดลงไม้ลงมือต่อกัน"
"นั่นเพราะเจ้ากำลังอยู่เหนือพวกเขา สูงขึ้นไปเรื่อยๆ"
สายพระเนตรที่มองมาบ่งบอกว่าทรงมีความเข้าพระทัยความคิดของรองแม่ทัพเฉินอวี้เป็นอย่างดี

"เจ้ากับเรามีอะไรหลายอย่างที่เหมือนกัน แต่เราเลือกใช้วิธีการที่ต่างกัน" รอยพระสรวลกดลึกที่มุมพระโอษฐ์ "เราอยู่ในครอบครัวที่เสแสร้งว่ารักใคร่สามัคคีกันดี แต่แท้ที่จริงเราไว้ใจใครมิได้เลย"
รองแม่ทัพเฉินอวี้นึกถึงยามเยาว์วัยที่มารดาต้องพาเขาและเฉินกั๋วสงพี่ชายร่วมมารดาไปเรียนในโรงเรียนที่ไกลจากบ้าน เพื่อบรรเทาความไม่พอใจของแม่ใหญ่
วันที่ต้องกินข้าวตามลำพังในห้องครัว
การถูกกดให้อยู่ในอันดับล่าง และต้องรอของเหลือจากพี่ ๆ เพราะการที่เป็นบุตรคนเล็กของภรรยารอง
ทั้งหมดนี้คือการผลักดันให้เกิดความมุ่งมั่นว่าจะต้องยิ่งใหญ่กว่าพี่น้องทั้งหมด

...และทำให้ยึดมั่นอยู่กับเทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้น

ทรงปล่อยให้รองแม่ทัพเฉินอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็รับสั่งขึ้น
"เรียกเขามาพบเรา"
รองแม่ทัพเฉินอวี้เหลียวชี้ไปรอบๆ "ตรงนี้หรือฝ่าบาท"
เมื่อทรงพยักพระพักตร์ ชายหนุ่มก็ต่อรอง "ไม่ทรงลองเรียกเองดูหรือพระเจ้าค่ะ"
"เจ้าคิดว่าเราไม่เคยลองเรียกเองหรือ"
รองแม่ทัพเฉินอวี้เห็นว่าจริง พระองค์ย่อมต้องเคยทดสอบเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงลุกขึ้นถวายความเคารพแล้วเดินไปด้านหนึ่งของศาลาแล้วกล่าวชื่อเทพเสือโคร่งภูผา
เสียงเรียกชื่อนั้นไม่ได้ดังมากนัก ขนาดพระองค์ประทับนั่งอยู่ใกล้ๆ ยังได้ยินไม่ถนัด
แต่กระแสลมแรงที่พัดวูบมาในฉับพลัน จนต้นไม้ไหวเอน ตามมาด้วยคนร่างกายสูงใหญ่ปรากฏตนที่โคนต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้ามกับสระน้ำ ทำให้บรรดาองครักษ์ต่างขยับตัวเตรียมพร้อม แม้จะจำได้ว่าผู้ที่ยืนอยู่คือใคร

"ไม่เป็นไร ให้เขาเข้ามา"
เมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้พยักหน้า เทพเสือโคร่งภูผาพุ่งตัวเข้ามาที่ศาลาที่ประทับอยู่ในทันที
เพียงแต่เมื่อมาถึงดวงตาคู่นั้นกลับจับจ้องที่รอยช้ำบนใบหน้าของรองแม่ทัพเฉินอวี้
ชายหนุ่มรู้ตัวว่าหมดหน้าที่ตรงนี้แล้วจึงถวายความเคารพแล้วล่าถอยออกมา เพื่อให้ทั้งคู่ได้หารือกันเป็นการส่วนตัว

แต่เมื่อกลับมาถึงที่บ้านพักประจำตำแหน่งได้ครู่หนึ่ง เทพเสือโคร่งภูผาก็เดินตามเข้ามาแล้วถามตรงๆ
"ใครทำ"
เวลานี้ในบ้านมีทั้งทหารคนสนิทอยู่หลายคน ร่วมด้วยคนรับใช้ รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงกล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงที่แทบจะจมอยู่ในคอ "พี่รอง"
"เขามียุทธไม่ถึงหนึ่งในสิบของเจ้า ทำไมถึงช้ำขนาดนี้"
"เขาเป็นพี่"
เทพเสือโคร่งภูผาแทบหลุดขำที่รองแม่ทัพเฉินอวี้ดูเชื่อฟังอย่างเหลือเชื่อ เมื่อชี้มือบอกให้นั่งรอดีๆ อีกฝ่ายก็นั่งหลังตรงในทันที
คนรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปในโรงครัวหยิบห่อยาออกมา นายทหารคนสนิทก็รีบเข้ามาหาหม้อต้มยา และจะช่วยติดไฟให้
"ออกไปรอข้างนอก"
สำหรับทหารคนสนิทและทหารติดตามเหล่านี้ หลายคนเคยพบเจอกับเทพเสือโคร่งภูผามาแล้ว และถวายรายงานพิเศษเกี่ยวกับการหารือระหว่างอาจารย์กับศิษย์คู่นี้ มีการหารือกันเรื่องอะไร หลายปีมานี้พวกเขากราบทูลเรื่องราวไปมากมาย

ดังนั้นต่อให้ถูกไล่ให้ออกไปรอข้างนอก พวกเขาก็ยังรั้งรออยู่แถวหน้าห้องครัวนั่นเอง
เมื่อเทสมุนไพรลงไปในหม้อแล้วใช้ผ้าขาวปิดไว้ เทพเสือโคร่งภูผาก็เรียกอากังให้เข้ามา เขาเป็นคนรับใช้ที่คอยดูแลรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่เมืองหลวงมานานหลายปี  ซึ่งสำหรับเทพเสือโคร่งภูผาแล้ว คนผู้นี้น่าไว้ใจมากกว่าบรรดาทหารลูกน้องของรองแม่ทัพเฉินอวี้เหล่านั้น
เมื่ออากังเข้ามาก็กำชับว่าห้ามเปิดผ้าอย่างเด็ดขาด ให้ต้มต่อไปอีกสักพัก จากนั้นถือผ้าอีกผืนออกมาหาคนที่นั่งรออยู่แล้วใช้ผ้าประคบใบหน้าให้
คนงามขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
แต่ความสงสัยนั้นยังไม่หมด เพราะเทพเสือโคร่งภูผาจับข้อมือของอีกคนขึ้นมาแล้วถ่ายพลังให้ช้าๆ
รองแม่ทัพเฉินอวี้เอียงคอมองอีกคนแล้วพลันมีสีหน้าประหลาดใจ
เทพเสือโคร่งภูผาเหลือบตามองไปทางฝั่งของทหารคนสนิท รองแม่ทัพเฉินอวี้ก็พยักหน้าว่าเข้าใจ เพียงแต่ไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา

"เด็กโง่ ข้าเตือนเจ้าแล้ว ว่าเจ้าไม่อาจเป็นสุนัขล่าเนื้อให้เขาได้ตลอดชีวิต" จากนั้นหันไปเรียกให้อากังรินยาใส่ถ้วยออกมา "ดื่มยาแล้วไปนอนพัก"
แต่เทพเสือโคร่งกลับบอกให้อากังเป็นคนพารองแม่ทัพเฉินอวี้ไปนอนพัก ส่วนตนเองเดินเข้าไปในครัว รินยาใส่ขวดยาขวดเล็ก แล้วหันไปยื่นส่งให้ทหารคนสนิท "เอาไปให้ฮ่องเต้ของเจ้า บอกกับเขาด้วยว่า อยากได้อะไรก็แค่บอกมาตามตรง"
เมื่อทหารคนสนิทคนหนึ่งแยกไปก็ยังเหลืออีกคนที่เฝ้าอยู่ เทพเสือโคร่งแสร้งเดินสำรวจไปทั่วบ้านพักหลังใหม่ ทั้งในบ้านนอกบ้าน เมื่อกลับเข้ามาเห็นอากังออกมาจากห้องพักของรองแม่ทัพเฉินอวี้แล้ว
"นายท่านขอรับ คุณชายน้อยต้องกินอาหารอ่อนหรือไม่ขอรับ"
เทพเสือโคร่งภูผาตอบว่ากินอาหารได้ตามปกติ จากนั้นชวนอากังไปคุยกันต่อในครัว คนหนึ่งทำเป็นต้มยา อีกคนก็เตรียมอาหาร เวลาผ่านไปนานจนกระทั่งทหารคนสนิทที่นำยาของรองแม่ทัพเฉินอวี้ไปถวายฮ่องเต้กลับมา คนที่เฝ้าอยู่หน้าครัวก็ไม่เห็นจะได้รู้เรื่องอะไรเพิ่มเติม นอกไปจากประวัติส่วนตัวของคนรับใช้ที่ชื่ออากัง

"ท่านผู้เฒ่าขอรับ ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าฯ ขอรับ" 
เทพเสือโคร่งภูผาทำเป็นลูบคาง "มีแต่อวี้เอ๋อร์คนเดียวที่ออกคำสั่งเรียกหาข้าได้" สีหน้าท่าทางข่มขวัญกันอย่างไม่จำเป็น ทั้งยังแสดงความไม่สนใจด้วยการหันไปถามอากัง "อวี้เอ๋อร์หลับแล้วใช่หรือไม่"
อากังตอบ "หลับแล้วขอรับ"
"งั้นก็รอเขาตื่นนอนก่อน แล้วค่อยไปถามว่าจะให้ข้าไปเข้าเฝ้าฯหรือไม่"
"ท่านไปเถอะ" รองแม่ทัพเฉินอวี้ตอบขณะที่เดินลงบันไดมาหา "พระองค์คงถามเรื่องยา"
"ทำไมไม่นอน ลุกขึ้นมาทำไม"
น่าเสียดายที่เมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้เป็นคนที่เล่นละครไม่เก่ง จะเป็นกับฮ่องเต้ หรือกับพี่น้องของตนเอง มาจนถึงครานี้ ก็ยังทำได้เพียงก้มหน้าไม่สบตาผู้อื่น
"ยาของท่านดียิ่ง รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว รบกวนอาจารย์ผู้เฒ่าไปเข้าเฝ้าฯฮ่องเต้ เพื่อให้ชีวิตของศิษย์ราบรื่นกว่านี้ด้วยเถิดขอรับ"
นิ้วมือใหญ่จิ้มที่หน้าผากคนรู้ทัน "ไม่เจอกันนานหลายปี เดี๋ยวนี้ชักยอกย้อน"
ทำเป็นบ่นอีกหลายคำแต่เทพเสือโคร่งภูผาก็เดินทางไปเข้าเฝ้าฯ ตามที่รองแม่ทัพเฉินอวี้บอก

ทหารที่คอยเฝ้าเฉินอวี้พบความผิดปกตินี้
หลายวันก่อนยังไม่พูดจากัน วันนี้หยอกล้อกันเสียแล้ว...
การค้นพบพิรุธในครั้งนี้ โปรดกล่าวโทษเฉินอวี้คนไม่ถนัดการเสแสร้งผู้นั้นเถิด
ค่ำวันนั้นหลังจากที่รองแม่ทัพเฉินอวี้กินอาหารค่ำเสร็จแล้วก็ออกมานั่งรับลมอยู่ที่ด้านหน้าของที่พัก ทำให้ได้ยินทหารทั้งสองคนสนทนากันว่า เทพเสือโคร่งภูผาที่กลับมาครานี้ดูแปลกไป เดิมนั้นดูนิ่งเฉย แต่ครานี้ดูเหมือนกำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่าง และดูผ่อนคลายเหมือนเมื่อครั้งที่พบในค่ายทหารฝ่ายตะวันออก
แต่ดูน่ากลัวว่าเดิม
หลังจากที่สนทนากันอีกหลายคำทั้งหมดก็ได้ข้อสรุปว่า เทพเสือโคร่งภูผาทราบเรื่องที่พวกตนมาทำหน้าที่สอดแนมรองแม่ทัพเฉินอวี้ และแน่ใจว่าตัวของรองแม่ทัพก็รู้มาตลอด แต่ไม่ได้แสดงท่าทีว่ารู้

เฉินอวี้ยิ้มอ่อนขณะที่เดินกลับเข้าในบ้าน ครู่หนึ่งกลุ่มทหารติดตามก็เดินเข้ามา
"ท่านรองแม่ทัพ" นายทหารจะกล่าวคำสารภาพ แต่คนรูปงามกลับยกมือขึ้น
"พวกเราเป็นทหาร เมื่อได้รับคำสั่งมาก็ทำตามไปตามหน้าที่ ถวายความจงรักภักดีจนถึงที่สุด อย่าเอ่ยปากออกมา"

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 24-04-2018 14:18:25
(ต่อ)

คืนนั้นเฉินอวี้เข้านอนแล้ว เทพเสือโคร่งภูผาจึงเพิ่งกลับเข้ามา
"นอนเถิด ไม่ต้องลุกขึ้นมาหรอก" ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่กล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายลุกขึ้นมา
"ข้ามีเรื่องอยากถามท่านด้วย"
ทั้งสองไม่ได้จุดตะเกียง จึงนั่งลงคุยกันโดยมีแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องเข้ามาเท่านั้น
ใช้พรมเนื้อนุ่มปูพื้น จากนั้นทั้งคู่จึงนั่งหันหน้าเข้าหากัน เข่าต่อเข่า น้ำเสียงพูดคุยกันเบา ๆ
"ท่าน เคยลืมข้าไปจริงๆใช่หรือไม่"
"ไม่" เทพเสือโคร่งกล่าว แต่เมื่อจะจับข้อมือ เฉินอวี้ก็บิดข้อมือออก "ข้าไม่ได้ลืมเจ้า แต่ข้าเคยอยู่ในช่วงที่เก็บความรักที่มีต่อเจ้าไว้ในมุมหนึ่งของหัวใจ แล้วเจ้าก็กลับมาย้ำเตือนว่าความรักของเจ้าที่มีต่อข้ามันยิ่งใหญ่เพียงใด แต่หลังนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ไม่อาจผลักความรักของข้ากลับไปที่มุมนั้นได้อีกเลย"
"ไม่..ไม่ได้ลืมใช่ไหม" คนงามร่ำไห้อีกครา แต่ที่แตกต่างคือหยาดน้ำตานั้นมากับรอยยิ้ม
"อวี้เอ๋อร์ ข้าขอโทษจริง ๆ ที่แสร้งทำเป็นลืมเจ้าในครานี้"
"สองปีเชียวนะ ที่มิได้พบกัน ข้าคิดว่าท่านพี่ลืมข้าไปแล้ว"
สองมือใหญ่ประคองแก้มชุ่มน้ำตาไว้ แล้วก้มลงจูบหน้าผาก
อวี้เอ๋อร์ผู้เข้มแข็งเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน กลับเป็นเพียงเด็กน้อยผู้อ่อนไหวเมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง
"ขอโทษจริงๆ แต่เมืองทางใต้อยู่ไกลมาก ทั้งในช่วงที่ผ่านมาที่ป่าสีทองก็มีเรื่องเกิดขึ้นจนไม่อาจวางใจให้เทพกวางทั้งคู่ และบงกชจัดการไปตามลำพัง"
เฉินอวี้พยักหน้าด้วยความเข้าใจ เทพเสือโคร่งภูผาโทษตนเองมาตลอดที่ทำให้เกิดเรื่องร้ายกับกระเรียนโกเมน จึงพยายามปกป้องป่าสีทองอย่างเต็มที่
"ข้าดีใจ" ขอเพียงไม่ลืมกัน จะให้ห่างกันนานสักเท่าใดก็ยอม "กำลังคิดอยู่ว่าจะกราบทูลลาออก แล้วไปอยู่กับท่านที่ป่าสีทอง"
เทพเสือโคร่งภูผาเลิกคิ้วสูงแล้วกอดรัดอีกคนไว้แน่น "เจ้าเด็กโง่ ทำไมชอบทำเหมือนว่าเจ้าอยู่ตามลำพังนะ"
จมูกหนาและริมฝีปาก กดที่แก้มซึ่งยังอาบน้ำตา

เฉินอวี้ที่รู้จักกันมานานกว่าสิบปีคนนี้ ภายนอกดูแข็งแกร่ง มีเพื่อนมาก และมีพี่น้องหลายคน แต่แท้จริงอ่อนแออย่างยิ่ง ไม่ไว้ใจเพื่อนสักคน และไม่ได้มีพี่น้องที่รักกันแน่นแฟ้น
ดังนั้นเมื่อมาพบเจอกับเทพเสือโคร่งภูผาที่เฝ้าตามตื้อกันมานานหลายปี ทั้งนึกจะจากไปก็หายไปอย่างไร้วี่แวว และเมื่อจะกลับมาก็ทำตัวติดหนึบเหมือนแผ่นยาเช่นนี้ เจ้าตัวถึงได้ยึดถือไว้อย่างมั่นคง

ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นกังวลมากมายเพียงใด แต่การที่จะถอนตัวออกจากฮ่องเต้จางฉวน ย่อมมิใช่เรื่องง่ายเพียงแค่เดินเข้าไปแล้วบอกว่า ต้องการจากไปอย่างแน่นอน
แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องนั้น.....
"อวี้เอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้า"
ผู้ที่กำลังร้องไห้เงยหน้าขึ้นมอง ยังมิทันจะกล่าวคำใด ก็ถูกจูบ
การถูกจูบทั้งที่ยังร้องไห้ ทำให้หายใจติดขัด เฉินอวี้ทุบที่ไหล่กว้าง "ช้าลงหน่อยได้หรือไม่"
"ย่อมได้"
เสื้อนอนถูกปลดออก ริมฝีปากหนาพรมจูบทั่วใบหน้าแล้ว เลื่อนลงมาขบเน้นที่อก เรื่อยลงมาที่หน้าท้อง มือใหญ่หยอกล้อผลนิ่ม  แล้วเรื่อยไปหาจุดอ่อนไหวด้านหลัง
เพราะห่างเหินกันไปนาน เทพเสือโคร่งภูผายิ่งเคี่ยวกรำอีกฝ่ายอย่างหนักกว่าจะยอมให้ถึงจุดสูงสุด จนร่างกายใกล้หลอมเหลว ถึงได้ขยับตัวเข้าหา
คนงามร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตา ถูกทรมานจนใกล้สว่าง จึงถูกปลดปล่อยให้พักผ่อนได้
แต่นั่นก็ยังหมายถึงการถูกอุ้มไปล้างตัวในห้องน้ำ รับการถูกทรมานอีกสักหน

"เด็กโง่ พักผ่อนเถิด ขอให้เชื่อเจ้าอยู่ในใจของข้าเสมอ"

ทหารคนสนิทที่พักอยู่ในบ้านพักประจำตำแหน่งถวายรายงานว่ารองแม่ทัพเฉินอวี้ป่วยหนัก โดยเทพเสือโคร่งภูผากลับเข้ามาที่บ้านพักในช่วงเกือบเที่ยง จากนั้นก็เป็นผู้ที่ต้มยาและดูแลรักษาอาการป่วยให้ศิษย์ด้วยตนเองเหมือนเดิม

แต่ในตอนที่เสด็จมาถึงบ้านพักด้วยพระองค์เอง ก็ไม่พบเทพเสือโคร่งแล้ว ส่วนรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่มีอาการป่วยก็เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นเพราะร้องไห้จนทำให้ไม่สบาย
"ตั้งหลายปีแล้วทำไมถึงไม่รู้จักตัดใจ" ทรงรับสั่งหลังจากที่ให้ทุกคนออกไปรออยู่ข้างนอกของบ้านพัก
รองแม่ทัพเฉินอวี้ก้มหน้ายอมรับความจริง "ตอนไม่เห็นก็ไม่มีอะไร แต่พอได้พบก็...."
"ไม่พอใจที่เราสั่งให้เจ้าเรียกเขาใช่หรือไม่"
"หามิได้ฝ่าบาท ข้าพระองค์มิกล้าคิดเช่นนั้น เพียงแต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยังร้องไห้มากขนาดนี้"
ทรงถอนพระทัย จนทำให้รองแม่ทัพเฉินอวี้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง
"ก่อนหน้านี้เจ้าเสแสร้งป่วยเพื่อให้เขาดูแล แต่ตอนนี้เจ้าปวดใจจนเจ็บป่วยเพื่อให้เขาดูแล ถ้าจะเอาเพียงเป้าหมายว่าอยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ มันก็น่าจะใช้ได้อยู่หรอก แต่การใช้มารยาแบบนี้มันใช้ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว อีกไม่นานเขาก็จะจากไปอีก"
สายพระเนตรที่มองมาบ่งบอกถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ในพระทัย
"จะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใด"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ส่ายหน้า ไม่ได้ถวายคำตอบใด จนเมื่อพระองค์เสด็จกลับไปชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปที่ชั้นบน
ที่ระเบียงทางฝั่งตะวันออกมีเตียงไม้ตัวหนึ่ง คนรับใช้เข้ามาช่วยเตรียมที่นอนให้ เมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้ล้มตัวลงนอนคนรับใช้ก็กลับลงไป

ทั้งตนเอง เทพเสือโคร่งภูผา จนถึงฮ่องเต้ ต่างก็กำลังแสร้งทำเป็นเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก
ฮ่องเต้ทรงทราบมาตั้งแต่แรกว่าเทพเสือโคร่งภูผามิใช่อาจารย์ถ่ายทอดยุทธ์ให้กับรองแม่ทัพเฉินอวี้ แต่ทรงเลือกที่จะสนับสนุนเรื่องเท็จ เพื่อให้เทพเสือโคร่งนำสมุนไพรหายากจากป่าสีทองมามอบให้
ชายหนุ่มไม่เคยถาม และไม่เคยรู้ว่าสมุนไพรนั้นคืออะไร
เทพเสือโคร่งภูผากล่าวถ้อยคำหนักแน่นว่าจำความรักที่มีระหว่างกันได้ และจะไม่มีวันลืมเลือนไปได้อีก แต่ชายหนุ่มก็ยังกังวลอยู่เช่นเดิม เมื่อเทพเสือโคร่งภูผามิได้อยู่ใกล้ๆ ดั่งเช่นในเวลานี้
แต่เรื่องนี้ชายหนุ่มเชื่อมั่นว่ามีหนทางแก้ไข
สุดท้ายคือตนเอง เป้าหมายในชีวิตที่ค่อยๆปล่อยวางลงไปทีละเรื่อง
สุดท้ายแล้วรองแม่ทัพเฉินอวี้ผู้นี้จะเหลืออะไรที่อยู่ในครอบครอง
ชายหนุ่มถอนหายใจยาวแล้วหลับตาลง
รับรู้ว่ามีการเคลื่อนไหวจากในห้องนอน ฝีเท้าหนักๆ ที่ก้าวมาหา คนผู้หนึ่งห่มผ้าผืนบางให้แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างที่นอน
ต่อให้ไม่มีคำพูด ไม่มีการเคลื่อนไหวมากนัก แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่าคนผู้นี้คือใคร และทำให้รู้สึกวางใจหลับสนิทต่อไปอีกนับชั่วยาม

ฮ่องเต้จางฉวนมองเห็นภาพนั้น
ตั้งแต่คนรับใช้ล่วงหน้ามาเตรียมที่นอนให้ รองแม่ทัพเฉินอวี้ที่เดินขึ้นมาชั้นบน จนมาถึงระเบียงกว้าง แล้วลงนอน จากนั้นเทพเสือโคร่งภูผาก็นำผ้ามาห่มให้แล้วนั่งลงข้างๆ
พระองค์แน่พระทัยว่าเทพเสือโคร่งภูผาไม่ได้อยู่ในบ้านตอนที่พระองค์อยู่ด้วย และรองแม่ทัพเฉินอวี้ไม่ได้เรียกหา แต่เทพเสือโคร่งภูผาปรากฎตัวขึ้นมาจากภายในห้องนอน หลังจากที่คนรับใช้ลงไปแล้ว และยังคงดูแลกันอย่างใกล้ชิด
จากเมืองทางฝั่งตะวันออกเมื่อหลายปีก่อนเคยดูแลอย่างไร มาจนถึงวันนี้ก็ยังดูแลกันอยู่เช่นเดิม
ไม่สำคัญว่าเทพเสือโคร่งภูผากับเฉินอวี้จะพูดว่าอะไร  เพราะการกระทำของเทพเสือโคร่งภูผาบ่งบอกชัดเจนเขายังคงรักรองแม่ทัพเฉินอวี้อยู่ ทั้งอาจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
พระองค์แน่พระทัยว่าพระองค์ถูกเทพเสือโคร่งภูผาหลอก แต่แน่พระทัยว่าความเสียใจที่เกิดขึ้นกับรองแม่ทัพเฉินอวี้นั้นไม่ใช่เรื่องโกหก
ทั้งแน่ใจว่า เทพเสือโคร่งภูผาทำเช่นนี้เพราะอะไร
เสือโคร่งคือสัญลักษณ์ผู้พิทักษ์ เขากำลังพิทักษ์ทั้งคน สัตว์ป่า และป่าสีทองแห่งนั้น

...จบบทที่ยี่สิบเก้า...

คุณครับ ใกล้จบแล้วครับ ขอรับฟังความเห็นสักนิดนะครับ
ขอบคุณมากครับ
น้ำชา

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 24-04-2018 16:35:15
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา
 
ทำไมเรากดบวกไม่ขึ้นล่ะ
เดี๋ยวกลับมาค่อยๆ อ่านเด้อ...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-04-2018 20:28:48
ดีใจ  ไรท์มา   :mew1:

:angry2:  ฮ่องเต้ โลภมาก  น่าเบื่อหน่าย  :fire:
อยากได้ทุกอย่างจากเทพเสือโคร่ง จากป่าสีทอง
เพื่อให้ตัวเองแข์็งแรง มีอำนาจ  อายุยืนตลอดไป   :z6:
ใช้เฉิงอวี้ เพื่อเรียกร้องจากเทพเสือโคร่ง
น่าจะมีอะไรมาจบบทบาทฮ่องเต้เจ้าเล่ห์ซักที   :laugh:
ขอบคุณไรท์
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-04-2018 21:51:23
คนโลภไม่เคยพอกับสิ่งที่มี
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 24-04-2018 22:14:24
จางฉวนชวนให้เบือนหน้าหนีจริง ๆ

ละโมบโลภมากไม่สิ้นสุด ทำร้ายจิตใจเฉินอวี้ซ้ำ ๆ 

พี่เสือโคร่งภูผาตีมันให้ตายเลย จะได้พาอวี้เอ๋อร์ไปอยู่ด้วยกันสักที
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 25-04-2018 10:39:11

 :m16:  ทำไมเฉินอวี้ถึงพูดกับพี่ๆอย่างนั้น แสดงว่าต้องรู้อะไรมาสิ นี่ไม่เชื่อหรอกว่าครอบครัวของเฉินอวี้จะไม่ใช้ตำแหน่งของเฉินอวี้ไต่เต้าให้ได้มาซึ่งเงินตราและอำนาจ ถ้าจะพังพินาศในอนาคตเหมือนอิตาฮ่องเต้ที่มีแต่ความละโมบนั่นก็จะส่งของสมนาคุณเป็นคำว่าสมน้ำหน้าตัวโตๆ กันเลยนะ


 :pig4: +  :กอด1: +  :3123: คนแต่งจ้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 26-04-2018 15:08:01
โอยยยย ฮ่องเต้ ตัวร้าย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 03-05-2018 10:03:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 10-05-2018 08:41:17
เกลียดอำนาจ  มีอำนาจแล้วไม่พอเนอะ
อยากได้ไม่รู้จักพอ  อีตาฮ่องเต้  พ่อเสือจัดการหนักๆ สักที หมั่นไส้มากกก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: fangkao ที่ 13-05-2018 11:01:02
เขากดบวกให้ตัวเองไม่ได้แล้ว  เมื่อไหร่จะมาต่อตามอ่านใกล้จะทันแล้วเน้อ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-05-2018 11:12:12

อยากเห็นความสุขที่แท้จริงของเฉินอวี้ที่สุด จากที่เห็นเป็นคนที่เห็นภายนอกเงียบๆไม่พูดไม่จาแต่เก็บอะไรไว้ในใจมากมาย
ยิ่งอ่านเจอความหวังของเฉินอวี้ (ที่เข้าใจมาตลอด) คือการที่จะมีบ้านเพื่อจะให้แม่ออกมาอยู่ด้วย แต่กลายเป็นว่าทั้งๆที่มีตำแหน่งใหญ่โตมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่อาจทำความหวังนี้ให้เป็นจริงได้
ในใจจะรู้สึกผิดกับแม่มากหรือเปล่าตรงนี้เศร้ากับเฉินอวี้ที่สุด  :mew6:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 17-05-2018 12:47:15
มารอแล้วนะ  น้องน้ำชาไปรอเด็กใหม่ เปิดเทอมเหรอค่ะ
:eiei1: :eiei1: :eiei1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 17-05-2018 20:35:21
 :m20: :m20:

 ตามมาขำเม้นบน 5555555

 :laugh5: :laugh5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-05-2018 21:03:38
เราตามมาขำกะเค้าด้วย อิอิ :laugh3: :laugh3: :laugh3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 18-05-2018 10:51:19
ตอนนี้ไม่สงสารน้องอวี้แล้ว...สงสารน้ำชาแทน  :mew4:

เม้นท์นั้นทำบ้านบึ้มส์เลยเหรอ  :m20:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 18-05-2018 13:38:40
ทำผิด ก็มายอมรับ.... เราขอโทษ  :m5:
ความผิดปราศจากเจตนา .... ต้องลดหย่อนโทษ  :m17:
ขอความกรุณา ลงพ่อเสือให้สองตอนรวด 555
 
กด + ให้ทั้งสามเม้นท์ข้างบนด้วยเด้อ :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 19-05-2018 05:08:44
 :give2: :give2: :give2: :give2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 19-05-2018 12:33:16
เพิ่งว่างมาตามอ่านจ้า ได้รู้เรื่องเพิ่มมากขึ้นเลยทีเดียว ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 23-05-2018 14:06:16

แวะมารออยู่นี่แล้วจ้า

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 23-05-2018 19:24:57
 :z13: มาจิ้มๆน้ำชา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 23-05-2018 19:55:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 23-05-2018 19:55:48
 :hao7:
เรากดบวกไม่ขึ้นอ่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-05-2018 20:15:37
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 23-05-2018 22:01:29
อ่านแล้วเพิ่งมาเม้นท์ขอโทษน้ำชานะคะแต่เราไม่ชอบฮ่องเต้เลยอ่ะรอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-05-2018 08:51:43

 :กอด1:

แวะมานั่งจิบกาแฟรอจ้า 

 :กอด1:   :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 24-05-2018 14:41:29
มาเถอะ  มานะ   เราคิดถึง

 :a11: :a3: :a14: :a9:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 24-05-2018 19:17:37
 :m7: :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 25-05-2018 02:52:49
นอนไม่หลับเลยมาช่วยดัน  :mew4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 27-05-2018 22:35:14
ขึ้นหน้าใหม่แล้วค่า พ่อเสือก็มาได้แล้ว :katai4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 28-05-2018 08:56:35

เย้  :mc4: ขึ้นหน้าใหม่แล้วววววว มาเถ่อะนะพ่อ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 28-05-2018 15:03:13
 :3129: :3129:

ตอนใหม่อยู่ไหน
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 28-05-2018 19:06:36
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่สามสิบ


หลังจากที่หยางติง และหยางเจิ้นขุย เดินทางเข้าเมืองหลวง ท่านผู้เฒ่าหยางจงจินก็ถวายหนังสือขอเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายผู้แทนเมืองลั่วคนใหม่ และทูลลากลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองลั่ว
สามวันถัดมาจึงมีพระราชโองการกำหนดวันให้เข้าเฝ้าฯได้
รองแม่ทัพเฉินอวี้ที่กลับมามีอาการป่วยเป็นระยะตามคำล่ำลืออีกครั้ง ทำหน้าที่รับรองผู้เฒ่าหยางจงจิน หยางติงและหยางเจิ้นขุยเดินทางด้วยขบวนเกี้ยวผู้แทนเจ้าเมืองออกจากบ้านสกุลหยางเมืองลั่วตั้งแต่ช่วงสาย เข้ามาในวังหลวงเพื่อรายงานตัว และรับพระราชทานตราเครื่องหมายประจำตำแหน่งผู้แทนเมืองลั่ว ต่อหน้าผู้แทนจากเจ้าเมืองชั้นนอกทุกแห่งของเมืองหลวง เมื่อเสร็จสิ้นพิธีการก็นำทั้งสามกลับมาส่งที่บ้านพัก จากนั้นก็ส่งหยางจงจินกลับไปที่เมืองลั่ว
ขบวนรถม้าของหยางจงจินมิใช่ขบวนใหญ่ แต่ด้วยผู้เฒ่าอายุมากแล้ว การเดินทางจึงแวะหยุดพักไปตลอดทางและใช้เวลานานเป็น 2 เท่าของการเดินทางตามปกติ
ด้านเทพเสือโคร่งภูผามอบให้เสือโคร่งศิลาดำมาแจ้งหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว เป็นการล่วงหน้า ว่ารองแม่ทัพเฉินอวี้มิได้เดินทางมาโดยลำพังเหมือนครั้งก่อน แต่จะมีทหารติดตามมาด้วยกลุ่มหนึ่ง
หยางหลงพอจะคาดเดาเรื่องราวได้ จึงให้หยางเฉิงจัดเตรียมเหมาหอสุราไว้พร้อม แต่หยางไห่น้องเล็กนึกสนุกคิดจัดงานรื่นเริงขึ้น
"จะให้เป็นงานรื่นเริงอันใด" หยางหลงถามน้องชายคนเล็ก งานเทศกาลที่ใกล้จะมาถึงนี้ก็คือเทศกาลชมดาว
"ย่อมมิใช่เทศกาลชมดาว” น้องเล็กเดาะลิ้น “ท่านปู่หยางจะเดินทางมาถึงเมื่อใด เรากำหนดแน่นอนมิได้ ได้แต่คำนวณคร่าวๆ ไว้ แต่คาดว่าน่าจะหลังเทศกาลชมดาวไปแล้ว” เกริ่นนำยืดยาว จนหยางเฉิงหันไปเรียกคนรับใช้ให้เตรียมสุราร้อนให้สักกา
“มีเนื้อแพะสักจาน ก็จะดีอย่างยิ่ง” น้องเล็กยิ้มหน้าบาน
หยางเฉิงส่ายหน้าพลางโบกมือให้บ่าวไปจัดเตรียมตามที่สั่ง ครู่หนึ่งสุราร้อนก็ถูกยกมาเป็นลำดับแรก
การหารือเกี่ยวกับการจัดการรื่นเริงยังดำเนินต่อไป
“งานต้อนรับท่านปู่หยาง สมควรให้มีการแสดงดนตรี ละครเร่ พวกเขามาร่วมงานเทศกาลชมดาวอยู่แล้ว ก็เพียงบอกต่อว่า ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะมีงานของท่านปู่  ในเวลาเดียวกันเราก็ให้กลุ่มฮูหยินช่วยกันจัดเตรียมของให้ท่านไปทำบุญที่วัดทุกแห่งในเมือง แล้วก็แจกทาน” หยางหลงที่มิถนัดเรื่องงานรื่นเริงคิดตามแล้วรู้สึกหัวหมุนมึนงงไปหมด “เพียงเท่านี้พวกคนติดตามท่านแม่เล็กมาด้วยก็มีเรื่องให้นำกลับไปกราบทูลแล้ว ว่าเมืองลั่วของเรามีความสุขมากขนาดไหน" สามพี่น้องสกุลหยางเรียกรองแม่ทัพเฉินอวี้ว่าท่านแม่เล็กจนเคยชินไปเสียแล้ว
“เราต้องปิดประกาศเรื่องงาน และการแจกทาน จำเป็นต้องมีกำหนดวันที่แน่ชัด มิเช่นนั้นพวกเขาจะมาค้างคืนรอกันยาวนาน หรือหากเดินทางมาหลังจากที่แจกไปแล้ว ก็จะถูกตำหนิเอาได้” หยางเฉิงท้วง
หยางหลงกล่าวเรียบๆ “เราแจกรอบแรกในวันถัดไปหลังจากที่ท่านปู่เล็กเดินทางมาถึง และอีกรอบหนึ่งในอีกเจ็ดวันถัดไปก็พอ”
“ส่วนพวกละครเร่ และการแสดงอื่นๆ ข้าจัดการเอง” หยางไห่ตบอกอาสา
“มิใช่เจ้าแล้วจะเป็นผู้ใด” หยางเฉิงบ่นแล้วเทสุราร้อนอีกจอก
หยางหลงจิบสุราฟังน้องชายทั้งสองคนหารือกันเกี่ยวกับการจัดงาน แต่ในใจกลับคิดว่าเรื่องนี้มีเงื่อนปมซ่อนอยู่ 
“แม่เล็กมาพร้อมกับทหารองครักษ์กลุ่มหนึ่ง” หยางหลงกล่าวขึ้น “หรือจะเกี่ยวข้องกับเมืองเหออีกแล้ว”
น้องชายทั้งสองคนหันมาฟังพี่ใหญ่กล่าวคำ
“ฮ่องเต้ทราบเรื่องที่เมืองเหอหันไปผูกมิตรและทำการค้ากับพวกชนเผ่า ไม่แน่ว่าจะทรงทราบเรื่องที่เป็นผู้ว่าจ้างชนเผ่ามาลักลอบล่าสัตว์ป่า ที่ป่าสีทองด้วย"
“เรื่องพวกนั้น โดยเฉพาะการล่าสัตว์ป่า มิเห็นว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของพระองค์” หยางเฉิงแสดงความเห็น “การกระทำของเมืองเหอ มีผลต่อพวกเรามากกว่าพระองค์เสียอีก โดยเฉพาะพี่ใหญ่”
“นั่นสิ” น้องเล็กสนับสนุน “ถามไปถามมา พี่ใหญ่ก็รู้ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นทุกอย่าง อย่างเรื่องของป่าสีทอง น่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในป่าน่าจะไม่พอใจพี่ใหญ่ที่ไม่ได้หยุดพวกเมืองเหอมากกว่า”
หยางหลงใคร่ครวญ “ถ้าเป็นเรื่องของป่าสีทองท่านเทพเสือโคร่งภูผาจะเป็นผู้ลงมือเอง  ข้าคิดว่านี่เป็นเรื่องของเมืองเหอที่คิดไปดึงพวกนอกด่านเข้ามาสนับสนุนการเคลื่อนไหว เพราะเวลาที่ท่านแม่เล็กได้รับราชโองการในทางลับให้ไปจัดการกับกบฎ หรือกลุ่มโจร ก็เคยใช้การเดินทางในลักษณะนี้"
สรุปคือสามพี่น้องไม่คิดว่ารองแม่ทัพเฉินอวี้จะมาเพราะเรื่องป่าสีทอง
"เพราะพวกท่านลุงที่เมืองเหอหรือ" หยางไห่ส่ายหน้า "ก็ว่าจะไม่วิจารณ์พวกเขาแล้วนะ แต่ทั้งการลักลอบผูกมิตร และลักลอบทำการค้า หลีกเลี่ยงการส่งภาษีให้เมืองหลวง บ่อนทำลายเพื่อนบ้าน ทั้งหมดนั่นมันก็เกินไปจริง ๆ"
หลายปีมานี้ทางการส่งคนเข้ามาแทรกซึมเพื่อทำลายความสามัคคีของบรรดาหัวเมืองที่สนับสนุนเมืองเหอจนไม่น่าจะมีบทบาทอะไรอีก แต่การหันไปผูกมิตรกับบรรดาชนเผ่าก็อาจเป็นเรื่องที่ทำให้ฮ่องเต้หวาดระแวงจนถึงกับส่งรองแม่ทัพเฉินอวี้เดินทางมาถึงที่นี่
แล้วผู้ที่รายงานเรื่องเหล่านี้จนถึงพระเนตรพระกรรณคือใคร
หยางเฉิงหันไปมองหน้าพี่ใหญ่ "หรือเป็นคนสกุลเหอในเมืองหลวง"
พูดกันมานานว่า ผู้แทนเมืองเหอที่อยู่ในเมืองหลวงด้วยความหวาดระแวงมานานหลายปี เพราะการก่อเหตุของเจ้าเมืองเหอคนปัจจุบัน ซึ่งเมื่อมาถึงในวันหนึ่ง พวกเขาก็ต้องเอาชีวิตรอด
เมื่อหยางหลงถอนหายใจยาว น้องชายทั้งสองคนก็หันไปมองหน้ากันอย่างรู้ใจ
"กำลังเป็นห่วงผู้ใด" หยางเฉิงถาม
“ทุกคนนั่นแหละ ญาติพี่น้องกันทั้งนั้น” เมื่อพี่ใหญ่ยอมรับ น้องชายทั้งสองคนก็พากันถอนหายใจตามไปด้วย
ทุกคนรวมถึงรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่นำครอบครัวของท่านปู่หยางจงจินกลับมาที่เมืองหลวง ที่ทำให้หยางหลงมีความกังวลใจอย่างยิ่ง
คนที่ไปรอรับขบวนของท่านผู้เฒ่าหยางจงจินแจ้งมาในรายงานว่า ขบวนของท่านผู้เฒ่าประกอบไปด้วยผู้ใดบ้าง แต่ในรายงานนี้ระบุว่ามีทหารมาด้วยห้าคนรวมรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่ทุกคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
หยางเฉิงถึงกับมองหน้าพี่ใหญ่ด้วยความสงสัย
แล้วองครักษ์ที่เทพเสือโคร่งม่แจ้งล่วงหน้า ว่าเดินทางมาด้วยนั้นไปที่ใด
หรือมิได้ไปที่ใด แต่ลอบเดินทางมาด้วยในทางลับ ซึ่งไม่แน่ว่าในเวลานี้ทุกคนจะเดินทางมาถึงเมืองลั่วกันหมดแล้ว
สองคนพี่น้องพยักหน้าให้กัน ต่างคนต่างรู้ว่ามิควรเอ่ยปากแสดงความเห็นใดๆ ออกไป

การต้อนรับครอบครัวท่านปู่หยางเริ่มขึ้นตั้งแต่ปากทางเมืองลั่วที่ต้องเดินทางผ่านป่าสีทอง จากนั้นก็เดินทางช้า ๆ เข้ามาจนถึงตัวเมือง ซึ่งหลิวเพ่ยหลิงพาแฝดสามเมืองลั่ว ออกมารอพร้อมหน้าบรรดาฮูหยินและบุตรของหยางเฉิงและหยางไห่ กับสมาชิกในสกุลหยางทั้งหมด
พวกเด็ก ๆมิได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังอันใด เมื่อเห็นว่าในขบวนนอกจากท่านปู่ทวดหยางจงจิน และครอบครัวแล้ว ยังมีรองแม่ทัพเฉินอวี้เดินทางมาด้วย หลังจากที่ทักทายผู้อาวุโสแล้ว ก็พากันมาทักทายท่านปู่เล็กเฉินอวี้ แต่ท่านปู่เล็กก็เพียงพยักหน้า หาได้อุ้มขึ้นมาโอบกอดเหมือนทุกครา ทำให้ทั้งหมดค่อย ๆ ถอยกลับมารวมกลุ่มและเดินตามขบวนใหญ่ไปยังบ้านพักหลังใหม่ที่จัดเตรียมไว้ให้ การทำความเคารพและแสดงความยินดียังคงดำเนินต่อไปอีกครู่ใหญ่เนื่องจากผู้อาวุโสหลายคนในครอบครัวรออยู่ที่นี่ ต่างไต่ถามด้วยความคิดถึง เมื่อเห็นว่าท่านผู้เฒ่าที่เดินทางมาไกลมีความอ่อนล้า หยางหลงจึงขอให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน และแจ้งว่าในช่วงค่ำจะเดินทางไปเคารพบุรุษที่สุสานประจำตระกูล จากนั้นจะมีงานเลี้ยงที่หอชมจันทร์ 
เมื่อส่งท่านปู่เข้าไปพักผ่อนแล้ว หยางหลงจึงออกมาดูแลรองแม่ทัพเฉินอวี้และนายทหารผู้ติดตามกลุ่มใหญ่
หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว หาได้มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อพบว่า ทหารในชุดรัดกุมที่อยู่กับรองแม่ทัพเฉินอวี้ในเวลานี้ หาใช่กลุ่มที่ให้ความคุ้มครองขบวนของผู้เฒ่าเดินเข้าเมือง
ส่วนน้องชายอีกสองคนก็หาได้ทักถามในเรื่องนี้
หยางไห่นั้นกำลังเคร่งเครียดเพราะไม่สามารถจัดหาห้องพักในโรงเตี๊ยมที่มีห้องพักมากกว่าสิบห้องให้กับทหารทั้งหมดได้ จำเป็นต้องให้แยกกันพักในโรงเตี๊ยมสองแห่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้กัน
หากเป็นเมืองอื่นฝ่ายเจ้าเมืองอาจไล่แขกที่พักอยู่แล้วเหมาที่พักให้กับทหารของทางการกลุ่มนี้ แต่เพราะที่นี่คือเมืองลั่วจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าบ้านจะไปไล่แขกที่พักอยู่ออกไป
สิ่งที่หยางไห่ทำก็คือสำรวจว่าโรงเตี๊ยมใดมีห้องว่างมากที่สุด มีความเป็นส่วนตัวมากที่สุดเพื่อรับรองแขก
"ขออภัยที่เมืองลั่วเป็นเมืองเล็ก โรงเตี๊ยมที่มีอยู่มีห้องว่างอยู่ไม่เพียงพอ"
นับว่าเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงของผู้เป็นเจ้าบ้านจริง ๆ
จะว่าอย่างไรดี ตอนที่คนที่ไปรอรับแจ้งมา หยางไห่ก็เหมาหอสุรา เตรียมห้องพักของโรงเตี๊ยมที่มีโรงม้าไว้ห้าห้อง แต่ในขณะที่งานเลี้ยงภายในบ้านพักกำลังดำเนินไป หันไปอีกทีเห็นทหารทยอยปรากฎตัวขึ้นทีละคนสองคนแล้วเข้ามาทำความเคารพรองแม่ทัพเฉินอวี้ หยางไห่ก็สั่งคนงานไปรวบรวมห้องพักที่ยังว่างอยู่เพื่อเตรียมพร้อมไว้
แต่เพราะมีการจัดงานใหญ่ คนจากเมืองอื่นก็เดินทางมาท่องเที่ยว และชมการแสดง ห้องพักจึงหาได้ยากยิ่ง
รองแม่ทัพเฉินอวี้เห็นหยางไห่กำลังวุ่นวาย จึงกล่าวขึ้น "พวกเราพักที่จวนเจ้าเมืองก็ได้"
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งขอรับ” หยางหลงกล่าวด้วยความจริงใจ หยางไห่ประสานมือขอบคุณแล้วหันไปบอกคนรับใช้ให้ล่วงหน้าไปแจ้งที่จวนเจ้าเมืองเพื่อให้เตรียมห้องพัก

จวนเจ้าเมืองลั่วที่กล่าวถึงนี้ มีแต่นักบวชและบัณฑิตแวะเวียนมาพักที่เรือนหลังเล็กไม่ขาดสาย แต่เรือนหลังใหญ่สามหลังนั่นมิได้เปิดเรือนต้อนรับบุคคลสำคัญมานานหลายเดือน ถึงจะทำความสะอาดสม่ำเสมอ แต่ก็มีเรื่องให้ต้องจัดเตรียมสิ่งของเครื่องใช้หลายอย่าง
บรรดาคนรับใช้และคนงานต่างช่วยกันเร่งมือทำงาน ทั้งโรงผ้า และโรงครัวต่างยุ่งกันหัวหมุน เมื่อเสร็จสิ้นเรื่องราวในวันนี้หยางหลงเจ้าเมืองลั่วนำกลุ่มรองแม่ทัพเฉินอวี้เดินผ่านประตูใหญ่เข้ามา ที่พัก สุรา น้ำชา อาหารก็พร้อมหมดแล้ว
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ออกมารวมกันอยู่ที่เรือนต้นบ๊วย
สุรา อาหารที่หยางหลงจัดมารับรองมีรสชาติดี สร้างความพึงพอใจให้กับทุกคน
รองแม่ทัพเฉินอวี้หันไปบอกกับหยางหลงว่า ทั้งหมดจะพักอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง และถามหลิวเพ่ยหลิงเกี่ยวกับการทำความสะอาด และเวลาในการจัดเตรียมอาหาร
เมื่อฮูหยินแจ้งให้ทราบว่าคนรับใช้จะเข้าไปทำความสะอาดก่อนเที่ยงวัน ส่วนเรื่องอาหารหากต้องการให้จัดเตรียมไปให้ที่เรือนรับรองก็สามารถทำได้
"ไม่ต้องจัดเตรียมอาหารให้พวกเรา" รองแม่ทัพเฉินอวี้บอก "ส่วนเรื่องทำความสะอาด ขอคนที่ไว้ใจได้ เพราะพวกเราจะไม่ได้กลับมาที่นี่ทุกวัน"
หยางหลงมีคำถาม แต่ไม่มีโอกาสที่จะได้ถามคำถามเหล่านั้น เพราะรองแม่ทัพเฉินอวี้จะมีทหารคอยติดตามอยู่ใกล้ ๆ อย่างน้อยหนึ่งคนตลอดเวลา
รองแม่ทัพเฉินอวี้พยักหน้า เข้าใจว่า หยางหลงมีความกังวลใจ “มีงานให้พวกเราต้องไปจัดการ ไม่สะดวกที่จะกล่าวคำ แต่จะจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว”
จนกระทั่งงานรื่นเริงคืนนั้นจบลง บรรดาทหารในชุดรัดกุมเหล่านั้นก็หายไปทางไหนไม่ทราบได้ เหลือเพียงรองแม่ทัพเฉินอวี้ กับทหารกลุ่มที่เดินทางร่วมขบวนมาจากเมืองหลวง ที่เดินกลับมาที่จวนเจ้าเมืองด้วยกัน รองแม่ทัพเฉินอวี้จึงกล่าวถึงเรื่องที่ยังคาใจ
"ท่านเจ้าเมืองมิต้องกังวลไป พวกเราจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย"
"แต่หากเกี่ยวข้องกับเมืองเหอ"
"เจ้านับท่านเจ้าเมืองเหอเป็นลุงของเจ้า แต่ทางฝ่ายนั้นนับเจ้าเป็นหลานหรือไม่" ในยามที่กล่าวคำรองแม่ทัพเฉินอวี้มีรังสีของการฆ่าฟันรุนแรงจนหยางหลงต้องก้าวถอย ขณะที่ทหารทั้งสี่นายกระชับดาบในมือเตรียมพร้อมรอฟังคำสั่ง "ยามนี้ดึกมากแล้ว ท่านเจ้าเมืองสมควรพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก"
"ท่านรองแม่ทัพ" หยางหลงพยายามอีกครั้ง "ไม่ว่าเขาจะคิดเห็นว่าข้าเป็นอย่างไร และที่ผ่านมาจะมีความขัดแย้งอย่างไร แม้ต้องสูญเสียเจิงเอ๋อร์ไป แต่สำหรับข้าแล้ว เขาก็คือลุงและญาติพี่น้องของข้า"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ตบไหล่หยางหลงอีกครั้ง แล้วเดินผ่านไปที่เรือนรับรอง
"คนสกุลหยางเมืองลั่วนี่แปลกสมกับที่เขากล่าวกันไว้จริง  ๆ" ทหารผู้ติดตามคนหนึ่งของรองแม่ทัพเฉินอวี้กล่าวขึ้น โดยเจตนาให้หยางหลงได้ยิน

เช้าวันถัดมารองแม่ทัพเฉินอวี้และบรรดานายทหารทั้งสี่นายยังคงเดินทางร่วมไปกับหยางจงจินและครอบครัวที่สุสานประจำตระกูล จนถึงการตระเวนทำบุญไหว้พระที่วัดหลายแห่ง แต่กลับมีท่าทีเป็นงานเป็นการ และห่างเหิน ขนาดแฝดสามที่คุ้นเคยกับผู้อื่นโดยง่ายยังไม่ยอมเข้าใกล้
หยางหลงคิดในแง่ดี ว่าเป็นเพราะแฝดสามมิได้พบกับท่านรองแม่ทัพเฉินอวี้มานาน
“จำท่านปู่เล็กได้หรือไม่”
แฝดสามพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน
“แล้วเหตุใดไม่ทักทายท่านปู่เล็ก”
เพ่ยหลิงกล่าวแทนบุตร “เมื่อครั้งที่พบกัน แฝดสามเข้าไปทักแล้ว แต่ท่านแม่เล็กมิได้ทักตอบ หลังจากนั้นทั้งหมดก็อยู่ห่างจากท่านแม่เล็กเจ้าค่ะ”
หยางจินแฝดคนเล็กที่มีดวงตาสีทองกระตุกมือบิดาให้ก้มลงมาหา กระซิบถ้อยคำที่มีเพียงบิดาได้ยิน “ท่านปู่เล็กมีสีดำปรากฎอยู่ด้านหลัง”
“เหมี่ยนกับหมิงเห็นหรือไม่” บิดาหันมาถาม
“พี่ใหญ่ไม่เห็น แต่พี่รองเห็นเหมือนกัน”
“เช่นนั้นไว้รอหารือกับท่านพ่อกวาง ว่าต้องทำอย่างไร”
แต่การจะหารือกับลู่กวางทอง ก็มีแต่ต้องรอให้ลู่กวางทองแวะมาเท่านั้น
ในเช้าวันถัดมาเรือนรับรองทั้งสามหลังก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด จนถึงยามบ่ายหยางหมิงแฝดคนกลางผู้มีดวงตาสีทองก็ให้เสี่ยวเป่าพามาหาบิดาที่ศาลาว่าการ ขอให้บิดาเร่งเดินทางไปที่ชนเผ่านอกเมืองเหอ
หยางหลงเจ้าเมืองลั่ว ที่รู้สึกสังหรณ์ใจมาตั้งแต่เช้าสั่งให้คนงานเตรียมม้าเพื่อออกเดินทางในทันที แต่พอหยางเฉิง และหยางไห่รู้เรื่องก็เร่งติดตามมาด้วย
การเดินทางระหว่างสองเมืองนี้ใช้เวลานานหลายชั่วยาม แต่สามพี่น้องเร่งเดินทาง เมื่อมาถึงเมืองเหอก็พบว่าที่นั่นกำลังวุ่นวายด้วยเหอชินห้าว เจ้าเมืองเหอ และเหอหลินจื้อหายตัวไป
สามพี่น้องจึงออกเดินทางต่อมายังชนเผ่านอกเมืองเหอตามที่หยางหมิงบอกไว้
แฝดสามเมืองลั่วย่อมไม่เคยเดินทางออกมาจากเมืองลั่ว แต่เมื่อบอกให้บิดาเร่งเดินทางมา บิดาก็เชื่อถือและทำตามในทันที
เพราะที่นี่คือชนเผ่าที่เหอชินห้าวลักลอบติดต่อกันในทางลับ!

เมื่อรวบรวมหัวเมืองทางเหนือเข้ามาเป็นพวกมิได้ เหอชินห้าวก็คิดผนวกชนเผ่าเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง

ชนเผ่านี้ตั้งอยู่ในพื้นที่สูง กลิ่นคาวเลือดจึงถูกพัดพาไปไกล ภาพเหตุการณ์ขณะที่สามพี่น้องเดินทางมาถึงยิ่งน่าหวาดกลัว
ชายหลายคนสวมชุดดำยืนอยู่กลางลานด้านหน้าเผ่า
เหอชินห้าว กับเหอหลินจื้อถูกจับมัดให้นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางลาน ใบหน้าซีดขาว
ด้านหน้าของพวกเขาคือร่างของผู้คนในชนเผ่า ซึ่งแต่ละร่างล้วนถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม ชิ้นส่วนอวัยวะกระจัดกระจาย
ชายหนุ่มคนหนึ่งตวัดดาบลงที่คอของหัวหน้าชนเผ่า ศีรษะของหัวหน้าชนเผ่าหลุดลงจากบ่า กลิ้งไปหยุดอยู่แทบเท้าของเหอชินห้าว
แม้ว่าจะอยู่ในระยะไกล แต่ก็จดจำผู้ที่ลงดาบบั่นคอผู้อื่นได้ในทันที
ส่วนบรรดานายทหารที่ยืนอยู่ด้านนอก ไม่ได้คิดจะห้ามสามพี่น้องที่ควบม้าเข้ามาหาแล้วลงจากหลังม้า พุ่งตรงเข้าไปยืนขวางระหว่างพวกเหอชินห้าว กับรองแม่ทัพเฉินอวี้
ดวงตาแข็งกร้าวตวัดขึ้นมามองคนที่เพิ่งเข้ามาถึง จากนั้นก็ยกยิ้มที่มุมปาก แล้วหันไปมองร่างไร้ชีวิตที่อยู่รายล้อม

"ข้าจะฆ่าเขาหรือไม่ขึ้นอยู่กับคำตอบของเขา และหากข้าจะฆ่าเขา ต่อให้เจ้ายกคนมาทั้งเมือง เจ้าก็หยุดข้าไม่ได้"
หยางหลงรู้ว่าคำกล่าวนั้นเป็นความจริง รองแม่ทัพเฉินอวี้และพรรคพวกลักพาเจ้าเมืองและน้องชายออกมาจากเมืองโดยที่ไม่มีใครล่วงรู้ จากนั้นก็สังหารคนทั้งชนเผ่าต่อหน้า
และหากพวกเขาจะสังหารคนอีกสอง หรือห้าคนก็ไม่ได้ทำให้ต้องยุ่งยากมากขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งสามคนพี่น้องไม่มีใครที่ดึงดาบออกจากฝัก เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาเป็นกบฎต่อทางการ แต่ล้วนอยู่ในการเตรียมพร้อม
หยางหลงก้าวออกมาข้างหน้ากล่าวคำแก้ต่าง "ที่ท่านเจ้าเมืองเหอสานสัมพันธ์กับชนเผ่าก็เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนบ้านกัน และกลุ่มชนเผ่าต่างก็เป็นผู้รักอิสระอย่างยิ่ง ทุกคนล้วนตระหนักดีว่า นี่เป็นการความสัมพันธ์ที่ไม่อาจเข้มแข็งขึ้นมาคานอำนาจกับเมืองหลวง"
"หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะเก็บถ้อยคำไว้" รองแม่ทัพเฉินอวี้กล่าวเตือน โดยที่มิได้หันมามองหยางหลง
"ข้าไม่อาจเก็บถ้อยคำเมื่อพบการสังหารผู้คนนับร้อยเช่นนี้ได้ และยิ่งไม่อาจนิ่งเฉยที่ท่านลักพาตัวท่านลุงของพวกเรา"
เสียงหัวเราะขบขันของทหารที่อยู่ในที่นั้นช่างเสียดแทงจิตใจ
หยางหลงย่อมรู้ดีว่า วรยุทธ์ของพวกตนสามคนพี่น้องหากพบเจอกับรองแม่ทัพเฉินอวี้เพียงคนเดียว ยังอาจเป็นฝ่ายได้ชัย แต่หากรวมกับบรรดานายทหารจากวังหลวงทั้งกลุ่มนี้ เขามองไม่เห็นโอกาสที่จะเป็นฝ่ายชนะได้เลย
"หากท่านเห็นว่าพวกเขาทำไม่ถูกต้อง วิธีการของพวกท่านยิ่งไม่ถูกต้องมากกว่า เขตชนเผ่านี้ถือเป็นรอยต่อของอาณาจักรไท่ชาง ท่าน..."
รองแม่ทัพเฉินอวี้ขัดขึ้นก่อนที่หยางหลงจะกล่าวจบ "สรุปคือเจ้าจะสั่งสอนข้าเรื่องการปกครอง" ดวงตาแข็งกร้าวหันไปมองเหอชินห้าว "สอนลุงของเจ้าก่อนดีหรือไม่ เพราะสำหรับพวกเราแล้ว ผู้ที่ท้าทายพระราชอำนาจ ต่อให้มันหนีไปอยู่ในนรก เราก็จะตามไปจัดการให้แน่แก่ใจว่ามันตกอยู่ในกองไฟ และเหลืออยู่เพียงเถ้าถ่านแล้วเท่านั้น"
"ท่านไม่มีหลักฐานเอาผิดท่านลุง จึงเลือกใช้การสังหารคนทั้งเผ่าเพื่อข่มขู่" หยางหลงทิ้งไพ่ตาย และเมื่อเห็นสายตาของรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่มองมาก็แน่ใจว่าที่คิดไว้นั้นถูกต้อง "เมื่อท่านทำหน้าที่เสร็จสิ้นแล้ว ข้าขอรับตัวพวกเขากลับไป"
หยางหลงหันไปหยางเฉิงและหยางไห่ที่กำลังแก้มัดให้กับเหอชินห้าวและเหอหลินจื้อ
รองแม่ทัพเฉินอวี้และทหารทั้งหมดไม่ได้ห้ามการกระทำของสามพี่น้อง แต่กลับตั้งคำถาม
"เจ้าลืมความสูญเสียไปแล้วหรือ"
"ข้าไม่ได้ลืม แต่ความสูญเสียและการชดใช้ต้องรู้จักจุดที่จะสิ้นสุด ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่ตอกย้ำอยู่ในเรื่องเมื่อวาน" เมื่อหันไปก็เห็นว่าหยางเฉิงแบกเจ้าเมืองเหอขึ้นหลัง ส่วนหยางไห่กำลังพยุงเหอหลินจื้อ จึงประสานมือเพื่ออำลา" ในเมื่อเรื่องราวที่นี่จบลงแล้ว ข้าขอรับท่านลุงทั้งสองกลับไป"
"รู้ได้อย่างไรว่าจบลงแล้ว"
หยางหลงมิได้ตอบคำถาม แต่พยักหน้าไปทางด้านหลัง
รองแม่ทัพเฉินอวี้มิได้รู้ตัวเลยว่าคนผู้นี้มาตั้งแต่เมื่อใด แต่เมื่อหันมาเห็นผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ยิ่ง กำลังเดินเข้ามาหา
ว่าที่จริงหยางหลงสมควรรีบพาคนออกไปจากที่นี้ แต่ก็กลับพยักหน้าให้น้องชายทั้งสองคนพาท่านลุงออกไปก่อน ส่วนตนเองยังรั้งรออยู่ต่อ
ดวงตาของเทพเสือโคร่งภูผาที่มองมายังรองแม่ทัพเฉินอวี้เต็มไปด้วยความปวดร้าวใจเป็นอย่างยิ่ง
"ที่ข้าได้กลิ่นคาวเลือดจากเจ้า มิใช่เพราะเจ้าปกป้องคน แต่เพราะเจ้าสังหารคนมากมายถึงเพียงนี้ อวี้เอ๋อร์ ความยิ่งใหญ่หาได้เกิดจากการยืนอยู่เหนือศพของผู้อื่น ข้าไม่ได้รักษาชีวิตเจ้าเพื่อให้ไปฆ่าใคร" คนรูปร่างสูงใหญ่หันไปสั่งหยางหลง "กลับไปดูลุงของเจ้าที่เมืองเหอ"
"ท่านเทพขอรับ" หยางหลงห่วงหน้าพะวงหลัง ทั้งที่เมื่อครู่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรองแม่ทัพเฉินอวี้ แต่ยามนี้กลับอยากออกหน้ารับแทน "นี่เป็น..."
"เจ้าเมืองลั่ว ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว" เทพเสือโคร่งภูผากล่าวอย่างเด็ดขาด จนหยางหลงต้องไปขึ้นม้าแล้วออกเดินทางตามน้องชายทั้งสองกลับไป
เทพเสือโคร่งภูผากวาดตามองศพที่กระจัดกระจายอยู่รายรอบ อีกไม่นานทั้งนกแร้งและสัตว์ป่าจะตามกลิ่นเลือดเข้ามาที่นี่
"มนุษย์นั้นโหดร้าย แต่มนุษย์ที่ฆ่าคนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน โดยไม่มีความรู้สึกผิดอยู่ในใจสักนิดคือมนุษย์ที่โหดร้าย และเลวร้ายที่สุด"

รองแม่ทัพเฉินอวี้ตัวชาได้แต่มองตามหลังคนที่เดินจากไป
สายลมเย็นเสียดแทงลึกเข้าไปถึงกระดูก ทั้งเหน็บหนาวและเย็นยะเยือกถึงหัวใจ
แต่เพราะภาระหน้าที่ในที่นี้ยังไม่หมดลงจึงหันไปสั่งให้ทหารใช้ยาสลายกระดูกทำลายศพเหล่านี้
ในอีกชั่วยามถัดมา หมู่บ้านชนเผ่าแห่งนี้ก็กลายเป็นชนเผ่าร้าง และเหลือเพียงหยดเลือดจาง ๆ อยู่ทั่วไป ซึ่งจางหายไปในอีกหลายวันถัดมา
แต่กลิ่นของความตายที่ยังคงอยู่อีกนานนับเดือน

เมื่อหยางหลงติดตามมาถึงจวนเจ้าเมืองเหอ จึงทราบว่า เหอหลินจื้อก็ยังพักผ่อนอยู่ที่จวนเจ้าเมือง
เมืองเหอเคลื่อนไหวเพื่อที่จะต่อต้านฮ่องเต้มานานนับสิบปี รับรู้ข่าวเรื่องการปราบปรามผู้ต่อต้านฮ่องเต้มาก็มาก แต่เพิ่งได้พบกับการสังหารอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้เป็นครั้งแรก จึงตระหนักว่าอาจถูกสังหารทั้งตระกูลเป็นกลุ่มต่อไป
"เจ้าเมืองลั่ว" เป็นคราแรกที่เหอชินห้าวเรียกหยางหลงเช่นนี้ "นี่เท่ากับฮ่องเต้นั่นทรงกำลังบีบคั้นให้พวกเราต้องเลือก"
หยางหลงยังคงกล่าวอธิบายแบบคนใจเย็น ว่าฮ่องเต้ทรงทราบเรื่องการเคลื่อนไหวของเจ้าเมืองเหอมานานหลายปีแล้ว และทรงไม่ปิดบังการรู้เท่าทันด้วยการสร้างแรงกดดันผ่านผู้แทนเมืองเหอที่อยู่ในเมืองหลวง จนมาถึงการที่เหอชินรุ่ยผู้เป็นมารดาของพวกตนเดินทางเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับหยางติง และหยางเจิ้นขุย แล้วให้ท่านผู้เฒ่าหยางจงจินกลับมาพักผ่อนที่บ้านเกิด แต่เมื่อทั้งหมดนี้ไม่มีผลให้เหอชินห้าว เจ้าเมืองเหอเปลี่ยนใจ จึงทรงเปลี่ยนมาใช้วิธีการข่มขู่โดยตรง
"ข้ากลับคิดว่า ทรงมีหลักฐานการเคลื่อนไหวของท่านอย่างชัดเจน แต่ที่ไม่ส่งทหารเข้ามาปราบปรามโดยตรง แล้วทรงเลือกที่จะข่มขู่เช่นนี้ น่าจะมีเหตุผลบางอย่าง" ก่อนที่เหอชินห้าวจะคิดไปว่าเมืองหลวงหวั่นเกรงอำนาจของเมืองเหอ หยางหลงก็กล่าวขึ้นก่อน "เราต่างก็รู้ดีว่า ทรงประหารผู้ที่คิดเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์ไปมากมาย หากจะประหารอีกสักสิบหรือห้าสิบคนมิใช่เรื่องแปลก แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานหลายปี พระองค์อาจจะรู้สึกพอพระทัยกับการทรมานศัตรูของพระองค์ก็เป็นได้"

(มีต่อครับ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 28-05-2018 19:08:25
(ต่อครับ)

เมื่อเหอชินห้าวเจ้าเมืองเหอคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเขตชนเผ่าก็ค่อนข้างจะเชื่อคำกล่าวนี้ของหยางหลง
พวกของรองแม่ทัพเฉินอวี้บุกเข้ามาถึงในจวนเจ้าเมือง และคฤหาสน์ของเหอหลินจื้อเพื่อลักพาตัวพวกตนทั้งสองไปโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ หากจะลงมือฆ่าทิ้งไว้ที่นอกเมืองนั่น ผ่านไปอีกสักกี่วันถึงจะมีคนไปพบศพ ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นฝุ่นผงไปก็ยังมิมีผู้ใดล่วงรู้
แต่เพราะเป็นคนสกุลเหอที่ยอมหักไม่ยอมงอ การจะยอมรับว่าตนหวาดกลัว กังวล หรือเปลี่ยนแปลงเป้าหมายไม่อาจออกจากปากได้โดยง่าย
ก่อนหน้านี้ เหอชินรุ่ยที่ต้องสูญเสียหลานชายคนโตไป ยังต้องอาศัยหลักฐานมัดแน่น ถึงได้ยอมรับว่าตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เรื่องราวบานปลาย และก้าวถอยออกมาจากการแทรกแซงการเมืองของเมืองลั่ว
เหอชินห้าว เจ้าเมืองเหอก็ไม่ต่างกัน การที่ต้องนั่งอยู่ท่ามกลางชาวบ้านในชนเผ่านอกเมืองแห่งนั้น ทั้งที่หลายคนในหมู่บ้านคือนักสู้ฝีมือดี แต่ก็ยังถูกจับมัดมารวมไว้
จากนั้นรองแม่ทัพเฉินอวี้คนนั้น ก็เริ่มต้นการสังหารจากผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในเผ่า เสียงกรีดร้อง เสียงตะโกนด่า เสียงร่ำไห้ดังระงม เหอชินห้าว และหัวหน้าชนเผ่า ต่างร้องขอการเจรจาต่อรอง แต่คนผู้นั้นเพียงเว้นช่วงไว้ประมาณหนึ่งเค่อก็เดินไปดึงเด็กคนต่อไปออกมาสังหารต่อหน้าทีละคน จากเด็ก ก็คือคนชรา สตรี บุรุษ และสุดท้ายคือหัวหน้าชนเผ่า
ทั้งภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยินจึงยาวนานหลายชั่วยามช่างสั่นคลอนประสาทยิ่งนัก
"รองแม่ทัพนั่นโหดเหี้ยมมาก" ชายวัยกลางคนกล่าวขึ้น พร้อมกับการสาบานในใจว่านับจากวันนี้จะไม่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีก "ตอนที่เขามาส่งน้องสามก็ดูว่าเป็นคนเฉย ๆ พบกันอีกหลายคราก็ดูว่าเคร่งครัดต่อกฎหมาย แม้ต่อมาจะมีคนมาเล่าว่าเขามียุทธ์แข็งแกร่ง และเป็นหนึ่งในมือสังหารของฮ่องเต้ ก็ยังคิดว่าเป็นแค่คำคนที่พูดกันไป ไม่คิดว่า..."
เหอหลินจื้อนึกถึงเรื่องที่เคยล่วงเกินรองแม่ทัพเฉินอวี้ไว้หลายเรื่อง จึงหันไปมองหน้าหยางหลง เพราะประหลาดใจที่จู่ ๆก็กลับจำเรื่องที่จวนเจ้าเมืองลั่วเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมาได้
"ข้าเคยเห็นเขาอยู่กับเทพเสือโคร่งภูผาแห่งป่าสีทอง"
หยางหลงพยักหน้าแต่มิได้กล่าวคำใด เหอหลินจื้อจึงถามถึงเรื่องในวันนี้
"ตอนที่พวกท่านจากมาแล้ว เทพเสือโคร่งภูผาจึงมาถึง เมื่อพบว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นก็กล่าวคำตำหนิท่านรองแม่ทัพอย่างรุนแรง ข้าจึงเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับป่าสีทอง แต่เป็นพระบัญชาของฮ่องเต้"
เหอหลินจื้อรู้สึกว่าตนเองโง่งม พยักหน้าเชื่อถ้อยคำอย่างจริงจัง จากนั้นภาพเหตุการณ์ที่จวนเจ้าเมืองเมื่อหลายปีก่อนพลันจางลงและเลือนหายไปอีกครั้ง

"เขาทำตามพระบัญชา และข้าก็คิดสงสัยว่าพระองค์มีเจตนาอะไร" หยางหลงกล่าว

เจตนาของฮ่องเต้ก็คือการให้เมืองเหอยังทำหน้าที่เป็นเมืองหน้าด่านยามเมื่อต้องปะทะกับบรรดาชนเผ่าและอาณาจักรทางเหนือ ไม่ใช่การผูกมิตร มิเช่นนั้นก็คงสั่งประหารเหอเจ๋อซึ่งเป็นน้องชายคนรองและครอบครัวที่อยู่ในเมืองหลวง และสั่งประหารเจ้าเมืองเหอฐานก่อกบฎไปนานแล้ว
เมื่อเจ้าเมืองเหอคนก่อนเสียชีวิต และเหอชินห้าวรับตำแหน่งต่อด้วยวัยเพียงสิบสองปี ทำให้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของท่านอาสาม  แต่นั่นทำให้เหอเจ๋อซึ่งเป็นน้องรองเดินทางเข้าเมืองหลวงตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบปี เหอเจ๋อจึงไม่ผูกพันกับพี่น้องคนใด และทำให้เหอหลินจื้อ กับเหอชินรุ่ยยกย่องพี่ใหญ่ของตนอย่างยิ่ง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหอเจ๋อที่เติบใหญ่ในเมืองหลวง พบว่าพี่ใหญ่ของตนและบรรดาผู้ปกครองเมืองเหอเคลื่อนไหวโดยมิได้สนใจชีวิตของคนที่อยู่ในเมืองหลวงเลยสักนิด พวกเขาจึงต้องหาทางเอาตัวรอด ด้วยการถวายคำแนะนำเรื่องการข่มขู่สองพี่น้องเมืองเหอ แต่รองแม่ทัพเฉินอวี้คือคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนโหดเหี้ยม

สรุปคือเหอเจ๋อก็แค่เอาตัวรอด
รองแม่ทัพเฉินอวี้คือผู้ที่รู้ความจริงอยู่แก่ใจ และรู้ว่าสามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ไม่คิดจะหลีกเลี่ยง
และ...ผู้ที่โหดเหี้ยมที่แท้จริงคือฮ่องเต้จางฉวน

เมื่อรองแม่ทัพเฉินอวี้พร้อมด้วยกลุ่มนายทหารเข้าเฝ้าที่พระตำหนักทรงงานหลังนอก ท่ามกลางองครักษ์ และนายทหารหลายนาย ทรงก้าวเข้ามาจับข้อมือของชายหนุ่มในทันที
"เขายังไม่ได้รักษาเจ้า"
"ไม่พะย่ะค่ะ"
พระหัตถ์ที่จับข้อมือเพิ่มแรงมากขึ้น มิได้แฝงพลังภายใน แต่ก็หนักมือจนชายหนุ่มนิ่วหน้า
"เหตุใด เขามิได้รักษา หรือเขามิได้มาหาเจ้า"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ส่ายหน้า และเมื่อทรงคลายพระหัตถ์ ชายหนุ่มก็คุกเข่าลง
"กราบทูลฝ่าบาท เจ้าเมืองลั่วกับน้องชายเดินทางมาช่วยเจ้าเมืองเหอกับเหอหลินจื้อตามที่ทรงมีพระปรีชาคาดการณ์ไว้ แต่ตอนที่จะพากันออกไป ก็พบว่า เขามาถึงแล้ว" คำเรียกว่าเขาคำนี้ย่อมใช้แทนการกล่าวถึงเทพเสือโคร่งภูผาเหมือนกับในทุกครั้งที่ผ่านมา
"เขามาโดยที่เจ้าไม่รู้เรื่องเลยหรือ"
"ไม่พระเจ้าค่ะ แต่แน่ใจว่าตอนที่สามคนพี่น้องมาถึง เขายังไม่มา จึงอาจมาถึงตอนที่กำลังเจรจากัน และ...มิพอใจมากที่กระหม่อมสังหารคนในเผ่า"

เมื่อยังไม่มีรับสั่ง รองแม่ทัพเฉินอวี้ก็ยังไม่อาจลุกขึ้น
ทรงมีพระวินิจฉัย ขณะที่ก้าวพระบาทช้า ๆ วนรอบรองแม่ทัพผู้ที่ยังก้มหน้าคุกเข่าอยู่
เทพเสือโคร่งผู้นั้น มิพอใจการกระทำของเฉินอวี้ถึงขนาดที่ปฏิเสธที่จะรักษาอาการเจ็บป่วยให้
นี่เป็นคราแรกจริงๆ สมควรที่พระองค์จะรู้สึกยินดีหรือไม่...

รองแม่ทัพเฉินอวี้ผู้นี้เป็นทั้งนักปราชญ์และจอมยุทธ์ในคน ๆ เดียว
หากจะมีใครสักคนในวังนี้ที่ทรงวางพระทัย ก็คือรองแม่ทัพเฉินอวี้ผู้นี้
แต่หากจะมีใครให้ทรงหวาดระแวง ก็คือรองแม่ทัพเฉินอวี้ผู้นี้เช่นกัน
หลายปีที่ผ่านมาเขามีจุดยืนเข้มแข็งที่จะทัดทานการลงโทษประหารผู้คน และมักไปสืบหาหลักฐานมาคัดค้าน ดังนั้นหากพระองค์ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าจะต้องลงดาบประหารใครสักคนให้ได้ พระองค์จะส่งเขาไปทำงานในที่ห่างไกล
เวลาที่รองแม่ทัพเฉินอวี้กลับมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เคร่งเครียดนั้นทำให้พระองค์รู้สึกเป็นผู้ชนะ
แต่ความโดดเด่นที่เหนือกว่าผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด คือยุทธ์แข็งกล้า ที่สืบทอดมาจากเทพเสือโคร่งภูผา
ส่วนนี้ของรองแม่ทัพเฉินอวี้ ที่ทำให้พระองค์รู้สึกไม่ค่อยพอพระทัยทุกคราที่นึกขึ้นมา
คราแรกคือตอนที่ยังอยู่ในโรงเรียนองครักษ์ พระองค์หวังว่าเขาจะเป็นเหยื่อล่อให้ฝ่ายศัตรูของพระองค์รุมทึ้งเพื่อที่พระองค์จะได้ยกขึ้นมากล่าวโทษในภายหลัง แต่ปรากฎว่าเขากลับมาพร้อมกับความสำเร็จ
หลังจากนั้นหากมีพระประสงค์จะกำจัด หรือควบคุมตัวผู้ใดแบบที่ไม่ให้เหลือร่องรอยทิ้งไว้ พระองค์จะเลือกรองแม่ทัพเฉินอวี้เป็นลำดับแรก
แม้ลึกๆ แล้วพระองค์จะเชื่อมั่นว่าเขาจะทำงานได้สำเร็จตามพระประสงค์
แต่หลายครา พระองค์ก็ปรารถนาให้เขาตาย!
ถึงอย่างนั้น เมื่อเห็นเขากลับมารายงานตัว พระองค์ก็ยินดีอย่างยิ่งที่เขากลับมา
ยินดีมากกว่าเห็นผลงานของเขาเสียอีก
เป็นความสับสนในตัวพระองค์เองยิ่งนัก!
แต่ในเวลานี้ เมื่อทอดพระเนตรคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ พระองค์มองเห็นความเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า และกำลังใจที่ถดถอย
เขาไล่ล่าสังหาร ตั้งแต่นักรบจนถึงโจรป่า เดินทางรอนแรมจากเหนือจรดใต้ ถูกพระองค์กลั่นแกล้ง กดดันมามากมาย  ยังไม่ส่งผลในทางจิตใจเท่ากับการที่ถูกเทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้นไม่พอใจหนึ่งครั้ง
แค่ครั้งเดียว!
รองแม่ทัพเฉินอวี้ที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดียิ่งมาตลอดเวลาหลายปี ถูกเทพเสือโคร่งไม่พอใจเข้าสักครั้งหนึ่ง ถึงกับมีอาการแตกร้าวได้ถึงเพียงนี้!

ฝ่ายเทพเสือโคร่งภูผานั่นก็ไม่ได้ต่างกัน
เนื่องจากทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโอสถ จึงทำให้ทราบว่า ทุกคราที่เทพเสือโคร่งภูผาปรากฎตัวขึ้น อาการเจ็บป่วยของรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่เกิดจากความเครียดสะสมจะบรรเทาลง
พระองค์มีวินิฉัย ว่าความเจ็บป่วยของรองแม่ทัพเฉินอวี้ เกิดจากการที่เขามิได้ต้องการจะเป็นองครักษ์ มิได้ต้องการจับดาบสังหารใคร จุดเริ่มต้นอาการนี้ต้องย้อนกลับไปที่พระองค์เองที่จับให้เขาเข้าโรงเรียนองครักษ์ ทั้งที่สหายคนอื่นต่างได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกรมกองฝ่ายบุ๋น จากนั้นเขาก็ถูกพระองค์จับให้ไปทำในสิ่งที่ไม่ต้องการจะทำครั้งแล้วครั้งเล่า จนกลายเป็นความเจ็บป่วย
แต่พระองค์มิได้ล่วงรู้ว่า ตัวของรองแม่ทัพเฉินอวี้เองก็กดดันตนเองอย่างหนักให้เอาชนะพี่น้องทุกคนในครอบครัว ต้องเป็นที่หนึ่งในทุกการแข่งขัน
ดังนั้นบทสรุปของพระองค์ก็คือ พระองค์ทำให้รองแม่ทัพเจ็บป่วย แล้วเทพเสือโคร่งภูผาคือผู้รักษา  มิว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอเพียงเทพเสือโคร่งภูผาปรากฎตัว อาการเจ็บป่วยทั้งมวลจะหายไป
พระองค์ปรารถนายาตัวที่เทพเสือโคร่งภูผาใช้กับรองแม่ทัพเฉินอวี้ แต่เทพเสือโคร่งภูผาก็บอกว่าเป็นเพียงยาบำรุงทั่วไป หาได้มีสมุนไพรวิเศษใด ซึ่งจากตัวยาที่ทหารนำมาให้ตรวจสอบก็พบว่าเป็นยาบำรุงทั่วไป แต่เมื่อนำมาทดลองกับพวกมหาดเล็ก ก็ไม่ได้มีผลอย่างที่เกิดขึ้นกับรองแม่ทัพเฉินอวี้
พระองค์มักเย้าแหย่ว่ารองแม่ทัพเฉินอวี้แสร้งเจ็บป่วยเพื่อถ่วงรั้งเทพเสือโคร่งภูผาไว้ ก็เพราะพระองค์รู้ว่าทั้งคู่รักกัน จึงมักกล่าวคำต่อว่า และทำทีเป็นใกล้ชิดกับเทพเสือโคร่งภูผา เพื่อลอบสังเกตท่าทีของทั้งคู่
มีเหตุการณ์และเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น บางคราเทพเสือโคร่งภูผาจะเปลี่ยนไปเป็นนิ่งเฉย แต่ที่เหมือนเดิมคือรองแม่ทัพเฉินอวี้
ความรู้สึกเสียใจ กังวลใจเหล่านั้น ไม่เคยเปลี่ยนไป
พวกเจ้ารักกันขนาดนี้ ใยต้องคิดกังวลอยู่ตลอดเวลา
เจ้ารักเขาแต่ไม่เชื่อใจเขา แล้วเจ้าจะเชื่อใจผู้ใดกัน
เรารึ…
ทรงมีรับสั่งให้รองแม่ทัพเฉินอวี้ยืนขึ้น
"ทั้งที่เจ้าภักดีต่อเขาอย่างยิ่ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่ามีงานให้เจ้าทำ เขาก็เรียกใช้ แล้ววันหนึ่งก็หลงลืมเจ้าไป และทั้งที่เขายกเจ้าให้เราแล้ว แต่เมื่อเจ้าปฏิบัติตามคำสั่งข้าเขากลับโกรธจนหันหลังให้" ไม่มีใครในห้องนี้ที่ไม่ได้ยินรับสั่งของพระองค์ "ถ้าจะมีใครสักคนที่เข้าใจความรู้สึกของเจ้าก็คงมีแต่เราเท่านั้น บ้านของเจ้าไม่มีมารดาให้กลับไปหา พี่น้องก็แตกแยกกัน เขาเองก็หันหลังให้เจ้า ความโดดเดี่ยวที่เกิดขึ้นนี้เราเข้าใจเป็นอย่างดี"
"เขา...ยกข้าพระองค์ให้ฝ่าบาทหรือพระเจ้าค่ะ"  รองแม่ทัพเฉินอวี้ก้าวเท้าข้างหนึ่งลงไปในหลุมพรางที่พระองค์วางไว้
ทรงหงายพระหัตถ์ขึ้น "ก็ตั้งแต่ก่อนที่เจ้าไปเมืองทางใต้"
รองแม่ทัพเฉินอวี้เกือบปล่อยให้ความกังวล ชักจูงเท้าทั้งสองข้างก้าวลงไปในหลุมพราง แต่น้ำหนักของดาบในมือช่วยดึงความคิดกลับมาที่ความเป็นจริง ถึงแม้เทพเสือโคร่งภูผาจะไม่เคยตามไปที่เมืองทางใต้ แม้จะมีช่วงที่เมินเฉยต่อกัน แต่ก็บอกเล่าให้ฟังแล้วว่า จำเป็นต้องแกล้งทำเพื่อเบี่ยงเบนความสนพระทัยของฮ่องเต้ มีก็แต่เรื่องการสังหารชาวบ้านในเขตชนเผ่าที่เทพเสือโคร่งภูผาผิดหวังมาก

รองแม่ทัพเฉินอวี้เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ รู้ว่าตนเองเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งบนกระดานของพระองค์ ที่ทรงกำหนดให้ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและถูกจับตามองมาเป็นเวลานาน
ยามนี้พระองค์ยกเรื่องนี้ขึ้นมา พระองค์มีพระประสงค์อันใด

เอาเถิด จะเรื่องใดก็ช่าง ขอเพียงไม่ใช่การทำร้ายคนในเมืองลั่ว และป่าสีทองก็พอแล้ว

...จบตอนที่สามสิบ...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 28-05-2018 21:12:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 28-05-2018 21:41:35
ขอบคุณนะคะ  คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา
เดี๋ยวกลับมาค่อยๆ อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 29-05-2018 01:42:08
อ่านแล้วเกลียดฮ่องเต้จัง  :m16:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 29-05-2018 01:58:48
เกลียดฮองเต้ :m16:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 29-05-2018 21:47:57
สั่งประหารฮ่องเต้ได้มั้ยยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่29 P31(24042561)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 30-05-2018 06:44:47
โลภไม่ทีที่สิ้นสุดจริงๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 31-05-2018 16:44:26

 :m16:  เห็นความเจ้าเล่ห์และร้ายกาจที่กลายเป็นสิ่งปกติในชีวิตของอิตาฮ่องเต้แล้วอยากให้จุดจบของคนแบบนี้ไม่ควรที่จะลงเอยแค่เพียงการต้องอยู่แบบโดดเดี่ยวจริงๆ

นี่ได้แต่เดาการกระทำของพ่อเสือว่าแกล้งทำนะ  :mew6: สงสารเฉินอวี้ที่สุด โดนที่พึ่งทางใจที่มีอยู่หมางเมินต้องเจ็บอยู่คนเดียว  :mew6:  :mew6:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 31-05-2018 19:16:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 05-06-2018 15:05:56
ฮ่องเต้ตัวแสบ  นิสัยเสีย  ขอโทษเราอินมากไปหน่อย
สงสารแม่เล็ก  โดนพ่อเสือดุเลย  :sad12:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 05-06-2018 20:45:04
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 05-06-2018 21:41:05
 :angry2:    ฮ่องเต้  เลวววววววววววววว   
ทำกับเฉินอวี้แย่มาก :fire: :fire: :fire:
เอาแต่ประโยชน์ หลอกล่อ ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลอุบายตลอด
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-06-2018 14:18:54

ฮาหลูๆๆๆๆๆ มาทักทายจ้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 14-06-2018 02:11:49
 :pig4: พึ่งเห็นเรื่องใหม่ของ คุณไจฟ์ คุณที
ดีใจจัง ชอบเรื่องที่เขียนทุกเรื่องเลย  o18
แต่ได้อ่านตอนยังลงไม่จบเรืีองนี้เรื่องแรกเลยได้เม้นด้วย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 15-06-2018 11:11:50

เราคิดถึงแม่เล็กจัง  :call:  :call:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-06-2018 00:43:59
มารอพ่อเสือจ้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 24-06-2018 19:59:30
 :mew2: อยากอ่านต่อแล้วอ่าาาาาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 05-07-2018 13:28:33
พ่อเสือกลับมาได้แล้ว  เจอหมูป่าแล้วนะ รู้ยังงงงง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 05-07-2018 21:34:16
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 05-07-2018 22:36:34
 :m31: หัวร้อนเพราะฮ่ิองเต้จริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 06-07-2018 08:41:16


เข้ามารอพ่อเสือกับแม่เล็กจ้า  :mew1:

มาเถ่อะๆๆๆๆ  :call:




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 07-07-2018 13:48:17
คิดถึงเขาไหม   เขามารอแล้วนะ
มาเหอะ  เรารออยู่นะ
 :catrun: :catrun:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 07-07-2018 15:51:05
อยากรู้อนาคตฮ่องเต้ตัวแสบแล้ววว

รอค่ะ รอ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-07-2018 19:13:38
 :เหอะ1: :เหอะ1: :เหอะ1: :เหอะ1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 08-07-2018 09:35:42
แวะมาส่งจูบ :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 09-07-2018 13:17:17
เรารออยู่นะ ยังอีกหรอ

 :o11:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่30 P32(28052561)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-07-2018 14:06:45

ยังรอเสมอๆ  :mew1:

หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-07-2018 18:48:24
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่สามสิบเอ็ด


ฮ่องเต้จางฉวนแน่พระทัยว่าเทพเสือโคร่งภูผา ‘ต้อง’ มียาพิเศษตำรับหนึ่งในการดูแลสุขภาพของเฉินอวี้
พระองค์ทรงมีดำริที่ถูกต้องแล้ว
นับจากยาบำรุงขวดแรกเมื่อสิบปีก่อน เฉินอวี้ยึดถือว่าเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการมีเทพเสือโคร่งภูผาอยู่ในชีวิต เพราะเมื่อยาขวดเดิมหมดลงก็จะยาขวดใหม่มาวางไว้ให้เสมอ
ยาขวดนี้คือความลับที่เฉินอวี้เก็บไว้เป็นส่วนตัวอยู่เสมอ นั่นคือหากทรงมีรับสั่งถามถึงยาที่เทพเสือโคร่งใช้รักษาอาการต่างๆ ชายหนุ่มก็จะถวายคำตอบว่ามิมียาอันใดที่พิเศษ
นี่มิได้พูดปด หากแต่เขาคิดเช่นนั้นจริงๆ ยานั้นมิได้พิเศษในแง่ของการรักษา แต่เป็นยาที่ผลต่อจิตใจมาอย่างยาวนาน
กล่าวคือ ต่อให้ต้องไปอยู่ในที่ห่างไกล หรือมีช่วงเวลาที่มิได้พบเจอกันนานถึงเจ็ดปี ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความกังวลว่าจะถูกลืมเลือน แต่เมื่อพบยาขวดใหม่มาวางเปลี่ยนให้อย่างสม่ำเสมอก็รู้สึกยินดี ถึงแม้จะปรากฎไอเทพที่บ่งบอกว่า ผู้ที่นำยามาให้นั้นมิใช่เทพเสือโคร่งภูผา ก็ทำให้รู้สึกว่ามีความหวังว่าวันหนึ่งจะได้พบกัน
หรือต่อให้ต้องถูกลืมไปจริงๆ เฉินอวี้ผู้นี้ก็จะไปให้ถึงป่าสีทองด้วยตนเอง
แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เมืองเหอนานนับเดือนแล้วยาขวดเดิมหมดลง แต่ไม่พบยาขวดใหม่มาวางไว้ข้างที่นอน ชายหนุ่มก็ทอดเวลาอีกระยะหนึ่ง สุดท้ายจึงแน่ใจว่า ตนเองถูกตัดขาดแล้วจริง ๆ

รอยร้าวนั้นมีจุดเริ่มต้นจากภายในใจ ลุกลามไปทุกอวัยวะภายออกมาจนถึงผิวหนัง   
เสียงแก้วปริแตกที่ร่วงลงสู่พื้นซึ่งมองไม่เห็นนั้นสะท้อนเข้าสู่แก้วหู บาดลึกเข้าไปภายในสมอง

ในวันหนึ่งหลังจากที่ทำหน้าที่เป็นพระสหายดื่มพระสุธารสยามบ่ายกับฮ่องเต้จางฉวนเสร็จสิ้นลง รองแม่ทัพเฉินอวี้ก็ถอดตราประจำตำแหน่งที่ไหล่ทั้งสองข้างออก วางลงบนโต๊ะแล้วคุกเข่าลง

นี่มิได้อยู่เหนือความคาดหมาย

"เจ้ากับเรามีอะไรหลายอย่างเหมือนกัน โดยเฉพาะการที่จะก้าวไปให้ถึงจุดหมายที่ยืนอยู่เหนือคนที่เคยดูหมิ่น เป็นบุตรภรรยารองแล้วอย่างไร เป็นบุตรคนเล็กแล้วอย่างไร ในเมื่อสุดท้ายแล้วเราคือคนที่ยืนอยู่เหนือทุกคน"
รองแม่ทัพเฉินอวี้ไม่ได้ถวายคำตอบ พระองค์จึงมีรับสั่งต่อ
"ถ้าเราไม่ให้เจ้าไป เจ้าจะฆ่าตัวตายไหม"
ชายหนุ่มตอบตามตรง "ไม่พระเจ้าค่ะ กระหม่อมมีอีกอย่างน้อยสิบวิธีที่จะทำให้ฝ่าบาททรงโปรดให้กระหม่อมไป"
"ทันทีที่เจ้าพ้นจากการคุ้มครองของเรา ศัตรูที่เจ้าบ่มเพาะไว้นานหลายปีเหล่านั้น จะตรงเข้าหาเจ้าในทันที"
นี่คือความจริงเสียยิ่งกว่าจริง รองแม่ทัพเฉินอวี้เดินทางไปทั่วอาณาจักรเพื่อปราบปรามโจรป่า และผู้ที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับฮ่องเต้ มีคนมากมายที่คิดแก้แค้นต่อเขา

ฮ่องเต้หนุ่มยังประทับนั่งอยู่ที่เดิม ทอดพระเนตรคนที่อยู่ผิดที่ผิดทางมาตลอดเวลานานกว่าสิบปีมานี้
ตั้งแต่ที่ทรงพบเจอครั้งแรก ก็คิดว่าเขาไม่สมควรที่จะต้องไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกันกับบรรดานักฆ่า แต่เพราะพระองค์มีความรู้สึกที่สับสน ที่มีเทพเสือโคร่งภูผาเข้ามาเป็นตัวแปร ทำให้ทรงปรารถนาจะเห็นจุดสิ้นสุดความอดทนของคนผู้นี้ แต่ในวันที่เขาคุกเข่าลงเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว พระองค์กลับรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้แพ้ และไม่อยากให้จากไป
"อีกสองวันไปที่ลานประลองทางฝั่งตะวันออกของเมือง หากเจ้าชนะ ข้าจะให้เจ้าไป"

เฉินอวี้ เดินออกมาจากวังหลวงเพียงลำพัง
จากที่เคยได้รับการทำความเคารพจากทหารชั้นผู้น้อย วันนี้ทุกคนล้วนหันหลังให้เมื่อเดินผ่าน
ตอกย้ำความรู้สึกว่าไม่เหลือใคร
แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็ต้องก้าวต่อไป
เก็บเศษชิ้นส่วนของร่างกาย ลมหายใจ ที่ทิ้งไว้ตามรายทางเพื่อเป้าหมายที่ว่างเปล่า กลับมาเป็นตัวตนของเราเอง
ต่อให้เป็นตัวตนที่ไม่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็ยังมีลมหายใจ... 

เฉินอวี้กลับมาที่บ้านพักประจำตำแหน่งรองแม่ทัพ  ซึ่งมีเพียงอากังคนรับใช้ที่ดูแลกันมานานรอคอยอยู่
เช้าวันถัดมาชายหนุ่มตื่นนอนตอนเช้าแล้วมาฝึกดาบจากนั้นก็นอนพัก อ่านหนังสือแล้วออกมาฝึกดาบ หลังจากที่กินอาหารเย็น และอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ชายหนุ่มก็เรียกให้อากังให้เข้ามารับกล่องไม้สามใบ
ใบหนึ่งฝากให้นำไปมอบให้กับเฉินอีจิ้ง พี่รองผู้ชักนำเข้าสู่เส้นทางราชการ
ใบหนึ่งฝากให้นำไปให้กับเฉินกั๋วสง พี่ชายร่วมมารดาซึ่งไม่ได้พบปะกันมานานหลายปี
บอกให้นำไปให้พวกเขาในบ่ายของวันพรุ่งนี้
และอีกใบหนึ่งเป็นของอากัง
"ขอบใจเจ้ามาก หลายปีมานี้ข้าทำให้เจ้าต้องเหน็ดเหนื่อย หลังจากที่มอบกล่องให้กับพี่รองและพี่สี่แล้วก็ขอไปให้ไกลจากเมืองหลวง อยู่ให้ห่างไกลจากการแก่งแย่งเพื่อครอบครองอำนาจ"
"นายน้อยขอรับ" อากังไม่เคยคิดว่าการดูแลนายน้อยผู้นี้จะเป็นความเหน็ดเหนื่อย ต่อให้บรรดาทหารเหล่านั้นจะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
เมื่อสั่งการแล้วก็กลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน

เช้าวันถัดมาเมื่ออากังเข้าไปในห้องนอนของนายน้อยก็ไม่พบแล้ว จึงรีบนำกล่องไม้ไปให้เฉินอีจิ้ง และเฉินกั๋วสงตามที่ได้รับคำสั่งมา จากนั้นก็เดินกลับมาที่บ้านพักประจำตำแหน่งซึ่งเงียบกริบ ไม่คิดจะหลบหนีไปให้ไกลตามที่นายน้อยสั่งไว้ ทั้งยังนั่งลงขวางประตูรอคอยอยู่ครึ่งวันก็ลุกขึ้นถอดถอนหายใจเดินก้มหน้า ลากเท้าออกจากเมืองไป
 
เครื่องแบบทหารและเครื่องหมายประจำตำแหน่งวางอยู่ข้างกาย ชายหนุ่มรูปงามนั่งอยู่บนอัฒจรรย์ด้านหนึ่งเพียงเดียวดาย
บนอัฒจรรย์และในสนามคือผู้ที่คุ้นเคยกันดี ตั้งแต่ อู่ติ้งเกา ซุนไปซื่อ เฉินหรุ่ย และสีจิ้นอันที่สอบเข้ารับราชการพร้อมกัน
เป็นห้าบัณฑิตจากเมืองหลวงเดินทางไปยังกองทัพตะวันตก
กลุ่มนักเรียนองครักษ์ที่เมื่อเรียนจบก็แยกย้ายกันไปรับราชการ แต่วันนี้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
ยังมีหลี่กัง และเฉินฟู่ รุ่นพี่จากโรงเรียนองครักษ์ แม้แต่หม่าหย่งผิง รองแม่ทัพตะวันตกก็อยู่ที่นี่
เฉินอวี้ยกยิ้มมุมปาก ดูท่าฮ่องเต้จางฉวนจะมีพระประสงค์แน่วแน่ที่จะให้เขาต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
แต่ข้อผิดพลาดก็คือ พระองค์ทอดเวลาไว้นานถึงหนึ่งวัน มากเกินพอในการรวบรวมตัวตนกลับคืนมา
เฉินอวี้ยามนี้จึงรอคอยด้วยความเยือกเย็นและแน่วแน่อย่างยิ่ง
ที่พระองค์ไม่มีรับสั่งให้ฆ่าตัวตาย หรือหาเหตุประหารชีวิต น่าจะเป็นเพราะพระองค์ใช้วิธีการนั้นต่อผู้อื่นมาแล้วหลายครั้งจนรู้สึกเบื่อหน่าย มิสู้ให้กลุ่มคนที่เขานับถือเป็นสหาย และเพื่อนร่วมงานกันมานานหลายปี ประลองดาบกับเขาจนล้มตายน่าจะสร้างผลกระทบได้ดีกว่า
หากออมมือให้เขา ย่อมถูกหมายหัวไว้
หากลงมือรุนแรงเด็ดขาดสังหารเฉินอวี้ได้สำเร็จย่อมได้ความชอบ
ที่สำคัญ การต่อสู้กับสหายจนกว่าเขาจะล้มลงไปเองเช่นนี้มันน่าตื่นเต้นและแปลกใหม่จริงๆ
พระองค์ทรงหลงลืมไปว่า ทุกคนในที่นี้คือนักรบที่มีศักดิ์ศรี การต่อสู้ในลักษณะนี้ไม่ได้ทำให้ภาคภูมิใจ ดังนั้นแล้วแม้ว่าที่นี่จะมีคนอยู่จำนวนมาก แต่กลับเงียบสงบจนได้ยินเสียงสายลม
ใกล้ยามเที่ยงฮ่องเต้จางฉวนเสด็จมาถึง และประทับบนพระแท่นสูงทางทิศเหนือของสนาม เฉินอวี้หันไปหยิบเครื่องแบบ แล้วก้าวเดินไปเบื้องหน้าวางเครื่องแบบ และดาบสั้นพระราชทานลงแทบพระบาท
"จะไปจริง ๆ หรือ"
เฉินอวี้ตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าต้องการจากไป
"ต่อให้เหลือเพียงวิญญาณก็ยังคิดจะไปเช่นนั้นหรือ"
ชายหนุ่มถวายคำตอบเช่นเดิม
"หากเอาชนะพวกเขาได้ เราจะให้เจ้าไป"
"ขอบพระทัยที่ทรงเมตตากระหม่อมมานานหลายปี ขอพระองค์มีพระชนมายุหมื่น ๆ ปี"
เฉินอวี้ลุกขึ้นยืนและกล่าวถวายคำตอบที่ทรงถามไว้เมื่อวันก่อน
"ข้าพระองค์ไม่ได้ต้องการจะเป็นที่หนึ่ง ไม่เคยโกรธเกลียดพี่ ๆ ถึงขนาดนั้น ยอมรับว่าเคยรู้สึกน้อยใจ ที่ต้องอยู่ในลำดับสุดท้ายภายในบ้าน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นเปลี่ยนไปตามเวลา เรียนเก่งกว่าทุกคนแล้วอย่างไร เป็นที่หนึ่งแล้วอย่างไร เป็นรองแม่ทัพแล้วอย่างไร จนวันหนึ่งจึงแน่ใจว่าความฝันของข้าพระองค์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ก็แค่อยากมีบ้านสักหลังให้มารดาพักอย่างสุขสบาย เพียงแต่ในวันที่มีบ้าน มารดาก็ไม่อยู่แล้ว จึงไม่รู้ว่าที่พยายามมาตลอดเพื่ออะไร ความฝันเล็ก ๆ นี้ฝ่าบาทคงไม่เข้าพระทัย แต่สำหรับข้าพระองค์แล้วการมีชีวิตในแต่ละวันเพื่อกลับไปกินข้าวกับมารดาคือความสุข ขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเปลี่ยนไป ผู้คนทำความเคารพเราปฏิบัติต่อเราเปลี่ยนไปตามตำแหน่งหน้าที่ของเรา มีแต่บนโต๊ะอาหารในห้องครัวนั้น มีเพียงมารดาคาดหวังให้กระหม่อมกินให้อิ่ม และพักผ่อนให้มาก ไม่ว่าจะเมื่อไหร่สิ่งนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน"
เฉินอวี้คลี่ยิ้มงาม 
แม้ภาพความฝันที่เฉินอวี้เล่าถวายพระองค์จะงดงาม แต่ฮ่องเต้จางฉวนไม่เข้าใจคำกล่าวเหล่านั้น เพราะสำหรับพระองค์แล้วสิ่งที่ต้องการคือราชบัลลังก์ และการอยู่ในราชบัลลังก์ให้ยาวนานที่สุด
ส่วนเรื่องที่ว่าความผาสุกของประชาชน นั่นคือหลักประกันในการอยู่ในราชบัลลังก์ และคือข้ออ้างเพื่อกำจัดศัตรูของพระองค์ต่างหาก 
ดังนั้นแล้ว พระปุจฉาของพระองค์ต่อเฉินอวี้จึงเกี่ยวกับเทพเสือโคร่งภูผาผู้นั้น
ผู้ที่เบื้องหลังความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของเฉินอวี้มานับตั้งแต่ก้าวแรก โดยที่เจ้าตัวไม่เคยรู้
"ไม่ใช่เพื่อ..."
"ก็อย่างที่พระองค์ทรงมีพระดำริ นึกอยากจะมาก็มา อยากจะใช้ให้ไปบุกน้ำลุยไฟก็สั่งมา พอขัดใจก็เรียกคืนทุกอย่างกลับไป ไม่มีอะไรแน่นอนเลยสักอย่าง" ชายหนุ่มค้อมตัวลงอีกครั้ง "กราบทูลลาพระเจ้าค่ะ"

แต่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เขากลับไป
เพราะเฉินอวี้ถวายคืนอาวุธทั้งหมดไปแล้ว จึงเริ่มต้นด้วยการประสานมือต่อผู้ที่ยืนตั้งแถวอยู่ในสนามกีฬา
พวกเขาตั้งแถวเรียงหน้ากระดานแถวละหกคน ฝั่งขวามือของฉินอวี้สามคน และฝั่งซ้ายสามคน  เรียงจากผู้มีตำแหน่งน้อยไล่ขึ้นไปหาผู้ตำแหน่งสูงที่สุด
การประลองในลักษณะนี้เฉินอวี้จะสู้กับผู้ที่มีตำแหน่งน้อยที่สุด ไปหาผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดทีละคน ฝ่ายที่มีจำนวนคนมากกว่ายึดหลักหากถูกคมอาวุธ หรือถูกหมัดในจุดสำคัญจะต้องยอมถอยออกไป ส่วนเฉินอวี้ที่มีเพียงคนเดียวต่อให้ถูกคมอาวุธ หรือถูกหมัดก็ยังสามารถต่อสู่ต่อไปได้ หรือสามารถถอนตัวออกไปได้ทุกเมื่อ

องครักษ์ระดับล่างสุดควงดาบเข้ามาหาเฉินอวี้เป็นคนแรก ชายหนุ่มชิงดาบมาแล้วใช้ด้ามดาบกระแทกกลับไป เมื่อกระทบถูกจุดสำคัญก็จะหยุดแล้วก้าวถอย  เฉินอวี้ก้าวไปช้า ๆด้วยฝีเท้ามั่นคง...
เพื่อไปยังเป้าหมายที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวในเวลานี้ คือไปให้ถึงป่าสีทอง...
เมื่อผ่านด่านนักเรียนองครักษ์รุ่นเดียวกันไปโดยที่ยังไม่มีดาบของผู้ใดสัมผัสถูกเฉินอวี้ ฮ่องเต้จางฉวนก็ประทับยืนขึ้น
มาถึงสหายทั้งสี่ที่เริ่มรับราชการมาพร้อมกัน อู่ติ้งเกาผู้เป็นพี่ใหญ่ตวัดกระบี่สะกิดปลายแขนเสื้อของเฉินอวี้ แต่เฉินอวี้พลิกมือแล้วตรงเข้าหาชกหมัดเข้าที่หน้าผาก แต่หมัดนั้นหยุดอยู่ห่างเพียงเล็กน้อย อู่ติ้งเกาก็ก้าวถอยหลังแล้วประสานมือ

ผ่านมาถึงรองแม่ทัพสองคนผู้คุ้นเคยกันดี และรองแม่ทัพหม่าแห่งกองทัพฝ่ายตะวันตก ผู้กรีดแผลต้นแขนของเฉินอวี้เป็นทางเมื่อการต่อสู้ผ่านมาถึงกระบวนท่าที่สิบ เป็นการต่อสู้ที่ยาวนานที่สุดแล้วของวันนี้
แต่เพราะคู่ต่อสู้มิเคยมีความแค้นอันใดต่อกัน รองแม่ทัพหม่าจึงเลือกที่จะแสดงละครบู๊ฉากหนึ่ง เมื่อกรีดแผลของเฉินอวี้ได้ก็ก้าวถอย และเฉินอวี้เลือกที่จะก้าวต่อไป
ดาบในมือที่ชิงมาจากองครักษ์ระดับล่างมีรอยบิ่นกดลึกจากการที่เฉินอวี้แฝงพลังลงไปในดาบ เพื่อหยุดยั้งการเข่นฆ่าคู่ต่อสู้ แต่แถวที่รออยู่ในเวลานี้คือกลุ่มขององครักษ์ชั้นเอกของฮ่องเต้ การหลีกเลี่ยงที่จะเสียเลือดเนื้อทำได้ยากกว่าเดิม
ชายหนุ่มโยนดาบลงพื้น เกร็งพลังลมปราณ แล้วเปล่งเสียงดังก้องประหนึ่งเสือตัวใหญ่ คุกคามจนองครักษ์ชั้นเอกยังต้องรวบรวมพลังขึ้นมาต้านทาน
ในสายพระเนตรท่าทีเช่นนี้ คือการประกาศตนเอง คือศิษย์ของผู้ใด
พระองค์ทรงรับข้อแลกเปลี่ยนของเทพเสือโคร่งภูผาก็เพราะต้องการสมุนไพรหายากและสิ่งของล้ำค่าจากป่าสีทองที่พระองค์เรียกร้องเป็นค่าดูแลเฉินอวี้ แต่เมื่อจู่ๆ ก็มาขอลาออก โดยที่พระองค์ยังไม่แน่พระทัยเลยว่า หยางหลงเจ้าเมืองลั่วผู้นั้นจะทำหน้าที่จัดหาสิ่งของตามพระประสงค์ได้เหมือนกับเทพเสือโคร่งภูผาหรือไม่ จึงทรงต้องการรั้งเฉินอวี้ไว้
แต่ก็นั่นแหละ หากรั้งไว้มิได้ก็ต้องกำจัดทิ้งไป
ที่ทรงให้ประลองในวันนี้ก็เพื่อให้พระองค์มีข้ออ้างในภายภาคหน้าว่า เฉินอวี้สามารถยุติการประลองได้ตลอดเวลา แต่ก็หาได้หยุดไม่
เขาเจตนาจะฆ่าตัวตาย ก็เพราะความผิดหวังจากเทพเสือโคร่งภูผา หาได้มีอันใดเกี่ยวข้องกับพระองค์สักนิด
แต่เฉินอวี้ก็ยังคงเป็นเฉินอวี้ที่ไม่เด็ดขาดกับสหายและเพื่อนร่วมรบ ใช้พลังลมปราณกดดันฝ่ายตรงข้ามให้ยอมแพ้ไปทีละคน แม้จะถูกคมกระบี่และทวนของคู่ต่อสู้ไปหลายแผล แต่ก็ยังก้าวเดินต่อไปจนถึงคนสุดท้าย
หัวหน้าองครักษ์ชั้นเอกซ่างกวนผู้อยู่ข้างกายพระองค์มานานหลายปี กระแทกฝ่ามือเข้าที่ไหล่ซ้ายของเฉินอวี้เต็มฝ่ามือ ขณะที่ฝ่ามือของเฉินอวี้หยุดเมื่อห่างจากอีกฝ่ายเพียงครึ่งฝ่ามือ พลังภายในเต็มเปี่ยมกระแทกร่างของชายหนุ่มกระเด็นไปไกล
คู่ต่อสู้ของเฉินอวี้ภายในสนามกีฬาต่างอุทานด้วยความตกใจ พลังหมัดสะเทือนฟ้าของสกุลซ่างช่างหนักแน่นสมคำร่ำลือ ชายหนุ่มกระอักเลือดคราหนึ่งแล้วพลิกตัวลุกขึ้นนั่งปาดเลือดจากริมฝีปาก แต่ยังคงยิ้มให้คู่ต่อสู้คนสุดท้ายอย่างอ่อนล้า
"น้องอวี้" หัวหน้าองครักษ์ชั้นเอกซ่างกวนประสานมือขออภัย
เฉินอวี้ลุกขึ้นยืนประสานมือขอบคุณทุกคนที่อยู่ในสนามประลอง
"ขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ออมมือ"
แต่เมื่อเฉินอวี้จะหันมาถวายความเคารพฮ่องเต้เป็นครั้งสุดท้าย พระองค์กลับเรียกไว้ แล้วก้าวพระบาทเข้ามาหา
"อวี้เอ๋อร์" ท่ามกลางผู้คนนับร้อย "ต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะอยู่กับเรา"
ดวงตาคู่งามของเฉินอวี้ที่จ้องมองมาแม้จะงดงามแต่ปราศจากความรู้สึกใด ๆ แต่เมื่อพระองค์ทรงรวบกอดไว้นั่นกลับทำให้เฉินอวี้ตกใจแล้วจริง ๆ
"ฝ่าบาท ขออภัย"
"อวี้เอ๋อร์ อย่าไป"
เฉินอวี้แตะพระขนองเบา ๆ แล้วผละออก จากนั้นก็คุกเข่าลงเพื่อถวายความเคารพอีกครั้ง แล้วหันหลังให้แล้วเดินจากไป

...ฮ่องเต้ตัวแสบ กล่าวแต่คำโกหกจนถึงประโยคสุดท้ายที่กล่าวออกมา ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ ทั้งยังลอบวางยาพิษข้า สมควรแล้วที่เทพเสือโคร่งภูผาไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วย...

เฉินอวี้ออกมาถึงด้านหน้าของลานประลองก็พบกลุ่มนักฆ่าของฝ่ายที่เคยไปปราบปรามมาดักรอ แต่กลับรั้งรอมิกล้าลงมือ เนื่องจากเฉินอวี้ขึ้นม้าที่ด้านหน้าลานประลองแล้วออกเดินทางไปนอกเมือง โดยหาได้แสดงอาการบอบช้ำดั่งที่คาดคิดไว้ ก็ทำให้เกิดความสงสัย
ในลานประลองมียอดฝีมือนับร้อยคน ต่อให้ยึดหลักการประลองของทหาร แต่คนที่ออกมาจากลานประลองได้ หากไม่บาดเจ็บสาหัสก็คือเป็นศพออกมา
เฉินอวี้ดูบาดเจ็บก็จริง แต่มิได้มากมากมายนัก ยังสามารถเดินทางออกไปตามลำพัง
ฮ่องเต้นั่นเจ้าเล่ห์ หรือนี่จะเป็นกลอุบายให้พวกมันปรากฏตัวลงมือแล้วฉวยโอกาสตลบหลังสังหารจนสิ้น
เมื่อเดินทางออกมาถึงนอกเมือง เฉินอวี้เข้าพักในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่มีขบวนพ่อค้าจากต่างเมืองแวะพักม้า แล้วออกเดินทางต่อไป
บรรดานักฆ่าที่เฝ้าจับตามองย่อมสงสัยขบวนพ่อค้ากลุ่มนี้ แต่ก็ไม่เห็นว่าบรรดาคนงานที่แวะดื่มกินจะมีอะไรผิดปกติ ไม่มีใครเดินเข้าไปในตึกที่เป็นห้องพักแขก และไม่เห็นว่าเฉินอวี้ออกมา
เพียงแต่ตอนที่ขบวนพ่อค้าเดินทางออกไป เฉินอวี้ก็หายไปด้วย

กลุ่มนักฆ่าห้าคนได้รับสัญญาณให้ขัดขวางขบวนพ่อค้าต่างเมืองที่กำลังเดินทางขึ้นเหนือ
หยางเฉิงเลิกคิ้วสูงเมื่อกลุ่มนักฆ่าที่ขวางทางอยู่แจ้งว่าต้องการตรวจค้นเพื่อหาคน
"ให้ตรวจค้นก็ได้ แต่สกุลหยางเมืองลั่วมีข้อปฏิบัติสำหรับการตรวจค้นอยู่ ไม่ทราบว่าพวกท่านทราบหรือไม่"
พวกมันเป็นนักฆ่าทำงานให้กับผู้มีอิทธิพลที่ถูกปราบปราม ที่ติดตามมาก็เพื่อหวังล้างแค้น
แต่ในบรรดาแวดวงของจอมยุทธ์และนักสู้ทั้งหลายล้วนรู้กัน คนเมืองลั่วทั่วไปจะเป็นคนมีนิสัยแปลก ๆ แต่หยางเฉิงคนนี้จะมีความแปลกแบบน่าเกรงขามอยู่มาก หากทำตามกฎที่หยางเฉิงกำหนดทุกอย่างราบรื่น แต่หากขัดขืนนรกจะมารออยู่ข้างหน้า
"เรื่องนั้นก็ทราบอยู่" คนที่มีพลังยุทธ์เข้มแข็งที่สุดในกลุ่มก้าวออกมาด้านหน้า "เราจะตรวจค้นโดยไม่ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย"
เพราะหากเสียหายจะต้องชดใช้คืนมากกว่าห้าเท่าของราคาสินค้าที่เสียหาย หากบิดพริ้วไม่ยอมจ่ายคืนหยางเฉิงผู้นี้จะตามล่าเพื่อเอาเงินคืนมาจนได้
มากกว่าเงินที่เสียไปคือความรู้สึกเสียหน้า ถูกผู้คนล้อเลียนที่ถูกเจ้าของสำนักคุ้มกันภัยผู้หนึ่งไล่ล่าแบบไม่ลดละ
นอกจากนี้พวกตนยังเป็นนักฆ่า หาใช่โจรป่า การรักษาชื่อเสียงไว้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น หากจะมีหนทางเลี่ยงได้ก็สมควรทำ
"ขออภัยท่านเจ้าสำนักหยาง"
หยางเฉิงพยักหน้า ก้าวถอยมาหนึ่งก้าวให้บรรดานักฆ่าเหล่านั้นตรวจค้น
หีบของที่อยู่ในรถม้าห้าคันล้วนมีขนาดกลาง ไม่ได้ใหญ่พอที่จะซุกซ่อนคน หลังจากที่เดินอยู่ครู่ใหญ่โดยที่ไม่ได้สร้างความเสียหายอย่างที่ให้คำมั่นไว้ ทั้งหมดก็ประสานมือเพื่อขออภัยอีกครา
หยางเฉิงพยักหน้าไม่ถือสา จากนั้นก็ขึ้นม้าออกเดินทางต่อไป

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-07-2018 18:49:44
(ต่อ)

ส่วนที่โรงเก็บฟืนด้านหลังของบ้านพักคนสกุลหยางแห่งเมืองลั่ว หยางติงกับหยางเจิ้นขุย สองปู่หลานกำลังช่วยกันตรวจอาการของเฉินอวี้
"ท่านแม่เล็กถูกพิษแน่ ๆ ขอรับท่านปู่ แล้วก็ไม่ใช่พิษชนิดเดียวด้วย" หยางเจิ้นขุยพลิกตำราในมือ เพื่อหาทางรักษาอาการของเฉินอวี้ในระหว่างที่รอเทพเสือโคร่งภูผา

ในกล่องไม้สองใบที่เฉินอวี้ฝากอากังไปมอบให้กับพี่รองเฉินอีจิ้งนั้น มีคำขอให้ช่วยเหลืออยู่ นั่นคือขอให้อากังเดินทางไปทางตะวันตกสักสามวัน จากนั้นจะเดินทางท่องเที่ยวต่อไปยังที่ใดก็ตามแต่ใจ
แต่ในกล่องที่ฝากไปมอบให้กับพี่รองกลับระบุว่า ให้ช่วยติดต่อกับบ้านสกุลหยางเมืองลั่วเรื่องการให้ความช่วยเหลือ โดยนัดหมายไว้ที่โรงเตี๊ยมนอกเมือง เพียงแต่เมื่อเฉินอวี้เข้าพักในโรงเตี๊ยมก็หมดสติไป การที่หยางเฉิงจะพาคนออกมาจึงต้องมีการเปลี่ยนแผน
จากนั้น หยางติง กับหยางหลง ก็มาช่วยกันดูแลคนเจ็บ ปล่อยให้หยางลี่ที่อยู่ในเมืองหลวงมานับตั้งแต่หยางติงเป็นเจ้าเมืองมาจนถึงวันนี้ ออกไปรับหน้าคนที่มาสอดแนมความเคลื่อนไหวของคนบ้านสกุลหยางเมืองลั่ว 
เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่คนสกุลหยางในเมืองหลวงกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง

ขบวนขนส่งสินค้าของหยางเฉิงต้องเดินทางช้า ๆ และใช้ความระมัดระวัง แต่ม้าเร็วที่ส่งหนังสือมาถึงเจ้าเมืองลั่วคนปัจจุบันใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนก็มาถึง
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วเมื่อเห็นจดหมายก็เร่งมาที่ป่าสีทองด้วยตนเอง
"ท่านแม่เล็กลาออกจากทุกตำแหน่งแล้ว พระองค์จึงให้ประลองกับบรรดาราชองครักษ์นับร้อยคน เขาต้องบาดเจ็บแน่" นานครั้งเจ้าเมืองลั่วผู้นี้จะมีอาการร้อนใจ เพราะรู้ว่าฮ่องเต้พระองค์นี้ร้ายกาจเพียงใด แต่เทพเสือโคร่งภูผาที่กำลังพลิกดูตำรายาในมือก็ยังดูไม่สนใจ
"ท่านเทพเสือโคร่งขอรับ ได้โปรดไปดูท่านแม่เล็กด้วยเถิด"
แต่ไหนแต่ไรมาหยางหลงไม่เคยกล้าเรียกอีกฝ่ายว่าท่านพ่อตา แต่กลับเรียกเฉินอวี้ว่าแม่เล็ก ทำให้ประโยคที่แสดงให้เห็นถึงความร้อนใจ กลับเป็นเรื่องขำขันในความรู้สึกของลู่กวางทอง แต่เมื่อเจ้าตัวหลุดหัวเราะคิกออกมาในครานี้ กลับถูกบิดาหันมาค้อนให้คราหนึ่ง
ลู่กวางทองรีบคว้าโอกาสนั้นไว้ในทันที "ไม่พอใจที่ข้าหัวเราะ ก็เพราะยังเป็นห่วงแม่เล็กอยู่มิใช่หรือ ห่วงแล้วทำไมไม่ไปดูแล"
เพราะเป็นเจ้ากวางทอง เทพเสือโคร่งภูผาจึงกล่าวตอบ
"เขาเก่งกล้าสามารถขนาดนั้น ไม่จำต้องให้ผู้ใดไปช่วยเหลือ"
"หากแม่เล็กจัดการเองได้ เขาจะฝากหนังสือไว้กับพี่รองของเขา และคนรับใช้ที่ชื่ออากังทำไม" ลูกชายโต้เถียง "ในหนังสือยังบอกชัดเจนว่าแต่ละคนต้องทำอะไรบ้าง นั่นยิ่งบ่งชี้ว่าเขากังวล ว่าจะทำให้คนที่รู้เรื่องต้องเดือดร้อน" เจตนาเน้นคำพูด เพิ่มน้ำหนักในถ้อยคำ "ท่านรองหยางเฉิงต้องพบเจอกับอะไรบ้างระหว่างที่มานี่ แล้วที่บ้านสกุลหยางในเมืองหลวงที่รับแม่เล็กไปซ่อนตัวไว้อีก ที่นั่นยังมีท่านพ่อ ท่านอา แล้วก็ขุยเอ๋อร์...."
เทพเสือโคร่งภูผาสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นก็ผุดลุกยืนตัวตรง หันมาหาบุตรชาย ใช้นิ้วชี้จิ้มผากหน้าผากสวยโดยที่มิได้กล่าวอะไร จากนั้นก็ออกไปจากถ้ำยา
กวางไพลินหันมาชื่นชมน้องเล็กที่กล่าวเพียงไม่กี่คำบิดาก็รีบออกเดินทาง
"ว่าแต่ท่านพ่อโกรธแม่เล็กด้วยเรื่องอะไร" ลู่หันมาถามหยางหลงที่รีบหันไปมองทางอื่น "นี่จะไม่บอกกันจริง ๆใช่ไหม"
"เอาไว้ถามท่านพ่อในตอนที่พวกท่านกลับมาดีกว่า"
ดวงตาสีทองมองสามี แล้วหันไปมองพี่สาว
"เบื่อจริง เวลาที่ต้องเป็นผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวอันใด"
"ข้ารู้เรื่องเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ หากบอกออกไปอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ รอผู้ที่อยู่ในเรื่องราวมาบอกน่าจะดีกว่า"
"เศษเสี้ยวเล็ก ๆ ท่านน่ะนะเจ้าเมืองลั่ว" ลู่กวางทองกำลังกลายเป็นกวางช่างประชดประชันตัวหนึ่ง "ชริ!"

ในตอนที่เทพเสือโคร่งภูผาเดินทางมาถึง มีเพียงหยางเจิ้นขุยที่ดูแลเฉินอวี้ในห้องเก็บของด้านหลังของบ้านสกุลหยางแห่งเมืองลั่ว
เด็กหนุ่มที่ดูอ่อนล้า ดวงตาแดงก่ำจากการอดนอน บอกเล่าอาการของเฉินอวี้เป็นลำดับแรก จากนั้นจึงบอกว่าในรอบหลายวันมานี้มีคนพยายามจะบุกเข้ามาค้นหาเฉินอวี้เป็นระยะ มีทั้งที่เข้ามาทางหน้าบ้าน และที่พยายามจะข้ามรั้วเข้ามา
เทพเสือโคร่งภูผาหันมาจับศีรษะของเด็กหนุ่มเบา ๆ "ขอบใจมาก แต่ข้าขอผ้าผืนใหญ่สักผืน"
เด็กหนุ่มพยักหน้าเร็ว ๆวิ่งหายไปครู่หนึ่งก็นำผ้าผืนใหญ่มาส่งให้
เทพเสือโคร่งภูผาใช้ผ้าผืนใหญ่ห่อตัวเฉินอวี้ไว้ ขณะที่ปากก็สั่งงานไว้กับหยางเจิ้นขุย จากนั้นก็โอบอุ้มคนออกไปจากโรงเก็บของ หายไปท่ามกลางความมืดในเวลากลางคืน

อารามสันติตั้งอยู่นอกเมืองหลวง มีชื่อในเรื่องคำสั่งสอนทางศาสนาไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก และยิ่งไม่ต้อนรับผู้มีวิทยายุทธ์ ที่ผ่านมาจึงค่อนข้างเงียบสงบ ทั้งวัดมีพระและศิษย์วัดอยู่ไม่ถึงยี่สิบคน แต่เวลานี้ที่ หอยาของวัดสันติมีแสงไฟลอดผ่าน เจ้าอาวาสกับรองเจ้าอาวาสพากันวุ่นวายต้มน้ำร้อนปริมาณมาก เวลาผ่านไปข้ามวันข้ามคืนความเร่งรีบนั้นจึงผ่อนคลายลง พระทุกรูปกลับไปพักผ่อน ความสงบกลับมาเยือนวัดสันติอีกครั้ง

ในเวลากลางดึก ฮ่องเต้จางฉวนทรงเข้าบรรทมแล้ว แต่เมื่อมีเงาร่างสูงใหญ่ปรากฎขึ้นในห้องก็ทรงผุดลุกขึ้น
"ข้าเตือนเจ้าแล้ว ว่าอย่าได้แตะต้องอวี้เอ๋อร์"
"ท่านกล่าวคำนั้นตอนที่เขายังเป็นของเล่นชิ้นโปรดของท่านอยู่ แต่ในเมื่อท่านทิ้งของเล่นชิ้นนั้นไปแล้ว ทำไมเราจะต้องทนุถนอมไว้" สายพระเนตรที่มองมาหรี่แคบลง เทพเสือโคร่งภูผาไม่พอใจ พระองค์เองก็กริ้วมากเช่นกัน ไม่มีใครที่กล้ากล่าวคำเช่นนี้กับพระองค์มาก่อน "ท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะมากล่าวคำตำหนิเรา ในเมื่อคนที่ผลักดันให้เราและเฉินอวี้มาถึงจุดนี้ก็คือท่านเอง"
"ว่ามา! ข้าทำอะไร"
"ท่านให้เราดูแลเขา แลกกับการที่จัดหาสมุนไพรหายากให้กับเรามานานหลายปี เราก็ทำตามข้อตกลงนั้น แต่เมื่อวันหนึ่งท่านละทิ้งเขา เขาหมดกำลังใจจนไม่สามารถทำงานให้กับเราได้อีกต่อไปก็มาลาออก แต่ข้าคือฮ่องเต้แห่งไท่ชาง ใครคิดจะมาก็มา จะไปก็ไปได้โดยง่ายเช่นนั้นหรือ เขารู้ความลับของเรามากมาย ข้างนอกนั่นก็มีคนที่รอล้างแค้นอยู่ ใครจะไปคาดเดาได้ว่าคนพวกนั้นคิดจะทำอะไร เราก็ต้องตัดไฟก่อนที่จะลุกลามกลับมาหาเรา"

ถึงเทพเสือโคร่งภูผายอมรับว่ารับสั่งของฮ่องเต้มีส่วนที่ถูกต้อง แต่ก็แค่บางส่วนเท่านั้น!

"ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้ากดดันให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการจะทำ"
"เฉินอวี้มีความสามารถ แต่เพราะเขาเป็นบุตรคนเล็กของภรรยารอง เขาก็ต้องแสดงผลงานให้ทุกคนยอมรับ ต้องทำงานหนักกว่าทุกคน เราถึงจะสามารถมอบตำแหน่งสำคัญให้เขาได้ อีกอย่าง เวลาที่เราส่งเขาไปทำงาน เจ้าก็มิได้เคยห้าม เราจึงถือว่านั่นคือความเห็นชอบ" พระองค์จะต้องไม่พ่ายแพ้ต่อเทพเสือโคร่งผู้นี้เป็นอันขาด "เจ้าคือคนที่ผลักดันเขาให้เดินไปตามทางที่เจ้าสร้างไว้ เราต่างหากคือคนที่ต้องมารับหน้าที่เก็บกวาดของเล่นที่เจ้าทิ้งขว้างไปแล้ว"

แทนที่การรับสั่งย้ำคำนี้จะทำให้เทพเสือโคร่งรู้สึกว่าตนเองต้องรับผิดต่อเรื่องราวทั้งหมด แต่กลับทำให้เขารู้สึกโกรธ

"เพราะเจ้ามีเจ้าเมืองลั่วเป็นอีกทางเลือกในการจัดหาสิ่งที่เจ้าต้องการ ขณะที่ข้าหายไปนาน เจ้าจึงต้องการทดสอบว่าข้าทอดทิ้งเขาไปแล้วจริงหรือไม่ จากนั้นก็กำจัดเขาเมื่อเขาหมดประโยชน์" เมื่อเทพเสือโคร่งภูผาหงายฝ่ามือลูกไฟสีเหลืองเจิดจ้าปรากฎขึ้น "จะบอกให้ว่า ข้าไม่เคยลืม การที่ไม่ได้พบกันไม่ได้แปลว่าข้าทอดทิ้ง แต่ข้าก็มีวิธีการของข้าเองที่จะสนับสนุนเขาให้เขาแข็งแกร่งขึ้นด้วยวิธีการที่ข้าเห็นว่าเหมาะสม แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ข้าบอกให้เจ้าดูแลเขา ดังนั้น..." มือใหญ่สะบัดลูกไฟนั้นใส่ฮ่องเต้ "สิ่งที่เจ้าทำจึงถือว่าทำผิดหน้าที่"
ประกายไฟสีเหลืองปกคลุมทั่วร่างของฮ่องเต้แล้วแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ไม่ได้ทำให้รู้สึกแสบร้อน แต่กลับเป็นการจารึกทุกถ้อยคำของเทพเสือโคร่งภูผาทุกคำลงในร่างของฮ่องเต้จางฉวน

"ที่ข้ายอมแลกเปลี่ยนกับเจ้า หมายความว่าข้ายอมลดตัวลงมาเท่ากับเจ้า ทั้งที่มันไม่จำเป็นเลยสักนิด แต่เมื่อเจ้ายังไม่ประมาณตน กล้าท้าทายกับข้า ก็จงทรมานอยู่กับโรคที่รักษาไม่หายนี้ แต่..." ดวงตาสีเหลืองของเสือโคร่งเป็นประกาย "เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าระรานคนจากเมืองลั่ว แสวงหาผลประโยชน์จากป่าสีทอง โรคนี้จะทำให้เจ้าทรมาน ต้องมีลมหายใจทั้งที่เจ็บปวดจนอยากตาย และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องตายเจ้าจะอยู่ในสภาพอเน็จอนาถยิ่งนัก เมื่อรวมกับสิ่งที่เจ้าทำมาตลอด พวกเขาจะบันทึกว่าเจ้าเป็นทรราชย์ที่เลวทรามต่ำช้าถึงได้มีจุดจบเช่นนั้น"

....จบบทที่สามสิบเอ็ด...
ตอนหน้าจบพ่อเสือละนะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P32(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 09-07-2018 20:47:49
หุยยยยย  โดนซะมั่ง
ฮ่องเต้ตัวแสบ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P32(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-07-2018 21:07:50
ฮ่องเต้ คิดว่าตัวเองแน่มาจากไหน
แค่ให้ต่อสู้กับเพื่อน มีนักฆ่ามาตามเก็บ ยังไม่พอ ยังวางยาพิษอีก สมควรโดนลงโทษเยอะๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P32(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 09-07-2018 23:50:45
อ่านตอนแรกก็สงสารอวี้เอ๋อร์  :sad4:
ตอนกลางๆ ก็แอบขำน้องลู่กวางทอง...แซะท่านพ่อเก่งจริง  :m20:
ตอนท้าย...สมน้ำหน้าฮ่องเต้ตัวแสบ บังอาจมาแตะสุดที่รักของท่านเทพเสือโคร่ง  :z6:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P32(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 11-07-2018 13:56:42

"นายน้อยขอรับ" อากังไม่เคยคิดว่าการดูแลนายน้อยผู้นี้จะเป็นความเหน็ดเหนื่อย ต่อให้บรรดาทหารเหล่านั้นจะดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
เมื่อสั่งการแล้วก็กลับเข้าห้องเพื่อพักผ่อน
เช้าวันถัดมาเมื่ออากังเข้าไปในห้องนอนของนายน้อยก็ไม่พบแล้ว จึงรีบนำกล่องไม้ไปให้เฉินอีจิ้ง และเฉินกั๋วสงตามที่ได้รับคำสั่งมา จากนั้นก็เดินกลับมาที่บ้านพักประจำตำแหน่งซึ่งเงียบกริบ ไม่คิดจะหลบหนีไปให้ไกลตามที่นายน้อยสั่งไว้ ทั้งยังนั่งลงขวางประตูรอคอยอยู่ครึ่งวันก็ลุกขึ้นถอดถอนหายใจเดินก้มหน้า ลากเท้าออกจากเมืองไป

(มีต่อ)

เรานั่งร้องให้กับความซื่อสัตย์ของอากังตอนนี้มากเลย มันจับใจที่สุด  :monkeysad:  :monkeysad:


และอินตอนท้ายๆอีกนะที่อิตาฮ่องเต้พูดนั่นเราว่าถูก พ่อเสือก็เป็นคนหนึ่งที่ผลักดันให้อวี้เอ๋อร์เดินทางมาสายนี้
โดยอิตาฮ่องเต้เป็นคนเดินหมากและพ่อเสือเป็นผู้กำหนด ดังนั้นที่โกรธอิตาฮ่องเต้และลงโทษก็ต้องโทษพ่อด้วยนะ คืออ่านแล้วมันอิน :hao5:

ทำไม ตอนนี้เราร้องให้เย๊อะจัง  :mew2:  :mew2:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 14-07-2018 00:21:19
สงสารแม่เล็ก ทำไมพ่อเสือถึงไม่สนใจแม่เล็กล่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 15-07-2018 08:17:06
มาตามพ่อเสือ และแม่เล็กค่า
คิดถึงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: pubpibs ที่ 15-07-2018 08:40:49
 o13
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 15-07-2018 09:04:12
ตกลงพ่อเสือนี่ตัวร้ายชิมิ  :z3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 15-07-2018 09:29:40
พ่อเสืออออร้ายอ่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: kail ที่ 15-07-2018 10:29:14
มารอออออออออ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 15-07-2018 11:22:55
มาดัน   :mew4: :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 15-07-2018 14:10:01
สมน้ำหน้า อีตาฮ่องเต้  จะเทียบชั้นพ่อเสือ

เรามารออยู่นะ  มาเหอะ เราคิดถึง

 :music:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: kanatthanit ที่ 15-07-2018 15:35:23
อึบ ๆ ๆ ๆ :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: Ornon ที่ 15-07-2018 17:39:14
 :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 15-07-2018 18:10:31
 :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: windy49 ที่ 15-07-2018 18:41:30
ดันค่ะ ยังไม่ว่างอ่านเลย :mew2: เดี๋ยวว่างจะมาตามอ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 16-07-2018 09:41:18



มาแล้ววววว มารอตอนต่อไปอยากอ่านมากแน้วววววว  :mew1:




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 16-07-2018 16:20:26
มายัง  มารออยู่นะ  มาเหอะ

 :m5: :m5: :m5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 16-07-2018 16:26:02
อ่านไปอ่านมา ก็รู้สึกว่าตัวเองไบโพล่าร์ใช้ได้
 :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 17-07-2018 16:22:15
แวะมาดู ยังไม่มา เราจากไป

 :duck1::duck1::duck1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-07-2018 18:35:05
ฮ่องเต้ ตัวแสบร้าย  สับปรับ ทรราช
เป็นฮ่องเต้เพื่อประโยชนฺของตัวเองเท่านั้น
ไม่ใช่เพื่อประชาชนเลยสักนิด
สมแล้วที่เป็นโรคที่รักษาไม่หาย   :fire:

แต่พ่อเสือก็มีส่วนผิด   :mew2:
โกรธที่เฉินอวี้ปฏิบัติตามคำสั่งฮ่องเต้  มันถูกหรือ   :z6:
โกรธฮ่องเต้คนสั่งสิ ไปลงกับฮ่องเต้คนเดียวเลย   :angry2:
       
เฉินอวี้ ไม่น่าไปหาพ่อเสือเลย ทอดทิ้งเฉินอวี้ชัดๆ งอนเลย 
ปล่อยให้ฮ่องเต้ทำร้ายเฉินอวี้ ก็รู้ว่าอีตาฮ่องเต้มันร้ายแท้ๆ
      :L1: :L1: :L1:
:pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: rainy_naka ที่ 18-07-2018 21:52:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 18-07-2018 23:48:25
อีกนิดๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 19-07-2018 16:21:34
เรามารอแล้วนะ  มาเหอะ เราคิดถึง

 :a11: :a11: :a11:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 20-07-2018 19:49:40
ใกล้จะทันละ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-07-2018 09:15:41
 :m22: :m22: :m22: :m22: :m22:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: treenature ที่ 21-07-2018 17:58:17
สนุกมากค่ะ อ่านไปก็สงสารไป ตอนท้าย รู้สึกสะใจที่ฮ่องเต้โดนแบบนั้น หลุดขำตรง “ชริ” ด้วยค่ะ 5555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 21-07-2018 21:58:31
มาเถอะนะ  เราคิดถึง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 21-07-2018 22:04:38
ร้องเพลงรอ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-07-2018 22:41:36
พ่อเสือมาได้แล้วจ้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่31 P33(090761)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 21-07-2018 23:06:18
แหม..ฮ่องเต้
หัวข้อ: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 22-07-2018 06:53:32
ตอนเทพเสือโคร่งภูผา

บทที่สามสิบสอง


วันเวลาในป่าสีทองยังคงผ่านไปเรื่อยเหมือนสายลมเย็นที่สัมผัสใบหน้า เฉินอวี้เอนตัวนอนอยู่กลางลานหญ้าล้อจันทร์สีเหลืองนวล ดวงตาสีอ่อนมองปุยเมฆที่ลอยผ่านไป ไม่รับรู้แล้วว่าวันนี้คือวันที่เท่าไหร่ ปีอะไร
ก่อนหน้านี้เวลาที่เข้ามาในป่าสีทอง เฉินอวี้จะต้องคอยนับวันเพื่อที่จะกลับออกไปปฏิบัติหน้าที่รับใช้ฮ่องเต้
แต่ในครานี้ เฉินอวี้หมดสติไปนับตั้งแต่เข้าพักที่โรงเตี๊ยม จากนั้นก็รู้สึกตัวเมื่ออยู่ในห้องเก็บของหลังบ้านสกุลหยาง รับรู้ว่าหยางเจิ้นขุยคอยเฝ้าดูแลอยู่ด้วยความกังวล แล้วก็หลับไหลจนมาตื่นอีกทีในถ้ำยาของเทพเสือโคร่งภูผาในป่าสีทอง 
ถ้อยคำแรกที่เทพเสือโคร่งภูผากล่าวก็คือ
"ข้าทำลายวรยุทธ์ของเจ้าจนเหลือเพียงสามส่วน เพื่อไม่ให้เจ้าต้องไปฆ่าใครอีก"
เฉินอวี้พยักหน้ายอมรับอย่างง่ายดาย จนอีกฝ่ายประหลาดใจ
"ไม่คิดเสียดายเลยหรือ"
"ไม่" เฉินอวี้ตอบตามตรงทั้งมีรอยยิ้มเจือจางอยู่ในแววตา
การถูกพิษรุนแรงแล้วพลังยุทธ์จะหายไปเป็นเรื่องปกติ และยิ่งเป็นพิษของฮ่องเต้ด้วยแล้ว เขาน่าจะเหลือเพียงลมหายเท่านั้น
ดังนั้นการที่เทพเสือโคร่งภูผากล่าวคำว่าทำลาย แท้จริงน่าจะหมายถึงการกู้คืนมาต่างหาก
"ขอบคุณมาก"
รู้จักกันมานานจนรู้ว่า เทพเสือโคร่งภูผาไม่ชอบคนรู้ทัน เพราะทุกครั้งที่เฉินอวี้กล่าวคำที่บ่งบอกว่ารู้ทันความคิดก็มักจะนำไปสู่ความขัดแย้งกันอยู่เสมอ แต่ครานี้เทพเสือโคร่งมีสีหน้าลำบากใจอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงเปิดปากยอมรับอย่างเจ็บปวด
"ที่ผ่านมา ข้าคิดว่าข้ารู้ใจเจ้า จนกระทั่งผลักดันเจ้าไปถึงปากเหวถึงได้รู้ว่าข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเจ้าเลย" ดวงตาสีเหลืองของเสือโคร่งสะท้อนภาพของเฉินอวี้ "ข้ายอมรับผิดที่ทำร้ายความรู้สึกของเจ้า แต่ก็ยังไม่หายโกรธที่เจ้าลงมือฆ่าคนบริสุทธิ์มากมาย"
เฉินอวี้หลับตาลง "ข้าก็โกรธตนเองเช่นกัน"
"อวี้เอ๋อร์"
"แม้จะเป็นรับสั่ง แต่ก็ใช่ว่าข้าจะไม่เคยหลีกเลี่ยง เพียงแต่ในตอนนั้นข้ารู้สึกแย่มาก จนคิดไปว่า หากข้าทำเรื่องเลวร้ายอย่างถึงที่สุด ท่านพี่จะ...สังหารข้าไหม" ภาพของผู้คนที่ล้มตายแทบเท้ายังติดตาไม่จางหายไป
มือใหญ่แตะที่หน้าผาก กระแสลมปราณที่ให้ความอบอุ่นไหลเข้ามาหาและไหลซึมไปทั่วร่างกาย
"เห็นแก่ศักดิ์ศรีที่เหลือเพียงน้อยนิดของข้า ได้โปรดเก็บพลังชีวิตนี้ไว้เพื่อรักษากวางทองและปกป้องป่าสีทอง"
"ที่นี่คือป่าสีทอง เจ้าต้องฟังคำของข้า คล้อยตามสิ่งที่ข้าทำ อาการดีขึ้นเมื่อไหร่ พวกเราค่อยมาทำความตกลงกันใหม่"
เฉินอวี้ลืมตาขึ้นมองอีกคนในทันที "ตกลงอันใด"
"ก็บอกว่าให้อาการดีขึ้นก่อนไง"
"แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร ว่าข้าสมควร...สมควร..."
น้ำเสียงที่สั่นเครือทำให้เทพเสือโคร่งภูผาตีที่หน้าผากเบาๆ "ก็บอกว่าให้ฟังคำของข้า ห้ามคิด ห้ามเถียงด้วยเข้าใจหรือไม่"
เมื่อหลับตาลงหยดน้ำตาก็ไหลผ่านขมับทั้งสองข้าง
"อวี้เอ๋อร์ ที่ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าคิด ก็เพราะสิ่งที่เจ้าคิดมีแต่การทำร้ายตนเอง ข้ารู้ว่าข้ากำลังบังคับเจ้าอีกครา แต่ข้าเชื่อว่าครานี้ข้ามีเหตุผลที่ดีที่จะบังคับ ดังนั้นจงเชื่อฟังข้า"

ในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ผิดพลาดที่สุดก็คือการฝากคนผู้นี้ไว้กับเจ้าฮ่องเต้นั่น

เทพกวางสายฟ้าแวะมาดูอาการของเฉินอวี้ด้วยความเป็นกังวล แต่ผู้ที่ถูกตักเตือนอยู่หลายคราก็ยังคงเป็นเทพเสือโคร่งภูผา
"เขาเป็นมนุษย์ หาใช่เสือโคร่ง และยิ่งมิใช่กวาง เจ้าสมควรฟังและทำความเข้าใจตัวตนของเขาบ้าง"
ปกติเทพเสือโคร่งภูผาก็ไม่ค่อยจะกล้าโต้แย้งเทพกวางสายฟ้าอยู่แล้ว เมื่อถูกอีกฝ่ายกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแบบสหายที่รู้จักกันดีก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับ
"เห็นว่าพูดกับอวี้เอ๋อร์อยู่หลายคราจนนับครั้งไม่ถ้วน ว่าจะฟังเขา ไม่ตัดสินใจแทนเขา แต่สุดท้ายก็ยังทำเช่นเดิม"
เทพกวางสายฟ้าผู้สง่างามส่ายหน้าเหนื่อยใจ ด้วยทั้งป่าสีทองแห่งนี้ เห็นจะมีเพียงลูกวางทองผู้เป็นบุตรเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่เทพเสือโคร่งภูผาพอจะยอมรับฟัง
นิสัยดื้อรั้น และคิดแทนผู้อื่นนี้ติดตัวมานานเกินไปจนยากที่จะแก้ไข
อวี้เอ๋อร์เองก็คงรู้นิสัยของเทพเสือโคร่งเป็นอย่างดี และคล้อยตามอีกฝ่ายมาตลอด จนกระทั่งถูกหันหลังให้จึงตัดสินใจทำร้ายตนเองเช่นนี้

หลายวันให้หลังขณะที่เฉินอวี้นอนมองท้องฟ้าอยู่ที่ลานหญ้าใกล้กับถ้ำยา เทพเสือโคร่งภูผาปรากฎกายขึ้น คนที่กำลังนอนมองท้องฟ้า รับรู้ถึงความสั่นไหวของดินและแรงกดดันของมวลอากาศจึงหันมามองแล้วลุกขึ้นนั่ง
"ไม่ต้องลุกขึ้นมาหรอก นอนไปเถิด" เทพเสือโคร่งภูผากล่าวแล้วนั่งลงข้างๆ ให้เฉินอวี้ขยับมานอนตัก มือใหญ่ลูบหน้าผากเบาๆ "เจ้าดีขึ้นมากแล้ว"
"ใช่" ชายหนุ่มกล่าวพลางจับมือใหญ่นั้นมากอดไว้
นอกจากจะมีอาการดีขึ้นแล้ว ยังเหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่ง
"ท่านบอกไว้ว่ามีเรื่องที่จะต้องทำความตกลงกัน"
เทพเสือโคร่งภูผาก้มลงมองคนที่นอนอยู่ "ก็ไม่มากมายอะไร แค่ระลึกไว้เสมอว่าเจ้าเป็นคนของข้า"
ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นนั่ง 
ว่าที่จริงชายหนุ่มไม่คิดจะบอกเล่าเรื่องที่อยู่ในใจ เพราะทุกอย่างล้วนล่วงเลยไปแล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายเริ่มต้นด้วยเรื่องนี้ ก็มีแต่จะบอกเล่าออกไป
"เรื่องที่เราทะเลาะกันบ่อยที่สุดคือเรื่องอันใด"
"ลำดับชั้นทางสังคมของมนุษย์"
เฉินอวี้พยักหน้า "สิ่งที่อยู่ในใจของข้ามาตั้งแต่เด็กก็คือ หนึ่งข้าต้องได้ดีกว่าพี่ๆ ทุกคนและสองคือต้องพามารดาออกมาจากบ้านหลังนั้น จึงตั้งใจที่จะรับราชการให้ได้ แต่เมื่อได้พบกับท่านพี่ที่เป็นอิสระไม่ผูกพันกับเรื่องราวในสังคม ทั้งอยู่เหนือกว่าทุกคนก็รู้สึกชื่นชม ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อใดที่ข้ารู้สึกต่อท่านมากกว่าการชื่นชม แต่ในเวลาเดียวกัน ข้าก็ย้ำเตือนตนเองอยู่เสมอ ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านหญิงหนานกงอาจเกิดขึ้นกับข้าในสักวัน แปลกที่ยิ่งย้ำเตือนแทนที่จิตใจจะมีความพร้อม กลับยิ่งมีแต่ความหวาดกลัว วันหนึ่งก็ตัดสินใจว่า ในเมื่อรักของท่านที่มีต่อข้ามันจืดจาง ข้าก็จะเป็นฝ่ายตามตื้อท่านเอง ข้าจะมาหาท่านที่ป่าสีทอง และเมื่อมารดาถึงแก่กรรมแล้ว ท่านก็เริ่มห่างเหินออกไปไม่ติดต่อ ทั้งไม่มียาบำรุงจากท่านอีกต่อไป ข้าก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องมาที่นี่ให้ได้ จึงตัดสินใจที่จะลาออก มิคาดพระองค์ส่งข้ามาสังหารคนที่นี่ เมื่อกลับไป...ข้าจึงไปกราบทูลว่าขอลาออก"
มือใหญ่สัมผัสใบหน้าซีดเซียว "ข้ายอมรับว่ารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งที่เจ้าฆ่าคนบริสุทธิ์"
ดวงตางดงามคู่นั้นเต็มไปด้วยคำถาม
"ที่มิให้ยาบำรุงก็เพื่อหวังให้เจ้ามีความมั่นใจในตนเอง ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการเป็นที่หนึ่ง ดังนั้นเป้าหมายของเจ้าคือการเป็นแม่ทัพ มิใช่รองแม่ทัพ หากเจ้าเข้มแข็งและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแม่ทัพแล้วในเวลานั้นข้ามิได้อยู่ข้างเจ้า จางฉวนมันเกิดเป็นบ้าขึ้นมาท้าทายเจ้า ก็จะได้รู้ว่าที่เจ้าเป็นที่หนึ่งมิใช่เพราะข้า"
เฉินอวี้ก้มหน้าลงมองมือตนเอง
เทพเสือโคร่งภูผารู้เป้าหมายของตนเองจึงผลักดันให้ไปถึงเป้าหมาย แต่ตนเองกลับไม่เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย คิดแต่จะพึ่งพิงจนทำเรื่องเลวร้ายที่สุดลงไป เพียงเพื่อให้หันมามอง
"ที่ถูกวางยาพิษจนสูญเสียวรยุทธ์ยังไม่พอให้ชดใช้ต่อผู้คนมากมายที่ข้าสังหาร"
"ข้าเองก็ทำผิด แต่พวกเราจะช่วยกันแก้ไขความผิดเหล่านั้นด้วยกัน"
"พวกเราหรือ"
ริมฝีปากหนาขยับเข้ามาหา แต่เฉินอวี้ดึงตัวออกห่าง "ท่านพี่"
"ก็ต้องพวกเราสิ ผิดด้วยกันทั้งคู่ก็ต้องถูกลงโทษด้วยกันทั้งคู่"
"มิใช่ ข้าหมายถึง ข้ากับท่าน" เฉินอวี้ดูงุนงงจนพูดจาสับสน "ข้าหมายถึง ท่านอนุญาตให้ข้าอยู่กับท่านพี่ที่ป่าสีทอง"
"มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก"
"นั่นก็ใช่" ใบหน้าซีดเซียวหม่นหมอง "แล้วจะแก้ไขอย่างไร"
ริมฝีปากหนากดจูบ "นั่นมันหน้าที่ข้า" กล่าวเองก็กลอกตามองบนหนึ่งรอบ ว่าจะไม่ออกคำสั่งแต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ "ไว้พวกเราค่อยหารือกัน แต่ตอนนี้..." รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นที่ริมฝีปาก "เจ้าดีขึ้นมาแล้วนี่นะ"
คนรูปงามนั่งๆ นอนๆ มาหลายวันพาลคิดอะไรเชื่องช้าตามไปด้วย จนกระทั่งถูกอุ้มกลับเข้ามาภายในถ้ำ
ภายในถ้ำยา แม้จะเป็นเพียงเสียงฝีเท้าแผ่วเบาก็ยังได้ยิน ยิ่งเสียงหอบครางยิ่งสะท้อนให้ได้ยินจนรู้สึกปั่นป่วน

กวางไพลินพาลู่กวางทองมาพบบิดากับแม่เล็กที่ถ้ำยา แต่กลับถูกเสือโคร่งศิลาทรายซึ่งเป็นพี่ชายสกัดไว้ โดยบอกว่าเวลานี้ไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปเยี่ยมแม่เล็ก
"แม่เล็กมีอาการดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่"
"ดีขึ้นแล้ว" ท่านพี่เสือโคร่งบอก
"แล้วทำไมจะเข้าไปไม่ได้เล่า"
"เข้าไปไม่ได้ ท่านพ่ออยู่ด้วย"
"อยู่แล้วอย่างไร ก็ข้าจะเข้าไป"
"ไปตอนนี้ไม่ได้"
"ก็จะไปนี่"
ลู่กวางทองลอดแขนพี่ชายเสือโคร่งผู้ปราศจากพลังเทพใดๆ วิ่งตรงไปที่ถ้ำ โดยพี่ชายวิ่งตามไป ส่วนกวางไพลินยังรออยู่ที่เดิม
จากนั้นกวางทองก็มาหยุดยืนอยู่ที่ปากถ้ำด้วยใบหน้าแดงก่ำ พี่ชายที่วิ่งตามมาจนทันรีบคว้าแขนกลับออกมาส่งให้กับกวางไพลินที่ยืนรออยู่
"เยี่ยมแม่เล็กเสร็จแล้วหรือ ไวจริง"
ลู่กวางทองหันไปหาพี่ชาย "ฝากบอกท่านทั้งสองด้วยว่าข้ามาเยี่ยม แล้ว...หากอาจารย์เทพให้กลับมาลงอีกเมื่อไหร่จะมา...มาถามก่อนแล้วกันนะ"
กวางไพลินมองหน้าพี่น้อง หนึ่งเสือโคร่งหนึ่งกวางที่ดูกระอักกระอ่วนแล้วก็ส่ายหน้า
"แล้วจะไปที่ใดต่อ"
"ไปเยี่ยมแฝดสามกันดีกว่า"
"ไปเยี่ยมแฝดสามหรือบิดาของเจ้าแฝดสาม" พี่ชายเสือโคร่งกล่าวแล้วหัวเราะร่วน ทำให้ถูกน้องเล็กชกไปหนึ่งหมัดเป็นการสั่งสอน!
...
ลู่กวางทองเป่ากลีบดอกไม้ที่ลอยอยู่ในน้ำชา ก่อนที่จะยกขึ้นจิบ ขณะที่หยางหลงเจ้าเมืองลั่วนั่งมองด้วยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า
"สรุปคือยังไม่ได้เยี่ยมแม่เล็ก"
ลู่ทำแก้มพอง "ไปหาสองรอบ รอบแรกบอกแม่เล็กยังไม่ฟื้น ไปรอบที่สองก็อยู่กับท่านพ่อ"
"แล้วก็เลยมาหาข้า"
"ใครบอกว่ามาหาท่านพี่ ข้ามาหาแฝดสามต่างหาก"
ความเขินอายจนต้องกล่าวปัดไปหาเจ้าแฝดสามครั้งนี้ มิได้เกี่ยวกับคำพูดของท่านพี่เสือโคร่งที่หน้าถ้ำยาแต่เป็นเพราะสายตาของหยางหลงที่มองมาต่างหาก
ไม่ว่าจะผ่านไปนานสักเท่าใด สายตาอ่อนโยนนี้ก็มิเคยเปลี่ยนไป
แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือครานี้เขาพยักหน้ารับ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน
"อันใดกัน" ดวงตาสีทองมีแต่ความสงสัย
"ทำงาน"
ลู่ทำปากยื่น "ทุกทีที่ข้ามา ท่านพี่จะพาข้าไปเที่ยวมิใช่หรือไง"
"ก็ใช่ แต่คราวนี้เจ้ามาปุบปับ ทั้งมิได้มาหาข้า ดังนั้นข้าก็สมควรทำงานต่อ"
ไม่เคยมีผู้ใดชนะลู่กวางทองด้วยลูกไม้นี้มาก่อน และแน่นอนว่าหยางหลงย่อมไม่มีความสามารถมากพอที่จะเป็นคนแรก
ดวงตาสีทองวาววับ
หนุ่มรูปงามซ่อนยิ้มในใบหน้า ขณะที่จิบน้ำชากลิ่นหอม
"เท่าที่ฟังเรื่องของท่านแม่เล็กมา ข้าว่าคนที่ผิดเต็มๆ คือท่านพ่อเสือ" หยางหลงเจ้าเมืองลั่วคนดีเงยหน้าขึ้นมามองตามที่คาดเดาไว้ "และที่ผิดที่สุดก็คือการที่ฝากแม่เล็กไว้กับฮ่องเต้ยาพิษผู้นั้น"
"ฮ่องเต้ยาพิษ" คนดีขมวดคิ้วแน่น ขณะที่ส่ายหน้า
"ก็เขาชอบใช้ยาพิษทำร้ายคนอื่น รวมถึงแม่เล็กด้วย"
"เรื่องที่พระองค์จะใช้ยาพิษทำร้ายคน หรือจะทำอะไรมาก่อนหน้านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะไปตั้งสมญาให้กับพระองค์แบบนั้น"
"แล้วควรเรียกว่าอะไร"
"ฮ่องเต้"
ลู่ทำปากยื่นก่อนที่จะพูดตาม "ฮ่องเต้" ดวงตาสีทองเหลือบมองคนเข้มงวดแล้วก็วิจารณ์บิดาของตนเองต่อ "ต่อให้แม่เล็กต้องการเป็นแม่ทัพ แต่เมื่อท่านพ่อรู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้มิใช่คนดีก็ไม่สมควรจะพาไปฝากไว้ ควรฝากไว้กับบุคคลอื่นที่ไว้ใจได้ หรือไม่ก็บอกความจริงไป แล้วพาออกมาให้ห่าง"
"ท่านพ่อก็เพียงตามใจแม่เล็ก"
"ต่อให้รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนไม่ดี สั่งการให้ฆ่าคนก็ยังตามใจเช่นนั้นหรือ"
หยางหลงเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่พอใจที่ถูกขัดใจจึงอธิบายต่อ "แม่เล็กเป็นผู้มีความสามารถ และมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะรับราชการอย่างเต็มที่" ทั้งหยางหลงและลู่ต่างก็ไม่เคยรับรู้แรงกดดันจากครอบครัวในแบบที่เฉินอวี้พบเจอมาตลอด จึงสนทนากันในสิ่งที่รับรู้มาเท่านั้น "ท่านพ่อรักแม่เล็กจึงให้การสนับสนุน ไม่ว่าแม่เล็กจะเดินในเส้นทางเดิมต่อไป หรือจะถอนตัวกลับมาที่ป่าสีทองท่านพ่อก็สนับสนุน"
"แต่ท่านพ่อเป็นเสือโคร่งนะ เขาคือผู้ปกป้อง ทำหน้าที่ปกป้องสัตว์ทั้งป่า แต่กลับไม่ปกป้องแม่เล็ก"
หากสามารถทุบโต๊ะได้ก็คงสมจริงมากกว่านี้ แต่เพราะเป็นลู่กวางทองจึงได้แต่บ่นไปเรื่อย
"เท่าที่รู้ ท่านพ่อมีการแลกเปลี่ยนกับฮ่องเต้ เรื่องการดูแลแม่เล็ก"
ลู่กวางทองยกนิ้วชี้ขึ้นฟ้า "นั่นไงกลับมาที่ฮ่องเต้...นั่นอีกครั้งแล้ว"
หยางหลงยกมือยอมแพ้ตามคาด ลู่กวางทองจึงซักถามต่อ
"หากเป็นข้าเลือกทางที่ท่านพี่รู้อยู่แล้วว่าอันตราย อย่างการที่จะต้องเสี่ยงเดินทางออกจากเมืองลั่ว ท่านพี่จะให้ข้าเดินทางหรือไม่"
หยางหลงยอมรับว่าต้องขัดขวางอย่างแน่นอน
ลู่ยิ้มแย้ม จากนั้นก็คิดขึ้นได้ "ท่านพ่ออาจลืมไปว่าแม่เล็กเป็นมนุษย์ มิใช่สัตว์เทพอย่างพวกเรา"
หยางหลงช่วยเสริม "ฮ่องเต้พระองค์ก่อน รักษาคำมั่นในการดูแลท่านหญิงหนานกงจนถึงตอนที่นางกลับเมืองจงพวนก็ยังส่งเสริมแพทย์ในสกุลหนานกงต่อไป อย่างแพทย์หลวงหนานกง ซึ่งพระองค์ให้ความเชื่อถือถึงขั้นสลายกระเรียนโกเมนเพื่อทำยาอายุวัฒนะ ขณะที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมีความสนพระทัยในเรื่องโอสถ การแลกเปลี่ยนระหว่างพวกท่าน จึงถือว่าสมเหตุสมผลในระดับหนึ่ง"
"ไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิดเดียว!" ลู่กวางทองร้องเสียงดัง พร้อมที่จะกล่าวตำหนิบิดาอีกสักหลายคำ "ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผล ข้าต้องจัดการท่านพ่อให้ได้ เพราะเป็นสาเหตุให้แม่เล็กถูกทำร้าย และท่านพี่ก็ต้องร่วมมือกับข้าด้วย"
หยางหลงกระพริบตามองลู่กวางทองผู้ที่ส่งเสียงดังโวยวายแล้วพยักหน้าเห็นด้วย
ลู่กวางทองยิ้มอย่างพึงพอใจ
พึงพอใจที่จะได้จัดการบิดาให้สาสม
และพึงพอใจที่หยางหลงลืมไปแล้วว่ากำลังวางท่าปั้นปึ่งเย็นชา
...ก็บอกแล้วว่าไม่มีผู้ใดที่จะสามารถเอาชนะลู่กวางทองด้วยลูกไม้นี้...

แต่ขณะที่หยางหลงจะพาลู่กลับมาที่จวน ม้าเร็วจากเมืองหลวงก็เดินทางมาถึงเพื่อส่งหนังสือ
เป็นพระบรมราชโองการเรียกเฉินอวี้เข้ารับราชการในตำแหน่งมือปราบลับ และช่วยราชการในกองทัพฝ่ายเหนือ
หยางหลงจึงกลับเข้าไปสั่งเลขาทำหนังสือว่าได้รับหนังสือจากทางการแล้ว แต่บุคคลตามที่ระบุในเนื้อจดหมายมิได้อยู่ที่เมืองลั่ว หากพบเมื่อใดก็จะมอบให้ในทันที
ในวันถัดมา หลังจากที่หยางหลงลงนามรับรองหนังสือตอบกลับเสร็จสิ้น ม้าเร็วก็ออกเดินทางกลับไปเมืองหลวงในทันที
ส่วนลู่ถือหนังสือจากฮ่องเต้กลับมาที่ป่าสีทองในเวลาเย็น โดยฝากไว้กับพี่เสือโคร่งที่หน้าถ้ำยานั่นเอง
พี่ชายเสือโคร่งผู้นี้เพียงเปลี่ยนร่างได้นอกนั้นก็มิได้มีพลังเทพใดๆ แต่เย้าแหย่ว่าไม่อยู่รอมอบให้กับแม่เล็กด้วยตนเองหรือ
ดวงตาสีทองหรี่ลงขณะที่ใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าอกพี่ชาย
ท่านแม่เล็กยังไม่ค่อยแข็งแรง บิดาก็ทำเรื่องนั้นกับแม่เล็กเสียแล้ว ครานี้น่าจะป่วยจนลุกไม่ไหวอีกหลายวัน

เฉินอวี้เห็นว่าเทพเสือโคร่งภูผาถือหนังสือฉบับนั้นเข้ามาในถ้ำได้หลายวันแล้ว แต่เมื่อถามว่าเป็นหนังสืออันใด เทพเสือโคร่งภูผาก็มักจะอารมณ์ไม่ดี และไม่ยอมตอบคำถามจึงไม่ได้ถามซ้ำ และไม่ได้ถือวิสาสะไปเปิดหนังสือนั้น
สุดท้ายคนที่หมดความอดทนก็คือเทพเสือโคร่งภูผานั่นเอง
"ตกลงเจ้าเป็นคนใจเย็นหรือเป็นคนไม่สนใจอะไรกันแน่"
เฉินอวี้สีหน้าลำบากใจ "นี่เป็นที่ท่านหรือข้าที่เป็นคนเข้าใจยาก ข้าเห็นว่าถามขึ้นเมื่อใด ท่านก็จะอารมณ์ไม่ดีจึงมิได้ถาม"
ดูท่าว่าบทสนทนาจะกลายเป็นความขัดแย้ง เฉินอวี้จึงหลีกเลี่ยงด้วยการเดินหนีออกไปด้านนอกของถ้ำยา เทพเสือโคร่งภูผาคว้าหนังสือตามมายื่นให้อ่าน
เฉินอวี้อ่านรอบหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมาบอกว่าแล้วแต่เทพเสือโคร่งภูผาจะตัดสินใจ
"พระองค์ต้องการให้ท่านพี่ช่วยงานของพระองค์ไม่ใช่ข้า"
"การตัดสินใจของข้าเปลี่ยนไปตามอารมณ์ หากถามตอนนี้ข้าจะตอบว่า ข้าไม่รับทุกข้อเสนอ"
เทพเสือโคร่งภูผาอารมณ์ไม่ดีจนคร้านที่จะคิดอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อน เฉินอวี้จึงเสนอให้ไปหารือกับหยางหลง
"เพราะเขาคือผู้ปกครองของที่นี่ ท่านให้เขาออกหน้าคราวแฝดสามไปแล้วคราหนึ่ง มาถึงเรื่องของข้าก็ต้องพึ่งพาเขาเช่นกัน"
เทพเสือโคร่งกลอกตาอยู่หนึ่งรอบก็พากันไปรับลู่กวางทองไปหาหยางหลงที่จวนเจ้าเมือง

ลู่กวางทองหน้างอใส่บิดา แต่กลับยิ้มแย้มแจ่มใสให้กับทุกคน ผิดปกติจนเทพเสือโคร่งภูผาต้องทำความเข้าใจกับบุตรชายก่อนที่จะพูดถึงเรื่องงานสำคัญที่ต้องเดินทางมาที่จวนเจ้าเมือง
ดูไปลู่กวางทองที่แง่งอนก็น่ารักดี แต่เฉินอวี้ไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ใดอารมณ์ไม่ดีจึงกล่าวขึ้นว่า "เรื่องราวทั้งหมดผ่านไปแล้ว และที่สำคัญก็คือต่อให้ในวันนั้นบิดาของเจ้าบอกกับข้าว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นในอนาคต ข้าก็ยังคงเลือกที่จะทำเช่นเดิมอยู่ดี"
"แม่เล็กเข้าข้างท่านพ่อ" ลู่หันไปทำตาคว่ำใส่บิดา
"ไม่ได้เข้าข้าง" เฉินอวี้ยืนยัน จากนั้นเปลี่ยนเรื่องไปโดยที่ลู่กวางทองไม่รู้ตัว "แต่ทั้งหมดนั่นเป็นความตั้งใจของข้าเองในเวลานั้น แล้วข้าก็ละทิ้งมันไป" เพื่อที่จะได้อยู่กับบิดาของเจ้า "แต่การที่ทรงมีพระบรมราชโองการมาถึงเจ้าเมืองลั่วในเรื่องที่เกี่ยวกับข้าเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าทรงไม่ยอมละเว้นข้า และข้ากำลังทำให้เมืองลั่วเดือดร้อน"
มือใหญ่ของเทพเสือโคร่งภูผาบีบไหล่ของคนที่กำลังเป็นกังวล "ข้าสามารถจัดการได้"
หยางหลงพูดแทรกขึ้น "ท่านพ่อและข้าสามารถคลี่คลายเรื่องนี้ได้ ขอให้ท่านแม่เล็กอย่าได้เป็นกังวล"
แต่เฉินอวี้ส่ายหน้า "ข้าคิดได้เรื่องหนึ่ง"

เทพเสือโคร่งภูผาอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า
...บอกให้ข้าตัดสินใจ บอกว่าต้องขอให้หยางหลงออกหน้า แต่สุดท้ายเฉินอวี้ก็คือคนที่ที่มีแผนอยู่แล้วในใจ...

เมื่อทุกคนนั่งลงเพื่อร่วมการสนทนา เฉินอวี้จึงกล่าวถึงเรื่องที่คิดไว้ "ฮ่องเต้ยังไม่ไว้วางพระทัย เกรงว่าท่านพี่จะหายไป แล้วจะมีผลต่ออาการจากพิษที่ท่านพี่ทำไว้กับพระองค์ หากข้ายังเป็นมือปราบลับ ก็หมายความว่าข้ายังต้องติดต่อกับพระองค์อยู่เป็นระยะ"
"แปลว่าเจ้าจะรับตำแหน่งอะไรนั่นสินะ" เทพเสือโคร่งภูผาผุดลุกขึ้น เดินวนไปรอบห้องพลางทำท่าทีฮึดฮัดไม่พอใจ คล้ายอยากร้องตะโกนแต่ก็ร้องตะโกนไม่ได้ อยากทำร้ายหรืออาละวาดใส่ใครสักก็ทำไม่ได้ ดูอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง
เฉินอวี้ได้แต่มองตามการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย

ส่วนลู่กวางทองหันมามองหยางหลงพลางเลิกคิ้วสูง สนทนากันโดนที่มิได้ขยับริมฝีปาก
...นี่คือสิ่งที่ท่านพี่บอกกับข้าไปเมื่อวันก่อนใช่หรือไม่...
หยางหลงพยักหน้า
....เช่นนี้ท่านพ่อก็ต้องตามใจแม่เล็ก ทั้งที่ไม่อยากทำสินะ...
หยางหลงพยักหน้าอีกครั้ง
...เช่นนี้เอง...

ปล่อยให้เทพเสือโคร่งภูผาคับข้องใจอยู่ครู่หนึ่ง เฉินอวี้จึงกล่าวขึ้น
"ท่านรู้ดีว่าฮ่องเต้มีความภาคภูมิพระทัยเรื่องสมุนไพรและยา จึงเจตนาใช้พิษที่พระองค์ไม่รู้จัก ซึ่งหากเป็นผู้อื่นคงเชื่อฟังคำพูดของท่าน แต่ย่อมมิใช่ฮ่องเต้จางฉวน พระองค์ไม่ยอมจำนน และหากข้าไม่ออกไปเพื่อรับรองว่าพวกเรามิได้หายไปไหน คนที่เดือดร้อนอาจเป็นท่านหยางติง และคนสกุลหยางในเมืองหลวง" ดวงตางดงามกำลังร้องขอเทพเสือโคร่งภูผา ขณะที่สองมือประสานกันแน่น  "ใจเย็นๆ ค่อยๆ คิดหาหนทาง"
หยางหลงกล่าวขึ้น "ข้ามีวิธี"
วิธีการของหยางหลงมิได้ซับซ้อน เพียงเล่นละครกันสักฉากหนึ่ง ด้วยการส่งแม่ทัพเฉินอวี้ไปที่อารามร้างนอกเมือง และมีเทพเสือโคร่งภูผาดูแลรักษา จากนั้นหยางหลงก็ทำทีไปพบเจอ เฉินอวี้ยอมรับตำแหน่งนั้น หยางหลงทำหนังสือตอบกลับไปยังเมืองหลวง
"แล้วเรื่องงานมือปราบลับนั่นต้องทำอย่างไร" ลู่กวางทองถามขึ้น
"ไม่ต้องทำอะไร ท่านแม่เล็กพักผ่อนอยู่ที่อารามนั้นต่อไป เพราะฮ่องเต้มีพระประสงค์เพียงได้เห็นว่าแม่เล็กกับท่านเทพเสือโคร่งภูผายังอยู่ด้วยกันเท่านั้น"
"แค่นั้น...จริงหรือ" ดวงตาสีทองมองสามคนที่อยู่ในห้อง เรื่องราวง่ายดายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ
สำหรับลู่กวางทองแล้วเรื่องราวย่อมเรียบง่าย และห่างไกลจากความวุ่นวายทุกสิ่งทุกอย่าง
"จริงเช่นนั้น"
มือใหญ่ช้อนปอยผมงามสีน้ำตาลอ่อนขึ้นมาจรดปลายจมูก หยางหลงเจ้าเมืองลั่วยกยิ้มขณะที่ดวงตาที่มองลู่กวางทองนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะปกป้องอีกฝ่ายจากความวุ่นวายทั้งมวลจนกว่าชีวิตจะหาไม่

เฉินอวี้ที่นั่งอยู่ใกล้กับลู่กวางทองมาที่สุดค่อยๆ ลุกขึ้นไปยืนอยู่ข้างเทพเสือโคร่งภูผา และกล่าวขึ้น
"เช่นนั้นก็เป็นไปตามที่ท่านเจ้าเมืองเห็นชอบเถิด"
เทพเสือโคร่งภูผาจับมือเฉินอวี้ไว้ อดไม่ได้ที่จะเหน็บแนมเขตผู้นี้สักคำ
"ทุกคราที่เจอกับเจ้าลูกเขยคนนี้ มีแต่จะมาคอยตอกย้ำว่าข้าเป็นสามีที่ไม่ได้ความ"
เฉินอวี้แตะที่หลังมือของเทพเสือโคร่งภูผาเพื่อให้กำลังใจ จากนั้นก็กล่าวคำลา

ในวันถัดมาหยางหลงเจ้าเมืองลั่วขับรถม้าไปยังอารามร้างนอกเมือง จากนั้นก็กลับมาส่งหนังสือกลับไปเมืองหลวง ผ่านไปครึ่งเดือน อากังคนรับใช้ของเฉินอวี้เดินทางมาที่อาราม
เมื่อพบกับเฉินอวี้ชายหนุ่มก็โขกศีรษะร่ำไห้พูดจาสับสนจับใจความไม่ได้อยู่พักใหญ่ กว่าที่เข้าใจได้ว่า ในวันที่เฉินอวี้ประลองกับบรรดาองครักษ์แล้วเดินทางออกจากเมือง อากังที่ส่งหนังสือให้กับพี่ชายของเฉินอวี้เสร็จแล้วก็เดินทางออกนอกเมืองตามที่เขียนไว้ในหนังสือ แต่หลายวันต่อมาก็ถูกจับตัวกลับไป และหัวหน้าองครักษ์มีคำสั่งให้เดินทางมาที่เมืองลั่วเพื่อรับใช้เฉินอวี้เช่นเดิม
"นายน้อยขอรับ ขออภัยที่บ่าวโง่เขลา และเนรคุณ นับจากนี้บ่าวต้องรายงานความเคลื่อนไหวของนายน้อยให้หัวหน้าองครักษ์ทราบเดือนละครั้ง จะมีคนมารับหนังสือที่ค่ายทหาร"
เฉินอวี้ลูบหลังปลอบใจอากัง แล้วบอกให้ไปพักผ่อน จากนั้นจึงหันมากล่าวกับเทพเสือโคร่งภูผา
"อากังไม่ใช่ทหาร ข้อนี้ไม่ถือว่าผิดกฎที่ตั้งไว้"
แต่บ่าวผู้นี้ก็กระไรเลย พอมาถึงก็สารภาพจนหมดว่าได้รับคำสั่งว่าให้เป็นสายลับของฮ่องเต้มาจับตาเจ้านายของตนเอง

ดวงตางดงามของเฉินอวี้หันมามองเทพเสือโคร่งอย่างรู้ใจ "ข้ารู้ว่าท่านไม่พอใจ และก็ไม่คิดจะห้าม แต่ขอว่าจะทำอะไรก็ให้คิดถึงคนที่เมืองหลวงให้มาก"
"ข้าคิดเรื่องของเจ้าต่างหาก คิดจนหัวจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว"
เทพเสือโคร่งภูผากล่าวอย่างจริงจัง แต่แล้วก็กลับยิ้มกว้าง จูงมือเฉินอวี้ออกมานั่งพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ลานวัด เทพเสือโคร่งภูผาจับให้เฉินอวี้นอนหนุนตัก เกลี่ยเส้นผมที่หน้าผาก แล้วจับมือที่มักจะจับอาวุธวางลงที่อกของเฉินอวี้
"ที่ว่าคิดเรื่องของข้าน่ะ คิดเรื่องอะไร"
"มากมาย" ดวงตาสีอ่อนของเฉินอวี้ยามนี้งดงามและผ่อนคลายจนยากที่จะละสายตาได้ "แต่ทุกครั้งที่พบกับหยางหลง การกระทำของเจ้านั่น มักจะดึงความคิดให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันเสมอ" คนงามเพียงยิ้มมุมปาก แต่ก็งดงามจนดอกไม้งามยังต้องพ่ายแพ้ "ข้าละเลยหน้าที่ต่อเจ้า ไม่มีความสม่ำเสมอ" ที่สำคัญคือหลงลืมไปว่าวันเวลาของมนุษย์ไม่ได้ยืนยาว "ข้ามัวแต่จัดการในเรื่องที่กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ จนกลายเป็นการทำให้เจ้าถูกทำร้าย"
"ข้าไม่ใช่ท่านหญิงหนานกง และไม่ใช่ท่านกระเรียนโกเมน อย่าลืมว่าข้าตัดสินใจเลือกทางเดินของตนเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะมีท่านหรือไม่ ข้าก็จะทำเหมือนเดิม รวมถึงเวลานี้" เฉินอวี้ลุกขึ้นนั่งทั้งขยับเข้ามากอดเอวไว้ "ข้าตัดสินใจที่จะอยู่กับท่าน ต่อให้ถูกผลักใสอีกกี่ครั้งก็จะไม่ยอมให้ท่านอยู่ห่างจากข้าอีกแล้ว ดังนั้นอย่ากล่าวโทษตนเอง"

เทพเสือโคร่งภูผาลูบเส้นผมงาม
รู้มานานว่าเฉินอวี้เป็นผู้ที่เมื่อตัดสินใจแล้วก็จะเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะสำเร็จตามเป้าหมาย จะสนับสนุนหรือจะเมินเฉยคนผู้นี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปร
"เจ้ามันดื้อนัก"
เฉินอวี้ยิ้มกว้างจนดวงตาเป็นประกาย "ดื้อแล้วรักหรือไม่"
มือใหญ่ของเทพเสือโคร่งภูผาแสร้งดึงจมูกสวย "รักมากขนาดนี้ยังกล้าถาม"
จากนั้นมือใหญ่ก็ช้อนด้านหลังคอของเฉินอวี้ให้เข้ามารับจูบ
"เพิ่งกลั่นแกล้งเจ้าไปเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้สมควรแข็งแรงขึ้นแล้ว"
เฉินอวี้รู้ตัวลนลานผลักอกอีกคนออก "นะ นี่ท่านพี่ ท้องฟ้ายังไม่มืดเลยนะ"
เทพเสือโคร่งภูผาช้อนขาคนโวยวายขึ้น แล้วพาเหาะกลับเข้าไปในห้องนอนด้านบน หน้าต่างห้องปิดลงตามหลัง

ข้าคือเสือโคร่งภูผา สิ่งที่ข้าต้องการจะทำไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลากลางวันหรือกลางคืน และไม่สนใจใครอื่น
ข้าสนใจแต่เหยื่อ...มิใช่ ข้าสนใจก็แต่อวี้เอ๋อร์ของข้าเท่านั้น

....จบภาคเทพเสือโคร่งภูผา....
จบภาคเทพเสือโคร่งภูผาแล้ว ลำดับต่อไปคือหยางเฉิง-นกยูงทอง นะครับ
ขอบคุณมากครับ
ไจฟ์ที
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 22-07-2018 08:48:21
 :pig4: :pig4:
ขอบคุณมากจ้า...รอคู่ต่อไปปป
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 22-07-2018 08:59:17
ขอบคุณจ้าาา

หยางเฉิงกับนกยูงทอง โอ๊ยยยยยย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 22-07-2018 09:25:46
แม่เล็ก มีความสุขซักที

55555 ฮ่องเต้ยาพิษ ชอบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 22-07-2018 10:00:37
บอกแล้วว่าน้องกวางทองลู่เป็นเด็กแสบ...เกี่ยวมั้ย  :mew4:
มาถึงตอบจบของภาคนี้ก็ยิ่งเกลียดฮ่องเต้(ยาพิษ)  :z6:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-07-2018 19:06:32
ฮ่องเต้ไม่ค่อยเข็ด
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 22-07-2018 21:15:26
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 23-07-2018 13:48:45
ขอบคุณนะคะ

ฮ่องเต้  ตอนเด็กๆๆ แม่ไม่ให้กินนมเหรอ  นิสัยเสียจริงๆ
เหมือนเด็ก อยากได้ทุกสิ่ง  ไม่ยอมปล่อยอะไรเลย
พ่อเสือควรต้องโดนกวางทองงอนนานๆๆ  โดนแม่เล็กทิ้งบ้าง
สนุกดี  ชอบนะเรื่องนี้ แต่ตัวละครเยอะมากกกก
รอหยางเฉินนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-07-2018 20:43:29
หลงรักคนงามใจแข็ง ท่านเสือโคร่งต้องทำใจ
หลงรักคนงามบริสุทธิ์อย่างกวางทอง ท่านเจ้าเมืองก็แพ้ร่ำไป

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-07-2018 21:35:13
ฮ่องเต้ยาพิษ เห้ต้อง เลวววววววววววววว  :fire: :angry2: :z6:
ให้เฉินอวี้ต่อสู้กับคนมากมาย วางยาเฉินอวี้ แล้วยังมาทำเป็นอยากใช้งานอีก
ทำตัวเฮงซวย ใครจะอยากทำงานให้

เทพเสือโคร่งรักเฉินอวี้
แบบหื่นๆ แบบเทพเสือโคร่งแหละ   :o8: :-[ :impress2:

กวางทองคิดถูกที่ว่าคนผิดน่ะนอกจากเห้ต้องแล้ว ก็พ่อเสือนี่แหละ  :angry2:
รอตอนใหม่  :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 30-07-2018 00:53:12
สนุกค่ะ ลู่กวางทองช่างน่าเอ็นดู
ท่านรองแม่ทัพน่าสงสารอ่ะถูกหลงลืมหลายปีแต่ยังดีที่ในที่สุดก็ได้อยู่ด้วยกัน
รอคู่ต่อไปค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 30-07-2018 15:37:27

:pig4: ค่า


 :pig4: ได้แต่ขอบคุณไจฟ์และน้องที ที่แต่งนิยายมาให้เราอ่าน   :pig4:

ในเรื่องเหมือนยังมีเรื่องให้ติดตามอีกเยอะเลย ดังนั้นได้แต่หวังว่าจะมีตอนพิเศษของแม่เล็กกับพ่อเสือมาให้เราได้ตามอ่านนะคะ

แบบเหมือนที่เราได้เห็นลู่ที่ค่อยๆโตมีมาให้อ่าน คลายคิดถึงไหนจะมีแฝดอีก อูยยยตัวละครน่าติดตามทั้งนั้น  :L1:

รอคู่ต่อไปค่า







หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 04-08-2018 09:58:54
 :m22: :m22: :m22: :m22: :m22:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-08-2018 19:40:44
 :a3: :a3: :a3: :a3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 07-08-2018 20:06:33
เข้ามารอ หยางเฉิง กับ นกยูงทองค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 08-08-2018 22:08:26
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 11-08-2018 08:19:03

แวะมาบอกว่า >>>คิดถึง<<< จ้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 11-08-2018 21:28:12
 :m7: :m7: :m7: :m7: :m7:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 13-08-2018 16:21:12
 :z2: มารอพ่อเสือออ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 14-08-2018 09:30:42
เข้ามาผลักดันให้ได้อ่านตอนใหม่เร็วๆ  :mew4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-08-2018 22:23:51
 : 222222: : 222222: : 222222: : 222222: : 222222:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-08-2018 19:58:35
 :ped149: :ped149: :ped149: :ped149: :ped149:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 22-08-2018 14:43:24
 :a11: :a11: :a11:

มารอตอนใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 26-08-2018 05:32:44
ฮึบ ฮึบ ฮึบ  :a9: :a9: :a9:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 27-08-2018 18:16:18
 :amen: :amen: โอมมมมม.....จงมา จงมา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 27-08-2018 19:25:11
หนีไปแอดมิทมา 3 คืน ยังไม่ได้อ่านตอนใหม่อีกเหรอ  :m16:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-08-2018 09:38:14
ขึ้นหน้าใหม่แล้ว มาได้แล้วจ้าาาาาา :m3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ตอนที่32 P34(220761)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 28-08-2018 16:14:36

 :กอด1:  :กอด1: มารอที่หน้าใหม่จ้า

หัวข้อ: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P35(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 28-08-2018 19:08:59
สืบเนื่องจากตอนพิเศษสาม หยางเฉิงสมรสใหม่กับผู้มีนาม 'คงเซียะ คนเมืองลั่ว'
พิเศษนกยูงทอง (1)


มีพ่อค้า และชาวบ้านที่เดินทางผ่านป่าสีทองอยู่ทุกวัน พวกเขาจะถวายสุรา และผลไม้ อยู่เสมอ ส่วนพวกคำอธิษฐานก็จะเป็นเรื่องทั่วๆ ไป เรื่องสุขภาพ เรื่องครอบครัว เรื่องความรัก และก็เรื่องการเงิน
วันหนึ่งเจ้านกยูงทองออกมาใกล้กับปากทางของป่า พบขบวนม้าของกลุ่มผู้คุ้มกันกำลังเดินทางออกจากเมือง พวกเขาไม่มีสินค้ามาด้วย แสดงว่ากำลังจะออกเดินทางไปรับงานให้กับพ่อค้าเมืองอื่น ผู้ที่นำขบวนม้าคือเจ้าสำนักคุ้มกันภัย เมื่อเดินทางมาถึงก็ลงจากม้า เทสุราหนึ่งจอก โปรยข้าวเปลือกหนึ่งกำมือแล้วก็จากไปโดยที่มิได้กล่าวคำอธิษฐานใดๆ
ขณะที่บรรดาฝูงนกตัวน้อยลงมากินข้าวเปลือก นกยูงทองจึงก้าวตามออกมาเพื่อมองตามหลังขบวนม้านั้น
"หยางเฉิง บุตรคนรองของท่านเจ้าเมืองหรือ"
เจ้านกน้อยที่กินข้าวเปลือกของหยางเฉิงจนอิ่มพากันส่งเสียงตอบรับว่าใช่
"เขามิได้อธิษฐานใช่ไหม"
เสียงตอบรับเซ็งแซ่อีกครา
"ทำไม เขาไม่มีเรื่องกังวลอะไรเลยหรือ"
คราวนี้เสียงของเจ้านกน้อยดังกว่าเดิม จนเจ้านกยูงทองต้องเท้าเอว
"ไม่รู้ก็ไม่รู้สิ จะโวยวายกันไปทำไมเนี่ย ข้าไม่ค่อยได้ออกมาแถวนี้ เพิ่งได้พบเขาเป็นครั้งแรก ขอถามนิดถามหน่อยมิได้หรือไง"

ใช่ เพิ่งพบครั้งแรก หลังจากที่ฟังเจ้าลู่กวางทองกล่าวถึงน้องชายคนรองของเจ้าเมืองลั่วมาหลายครา
ก็...ดูหน้าตาดีแล้วก็ท่าทางจะมีวรยุทธสูงส่ง

แต่อีกหลายวันถัดมานกยูงทองก็มารออยู่แถวๆ ปากทางของป่าอีกครั้งด้วยความอยากรู้ จนกระทั่งนึกได้ว่า หยางเฉิงกับหยางไห่ จะกลับมาเมืองลั่วในช่วงก่อนที่หยางหลงจะมาหาลู่กวางทองที่ป่าสีทองสักสองสามวัน เพื่อเปลี่ยนให้เจ้าเมืองลั่วมาหาลู่กวางทอง
ดังนั้นแล้วนกยูงทองจึงกลับมาที่เขตที่พักของนกยูง รู้ตัวอีกทีก็คือลู่กวางทองลงมาจากเขาและหยางหลงมาพักอยู่ที่ป่าสีทองแล้ว เจ้านกยูงทองจึงรู้สึกอารมณ์ไม่ดีนักตลอดเวลาที่หยางหลงพักอยู่ในป่าสีทอง จนกระทั่งหยางหลงกลับไปก็รีบออกไปดักรอที่ปากทางของป่าสีทองอีกครั้ง
ครานี้รออยู่สองวันหยางเฉิงก็เดินทางผ่านมา

"ไม่อธิษฐานจริงๆ ด้วย เขาเก่งนักหรือไง"
เจ้านกน้อยที่กำลังกินข้าวเปลือกช่วยกันส่งเสียงวุ่ยวายจนนกยูงทองเท้าเอวหน้างอ 
"มีข้าวเปลือกให้กิน ก็กินไปสิ จะพากันโวยวายทำไมกัน เสียงดังจนปวดหูไปหมดแล้ว"
เจ้านกน้อยถกเถียงกันวุ่นวายต่อ จนนกยูงทองยอมแพ้
"เออ รู้แล้วว่าเขาเก่ง พอแล้ว กินๆ ไปเถอะน่า"

ผ่านไปหนึ่งเดือนหยางเฉิงเดินทางกลับมาตามลำพัง เมื่อลงจากม้าและถวายสุราหนึ่งจอกเห็นนกยูงตัวหนึ่งแพนหางโอ้อวดลดลายสีทองแปลกตา ชายหนุ่มเพียงยกยิ้มที่มุมปากแล้วกลับขึ้นม้าออกเดินทางต่อไปในทันที
นกยูงทองโกรธมากหันไปอาละวาดใส่ฝูงนกน้อย จากนั้นก็ติดตามมาจนถึงเขตเมือง และลอบเข้าไปในเรือนของหยางเฉิง
ชาวเมืองลั่วส่วนใหญ่จะมีความอ่อนน้อมเป็นพื้นฐาน แต่หยางเฉิงมีความแตกต่างตรงที่มีความเย่อหยิ่งแบบแปลกๆ
เรื่องความแปลกนี่ ก็แปลกกันทั้งเมืองลามมาถึงบรรดาสัตว์เทพในป่าสีทองด้วย
นกยูงทองยอมรับว่าตนเองก็แปลกเหมือนกัน
แปลกตรงที่ไม่ชอบให้ใครมาทำเมินเฉยแบบนี้

หยางเฉิงแยกพักอยู่ตามลำพังในเรือนพักหลังใหญ่ ขณะที่ภรรยาและบุตรต่างแยกพักในเรือนคนละหลังกันในกลุ่มบ้าน ดังนั้นเมื่อเข้ามาในเรือนจึงรับรู้ได้ทันทีว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่ในห้อง แต่เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็พบว่าเป็นนกยูงตัวหนึ่งยืนอยู่บนโต๊ะกลางห้อง จากนั้นก็แพนหางก้าวย่างช้าๆ ไปรอบห้อง
หยางเฉิงยิ้มที่มุมปากเหมือนเคย จากนั้นก็วางกระบี่ทำท่าจะออกไปจากห้องอีกครั้ง
นกยูงทองส่งเสียงร้องดังจนหยางเฉิงหันมามอง ด้วยความรู้สึกขัดใจจึงเปลี่ยนร่างเป็นคนต่อหน้า ทั้งก้าวเข้ามาหาใช้นิ้วชี้จิ้มเข้ามาที่มุมปาก
"ที่ยิ้มเช่นนี้ เสียงหัวเราะเช่นนี้มันแปลว่าอะไร"
หยางเฉิงขมวดคิ้วเพียงนิดเดียว
แต่แค่เพียงนิดเดียวก็ทำให้นกยูงทองพอใจขึ้นมาบ้าง
"สงสัย หรือแปลกใจ สงสัยอะไร แปลกใจอะไร"
ชายหนุ่มกล่าวเตือน "ช้าลงหน่อยได้ไหม เจ้าคือใคร เหตุใดถึงได้มาอยู่ในห้องของข้า"
"อ้อ..." นกยูงทองเพิ่งรู้ตัวว่าเสียมารยาท "ข้าคือนกยูงทอง และที่มาก็เพราะเจ้าเสียมารยาทกับข้า"
ชายหนุ่มมิได้ก้าวถอย นกยูงทองที่สูงเพียงแค่ไหล่ก็อยู่ห่างกันไม่ถึงครึ่งก้าว การโต้เถียงแบบที่คนหนึ่งเสียงดัง แต่อีกคนหนึ่งยืนมองเฉยๆ ทั้งพบกันเป็นคราแรกจึงดูแปลกมากขึ้นไปอีกหลายชั้น
"ข้าเสียมารยาทอะไรกับเจ้า"
"ยังจะมาเรียกข้าว่าเจ้าอีกหรือ ข้าอายุมากกว่าเจ้าตั้งหลายปี"
หยางเฉิงเลิกคิ้วสูงขึ้นข้างหนึ่ง ไม่ต่อปากต่อคำด้วยทำให้นกยูงทองยิ่งไม่พอใจ
"ฮึ่ย! เจ้านี่มันน่าโมโหยิ่งกว่าหยางหลงพี่ชายของเจ้าเสียอีก!"
"หยุดตะโกน" น้ำเสียงของหยางเฉิงนิ่งมาก และก็ทำให้นกยูงทองนิ่งได้ทันทีเช่นกัน "บอกธุระของเจ้ามา"
"โกรธที่ข้ากล่าวถึงพี่ชายเจ้าหรือ อิจฉาละสิ"
หยางเฉิงนึกอยากตบศีรษะเจ้าตัวเล็กเสียงดังนี่สักทีสองที "อย่าพูดจาเหลวไหลเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของข้า ไม่อย่างนั้นก็กลับไป"
"นี่" นกยูงทองอารมณ์เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา "เดี๋ยวเมินข้า เดี๋ยวก็ดุด่าข้า มันจะเกินไปแล้วนะ"
หยางเฉิงหันหลังให้ นกยูงทองก็ก้าวมายืนขวางไว้อีกครั้ง "ข้าคือนกยูงทอง นกยูงทองน่ะ เจ้ารู้จักไหม"
"ไม่" น้ำเสียงเย็นชายิ่งนัก
นกยูงทองจับสาบเสื้อของหยางเฉิง ดึงให้โน้มตัวลงมาหา "ข้าคือนกยูงทองแห่งป่าสีทอง" นี่จะต้องให้ย้ำคำนี้อีกสักกี่ครากันนะ "นกยูงตัวผู้น่ะงดงามที่สุด และข้าคือนกยูงทอง ไม่มีผู้ใดกล้าเมินเฉยกับข้า มองผ่านข้า ที่เจ้าทำกับข้าจึงถือเป็นการดูหมิ่นข้า"
"เรื่องเพียงแค่นี้ก็ทำให้เจ้าออกมาจากป่าสีทองแล้วหรือ"
"นี่ไม่ใช่เรื่องเพียงแค่นี้ เพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับข้า" มือเล็กๆ กระตุกสาบเสื้ออีกครั้ง "มองให้ชัดๆ ข้าน่ะงดงามที่สุด"
รอยยิ้มมุมปากนั่นมาอีกแล้ว "เจ้ามิได้งดงามที่สุด"
"ใครงดงามที่สุด บอกข้ามานะ"
ในที่สุดนกยูงทองก็ปล่อยสาบเสื้อของหยางเฉิง
"ผู้ที่งดงามที่สุด...คือลู่กวางทอง" ดวงตาของหยางเฉิงอ่อนโยนลงอย่างชัดเจนเมื่อกล่าวชื่อนี้
"หน้าไม่อาย เขาเป็นเมียพี่ชายท่านนะ" ถึงจะยอมรับว่ากวางทองงดงาม แต่ทำไมต้องทำเสียงแบบนั้นด้วยนะ
"เขาเป็นเมียพี่ชายข้าอย่างแน่นอน แต่เจ้าถามว่าใครงดงามที่สุด ข้าก็ตอบคำถามของเจ้าแล้ว จะกลับไปได้หรือยัง"
"เจ้าไล่ข้ามิได้นะ"
หยางเฉิงกำลังปวดหัว นี่ปวดหัวมากกว่าการเจรจาการค้ากับพ่อค้าแดนไกลที่มักต่อรองราคากันชนิดไม่คำนึงถึงเลือดเนื้อของผู้อื่นเลยสักนิด
"ตกลงเจ้าต้องการอะไรกันแน่"
นกยูงทอง ก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าว จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
"ข้อหนึ่งเรียกข้าว่านกยูงทอง ข้อสองห้ามไล่ข้า"
หยางเฉิงนวดที่ขมับเบาๆ
"แค่นั้นใช่ไหม เช่นนั้นก็..." ห้ามไล่สินะ "ข้าจะไปเตรียมตัวเข้านอน เจ้าก็..." หยางเฉิงกล่าวไม่จบประโยค แต่เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ทั้งถอดเสื้อผ้าต่อหน้านกยูงทอง ที่รีบปิดหน้า หันหลังให้
"หน้าไม่อาย เจ้ามันคนหน้าด้าน หน้าไม่อาย"
เมื่อนกยูงทองลับหายไปต่อหน้า หยางเฉิงก็หัวเราะออกมาเบาๆ

ผ่านไปหลายวันนกยูงทองก็กลับมารออยู่ที่เรือนของหยางเฉิงอีกครั้ง ครานี้มานั่งรออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ ที่ยังเป็นห้องทำงานของหยางเฉิง
ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินมาทางนี้บ่งบอกว่ามากันสองคน หนึ่งชายหนึ่งหญิง เมื่อประตูเปิดออกคนหนึ่งคือหยางเฉิง อีกคนคือชุนผิงภริยาเอกของหยางเฉิง
ทั้งคู่จับมือเดินเข้ามาพร้อมกัน...
นี่...น่าอิจฉายิ่งกว่าน้ำเสียงเวลาที่กล่าวถึงลู่กวางทองเสียอีก
หยางเฉิงหันไปแนะนำ
"ชุนผิง นี่นกยูงทอง สหายของลู่กวางทอง"
ชุนผิงมิได้เป็นสตรีที่งดงามเป็นอันดับหนึ่ง แต่นางเป็นสตรีดีงาม ฉลาด และมากความสามารถ
"สหายของท่านกวางทองนั่นเอง ก่อนหน้านี้ท่านกวางไพลินก็แวะมาทำขนมอยู่ด้วยกัน"
ความจริงใจที่เต็มเปี่ยมนั่นก็ทำให้หงุดหงิดได้เหมือนกัน
...ไม่รู้หรือไงว่าข้าคือผู้อื่น..ข้าเป็นผู้อื่นน่ะ...
"ข้าจะให้คนรับใช้เตรียมสุราอาหารมาให้นะเจ้าคะ" นางกล่าวจบก็หันไปแตะหลังมือสามี แล้วถอยไป
คนรับใช้เตรียมสุราอาหารมารวดเร็วสมกับที่เป็นบ้านของท่านหยางเฉิง แต่นกยูงทองกลับนั่งเท้าคางมองอาหารบนโต๊ะ
"เป็นอะไร" หยางเฉิงถามขึ้น
"เบื่อ ลู่กวางทองไม่อยู่ จิ้งจอกไฟก็ไม่อยู่"
หยางเฉิงจิบสุรา "สหายไม่อยู่ก็แวะมาที่นี่ได้"
"ตอนกลางวันก็มาได้ใช่ไหม" นกยูงทองยิ้มกว้างด้วยความยินดี
"ได้สิ อยากมาเมื่อไหร่ก็มา"
"นี่"
หยางเฉิงมิได้ส่งเสียงตอบรับ แต่ใช้การพยักหน้าให้นกยูงทองกล่าวต่อ
"หากไม่นับรวมกวางทอง ข้าคือผู้ที่งดงามที่สุดหรือไม่"
เมื่อหยางเฉิงไม่ยอมตอบทั้งทำท่าเหมือนสุรานั้นรสดีอย่างยิ่ง นกยูงทองผู้เอาแต่ใจก็ก้าวเข้าไปนั่งคร่อมตักของหยางเฉิง
"นี่ ดูให้ชัดๆ ข้างดงามหรือไม่"
ใบหน้าของนกยูงทอง อยู่ห่างไม่มากนัก
รูปหน้าเรียวเล็ก ทำให้ดวงตากลมโตนั้นชัดเจนด้วยพื้นส่วนใหญ่คือสีดำแวววาว หางตาตวัดขึ้นสูงรับกับขนตา คิ้วคม จมูกโด่งแหลม ริมฝีปากบาง
เส้นผมสีทองแซมด้วยสีดำและฟ้า

เส้นผมสีทองนี้เป็นสิ่งแรกที่ทำให้หยางเฉิงพอจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรกพบว่าคือสัตว์เทพแห่งป่าสีทอง ถึงได้ไม่ค่อยประหลาดใจนักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมารออยู่ในห้อง
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่ยอมปล่อยวางจนกว่าจะได้คำตอบที่พอใจ
การยึดติดของนกยูงทองผู้นี้ถือว่าอยู่ในระดับที่มากเกินไปหลายระดับ

"ความงดงามสำคัญกับเจ้ามากเลยหรือ"
"กับผู้อื่นก็ไม่เท่าไหร่ แต่เพราะเจ้ามันเรื่องมาก ไม่ยอมกล่าวคำออกมาสักทีต่างหาก"
หยางเฉิงพยักหน้า "ก็เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับข้าไง"
เจ้านกยูงทองยักไหล่ "ก็พอเห็นอยู่" จากนั้นก็รู้ตัวว่าถ้อยคำนี้มีความหมายที่สื่อถึงการเสียมารยาทกับฮูหยินของผู้อื่น "ฮูหยินของท่านอาจมิใช่หญิงงามอันดับหนึ่ง แต่นางก็เป็นคนเก่งและรอบรู้"
"ซึ่งนั่นยอดเยี่ยมกว่าความงดงามมากนัก"
เป็นคำกล่าวที่ตอกย้ำความยึดมั่นของนกยูงทองเป็นอย่างมาก
"ข้า...ไม่เก่ง ฝึกฝนเท่าใดก็ยังอยู่ในชั้นปลายแถว ดีที่มีผมสีทองนี่เท่านั้น" ยิ่งพูดน้ำเสียงก็ยิ่งเบาลง
แต่ริมฝีปากบางกลับขยับเข้าไปใกล้ จนริมฝีปากต่อริมฝีปาก รับรู้รสสุราที่หยางเฉิงดื่มก่อนหน้า แต่กลับไร้การตอบรับ

นกยูงทองรู้สึกผิดหวัง แต่ยิ่งผิดหวังมากขึ้นเมื่อหยางเฉิงกล่าวคำ

"แม้แต่จูบก็ยังทำได้ไม่ดี"
"ไม่ดีเพราะ...เพราะ...ข้าไม่เคย..." การถูกผู้อื่นกล่าวคำตำหนิอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เจ็บปวดเช่นนี้เอง
"จูบน่ะ ทำเช่นนี้" หยางเฉิงช้อนคางสวยให้เงยหน้าขึ้นมารับจูบที่ทั้งร้อนแรงและพาให้ร่างกายหลอมละลายจนต้องโอบไหล่อีกฝ่ายไว้
ทั้งเมื่อหยางเฉิงละจูบออก ยังพาให้รู้สึกโหยหา ริมฝีปากบางที่แดงช้ำยังต้องการจูบอีก
นกยูงทองยกตัวตามริมฝีปากของหยางเฉิงแลกจูบร้อนแรง ยิ่งเมื่อริมฝีปากสัมผัสพวงแก้ม ใบหู เรื่อยลงมาที่ลำคอยาว ยิ่งพาให้โหยหา ไม่ขัดขวางมือใหญ่ที่ถอดเข็มขัด แล้วแทรกเข้ามาสัมผัสร่างกาย และแก่นกายอ่อนนุ่มที่แข็งขึ้นตามสัมผัสที่ลูบไล้
นกยูงทองอาจไม่มีประสบการณ์โดยตรง แต่ย่อมรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ และรู้ว่าหยางเฉิงขีดเส้นความสัมพันธ์นี้ไว้ที่ไหน เมื่อความต้องการไต่ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด หยาดหยดน้ำสีขาวขุ่นเอ่อล่นขึ้นมา ก็ก้มหน้าลงซุกกับไหล่หนาของหยางเฉิง
"ขอโทษ"
"ขอโทษทำไม"
"เพราะข้ารู้ว่าท่านมิได้ต้องการข้า แต่นี่เป็นเพราะข้าตามตื้อท่าน"
"อย่าคิดมากสิ" หยางเฉิงเช็ดมือกับชายเสื้อของตนเองแล้วแต่งตัวให้นกยูงทอง "คืนนี้จะกลับไปป่าสีทองไหวไหม"
นกยูงทองยังไม่ทันจะพยักหน้า หยางเฉิงก็กล่าวต่อ "หากไม่ไหวจะได้อุ้มขึ้นไปที่ห้องนอนข้า"
หลังจากที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วสร้างความปวดหัวและเหน็ดเหนื่อยให้กับหยางเฉิงมาหลายครา แต่ตอนนี้คนที่ยังนั่งอยู่บนตักกำลังหน้าแดงจัด ทั้งไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี
"ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะอุ้มไหว เพราะตัวเล็ก แต่ที่จริงเจ้าตัวเล็กมาก ให้อุ้มแขนเดียวยังได้"
นกยูงทองโอบรอบคออีกฝ่าย วางคางลงบนไหล่หนา

...ดูท่าแล้วหยางเฉิงน่าจะอุ้มด้วยแขนเดียวได้สบาย อย่างที่พูดจริงๆ...

...จบตอน หยางเฉิง-นกยูงทอง(1)...
เจตนาแรกจะต้องเขียนตอนพิเศษ พ่อเสือโคร่งกับแม่เล็ก แต่พอกลับไปอ่านทวนหยางหลงกับกวางทองก็สะดุดกับชื่อคงเซียะ หันไปถามป๋าว่าชื่อนี้มายังไง ป๋าบอกว่าตั้งใจจะให้คู่นี้คู่กัน แต่พอเขียนลงไปแล้วมันผิดจากเจตนา ที่จะเล่าทีละคู่ ก็ลบออกไป ดังนั้นผม (น้ำชา) จึงเอามาเขียน
ซึ่งตอนแรกมันเป็นภาษาแบบคนไฮเปอร์มาก แก้อยู่หลายรอบ หากอ่านแล้วไม่เข้าใจ หรือมีความไม่เห็นด้วยอย่างไร โปรดบอกกัน
จะส่งตัวการ์ตูนมาทัก หรือจะพิมพ์ตัวหนังสือสัก 1 คำ 1 ประโยคก็ทำให้มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนกยูงทองก็จะเป็นจิ้งจอกไฟ ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายแล้ว
นี่เราลงเรื่องนี้กันมานานข้ามปีแล้วนะเออ
ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาตลอด โปรดอยู่ด้วยกันไปตลอดๆ นะครับ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P34(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-08-2018 19:28:39
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P34(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-08-2018 21:39:05
อู้หู เจ้าตัวยุ่ง ป่วนเขาไปทั่วเชียว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P34(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 28-08-2018 22:30:38
ยิงยาวเลย แต่ละตอนยาวมาก ทะยอยเก็บจนทันจนได้
สำนวนการเขียนของคุณน้ำชากับคุณไจฟ์ปกติก็เป็นเอกลักษณ์อยู่แล้ว จะแต่งนิยายยุคปัจจุบันหรือย้อนอดีตก็มีวิธีการร้อยเรียงประโยคที่ต่างจากนักเขียนคนอื่น ๆ ชัดเจน พอมาเป็นเรื่องนี้ก็ยิ่งชัดเข้าไปใหญ่ ด้วยความที่ไม่ชินกับสำนวนเขียนแบบนี่มากนัก ปกติเวลาอ่านนิยายของ MyTeaMeJive ที่ผ่าน ๆ มา ก็จะต้องตั้งสติกับการอ่านมากเพราะมีวิธีเล่าเรื่องและการบรรยายที่เฉพาะมาก แต่เรื่องนี้รู้สึกว่ายากกว่าทุกเรื่องที่เคยอ่านมา ทั้งอ่านยากทั้งอ่านสนุกเหมือนเคย ส่วนตัวรู้สึกว่าภาคแรกยังพอปะติดปะต่อเหตุการณ์และเข้าใจความคิดการกระทำของลู่กวางทองกับเจ้าเมืองหยางได้ แต่พอภาคสองแล้วความที่มีปมเยอะเลยแอบงงหน่อย ๆยัง ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมตัวละครถึงได้มีชุดความคิดหรือเลือกตัดสินใจแบบนั้น โดยเฉพาะคุณฮ่องเต้ แต่ก็ดีใจที่สุดท้ายเรื่องจบลงไ้ด้ด้วยดี  เดี๋ยวจะรอภาคสุดท้ายนะคะ ขอบคุณมาก ๆ ที่แต่งนิยายสนุก ๆ ออกมา เป็นกำลังให้เสมอค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P34(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 28-08-2018 23:12:21
เห็นด้วยกับคห.ข้างบนเลยค่ะ

ส่วนของตอนนี้ตรง

"หยุดตะโกน" น้ำเสียงของ หยางหลง นิ่งมาก และก็ทำให้นกยูงทองนิ่งได้ทันทีเช่นกัน
"โกรธที่ข้ากล่าวถึงพี่ชายเจ้าหรือ อิจฉาละสิ"
หยางหลง นึกอยากตบศีรษะเจ้าตัวเล็กเสียงดังนี่สักทีสองที

คิดว่าน่าจะ หยางเฉิง นะ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P34(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-08-2018 00:11:20
นกยูงท๊องงงงงง แสบมากๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P34(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 29-08-2018 09:06:43
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P35(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 29-08-2018 11:09:59

นกยูงงงงง ลูกเอ้ย เสร็จตระกูลหยางอีกจนได้  :mew1:   

นี่ถ้าเราจะบอกว่า เตรียมลงเรือบาปไปกับนกยูงตอนต่อไปอย่างจดจ่อ จะว่าเราป่าว  :hao7:


ว่าแต่ กด+เป็ดไม่มี ซะแล้วอ่า ให้นี่แทนละกันเนาะ >>> :L1: <<<



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P35(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 30-08-2018 11:30:57
55555 เจ้านกยูงทอง
เสร็จแน่ๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P35(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 30-08-2018 12:52:21
ขอบคุณนะคะ คุณไจฟ์ กะ น้องน้ำชา
คิดถึงเสมอ... แต่เข้าเล้าจากมือถือไม่ได้ พอลงชื่อจะเข้ามา มันเด้งออกตลอด
จนหงุดหงิออ่ะ

นกยูงทอง เอาแต่ใจจริงนะ
แต่ก็จริงอ่ะ  มันคงภูมิใจในความสวยงามของมันเนอะ
เคยไปเจอที่รีสอร์ทแถวเมืองกาญจนบุรี เราต้องไปรอมันอยู่นาน กว่ามันจะยอมแพนหาง
ยอมรับว่า จังหวะที่มันค่อยๆ คลี่หางออกจนเต็มที่ มันน่าประทับใจมาก 
แล้วมันค่อยๆ หมุนเดินเยื้องย่าง ได้น่าหมั่นไส้มาก 555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P35(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 30-08-2018 14:57:58
นกยูงตัวแสบ  :hao3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P35(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 07-09-2018 14:30:32
ขอเเปะก่อนเดี๋ยวพี่มานะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P35(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-09-2018 15:47:28

 :กอด1: รออยู่จ้า  :กอด1:



หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P35(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 07-09-2018 17:36:17
 :katai5:มารอจ้าาาาา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P35(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: windy49 ที่ 07-09-2018 23:46:40
นกยูงทองตัวแสบจะรอดไหมนะ
รอนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (1)P35(280861)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 08-09-2018 02:54:39
ยังอีกหรอ...  :z13:
หัวข้อ: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-09-2018 17:01:28
ตอนพิเศษ หยางเฉิง-นกยูงทอง ตอนที่สอง

เจ้าเมืองลั่วคนดีมาหาลู่กวางทองตามกำหนดเวลาอย่างสม่ำเสมอ พอครบกำหนดเวลาจะต้องกลับไป ลู่กวางทองก็มาส่งถึงปากทาง คนรักร่ำลากันด้วยความรัก และการให้กำลังใจกันและกัน
บรรยากาศตอนร่ำลากันของผู้อื่นคงเต็มไปด้วยน้ำตา แต่เพราะนี่คือลู่กวางทอง ในทุกอารมณ์ ทุกความเศร้าจึงมักมีความหวังเจือปนอยู่เสมอ
เสียแต่ว่าในตอนที่เดินกลับเข้ามาในป่า กวางทองพบกับสหายหน้าตาหม่นหมองมารออยู่
"เป็นอันใด หน้าตาไม่สดชื่นเลย"
"ฮื่อ ข้ากำลังใกล้จะเป็นบ้าแล้ว" ผู้ที่เคยเชื่อมั่นในความงดงามที่เป็นหนึ่งมีสีหน้าซีดเซียว ชวนเพื่อนรักไปนั่งคุยกันใกล้น้ำตก
ปกตินกยูงทองจะพูดเยอะ และเสียงดัง แต่พอเงียบไปนานกวางทองก็ตระหนักว่านี่ต้องเป็นเรื่องใหญ่มาก
ทั้งที่เท้าแช่อยู่ในน้ำเย็นสมควรรู้สึกผ่อนคลายลง แต่สีหน้าท่าทางของนกยูงทองเต็มไปด้วยความอึดอัดคับข้องใจ
ความสามารถพิเศษของกวางทองไม่มีผลต่อสหายตัวน้อยในยามนี้
“เล่าให้ฟังได้หรือไม่”
คิ้วงดงามเลิกขึ้นสูง “อ่านใจเอาเองไม่ได้หรือ”
กวางทองเอียงคอ “ก็พอจะได้อยู่ แต่เจ้าปิดใจไว้เกือบครึ่ง เล่ามาดีกว่า”
"ข้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้แต่ว่า ได้ยินแต่เสียงตนเองตอนที่กล่าวตำหนิเจ้ากับจิ้งจอกไฟที่ไปชอบมนุษย์ ที่ทำเรื่องไม่ดีไปพัวพันกับคนที่มีครอบครัวแล้ว"
นี่เป็นคำขึ้นต้นที่ไม่ค่อยสร้างความเข้าใจสักเท่าไหร่ นกยูงทองหันมามองหน้ากวางทองแล้วถอนหายใจ
"หลายคืนก่อนข้าไปค้างที่เรือนท่านหยางเฉิง"
ดวงตาสีทองเบิกกว้าง
"คือมันแบบ...ข้าก็ไม่เข้าใจตนเองว่าทำไปได้อย่างไร" นกยูงทองกลุ้มใจมาก "ตอนแรกเลย ข้าสงสัยและอยากรู้ ข้าจึงตามไปจนถึงเรือนของเขา แต่เขาไม่เหมือนผู้อื่น เขาไม่เห็นว่าข้างดงามที่สุด”
"ห๊ะ" 
กวางทองตกใจร้องเสียงดังจนคู่สนทนาต้องรีบใช้มือปิดปาก "จะร้องเสียงดังไปทำไมกัน"
“ก็ตกใจ” ผู้มีดวงตาสีทองยอมรับ
“แต่ข้าโกรธ ข้าคือนกยูงทองนะ” นี่เป็นเรื่องจริงจังและเป็นเรื่องใหญ่มาก “เขาเมินข้า ไม่ชมข้าสักคำ”
ผู้มีดวงตาสีทองลดเสียงลงมาอีก "คำชมนั่น มันสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ"
นกยูงทองหน้างอ “เจ้าจะไปเข้าใจอันใด ทุกคนล้วนชมว่าเจ้างดงามอยู่แล้ว ส่วนข้าน่ะ...เขากลับไม่เห็นว่าข้างดงาม”
กวางทองเกาหน้าผากตนเอง คล้ายจะเข้าใจ และคล้ายไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน
นกยูงทองร้องเสียงดัง “เจ้าเข้าใจหรือไม่ คนอื่นจะคิดอย่างไรก็ช่าง แต่เพราะเป็นเขา เรื่องนี้จึงสำคัญมาก”
กวางทองชันเข่าขึ้นมากอด...ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
"แล้วอย่างไรต่อ"
พอเริ่มเข้าใจสีหน้าก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น หากหยางหลงมาเห็นเข้าคงได้โดนดีดหน้าผาก
"อย่างไร อะไร”
“ก็ที่ว่าตามไปเรือนท่านหยางเฉิง แล้วอย่างไรต่อ”
"ครั้งแรกที่ข้าตามไปเจอเขานะ  ข้าก็ถามเขาตรงๆ ว่าใครงดงามที่สุดในสายตาของเขา แล้วเขาตอบว่าเป็นเจ้า"
"ห๊ะ" กวางทองร้องเสียงดังจนนกยูงทองต้องตะครุบปิดปากอีกหน
"จะดีใจทำไมกัน เขาเป็นน้องสามีเจ้านะ"
"ร้องแบบนี้ดีใจตรงไหน ตกใจต่างหาก"
เออ ก็จริง...นกยูงทองยักไหล่
"ยังไม่ทันจะซักถามอะไร เขาก็ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าข้า"
กวางทองตะครุบปิดปากตนเองก่อนที่จะส่งเสียงดังออกมา
"เขาจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนน่ะ ข้าก็เลยกลับมา ผ่านไปอีกหลายวันข้ากลับไปอีกที ตรงนี้แหละที่ข้ารู้สึกแล้วว่า มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับตัวข้า"
กวางทองที่ยังไม่คลายมือจากปากตนเอง พยักหน้าเร่งให้นกยูงทองเล่าเรื่องต่อ
"ข้านั่งรออยู่ในห้อง ท่านหยางเฉิงเข้ามาพร้อมกับภริยาที่ชื่อชุนผิง"
"นางคือภริยาเอก"
นกยูงทองพยักหน้า "ข้ายอมรับว่าอิจฉา แล้วต่อมานางก็ให้คนรับใช้นำสุราอาหารมา ท่านหยางเฉิงก็ดื่มสุรา ข้า...สนทนาอยู่ดีๆ ก็กลับไปนั่งตักเขาเสียอย่างนั้น"
กวางทองอ้าปากค้าง
"แล้วหลังจากนั้นก็...จูบ..."
สีหน้าของนกยูงทองมิได้เปลี่ยนสี แต่ผู้ที่ใบหน้าแดงจัดจนมาถึงลำคอคือกวางทอง
"ข้าค้างที่ห้องของเขา ไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น" จริงๆ นะ "แต่ข้าตื่นสายกว่าท่านหยางเฉิง พอออกมาจากห้องเห็นภริยาอีกคนของเขา ที่อายุน้อยที่สุดน่ะ"
"เผิง"
"คงใช่" หยางเฉิงมิได้แนะนำให้รู้จัก แต่เหมือนนางจะรู้ว่าคนที่ออกมาจากห้องคือใคร "นางกำลังทำความสะอาดห้องทำงานของท่านหยางเฉิงอยู่ พอเห็นข้า นางก็ถามว่าหิวหรือไม่ นอนหลับสบายหรือไม่ ต้องการอะไรหรือไม่พวกนั้น ต่อมาข้าก็พบกับบุตรสาวของท่านหยางเฉิง ที่มาบอกว่าบิดาอยู่ที่สำนักคุ้มกันภัยฝั่งตรงข้าม...ตอนนั้นข้ารู้สึกตัวว่าเป็นนกยูงทองที่เลวร้ายมาก พอกลับมาก็พยายามบอกตนเองว่าอย่ากลับไปอีก แต่ทีนี้พอยิ่งบอกตนเองก็ยิ่งอยากกลับไป ก็เลยทำอย่างที่เขาบอกกันมา ว่าให้ทำอะไรอย่างอื่น ให้เลิกคิด แต่พอรู้ตัวอีกทีก็คือข้ากำลังคิดอยู่..."

ผู้ที่มีดวงตาสีทองเลิกคิ้วขึ้นสูง การที่ได้รับความวางใจเป็นผู้รับฟังก็ดีอยู่หรอกแต่เหมือนนกยูงทองกำลังหารือเรื่องการลืมความรู้สึกดีที่มีต่อหยางเฉิง

"ความรักมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา รักก็คือรัก คนมีหลายรูปแบบ ความรักก็มีหลายรูปแบบ เพราะความรักเป็นเช่นนั้น คนที่รักแล้วพุ่งตรงเข้าหาในทันทีจึงมักเจ็บปวด ผู้ใหญ่จึงสอนเราให้รั้งรอเวลาศึกษาอีกฝ่าย ทำความรู้จักนิสัยใจคอของกันและกัน ก่อนที่จะตกลงใจ ก็น่าจะเจ็บปวดน้อยลง"
"จะอย่างไรก็เจ็บปวดเช่นนั้นหรือ"
"ใช่ คิดถึงจนปวดใจ เป็นห่วงจนปวดใจ อยากไปหาก็กลัวว่าจะรำคาญ ไม่ไปหาก็กลัวว่าเขาจะคิดว่าเราเมินเฉย เขาดีกับใครก็อิจฉา เขาร้ายกับใครก็เป็นกังวลว่าเขาอาจถูกทำร้าย ต่อให้เขาเก่งมากขนาดไหน มั่นคงต่อเราขนาดไหนแต่ก็ยังมีความกังวลลึกๆ อยู่ในใจอยู่ดี"
นกยูงทองหลับตาลง "ข้านี่โง่จริงๆ อยู่ดีไม่ว่าดี"
"แต่ในความคิดวุ่นวายเหล่านี้ ทุกคราที่คิดถึงเขาเราก็มักจะยิ้มได้"
"ก็ใช่อีกนั่นแหละ"
"ข้าไม่มีคำแนะนำว่าสมควรตัดสินใจอย่างไร เพราะสังคมมนุษย์กับพวกเราในป่าสีทองน่ะไม่เหมือนกัน แต่ครอบครัวของท่านเฉิงเป็นครอบครัวใหญ่ มีภรรยาและอนุรวมเจ็ดคนครบถ้วนตามตำรา อ้อ ตอนนี้มีหกคนแล้ว แต่เขาเกรงใจชุนผิงภริยาเอกมากที่สุด เคยได้ยินมาว่าพวกนางจะผลัดกันปรนนิบัติท่านเฉิง"
นกยูงทองคิด "เช่นนั้น ในคืนนั้นคงเป็นชุนผิงใหญ่ เพราะพวกเขากลับมาที่ห้องด้วยกัน แต่ข้ากลับชิงค่ำคืนของนางไป"
กวางทองคิดอย่างไม่จริงจัง "นางอาจเลื่อนไปเป็นคืนถัดไปก็ได้"
"นี่ข้าจริงจังนะ"
"ขอโทษ" กวางทองยกมือขอโทษ "ข้าแค่รู้สึกว่าพวกนางอาจไม่เดือดร้อน"
นกยูงทองทำปากยื่น "คนที่ไม่รู้จักเดือดร้อนอะไรกับใครเขาคือเจ้านั่นแหละ" อาการคิดกังวลของนกยูงทองเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป "ข้าไม่เคยอยากมีความรู้สึกแบบนี้ แล้วยิ่งมาเกิดกับคนที่มีครอบครัวสมบูรณ์ ที่สำคัญคือ...ข้ารู้สึกเหมือนเขาเพียงคล้อยตามความรู้สึกของข้า มิได้คิดอะไรกับข้า"
"ก็เขาเพิ่งเจอเจ้าแค่ไม่กี่ครา"
"แล้วข้าควรทำอย่างไร"

...โอย นี่แหละคือคำถามที่น่ากลัวอย่างยิ่ง...
"เจ้าก็รู้ว่าทั้งหมดที่ข้าพูดมาน่ะ คือคำกล่าวของท่านพี่ กับแม่เล็กทั้งนั้น"

กวางทองที่มีผู้อื่นปกป้อง และตัดสินใจแทนมาตลอด ทั้งมีสามีเช่นหยางหลงเจ้าเมืองลั่วยังจะต้องคิดกังวลเรื่องใด นอกจากเรื่องของตนเอง "เพราะข้าอ่านความรู้สึกของท่านพี่ได้ ก็มีความเป็นห่วงในเรื่องความไม่ปลอดภัย เรื่องสุขภาพอื่นๆ แต่เรื่องกังวลใจ ความทุกข์ใจเพราะรักไม่เคยเกิดขึ้น แต่รับรู้ว่านั่นเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับท่านแม่เล็กตลอดเวลา"
ความรู้สึกของท่านหยางหลงนั่นหรือ ต่อให้เป็นนกยูงสีน้ำตาลไม่มีพลังวิเศษอันใดยังรู้เลยว่ามั่นคงกับลู่กวางทองเพียงผู้เดียว
ส่วนท่านเทพเสือโคร่งภูผา...เฮ่อ...ท่านแม่เล็กช่างน่าสงสาร
"ข้าเล่าให้เจ้าฟังขนาดนี้ อย่ามาบอกปัดให้ไปหาแม่เล็กเชียวนะ" นกยูงทองโวยวาย
"เปล่าสักหน่อย มันคือหลักการกับความเป็นจริงต่างหาก" เวลาท่านแม่เล็กเถียงกับท่านพ่อเสือโคร่งก็มักขึ้นต้นด้วยถ้อยคำแบบนี้ "เออใช่ ท่านเฉิงเป็นคนเข้มงวด หลังจากที่ซูเหยาทำความผิดร้ายแรง เขาก็หย่าร้างกับนาง แต่ยังมิได้สมรสใหม่"

นกยูงทองรู้สึกเหมือนมีความหวัง 
...แต่เดี๋ยวนะ เขาเป็นคนเข้มงวดหรือ แล้ว...ข้าเป็นคนหัวอ่อนยอมปฏิบัติตามกฎระเบียบอะไรหรือไง

"แต่ตามขั้นตอนมันก็ควรจะเริ่มจากการความรู้จักกันใช่ไหม ทำให้เขารู้ว่าเจ้าคิดอย่างไร"

...แปลว่าข้าต้องจีบเขาหรือ...
"จริงๆ หรือ"
"ตั้งแต่แรกมาเจ้าก็จีบเขาก่อนมิใช่หรือไง"

นกยูงทองทำหน้างอ
...ไม่เพียงเริ่มจีบก่อน ข้ายังเป็นฝ่ายเริ่มก่อนในทุกเรื่องอีกด้วย...
ก็ข้าเป็นนกยูงทองนี่ ในฤดูผสมพันธุ์ สิ่งที่ข้าทำก็คือการแพนหางงดงามอลังการของข้าให้บรรดาตัวเมียทั้งหลายมาเชยชมแล้วข้าก็จะเป็นฝ่ายเลือก
...เพียงแต่...ในรอบเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยเลือกใคร...

"แล้วท่านเจ้าเมืองจะมาที่นี่ในอีกสองเดือนข้างหน้าใช่หรือไม่"
กวางทองส่ายหน้า "อีกสองเดือนข้าจะไปหาเขาที่จวนเจ้าเมือง พวกเราไปพร้อมกันก็ได้"
นกยูงทองเอียงคอดวงตาสีดำขลับแวววาว "ข้าไม่ได้อยากไปสักนิด แต่เพราะไม่อยากให้เจ้าเดินทางตามลำพังก็เลยจะไปเป็นเพื่อน"
"ใช่แล้ว" รอยยิ้มกว้าง ยิ้มจนเหมือนแก้มจะแตก "ข้ายังไม่เก่ง เดินทางไปเองไม่ค่อยสะดวก แล้วดูเหมือนพี่หญิงก็จะไม่ว่าง ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว"
นกยูงทองทำเสียงจิ๊กจั๊ก "มีเพื่อนไม่เอาไหนเช่นเจ้านี่ ช่างเหน็ดเหนื่อยผู้อื่นจริงๆ"

เสียงหัวเราะสดใสและคำกล่าวเย้าแหย่กันของเพื่อนรักดังประสานกับเสียงน้ำตกในป่าสีทอง

ในวันเดินทาง นกยูงทองไปส่งกวางทองที่จวนเจ้าเมืองก่อน จากนั้นจึงมาที่สำนักคุ้มกันภัยของหยางเฉิง
คนเมืองลั่วมิได้สวมชุดคลุม แต่เพื่ออำพรางเส้นผมสีทอง นกยูงทองจึงต้องสวมเสื้อคลุมสีน้ำตาล แต่นั่นกลับทำให้ยิ่งโดดเด่นสะดุดตา ผู้คนพากันหันมามองตลอดทางจนมาถึงสำนักคุ้มกันภัย
คนรับใช้เข้ามาไต่ถามว่าคุณชายน้อยมาหาผู้ใด นกยูงทองก็บอกไป
"ข้าชื่อคงเซียะ มาพบท่านหยางเฉิง" จากนั้นก็นั่งจิบน้ำชารออยู่ครู่หนึ่ง หยางเฉิงจึงออกมา แล้วหันไปบอกกับเจ้าหน้าที่ในห้องนั้นว่าคือสหายของท่านกวางทอง
เมื่อปลดผ้าคลุมศีรษะออก เส้นผมสีทองเป็นประกายงดงามประจักษ์แก่สายตาของทุกคน
"คุณชายคงเซียะสหายของคุณชายลู่นั่นเอง ต้องขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับให้ดี ว่าแต่ผู้ที่มาจากป่าสีทองนี่ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีรูปงามนะขอรับ"
นกยูงทองยิ้มกว้าง ทั้งคาดว่าจะแสดงสีหน้าพอใจอย่างมากชัดเจนมากเกินไปจนผู้ที่เป็นเจ้าบ้านหัวเราะเบาๆ
"หัวเราะอันใด"
"หัวเราะเจ้านั่นแหละ คนรับใช้เพียงกล่าวคำชมเชยตามมารยาท เจ้าก็ยิ้มไม่หุบ"
"แน่ใจในคำกล่าวออกมาแล้วหรือเปล่า พี่ชายท่านนี้กล่าวว่าผู้ที่มาจากป่าสีทองเป็นผู้ที่มีรูปงาม กวางทองเอ้อ...คุณชายลู่ก็มาจากป่าสีทองเหมือนกัน" ชมข้าก็เท่ากับชมกวางทองนะ
ที่หยางเฉิงกล่าวย่อมเป็นคนละความหมายกับที่นกยูงทองยกขึ้นมาอ้างถึง แต่เพราะรู้แล้วว่าคนผู้นี้มั่นใจในความงดงามของตนเอง จึงได้แต่เปลี่ยนเรื่อง "แล้วนี่มาเพราะมีเรื่องใด"
"มาส่ง...ลู่น่ะ เสร็จแล้วไม่รู้จะไปไหน  เดินเล่นอยู่ก็นึกได้ว่ามีคนบอกไว้ว่าถ้าเบื่อก็ให้มาเที่ยวเล่นได้ ก็เลยแวะมา"
ชายหนุ่มส่ายหน้า เรียกให้ตามเข้าไปด้านใน "พวกผู้คุ้มกันกำลังฝึกดาบกันอยู่ เข้าไปทดสอบด้วยกันไหม"
นกยูงทองทำหน้าตาบิดเบี้ยว
...นกยูงที่ไหนชอบต่อยตีกับผู้อื่นกัน แต่เอาเถอะ เขาชอบคนเก่งนี่นา ลองดูสักหน่อยแล้วกัน...

เพิ่งเดินเข้าไปที่ลานฝึกด้านใน กวางทองก็มาถึงพร้อมกับหยางหลง
"เป็นอย่างไรบ้าง" กวางทองตรงเข้ามาหานกยูงทองในทันที
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วกับหยางเฉิงสองพี่น้องปล่อยให้เพื่อนรักสนทนาและชมการฝึกอาวุธ จากนั้นกวางทองก็กล่าวขึ้น
"เรื่องต่อยตีเราไม่เก่ง แต่พอจะทำอย่างอื่นให้ดูได้"
ทั้งสองคนออกไปยืนอยู่กลางลานประลอง เมื่อกวางทองยื่นมือออกมาด้านหน้าหงายมือขึ้น ผลึกใสทรงกลมสีทองขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็พลิกมือเล่นผลึกใสด้วยความชำนาญ นกยูงทองกระแทกที่ข้อศอกของกวางทองให้ผลึกกระดอนขึ้นสูงแล้วแย่งมาอย่างง่ายดาย
กวางทองหัวเราะจนดวงตาสีทองเป็นประกายขณะที่วาดมือแย่งชิงผลึกคืนมา
การเคลื่อนไหวของทั้งคู่ดูผิวเผินเหมือนการเล่นสนุก แต่เมื่อรวมกับการเคลื่อนที่ของผลึกสีทอง ประกายสีทองจากปลายนิ้วมือของทั้งคู่ และการสะบัดเส้นผมของนกยูงทอง หลอมรวมกันกลายเป็นความสวยงามที่ทำให้ดวงตาพร่าเลือน

การแย่งชิงผลึกจบลงด้วยการที่นกยูงทองเลี้ยงผลึกนั้นด้วยปลายนิ้ว โดยหมุนวนผลึกอยู่ห่างจากปลายนิ้วมากกว่าคืบจากนั้นสะบัดมือหนึ่งครา ผลึกก็หายลับไป
ทั้งคู่หันมาโค้งคำนับรับเสียงปรบมือจากผู้ชมรอบด้าน ซึ่งมีจำนวนมากกว่าทุกคราที่กวางทองมายังสำนักคุ้มกันภัย และเพื่อเป็นการสนับสนุนสหาย กวางทองจึงผายมือไปทางนกยูงทองที่ยิ้มแย้มรับคำชื่นชมเหล่านั้น
"ทุกคน นี่คือคงเซียะ สหายของข้าเอง ขอได้โปรดต้อนรับเขาและดูแลเขา ให้เหมือน...ไม่สิ ให้ดีกว่าข้าด้วยนะ"
เสียงขานรับที่ดังขึ้นทำให้นกยูงทองพอใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อการแสดงจบลงไปแล้ว หยางไห่ก็เพิ่งเดินทางมาถึง
"ได้ยินว่าน้องลู่พาสหายมาด้วย"
 
ในบรรดาพี่น้องสามคน หยางไห่คือคนที่มีรักเดียวอย่างแท้จริง เพราะมีภรรยาเดียว ไปทำการค้าที่ใดก็ไม่เคยใกล้ชิดหรือเรียกหาสตรีใด แต่เพราะมาถึงก็กล่าวคำทักทายสองสหายโดยที่ไม่ต้องมีใครแนะนำจากนั้นก็สนทนากันอย่างสนิทสนม
นั่นก็....ทำให้น้องรองของสกุลหยางรู้สึกหงุดหงิด...อยู่บ้าง

"เป็นอะไร" พี่ใหญ่ถาม
"ใครเป็นอะไร" น้องรองย้อนถาม
"เจ้านั่นแหละ หน้าตาเหมือนกำลังถูกแย่งของเล่น" พี่ใหญ่ยิ้มมีความสุขมาก
...เป็นการสนทนาที่ดูคุ้นๆ พิกล...
น้องรองกระแทกเสียงในลำคอเพื่อปิดการสนทนา จากนั้นหยางหลงและหยางไห่ก็รับหน้าที่พาสองสหายไปท่องเที่ยวในเมือง
ส่วนหยางเฉิง..อืม...เขาอารมณ์ไม่ค่อยดีน่ะ..

"แล้วจิ้งจอกไฟกับท่านพี่เทพเสือโคร่งศิลาดำไปอยู่ที่ใดกัน" หยางหลงถาม
"จิ้งจอกไฟถูกลงโทษเพราะทำเรื่องไม่ดี พี่เทพเสือโคร่งจึงลงโทษตนเอง เพราะคิดว่าเขาต้องร่วมรับผิดด้วยเช่นกัน" กวางทองหันไปทำตาตาโตกับสามี "นี่ไม่ได้แปลว่าพวกเราไม่เดือดร้อนกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เพราะเราก็มีหน้าที่ของเราเหมือนกัน ถึงท่านพี่จะเห็นว่ามันไร้สาระก็เถิด"
"นี่ พี่แค่ถาม ยังไม่ได้ตำหนิเจ้าสักคำเลยนะ"
นิ้วมือสวยของกวางทองจิ้มๆ ที่อกกว้าง "ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าท่านพี่คิดอะไร"
"แค่ถาม ไม่ได้คิดอะไรเลยสักหน่อย" หยางหลงบ่นกับตัวเอง
กวางทองก็รู้ว่าหยางหลงแค่ถาม แต่การกลั่นแกล้งหยางหลงก็เป็นเรื่องที่สนุกมาก หากมีโอกาสลงมือก็ไม่ควรละเลยมันไป

ใกล้ค่ำ ทั้งหมดกลับมากินอาหารค่ำร่วมกันที่จวนเจ้าเมือง แฝดสามที่น่ารักน่าชังพัวพันท่านพ่อกวางไม่ยอมห่าง แม้กระทั่งในตอนที่ท่านพ่อกวางจะไปส่งสหายที่เรือนรับรอง แฝดสามก็ยังติดตามไปด้วย

มาถึงตอนที่นกยูงทองเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ นำชุดเดิมมาให้กับคนรับใช้นำไปทำความสะอาด หยางเฉิงก็มาถึง
"มีอันใด"
"คืนนี้จะนอนที่นี่หรือ"
"ใช่สิ บ้านของท่านมีเรือนรับรองให้ข้าด้วยหรือ"
"ที่จริงก็มี..." หยางเฉิงกล่าวแล้วนิ่งไป
บ้านของหยางเฉิงไม่มีเรือนรับรอง เพราะต้องการแยกครอบครัวออกจากการงาน ไม่ว่าจะมีผู้มาเยี่ยมหรือติดต่อธุระใดๆ ก็จะพูดคุยกันที่สำนักคุ้มกันภัยที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกัน
แต่มีเรือนว่างอยู่หลังหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นเรือนพักของซูเหยาที่ถูกลงโทษจากการมีส่วนร่วมในการสังหารหยางเจียเจิง ซึ่งหลังจากที่เกิดเรื่องหยางเฉิงก็ให้คนนำข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดถูกย้ายออกไป เหลือเพียงตัวบ้านพักที่ว่างเปล่าเท่านั้น

"ท่านรู้ดีว่าข้าคิดกับท่านอย่างไร..."
"ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าคิดกับข้าอย่างไร" ชายหนุ่มกล่าวตามตรง "เจ้ามาหาข้า แต่ก็พูดจาสนิทสนมกับผู้อื่นโดยง่าย"
นกยูงทองกล่าวขัดขึ้น "พวกเขาคือคนของท่านทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งหึงหวงเพื่อให้ข้าคิดว่าท่านมีใจ"
หยางเฉิงใบหน้าเย็นชา พยักหน้าแล้วกลับออกไปโดยมิได้กล่าวอะไรอีก แต่นกยูงทองลอบตามออกไปเห็นว่าหยางเฉิงพูดคุยกับเจ้าเมืองลั่วอีกครู่หนึ่งก็กลับออกไป นกยูงทองจึงกลับมาที่เรือนรับรองของตนเอง
มนุษย์...ช่างเข้าใจยาก...

วันถัดมานกยูงทองก็ยังทำตัวติดอยู่กับกวางทองตลอดเวลา
หยางหลงไม่เดือดร้อนเพราะมีนิสัยตามใจภริยาอยู่แล้ว แต่อีกคน...ก็คนนั้นนั่นแหละ ไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ ผ่านไปจนถึงช่วงบ่ายก็เดินทำหน้าตาเฉยชามาที่จวนเจ้าเมือง
เจ้าแฝดสามเห็นท่านอารองมาหาก็ร้องทักทาย แต่พอเห็นว่าท่านอาหน้าตาน่ากลัวก็พากันไปหลบซ่อนอยู่หลังพ่อกวาง โดยเฉพาะเจ้าตัวเล็กหยางจินที่ถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้น
"ทำอะไร หลานกลัวท่านขนาดนี้" นกยูงทองเท้าเอว เกิดมาเพิ่งเคยเจอคนทำเด็กเล็กร้องไห้โดยที่ไม่ต้องกล่าวออกมาสักคำ
ขนาดท่านปู่งูหางกระดิ่งยังไม่ทำให้เด็กๆ กลัวขนาดนี้เลย
หยางเฉิงหันไปกล่าวคำขอโทษกวางทอง แล้วดึงมือของนกยูงทองออกมาที่ระเบียงนอกเรือน
"ไม่รู้จักมารยาทเลยหรือไง"
"อะไร"
"นานหลายเดือนน้องลู่จึงจะได้มาอยู่กับลูกๆ และได้อยู่กับพี่ใหญ่ เจ้าก็มาติดอยู่กับเขาตั้งแต่เช้าจนเย็น"
ใช่ว่านกยูงทองจะไม่รู้จักคิด แต่เพราะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดีนี่นา...
"ท่านเองก็ไม่ได้อยู่กับครอบครัวมานานหลายเดือนเหมือนกัน จะให้ข้าไปหาท่านหรือไง"
หยางเฉิงเชิดหน้าขึ้นสูง จากนั้นก็กลับไปโดยไม่ได้กล่าวคำใดๆ อีกครา นกยูงทองเกาท้ายทอยด้วยความงุนงงขณะที่เดินกลับเข้าไปในเรือน
"ท่านเฉิงมีเรื่องใด"
"เขามาต่อว่าที่ข้าทำตัวติดกับเจ้า แล้วก็กลับไป"
กวางทองหันไปหาสามีที่มีรอยยิ้มแปลกๆ 
"แปลกประหลาดทั้งพี่ทั้งน้อง" กวางทองบ่นแล้วก็หันมาเล่นกับแฝดสามต่อไป

หลังมื้อค่ำหยางเฉิงกลับมาอีกรอบ แล้วบอกให้นกยูงทองตามไปที่บ้าน
เรือนพักหลังเดิมที่เคยเป็นของซูเหยาหายไป
คือ...มันหายไปเหลือเพียงพื้นดินว่างเปล่า
"อะ อะไรกัน"
"ถ้าเจ้าตกลงใจ ข้าจะปลูกเรือนให้เจ้าอีกหลัง แต่หากไม่ตกลงใจ ข้าก็จะไม่ไปวุ่นวายกับเจ้าอีก"
นกยูงทองมองหน้าหยางเฉิงแล้วหันไปมองชุนผิงผู้เป็นภรรยาเอกของหยางเฉิงที่ยืนรออยู่
ทั้งที่นางสมควรไม่พอใจที่นกยูงทองเข้ามาวุ่นวายในครอบครัว แต่นับตั้งแต่แรกมานางก็มีรอยยิ้มเช่นนี้ และแสดงท่าทียินดีเช่นนี้อยู่เสมอ
เป็นความจริงใจที่งดงามในแบบของนาง...แบบที่ท่านหยางเฉิงบอกว่านี่คือความงดงามที่แท้จริง 
"ข้ารู้สึกละอายใจต่อท่าน" นกยูงทองกล่าวตรงไปตรงไป "ข้ารู้ว่าเขารักท่านมาก จึง..."
ชุนผิงจับมือของนกยูงทองไว้ "อย่าได้คิดวุ่นวายแทนข้า สำหรับข้าแล้วขอเพียงท่านพี่พึงพอใจ และมีความสุขยามที่ได้กลับมาถึงบ้านนั่นก็ดีที่สุดแล้ว อีกอย่าง ข้าเคยทำผิดเรื่องซูเหยา ทำให้ท่านพี่ต้องเสียใจ และทำร้ายครอบครัวท่านเจ้าเมือง" นางต้องปกครองคนในบ้าน และคนงานในสำนักคุ้มกันภัยยามที่หยางเฉิงไม่อยู่ นางคือหญิงแกร่งที่แท้จริง "หากท่านพี่พอใจ ข้าก็พอใจเช่นกัน"

...พวกเขารักกันมาก...

นกยูงทองที่กำลังซาบซึ้งใจและชื่นชมหญิงแกร่งอย่างชุนผิงถูกคนอุ้มขึ้นพาดบ่า แล้วพากลับมาที่เรือนพักหลังใหญ่
"นี่ ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ ข้าคือนกยูงทองแห่งป่าสีทองนะ ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว"
นกยูงทองโวยวายจนกระทั่งประตูห้องนอนปิดลง
"คืนนี้นอนที่นี่" หยางหลงออกคำสั่งขณะที่ปล่อยนกยูงทองลงยืนกลางห้องนอน
"ข้ายังไม่ได้ตกลงใจอะไรเลยนะ"
"ยังจะต้องตกลงใจอะไรอีก"
"ต้องตกลงใจสิ ข้าพูดและทำอะไรที่ไม่ได้คิดให้ดีไปตั้งเยอะ อย่างน้อยเรื่องนี้ก็น่าจะคิดสักนิดหนึ่ง"
หยางเฉิงส่ายหน้า เดินไปถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วนอนพิงหัวเตียง

"มันแปลว่าอะไร"
"เจ้าบอกว่าต้องการเวลาคิด ก็คิดไปสิ"
"เจ้ามันคนน่าโมโหที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา" ถึงตลอดชีวิตนี้จะรู้จักคนไม่มาก แต่คนผู้นี้น่าโมโหที่สุดแล้ว "ข้าจะกลับไปพักที่จวนเจ้าเมือง"
"นี่" เพียงก้าวเดียวหยางเฉิงก็คว้าแขนของนกยูงทองเอาไว้ได้ "เจ้าต้องการอะไรกันแน่"
...ที่ข้าต้องการมีเพียงท่าน...
"ท่านรู้ไหม ว่าเวลาที่เดินออกไปจากห้องนี้แล้วพบภริยาของท่าน พบลูกของท่าน พบคนของท่าน ข้ารู้สึกอายขนาดไหน วุ่นวายใจมากเพียงใด"
"แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังกลับมา"
"ข้ามาส่งลู่กวางทองต่างหาก"
หยางเฉิงหรี่ตาลงข้างหนึ่ง "ตอบใหม่ เจ้ามาเพราะใครกันแน่ ข้า หรือน้องลู่"

...คนผู้นี้ต้องมีความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นเหมือนกวางทองแน่ๆ... 
"ข้า...ข้า..."
"ตอบ!"
"ก็เพราะเจ้าน่ะแหละ! แต่ข้าอาย อายทั้งท่านและภรรยาของท่าน อายคนทั้งเมือง พอใจหรือยัง"
"เจ้าทำถึงขนาดนี้ ยังมีอะไรที่ต้องอาย"
นกยูงทองชกไปหนึ่งหมัดแต่ไม่ต่างอะไรกับชกกำแพงหนา
"โอ๊ย เจ็บ"
หยางเฉิงหัวเราะ จับมือข้างที่เพิ่งชกตนเองมานวดให้
"ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าเป็นใหญ่"
"ไม่บอกก็รู้อยู่แล้ว"
"แล้วเจ้าเข้ามาวุ่นวายในบ้านข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต"
"ขอโทษ"
"วุ่นวายในครอบครัวข้า"
"ขอโทษ"
"ควรลงโทษอย่างไร"
ดวงตาสีดำขลับช้อนมองด้วยความสำนึกผิด "ข้าไม่ได้หวังให้ท่านชอบข้าสักหน่อย ไม่ได้หวังว่าจะมาอยู่ที่นี่เหมือน...เหมือนภริยาของท่าน ก็แค่...อยากพบ"
"ข้าบอกเจ้าแล้วว่าที่นี่คือบ้านของข้า ข้าเป็นคนออกกฎ"
นกยูงทองก้มหน้า "จะลงโทษอะไรก็ตามแต่ท่านเถอะ ขอแค่อย่าลงโทษว่าห้ามมาพบท่าน"

หยางเฉิงมิได้กล่าวถึงบทลงโทษ แต่ปลดเข็มขัดและถอดเสื้อผ้าของนกยูงทอง
"เดี๋ยว" ก็มิได้คิดจะเล่นตัวอะไรในเวลานี้หรอก แต่มันเร็วเกินไป กวางทองบอกว่าต้องเริ่มจากการทำความรู้จักกันมิใช่หรือ
แต่หยางเฉิงไม่ได้เริ่มต้นแบบนั้น ทั้งไม่ยอมฟังคำพูดที่กล่าว
ก่อนนี้ก็ไม่มอง
ต่อมาก็ไม่เอ่ยชม
มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟังคำที่พูด
นี่ข้าชอบเขาได้อย่างไรกัน!
เพราะจูบที่ร้อนแรงแบบนั้น สัมผัสที่ลูบไล้ไปทั่วตัวแบบนั้น ไม่เปิดโอกาสให้นกยูงทองกล่าวคำได้จบประโยคเลยสักประโยค

"เจ้าบ้านี่! ฟัง...อื้อ..ฟัง...."
...เดี๋ยวนะ เจ้านี่มีแต่ภริยาที่เป็นสตรีมิใช่หรือ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าต้องทำกับบุรุษอย่างไร หรือว่าตอนที่ไปที่อื่นเขาจะ...
"โอ้ยเจ็บ...เจ็บ จะฆ่ากันหรือไง เอาออกไปเดี๋ยวนี้ เจ้าบ้า...."

เวลาผ่านไปค่อนคืนหยางเฉิงจึงพลิกกายลงมาจากผู้ที่มีร่างกายเล็กกว่าแล้วกอดไว้
"เจ็บนะ เบาๆ หน่อยไม่ได้หรือไง"
หยางเฉิงหัวเราะขณะที่ก้มลงจูบหน้าผาก จูบปาก เจ้านกยูงทองพูดมาก 
"นี่..."
เมื่อร่างกายเสียดสี ก็พาความต้องการกันและกันกลับมาอีกครั้ง

"ไม่ต้องรักข้าก็ได้ ขอแค่..."
"แล้วเจ้าคิดว่าที่ข้าไปชิงตัวเจ้ามาจากจวนเจ้าเมืองเพราะอะไร"
"เพราะ...อื้อ..." นี่แม้แต่จะคิด เจ้าคนนี้ก็ยังไม่ยอมให้คิดเลยหรือไง
...ข้าต้องเป็นบ้าเพราะคนผู้นี้แน่ๆ...
...
...
(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-09-2018 17:02:33
(ต่อ)

ตลอดชีวิตห้าร้อยปีของบิดานกยูงทองเปลี่ยนรูปเป็นมนุษย์เพียงสามครั้ง สองครั้งแรกคือเมื่อต้องพบกับอดีตเจ้าเมืองลั่ว แต่ครั้งที่สามเป็นเพราะต้องพบกับน้องรองของเจ้าเมืองลั่วคนปัจจุบัน
ตลอดชีวิตห้าร้อยปีของบิดานกยูงทอง เคยโกรธมากไม่เกินสามครา สองคราแรกก็เพราะอดีตเจ้าเมืองลั่ว แต่ครั้งนี้กำลังโกรธบุตรชายของตนเองที่พาน้องรองของเจ้าเมืองลั่วคนปัจจุบันมาพบ
ทั้งคู่คุกเข่าอยู่หน้าบิดา ท่ามกลางฝูงนกยูง และนกป่ามากมาย
“บิดา ข้าขอออกจากป่าไปอยู่กับท่านพี่นะ” ฟังบุตรผู้นี้กล่าวคำออกมาสิ มันน่าโมโหหรือไม่
“มนุษย์ ทั้งยังมีเมียมีลูกอยู่แล้วเต็มบ้าน เจ้าคือนกยูงทองแห่งป่าสีทองนะ! เจ้าหาได้เป็นรองผู้ใดในป่าสีทอง แต่นี่เจ้าไปอยู่ในตำแหน่งที่เขาจะมีเจ้าหรือไม่มีเจ้าก็ได้ ที่สำคัญคือ ขณะที่เจ้าคงอยู่เช่นนี้ตลอดไป มองเห็นพวกเขาเปลี่ยนแปลง โรยราลงไปทุกวัน และจากเจ้าไป”
“ข้ารู้”
“ในป่านี้ มีนกยูงมากมายให้เจ้าเลือก”
“แต่เขาเลือกข้า” หยางเฉิงขัดขึ้นมา “ข้ายินดียิ่ง และขอให้คำมั่นว่าจะดูแลคงเซียะให้ดีที่สุด”
“ดีที่สุดของเจ้าเป็นอย่างไร สัญลักษณ์สีทองนั่นบ่งบอกว่าเขาคือหนึ่งในที่แห่งนี้”
“คงเซียะเป็นที่หนึ่งมิเปลี่ยนแปลง” หยางเฉิงเตรียมพร้อมมาดี “เขาเป็นเมียข้า ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นบุตรของท่าน ไม่ได้ทำให้สัญลักษณ์สีทองนั้นจางลง เขาเพียงแค่ย้ายไปนอนที่เรือนของข้า และสามารถมาพบท่านได้ตลอด หรือหากท่านจะไปหาเขาที่เรือน ข้าก็มิได้หวงห้าม”
บิดานกยูงทองคิดตาม
“ท่านเลี้ยงดูคงเซียะให้เป็นอิสระ ข้าก็ไม่เคยคิดที่จะกักขังเขา และรู้ดีว่าชีวิตมนุษย์หาได้ยืนยาว จึงขอให้ท่านเมตตา ให้ข้าได้ใช้ช่วงเวลาที่มีอยู่ ดูแลเขาด้วย” ชายหนุ่มโขกศีรษะเสียงดัง
บิดานกยูงทองถอนหายใจยืดยาว ขณะที่นกน้อยที่เกาะกิ่งไม้อยู่ใกล้ๆ ส่งเสียงร้องขึ้นมา บิดาก็กลับมาโมโหเป็นครั้งที่สี่ในชีวิต
“เจ้านี่มัน!”
หยางเฉิงหันไปมองหน้านกยูงทองที่กำลังชี้นิ้วจะร้องด่านกน้อยตัวแสบทั้งหลาย
“เจ้านกน้อยพวกนั้นฟ้องว่า ภรรยาของท่านทั้งหมดล้วนมีฝีมือ แต่ข้าทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
“เจ้านกน้อยพวกนั้นพูดจริง” บิดานกยูงทองบอก แล้วออกคำสั่งอีกครั้ง “หนึ่งเดือนนี้เจ้าไปอยู่กับกวางไพลิน ฝึกหัดทำอะไรสักอย่างให้มันได้เรื่องได้ราว แล้วค่อยมาดูกันว่าสมควรออกไปอยู่กับเขาหรือไม่”
“บิดา”
“น่าอาย น่าอายจริงๆ” ผู้เป็นบิดาไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว
หยางเฉิงไคร่ครวญ “เช่นนั้นข้าจะกลับไปปลูกเรือนให้เจ้าก่อน หากหนึ่งเดือนนี้ เจ้าเรียนกับท่านกวางไพลินแล้วยังมิได้ความก็ค่อยเปลี่ยนไปเรียนกับชุนผิง”
“ตกลงตามนั้น” นกยูงทองร้องเสียงดัง
ก่อนที่บิดานกยูงทองจะกล่าวคำใด ฝูงนกตัวน้อยก็ให้ข้อมูลกับบิดานกยูงทองอีกครั้ง
“เจ้านี่มัน” บิดานกยูงทองนึกคำพูดต่อไปไม่ออก
หยางเฉิงประสานมือ “ขอบคุณท่านพ่อตาที่ให้ความเมตตา อีกหนึ่งเดือนข้าจะยกขบวนมารับเจ้าสาว” ชายหนุ่มกล่าวแล้วโค้งคำนับขอบคุณพ่อตาอีกครั้ง

...จบตอนพิเศษหยางเฉิง-นกยูงทอง...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 09-09-2018 18:53:44
หยางเฉิงตกหลุมนกยูงทองซะงั้น
เห็นเต๊ะ ไม่สนใจอยู่แหม่บๆ แท้ๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-09-2018 22:16:52
สงสารท่านพ่อตานกยูงที่ต้องรับมือกับลูกและลูกเขย แสบทั้งคู่
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-09-2018 22:42:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 10-09-2018 02:46:24
 :impress2:
มาแล้ววววววว แต่เดี๋ยวมาอ่านเน้อออ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 10-09-2018 09:20:50
นกน้อยก็ช่างฟ้องเหลือเกิน...ฟ้องมากๆ นกยูงทองคงขายไม่ออกแน่ๆ  :z1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 10-09-2018 13:27:09
มาแล้วววว  คิดถึงน้องจ๋า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 11-09-2018 13:10:37
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 11-09-2018 14:28:04
เจ้ายูงทอง และหยางเฉิง แสบพอกัน 5555555
ชอบบบบบ

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 12-09-2018 04:28:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 12-09-2018 16:49:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 14-09-2018 19:46:54
 :3123: :3123:
 
เเกงค์ตัวเเสบทั้งนั้น
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 14-09-2018 22:19:17
 :jul3:

 :กอด1: ขอบคุณนะ

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 15-09-2018 06:05:57
 :m22: :m22: :m22: มารึยังจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest พิเศษนกยูงทอง (2)P35(090961)
เริ่มหัวข้อโดย: piggyfree ที่ 15-09-2018 16:05:51
มาเหอะ  เรามารอแล้ว
จริงๆ อยากอ่านตอนที่กวางทอง กับสามแฝดอยู่ด้วยกันจัง
อยากอ่านพัฒนาการของสามแฝดด้วยค่า  :3123:
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่33 P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 15-09-2018 18:08:02
ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สามสิบสาม


เรื่องราวของจิ้งจอกไฟเริ่มขึ้นก่อนที่กวางทองจะถือกำเนิดหลายปี
เรื่องราวเริ่มขึ้นตั้งแต่ครั้งที่จิ้งจอกไฟยังเป็นจิ้งจอกไฟตัวน้อยแล้วพบกับกลุ่มพรานป่าเข้ามาล่าสัตว์ในเขตรอบนอกของป่าสีทองเมืองลั่ว ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสัตว์ป่าและของป่าหายาก
พื้นที่ป่าไม่มีรั้ว ไม่มีประตู นอกจากพรานจากหมู่บ้านใกล้เคียงจะมาที่นี่แล้ว ก็ยังมีพรานจากเมืองอื่นเดินทางเข้ามาเช่นกัน
แต่พรานป่าที่ติดอยู่ในใจของจิ้งจอกไฟคือ อาต๋า ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านพรานป่าฝั่งตะวันตกของป่าสีทองเมืองลั่ว
เช้ามืดวันนั้น ฝูงจิ้งจอกออกหากินใกล้แหล่งน้ำเหมือนที่ผ่านมา
จิ้งจอกไฟกับจิ้งจอกขาวเป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่ยังไม่ถึงวัยที่จะแยกออกจากฝูง จึงมักจะเล่นอยู่ด้วยกันอยู่เสมอ ขณะที่จิ้งจอกสีน้ำตาลสองตัวที่เป็นพ่อกับแม่คอยดูอยู่ไม่ห่าง กับยังมีจิ้งจอกสีน้ำตาลตัวน้อยอายุไม่ถึงหนึ่งปีอีกถึงหกตัวเล่นอยู่ใกล้แม่
จิ้งจอกขาวตัวน้อยชอบน้ำเย็นจึงลงไปแช่อยู่ในน้ำอยู่ครึ่งตัว ปลาตัวหนึ่งพลัดหลงมา ก็หันมาเรียกพี่ชายแล้วกระโดดไล่ตามปลาที่เป็นเป้าหมายห่างออกไป 
ลูกดอกลูกหนึ่งพุ่งผ่านใบหน้าจิ้งจอกไฟ พี่ชายร้องบอกน้องให้รีบหนี แต่ไม่ทัน!
ลูกดอกจำนวนมากดั่งเม็ดฝนพุ่งตรงไปหาจิ้งจอกขาวที่อยู่ในลำธาร
หนึ่งในนั้นปักเข้าที่ด้านข้างลำตัวของจิ้งจอกขาว!
ร่างเล็กๆ ลอยขึ้นเหนือน้ำแล้วตกลงมากระแทกสายน้ำแล้วจมลง
เมื่อหันกลับมามองพ่อกับแม่พบว่าทั้งคู่ล้วนถูกยิงจนล้ม
ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งวิ่งออกมาจากหลังพุ่มไม้ที่ใช้เป็นที่ซ่อนตัวเพื่อตรงเข้าโจมตี
พรานคนหนึ่งใช่มีดไล่ฟันจิ้งจอกสีน้ำตาลตัวน้อยที่ล้าหลังกว่าผู้อื่น พรานผู้นี้ล่าด้วยความเหี้ยมโหดยิ่ง เมื่อฟันจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง ก็ไล่ตามไปสังหารจิ้งจอกน้อยตัวต่อไป หาได้สนใจเสียงร้องทักท้วงของพรานคนอื่นที่ว่าจิ้งจอกตัวลูกยังเล็กเกินไป พวกเขาต้องการเพียงตัวพ่อกับแม่ และจิ้งจอกสีขาวกับสีแดงที่อยู่ในลำธารเท่านั้น
เมื่อตระหนักว่าตนเองคือเป้าหมาย ในสายตาของจิ้งจอกไฟก็มองเห็นสิ่งต่างๆ ผ่านม่านโลหิต หูได้ยินเพียงเสียงลูกดอกแล่นผ่าน รู้สึกถึงความหวาดกลัวผสานความโกรธแค้นอยู่ในทุกขุมขน
ลูกดอกลูกแล้วลูกเล่าพุ่งผ่านด้านข้างและใบหน้า แม้จะทำให้ฝีเท้าซวนเซแต่ไม่อาจทำให้ล้มลง จิ้งจอกไฟหลบหนีไปไกล แล้วกลับมาใหม่ในวันถัดมา พบเพียงหยดเลือดมากมายอยู่บนฝั่ง
แต่ขณะที่เดินตามหา ว่าอาจจะยังมีผู้ใดที่พลัดหลงอยู่ในละแวกนี้ หูได้ยินเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนที่ตรงเข้ามา จึงหลบไปอยู่ด้านหลังของต้นไม้ใหญ่เพื่อลอบมอง
หลายคนในกลุ่มนี้มีกลิ่นของจิ้งจอก และกลิ่นเลือดติดอยู่
แต่คนหนึ่งในกลุ่มนั้น...เป็นชายหนุ่มผิวเข้ม และจิ้งจอกไฟก็ไม่อาจละสายตาจากคนผู้นี้ได้ จนกระทั่งเขาหันมาเห็นจิ้งจอกไฟที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พุ่มไม้หนา
ด้วยความตกใจที่ถูกพบเห็นจิ้งจอกไฟส่งเสียงขู่ในลำคอ
ชายหนุ่มวางอาวุธในมือ ค้อมตัวลงต่ำ ก้าวช้าๆ เข้ามาหา เพื่อแสดงท่าทีว่าไม่ได้เป็นภัยคุกตาม
แต่กลุ่มนายพรานที่เดินทางมาด้วยกันไม่คิดเช่นนั้น เมื่อหันมาเห็นว่าสหายพรานวางอาวุธแล้วเดินไปทางพุ่มไม้ ก็หันมามองแล้วเริ่มล้อมเข้ามาหา
จิ้งจอกไฟก้าวถอยหลัง แล้วกระโจนหนี เหล่านายพรานก็พากันร้องตะโกนไล่ตาม ลูกดอกหลายลูกเฉี่ยวด้านข้างไป ได้รับบาดเจ็บ จิ้งจอกไฟยิ่งเร่งฝีเท้า
เพราะนี่คือเป้าหมายสำคัญ พวกพรานป่าจึงไล่ตามอย่างไม่ลดละ
มองเห็นเขตป่าสีทองอยู่ตรงหน้า จิ้งจอกไฟรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย กระโจนสุดตัวเพื่อเข้าไปในป่า ลูกดอกอาบยาสลบลูกหนึ่งปักเข้าที่สะโพก แต่จิ้งจอกไปยังไปต่ออีกหลายก้าว
เมื่อหันมามอง เห็นว่าชายหนุ่มผิวเข้มผู้นั้น หันไปเตือนนายพรานคนอื่น ว่าจิ้งจอกไฟเข้าไปในเขตป่าสีทองแล้ว
นายพรานทั้งหมดจึงหยุดยืนอยู่ที่แนวเขตนั้น
ดวงตายาวเรียว ขนสีแดงเพลิงเปื้อนโลหิตพลิ้วไหวในสายลมเย็น จิ้งจอกไฟจดจำทุกคนที่ทำร้ายครอบครัว โดยเฉพาะคนผิวเข้มที่แสดงท่าทีเป็นมิตร
เสียงคำรามของสัตว์บาดเจ็บดังก้อง!
ทุกก้าวย่างที่เดินลึกเข้าไปในป่าสีทอง ทิ้งหยดเลือดไว้ตามรายทาง...

การไล่ล่าที่เกิดขึ้นย่อมได้ยินถึงหูของเทพเสือโคร่งศิลาดำ ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องพื้นที่รอยต่อระหว่างปีสีทองกับป่ารอบนอก จึงมุ่งตรงไปยังจุดที่นกกามาแจ้งข่าว ระหว่างทางพบจิ้งจอกไฟได้รับบาดเจ็บสาหัส และหมดสติอยู่จึงพากลับมาให้บิดาช่วยรักษา
"จิ้งจอกไฟ" เทพเสือโคร่งภูผาถอนลูกดอกอาบยาสลบแล้วรักษาให้ตามอาการ "ขนสีสวยขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในเขตรอบนอกของป่า" ความสวยงามและแตกต่างของสัตว์ป่า ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของการไล่ล่า แต่จิ้งจอกไฟตัวนี้ยังเล็กเกินกว่าที่จะถูกล่า
ที่ผ่านมาเทพเสือโคร่งศิลาดำมักสนใจแต่เพียงการปกครองดูแลบรรดาพี่น้องของตน นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เขาสนใจที่จะดูแลผู้อื่น
แต่จะอย่างไรนี่คือสัตว์ป่าที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทั้งหลงเหลืออยู่เพียงตัวเดียว ความอาฆาตแค้นที่อยู่ในใจจึงรุนแรงตามไปด้วย
ในยามนั้นเทพเสือโคร่งภูผาคิดเพียงเรื่องที่ว่า หากจิ้งจอกไฟฟื้นขึ้นมาแล้วจะหันมาอาละวาดใส่ผู้ดูแล เพราะคิดว่าเป็นศัตรู จึงบอกบุตรชายให้ออกไปตรวจตราพื้นที่ใกล้เคียงที่พบจิ้งจอกไฟ ในระหว่างที่ตนดูแลรักษา
แต่ถ้าเทพเสือโครงภูผารู้กาลข้างหน้าว่า ต่อไปจะเกิดเรื่องใดขึ้นจะปฏิเสธการรักษาเช่นนั้นหรือ
ย่อมมิใช่!
หากรู้ล่วงหน้าได้ เทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดาจะต้องเร่งรัดบุตรชายให้มีฝีมือแข็งแกร่งกว่าเดิมอีกสักสิบเท่าต่างหาก

หลังจากที่หายไปราวหนึ่งชั่วยาม เทพเสือโคร่งศิลาดำก็กลับมารายงาน ว่าดูจากร่องรอยแล้วกลุ่มนายพรานที่มาล่าฝูงจิ้งจอกมีจำนวนมากถึงสิบคน พวกเขาเข้ามาในพื้นที่สองวันติดต่อกัน และฝูงจิ้งจอกพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งถูกล่า
เทพเสือโคร่งภูผาถอนหายใจด้วยความสงสาร
พรานป่าย่อมล่าสัตว์ จะเพื่อเอาหนัง เนื้อ หรือกระดูกไปใช้ประโยชน์ แต่การล่าทั้งครอบครัวเกือบสิบชีวิตไม่เว้นแม้แต่จิ้งจอกที่มีอายุไม่ถึงหนึ่งปีนั้นช่างโหดร้าย
"จิ้งจอกไฟตัวนี้หนีรอดมาเพียงตัวเดียว จากลำธารในเขตป่า เข้ามาถึงที่ป่าสีทองนี่" เทพเสือโคร่งศิลาดำกล่าวรายงานต่อ
ผู้เป็นบิดาซึ่งให้การรักษาบาดแผลหลายแห่งให้กับจิ้งจอกไฟเสร็จสิ้นนานแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายถามบุตรชาย
"เจ้าจะดูแลเจ้าลูกไฟตัวเล็กนี่ด้วยตนเองหรือ"
เทพเสือโคร่งศิลาดำมองจิ้งจอกไฟตัวน้อยด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วง บิดาจึงกล่าวเตือน
"เขาไม่ใช่สัตว์เทพ การรักษาต้องระมัดระวัง นอกจากนี้ยังเป็นจิ้งจอก เจ้าไม่อาจวางใจในคำพูดของเขาทั้งหมด"
แม้ผู้เป็นบุตรจะตอบรับคำสั่งของบิดา แต่ผู้เป็นบิดาก็รู้ดีว่า บุตรผู้นี้จะเลือกรับฟังคำแนะนำบางประการที่สอดคล้องกับเจตนาของตนเองเท่านั้น
ก็...บิดากับบุตรนี่นะ...
บิดาอย่างไร บุตรก็อย่างนั้น...
โดยทั่วไปไม่ว่าจะอยู่ในร่างของเทพเสือ และร่างมนุษย์ บุตรผู้นี้จะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายบิดามากที่สุด แต่ในสีเหลือง ขาว และดำที่เป็นสีพื้นฐานของเสือโคร่งนั้น ศิลาดำจะมีส่วนที่เป็นสีดำมากกว่าสีเหลือง นอกจากนี้ยังมีความลับที่รู้กันเป็นการภายในว่า ในบางเวลาจารึกของศิลาดำจะปรากฏขึ้นที่ดวงตา
ดวงตาซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นสีเหลืองเหมือนกับบิดา จะเปลี่ยนเป็นสีดำขลับปราศจากสีอื่นปน และเมื่อเวลาที่เป็นเช่นนั้นใบหูของเขาก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำเช่นกัน
เหตุใดจารึกนี้จึงไม่อยู่อย่างถาวรเหมือนสัตว์เทพในป่าสีทองตนอื่น ขนาดอาจารย์เทพสูงสุดที่เขาเทียมฟ้ายังไม่ทราบ แล้วผู้ใดจะทราบได้
รู้แต่เพียงว่าจารึกศิลาดำไม่มีผลต่ออารมณ์หรือพลังใด ๆ 
นอกจากนี้เขายังเป็นเทพเสือโคร่งที่มีฝีเท้ารวดเร็ว สามารถพรางกลิ่นสาบเสือ และซ่อนตนอยู่ได้เป็นเวลานาน ทำให้ผู้เป็นบิดาไว้วางใจมอบงานสำคัญให้อยู่เสมอ
หลายคราที่เทพเสือโคร่งภูผาถึงกับออกปากว่า ไว้ใจบุตรผู้นี้มากกว่าไว้ใจตนเองเสียอีก
เทพเสือโคร่งศิลาดำถามบิดาอีกคำว่าอาการของจิ้งจอกไฟยังมีเรื่องที่ต้องเป็นกังวลอีกหรือไม่ เมื่อบิดาบอกว่าไม่มี ผู้เป็นบุตรก็อุ้มจิ้งจอกไฟตัวน้อยกลับไปพักที่ถ้ำแสงจันทร์
ถ้ำแห่งนี้เดิมเป็นของเทพเสือโคร่งภูผาที่เคยพำนักอยู่ในช่วงเยาว์วัย ต่อมาเมื่อครองคู่กับนางเทพเสือโคร่งบงกชก็ย้ายไปอยู่ที่ถ้ำของนาง และเมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำเริ่มเข้าสู่การบำเพ็ญฌาน และฝึกฝนตนเองก็ย้ายมาพักที่ถ้ำเดิมของบิดาแห่งนี้ตามลำพัง
จากนั้นเมื่อเสือโคร่งศิลาแดง และมุกดาเริ่มการบำเพ็ญฌานก็จะมาฝึกที่ถ้ำแห่งนี้
มีเพียงในช่วงที่กำลังจะบรรลุขั้นเทพ ที่จะต้องขึ้นไปฝึกกับอาจารย์เทพสูงสุด เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่ถูกต้อง
แต่โดยทั่วไปบรรดาเทพเสือโคร่งมักฝึกฝนด้วยตนเองเป็นหลัก

ถ้ำแห่งนี้มีความคดเคี้ยวและลึกกว่าถ้ำยาของเทพเสือโคร่งภูผา
ที่เรียกว่าถ้ำแสงจันทร์ก็เพราะในถ้ำนี้มีอยู่ห้องหนึ่ง ที่มีช่องว่างอยู่ที่เพดาน ในยามค่ำคืนจะมีแสงจันทร์ลอดผ่าน และในห้องนี้เช่นกันที่มีบ่อน้ำเล็กๆ สูงเพียงเข่า แต่ไม่มีเส้นทางน้ำที่ไหลออกมา ทำให้ถ้ำแสงจันทร์มีความชื้นสูง ไม่เหมาะกับการดูแลรักษาสัตว์ป่วย แต่เพราะในเวลานี้ยังไม่อาจหาที่พักอื่นได้ เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงจัดที่พักให้กับจิ้งจอกไฟอยู่ใกล้กับปากถ้ำ 
ลูกดอกนี้มีฤทธิ์รุนแรง ดังนั้นหลังการรักษาอาการบาดเจ็บในเบื้องต้น เทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดาจึงต้องให้จิ้งจอกไฟหลับต่อเนื่องหลายชั่วยาม พร้อมแนะนำบุตรที่จะต้องทำหน้าที่ดูแลต่อไปว่าเมื่อฟื้นขึ้นมาจะยังมีอาการไข้จากบาดแผลเหล่านั้น ทำให้เทพเสือโคร่งศิลาดำต้องคอยจับตาดูแลจิ้งจอกไฟอย่างใกล้ชิด
บ่ายวันหนึ่งเทพเสือโคร่งมุกดาซึ่งเป็นน้องสาวแวะมาหาพี่ใหญ่ที่ถ้ำแสงจันทร์ เห็นว่าพี่ใหญ่อยู่ในร่างมนุษย์ นางจึงเปลี่ยนร่างจากเสือโคร่งสีขาวมาเป็นมนุษย์
เมื่อนางเป็นเสือโคร่ง นางเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ไม่ต่างจากพี่ชายของนาง และเมื่อนางเป็นมนุษย์ นางก็เป็นสตรีตัวใหญ่แทบไม่ต่างจากพี่ชายของนาง
"พี่ใหญ่ น้องมาแล้ว นั่นจิ้งจอกไฟหรือ"
"ใช่"
"ถูกอาวุธมาหรือ" นางเดินเข้ามาดู เห็นว่าได้รับการรักษาพยาบาลมาแล้วแต่ก็ยังดูไม่ดีนัก "มีไข้ด้วยนี่ ท่านพ่อให้สมุนไพรมาด้วยหรือไม่"
"ไม่"
เพราะเป็นพี่น้องที่สนิทกัน นางจึงมิได้ประหลาดใจกับการที่กล่าวคำไปยืดยาวแล้วได้คำตอบมาทีละคำ
"บอกท่านพ่อหรือไม่ ว่าท่านจะดูแลจิ้งจอกไฟน่ะ"
"บอกแล้ว" เทพเสือโคร่งศิลาดำได้แต่นั่งมองดูจิ้งจอกไฟที่กำลังหายใจเป็นลมร้อนออกมา "พากลับไปหาท่านพ่อดีไหม"
น้องหญิงส่ายหน้า "ไม่ต้องหรอก พี่ใหญ่ไปรองน้ำจากบ่อด้านใน มาหยดน้ำใส่ปากเขา... "
กล่าวคำยังมิทันจบเทพเสือโคร่งศิลาดำก็รีบเข้าไปภายในถ้ำ เพื่อรองน้ำสะอาดมาส่งให้ นางจึงสอนพี่ใหญ่เรื่องการหยดน้ำ เพื่อป้อนจิ้งจอกไฟ
"เขาแข็งแรงมากเลยนะ โดนมาขนาดนี้ยังหนีเข้ามาถึงป่าสีทองได้"
เทพเสือโคร่งศิลาดำเห็นด้วยกับคำกล่าวนั้น
จิ้งจอกไม่ใช่สัตว์ขี้ขลาด แต่พวกเขาฉลาดมาก และเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม จึงไม่เลือกวิธีการต่อสู้ การพบกับศัตรูที่เข้มแข็ง และครอบครัวถูกสังหารต่อหน้าเช่นนั้น อาจเป็นแรงผลักดันให้จิ้งจอกไฟหนีสุดตัวเพื่อหาที่พึ่งพิง

เช้าวันถัดมาจิ้งจอกไฟลืมตาขึ้น เทพเสือโคร่งสองพี่น้องที่ล้วนอยู่ในร่างของเทพเสือในยามพักผ่อน จึงเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์
"ข้าคือเทพเสือโคร่งมุกดา และนี่คือพี่ใหญ่ของข้า เทพเสือโคร่งศิลาดำ เขาช่วยเจ้าไว้"
จิ้งจอกไฟพยักหน้าและยังอยู่ในร่างเดิม นางจึงหันมาหาพี่ใหญ่ "เขาเปลี่ยนร่างไม่ได้ คงเข้าใจคำพูดกันได้เพียงบางคำ" และนางไม่รู้ว่าจิ้งจอกไฟกำลังคิดอะไรอยู่ "แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาได้แล้วก็เป็นเรื่องที่ดี"
เมื่อมีเทพเสือโคร่งมุกดามาช่วยดูแล เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้เป็นพี่ใหญ่จำต้องเลี่ยงออกไปอยู่นอกถ้ำเพื่อมิให้พลังของเทพเสือโคร่งสองตนกดดันจิ้งจอกไฟมากเกินไป

ในวันที่สามเทพเสือโคร่งศิลาแดงจึงมาถึง เขาเป็นเทพในลำดับรองจากเทพเสือโคร่งศิลาดำ จึงมักจะสลับกับเทพเสือโคร่งมุกดาไปทำหน้าที่รับใช้มารดา
ว่าที่จริงเขาได้กลิ่นของสัตว์ต่างถิ่นจากในระยะไกล ทั้งรู้เรื่องที่พี่ใหญ่เก็บจิ้งจอกไฟกลับมารักษา แต่ก็ยังเจตนาไม่เปลี่ยนร่างจนเข้ามาถึงถ้ำ เมื่อเห็นว่าจิ้งจอกไฟที่ยังมีอาการบาดเจ็บตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ขดตัวชิดผนังถ้ำก็รู้สึกพึงพอใจมาก 
เทพเสือโคร่งมุกดาเห็นดังนั้นก็ขู่พี่รอง "น้องจะฟ้องพี่ใหญ่ว่าพี่รองแกล้งจิ้งจอกไฟ"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงจึงเปลี่ยนร่างกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ ในยามที่เป็นเสือโคร่งศิลาแดง ผนึกสีแดงปรากฏอยู่ที่หน้าผากอย่างเด่นชัด แต่เมื่อเป็นมนุษย์ ผนึกสีแดงของเขาอยู่ที่สีผม ซึ่งมีสีแดงปะปนอยู่กับสีดำ ทำให้ดูเหลื่อมสีแปลกตาจนจิ้งจอกไฟเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ

"จิ้งจอกพวกนี้เจ้าเล่ห์ ใครๆ ก็รู้ มันอาจเสแสร้งหวาดกลัว แต่แท้จริงรอจังหวะที่จะโจมตีพี่ใหญ่ก็ได้"
"พี่ใหญ่ช่วยเหลือเขา หากจะโจมตีก็ต้องไปโจมตีคนที่ทำร้ายเขาสิ"
"ว่าไงเจ้าตัวเล็ก" เทพเสือโคร่งศิลาแดงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง "หากอยากกลับไปแก้แค้นให้ฝูง เจ้าก็ต้องรักษาตัวเองให้แข็งแรง"
"เขายังอ่อนแออยู่ พี่รองอย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย"
"ไม่ให้พูดตอนนี้แล้วจะไปพูดตอนไหน ลูกผู้ชายต้องมีความมุ่งมั่นรู้หรือไม่" จากนั้นก็หันมาถามน้องสาว "ถ้าเขาจะเปลี่ยนจากสัตว์ป่า กลายเป็นสัตว์เทพที่สามารถแปลงร่างนี่ น่าจะใช้เวลาสักกี่ปี"
เทพเสือโคร่งมุกดาไม่แน่ใจ "เคยได้ยินว่าราวร้อยปีนะ"
"ร้อยปี พรานพวกนั้นคงตายไปหมดแล้ว" เทพเสือโคร่งศิลาแดงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยกยิ้มมุมปากมิได้กล่าวในสิ่งที่คิด แต่เปลี่ยนไปถามน้องสาวเรื่องการบำเพ็ญฌานของนาง
"น้องกับพี่ใหญ่รอพี่รองมาหลายวันแล้ว" นางหันไปชะโงกมองหน้าถ้ำ "เขาออกไปหาอาหารมาให้จิ้งจอกไฟ เดี๋ยวก็คงมา"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงกระตุ้นน้องสาว "ออกไปดูสิ ข้ายังมีเรื่องให้ต้องออกไปทำอีกนะ"
"รู้แล้วน่า"
เมื่อนางออกไป เทพเสือโคร่งศิลาแดงจึงลดเสียงลงเมื่อกล่าวกับจิ้งจอกไฟ
"รักษาตนเองให้หาย พยายามเรียนรู้วิธีสื่อสารกับสัตว์อื่นๆ แล้วฝึกวิชากับพี่ใหญ่ให้แข็งแกร่ง" ดวงตาสีเหลืองของเสือโคร่งหันไปมองด้านนอก "เจ้าเริ่มต้นจากการเป็นจิ้งจอกไฟที่เต็มไปด้วยความแค้นตัวหนึ่ง หนทางจึงยาวไกลสักหน่อย กว่าที่จะไปถึงขั้นสัตว์เทพ ซึ่งจะว่าไป ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนั้นก็แก้แค้นได้" รอยยิ้มที่มุมปากนั่นกลับมาอีกครา "เอาไว้ให้เจ้าแข็งแรงขึ้นก่อน เราค่อยมาคิดหาทางอื่นดีกว่า"

ดวงตาของจิ้งจอกไฟมองประสานกับเทพเสือโคร่งศิลาแดง
แน่ใจว่า นี่คือผู้ที่คิดเหมือนกันโดยที่ไม่ต้องกล่าวคำพูด
เทพเสือโคร่งผู้นี้มิได้คิดจะช่วยเหลือ แต่เขาต้องการพรรคพวกเพื่อที่จะลงมือต่อมนุษย์ที่อยู่ข้างนอกป่าเหล่านั้น
"จำไว้ว่าอย่าพูดเรื่องแก้แค้นกับพี่ใหญ่ ส่วนน้องหญิงมุกดา เจ้าก็เห็นแล้วว่านางเชื่อฟังพี่ใหญ่ขนาดไหน"
เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ทำให้เทพเสือโคร่งศิลาแดงแตะนิ้วชี้ที่ริมฝีปาก  แล้วหันไปยืนรอ
เมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำมาถึงก็วางปลาตัวเล็กไว้ใกล้กับจิ้งจอกไฟ จากนั้นก็หันมาพยักหน้าเรียกน้องชายและน้องสาวไปที่ห้องด้านในของถ้ำ
เทพเสือโคร่งมุกดาก้าวเข้าไปในห้อง จากนั้นเปลี่ยนร่างกลับเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ ส่วนเทพเสือโคร่งศิลาดำ และศิลาแดงที่อยู่ด้านนอกประสานกำลังเคลื่อนย้ายหินก้อนใหญ่มาปิด
เทพเสือโคร่งมุกดาเริ่มการบำเพ็ญฌานนับจากนั้น...
ส่วนเทพเสือโคร่งสองพี่น้องเมื่อจัดการเรื่องราวของน้องสาวเสร็จก็กลับออกมา โดยเทพเสือโคร่งศิลาแดงอยู่พูดคุยกับพี่ใหญ่อีกครู่หนึ่งจึงกลับไป

หลังจากนั้นเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ให้การดูแลจิ้งจอกไฟในแบบที่เสือโคร่งจะปฏิบัติต่อจิ้งจอก นั่นคือหาอาหารมาวางไว้ให้ทุกวัน จากนั้นก็จะออกไปอยู่ที่ข้างนอกถ้ำตลอดเวลา จนถึงวันที่จิ้งจอกไฟแข็งแรงขึ้น ก็พาไปที่ฝูงจิ้งจอกแห่งป่าสีทอง
นางจิ้งจอกหิมะมิได้รังเกียจที่จะรับจิ้งจอกไฟเข้าฝูงที่มีกันอยู่เพียงสี่ตน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว แต่เมื่อนางเห็นจิ้งจอกไฟมองตามหลังเทพเสือโคร่งศิลาดำที่กลับออกไปจนลับตา นางก็รู้สึกได้ว่าจิ้งจอกไฟตัวนี้ไว้ใจเทพเสือโคร่งศิลาดำ และไม่ค่อยอยากจะอยู่ที่ฝูงเล็กๆ ของนางสักเท่าใด
"ท่านศิลาดำพักอยู่ในเขตป่าเสือ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อเจ้า พักอยู่ที่นี่กับพวกเราสักระยะ หลังจากนั้นหากต้องการแยกไปอยู่ตามลำพังก็ไม่ว่าอะไร"
จิ้งจอกไฟหันมาหานางจิ้งจอกหิมะ และบอกกับนางว่า ต้องการฝึกฝนเรื่องการสื่อสารและการต่อสู้ เพราะต้องการมีร่างกายที่แข็งแรง
ที่มิได้บอกก็คือนี่คือคำแนะนำของเทพเสือโคร่งศิลาแดง
“ข้าอยู่ที่เขตป่าด้านนอกนั่นมาตลอด ถ้ากลับออกไป ก็ต้องอยู่ตามลำพัง”
“นั่นก็จริง” ในเขตป่าสีทองเต็มไปด้วยพลังเวทย์ และฌานลึกลับผสานกับสัญชาติญาณแห่งสัตว์ป่า จิ้งจอกไฟอาจรู้สึกกดดันและอยากกลับไปอยู่ข้างนอกเช่นเดิม
“ขอรบกวนให้ท่านช่วยสอนเรื่องการต่อสู้ และการใช้ชีวิต”
นางรับคำขอที่แสนจะธรรมดานี้ และให้คำแนะนำเพื่อให้จิ้งจอกไฟนำไปปฏิบัติ
สัตว์เทพในป่าสีทองมีแนวทางการดำรงชีวิตที่แตกต่างจากสัตว์ป่าในเขตรอบนอก ตั้งแต่การสื่อสาร แนวเขตของสัตว์ป่า และลำดับชั้น
เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้ช่วยชีวิตจิ้งจอกไฟ อยู่ในลำดับของเทพที่เป็นผู้ปกครองของป่าสีทองแห่งนี้ มีการประพฤติตนดีงาม และพลังฌานที่แข็งแกร่งทำให้ได้รับการเคารพนับถือจากสัตว์เทพ และสัตว์ป่าในป่าสีทอง นางจิ้งจอกหิมะจึงมีความภูมิใจที่เทพเสือโคร่งศิลาดำพาจิ้งจอกไฟมาให้ดูแล และถ่ายทอดความรู้ให้
วันหนึ่งจิ้งจอกไฟออกไปฝึกตามลำพังใกล้กับบึงนกกระเรียน ทำให้พบกับนกยูงทอง และกวางไพลิน ทั้งสองอยู่ในร่างของสัตว์เทพ และรับจิ้งจอกไฟเป็นเพื่อนอย่างง่ายดาย ทั้งยังพาจิ้งจอกไฟท่องเที่ยวทั่วป่าสีทอง
และในวันหนึ่ง จิ้งจอกไฟก็หาญกล้าที่ออกไปนอกเขตป่าสีทองตามลำพัง
สถานที่ที่ไปก็คือที่ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำเลวร้าย
จิ้งจอกไฟเดินก้มหน้าดมหากลิ่นไปทั่วบริเวณ จากนั้นใบหูก็ตั้งขึ้น มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้าน
ยิ่งใกล้หมู่บ้าน ต้นไม้ยิ่งบางตา มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังมัดรวมไม้ฟืน จิ้งจอกไฟเหลียวมองรอบๆ ดมกลิ่นหลากหลายที่เจือจางอยู่ในอากาศ จนแน่ใจว่าในระยะใกล้ๆ นี้ไม่มีผู้อื่นอยู่อีกจึงเดินเข้าไปหา
ชายหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลัน มือคว้าอาวุธที่วางอยู่ข้างกาย จิ้งจอกไฟจึงหมอบตัวลง หูตก หางตก ส่งเสียงเล็กๆ เพื่อแสดงความเป็นมิตร
"จิ้งจอกไฟ" รอยแผลที่ใบหน้า ที่เกิดจากลูกดอกยังชัดเจน "เจ้านั่นเอง หายดีแล้วหรือ"

แม้การไล่ล่าในครั้งนั้นจะผ่านไปหลายเดือนแล้ว แต่ชายหนุ่มผู้นี้จำเรื่องราวที่เกิดได้อย่าแม่นยำ
ชายหนุ่มผิวสีเข้มผู้นี้มีชื่อว่าอาต๋า เขาคือคนแรกที่เห็นดวงตางดงามของจิ้งจอกไฟหลังพุ่มไม้ และได้แต่กล่าวโทษความด้อยประสบการณ์ของตนเองว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการไล่ฆ่าจิ้งจอกทั้งฝูง
หลังการโอบล้อมเพื่อไล่ล่าฝูงจิ้งจอกในวันแรก มีจิ้งจอกไฟตัวหนึ่งหลบหนีไปได้ หัวหน้ากลุ่มพรานเชื่อว่าจิ้งจอกไฟตัวนั้นจะต้องย้อนกลับมาที่ฝูงอย่างแน่นอน จึงมีส่วนหนึ่งที่แบกร่างของจิ้งจอกที่ล่าได้กลับไป ส่วนที่เหลือหยุดรออยู่ใกล้ๆ โดยอาต๋าเป็นหนึ่งในคนที่หยุดรอ แต่เมื่อได้สบตางดงามคู่นั้น ก็พาลลืมตัววางอาวุธแล้วเดินเข้าไปหา ทำให้สหายรู้พรานคนอื่นรู้ตำแหน่งของจิ้งจอกไฟ และพากันไล่ตาม
แต่การถูกตามล่าเป็นครั้งที่สองนี้ทำให้จิ้งจอกไฟบาดเจ็บหนัก รอยเลือดเป็นทางยาวไปทางป่าสีทองนั้นบ่งบอกเป็นอย่างดี
แต่อาต๋าเชื่อว่าจิ้งจอกไฟที่หลบหนีเข้าไปในป่าสีทองจะรอดชีวิต
ดังนั้นเมื่อได้เห็นจิ้งจอกไฟอีกครา อาต๋าจึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง

จิ้งจอกไฟผู้งดงาม ก้มคอลงต่ำ ก้าวช้าๆ เข้ามาหา ยอมให้สัมผัสที่ด้านข้างของใบหน้าอย่างง่ายดาย
"จิ้งจอกไฟ เจ้าเชื่องและวางใจมนุษย์มากเกินไป พวกนายพรานล้วนต้องการขนของจิ้งจอก และหนังเสือ รู้ไหมว่าขนของเจ้าน่ะ ได้ราคาดีขนาดไหน...เรื่องครอบครัวของเจ้าข้าเสียใจด้วย ทีแรกพวกเราต้องการเพียงขนของจิ้งจอกตัวโตเต็มวัยไปให้กับชนเผ่าที่อยู่นอกด่าน" ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่มบ่งบอกถึงความเสียใจจากใจจริง "แต่พอไปถึงกลับพบจิ้งจอกที่มีขนสีสวยอีกสองตัวอยู่ด้วย ผลก็เลยเป็นอย่างที่เจ้าเห็น แต่ข้าขอสัญญาว่านั่นจะเป็นการล่าครั้งสุดท้ายของข้า" เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเดินใกล้เข้ามา จิ้งจอกไฟก็ผุดลุกขึ้นยืน
"จะไปแล้วหรือ ข้าคืออาต๋านะจิ้งจอกไฟ"
จิ้งจอกไฟเลียแก้มของอีกฝ่ายแล้วผละไปแอบมองจากหลังพุ่มไม้ ดวงตาเรียวยาวดั่งมีเปลวไฟขณะลอบฟังเสียงสนทนาระหว่างอาต๋ากับเพื่อนๆ จนกระทั่งทั้งหมดกลับไปที่หมู่บ้าน
ในกลุ่มนี้ทั้งหมดคือผู้ที่ร่วมอยู่ในกลุ่มที่สังหารครอบครัวของตน แม้จะไม่มีเจ้าคนบ้าคลั่งที่ไล่ฟันน้องเล็กของเขา แต่จิ้งจอกไฟให้คำมั่นต่อตนเองในใจ ว่าจะตามหาคนผู้นั้นให้เจอ และล้างแค้นให้ได้!
เมื่อกลับมาถึงฝูงจิ้งจอกในยามค่ำ นางจิ้งจอกหิมะ ไต่ถามด้วยความเป็นห่วง แต่จิ้งจอกไฟมิได้ให้คำตอบใด
กลิ่นมนุษย์ที่ติดอยู่ ทำให้ผู้อาวุโสมองเห็นเรื่องราวอย่างคร่าวๆ 
"จิ้งจอกไฟ อย่าทำตัวให้ข้าต้องใช้ถ้อยคำรุนแรงกับเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจที่จะอยู่กับข้า แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้ามีเป้าหมาย แต่การจะทำให้สำเร็จได้ตามเป้าหมายนั้นมันต้องรู้จักอดทน และวางแผนให้ดี ไม่ใช่ดื้อรั้น"
จิ้งจอกไฟมีสีหน้าท่าทางสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นมิได้มีผลให้นางจิ้งจอกหิมะต้องสงสาร  เพราะนอกจากจะเป็นจิ้งจอกเช่นกันแล้ว นางยังเป็นจิ้งจอกหิมะจากป่าสีทองที่มีลำดับชั้นสูงกว่า
แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่เข้าใจ
จิ้งจอกเป็นทั้งนักล่า และผู้ที่ถูกล่าเพื่อเอาหนังที่สวยงาม   
"อย่าดื้อรั้น และอย่าใจร้อนจนทำให้ความตั้งใจนั้นเสียหาย แต่ก็จะต้องไม่ใจเย็นจนเสียเรื่องเช่นกัน"
วันถัดมาจิ้งจอกไฟออกไปเที่ยวเล่นกับกวางไพลิน และนกยูงทองเหมือนเดิม จากนั้นก็พากันไปเล่นอยู่ใกล้กับบึงของกระเรียนโกเมน
ปกติที่นี่จะเงียบสงบ แต่เมื่อมีเสียงฝีเท้า และเสียงเอะอะโวยวายของนกยูงทองก็ทำให้ผู้อาวุโสอย่างกระเรียนโกเมนต้องออกมาดู
"ป่าสีทองมีบึง มีลำธารมากมาย แต่เจ้าสามตัวนี้กลับมาเล่นส่งเสียงดังอยู่หน้าบ้านข้า"
นกยูงทองตอบด้วยเสียงอันกังวาน "มันบังเอิญ"
แต่เพราะกวางไพลินหัวเราะเสียงใส กระเรียนโกเมนจึงได้แต่ส่ายหน้า "เอาเถอะ อยากเล่นที่นี่ก็เล่นไป แต่อย่าไปรบกวนพวกที่อยู่ในน้ำ" เมื่อกระเรียนโกเมนมองต่อมาเห็นจิ้งจอกไฟจึงเดินเข้ามาหา แล้วเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ทั้งนกยูงทองและกวางไพลินจึงเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ตามไปด้วย
"เจ้าคงเป็นจิ้งจอกไฟที่ศิลาดำพามานั่นเอง"
กระเรียนเป็นสัตว์ที่มีศีลสูงส่ง และมีความอ่อนโยนจึงก้มลงลูบศีรษะจิ้งจอกไฟด้วยความเมตตา
"มาอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้"
แต่นกยูงทองส่ายหน้า "แต่เขายังเป็นสัตว์ป่าอยู่เลย บางอย่างที่เราพูดเขาเข้าใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร"
"มันก็เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันไป"
"แต่ถ้าจิ้งจอกไฟพูดกับพวกเราได้น่าจะดีกว่านี้"
"เจ้ามันติดนิสัยสื่อสารด้วยคำพูด จนลืมสัญชาติญาณของสัตว์ป่าไปแล้ว"
กวางไพลินทำตาวาวแล้วคุกเข่าลงต่อหน้ากระเรียนโกเมน "เช่นนั้นก็รบกวนท่านผู้เฒ่าช่วยสอนพวกเราทั้งสามด้วยนะเจ้าคะ"
"สอนอะไร" จู่ๆ ก็มาคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วเจ้านกยูงทองกับจิ้งจอกไฟก็พากันคุกเข่า และหมอบลงพร้อมกันเช่นนี้ รู้สึกสังหรณ์ใจชอบกล
"ก็สอนเรื่องการสื่อสารไงเจ้าคะ สอนวิชาให้พวกเราแข็งแกร่งขึ้น"
กระเรียนโกเมนเลิกคิ้วขึ้นสูง นกยูงทองกับกวางไพลินเกิดและเติบโตที่นี่ยังจะต้องการเรียนรู้เรื่องการสื่อสารอะไรอีก
...หรือว่าเรียนเพื่อเจ้าจิ้งจอกไฟตัวเล็กนี่...
"ดี เพื่อนกัน ก็ต้องส่งเสริมกัน ช่วยเหลือกันแบบนี้"
กระเรียนโกเมนพึงพอใจมาก และตั้งใจสอนเพื่อนทั้งสามอย่างเต็มที่

จบบทที่สามสิบสาม
จิ้งจอกไฟมี 7 ตอนจบ ก็จะเป็นการจบบริบูรณ์ของ Sunrise แล้วครับ
ขอบคุณที่กรุณาติดตามครับ
ไจฟ์ที

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 15-09-2018 19:40:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-09-2018 22:08:27
โหดร้ายยยยยยย ฮรืออออออ

เสือโคร่งศิลาแดงช่างยุนัก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 16-09-2018 02:57:00
กระเรียนโกเมนยังอยู่

  :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-09-2018 03:18:47
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 16-09-2018 20:26:44
จิ้งจอกไฟ เจ้าเป็นคนดีหรือไม่
ไม่อยากวางใจเลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 17-09-2018 18:02:29
ไม่อยากจะคิดถึงตอนกระเรียนโกเมนตายเลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 18-09-2018 18:08:49

 นี่มาช้าไปหลายวันนกยูงตอน 2 ก็พึ่งได้อ่าน เสียดายจังมี 2 ตอนเองอ่าจบแระ   :mew2:

แต่เริ่มภาคจิ้งจอก เริ่มจากความแค้น ที่รอการล้างแค้น
จะว่าไปก็สงสารนะ แต่รออ่านเหตุผลของการแก้แค้นก่อนดีกว่า


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 18-09-2018 18:47:52
มารอจิ้งจอกไฟจ้า :เหอะ1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-09-2018 23:31:28
  :ped144: :ped144: :ped144: มารึยังจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 22-09-2018 00:34:05
อู้วว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 22-09-2018 15:41:01

มานั่งรอแล้วจ้า  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 22-09-2018 16:52:15
 :ling2: จะดราม่ามั้ยเนี่ยะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 24-09-2018 18:03:39


   มาจ้าาาาา  :mew1:   :mew1:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 24-09-2018 18:18:47
 :z2: มารอตอนใหม่
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 24-09-2018 20:23:56
ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สามสิบสี่


ภายในป่าสีทองมีกระท่อมเล็กๆ อยู่หลังหนึ่งซึ่งเป็นของกลุ่มนายพรานจากหมู่บ้านฝั่งทางเหนือที่จะเดินทางเข้ามาพักทุกสามเดือนเพื่อสักการะต่อเทพสูงสุดแห่งป่าสีทอง
นายพรานเหล่านี้มีความเคารพแห่งป่าสีทองเป็นอย่างยิ่ง เพราะคือแหล่งทำมาหากินเพื่อเลี้ยงชีวิต แต่เดิมพวกเขาจะเข้ามาเก็บของป่าและล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหารเท่านั้น เมื่อนานวันไปก็วางอาวุธเปลี่ยนเป็นเลี้ยงสัตว์ และเข้ามาเก็บของป่าเป็นระยะ แม้จะรู้ว่าไม่อาจขึ้นไปสักการะถึงยอดเขาเทียมฟ้าที่ปราศจากหนทางในการเดินทางขึ้นไป พวกเขาจึงขอเข้ามาเพื่อพักที่กระท่อมแห่งนี้หนึ่งคืนจากนั้นจะไปถวายสุราอาหารที่เชิงเขาตั้งแต่เช้าตรู เสร็จแล้วก็จะเดินทางกลับไปหมู่บ้าน
เมื่อจิ้งจอกไฟรู้เรื่องนี้ ก็ใช้โอกาสที่พวกเขาเดินทางเข้ามาศึกษาความเป็นอยู่ของมนุษย์ ความแตกต่างของการเคลื่อนไหว กลิ่น และเสียงของพวกเขา
ดวงตายาวเรียวจับจ้องมองตามไปทุกฝีเก้า และจดจำไว้...

ฤดูกาลเปลี่ยน สายลมเปลี่ยนทิศ ทุกย่างก้าวเป็นไปอย่างแผ่วเบา หูคอยฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ใช้ประสาทสัมผัส เพื่อเฝ้าระวังทั้งคน และกับดัก ยิ่งเข้าไปใกล้กับหมู่บ้านนายพรานทางฝั่งตะวันตกยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวัง หลังจากที่เลี่ยงกับดักได้สามแห่งติดต่อกัน จิ้งจอกไฟก็เปลี่ยนใจถอยห่างออกมาวนเวียนอยู่ใกล้กับจุดที่เคยพบกับอาต๋าเมื่อหลายวันก่อน
รออยู่จนแดดแรงจึงสัมผัสถึงกลิ่นและฝีเท้าของอาต๋าปะปนมากับนายพรานอีกหลายคน จึงทดลองใช้วิชาง่ายๆ ที่เพิ่งเรียนรู้มา
...การส่งเสียงเรียกที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่แท้จริงในใจ
แต่เสียงของจิ้งจอกย่อมแตกต่างจากสุนัขทั่วไป ความผิดพลาดนี้กลายเป็นการเรียกให้พรานทั้งกลุ่มติดตามมาด้วย จำต้องล่าถอยกลับออกมา
ผ่านไปอีกหลายวันจิ้งจอกไฟจึงกลับไปอีกครั้ง ครานี้ได้แต่เฝ้ารออยู่ที่จุดเดิมจนกระทั่งพบกับอาต๋า
"เจ้าจริงๆ ด้วย เมื่อหลายวันก่อนก็คือเจ้าใช่ไหม" มือใหญ่ลูบต้นคอของจิ้งจอกไฟ "เจ้าไม่ควรเข้าไปใกล้หมู่บ้านรู้หรือไม่ มารอข้าที่เดิมนี่แหละดีแล้ว เพราะถึงตอนนี้เจ้าจะยังตัวเล็กอยู่ แต่พวกเขาก็สามารถเอาเจ้าไปขังไว้ในกรง รอจนเจ้าเติบโตเต็มวัย พวกเขาก็จะฆ่าเจ้าเพื่อเอาหนัง"
จิ้งจอกไฟไม่รู้ว่าการถูกขังไว้ในกรงคืออะไร แต่รู้ว่าการถูกฆ่าเป็นอย่างไร แต่ถึงกระนั้นก็ยังกลับมารอพบกับอาต๋าอีกหลายครั้ง

นกยูงทองเดินวนรอบตัวจิ้งจอกไฟ ขณะที่มีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่ง “เจ้าออกไปพบมนุษย์มาเช่นนั้นหรือ เจ้าไม่ควรออกไปพบมนุษย์รู้หรือไม่ พวกเขาเป็นคนโลภ มองพวกเราเป็นเพียงสินค้าที่จะเอาไปแลกเปลี่ยน”
จิ้งจอกไฟก้มหน้าลง นกยูงทองก็พูดต่อ “อย่าออกไปหามนุษย์อีกนะ ข้างนอกนั่นอันตรายมาก”
สหายผู้มีขนสีแดงดั่งเปลวไฟตอบด้วยน้ำเสียงเล็กๆ “ข้าอยากไปหาน้อง บางทีพวกเขาอาจยังอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
“เรื่องนั้น ข้าให้เจ้าพวกนกน้อยว่างงานเหล่านี้ไปสำรวจให้ก็ได้ แต่เรื่องเกิดขึ้นนานหลายเดือนแล้ว ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะถูกพาไปอยู่ที่อื่นแล้วก็ได้” นกยูงทองย้ำ “อย่าออกไปอีกนะ อยากรู้อะไร ต้องการอะไรก็บอกกัน ข้างนอกนั่นอันตรายมาก”
จิ้งจอกไฟรู้ว่าสหายเป็นห่วงจากใจจริง แต่ก็ไม่อาจให้คำมั่นว่าจะไม่ออกไป เมื่อสบโอกาสก็ออกไปรอพบกับอาต๋าอีก
นกยูงทองโกรธจัดที่สหายไม่ยอมฟังคำตักเตือน สะบัดหน้าจากไปไม่ยอมพูดด้วยอยู่หลายวัน  จิ้งจอกไฟก็ตามง้อจนกลับมาพูดกันดีเหมือนเดิม แต่ดีอยู่ได้ไม่กี่วันก็หลบออกไปหาอาต๋าอีกจนได้
วันหนึ่งขณะที่กลับเข้าไปในเขตป่าสีทอง ทันทีที่จมูกสัมผัสถึงกลิ่นสาบเสือ  ก็คือเวลาเดียวกันกับที่เห็นเทพเสือโคร่งศิลาดำในร่างเทพเสือโคร่งตัวใหญ่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า
จิ้งจอกไฟชะงักฝีเท้าแล้วหมอบตัวลง
เทพเสือโคร่งตนนั้นหันมามองด้วยดวงตาสีดำสนิท ปราศจากสีอื่นเจอปน ทั้งใบหูก็ยังเปลี่ยนเป็นสีดำเช่นกัน
"ข้ารู้ว่าเจ้าเข้าใจในสิ่งที่ทุกคนพูดกับเจ้า และเจ้าก็สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้เช่นกัน"
ความเปลี่ยนแปลงของเทพเสือโคร่งศิลาดำ ทำให้จิ้งจอกไฟต้องเหลียวมองซ้ายขวาด้วยความกังวล
"หลายครา การกระทำก็ชัดเจนกว่าคำพูด" เทพเสือโคร่งศิลาดำกล่าว "เจ้าตั้งใจเรียนรู้และฝึกฝนจากนางจิ้งจอกหิมะ และท่านกระเรียนโกเมนนั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่การที่ไปหมู่บ้านตามลำพังนั้นเป็นอันตราย"
"อาต๋าเป็นคนดี" น้ำเสียงเล็กๆ ของจิ้งจอกที่ยังอยู่ในวัยเด็กโต้เถียงกลับมาในทันที
"แล้วเพื่อนๆ ของเขาเล่า เป็นคนดีหรือไม่ ลืมไปแล้วหรือว่าพวกเขาเป็นพราน"
จิ้งจอกไฟกลั้นหายใจขณะที่สะบัดหน้าไปทางอื่น
เรื่องที่เกิดในวันนั้นย่อมจารึกอยู่ในความทรงจำ และไม่มีวันที่จะจางหายไป แต่ความดื้อรั้นมีชัยเหนือทุกสิ่งทำให้มองไม่เห็นความจริงบางอย่าง
‘อาต๋าไม่เหมือนกับเพื่อนของเขา’ จิ้งจอกไฟเถียงอยู่ในใจ
เมื่อห้ามไม่ได้ก็ต้องชี้ให้เห็นปัญหา
"เจ้าไปหาอาต๋าเป็นระยะ โดยที่ไม่เคยซ่อนรอยเท้า"
เมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำกล่าวขึ้น จิ้งจอกไฟก็นึกขึ้นได้ว่า หลงลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ
ตั้งแต่ตอนที่ป่าด้านนอกแม่จิ้งจอกเคยสอนเรื่องการตามรอยสัตว์เล็ก ต่อมาที่มาอยู่กับนางจิ้งจอกหิมะก็สอนให้ระมัดระวังตนเพื่อไม่ให้ต้องกลายเป็นเป้าหมายของการถูกตามล่าอีก แต่เพราะความเยาว์วัยรู้แต่ดึงดันที่จะออกไปข้างนอก ไม่คิดให้รอบคอบจึงเกือบเอาชีวิตไปทิ้งก่อนที่จะแก้แค้นได้สำเร็จ
จิ้งจอกไฟก้มหน้าลง 
"นางจิ้งจอกหิมะสอนเรื่องการพรางตัวหรือไม่"
"นางสอนแล้ว" จิ้งจอกไฟตอบ
เทพเสือโคร่งศิลาดำพยักหน้า "เช่นนั้นก็แสดงให้ข้าดูหน่อย"
จิ้งจอกไฟเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตายาวเรียวเป็นประกายจากนั้นก็กระโดดตัวเบาเข้าไปในพุ่มไม้แสดงการพรางตนและหลบซ่อนอันอ่อนด้อยของตนเองให้เทพเสือโคร่งศิลาดำได้เห็น
จากนั้นเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ให้คำแนะนำเพื่อแก้ไขไปทีละขั้น
ดังนั้นแล้ว เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงอาจนับเป็นอาจารย์ในเรื่องการพรางตน และหลบซ่อนของจิ้งจอกไฟ ซึ่งมันก็น่าแปลก ที่เสือโคร่งตัวใหญ่ต้องมาฝึกฝนให้กับจิ้งจอกที่ฉลาด คล่องแคล่ว และว่องไว
เรื่องราวในช่วงเวลาเยาว์วัย ดำเนินไปเช่นนั้น
หากแต่เมื่อมองถึงทั้งชีวิตของจิ้งจอกไฟ
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อใดก็ตาม...
...จะเป็นในวันนั้น หรือในอีกห้าสิบปี ร้อยปีถัดมา เทพเสือโคร่งศิลาดำก็ยังเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของจิ้งจอกไฟอยู่เสมอ
ดูแล และให้อภัยไปตลอดกาล...
เมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำไม่อยู่ จิ้งจอกไฟก็จะกลับไปเรียนรู้วิชาต่างๆ จากนางจิ้งจอกหิมะ กระเรียน งูเห่า แม้แต่บรรดานกตัวน้อยในป่าสีทองก็ตั้งใจเรียนรู้ภาษาของพวกมัน
เมื่อสบโอกาส ก็หลบหนีไปหาอาต๋าใกล้หมู่บ้าน
ที่ผ่านมาก็ลักลอบมา และเดินทางกลับไปได้อย่างปลอดภัย เว้นแต่ในครานี้
จิ้งจอกไฟมารออยู่ที่นัดหมายเดิมได้ครู่หนึ่งอาต๋าก็มาถึง จึงก้าวออกจากพุ่มไม้ แต่ยังไม่ทันจะเดินไปหาก็ต้องหยุดเท้า เมื่อสัมผัสได้ว่ามีมนุษย์อีกหลายคนที่กำลังเข้ามาใกล้
"จิ้งจอกไฟ" อาต๋าเรียก "หายไปนานเสียหลายวัน ข้ามารอเจ้าอยู่"
ใช่...ข้ามาเพราะต้องการพบเจ้า แต่มิใช่พวกพรานเหล่านั้น
จิ้งจอกไฟเอียงคอมองชายหนุ่มผิวสีเข้ม ขณะที่กลิ่นของมนุษย์ที่กำลังเข้ามาใกล้ผสานไปด้วยลมหายใจถี่ขึ้น เสียงฝีเท้าที่บ่งบอกว่าพวกเขามาจากทุกทิศทาง
ความไม่ปลอดภัยท่วมท้น จิ้งจอกไฟจึงหันหลังกลับ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ลูกดอกลูกหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาหา ถากหน้าผากของจิ้งจอกไฟเป็นแผลยาว
อาต๋าที่เมื่อครู่เพิ่งกล่าวคำทักทาย เวลานี้กลับยืนมองมาเฉยๆ 
ไม่ได้บอกให้รีบหนีไป และไม่ได้เรียกหา
อยากคิดว่าเขาถูกสหายบังคับให้ทำเช่นนี้ เขาไม่มีความเต็มใจ มีความเป็นกังวล หรือเป็นห่วง
แต่ลูกดอกถัดไปที่ตรงเข้ามาหาไม่ได้ช่วยยืนยันความคิดนั้น
อาต๋ายังคงมองมาเฉยๆ   
สี่เท้าของจิ้งจอกไฟพลันหนักอึ้งดั่งถูกถ่วงด้วยเหล็ก
เสียงคำรามของเสือโคร่งดังก้องป่า เสือโคร่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเสือโคร่งทั่วไป พลันกระโดดเข้าขวางทางลูกดอก แต่ด้วยพลังแห่งเทพสัตว์ป่าแห่งป่าสีทองจึงไม่มีอาวุธใดที่ระคายผิวหนัง
ดวงตาสีดำวาวกวาดตามองทุกคนแล้วส่งเสียงคำรามดังก้องเขย่าต้นไม้ใหญ่ สะเทือนภูเขา บรรดานายพรานทั้งหมดล้วนคู้ตัวลงหมอบด้วยความหวาดกลัว
เทพเสือโคร่งศิลาดำหันมาดันให้จิ้งจอกไฟขึ้นขี่หลัง แล้วพากลับมาที่ถ้ำแสงจันทร์ในป่าสีทอง
"ขอโทษ"
ต่อให้กล่าวคำนี้อีกสักกี่ครั้ง เทพเสือโคร่งศิลาดำที่อยู่ในร่างของมนุษย์ก็ยังคงปิดปากเงียบ หลังจากที่ทำแผลให้จนเสร็จก็ออกไปอยู่ที่ด้านนอกถ้ำ
ผ่านไปหลายชั่วยามนกยูงทองจึงมาถึง
เจ้านกยูงทองผู้นี้ถือว่าตนเองมีผนึกของป่าสีทองจึงไม่กลัวที่จะเดินทางตามลำพังไปทั่ว ต่อให้เป็นถ้ำเสือก็ตาม
เมื่อเห็นว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำอยู่ในร่างมนุษย์ สีหน้าบึ้งตึงอยู่ที่หน้าถ้ำก็พอจะรู้ว่าผู้ที่มาเยี่ยมต้องอยู่ในถ้ำ
"ยังไม่ได้คุยกันสินะ"
เทพเสือโคร่งศิลาดำส่ายหน้า
"งั้นขอคุยกับจิ้งจอกไฟนะ"
เทพเสือโคร่งศิลาดำพยักหน้า
นกยูงทองกลอกตามองบน คนหนึ่งไม่ชอบพูด ส่วนอีกคนก็คิดเองไม่เป็น...
"จิ้งจอกไฟ" นกยูงทองส่งเสียงทักทายเข้ามาก่อน "บาดเจ็บหรือไม่"
"เล็กน้อยเท่านั้น ท่านศิลาดำไปช่วยไว้"
นกยูงทองลดเสียงลงถามผู้ที่บาดเจ็บ
...แต่ถึงจะลดเสียงลงพูดคุยกัน แต่ถ้อยคำสนทนาทั้งหมดก็ไม่มีถ้อยคำใดที่รอดพ้นไปจากการได้ยินของเทพเสือโคร่งศิลาดำ
"ข้าบอกเจ้าแล้วว่า พวกนกป่าไปสำรวจให้แล้ว ที่หมู่บ้านนั้นไม่มีน้องๆ ของเจ้า....สรุปแล้วที่เจ้าหลบหนีไปที่หมู่บ้านนี่ เจ้าไปเพราะอันใด"
"ข้าต้องการล้างแค้นพวกคนที่สังหารครอบครัวของข้า"
"แต่เจ้ายังเด็กอยู่เลยจะไปแก้แค้นใครได้" จากที่ได้ยินมาจิ้งจอกไฟมิได้ไปเพื่อแก้แค้น เพราะมิได้ลงมือต่อใครสักคน มีแต่ไปเฝ้ารอพบคนผู้หนึ่ง "เจ้าไปหาผู้ชายคนหนึ่ง เขาคือคนที่เคยช่วยเจ้าไว้หรือ...หรือเพราะเหตุผลอื่น"
เมื่อจิ้งจอกไฟไม่ตอบคำถาม นกยูงทองก็พูดต่อไป "ที่ข้ารู้เพราะพวกนกป่าแถวๆ นั้นนำกลับมาพูดคุยกัน ซึ่งแน่นอนว่า ท่านศิลาดำก็คงรู้"
มือเรียวเล็กเขย่าตัวจิ้งจอกไฟเบาๆ "นี่" อีกฝ่ายยังไม่ทันจะตอบ นกยูงทองก็กล่าวต่อ "จำที่ท่านกระเรียนโกเมนสอนได้หรือไม่ จิ้งจอกไฟที่มาจากป่ารอบนอกอย่างเจ้าเนี่ย ใช้เวลาอีกไม่ถึงสามปีก็จะโตเต็มวัย เจ้าเองก็เรียนรู้ได้เร็ว เพียงไม่กี่วันก็สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้แล้ว ดังนั้นเรื่องการฝึกอื่นๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นกัน"
เทพเสือโคร่งศิลาดำที่ฟังอยู่ด้านนอกยังอดมิได้ที่จะต้องพยักหน้าชื่นชมเจ้านกยูงทองช่างพูด
ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้กล่าวคำ เจ้านี่ก็สามารถพูดไปได้เรื่อยๆ
"ข้าว่าพวกคนที่จะจับเจ้าก็คงคิดจะจับเจ้าเอาไปเลี้ยงดูอีกสักสามปี จึงฆ่าเจ้าเพื่อเอาหนัง พวกเขาถึงได้ใช้ลูกดอกขนาดเล็ก" นิ้วมือชี้ไปที่ลูกดอกที่ถูกโยนทิ้งไว้ด้านหนึ่งของห้อง แล้วกล่าวย้ำเพื่อเจตนาข่มขวัญ "เขาเลี้ยงดูและบำรุงเจ้าอีกไม่เท่าไหร่ก็จัดการเจ้าแล้ว แล้วเจ้าที่อยู่ในกรงขังจะแก้แค้นให้ฝูงของเจ้าได้อย่างไร"  นกยูงทองตั้งใจว่าจะพูดอีกสักสองสามคำเพื่อให้อีกฝ่ายไปคิดต่อเอาเอง แต่เมื่อหันไปทางปากถ้ำเห็นเทพเสือโคร่งศิลาดำที่ทิ้งให้จิ้งจอกไฟคิดเองมานานหลายเดือน แต่ก็ไม่เห็นว่าเจ้านี่จะคิดอะไรได้มากไปกว่าการตั้งหน้าตั้งตาจะออกไปที่หมู่บ้าน ดังนั้นจึงเพิ่มเป็นอีกสักสองสามประโยค เพื่อให้เทพเสือโคร่งศิลาดำได้ยินไปด้วย
"เพราะเจ้าชอบมนุษย์...เจ้าจึงไปสอบถามเรื่องการเปลี่ยนร่างกับท่านกระเรียนโกเมนสินะ" นกยูงทองส่ายหน้า "นั่นมันต้องใช้เวลานานมาก อีกอย่างจากที่เจ้าพบเจอกับตนเองในครานี้ ว่าเขาไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้ เมื่อถูกพวกพรานล้อมเข้ามา ยังคิดจะทำเช่นเดิมอยู่อีกหรือ"

...ที่จริงนกยูงทองคิดว่า มนุษย์ผู้นั้นอาจเป็นตัวล่อให้จิ้งจอกไฟเข้าไปติดกับด้วยซ้ำ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้พูดมากไปก็ไม่ดี ไม่พูดเลยก็ไม่ได้...
"วันนี้เจ้าเพิ่งมีเรื่องกลับมา นอนพักก่อนดีกว่า เอาไว้อาการดีขึ้นข้าจะสอนเจ้าฟังเสียงสายลมจะได้รู้ความเคลื่อนไหวของพวกเขาจากระยะไกล และไม่เอาชีวิตไปเสี่ยง"
เมื่อออกมาข้างนอกเห็นเทพเสือโคร่งศิลาดำยังรออยู่ เจ้านกยูงทองก็ถามอย่างตรงไปตรงมา
"ที่ท่านตามไปใกล้หมู่บ้าน นี่เป็นเพราะท่านชอบเจ้าจิ้งจอกไฟใช่ไหม"
ดวงตาสีเข้มหันไปมองทางอื่น ไม่ยอมตอบคำถาม "ฝากดูเขาด้วย เดี๋ยวศิลาแดงจะมา"
"เดี๋ยว” นั่นมันคือคำตอบหรือไง “ท่านจะไปที่ใด"
"ไปถ้ำยา"
นกยูงทองพยักหน้าหงึกหงักรับรู้ เทพเสือโคร่งศิลาดำหายไปพักใหญ่ เทพเสือโคร่งศิลาแดงจึงมาถึง ดูท่าทางไม่ค่อยประหลาดใจสักเท่าใดที่เห็นนกยูงทองในที่นี้
"ไง มาเยี่ยมจิ้งจอกไฟหรือ"
นกยูงทองพยักหน้า "ทำไมพวกท่านต้องผลัดกันเฝ้าจิ้งจอกไฟตลอดเวลา"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงมีสีหน้างุนงง "ทำไมข้าต้องเฝ้าจิ้งจอกนั่นด้วย ข้ามาช่วยพี่ใหญ่ดูแลมุกดาต่างหาก"
นกยูงทองกลอกตามองบน "นางเข้าบำเพ็ญแล้วหรือ มิน่าถึงไม่ได้พบกัน"
"แล้วเจ้าเล่า เมื่อไหร่จะเข้าบำเพ็ญให้เป็นเรื่องเป็นราว"
นกยูงทองสะบัดหลังมือใส่มวลอากาศที่อยู่เบื้องหน้า "ที่เป็นอยู่นี่ก็ดีอยู่แล้วมิใช่หรือไง"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงหลุดหัวเราะเสียงดัง จนนกยูงทองเท้าเอว "จะหัวเราะอะไรนักหนา"
"ก็ฝึกฝนไว้ เจ้านกยูงทองผู้งดงาม ใครจะไปรู้ได้อย่างไรว่าในวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น"
ที่จริงเทพเสือโคร่งผู้นี้กล่าวมาก็มีเหตุผล แต่นกยูงทองพอใจกับชีวิตในป่าสีทอง และการที่ไม่ต้องไปต่อสู้อะไรกับใคร
"จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างเถอะ ข้ามิได้อยากจะเป็นเทพอยู่แล้ว"
นกยูงทองลืมไปว่าตนเองเป็นเทพโดยกำเนิด แต่เป็นเทพที่ฝีมืออ่อนด้อยอย่างยิ่ง
"ไม่คิดเผื่อไว้ว่าวันหนึ่งจะออกไปช่วยจิ้งจอกไฟหรือไง"
นกยูงทองยอมรับ "ก็คิดอยู่ แต่ข้าไม่เอาไหนเรื่องต่อสู้ ก็จะสอนให้เขาฟังเสียงเตือนต่างๆ ข้าไม่ได้สูญเสียครอบครัวแบบเขา ไม่เข้าใจความแค้น และความมุทะลุแบบนั้น รวมถึงความคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ด้วย"
"เขาอยากเปลี่ยนร่างหรือ"
"ใช่ เขาคงชอบมนุษย์คนนั้นมากจริงๆ"
"เขาอาจต้องการเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์เพื่อที่ไปวางยามนุษย์ในหมู่บ้านก็ได้"
นกยูงทองย่นจมูก "เรื่องแค่นั้นไม่ต้องเปลี่ยนร่างก็ทำได้ อีกอย่างกว่าที่จิ้งจอกไฟจะเปลี่ยนร่างได้ พวกที่อยู่ในหมู่บ้านรวมถึงมนุษย์คนนั้นด้วยก็คงตายไปหมดแล้ว"
"มันมีวิธีลัดนะ แต่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่"
"ไม่ดีเลยต่างหาก" นกยูงทองทำตาโตเพราะรู้วิธีการนั้น "การครองคู่กับเทพสักตนเพื่อที่จะดึงพลังจากนางมาน่ะ มันเท่ากับการฆ่านางเลยนะ"
ทั้งนางสัตว์เทพผู้นั้นต้องรักจิ้งจอกไฟมากจนสามารถมอบพลังชีวิตให้ได้

เรื่องการถ่ายพลังชีวิตนี้ แตกต่างจากการที่เทพเสือโคร่งภูผามอบพลังชีวิตให้กับกวางทองที่เป็นบุตร เพราะเป็นการถ่ายทอดให้ทีละน้อย เพื่อพยุงชีวิต

การที่สัตว์เทพผู้หนึ่งจะมอบพลังชีวิตให้กับสัตว์ป่า เพื่อเป็นทางลัดในการเป็นสัตว์เทพ และเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้นั้นต้องใช้พลังชีวิตเกือบทั้งหมดที่มีอยู่
ที่สำคัญคือ จิ้งจอกไฟยังไม่ได้ต้องการเปลี่ยนร่างเพื่อเป็นสัตว์เทพครองคู่อยู่กับนางสัตว์เทพผู้นั้น แต่จะหนีไปอยู่กับมนุษย์อีกคนต่างหาก
โหดร้ายนัก! หลอกลวงให้รัก เพื่อให้นางมอบพลังชีวิต จากนั้นก็ทิ้งนางไป ลองคิดดูสิ นางจิ้งจอกผู้สูญเสียพลังชีวิตไปนั้นจะเสียใจสักเพียงใด
 
"แต่ข้าเชื่อว่า หากจิ้งจอกไฟรู้วิธีนั้น เขาต้องลงมือแน่ๆ" 
เทพเสือโคร่งศิลาแดง ไม่ได้ยึดมั่นเรื่องความดีงามอย่างพี่ชาย จึงพูดเรื่องนี้อย่างง่ายดาย
"แต่เดี๋ยวนะ นกยูงทองเจ้ารู้เรื่องความตั้งใจจะเปลี่ยนร่างนี้มาจากที่ใด"
นกยูงทองตบปากตัวเองเบาๆ "นกป่าได้ยินตอนที่จิ้งจอกไฟถามท่านกระเรียนโกเมนน่ะสิ"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงส่ายหน้า "ช่างเข้าใจเลือกถามได้ถูกคนเสียด้วย ท่านโกเมนต้องบอกวิธีการไปแน่ๆ"
ผู้ที่ตัวเล็กกว่าพยักหน้าหงึกหงัก "บอกอยู่แล้ว รวมถึงคำเตือนว่ามันไม่ดีอย่างไร สอนตั้งหลายเรื่อง ย้ำหลายครั้งว่าให้ใจเย็นๆ รออีกสักสามปีก็ยังไม่สาย แต่เขาก็ยังกลับไปที่หมู่บ้าน แล้วก็ถูกทำร้ายกลับมา"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงเลิกคิ้วขึ้นสูงขณะที่ครุ่นคิด
"คิดอะไรอยู่ คิดออกมาเป็นคำพูดให้ข้ารู้ด้วยได้หรือไม่"
"ไม่!" เทพเสือโคร่งศิลาแดงกล่าวเสียงดังใส่อีกฝ่าย "ขืนบอกเจ้าไป นกทั้งป่า ผู้มีปีกทุกตนก็จะรู้ไปด้วย"
"อะไรกัน เวลาที่ท่านถามมาข้ายังตอบทั้งหมดเลยนะ"
มือใหญ่จับศีรษะเล็กของนกยูงทอง "ขอบใจที่ไม่ปิดบัง ทุกสิ่งที่เจ้าบอกมามีประโยชน์อย่างยิ่ง"
ดวงตางดงามมองผู้ที่ร่างกายสูงใหญ่ด้วยความสงสัย "จะว่าไปเขาก็เป็นเพียงสัตว์ป่าเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น เหตุใดพวกท่านพี่น้องถึงต้องเข้าไปจัดการเรื่องนี้ด้วย"
"แล้วเจ้าเล่า"
"เขาเป็นสหายของข้า" นกยูงทองยิ้มงดงาม
"นั่นเป็นเหตุผลที่ดี"
"แล้วเขาเป็นเพื่อนของท่านด้วยหรือ"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงถอนหายใจก่อนตอบ "ข้าเข้าใจความแค้นของเขา ส่วนที่พี่ใหญ่ช่วยเขา..." ดวงตาของเสือโคร่งกวาดตามองบรรดานกตัวเล็กตัวน้อยที่เข้ามาเกาะคอนไม้เพื่อฟังการสนทนาแล้วแกล้งยักไหล่ หยุดพูดไปเสียดื้อๆ
"พี่ใหญ่ของท่านแล้วอย่างไร"
"เจ้าก็สมควรไปถามเขาไง"
"อะไรกัน ผู้อื่นล้วนตั้งใจฟัง" นกยูงทองชี้นิ้วไปที่บรรดานกน้อยทั้งหลายที่พากันประสานเสียงโวยวาย
"ข้าตอบในส่วนของข้า จะไปตอบในส่วนของพี่ใหญ่ได้อย่างไร" เทพเสือโคร่งศิลาแดงกอดอกตอบแบบผู้ที่อยู่เหนือกว่า
...นกยูงทองกับเพื่อนตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้ไม่มีทางที่จะไปสอบถามเทพเสือโคร่งภูผาอย่างแน่นอน...
การกระทำของเทพเสือโคร่งศิลาดำออกจะชัดเจนว่าพอใจจิ้งจอกไฟมาแต่แรก เพียงแต่ยังไม่กล่าวคำยอมรับออกมาเท่านั้น
ยิ่งพูดคุยก็ยิ่งมีความกังวลว่าจิ้งจอกไฟจะไปหลอกลวงนางจิ้งจอกเทพตัวหนึ่งตัวใดในป่าเพื่อดึงพลังของนาง
"ท่านแน่ใจหรือว่าจิ้งจอกไฟจะทำเรื่องไม่ดี"
"ข้าเชื่อเช่นนั้น เพราะมันเร็วกว่าการต้องรอคอยจนเติบโตเต็มวัย" เทพเสือโคร่งศิลาแดงพยักหน้าไปทางฝูงนกที่พากันตั้งใจฟังการสนทนาอย่างยิ่ง "แต่พวกเจ้าเป็นสหายกันนี่นะ ก็สมควรที่จะชักจูงกันไปในทางที่ดี"
เจ้าเสือโคร่งน่าตายตัวนี้ ตอนพูดเรื่องไม่ดีก็ไม่ดีอย่างยิ่ง แม้ในตอนที่พูดเรื่องดีๆ ก็ยังคงรู้ได้ว่าไม่มีเจตนาที่ดีอันใด
ช่างผิดแผกจากพี่น้อง นางเทพเสือโคร่งบงกชไปเก็บเจ้านี่มาจากป่านอกด่านหรืออย่างไรกัน!
นกยูงทองกับฝูงนกของเขากลับไปแล้ว หน้าถ้ำเสือกลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง เทพเสือโคร่งศิลาแดงจึงเดินเข้าไปในถ้ำ ผ่านห้องที่จิ้งจอกไฟนอนพักอยู่ ไปจนถึงห้องด้านในที่เทพเสือโคร่งมุกดาบำเพ็ญฌานอยู่ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีก็กลับออกมาดูจิ้งจอกไฟที่ลืมตาขึ้นมองผู้ที่เดินเข้ามา
"ได้ยินแล้วใช่ไหม"
"ไม่ทั้งหมดหรอก"
"ฟังคำเตือนจากท่านกระเรียนโกเมน ใจร้อนไปก็ไม่ได้ประโยชน์ ระหว่างนี้ข้าว่าเจ้าควรทำความรู้จักกับสัตว์เทพต่างๆ อาจมีสักตัวที่ให้สิ่งที่เจ้าต้องการ"
"ต้องการอะไร" เสียงอันดังของเทพเสือโคร่งศิลาดำดังขึ้นก่อนที่เจ้าตัวจะมาถึง
เทพเสือโคร่งศิลาแดงยักไหล่ไม่ตอบคำถาม แต่เปลี่ยนร่างเป็นเทพเสือโคร่งแล้วเดินเข้าไปนอนขวางที่หน้าห้องซึ่งเทพเสือโคร่งมุกดาบำเพ็ญฌานอยู่
แต่ผู้เป็นพี่ใหญ่ไม่ได้เปลี่ยนร่าง ยังคงอยู่ในร่างของมนุษย์ขณะที่เดินเข้ามาดูบาดแผลของจิ้งจอกไฟ 
สำหรับจิ้งจอกไฟแล้ว เขาไม่ได้คิดว่าอาการบาดเจ็บเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งท่าทีของนกยูงทองกับเทพเสือโคร่งศิลาแดงที่ปฏิบัติต่อตนเองก็ดูแล้วไม่ได้มีอะไรที่เป็นพิเศษ เว้นแต่เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้นี้ ที่เมื่อทำแผลให้เสร็จก็ออกไปอยู่ด้านนอกถ้ำ
จิ้งจอกไฟลุกขึ้นช้าๆ ค่อยๆ เดินเข้าไปหาผู้ที่เพิ่งนั่งลงและหันมามอง จากนั้นก็นอนหมอบลงแทบเท้า
เพราะเทพเสือโคร่งศิลาดำเป็นผู้ที่มีความสามารถพิเศษในเรื่องการสอดแนม และดักฟังจึงทราบเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับจิ้งจอกไฟมากกว่าที่ตัวของจิ้งจอกไฟจะรู้เสียอีก
ปล่อยให้จิ้งจอกไฟหมอบอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานาน เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงกล่าวขึ้น
"หากสามปีนี้เจ้าเชื่อฟังนางจิ้งจอกหิมะและท่านกระเรียนโกเมนเป็นอย่างดี ไม่หลบหนีออกไปจากป่าสีทอง ข้าจะให้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงที่อยู่ด้านในถ้ำถึงกับลุกขึ้นมา ส่งเสียงคำรามไม่เห็นด้วย
แม้ว่าในเวลานี้จะมีเพียงเทพเสือโคร่งศิลาดำที่อยู่ในร่างมนุษย์แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการสื่อสาร
"เขาต้องการอะไร พี่ใหญ่รู้หรือไม่"
พี่ใหญ่มองมานิ่งๆ ดวงสีดำล้ำลึกคู่นั้นทำให้น้องชายต้องก้มหน้าลง
"ข้าเพียง...เพียง..."
จิ้งจอกไฟเงยหน้ามองพี่น้องสนทนากัน ขณะที่รู้สึกหวั่นใจ
"เจ้าสูญเสียนางเสือโคร่งผู้เป็นคู่ครองเพราะพรานในหมู่บ้านนั้น ส่วนจิ้งจอกไฟก็สูญเสียครอบครัวพี่น้องเพราะมนุษย์เหล่านั้นเหมือนกัน เรื่องความแค้น และความต้องการแก้แค้นของพวกเจ้า ข้ารู้ว่ามันไม่อาจลบล้างไปได้โดยง่าย"

เทพเสือโคร่งศิลาแดงมีคู่ครองเป็นนางเสือโคร่งตนหนึ่งที่อยู่ในป่ารอบนอก ทางทิศเหนือของป่าสีทอง แต่นางถูกพรานป่าล่า เหตุเกิดเมื่อยี่สิบปีก่อน มาถึงขณะนี้พรานที่ล่านางล้วนเสียชีวิตไปแล้ว ทั้งการเจ็บป่วย และความชรา แต่เทพเสือโคร่งศิลาแดงก็ยังไม่พอใจ ยังคงคิดแก้แค้นไปถึงครอบครัวของพรานเหล่านั้น

ส่วนจิ้งจอกไฟที่มุ่งมั่นจะไปที่หมู่บ้านพราน เทพเสือโคร่งศิลาดำรู้ว่า เหตุผลหลักคือไปพบนายพราน เหตุผลรองคือการดูลู่ทางเพื่อแก้แค้น

"แต่การแก้แค้นของพวกเจ้าต้องไม่เป็นการทำร้ายเทพสัตว์ป่าผู้อื่น"
ผู้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่คุกเข่าลงข้างหนึ่งเบื้องหน้าจิ้งจอกไฟ "เจ้าต้องกล่าวคำอธิษฐานต่อข้า"
"พี่ใหญ่" เทพเสือโคร่งศิลาแดงท้วงขึ้น "พวกเราจะคิดหาวิธีอื่น"
แต่ดวงตาสีดำคู่นั้นสะกดจิ้งจอกไฟไว้จนไม่อาจละสายได้

ตั้งแต่จำความได้มารดาก็สอนมาตลอดว่าสัตว์เทพแห่งป่าสีทองสีทองนั้นรักษาคำมั่นสัญญาอย่างยิ่ง หากรับคำอธิษฐานไปแล้วจะต้องหาทางปฏิบัติตาม
กับเทพเสือโคร่งศิลาดำผู้นี้ แม้จะเป็นผู้ช่วยชีวิตไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่จิ้งจอกไฟก็ไม่เคยแม้แต่จะสำนึกในบุญคุณ จิตใจจดจ่ออยู่กับคนที่อยู่ในกลุ่มผู้ที่สังหารครอบครัว และคนที่หยุดยืนนิ่งเมื่อกลุ่มนายพรานล้อมเข้ามาใกล้

"ขอโทษ" จิ้งจอกไฟขยับตัวเข้ามาเลียมือใหญ่ มิได้กล่าวคำอธิษฐานและมิได้ให้คำสัญญาใดๆ

...จบบทที่สามสิบสี่...
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest ภาคจิ้งจอกไฟ P36(150961)
เริ่มหัวข้อโดย: jeab12 ที่ 24-09-2018 20:53:43
เข้ามาให้กำลังใจ น้อง น้ำชา  :mew1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 25-09-2018 00:14:01
บางเรื่องก็ปล่อยวางกันไม่ลงจริงๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 25-09-2018 02:52:42
ทีม เทพเสือโคร่งศิลาดำ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 25-09-2018 06:38:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 25-09-2018 09:27:11


 :angry2:  ตอนนี้การกระทำของอาต๋านี่น่าโมโห ถึงจะมีเหตุว่าเพราะอาชีพของตนว่าเป็นนายพรานก็เห่อะ


แต่เนาะ เรื่องทั้งหมดมันเริ่มมาจากมนุษย์ทั้งนั้น  :katai1:


เราทำใจไว้ก่อนเพื่อรออ่านมาม่าตอนต่อไป  :ling3:






หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 25-09-2018 16:19:47
่ทุ่มเทแบบทุ่มเทมากเกินไป ฮือออออออ จิ้งจอกไฟจะสำนึกได้มั้ย  :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 26-09-2018 09:27:12
 :เฮ้อ: สรุป..มนุษย์นี่เเหละตัวร้าย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: pubpibs ที่ 26-09-2018 09:38:55
 :L2:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 26-09-2018 11:57:06
 :กอด1: ตอนใหม่ได้แบบไม่รู้ตัว  :pig4:

พออ่านแล้วก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง  :o11:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 27-09-2018 21:03:39
ยังคงทำใจกับที่บอกว่า ห่วงโซ่อาหารผู้อ่อนแอ ย่อมกลายเป็นผู้แพ้ ไม่ได้เลย  :hao5:

v
v

มีเรื่องเศร้าของเหมียวน้อยในชีวิตจริงพึ่งเห็นตัวได้ไม่ถึง 3 ชม ก็จากเราไป

^
^
2 บรรทัดบน ไม่เกี่ยวกับเนื่อเรื่องแต่อย่างใด เพียงแต่หวนกลับไปอ่านตอนที่ พ่อแม่พี่น้องของจิ้งจอกไปโดนฆ่า แล้วอยากร้องให้
 :hao5:  :hao5:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 27-09-2018 21:24:47
 :5779: :5779: :577ตอนใหม่อยู่ไหนนนน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 27-09-2018 23:35:01
อ่านแล้วรู้สึกว่าจิ้งจอกไฟดื้อสุดๆ...ต้องเจอเรื่องแบบนี้อีกกี่ครั้งถึงจะหราบจำ  :m16:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่34 P36(240961)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-09-2018 13:51:10
กำลังคิดถึงอยู่พูดกับตัวเองว่าไม่ได้อ่านของคุณไจฟ์ทีเลยหลายปีแล้วนะ ยังแต่งอยู่หรือเปล่าหนอ ด้วยความสะเพร่าของตัวเองที่ไม่เคยสังเกตุสังกาอะไร สองวันถัดมาถึงได้เห็นว่าเขาอัพนิยายอยู่หนา 555555
ลากอ่านม้วนเดียวตั้งแต่เมื่อวานเพิ่งได้จบเมื่อครู่นี้เอง แหม!!!!!! หมั่นไส้ไอ้จิ้งจอกไฟตัวเล็กนี้มากๆเลยค่ะ อยากจะลากแล้วโยนให้พวกพรานพวกนั้นจับขังเสียจริง
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 28-09-2018 18:18:40
ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สามสิบห้า


แสงแดดอ่อนยามเช้าพาความอบอุ่นเข้ามาสู่ป่าสีทอง เทพเสือโคร่งศิลาดำเดินช้าๆ เลียบลำธาร จิ้งจอกไฟตัวน้อยวิ่งตามแล้วกระโดดเข้ามาดักด้านหน้า
ดวงตางดงามสดใส ขนสีแดงเป็นประกายบ่งบอกถึงสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น แม้ว่ารูปร่างจะเติบโตขึ้นจากเดิมเพียงเล็กน้อย
อาจเพราะยังติดเที่ยวเล่นมากเกินไป
"เช้าแล้ว ขอไปหานกยูงทองกับกวางไพลินได้ไหม"
"ไปสิ"
"จะไปแถวๆ บึงทางฝั่งตะวันออกด้วย"
เทพเสือโคร่งศิลาดำก้มลงมอง "แถวนั้นมีพวกงูใหญ่อาศัยอยู่ ระมัดระวังให้มาก อย่าไปรบกวนพวกเขา"
"ขอรับ"
จิ้งจอกไฟวิ่งไปได้สองก้าวก็วิ่งกลับมาเลียแก้มของเสือโคร่งตัวใหญ่หนึ่งครั้งแล้วรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เทพเสือโคร่งภูผาก้าวเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง
"นั่นคือลูกไฟตัวน้อยที่เจ้าเก็บมาดูแลหรือ"
ผู้เป็นบุตรพยักหน้า บิดาจึงกล่าวมอบหมายงานที่ป่าทางฝั่งตะวันตกของไท่ชาง
"นอกฐานทัพทางฝั่งตะวันตก" เทพเสือโคร่งศิลาดำทวนคำ แล้วหันไปทางที่จิ้งจอกไฟลับหายไป
บิดาก็พอจะรู้ใจบุตรชายอยู่บ้าง
"ถ้าเป็นห่วงก็พาไปฝากไว้กับนางจิ้งจอกหิมะเสียก่อนก็ได้ ปล่อยไว้ลำพังที่ป่าเสือจะไม่ปลอดภัย"

สหายทั้งสาม...อันที่จริงก็มีแต่เพียงจิ้งจอกไฟที่จะถูกนำไปฝากไว้กับนางจิ้งจอกหิมะ แต่ในเวลานี้สหายทั้งสามอยู่ด้วยกัน เวลาที่จะบอกเรื่องใด จึงมักจะกลายเป็นเรื่องของสหายทั้งสามไปโดยปริยาย
"ไปทำงานให้กับท่านเทพเสือโคร่งภูผาหรือ ไปเถิด ไม่ต้องห่วงทางนี้" เจ้านกยูงทองคงลืมไปว่าตนมิใช่จิ้งจอกไฟ
"ต้องหมั่นฝึกฝนทุกวัน อย่ามัวแต่พากันวิ่งเล่นไปทั่ว" เทพเสือโคร่งศิลาดำรู้สึกกังวลว่า เมื่อกลับมา พลังยุทธ์ของเจ้าตัวเล็กเหล่านี้จะพากันถดถอยแทนที่จะก้าวหน้า
"รู้แล้วน่า" นกยูงทองรับคำด้วยเสียงอันดัง ขณะที่จิ้งจอกไฟกับกวางไพลินพยักหน้ารับคำ
เทพเสือโคร่งรู้สึกไม่ไว้ใจ จนต้องกลับมากล่าวฝากฝังกับนางจิ้งจอกหิมะอีกคราจึงออกเดินทาง

แต่ในอีกสามปีถัดมา เมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำกลับมาที่ป่าสีทอง ก็พบจิ้งจอกไฟรุ่นหนุ่ม งดงามตัวหนึ่งอยู่ในฝูงของนางจิ้งจอกหิมะ
รูปร่างแข็งแรง ขนสีแดงเพลิงพลิ้วไหวล้อสายลม พวงหางยกสูงสะบัดด้วยความยินดี ดวงตายาวเรียวที่มองมามีประกายสดใส
นางจิ้งจอกหิมะกล่าวคำทักทาย และไต่ถามถึงการทำงานที่ต้องใช้เวลาอย่างยาวนานในพื้นที่ห่างไกล เทพเสือโคร่งศิลาดำตอบทุกคำถามของนางด้วยความสุภาพ จากนั้นนางจึงบอกเล่าการดูแลจิ้งจอกไฟในช่วงเวลาที่ผ่านมา เทพเสือโคร่งรับฟังจนจบจึงขอลากลับมาที่ถ้ำแสงจันทร์ โดยมีจิ้งจอกไฟผู้งดงามเดินตามมาด้วย
ทั้งเหล่านกน้อยในป่าจนถึงนางจิ้งจอกหิมะต่างบอกเล่าเหมือนกัน คือเหตุการณ์โดยทั่วไปที่เป็นไปอย่างเรียบร้อย
และที่สำคัญ จิ้งจอกไฟไม่เคยก้าวเท้าออกจากป่าสีทอง
เทพเสือโคร่งศิลาดำทบทวนความคิดในใจ เพราะอีกฝ่ายคือจิ้งจอกจากเขตป่าด้านนอกหรืออย่างไร จึงมักจะมีความรู้สึกไม่วางใจเกิดขึ้นอยู่เสมอ
แล้วเหตุใดจึงต้องการความรู้สึกที่เรียกว่า 'วางใจ' จากอีกฝ่าย ในเมื่อนี่ก็เป็นเพียงจิ้งจอกไฟตัวหนึ่งที่สูญเสียครอบครัวไป และก็เฝ้าแต่จะหาโอกาสออกไปพบชายผู้หนึ่งที่หมู่บ้านพรานแห่งนั้น
เทพเสือโคร่งที่เดินนำหน้าหยุดเท้า เงยหน้าขึ้นสัมผัสกลิ่นไอผิดปกติบางอย่าง...
จิ้งจอกไฟเดินตามมาอย่างเชื่อฟังจนถึงเขตป่าเสือ แล้วหยุดรออยู่ที่หน้าถ้ำ ระหว่างที่เทพเสือโคร่งศิลาดำเข้าไปพูดคุยกับเทพเสือโคร่งศิลาแดงที่ยังคงเฝ้าเทพเสือโคร่งมุกดาซึ่งยังไม่ออกจากการบำเพ็ญ
ผ่านไปครู่ใหญ่เทพเสือโคร่งศิลาแดงจึงออกมา พยักหน้าให้กันครั้งหนึ่งเมื่อเดินผ่านไป
แต่ยังไม่ทันที่จิ้งจอกไฟจะตามเข้าไปในถ้ำ เทพเสือโคร่งศิลาดำก็เดินออกมา พยักหน้าให้เดินตามมาที่ลำธาร ดำน้ำหายไปครู่หนึ่งก็คาบปลาตัวใหญ่เหวี่ยงขึ้นมาให้ที่แทบเท้า
จิ้งจอกไฟเอียงคอมอง จากที่เคยเห็นเทพเสือโคร่งทั้งสองดูแลเทพเสือโคร่งมุกดาที่อยู่ในห้องใหญ่ด้านในของถ้ำแสงจันทร์ เคยเห็นว่าเอาผลไม้และน้ำไปให้ แต่ไม่เคยเห็นว่าให้พวกเนื้อสัตว์มาก่อน
หรือว่าจะให้เอาไปให้ผู้ใด...
จากที่กำลังสงสัย จิ้งจอกไฟถึงกับสมองว่างเปล่าไปในทันทีที่เทพเสือโคร่งศิลาดำเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ต่อหน้า...
รู้แต่ว่าหัวใจกำลังเต้นแรงมาก และ...
จิ้งจอกไฟหันหน้าไปทางอื่น ได้ยินแต่เสียงหัวเราะเบาๆ
ไม่อยากเชื่อว่า เมื่อเป็นมนุษย์แล้วเขาจะหัวเราะเป็นด้วย...
"กินสิ"
"ให้ข้าหรือ" จิ้งจอกไฟไม่กล้าหันไปมอง
"มันอยู่ที่ด้านหน้าของเจ้ามิใช่หรือไง"
"ก็...คิดว่าจะเอาไปให้ท่านมุกดาหรือผู้อื่น"
ได้ยินเสียงหัวเราะอีกครา จากนั้นก็เป็นเสียงว่ายน้ำห่างออกไป จิ้งจอกไฟจึงนั่งลงกินปลาตัวนั้น หมดแล้วก็ลงไปดื่มน้ำ ค่อยๆ ก้าวลงไปในลำธาร
ไม่ได้คิดว่าจะอาบน้ำ หรือจะหาอาหาร ก็แค่เห็นว่าอีกฝ่ายอาบน้ำเป็นเวลานาน ก็สงสัยว่ามันสนุกอย่างไร แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่น่าสนุกถึงเพียงนั้น ว่ายอยู่แถวริมตลิ่งก็กลับขึ้นมา แล้วสะบัดขนแรงๆ
เมื่อหันไปเห็นคนที่ก้าวขึ้นมาจากน้ำได้เพียงครึ่งตัว อดที่จะเปรียบเทียบกับตนเองมิได้
จะตอนที่เป็นเด็กหรือตอนที่โตเต็มวัยในเวลานี้ ก็ไม่เห็นว่าตนเองจะสวยงาม ไม่ว่าเมื่อใดเทพเสือโคร่งศิลาดำก็มักจะมองผ่านไปอยู่เสมอ
แล้วหากข้าเป็นมนุษย์ ข้าจะงดงามมากพอที่จะหยุดสายตาของเขาได้หรือไม่
เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับมาอยู่ในร่างของเทพเสือโคร่งอีกครั้ง แล้วเดินนำกลับมาที่ถ้ำ ตรงเข้าไปดูนางเทพเสือโคร่งมุกดาเหมือนเคยแล้วกลับมาที่ห้องด้านหน้า
จิ้งจอกไฟก้าวเข้ามาหาเลียที่แก้มของอีกฝ่าย เพื่อแสดงความขอบคุณแล้วก็เดินกลับไปอยู่ในมุมที่ตนเองเคยนอน
แต่ตอนนี้จิ้งจอกไฟมิใช่เจ้าลูกไฟตัวน้อยอีกต่อไปแล้ว
"เจ้า...ถูกใจนางจิ้งจอกตนใดหรือยัง"
จิ้งจอกไฟส่ายหน้า แล้วย้อนถาม "แล้วท่านเล่า ข้ารู้ว่าท่านเคยมีความสัมพันธ์กับนางเสือหลายตัว แต่...สุดท้ายก็..." ดวงตางามช้อนมองแล้วหันไปทางอื่นทันที "แยกทางกับพวกนาง"
เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับยอมรับแต่โดยดี "ใช่ ข้าถูกทิ้ง"

ที่จิ้งจอกไฟกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว เมื่อเติบโตเต็มวัยเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ต้องเลือกหาคู่ครอง แต่หลังจากที่ครองคู่กับนางเสือตนแรกด้วยกันเพียงครึ่งปี นางก็ละทิ้งเขาไปหาคู่ครองใหม่
สองปีถัดมาเทพเสือโคร่งศิลาดำครองคู่กับนางเสืออีกตน อยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่เดือน นางก็กลับไปอยู่ที่ป่าของนางเช่นเดิม
ดังนั้นความสัมพันธ์ของเทพเสือโคร่งศิลาดำในช่วงเวลาต่อมาคือความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นตามช่วงฤดูกาล หลังจากที่ใช้เวลาร่วมกันเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไป
เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงเป็นเทพเสือโคร่งเพียงตนเดียวในป่าสีทองที่ไม่มีทายาท

ตั้งแต่แยกจากฝูงของนางจิ้งจอกหิมะกลับมาจนถึงถือแสงจันทร์  เทพเสือโคร่งสัมผัสถึงกลิ่นไอจางๆ จากจิ้งจอกไฟ
เป็นกลิ่นไอที่ทำให้ต้องเปลี่ยนความตั้งใจ จากที่ควรจะดูแลมุกดาหรือไม่ก็พักผ่อน แต่เขากลับไปที่ลำธารเพื่อที่จะล้างตัว และมอบอาหารให้กับจิ้งจอกไฟ...ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้รับหาได้เข้าใจเรื่องธรรมเนียมนี้แต่อย่างใด
เทพเสือโคร่งศิลาดำถึงได้หัวเราะ เมื่ออีกฝ่ายถามเรื่องปลา และพยายามหลบตาเมื่อเห็นว่าเขาเปลี่ยนร่าง
แต่จิ้งจอกไฟย่อมต้องรู้เรื่องของกลิ่นทางเพศของตนเอง ว่ากำลังส่งสัญญาณเรียกหาผู้อื่น
เพียงแต่...เขาเป็นจิ้งจอกไฟเพศผู้ ซึ่งจะไม่ส่งกลิ่นอย่างเพศเมียอย่างที่กำลังส่งกลิ่นยั่วเย้าอีกฝ่ายอยู่ในเวลานี้
ดังนั้นแล้ว จิ้งจอกไฟจึงรู้สึกสับสน และลำบากใจจนต้องหลบไปอยู่ในห้องเล็กของตนเองในทันทีที่กลับมาถึงถ้ำแสงจันทร์
การอยู่ในห้องเล็กนี้ด้วยกัน ทำให้เรื่องราวยุ่งยากกว่าเดิม
ที่ควรมอบให้ก็มอบให้แล้ว ที่ควรถามก็ถามแล้ว แล้วอย่างไรต่อ
ร่างกายสูงใหญ่ของเทพเสือโคร่งก้าวเข้ามาหาแล้วก้มลงเลียที่ริมฝีปากยาว 
จิ้งจอกไฟกระถดตัวหนีหันก้นเข้าหาฝาผนัง ผู้ที่ไล่ตามจึงส่งเสียงคำรามในลำคอเบาๆ
"ขะ ขออภัย คือ ขะ ข้า"
"ครั้งแรกหรือ"
ดวงตางดงามมองค้อน
รู้ทุกอย่างแล้วยังจะมาถาม  "หลบไปสิ ข้าจะออกไปข้างนอก"
"ข้างนอกนั่นมีทั้งเสือและจิ้งจอกตัวผู้รอเจ้าอยู่"
เมื่อพูดขึ้นจิ้งจอกไฟถึงรู้สึกถึงกลิ่นของเสือและจิ้งจอกที่เคลื่อนใกล้เข้ามา
"ว่าอย่างไร จะออกไป เพื่อมอบให้ผู้อื่น หรือจะมอบให้ข้า"

รูปร่างลักษณะ การเคลื่อนไหว กลิ่นและน้ำเสียงของเทพเสือโคร่งศิลาดำ ทั้งหมดนี้ทำให้จิ้งจอกไฟมีความต้องการเพิ่มขึ้น
กลิ่นไอนั้น ยิ่งนานยิ่งหอมหวานชัดเจนจนทำให้หายใจลำบาก

เทพเสือโคร่งศิลาดำเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้จิ้งจอกไฟลุกขึ้น
จิ้งจอกไฟก้าวช้าๆ จนไปหยุดอยู่ที่กลางห้อง ดวงตางดงามหันมามองแล้วหันหลังให้ ค่อยๆ หมอบตัวลงยกสะโพกขึ้นสูง
กลิ่นของเพศเมียยิ่งชัดเจน
เทพเสือโคร่งศิลาดำเลียที่ช่องทางด้านหลังเพื่อเตรียมพร้อม รอจนช่องทางอ่อนนุ่มจึงก้าวขึ้นคร่อมหลัง ใช้จมูกดันหลังใบหูที่มีขนสีแดงเพลิงให้หันมา เพื่อที่จะเลียริมฝีปาก และแนวฟันงดงาม
ร่างกายที่อยู่ด้านใต้หมอบคู้ ยกสะโพกขึ้นเบียด ร่างกายอุ่นร้อนเพิ่มขึ้นทีละน้อย
เทพเสือโคร่งศิลาดำเลียด้านหลังลำคอเล็ก จิ้งจอกไฟส่งเสียงอึกอักตอบรับ
คมเขี้ยวเสือขบลงที่ไหล่ ขณะที่สอดความแข็งขึงเข้าหาช้าๆ
เพราะหนึ่งคือเทพเสือโคร่ง หนึ่งคือจิ้งจอกไฟ
ต่างกันทั้งเผ่าพันธุ์และรูปร่าง
หากยังกัดไหล่ไว้ก็จะไม่สามารถสอดใส่ได้จนสุด แต่หากใส่จนสุดก็จะทำให้จิ้งจอกไฟบาดเจ็บ เทพเสือโคร่งศิลาดำเพิ่มแรงขบกัดไหล่แล้วคายออก ร่างกายที่อยู่ด้านใต้เจ็บไหล่จนคิดว่าเนื้อกำลังจะหลุดไปตามเขี้ยว แต่ก็ตามมาด้วยความเจ็บของช่องทางที่ถูกฉีกเมื่อผู้ที่อยู่ด้านบนสอดใส่เข้ามาจนสุดแล้วขยับย้ำ
อยากหลบหนีแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ทั้งยังมีร่างกายใหญ่โตที่คร่อมอยู่ เสียงกรีดร้องที่ออกมาจึงดังก้องไปทั้งถ้ำ ประสานด้วยเสียงคำรามของเทพเสือที่บ่งบอกความเป็นเจ้าของ
ความคับแน่นนำทางให้จิ้งจอกไฟถึงจุดสูงสุดก่อน จากนั้นเมื่อน้ำรักของเทพเสือโคร่งหลั่งเข้าสู่ส่วนลึก ยังมีพลังอุ่นๆ ที่ไหลตามเข้ามาแล้วซึมไปตามเส้นเลือด และทุกอณู
ร่างกายเบาหวิว แต่ยังได้ยินเสียงทุ้มนุ่มที่ชัดเจน

"ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าให้เจ้า..."

เมื่อเทพเสือโคร่งถอนแก่นกายออก จิ้งจอกไฟที่หมอบคู้หมดสติอยู่กลางห้องก็เปลี่ยนร่างเป็นชายหนุ่มเรือนผมสีแดงผู้หนึ่ง เทพเสือโคร่งศิลาดำเลียแก้ม ริมฝีปาก ดันไหล่บางและร่างกายงดงามให้นอนหงาย โลมเลียความสวยงามนั้นไปทุกส่วน
ทั้งที่ยังรู้สึกเจ็บปวด แต่ทุกสัมผัสเปียกชื้นจากปลายลิ้นปลุกความต้องการขึ้นมาอีกครั้ง จิ้งจอกไฟลืมตาขึ้นมองเทพเสือโคร่งตัวใหญ่ที่กำลังโลมเลียแก่นกายอุ่นร้อนของตนเอง จากนั้นก็ยกมือของตนเองขึ้นมาดู แต่เมื่อจะกระถดตัวหนีเพื่อที่จะสำรวจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เทพเสือโคร่งก็กดไหล่ไว้
ใบหน้าของเทพเสือโคร่งเข้ามาใกล้แล้วเปลี่ยนเป็นชายหนุ่มเมื่ออยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
คิ้วเข้ม ดวงตาสีดำล้ำลึก จมูกโด่ง มุมปากกดลึกด้วยรอยยิ้ม
จิ้งจอกไฟสัมผัสใบหน้านั้น พลันขอบตาร้อนผ่าว
ผู้ที่คร่อมตัวอยู่ด้านบนก้มลงจูบหางตา แก้มที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา และริมฝีปาก
ไม่จำเป็นที่จะต้องสำรวจร่างกายของตนเอง เพราะอีกฝ่ายสัมผัสร่างกายนั้นทุกส่วน และสอดเข้าหา...ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จิ้งจอกไฟทำได้เพียงส่งเสียงครางและหลอมละลาย....

ช่วงสายของวันใหม่ จิ้งจอกไฟยังรู้สึกปวดร้าวไปทั้งตัว ขณะที่ผู้ที่หลับอยู่ด้านข้างคือเทพเสือโคร่งศิลาดำซึ่งกลับไปอยู่ในร่างของเทพเสือโคร่งแล้ว

...ต้องมอบพลังชีวิตสักเท่าใด จึงทำให้สัตว์ป่าตัวหนึ่งกลายเป็นสัตว์เทพในช่วงเวลาเพียงชั่วยาม
...ต้องรักมากสักเท่าใด จึงมอบพลังชีวิตที่ผ่านการฝึกฝนอย่างยาวนานให้อีกฝ่ายไป
คำตอบคือรัก...มากกว่าชีวิตของตนเอง...
จิ้งจอกไฟกัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น ขณะที่ลูบใบหน้าลำคอและหลังของอีกฝ่าย
"ขอบคุณท่านมาก"
จูบที่เปลือกตาที่ยังหลับสนิทด้วยความอ่อนเพลีย จากนั้นก็ฝืนลุกไปล้างตัว ทำให้พบว่าอีกฝ่ายทายาและล้างตัวให้แล้ว
เปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกไฟอีกครั้ง เพื่อไปหาอาหารมาให้กับเทพเสือโคร่งศิลาดำและเทพเสือโคร่งมุกดาที่ยังอยู่ในห้องด้านใน
เทพเสือโคร่งตนหนึ่งกินผลไม้ ส่วนอีกหนึ่งกินเนื้อสัตว์
ระหว่างที่อยู่ในถ้ำ จิ้งจอกไฟฝึกฝนการเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์โดยให้ขนสีแดงเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้า และฝึกฝนยุทธ์โดยลำพัง เทพเสือโคร่งศิลาดำที่อ่อนเพลียเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงนั้นด้วยความพึงพอใจ
และในวันที่ร่างกายฟื้นฟูแข็งแรง เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว และเทพเสือโคร่งศิลาดำนอนหลับอยู่
...จิ้งจอกไฟก็ลอบออกจากป่าสีทองแล้วตรงไปที่หมู่บ้านพรานแห่งนั้น...
แม้เวลาจะผ่านไปนานกว่าสามปี แต่กลิ่นและร่องรอยของอาต๋ากลับถูกสลักอยู่ในความทรงจำ
ชายหนุ่มผู้งดงามผู้มีเรือนผมสีแดงเพลิงลอบเข้าไปถึงกระท่อมหลังหนึ่งในหมู่บ้าน
ที่นี่ไม่ได้มีเพียงอาต๋า แต่ยังมีผู้อื่นอยู่ด้วย
สตรี และเด็ก...
นางกอดเด็กน้อยไว้แน่น จ้องมองชายหนุ่มด้วยความกังวลกึ่งชื่นชม
ไม่ได้หวาดกลัว เพราะจิ้งจอกไฟมิได้ถืออาวุธ และไม่ได้มีท่าทีเกรี้ยวกราด
ดวงตายาวเรียวที่มองมามีแต่ความประหลาดใจ
"เจ้า...เป็นอะไรกับอาต๋า"
"ข้าเป็นเมียของอาต๋า แล้วนี่คือบุตรชายของพวกเรา"
มีเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามาใกล้ ประตูหน้าบ้านเปิดออก เป็นอาต๋าที่กลับมา
ชายหนุ่มมองผู้ที่ยืนอยู่กลางบ้านด้วยความตกใจ และประหลาดใจ
"นางคือเมียกับลูกของเจ้าหรือ"
อาต๋าพยักหน้าช้าๆ จากนั้นจึงนึกออก "ท่าน...ท่านคือจิ้งจอกไฟตัวนั้นหรือ"
จิ้งจอกไฟพยักหน้า "ใช่"
"ข้า...ข้าไม่รู้..."
จิ้งจอกไฟก้าวเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น แล้วกระโดดลับหายไปต่อหน้า

จิ้งจอกไฟลัดเส้นทางมาได้เพียงแค่ป่ารอบนอกของป่าสีทอง พบนกยูงทองกับกวางไพลินที่ตรงเข้ามาหา ทั้งสองอยู่ในร่างของมนุษย์เช่นกัน
"ท่านศิลาดำถ่ายพลังให้เจ้าจริงๆ ด้วย" นกยูงทองกล่าวขึ้นในทันที
กวางไพลินตีแขนของนกยูงทองเบาๆ ขณะที่กล่าวกับจิ้งจอกไฟ "ไปหาอาต๋าอีกหรือ"
"ใช่" จิ้งจอกไฟยอมรับ "เขามีเมียและลูกแล้ว" และด้วยความตกใจทำให้ยังไม่ได้ถามถึงพรานโหดเหี้ยมผู้นั้น
"ก็บอกแล้ว ว่าเขาเป็นมนุษย์ จะรับรู้ความรู้สึกของเจ้าอย่างไร” นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นกยูงทองกล่าวคำนี้
จิ้งจอกไฟได้ยิน แต่ไม่เคยเข้าใจ
"เมื่อกลับมาก็ดีแล้ว พวกเรารีบกลับไปที่ป่าสีทองก่อนเถิด" กวางไพลินร้อนใจอยากออกไปให้พ้นจากพื้นที่ของมนุษย์โดยเร็ว
แต่เมื่อกลับเข้ามาถึงเขตป่าสีทอง การเดินทางไม่ต้องรีบร้อน จิ้งจอกไฟจึงหันมาถามสหายทั้งสอง
"ทำไมถึงได้ตามไปที่หมู่บ้าน"
ก่อนที่นกยูงทองจะเปิดปากบอกความลับออกไป กวางไพลินก็ชี้ไปที่เหล่านกน้อยบนต้นไม้
"พวกเขาไปเรียกเราน่ะสิ บอกว่า มีเทพใหม่ออกไปที่หมู่บ้าน ให้พวกเราไปพากลับมาก่อนที่ความลับของพวกเราจะเปิดเผย"
เรื่องที่กวางไพลินกล่าวกลับเป็นคนละเรื่องกับที่นกยูงทองเกือบพลั้งปากกล่าวออกไป   
เรื่องที่นกยูงทองเกือบบอกออกไปก็คือเทพเสือโคร่งศิลาดำฝากทั้งสองให้ช่วยดูแล อย่าให้จิ้งจอกไฟออกไปที่หมู่บ้าน จากนั้นนกยูงทองก็มาบอกให้บรรดานกป่าช่วยกันดูอีกต่อหนึ่ง
แต่เมื่อกวางไพลินเริ่มเรื่องนี้ นกยูงทองก็คิดว่าดีแล้วที่มิได้พูดเรื่องนี้ออกไป
...เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าบอกออกไปต้องโดนโกรธ
จิ้งจอกไฟโกรธน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเสือโคร่งปากหนักตัวนั้นรู้เข้า คงได้โดนเท้าหนักๆ เหยียบจมดินแน่...
เมื่อเข้ามาใกล้กับเขตป่าเสือ นกยูงทองถึงได้มีโอกาสถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ 
"ท่านศิลาดำถ่ายพลังชีวิตให้เจ้าหรือ" 
จิ้งจอกไฟชะงักเท้าแล้วก้าวเดินต่อโดยที่ไม่ได้ตอบคำถาม
"ตั้งแต่เมื่อห้าวันก่อนใช่หรือไม่ แล้วตอนที่เจ้าออกไป เขาเป็นอย่างไรบ้าง"
ดวงตายาวเรียวตวัดมองนกยูงทองด้วยความไม่พอใจที่อีกฝ่ายเอาแต่ถามถึงเทพเสือโคร่งศิลาดำ
นกยูงทองแสร้งไม่สนใจ "เขาเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล แล้วมาถ่ายพลังชีวิตให้เจ้าในคราเดียว ที่ผ่านมาเคยมีผู้ที่เสียชีวิตเพราะการนี้" นิ้วมือสวยชี้ไปที่ลำคอที่ยังมีรอยเขี้ยวเสืออยู่ "ที่สำคัญก็คือ เจ้าเป็นของท่านศิลาดำแล้วก็ไม่สมควรไปหาผู้อื่น"
จิ้งจอกไฟแตะแผลที่ลำคอ
แผลที่ส่วนอื่น รวมถึงช่องทางด้านหลังหายดีแล้ว เว้นแต่ที่ลำคอ และไหล่
"มันคือสัญลักษณ์ ต่อให้ในช่วงนี้เจ้าปล่อยกลิ่นความต้องการออกมา ก็จะไม่มีเทพสัตว์ป่าตนใดกล้าเข้าใกล้เจ้า" กวางไพลินอธิบาย "เพราะเจ้าเป็นของเทพเสือโคร่งศิลาดำ"
หลังจากนั้นไม่ว่าสหายทั้งสองจะกล่าวคำใดจิ้งจอกไฟก็เงียบเฉย จนในที่สุดทั้งสองก็ยอมแพ้
ที่หน้าถ้ำแสงจันทร์ เทพเสือโคร่งศิลาดำยืนรออยู่ หลังจากที่พยักหน้ารับการเคารพของนกยูงทองกับกวางไพลินแล้วก็เดินนำกลับเข้าไปในถ้ำ
เทพเสือโคร่ง เดินนำเข้าไปถึงหน้าห้องด้านในสุดแล้วลงนอนขวาง จิ้งจอกไฟเหลียวมองซ้ายขวา แล้วคุกเข่าลงข้างๆ ก้มลงจูบที่ปลายจมูก
"ขอโทษ" ไม่ใช่ครั้งแรกที่กล่าวคำนี้ และต่อไปในภายหน้าก็อาจต้องกล่าวคำนี้ซ้ำอีกหลายครั้ง
จิ้งจอกไฟไม่ตระหนักเลยสักนิดว่า ยิ่งกล่าวคำนี้บ่อยเท่าใด น้ำหนักของถ้อยคำก็จะยิ่งลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็จะเป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านไปเท่านั้น
รู้ดีว่าที่มีวันนี้ก็เพราะเทพเสือโคร่งศิลาดำ
ชีวิตนี้ พลังเหล่านี้ ทั้งหมดเพราะเทพเสือโคร่งศิลาดำทั้งสิ้น
แต่ยังไม่สามารถห้ามใจตนเอง ไม่ให้ไปพบกับอาต๋า
แล้วเมื่อไปพบ กลับพบเจออะไร
ที่สหายกล่าวมานั่นก็ถูกต้อง ในตอนที่พบเจอกัน เราเป็นจิ้งจอก ส่วนอาต๋าเป็นมนุษย์ แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเราคิดอะไรอยู่....
ตอนที่รู้ว่าเขามีครอบครัวแล้วรู้สึกตกใจก็ใช่ แต่ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว
ความรู้สึกที่มีเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
จิ้งจอกไฟที่ยังไม่กลับไม่กลับคืนร่างเดิม เอนตัวลงนอนพิงเทพเสือโคร่งศิลาดำ ที่ขยับตัวให้นอนพิงสบายกว่าเดิม
รอยยิ้มที่มุมปากกดลึก ดวงตายาวเรียวกวาดมองไปรอบถ้ำ
...สิ่งที่ต้องการ ไม่ได้มีเพียงพลังชีวิตของเทพเสือโคร่งศิลาดำ จิ้งจอกไฟต้องการมากกว่านั้น...

....จบบทที่สามสิบห้า....
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 28-09-2018 20:11:58
 :pig4:  :L1:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 28-09-2018 20:24:23
ความรักยังไม่มากพอเหรอ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 28-09-2018 22:40:28
แค่รักคงยังไม่พอ...ทำไมเรารู้สึกไม่ชอบจิ้งจอกไฟนะ  :m31:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-09-2018 23:41:15
 :z6:  รู้สึกแค้นเคืองแทน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 29-09-2018 01:09:20
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 29-09-2018 15:36:22

ความน่าสงสารที่เคยมีให้กับจิ้งจอกตัวนี้หายวับไปเลยกับบรรทัดสุดท้าย  :m16:

ตอนนี้ก็ต้องรอดูว่าจุดจบของเจ้าแทนแล้วล่ะจิ้งจอกไฟ

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 30-09-2018 19:46:16
หืมมมม

น้องต้องการอะไรรรรรร
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 30-09-2018 21:39:22
สงสารเทพเสือโคร่งศิลาดำมากเลย :sad4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 03-10-2018 20:43:10
 :mew5: โถ่ๆพี่เสือดำ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่35 P37(280961)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 04-10-2018 05:20:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 04-10-2018 19:00:55
ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สามสิบหก


ท่ามกลางความเงียบสงบของป่าสีทองเมืองลั่ว
นางเทพเสือโคร่งบงกช หนึ่งในสี่แห่งผู้ปกครองป่า เดินนำเสือโคร่งสองตนซึ่งเป็นบุตรชายหญิงมาที่ถ้ำแสงจันทร์ และพบผู้ที่ต้องการพบอยู่ตามลำพังที่ด้านหน้าของถ้ำ
ในเวลานั้นจิ้งจอกไฟที่อยู่ในร่างมนุษย์กำลังเก็บผ้าที่นำออกมาผึ่งแดด ซึ่งจะนำไปใช้ห่มให้กับเทพเสือโคร่งศิลาดำที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟูพลัง
ที่จริงผืนหนังสัตว์ที่รองนอนนั้นก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อห่มผ้าให้แล้วเห็นว่าเทพเสือโคร่งหลับสบายขึ้น จิ้งจอกไฟก็อยากเอาใจ
นางเทพเสือโคร่งบงกชมิได้เปิดเผยกลิ่นสาบเสือ แต่แผ่รังสีกดดันมาจากระยะไกล จิ้งจอกไฟที่มีผ้าห่มพาดแขนอยู่จึงหันมายืนรอ เมื่อเห็นว่านางอยู่ในร่างของเทพเสือโคร่ง ผู้อ่อนอาวุโสจึงพับผ้าวางลงกับพื้น แล้วเปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกไฟ
นางเทพเสือโคร่งบงกชมองจิ้งจอกไฟที่ก้มลงทำความเคารพ ขณะที่ยอมรับอยู่ในใจ ว่านี่เป็นจิ้งจอกไฟที่งดงามมาก ไม่ว่าจะอยู่ในร่างของจิ้งจอกไฟ หรือร่างของมนุษย์
...แต่จะลุ่มหลงอย่างไร การมอบพลังชีวิตเกือบทั้งหมดให้จิ้งจอกไฟ แล้วจิ้งจอกไฟก็ตอบแทนด้วยการไปหาผู้อื่นเช่นนี้มันก็เกินไป
...เกินไปด้วยกันทั้งคู่
ดังนั้นนางจึงต้องมาที่ถ้ำแสงจันทร์ในครานี้
"ศิลาดำเป็นอย่างไรบ้าง"
"ยังหลับอยู่ขอรับ"
"ระหว่างนี้ ใครคอยดูแลมุกดา"
"ข้าน้อยดูแลอยู่ขอรับ"
นางพยักหน้า "เช่นนั้นก็ไม่ต้องแล้ว ให้น้องชายและน้องหญิงของเขาดูแล...ส่วนเจ้า กลับไปในที่ของเจ้า"
จิ้งจอกไฟเงยหน้าขึ้นในทันที "แต่ว่า..."
"เขาบอกให้เจ้าอยู่ดูแลเขาหรือ"
"เขามิได้บอก แต่ข้าเป็นของเขาดังนั้น..."
"ตลกแล้ว" น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยอำนาจ จิ้งจอกไฟคิดต้านทานพลังอำนาจนั้น แต่คิดว่านั่นอาจยิ่งทำให้เรื่องแย่ลงไปอีก จึงได้แต่หมอบตัวสั่นคู้อยู่แทบเท้า
"นับตั้งแต่เจ้าก้าวเท้าออกจากถ้ำเพื่อหนีไปหาชายอื่น เจ้าก็มิได้เป็นของศิลาดำแล้ว"
จิ้งจอกไฟสะกดลมหายใจที่เริ่มรุนแรงด้วยความไม่พอใจ บังคับดวงตาให้หลุบมองพื้น อย่าได้เงยหน้าขึ้นไปมองเสือโคร่งทั้งสองที่เข้าไปยืนขวางหน้าถ้ำ
ได้แต่ก้มหน้า หูตก หางลู่
"อย่างน้อยก็ขอเข้าไปลา..."
"เขาหลับอยู่ จะปลุกเขาขึ้นมาฟังคำกล่าวเหลวไหลเพื่ออะไร" นางเทพเสือโคร่งบงกชกล่าวอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก้าวเท้าเข้ามา ผลักดันให้จิ้งจอกไฟต้องลุกขึ้นแล้วก้าวเดินออกไปจากเขตป่าเสือ

ที่แห่งแรกที่จิ้งจอกไฟเดินทางไปก็คือเขตป่ากวาง เพื่อพบกับกวางไพลิน เพราะนางเป็นเพศหญิงและยังเป็นกวาง ที่สำคัญคือที่ผ่านมานางก็มักจะอยู่ข้างเดียวกับตน ผิดกับนกยูงทองที่มักกล่าวถ้อยคำตรงไปตรงมาจนรู้สึกขัดใจหลายครา
หากเทพเสือโคร่งศิลาดำ หรือผู้อื่นมาสอบเรื่องนี้จากกวางไพลิน เรื่องย่อมออกมาสวยงามมากกว่านกยูงทองอย่างแน่นอน

"ท่านเทพเสือโคร่งบงกชขับเจ้าออกมาจากเขตป่าเสือหรือ" กวางไพลินประหลาดใจมาก "แล้วท่านศิลาดำว่าอย่างไรบ้าง"
"ตอนนั้นเขาพักผ่อนอยู่ ข้าไม่ได้เข้าไปลาเขาสักคำ"
กวางไพลินผู้จิตใจอ่อนโยนเฝ้าปลอบใจสหาย และให้กำลังใจว่า อีกไม่กี่เดือนเทพเสือโคร่งศิลาดำก็คงแข็งแรงดังเดิม
"ถึงเวลานั้นเขาก็คงออกมาตามหาเจ้าเอง เวลานี้ก็ควรพิสูจน์ให้เหล่าสัตว์เทพเชื่อมั่นว่าเจ้ามิได้หลอกลวงท่านศิลาดำ"
"ข้ามิได้หลอกลวงเขานะ"
ข้ามิได้กล่าวสักคำว่าต้องการ  เขามอบให้ข้าเองต่างหาก...
"แต่ทั้งที่เขามอบพลังชีวิตหนึ่งร้อยปีให้เจ้า ทั้งที่เขากำลังฟื้นฟูพลัง เจ้ากลับไปพบมนุษย์คนที่อยู่ในกลุ่มที่ไล่ล่าครอบครัวของเจ้า ทั้งเป็นคนที่หลอกให้เจ้าไปตกอยู่ในวงล้อมของนายพราน จนท่านศิลาดำต้องไปช่วย" นี่คือความจริงที่จิ้งจอกไฟไม่อยากจะยอมรับว่ามันคือความจริง "คนผู้นั้นทำร้ายเจ้า แต่ท่านศิลาดำคือคนที่ช่วยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า"
หากจิ้งจอกไฟยอมรับได้ว่านี่คือความจริง ก็คงคิดได้ว่าสมควรฝากชีวิตไว้กับผู้ใด
...แต่เมื่อไม่ยอมรับ ก็คิดไม่ได้เช่นกัน...
"ยังมีอีกเรื่องที่เจ้ายังไม่รู้ เมื่อหลายวันก่อน ท่านเทพเสือโคร่งภูผาเพิ่งจะมอบให้ท่านพ่อกับท่านแม่" นางหมายถึงเทพกวางสายฟ้าและเทพกวางสายลม "ไปปิดทางเข้าป่าสีทอง ไม่ให้พวกพรานจากหมู่บ้านทางเหนือเข้ามาสักการะท่านเทพสูงสุดแล้ว"
จิ้งจอกไฟหันมามองหน้ากวางไพลิน
"อย่ามองข้าแบบนั้น ข้าก็เพิ่งรู้เหมือนกัน เห็นบอกว่า เพราะมีพรานป่าจากนอกด่านเข้ามาล่าสัตว์ป่า พวกผู้ใหญ่ก็เลยต้องไปปิดทาง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอีกแล้ว"
"คืออะไร"
"ก็แบบ พวกมนุษย์จะเข้ามาไม่ได้ ถ้าเข้ามาแล้วจะหลงทางกลับไปอยู่ที่ปากทางน่ะ"
"แต่พวกพรานไม่ได้เข้าทางปากทางของป่าสีทอง"
"ต่อจากนี้ ไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่ได้ทั้งสิ้น ตั้งแต่แรกมาพวกท่านเทพสูงสุดก็มีความต้องการที่จะปิดผนึกป่าแห่งนี้อยู่แล้ว แต่ท่านเทพทั้งสี่มีความเห็นว่า เราควรผ่อนปรนเพื่อผูกมิตรกับพวกมนุษย์ เพราะอยู่ในเขตเมืองลั่วเหมือนกัน"
เพราะยิ่งทำตัวลึกลับก็ยิ่งเป็นความท้าทาย และกลายเป็นการทำให้สัตว์ป่าที่อยู่ในเขตป่ารอบนอกตกอยู่ในอันตราย
"เล่ากันว่า ท่านแม่เป็นผู้เสนอให้พวกเราทำความรู้จักกับมนุษย์ที่อยู่ข้างนอก ไม่อยากให้เกิดการบุกรุกเพื่อไล่ล่ากัน ก็ไม่ได้ถึงกับห้ามล่า ห้ามเก็บของมีค่า แต่อยากให้นำไปเฉพาะของที่ใช้ได้จริง"
"แล้วพวกเรายังออกไปได้ใช่ไหม"
กวางไพลินหันมามองจิ้งจอกไฟในทันที "นี่เจ้ายัง..."
"ก็ข้าถูกขับออกมาจากป่าเสือ แล้วข้าก็โตเกินกว่าจะไปอยู่กับนางจิ้งจอกหิมะแล้ว ไม่อยากอยู่ในเขตป่าจิ้งจอกด้วย สัตว์เทพทุกตน สัตว์ป่าทุกตัวในป่าสีทองล้วนรู้เรื่องของข้า ดังนั้นที่ๆ ข้าจะกลับไปได้ก็คือป่าด้านนอกนั่น"
เทพแห่งป่าสีทองไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้น
"ป่าสีทองกว้างใหญ่ ไม่เห็นจะต้องออกไปข้างนอกเลย จริงอยู่ที่เขตป่าแต่ละเขตล้วนทับซ้อนกัน แต่หากไม่สะดวกใจ เจ้าก็หาที่อยู่แถวๆ รอยต่อระหว่างป่าสีทองกับป่าด้านนอกก็ได้ แต่ข้าไม่สนับสนุนให้เจ้าออกไปอยู่ตามลำพังในป่าด้านนอกนั่น ขนของเจ้างดงาม และเป็นที่ต้องการของพรานจากนอกด่าน ข้ารู้มาว่าพวกคนที่อยู่ในชนเผ่าทางเหนือพื้นที่สูง และอากาศหนาวเย็น เขาต้องการหนังและขนของเจ้า"
กวางไพลินกล่าวด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง แต่จิ้งจอกไฟก็มีแผนการใหม่
"พื้นที่รอยต่อหรือ"
กวางไพลินพยักหน้าด้วยความกระตือรือร้น
เป็นความกระตือรือร้นและความจริงใจที่ทำให้จิ้งจอกไฟต้องหันไปทางอื่น และต้องยกเรื่องที่ว่าจะไปหารือกับกระเรียนโกเมนขึ้นมาอ้าง
"ไปถามท่านโกเมนหรือ ก็ดีนะ"

บางทีพวกกวางในป่าสีทองก็มองทุกคนในแง่ดีเกินไป...

เทพเสือโคร่งศิลาดำที่หลับอยู่ด้านในถ้ำ สัมผัสได้ว่านางเทพเสือโคร่งบงกช ผู้เป็นมารดา และน้องๆ มาถึงจึงลืมตาขึ้นมอง
“ท่านแม่”
นางเทพเสือโคร่งพยักหน้า
“เป็นอย่างไรบ้าง”
ผู้เป็นบุตรไม่ได้ตอบคำแต่กวาดตามองไปทั่ว
“ไม่อยู่แล้ว” นางเทพเสือกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด “แม่ไล่เขาออกไปเอง”
เสียงหายใจแรงของบุตรบ่งบอกว่ากำลังใจไม่พอ แต่ก็ไม่มีแรงที่จะโต้เถียง
“ดูเจ้าสิ เทพเสือโคร่งศิลาดำ เก่งกาจ รอบรู้ แล้วอย่างไร เจ้าลุ่มหลงจิ้งจอกไฟตัวหนึ่งจนถึงกับมอบพลังชีวิตให้ไป เจ้าก็ยังไม่รู้จักคิด กลับมาไม่พอใจที่แม่ไล่มันไป”
เทพเสือโคร่งศิลาดำสงบลง แต่ก็ยังเป็นห่วงจิ้งจอกไฟ
“ศิลาดำ นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้ว จิ้งจอกไฟตัวนั้นมีอะไรดี เขาดีต่อเจ้าหรือ ซื่อสัตย์ต่อเจ้าหรือ เคียงข้างเจ้าในวันที่เจ้าอ่อนแอหรือ ผู้ที่จะเป็นคู่กันต้องมีอย่างน้อยหนึ่งสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าอยากอยู่ด้วยกัน เจ้าอยากอยู่กับเขา แล้วเขาอยากอยู่กับเจ้าจริงหรือ เขาอยู่กับเจ้าเพื่อรอวันที่จะจากไป จนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังไม่รู้หรือไง”
ผู้เป็นบุตรได้แต่นิ่งเงียบ
“ศิลาดำ พูดในสิ่งที่เจ้าคิดกับแม่”
“ข้าไม่มีเหตุผล เขาไม่เคยขอให้ช่วย ตั้งแต่พบว่าบาดเจ็บก็คิดแต่ว่าจะนำกลับมาให้บิดาช่วยรักษา ท่านก็กล่าวเตือนให้สติอยู่หลายครา แต่ข้าก็แค่อยากดูแล อยากเห็นเขาเติบโต รู้ว่าเขาชอบมนุษย์ ก็อยากจะห้ามปราม แต่ก็ทำไม่ได้” น้ำเสียงที่อ่อนเพลียทำให้มารดาทั้งโกรธและสงสารบุตรในเวลาเดียวกัน “ได้แต่บอกให้ระวังตัว ให้นกยูงทองช่วยบอกนกป่า ช่วยจับตาแล้วมาบอกเวลาที่เขาออกไป พลังชีวิตหนึ่งร้อยปีที่ให้ไป เขาก็มิได้ขอ เป็นข้ามอบให้เขาเองเช่นกัน”
นางเทพเสือโคร่งบงกชนิ่งไปครู่หนึ่ง
“ศิลาดำ ระหว่างที่เจ้าฟื้นฟูพลังชีวิต แม่อยากให้เจ้าคิดว่า สิ่งที่เจ้าให้ไปมันจะทำให้จิ้งจอกไฟนั่นได้สมหวัง หรือต้องกลายไปเป็นผืนหนังปูพื้นเร็วขึ้นกันแน่”
ในที่สุดเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ได้สติ
“รักแล้วตามใจ ผลลัพธ์คืออะไร ความสุข หรือว่าความตาย คิดให้ดี เจ้าออกไปข้างนอกป่ามากกว่าผู้อื่น พบเจอเรื่องราวมากมาย แม่หวังว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ต้องกลับมาเสียใจในภายหลัง”
หลังจากที่นางเทพเสือโคร่งจากไปเทพเสือโคร่งภูผาก็เข้ามาตรวจดูร่างกายบุตรครู่หนึ่งโดยที่มิได้กล่าวคำใด เสร็จก็กลับออกไปแล้วมาใหม่อีกครั้งพร้อมกับยาหนึ่ง ให้ไว้กับเจ้าเสือโคร่งหนุ่มสาวที่ต้องมารับหน้าที่เฝ้าเทพเสือโคร่งทั้งสองในถ้ำ พร้อมกำชับเรื่องอาหาร
“ข้าต้องไปดูตรงเขตทางเหนือ อีกสองสามวันจะกลับมาดูอีกที ถ้าพี่ใหญ่ของเจ้าแข็งแรงขึ้น ต้องพาเขาไปพักที่ถ้ำยา อยู่ที่นี่นานไม่ดีกับสุขภาพของเขา แล้วก็ยังรบกวนพี่สามของพวกเจ้าที่กำลังบำเพ็ญฌาน”
หลังใช้เวลาในการฟื้นฟูพลังชีวิตอยู่เพียงหนึ่งปี เทพเสือโคร่งศิลาดำก็แข็งแรงมากพอที่จะออกเดินทางได้
“ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้าดื้อรั้นถึงเพียงนี้”
ระดับพลังชีวิตที่กลับมา ผู้อื่นต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี แต่บุตรผู้นี้ใช้เวลาเพียงปีเดียวถ้าไม่ใช่เพราะมีเป้าหมายบางอย่าง ก็คงทำไม่ได้เช่นนี้
“เสือโคร่งมีพื้นฐานอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน หากเรากำหนดเป้าหมายไว้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น เราต้องทำให้ได้” ผู้เป็นบิดาเฝ้ากำชับหลายครั้ง “แต่เจ้าลูกไฟต้องการเวลาที่จะเรียนรู้ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น"
"เขาก็แค่ไปหามนุษย์ที่เขาพอใจ"
เทพเสือโคร่งภูผาส่ายหน้า "เอาเถิด มาถึงขั้นนี้แล้ว ไปทำงานที่ป่าในเมืองทางตะวันออกสักห้าปีแล้วค่อยกลับมา ดูสิว่าเมื่อถึงเวลานั้น เรื่องของเจ้ากับเจ้าลูกไฟจะเป็นเช่นไร"
เทพเสือโคร่งศิลาดำรับคำสั่ง แต่ก็ยังมีถ้อยคำที่ต้องการบอกกับบิดา “ข้าน่ะ ถึงแม้จะมีอายุมากกว่าร้อยปี ไม่ว่าจะผิดหรือถูกก็จะได้รับคำแนะนำจากท่าน และท่านแม่อยู่เสมอ แต่จิ้งจอกไฟไม่มีผู้ใด”
“อย่าลืมสิ ว่าเจ้าเอาเขาไปฝากไว้กับนางจิ้งจอกหิมะเป็นเวลานาน ทั้งยังมีโกเมน และผู้เฒ่าอีกมากมายที่คอยสอนสั่ง ทั้งยังเป็นสหายกับนกยูงทองและกวางไพลิน เขาหาได้อยู่ตามลำพังในป่าสีทอง แต่นี่เป็นเพราะเขาตั้งใจที่จะเป็นเช่นนี้”
บุตรมีสีหน้าหม่นหมองลง
“ได้ยินนกยูงทองบอกว่า เจ้าลูกไฟยังอยู่ภายในป่าสีทอง” นั่นหมายความว่ายังอยู่ในสายตาของสัตว์เทพต่างๆ “เมื่อกลับมา เรื่องราวอาจพลิกผันไปในทางที่ดี”

แต่ในห้าปีถัดมา เมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำกลับเข้ามาทางหุบเขาสายหมอกซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของป่าสีทอง ประสาทสัมผัสเตือนว่า ในป่าโปร่งเบื้องหน้ามีจิ้งจอกไฟอยู่หนึ่งตัว
ร่างกายของสูงใหญ่ของเทพเสือโคร่งที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกเย็น แล้วหยุดเดินต่อไป เมื่อคิดหาทางเลี่ยงไปทางอื่นเพื่อที่จะไม่ต้องพบพาน แต่จิ้งจอกไฟตัวนั้นกลับก้าวเข้ามาหาอย่างแน่วแน่
เทพเสือโคร่งร่างกายสูงใหญ่หยุดยืนรอจนกระทั่งจิ้งจอกไฟก้าวเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า
แม้จิ้งจอกไฟจะมีขนสวยงาม แต่ก็ไม่เหมาะกับอากาศชื้นของป่าทางเหนือ
...เขาอยู่ที่นี่มานานขนาดไหนแล้ว...
"ท่านพี่กลับมาแล้ว"
เทพเสือโคร่งพยักหน้า
"เหนื่อยหรือไม่"
ก็มิได้เหน็ดเหนื่อยอะไรมากมาย แต่เทพเสือโคร่งก็พยักหน้าเป็นครั้งที่สอง
"ไปทางตะวันตกอีกเล็กน้อยจะมีสระน้ำ ที่นั่นน้ำอุ่นสบาย ท่านพี่ไปอาบน้ำและพักผ่อนสักครู่ก่อนดีไหม"
ที่ผ่านมาก็เคยติดใจคิดโกรธอะไร เพราะเต็มใจยกพลังชีวิตให้เอง แต่ที่เมื่อครู่คิดหลีกเลี่ยงการพบเจอ ก็เพราะไม่อยากให้จิ้งจอกไฟถูกมารดากดดันให้ต้องออกไปจากป่าและอาจตกอยู่ในอันตราย
อีกอย่าง...จิ้งจอกไฟรออยู่ในพื้นที่ชื้นแบบนี้ได้อย่างไร..
"เจ้าต้องการอะไร"
"ข้าก็แค่อยากให้ท่านพี่พักผ่อนสักครู่ก่อนที่จะกลับไปที่เขตป่าเสือ"
ต่อให้เจ้าตัวไม่ก้มหน้า หางตกเช่นนั้น เทพเสือโคร่งศิลาดำก็พร้อมที่จะทำตามที่อีกฝ่ายกล่าวมาอยู่แล้ว
เทพเสือโคร่งเดินนำไปโดยไม่ต้องหันมามอง รู้ว่าจิ้งจอกไฟเดินตามมาในระยะห่างออกไปอีกสามก้าว
ที่ ๆ เทพเสือโคร่งศิลาดำนำทางไปไม่ใช่บ่อน้ำในเขตป่าหมอกที่จิ้งจอกไฟกล่าวถึง แต่เป็นลำธารที่ลอดผ่านต้นไม้ใหญ่ และมีแสงแดดอ่อนให้ความอบอุ่น
จิ้งจอกไฟเงยหน้ามองความสวยงามรอบตัวอย่างชื่นชม
"ไม่เคยมาที่นี่มาก่อนเลย"
เทพเสือโคร่งศิลาดำยิ้มในใบหน้า
ยังมีเรื่องราวอีกมากมายของป่าสีทองที่จิ้งจอกไฟไม่รู้ ทั้งที่คิดว่าน่าจะรู้ รวมถึงเรื่องธรรมเนียมต้องอาบน้ำล้างตัว เมื่อกลับเข้ามาในป่าสีทอง
ในตอนนั้นที่กลับมาแล้วอาบน้ำ
ที่จริงแล้วมันเกิดจากการที่เมื่อกลับมาแล้วไปรับจิ้งจอกไฟที่ป่าจิ้งจอก แล้วพบว่าจิ้งจอกไฟเติบโตเต็มวัย ทั้งมีความเปลี่ยนแปลงผิดปกติ แทนที่จะเติบโตอย่างสง่างามแบบเพศชาย กลับส่งกลิ่นเชิญชวนของเพศเมียออกมา จึงคิดครอบครองไว้ก่อนที่จะมีจิ้งจอกเพศผู้ตนอื่นเข้าหา
แต่เพราะกลิ่นสาบ กลิ่นเลือดที่ติดกายมา อาจทำให้จิ้งจอกไฟซึ่งเป็นสัตว์งดงาม นำไปเปรียบเทียบกับผู้อื่นในภายหลัง

สัตว์ป่าเพศผู้มีหน้าที่ในการรักษาความสวยงาม และต่อสู้เพื่อแย่งชิงเพศเมีย
แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำจะไม่ต่อสู้กับผู้ใดเพื่อแย่งชิงจิ้งจอกไฟ
เพราะเขาเป็นของข้ามาตั้งแต่แรก!

ที่รบกวนจิตใจก็คือหลังการพบกันครั้งนี้ จิ้งจอกไฟยังไม่ส่งสัญญาณใดๆ ออกมา ทั้งที่พาเดินทางไกลมานับชั่วยามก็ยังไม่มีกลิ่นทางเพศ
...หากไม่ใช่เพราะความมั่นใจในความสามารถของตนเองที่ไม่ได้กลิ่นเพศผู้ตัวใด หรือคนใด จากจิ้งจอกไฟ เทพเสือโคร่งศิลาดำก็คงคิดไปไกล...

เมื่อมาถึงลำธารเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ลงไปอาบน้ำก่อน จากนั้นก็คาบปลาขึ้นมาตัวหนึ่งโยนให้กับจิ้งจอกไฟเหมือนคราก่อน
จิ้งจอกไฟคาบปลาตัวนั้นไว้ ฝังคมเขี้ยวลงในส่วนหางเพื่อไม่ให้ลื่นหลุด จากนั้นก้าวลงไปในสระ แล้วหันส่วนหัวของปลาให้เทพเสือโคร่งศิลาดำ
เทพเสือโคร่งส่งเสียงต่ำๆ ในลำคอ เหมือนกำลังหัวเราะ
...นี่เขาไม่ได้รู้ธรรมเนียมอะไรเลยใช่ไหม...
"กัดพร้อมกันนะ" จิ้งจอกไฟบอกไม่ค่อยถนัดนัก

เมื่อกลืนปลานั้นลงท้องไป กลับมีไอร้อนเกิดขึ้นภายในร่างกาย จิ้งจอกไฟผงะก้าวถอยแล้วรีบขึ้นไปบนฝั่ง
ยิ่งคิดปิดบัง กลิ่นยั่วยวนแห่งเพศหญิงกลับยิ่งเข้มข้นมากขึ้น
เทพเสือโคร่งก้าวขึ้นจากน้ำ ร่างกายสูงใหญ่งดงามเบื้องหน้า...
...บ้าจริง ต้องไม่คิดว่างดงามสิ อย่าคิด จงไปคิดถึงเรื่องอื่น เรื่องอะไรเล่า คิดอะไรดี อะไรก็ได้ที่ไม่ใช่....
...เขาเป็นเสือโคร่งที่ช่าง...โอย เขาต้องคิดว่าข้าเป็นจิ้งจอกบ้ากามแน่ๆ
"คือ...ข้าไม่ได้ตั้งใจ...เคยถามนางจิ้งจอกหิมะว่าทำไมข้าถึงมีกลิ่นแบบนี้ได้ นางบอกว่าไม่รู้เช่นกัน แล้วปกติก็ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ"
"แล้วตอนที่ได้กลิ่นนี้จากจิ้งจอกตัวอื่น เคยเข้าหานางหรือไม่"
"พวกนางตัวโตกว่าข้าทั้งนั้น ผู้ใดจะกล้า"
นี่ช่างเป็นคำตอบที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง
"ต้องการให้ข้าทำเจ้าในร่างเสือหรือร่างมนุษย์"
จิ้งจอกไฟเงยหน้าขึ้นมองผู้ถามแล้วรู้สึกอยากจะร่ำไห้
จริงอยู่ที่สัตว์ป่ามีความสัมพันธ์กันด้วยสัญชาติญาณ แต่นี่เจอกันได้ครู่เดียว ร่างกายก็เป็นเช่นนี้แล้ว
...นี่มันแย่ที่สุด แย่ยิ่งกว่าแย่เสียอีก...
ที่ผ่านมาเขาก็เข้าใจว่าข้าหลอกลวง ทำดีเพื่อหวังพลังชีวิตของเขา แล้วมาตอนนี้เขาต้องคิดว่าข้ามาหาเพราะต้องการให้เขา...ทำ...เสีย...อีก
ถึงจะต้องการ แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำก็มีความอดทนมากพอที่จะรอต่อไปได้อีกสักปี เพียงแต่การที่อีกฝ่ายพยายามจะอดกลั้นต่อความต้องการเช่นนั้น ทำให้มีความรู้สึกอย่างกลั่นแกล้ง
...มีแต่เพียงจิ้งจอกไฟผู้นี้ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าต้องการกลั่นแกล้ง...
"หากไม่กล่าวออกมา ข้าก็จะกลับไปที่เขตเสือแล้ว"
"เดี๋ยวสิ" จิ้งจอกไฟหมอบลงจนออกสัมผัสพื้น "ข้า...ต้องการ...ท่านพี่...แต่...อย่าถ่ายพลังให้ข้า"
เทพเสือโคร่งภูผาก้าวเข้ามาหา เปลี่ยนร่างกลับมาอยู่ในร่างเสือโคร่งตัวใหญ่ ก้มลงเลียริมฝีปากยาว จากนั้นก้าวอ้อมไปทางด้านหลัง ใช้จมูกดันสะโพกของอีกฝ่ายให้ยกขึ้นแล้วเลียที่ช่องทางด้านหลัง
ร่างกายเล็กๆ นั่นสั่นสะท้าน กลิ่นไอแห่งเพศหญิงชัดเจน
"ขอ ขอโทษ ข้า..ข้า.."
จิ้งจอกไฟยังกล่าวไม่จบคำเทพเสือโคร่งก็เลียที่ด้านหลังคอแล้วขบลงเบาๆ
ฝากรอย ตีตราความเป็นเจ้าของ แล้วกดแก่นกายเข้าหา
ช่างเล็ก แคบและแน่น
จิ้งจอกไฟส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดั่งร่างกายถูกฉีกทึ้งหยาดน้ำตาไหลริน เท้าทั้งสี่ตะเกียกตะกายเพื่อหลีกหนี แต่ก็ถูกขบที่ไหล่ให้หยุดอยู่กับที่
เสียงคำรามต่ำๆ ที่ครอบคลุมอยู่กดดันให้ต้องยอมจำนน
ความเจ็บปวด กับความต้องการ...ได้รับมากเกินกว่าที่ต้องการ...ทำให้จิ้งจอกไฟหมดสติไปในที่สุด

ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่าง และแขนขาหนักอึ้ง ทำให้จิ้งจอกไฟรู้สึกไม่สบายตัว แต่สัมผัสอุ่นชื้นที่โลมเลียไปทั่วตัวช่วยให้อาการต่างๆ บรรเทาลง
เมื่อลืมตาขึ้นในวันถัดมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของมนุษย์ ภายในพุ่มไม้ที่ถักทอตัวแน่นหนาจนคล้ายกับโพรงไม้ที่มีขนาดใหญ่พอให้นอนหลับได้สบาย มีใบไม้แห้งปูพื้น กับผ้าห่มผืนหนึ่งห่มอยู่
ผ้าผืนนี้มาจากที่ใดไม่ได้สำคัญไปกว่าการที่ใครเป็นผู้หามาให้ และผู้นั้นยังอยู่ในร่างของเสือโครงตัวใหญ่ที่นอนหลับขวางทางอยู่ที่ด้านหน้า
"ท่านพี่" จิ้งจอกไฟเรียกขณะที่แตะที่ปลายจมูกและใบหน้า "ท่านพี่ ท่านถ่ายพลังให้ข้าอีกแล้วหรือ"
"ก็แค่รักษาอาการบาดเจ็บ เพราะข้าไม่ระมัดระวัง"
จิ้งจอกไฟลูบขนที่ใบหน้าของเสือโคร่งแล้วก้มลงจูบจมูก
"ท่านพักผ่อน ข้าไปหาอาหารมาให้"
จิ้งจอกไฟเปลี่ยนร่างกลับเป็นจิ้งจอก หายไปเพียงครู่เดียวก็คาบกระต่ายกลับมาวางให้ตรงหน้า
"เจ้ากินแล้วหรือ"
จิ้งจอกไฟส่ายหน้า "ท่านกินก่อน ตอนที่ท่านพี่นอนพัก ข้าถึงจะไปกิน"
เทพเสือโคร่งศิลาดำกัดฉีกเนื้อกระต่ายแล้วส่งให้จิ้งจอกไฟ
ชิ้นเนื้อเพียงเล็กน้อยดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเพียงพอให้ผู้ที่มีร่างกายใหญ่โตรู้สึกอิ่ม จิ้งจอกไฟมองชิ้นเนื้อแล้วมองหน้าอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็มองมา รอให้จิ้งจอกไฟกินพร้อมกัน
"แล้วท่านพี่จะอิ่มหรือ"
เทพเสือโคร่งศิลาดำไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่ก้มลงกินเนื้อกระต่ายที่เหลืออยู่จากนั้นก็ลุกขึ้นเหยียดตัว จิ้งจอกไฟก็รีบกินเนื้อกระต่ายจากนั้นก็ทำท่าจะลุกตามมาด้วย
"ข้าจะกลับไปที่ป่าเสือ เจ้าอยู่ที่นี่ อย่าไปที่หุบเขาสายหมอกทางเหนืออีก ที่นั่นไม่เหมาะต่อเจ้า"
"แล้ว"
"กลัวหรือ"
จิ้งจอกไฟมองไปรอบๆ หลายปีมานี้ นกยูงทองกับกวางไพลินพาตนเองเที่ยวเล่นไปทั่วป่า แต่เพิ่งรู้ว่ามีที่แห่งนี้อยู่ด้วย
"ก็ไม่ถึงกับกลัว เพียงแต่ที่นี่ มันอยู่ตรงส่วนไหนของป่าสีทอง แล้วท่านพี่จะกลับมาเมื่อไหร่"
ที่แห่งนี้ซ่อนตัวในเขตลำธารเล็กๆ ที่ค่อนมาทางเหนือของป่าสีทอง จึงอยู่ห่างจากทั้งเขตป่าเสือ ป่ากวาง และไม่ใช่เขตหากินของจิ้งจอก หากจิ้งจอกไฟจะเป็นกังวลก็สมควรอยู่
แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำก็ไม่สามารถพากลับไปที่เขตป่าเสือได้ในเวลานี้
"ทั้งที่นี่ และตัวเจ้ามีรอยของข้าอยู่ ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้"
"ข้ามิได้กลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย แต่ไม่อยากอยู่ลำพังอีก"
"มิได้พบกับนกยูงทองกับกวางไพลินเลยหรือ"
"ตอนที่ยังอยู่ในเขตป่าจิ้งจอกก็ได้พบกันอยู่ตลอด เพียงแต่...เป็นที่ข้าเอง ที่กังวลว่าจะนำความเดือดร้อนไปให้พวกเขา"
เทพเสือโคร่งศิลาดำเข้าใจความกังวลนั้น
"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า"
ทั้งที่นั่นเป็นคำบอกล่าวที่เปิดทางเลือกให้กว้างมาก แต่สัญชาติญาณส่วนลึกในใจเตือนว่า เจ้าเป็นของเขา หากเขาบอกให้เจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าก็สมควรอยู่ที่นี่อย่าได้มากเรื่องมากความ
เมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำจากไป จิ้งจอกไฟจึงสำรวจพื้นที่โดยรอบอีกครั้ง แต่เมื่อกลับมายังมาใกล้ที่พัก ประสาทสัมผัสรับรูู้ว่า มีผู้ที่มารออยู่
นางเทพเสือโคร่งบงกชมาถึงที่นี่โดยลำพัง และนางอยู่ในร่างของเทพเสือโคร่งผู้สง่างาม
สายลมอ่อนพัดพาขนสีดอกบัวของนางพลิ้วไหว
ดวงตาของเสือโคร่งปรายตามองจิ้งจอกไฟคราหนึ่ง
แม้จะไม่มีคำพูดใดๆ แต่จิ้งจอกไฟก็หูตก หางลู่ก้าวเดินช้าๆ เข้าไปซุกตัวอยู่ภายในโพรงไม้แห่งนั้น

หลายวันถัดมาเทพเสือโคร่งศิลาดำกลับไปที่โพรงไม้ สัมผัสได้ถึงร่องรอยของมารดาเจือจาง ขณะที่จิ้งจอกไฟไม่อยู่ในที่นั้นก็ตามหา จนพบว่าอยู่ที่บึงของกระเรียนโกเมน โดยมีนกยูงทองกับกวางไพลินอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า
"จะพากันกลับไปที่ป่าทางเหนือจริงๆ หรือ" นกยูงทองถามขึ้นแล้วตามมาด้วยข้อเสนอ "อยู่ถัดเข้ามาใกล้กันอีกหน่อยไม่ได้หรือไง เพราะไม่ว่าจะพากันไปอยู่ที่ไหนในป่าสีทอง นางก็ต้องรู้อยู่ดี"
ผู้ที่นกยูงทองหมายถึงย่อมเป็นเทพเสือโคร่งบงกช
เทพเสือโคร่งศิลาดำหันไปมองจิ้งจอกไฟ ไม่ได้กล่าวอะไร แต่หันไปหากระเรียนโกเมน แสดงความเคารพแล้วเดินนำจิ้งจอกไฟกลับออกมา
"รู้สึกอยากจะลองคลุ้มคลั่งอาละวาดสักครา" นกยูงทองหันไปบ่นกับกระเรียนโกเมน
ผู้อาวุโสหัวเราะเบาๆ  "เพราะเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่เจ้าอยากให้ทำเช่นนั้นหรือ"
"ก็พวกเขา..."
"ศิลาดำมีลำดับเป็นเทพแห่งป่าสีทองผู้หนึ่ง ทั้งอายุก็ไม่น้อยแล้ว เขาย่อมมีวิธีการจัดการเรื่องในครอบครัวของเขาเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเด็กน้อยอย่างเจ้า"
นกยูงทองไม่มีอะไรจะไปโต้เถียงความจริงข้อนี้ได้ จึงเปลี่ยนเรื่อง
"แล้วท่านผู้เฒ่าคิดว่า จิ้งจอกไฟจะกลับไปหามนุษย์อีกไหม"
"นั่นก็เป็นเรื่องที่ต้องดูกันไป"
นกยูงทองกลอกตามองบน ส่งเสียงที่แสดงถึงความรู้สึกเบื่อหน่าย แต่ทั้งกระเรียนโกเมน และกวางไพลินต่างหัวเราะอย่างขบขัน

การใช้ชีวิตในช่วงที่เทพเสือโคร่งศิลาดำอยู่ที่ป่าสีทองก็เป็นดังนั้น จิ้งจอกไฟไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องอึดอัดใจ เพราะเทพเสือโคร่งศิลาดำปล่อยตามใจ หากอยากมาพบกับสหายที่บึงกระเรียนไฟเมื่อใดก็มาได้เสมอ ทั้งยังมีความปลอดภัยมากกว่าเดิม
การมีเทพเสือโคร่งศิลาดำอยู่ใกล้ ทำให้สัตว์เทพและสัตว์ป่าอื่นๆ มีความเกรงใจไม่เข้ามารบกวนใกล้เขตที่อยู่อาศัย
เพียงแต่ในวันหนึ่งที่เทพเสือโคร่งศิลาดำต้องเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อช่วยเทพเสือโคร่งภูผาผู้เป็นบิดาจัดการเรื่องพระอาการประชวรของเจ้าหญิงองค์หนึ่ง จิ้งจอกไฟก็อาศัยความมืดลอบออกไปยังเขตป่าด้านนอก
ในความมืด แม้จะมีนกกลางคืนที่คอยเฝ้ามองอยู่ แต่พวกเขาไม่ได้เป็นนกพูดมากแบบพวกนกน้อยที่เป็นสหายกับนกยูงทอง ทั้งที่มองเห็นร่างกายสีแดงเพลิงวิ่งผ่านไป พวกเขาก็ยังคงเฝ้ามองอย่างเงียบๆ
จิ้งจอกไฟเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์แล้วลอบมองจากในที่ห่างไกลไปยังบ้านหลังหนึ่ง
บ้านหลังนั้นมีกลิ่นไอของอาต๋าและครอบครัวอยู่
มีเสียงฝีเท้ามนุษย์ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ และกลิ่นไอบางอย่างที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์กับอาต๋า
จิ้งจอกไฟนั่งห้อยเท้าอยู่บนคบไม้ ขณะที่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งอายุประมาณสิบสองปีเดินเข้ามาทางนี้ ในมือหนึ่งถือคบไฟสูง อีกมือมีมีดเล่มใหญ่เป็นอาวุธ เมื่อเห็นคนที่นั่งอยู่บนคบไม้จ้องมองอยู่ก็หยุดชะงัก
"ทะ ท่านเป็นปีศาจหรือ"
เจ้าเด็กนี่ท่าจะเพี้ยน ยังจะมีปีศาจที่ไหน พยักหน้าแล้วบอกว่าตนเองเป็นปีศาจด้วยหรือ
"ไม่ใช่หรอก"
"แต่ท่านมีผมสี...สีแดง"
จิ้งจอกไฟจับปอยผมของตนเองขึ้นมาดู "สวยหรือไม่"
เด็กหนุ่มผู้นั้นพยักหน้า "สวยมาก"
"ข้าคือฮัว แล้วเจ้าชื่ออะไร"
"ข้าคืออาเจี้ยน"
"เป็นอะไรกับอาต๋า"
"เขาเป็นบิดาของข้า"

จิ้งจอกไฟคลี่ยิ้มงามล่มเมือง
ขอเพียงลงมือทำไม่มีทางไม่สำเร็จ

....จบบทที่สามสิบหก....
火 (ฮัว) = ไฟ
ใกล้จะจบแล้วนะจ๊ะ
น้ำชา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 04-10-2018 20:17:43
จิ้งจอกหนอ ทำอะไร
หรือว่าตั้งใจจะเอาคืนอาดำ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 04-10-2018 21:26:30
 
 :katai1:

ช่วงแรกๆกำลังสงสารตอนที่โดนแม่สามีขับไล่

แต่ มาถึงช่วงสุดท้ายทีไร เจ้าจิ้งจอกต้องนอกลู่นอกทางทุกทีซิหน่า

ภาคนี้อ่านแล้วลุ้นตอนต่อไปจริงๆ   :ling3:


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 04-10-2018 22:18:30
บ่นแบบเดิมๆ...ยิ่งอ่านยิ่งไม่ชอบจิ้งจอกไฟ ชริ  :m16:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 04-10-2018 22:23:43
ต้องได้บทเรียนอย่างหนักๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 04-10-2018 22:27:39
เฮ้อ  :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 05-10-2018 15:21:57
ท่านเทพ TT
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-10-2018 13:47:43
จิ้งจอกต้องการอะไร
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 08-10-2018 05:38:17
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 09-10-2018 10:09:39


  :L2: เข้ามารอแล้วจ้า   :L2:

  มาอ่านความรนหาเรื่องของจิ้งจอกอีกรอบ ก็ทำให้เหนื่อยใจไปกับศิลาดำทุกที


หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 10-10-2018 19:41:03
จิ้งจอกนี่ทำไมคาเเรคเตอร์นายเอกหนูถึงไม่น่ารักเหมือนเพื่อนๆคนอื่นเลยคะ :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 10-10-2018 20:31:59

สงสัยจังจิ้งจอกรักศิลาดำมั่งป่าวเนีย?
 
รออยู่จ้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-10-2018 23:01:01
 :m5: :m5: :m5: :m5: :m5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 11-10-2018 16:31:01



 :z13:  :z13:

อีกนิด ฮึ๊บ -  ฮึ๊บ



อยากอ่านตอนต่อไปแล้วจ้า

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 12-10-2018 16:50:31



 :call:  :call:  :call:

เข้ามาวิ่งเล่นรออออ


มาเถ่อะๆๆๆๆๆๆ

 :hao3:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: cinquain ที่ 14-10-2018 11:00:52
เพิ่งเข้ามาอ่านก็เจอ  :-[  555

จิ้งจอกไฟจะทำอะไรต่อไป อย่าลืมนึกถึง
ผลที่จะตามมาด้วยนะ!

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 14-10-2018 19:17:30

 :hao7:  ขึ้นหน้าใหม่แล้ววววว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่36 P37(41061)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 14-10-2018 19:18:58
 :katai5:
มาๆ...มาจับจิ้งจอกกัน
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 14-10-2018 20:03:30
ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สามสิบเจ็ด


ยามสาย น้ำในบึงกระเรียนแห่งป่าสีทองส่องประกายระยิบระยับ กระเรียนโกเมนยืนสงบนิ่ง ประสานลมหายใจเข้ากับสายลมเย็นที่ไม่เคยจางหายไป กลิ่นดิน ใบไม้ และ...แรงสะเทือนจากการย่างก้าวของเทพเสือโคร่งตัวใหญ่ที่เดินเข้ามาใกล้แล้วเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ จากนั้นก็นั่งลงที่ขอนไม้ทางด้านหลัง
ดวงตาสีเหลืองเข้มหยุดอยู่ที่กระเรียนงาม....
ขนสีแดงดั่งโกเมน
กระเรียนผู้สร้างความสมดุลและความมั่นคงแห่งชีวิต
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กวางสีขาวก็เข้ามาสมทบแล้วเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์
“โกเมน” เสือโคร่งร้องเรียก
กระเรียนโกเมนหันมาพร้อมเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์
“ทำไมพวกเจ้าถึงชอบเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์” 
เมื่อจะเดินกลับมาหาเทพเสือโคร่งภูผารีบลุกไปรับ จูงมือผอมบางของกระเรียนโกเมนพาเดินกลับเข้ามาที่ฝั่ง เทพกวางสายฟ้าที่กระแทกเสียงในลำคอแล้วหันไปมองทางอื่น สุดท้ายก็เดินเข้ามาหา
ดวงตากลมมองสหายทั้งสอง จากนั้นก็ยกมือผอมบางข้างหนึ่งสัมผัสแก้มของเทพเสือโคร่งภูผา อีกข้างหนึ่งสัมผัสแก้มของเทพกวางสายฟ้า
“สหายของข้า เกิดเรื่องราวใดขึ้น เหตุใดข้าจึงสัมผัสได้เพียงความทุกข์ใจจากเจ้าทั้งสอง”

ทั้งสามเดินสนทนาเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ จนมาถึงลานดอกหญ้าสีขาว กระเรียนโกเมนจึงชี้ไปที่สมุนไพรที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางดอกหญ้า “รากคะนึงหาอยู่ที่นี่”
ระหว่างที่เทพเสือโคร่งภูผาเดินไปถอนต้นสมุนไพรขึ้นมาใส่ห่อผ้า กระเรียนโกเมนหันมาหาเทพกวางสายฟ้า
“กวางไพลินกับสหายตัวน้อยของนางล้วนเป็นเด็กดี”
“ตอนที่ยังตัวเล็กก็มักจะพากันมาวุ่นวายอยู่กับเจ้า มาจนถึงตอนนี้ก็ยังพากันมาสร้างความวุ่นวายอยู่เช่นเดิม” ผู้เป็นบิดาเกรงใจสหายผู้นี้ยิ่งนัก “กวางไพลินผ่านช่วงหาคู่มาหลายปีก็ยังไม่เลือกผู้ใด ไม่ฝึกวิชาเหมือนอย่างพี่น้องตนอื่น”
“นั่นเพราะนางรู้ว่านางต้องการสิ่งใด”
“นางสมควรเติบโตตามวัย”
ภาพของชายหนุ่มรูปงามสองคนที่ยืนสนทนากันอยู่ท่ามกลางลานดอกหญ้าสีขาว ช่างงดงามจนเทพเสือโคร่งภูผายังต้องสะกดลมหายใจ
“เสร็จหรือยัง” เทพกวางสายฟ้าหันมาถาม
“เรียบร้อยแล้ว แต่ยังอยากอยู่ตรงนี้อีกครู่หนึ่ง”
เทพกวางสายฟ้ายกมือขึ้นบังแดดให้กระเรียนโกเมน “ที่ตรงนี้แดดแรง ถ้าเจ้าจะอยู่ตรงนี้ก็ตามใจ พวกเราจะย้ายไปสนทนาในที่อื่นแล้ว”
เทพเสือโคร่งภูผากระแทกเสียงในลำคอ ได้แต่เดินตามชายหนุ่มผู้งดงามทั้งสองกลับมาที่บึงกระเรียนอีกครั้ง
“เหนื่อยหรือไม่” เทพกวางสายฟ้าถาม
“ไม่เหนื่อย” เทพเสือโคร่งภูผาตอบ
“มิได้ถามเจ้า!” 
กระเรียนโกเมนหัวเราะเบาๆ “แค่เดินไปเดินมามิได้เหน็ดเหนื่อยอันใด เจ้าทั้งสองทำดั่งข้าชรามากแล้ว”
เมื่อนั่งลงที่ข้างบึงน้ำ กระเรียนโกเมนมองหน้าสหายแล้วถามอีกครั้ง “ยังมีเรื่องใดรบกวนใจ”
“ศิลาดำ บุตรของข้า กับจิ้งจอกไฟสหายของไพลินบุตรีของสายฟ้า”
เมื่อเทพเสือโคร่งภูผาเริ่มต้นขึ้น กระเรียนโกเมนก็ร้องอ้อ
“พวกเราปกป้องทุกชีวิตในที่นี้ ข้ากังวลใจว่าเจ้าลูกไฟตัวนั้น จะไม่เพียงฆ่าตัวตาย แต่จะนำพาเรื่องร้ายมาถึงสัตว์ตัวอื่นในป่าไปด้วย”
กระเรียนโกเมนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ “ภูผาไม่อยากให้ศิลาดำผิดหวัง สายฟ้าก็กังวลว่าไพลินจะเป็นอันตราย และทั้งสองกังวลว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นที่นี่”
“จะผิดหวัง หรือจะเป็นอันตราย หากเกิดขึ้นกับเจ้าตัว เราก็ยังพอจะดูแลรักษากันได้ แต่ถ้าเป็นการนำพาความเดือดร้อนมาถึงผู้อื่น นั่นยิ่งย่ำแย่ยิ่งนัก”
กระเรียนโกเมนสัมผัสใบหน้าของสหายทั้งสองอีกครั้ง “จิ้งจอกไฟกับกวางไพลินมักจะแวะเวียนมาหาข้าอยู่บ่อยๆ ข้าจะคอยดูแลพวกเขาเอง”
“ข้ามิได้มาเพื่อผลักภาระให้เจ้า” เทพเสือโคร่งภูผาบ่นอุบอิบ
“ย่อมมิใช่ แต่ข้าเห็นพวกเขามาตั้งแต่เล็ก ทั้งพวกเขาเองก็เชื่อฟังดี จึงรับว่าจะคอยดูแลในระหว่างที่พวกเจ้ามีเรื่องมากมายให้ไปจัดการ”
“ระยะหลัง จิ้งจอกไฟไปพบมนุษย์บ่อยขึ้น อย่างไรก็เพียงแค่ปรามไพลินว่าอย่าได้ตามออกไป” เมื่อสหายทั้งสองหันมามองพร้อมกับเทพกวางสายฟ้าก็รีบอธิบาย “จิ้งจอกไฟนั่นมีเจตนาที่ไม่น่าวางใจจึงออกไป แต่ผู้อื่นมิได้เกี่ยวข้องด้วย”
กระเรียนโกเมนส่ายหน้า “เอาเถอะ ข้ารับปาก”
เทพทั้งสองเกรงใจสหายผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จะมาก็พูดคุยกันหลายครา แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดที่สามารถดูแลเรื่องนี้ได้
“แค่ ช่วยดูแล อย่าให้ไพลินออกไปข้างนอกเท่านั้น”
กระเรียนโกเมนคลี่ยิ้มงาม กล่าววาจาไพเราะต่างจากสัตว์เทพทั้งป่าสีทอง “เข้าใจแล้ว พวกเราเป็นสหายกันใยต้องเกรงใจกันถึงเพียงนี้”
“เพราะเป็นเจ้า” เทพกวางสายฟ้ากล่าว
“พวกเราจึงต้องเกรงใจ” เทพเสือโคร่งภูผากล่าว
กระเรียนโกเมนรู้สึกชื่นชมความรักของบิดา
“พวกเราต่างมีหน้าที่ทำอะไรหลายอย่างมากมาย แต่พอมาถึงเรื่องบุตร กลับต้องมาขอให้เจ้าช่วยจัดการให้” เทพกวางสายฟ้ากล่าว
“ทั้งที่เจ้าสมควรได้อยู่อย่างสงบแท้ๆ”
กระเรียนโกเมนรวบกอดสหายทั้งสองไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง “จะเกรงใจไปใยกัน พวกเราคือสหาย และ...ไม่ว่าในกาลข้างหน้าจะเกิดเรื่องใดขึ้นก็ขอว่าอย่าได้โกรธแค้นผู้ใด”
 
เทพเสือโคร่งมุกดาออกจากการบำเพ็ญฌานแล้ว เทพเสือโคร่งศิลาแดงก็เริ่มต้นการบำเพ็ญฌานในถ้ำแสงจันทร์ต่อ
แต่ก่อนที่เทพศิลาแดงจะเข้าไปในห้องใหญ่ด้านในของถ้ำย่อมฝากฝังเรื่องราวหลายอย่างให้น้องสาวช่วยสานต่อ
บางเรื่องนางยินดีรับเรื่องไว้
บางเรื่องก็ไม่
และบางเรื่องนางเข้าใจเป็นอย่างดี
"ตอนที่พี่ใหญ่ถ่ายพลังให้จิ้งจอกไฟ ข้าอยู่ด้านในของถ้ำ ข้าจึงเข้าใจความคิดของพี่ใหญ่เป็นอย่างดี แต่ความเข้าใจ ไม่ได้แปลว่าเราต้องตามใจเขา เพราะข้ายึดคำสั่งของท่านแม่เป็นหลัก"
เทพเสือโคร่งศิลาแดงกลอกตารอบหนึ่ง แล้วเดินเข้าห้องใหญ่ไปโดยดี
ก็อย่างที่เทพเสือโคร่งมุกดากล่าว นางยึดถือคำสั่งของมารดาเป็นสำคัญ เหมือนกับที่เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้เป็นผู้ที่ยึดคำมั่นของบิดาเป็นสำคัญ
ดังนั้นหลังจากที่ไปพบกับมารดารายงานตัวว่านางกลับออกมาแล้ว ลำดับต่อไปก็คือการออกมาตามหาจิ้งจอกไฟ
จิ้งจอกไฟตนนี้อาศัยช่วงเวลาที่พี่ใหญ่ของนางไม่อยู่ออกมาหามนุษย์ที่ป่าใกล้หมู่บ้านหลายครั้ง
มิใช่...จิ้งจอกไฟมาเฝ้ามองมนุษย์เหล่านั้นจากระยะไกล
ดวงตายาวเรียวนั่นกวาดตามองไปยังทุกคนในกลุ่ม คล้ายค้นหา คล้ายกำลังจดจำ
ด้วยสัญชาติญาณของนักล่า  นางเชื่อว่าจิ้งจอกไฟไม่ได้ชอบพอมนุษย์เหล่านี้อย่างที่สัตว์เทพหลายตนพูดกัน

หลังจากที่เฝ้ามองอยู่พักใหญ่ นางส่งสัญญาณออกไปให้จิ้งจอกไฟรู้ตัวและหันมามอง แล้วติดตามนางกลับมาภายในเขตป่าสีทองใกล้กับเขตป่าด้านนอก เพราะการพูดคุยกันที่นี่ย่อมปลอดภัยกว่า

"ตัดสินใจแล้วหรือ"
จิ้งจอกไฟสบตานางเทพเสือโคร่งแล้วพยักหน้า
"หากจะอยู่ตามลำพัง เจ้าต้องฝึกฝนการใช้ประสาทสัมผัสมากกว่านี้ เพราะข้าลอบมองเจ้าอยู่ตั้งนานเจ้ายังไม่รู้ตัว"
ดวงตาเรียวยาวเบิกกว้างขึ้นแล้วหลุบตาลง จากนั้นก็พยักหน้ายอมรับ
เขามัวแต่สนใจกลุ่มคนเหล่านั้น จนมิได้ระมัดระวังตนเองจริงๆ
"เรียนรู้จากความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น แล้วรอจังหวะเวลาที่ดีเพื่อลงมือ"
จิ้งจอกไฟเงยหน้ามองนางเทพเสือโคร่งอย่างคาดไม่ถึง เมื่อนางกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าล่วงรู้แผนการที่อยู่ในใจของตนเอง
ในความจริง นางเทพเสือโคร่งอ่านใจใครไม่ได้ ไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น แต่นางมองเห็นจิ้งจอกไฟในเวลาที่ไม่ได้ระมัดระวังตัว และใช้ความรู้สึกของนางคาดเดาเท่านั้น
แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้จิ้งจอกไฟใจเย็นลง และมีความรอบคอบมากกว่าเดิม

"จิ้งจอกไฟ เจ้า...มิได้มีใจให้พี่ใหญ่ของข้าแม้สักนิดเชียวหรือ"
เมื่อไม่มีคำตอบจากจิ้งจอกไฟ นางเทพเสือโคร่งมุกดาก็ถอนหายใจยาว
"เช่นนั้น ข้าจะกลับไปบอกกับท่านแม่ ว่าเจ้าตัดสินใจแล้ว และหวังว่า เจ้าจะไม่ไปดักพบกับพี่ใหญ่อีก"
ผู้ที่มีดวงตาเรียวยาวตวัดตามองผู้ที่รู้ทันเพียงแวบเดียว อีกฝ่ายก็พอจะคาดเดาได้ว่าจิ้งจอกไฟจะต้องหาโอกาสกลับมาหาพี่ชายของนางอีกแน่นอน
"เข้าใจหรือไม่ คำว่าตัดสินใจคืออะไร"
และเมื่อจิ้งจอกไฟหันหน้าไปทางอื่น นางก็นึกถึงที่มารดากล่าวไว้ ว่าจิ้งจอกไฟผู้นี้ใช้คำพูดเกลี้ยกล่อมมิได้
"ที่ข้ามา ก็เพราะคิดว่ายังพอพูดคุยกับเจ้าได้ แต่แท้ที่จริงแล้วมิใช่เลย" และก่อนที่จะกลับไป นางกล่าวทิ้งท้ายไว้อีกประโยค "หวังว่าเจ้าไม่เรียนรู้ความผิดพลาดของตนเอง เมื่อลมหายใจสุดท้ายมาถึง"

เมื่อนางเทพเสือโคร่งมุกดาจากไป จิ้งจอกไฟก็เชิดหน้าขึ้นสูง
เป็นเทพแห่งป่าสีทองแล้วอย่างไร ต้องหลบซ่อนอยู่ในนั้นตลอดไปอีกห้าสิบปี ร้อยปีเพื่ออะไร
ส่วนร่างมนุษย์ แม้จะสวยงาม แต่กลับไม่ได้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตอยู่ในป่าเลยสักนิด
จิ้งจอกไฟสร้างที่พักไม่เป็น ทำอาหารแบบมนุษย์ก็ไม่ได้ จึงมักจะอยู่ในร่างของจิ้งจอกไฟตลอดเวลา รวมถึงเวลาที่ไปพบกับนกยูงทองและกวางไพลิน แถวบึงน้ำของกระเรียนโกเมน
แต่หากจะไปเฝ้ามองหาอาเจี้ยนใกล้กับหมู่บ้านนายพรานที่จิ้งจอกไฟจะใช้ร่างมนุษย์ที่งดงาม
จิ้งจอกไฟใช้ร่างนี้ ก็เพราะอาเจี้ยนชอบความงดงามนี้
เท่านั้นจริงๆ 

จิ้งจอกไฟนั่งห้อยเท้าอยู่บนต้นไม้สูงมองอาต๋าและอาเจี้ยนสองพ่อลูกออกมาจับปลาด้วยกัน
แน่ใจว่าในละแวกใกล้เคียงไม่มีผู้อื่นนอกจากสองพ่อลูกคู่นี้
เวลาเพียงไม่กี่ปี อาต๋าก็กลายเป็นชายอายุสี่สิบปีตอนต้นผู้มีผมสองสี พร้อมด้วยใบหน้าชวนมองและร่างกายสูงใหญ่แข็งแรง ขณะที่อาเจี้ยนเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาธรรมดายิ่ง และตัวเล็กกว่าบิดามากกว่าหนึ่งคืบ ซึ่งนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีกลิ่นของสตรีติดกาย
เขาอาจมีประสบการณ์เรื่องสตรีอยู่บ้าง เพราะเคยได้กลิ่นแป้งของสตรี
แต่กลิ่นนั้นมันไม่ได้ติดอยู่กับอาเจี้ยนเสมอ แบบที่อาต๋ามักจะมีกลิ่นแป้งแบบหนึ่งติดกายอยู่เสมอ
และมันก็คือกลิ่นที่จิ้งจอกไฟเกลียดชังเป็นอย่างยิ่ง!
ตั้งแต่ตอนที่พบกับอาเจี้ยนครั้งแรก เด็กหนุ่มผู้นี้ก็เล่าถึงทุกคนในหมู่บ้าน จิ้งจอกไฟจึงได้รู้ว่า การที่หาพรานคนที่มีจิตใจโหดร้ายผู้นั้นไม่พบ ก็เพราะเขาถูกคนในชนเผ่านอกเมืองสังหารไปตั้งแต่ปีก่อน
จริงดั่งที่เทพเสือโคร่งศิลาแดงกล่าวไว้ ความแค้นนี้ไม่อาจรอคอยถึงร้อยปี

ในยามบ่ายคล้อยสองคนพ่อลูกช่วยกันเก็บของ บทสนทนาก็เหมือนเดิม คือปลาที่จะนำกลับไปให้มารดา กับของป่าที่จะนำไปให้หัวหน้าหมู่บ้าน
จิ้งจอกไฟปิดปากหาว บิดตัวไล่ความเมื่อยขบก่อนที่จะกระโดดลงจากกิ่งไม้สูง ทำให้สองพ่อลูกหันมามอง
พระอาทิตย์ยามเย็นขับสีเส้นผมกลายเป็นสีแดงเพลิง เป็นทั้งความงดงามผสานความร้อนแรงไว้ในเวลาเดียวกัน
"ฮัว เจ้ามานานแล้วหรือ" อาเจี้ยนเอ่ยทัก แล้วหันไปกล่าวกับบิดา "ท่านพ่อนี่คือฮัวที่ข้าบอกต่อท่าน"
อาต๋าจ้องมองดั่งลืมถ้อยคำ จนจิ้งจอกไฟปรายตามองคราหนึ่งแล้วหันไปยิ้มทักทายกับอาเจี้ยน "ดูเหมือนเจ้าจะลืมนัดของเรา"
"มิใช่นะ" อาเจี้ยนรีบโบกมือ "ข้าตั้งใจว่าจะช่วยบิดาก่อน จากนั้นจึงจะออกมาหาเจ้า"
จิ้งจอกไฟเบือนหน้าไปทางพระอาทิตย์ที่ใกล้จะลับยอดเขา
"นี่ไงเสร็จแล้ว" อาเจี้ยนหันไปบอกกับบิดา "ข้าขอล่วงหน้านำของกลับไปที่หมู่บ้านก่อนนะ"

อาต๋าพยักหน้าให้บุตร แต่เมื่อหันมาหาจิ้งจอกไฟเพื่อไต่ถาม จิ้งจอกไฟก็หายไปแล้ว เมื่อตามมาถึงหมู่บ้านคิดว่าจะพูดคุยกับบุตร ก็ปรากฏว่าเจ้าตัวดีรีบกลับไปที่ป่าแล้วเช่นกัน
ชายหนุ่มหันไปพูดคุยกับภรรยาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงแบ่งของที่หามาได้ไปให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน

เช้าวันถัดมา อาต๋ามาหยุดอยู่ที่ลำธารที่ไม่ได้แวะมาเยือนนานหลายปี ภาพเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนย้อนกลับมาอีกครั้ง
"จิ้งจอกไฟ"
จิ้งจอกไฟในร่างมนุษย์ก้าวออกมาจากทางด้านหลังของต้นไม้ใหญ่
"เป็นเจ้าจริงๆ"
จิ้งจอกไฟเลิกคิ้วขึ้นสูง "ก็ไม่เคยบอกว่าไม่ใช่"
"เจ้าเป็นเทพแห่งป่าสีทองหรือ"
จิ้งจอกไฟไม่ตอบคำถามนี้ เพราะแม้จะเปลี่ยนร่างได้ แต่ตนก็มิใช่เทพแห่งป่าสีทองอยู่ดี
"ข้า..."
"ท่านสบายดีหรือ"
"สบายดี เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ"
ใบหน้างดงามที่ก้มหน้าลงมองสายน้ำ เต็มไปด้วยความเหงา
"ข้าเสียใจที่ทำร้ายครอบครัวของเจ้าและทำให้ต้องอยู่ตามลำพังมานานหลายปี"
เมื่อจิ้งจอกไฟยังไม่เอ่ยคำ อาต๋าก็กล่าวต่อไปอีก "หลังจากวันนั้น ข้าก็มาหาเจ้าที่นี่แต่ไม่พบ"
"วันนั้น..." ดวงตางดงามหันกลับมามองในเชิงถาม
"วันที่เจ้าตามไปที่กระท่อมของข้าแล้วพบ เอ่อ...อาเจี้ยนตอนเล็กๆ"
"อ้อ..."
"จิ้งจอกไฟ ข้าเสียใจจริงๆ"
จิ้งจอกไฟเดินไปนั่งที่ขอนไม้ริมน้ำ "อาเจี้ยนเล่าเรื่องของข้าว่าอย่างไรบ้าง"
"เขาเล่าว่าพบคนผู้หนึ่งเรียกว่าฮัวอาศัยอยู่ตามลำพังในป่า จากลักษณะที่เขากล่าวถึงเจ้ายังคิดไปว่า อาจเป็น...."
"ปีศาจ" ดวงตาเศร้าคู่นั้นไม่ละไปจากสายน้ำ
อาต๋ากลับกล่าวปฏิเสธ "ข้าคิดว่าอาจเป็นเทพแห่งป่าสีทองตนอื่น พ่อเฒ่าที่เคยเข้าไปในป่าสีทอง เคยเล่าเรื่องของเทพแห่งป่าสีทองที่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่เพราะมีการผนึกป่ามานานหลายปี ก็คิดว่าหากเทพแห่งป่าสีทองจะออกมาก็น่าจะมีเหตุผลบางอย่าง ข้าจึงบอกอาเจี้ยน ว่าอย่าได้นำเรื่องนี้ไปพูดที่อื่น"
"แล้ว..." จิ้งจอกไฟหันมาสบตากับอาต๋า "ไม่คิดว่าจะเป็นข้าเลยหรือ"
ชายหนุ่มส่ายหน้า "ข้าพบเจ้ากับครอบครัวที่นี่ แล้ว..."
"พวกเราถูกสังหารอย่างง่ายดายจนไม่น่าเชื่อว่าเราจะเป็นสัตว์เทพแห่งป่าสีทอง"
เมื่ออาต๋าพยักหน้ายอมรับ จิ้งจอกไฟก็กล่าวต่อ
"ด้วยเหตุนี้ท่านจึงกังวลว่า พวกท่านอาจลงมือสังหารฝูงจิ้งจอกแห่งป่าสีทอง และจะถูกลงโทษ จึงมาพบข้า"
"ใช่"
"ไม่คิดหรือว่า หากจะถูกลงโทษก็น่าจะเกิดขึ้นนานแล้ว"
"อีกอย่างก็คือ ข้าได้ยินอาเจี้ยนเล่าเรื่องของเจ้ามานานหลายปี แต่ไม่เคยคิดว่าเป็นเจ้า จึงอยากมาพบอยากยืนยันด้วยตนเองว่าเป็นเจ้าจริงๆ"
"ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านที่นี่หรือ"
อาต๋าแบมือที่ปราศจากอาวุธ "ข้ามามือเปล่า เพราะต้องการแสดงความจริงใจ อยากพูดกับเจ้า อยากถามว่า จากวันนั้น ทำไมถึงไม่มาหาข้าอีก"
จิ้งจอกไฟเลิกคิ้วขึ้นสูง
"ท่านมีครอบครัวแล้ว"
"ถึงจะมีครอบครัวแล้วก็ยังมาพบกันได้มิใช่หรือ"
"เพราะเหตุใด"
"ก็...พวกเราเป็นเพื่อนกันมิใช่หรือ"
ที่จริงคำถามคำตอบของอาต๋าก็ตรงไปตรงมา สามารถเข้าใจได้ แต่ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจในตนเอง
จิ้งจอกไฟส่ายหน้าไม่ยอมรับคำว่าเพื่อนกันของอาต๋า แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องของอาเจี้ยน "หลายปีก่อนข้าพบอาเจี้ยน เขาคุยสนุกดี แล้วก็รู้เรื่องมากมาย ทำให้การใช้ชีวิตในป่าตามลำพังไม่เงียบเหงาจนเกินไป"
"เจ้ายอมรับบุตรของข้าเป็นเพื่อน แต่ไม่ยอมรับข้าเช่นนั้นหรือ"
จิ้งจอกไฟช้อนตามองอาต๋าแล้วก้มหน้ามองสายน้ำเช่นเดิม
อาต๋าหันมามองใบหน้างดงาม รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก
...ตนเองมีแต่ทำร้ายจิ้งจอกไฟ
...แต่อาเจี้ยนมอบความจริงใจให้ จึงมีความผูกพันเป็นเพื่อนกัน

จิ้งจอกไฟนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็เริ่มเล่าเรื่องเพื่อตอกย้ำการกระทำของอาต๋ากับสหายนายพรานของเขา "ท่านและพรรคพวกของท่านล่าฝูงของข้าที่นี่ ข้าจึงหนีไปที่ป่าลึก จากนั้นก็กลับมาดูว่ายังมีใครที่รอดอยู่อีก ทำให้ข้าจดจำท่านได้ เพราะท่านพยายามจะพูดคุยกับข้า เมื่อถูกไล่ล่าเป็นครั้งที่สองข้าก็หนีกลับเข้าไปในป่าสีทอง หลังจากที่พักฟื้นอยู่นานจนหายดีจึงไปดูที่หมู่บ้าน  เพราะคิดว่าน้องของข้าอาจถูกท่านเลี้ยงไว้ แต่กลับพบครอบครัวท่าน ทำให้ตกใจ"
อาต๋าก้มหน้า "เรื่องที่ไล่ล่าครอบครัวของเจ้า เกิดจากชนเผ่าที่นอกนอกด่านต้องการขนสัตว์ พวกเขาอยากได้ขนจิ้งจอก และมีพรานชี้ว่ามีจิ้งจอกฝูงหนึ่งอยู่ใกล้ลำธารซึ่งมีขนสีสวย ราคาดี"
เป็นความจริงที่เจ็บปวดจนต้องหลับตาลง "แล้วจิ้งจอกตัวเล็กๆ นั่นเล่า พวกเขายังเล็กเกินกว่าที่จะทำถุงมือสักคู่หนึ่ง"
"นั่นมัน..."
"หนังพวกเราได้ราคาดีจริงหรือ" ดวงตางดงามคู่นั้นโศกเศร้า บีบคั้นหัวใจคนมองจนแทบหลั่งน้ำตา

ภายในพุ่มไม้ใหญ่ห่างออกมา เทพเสือโคร่งศิลาดำยืนมองภาพของทั้งสองคนที่คุยกันอยู่อีกฝั่งหนึ่งของลำธาร
นับตั้งแต่จิ้งจอกไฟตัดสินที่จะอยู่ที่นี่โดยลำพัง เทพเสือโคร่งศิลาดำก็กลายมาเป็นผู้พิทักษ์ของจิ้งจอกไฟมาโดยตลอด
ยามล่าสัตว์ก็จะช่วยไล่ต้อนกระต่ายสักตัว หรือไก่ป่าสักตัวมาให้ ยามสัตว์ใหญ่เข้ามาใกล้ก็จะช่วยขับไล่ออกไป ยามอากาศเย็นลงก็จะหาใบไม้กิ่งไม้แห้งมาวางไว้ให้ใกล้ๆ แม้ยามเจ็บป่วยก็จะจัดหาสมุนไพรให้เจ้าพวกวิหคคาบมาทิ้งไว้ให้ที่หน้าโพรงจิ้งจอก
คอยเฝ้ามองแม้ในยามที่จิ้งจอกไฟไปรอพบกับอาเจี้ยน ก็จะเบี่ยงเบนความสนใจของพวกนายพรานที่เข้ามาใกล้
โง่งมใช่หรือไม่
นี่มันยิ่งกว่าโง่งม
แต่เมื่อจิ้งจอกไฟพบกับอาต๋า เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับมีความไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าใด จิ้งจอกไฟก็ยังคงมองแต่มนุษย์ผู้นี้อยู่เหมือนเดิม
เหมือนตนเองที่มองแต่เพียงจิ้งจอกไฟ
และเมื่อความไม่พอใจเข้ามาครอบงำ เทพเสือโคร่งศิลาดำก็ก้าวช้าๆ ออกมาจากหลังพุ่มไม้ ส่งพลังอำนาจของเทพเสือโคร่งออกมา
พลังนั้นรุนแรง จนจิ้งจอกไฟที่อยู่ห่างออกไปอีกฝั่งของลำธารยังรู้สึกได้ในทันที จึงรีบลุกขึ้นมายืนขวางอาต๋าไว้
"รีบกลับไปก่อน"
อาต๋าหันมาเห็นเทพเสือโคร่งศิลาดำเต็มตา ทั้งที่รู้ว่าสมควรจะรีบวิ่งหนีไปในทันที แต่ด้วยอำนาจบางอย่างกลับกดดันให้ต้องทำความเคารพแล้วรีบกลับไป
จิ้งจอกไฟจะเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นจิ้งจอก แต่เทพเสือโคร่งส่งเสียงคำรามห้ามไว้ เมื่อก้าวมาถึงชายฝั่งก็กระโดดข้ามลำธารมาได้อย่างง่ายดาย
"ท่านพี่"
เมื่อครู่นี้จิ้งจอกไฟ ทั้งพูดและแสดงเพื่อสร้างแรงกดดันให้อาต๋าสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆและมองมา จิ้งจอกไฟก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงทั้งรู้สึกต้องการร่ำไห้
"ท่านพี่..."
เสียงเรียกเป็นครั้งที่สองทำให้เทพเสือโคร่งศิลาดำรู้ตัวว่าหึงหวงจนทำผิดพลาด จึงหันหลังกลับ แต่จิ้งจอกไฟเรียกไว้อีกครา
"ท่านพี่ ข้าขอโทษ"
เทพเสือโคร่งศิลาดำกลืนถ้อยคำมากมายลงไปในอก เมื่อจะกลับออกมาจิ้งจอกไฟก็เปลี่ยนร่างไปเป็นจิ้งจอกไฟแล้วตามไปจนถึงเขตป่าสีทอง
ติดตามกันไปเช่นนี้นานกว่าหนึ่งชั่วยามจนมาถึงลำธารเล็กๆ ซึ่งค่อนมาทางเหนือของป่าสีทอง ทุกสิ่งยังเหมือนเดิมรวมถึงโพรงไม้เดิมที่เทพเสือโคร่งศิลาดำเคยบอกให้จิ้งจอกไฟอยู่ที่นี่ แต่จิ้งจอกไฟก็เกี่ยงงอนว่าห่างไกลจากผู้อื่น
สุดท้ายก็กลับมาที่เดิม
ขณะที่ยืนมองไปรอบๆ ร่างกายสูงใหญ่ของเทพเสือโคร่งก็ก้าวมาทางด้านหลัง แตะจมูกที่ช่องทางด้านหลัง
เพียงเท่านั้นจริงๆ กลิ่นหอมหวานของเพศหญิงก็แผ่ซึมจากผิวหนัง
"ตอนที่มีความต้องการเจ้าไปหาใคร"
จิ้งจอกไฟเหลียวมามอง แต่ถูกขบที่ไหล่เบาๆ
"ข้าไม่เคยมีความต้องการกับผู้ใด"...ไม่เคยเลย
"หืม..."
"มีแต่ท่าน ที่ทำให้ข้าเป็นแบบนี้"
เทพเสือโคร่งภูผารู้ว่านี่คือความจริง ทั้งที่เห็นด้วยตนเอง และจากที่บรรดานกทั้งหลายมารายงานว่าเกิดเรื่องราวใดบ้างในตอนที่ตนเองไม่อยู่
 
...จิ้งจอกไฟตนนี้เย่อหยิ่ง เขาอาจพอใจอาต๋า และสนิทสนมกับอาเจี้ยน แต่ทั้งคู่มิใช่คนที่จิ้งจอกไฟต้องการ...

ฟันคมขบกัดเข้าที่ต้นคออีกครั้งแล้วไล้เลีย กัดซ้ำแล้วเลียอีกครั้ง จากนั้นจึงกดแก่นกายเข้าหา
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้อง แต่กลิ่นไอของเสือผสานกับความหอมหวานของเพศรส ทำให้ไม่มีสัตว์เทพ หรือสัตว์ป่าตัวใดเข้ามาใกล้
ร่องรอยบาดแผลที่ลำคอ ไหล่ และช่องทางด้านหลังชัดเจนกว่าเดิมเมื่อจิ้งจอกไฟถูกบังคับให้ต้องกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์
ตอนเป็นร่างจิ้งจอกไฟรองรับร่างเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ว่าหนักหนาแล้ว ยิ่งมาเป็นร่างมนุษย์ที่ต้องรองรับร่างของเทพเสือโคร่งศิลาดำยิ่งเหมือนกับถูกบดขยี้
จิ้งจอกไฟในร่างมนุษย์ไม่กล้าร้องขอ แต่เพราะเทพเสือโคร่งใจอ่อนเอง จึงเปลี่ยนจากการบังคับฝืนใจเป็นการเลียไปทั่วตัว เน้นย้ำอยู่ที่ช่องทางด้านหลังที่บอบช้ำ
ดวงตาเรียวยาวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา เสียงครางหวานในยามเป็นมนุษย์ช่างยั่วยวนให้ขาดสติได้โดยง่าย
เทพเสือโคร่งศิลาดำเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นมนุษย์ ดึงสองมือที่จับรากไม้ไว้แน่นให้คลายออก พลิกหงายร่างกายงดงาม ฟอนเฟ้นและฝากรอยบ่งบอกความเป็นเจ้าของ
ริมฝีปากแดงสดนั่นช่างเชิญชวนให้ลิ้มลอง
จูบร้อนไม่ได้ช่วยบรรเทาความเจ็บเมื่อถูกสอดใส่มากนัก
แต่มันทำให้มัวเมายิ่งไปกว่าเดิม
ต้องการมากขึ้นอีก
มากกว่าเดิม
ขาเรียวยาวเหนี่ยวรั้งสะโพกแกร่ง สองมือโอบกอดไหล่หนาไว้ ไม่อยากให้จากไปไหน
วันและคืนผ่านไปท่ามกลางความลุ่มหลงมัวเมานี้
...
แม้จะอยู่ในป่าด้านนอกเพียงลำพัง แต่จิ้งจอกไฟก็รู้ดีว่า เทพเสือโคร่งศิลาดำจะไม่ปล่อยให้ตนต้องอยู่ตามลำพัง โดยเฉพาะการที่กลับไปอยู่ในถิ่นที่อยู่เดิมที่มีความทรงจำเลวร้าย
นางเทพเสือโคร่งมุกดามอบคำสอนล้ำค่าไว้ว่าหากจะอยู่ตามลำพังใช้ประสาทสัมผัสมากกว่านี้
...ร่างกายนี้แสดงความจำยอมและเป็นของเทพเสือโคร่งศิลาดำ จะมีอาการเตือนทุกคราที่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้
ต่อให้เป็นเทพเสือโคร่งที่เป็นหนึ่งเรื่องการพรางตัว แต่อาการที่เกิดขึ้นในทันที ทำให้จิ้งจอกไฟรู้ตัวและลดความเสี่ยงที่จะส่งกลิ่นของเพศหญิงออกมาด้วยการเดินหนีให้ห่างออกมา
ครั้งแรกที่สังเกตพบอาการนี้ก็ยังทำอะไรไม่ค่อยถูก แต่หากเลี่ยงได้สักครั้ง ครั้งต่อไปก็มิใช่เรื่องยาก
ก็แค่อยู่ในพ้นจากพลังคุกคามของอีกฝ่ายเท่านั้น

ส่วนเรื่องของอาต๋า กับอาเจี้ยนสองพ่อลูก
การนัดพบและเฝ้าตามอาเจี้ยนหลายปีมานี้ จะบอกว่าไม่เคยพบกับอาต๋าเลยก็คงเป็นการโกหก
จิ้งจอกไฟเห็นอาต๋าบ่อยกว่าอาเจี้ยนเสียอีก
แต่การเลือกออกมาพบอาต๋าย่อมมีเหตุผล
จิ้งจอกไฟได้ยินมาว่า พวกพรานในหมู่บ้านได้รับคำสั่งจากวังหลวงให้จัดหาสมุนไพรหายากไปถวายฮ่องเต้
แต่ป่าสีทองปิดมานานหลายปีแล้ว
ขณะที่เทพเสือโคร่งภูผา เทพกวางสายฟ้า และเทพอีกหลายคนเริ่มการบำเพ็ญฌาน
ดังนั้นหนทางที่จะหาสมุนไพรนั้นก็ยังพอมีอยู่
เพียงแต่เมื่อฟังโดยละเอียดทำให้รู้ว่า พวกเขามิได้ต้องการสมุนไพร แต่เป็นกระเรียนสีแดง จึงต้องการที่จะซักถามเรื่องนี้ให้แน่ใจก่อนที่จะลงมือ แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำก็ปรากฏตัวขึ้นเสียก่อน

...แต่ก็ดี ไอของเทพเสือโคร่งศิลาดำที่ผนึกอยู่ทั่วตัวจะช่วยให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษไปได้อีกระยะหนึ่ง

(ต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 14-10-2018 20:05:50
(ต่อ)

วันหนึ่งที่เทพเสือโคร่งศิลาดำต้องกลับไปที่เขตป่าเสือ จิ้งจอกไฟก็ลอบไปหาอาต๋า เพื่อถามคำถามที่ค้างคา
"เจ้าต้องการกระเรียนสีแดง จากป่าสีทองเท่านั้นหรือ"
"ทั่วทั้งไท่ชาง มีเพียงที่ป่าสีทองที่มีกระเรียนสีแดง"
"แต่พวกเขาไม่ย้ายที่อยู่ แล้วพวกเจ้าก็เข้าไปไม่ได้ด้วย"
"แต่นี่เป็นพระบัญชา เพื่อนำไปทำโอสถถวายฮ่องเต้ พระองค์กำลังป่วยหนัก หากปฏิเสธ พวกเราทั้งหมู่บ้านจะต้องโทษประหาร"
จิ้งจอกไฟกัดริมฝีปาก ท่าทางลังเล
"แล้วเจ้ามีคนที่สลายร่างของกระเรียนสีแดงหรือ" จิ้งจอกไฟจึงอธิบายต่อ "กระเรียนในป่าสีทองไม่ว่าจะอยู่ในขั้นใด พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่ท่านจะล่าได้โดยง่าย"
อาต๋าพยักหน้า "หัวหน้าหมู่บ้านทำเรื่องนี้ได้ มีเขาและพรานอีกสี่คนที่รับสืบทอดวิชามาจากพรานรุ่นก่อนหน้า"
"วิชาล่าสัตว์เทพน่ะหรือ"
"ใช่" อาต๋ามองสีหน้าฝืนทนของจิ้งจอกไฟก็กล่าวถามด้วยความเป็นห่วง  "เจ้าเป็นอะไรหรือไม่"
"ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีน่ะ" มือเรียวงาม ปัดมือที่จะเข้ามาสัมผัสไหล่ "ถ้าไม่ทำก็จะโดนลงโทษจริงหรือ"
ถึงจะอยู่แต่ในป่าสีทอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องการลงพระอาญา
ผู้มีอำนาจใช้อำนาจในมือลงอาญาผู้ที่อ่อนแอกว่า
เหมือนกับที่พวกนายพรานได้รับคำสั่งมาจากชนเผ่านอกเมืองแล้วมาไล่ล่าสังหารฝูงจิ้งจอกทั้งฝูงนั่นอย่างไร

...ข้าจะไม่ยอมให้ฮ่องเต้เอาชีวิตพวกเจ้า เพราะผู้ที่จะเอาชีวิตของพวกเจ้าได้มีเพียงข้าเท่านั้น...

"พรุ่งนี้เช้า ไปรอที่บึงน้ำใกล้กับป่าสีทอง" จิ้งจอกไฟกล่าวแล้วจะจากไปในทันที แต่อาต๋าเรียกไว้
"จิ้งจอกไฟ ขอบใจมาก"
จิ้งจอกไฟยิ้มที่มุมปากแล้วตรงไปที่บึงน้ำในป่าสีทอง หลังจากที่ดูลาดเลาอยู่นาน ก็พบกระเรียนสีแดงอายุประมาณสองปีตัวหนึ่งที่แยกออกมาจากฝูง จึงทำทีเข้าไปพูดคุยทำความรู้จัก ทำให้รู้ว่าจิ้งจอกสีแดงตัวนี้มีร่างกายที่อ่อนแอ ถึงขั้นที่เคยถูกทิ้งจะปล่อยให้ตายมาแล้วคราหนึ่ง แต่ได้กระเรียนโกเมนช่วยเลี้ยงดูจนร่างกายแข็งแรงขึ้น
"ข้าเองก็ได้ท่านโกเมนช่วยดูแลมาตั้งแต่แรกที่เข้ามาอยู่ที่นี่ เพียงแต่ในช่วงหลายปีมานี้ข้าอยู่ที่ป่าด้านนอก"
กระเรียนสีแดงตัวน้อยมีสีหน้าท่าทางยินดีเมื่อกล่าวถึงป่าด้านนอก
"นี่ ที่ป่าข้างนอกมีปลาสีเงินตัวเล็กๆ ข้าว่ารสชาติมันดีมากเลยนะเจ้าน่าจะชอบ"
"จริงหรือ" กระเรียนสีแดงกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี "แต่พวกเราไม่ออกไปด้านนอก"
"แค่ป่าด้านนอกนี่เอง" ดวงตายาวเรียวเหลือบตามองผู้ที่อยู่ใกล้เคียง "เราไปแถวลำธารที่อยู่ใกล้แนวป่าให้มากที่สุดก็ได้ ข้าจะไปจับปลามาให้เจ้าเอง"
กระเรียนสีแดงตัวน้อยตกลงด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
แต่ในเช้าวันถัดมา จิ้งจอกไฟกลับพบกับท่านกระเรียนโกเมนแทนที่จะเป็นกระเรียนสีแดงตัวน้อย
"เจ้าตัวเล็กไม่ค่อยสบาย แต่บอกว่าเขานัดกับเจ้าไว้"
จิ้งจอกไฟลังเล "พวกเราจะไปหาปลาสีเงินกันน่ะขอรับ"
"ที่ป่าด้านนอกน่ะหรือ"
"ขอรับ สีแดงไม่เคยกิน เมื่อวานก็ย้ำกันหลายคราว่าจะออกไปด้วยกัน" จิ้งจอกไฟแสดงความจริงใจ "ไม่ได้ให้ข้ามไปทางฝั่งโน้นนะขอรับ ข้าไปตามลำพังพอจับได้ก็จะรีบคาบมาให้"
กระเรียนโกเมนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้า "นำทางไปสิ"
"ท่าน...จะไปหรือขอรับ"
กระเรียนโกเมนก็เป็นผู้ที่มีขนเป็นสีแดงเช่นกัน หากติดตามออกไปอาจตกเป็นเป้าหมายของพรานเหล่านั้น
"ข้ารู้วิธีที่จะเก็บปลาไว้ แล้วมาคายออกให้เจ้าตัวเล็ก ถ้าเป็นเจ้าที่ต้องคาบมากว่าที่จะมาถึงปลาคงเละไม่น่ากินแล้ว"
จิ้งจอกไฟนิ่งคิด หากเลื่อนไปเป็นวันอื่น อาจทำให้เกิดความสงสัยขึ้นได้ จึงนำทางออกไปยังเขตชายป่าที่เป็นจุดนัดหมาย
มีคำพูดมากมายที่อยากกล่าวออกไป
อยากกล่าวว่าไว้วันพรุ่งนี้ หรือรอให้กระเรียนสีแดงหายป่วยแล้วค่อยไปด้วยกันก็ได้ แต่จนแล้วจนรอดก็มิได้กล่าวออกไป
เมื่อเข้าใกล้เขตรอยต่อของป่า จิ้งจอกไฟก็บอกให้กระเรียนโกเมนหยุดรอ
จิ้งจอกไฟมุ่งหน้าไปยังบึงน้ำที่นัดหมายกันไว้
กลิ่นของมนุษย์และเสียงลมหายใจที่อยู่ในมวลอากาศบ่งชี้ว่าหลายคนในกลุ่มนี้คือผู้ที่เคยฆ่าพ่อแม่ และน้องๆ
ซึ่งนั่นหมายความว่าอาต๋าก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
จิ้งจอกไฟหยุดฝีเท้า หายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวเดินต่อไป
ด้านกระเรียนโกเมนแม้จะอยู่ในเขตป่าสีทอง แต่ด้วยความเป็นเทพโดยกำเนิดทำให้รับรู้ได้ว่าจิ้งจอกไฟกำลังมุ่งหน้าไปทางที่มีมนุษย์กลุ่มหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
ความเมตตาของกระเรียนโกเมนชักนำความตายเข้ามาสู่ตนเอง เมื่อผู้อาวุโสกางปีกกว้างบินไล่ตามไปทางเดียวกับจิ้งจอกไฟ เมื่อเห็นว่าอยู่ข้างหน้าก็ร้องบอกให้รีบกลับเข้าไปที่ป่าสีทอง
จิ้งจอกไฟหันมามองด้วยความตกใจ รีบร้องบอกว่าอย่าตามมา
แต่ไม่ทัน!
ตาข่ายมังกรครอบร่างของกระเรียนโกเมนไว้
ร่างเล็กๆ นั่นดิ้นรนอยู่ในตาข่าย ขณะที่ร้องบอกให้จิ้งจอกไฟรีบหนีไป อย่าได้เสียเวลากัดตาข่ายที่มีความเหนียวแน่นนี้
เมื่อหันไปเห็นพรานป่าถืออาวุธพุ่งเข้ามาหา จิ้งจอกไฟจึงวิ่งหนีออกมา
เสียงร้องของกระเรียนโกเมนที่บอกว่า ‘จงวิ่งไปให้ถึงป่าสีทอง อย่าได้หันกลับมา’ ยังก้องอยู่ในหูแม้ว่าจะกลับมาถึงโพรงไม้แห่งนั้น

...จบบทที่สามสิบเจ็ด...

เหลืออีก 2 ตอน จิ้งจอกไฟกับเทพเสือโคร่งศิลาดำยังสามารถโง่งมได้มากกว่านี้อีกนะเออ

อยากอ่านความเห็นของคุณบ้างจัง

น้ำชา
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-10-2018 20:33:55
 :เฮ้อ:  โง่งม
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 14-10-2018 22:56:54
555555 ขำน้ำชา 555555
 แต่ก็โง่งม ทั้งคู่ จริงๆ
รอดู จะโง่ได้ถึงไหนกัน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 14-10-2018 23:28:12
ในที่สุดก็รู้สาเหตุที่กระเรียนโกเมนหายไป...เป็นเพราะจิ้งจอกไฟนี่เอง   :m31:
ขอยืนยันอีกที...ฉันเกลียดแก...จิ้งจอกไฟ  :angry2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 15-10-2018 00:29:42
จะฆ่าพรานพวกนั้นด้วยตัวเอง แต่ต้องสังเวยชีวิตผู้อื่นเนี่ยนะ มันใช่หรอ
คำว่า โง่งม อาจจะน้อยไปนะ  :m31:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 15-10-2018 01:28:57
 :katai1: หมดคำสิเว้า

จิ้งจอกไฟคงต้องโดนโทษร้ายแรง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 15-10-2018 01:46:25
อะไรที่ทำให้เป็นได้ขนาดนี้อ่ะ  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 15-10-2018 08:38:51
ยิ่งอ่านยิ่งขัดใจนิสัยของจิ้งจอกไฟ แต่ก็ชอบที่ตัวละครมีความกลมดีค่ะ มีความดีไม่ดีอยู่ในตัว เลยคอยลุ้นไปเรื่อยเลยว่าจุดจบของเรื่องจะเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 15-10-2018 08:42:25



 :เฮ้อ:  >>>>ความรักตัวเดียว<<<<<

เป็นความมุ่งมั่นที่เกินเยียวยาจริงๆเจ้าจิ้งจอก   :z3:  :z3:

ทุกอย่างแต่ตั้งแต่แรกที่เรื่องราวมันเป็นมาอย่างนี้ ก็เริ่มมาจากมนุษย์คนที่ต้องรับกรรมไปด้วยก็น่าจะเป็นมนุษย์นะเอาจริง

ความเดือดร้อนที่จะตามมาหลังจากนี้น่าจะสาหัส ก็ขอให้เจ้าจิ้งจอกโชคดีละกันตามประโยคนี้เลย  :เฮ้อ:





"หวังว่าเจ้าไม่เรียนรู้ความผิดพลาดของตนเอง เมื่อลมหายใจสุดท้ายมาถึง"

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 15-10-2018 13:57:03
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-10-2018 15:17:35
รัก โลภ โกรธ หลง

นำพาความพินาศมาสู่ตนเองและผู้ที่จริงใจ ห่วงใย ช่วยเหลือ

บทเรียนของเจ้าราคาแพงมากนะจิ้งจอกไฟ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 17-10-2018 10:19:58

พึ่งอ่านตอนใหม่ไปคงไม่เป็นไรเนาะ ถ้าเราจะเข้ามาทวงตอนใหม่   :hao7: 







หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่37 P38(141061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 19-10-2018 16:42:29


 :กอด1: มาให้กำลังใจ  :กอด1:


และก็อยากบอกว่าอยากอ่านตอนต่อไปแล้วจ้า  :katai2-1:


หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 19-10-2018 18:13:29
ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สามสิบแปด



จิ้งจอกไฟรออยู่ในโพรงไม้อยู่ครึ่งวันยังไม่เห็นว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำจะกลับมา ก็ยิ่งเป็นกังวล
เทพเสือโคร่งศิลาดำอาจรู้เรื่องที่ตนเองหลบหนีออกไปพบมนุษย์จึงไม่พอใจ และไม่กลับมาที่โพรงจิ้งจอก 
นี่มิถูกต้อง!
เทพเสือโคร่งศิลาดำเป็นเพียงผู้เดียวในป่าแห่งนี้ ที่สามารถช่วยเหลือตนได้!
จิ้งจอกไฟเร่งเดินทางกลับมาที่เขตป่าเสือพบกับเสือโคร่งที่ทำหน้าที่อารักขาก็แจ้งว่า มีเรื่องร้อนจะมาแจ้งกับเทพเสือโคร่งศิลาดำ
เสือโคร่งผู้อารักขาหายไปครู่หนึ่งเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ตามออกมา ยังมิต้องกล่าวอะไร จิ้งจอกไฟก็กล่าวขึ้นก่อน
"ได้โปรด ไปกับข้าสักครู่"
ดวงตาหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทาบ่งบอกถึงความกังวล ทำให้เทพเสือโคร่งศิลาดำตามอีกฝ่ายออกมาจนถึงป่าใกล้แนวรอยต่อ จิ้งจอกไฟเหลียวมองไปรอบตัว จนแน่ในว่าบริเวณนี้ไม่มีสัตว์อื่น จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
แต่เรื่องที่บอกไปย่อมมีความจริงหลายอย่างตกหล่นไป

จิ้งจอกไฟพบกระเรียนสีแดงผู้อ่อนแอที่บึงกระเรียนโกเมน จึงชักชวนกันออกไปหาปลาสีเงินที่บึงน้ำในเขตป่าด้านนอก แต่เมื่อถึงเวลาปรากฏว่ากระเรียนโกเมนกลับเดินทางมาและอาสาคาบปลาสีเงินกลับมาให้กระเรียนสีแดง
แต่เมื่อจิ้งจอกไฟข้ามไปในเขตป่าด้านนอก กระเรียนโกเมนก็บินข้ามรอยต่อมาหาเพื่อเตือนภัยว่ามีพรานกำลังโอบล้อมเข้ามา
"เขาร้องบอกให้ข้ารีบหนีมา แต่ตอนนั้นเขาถูกตาข่ายคลุมไว้แล้ว"
เทพเสือโคร่งศิลาดำคำรามเสียงต่ำ ๆ บอกให้จิ้งจอกไฟรออยู่ในที่นี้ ส่วนตนเองรีบเดินทางไปตามที่จิ้งจอกไฟบอก
พื้นที่นี้เหลือเพียงรอยเท้ามากมาย เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงตามต่อไปจนถึงหมู่บ้านก็ยังไม่พบกับกระเรียนโกเมน จึงกลับมาหาจิ้งจอกไฟ
เวลายามนี้ล่วงผ่านยามจื่อไปแล้ว ป่าสีทองตกอยู่ในเงียบสงัด เสียงฝีเท้าของเทพเสือโคร่งศิลาดำจึงชัดเจนยิ่ง
"พบท่านผู้เฒ่าหรือไม่"
"ไม่" เทพเสือโคร่งศิลาดำส่ายหน้า
จิ้งจอกไฟร้อนใจยิ่งนัก "ท่านพี่ ทำอย่างไรดี"
เทพเสือโคร่งศิลาดำมองมาโดยไม่ได้เอ่ยถาม
"ท่านพี่ พวกเขาอาจฆ่าท่านผู้เฒ่าก็เป็นได้" จิ้งจอกไฟพรั่งพรูคำพูด "เมื่อ...นานแล้ว ที่ข้าได้ยินเรื่องที่พวกเขาต้องการล่ากระเรียน แต่มันนานมาแล้ว อีกอย่างพวกกระเรียนก็ไม่เคยออกจากป่า ข้าก็ไม่คิดว่าท่านผู้เฒ่าจะตามออกไป หากท่านเทพเสือโคร่งภูผา หรือท่านเทพกวางสายฟ้ารู้ว่าข้าคือสาเหตุ พวกเขาต้องฆ่าข้าแน่ ๆ”
เทพเสือโคร่งศิลาดำ หันไปออกคำสั่ง "กลับไปอยู่ที่โพรงไม้ ห้ามออกมาจนกว่าข้าจะกลับไป"
จิ้งจอกไฟพยักหน้ารับคำสั่ง แล้วรีบกลับไปในทันที
เทพเสือโคร่งศิลาดำสรุปเรื่องราวทั้งหมดด้วยการกระทำที่ผ่านมาของจิ้งจอกไฟ และคำยืนยันของนักป่าที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงที่เห็นกระเรียนโกเมนบินตามจิ้งจอกไฟออกไปด้านนอก ได้ยินเสียงร้องบอกให้รีบหนี และสุดท้ายก็คือเทพเสือโคร่งศิลาดำโทษตนเองที่ปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้น
ดวงตาสีดำขลับปราศจากสีอื่นเจือปนจ้องมองท้องฟ้า 
ใกล้สว่างแล้ว ลงมือในเวลานี้ไม่ได้ ต้องรออีกคืนหนึ่ง
ในคืนถัดมาชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดดำปกปิดใบหน้าถือดาบใหญ่มีตราราชสำนักบุกเข้ามาในหมู่บ้าน สังหารผู้ชายในหมู่บ้านไปหลายคนรวมถึงอาต๋า และหัวหน้าหมู่บ้าน
ผู้คนในหมู่บ้านตั้งข้อสังเกตว่าผู้เสียชีวิตเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ล่ากระเรียนสีแดงจากป่าสีทองให้กับคนของทางการ จึงพากันบอกเล่าต่อไปว่า พวกเขาได้ของที่ต้องการไปแล้ว แต่ยังส่งนักฆ่ามาฆ่าคนปิดปาก!
คนของทางการนั้นช่างโหดร้าย
ออกคำสั่งให้ลงมือ เมื่อไม่ลงมือก็ลงโทษ
แต่หากลงมือตามที่สั่ง ก็กลับถูกฆ่าปิดปาก
แล้วนี่อย่าได้คิดไปแจ้งความต่อเจ้าเมืองเชียวนะ เพราะหากเรื่องไปถึงพวกผู้ว่าจ้าง คนที่เหลืออยู่ในเวลานี้อาจต้องถูกฆ่าไปด้วย!
เช่นนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเถอะ หากินกับการเก็บของป่า ล่าสัตว์มานานถึงเวลาที่จะต้องไปหากินในทางอื่น
อาเจี้ยนกับมารดาอยู่จัดงานศพให้กับอาต๋าจนเสร็จก็เก็บข้าวของเพื่อย้ายออกจากบ้าน....เพื่อที่จะย้ายกลับมาในอีกห้าปีให้หลัง....

จิ้งจอกไฟรอเทพเสือโคร่งศิลาดำอยู่ที่โพรงไม้อยู่นานข้ามวัน เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงกลับมา
เมื่อมาถึงก็มิได้เอ่ยคำใด แต่ไปแช่ตัวอยู่ในลำธารครึ่งค่อนวัน เพื่อชำระล้างกลิ่นเลือดคาวคลุ้ง จากนั้นก็กลับมานอนพักอยู่หน้าโพรงไม้ ทำตัวเป็นเสือโคร่งเพศผู้ตัวหนึ่งที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอน 
แต่ภายใต้เรื่องราวที่เป็นปกติ ยังมีความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ที่ทำให้จิ้งจอกไฟรู้ตัวว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำกำลังลงโทษตนเองพร้อมไปกับการทำตนเป็นผู้คุมนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ผู้หนึ่ง
แล้วนักโทษผู้นั้นจะเป็นผู้ใดไปได้นอกจากจิ้งจอกไฟ

เทพเสือโคร่งผู้นี้มีรูปร่างใหญ่เกินกว่าโพรงไม้ จึงมักจะนอนอยู่ด้านหน้าปิดปากทางโพรงไม้ แต่ที่รู้ตัวว่าผิดปกติ ก็เพราะการที่เทพเสือโคร่งย้ายออกมานอนห่างจากโพรงไม้
ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เจ้าความต้องการที่ควบคุมไม่ได้และมักจะเกิดขึ้นกับเทพเสือโคร่งศิลาดำเพียงผู้เดียว จู่ ๆ ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อกลิ่นหอมหวานนั้นรุนแรงขึ้น เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับลุกหนีออกไป ในช่วงเวลาเพียงครู่เดียว จิ้งจอกหนุ่มหลายตัวก็เริ่มวนเวียนเข้ามาใกล้ แล้วส่งเสียงเรียก
จิ้งจอกไฟได้แต่ขดตัวอยู่ในโพรงไม้
กลัว
กลัวมาก
ท่านรู้หรือไม่ ว่าข้ากลัว
อย่าให้พวกเขาเข้ามาใกล้ข้า
ได้โปรด ขอร้อง ให้ทำอย่างไรก็ได้ โปรดไล่พวกเขาออกไป
ความหวาดกลัวทำให้จิ้งจอกไฟเริ่มตะกุยพื้นดิน และทำร้ายตนเอง เสียงร้องคร่ำครวญนั้นห่างไกลจากความต้องการ เมื่อผสานกับกลิ่นหอมหวานที่อบอวนอยู่ในอากาศ จึงทำให้เกิดบรรยากาศพิลึกพิลั่น
แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำก็ยังปล่อยให้บรรดาจิ้งจอกหนุ่มเข้ามาใกล้จนเกือบถึงโพรงไม้ จึงได้ส่งเสียงคำรามขับไล่ แต่กลิ่นหอมหวานก็ยังรั้งหน่วงรั้งให้ถอยห่างออกเพียงไม่กี่ก้าว ทั้งส่งเสียงร้องเรียกให้ออกมาหา จนเทพเสือโคร่งศิลาดำต้องขู่คำรามจึงได้พากันล่าถอยออกไป
จิ้งจอกไฟต้องอยู่กับความทรมานนั้นนานนับชั่วยาม เพราะเทพเสือโคร่งศิลาดำมิได้เข้ามาหา มิได้สนใจเสียงร้องคร่ำครวญ จนกระทั่งสงบลงและหลับไปเองอย่างอ่อนเพลีย
การเฝ้ามองจากที่ตรงนั้น และการปฏิเสธที่จะสัมผัสกันเช่นนั้นมันช่างเจ็บปวด
นอกจากนี้ เทพเสือโคร่งศิลาดำยังไม่พูดด้วยแม้สักครึ่งคำ อาจมองมา หรือมีท่าทีสั่งให้กินอาหาร หรือให้กลับเข้าไปอยู่ในโพรงไม้ในเวลาที่ด้านนอกมีฝนพรำ หรืออากาศหนาวเย็น แต่ไม่เคยมีคำพูด
จิ้งจอกไฟรู้ตัวแล้วว่า จากที่เคยอยู่ในฐานะผู้ที่ได้รับสิทธิ์พิเศษ แต่เวลานี้กลับกลายเป็นนักโทษผู้หนึ่ง
วันหนึ่งนกยูงทองกับกวางไพลินชักชวนกันมาเยี่ยม
ทั้งคู่ดูระมัดระวังเมื่อเห็นว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำอยู่ในที่นี้ด้วย
กวางไพลินระมัดระวังก็เพราะอีกฝ่ายเป็นเสือโคร่ง
ส่วนนกยูงทอง...เรื่องที่เทพเสือโคร่งศิลาดำทำอะไรกับจิ้งจอกไฟเมื่อหลายวันก่อน มีหรือที่นกยูงทองจะไม่รู้
กวางไพลินอาจไม่รู้เพราะนางเป็นสตรี...เรื่องแบบนี้เขาไม่เล่าให้สตรีฟังกันหรอกใช่ไหม 
แต่นกยูงทองผู้เป็นมิตรกับเหล่านกทั้งป่ารู้เรื่องนี้ละเอียดประหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ขอนไม้ใหญ่ที่เทพเสือโคร่งศิลาดำนอนอยู่ทีเดียว
ดังนั้นเมื่อมาถึงกวางไพลินจึงเป็นผู้ที่กล่าวกับเทพเสือโคร่งตัวใหญ่ที่นอนขวางทาง
"ขอพวกเราเข้าไปหาจิ้งจอกไฟได้หรือไม่"
ครั้นเทพเสือโคร่งพยักหน้า นกยูงทองก็ต่อรองทันที
"ขอออกไปคุยกันที่ทุ่งดอกหญ้าสีขาวได้หรือไม่" มันน่าจะปลอดภัยสำหรับทุกคนมากกว่าการคุยกันที่นี่ "ออกไปแค่ไม่กี่ก้าวเอง จะหวงไปทำไมนักหนา" พูดจบก็รีบวิ่งผ่านเข้าไปหาจิ้งจอกไฟ แล้วชักชวนกันออกมาด้านนอก

ทุ่งดอกหญ้าสีขาวอยู่ห่างไปไม่กี่ก้าวจริง  และเทพเสือโคร่งศิลาดำรู้ว่าสหายต้องการพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่เทพเสือโคร่งก็ยังลอบใช้พลังฟังการสนทนากันของสหายทั้งสาม
จริงดั่งคาด สหายตัวเล็กทั้งสองมาเพื่อสอบถามสองเรื่อง คือเรื่องที่กระเรียนโกเมนหายไป กับเรื่องที่มีการสังหารพรานหลายคนในหมู่บ้าน
และเมื่อจิ้งจอกไฟมีสีหน้าตื่นตกใจ นกยูงทองก็รู้สึกโมโห
"ที่ตกใจนี่คืออันใด ห่วงคนพวกนั้นใช่หรือไม่ ห่วงตัวเองก่อนไม่ดีหรือไง" เพราะมัวแต่เป็นห่วงมนุษย์พวกนั้น ถึงได้ถูกเทพเสือโคร่งศิลาดำลงโทษเช่นนั้น เมื่อไหร่เจ้าจะรู้ตัวสักทีนะ ว่าใครคือคนที่ควรทำดีด้วย!
"ก็..."
"ข้ารู้นะว่าเจ้าเป็นห่วงคนพวกนั้น มิใช่ท่านกระเรียนโกเมน"
"ก็ห่วงทั้งสองฝ่ายที่เจ้าว่ามานั่นแหละ"
ก่อนที่ทั้งคู่จะทะเลาะกัน กวางไพลินต้องเข้ามาแทรกไว้ก่อน
"เจ้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นหมู่บ้านหรือไม่"
จิ้งจอกไฟส่ายหน้า
ถึงจะอยู่กันตามลำพังเช่นนี้มาหลายวัน แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำมิได้บอกเล่าเรื่องราวสักคำ แถมจิ้งจอกไฟเองก็มิกล้าถาม แล้วจะรู้ได้อย่างไร
กวางไพลินขอเป็นผู้เล่าเรื่อง เพราะหากปล่อยให้นกยูงทองเล่า อาจได้ฟังคำบ่นสามคำ แล้วก็ไปบอกเล่าเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องอีกครึ่งวันกว่าที่จะพูดเรื่องที่ทำให้ต้องมาพบกับจิ้งจอกไฟในวันนี้
สรุปก็คือ กระเรียนโกเมนหายไป และหลังจากนั้นสองวันก็เกิดเหตุร้ายแรงที่หมู่บ้าน จากที่พวกนกป่าไปลอบฟังการสนทนาที่หมู่บ้านได้ยินว่าพูดถึงคำสั่งของทางการ และการฆ่าปิดปาก
"ฆ่าปิดปากหรือ"
"ใช่!" สหายทั้งสองพูดพร้อมกัน
"แสดงว่าสองเรื่องนี้เกี่ยวพันกันหรือ" จิ้งจอกไฟพูดกับตัวเอง เพื่อยืนยันกับตัวเองอีกครั้งแต่เมื่อสหายทั้งสองที่ไม่รู้เรื่องราวอันใด และมาเพราะมีความหวังดีก็เลยได้แต่หันไปทางเทพเสือโคร่งศิลาดำที่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ
"มนุษย์พวกนี้โหดร้ายนัก ไล่ล่าพวกเรา แล้วก็ไล่ล่ากันเอง เจ้าน่ะตัวดีชอบนักพวกมนุษย์ เผลอเป็นไม่ได้คอยแต่จะไปเฝ้ามองพวกเขา พวกเจ็บไม่รู้จักจำ" นกยูงทองลอยหน้าลอยตากล่าวคำตำหนิ
แม้จะอยู่ห่างกัน แต่ก็มองเห็นว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำพยักหน้าเล็กน้อย ดังนั้นจิ้งจอกไฟจึงปล่อยให้นกยูงทองว่ากล่าวไปเรื่อย

เทพเสือโคร่งศิลาดำไม่ได้อยู่เฝ้าจิ้งจอกไฟตลอดเวลา เพราะเขาเองก็มีเรื่องต้องให้ไปจัดการ และต้องบำเพ็ญฌานเช่นกัน แต่ในช่วงเวลาเหล่านี้ จิ้งจอกไฟก็ยังคงอยู่ที่โพรงไม้แห่งนั้น
เรื่องที่ตั้งใจไว้ก็ทำไปแล้ว หลังจากนี้ก็มีแต่ยอมทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายแต่โดยดี

เมื่อเทพเสือโคร่งศิลาแดงออกจากฌานแล้วพักฟื้นได้เพียงครึ่งวัน ก็มาหาพี่ใหญ่ที่ถ้ำยาของบิดา
เมื่อพบหน้ากันเทพเสือโคร่งศิลาแดงแสดงความเคารพขั้นสูงสุดด้วยการยอบตัวแทบเท้าของพี่ใหญ่
“ขอบคุณพี่ใหญ่ ด้วยสัจจะแห่งเทพเสือโคร่งศิลาแดง ข้าขอรับใช้ท่านจนลมหายใจสุดท้าย”
เทพเสือโคร่งศิลาดำส่งเสียงคำรามต่ำ ๆ แล้วบอกให้น้องรองกลับไปพักผ่อน
ไม่จำเป็นต้องกล่าวคำเตือนว่า อย่าได้พูดเรื่องบางอย่างออกไป เพราะเทพเสือโคร่งผู้เป็นน้องชายย่อมรู้ดี

บรรยากาศความกังวลภายในป่าสีทองดำเนินไปไม่นานนัก ความสนใจของบรรดาสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างเทพสัตว์ป่าระดับสูงกำลังบำเพ็ญฌาน
สัตว์เทพเหล่านี้บำเพ็ญฌานกันมาหลายปีแล้ว และในกลุ่มนี้ยังมีเทพเสือโคร่งภูผา และเทพกวางสายฟ้ารวมอยู่ด้วย แต่ในวันหนึ่งเทพเสือโคร่งภูผาก็ลอบออกมาหานางเทพกวางสายลมและใช้เวลาอยู่ด้วยกันหลายวัน จากนั้นเทพเสือโคร่งภูผาก็กลับไปบำเพ็ญฌานต่อ ส่วนนางเทพกวางสายลมกลับไปที่เขตป่ากวางเทพ
เวลาผ่านไปนานหลายเดือน นางเทพเสือโคร่งบงกชที่บำเพ็ญฌานจึงเพิ่งจะทราบเรื่อง 
ตอนที่นางละจากฌานมาหานางเทพกวางถึงเขตป่ากวาง ทุกคนต่างก็คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ แต่พวกนางก็เพียงแค่พูดคุยกันอยู่นาน จากนั้นนางเทพเสือก็กลับไปบำเพ็ญฌานต่อ
ส่วนนางเทพกวางละการฝึกเพียงเท่านั้น ในเวลานั้นแหละที่ว่ากันว่า ที่นางต้องละฌานก็เพราะนางตั้งครรภ์
เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะมีช่องว่างอยู่มากมาย ผู้ใด อะไร เช่นใดกัน ทั้งมีช่องทางให้คาดเดาต่อไปอีกมากมาย มีคำถามมากมายที่ไม่มีใครกล้าหาญไปสอบถามทั้งเทพทั้งสาม
...ไม่สิ ต้องเป็นเทพทั้งสี่เพราะนี่ย่อมเกี่ยวข้องกับเทพกวางสายฟ้าด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเนื่องจากเทพเสือโคร่งภูผาละการบำเพ็ญฌานออกมาหลายวัน เขาจึงสิ้นสุดการบำเพ็ญฌานช้ากว่าเทพกวางสายฟ้า แต่เทพกวางสายฟ้าเมื่อออกมาแล้วรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็กลับเข้าไปบำเพ็ญฌานอีกครา
ดูท่าว่าเรื่องนี้จะยื้อเยื้อและดำเนินไปถึงจุดแตกหัก แต่ก็มิใช่อีก
เพราะเทพกวางสายฟ้ากลับเข้าไปบำเพ็ญฌานได้ไม่กี่วัน นางเทพกวางสายสมก็ให้กำเนิดบุตร
เขาเป็นกวางทองที่ตัวเล็กมาก อ่อนแอมาก เทพกวางทั้งสองพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะรักษาชีวิตน้อย ๆ นี้ไว้

แต่ในวันที่กวางทองถือกำเนิดก็คือวันของการปลดปล่อยจิ้งจอกไฟเช่นกัน
ตั้งแต่นางเทพกวางมีอาการเตือนว่าจะให้กำเนิดลูก กวางไพลินที่ตื่นเต้นยินดี ที่จะมีน้องสาวหรือน้องชายมาเพิ่มอีกหนึ่ง รีบมาเร่งให้นกยูงทองกับจิ้งจอกไฟไปรอต้อนรับน้องน้อยของนางด้วยกัน
สหายทั้งสองก็ตามไปด้วย
ตอนนั้นเอง ที่นกยูงทองหันไปเรียกกวางไพลินว่าพี่หญิง แล้วหันมาเร่งให้จิ้งจอกไฟเรียกกวางไพลินว่าพี่หญิงไปด้วยกัน
นกยูงทอง จิ้งจอกไฟ และกวางทองจึงกลายเป็นสหายรุ่นเดียวกัน และมีกวางไพลินเป็นพี่หญิง

เมื่อจะกลับมาที่โพรงไม้ เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงเปิดปากกล่าวคำแนะนำ "กวางทองตัวนั้นมีพลังวิเศษที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและด้วยผนึกของป่าสีทองทำให้พลังในทางดีของเขาเพิ่มพูน  เมื่อรวมกับนกยูงทอง นี่จะยิ่งเป็นผลดีกับเจ้า" ดวงตาสีเหลืองเข้มมองมา "จากนี้จงไปอยู่กับพวกเขา"
"ไปอยู่ หมายความว่าอย่างไร"
"เจ้าสามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพิงข้าอีกต่อไป"
"แต่..."
“หรือเจ้ามิเชื่อฟังข้าแล้ว”
จิ้งจอกไฟก้มหน้าลง “ข้าย่อมเชื่อฟังท่าน”
“ดี นับจากวันนี้ จงทำในสิ่งที่เจ้าอยากทำ แต่อย่าพูดกับข้าแม้สักครึ่งคำ”
ดวงตางดงามเงยขึ้นสบตา...ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น
เทพเสือโคร่งศิลาดำรู้สึกว่ากวางไพลินกำลังมาทางนี้ จึงรอให้นางเข้ามาใกล้จนกระทั่งได้ยินการสนทนา
"เมื่อเจ้าเลือกแล้ว ก็ตามแต่ใจเจ้า"

ในตอนนั้นจิ้งจอกไฟไม่เข้าใจว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำกำลังคิดอะไรอยู่
แต่รู้ว่าคำสั่งที่บอกให้อยู่ใกล้กับกวางทองตัวน้อยเป็นเรื่องดียิ่ง เพราะทำให้ไม่ต้องหวาดกลัว และกังวลเรื่องราวใด แต่เพราะตนเองเป็นจิ้งจอก การอยู่ติดกับกวางทองตลอดเวลาอาจทำให้นางเทพกวางสายลมเกิดความระแวง นอกจากนี้กวางทองก็ยังไม่แข็งแรง ทำให้ผู้เป็นมารดายิ่งเข้มงวดในการดูแล
เทพเสือโคร่งภูผาที่ต้องคอยมาแอบมองบุตรที่อยู่ในฝูงกวางช่างน่าเห็นใจ
จิ้งจอกไฟมิได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่ในวันหนึ่งที่กวางไพลินหลับอยู่จึงชักชวนให้กวางทองออกมาข้างนอกด้วยกัน แสงแดดอาจทำให้กวางทองตัวน้อยแข็งแรงขึ้น แต่กลับทำให้กวางทองป่วยหนัก เทพกวางทั้งสองต้องร้องขอให้เทพเสือโคร่งภูผากลับมารักษา
เทพเสือโคร่งภูผาเดินทางไปกลับป่าสีทองกับเมืองหลวงอยู่หลายครั้ง แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำกลับต้องเดินทางไปทั่วแผ่นดินไท่ชางเพื่อช่วยงานของบิดา แม้แต่ในตอนที่กวางทองต้องขึ้นไปฝึกกับท่านเทพสูงสุดที่ยอดเขา ทำให้เทพเสือโคร่งภูผาอยู่ที่เมืองหลวงนานขึ้น เทพเสือโคร่งศิลาดำก็มิได้กลับมา
ความรู้สึกของจิ้งจอกไฟก็กลายไปเป็นความไม่พอใจอย่างแท้จริง
เขาช่วยข้าไว้ครั้งแล้วครั้งเล่าก็จริง แต่เขาก็ควรถามข้าบ้างว่าเรื่องราวมันเป็นเช่นใด และข้าเองก็สมควรรู้บ้างว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
จากนั้นความรู้สึกก็เปลี่ยนเป็นความเฉยชา
ลืมไปแล้วหรือว่า เขาเป็นเทพเสือโคร่งที่ถูกคู่ทอดทิ้งมาแล้วหลายครา
และเมื่อในครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายที่ปล่อยข้าไป ดังนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ข้าจะต้องตั้งคำถาม หรือตั้งตารอคอย
ต่อมาเมื่อเทพเสือโคร่งศิลาดำกลับมาที่ป่าสีทอง จิ้งจอกไฟจึงเจตนาหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอ
เทพเสือโคร่งภูผาผู้รู้ใจบุตรชายก็กลับมอบหน้าที่ให้คอยเฝ้าดูแลกวางทองเสียอีก
...บางทีก็คาดเดาความคิดของพวกเขาได้ยาก ว่าต้องการอันใดกันแน่...
อย่างไรก็ตาม การที่จิ้งจอกไฟมีท่าทีเมินเฉยกับเทพเสือโคร่งศิลาดำอาจเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
เพราะยิ่งห่างกันก็ยิ่งลดความเสี่ยงที่จะถูกลงโทษ
แต่ในขณะที่ความสงสัยในเงื่อนงำที่ทำให้ต้องสูญเสียกระเรียนโกเมนจางลงไป ในวันหนึ่งเหล่านกป่าก็มาแจ้งข่าวว่ามีพรานเข้ามาล่ากระเรียนในป่าสีทอง ซึ่งทำให้สัตว์ทุกตัวต่างประหลาดใจเพราะป่าสีทองถูกปิดผนึกมาหลายปี แต่พรานผู้นี้ยังสามารถลอบเข้ามาได้
ขณะที่สัตว์ทุกตัวพากันตั้งข้อสงสัยมากมาย จิ้งจอกไฟกำลังคิดทบทวน
ต้องเป็นคนในหมู่บ้านพรานทางฝั่งตะวันตกที่รู้วิธีที่จะเข้ามาในที่นี้ได้
หลายปีมานี้ลักลอบออกไปที่หมู่บ้านแห่งนั้นหลายครั้ง แต่ก็พบว่าเป็นคนกลุ่มใหม่ที่ย้ายเข้ามาอยู่ จึงแวะเวียนไปดูผู้คนในหมู่บ้านอื่นต่อไป ทำให้ถูกนกยูงทองตำหนิอยู่เสมอว่าชอบพอมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อได้ยินเรื่องนี้อีกครั้ง จิ้งจอกไฟก็ต้องเตือนตนเองว่าไม่ควรจะออกไปที่หมู่บ้านนั้นอีก การที่พรานป่าสามารถบุกรุกเข้ามาล่ากระเรียนสีขาวสองตัวโดยที่นกป่าไม่มาแจ้งเตือนนี่ยิ่งควรต้องอยู่ห่างให้มาก
ที่สำคัญคือ ในเมื่อตนเองที่อ่อนอาวุโสยังคิดเรื่องนี้ได้ บรรดาเทพสัตว์ป่าทั้งหลายก็ยิ่งสมควรรู้เช่นกันจึงได้แต่ปิดปากไว้
ต่อมาหยางหลงเจ้าเมืองลั่วเข้ามาในป่าสีทองเพื่อขอพบกับกวางทอง จากนั้นก็เป็นรองแม่ทัพเฉินอวี้ที่มากับเทพเสือโคร่งภูผา
มนุษย์คู่นี้มีอำนาจที่แตกต่างกัน
หยางหลงมีอำนาจ และความยิ่งใหญ่แฝงมาด้วย แต่ดูท่าเขาจะไม่ได้สนใจในเรื่องนั้นสักเท่าใด สิ่งเดียวที่เขาสนใจก็คือกวางทอง
เฉินอวี้ คนผู้นี้คืออวี้-หยก เยือกเย็น แข็งแกร่ง ทั้งที่มีทีท่าว่าจะเข้ากับผู้อื่นได้ดี แต่ก็เหมือนห่างเหินในเวลาเดียวกัน
ทั้งสองคนแตกต่างกับทุกคนในหมู่บ้านนั้นเหมือน...เหมือนมังกรกับมดปลวก เหมือนหยกกับดินโคลน
มนุษย์ก็สามารถมีพลังเช่นนี้ได้ด้วยหรือ

จิ้งจอกไฟเพียงแค่มองด้วยความสงสัย ยังไม่ทันจะออกปากแสดงความเห็นใด ๆ นกยูงทองก็โวยวายว่า จิ้งจอกไฟยังสนใจแต่มนุษย์ไม่เปลี่ยนแปร
แต่ในเวลาที่นกยูงทองโวยวาย ก็มิได้เฉพาะเจาะจงลงไปชัดเจนว่ามนุษย์ที่เอ่ยถึงนั้นคือใคร แล้วจิ้งจอกไฟก็เบื่อที่จะชี้แจง อยากโวยวายอะไรก็ตามใจ โกรธกันได้ไม่ถึงครึ่งวันก็กลับมาพูดคุยกันใหม่
ส่วนเรื่องของเทพเสือโคร่งศิลาดำ มาถึงจุดที่ว่า หากการอยู่ด้วยกันแล้วจะนำความเดือดร้อนมาให้ ก็สมควรอยู่ในฐานะต่างฝ่ายต่างลอบมองกันไปเช่นนี้ก็ได้
จิ้งจอกไฟไม่เคยรู้เลยว่า ความสงบที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้น เป็นผลมาจากกวางทอง เพราะรู้แต่เพียงว่าการอยู่ใกล้กับสหายผู้นี้มีความสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องราวใด แต่กวางทองก็พบคู่ของเขาแล้ว ทั้งยังต้องเร่งฝึกฝนเพื่อพัฒนาตนเอง จะไปคอยตามติดเหมือนที่ผ่านมาก็มิได้แล้ว
...
เทพเสือโคร่งภูผาไม่เคยละวางเรื่องการสืบค้นว่าใครคือผู้สังหารกระเรียนโกเมน ต่อให้การตามหานั้นจะวกวนและยอกย้อนจนเสียเวลาไปนานหลายปี ด้วยฝีมือของเทพเสือโคร่งศิลาดำผู้เป็นบุตรชาย และยังเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด

ไม่มีเหตุการณ์ใดในเรื่องนี้ที่เป็นเรื่องบังเอิญ เทพเสือโคร่งศิลาดำผู้เงียบขรึมเพียงแค่ใช้ความอดทน และการเคลื่อนไหวท่ามกลางความเงียบ ทำตนเป็นดั่งเงาของบิดา เมื่อมีโอกาสก็ชักจูงเรื่องราวให้เดินไปในทางที่ตนต้องการโดยมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือถ่วงเวลาจนกว่าจะถึงวันที่จิ้งจอกไฟจะมีความเข้มแข็งมากพอที่จะอยู่ตามลำพังได้

เทพเสือโคร่งศิลาดำรู้มานานแล้วว่าหนานกงเผิงเป็นผู้ให้คำแนะนำแก่แพทย์หลวงหนานกง แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจึงบอกต่อบิดา เพื่อให้ไปพบกับนาง ที่ผิดพลาดก็คือการที่นางฆ่าตัวตาย และมีผลมาถึงกำลังใจของเฉินอวี้ไปด้วย
สำหรับเทพเสือโคร่งศิลาดำแล้ว เฉินอวี้คือมนุษย์ผู้หนึ่งที่มีความสามารถรอบด้าน ในแต่ละวันพบเจอผู้คนมากมาย ได้รับความเคารพและมีคนคอยเอาใจอยู่ตลอด จะมาผูกพันอันใดกับเทพเสือโคร่งผู้หนึ่งที่วิ่งพล่านไปทั่วเมือง
แต่ความรักของเฉินอวี้ที่มีต่อเทพเสือโคร่งภูผากลับลึกซึ้งและยิ่งใหญ่มากนัก
ความหวั่นไหวของเฉินอวี้ที่พอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ  ยังมีผลต่อเนื่องไปถึงบุคคลรอบตัวด้วยเช่นกัน เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงต้องพยายามชักจูงให้เทพเสือโคร่งภูผาอยู่ห่างจากป่าสีทอง
เพราะหากกลับมา ก็อาจล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมดได้โดยง่าย
คำตอบของเรื่องนี้มิได้อยู่ที่เมืองหลวง แต่อยู่ในป่าสีทอง อยู่ข้างกายของกวางทองบุตรผู้เป็นที่รักยิ่ง
ยิ่งนานวัน เทพเสือโคร่งศิลาดำยิ่งมั่นใจ กวางทองเป็นผู้เดียวที่จะรักษาชีวิตของจิ้งจอกไฟไว้ได้
เมื่อถึงวันหนึ่งเทพเสือโคร่งภูผา และเทพกวางสายฟ้าย่อมล่วงรู้ว่าจิ้งจอกไฟล่อลวงสหายของพวกเขาออกไปให้พรานเหล่านั้นสลายร่างเพื่อนำไปปรุงโอสถถวายฮ่องเต้ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง กวางทองจะต้องช่วยให้จิ้งจอกไฟรอด!
ช่วงเวลายาวนานหลายปีของการทำหน้าที่ประสานงานกับฮ่องเต้ มาจนถึงการดูแลเฉินอวี้
เทพเสือโคร่งศิลาดำไม่ได้เป็นแค่เทพเสือโคร่งที่รู้แต่การรับฟังคำสั่ง แต่เขาย่อมทำความรู้จักคุ้นเคย ให้คำแนะนำไปหลายเรื่องต่อเฉินอวี้ รวมถึงการถวายคำแนะนำต่อฮ่องเต้ด้วย
เทพเสือโคร่งภูผามักภูมิใจว่าบุตรผู้นี้มีลักษณะเหมือนกับตน แต่ทั้งเฉินอวี้ และฮ่องเต้ต่างก็รู้แต่แรกว่าไม่เหมือน
ก็มิเป็นไร จะรู้หรือไม่รู้เทพเสือโคร่งศิลาดำก็สามารถทำงานทุกอย่างให้เป็นไปตามเป้าหมายได้เหมือนกัน
การเปลี่ยนตัวผู้แทนเมืองลั่ว จากหยางเฉิง เป็นหยางไห่ก็เป็นหนึ่งในคำแนะนำของเทพเสือโคร่งศิลาดำ
แต่การที่พระองค์ต้องการแฝดเมืองลั่วมาด้วยนั้น เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ เพราะการให้ผู้มีผนึกของป่าสีทองออกมาจากเมืองลั่วก็คือการส่งมาตาย ดังนั้นเขาจึงลอบสนับสนุนหยางหลงเมื่อต้องเปลี่ยนร่างต่อหน้าฮ่องเต้
เบื้องหลังของการแสดงฉากนั้นย่อมมีเทพเสือโคร่งภูผากับเทพกวางสายฟ้าคอยดูแลอยู่ แต่เมื่อมีเทพเสือโคร่งศิลาดำละครฉากนี้ก็ยิ่งสมบูรณ์แบบกว่าเดิม
จากนั้นเทพเสือโคร่งศิลาดำก็ชักจูงเรื่องราวให้หันไปทางเมืองเหอ
เพราะมันถึงเวลาที่จะต้องจัดการเรื่องราวที่เมืองนี้ให้สิ้นซาก 
และเมื่อเฉินอวี้หมดกำลังใจจนใกล้จะถึงที่สุด ก็ให้ถวายคำแนะนำฮ่องเต้อีกครั้งในการส่งรองแม่ทัพเฉินอวี้ไปที่หมู่บ้านนอกด่าน
นั่นคือหมู่บ้านที่มีคำสั่งให้พรานในหมู่บ้านออกล่าฝูงจิ้งจอกเมื่อหลายปีก่อน
แล้วกำลังใจของรองแม่ทัพเฉินอวี้ก็หมดลงที่หมู่บ้านแห่งนั้นตามความคาดหมาย
จากนั้นเฉินอวี้ก็กลับมาที่ป่าสีทอง
เมื่อเรื่องราวทั้งหมดกลับมาที่จุดเริ่มต้น เทพเสือโคร่งศิลาดำจึงเหลือสิ่งที่ต้องทำอีกเพียงเล็กน้อย
นั่นคือเดินเข้าไปกล่าวคำสารภาพสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดต่อเทพทั้งสี่ โดยมีหยางหลงกับกวางทองร่วมรับฟังอยู่ด้วย

จะอยู่หรือจะตายล้วนขึ้นอยู่กับกวางทองผู้นี้แล้ว....

...จบบทที่สามสิบแปด...
ตะเอง เราขอโทษ อีก 2 ตอนถึงจะจบ
เราแบ่งตอนผิด :ling2:
รีพลายให้เราหน่อยนะ
น้ำชาเอง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-10-2018 19:57:59
รู้สึกใช้พลังมากมายในการอ่านและลำดับเรื่องราว  :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-10-2018 21:57:09
สุดยอดมาก
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 20-10-2018 00:02:40
อ่านไปก็พยายามทำความเข้าใจไป  :serius2:

จิ้งจอกไฟมีค่าควรให้ปกป้องขนาดนั้นเลยหรือ?  :m16:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 20-10-2018 01:39:04
โอยยยยยเหนื่อยยยย
เพื่อความเข้าใจและชัดเจน
ขอย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนหน้าซัก 2-3 ตอนก่อนนะ

แต่ก็ให้นึกสงสัย
เทพเสือโคร่งศิลาดำ ทำไมถึงต้องทำอะไรมากมายขนาดนั้นให่จิ้งจอกไฟ
ทั้งที่ก็รู้ว่า จิ้งจอกไฟไม่เคยซื่อสัตย์
เพราะรักมากมายหรือ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 20-10-2018 01:49:25
โอ้โห  :z3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 20-10-2018 11:28:03
สงสารพี่โคร่งดำ เพราะความรุ้สึกสองฝ่ายไม่เท่ากันเลยกลายเป็นว่าพี่โคร่งต้องเสียสละวิ่งวุ่นให้เจ้าจิ้งจอกไปหมด อ่านจนถึงตอนนี้นังไม่แน่ใจเลยว่าจิ้งจอกรักพี่โคร่งจริง ๆ หรือแค่ติดใจเรื่องทางเพศเฉย ๆ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 22-10-2018 08:24:44
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 22-10-2018 13:19:23
 :z3:


:เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 23-10-2018 19:05:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 24-10-2018 20:54:20
ถอนหายใจให้กับทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 26-10-2018 20:48:50

 :ling1:  พี่เสือดำ ทำไมพี่ทำอย่างนี้  :ling1:


ดั๊นนนนนนกลายเป็นพี่เสือ ใช้แผนในแผนซ้อนแผนอีกขั้น
เพื่อจิ้งจอกพี่เสือกลายเป็นคนแบบนี้ วุ้ยยยยย อยากให้คนตัดสินเป็นแม่เสือชมัด


 
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 28-10-2018 20:50:35
 :a5: :a5: เงิบกันเลยทีเดียวว
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 29-10-2018 11:46:27

 :mew1:  ก๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ  :mew1:

               ฮึบๆๆๆ

สารภาพว่าใจหนึ่งก็อยากอ่านตอนต่อไป แต่ใจหนึ่งก็ยังไม่อยากให้มันจบ  :z3:




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: noteno ที่ 29-10-2018 22:08:19
มารอพี่เสือคนเจ้าเเผนการตอนใหม่จ้า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-10-2018 01:22:30
 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่38 P38(191061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 30-10-2018 10:10:46

เข้ามารอ จ้า



หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 30-10-2018 18:41:45
ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สามสิบเก้า


สถานที่แห่งนี้มีทั้งสัตว์เทพ สัตว์ป่าและมนุษย์ บ้างนั่งบ้างยืนอยู่มากกว่ายี่สิบชีวิต บิดานกยูงทองก็ได้รับเชิญให้มาในที่นี้ด้วย
สัตว์เทพที่สามารถเปลี่ยนร่างได้ก็จะเปลี่ยนร่าง เพื่อให้มนุษย์ทั้งสามในที่นี้สามารถรับฟังการสนทนาไปพร้อมกัน
มนุษย์คนหนึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มท่าทางสุภาพอยู่ข้างกวางทอง ถัดไปทางด้านหลังเป็นชายอีกคนที่ยืนกอดอก โดดเด่นที่คิ้วเข้ม ท่าทางจริงจัง ส่วนคนที่สามมีใบหน้าอ่อนเยาว์งดงามสวมชุดสีฟ้าท่าทางสง่าทำให้ยากที่จะคาดเดาได้ว่ามีอายุเท่าใดกันแน่

แต่แม้ว่าที่นี่จะเป็นการรวมกลุ่มของหลายชีวิต นอกจากคำสารภาพของเทพเสือโคร่งศิลาดำแล้ว ก็มีเพียงเสียงสะอื้นของกวางทองที่ดังแทรกขึ้นมา
ขณะที่จิ้งจอกไฟได้แต่นั่งมองเทพเสือโคร่งศิลาดำผู้กล่าวคำสารภาพ
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วจับมือกวางทองไว้มือหนึ่ง อีกมือหนึ่งโอบไหล่เพื่อคอยปลอบโยน
ส่วนเฉินอวี้รอจนเทพเสือโคร่งศิลาดำกล่าวจบก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว
"ข้าขอกล่าวเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับข้า เล่ห์เหลี่ยม และการแก่งแย่งในราชสำนักเป็นเรื่องที่หากพลาดคือชีวิต ซึ่งข้าได้เทพเสือโคร่งศิลาดำให้ความช่วยเหลือนับครั้งไม่ถ้วน เพราะมักจะได้รับมอบหมายให้ทำงานตามลำพังไม่ว่าจะบุกเข้าไปในรังโจร หรือจับผู้ก่อการกบฏ หากไม่มีเทพเสือโคร่งศิลาดำ ข้าก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้"
หยางหลงเจ้าเมืองลั่วกล่าวกับเทพเสือโคร่งศิลาดำ "ข้าขอขอบคุณที่พี่ใหญ่ช่วยปกป้องบุตรแฝดทั้งสามของพวกเรา" ลู่กวางทองสนับสนุนคำกล่าวนี้ด้วยการพยักหน้าเร็ว ๆ ใช้สันมือปาดน้ำตาที่ไม่รู้จักแห้ง "ช่วยดูแลสกุลหยางในเมืองหลวง ทั้งสนับสนุนการทำงานประสานงานระหว่างเมืองลั่วกับเมืองหลวง"

เทพเสือโคร่งภูผามองมนุษย์ทั้งสองคนที่ออกหน้าปกป้องเทพเสือโคร่งศิลาดำ แล้วหันไปมองกวางทองที่ไม่ยอมหยุดร้องไห้แล้วก็ถอนหายใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เทพเสือโคร่งศิลาดำ และจิ้งจอกไฟทำลงไปล้วนทำให้โกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่จะให้อาละวาดต่อหน้ากวางทองนี่ทำไม่ได้จริง ๆ
โกรธที่ได้รู้ว่าต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดอยู่ข้างหน้านี้เอง
โกรธที่บุตรที่ไว้วางใจที่สุด กลับเลือกที่จะทำเรื่องราวมากมายเพื่อช่วยคนรัก
เพิ่งรู้ว่าเจ้านี่มันเจ้าเล่ห์มากขนาดนี้ หลอกลวงบิดามานานกว่ายี่สิบปี
...เดี๋ยวนะ...นี่มันนิสัยของข้านี่หว่า เฮ่ย...
ข้าก็มีความดีอยู่ไม่น้อย ทำไมลูก ๆ ไม่คิดจะจำไปใช้

เมื่อละสายตาจากเทพเสือโคร่งศิลาดำกับกวางทอง แล้วหันมามองนางเทพกวางสายลม กับนางเทพเสือโคร่งบงกช กลับไปที่เทพกวางสายฟ้าได้ผลสรุปตรงกับที่ใจคิด
ข้าเอง...ข้ารู้...เรื่องไม่ดีที่เขาทำลงไปทั้งหมดมีข้าเป็นต้นแบบ...

"เรื่องที่ศิลาดำทำหน้าที่ดูแลแม่เล็กตามคำสั่งข้า เรื่องที่ปกป้องหลานล้วนถือเป็นความดี ผลงานมากมายก็คือดีอย่างยิ่ง แต่ต้องแยกออกจากความผิดที่เขาปกปิดความผิดของจิ้งจอกไฟ สังหารคนที่หมู่บ้าน และชี้นำบงการฮ่องเต้"
"ท่านพ่อ"
นั่นไง ลางร้าย เอ้ย ไม่ใช่ สิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดเกิดขึ้นแล้ว...
เทพเสือโคร่งภูผากางมือ กำมือแล้วก็กางมือ จากนั้นก็กางมืออีกครา ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
"กวางทอง เจ้าช่วยคิดถึงกระเรียนโกเมน ฝูงจิ้งจอก แล้วก็ยังกระเรียนขาวอีกหลายตัวที่ต้องตายไปภายใต้เงื้อมมือของพรานเหล่านั้นได้หรือไม่ ยังมีคนที่หมู่บ้านอีก"
"แต่พี่ใหญ่จัดการพรานที่สลายร่างท่านโกเมนนะ" กวางทองโกรธแล้ว "ท่านยังต้องการอะไรอีก"
จิ้งจอกไฟจับมือสหายไว้ คำพูดขอบใจกลายเป็นน้ำตาที่เอ่อล้น
หยางหลงแตะไหล่กวางทองเบา ๆ แล้วหันมากล่าวกับเทพเสือโคร่งภูผา "จิ้งจอกไฟเจตนาล่อลวงกระเรียนสีแดงอ่อนแอออกไป เพื่อหวังความไว้วางใจจากพรานเหล่านั้น รอวันที่เขาแข็งแรงขึ้นก็จะลงมือแก้แค้น" จิ้งจอกไฟมองหน้าหยางหลงด้วยความประหลาดใจที่มนุษย์ผู้นี้ล่วงรู้แผนการในใจ
นางเทพเสือโคร่งบงกชรู้ทันเจตนาของหยางหลงและกวางทองที่พยายามจะบรรเทาโทษของจิ้งจอกไฟ จึงกล่าวขึ้น "กวางทองก็เหมือนกับกระเรียนสีแดงผู้นั้น เกิดมาอ่อนแอจะต้องถูกปล่อยไปให้ตายไปเองตามกฎของป่า กวางทองได้พลังชีวิตของท่านภูผา ส่วนเจ้าสีแดงก็อยู่ในการดูแลของท่านโกเมน เมื่อไม่มีท่านโกเมน สุดท้ายสีแดงก็ต้องตายไป"
"ขอรับ เมื่อทำผิดย่อมต้องชดใช้" เรื่องการเจรจาต่อรอง นับเป็นความถนัดของหยางหลง "แต่ตอนนี้มีเรื่องที่ควรจัดการก่อน เพราะผู้ที่เข้ามาล่ากระเรียนขาวยังอยู่ที่หมู่บ้านนายพราน"
เทพทั้งสี่ผุดลุกขึ้นทันที ส่วนกวางทองหันมาโวยวาย "ท่านพี่!"
หยางหลงยิ้มยอมรับผิด
เทพเสือโคร่งศิลาดำขยับตัวเพื่อขอกล่าวคำ "เรื่องนี้ข้าขอไว้เอง"
"ขอไว้เองหรือเป็นเจ้าวางแผนไว้" เทพเสือโคร่งภูผายังไม่หายโกรธบุตรผู้นี้
นี่เป็นทางเลือกสำรองเพื่อบรรเทาโทษชัด ๆ
"หามิได้ เรื่องในส่วนนี้ข้าเป็นคนวางแผน" เฉินอวี้กล่าวขึ้นบ้างพร้อมด้วยยิ้มงาม
"นี่มิใช่เรื่องเล่นนะ พวกเจ้าเล่นอะไรกัน" เทพกวางสายฟ้ากล่าวขึ้นเป็นคำแรก
หยางหลงก้าวออกมาเป็นตัวแทนของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา แต่ยังมิได้กล่าวอันใด กวางทองก็วิ่งไปอยู่ฝั่งเดียวกับเทพทั้งสี่ ทั้งหันมามองนกยูงทองกับกวางไพลินเพื่อบังคับให้เลือกฝั่ง
กวางไพลินค้อมศีรษะขอโทษบิดา มารดา แล้วเดินไปยืนอยู่ข้างจิ้งจอกไฟ จากนั้นนกยูงทองเดินไปยืนอยู่ข้างจิ้งจอกไฟเช่นกัน
"ข้ารู้เรื่องที่จิ้งจอกไฟสนทนากับกระเรียนสีแดง" ก่อนที่จะมีผู้ใดกล่าวคำออกมา นกยูงทองก็ชิงกล่าวต่อ "ลืมไปแล้วหรือไงว่าข้าก็เป็นหนึ่งในฝูงนกเหมือนกัน ข้ารู้ว่าพวกเขาชักชวนกันออกไปหาปลาสีเงิน แต่เจ้าสีแดงตัวเล็กนั่นเกิดไม่สบาย ท่านผู้เฒ่ากังวลว่าปลาที่จิ้งจอกไฟคาบกลับมาจะถูกกัดจนเละไปเสียก่อนก็เลยอาสาจะไปด้วย รู้ว่าจิ้งจอกไฟกำชับให้ท่านผู้เฒ่ารออยู่ฝั่งนี้ แต่จู่ ๆ ท่านผู้เฒ่าก็บินข้ามฝั่งไปหาจิ้งจอกไฟ แล้วก็ร้องตะโกนว่าให้รีบหนี จากนั้นก็มีแต่จิ้งจอกไฟที่หน้าตาตื่นกลับมา แล้วก็ไปหลบซ่อนอยู่ที่โพรงไม้นั่น ต่อมาเขาก็ไปขอให้พี่ใหญ่...เอ่อ ท่านศิลาดำมาช่วย"
เฉินอวี้หันมามองนกยูงทอง "เจ้าคือพยานปากเอกของเรื่องนี้เลยนะ"
"ก็ข้าไม่ได้คิดว่านี่จะเป็นเรื่องแก้แค้น หรือล่อลวง ถึงไม่ได้พูดออกไป"
"ทั้งที่หลายปีมานี้เจ้ากล่าวถึงเรื่องท่านโกเมนมากกว่าร้อยครั้งเลยนะ" กวางไพลินลืมตัวว่ากำลังยืนอยู่ฝั่งไหน
"ข้าเห็นว่าท่านเทพเสือโคร่งภูผาโกรธมากที่เกิดเรื่องกับท่านผู้เฒ่า หากบอกว่าจิ้งจอกไฟเกี่ยวข้อง แล้วสรุปว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญผู้ใดจะเชื่อ”
มีเสียงถอนหายใจหนัก ๆ จากคนตัวใหญ่ คิ้วหนาที่ยืดกอดอกอยู่รอบนอก
นกยูงทองลอบมองคนผู้นั้นด้วยการแสร้งยกมือขึ้นเกาขมับขวา "ถึงให้ข้ารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนแก้แค้นของจิ้งจอกไฟ ข้าก็ยิ่งไม่บอกกับท่านเทพทั้งสี่ เพราะเช่นนี้ข้าถึงเลือกมาอยู่ฝั่งนี้"
ขนาดบิดานกยูงทองลุกขึ้นยืนด้วยความโมโหบุตรชายที่ช่วยปิดบังเรื่องราว ยังไม่ทำให้นกยูงทองกังวลได้เท่ากับคนคิ้วเข้มผู้นั้น
เจ้านกยูงทองไม่สบสายตาผู้ใด พยักหน้าให้กวางไพลินกล่าวขึ้นบ้าง
"ข้าไม่ล่วงรู้แผนการอันใด รู้เพียงว่า จิ้งจอกไฟออกไปข้างนอกบ่อย ๆ เพื่อไปลอบมองมนุษย์ในหมู่บ้าน หลายครายังช่วยเหลือพวกสัตว์ป่าที่ถูกพรานตามล่า ขณะที่ท่านเทพเสือโคร่งศิลาดำ เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบ แล้วก็ทำหน้าที่ตามที่ท่านสั่งทุกอย่าง หากจะมีเรื่องที่เขาทำเพื่อตนเองบ้าง..."
"ด้วยการปิดบังความผิดของผู้ที่ล่อลวงท่านโกเมนออกไปให้พรานพวกนั้นสลายร่างน่ะหรือ" นางเทพกวางสายลมตั้งคำถาม
หยางหลงโต้แย้งขึ้น "แต่เท่าที่ฟังมาถึงตอนนี้ จิ้งจอกไฟมิได้ล่อลวงท่านโกเมนนะขอรับ เพราะกำชับให้ท่านอยู่ทางฝั่งนี้แล้ว"
กวางทองกระทืบเท้า "ทำไมท่านพี่ถึงเข้าข้างจิ้งจอกไฟกับพี่ใหญ่"
"เพราะพวกเรายังต้องการให้เขาไปจัดการเรื่องที่ค้างคาอยู่ให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะตัดสินโทษ"
กวางทองเอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง หันไปมองบิดา มารดาทั้งสี่แล้วค้อมศีรษะจากนั้นก็วิ่งมายืนข้างหยางหลง
"ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง"
เฉินอวี้กระแอม ขณะที่ก้าวไปยืนระหว่างสองฝ่าย
"ก่อนที่จะบอกว่า จะทำอย่างไรต่อไป ขอย้ำอีกครั้งว่า เทพเสือโคร่งศิลาดำกับจิ้งจอกไฟมิได้หนีความผิด และหลังจากเรื่องนี้ทั้งคู่จะยอมรับการลงโทษโดยมิต่อรอง"
เมื่อทั้งหมดพยักหน้าตอบรับ เฉินอวี้ก็บอกในสิ่งที่ทั้งคู่จะต้องไปจัดการ
แผนการของอดีตรองแม่ทัพมิได้ซับซ้อน แต่เพราะที่นี่มีลู่กวางทอง และนกยูงทองอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องราวจะจบลงอย่างรวบรัด
"ข้ามีคำถาม หลายข้อด้วย" กวางทองมีสีหน้าอยากรู้เรื่องราวอย่างยิ่ง
เทพเสือโคร่งภูผาถอนหายใจหนัก ๆ โบกมือให้ทั้งหมดขยับเข้ามานั่งลงพูดคุยกัน เพื่อลดความตึงเครียด
...มันก็ไม่เคยตึงเครียดหรือเป็นทางการได้เลยสักครา หากมีกวางทองกับนกยูงทองมาร่วมการพูดคุย
"ว่ามา"
"มันอาจไม่ต่อเนื่องกันนะ" กวางทองออกตัว ขณะที่หันไปทางหยางหลงก่อนเป็นคนแรก "ท่านพี่คุยกับแม่เล็กและพี่ใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่"
หยางหลงไม่คิดปิดบังเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ที่ไม่ได้เล่าให้ฟังมาก่อนหน้านี้ ก็เพราะเห็นว่าต้นเรื่องคือจิ้งจอกไฟ เทพเสือโคร่งศิลาดำ และเฉินอวี้ หากทั้งหมดมิได้เริ่มเปิดปากก่อน ตนก็ไม่ควรพูดถึง
"ตั้งแต่ตอนที่น้องเล่าเรื่องของจิ้งจอกไฟกับพี่ใหญ่ แล้วมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับคนในหมู่บ้านพราน ข้าถือว่านั่นเป็นส่วนที่ข้าต้องรับผิดชอบ จึงไปติดตามเรื่องราว"
เรื่องที่หยางหลงรู้จึงเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพรานรอบป่า และสามารถร้อยเรียงเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้นก็เมื่อได้ฟังคำสารภาพของเทพเสือโคร่งศิลาดำในวันนี้
เมื่อกวางทองหันไปมองจิ้งจอกไฟ หยางหลงก็กล่าวต่อ "คนในหมู่บ้านหลายคนเล่าตรงกันว่า อาต๋ารู้วิชาที่จะสลายร่างของกระเรียนไฟ"
จิ้งจอกไฟก้มหน้ามองมือตนเองที่มีหยดน้ำตาตกกระทบหลังมือ นกยูงทองผู้ที่กล่าวคำตำหนิอีกฝ่ายมาหลายพันหลายหมื่นคำโอบไหล่บางไว้เงียบ ๆ
"อาต๋าสลายร่างสัตว์เทพได้" กวางไพลินกล่าวขึ้น "ข้ายังคิดว่าคนที่ทำได้คือหัวหน้าหมู่บ้านของเขาเสียอีก"
"ในหมู่บ้านของอาต๋ามีพรานที่รู้วิชานี้หลายคน พี่ใหญ่ที่ปลอมตัวเป็นนักฆ่าของทางการจึงจัดการพวกเขา แต่เว้นไว้หนึ่งคน ก็คืออาเจี้ยน"
"อาเจี้ยนบุตรของอาต๋าน่ะหรือ" กวางทองถามซ้ำกับเทพเสือโคร่งศิลาดำที่พยักหน้า
หยางหลงกล่าวต่อ "อาต๋าคือผู้ที่ลงมือสลายร่างกระเรียนโกเมน และถูกพี่ใหญ่ปลอมเป็นนักฆ่าจากเมืองหลวงมาตามสังหาร"
เทพเสือโคร่งศิลาดำหลับตาลง "พวกเขาพ่อลูกคือคนที่จิ้งจอกไฟพึงพอใจ ข้าสังหารอาต๋าเพราะสิ่งที่เขาทำกับกระเรียนโกเมน แต่ไม่อาจสังหารอาเจี้ยนได้ จึงบอกให้ทั้งหมดออกไปจากหมู่บ้าน"

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เทพเสือโคร่งศิลาดำก็ยังคอยเฝ้าดูแลและปกป้องจิ้งจอกไฟมาตลอด

กวางทองปาดน้ำตาแล้วหันไปถามเฉินอวี้ต่อ "ขออภัยที่ต้องถามตามตรง เรื่องที่ชนเผ่านอกด่าน แม่เล็ก...สังหารทุกคนจริงหรือ"
เฉินอวี้พยักหน้า "เป็นพระบัญชา"
"ข้าเป็นผู้ให้คำแนะนำนั้นกับฮ่องเต้" เทพเสือโคร่งศิลาดำขัดขึ้นมา ที่จริงหากเขาจะนิ่งเฉยโยนให้ฮ่องเต้รับไปเสียก็ได้ แต่นั่นมิใช่นิสัย "ข้ารอโอกาสที่จะจัดการกับคนในชนเผ่าที่เป็นผู้ว่าจ้างให้ล่าฝูงจิ้งจอกมานาน จนมาถึงวันที่แม่เล็กใกล้หมดกำลังใจ ข้าจึงเสนอเรื่องนี้"
"พี่ใหญ่" กวางทองเขย่าแขนของเทพเสือโคร่งศิลาดำ "พวกเขาล่าจิ้งจอกเพื่อกระดูกและหนังที่ให้ความอบอุ่น แต่การตอบโต้ด้วยการสังหารผู้คนทั้งเผ่านั่นมันเกินไปแล้ว" กวางทองกล่าวคำไปน้ำตาก็ไหลอีกครา "จิ้งจอกไฟได้ครอบครัวกลับคืนมาหรือ ท่านกระเรียนโกเมนจะกลับมาหรือ สามารถหยุดการไล่ล่าได้หรือ พี่ใหญ่ท่านคิดอะไรอยู่"
เทพเสือโคร่งศิลาดำก้มหน้านิ่งเงียบ เฉินอวี้จึงยื่นมือเข้ามาช่วย
"ถึงจะเป็นพระบัญชา แต่ข้าก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าจะไว้ชีวิตใครหรือไม่ แต่ในตอนนั้นมันเป็นความรู้สึกเหมือน...ข้าจะเป็นคนเลวได้ขนาดไหน พอรู้ตัว ข้าก็กลายเป็นคนเลวที่สามารถลงมือกับสตรีและเด็กเล็ก"
กวางทองหันมาโผกอดแม่เล็กไว้แน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็กน้อย
หยางหลงลูบหลังของกวางทอง "ทราบมาว่า หลังจากที่อาเจี้ยนออกจากเมืองลั่วก็ย้ายไปอยู่เมืองเหอ ต่อมาเขารับงานจากเจ้าเมืองเหอ จึงกลับมาที่ป่าสีทองเพื่อจับกระเรียนคู่นั้น"
"แล้วเขาเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร" กวางทองถามขึ้น ปาดน้ำตาอีกครั้ง
"เรื่องนี้ข้าไม่รู้ น้องรองเห็นว่าเขากลับมาแล้ว จึงไปแจ้งให้ข้ารู้ พวกเราก็เลยรีบมาพบกับท่านศิลาดำ"
"กลัวว่าข้าจะลงมือก่อนที่จะได้ซักถามเขาหรือ" เทพเสือโคร่งศิลาดำหันไปมองหยางเฉิง ที่ยอมรับว่าคิดเช่นนั้นจริง "ที่จริงข้าตั้งใจจะมาสารภาพ จากนั้นจึงจะไปลงมือ"
กวางทองมองหน้าพี่ใหญ่ของตนเอง จากนั้นก็หันไปหาสหายทั้งสอง "พี่ใหญ่ของข้านี่สุดยอดไปเลย พวกเจ้าเห็นด้วยไหม"
"กวางทอง" กวางไพลินหันมาตีไหล่น้องชายเบา ๆ "เรากำลังพูดถึงเรื่องการฆ่าผู้อื่นอยู่นะ"
กวางทองทำปากยื่นลูบไหล่ที่ถูกตี แล้วหันไปพยักหน้ากับสหาย
"เมืองลั่วไม่มีกฎหมายเอาผิดต่ออาเจี้ยนหรือ"
"เขาล่าสัตว์ ไม่ได้ฆ่าคน เราไม่มีกฎหมายห้ามล่าสัตว์เทพ และสัตว์ป่า" หยางหลงเจ้าเมืองลั่วตอบทันที
สามสหายหันไปมองหน้ากัน
"เช่นนั้น..."  เฉินอวี้อ้าปากกล่าวคำ แต่เทพเสือโคร่งภูผารีบห้ามไว้ก่อน คนงามส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวต่อ "ผู้ที่ลงมือเรื่องนี้ไม่ควรเป็นข้าหรือท่านเจ้าเมือง ดังนั้นท่านก็อย่าได้ร้อนใจไป"
ผู้ที่ผูกความแค้น ย่อมต้องเป็นผู้ลงมือ
"ถูกต้อง" เทพเสือโคร่งภูผารับคำทันที
กวางทองกับนกยูงทองหันมามองหน้ากัน พยักหน้าให้กันหนึ่งครา แล้วหันมาเท้าคางมองหน้าเสือโคร่งภูผา ทำหน้าตาล้อเลียนผู้ที่สัตว์ทั้งป่าเกรงกลัว
...ยกเว้นคนกับสัตว์เทพแถว ๆ นี้...

การจัดการกับอาเจี้ยนมิได้ยุ่งยากซับซ้อนอันใด เพียงแต่ต้องรอโอกาสที่คนผู้นี้อยู่ตามลำพัง และจิ้งจอกไฟพบโอกาสนั้นในบ่ายวันหนึ่ง
วันเวลาผันผ่านเพียงไม่กี่ปี อาเจี้ยนกลายเป็นชายผู้มีเส้นผมบาง รูปร่างหนา ดวงตากลายเป็นสีน้ำตาล แทบไม่เหลือเค้าของหนุ่มน้อยผู้เป็นมิตรที่เคยพบกัน
"ฮัว"
"ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ากลับมา" จิ้งจอกไฟคลี่ยิ้มงาม ท่าทางยินดีที่ได้พบกันอีกครั้ง แต่ไม่วายที่จะเหลียวมองซ้ายขวา "มีใครอยู่กับเจ้าหรือไม่"
"ไม่มีหรอก"
"เจ้า ไม่มีครอบครัวหรือ"
อาเจี้ยนพยักหน้า 
"พวกเขาไม่ได้ติดตามข้ากลับมา"
"อ้อ..." ดวงตาเรียวยาวหม่นหมองลง "เช่นนั้น..."
"เจ้าดูไม่สบายใจ"
ดวงตางามมองไปรอบ ๆ อีกครา "ข้าอยากพบเจ้า แต่ที่นี่ทำให้ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายใจสักเท่าใด"
อาเจี้ยนพยักหน้าแล้วนัดว่าจะออกไปหาที่ลำธารที่จิ้งจอกไฟพักอยู่ "เจ้ายังอยู่ที่นั่นหรือไม่"
"ข้าจะไปอยู่ที่ใดได้อีก"
"เช่นนั้น พรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปหาเจ้าเอง"

เมื่อตะวันพ้นยอดไม้ อาเจี้ยนก็มาถึงลำธารที่เคยเป็นที่อยู่ของจิ้งจอกไฟ แต่นอกจากอาเจี้ยนแล้ว ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ล้อมเข้ามาหาช้า ๆ
บิดาอย่างไรบุตรก็อย่างนั้น
กำจัดคนนี้เสร็จสิ้น ก็ยังมีคนถัดไปที่รอจังหวะลงมือ
จิ้งจอกไฟก้าวออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ใหญ่
ดวงตายาวเรียว รอยยิ้ม วงหน้าล้วนงดงาม เส้นผมสีแดงเพลิงส่งประกาย สะกดสายตาและลมหายใจของผู้พบเห็น
เพียงแต่...
"ดีใจจริงที่เจ้ามา" จิ้งจอกไฟทักขึ้นก่อน
ข้าดีใจมากจริง ๆ
"ก่อนหน้านี้ข้าเคยมาหาเจ้าที่นี่ แต่ไม่พบ"
"นานหรือยัง" คิ้วงามยกขึ้นสูง เกี่ยวม้วนปลายผมด้วยท่าทีครุ่นคิด "อาจเป็นช่วงที่ข้าต้องไปบำเพ็ญฌาน"
จิ้งจอกไฟไม่เคยบำเพ็ญฌาน
"อาจเป็นไปได้ เพราะตอนนั้น..." อาเจี้ยนกล่าวคำที่ไม่ควรกล่าวออกไปแล้ว
"ตอนนั้นทำไมหรือ เป็นตอนที่เจ้ากลับมาครั้งแรกในรอบหลายปีใช่หรือไม่"
อาเจี้ยนยอมรับ
จิ้งจอกไฟชวนให้อาเจี้ยนนั่งลงคุยกัน
"จากที่พบกับเจ้าคราแรก ดูเจ้าก็ไม่ได้สนใจเรื่องล่าสัตว์ แต่เมื่อมาพบกันอีกทีเจ้าก็กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มพราน นับเป็นความก้าวหน้าที่น่าชื่นชม"
อาเจี้ยนหลบสายตาไปทางอื่น "ก็ไม่ถึงกับเป็นหัวหน้าหรอก"
จิ้งจอกไฟรับฟัง แต่ไม่ได้เร่งให้กล่าวคำออกมา
"ฮัว เรื่องกระเรียนสีแดงเมื่อหลายปีก่อน ท่านพ่อบอกว่า นั่นมิใช่กระเรียนทั่วไป แต่เขาเป็นกระเรียนที่มีพลังพิเศษ และต้องใช้วิชาเฉพาะเพื่อสลายร่าง แต่ต่อมามีคนบุกเข้ามาสังหารท่านพ่อกับพรานหลายคน ข้าสงสัยมาตลอดว่า ผู้ที่ลงมือคือใคร หลายคนพูดกันว่า เขาเป็นนักฆ่าจากทางการ"
ดวงตางดงามใสซื่อดูประหลาดใจ "ข้อสงสัยของเจ้าคืออะไรหรือ"
"น้ำเสียงของเขา ตอนที่บอกให้พวกเรารีบหนีไป มันฟังดูแปลก ๆ ข้าสังเกตว่ามันต่างจากทหารของเมืองเหอ และไม่เหมือนคนจากเมืองหลวง"
คนงามมีสีหน้าท่าทางเสียใจที่ไม่อาจให้ความช่วยเหลือได้ “ข้าไม่เคยออกจากป่าสีทอง ต้องขออภัยที่ไม่อาจช่วยเจ้าเรื่องนี้ได้” จากนั้นก็ไต่ถามไปถึงเรื่องที่เมืองเหอ
"ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง มีป่ากว้างอย่างเมืองลั่วหรือไม่”
"ป่าเมืองเหอไม่ได้กว้างขวางอย่างที่นี่ แต่ข้าได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากที่นั่น รวมถึงเจ้าเมืองเหอ..." อาเจี้ยนหลุดคำกล่าวเป็นครั้งที่สอง
"เจ้าเมืองเหอ...อย่างไร"
"เขารู้เรื่องสูตรยาสกุลหนานกง ซึ่งมีกระเรียนสีแดงเป็นส่วนผสม แม้ยานั้นจะไม่สามารถรักษาฮ่องเต้องค์ก่อนได้ แต่เพราะกระเรียนคือสัญลักษณ์ของความมีอายุยืนยาว พวกเขาจึงยังคงต้องการนำกระเรียนจากป่าสีทองไปเป็นส่วนผสมของตัวยา"
"เขาให้เจ้าล่ากระเรียนอีกหรือ" ดวงตางามเบิกกว้าง "หรือกระเรียนขาวสองตัวนั้น แล้วผู้ใดช่วยพากระเรียนออกมาให้เจ้า"
ชายหนุ่มปฏิเสธ "ไม่ได้มีใครพาออกมาหรอก ข้าเข้าไปเองต่างหาก"
"เข้าไปเองหรือ"
"มนุษย์อย่างเราเข้าไปไม่ได้ก็จริง แต่เมื่อพวกเจ้าเข้าออกได้ง่ายดาย ข้าจึงใช้เลือดสัตว์ป่าทาตัวแล้วเข้าไปล่ากระเรียน"
การผนึกป่าสีทองที่ต้องใช้พลังฌานแก่กล้าของเทพกวางทั้งสอง กลับเกิดช่องว่างด้วยเล่ห์กล แล้วยังมีมนุษย์ผู้อื่นรู้วิธีนี้ด้วยหรือไม่
"ฮัว ข้าก็ไม่ได้อยากทำเช่นนั้น หลังจากที่เอากระเรียนขาวไปมอบให้พวกเขาแล้ว ข้าก็ยังต้องออกไปนอกด่านอีกหลายเดือน"
"เพราะเจ้ากลัวคนเมืองเหอตามปิดปากเจ้าเหมือนกับที่อาต๋าถูกทหารจากวังหลวงฆ่าปิดปาก"
จิ้งจอกไฟสมควรทำตัวใสซื่อไร้เดียงสาอีกสักครู่ แต่เมื่อคิดถึงความสูญเสีย ที่เป็นการเสียเปล่าเช่นนี้ ทำให้รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
"แล้วคราวนี้ ที่กลับมาเพราะต้องการอะไร คนที่อยู่ข้างนอกด่านพวกนั้นต้องการอะไร หนังจิ้งจอกไฟสักผืนเช่นนั้นหรือ"
ประโยครู้ทันของจิ้งจอกไฟทำให้อาเจี้ยนหันไปมองหาสหายที่นัดกันหมายกันไว้ แต่เมื่อยังไม่เห็นว่ามีผู้ใดมาถึง จึงสงสัยว่าอาจมีบางสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น
"ข้าเป็นแค่พราน หากไม่ล่า จะให้ไปทำอันใด"
"นั่นสินะ...รู้ไหมว่าจิ้งจอกก็เป็นนักล่าเช่นกัน"
คำกล่าวของจิ้งจอกไฟขัดแย้งกับสีหน้าที่เป็นไปด้วยความเศร้าเสียใจท่วมท้น
"แต่พวกเราเพื่อเป็นอาหาร มิได้ล่าเพื่อรางวัล"
"ฮัว ข้าเสียใจ แต่สัญญาว่าจะไม่ทำให้เจ้าต้องเจ็บปวด"
อาเจี้ยนหยิบมีดยาวออกจากเอว
มีดที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดนี้ส่งสัญญาณการฆ่าฟันมาจากระยะไกล จิ้งจอกไฟปรายตามองมีดที่น่ารังเกียจ

ได้ยินเสียงเสียงฝีเท้าเร่งรีบจากฝั่งตรงข้ามของลำธาร เมื่ออาเจี้่ยนหันไปมองเห็นว่าสหายหลายคนถูกเสือโคร่งตัวใหญ่หลายตัวต้อนเข้ามาอยู่ฝั่งตรงข้าม จึงได้ยินทุกถ้อยคำของจิ้งจอกไฟ

"เทพเสือโคร่งภูผามักกล่าวเสมอว่า การล่าเพื่อยังประโยชน์ไม่ว่าจะเพื่อเป็นอาหาร หรือความอบอุ่นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ พวกเราจึงขอบใจปลาทุกตัวที่เรากินเพื่อยังชีวิต แต่การล่าเพื่อเป็นของประดับฝาผนัง เพื่อเป็นเถ้าถ่านสูญเปล่านี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้"
"เพราะเจ้าเห็นว่าข้ามักอยู่ตัวเดียว ไม่ได้แปลว่าข้าจะโดดเดี่ยว ที่ไม่เห็นว่าลงมือต่อผู้ใด ไม่ได้แปลว่าไม่รู้วิธีการ"
จิ้งจอกไฟเปลี่ยนร่างจากหนุ่มรูปงามเป็นจิ้งจอกไฟงดงามต่อหน้า
ขนสีแดงงดงามดั่งเปลวเพลิง
สัตว์ป่าร่างกายปราดเปรียวยกขาเตะมีดในมือร่วงหล่นอย่างง่ายดาย จากนั้นถีบจนหงายหลังลง แล้วเหยียบไหล่ไว้
ดวงตางดงามหันไปจับจ้องมองบรรดาสหายของอาเจี้ยน แล้วหันกลับมางับเข้าที่ลำคอหนา
หยาดเลือดไหลรินลงสู่ลำธาร....

...จบบทที่สามสิบเก้า...
ตอนหน้าจบแล้วนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 31-10-2018 00:12:13
ไม่รู้ว่าจะสงสารพ่อเสือโคร่งภูผาหรือยังไงดี  :katai2-1:

ไม่อยากให้จบเลย แต่ก็อยากอ่านต่อแล้ว :katai5:

งั้นขอตอนพิเศษนะ  :mew2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 31-10-2018 02:13:55
ถึงทำแบบนี้ก็ลบล้างความผิดไม่ได้หรอกนะ  :m16:
ที่รอดก็เพราะกวางทองหรอก  :angry2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 31-10-2018 11:31:37
เจ้ากวางทองเอ้ย 5555555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 31-10-2018 12:30:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 31-10-2018 14:09:46
เรื่องราวล้วนสลับซับซ้อน มีเงื่อนงำ
ต้องตั้งใจอ่านอย่างมาก

 ทุกคนล้วนมีแผนการอยู่ในใจ
ยกเว้น กวางทอง และนกยูงทอง

ก็ยังคงสงสารเทพเสือโคร่งศิลาดำ ผู้โง่งมอยู่นะ

ไม่อยากให้จบเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 31-10-2018 15:14:52

 o13 โอ้ยยยยย ตอนนี้ขอโฟกัสที่กวางทอง จะผิดไหม

นิสัยกวางทองของเราเหมือนยังไม่โตเลยนะเอาจริง วิ่งไปเลือกทางนั้นหันมาอยู่ทางนี้ แต่ทำไมเราว่าน่ารักอ่ะ
มันมีความขำปนเอ็นดูจริงๆ หลงรักอีกรอบแล้ว 555555555


จะจบแล้วเหรอจริงๆน่ะ   :ling1:  :ling1:  ได้แต่แอบลุ้นว่าจะมีตอนพิเศษมาเรื่อยๆ




หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-10-2018 17:41:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 31-10-2018 20:43:58
เจ้าเล่ห์อย่างโง่งม
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 02-11-2018 16:10:51

....มาลุ้นตอนจบ ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป.....



แต่ ยังไม่อยากให้จบจริงๆ นะ 55555555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 03-11-2018 01:05:59
ชอบเรื่องพ่อเสือโคร่งกับแม่เล็ก  ยังชอบอิตาฮ่องเต้ที่รักและร้ายแบบสุดด้วย
นกยูงกับหยางเฉิงถึงมีไม่กี่บท แต่ก็เป็นคู่ที่น่าอ่านรองลงมา

ส่วนจิ้งจอกไฟ
ถึงจะมีตัวช่วยมากลบเกลื่อนเรื่องเยอะแยะหลายคน ไม่ว่าจะเป็นพี่ศิลาดำหรือแม่เล็กที่สังหารหมู่บ้านพรานและชนเผ่าที่บงการพราน แต่นั่นคือการแก้แค้นข้ามเผ่า/พันธ์ุ ถึงแม่เล็กหรือศิลาดำไม่ทำ  ฮ่องเต้ก็ต้องสั่งฆ่าอยู่ดีเพราะเข้าร่วมเข้ากับสกุลเหอที่อาจเป็นภัยต่อฮ่องเต้.... นี่เป็นเรื่องของคนที่เกลียดชังกัน

แต่ความผิดของจิ้งจอกไฟ  คือ ล่อลวงพวกเดียวกัน  ที่สำคัญ คือลวงผู้มีพระคุณเทียบเท่าอาจารย์ ออกไปเป็นเหยื่อล่อพราน... ทำให้ชีวิตอาจารย์อยู่ในอันตราย รู้ทั้งรู้ว่าพวกนั้นรู้วิธีจับและสลายสัตว์เทพ
และยิ่งคิดว่า ถ้าวันนั้นเป็นกระเรียนแดงตัวเด็กที่อ่อนแอเหมือนกวางทอง ออกไปแทนท่านโกเมน กระเรียนแดงเด็กคงถูกไล่ฆ่า  ไม่ต่างไปจากตอนที่พี่น้องของจิ้งจอกไฟถูกฆ่าในบทแรกๆ(ยิ่งอ่านยิ่งอยากให้จิ้งจอกไฟเปลี่ยนเป็นตัวเงินตัวทอง)
ยิ่งไม่เห็นการสำนึกผิดของจิ้งจอกไฟ  ยิ่งรู้สึกไม่ดีกับตัวละครนี้  เป็นตัวละครที่โง่แล้วอวดฉลาด
ความแค้นของจิ้งจอกไฟ  นำไปสู่การสังหารหมู่หมู่บ้านพราน

และถ้า ไม่มีข้ออ้างว่าอาต๋าเป็นผู้สลายร่างท่านโกเมน  เชื่อว่าจิ้งจอกไฟตัวนี้ ก็ยังคงชอบอาต๋าและลูกแบบไม่ลืมหูลืมตา  ทั้งที่สองคนนี้อยู่ในกลุ่มพวกล่าสัตว์และคนหนึ่งก็ล่าฝูงของตัวเอง
และยิ่งคิดว่า  ที่จิ้งจอกไฟมาได้กับศิลาดำ  คงเพราะอาต๋าไม่ได้ชอบจิ้งจอก
ถ้าอาต๋าชอบจิ้งจอกไฟ  รับรองคงไม่เหลือซิงมาถึงพี่เสือดำแน่
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 06-11-2018 16:45:22

เป็นตัวละครที่โง่แล้วอวดฉลาด


ชอบคำพูดแทนใจนี้จริงๆ ค่ะ  :katai2-1:

แต่จริงๆ เราคิดว่าความแค้นของจิ้งจอกมันมากมายแหล่ะ ฝังใจว่าครอบครัวถูกฆ่าอาจอยากจะฆ่าให้หมดทุกคนตั้งแต่แรก
แต่ตอนนั้นยังเด็กยังไม่มีความสามารถ
ยิ่งพอเรื่องมันกลายเป็นว่าตัวจิ้งจอกเองดันได้กลายไปอยู่กับสัตว์เทพซึ่งมีแต่ความเก่ง คราวนี้สถานะตัวเองเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางจะร้ายให้สุดก็ทำไม่ได้ จะดีให้สุดก็ไม่ใช่ตัวเองอีก เลยกลายเป็นตัวที่ทำแต่เรื่องโง่งมไป
นี่เลยไม่รู้จะให้คะแนนความสงสารหรืออะไรดีเหมือนกัน  :mew2:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 06-11-2018 22:32:07

เป็นตัวละครที่โง่แล้วอวดฉลาด

ชอบคำพูดแทนใจนี้จริงๆ ค่ะ  :katai2-1:

แต่จริงๆ เราคิดว่าความแค้นของจิ้งจอกมันมากมายแหล่ะ ฝังใจว่าครอบครัวถูกฆ่าอาจอยากจะฆ่าให้หมดทุกคนตั้งแต่แรก
แต่ตอนนั้นยังเด็กยังไม่มีความสามารถ
ยิ่งพอเรื่องมันกลายเป็นว่าตัวจิ้งจอกเองดันได้กลายไปอยู่กับสัตว์เทพซึ่งมีแต่ความเก่ง คราวนี้สถานะตัวเองเหมือนอยู่ผิดที่ผิดทางจะร้ายให้สุดก็ทำไม่ได้ จะดีให้สุดก็ไม่ใช่ตัวเองอีก เลยกลายเป็นตัวที่ทำแต่เรื่องโง่งมไป
นี่เลยไม่รู้จะให้คะแนนความสงสารหรืออะไรดีเหมือนกัน  :mew2:   


ก็น่าสงสารอยู่นะคะ ยิ่งเวลาเจอแม่สามี ถูกแม่สามีไล่ยิ่งน่าสงสาร บรรยายเห็นภาพหัวหดคอตกมาก ใช้ชีวิตลำพังในเขตนอก  ที่จริงจะว่าโง่แล้วอวดฉลาดก็ไม่เชิง  เหมือนคนปัญญาน้อยที่ทำอะไรแล้วไม่รู้ว่าจะเกิดอันตรายใหญ่หลวง ตอนท่านโกเมนถูกจับจิ้งจอกไฟก็น่าสงสารอยู่ เหมือนกลัวจนทำอะไรไม่ถูกต้องไปหลบในโพรง
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 07-11-2018 06:57:17
ยังไม่มาอีกหรอ  :mew2:

ปล.แต่เรากลับไม่รู้สึกว่าจิ้งจอกไฟชอบอาต๋านะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่39 P39(301061)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 07-11-2018 11:19:07
ก็น่าสงสารอยู่นะคะ ยิ่งเวลาเจอแม่สามี ถูกแม่สามีไล่ยิ่งน่าสงสาร บรรยายเห็นภาพหัวหดคอตกมาก ใช้ชีวิตลำพังในเขตนอก  ที่จริงจะว่าโง่แล้วอวดฉลาดก็ไม่เชิง  เหมือนคนปัญญาน้อยที่ทำอะไรแล้วไม่รู้ว่าจะเกิดอันตรายใหญ่หลวง ตอนท่านโกเมนถูกจับจิ้งจอกไฟก็น่าสงสารอยู่ เหมือนกลัวจนทำอะไรไม่ถูกต้องไปหลบในโพรง

ตอนน่าสงสารก็สงสารจริงค่ะ คือเป็นอะไรที่เหมือนจะคล้ายกับว่าทำอะไรไปก็ผิดพลาดไปหมดหากออกไปจากเซฟโซนที่พี่เสือดำอยู่ ว่าไปแล้วทั้งหมดความผิดนี่คิดว่าพี่เสือดำเราอ่ะแหล่ะที่ควรโดนหนักที่สุด
ความเหตุและผลใช้อะไรไม่ได้เล้ยยยหากพี่ดำคิดว่ามีผลกระทบกับจิ้งจอกต้องหาทางเลี่ยงไว้ให้ตลอด
ดูแล้วพี่ดำเราคอยปกป้องจิ้งจอกแบบผิดๆมาตลอด

ว่าแล้วก็อยากอ่านตอนจบแล้วจ้า

 :mew1:




หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-11-2018 19:36:58
ภาคจิ้งจอกไฟ
บทที่สี่สิบ (ตอนจบ)


บึงน้ำของกระเรียนโกเมนในป่าสีทองแห่งเมืองลั่วช่างเงียบสงบ แม้จะมีฝูงกระเรียนมากกว่าสิบตัวพักผ่อนอยู่โดยรอบ ร่วมด้วยสัตว์น้อยใหญ่ที่ทยอยเดินทางมาถึง
และก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เทพเสือโคร่งศิลาดำ และจิ้งจอกไฟมารอเทพทั้งสี่ตั้งแต่เช้า
แต่ในวันนี้กวางทองพาหยางหลงเจ้าเมืองลั่วมาส่งไว้ที่นี่ แล้วบอกว่าจะกลับไปหาแม่เล็กเฉินอวี้กับท่านรองหยางเฉิงที่รออยู่ด้านนอกของป่า
“ทำไมให้พวกเขารอไกลขนาดนั้น” จิ้งจอกไฟเกรงใจ โดยเฉพาะเฉินอวี้
ผู้ที่อาสาจะไปรับกลับโบกมือ “เช่นนั้นพวกเราจะค่อย ๆ เดินช้า ๆ เข้ามาแล้วกัน”
จิ้งจอกไฟเอียงคอด้วยความสงสัย แต่เมื่อหันไปเห็นว่าหยางหลงเจ้าเมืองลั่วไม่มีท่าทีร้อนใจอันใด ก็หันไปเลิกคิ้วสูงกับเทพเสือโคร่งศิลาดำ   
"แม่กวางบอกว่าคราวก่อนนี้ข้าทำให้เรื่องจริงจังกลายเป็นเรื่องตลก และทำให้เสียเวลา คราวนี้ข้าก็เลยจะพาแม่เล็กกับท่านเฉิงไปเดินเล่นในระหว่างรอ อย่าได้กังวลไปเลย”
จิ้งจอกไฟกอดสหายไว้ “ข้าทำให้เจ้าถูกตำหนิอีกแล้ว ขอโทษจริง ๆ นะ”
“เป็นสหายกันมาตลอดชีวิต เจ้าสมควรรู้ ว่าข้าพอใจที่จะทำเช่นนี้”

...ทำทีว่าไม่รู้ แต่แท้จริงกลับรู้ทุกอย่างอยู่แก่ใจ ไม่ว่ามนุษย์ สัตว์เทพ หรือสัตว์ป่าล้วนต้องมีความลับที่ไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ด้วยกันทั้งสิ้น...
จิ้งจอกไฟซึ่งมาจากป่าด้านนอก ทำผิดต่อพี่ใหญ่ของตนเองด้วยการไปหามนุษย์ แต่พี่ใหญ่กลับพามาฝากให้ช่วยดูแล และคอยดูแลอยู่ห่าง ๆ
…เหตุใดพวกเขาจึงเลือกที่จะทำเช่นนั้น...
จิ้งจอกไฟทำผิดต่อพี่ใหญ่จริงหรือ
มิใช่เลย
เขาคือจิ้งจอกไฟผู้มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว มารยาร้อยแปด
แต่เพราะเขาคือจิ้งจอก และจิ้งจอกก็เป็นสุนัข
ความซื่อสัตย์ต่อพี่ใหญ่แสดงออกด้วยความต้องการของร่างกาย ความเชื่อฟัง
แต่ความแค้นที่ฝังลึก ทำให้เขาไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ในป่าสีทอง
ทั้งกวางทอง นกยูงทอง กวางไพลิน ต่างก็รู้ว่าเทพเสือโคร่งศิลาดำย่อมรู้ความเป็นจิ้งจอกไฟดีกว่าผู้ใด
ก็ขนาดเทพเสือโคร่งศิลาแดงยังรู้ทันความคิดของจิ้งจอกไฟมาตั้งแต่แรก จนเกือบให้คำแนะนำที่ทำให้เรื่องราวบานปลาย
สมควรกล่าวว่าโชคดีที่เขาบำเพ็ญฌานในช่วงเวลาวิกฤติเหล่านั้น
ทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้เวลา....
หลังจากที่กวางทองกลับออกไปได้นานกว่าหนึ่งชั่วยาม แล้วเทพทั้งสี่ยังไม่ออกมา ก็เริ่มมีผู้แสดงความกังวลว่า นี่อาจเป็นอีกวันที่เจ้าเมืองจะได้มาพักผ่อนที่ป่าสีทอง เพราะเทพทั้งสี่อาจยังไม่ได้ข้อสรุป แต่หยางหลงมิได้เป็นกังวล
เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม เทพทั้งสี่จึงกลับมาพร้อมกับหัวหน้าฝูงกระเรียนแห่งป่าสีทอง และกลุ่มเทพผู้อาวุโส รั้งท้ายด้วยกวางไพลิน
นางเทพกวางสายลมซึ่งมีอาวุโสน้อยที่สุดในกลุ่มเป็นผู้กล่าวกับหยางหลงเจ้าเมืองลั่วก่อน "ขออภัยที่ให้รอนาน การลงโทษศิลาดำและจิ้งจอกไฟไม่อาจตัดสินได้โดยง่าย"
การพิจารณาโทษนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อห้าวันก่อน แต่ไม่สามารถได้ข้อสรุป เนื่องจากความเห็นของเทพทั้งสี่ที่แตกออกไปสี่ทาง ขณะที่กลุ่มผู้อาวุโสเองก็ไม่สามารถลงความเห็นได้
แน่นอนว่าทั้งหมดไม่พอใจการกระทำของเทพเสือโคร่งศิลาดำกับจิ้งจอกไฟ รวมถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน
แต่ในส่วนของเทพกวางสายฟ้าเอง เห็นว่าตนเองมีส่วนผิดในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เพราะทราบนิสัยอารีของกระเรียนโกเมนเป็นอย่างดี ทั้งยังเคยฝากฝังให้กระเรียนโกเมนช่วยดูแลกวางไพลิน และจิ้งจอกไฟ ประกอบกับการที่กระเรียนสีแดงที่ดูแลอยู่ไม่สบาย การที่กระเรียนโกเมนจะอาสาออกไปแทนจึงเป็นเรื่องที่สามารถคาดเดาได้ แต่ในความเห็นของเทพกวางสายฟ้า เรื่องนี้ผิดที่จิ้งจอกไฟ ที่เจตนาล่อลวงกระเรียนสีแดงออกไปให้พรานล่า จึงสมควรลงโทษในส่วนนั้น ที่เหลือคือความสูญเสียที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน
แต่นางเทพเสือโคร่งบงกชโต้แย้งว่า จิ้งจอกไฟทราบมาตั้งแต่ต้นว่า มีพรานป่ารออยู่ เขามีทางเลือกมากมายที่จะหยุดความสูญเสีย อย่างง่ายที่สุดก็คือทำทีมาเยี่ยมเยียนเจ้ากระเรียนสีแดง รอให้แข็งแรงแล้วค่อยออกไปเที่ยวเล่นด้วยกัน แต่นี่เขากลับยังคงพากระเรียนโกเมนออกไป ดังนั้นจึงสมควรลงโทษจิ้งจอกไฟเทียบท่ากับการฆ่ากระเรียนโกเมน และกระเรียนน้อยสีแดง
ขณะที่เทพเสือโคร่งภูผา ยืนยันหนักแน่นว่าสมควรลงโทษเสือโคร่งศิลาดำผู้เป็นบุตรชายให้หนัก เพราะเจตนาบิดเบือนเรื่องราวไปไกล จนทำให้ผู้คนและสัตว์เทพต้องสูญเสียชีวิต
ขณะที่ฝั่งของผู้นำฝูงกระเรียนกลับร้องขอว่า อย่าได้ใช้ชีวิตแลกชีวิต “พวกเราสูญเสียกระเรียนโกเมน กระเรียนสีแดงตัวน้อย รวมถึงกระเรียนขาวอีกสอง แม้จะเป็นความสูญเสียที่หนักหนาอย่างยิ่ง แต่ก็ขอว่าอย่าถึงกับต้องสูญเสียอีกสองชีวิตคือหนึ่งเทพเสือโคร่งศิลาดำกับสองคือจิ้งจอกไฟ”
เป็นการพิจารณาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งจนเทพผู้อาวุโสแนะนำให้เลื่อนการตัดสินออกไป เทพเสือโคร่งศิลาดำทราบสาเหตุของความเห็นขัดแย้งจึงกล่าวกับเทพทั้งสี่ว่า ตนยอมรับว่าความผิดที่ทำลงไปนั้นมีความรุนแรงอย่างยิ่ง และอย่าได้นำผลงานที่ผ่านมา มาบรรเทาบทลงโทษ
เทพเสือโคร่งภูผากระแทกเสียงในลำคอ แล้วพาลไม่พูดกับผู้ใดจนข้ามวัน
เรื่องราวก็เป็นดั่งนี้ จนถึงวันที่เทพผู้อาวุโสกำหนดว่าจะต้องได้ข้อสรุปไม่อาจยืดเยื้อออกไปได้อีกแล้ว
แต่บทลงโทษที่ออกมาทำให้เทพเสือโคร่งภูผาโกรธหนักกว่าเดิม ถึงขั้นที่เกี่ยงให้เทพกวางสายฟ้าเป็นผู้ประกาศคำตัดสิน

"เนื่องจากจิ้งจอกไฟได้แสดงตนว่าเป็นผู้พิทักษ์ป่าทางฝั่งที่ติดกับหมู่บ้านพรานมานานหลายปี เราจึงให้จิ้งจอกไฟไปทำหน้าที่คอยจับตาทางฝั่งนั้น หากในช่วงห้าสิบปีนี้ไม่มีเหตุพรานลักลอบเข้ามา พวกเราจะพิจารณาอีกครั้งว่าจะมีความเห็นอย่างไรต่อไป แต่หากมีการลักลอบเข้ามาอีก เราจะถือว่าเจ้าสมคบกับมนุษย์ลงมือก่อเหตุ ส่วนเทพเสือโคร่งศิลาดำให้ไปอยู่ในป่าทางใต้ห้าสิบปี แต่ให้กลับมารายงานตัวต่อเทพเสือโคร่งภูผาทุกสิบปี"
เวลาสิบปี ห้าสิบปีของป่าสีทองไม่ได้ยาวนานนัก แต่เพราะว่านี่คือบทลงโทษ จึงให้ความรู้สึกเหมือนยาวนานตลอดชีวิต
เทพเสือโคร่งศิลาดำรับทราบบทลงโทษแล้วหันมากล่าวกับจิ้งจอกไฟ
"ตอนที่ข้าไป เจ้าสามารถ..."
จิ้งจอกไฟปิดปากอีกฝ่าย "ข้าไม่รับ ข้ามีเจ้านายได้เพียงหนึ่ง รักได้เพียงหนึ่งเดียว"
การกระทำของทั้งสองตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมายืนยันทุกคำพูดและการกระทำนั้น
มีเพียงกันและกันมาตลอด
เทพกวางสายฟ้าหันไปมองให้เทพเสือโคร่งภูผากล่าวออกมาสักคำ แต่เทพเสือโคร่งภูผาก็ยังคงกอดอกแน่น ทั้งหันไปมองทางอื่น สีหน้าท่าทางไม่พอใจบทลงโทษนี้อย่างชัดเจน
นางเทพเสือโคร่งบงกชส่ายหน้าให้กับความดื้อรั้น
"ผิดก็ยอมรับผิด ยอมรับการลงโทษโดยไม่ต่อรองสักคำ ต้องทำอย่างไรท่านถึงจะพอใจ พวกเราพูดเรื่องพวกนี้กันมาแล้วหลายครั้ง ทุกอย่างต้องมีจุดสิ้นสุด" ยามที่นางเทพเสือโคร่งไม่พอใจช่างน่ากลัวอย่างยิ่ง บรรดาฝูงกระเรียนที่รับฟังอยู่ใกล้ ๆ พากันถอยห่าง “ศิลาดำ แม่ไม่ได้เห็นดีไปกับเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อเจ้าทำลายความเชื่อมั่นไปแล้ว เจ้าต้องใช้เวลาชั่วชีวิตเพื่อแก้ไข” นางจึงสนับสนุนให้ลงโทษด้วยการแยกทั้งสองออกจากกัน 
แต่แล้วบรรยากาศแปลก ๆ ก็แผ่ปกคลุมเข้ามาหาช้า ๆ ช้ามากตามช่วงก้าวเล็ก ๆ ของฝาแฝดทั้งสาม
"หลานมา" กวางไพลินร้องบอก
บรรดาสัตว์เทพทั้งหลายหันไปสำรวจกันให้เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ ส่วนผู้ที่ไม่สามารถเปลี่ยนร่างได้ และมีร่างกายใหญ่โตก็ถอยไปทางด้านหลัง เพราะเกรงว่าจะทำให้เด็ก ๆ ตกใจ
จิ้งจอกไฟยังสะกิดให้เทพเสือโคร่งศิลาดำไม่ทำหน้าตาเคร่งเครียดกับหลาน
ส่วนเทพเสือโคร่งภูผาถึงกับบ่นกับตนเอง "เจ้ากวางทองตัวร้าย"
"ห้ามว่าลูกนะ" นางเทพเสือโคร่งบงกชหันมาดุ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแฝดสามมาที่นี่ได้อย่างไร ที่ว่าออกไปหาแม่เล็กเฉินอวี้กับท่านรองหยางเฉิงที่ปากทางของป่า แท้จริงออกไปหาผู้ใด
หยางหลงก้าวเข้าไปรับบุตรทั้งสามเข้ามาหาผู้อาวุโส  ทั้งสามทำความเคารพและประสานเสียงเอ่ยคำทำทักทายทุกคนในที่นี้
ดูอย่างไรนี่ก็ดูเรียบร้อยสุภาพผิดกับเด็กที่มีอายุยังไม่ถึงห้าขวบคนอื่น ๆ
นางเทพเสือโคร่งบงกชยิ้มแย้มทักทาย "มากันได้อย่างไร พ่อกวางทองของเจ้าไปรับมาหรือ"
"ท่านนกยูงทองไปรับมาขอรับ" หยางเหมี่ยนตอบ
แต่สองแฝดตาสีทองช่วยกันตอบอีกอย่าง "พ่อกวางทองให้บอกว่าท่านนกยูงทองพามา"
"ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ" เทพกวางสายฟ้ากล่าวพลางเดินเข้ามาอุ้มหยางหมิงไว้ "หมิงสินะ"
"ใช่แล้วขอรับ" แฝดตัวน้อยตาสีทองกอดคอท่านปู่เทพกวางไว้แน่น หยางจินก็กระตุกชายเสื้อสีขาวของท่านปู่เรียกให้อุ้มบ้าง
"ปู่กวางอุ้มหมิงเอ๋อร์อยู่ ขอย่ากวางอุ้มจินเอ๋อร์ได้ไหม" นางเทพกวางสายลมกล่าวขึ้น
จินเอ๋อร์ยิ้มกว้างขณะที่พยักหน้า ท่าทางเหมือนพ่อกวางทองของเขาไม่มีผิด "ก็ได้"
"ไม่ค่อยจะเต็มใจเลยนะ" กวางไพลินกล่าวพลางหัวเราะ แล้วหันไปมองหยางเหมี่ยนที่ยังยืนอยู่ข้างหยางหลง "แล้วพวกเขาอยู่ที่ใดกัน"
"พ่อกวางบอกว่า ท่านปู่เสือโคร่งมิให้เข้ามาในที่นี้ จึงรออยู่ด้านนอกกับท่านปู่เล็ก ท่านอารอง แล้วก็ท่านนกยูงทองก็อยู่ด้วยขอรับ"
เมื่อต้องตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน เทพเสือโคร่งภูผาก็โบกมือ "ไปเรียกให้เข้ามาเถิด เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว"
และข้าคือเสียงส่วนน้อย ที่ดื้อรั้น ไม่สมควรใส่ใจความไม่พอใจของข้า!
แต่เมื่อกวางทองเดินเข้ามาพร้อมกับอีกสามคน บรรยากาศในที่นี้ก็เปลี่ยนไปอีกครา จนเทพเสือโคร่งภูผาเกรงว่าจะลืมเลือนเรื่องสำคัญไปเสียก่อน จึงหันไปเตือนเทพเสือโคร่งศิลาดำ ว่าให้ไปพบที่ถ้ำยาก่อนที่จะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
กวางไพลินเดินมากระซิบกับกวางทองพลางพยักหน้าไปทางจิ้งจอกไฟ จากนั้นกวางทองก็เดินจูงมือหยางหลงไปหาจิ้งจอกไฟกับเทพเสือโคร่งศิลาดำ นกยูงทองเห็นดังนั้นก็พยักหน้าเรียกให้หยางเฉิงให้มารวมกลุ่มพูดคุย ทำทีเป็นชักชวนให้ทั้งหมดนั่งลงกินผลไม้ด้วยกัน
จิ้งจอกไฟคลี่ยิ้มงาม "ต่อไปเวลาจะตกลงวางแผนอะไรกัน ช่วยบอกกันก่อนมิได้หรือ อย่างน้อยข้าจะได้เตรียมพร้อมสักนิด"
"เรื่องอะไรจะบอก" นกยูงทองหัวเราะร่วน "เวลาเจ้าตกใจหน้าซีดน่ะมันตลกจะตาย"
นี่แสดงว่าทั้งหมดต้องพากันแอบดูความเคลื่อนไหวในที่นี้มาตลอดสินะ
ยังพูดคุยกันได้ไม่กี่คำแฝดสามก็ผละจากท่านปู่ท่านย่า มาแย่งกันนั่งตัก กอดแขนพัวพันอยู่กับพ่อกวางทองของพวกเขา ทำให้เทพผู้อื่นรวมถึงเฉินอวี้ขยับตามเข้ามาหาด้วยเช่นกัน

"ไม่ต้องเป็นห่วงจิ้งจอกไฟหรอกนะ" กวางไพลินกล่าวกับเทพเสือโคร่งศิลาดำ
จิ้งจอกไฟจับมือของเทพเสือโคร่งศิลาดำไว้
กวางทองมองพี่ใหญ่ของตนเอง หยางหลง หยางเฉิง มาจนถึงเทพเสือโคร่งภูผา และเทพกวางสายฟ้า
"จะว่าไปในทั้งหมดนี้ข้าว่าพี่ใหญ่น่ะเป็นที่สุดของสามีแล้ว"
กวางทองเจตนาจะยกยอพี่ใหญ่ของตนเอง แต่ข้อสังเกตนี้ทำให้ทุกคนหัวเราะ หยางจินจึงขอให้พ่อกวางทองช่วยอธิบาย
"ท่านลุงศิลาดำเป็นพี่ใหญ่ที่ดีมาก ดูแลทั้งน้องสาวน้องชายที่เป็นเสือโคร่ง มาจนถึงพ่อที่เป็นกวางทอง ขณะที่ยังต้องดูแลท่านปู่เล็ก แล้วก็ต้องทำงานตรากตรำอย่างหนักตามที่ท่านปู่เทพเสือโคร่งภูผาของเจ้าของเจ้าสั่งการอีกด้วย" กวางทองทำหน้าตาน่าสงสารยิ่งนัก  "ส่วนเรื่องความรัก ตั้งแต่ก่อนที่พ่อเกิดมาจนถึงบัดนี้ ท่านลุงใหญ่ของเจ้ามีเพียงท่านลุงจิ้งจอกไฟของพวกเจ้า ต่อให้ไม่พบหน้ากันหลายปี ห่างไกลกันกี่หมื่นลี้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นก็ตาม" ดวงตาสีทองมองค้อนท่านปู่เสือหนึ่งครา "อาจมีบางเรื่องที่ทำลายความเชื่อมั่นของท่านปู่ผู้ยิ่งใหญ่ไปบ้าง แต่นั่นก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเพื่อท่านลุงจิ้งจอกไฟ"

หยางเหมี่ยนยกมือขึ้นเพื่อขออนุญาตแสดงความเห็น เมื่อพ่อกวางทองพยักหน้าก็ลุกขึ้นยืนเพื่อกล่าวถ้อยคำโต้แย้งพ่อกวางทองของเขา
"ยึดมั่นในความรักนั่นก็ดี และมีคำกล่าวที่ว่า คนเรามักทำเรื่องโง่งมเมื่อมีรัก แต่การทำลายความเชื่อมั่นนั้นไม่ถูกต้อง"
เทพเสือโคร่งภูผาตบเข่าฉาด เพราะมีหลานแฝดผู้นี้เพียงเดียวเท่านั้นที่เห็นด้วย
"การสร้างความเชื่อมั่นต้องใช้เวลานาน แต่การทำลายลงนั้นสามารถทำได้อย่างง่ายดาย ในเวลาเพียงพริบตาเดียว ทั้งยังมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ” จากนั้นหยางเหมี่ยนก็หันมาหาเทพเสือโคร่งภูผา “แต่เท่าที่รู้มาหลานไม่คิดว่าท่านลุงศิลาดำจะทำอะไรที่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งท่านปู่ภูผา"
ป่าสีทองตกอยู่ในความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงของสายน้ำ และสายลม
หยางเหมี่ยนประหม่าเล็กน้อย เมื่อต้องตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน แต่เมื่อหันไปมองหน้าบิดากับน้องชายทั้งสองที่พยักหน้าให้กำลังใจ จึงกล่าวต่อ 
"ท่านปู่เคยออกคำสั่งห้ามท่านลุงชี้นำความคิดฮ่องเต้หรือไม่"
เทพเสือโคร่งภูผาส่ายหน้าช้า ๆ สีหน้าดั่งถูกค้อนใหญ่ทุบเข้าที่ศีรษะ
“เคยห้ามท่านลุงปกป้องท่านลุงจิ้งจอกไฟหรือไม่”
เทพเสือโคร่งภูผานิ่งอึ้ง
เทพกวางสายฟ้าหัวเราะเสียงดังก้อง ปรบมือให้กับหยางเหมี่ยน
"เจ้านี่มันหยางหลงขนาดย่อส่วนจริง ๆ"
ทุกคนล้วนรู้ดีว่า หากเป็นหยางหลงกล่าวคำเหล่านี้ออกมา เทพเสือโคร่งภูผาย่อมต้องคัดค้านและบานปลายตามนิสัย แต่เมื่อเป็นหลานรัก กลับรู้สึกเห็นด้วยมากกว่าแปดส่วน
หยางหมิงกับหยางจินผู้มีดวงตาสีทองปีนขึ้นนั่งตักท่านปู่ ส่วนหยางเหมี่ยนค้อมตัวกล่าวคำขอโทษกับเทพเสือโคร่งภูผาโดยตรง "หลานขออภัยท่านปู่ ที่กล่าวคำล่วงเกิน บิดากล่าวว่า เพราะท่านคือเทพเสือโคร่ง คือผู้พิทักษ์ป่าสีทองและเมืองลั่ว เมื่อเกิดเรื่องราวใดขึ้นมา ย่อมรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบของท่าน แต่ขออย่าได้กล่าวโทษตนเอง เรื่องหลอกลวงผู้อื่นจนทำให้ผู้อาวุโสเสียชีวิตนั้น เป็นความผิดอย่างแน่นอน การปกปิดความผิดก็คือการร่วมทำความผิดเช่นกัน บิดาสอนว่า หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับหมิงเอ๋อร์ กับจินเอ๋อร์ข้าจะทำเช่นไร หากข้าใช้อารมณ์ตัดสิน เรื่องราวจะยิ่งบานปลายดั่งความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่หยุดในช่วงหลายปีมานี้ บิดาสอนว่า เพราะเราคือผู้ปกครอง หน้าที่ของเราคือการแสดงให้เห็นถึงความยุติธรรมแบบนักปกครอง แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ยุติธรรมกับเราแม้สักนิดก็ตาม”
เทพเสือโคร่งภูผาขอบตาแดงเรื่อกอดหยางเหมี่ยนตัวน้อยไว้แน่น
“พูดได้ดี บิดาของเจ้าสอนได้ดียิ่ง ขอบใจมาก”
หยางจินแฝดตาสีทองเขย่งเท้ากอดท่านปู่เทพเสือโคร่งไว้ “ท่านปู่ยังมีจินเอ๋อร์อยู่อีกคนนะ”
“รู้แล้ว”
“มีหมิงเอ๋อร์ด้วย” แฝดอีกคนเข้ามากอดพัวพันแล้วชักชวนพูดคุยเพื่อทำให้บรรยากาศหม่นหมองจางหายไป
เฉินอวี้หันไปทางเทพเสือโคร่งศิลาดำ บอกให้ไปพักผ่อน ก่อนที่จะต้องออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
จิ้งจอกไฟกระซิบถามเรื่องที่ไม่กล้าถามกับผู้ใดนอกจากเฉินอวี้เพียงผู้เดียว "ท่านเทพเสือโคร่งภูผาโกรธท่านพี่มากเลยหรือ"
คนรูปงามลูบไหล่คนถามเพื่อปลอบโยน "เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง"
แต่จิ้งจอกไฟยังคงเป็นกังวล
เฉินอวี้กล่าวต่อ "อย่ากังวลไปเลย ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี เผื่อว่าวันหนึ่งจะได้ลดโทษกลับมาอยู่ด้วยกันเร็วขึ้น"
"อ๋า--" จู่ๆ กวางทองกับนกยูงทองก็ร้องขึ้นพร้อมกัน ทั้งหันมามองหน้ากันอีกด้วย
หยางหลงต้องกระแอมเตือนท่าทีของทั้งคู่ กวางไพลินได้ที "ท่านเจ้าเมืองจะว่าอะไร ก็พูดออกมาเลย"
"ก็..." ให้มาดุ มาตักเตือนกันต่อหน้าคนมากมายนี่ไม่ใช่นิสัยของหยางหลงเลยจริง ๆ "ไว้ค่อยพูดกันทีหลังก็ได้"
"ไม่มีอะไรหรอกน่า พวกเราก็แค่เห็นว่าเป็นโอกาสดี ที่จะได้ไปหาจิ้งจอกไฟบ่อย ๆ เท่านั้นเอง" นกยูงทองบอก แต่ดวงตาพราวระยิบ
ขนาดแฝดสามยังมองออกว่านกยูงทองกับกวางทองมีเรื่องสนุกให้ไปเล่นกันหลังจากนี้
"พี่ใหญ่กับจิ้งจอกไฟไปพักเถอะ เพราะจะต้องแยกจากกันอีกถึงสิบปีจึงจะได้กลับมาพบกันอีกครา"

เมื่อใกล้ค่ำ นางเทพเสือโคร่งบงกช เทพกวางสายฟ้า และเทพกวางสายลมแยกกลับไปพักผ่อน ส่วนที่เหลือตามกันมาที่กระท่อมของหยางหลง
เมื่อมาถึง หยางเฉิงขออาสาพาหลานกลับไปที่จวนเจ้าเมือง แต่ทั้งหมดพากันหันไปมองนกยูงทอง
"มองทำไม"
"ก็คืนนี้ท่านเจ้าเมืองพักที่นี่ แล้วจะให้ผู้ใดพาแฝดสามกลับไปหากไม่ใช่เจ้า" กวางทองตอบ
มนุษย์จะเดินทางเข้าหรือออกจากป่าสีทองได้ต้องมีเทพในป่าสีทองนำทางเท่านั้น แล้วหยางเฉิงตามลำพังจะพาแฝดสามกลับไปได้อย่างไร
"อะไรกัน"
"ขอพวกเราพักที่นี่กับท่านพ่อมิได้หรือ" หยางเหมี่ยนถาม ที่ผ่านมาเขามักจะเป็นผู้ใหญ่เกินอายุ เมื่อร้องขอเช่นนี้ ผู้ใหญ่ทุกคนล้วนกล่าวสนับสนุน แต่กวางทองก็ยังมีข้อสงสัยต่อไป
"แล้วท่านเฉิงจะกลับอย่างไร"
หยางเฉิงยักไหล่ท่าทางไม่สนใจที่นกยูงทองบ่นอุบ "ทำเป็นพาหลานมารออยู่ที่ด้านหน้าของป่า ลำบากให้ผู้อื่นต้องไปรับเข้ามา ต้องพาออกไปอีก"
คนรูปร่างสูงใหญ่ไม่ต้องกล่าวคำใด ๆ นกยูงทองกล่าวเอง "ก็ได้" จากนั้นก็หันไปหาเฉินอวี้ "ท่านแม่เล็กจะกลับด้วยหรือไม่"
"ไม่ต้องมายุ่งกับเมียข้าเลย" เทพเสือโคร่งภูผาโบกมือไล่ "เดี๋ยวข้าพาเขากลับไปเอง"
"อ้าว เช่นนั้นท่านเทพเสือโคร่งก็พาท่านพี่กลับไปด้วยสิ" นกยูงทองรู้สึกถึงเงาทะมึนที่กอดอกมองมาเงียบ ๆ
ที่จริงหยางเฉิงไม่ได้เดือดร้อนอะไร หลาน ๆ อยู่ที่นี่ เขานอนกับหลานก็ได้ แต่เจ้านกยูงทองร้อนตัวไปเองทั้งนั้น
"มนุษย์ กลับบ้านไปเลย วุ่นวายจริง"
หยางเฉิงก้าวเข้ามาหา ก้มลงจูบปากที่พูดไม่หยุด
"จะกลับหรือไม่กลับ"
"...กลับ ก็ ได้..."
หยางเฉิงหันไปทำความเคารพทุกคนที่อยู่ในที่นี้ จากนั้นก็เดินนำออกไป โดยมีนกยูงทองเดินตามไป
"เจ้านี่มันคนชอบบังคับผู้อื่น"
แม้แต่เทพเสือโคร่งภูผายังหันไปถามเฉินอวี้ด้วยความสงสัย "แบบนั้นเรียกว่าบังคับหรือ"
เฉินอวี้หัวเราะ เทพเสือโคร่งภูผาก็หันมาหากวางทอง "เจ้าคิดว่าพ่อไม่ยุติธรรมกับพี่ใหญ่ของเจ้าสินะ"
"ข้ารู้ว่าท่านเสียใจมากเรื่องท่านกระเรียนโกเมน แต่เพราะท่านเป็นผู้ปกครอง เมื่อบุตรทำผิดเสียเองก็ย่อมต้องลงโทษให้หนักกว่าผู้อื่น แต่ที่ผ่านมาพี่ใหญ่และจิ้งจอกไฟก็ถูกลงโทษมามากแล้ว จิ้งจอกไฟที่ไม่เคยฆ่าคนยังลงมือฆ่าคน ท่านยังแยกพวกเขาเสียอีก"
เทพเสือโคร่งภูผาส่ายหน้า ท่าทางไม่ค่อยอยากอธิบายความจริงต่อกวางทองสักเท่าไหร่ หยางหลงจึงเป็นผู้ตอบข้อสงสัยนี้
“สิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้ก็คือการที่พี่ใหญ่ใช้พลังของเขาเพื่อจิ้งจอกไฟ”
กวางทองหันมาจะกล่าวคำโต้แย้งด้วยความเคยชิน แต่เมื่อเห็นว่าในที่นี้ ยังมีเฉินอวี้อยู่ด้วยก็เริ่มเข้าใจ
เสือโคร่งคือผู้คุ้มครอง
ผู้คุ้มครองต้องไม่ทำอะไรเพื่อตนเอง
ตั้งแต่เทพทั้งสี่มาจนถึงหยางหลงและเฉินอวี้ พวกเขาล้วนลงมือทำให้เห็นเป็นตัวอย่างมาตลอดว่าทำเพื่อผู้อื่น
แต่ทุกอย่างที่เทพเสือโคร่งศิลาดำทำลงไปก็คือเพื่อจิ้งจอกไฟ
ในคำกล่าวที่หยางเหมี่ยนแฝดคนโตกล่าวก่อนหน้านี้ก็พูดถึงเรื่องการเป็นผู้ปกครอง
ก็สมควรอยู่หรอกที่เทพเสือโคร่งภูผาจะโกรธมาก
"ท่านพ่อ ข้าขอโทษ"
เทพเสือโคร่งภูผากอดกวางทองไว้แน่น แฝดสามเห็นดังนั้นก็พยายามแทรกตัวเข้าไปให้ท่านปู่เสือโคร่งกอดด้วย
ความจริงจังสามารถทำหน้าที่ได้ไม่เกินห้าประโยคหากมีกวางทองพ่อลูกทั้งสี่อยู่ด้วยกันจริงๆ
เวลาล่วงเลยไปอีกพักใหญ่ เทพเสือโคร่งภูผาจึงพาเฉินอวี้กลับมาที่ถ้ำยา
“ส่งข้ากลับไปที่วัดร้างก็ได้นะ “
“แล้วพรุ่งนี้เช้าข้าต้องมารอเจ้าศิลาดำที่นี่อีกน่ะหรือ” เทพเสือโคร่งภูผาส่ายหน้า เดินเข้าไปจัดที่นอนให้กับเฉินอวี้ “เจ้าคิดว่าข้าเข้มงวดกับบุตรมากไปหรือไม่”
เฉินอวี้ตอบตามตรง “หากเขาเป็นมนุษย์ โทษนี้ก็ถือว่าหนักไปสักหน่อย แต่เพราะเขาเป็นผู้ที่มีชีวิตยืนยาว ข้าคิดว่าก็เหมาะสมแล้ว”
เทพเสือโคร่งภูผาถอนหายใจยาว “สายฟ้าเป็นผู้เสนอโทษนี้ แต่ข้าต้องการให้ขับทั้งคู่ออกจากป่า”
คนรูปงามไม่มีความเห็น ล้มตัวลงนอนในอ้อมกอดของเทพเสือโคร่งภูผาเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา

กวางทองรอจนแฝดทั้งสามเข้านอนแล้ว จึงออกมาเรียกหยางหลงที่กำลังยืนมองดวงจันทร์นอกหน้าต่างและหันมาทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องนอน
“ท่านพี่” กวางทองเดินเข้ามากอดเอวหนาไว้ “ดีจริงที่ท่านพี่อยู่ด้วย”
“พี่หรือ”
“ใช่สิ” กวางทองพยักหน้ายืนยัน “พวกเขาเอาแต่พูดกันมาหลายวันแล้ว พูดจนผู้อื่นเครียดจะเป็นบ้า ไม่ตัดสินอะไรให้เด็ดขาดลงไปสักที นี่ถ้าท่านไม่อยู่ เขาก็คงเลื่อนการตัดสินออกไปอีก”
“ที่เลื่อนออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะฝีมือเจ้ามิใช่หรือไง”
“ไม่ใช่สักหน่อย” กวางทองใช้หน้าผากถูไถที่ต้นแขนใหญ่แล้วหยุดนิ่ง
“ไม่สบายใจเรื่องใด”
กวางทองยังไม่เงยหน้าขึ้นมา “น้องไม่อยากให้ทุกครั้งที่เราพบกัน จะต้องพูดคุยกันแต่ปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้”
เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพังสรรพนามของทั้งคู่ในการเรียกกันและกันก็แสดงถึงความใกล้ชิดกว่าเดิม
“ก็ไม่นะ ส่วนใหญ่พวกเราพูดคุยกันเรื่องแฝดสาม กับเรื่องที่ว่าวันนี้พี่จะพาน้องไปเที่ยวที่ใด”
กวางทองหัวเราะคิก เงยหน้าขึ้นประคองใบหน้าของหยางหลงด้วยสองมือ “จำตอนที่ท่านพี่ตามมาที่ป่าสีทองแล้วพบว่าน้องแปลกไปได้หรือไม่”
“จำได้”
“น้องสับสนในหลายเรื่อง เพราะที่นี่ ในป่าสีทองทุกอย่างคือความมั่นคง แต่ข้างนอกนั่นมีแต่ความไม่มั่นคง หลายเรื่องทำความเข้าใจได้ แต่อีกหลายเรื่องก็ยังเป็นความกังวลของน้องมาจนถึงเวลานี้” ดวงตาสีทองมองสบตา “น้องมักจะกลัวอยู่เสมอว่าวันหนึ่งท่านพี่จะจากไปเหมือนเจิงเอ๋อร์ น้องจำความเสียใจของทุกคนในวันนั้นได้ชัดเจน และรู้ว่านี่ก็เป็นเรื่องที่ท่านพี่ไม่เคยให้อภัยตนเองเช่นกัน น้องจะมีชีวิตยืนยาว มองดูท่านพี่และทุกคนจากไปทีละคน”
หยางหลงกระชับกอดคนในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
“น้องรักท่านพี่ อยากอยู่กับท่านไปอีกร้อยปี จนถึงลมหายใจสุดท้าย”
คำพูดใด ๆ ก็ไม่อาจนำมาใช้บรรยายความรู้สึกของหยางหลงในเวลานี้
ต้องการตอบรับ และปฏิบัติตามความต้องการของคนรักเหมือนทุกคราที่ผ่านมา แต่การจะให้อยู่ด้วยกันไปจนถึงลมหายใจสุดท้ายของกวางทองนั้นเป็นไปมิได้เลย
“ขอโทษ พี่ไม่อาจให้คำมั่นนั้นกับน้องได้ แต่พี่แน่ใจว่านับจากแรกพบไปจนถึงลมหายใจสุดท้าย น้องคือผู้เดียวที่พี่รัก”
กวางทองโน้มคออีกฝ่ายลงมาจูบ
รักมากก็กังวลมาก ให้ไปเท่าใดก็ไม่เคยแน่ใจว่าเพียงพอกับความต้องการอีกฝ่ายหรือไม่ ถูกต้องตามที่อีกฝ่ายต้องการหรือไม่ ทั้งไม่เคยแน่ใจว่าอีกฝ่ายมีความสุขเมื่อได้อยู่ด้วยกันหรือไม่
...เรามักทำเรื่องโง่งมยามเมื่อมีรัก...

(มีต่อ)
หัวข้อ: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 09-11-2018 19:38:58
(ต่อ)


เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น หยางหลงไปปลุกแฝดสามมาดื่มโจ๊กธัญพืชฝีมือกวางทองจากนั้นชวนกันไปที่บึงกระเรียนโกเมนเพื่อรอส่งเทพเสือโคร่งศิลาดำด้วยกัน
แต่เมื่อไปถึงพบเทพเสือโคร่งศิลาดำกำลังพูดคุยอยู่กับจิ้งจอกไฟที่บริเวณด้านนอกของเขตบึงกระเรียนป่าสีทอง
“ท่านพ่อกำลังพูดคุยกับท่านเทพกวางสายฟ้าอยู่”
คำกล่าวนี้ย่อมหมายความว่า ทั้งห้าคนในที่นี้ไม่ควรเข้าไปขัดขวางการสนทนาของสหายทั้งสอง หยางหลงจึงกล่าวว่า พาหลานมาส่งเทพเสือโคร่งศิลาดำก่อนที่จะออกเดินทาง ผู้มีร่างกายสูงใหญ่ดวงตาสีดำลึกล้ำจึงคุกเข่าลงเบื้องหน้าฝาแฝดทั้งสามลูบศีรษะเล็ก ๆ ด้วยความอ่อนโยนยิ่ง
“เวลาสิบปีไม่ได้ยาวนานอะไร เมื่อกลับมาลุงจะแวะไปหาเจ้าที่จวนเจ้าเมือง”
แฝดสามสะอึกสะอื้นกอดคอท่านลุงเสือโคร่งไว้แน่น
หยางหมิงพยายามกลั้นเสียงร้องไห้ เมื่อกล่าวคำ “เมื่อท่านลุงกลับมาพวกเราก็อายุสิบสี่สิบห้าปีแล้ว”
หยางจินกล่าวต่อ “และเมื่อกลับมาอีกคราพวกเราก็ยี่สิบสี่ยี่สิบห้า ไม่แน่ว่าเมื่อนั้นพี่ใหญ่จะแต่งงานหรือเป็นเจ้าเมืองไปแล้วก็ได้”
หยางหลงรู้สึกถึงน้ำหนักมือของกวางทองที่บีบแน่นขึ้น ไหล่บางสั่นไหวจากการกลั้นสะอื้น จึงยื่นมือข้างนั้นให้กับเทพเสือโคร่งศิลาดำ
“กวางทอง” เทพเสือโคร่งศิลาดำลุกขึ้นมากอดน้องเล็กไว้
ไม่ว่าจะนานเพียงใด กวางทองก็ยังคงเป็นน้องเล็กอยู่นั่นเอง
“พี่ใหญ่ไม่ได้อยู่คอยเฝ้าระวังภัยให้เจ้าแล้ว ต้องรู้จักระมัดระวังตนเองมากกว่าเดิมรู้ไหม อย่าทำอะไรวู่วามเอาแต่ใจ”
“พี่ใหญ่” กวางทองร้องไห้เสียงดัง ยิ่งเมื่อประสานกันกับเจ้าแฝดสามเสียงร้องไห้ยิ่งเพิ่มความโศกเศร้ามากกว่าเดิม รอจนความเศร้าบรรเทาลงจึงบอกให้ทั้งหมดกล่าวให้กำลังใจเทพเสือโคร่งศิลาดำอีกครั้ง

แฝดสามแห่งเมืองลั่ววิ่งเล่นในทุ่งหญ้าดวงดาว ดอกสีขาวเป็นประกายท่ามกลางแสงแดดอ่อน กระต่ายป่าตัวน้อยโผล่ออกมาทักทายแล้ววิ่งเล่นไปด้วยกัน
หยางหลงจับมือกวางทองเดินไปด้วยกัน แต่จู่ ๆ ก็หยุดเท้า หันมาจับสองมือไว้
“พี่รักน้อง แม้ความรักนี้ไม่อาจเปรียบวัดได้ด้วยมาตราใด แต่ขอให้รู้ว่ารักนี้ไม่เคยลดลง มีแต่เพิ่มขึ้น การที่ได้รักคือทุกสิ่งทุกอย่างแล้วในชีวิต เวลาที่อยู่ด้วยกันพี่ไม่เคยนับเรื่องวันเวลา รู้เพียงวันนี้ เวลานี้ พี่มีน้องอยู่กับพี่” หยางหลงคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ข้าคือหยางหลงเจ้าเมืองลั่ว ร้องขอด้วยหัวใจ ลมหายใจ โลหิต และวิญญาณ ขอความเมตตาจากกวางทองแห่งป่าสีทอง ให้ข้าได้รักเจ้าจวบจนความตายพรากข้าจากเจ้า”
กวางทองคุกเข่าลงสวมกอดหยางหลงไว้ขณะที่น้ำตาอาบแก้ม ความรู้สึกท่วมหัวใจจนไม่สามารถกล่าวคำใด ได้แต่พยักหน้ายอมรับในสิ่งที่หยางหลงกล่าว
“อย่ากลัววันที่พี่ไม่ได้อยู่ข้างเจ้า เพราะพี่จะอยู่กับเจ้าเสมอ”
ด้วยหัวใจ
ลมหายใจ
โลหิต
และวิญญาณ...หยางหลงรักลู่กวางทองตลอดไป

เสียงร่ำไห้ของกวางทองช่างปวดใจจนทำให้แฝดสามวิ่งกลับมาหาบิดาแล้วพากันร้องไห้ตามไปด้วย

ห่างออกมาหลังแนวต้นไม้ใหญ่คนสองคนยืนอยู่ข้างกัน
"จะไม่บอกลูกจริง ๆ หรือ" เฉินอวี้ขอบตาแดงเรื่อ สงสารทั้งห้าคนจับใจ
"ไม่ต้องบอกหรอก" เทพเสือโคร่งภูผาสงสารที่ลูกหลานพากันร้องไห้ก็จริง แต่อยากให้ทั้งหมดรู้ด้วยตนเองมากกว่า ครั้นหันมาเห็นภรรยามีน้ำตาปริ่มก็ร้อนใจ "แล้วเจ้าจะร้องไห้ทำไม หยางหลงน่ะเพราะมัวแต่คิดเรื่องการดูแลผู้อื่น จนไม่ได้สังเกตตัวเอง แต่เชื่อสิอีกไม่นานพวกเขาก็จะรู้ตัว"
"แต่ก็น่าจะบอกพวกเขาให้รู้ จะได้ไม่เสียใจ"
เทพเสือโคร่งภูผากอดอก ยืนยันความคิดของตัวเอง "ไม่บอกดีกว่า เขาจะได้ใช้วันเวลาเพื่อดูแลกันและกันอย่างเต็มที่"
"อย่างกับว่าเวลานี้เขาไม่ได้ดูแลกันเป็นอย่างดี"
"ไม่ใช่ ข้าหมายถึง" เทพเสือโคร่งภูผานึกถึงการใช้ถ้อยคำที่ถูกต้อง "ทะนุถนอมวันเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ที่ผ่านมาหยางหลงกับกวางทองก็ดีต่อกันมาตลอด แต่พวกเขาก็มักจะนึกถึงผู้อื่นก่อนตนเองเสมอ"
"ถ้านึกถึงตนเองก่อนก็จะถูกลงโทษแบบศิลาดำ" เฉินอวี้ดักคอ
"แบบนั้นมันก็เกินไป แต่สองคนนี้รู้แต่ช่วยเพื่อน กับปกป้องเมืองลั่ว เขาต้องรู้ว่าชีวิตผู้ใด ผู้นั้นก็ต้องหัดรับผิดชอบตนเองบ้าง"
"แต่ก็น่าสงสารมากอยู่ดี"
เทพเสือโคร่งภูผาส่ายหน้า "เจ้าสองคนนี้ฉลาดจะตาย อีกไม่นานเขาก็ต้องรู้ตัวว่าวันเวลาของเขาหยุดนิ่ง" ผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่หันมามองคนรูปงามที่ยังดูอ่อนเยาว์ราวกับมีอายุเพียงสิบแปดปี "ว่าแต่เจ้าเถิด จะกลับไปอยู่ที่อารามนั่นตามเดิมจริงหรือ"
"ร่างกายมนุษย์ไม่ทนต่อความหนาวเย็นในถ้ำ คืนสองคืนยังพอไหวแต่นานไปก็ไม่ค่อยดีแล้ว"
"เจ้าเกรงใจบงกชมากกว่า" เฉินอวี้ไม่โต้เถียงด้วย "เช่นนั้นข้าว่าจ้างคนมาปลูกบ้านให้เจ้าในเขตป่าด้านนอกนั่นดีกว่า ปลูกให้หยางหลงด้วย เผื่อหลาน ๆ ของข้าจะได้มาพัก"
ดวงตาสีเหลืองสดใสเป็นประกายเมื่อมีเรื่องราวใหม่ให้ต้องไปจัดการ
เฉินอวี้หลงรักดวงตาคู่นี้ ความตั้งใจของเทพเสือโคร่งผู้นี้ และทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นเทพเสือโคร่งภูผา
"ตามใจ"
อย่างกับว่าจะเคยขัดใจกันได้เช่นนั้น...
...
ตั้งแต่วันที่ส่งเทพเสือโคร่งศิลาดำออกจากป่าสีทอง นกยูงทองก็มิได้กลับไปที่ป่าสีทองอีก ทั้งใช้ชื่อว่าคงเซียะ ฮูหยินเจ็ดของหยางเฉิง รองเจ้าเมืองลั่ว
เวลาผ่านไปไม่กี่เดือนทุกผู้คนในเรือน ไปจนถึงชาวเมืองก็ไม่ได้ใส่ใจความแตกต่างของคงเซียะ รู้กันแค่ว่า หยางเฉิงแต่งภรรยาคนที่เจ็ดแล้ว
ในวันที่เส้นผมของหยางเฉิงมีสีขาวแซม แต่หยางหลงกลับปราศจากริ้วรอยใด ๆ นกยูงทองจึงชักชวนหยางเฉิง "ท่านพี่อยากไปอยู่ที่ป่าสีทองหรือไม่"
นักสู้ผู้กล้าดึงนกยูงทองเข้ามากอด "วันเวลาของข้าใกล้เข้ามาแล้วใช่ไหม"
นกยูงทองส่ายหน้ากับอกกว้าง "ข้าไม่รู้"
"เจ้าโกหกไม่เก่งเลย"
"ท่านพี่ บุตรของท่านทุกคนล้วนเติบใหญ่ ท่านสามารถปล่อยวางเรื่องราวให้พวกเขาดูแลได้แล้ว"
หยางเฉิงมองดวงตางดงาม "ขอบใจเจ้ามาก แต่เมื่อข้าให้คำมั่นว่าจะดูแลทุกคนตลอดไป ข้าย่อมไม่อาจทอดทิ้งพวกเขาได้"
นกยูงทองเข้าใจดี หยางเฉิงมีภรรยาเจ็ดคน บุตรอีกสิบคน ทั้งต้องดูแลครอบครัวของกลุ่มผู้มีสกุลหยางซึ่งเดินทางกลับมาจากเมืองหลวง และยังต้องรับผิดชอบกิจการสำคัญของตระกูล ความรับผิดชอบของเขายิ่งใหญ่ ที่สำคัญคือเขาไม่ยอมปล่อยวาง บางครายังออกคุมสินค้าไปส่งด้วยตนเอง
ผิดกับหยางหลงที่มีการเตรียมพร้อมทั้งตนเองและบุคคลรอบตัวมาตลอดเวลานับสิบปี ทำให้สามารถเดินทางไปยังป่าสีทองได้อย่างวางใจ
วันเวลาผ่านไป บุตรทั้งหมดแยกเรือนออกไป ภริยาของหยางเฉิงทยอยตายจากไปก่อน เรือนพักหลังใหญ่ช่างเงียบเหงา 
และในปีถัดมาหลังจากที่หยางหลงเดินทางเข้าไปในป่าสีทองแล้วไม่กลับออกมานั้นเอง
หยางเฉิงที่เอนกายอยู่ที่เก้าอี้ในสวน จับมือของนกยูงทองไว้แน่น "ข้าเคยบอกว่ารักเจ้าหรือยัง"
"ไม่เคยบอก แล้วจะมาบอกอะไรตอนนี้ เงียบไปเลย"
"ข้าอยากบอก ว่าข้ารักเจ้า และยินดีมากที่เจ้าอยู่กับข้า เจ้าเชื่อเรื่องชาติหน้าหรือไม่"
"ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน"
"มันอาจมีอยู่จริง หรือเป็นแค่การให้ความหวังแก่คนสิ้นหวัง แต่ข้าสัญญาว่า หากชาติหน้ามีจริง ข้ายังอยากอยู่กับเจ้า"
หยาดน้ำตาไหลพราก "เช่นนั้นก็อย่าได้อยู่นอกเขตเมืองลั่ว เพราะข้าออกไปจากที่นี่ไม่ได้"
"เจ้าจะตามหาข้าหรือ"
"ใช่ เพราะเจ้ามันซื่อบื้อ หลงรักข้ามาตั้งแต่แรกเห็นแต่ก็ยังวางท่าอยู่ได้"
"ข้าซื่อบื้อจริง ๆ"
หยางเฉิงจับมือเล็กเรียวขึ้นมาจูบ แล้ววางไว้แนบหัวใจ
"ข้ารักเจ้านกยูงทอง รบกวนตามหาข้าด้วย"
หยางเฉิงจากไปท่ามกลางหยาดน้ำตาที่หลากไหลดั่งสายน้ำ
เมื่องานศพเสร็จสิ้นลง นกยูงทองจึงกลับมาที่ป่าสีทอง เฝ้าบำเพ็ญฌานอย่างจริงจังอยู่ห้าปี ก็ออกเดินทางไปทั่วเมืองลั่วเพื่อค้นหาคน
"เมืองลั่วมิได้ใหญ่โตอะไร เขาจะเป็นคน หรือมดปลวกข้าต้องหาเขาให้พบให้ได้"

...

เมื่อค่ำลงความมืดเข้ามาปกคลุมป่าสีทองได้ยินเสียงนกกลางคืนจากที่ห่างไกล ความเย็นจากไอฝนแทรกซึมเข้าสู่ลมหายใจ จากนั้นในวันใหม่ เมื่อพระอาทิตย์นำความสว่างเข้ามาขับไล่ความมืดออกไป สรรพสัตว์แห่งป่าสีทองออกหากิน และพักผ่อน
วันเวลาหมุนเวียนไปเช่นนี้
อาณาจักรไท่ชางเปลี่ยนผู้ปกครองแผ่นดิน และเมื่อถึงวันเวลาที่เหมาะสม หยางหลงมอบตำแหน่งเจ้าเมืองลั่วให้กับหยางเหมี่ยนและเดินทางมาถึงป่าสีทองตามลำพัง พร้อมด้วยรถเข็นสุราดอกท้อ
ผู้ที่รออยู่ยิ้มแย้มสดใส ดวงตาสีทองเป็นประกาย กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดีดั่งเด็กน้อย
คุณชายลู่ตัวน้อยผู้มีแขนขาลีบเล็กในวันวาน ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปเพียงใดก็ยังคงเป็นคุณชายลู่ผู้นั้นเช่นเดิม
เดินเคียงข้างกันไปในเส้นทางเดิมที่เดินมาด้วยกันตลอดหลายปี
อาจคุ้นเคยกับเส้นทาง แต่ภาพสองข้างทางเปลี่ยนไปเสมอไม่ว่าจะเป็นสัตว์ตัวน้อย หรือพุ่มดอกไม้
ที่ไม่เคยเปลี่ยนไปคือเจ้า...
และหัวใจของพวกเราที่เป็นหนึ่งเดียวเสมอมา
.....

ในเขตป่าโปร่งด้านนอกพื้นที่ป่าสีทอง กลุ่มนายพรานคนหนึ่งย่างเท้าโดยปราศจากเสียงเข้าหาหมีสีน้ำตาลแม่ลูกอ่อน ท่ามกลางความเงียบสงบปรากฏเสียงนกป่าร้องดังก้องจนกลุ่มนายพรานหันมามองหน้ากัน เมื่อหันมาอีกทีจิ้งจอกไฟรูปร่างงามสง่าเข้ามายืนอยู่แทนที่หมีสีน้ำตาลแม่ลูก
ดวงตาสีแดง สีขนดั่งเปลวเพลิงท่ามกลางแสงแดด
พรานคนหนึ่งคิดสู้ด้วยการยิงหน้าไม้ใส่ แต่จิ้งจอกไฟกระโดดสวนลูกดอกเข้ามาหา เหยียบไหล่หนาลงกับพื้นแล้วงับคอ

หลังจากที่ลากศพพรานป่าไปทิ้่งไว้ที่หน้าหมู่บ้าน จิ้งจอกไฟกลับมาล้างตัวที่ลำธาร
ปฏิบัติตัวเลียนแบบผู้ที่อยู่ห่างไกล
สิบปีได้อยู่ด้วยกันหนึ่งคืนแล้วก็ต้องแยกกัน นี่ต้องรออีกกี่วันจึงจะได้พบ
จะหลับตาหรือลืมตา ก็เห็นแต่ท่านแต่เพียงผู้เดียว
มวลอากาศด้านหน้ามีการเคลื่อนไหว เทพเสือโคร่งตัวหนึ่งยืนอยู่แล้วเปลี่ยนร่างเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ คนรูปงามก้าวขึ้นจากน้ำ แต่ขึ้นมาได้เพียงครึ่งตัวอีกฝ่ายก็ยกมือห้าม
"กลิ่นของเจ้ากำลังเรียกจิ้งจอกทั่วทั้งป่าเข้ามาหา" ดวงตาสีดำสนิทกวาดตามองรูปร่างงดงาม "ตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าเป็นแบบนี้หรือไม่"
จิ้งจอกไฟยิ้มกว้าง เทพเสือโคร่งศิลาดำรู้ดีกว่าใคร ว่าอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตนเพียงผู้เดียว "อย่างมากพวกเขาก็ได้แต่วุ่นวายอยู่รอบนอกเท่านั้น หรือหากยังไม่เชื่อใจ ก็เข้ามาสำรวจดูก็ได้"
"เจ้านี่มัน" เทพเสือโคร่งศิลาดำคำรามในลำคอ ตรงเข้ามากอดรัด "สิบปี" มือใหญ่บีบก้นกลมที่อยู่ใต้ลำธาร "ข้าจะทำจนเจ้าไม่สามารถออกไปจากถ้ำตลอดเวลาที่ข้าอยู่ที่นี่"
จิ้งจอกไฟจูบตอบ
...ก็ไม่ได้อยากออกไปไหนนี่นา...
......

นี่ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ ว่าเมื่อวันหลายวันก่อน อาฮุ่ยที่หมู่บ้านนอกเมืองพบกับอดีตท่านเจ้าเมือง และท่านรองแม่ทัพผู้นั้น ที่ป่าสีทอง
จริงหรือ เล่ามาสิ
อาฮุ่ยผู้นี้ถูกโจรปล้นในระหว่างการเดินทางกลับมา เดินทางผ่านป่าสีทองแล้วแวะพักที่ปากทางของป่าเหมือนทุกที แต่ขณะที่เขากำลังคิดกังวลว่าจะทำอย่างไรดี ก็ได้ยินเสียงพูดคุยกันจากในป่า ก็คิดว่าใครกัน จึงร้องบอกว่าให้ออกมา เพราะว่าเป็นการไม่เหมาะที่จะเข้าไปอยู่ในที่นั้น ปรากฏว่า มีชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่งดวงตาสีทอง สวมชุดสีน้ำตาลวิ่งมาหาแล้วส่งถุงเงินให้
อาฮุ่ยตกใจมากเลยใช่ไหม
ที่ฟังมาข้าว่าอาฮุ่ยดีใจมากกว่าตกใจนะที่ได้พบท่านกวางทองน่ะ
เออใช่ บิดามารดามักเล่าเรื่องที่ได้พบท่านกวางทองกับท่านนกยูงทอง จนข้าอยากได้พบสักครา
จะฟังเรื่องอาฮุ่ยต่อหรือไม่
ฟังสิฟัง
ทีนี้ตอนที่กำลังจะรับถุงเงินจากท่านกวางทอง ก็เห็นท่านอดีตเจ้าเมืองเดินตามมา ถัดไปด้านหลังคือท่านรองแม่ทัพผู้นั้น บอกว่า อยากให้เงินช่วยเหลือผู้อื่น แต่กลับไปเอาเงินของแม่เล็กมาให้
พวกเขายังสุขสบายดีใช่ไหม นานเหลือเกินที่ไม่ได้พบกับพวกเขา
คนอ่อนไหวเช็ดน้ำตา สูดจมูกเมื่อฟังเรื่องราว แต่คนที่อยากรู้เรื่องราวก็ซักถามต่อ
ตกลงอาฮุ่ยรับเงินมาไหม
รับมาสิ ท่านกวางทองให้มานี่ แล้วก็เอามาที่โรงแลกเหรียญสกุลหยางนี่แหละ เล่าเรื่องให้ฟัง ท่านหยางจินก็เลยให้เงินเพิ่มมาให้อีก
ดีจริง
ใช่ดีจริงๆ
ดีเหลือเกินที่เราเป็นชาวเมืองลั่ว....

...อวสาน...
 เราลงตอนแรกของเรื่องนี้เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2016 และมาจบในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2018 ช่างเป็นการเล่าเรื่องที่ยาวนาน ได้ทดลองการเขียนแบบที่เราไม่เคยเขียน
ขอบคุณที่ให้การสนับสนุน กรุณาติดตามและแสดงความคิดเห็น
ขอบคุณมากครับ
MyTeaMeJive
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: yunjae_yusoo_mi ที่ 09-11-2018 20:40:58
นกยูงทองหาเจอใช่ม่ะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: kanj1005 ที่ 09-11-2018 22:01:25
สามแฝดน่ารัก
ฉากใครจะกลับไม่กลับหลังการประชุม ก็น่ารัก เหมือนชีวิตปัจจุบันที่ชอบถามกันว่าใครจะกลับกับใครบ้าง  อ่านบทสุดท้ายแล้วอบอุ่น  หวังว่านกยูงคงจะตามหาท่านเฉิงเจอ
ขอบคุณที่แต่งเรื่่องดีๆให้ได้อ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: YouandMe ที่ 10-11-2018 00:10:25
จบอย่างอบอุ่น  :-[
กวางทองกับ 3 แฝดน่ารักมาก...ขโมยซีนคนอื่นหมด  :mew4:
คู่นกยูงทองกลายเป็นเรื่องซึ้งที่สุด...ขอให้หากันจนเจอนะ  :กอด1:
ส่วนคู่จิ้งจอกไฟ...ปล่อยเขาไปเถอะ   :katai3:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: jj ที่ 10-11-2018 08:32:31
อิ่มเอมกับตอนจบมากค่ะ
อ่านจบแล้ว แอบเช็ดน้ำตา

ภาพของพวกเค้า จะอยู่ในใจเราตลอดไป

ขอบคุณ ไจฟ์และทีมากค่ะ
ที่เขียนนิยายดีดีให้อ่าน
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 10-11-2018 09:24:23
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 10-11-2018 10:18:01
ชีวิตเกี่ยวพันร้อยเรียงซึ่งกันและกัน

มีความรักและความเอื้อาทรต่อกันเป็นสายใยพันผูก

อ่านแล้วอบอุ่นหัวใจมาก ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: dekying kukkig ที่ 10-11-2018 10:57:56

 :katai2-1:  :katai2-1:  :katai2-1:

เรื่องราวบทสุดท้ายนี้ ทำน้ำตาซึม มันอิ่มในใจกับตอนสุดท้ายนี่จริงๆ ชอบที่ครอบครัวมันขยายใหญ่ออกไปเรื่อยๆ

ความรักของครอบครัว ความรักของคนรัก ความผูกพันของทุกตัวละครในตอนจบมันละมุนเกินกว่าคำว่าอบอุ่น

ขอบคุณมากมายสำหรับเรื่องราวในนิยายเรื่องนี้ค่ะ ยาวมากกับเรื่องนี้และก็ชอบมากๆอีกเช่นกัน  :L1:

หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 10-11-2018 12:57:12
ยาวนานจริงๆนะ ใจหายนิดๆเหมือนกับทุกๆอย่างมันได้กลายเป็นตำนานเรื่องเล่าหรือนิทานให้คนรุ่นหลังไปแล้ว มันจางหายไปจนความศักดิ์สิทธิ์ของป่าสีทองจะหายไปไหม
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: phrase ที่ 10-11-2018 20:04:20
จบแล้วววว ขอบคุณมากเลยค่ะ เป็นนิยายที่อ่านแล้วใช้สมาธิเยอะมาก เพราะตัวละครวางแผนนู่นนี่นั่นเยอะไปหมด ความรู้สึกของแต่ละคนก็คลุมเครือ รู้สึกว่าภาคกวางทองจะอ่านง่ายสุดแล้วก็ไต่ระดับความซับซ้อนขึ้นมาเรื่อย ๆ ยังคงมาตรฐานของ MyteaMejive ไว้เหมือนเดิมเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: Meen2495 ที่ 13-11-2018 04:03:15
รอคำว่า "ตอนจบ" มานานมากค่ะ
สองปีแน่ะเนอะ ... กับความอดทนรอ
แล้วก็คุ้มค่ามาก ... กับการอ่านรวดเดียวจบ 2 วันเต็ม ๆ

เรื่องราวดีงาม สำนวนภาษาก็สุดยอดเลย
(เจอคำสะกดผิดน้อยมากถึงน้อยที่สุด (แม้จะมี แต่ก็ย้ำว่าน้อยมากค่ะ)

ขอบคุณนะคะ ...
ยกให้เป็นนิยายวายที่ดีงามเรื่อง 1 ใน 5 ที่ชอบเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 13-11-2018 23:49:59
เรื่องราวน่าติดตามมากค่ะ มีข้อคิด มีความซับซ้อน
มีความแปลกและท้าทาย มีเรื่องให้ลุ้นตลอดเวลา
และยังมีโมเมนท์หวาน อบอุ่นของความรักและคนรักกัน

อ่านสามภาคจบ นิยายเรื่องนี้ดีค่ะ
มีเหตุการณ์ซ้อนทับกัน ในภาคนี้ไม่มี ก็มีในอีกภาค
ทำให้เข้าใจมากขึ้น และยิ่งน่าสนใจว่า ทุกเรื่องเริ่มจากอะไร

แล้วเฉลยได้ดีมากค่ะ เรื่องทุกอย่างคือพี่ใหญ่เสือดำวางหมากไว้
ขนาดพ่อเสือภูผายังตามน้ำ หลงทางไปหลายปี หลายเวลา

กวางทองทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น โลกสดใส มุมมองกลับด้าน
ป่าสีทองทำให้ไม่ค่อยรู้จักความซับซ้อนของคน
แต่ทำให้รู้จักว่า เข้าหายังไง และถอยยังไง

หยางหลงคือมังกรจริงๆ ใช่ไหมคะ หรือเพราะพลังเทพ
แล้วที่อายุยืนเหมือนกัน เพราะพลังถ่ายทอด
หรือเพราะเข้ามาอยู่ในป่า อันนี้อยากรู้เหมือนกัน

แฝดสามน่ารักมาก หยางหลงวางแนวทางได้ดี
และเด็ก ๆ เติบโตมาอย่างดีงาม

ตลกนกยูงทอง สนใจเค้าก่อน เลยเคืองที่เค้าไม่สนใจ
เศร้าน่ะ ตอนที่หยางเฉิงตาย แต่ก็นั่นแหละ คำสัตย์ไม่อาจเปลี่ยน

ชอบความทะนุถนอมกวางทองของทุกคน 
แม้แต่ตอนมีลูกแล้ว ยังเป็นเด็กน้อยไม่ต่างจากเดิม

ขอบคุณมากนะคะ ตอนอ่านก็อินมาก
แต่ตอนมาคอมเมนท์คิดคำไม่ออก
รู้แค่ว่า สนุกมาก และน่าติดตามทุกภาค
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 17-11-2018 20:31:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: jaibang ที่ 25-11-2018 18:17:55
โอ้ยน้องลู่5555555555
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 13-12-2018 21:30:07
เป็นตอนจบที่เรียกน้ำตามากโดยเฉพาะเรื่องของนกยูงทอง​ ขอบคุณมากค่า
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: nutae or ที่ 18-12-2018 00:27:02
เพิ่งเห็นเรื่องนี้อ่ะ  หลังจากไม่ได้เข้าเล้ามานาน อยากบอกว่าชอบงานเขียนของคุณสองคนมากกกกกกกกกกกกก....ไม่สนใจทำเล่มบ้างเหรอคะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: NewYearzz ที่ 30-12-2018 14:41:07
เรื่องนี้สนุกมากครับ

เป็นแนวแบบจีนพีเรียดซึ่งชอบมาก

แล้วก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้ดีมาก

แต่มันมีหลายส่วนที่ผมไม่เข้าใจ

เช่นความสัมพันธ์ระหว่างสีเทพแห่งป่าสีทอง

หรือหยางหลงจริงๆแล้วเป็นมังกรหรือเป็นมนุษย์

แล้วก็ถ้าไม่อย่างหลงกับเฉินอวี้ถึงไม่แก่ไม่เจ็บไม่ป่วยไม่ตาย

แต่โดยรวมชอบบรรยากาศในเรื่องนี้มาก

คือด้วยความที่เป็นคนชอบอะไรแนวเทพเซียนเซียนอยู่แล้ว

ตัวละครที่ชอบที่สุดฝ่ายสามีส่วนตัวยกให้ พี่ใหญ่

แต่ฝ่ายภรรยาตอนแรกลังเลว่าจะให้ใครดี

กวางทองหรือเปล่าแต่คนที่ได้ไปนกยูงทอง

เป็นอะไรที่แบบน่ารักและสีสันของเรื่อง

แม้ตอนของนกยูงทองเองมีน้อยมาก

แต่แบบ นกยูงทองมีคาแรคเตอร์ที่สุดโต่งน่ารักมากๆจริงๆ ๆ

ขอบคุณไจฟ์ทีมากครับที่เขียนเรื่องราวดี ๆ มาให้อ่าน :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:12:33
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Sunrise in the forest บทที่ 40 (ตอนจบ)
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 21-03-2022 18:44:53
เพิ่งเคยได้มาอ่านเรื่องนี้
สนุกมากๆเลยค่ะ ชอบแนวนี้สุดๆ