แฝด ตอนที่ 11
“ลุกไปอาบน้ำได้แล้วมิน” แม็กระตุกผ้าห่มออกจากตัวของคนขี้เซาที่ไม่ยอมลุกออกจากที่นอนสักที ทั้งที่รับปากกับเขาไว้แท้ๆ แต่จนแล้วจนเล่าเจ้าตัวก็ยังคงนอนซุกอยู่ที่เดิมทั้งที่เขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว
“ขออีกสิบนาทีนะแม็กจ๋า~” คนขี้เซาต่อรองเวลาด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างอู้อี้ทั้งที่ยังคงเอาหัวซุกอยู่ใต้หมอนเช่นเดิม
“มึงขอสิบนาทีมาสิบรอบแล้วนะมิน” แม็กว่า เพราะมินขอเลื่อนเวลากับเขามาเป็นสิบรอบแล้ว ตั้งแต่เขาเพิ่งตื่นจนตอนนี้เขาเตรียมพร้อมที่จะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว
“ขออีกครั้งเดียวนะแม็กน้า”
“นับหนึ่ง”
“ไม่รู้ไม่ชี้”
“นับสอง”
“ไม่กลัวหรอกชิ!”
“ได้…มึงเลือกแบบนี้เองนะมิน”
ปลอบก็แล้ว ขู่ก็แล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนคนขี้เซาก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม แม็กก็เลยเลือกที่จะใช้ไม้แข็งกับเด็กดื้อแทน
“อ๊ากก!! ปล่อยน้า~ แม็กปล่อยเลยนะ มินกลัว!” มินหวีดร้องเสียงหลงขึ้นทันทีเมื่อจู่ๆก็รู้สึกได้ว่าตัวเองลอยหวือขึ้นจากที่นอนนุ่มด้วยฝีมือของคนรักที่กำลังแบกเขาห้อยหัวต่องแต่งเดินไปทางห้องน้ำ ก่อนที่จะ
พรึ่บ…ซ่า!!
“อื๊อออ…แม๊กอ๊า!!!!!~”
“ทีนี้ก็เลิกต่อรองแล้วอาบน้ำได้สักทีนะคะน้องมิน ฮ่าๆ” แม็กค่อยๆวางมินลงบนอ่างอาบน้ำเบาๆ เพราะเกรงว่าถ้าทำอะไรรุนแรงกับคนรักจะกระเทือนถึงลูกน้อยในท้อง พร้อมทั้งเอื้อมมือเปิดชาวเวอร์ที่ฝังตัวอยู่บนราวเหนือศีรษะด้วยความรวดเร็วอย่างที่มินตั้งตัวไม่ทัน ก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากห้องน้ำไปด้วยท่าทางที่ดูสนุกสนานร่าเริงอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยแสดงออกมาก่อนและไม่วายที่จะทิ้งคำพูดชวนหัวอย่างล้อเลียนให้มินได้หงุดหงิดเล่นอีกต่างหาก
“เอ๊ะ! เสื้อนี่มัน” มินยกมือขึ้นปิดปากอุทานตาเบิกกว้างเมื่อสังเกตุเห็นภาพสะท้อนในกระจกลิฟต์ว่าเสื้อที่แม็กสวมใส่อยู่กับเสื้อที่เขาโดนแม็กบังคับให้ใส่อย่างจำยอม ว่าความจริงแล้วเสื้อทั้งสองตัวนี้มันเหมือนกัน จะแตกต่างก็แค่ว่าเสื้อของเขาเป็นสีขาวส่วนของแม็กเป็นสีดำก็เท่านั้น และที่เขาเพิ่งจะสังเกตเห็นก็เพราะว่ากระดุมเสื้อโค้ทตัวยาวที่แม็กใส่คลุมไว้ตั้งแต่แรกมันหลุดออกยังไงล่ะ
“เป็นอะไร?” แม็กที่มัวแต่ก้มหน้าเช็คงานของตัวเองผ่านโทรศัพท์อยู่ก็เอ่ยถามออกมาเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้ว เห็นว่าคนรักอย่างมินหน้าซับสีแดงระเรื่อด้วยท่าทางแปลกๆ
“ปะ…เปล่า มินแค่รู้สึกว่าวันนี้มันอุ่นกว่าเมื่อวานเฉยๆ” มินทำเป็นพูดเลี่ยงไปอีกทาง เพราะไม่อยากที่จะเอ่ยแซวคนรักให้เขินอายจนทำให้ทริป ‘เดท’ ที่หน้าจดจำนี้เสียบรรยากาศไปเปล่าๆหรอกนะ เพราะมีไม่กี่ครั้งหรอกนะที่คนซึนๆอย่างแม็กจะทำอะไรหวานๆอย่างนี้โดยที่เขาไม่งอแงหรือเรียกร้องออกมาก่อน
“วันนี้เราจะไปไหนกันหรอแม็ก” มินเอ่ยถามในขณะที่เขาทั้งสองนั่งอยู่บนรถของโรงแรมที่แม็กได้จองไว้ส่วนตัวตลอดทริปนี้
“ไปโบสถ์” แม็กตอบออกมาสั้นๆในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ในมือ
“ไปทำไมอ่ะ?”
“ไปงานแต่ง”
“หืม? งานแต่งเพื่อนแม็กหรอ? คนไหนอ่ะ?” มินถามด้วยความแปลกใจ เพราะเสื้อผ้าที่พวกเขาใส่ในวันนี้มันก็เป็นเพียงแค่เสื้อผ้าธรรมดาๆที่ไม่เหมาะจะไปงานมงคลของใครเลย แต่คิดไปคิดมาก็อาจจะเป็นงานแต่งเล็กๆของหนึ่งในเพื่อนของแม็กที่จัดกันอย่างเป็นกันเองก็ได้ เพราะปกติแล้วแม็กจะให้เกียรติเจ้าของงานและสถานที่ทุกๆงานอยู่แล้ว และที่สำคัญเลยคือแม็กมีเพื่อนเยอะมากเลยเขาเลยไม่แปลกใจเท่าไหร่ถ้าเจ้าตัวจะมีเพื่อนอยู่ที่นี่ ซึ่งแตกต่างจากเขาที่แม็กอนุญาตให้ครบเบบี้เป็นเพื่อนได้คนเดียวเท่านั้น..…ความเท่าเทียมอยู่ไหนกัน?
“ถึงแล้วครับ” เสียงคนขับรถพูดบอกพร้อมกับที่รถลีมูซีนคันสวยหยุดลงหน้าโบสถ์คริสต์หลังงามแห่งหนึ่งที่มีแบล็คกราน์เป็นภูเขาใหญ่โดยหันหน้าออกทะเลสาบอันกว้างใหญ่ที่ตอนนี้ได้แปลเปลี่ยนเป็นทะเลสาบน้ำแข็งไปตามฤดูกาลแล้ว
“เฮ้! มินนี่!!” ระหว่างที่มินกำลังชมความงดงามของทัศนียภาพอันสวยสดงดงามรอบๆตัวอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียเรียกชื่อแฝงของเขาอย่างคุ้นเคยมาจากทางด้านหลัง
“เบบี้?” และเมื่อหันหลังกลับไปมองตามเสียงเรียบมินก็ได้พบกับร่างเล็กสมส่วนที่เป็นคุ้นเคยจริงๆอย่างที่คาดเดาจากน้ำเสียง
“ใช่ฉันเอง เบบี้ที่รักของนายไง” คนหน้าหวานเจ้าของชื่อพูดบอกพร้อมกับกระโดดเข้ากอดเพื่อนรักอย่างมินที่มีรูปร่างไม่ต่างจากตัวเองเป็นการใหญ่ เพราะนานมากแล้วที่เขาทั้งสองคนไม่ได้เจอกัน
“มากเกินไปแล้ว ไปกอดผัวมึงโน่นไป” แม็กดึงตัวมินออกมาจากเบบี้พร้อมทั้งรีบพูดไล่เบบี้ให้ไปหาเจ้าของตัวจริงของเจ้าตัว ก่อนที่จะโอบกอดมินไว้แน่นไม่ต่างจากเด็กหวงของไม่มีผิด ทำเอาเบบี้ได้แต่เบะปากส่ายหน้าใส่อย่างไม่จริงจังนัก
“ชิ! ทำเป็นหวง”
“ไง…สบายดีนะมินนี่” สตีฟทักทายกับเพื่อนรักสั้นๆก่อนที่จะหันมาสนใจมินที่อยู่ในอ้อมกอดของแม็ก เพราะเขาก็ไม่ได้เจอกับมินนานพอๆกับคนรักอย่างเบบี้ เพราะอย่างที่รู้ๆกันว่าเจ้าของมันหวงมาก
“ฉันสบายดี” มินยิ้มหวานตอบกลับไปทำเอาสตีฟเพ้อไปเป็นพัก จน…
ป๊าบ!! เพียะ!!!
“โอ๊ยยยยย!!!”
“เพื่อนกู”
“เมียกู”
สตีฟร้องโอดโอยออกมาทันทีเมื่อโดนแม็กโปกมือเข้าที่ศีรษะเต็มแรง พร้อมๆกับที่คนรักอย่างเบบี้คนงามเหวี่ยงมือตบเข้าที่แก้มซีกซ้ายของเขาสุดแรงเกิดตามมาอีกคน
“อะโธ่…นานๆเจอกันทีขอเคลิ้มกับรอยยิ้มนางฟ้าสักห้านาทีได้มั้ยเนี่ย ปกติก็เจอแต่ฝ่ามือนางมารอยู่ทุกวันๆ” สตีฟใช้สองมือลูบคำแก้มกับศีรษะตัวเองป้อยๆด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังไม่วายที่จะหาเรื่องเจ็บตัวต่อ
“คืนนี้ที่รักคงอยากจะนอนนอกห้องสินะ” เบบี้พูดขู่เสียงหวานด้วยสายตาจิกๆที่สตีฟเห็นแล้วต้องรีบปฏิบัติการประจบประแจงศรีภรรเมียทันที
“โธ่! เค้าแค่ล้อเล่นเองนะคะที่รัก”
“พอๆ ฉันว่าเราเข้าไปในโบสถ์กันเถอะแม็ก มินนี่ ป่านนี้คุณพ่อคงมารอแล้ว” เบบี้บอกพร้อมกับเดินจูงมือมินเข้าไปในโบสถ์ที่ว่างเปล่าเกินกว่าจะเป็นงานแต่งงานได้
“มากันแล้วหรอ” แต่งงได้ไม่นานก็มีบาทหลวงสูงวัยชาวยุโรปคนหนึ่งเดินเข้ามาจากประตู้ข้าง จนมาหยุดยืนอยู่หน้าแท่นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์
“คุณพ่อ” และมินก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อได้พบกับคนที่คุ้นเคยอีกครั้ง
“ครับคุณพ่อ” แม็กโค้งตัวตอบและทักทายบาทหลวงไปในตัว เพราะเมื่อสมัยเรียนทั้งแม็กและมินก็มีโอกาศที่ได้รู้จักกับบาทหลวงท่านนี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว เพราะก่อนที่ท่านจะย้ายมาที่นี่ ท่านได้อยู่ที่โบสถ์ประจำเมืองที่แม็กกับมินไปเรียนต่อเช่นเดียวกัน
“ว่าไงตัวเล็กของพ่อ จะมีหลานทั้งทีไม่ส่งข่าวให้พ่อรู้เลยหรอฮึ?”
“ขอโทษที่ไม่ได้บอกฮะคุณพ่อ มินก็ตั้งตัวเหมือนกันฮะ” มินพูดบอกเสียงอ่อยด้วยความรู้สึกผิด เพราะบาทหลวงหรือคุณพ่อท่านนี้ ก็เปรียบเสมือนพ่อแท้ๆของเขาเพราะถ้าไม่มีคุณพ่อผู้มีพระคุณท่านนี้ ก็คงจะไม่มีเขามาจนถึงทุกวันนี้ เพราะตราบาปที่ติดตัวของเขามันผิดบาปมากเกินกว่าที่จะชดใช้ได้หมดภายในชาติเดียว แต่เป็นเพราะคำสอนดีๆของคุณพ่อ เขาจึงกล้าที่จะเงยหน้าก้าวเดินต่อไปอย่างที่พยายามไม่ให้เกิดความผิดพลาดเพิ่มขึ้นมาอีกในชีวิตนี้เพราะลำพังเพียงแค่การร่วมประเวณีระหว่างพี่น้องของเขากับแม็กก็ถือว่าเป็นการลบลู่เกียรติอันสูงสุดของพระเจ้าแล้ว ระหว่าที่ยังใช้ชีวิตการเป็นนักศึกษาอยู่ต่างประเทศเขาถึงต้องชวนแม็กเดินไปสารภาพบาปที่โบสถ์ทุกๆวันยังไงล่ะ ถึงแม้วิธีนี้จะไม่สามารถลบล้างบาปให้เขาทั้งสองคนได้ แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เขาลบล้างความรู้สึกในใจออกไปบ้างไม่มากก็น้อย
“เอาเถอะๆ อย่าทำหน้าอย่างนั้นเลย พ่อแค่แหย่เล่นเท่านั้น จะรู้ช้ารู้เร็วยังไงก็รู้แล้ว ถ้าพร้อมกันแล้วพ่อว่าเรามาเริ่มพิธีกันเลยดีกว่า” ท่านพูดบอกด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“พิธีอะไรหรอ?”
“มินหันกลับไปถามแม็กอย่างงงๆ”
“ก็พิธีแต่งงานของมินนี่กับแม็กกี้ไง” แต่กลับเป็นเบบี้ที่เฉลยความสงสัยของมินแทน
“งานแต่งของเราจริงๆหรอ?” มินหันกลับไปขอคำยืนยันจากคนรักอีกครั้ง
“เออสิ ในเมื่อขอแล้วก็ต้องแต่ง” แม็กพูดแค่นั้นก่อนที่จะจูงมือมินเข้ามายืนหันหน้าเข้าหากันหน้าแท่นพิธี ต่อหน้าบาทหลวงผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นพ่อคนที่สอง
“คู่บ่าวสาวที่รัก ท่านทั้งสองมาในโบสถ์นี้ เพื่อขอพระเป็นเจ้า( ประทับตราศักดิ์สิทธิ์ ) ปกป้อง คุ้มครองความรักของท่าน ทำให้ความรักของท่านมั่นคงขึ้นต่อหน้าศาสนบริกรของพระศาสน จักร และต่อหน้าสัตบุรุษที่ชุมนุมอยู่ ณ ที่นี้ พระคริสตเจ้าทรงอวยพรความรักของท่านอย่าง อุดมสมบูรณ์ ( พระองค์โปรดให้ท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์แล้วด้วยศีลล้างบาป และขณะนี้พระองค์ จะโปรดให้ท่านมั่งคั่ง และเข้มแข็ง ด้วยศีลศักดิ์สิทธิ์ที่จะรับอยู่นี้ ) เพื่อช่วยให้ท่านปฏิบัติ หน้าที่อื่นๆ ของการสมรสในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันและซื่อสัตย์ต่อกันตลอดไป ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถามถึงเจตจำนงของท่านทั้งสองต่อหน้าพระศาสนจักร” เมื่อเห็นว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวของงานพร้อมแล้วบาทหลวงก็เริ่มพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นทันที ก่อนที่จะเอ่ยต่อว่า…
“นายเมธากรและนายรามิณทร์ ท่านทั้งสองมาที่นี่โดยไม่ได้ถูกบังคับ แต่มาด้วยการสมัครใจเพื่อเข้าพิธีสมรสอย่างแท้จริงใช่หรือไม่?”
“ครับ/ฮะ”
“เมื่อเข้าสู่พิธีสมรสเช่นนี้แล้วท่านทั้งสองพร้อมที่จะรักและยกย่องให้เกียรติแก่กันและกันจน ตลอดชีวิตหรือไม่?”
“ครับ/ฮะ”
“ท่านทั้งสองพร้อมที่จะน้อมรับบุตร ซึ่งพระเป็นเจ้าจะประทานให้ อบรมเลี้ยงดู ตามกฎของ พระคริสตเจ้า และพระศาสนจักรหรือไม่?”
“ครับ/ฮะ”
“ท่านทั้งสองที่มีเจตจำนงที่จะสมรสกัน ขอให้ท่านจับมือขวาของกันและกันและแสดง ความสมัครใจ ต่อหน้าพระเป็นเจ้า และพระศาสนจักรของพระองค์”
พอสิ้นสุดคำกล่าวของบาทหลวงทั้งแม็กและมินต่างก็ยื่นมือเข้ามากุมมือขวาของกันและกันก่อนที่แม็กจะกล่าวแสดงความสมัครใจด้วยเสียงดังฟังชัดว่า…
“ผมนายเมธากร รัตนปภากุล ขอรับคุณรามิณทร์ โชคธนกิจเป็นภรรยา และขอสัญญาว่าจะถือซื่อสัตย์ต่อคุณทั้งในยามทุกข์และยามสุข ทั้งในยามเจ็บป่วยและสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
“ผมนายรามิณทร์ โชคธนกิจ ขอรับคุณเมธากร รัตนปภากุลเป็นสามี และขอสัญญาว่าจะถือซื่อสัตย์ต่อคุณทั้งในยามทุกข์และยามสุข ทั้งในยามป่วยและสบาย เพื่อรักและยกย่องให้เกียรติคุณจนกว่าชีวิตจะหาไม่” ถึงแม้ว่ามินจะสงสัยในนามสกุลของคนรักที่เปลี่ยนไปจากที่เคยใช้นามสกุลเดียวกันมากก็ตาม แต่มินก็ยังคงเลือกที่จะทำเป็นไม่สนใจและทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ต่อไป แต่หลังจากที่กลับไทยเขากับแม็กคงจะได้คุยเรื่องนี้กันอีกยาวแน่ๆ
“ความสมัครใจที่ท่านทั้งสองได้แสดงต่อหน้าพระศาสนจักรนี้ ขอพระเจ้าทรงพระเมตตา ทะนุบำรุงให้เข้มแข็ง และประทานพระพรแก่ท่านทั้งสองอย่างอุดมสมบูรณ์เทอญ สิ่งที่พระ เจ้าได้รวมไว้ให้ชิดสนิทกัน มนุษย์อย่าแยกออกจากกันเลย…เอเมน” เมื่อจบคำกล่าวนี้ของบาทหลวงทั้งสตีฟและเบบี้ก็ก้าวเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆกันกับเพื่อนรักทั้งสองของตนคนละฝั่งพร้อมกับที่ในมือถือกล่องแหวนไว้คนละวง ซึ่งมินก็จำได้ดีว่าแหวนที่อยู่ในมือสตีฟที่ยืนอยู่ข้างแม็กคือแหวนวงเดียวกันกับที่แม็กสวมให้เขาเมื่อคืนนี้ ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ตัวว่าแม็กเอามันกลับคืนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะวันนี้ตัวเขาเองก็ยังเบลออยู่มากจากผลกระทบของสามยกเมื่อคืน ส่วนแหวนที่อยู่ในมือเบบี้ที่ยืนข้างกันกับเขาก็มีลักษณะคล้ายๆกันกับแหวนของเขาเพียงแต่มันเป็นวงใหญ่หว่า ตัวเรือนหนากว่า แต่มีเพชรเม็ดเล็กกว่าฝังอยู่ก็เท่านั้นเอง
“แหวนทองคำบริสุทธิ์สองวงนี้ เป็นเครื่องหมายแห่งความรักและคำสัญญา แสดงว่าท่านจะช่วยกันรักษา และทะนุถนอมความรักที่มีต่อกันให้บริสุทธิ์ แหวนนี้เป็นวงกลมเชื่อมกันสนิท ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีที่สิ้นสุด จงมอบให้เป็นความรัก และเป็นเครื่องหมายตราประทับในดวงใจของท่านทั้งสอง ตั้งแต่บัดนี้ไปจนชั่วนิรันดร์…เอเมน” จากนั้นบาทหลวงก็เริ่มทำการเสกแหวนทั้งสองวงเมื่อเบบี้และสตีฟก้าวเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของท่าน ก่อนที่แม็กและมินจะรับแหวนมาสวมลงบนนิ้วนางข้างซ้ายของกันและกัน ก่อนที่บาทหลวงจะกล่าวออกมาอีกว่า…
“ท่านที่รักทั้งสอง พระเจ้าทรงสร้างท่านให้เป็นคู่อปถัมภ์ของกันและกัน เป็นพระประสงค์ของพระองค์ ที่ทรงให้ท่านทั้งสองร่วมชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดชีวิต ท่านจงดูตัวอย่างสามีภรรยาที่ดีว่าเขาปฏิบัติต่อกันอย่างไร ขอให้ท่านปฏิบัติตาม ขอให้ท่านทั้งสองรักใคร่สัตย์ซื่อต่อกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน และมีความอดทน อดกลั้นต่อกันและกัน ขอให้ท่านทั้งสองจงรักกันให้มากยิ่งๆขึ้น ขอให้แหวนซึ่งท่านได้สวมให้แก่กันและกันนั้น เป็นสัญลักษณ์ และเครื่องหมายแห่งความรักอันไม่มีที่สิ้นสุด อย่ารักกันด้วยคำพูด หรืออารมณ์เท่านั้นแต่ต้องรักกันด้วยการกระทำ และความจริงใจ จงรักกันและกัน เหมือนอย่างที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงรักท่าน จงให้ความรักนี้บริสุทธิ์ เพราะพระเจ้าทรงสอนผ่านพระคัมภีร์อย่างชัดเจนว่า ‘จงให้การสมรส เป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และให้เตียงสมรส ปราศจากความชั่วช้า เพราะคนมีชู้ และคนล่วงประเวณีนั้นพระเจ้าจะลงโทษเขา’ และพระคัมภีร์ได้กล่าวว่า ‘ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก…เอเมน”
เมื่อสิ้นสุดพิธีและคำอวยพรแล้ว แม็กก็คว้าเอวมินเข้ามากอดประชิดตัวก่อนที่จะก้มลงไปประทับตาแสดงความเป็นเจ้าของอย่างถูกต้องด้วยริมฝีปากของตัวเองช้าๆแบบไม่รุกล้ำแต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนหวานและอ่อนโยนท่ามกลางคนสำคัญทั้งสามคนของพวกเขาที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีสาบานรักครั้งนี้
ต่อให้ใครจะมองว่าความรักของเขาทั้งสองคนจะผิดบาป ผิดศีล ผิดจารีตประเพณี หรือว่ามันไม่สมควรที่จะเกิดขึ้นสักแค่ แต่ตราบใดที่ยังมีชีวิตและลมหายใจอยู่ แม็กก็ยังคงยืนยันที่จะรัก และจะปกป้องดูแลคนในอ้อมกอดอย่างนี้ต่อไป เพราะมินคือหัวใจที่สำคัญของเขา
…………………………….………………………………….TBC.