ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 150573 ครั้ง)

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
โอ๊ยยยย สงสารพี่เมษ สู้ สู้นะ  :กอด1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ตะวัน หายไว ๆ นะ

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
โอ๊ยยยยยยยย เกลียดแม่ตะวัน

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ตะวันต้องพบแพทย์นะลูกกก

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๒๘
แค่เข้าใจ


         วันต่อมาราเมศไปทำงานโดยให้ปานตะวันอยู่ที่บ้านกับหนูเจีย ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าเขาจะได้อยู่กับหลานแค่สองคนแต่ปรากฏว่าหลังราเมศขับรถออกไปประมาณห้านาทีคนคนหนึ่งก็ก้าวขึ้นมาบนบ้าน แวบแรกที่เห็นปานตะวันถึงกับนึกว่าตัวเองตาฝาด
   
         “แม่?”
   
         รุ่งฟ้าถอดแว่นกันแดดออกจากนั้นก็พูดว่า “ใช่ แม่เอง ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนั้น”
   
        “แม่มาทำไม”
   
        “มาอยู่ด้วย” ปานตะวันมองมารดาบังเกิดเกล้าเดินเอากระเป๋ามาวางแหมะบนโซฟาด้วยสีหน้ายากจะเดาอารมณ์
   
       “ถ้าแม่จะทำแบบนี้เพราะสงสารล่ะก็ผมไม่ต้องการ”
   
       “แม่ไม่ได้สงสาร” รุ่งฟ้าพูดขัดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม่ก็แค่อยากคุยด้วย หลายๆ เรื่อง ไหนๆ ก็มาไทยแล้ว เราน่าจะได้ใช้เวลาด้วยกันสักหน่อย”
   
       “เหอะ ตามสบาย อยากทำอะไรก็ทำ”
   
       ถ้อยคำนั้นห้วนสั้นไร้เยื่อใยทำเอาคนเป็นแม่ใจหายไม่น้อย แม้ว่าปานตะวันจะไม่ชอบใจเธอมากนักแต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีแข็งกร้าวแบบนี้ หญิงสาววัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นึกถึงเรื่องที่ราเมศพูดกับเธอ
   
        ‘เขาป่วยครับคุณน้า’ ราเมศพูดกับเธอแบบนี้ ‘เป็นอาการป่วยที่ต้องใช้ความเข้าใจและความอดทนอย่างมากในการช่วยดูแลเขา’
   
        ‘เธอจะบอกว่าเขาซึมเศร้า?’
   
        ‘ครับ และผมต้องการพาตะวันไปหาหมอ แต่ถ้าพูดไปตรงๆ เขาคงไม่ยอมแน่ ผมอยากให้คุณน้าช่วยเกลี้ยกล่อมเขาแล้วก็อยากให้คุณช่วยปรับความเข้าใจกับเขา ผมว่าที่ปานตะวันพูดแบบนั้นกับคุณ มันอาจมาจากจิตใจแความรู้สึกของเขาก็จริงแต่ลึกๆ แล้วเขาก็ต้องการคุณอยู่นะครับ คุณเองก็รักเขา ในเวลานี้ตะวันต้องการทุกกำลังใจเท่าที่จะให้ได้ ผมอยากให้คุณเป็นหนึ่งในนั้นนะ ยังไงมีครอบครัวอยู่ข้างกันย่อมดีที่สุด’
   
        ตั้งแต่ได้คุยกับราเมศ รุ่งฟ้าก็กลับไปหาข้อมูลด้วยตัวเอง เธอถึงกับโทรกลับไปหาสามีที่ต่างประเทศเพื่อให้เขาติดต่อเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์ให้หน่อยว่าเธอควรทำอย่างไรกับลูกชายดี คำแนะนำที่ได้รับกลับมาคือก่อนอื่นเธอต้องทำความเข้าใจ ทำความเข้าใจว่าเขาเป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง ทำความเข้าใจว่าโรคนี้เกี่ยวกับสารเคมีในสมองไม่ใช่เพราะผู้ป่วยเป็นคนไม่สู้ปัญหาเหมือนที่หลายคนชอบตราหน้า
   
       ทำความเข้าใจว่าสิ่งที่ลูกชายเธอแบกรับอยู่มันหนักกว่าที่คนภายนอกเห็น พวกเธออาจจะแบกความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับปานตะวันมันคงเหมือนแบกโลกทั้งใบ ทำความเข้าใจว่าเรื่องแย่ๆ เกิดในหัวของเขาอยู่ตลอดเวลา ทำความเข้าใจว่าตะวันรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนอยู่คนเดียวบนโลก
   
       สิ่งสำคัญที่เธอได้รับการกำชับมาคือการตะโกนบอกเขาว่า กินให้เยอะๆ สิ ทำตัวให้เข้มแข็งหน่อย ร่าเริงให้มากๆ ปล่อยวางความทุกข์เสียบ้างไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นแต่มันทำให้เขาแย่ลง
   
       รุ่งฟ้าลองคิดในมุมกลับกัน ถ้าเธอเป็นปานตะวัน กำลังจิตตกจนถึงขั้นย่ำแย่ แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่าเข้มแข็งหน่อย ความทุกข์เดี๋ยวก็ผ่านไป ร่าเริงเข้าไว้ เธอจะคิดมากไปถึงไหน ถ้ามีคนมาพูดแบบนี้ใส่หน้าเธอ เธอคงจะเกลียดเขามาก เพราะคนพวกนี้ไม่เข้าใจปัญหาของเธอเลย เอาความรู้สึกของตัวเองที่เป็นปกติมาเป็นบรรทัดฐานแล้วบอกให้เธอทำตัวร่าเริงทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าเธอแบกอะไรอยู่
   
        นอกจากจะไม่ช่วยให้ดีขึ้นแล้วพอทำตามไม่ได้ก็จะยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า
   
        พอลองคิดในมุมกลับแบบนี้แล้วรุ่งฟ้าก็พอจะจับทางได้ว่าควรทำตัวอย่างไรกับปานตะวัน
   
        “หนูเจีย ไปชวนน้าตะวันมานั่งวาดรูปเล่นด้วยกันสิ”
   
        “คับ”
   
        วันนี้รุ่งฟ้าซื้อดินสอสีกับสมุดระบายสีใหม่มาให้เจียหลินด้วย หลานชายของเธอพอได้อยู่ใกล้ชิดกันแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายน่ารักน่าเอ็นดูเอามากๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตะวันถึงรักนักรักหนา เป็นเธอเองที่ไม่เคยเปิดใจให้เด็กคนนี้ คิดๆ ดูแล้วความผิดของเธอก็หลายกระทงเหมือนกัน แต่ตอนนี้รุ่งฟ้าได้รับโอกาสที่จะแก้ไขมันให้ดีขึ้นแล้ว เธอจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมืออีก
   
        “น้าตะวัน มาวาดรูปเล่นกับหนูเจียหน่อยนะคับ”
   
        “ก็ได้ครับ”
   
        ปานตะวันยินยอมเดินตามหลานชายกลับมาที่โซฟา ราเมศบอกเธอว่าพยายามอย่าให้เขาอยู่คนเดียวเพราะพักนี้ตะวันคิดเรื่องฆ่าตัวตายอยู่บ่อยๆ
   
        ฆ่าตัวตาย...ตอนที่ได้ยินครั้งแรกรุ่งฟ้าถึงกับตกใจ เธอไม่คิดว่าจิตใจของลูกชายจะเปราะบางแบบนั้น ราเมศเล่าว่าตะวันคิดเรื่องพวกนี้เหมือนมันเป็นเรื่องปกติ สมองของเขากำลังลัดวงจร เขาจะครุ่นคิดถึงมันหรืออาจทำมันลงไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว สิ่งที่เธอทำได้คือพยายามให้เขาอยู่ใกล้ๆ และไม่ไปพูดคำพูดกระทบกระเทือนจิตใจเขา
   
        ไล่ให้ไปตายหรือบอกว่าเป็นภาระนี่รุ่งฟ้าไม่คิดจะพูดอยู่แล้ว การให้กำลังใจเช่นอย่าไปคิดมากเธอก็รู้สึกว่าพูดออกไปแล้วดูเหมือนเธอกลายเป็นพวกไม่สนใจจะฟังปัญหาของลูกอย่างไรอย่างนั้นหรือไม่ก็ฟังปัญหาแบบผ่านๆ เพราะงั้นก็ตัดออกไปได้เลย
   
        สิ่งที่พอจะช่วยได้อาจจะเป็นเปิดโอกาสให้เขาระบายความคับข้องใจออกมา
   
        “มีอะไรหรือเปล่าครับ” ปานตะวันที่รู้ตัวว่าถูกมองอยู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเนือยๆ “แม่มองผมมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
   
        “เปล่า ไม่มีอะไร”
   
        “แน่นะครับ”
   
        “อันที่จริงก็ไม่...แค่อยากคุยด้วย”
   
         ปานตะวันเลิกคิ้ว ขยับตัวจากพื้นขึ้นมานั่งบนโซฟาข้างมารดา ดวงตาที่ฉายประกายมั่นใจอยู่เสมอของรุ่งฟ้าบัดนี้อ่อนแสงลง เธอเงียบไประหว่างที่คิดหาคำพูดเหมาะๆ ในหัว
   
         “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
   
         ดวงตาสีน้ำตาลหรี่ลงเล็กน้อย ปานตะวันพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ “แย่มาก”
   
         “แย่แบบไหนเหรอ”
   
         ปานตะวันไม่ตอบ ชายหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทาง ปากเม้มสนิท
   
         “ตะวัน เล่าให้แม่ฟังไม่ได้เหรอ” เธอถามเสียงอ่อน พยายามใช้ไม้อ่อนเข้าหา แต่ปานตะวันก็ยังคงตั้งกำแพงสูงกั้นไว้ ไม่ปล่อยให้เธอเข้าไปเลยแม้แต่นิดเดียว
   
        พอรุ่งฟ้าขยับปากจะพูดปานตะวันก็รีบลุกขึ้นยืนทันที “ตะวันต้องไปทำความสะอาดบ้านแล้ว”
   
       นี่คือลุกหนีกันซึ่งๆ หน้าเลยสินะ?
   
       “เดี๋ยวแม่ช่วย”
   
        “ไม่เป็นไรหรอก แม่ทำความสะอาดบ้านเป็นซะที่ไหนกัน” สมัยเขายังเด็กคนที่ทำคือพ่อมากกว่า แม่ของปานตะวันน่ะถนัดเรื่องงานนอกมากกว่างานในบ้านเสียอีก
   
        “เดี๋ยวนี้เก่งกว่าแต่ก่อนแล้วน่า อยู่นู่นก็ทำเอง ไม่ได้จ้างแม่บ้านหรอก”
   
        รุ่งฟ้าตรงเข้าไปแย่งไม้กวาดจากมือลูกชายมาแล้วก็ลงมือกวาดบ้านเอง ปกติที่นู่นเธอใช้เครื่องดูดฝุ่นแต่แค่กวาดบ้านใครๆ ก็ทำได้ ปานตะวันเห็นดังนั้นจึงปล่อยเลยตามเลย
   
        “งั้นเหรอ แต่อยู่นู่นแม่ก็ไม่ได้ลำบากใช่ไหม”
   
        “ไม่หรอก แม่จำกัดขอบเขตความรกของบ้านไว้แค่ห้องน้องสาวลูกน่ะ”
   
        พอเธอหลุดพูดถึงชีวิตที่อีกซีกโลกหนึ่งปานตะวันก็เงียบลง รุ่งฟ้ารู้ว่าเธอพลาดแล้ว แต่แล้วทันใดนั้นลูกชายของเธอที่ปกติจะตั้งป้อมกับพ่อเลี้ยงและน้องสาวทั้งสองมาโดยตลอดก็ถามขึ้นว่า “แล้วน้อง...สบายดีไหม”
   
       “สบายดี น้องถามถึงลูกด้วยนะ ถามว่าคริสต์มาสพี่ตะวันจะไปหาไหม”
   
        “คงไปไม่ได้หรอก งานยุ่ง”
   
        “งั้นเหรอ ไม่เป็นไร”
   
        เดิมทีตั้งใจจะถามว่างั้นแม่พาน้องๆ มาหาลูกได้ไหมแต่นั่นก็คงจะดูล้ำเส้นเกินไป แค่ถามถึงไม่ได้หมายความว่าพร้อมจะเจอหน้ากันเสียหน่อย
   
       “ถ้าลูกอยากเจอน้องๆ ก็บอกแม่นะ บางทีเราน่าจะไปนั่งกินข้าวด้วยกันอะไรแบบนี้”
   
       ปานตะวันไม่ได้ตอบ เขาแค่หยิบไม้กวาดกับที่ตักผงสำรองมาแล้วก็เดินหายไปทำความสะอาดบริเวณอื่น บทสนทนาระหว่างสองแม่ลูกสิ้นสุดที่ตรงนั้น
   
        พอกวาดบ้านถูบ้านเสร็จก็เป็นการซักผ้า กิจกรรมนี้รุ่งฟ้าก็ลงมาช่วยเช่นกัน วันนี้ทั้งวันเธอทำงานบ้านร่วมกับลูกชายมากกว่าที่เคยทำมาทั้งชีวิต นอกจากซักผ้าแล้วก็ยังต้องรดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้าในสนาม กรอกน้ำ สารพัดงานที่เธอรับอาสาทำแทนทั้งหมด ปานตะวันก็ไม่ได้ขัด เขาเข้ามาช่วยบ้าง วนกลับไปนอนซุกบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นบ้าง เป็นเช่นนี้ไปตลอดทั้งวัน
   
       สี่โมงเย็น งานบ้านทั้งหมดเสร็จสิ้น รุ่งฟ้าบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบ เธอแก่แล้วจริงๆ นะเนี่ย ร่างกายที่เคยขยับไปมาได้อย่างคล่องแคล่วบัดนี้ทำนู่นนิดนี่หน่อยก็ปวดไปหมด
   
       “คุณย่าฟ้า หนูเจียนวดให้นะคับ”
   
       “เอาสิ มานวดไหล่ให้ย่าหน่อย เด็กดีๆ”
   
       มือเล็กๆ ของหนูเจียบีบนวดไหล่ให้คุณย่าอย่างสนุกสนาน ไม่ได้ไล่ให้ความปวดเมื่อยหายไปจนหมดแต่ก็ทำให้รู้สึกดีมากรุ่งฟ้าจึงให้รางวัลเด็กน้อยเป็นลูกอมหนึ่งเม็ด
   
       “แล้วนี่น้าตะวันไปไหน” ตอนนั้นเองที่เธอสังเกตว่าปานตะวันไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่น อย่าบอกนะว่ากลับไปที่ห้องนอนอีกแล้ว
   
       “น้าตะวันเข้าไปในครัวคับ บอกว่าจะไปหาอะไรเย็นๆ ให้คุณย่าดื่ม”
   
       หนูเจียพูดจบก็พอดีกับที่ปานตะวันเดินถือแก้วใส่ชามะนาวเข้ามา ชายหนุ่มวางแก้วลงตรงหน้าคุณแม่ของตน “ดื่มสิครับ แม่เคยชอบนี่นา”
   
       ชามะนาวใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจ รสชาติหวานอมเปรี้ยวทำให้กระปรี้กระเปร่า สูตรที่ชอบมากที่สุดก็เป็นสูตรที่พ่อของปานตะวันชงให้ หอมละมุนและกลมกล่อมพอดี ไปกินที่ไหนก็ไม่เหมือน
   
       หญิงสาวยกแก้วชาขึ้นดื่ม ขอบตาพลันร้อนผ่าว
   
       เหมือนกันเลย...รสชาติแบบนี้เธอคุ้นเคยมากๆ
   
       “อร่อยไหมครับ”
   
       “อื้ม อร่อย ชอบมากๆ เลยล่ะ”
   
       “ก็ถือว่าเป็นคำขอบคุณสำหรับวันนี้” ปานตะวันพูดเสียงแผ่ว “อันที่จริงแม่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้แท้ๆ”
   
       “ไม่เป็นไรหรอก แม่อยากทำให้ ไม่ อย่าเข้าใจผิด แม่ไม่ได้ทำเพราะสงสาร สมเพช หรืออะไรแบบที่ลูกกำลังเข้าใจผิด แต่แม่ทำเพราะแม่อยากจะคว้าโอกาสที่สองนี้ไว้ โอกาสที่เราจะได้กลับมาเป็นแม่ลูกกันอีกครั้งหนึ่ง”
   
       นัยน์ตาสองคู่ไหวระริกเช่นเดียวกับ รุ่งฟ้าเอื้อมมือไปจับมือปานตะวันเอาไว้ เมื่อก่อนมือของเด็กคนนี้เล็กมาก นิ้วมือป้อมๆ เคยเกาะเกี่ยวอยู่บนมือเธอ เดินตามต้อยๆ พร้อมเรียกแม่ฟ้าๆ ด้วยสีหน้ามีความสุข
   
       ตอนนี้มือของเขาใหญ่ขึ้น หยาบกร้านขึ้นจากการทำงาน แต่ว่าในสายตารุ่งฟ้าปานตะวันก็ยังเป็นเด็กน้อยที่เธออยากจะปกป้องอยู่ดี
   
       ไม่ว่าพวกเขาจะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน
   
       ไม่ว่าตะวันจะบอกว่าเกลียดเธออย่างไรแต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นลูก
   
       ลูกชายคนโตที่เธอรัก
   
      “แม่รักตะวัน...รักเสมอ แม่เคยทำผิดพลาดครั้งใหญ่ แม่ผลักไสลูกออกไปแต่ตอนนี้แม่จะไม่มีวันทำแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่ก็จะอยู่กับตะวัน จะไม่ปล่อยมือลูกอีกเป็นครั้งที่สอง”
   
       ฝ่ามือของปานตะวันถูกยกขึ้นมาแนบแก้มของรุ่งฟ้า หยดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่ากัดกร่อนเข้าไปในหัวใจของชายหนุ่ม
   
       “แม้ว่าตะวันจะเคยหลอกเอาเงินแม่ไปให้ผู้ชาย แม้ว่าตะวันจะเรียนไม่จบ เป็นลูกที่แม่ภาคภูมิใจไม่ได้อย่างนั้นเหรอ”
   
       “ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ตะวันก็คือของขวัญอยู่ดี รู้ไหมทำไมพ่อกับแม่ถึงตั้งชื่อลูกว่าปานตะวัน”
   
        ชายหนุ่มเอียงคอก่อนตอบว่า “เพราะอยากให้คล้องกับพี่จันทร์หรือเปล่าครับ”
   
         “ไม่ใช่หรอก ชื่อปานตะวันน่ะแปลว่าเหมือนดวงอาทิตย์ ตอนที่ลูกเกิดทุกคนในบ้านมีความสุขมากๆ ลูกเป็นเด็กยิ้มง่าย อารมณ์ดี ทำให้พวกเราอบอุ่นใจเหมือนมีดวงอาทิตย์ดวงน้อยๆ มาอยู่ในบ้านเลยล่ะ สดใส ร่าเริง นั่นแหละคือลูก พวกเราถึงได้ตั้งชื่อลูกว่าปานตะวันไง”
   
        รุ่งฟ้าลูบมือของลูกชาย เด็กน้อยคนนี้เป็นความภาคภูมิใจของเธอเสมอมา เขาล้มลงแต่ก็ลุกขึ้นยืนใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง เจียหลินคือข้อพิสูจน์แล้วว่าปานตะวันไม่ได้อ่อนแอหรือพึ่งพาไม่ได้
   
       “แม่กับพ่อภูมิใจในตัวตะวันเสมอนะ มันอาจจะแปลกที่มาพูดเอาตอนนี้ ลูกยังไม่ต้องเปิดใจให้แม่ทั้งหมดก็ได้ แต่แม่อยากให้ตะวันฟังสิ่งที่แม่จะพูดหน่อย ตอนนี้ตะวันคิดว่าตัวเองเป็นภาระกับทุกคนใช่ไหม รู้สึกแย่มากๆ ใช่หรือเปล่า ถ้าแม่พูดว่ามันมีทางที่ลูกจะไม่ต้องรู้สึกแบบนั้นอีกตะวันจะทำไหม”
   
       มีหนทางที่เขาจะหายจากอาการแบบนี้อย่างนั้นหรือ ไม่ต้องตื่นมากับความรู้สึกว่างเปล่าทุกวัน ไม่ต้องตื่นมาเพื่อจมกับความเศร้าและต่อสู้กับความคิดลบๆ ในหัวอีก สามารถกลับไปเป็นปานตะวันคนเดิมได้อย่างนั้นสินะ
   
       “แล้วทางที่ว่ามันคืออะไร”
   
       “ไปปรึกษาคุณหมอไงลูก นะ แม่กับพี่เมศและหนูเจียก็จะไปกับลูก เราจะไปช่วยลูกให้หายด้วยกัน”
   
        หาหมอ? หมออะไร เขาไม่ได้ป่วยเสียหน่อย หรือว่า...
   
        “จะพาตะวันไปหาจิตแพทย์เหรอ?”
   
        รุ่งฟ้าพยักหน้า เธอสังเกตปฏิกิริยาของเขากลัวว่าจู่ๆ ลูกชายจะลุกขึ้นมาโวยวายหรือว่ารู้สึกแย่หนักกว่าเดิม แต่คราวนี้ปานตะวันไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น เขานั่งลงที่โซฟาเงียบๆ แล้วก็คิด ระหว่างนั้นหนูเจียก็หยุดนวดไหล่ของเธอแล้วก็เดินดุกๆ ไปนั่งแหมะอยู่บนตักน้าตะวันด้วย เด็กน้อยกอดลูกชายเธอเอาไว้แน่นเป็นเชิงว่าเขาก็ยังอยู่ตรงนี้นะ
   
       “หนูเจียครับ อยากให้น้าตะวันกลับไปนอนกอดอีกหรือเปล่า” จู่ๆ ปานตะวันก็ถามขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแต่เจียหลินก็รีบตอบกลับไปทันที “อยากคับ!”
   
       “แล้วอยากให้น้าตะวันทำอะไรอีก”
   
       “อยากให้น้าตะวันไปส่งแล้วก็ไปรับหนูเจียที่โรงเรียน อยากให้น้าตะวันกอดหนูเจียแน่นๆ อยากกินข้าวด้วยกัน อยากทำนู่นทำนี่กับน้าตะวันเยอะแยะเลย หนูเจียกับน้าเมศต้องการน้าตะวันนะคับ”
   
       ไม่รู้หรอกนะว่าราเมศสอนมาหรือเจียหลินคิดเอง แต่นาทีนี้รุ่งฟ้าขอยกนิ้วโป้งให้เด็กนี่เลยจริงๆ หลานชายเธอฉลาดแถมยังช่างฉอเลาะ ช่างออดอ้อนเสียเหลือเกิน
   
        ปานตะวันก้มลงหอมกระหม่อมของเจียหลินเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองแม่ของตน
   
        “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงครับ แม่ ตะวันจะไปหาหมอ” รุ่งฟ้ายิ้มทั้งน้ำตา รวบหลานชายและลูกชายเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “อื้ม ไปด้วยกันนะ”
   
        พวกเธอจะอยู่ข้างๆ ปานตะวันเอง จะจับมือเขาก้าวผ่านปัญหานี้ไปด้วยกัน

************************************************

ตอนที่แล้วให้พี่เมศไปแล้วตอนนี้ขอให้เป็นพาร์ทแม่ลูกคุยกันแล้วกันค่ะ
หลายคนอ่านแล้วอาจจะนึกว่า อะไร ทำไมยอมกันง่ายกัน คุยๆ กันไม่กี่คำก็รักกันแล้วเหรอ
จริงๆ แล้วปานตะวันไม่ได้ยกโทษให้แม่ทั้งหมดนะคะ เขายังไม่ยอมรับและไม่ชอบใจครอบครัวใหม่แม่อยู่
แล้วก็ยังไม่พอใจแม่อยู่ด้วย ตอนี้เขาแค่ฟังมากขึ้น เป็นช่วงปรับตัวเข้าหากัน
ถึงจะทะเลาะกันมาก่อนแต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ไม่รักกัน
ยังไงเหตุผลหลักๆ ที่ปานตะวันยอมไปหาหมอก็มาจากหนูเจียและพี่เมศค่ะ
อีกนิดเดียวก็จะจบแล้วค่ะ อยากให้จบก่อนช่วงยุ่งๆ จะมาเยือน ;w; ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้นะคะ
(รวบคนอ่านมากอด) พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บๆ

ปล. ติดตามข่าวสารนิยายได้ที่เพจ AzureDream นะคะ  :-[

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ WaterProof

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ฮือออ ขอให้หายไวๆน้า กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม :hao5:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
เดี๋ยวก็หายนะตะวัน

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
รีบหายเร็วๆนะตะวัน รีบรักษาจะได้กอดหนูเจียซะที

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ดีใจ ตะวันจะไปหาหมอแล้ว

ออฟไลน์ Pisoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 241
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตะวันไปหาคุณหมอแล้ว หายไวๆนะตะวัน  :hao5:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ไม่รู้สิ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบแม่ของตะวันเลย แต่ก็เข้าใจนะว่านั่นแม่น่ะยังไงตะวันก็เกลียดไม่ลงหรอกถึงแม้ว่าอาจจะมีบ้างบางอารมณ์ที่ไม่ชอบใจแม่ของตัวเองอยู่บ้างล่ะ

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
หายไวไวนะตะวัน  :กอด1:

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
ขอบคุณค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
รักคุณแม่นะ  :mew1:

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
คนเราแก้ไขในอดีตไม่ได้ ต้องเริ่มใหม่ในปัจจุบัน

คำว่าครอบครัวไม่มีคำว่าสายเกินไป เป็นกำลังใจให้คุณแม่กับน้องตะวันน้า

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ 29
คำขอโทษ


      ปานตะวันเต็มใจจะไปพบหมอด้วยตัวเอง ราเมศถือว่านี่เป็นข่าวดีที่สุดที่เขาได้รับมาในรอบหลายวัน รู้ว่าปานตะวันมีปัญหาตรงไหนก็ควรแก้ไขที่จุดนั้น ชายหนุ่มรู้สึกโชคดีที่ตัวคนรักและคนรอบข้างเข้าใจถึงปมปัญหาของปานตะวันดีและเต็มใจจะช่วยเหลือ
   
      ราเมศเร่งหาเวลาว่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อพาปานตะวันไปหาหมอ ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษาต่างๆ ชายหนุ่มกับคุณรุ่งฟ้าก็อาศัยเปิดอินเทอร์เน็ตหาเอา มีทั้งกระทู้จากคนที่เคยมีประสบการณ์หรือแม้กระทั่งหนังสือเกี่ยวกับโรคนี้ราเมศก็ยังไปหาซื้อมาอ่าน
   
        เรียกได้ว่าพวกเขาทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้ปานตะวันไปหมดตัวเลยจริงๆ
   
        ระหว่างที่รอให้ถึงวันที่ตกลงกันไว้ ราเมศไปทำงาน ให้ปานตะวันอยู่ที่บ้านกับคุณรุ่งฟ้า หลายวันที่ผ่านมาสองแม่ลูกมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น แม้จะยังไม่เข้าที่ดีแต่เรียกได้ว่าไม่ยับเยินแบบแต่ก่อน
   
        ปานตะวันเป็นคนสะบั้นสายสัมพันธ์ยุ่งเหยิงเส้นเดิมทิ้งไปแล้ว คุณรุ่งฟ้าก็ค่อยๆ ถักทอสายสัมพันธ์เส้นใหม่ขึ้นมาทีละนิด เรียกได้ว่าทั้งคู่อยู่ในช่วงตั้งต้นใหม่ก็ยังได้
   
        ราเมศเองในแต่ละวันก็พยายามชักชวนปานตะวันกลับมาทำกิจกรรมเดิมๆ ที่เคยทำด้วยกัน แม้จะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็ยังดึงความสนใจปานตะวันไว้ได้ ไม่ทำให้อีกฝ่ายเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องอีก
   
        พวกเขาดำเนินชีวิตลักษณะนี้อยู่เกือบสัปดาห์ ในที่สุดก็ถึงวันที่ตกลงกันไว้ว่าจะไปหาหมอ ราเมศปลุกปานตะวันมาแต่เช้า วันนี้คนรักของเขาดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
   
        “ไม่สบายใจเหรอ” ราเมศถามขณะจัดทรงผมให้ปานตะวัน คนถูกถามพยักหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง
   
        “ตะวันกังวลนิดหน่อยน่ะพี่เมศ มันจะ...น่ากลัวหรือเปล่า”
   
        “ไม่น่ากลัวหรอกเชื่อพี่สิ” ราเมศจูบลงบนกระหม่อมคนรัก “พี่อยากให้ปานตะวันเปิดใจคุยกับหมอ เปิดใจให้การรักษา ได้ไหม”
   
        ปานตะวันนิ่งไปก่อนจะพยักหน้า ยังไงก็ตัดสินใจแล้ว หันหลังกลับไม่ได้อีก ถึงจะกลัวแต่ยังไงก็อยากหาย บางทีมันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดก็ได้
   
        ราเมศบีบมือคนรักเบาๆ หนึ่งทีก่อนจะพาอีกฝ่ายออกจากห้อง รุ่งฟ้ายืนอยู่กับหนูเจียที่สวนด้านล่าง มองลงไปแล้วก็เห็นสองคนย่าหลานยืนดูดอกไม้ใบหญ้ากันอย่างเพลิดเพลิน ราเมศตรวจเช็คกลอนประตูหน้าต่างเป็นครั้งสุดท้าย ปิดไฟในบ้านจนเรียบร้อยแล้วก็ล็อกกุญแจ ในที่สุดทุกคนก็ได้ฤกษ์เดินทาง
   
        โรงพยาบาลที่ราเมศพาปานตะวันมาเขาได้คำแนะนำมาจากชนกันต์ แม้จะอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้านแต่ในเมื่อได้รับคำยืนยันมาว่าดีราเมศก็ไม่หวั่นกับการขับรถไกล
   
        หลังผจญรถติดอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงในที่สุดพวกเขาก็มาถึง
   
        “ร่มรื่นกว่าที่คิดนะเนี่ย” รุ่งฟ้าพูดหลังจากที่เห็นสภาพภายนอกของโรงพยาบาล สวนหย่อมสำหรับพักผ่อนหย่อนใจถูกตกแต่งไว้อย่างดี ต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มเงาทั่วทุกที่ พุ่มไม้เล็กๆ ถูกตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ ดอกไม้ในกระถางที่ตั้งเรียงรายพากันอวดสีสันละลานตา บรรยากาศดูผ่อนคลายกว่าที่คิดไว้
   
         ด้านในเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าด้านนอก ตอนแรกปานตะวันกังวลว่าภายในโรงพยาบาลจะต้องทึบทึมหรือไม่ก็ให้บรรยากาศหนักอึ้งชวนอึดอัดแต่ปรากฏว่าด้านในนั้นกลับให้บรรยากาศสะอาด โปร่งสบาย ช่วงเวลานี้มีคนไข้น้อยกว่าที่ปานตะวันคิดทำให้ค่อนข้างเงียบสงบ
   
        เมื่อเข้ามาถึงปานตะวันก็ถูกพาไปทำบัตรคนไข้ ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันและซักประวัติอีกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กลับมานั่งรอหมอที่เก้าอี้ด้านนอกกับครอบครัว
   
        “ทุกคนที่นี่ก็ดูไม่ต่างอะไรกับปกติเลยนะพี่เมศ” ปานตะวันเอียงตัวไปกระซิบกับราเมศขณะสองมือพยายามจะจับหนูเจียที่ตื่นเต้นสุดขีดจนปีนป่ายไปมาบนตัวน้าๆ ไม่หยุดให้อยู่นิ่งๆ
   
         ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองไปยังผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ บางคนก็นั่งคุยกับคนข้างตัว บางคนก็อ่านหนังสือหรือเล่นโทรศัพท์ บางคนก็แค่นั่งเหม่อลอยนิ่งๆ เหมือนกำลังครุ่นคิด ภายนอกพวกเขาก็ดูปกติดีแต่ปานตะวันรู้ว่าในใจพวกเขามีบางสิ่งที่ต้องแก้ไข ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่นี่
   
        ยังมีคนที่เป็นเหมือนกันอยู่
   
        ความคิดนี้ทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่กำลังต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่ ไม่ได้เดียวดายเหมือนที่เข้าใจ ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆ ในหัวตัวเอง พอคิดแบบนี้ความเครียดเกร็งในใจก็ผ่อนลงระดับหนึ่ง
   
        ปานตะวันไม่อยากเล่นโทรศัพท์เขาเลยใช้เวลาระหว่างรอเล่นกับหนูเจียไปเรื่อยๆ มีบางครั้งที่สายตาของคนไข้คนอื่นๆ เบนมามองพวกเขาอย่างสนใจแต่ก็แค่แวบเดียวแล้วก็หันกลับไป ไม่ได้ทำให้อึดอัดที่ตรงไหน
   
        เมื่อถึงเวลาก็มีคนมาเรียกปานตะวันให้เข้าไปพบหมอ ชายหนุ่มใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตอนยืนขึ้น เขาหันมาหาครอบครัวเป็นการขอกำลังใจหนึ่งทีจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง
   
        “สวัสดีครับ” ปานตะวันยกมือไหว้คุณหมอสวมแว่นร่างท้วมตรงหน้า อีกฝ่ายเองก็คลี่ยิ้มใจดีส่งมาให้แล้วก็รับไหว้ “สวัสดีครับ”
   
        น้ำเสียงของคุณหมออ่อนโยนมาก ท่าทางก็ดูผ่อนคลายทำให้ปานตะวันเริ่มหายเกร็ง คำถามที่ถามก็ไม่ได้ตอบยากอะไร ปานตะวันก็แค่ต้องเล่าสิ่งที่เขาเจอมารวมถึงอาการที่เป็นอยู่ในตอนนี้
   
        ตอนแรกปานตะวันคิดว่ากับคนแปลกหน้าเขาคงพูดออกไปไม่ได้แน่ แต่สมองก็คิดขึ้นมาว่าคนคนนี้เป็นหมอ พึ่งพาได้ สามารถรับฟังสิ่งที่เขาไม่กล้าเล่า ไม่กล้าพูดให้แม้แต่พี่เมศและแม่ฟังได้
   
       ชายหนุ่มเริ่มเล่าแล้วก็เล่า ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูออกมาจากปาก ทั้งเรื่องในอดีต เรื่องของธีร์ เรื่องที่เขาถูกทำร้าย เรื่องความฝังใจ เรื่องที่ว่าเขาโล่งใจแค่ไหนที่ธีร์ตาย เรื่องของแม่ ของครอบครัว ปานตะวันพูดไปร้องไห้ไป ไม่รู้ว่าหมอฟังรู้เรื่องหรือเปล่าแต่ ณ เวลานั้น ปานตะวันไม่สนใจอีกแล้ว
   
       บางทีเวลาอาจผ่านไปไม่นานแต่ในความรู้สึกของชายหนุ่มนั้นกว่าเรื่องราวจะดำเนินถึงตอนจบก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน
   
       หลังจากนั้นหมอก็ถามอาการอื่นๆ ของเขาเช่นนอนหลับไหม ทานข้าวได้บ้างไหม มีความรู้สึกอยากทำร้ายตัวเองหรือเห็นว่าตัวเองไร้ค่าบ้างหรือเปล่า ปานตะวันเล่าอาการของตนไปอย่างไม่ปิดบัง พออยู่กับหมอเห็นท่าทางคล้ายญาติผู้ใหญ่ใจดีแล้วเขาก็วางใจ เริ่มเปิดใจมากขึ้นอีกนิด
   
        ทั้งคู่คุยกันค่อนข้างนาน หมอบอกว่าโชคดีที่ปานตะวันมาพบหมอตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่อาการจะหนักไปมากกว่านี้ ถือว่ารู้ตัวค่อนข้างไว
   
        "อันที่จริงแล้วคนที่พาผมมาหาหมอคือแฟนผมกับแม่มากกว่าครับ ตอนนี้เหมือนว่าอะไรในครอบครัวกำลังจะดีขึ้น” ปานตะวันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่บางทียิ่งพวกเขาทำดีผมก็ยิ่งเกลียดตัวเองที่เป็นคนดีอย่างที่พวกเขาต้องการไม่ได้ พวกเขาทำดีกับผมตั้งมาก แต่ที่ผมทำได้คือเฉยชาใส่พวกเขา ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้ มันแย่มากเลยครับหมอ ผมรู้สึกผิด...ไม่รู้ว่ากับใครบ้าง แต่ความรู้สึกมันมากเกินไปจริงๆ”
   
         หลังคุยกันต่ออีกสักพักปานตะวันก็กลับออกมาด้านนอก
   
        “เป็นยังไงบ้าง” ราเมศถามขึ้นเป็นคนแรกทันทีที่ปานตะวันเดินมาถึงเก้าอี้นั่ง
   
        “ก็คุยกันหลายอย่างเลย หมออธิบายเรื่องโรคกับวิธีการรักษาเพิ่มเติมแล้วก็สั่งยามาด้วย”
   
        “มีนัดอีกรอบไหม”
   
        “มีครับ”
   
        ปานตะวันบอกวันนัดหลังจากนี้ไป แม่ของเขารีบเปิดดูบันทึกอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ของเธอจากนั้นก็เผยสีหน้าลำบากใจออกมาแวบหนึ่ง ปานตะวันสังเกตเห็นมันแล้วก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นเองว่า
   
        “แม่กลับไปเถอะครับ ครั้งหน้าตะวันมากับพี่เมศได้ มาอยู่นี่นานๆ ไม่สะดวกใช่ไหมล่ะ” อยู่ที่นู่นแม่ของเขาก็ไม่ได้นั่งเป็นแม่บ้านเฉยๆ เธอมีงานที่ตัวเองต้องทำ แม้จะไม่ใช่พนักงานบริษัทที่ต้องตอกบัตรเข้าทำงานแต่มันก็คงไม่ดีถ้าเธอจะรั้งอยู่ที่นี่นานกว่านี้
   
        “ไมได้หรอก แม่จะอยู่” รุ่งฟ้าพูดอย่างดื้อดึง “แม่จะบอกเวนดี้เอง เรื่องงานไม่ใช่ปัญหา” เวนดี้คือหุ้นส่วนและเพื่อนสนิทของแม่ที่นู่น พวกเธอตั้งแบรนด์เสื้อผ้าเล็กๆ ขึ้นด้วยกัน
   
        “แล้วน้องๆ ล่ะครับ”
   
        “แม่คุยกับน้องแล้ว พวกเขาเข้าใจนะ ทุกคนเข้าใจที่แม่ต้องกลับไทยครั้งนี้ แม่จะอยู่จนกว่าลูกจะอาการดีขึ้น”
   
        “มันไม่ได้หายในวันสองวันนะครับแม่ มันอาจจะเป็นเดือนหรือว่าเป็นปี”
   
       “แม่จะอยู่กับลูก”
   
        จบคำนั้นการโต้เถียงระหว่างแม่ลูกก็สิ้นสุด ราเมศเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนรอยยิ้ม นิสัยดื้อดึงของปานตะวันนี่ถอดแบบคุณรุ่งฟ้ามาชัดๆ
   
        ปานตะวันแม้จะเถียงเพื่อให้แม่กลับแต่ลึกๆ ในใจเขาก็ยังต้องการแม่ อยากให้แม่เลือกเขามากกว่าชีวิตที่นู่น อยากให้ความรู้สึกที่ว่าตอนนี้เขาสำคัญกับแม่ได้รับการยืนยัน พอได้ฟังแม่ยืนกรานว่าจะอยู่กับเขาชายหนุ่มก็ยินดี
   
        ตอนรับยาแล้วก็จ่ายเงินรุ่งฟ้าเป็นคนไปจัดการทั้งหมด ตอนที่เดินกลับมายื่นถุงยาให้ปานตะวันชายหนุ่มก็พูดว่า “เดี๋ยวตะวันจะจ่ายคืน”
   
        “ไว้ทีหลังๆ”
   
        รุ่งฟ้าโบกไม้โบกมือก่อนจะพูดขึ้นว่าหิวข้าว ทั้งสี่คนจึงออกไปหาของกินแถวๆ โรงพยาบาล แวะซื้อของอีกเล็กน้อยจากนั้นจึงพากันกลับบ้าน
   
        เวลาที่เหลือของวันผ่านไปอย่างเงียบสงบ คืนนี้ปานตะวันก็แยกห้องนอนเช่นเคย เขาต้องการเวลาเป็นส่วนตัวสักหน่อยสำหรับ ‘การบ้าน’ ที่คุณหมอให้มา
   
        แน่นอนว่าการไปพบคุณหมอวันนี้ไม่ใช่แค่ไปพูดคุย รับยาแล้วก็กลับเท่านั้น ปานตะวันได้รับคำแนะนำในการ ‘แก้ปมในใจ’ มาอีกหนึ่งอย่าง
   
         เพราะเขาบอกหมอไปว่าเขารู้สึกผิด แต่ไม่สามารถพูดคำว่าขอโทษออกมาได้ ความคิดของเขาตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว คนที่อยากขอโทษมีมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรความรู้สึกนี้ถึงจะหลุดออกจากใจได้ คุณหมอจึงแนะนำว่าถ้าพูดไม่ได้ก็ให้เปลี่ยนมาเขียนแทน ในบางเวลาคนเราก็สื่อสิ่งที่ต้องการออกมาได้ดีที่สุดผ่านตัวอักษร
   
         วันนี้ปานตะวันจึงกลับมาบ้าน นั่งลงที่โต๊ะแล้วก็หยิบกระดาษมีเส้นแบบที่เด็กนักเรียนใช้เขียนรายงานออกมาพร้อมกับซองจดหมาย ชายหนุ่มอยากทำให้เหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะส่งจดหมายไปหาคนเหล่านี้
   
        เขาจรดปลายปากกาลงแล้วก็เริ่มนึก คนแรกที่อยากเขียนถึง อยากจะขอโทษก็คือ...
   
        ถึงพี่จันทร์
   
        พี่สาวของเขาเอง
   
       พี่จันทร์รักเขามาก เธอสอนเขาเสมอให้โตมาเป็นเด็กดี ตอนที่ต้องแยกจากกันเขาเคยสัญญากับเธอไว้ว่าเขาจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้และกลับมาดูแลเธอกับพ่อ แต่เขาก็ทำไม่ได้ ปานตะวันขอโทษในเรื่องนี้ ขอโทษสำหรับที่ทิ้งเธอไว้ในเวลาที่เธอต้องการใครสักคนมากที่สุด
   
        คนต่อมาก็คือพ่อ เนื้อหาก็คล้ายๆ กับจดหมายของจันทร์จ้าวแต่สั้นกว่า นอกจากจะบอกขอโทษแล้วยังขอบคุณอีกด้วย ขอบคุณที่พ่อทำให้ชีวิตวัยเด็กของเขามีความทรงจำที่ดีอยู่บ้าง
   
        ถัดจากพ่อแล้วก็เป็นแม่ กับแม่ปานตะวันแค่ขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่ พยศใส่ ชายหนุ่มคิดว่าบางทีในอนาคตเขาจะลองปรับตัวเองให้เข้ากับครอบครัวใหม่ของแม่ดู จดหมายถึงแม่เหมือนเป็นการเขียนระบายความรู้สึกที่เก็บมาตลอดในใจของเขาออกไปมากกว่าจดหมายขอโทษ ปานตะวันเขียนว่าเขารู้สึกเหมือนเป็นคนนอก เขียนว่าตอนเด็กเขาคิดอยู่ตลอดว่าแม่ไม่รัก ทุกความรู้สึกที่ติดค้างในใจเขาระบายออกไปจนหมด ปานตะวันจบจดหมายฉบับนั้นด้วยประโยคที่ว่าเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้ไหม และไม่รู้ด้วยว่าความรู้สึกตะขิดตะขวงใจระหว่างเขากับครอบครัวใหม่จะหายไปตอนไหน แต่ในอนาคตเขาจะพยายามปรับตัวดูและขอบคุณที่แม่ยังไม่ทิ้งเขาไปในเวลานี้
   
        พวกเขายังไม่สามารถกลับมาเป็นแม่ลูกที่รักกันสมานสามัคคีได้ทันทีเหมือนในละคร แผลใจยังอยู่ แต่พวกเขากำลังเริ่มต้นใหม่ นั่นเป็นสัญญาณที่ดี
   
        จากนั้นก็เป็นจดหมายถึงพี่เมศและหนูเจีย สำหรับสองคนนี้คงต้องขอโทษที่ทำให้ลำบากโดยเฉพาะพี่เมศ
   
        แต่ไม่ว่ายังไงก็ขอบคุณเสมอที่ยืนอยู่ข้างกัน พี่เมศ...กับหนูเจีย
   
        แสงสว่างเล็กๆ ที่ปลายอุโมงค์ของปานตะวัน
   
        ต่อจากพี่เมศกับหนูเจียคือจดหมายถึงชนกันต์ สำหรับกันต์ปานตะวันรู้ดีว่ามันคงไม่โทษเขา แต่เขาก็ยังทำให้มันเป็นห่วงอยู่เกือบตลอดเวลา ขอโทษที่เป็นเพื่อนที่ไม่เอาไหน เอาแต่รับอยู่ฝ่ายเดียวแล้วก็ขอบคุณที่ทำให้เขากลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งได้ในวันนั้น
   
        เมื่อเขียนจดหมายของชนกันต์เสร็จชายหนุ่มฉีกกระดาษออกมาอีกหนึ่งแผ่น
   
        มีอีก...ยังมีบางสิ่งติดอยู่ในใจเขา ใครสักคนยังอยู่...
   
        ธีร์
   
        ตอนที่เขียนชื่อนี้ลงไป มือของปานตะวันสั่นเล็กน้อย กับธีร์ปานตะวันไม่ได้อยากขอโทษ ไม่มีความเสียใจและไม่มีคำขอบคุณ
   
         กระดาษรายงานขนาด A4 แผ่นนั้นมีตัวหนังสืออยู่แค่บรรทัดเดียว
   
         ลาก่อน...และขออย่าได้เจอกันอีก
   
         เท่านี้ก็เหมือนจะครบแล้ว
   
         ปานตะวันพับจดหมายแผ่นแล้วแผ่นเล่าใส่ซองพร้อมกับเขียนชื่อคนที่เขาเขียนถึงเอาไว้ที่หน้าซองจดหมายแต่ละฉบับ ของพ่อ พี่จันทร์และธีร์ชายหนุ่มแยกเอาไว้ ส่วนของคนที่เหลือเขาเก็บใส่กล่อง อยู่ระหว่างการชั่งใจว่าจะส่งให้อ่านดีหรือเก็บไว้เฉยๆ ดี
   
         ปานตะวันลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจพักไว้ ตอนนี้เขาจะลงไปจัดการกับจดหมายสามฉบับนี้ก่อน
   
        ชายหนุ่มหยิบจดหมายที่แยกไว้ขึ้นมาแล้วก็ลุกออกจากเก้าอี้ ตอนที่เขียนจดหมายไม่ได้ดูเวลาเลย มัวแต่จมอยู่ในโลกส่วนตัว พอตอนนี้เงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วก็ตกใจเล็กน้อย ปานตะวันกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง แต่ตอนที่เขาเดินผ่านกระจกเงาขนาดเท่าตัวคนที่ตั้งหลบอยู่มุมหนึ่งของห้องนั้นเอง ร่างโปร่งก็ชะงักฝีเท้า
   
         ปานตะวันเปลี่ยนทิศทางเดิน จากจะเดินออกนอกประตูห้องเปลี่ยนเป็นหมุนตัวไปที่กระจกแทน
   
        พักหลังปานตะวันหลีกเลี่ยงการส่องกระจกมาโดยตลอดเพราะยิ่งเห็นตัวเองมีสภาพโทรมลงเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอาผ้าคลุมกระจกบานนั้นไว้แล้วก็แอบมันเอาไว้ที่มุมห้อง
   
        พรึ่บ
   
        ผ้าสีเทาที่คลุมกระจกอยู่ถูกดึงออกช้าๆ แล้วก็ถูกปล่อยร่วงไปกองกับพื้น ปานตะวันเหม่อมองเงาที่สะท้อนกลับมาเต็มสองตา
   
        นี่ตัวเขาจริงๆ หรือ? ดูเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้เลย
   
        ชายหนุ่มขยับเข้าไปชิด ปลายนิ้วแตะลงบนกระจกเย็นเฉียบแผ่วเบา ความคิดหนึ่งพลันผุดวาบขึ้นในสมอง
   
        นี่ไง...เขาคิดอยู่ตลอดว่าลืมใครไปหรือเปล่า จริงๆ แล้วจดหมายขอโทษพวกนั้นต้องมีอีกหนึ่งฉบับ
   
        ปานตะวันกลับไปนั่งที่โต๊ะ ดึงกระดาษออกมาอย่างรีบร้อนแล้วก็เริ่มเขียน
   
        ถึงปานตะวัน
   
        นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เริ่มทำอะไรแบบนี้ เขียนจดหมายเพื่อขอโทษตัวเองในอดีต ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมองว่าบ้าและไร้สาระแน่ๆ แต่...ไม่รู้สิ คิดว่ายังไงก็ควรต้องเขียนมัน
   
         นายคือคนที่ฉันอยากจะต่อว่ามากที่สุดและนายก็คือคนที่ฉันอยากเอ่ยคำขอโทษมากที่สุดเช่นเดียวกัน
   
         ตอนที่ยังเด็กก็คิดอยู่เสมอว่าแม่ทิ้งไป อยากกลับไปอยู่กับพ่อ ญาติพี่น้องที่รับไปเลี้ยงก็ไม่สนใจ ตอนนั้นน่ะมันโดดเดี่ยวจริงๆ นะ อยากเจอหน้าแม่มากกว่าสองหรือสามครั้งต่อปี อยากให้แม่กอดแล้วก็หอม บางทีคงเป็นตั้งแต่ตอนนั้นที่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักความอบอุ่น ยิ่งโต ยิ่งรู้ความ ก็ยิ่งไม่ชอบแม่ โทษแม่ทุกอย่าง ทำตัวเหลวแหลก เรียกร้องความสนใจ แล้วก็โทษแม่ โทษญาติ โทษคนรอบตัว ทั้งที่จริงแล้วคนที่ผิด...ส่วนหนึ่งก็คือตัวเราเอง
   
         มาถึงวันนี้ผลจากสิ่งต่างๆ ที่เคยทำมาในอดีตมันตามมาทำร้ายแล้ว เจ็บ...เจ็บมากๆ เลย ยิ่งมองย้อนกลับไปก็ยิ่งรู้ว่าตอนนั้นทำร้ายตัวเองไปมากแค่ไหน บางทีคนที่ฉันเกลียดมากที่สุด โกรธมากที่สุด และเสียใจด้วยมากที่สุดอาจเป็นตัวฉันเองก็ได้ โกรธที่ไม่รักตัวเอง เกลียดที่โง่เขลา และเสียใจที่เอาแต่ทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า บาดแผลในหัวใจมากมายที่หลงเหลืออยู่ตอนนี้เกือบครึ่งก็เป็นตัวฉันที่ทำมันเอง
   
         ขอโทษนะ ขอโทษที่ฉันพานายมาจนถึงจุดนี้ ขอโทษที่ทำให้เป็นแบบนี้ ขอโทษจริงๆ ตัวฉันในตอนนี้ยังให้อภัยตัวเองไม่ได้แต่ว่าฉันจะเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ วันหนึ่งในอนาคตฉันจะกลับมาเปิดอ่านมันอีกครั้ง และหวังว่าตอนนั้นตัวฉัน...บางทีอาจจะสักสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้าจะสามารถปล่อยวางแล้วก็ยกโทษให้กับตัวเองในอดีตได้อย่างแท้จริง
   
         ขอโทษนะที่ทำให้ลำบากและต้องเจ็บปวด
   
        แต่อดทนอีกนิดนะ มันกำลังจะผ่านไปแล้วล่ะ

   
        ปานตะวันอ่านทวนเนื้อหาในจดหมายอีกครั้งก่อนจะพับมันใส่ซอง จดหมายฉบับนี้เขาเก็บมันเอาไว้ในกล่องใบหนึ่ง แล้วก็เอาไปวางไว้บนหลังตู้เสื้อผ้า ไม่ห่างแต่ก็ไม่ได้ทิ่มแทงตามากไป มันจะอยู่ตรงนั้น รอวันที่เขากลับมาเปิดอ่านอีกหน
   
        เมื่อจัดการจดหมายฉบับสุดท้ายเสร็จปานตะวันก็หยิบซองจดหมายสามซองขึ้นมาแล้วก็เดินออกไปด้านนอก ตอนนี้ทุกคนน่าจะหลับกันหมดแล้ว
   
        ปานตะวันเดินลงไปที่ท้ายสวนจากนั้นก็ลากเอาเตาถ่านออกมา เหตุการณ์เดียวกับตอนที่เขาเผาจดหมายจากธีร์ไม่มีผิด ชายหนุ่มจุดไฟแช็กจ่อเข้าที่มุมซองจดหมายจากนั้นก็ทิ้งมันลงในเตา เฝ้ามองดูเปลวไฟลามเลียแผ่นกระดาษเหล่านั้น
   
       พ่อ...พี่จันทร์ หวังว่าทั้งคู่จะได้รับรู้สิ่งที่ตะวันอยากจะสื่อนะ
   
        ชายหนุ่มเหม่อมองควันไฟที่ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า จินตนาการไปว่ามันกำลังลอยไปสู่สวรรค์ นำเอาจดหมายจากเขาไปส่งให้คนสำคัญสองคนที่คงจะมองมาจากบนโน้น
   
       ปานตะวันยืนเหม่ออยู่นานจนเปลวไฟก็ดับลง ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นก่อนที่ฝ่ามือบอบบางของคุณรุ่งฟ้าจะแตะลงที่ไหล่
   
        “แม่ยังไม่นอนอีกเหรอ”
   
        “แม่เขียนเมลล์อยู่น่ะ แล้วลูกล่ะ ทำไมไม่นอน”
   
        “ลงมาทำธุระนิดหน่อย”
   
        รุ่งฟ้ามองเตาถ่ายที่ยังเหลือเศษขี้เถ้าข้างในอยู่ด้วยสายตากังวล ปานตะวันปลดมือแม่ออกไหล่ตนอย่างนุ่มนวลแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่หรอก ก็แค่จดหมายน่ะ”
   
        “จดหมาย?”
   
        “อื้ม จดหมายถึงพ่อกับพี่จันทร์”
   
        รุ่งฟ้ามองตามสายตาปานตะวันขึ้นไปบนฟ้าจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ดึกแล้ว ขึ้นบ้านเถอะ” รุ่งฟ้ายืนอยู่ตรงนั้นรอให้ปานตะวันเก็บเตาจนเสร็จ แล้วก็เดินขึ้นเรือนไทยพร้อมลูกชาย
   
        “แม่ ผมมีอะไรจะให้แม่”
   
         ก่อนที่เธอจะเดินเข้าห้องปานตะวันก็เรียกเธอไว้ เขาหายไปพักหนึ่งก่อนกลับมาพร้อมซองจดหมายซองหนึ่ง เมื่อเธอรับไปเขาก็เดินกลับไปที่ห้องเงียบๆ
   
        รุ่งฟ้ามองซองจดหมายเบาหวิวนั้นด้วยสายตาหลากหลายความรู้สึก
   
        ปานตะวันไม่ได้ให้จดหมายแค่กับแม่เขาเท่านั้นแต่ซองอื่นๆ ก็ถึงมือผู้รับแล้วเช่นกัน เขาไม่คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว แค่คิดว่าข้อความในกระดาษพวกนั้นคงสามารถสื่อความรู้สึกในส่วนลึกของเขาออกไปได้
   
         นอกจากจดหมายแล้ว สองสามวันต่อมาปานตะวันก็วานให้พี่เมศซื้อสมุดบันทึกมาให้สองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นเล่มสำหรับจดบันทึกประจำวัน ปานตะวันตั้งใจจะจดทุกอย่างที่เขาคิดลงไปในนี้ ความรู้สึกต่างๆ ที่คิดในแต่ละวัน ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางครั้งที่เขารู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อมากจนไม่อยากเขียนแต่สมุดบันทึกเล่มนี้เหมือนเป็นเครื่องมือระบายความรู้สึกอย่างหนึ่งอีกทั้งยังทำให้เขารู้ได้ว่าอาการของตัวเองในแต่ละวันดีขึ้นหรือแย่ลง ปานตะวันจึงตั้งใจจะเขียนให้ได้มากที่สุด
   
        ส่วนเล่มที่สองเป็นสมุดที่เขาเขียนเอาไว้ด้านในว่า ‘สมุดบันทึกความสุข’
   
         ชายหนุ่มลูบปกสมุดความสุขพลางครุ่นคิดว่าอะไรจะเป็นความสุขเรื่องแรกที่เขาบันทึกลงในนี้ ระหว่างที่นั่งเหม่ออยู่หน้าโต๊ะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
   
        “ตะวัน พี่เข้าไปนะ”
   
        ราเมศส่งเสียงบอกแล้วก็เปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มเห็นคนรักนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือพร้อมกับสมุดที่เขาซื้อมาให้ก็คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา
   
      “พี่เอาขนมมาให้”
   
      “ขอบคุณครับ”
   
        ราเมศวางถาดใส่ขนมชั้นกับน้ำเต้าหู้นมสดที่ปานตะวันชอบกินไว้ข้างๆ โน้มตัวลงมากอดคนรักพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่จากนั้นก็ออกจากห้องไป ปานตะวันลูบแก้มที่มีไออุ่นจากริมฝีปากหลงเหลืออยู่พลางคิดว่า นี่ไงล่ะเรื่องดีๆ เรื่องแรกที่ควรบันทึกลงในสมุด
   
        เขาละสายตาไปที่ถาดใส่ขนมที่คนรักยกมาวางไว้ให้ ตั้งใจจะหยิบขนมมากินก่อนลงมือเขียน ตอนนั้นเองที่ปานตะวันเห็นว่าบนถาดใส่ขนมมีซองจดหมายวางอยู่สามซอง มันไม่ใช่ซองแบบที่เขาให้พวกพี่เมศไปด้วย
   
         ปานตะวันหยิบซองบนสุดขึ้นมาพลิกดู ลายมือหวัดๆ ที่เขียนอยู่บนซองเป็นของชนกันต์ จดหมายฉบับนี้จ่าหน้าถึงเขา ปลายนิ้วของปานตะวันสั่นระริกยามเปิดมันออก
   
         นั่นเป็นจดหมายจากชนกันต์ถึงเขา...เขียนตอบฉบับที่แล้วที่เขาเอาไปให้
   
        กันต์บอกว่ายกโทษให้เขาที่ทำตัวไม่ดีแล้วก็บอกว่าดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกัน แถมยังเขียนบ่นมาอีกยาวยืดแต่คำบ่นของมันเจือด้วยความห่วงใย มันยังบอกอีกว่าจะเป็นเพื่อนกันไปอีกร้อยปีเลย
   
        “ไอ้เพื่อนบ้านี่”
   
         ปานตะวันพึมพำ แม้ปากจะด่าแต่กลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างมาก ชายหนุ่มหยิบจดหมายฉบับต่อไปมาอ่าน มันเป็นจดหมายจากแม่ของเขา ส่วนฉบับสุดท้ายเป็นจดหมายจากพี่เมศและหนูเจีย ของหนูเจียเด็กชายวาดรูปครอบครัวมาให้ เป็นลายเส้นโย้เย้คอยาว แต่ทันทีที่เห็นมุมปากของปานตะวันก็พลันยกขึ้น
   
        ชายหนุ่มมองจดหมายที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่พักหลังแทบไม่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเลย
   
        ปานตะวันยิ้มแล้วก็เหน็บคำขอโทษรวมถึงคำขอบคุณและความรักจากทุกคนไว้ที่หน้าแรกของสมุดบันทึกความสุข

*************************************************

ในที่สุดก็พ้นจากบ่วงดราม่าเสียที โฮกกกกกก ตอนต่อไปจะตามมาเร็วๆ นี้นะคะ
ขอตัวไปปั่นให้จบก่อน อีกนิดเดียววว จุ๊บๆ
 :bye2:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
สู้ๆนะตะวัน รีบกลับมาเป็นตะวันคนเดิมสำหรับทุกคนเร็วๆ นะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
น้ำตาไหลด้วยความโล่งใจ

ออฟไลน์ fahsai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 815
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
ดีใจกับตะวันและครอบครัวจริงๆ

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ดราม่าจงหายไปปปปป

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
น้ำตาไหลตอนนี้ตะวันเปิดอ่านจม.ของเพื่อนและพี่เมศเลยอ่ะ ซึ้งใจในความเป็นเพื่อนของกันต์จริงๆ ค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด