ปานตะวัน
บทที่ 29
คำขอโทษ
ปานตะวันเต็มใจจะไปพบหมอด้วยตัวเอง ราเมศถือว่านี่เป็นข่าวดีที่สุดที่เขาได้รับมาในรอบหลายวัน รู้ว่าปานตะวันมีปัญหาตรงไหนก็ควรแก้ไขที่จุดนั้น ชายหนุ่มรู้สึกโชคดีที่ตัวคนรักและคนรอบข้างเข้าใจถึงปมปัญหาของปานตะวันดีและเต็มใจจะช่วยเหลือ
ราเมศเร่งหาเวลาว่างให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อพาปานตะวันไปหาหมอ ข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษาต่างๆ ชายหนุ่มกับคุณรุ่งฟ้าก็อาศัยเปิดอินเทอร์เน็ตหาเอา มีทั้งกระทู้จากคนที่เคยมีประสบการณ์หรือแม้กระทั่งหนังสือเกี่ยวกับโรคนี้ราเมศก็ยังไปหาซื้อมาอ่าน
เรียกได้ว่าพวกเขาทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้ปานตะวันไปหมดตัวเลยจริงๆ
ระหว่างที่รอให้ถึงวันที่ตกลงกันไว้ ราเมศไปทำงาน ให้ปานตะวันอยู่ที่บ้านกับคุณรุ่งฟ้า หลายวันที่ผ่านมาสองแม่ลูกมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น แม้จะยังไม่เข้าที่ดีแต่เรียกได้ว่าไม่ยับเยินแบบแต่ก่อน
ปานตะวันเป็นคนสะบั้นสายสัมพันธ์ยุ่งเหยิงเส้นเดิมทิ้งไปแล้ว คุณรุ่งฟ้าก็ค่อยๆ ถักทอสายสัมพันธ์เส้นใหม่ขึ้นมาทีละนิด เรียกได้ว่าทั้งคู่อยู่ในช่วงตั้งต้นใหม่ก็ยังได้
ราเมศเองในแต่ละวันก็พยายามชักชวนปานตะวันกลับมาทำกิจกรรมเดิมๆ ที่เคยทำด้วยกัน แม้จะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็ยังดึงความสนใจปานตะวันไว้ได้ ไม่ทำให้อีกฝ่ายเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องอีก
พวกเขาดำเนินชีวิตลักษณะนี้อยู่เกือบสัปดาห์ ในที่สุดก็ถึงวันที่ตกลงกันไว้ว่าจะไปหาหมอ ราเมศปลุกปานตะวันมาแต่เช้า วันนี้คนรักของเขาดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่สบายใจเหรอ” ราเมศถามขณะจัดทรงผมให้ปานตะวัน คนถูกถามพยักหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง
“ตะวันกังวลนิดหน่อยน่ะพี่เมศ มันจะ...น่ากลัวหรือเปล่า”
“ไม่น่ากลัวหรอกเชื่อพี่สิ” ราเมศจูบลงบนกระหม่อมคนรัก “พี่อยากให้ปานตะวันเปิดใจคุยกับหมอ เปิดใจให้การรักษา ได้ไหม”
ปานตะวันนิ่งไปก่อนจะพยักหน้า ยังไงก็ตัดสินใจแล้ว หันหลังกลับไม่ได้อีก ถึงจะกลัวแต่ยังไงก็อยากหาย บางทีมันอาจจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดก็ได้
ราเมศบีบมือคนรักเบาๆ หนึ่งทีก่อนจะพาอีกฝ่ายออกจากห้อง รุ่งฟ้ายืนอยู่กับหนูเจียที่สวนด้านล่าง มองลงไปแล้วก็เห็นสองคนย่าหลานยืนดูดอกไม้ใบหญ้ากันอย่างเพลิดเพลิน ราเมศตรวจเช็คกลอนประตูหน้าต่างเป็นครั้งสุดท้าย ปิดไฟในบ้านจนเรียบร้อยแล้วก็ล็อกกุญแจ ในที่สุดทุกคนก็ได้ฤกษ์เดินทาง
โรงพยาบาลที่ราเมศพาปานตะวันมาเขาได้คำแนะนำมาจากชนกันต์ แม้จะอยู่ค่อนข้างไกลจากบ้านแต่ในเมื่อได้รับคำยืนยันมาว่าดีราเมศก็ไม่หวั่นกับการขับรถไกล
หลังผจญรถติดอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงในที่สุดพวกเขาก็มาถึง
“ร่มรื่นกว่าที่คิดนะเนี่ย” รุ่งฟ้าพูดหลังจากที่เห็นสภาพภายนอกของโรงพยาบาล สวนหย่อมสำหรับพักผ่อนหย่อนใจถูกตกแต่งไว้อย่างดี ต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มเงาทั่วทุกที่ พุ่มไม้เล็กๆ ถูกตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ ดอกไม้ในกระถางที่ตั้งเรียงรายพากันอวดสีสันละลานตา บรรยากาศดูผ่อนคลายกว่าที่คิดไว้
ด้านในเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าด้านนอก ตอนแรกปานตะวันกังวลว่าภายในโรงพยาบาลจะต้องทึบทึมหรือไม่ก็ให้บรรยากาศหนักอึ้งชวนอึดอัดแต่ปรากฏว่าด้านในนั้นกลับให้บรรยากาศสะอาด โปร่งสบาย ช่วงเวลานี้มีคนไข้น้อยกว่าที่ปานตะวันคิดทำให้ค่อนข้างเงียบสงบ
เมื่อเข้ามาถึงปานตะวันก็ถูกพาไปทำบัตรคนไข้ ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดความดันและซักประวัติอีกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กลับมานั่งรอหมอที่เก้าอี้ด้านนอกกับครอบครัว
“ทุกคนที่นี่ก็ดูไม่ต่างอะไรกับปกติเลยนะพี่เมศ” ปานตะวันเอียงตัวไปกระซิบกับราเมศขณะสองมือพยายามจะจับหนูเจียที่ตื่นเต้นสุดขีดจนปีนป่ายไปมาบนตัวน้าๆ ไม่หยุดให้อยู่นิ่งๆ
ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองไปยังผู้คนที่นั่งอยู่รอบๆ บางคนก็นั่งคุยกับคนข้างตัว บางคนก็อ่านหนังสือหรือเล่นโทรศัพท์ บางคนก็แค่นั่งเหม่อลอยนิ่งๆ เหมือนกำลังครุ่นคิด ภายนอกพวกเขาก็ดูปกติดีแต่ปานตะวันรู้ว่าในใจพวกเขามีบางสิ่งที่ต้องแก้ไข ดังนั้นพวกเขาจึงมาที่นี่
ยังมีคนที่เป็นเหมือนกันอยู่
ความคิดนี้ทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่กำลังต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่ ไม่ได้เดียวดายเหมือนที่เข้าใจ ไม่ใช่คนเดียวที่ต้องเผชิญกับเรื่องร้ายๆ ในหัวตัวเอง พอคิดแบบนี้ความเครียดเกร็งในใจก็ผ่อนลงระดับหนึ่ง
ปานตะวันไม่อยากเล่นโทรศัพท์เขาเลยใช้เวลาระหว่างรอเล่นกับหนูเจียไปเรื่อยๆ มีบางครั้งที่สายตาของคนไข้คนอื่นๆ เบนมามองพวกเขาอย่างสนใจแต่ก็แค่แวบเดียวแล้วก็หันกลับไป ไม่ได้ทำให้อึดอัดที่ตรงไหน
เมื่อถึงเวลาก็มีคนมาเรียกปานตะวันให้เข้าไปพบหมอ ชายหนุ่มใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ตอนยืนขึ้น เขาหันมาหาครอบครัวเป็นการขอกำลังใจหนึ่งทีจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง
“สวัสดีครับ” ปานตะวันยกมือไหว้คุณหมอสวมแว่นร่างท้วมตรงหน้า อีกฝ่ายเองก็คลี่ยิ้มใจดีส่งมาให้แล้วก็รับไหว้ “สวัสดีครับ”
น้ำเสียงของคุณหมออ่อนโยนมาก ท่าทางก็ดูผ่อนคลายทำให้ปานตะวันเริ่มหายเกร็ง คำถามที่ถามก็ไม่ได้ตอบยากอะไร ปานตะวันก็แค่ต้องเล่าสิ่งที่เขาเจอมารวมถึงอาการที่เป็นอยู่ในตอนนี้
ตอนแรกปานตะวันคิดว่ากับคนแปลกหน้าเขาคงพูดออกไปไม่ได้แน่ แต่สมองก็คิดขึ้นมาว่าคนคนนี้เป็นหมอ พึ่งพาได้ สามารถรับฟังสิ่งที่เขาไม่กล้าเล่า ไม่กล้าพูดให้แม้แต่พี่เมศและแม่ฟังได้
ชายหนุ่มเริ่มเล่าแล้วก็เล่า ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูออกมาจากปาก ทั้งเรื่องในอดีต เรื่องของธีร์ เรื่องที่เขาถูกทำร้าย เรื่องความฝังใจ เรื่องที่ว่าเขาโล่งใจแค่ไหนที่ธีร์ตาย เรื่องของแม่ ของครอบครัว ปานตะวันพูดไปร้องไห้ไป ไม่รู้ว่าหมอฟังรู้เรื่องหรือเปล่าแต่ ณ เวลานั้น ปานตะวันไม่สนใจอีกแล้ว
บางทีเวลาอาจผ่านไปไม่นานแต่ในความรู้สึกของชายหนุ่มนั้นกว่าเรื่องราวจะดำเนินถึงตอนจบก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน
หลังจากนั้นหมอก็ถามอาการอื่นๆ ของเขาเช่นนอนหลับไหม ทานข้าวได้บ้างไหม มีความรู้สึกอยากทำร้ายตัวเองหรือเห็นว่าตัวเองไร้ค่าบ้างหรือเปล่า ปานตะวันเล่าอาการของตนไปอย่างไม่ปิดบัง พออยู่กับหมอเห็นท่าทางคล้ายญาติผู้ใหญ่ใจดีแล้วเขาก็วางใจ เริ่มเปิดใจมากขึ้นอีกนิด
ทั้งคู่คุยกันค่อนข้างนาน หมอบอกว่าโชคดีที่ปานตะวันมาพบหมอตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่อาการจะหนักไปมากกว่านี้ ถือว่ารู้ตัวค่อนข้างไว
"อันที่จริงแล้วคนที่พาผมมาหาหมอคือแฟนผมกับแม่มากกว่าครับ ตอนนี้เหมือนว่าอะไรในครอบครัวกำลังจะดีขึ้น” ปานตะวันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แต่บางทียิ่งพวกเขาทำดีผมก็ยิ่งเกลียดตัวเองที่เป็นคนดีอย่างที่พวกเขาต้องการไม่ได้ พวกเขาทำดีกับผมตั้งมาก แต่ที่ผมทำได้คือเฉยชาใส่พวกเขา ผมไม่อยากเป็นอย่างนี้ มันแย่มากเลยครับหมอ ผมรู้สึกผิด...ไม่รู้ว่ากับใครบ้าง แต่ความรู้สึกมันมากเกินไปจริงๆ”
หลังคุยกันต่ออีกสักพักปานตะวันก็กลับออกมาด้านนอก
“เป็นยังไงบ้าง” ราเมศถามขึ้นเป็นคนแรกทันทีที่ปานตะวันเดินมาถึงเก้าอี้นั่ง
“ก็คุยกันหลายอย่างเลย หมออธิบายเรื่องโรคกับวิธีการรักษาเพิ่มเติมแล้วก็สั่งยามาด้วย”
“มีนัดอีกรอบไหม”
“มีครับ”
ปานตะวันบอกวันนัดหลังจากนี้ไป แม่ของเขารีบเปิดดูบันทึกอะไรสักอย่างในโทรศัพท์ของเธอจากนั้นก็เผยสีหน้าลำบากใจออกมาแวบหนึ่ง ปานตะวันสังเกตเห็นมันแล้วก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นเองว่า
“แม่กลับไปเถอะครับ ครั้งหน้าตะวันมากับพี่เมศได้ มาอยู่นี่นานๆ ไม่สะดวกใช่ไหมล่ะ” อยู่ที่นู่นแม่ของเขาก็ไม่ได้นั่งเป็นแม่บ้านเฉยๆ เธอมีงานที่ตัวเองต้องทำ แม้จะไม่ใช่พนักงานบริษัทที่ต้องตอกบัตรเข้าทำงานแต่มันก็คงไม่ดีถ้าเธอจะรั้งอยู่ที่นี่นานกว่านี้
“ไมได้หรอก แม่จะอยู่” รุ่งฟ้าพูดอย่างดื้อดึง “แม่จะบอกเวนดี้เอง เรื่องงานไม่ใช่ปัญหา” เวนดี้คือหุ้นส่วนและเพื่อนสนิทของแม่ที่นู่น พวกเธอตั้งแบรนด์เสื้อผ้าเล็กๆ ขึ้นด้วยกัน
“แล้วน้องๆ ล่ะครับ”
“แม่คุยกับน้องแล้ว พวกเขาเข้าใจนะ ทุกคนเข้าใจที่แม่ต้องกลับไทยครั้งนี้ แม่จะอยู่จนกว่าลูกจะอาการดีขึ้น”
“มันไม่ได้หายในวันสองวันนะครับแม่ มันอาจจะเป็นเดือนหรือว่าเป็นปี”
“แม่จะอยู่กับลูก”
จบคำนั้นการโต้เถียงระหว่างแม่ลูกก็สิ้นสุด ราเมศเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนรอยยิ้ม นิสัยดื้อดึงของปานตะวันนี่ถอดแบบคุณรุ่งฟ้ามาชัดๆ
ปานตะวันแม้จะเถียงเพื่อให้แม่กลับแต่ลึกๆ ในใจเขาก็ยังต้องการแม่ อยากให้แม่เลือกเขามากกว่าชีวิตที่นู่น อยากให้ความรู้สึกที่ว่าตอนนี้เขาสำคัญกับแม่ได้รับการยืนยัน พอได้ฟังแม่ยืนกรานว่าจะอยู่กับเขาชายหนุ่มก็ยินดี
ตอนรับยาแล้วก็จ่ายเงินรุ่งฟ้าเป็นคนไปจัดการทั้งหมด ตอนที่เดินกลับมายื่นถุงยาให้ปานตะวันชายหนุ่มก็พูดว่า “เดี๋ยวตะวันจะจ่ายคืน”
“ไว้ทีหลังๆ”
รุ่งฟ้าโบกไม้โบกมือก่อนจะพูดขึ้นว่าหิวข้าว ทั้งสี่คนจึงออกไปหาของกินแถวๆ โรงพยาบาล แวะซื้อของอีกเล็กน้อยจากนั้นจึงพากันกลับบ้าน
เวลาที่เหลือของวันผ่านไปอย่างเงียบสงบ คืนนี้ปานตะวันก็แยกห้องนอนเช่นเคย เขาต้องการเวลาเป็นส่วนตัวสักหน่อยสำหรับ ‘การบ้าน’ ที่คุณหมอให้มา
แน่นอนว่าการไปพบคุณหมอวันนี้ไม่ใช่แค่ไปพูดคุย รับยาแล้วก็กลับเท่านั้น ปานตะวันได้รับคำแนะนำในการ ‘แก้ปมในใจ’ มาอีกหนึ่งอย่าง
เพราะเขาบอกหมอไปว่าเขารู้สึกผิด แต่ไม่สามารถพูดคำว่าขอโทษออกมาได้ ความคิดของเขาตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว คนที่อยากขอโทษมีมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรความรู้สึกนี้ถึงจะหลุดออกจากใจได้ คุณหมอจึงแนะนำว่าถ้าพูดไม่ได้ก็ให้เปลี่ยนมาเขียนแทน ในบางเวลาคนเราก็สื่อสิ่งที่ต้องการออกมาได้ดีที่สุดผ่านตัวอักษร
วันนี้ปานตะวันจึงกลับมาบ้าน นั่งลงที่โต๊ะแล้วก็หยิบกระดาษมีเส้นแบบที่เด็กนักเรียนใช้เขียนรายงานออกมาพร้อมกับซองจดหมาย ชายหนุ่มอยากทำให้เหมือนกับว่าตัวเองกำลังจะส่งจดหมายไปหาคนเหล่านี้
เขาจรดปลายปากกาลงแล้วก็เริ่มนึก คนแรกที่อยากเขียนถึง อยากจะขอโทษก็คือ...
ถึงพี่จันทร์ พี่สาวของเขาเอง
พี่จันทร์รักเขามาก เธอสอนเขาเสมอให้โตมาเป็นเด็กดี ตอนที่ต้องแยกจากกันเขาเคยสัญญากับเธอไว้ว่าเขาจะโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่พึ่งพาได้และกลับมาดูแลเธอกับพ่อ แต่เขาก็ทำไม่ได้ ปานตะวันขอโทษในเรื่องนี้ ขอโทษสำหรับที่ทิ้งเธอไว้ในเวลาที่เธอต้องการใครสักคนมากที่สุด
คนต่อมาก็คือพ่อ เนื้อหาก็คล้ายๆ กับจดหมายของจันทร์จ้าวแต่สั้นกว่า นอกจากจะบอกขอโทษแล้วยังขอบคุณอีกด้วย ขอบคุณที่พ่อทำให้ชีวิตวัยเด็กของเขามีความทรงจำที่ดีอยู่บ้าง
ถัดจากพ่อแล้วก็เป็นแม่ กับแม่ปานตะวันแค่ขอโทษที่พูดจาไม่ดีใส่ พยศใส่ ชายหนุ่มคิดว่าบางทีในอนาคตเขาจะลองปรับตัวเองให้เข้ากับครอบครัวใหม่ของแม่ดู จดหมายถึงแม่เหมือนเป็นการเขียนระบายความรู้สึกที่เก็บมาตลอดในใจของเขาออกไปมากกว่าจดหมายขอโทษ ปานตะวันเขียนว่าเขารู้สึกเหมือนเป็นคนนอก เขียนว่าตอนเด็กเขาคิดอยู่ตลอดว่าแม่ไม่รัก ทุกความรู้สึกที่ติดค้างในใจเขาระบายออกไปจนหมด ปานตะวันจบจดหมายฉบับนั้นด้วยประโยคที่ว่าเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้ไหม และไม่รู้ด้วยว่าความรู้สึกตะขิดตะขวงใจระหว่างเขากับครอบครัวใหม่จะหายไปตอนไหน แต่ในอนาคตเขาจะพยายามปรับตัวดูและขอบคุณที่แม่ยังไม่ทิ้งเขาไปในเวลานี้
พวกเขายังไม่สามารถกลับมาเป็นแม่ลูกที่รักกันสมานสามัคคีได้ทันทีเหมือนในละคร แผลใจยังอยู่ แต่พวกเขากำลังเริ่มต้นใหม่ นั่นเป็นสัญญาณที่ดี
จากนั้นก็เป็นจดหมายถึงพี่เมศและหนูเจีย สำหรับสองคนนี้คงต้องขอโทษที่ทำให้ลำบากโดยเฉพาะพี่เมศ
แต่ไม่ว่ายังไงก็ขอบคุณเสมอที่ยืนอยู่ข้างกัน พี่เมศ...กับหนูเจีย
แสงสว่างเล็กๆ ที่ปลายอุโมงค์ของปานตะวัน
ต่อจากพี่เมศกับหนูเจียคือจดหมายถึงชนกันต์ สำหรับกันต์ปานตะวันรู้ดีว่ามันคงไม่โทษเขา แต่เขาก็ยังทำให้มันเป็นห่วงอยู่เกือบตลอดเวลา ขอโทษที่เป็นเพื่อนที่ไม่เอาไหน เอาแต่รับอยู่ฝ่ายเดียวแล้วก็ขอบคุณที่ทำให้เขากลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งได้ในวันนั้น
เมื่อเขียนจดหมายของชนกันต์เสร็จชายหนุ่มฉีกกระดาษออกมาอีกหนึ่งแผ่น
มีอีก...ยังมีบางสิ่งติดอยู่ในใจเขา ใครสักคนยังอยู่...
ธีร์ ตอนที่เขียนชื่อนี้ลงไป มือของปานตะวันสั่นเล็กน้อย กับธีร์ปานตะวันไม่ได้อยากขอโทษ ไม่มีความเสียใจและไม่มีคำขอบคุณ
กระดาษรายงานขนาด A4 แผ่นนั้นมีตัวหนังสืออยู่แค่บรรทัดเดียว
ลาก่อน...และขออย่าได้เจอกันอีก
เท่านี้ก็เหมือนจะครบแล้ว
ปานตะวันพับจดหมายแผ่นแล้วแผ่นเล่าใส่ซองพร้อมกับเขียนชื่อคนที่เขาเขียนถึงเอาไว้ที่หน้าซองจดหมายแต่ละฉบับ ของพ่อ พี่จันทร์และธีร์ชายหนุ่มแยกเอาไว้ ส่วนของคนที่เหลือเขาเก็บใส่กล่อง อยู่ระหว่างการชั่งใจว่าจะส่งให้อ่านดีหรือเก็บไว้เฉยๆ ดี
ปานตะวันลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจพักไว้ ตอนนี้เขาจะลงไปจัดการกับจดหมายสามฉบับนี้ก่อน
ชายหนุ่มหยิบจดหมายที่แยกไว้ขึ้นมาแล้วก็ลุกออกจากเก้าอี้ ตอนที่เขียนจดหมายไม่ได้ดูเวลาเลย มัวแต่จมอยู่ในโลกส่วนตัว พอตอนนี้เงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้วก็ตกใจเล็กน้อย ปานตะวันกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง แต่ตอนที่เขาเดินผ่านกระจกเงาขนาดเท่าตัวคนที่ตั้งหลบอยู่มุมหนึ่งของห้องนั้นเอง ร่างโปร่งก็ชะงักฝีเท้า
ปานตะวันเปลี่ยนทิศทางเดิน จากจะเดินออกนอกประตูห้องเปลี่ยนเป็นหมุนตัวไปที่กระจกแทน
พักหลังปานตะวันหลีกเลี่ยงการส่องกระจกมาโดยตลอดเพราะยิ่งเห็นตัวเองมีสภาพโทรมลงเขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอาผ้าคลุมกระจกบานนั้นไว้แล้วก็แอบมันเอาไว้ที่มุมห้อง
พรึ่บ
ผ้าสีเทาที่คลุมกระจกอยู่ถูกดึงออกช้าๆ แล้วก็ถูกปล่อยร่วงไปกองกับพื้น ปานตะวันเหม่อมองเงาที่สะท้อนกลับมาเต็มสองตา
นี่ตัวเขาจริงๆ หรือ? ดูเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้เลย
ชายหนุ่มขยับเข้าไปชิด ปลายนิ้วแตะลงบนกระจกเย็นเฉียบแผ่วเบา ความคิดหนึ่งพลันผุดวาบขึ้นในสมอง
นี่ไง...เขาคิดอยู่ตลอดว่าลืมใครไปหรือเปล่า จริงๆ แล้วจดหมายขอโทษพวกนั้นต้องมีอีกหนึ่งฉบับ
ปานตะวันกลับไปนั่งที่โต๊ะ ดึงกระดาษออกมาอย่างรีบร้อนแล้วก็เริ่มเขียน
ถึงปานตะวัน
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เริ่มทำอะไรแบบนี้ เขียนจดหมายเพื่อขอโทษตัวเองในอดีต ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมองว่าบ้าและไร้สาระแน่ๆ แต่...ไม่รู้สิ คิดว่ายังไงก็ควรต้องเขียนมัน
นายคือคนที่ฉันอยากจะต่อว่ามากที่สุดและนายก็คือคนที่ฉันอยากเอ่ยคำขอโทษมากที่สุดเช่นเดียวกัน
ตอนที่ยังเด็กก็คิดอยู่เสมอว่าแม่ทิ้งไป อยากกลับไปอยู่กับพ่อ ญาติพี่น้องที่รับไปเลี้ยงก็ไม่สนใจ ตอนนั้นน่ะมันโดดเดี่ยวจริงๆ นะ อยากเจอหน้าแม่มากกว่าสองหรือสามครั้งต่อปี อยากให้แม่กอดแล้วก็หอม บางทีคงเป็นตั้งแต่ตอนนั้นที่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักความอบอุ่น ยิ่งโต ยิ่งรู้ความ ก็ยิ่งไม่ชอบแม่ โทษแม่ทุกอย่าง ทำตัวเหลวแหลก เรียกร้องความสนใจ แล้วก็โทษแม่ โทษญาติ โทษคนรอบตัว ทั้งที่จริงแล้วคนที่ผิด...ส่วนหนึ่งก็คือตัวเราเอง
มาถึงวันนี้ผลจากสิ่งต่างๆ ที่เคยทำมาในอดีตมันตามมาทำร้ายแล้ว เจ็บ...เจ็บมากๆ เลย ยิ่งมองย้อนกลับไปก็ยิ่งรู้ว่าตอนนั้นทำร้ายตัวเองไปมากแค่ไหน บางทีคนที่ฉันเกลียดมากที่สุด โกรธมากที่สุด และเสียใจด้วยมากที่สุดอาจเป็นตัวฉันเองก็ได้ โกรธที่ไม่รักตัวเอง เกลียดที่โง่เขลา และเสียใจที่เอาแต่ทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า บาดแผลในหัวใจมากมายที่หลงเหลืออยู่ตอนนี้เกือบครึ่งก็เป็นตัวฉันที่ทำมันเอง
ขอโทษนะ ขอโทษที่ฉันพานายมาจนถึงจุดนี้ ขอโทษที่ทำให้เป็นแบบนี้ ขอโทษจริงๆ ตัวฉันในตอนนี้ยังให้อภัยตัวเองไม่ได้แต่ว่าฉันจะเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ วันหนึ่งในอนาคตฉันจะกลับมาเปิดอ่านมันอีกครั้ง และหวังว่าตอนนั้นตัวฉัน...บางทีอาจจะสักสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้าจะสามารถปล่อยวางแล้วก็ยกโทษให้กับตัวเองในอดีตได้อย่างแท้จริง
ขอโทษนะที่ทำให้ลำบากและต้องเจ็บปวด
แต่อดทนอีกนิดนะ มันกำลังจะผ่านไปแล้วล่ะ ปานตะวันอ่านทวนเนื้อหาในจดหมายอีกครั้งก่อนจะพับมันใส่ซอง จดหมายฉบับนี้เขาเก็บมันเอาไว้ในกล่องใบหนึ่ง แล้วก็เอาไปวางไว้บนหลังตู้เสื้อผ้า ไม่ห่างแต่ก็ไม่ได้ทิ่มแทงตามากไป มันจะอยู่ตรงนั้น รอวันที่เขากลับมาเปิดอ่านอีกหน
เมื่อจัดการจดหมายฉบับสุดท้ายเสร็จปานตะวันก็หยิบซองจดหมายสามซองขึ้นมาแล้วก็เดินออกไปด้านนอก ตอนนี้ทุกคนน่าจะหลับกันหมดแล้ว
ปานตะวันเดินลงไปที่ท้ายสวนจากนั้นก็ลากเอาเตาถ่านออกมา เหตุการณ์เดียวกับตอนที่เขาเผาจดหมายจากธีร์ไม่มีผิด ชายหนุ่มจุดไฟแช็กจ่อเข้าที่มุมซองจดหมายจากนั้นก็ทิ้งมันลงในเตา เฝ้ามองดูเปลวไฟลามเลียแผ่นกระดาษเหล่านั้น
พ่อ...พี่จันทร์ หวังว่าทั้งคู่จะได้รับรู้สิ่งที่ตะวันอยากจะสื่อนะ
ชายหนุ่มเหม่อมองควันไฟที่ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า จินตนาการไปว่ามันกำลังลอยไปสู่สวรรค์ นำเอาจดหมายจากเขาไปส่งให้คนสำคัญสองคนที่คงจะมองมาจากบนโน้น
ปานตะวันยืนเหม่ออยู่นานจนเปลวไฟก็ดับลง ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นก่อนที่ฝ่ามือบอบบางของคุณรุ่งฟ้าจะแตะลงที่ไหล่
“แม่ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“แม่เขียนเมลล์อยู่น่ะ แล้วลูกล่ะ ทำไมไม่นอน”
“ลงมาทำธุระนิดหน่อย”
รุ่งฟ้ามองเตาถ่ายที่ยังเหลือเศษขี้เถ้าข้างในอยู่ด้วยสายตากังวล ปานตะวันปลดมือแม่ออกไหล่ตนอย่างนุ่มนวลแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรเป็นเรื่องใหญ่หรอก ก็แค่จดหมายน่ะ”
“จดหมาย?”
“อื้ม จดหมายถึงพ่อกับพี่จันทร์”
รุ่งฟ้ามองตามสายตาปานตะวันขึ้นไปบนฟ้าจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ดึกแล้ว ขึ้นบ้านเถอะ” รุ่งฟ้ายืนอยู่ตรงนั้นรอให้ปานตะวันเก็บเตาจนเสร็จ แล้วก็เดินขึ้นเรือนไทยพร้อมลูกชาย
“แม่ ผมมีอะไรจะให้แม่”
ก่อนที่เธอจะเดินเข้าห้องปานตะวันก็เรียกเธอไว้ เขาหายไปพักหนึ่งก่อนกลับมาพร้อมซองจดหมายซองหนึ่ง เมื่อเธอรับไปเขาก็เดินกลับไปที่ห้องเงียบๆ
รุ่งฟ้ามองซองจดหมายเบาหวิวนั้นด้วยสายตาหลากหลายความรู้สึก
ปานตะวันไม่ได้ให้จดหมายแค่กับแม่เขาเท่านั้นแต่ซองอื่นๆ ก็ถึงมือผู้รับแล้วเช่นกัน เขาไม่คาดหวังอะไรมากอยู่แล้ว แค่คิดว่าข้อความในกระดาษพวกนั้นคงสามารถสื่อความรู้สึกในส่วนลึกของเขาออกไปได้
นอกจากจดหมายแล้ว สองสามวันต่อมาปานตะวันก็วานให้พี่เมศซื้อสมุดบันทึกมาให้สองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นเล่มสำหรับจดบันทึกประจำวัน ปานตะวันตั้งใจจะจดทุกอย่างที่เขาคิดลงไปในนี้ ความรู้สึกต่างๆ ที่คิดในแต่ละวัน ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางครั้งที่เขารู้สึกเหนื่อยหรือเบื่อมากจนไม่อยากเขียนแต่สมุดบันทึกเล่มนี้เหมือนเป็นเครื่องมือระบายความรู้สึกอย่างหนึ่งอีกทั้งยังทำให้เขารู้ได้ว่าอาการของตัวเองในแต่ละวันดีขึ้นหรือแย่ลง ปานตะวันจึงตั้งใจจะเขียนให้ได้มากที่สุด
ส่วนเล่มที่สองเป็นสมุดที่เขาเขียนเอาไว้ด้านในว่า ‘สมุดบันทึกความสุข’
ชายหนุ่มลูบปกสมุดความสุขพลางครุ่นคิดว่าอะไรจะเป็นความสุขเรื่องแรกที่เขาบันทึกลงในนี้ ระหว่างที่นั่งเหม่ออยู่หน้าโต๊ะนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ตะวัน พี่เข้าไปนะ”
ราเมศส่งเสียงบอกแล้วก็เปิดประตูเข้ามา ชายหนุ่มเห็นคนรักนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือพร้อมกับสมุดที่เขาซื้อมาให้ก็คลี่ยิ้มบางๆ ออกมา
“พี่เอาขนมมาให้”
“ขอบคุณครับ”
ราเมศวางถาดใส่ขนมชั้นกับน้ำเต้าหู้นมสดที่ปานตะวันชอบกินไว้ข้างๆ โน้มตัวลงมากอดคนรักพร้อมกับหอมแก้มฟอดใหญ่จากนั้นก็ออกจากห้องไป ปานตะวันลูบแก้มที่มีไออุ่นจากริมฝีปากหลงเหลืออยู่พลางคิดว่า นี่ไงล่ะเรื่องดีๆ เรื่องแรกที่ควรบันทึกลงในสมุด
เขาละสายตาไปที่ถาดใส่ขนมที่คนรักยกมาวางไว้ให้ ตั้งใจจะหยิบขนมมากินก่อนลงมือเขียน ตอนนั้นเองที่ปานตะวันเห็นว่าบนถาดใส่ขนมมีซองจดหมายวางอยู่สามซอง มันไม่ใช่ซองแบบที่เขาให้พวกพี่เมศไปด้วย
ปานตะวันหยิบซองบนสุดขึ้นมาพลิกดู ลายมือหวัดๆ ที่เขียนอยู่บนซองเป็นของชนกันต์ จดหมายฉบับนี้จ่าหน้าถึงเขา ปลายนิ้วของปานตะวันสั่นระริกยามเปิดมันออก
นั่นเป็นจดหมายจากชนกันต์ถึงเขา...เขียนตอบฉบับที่แล้วที่เขาเอาไปให้
กันต์บอกว่ายกโทษให้เขาที่ทำตัวไม่ดีแล้วก็บอกว่าดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกัน แถมยังเขียนบ่นมาอีกยาวยืดแต่คำบ่นของมันเจือด้วยความห่วงใย มันยังบอกอีกว่าจะเป็นเพื่อนกันไปอีกร้อยปีเลย
“ไอ้เพื่อนบ้านี่”
ปานตะวันพึมพำ แม้ปากจะด่าแต่กลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างมาก ชายหนุ่มหยิบจดหมายฉบับต่อไปมาอ่าน มันเป็นจดหมายจากแม่ของเขา ส่วนฉบับสุดท้ายเป็นจดหมายจากพี่เมศและหนูเจีย ของหนูเจียเด็กชายวาดรูปครอบครัวมาให้ เป็นลายเส้นโย้เย้คอยาว แต่ทันทีที่เห็นมุมปากของปานตะวันก็พลันยกขึ้น
ชายหนุ่มมองจดหมายที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่พักหลังแทบไม่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาเลย
ปานตะวันยิ้มแล้วก็เหน็บคำขอโทษรวมถึงคำขอบคุณและความรักจากทุกคนไว้ที่หน้าแรกของสมุดบันทึกความสุข
*************************************************
ในที่สุดก็พ้นจากบ่วงดราม่าเสียที โฮกกกกกก ตอนต่อไปจะตามมาเร็วๆ นี้นะคะ
ขอตัวไปปั่นให้จบก่อน อีกนิดเดียววว จุ๊บๆ
