ปานตะวัน
บทที่๒๒
จดหมายจากใครคนนั้น
“น้าตะวันนน ลูกนี้แด๊งแดง หนูเจียกินเลยได้มั้ยคับ”
เสียงร้องอย่าร่าเริงดังมาจากเด็กชายผิวขาวแก้มยุ้ยที่ถูกคุณย่าราตรีจับให้ใส่ชุดเด็กชาวเขาสีเข้ม หนูเจียที่ตอนนี้หอบตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยลูกสตรอเบอร์รี่สีแดงสดพอๆ กับพวงแก้มนิ่มของตนอยู่ชูผลไม้ลูกหนึ่งที่ดูอวบอิ่มน่ากินขึ้นมาให้ปานตะวันเห็นแล้วก็ร้องถาม
ปานตะวันหันไปมองพี่เมศเป็นเชิงขอความเห็น พอเจ้าตัวพยักหน้าให้เขาก็หันมายิ้มให้หลานชายแล้วพูดว่า “กินได้เลยครับ แต่กินช้าๆ นะ หนูเจียจะยัดสตรอเบอร์รี่เข้าปากทั้งลูกเหมือนตอนหนูกินแอปเปิ้ลเมื่อวานไม่ได้นะครับ เดี๋ยวจะติดคอ ค่อยๆ กิน ค่อยๆ เคี้ยว เข้าใจไหม”
ปานตะวันพูดถึงเหตุการณ์ชวนใจหายใจคว่ำบนโต๊ะอาหารเมื่อเย็นวาน ที่เขากับคนอื่นละสายตาจากหนูเจียไปแค่แวบเดียว หนูน้อยก็ยัดแอปเปิ้ลเข้าปากในคำเดียว ถึงจะหั่นมาเรียบร้อยแต่มันก็ใหญ่เกินปากเล็กๆ ของเจียหลินอยู่ดี หนูน้อยสำลักจนหน้าแดง โชคดีที่แอปเปิ้ลไม่ติดคอ หลังเหตุการณ์นั้นเจียหลินเลยโดนราเมศดุเข้าให้ แต่ซึมได้แป็บเดียวก็วิ่งมาง้อมาอ้อนให้คุณน้าหายโกรธแล้ว
“คับ!”
เจียหลินยิ้มจนตาปิดแล้วก็อ้าปากงับสตรอเบอร์รี่ แค่คำแรกเด็กน้อยถึงกับทำตาโต “น้าตะวัน น้าเมศ หวานมากเลย”
สตรอเบอร์รี่ลูกอวบ หวานหอม หนูเจียดูจะชอบมากเพราะกินตุ้ยๆ ไม่หยุด
“ถ้าชอบจะเก็บไปอีกก็ได้นะครับ” ราเมศบอกหลานชาย “เอาไปเท่าที่อยากกินเลย”
“เย้”
ได้ยินประโยคนั้นปานตะวันก็เดินไปเอาศอกถองคนรัก “พ่อบุญทุ่มจริงๆ ไม่กลัวขาดทุนเหรอครับ” ราเมศหัวเราะขณะย่อตัวลงเก็บสตรอเบอร์รี่ตรงหน้า
“หลานตัวแค่นั้น ไร่สตรอเบอร์รี่ของที่บ้านคงไม่ขาดทุนหรอก”
ใช่แล้ว ตอนนี้พวกปานตะวันอยู่ที่ไร่สตรอเบอร์รี่ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการทางบ้านของราเมศ ที่นี่เป็นไร่สตรอเบอร์รี่ที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและเก็บสตรอเบอร์รี่ ด้วยบรรยากาศรอบไร่ตกแต่งอย่างน่ารัก มีมุมให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป มีร้านกาแฟและร้านขนมซึ่งเมนูส่วนใหญ่มีสตรอเบอร์รี่เป็นส่วนประกอบเปิดให้บริการอยู่ไม่ไกลทำให้ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวได้มากมาย
สตรอเบอร์รี่ของที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความสด สะอาด ปลอดภัยไร้สารเคมี ปานตะวันก็ไม่รู้ว่าจริงตามที่เล่าไหมแต่เขารู้ว่ามันอร่อยมาก
“ตะวันอ้าปาก” ร่างโปร่งที่กำลังก้มๆ เงยๆ เด็ดเจ้าผลไม้สีแดงอยู่หันหน้ามาตามเสียงเรียกแล้วก็อ้าปากรับสตรอเบอร์รี่ที่ถูกป้อนให้ถึงปากไปกิน
“อร่อย”
“ถ้าชอบจะเอากลับไปฝากเพื่อนที่กรุงเทพฯก็ได้นะ”
“ได้เหรอครับ งั้นเอาไปฝากหลงกับกันต์ด้วยดีกว่า”
“ยังไม่ต้องรีบเก็บวันนี้หรอก ของฝากเดี๋ยวให้คนงานเอาลงไปส่งให้พรุ่งนี้ก็ได้จะได้สดหน่อย”
“เอางั้นก็ได้ครับ”
พวกเขาเดินเก็บสตรอเบอร์รี่กันอยู่อีกพักใหญ่ปานตะวันก็ลงความเห็นว่าพอดีกับความต้องการแล้ว เมื่อเอาของหนูเจียมาเทรวมด้วยก็ได้เต็มตะกร้าพอดี
“ของหวานวันนี้ต้องมีแต่สตรอเบอร์รี่แหง” พี่มิ้นต์ชะโงกหน้ามาดู เธอไม่ได้ลงมาร่วมวงเก็บผลไม้ด้วยเพราะไปเดินตรวจงานในไร่มา ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ไปนั่งพักในร้านกาแฟ ปล่อยให้ราเมศพาแฟนกับหลานชายไปเที่ยวเล่นตามใจชอบ
“พี่มิ้นต์ไม่ชอบเหรอครับ” ปานตะวันถาม หญิงสาวยักไหล่แล้วก็พูดว่า “เปล่าหรอก แค่ได้กินบ่อยแล้วน่ะ”
“มีกิจการเป็นของตัวเองนี่ดีจังเลยน้า”
เมื่อไม่นานมานี่ปานตะวันเพิ่งได้รู้มาว่าจริงๆ แล้วคนคิดริเริ่มและคุมกิจการเกือบทั้งหมดของครอบครัวคือพี่มิ้นต์ ไม่ว่าจะเป็นรีสอร์ตที่ขยับขยายจนใหญ่โต ร้านกาแฟ หรือแม้แต่ไร่สตรอเบอร์รี่แห่งนี้พี่มิ้นต์ก็เป็นคนดูแลทั้งสิ้น ตอนปานตะวันรู้เขาถึงกับตาโตอ้าปากค้าง
แถมรายได้ก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ พอได้ยินจำนวนตัวเลขปานตะวันถึงกับตาถลน
พี่เมศยังแอบกระซิบอีกว่าสิ่งเดียวที่พี่มิ้นต์ต้องการตอนนี้คือ ‘ร้านอาหาร’
หญิงสาวพยายามเกลี้ยกล่อมพี่ชายตัวเองให้กลับมาเปิดร้านอาหารที่บ้านเกิดแต่พี่เมศก็ยังพอใจจะอยู่ที่กรุงเทพฯต่อไป
“ตะวันชอบไหมล่ะ ถ้าชอบก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เลยสิ เดี๋ยวพาขึ้นไปเก็บสตรอเบอร์รี่ทุกวันเลย”
ปานตะวันหัวเราะแหะๆ ให้กับคำพูดของหญิงสาวผมสั้น พักนี้พี่มิ้นต์ชอบพูดทำนองว่าให้เขาย้ายมาอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ซึ่งจุดประสงค์ก็ไม่มีอะไรมากนอกจาก
‘ถ้าตะวันมาพี่เมศก็ต้องมาด้วยแน่นอน’
มันคือแผนการหลอกล่อพี่ชายกลับบ้านนั่นเอง
ปานตะวันเคยถามอีกฝ่ายว่าทำไมถึงได้อยากให้พี่เมศกลับมาเปิดร้านอาหารให้ถึงขนาดนั้น พี่มิ้นต์ก็อธิบายสั้นๆว่า ‘เพราะพ่อครัวของรีสอร์ตตอนนี้มันห่วย น้องตะวันรู้ไหมว่ารีสอร์ตเราได้สี่ดาวไม่ก็สี่ดาวครึ่งจากผู้เข้าพักมาตลอด แล้วอีกดาวที่หายไปมันไปไหน? ก็มาจากอาหารที่ไม่อร่อยนั่นไง! จะเปลี่ยนออกก็ไม่ได้เพราะไม่มีคนมาแทน ถ้าได้พี่เมศกลับมาทำอาหารให้ เราจะมีรายได้เพิ่มอีกเป็นกอบเป็นกำ!’
ซึ่งพอฟังแล้วก็แอบคิดว่ามีเหตุผลดีแต่ปานตะวันก็ไม่ได้ไปพูดอะไรกับพี่เมศหรอก เขาเคารพการตัดสินใจของคนรัก ถ้าพี่เมศอยากกลับเดี๋ยวก็กลับมาเองนั่นล่ะ
ค่ำคืนสุดท้ายก่อนจะกลับกรุงเทพฯ คุณราตรีเนรมิตขนมหวานหลากหลายชนิดที่ล้วนแล้วแต่มีสตรอเบอร์รี่ที่เก็บมาวันนี้เป็นส่วนผสมไม่ว่าจะเป็นเค้กสตรอเบอร์รี่ พายสตรอเบอร์รี่และอื่นๆ เพื่อเอาใจหลานชายโดยเฉพาะ ฝีมือทำขนมของคุณนายประจำบ้านดีถึงขนาดที่ว่าปานตะวันที่กินอาหารคาวเข้าไปเยอะแล้วก็ยังกินขนมต่อได้อีกจนเกลี้ยงจาน
พี่เมศยังพูดกับเขาเลยว่าตอนจูบกันวันนี้ในปากของเขามีแต่รสหวานของสตรอเบอร์รี่
หลังทานอาหารเสร็จคุณแม่กับคุณพ่อก็ขอตัวกลับเข้าห้อง หนูเจียก็ตามไปด้วย หลานชายติดคุณปู่คุณย่าของเขามาก ในห้องนั่งเล่นเหลือจึงเหลือกันแค่สามคน จู่ๆ พี่มิ้นต์ที่คงจะว่างมากก็โพล่งขึ้นมาว่า “มาเล่นเกมกัน”
“เกม?” พี่เมศเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ช่าย” หญิงสาวหยิบเอาขวดน้ำเปล่ามาหนึ่งขวด “Truth or Dare”
“แบบที่หมุนขวดแล้วไปหยุดที่ใครคนนั้นก็ต้องเลือก ถ้าเลือก Truth ก็ต้องตอบตามความจริงแต่ถ้าเลือก Dare ก็ต้องทำตามคำสั่งน่ะเหรอครับ” ปานตะวันทำหน้าพิลึก “ผมเลิกเล่นเกมนี้ไปตั้งแต่มัธยมแล้วนะ”
“ย้อนวัยไง”
“แล้วเล่นกันแค่สามคน?” พี่เมศเลิกคิ้ว
“ใช่แล้ว”
“ไม่น่าเบื่อแย่เหรอนั่น”
“ก็มันว่างนี่นา”
“นั่งดูหนังเฉยๆ ก็ได้มั้ง”
“ดูหนังก็เบื่อ!”
สรุปก็คือจะเล่นให้ได้สินะ ราเมศกับปานตะวันสบตากันแวบหนึ่งแล้วก็ตอบรับไปตามน้ำ หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มเลยยิ้มร่า แน่นอนว่าเกมแบบนี้ต้องมีแอลกอฮอล์เป็นบทลงโทษ
พี่มิ้นต์เป็นคนเริ่มหมุนขวด ปานตะวันที่รู้สึกว่าพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกก็โดนไปตามระเบียบ หญิงสาวยิ้มกริ่มเจ้าเล่ห์
“ตะวัน Truth or Dare”
“Truth”
อันที่จริงจะแบบไหนก็ไม่อยากทั้งนั้นแต่ถ้าให้เลือกระหว่างถูกถามคำถาม(ที่อาจจะมั่วคำตอบได้ ยังไงความลับบางเรื่องก็ไม่มีใครรู้นอกจากเขา)กับถูกสั่งให้ทำอะไรบ้าๆ ขอเลือกอย่างแรกดีกว่า
หญิงสาวผมสั้นเอานิ้วแตะปลายคางพลางทำสีหน้าครุ่นคิดแล้วก็พลันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา เป็นรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจจนแม้กระทั่งพี่เมศยังต้องเอ่ยปราม
“มิ้นต์”
“จ้าๆ ไม่ถามอะไรไม่ดีหรอกน่า” พี่มิ้นต์ที่ถูกดักทางทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยแล้วก็ถามออกมาว่า “ตะวันชอบให้พี่เมศจูบตรงไหน?”
“เฮ้ย ติดเรทแบบนี้ก็ได้เหรอ”
“ยังไงก็เลยยี่สิบกันทุกคนแล้วนี่ เร็วเข้า ตอบมา”
ปานตะวันเหลือบมองพี่เมศแล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายจ้องมาที่เขาด้วยสายตาแฝงแววสนุกสนาน “อันนี้พี่ก็อยากรู้” ปานตะวันอ้าปากแล้วก็หุบเหมือนปลาทองงับอาหาร เขาเงียบไปนานจนมิ้นต์จุ๊ปาก
“ไม่ตอบก็กระดกเลยจ้ะหนุ่มน้อย รวดเดียวหมดแก้วนะ”
ผู้หญิงคนนี้ปีศาจชัดๆ!
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลก้มหน้า สองแก้มแดงราวกับถูกไฟเผา เจ้าตัวเม้มริมฝีปากก่อนจะอ้อมแอ้มออกมาว่า “ตรง...ซอกคอ”
ถึงเขาจะไม่ชอบให้ใครมาโดนคอสักเท่าไหร่แต่พอเป็นจูบของราเมศ...ตอนที่ริมฝีปากของคนรักแตะลงตรงตรงลำคอไปจนถึงแอ่งชีพจรเขากลับรู้สึกดีมากเป็นพิเศษ
“หึ”
ได้ยินเสียงคนรักขำในลำคอ ราเมศแกว่งแก้วในมือไปมาขณะมองปานตะวันด้วยสายตาวิบวับ นั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มเขินมากขึ้นไปอีก
“เอ้าหมุนเลยๆ”
ปานตะวันเอื้อมมือสั่นๆ ไปหมุนขวด ปากขวดหยุดลงตรงหน้ามิ้นต์ เขาไม่รู้จักมิ้นต์มากนัก เพิ่งสนิทกันได้ไม่นาน จะให้ถามอะไรที่มันละลาบละล้วงมากนักก็เกินไปหน่อยปานตะวันเลยตัดสินใจถามคำถามง่ายๆ
“วางแผนจะแต่งงานตอนไหนครับ?”
เชื่อไหมว่าพอได้ยินคำถามนี้ราเมศถึงกับเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ ขณะที่หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มทำปากยื่น สงสัยคำถามจะแทงใจดำ
“ตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะแต่งปลายปีหน้า แต่พอดีแฟนมันเฮงซวยแผนเลยล่ม” ว่าแล้วก็ยักไหล่ สะบัดผมแบบสวยๆ “ตอนนี้ก็โสดจ้ะ”
ปานตะวันพยักหน้าหงึก พี่มิ้นต์ดูไม่แคร์เท่าไหร่ว่าตัวเองจะมีคนมาจีบหรือไม่ แต่ถ้าสมมติว่าเขาเป็นหญิงสาว บ้านมีตังค์ ครอบครัวอบอุ่น การงานมั่นคง เขาก็คงไม่แคร์หรอกว่าตัวเองจะมีคนมาแต่งงานด้วยหรือเปล่า
พี่มิ้นต์หมุนขวด คราวนี้ปากขวดไปหยุดที่พี่เมศ
คนพี่กับคนน้องยิ้มให้กันด้วยสีหน้าราวกับจะท้าทายอีกฝ่าย
“Truth or Dare คะเฮีย”
“Dare”
นัยน์ตากลมวาววับ พี่มิ้นต์ดีดนิ้วเป๊าะก่อนจะรีบพูดออกมาทันที
“พี่เมศ...ให้พี่จูบแฟนพี่ในตำแหน่งที่เจ้าตัวบอกว่าชอบให้พี่จูบมากที่สุด”
เฮ้ย ไอ้สองพี่น้องนี่จะไม่ยอมหลุดจากหัวข้อนี้ให้ได้เลยหรือไง
ปานตะวันยังไม่ทันอ้าปากโวยก็ถูกคว้าตัวไป ริมฝีปากร้อนแนบลงที่ซอกคอดังจุ๊บ
“ว้าววว” ยังจะมาว้าวอีก! คอยดูนะ คราวหน้าเขาจะเอาคืนพี่มิ้นต์ให้หนักๆ เลย
คราวนี้พี่เมศเป็นคนหมุนขวด คนโดนก็คือพี่มิ้นต์ หญิงสาวเลือก Dare พี่เมศเลยสั่งให้พี่มิ้นต์ไลฟ์สดในเฟซบุ๊คแล้วก็ร้องเพลง ‘กรุณาฟังให้จบ’ ของแช่ม แช่มรัตน์ พี่มิ้นต์เสียงหลงสุดกู่ ปานตะวันหัวเราะจนปวดท้องไปหมด
ยิ่งดึกก็ยิ่งคึก ตอนแรกนึกว่าเล่นกันสามคนจะไม่สนุกแต่เปล่าเลย
ปานตะวันกระดกไปสามแก้ว พี่มิ้นต์หนึ่งแก้ว พี่เมศยังไม่โดนเลยสักแก้ว พอมีแอลกอฮอล์ในร่างก็ยิ่งคึก
“Truth” ปานตะวันเลือกอย่างไม่ลังเลเมื่อปากขวดมาหยุดที่ตัวเอง พี่มิ้นต์ย่นคิ้ว เขาโดนบ่อยมากจนหญิงสาวนึกคำถามที่จะถามไม่ออกแล้ว
“เอ่อ...นึกไม่ออกแล้วแฮะว่าจะถามอะไร”
“งั้นเชิญเลยครับคนสวย”
ปานตะวันเลื่อนแก้วเหล้าไปตรงหน้าพี่มิ้นต์แต่เธอเชิดริมฝีปากใส่ ประมาณว่าฉันยังไม่แพ้ย่ะอะไรทำนองนี้
“อืม...เอาแบบนี้แล้วกัน ทำไมถึงเลิกกับแฟนเก่าคนล่าสุด”
กึก
ปานตะวันชะงัก นัยน์ตาสีน้ำตาลวูบไหว เขาเปลี่ยนเป็นหยิบแก้วใส่น้ำสีอำพันมาดื่มรวดเดียวโดยไม่ลังเล “ขอผ่านครับ”
“แผลใจสินะ” พี่มิ้นต์พูดขึ้น ปานตะวันเหม่อลอยมองแก้วเปล่าในมือ
แผลใจหรือ...ก็คงจะเป็นแบบนั้น
เป็นรอยแผลน่าเกลียดที่ติดอยู่ตรงนั้นมาเนิ่นนาน ไม่อยากมอง ไม่อยากนึกถึง
เกลียด แต่ไม่รู้ว่าเกลียดใครมากกว่า ระหว่างมันกับตัวเขาเอง
“พี่ว่าคืนนี้ดึกแล้ว พอแค่นี้ดีกว่า”
บรรยากาศเงียบงันน่าอึดอัดถูกทำลายลงด้วยคำพูดของพี่เมศ เจ้าตัวลุกขึ้นเก็บขวดและแก้วเปล่าไปวางลงในอ่างล้างจาน มิ้นต์เองก็พยักหน้า หญิงสาวบิดขี้เกียจก่อนจะเดินมาแตะไหล่ปานตะวัน
“ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น”
ปานตะวันคลี่ยิ้มให้พี่มิ้นต์ก่อนจะบอกฝันดีเมื่ออีกฝ่ายขอตัวไปนอน เขารอราเมศอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เมื่ออีกฝ่ายล้างแก้วเสร็จก็ขึ้นห้องนอนพร้อมกัน
“ตะวันโอเคนะ”
ราเมศแตะแก้มคนรัก ทำไมเขาจะไม่เห็นสีหน้าของอีกคนตอนที่ถูกถามเรื่องแฟนเก่า แม้จะแค่เสี้ยววินาทีแต่สีหน้าที่ปานตะวันเผยออกมาคือความเกลียดชังระคนเศร้าสร้อย
“โอเคครับ” แมวแสบหันมากอดเขา ปากบอกว่าโอเคแต่ท่าทางมันไม่ใช่เลย มือของปานตะวันเย็นเฉียบไปหมด
“อาบน้ำก่อนไหม”
“พี่เมศอาบก่อนเถอะครับ”
ชายหนุ่มผิวแทนตกลง ระหว่างที่ราเมศหายเข้าไปอาบน้ำปานตะวันก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง รู้สึกผิดนิดหน่อยที่บรรยากาศสนุกสนานถูกทำลายลงเพราะเขา
เมื่อไหร่กันนะที่เขาจะเลิกหวั่นไหวเพราะคนคนนั้น
เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกเกลียดจนอยากจะฆ่าให้ตายจะหายไปเสียที
เมื่อไหร่ถึงจะหลุดพ้นจากนรกในความทรงจำพวกนั้นได้สักทีนะ
(มีต่อค่ะ)