ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 135660 ครั้ง)

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
ยัยแม่ของน็อตนี่คือตัวจุดไฟต้มมาม่าแท้ๆ -_-^^
มนุษย์ป้าจอมเผือกของสังคมไทย เฮ้ออ
เกล้าต้องกลับไปอยู่กับแม่ซะแล้ววว หนูเจียคงเหงาน่าดู ><
แต่ก้อยังดีที่แม่รักเกล้ามากนะ ^^

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ผู้ปกครองบางคนชอบแสดงนิสัยที่ไม่ดี (โดยที่ตัวเองไม่ทันคิดว่ามันไม่ดี) ทั้งต่อหน้าและลับหลังลูก (เหมือนเป็นเรื่องปกติ) ไม่แปลกเลยถ้าลูกจะเลียนแบบเพราะไม่คิดว่าเป็นสิ่งผิด ไหนจะเรื่อง เรื่องจบคนไม่จบ นั่นอีก เฮ้อ

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เดี๋ยวเวลาจะหมุนมาเจอกันอีกครั้งนะคะน้องเจีย

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตอนนี้ก็ไขปัญหาเรื่องแม่ของเกล้าได้แล้วว่าทำไมถึงไม่เอาน้องไปด้วย ไอ้เราก็นึกว่ามีแค่ปัญหาเรื่องเงินกับที่อยู่แค่นั้นไม่ได้นึกเลยว่าจะเป็นโรคซึมเศร้าด้วย สงสารหนูเจียจังต้องแยกกันแล้ว  :sad4: แต่พอหมดปัญหานี้ก็ดูเหมือนจะมีปัญหาใหม่กำลังจะเกิดนะ  :เฮ้อ: เหนื่อยแทนตะวันกับพี่เมศจริงๆ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เห็นแววเรือเกล้าเจียแล้วสิ อิอิ

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
สนุกมากๆ ครับ จะรอติดตามต่อๆไปนะครับ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
รอด่ามนุษย์ป้า  :angry2: :angry2:

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ som

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +230/-2
เกล้าไปซะแล้ว  แต่เพื่อที่จะเปิดหนังสือเล่มใหม่  รอหนังสือเล่มนั้นครับ ดูท่าว่าจะสนุก

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เด็กน้อยน่าสงสาร เจอเรื่องแบบนี้มานานขนาดไหน
แต่โชคดี เกล้าไม่เกเร อาจจะติดความรุนแรงมาบ้าง แต่ก็ยังเป็นเด็กดีอยู่มาก

หนูเจียน่ารักมาก ทำเกล้าติดแจเลย แถมนิสัยก็น่ารัก อ้อนทีละลายกันเป็นแถบ

ราเมศกับตะวันมีโมเมนท์สวีทรัวๆจ้า ตะวันโตขึ้นเยอะเลย มีเหตุผล เก็บอารมณ์ได้ดี
ราเมศก็อบอุ่นมาก ดูแลดีเวอร์ แต่ความเนียนไม่มีลด

โอ๊ยยยย แล้วหนูเจียต้องไปเจออะไรที่โรงเรียนอีกไหม ทำไมเป็นผู้ใหญ่แล้วคิดไม่ได้หรอ



ออฟไลน์ numay

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-1

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑๖
เรื่องที่ทำได้


        ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่คุณแม่ของเกล้ามารับเด็กชายไปอยู่ด้วยกัน ปานตะวันกับแม่น้องเกล้าติดต่อกันผ่านทางไลน์เป็นระยะ หญิงสาวมักจะถ่ายรูปน้องเกล้าส่งมาให้พร้อมกับบอกว่าน้องเกล้าเป็นยังไงและมีความสุขดีแค่ไหน ดูเหมือนว่าทางคุณตาคุณยายจะเห่อหลานไม่น้อย เด็กชายที่เคยอยู่แบบอดมื้อกินมื้อและต้องอดทนกับการถูกทุบตีตอนนี้กลายเป็นเด็กที่ได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากคนรอบข้าง คุณแม่น้องเกล้าเองเมื่อได้ลูกชายกลับมาอยู่ด้วยก็มีแรงใจที่จะเข้ารับการรักษาเพื่อให้ตัวเองหายจากโรคซึมเศร้ามากขึ้น
   
       สำหรับน้องเกล้าทุกสิ่งที่ผ่านมาคงเป็นเหมือนฝันร้าย ตอนนี้เด็กชายได้พบกับฝันดีของตัวเองแล้วและปานตะวันก็ยินดีจากใจพร้อมกับหวังว่าเด็กชายจะมีความสุขแบบนี้ตลอดไป
   
       ถ้านี่เป็นหนังสักเรื่องตอนของน้องเกล้าคงขึ้นว่า Happy Ending
   
       แต่ทางเขานี่สิ...ยังไม่แฮปปี้เสียทีเดียว   
   
       “หนูเจีย ตื่นได้แล้วครับ หกโมงครึ่งแล้วนะ” ปานตะวันที่คาดผ้ากันเปื้อนลายแมวสีฟ้าเดินเข้ามาในห้องนอนเพื่อปลุกหลานชายที่ยังขดตัวอยู่ใต้ผ้านวม วันนี้ราเมศต้องเข้าไปเตรียมร้านแต่เช้าเพราะลูกน้องคนที่รับหน้าที่เตรียมร้านวันนี้เกิดท้องเสียจนต้องลางาน ชายหนุ่มผมดำถึงได้รีบรุดออกไปแล้วฝากให้ปานตะวันพาหลานชายไปส่ง
   
       ปานตะวันเองก็รับปากอย่างดี แต่ดูเหมือนการไปส่งหนูเจียวันนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว ชายหนุ่มเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จเมื่อกี้นี้เอง ตอนแรกเขาคิดว่าหนูเจียคงจะเดินเข้าไปหาในครัวเหมือนทุกวันแต่ปรากฏว่ารออยู่นานหลานชายก็ไม่มาสักทีจึงเดินมาตาม
   
       ถึงได้รู้นี่แหละว่าหนูเจียยังไม่ยอมลุกจากเตียงเลย
   
       “หนูเจีย ลุกได้แล้วครับ” ปานตะวันดึงผ้าห่มออก เจียหลินก็ไม่ยอมแพ้ เด็กชายพลิกตัวนอนคว่ำแล้วซุกหน้าลงกับหมอน แสดงอาการต่อต้านเต็มที่ทำเอาคนเป็นน้าชายถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
   
        “หนูเจีย” ปานตะวันเน้นเสียง “อย่างอแงครับ วันนี้หนูเจียต้องไปโรงเรียนนะ”
   
       “ไม่เอา” เด็กน้อยที่ซุกหน้ากับหมอนตอบเสียงอู้อี้ “หนูเจียไม่อยากไปโรงเรียนเลยคับน้าตะวัน วันนี้ขอหนูเจียไปที่ร้านกับน้าตะวันได้ไหมคับ”
   
       “ไม่ได้ครับ การไปโรงเรียนเป็นหน้าที่นะ หนูเจียยังเป็นเด็ก ต้องเรียนหนังสือ”
   
       “แต่...แต่หนูเจียไม่อยากไปนี่นา!”
   
        คราวนี้เจ้าตัวเล็กหันหน้ากลับมา เบะปากแล้วก็พูดเสียงดัง น้ำตารื้นขึ้นมาในหน่วยตาทั้งสองข้าง ปานตะวันถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นหลานชายดื้อด้านพูดจาไม่ฟังแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน
   
        “เจียไม่อยากไป!” คราวนี้กำปั้นน้อยๆ ทุบลงบนเตียงเป็นของแถม เจียหลินหน้าบึ้งส่วนปานตะวันก็ชักมีน้ำโห จากที่คิดว่าจะพูดจาตะล่อมดีๆ ก็เป็นอันต้องเปลี่ยนแผน
   
        ไม้นวมไม่ได้ผลก็คงต้องใช้ไม้แข็ง
   
         “เจียหลิน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา เขาไม่ได้ตะคอกแต่ใช้น้ำเสียงและท่าทางกดดันแทน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพร้อมกับนัยน์ตาสีนิลที่แปรเปลี่ยนเป็นแววตาเข้มงวด “อย่าขึ้นเสียงใส่น้าแบบนี้นะ”
   
         “ก็หนูเจียไม่อยากไปโรงเรียนนี่นา!”
   
         “ทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนล่ะ”
   
         “ก็...ก็เพราะว่า...”
   
         เด็กชายอึกอัก นัยน์ตากลมโตเบนหลบไปจ้องผ้านวม มือเล็กๆ กำชายเสื้อตัวเองแน่น ปานตะวันเห็นดังนั้นก้ถอนหายใจออกมา
   
        “ไม่มีเหตุผลใช่ไหม ถ้าไม่มีเหตุผลเหมาะๆ ยังไงหนูเจียก็ต้องไปเรียนหนังสือ ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว”
   
        “ไม่เอา”
   
        “หนูเจียอย่าดื้อ นี่สายมากแล้วนะ น้าตะวันต้องไปทำงาน”
   
        “ให้หนูเจียไปกับน้าตะวันนะคับ นะๆๆ”
   
        “ไม่ได้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
   
        น้ำเสียงของปานตะวันดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มเหลือบตามองนาฬิกาแล้วก็พบว่าตัวเองกำลังจะไปส่งหลานชายสายและกำลังจะไปทำงานสายด้วย
   
         หนูเจียที่โดนดุด้วยน้ำเสียงห้วนเองก็ตกใจ เด็กชายเริ่มสะอื้น ริมฝีปากสีสดเบะออกก่อนที่น้ำตาจะกลิ้งตัวลงมาตามผิวแก้ม
   
        “ฮึก...แงงง แง้”
   
        ถ้าเป็นวันปกติปานตะวันคงใจอ่อนกับเสียงร้องของหลานชายแต่ไม่ใช่วันนี้ ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงร้องไห้ ปานตะวันตรงไปรวบตัวหนูเจียขึ้นมาแล้วเดินตึงตังไปเข้าห้องน้ำ ชายหนุ่มบีบยาสีฟันใส่แปรงแล้วยัดใส่มือเล็กๆ ของหลานชาย
   
        “แปรงฟัน” เขาสั่งสั้นๆ แล้วก็เดินออกไปเตรียมเสื้อผ้า เมื่อกลับมาปานตะวันก็ยืนหน้าตาถมึงทึงคุมหนูเจียแปรงฟันก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวให้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหยิบกล่องพลาสติกสำหรับใส่ข้าวออกมาแล้วตักใส่กรอก แฮม แซนวิชที่เตรียมไว้ให้หลานลงไปสำหรับเอาไปกินที่โรงเรียนเพราะวันนี้กินข้าวที่บ้านคงไม่ทัน ปานตะวันหยิบนมกล่องเล็กใส่กระเป๋าไปให้เด็กน้อยด้วย
   
        “มาเร็วเจียหลิน อย่าดื้อ” หนูเจียก้มหน้านิ่ง รับรู้พายุอารมณ์โกรธของน้าชายได้เป็นอย่างดี เด็กชายยอมเดินตามไปขึ้นรถ ตลอดทางปานตะวันไม่คลายอารมณ์โกรธลงเลยเมื่อพบว่ารถติดยาวเหยียดนรกแตก
   
        “ดูซิ ออกจากบ้านสายรถเลยติดยาวแบบนี้เลยเห็นไหม” ชายหนุ่มบ่นก่อนจะเหลือบตามองเจียหลิน เด็กชายเม้มปาก ขมวดคิ้ว ท่าทางดื้อดึงไม่ยอมอ่อนลง
   
        “แล้วก็คราวหลังอย่าขึ้นเสียงใส่น้าแบบนั้นอีก เข้าใจไหม อะไรไม่ได้ดังใจก็เบะปากร้องไห้ทุบที่นอนแบบนั้นไม่น่ารักเลยนะเจียหลิน น้าตะวันไม่เคยสอนให้ก้าวร้าวแบบนั้น”
   
        เด็กชายก้มหน้านิ่ง ไม่หือไม่อือ ปานตะวันขมวดคิ้ว
   
        “ตกลงรู้ตัวไหมว่าทำผิด”
   
         “...”
   
        “เจียหลิน”
   
        “รู้....คับ”
   
        “รู้ว่าอะไร”
   
       “เจียทำผิด ดื้อ ไม่ยอมไปโรงเรียน”
   
       “แล้วยังไงต่อ?”
   
        เด็กชายก้มหน้าจนคางชิดอก นั่งนิ่งเป็นหิน คราวนี้ไม่ว่าปานตะวันจะถามอะไรอีกก็ไม่ตอบ ไม่พูด ทำเหมือนกับไม่ได้ยินจนคนเป็นผู้ปกครองอารมณ์โมโหพุ่งทะลุปรอท
   
       “จะไม่ขอโทษใช่ไหม? ได้ ถ้าจะไม่พูดก็ไม่พูดให้มันตลอดนะเจียหลิน!”
   
        เอี๊ยด
   
       ปานตะวันเหยียบเบรกอย่างแรงตอนที่ถึงหน้าประตูโรงเรียน ปกติเขาจะเดินไปส่งหลานถึงห้องแต่วันนี้บรรยากาศมึนตึงระหว่างกันทำให้เขาตัดสินใจส่งอีกฝ่ายลงที่หน้าประตูรั้วแล้วให้เดินเข้าไปเอง
   
       “น้าตะวันตามใจเจียมากไปใช่ไหมถึงได้ทำกันแบบนี้”
   
       เขาพูด...น้ำเสียงยังเย็นชา ปานตะวันหันไปมองเจียหลินที่สะพายกระเป๋าแล้วเปิดประตูลงจากรถ ตอนที่หลานหันมาเพื่อปิดประตู นาทีนั้นปานตะวันถึงได้เห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเด็กชาย
   
      “น้าตะวัน...ขึ้นเสียงใส่เจียทำไม...แม่จันทร์ยังไม่เคยทำแบบนั้นเลย” เจียหลินสะอื้น ริมฝีปากสั่นระริก “น้าตะวันใจร้ายที่สุด!”
   
       ปัง
   
       สิ้นคำเจียหลินก็กระแทกประตูปิดแล้ววิ่งเข้าไปในโรงเรียน ส่วนปานตะวันชะงักค้าง รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นหายไปใบหน้าชาแถมหัวสมองยังว่างเปล่าไปหมด
   
       เขาคงไม่ได้สติถ้ารถคันหลังไม่บีบแตรไล่ขึ้นมาก่อน ร่างสูงโปร่งสะดุ้งก่อนจะขับรถออกจากหน้าประตูรั้วแล้วตรงกลับบ้าน
   
       ขากลับรถก็ยังติดอยู่เหมือนเดิมแต่ปานตะวันไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไรอีกแล้ว มันเหมือนความโกรธในใจถูกปล่อยออกไป
   
       เหลือเพียงความรู้สึกผิดและความเศร้าเข้ามาแทนที่
   
       เมื่อมาถึงบ้านชายหนุ่มก็ไม่ยอมลงจากรถ เขานั่งนิ่งเหม่อมองออกไปแบบไร้จุดหมาย ในหัวมีแต่เสียงของเจียหลินที่ตะโกนว่าเขาเป็นคนใจร้ายรวมถึงใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กชาย
   
        ยิ่งมานึกถึงสิ่งที่เขาพูดรวมถึงท่าทางที่แสดงออกกับหลานก็ยิ่งรู้สึกผิด
   
        ปานตะวันเคยไม่ชอบใจการถูกดุด้วยคำพูดแรงๆ หรือการตะคอก ไม่ชอบถูกขมวดคิ้วใส่หรือมองด้วยสายตาผิดหวัง แต่เขาก็เพิ่งทำทั้งหมดนั่นลงไป...กับหนูเจียของเขา
   
       ชายหนุ่มซบศีรษะลงกับพวงมาลัยแล้วพึมพำออกมาเบาๆ
   
       “ไอ้ตะวัน...มึงทำอะไรลงไปเนี่ย”
   
        วันนี้คงไม่ใช่วันของปานตะวันจริงๆ ตอนเช้าทะเลาะกับหลานชาย ตอนทำงานเขาก็ทำพลาดหลายอย่าง ทั้งจดออเดอร์ผิด ลืมรายการอาหารลูกค้าทำให้อีกฝ่ายได้อาหารช้า แถมช่วงเที่ยงถึงบ่ายโมงยังหัวหมุนไปหมดเพราะลูกค้าแน่นร้านสุดๆ ปานตะวันสมาธิหลุดบ่อยจนราเมศต้องเรียกไปดุที่หลังร้าน ความรู้สึกที่แย่มาจากเมื่อเช้าอยู่แล้วก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก โดยเฉพาะตอนเห็นสีหน้าอ่อนล้าของราเมศปานตะวันก็ยิ่งโทษตัวเอง
   
        เป็นน้าที่ใช้ไม่ได้ เป็นแฟนที่ใช้ไม่ได้ เป็นพนักงานที่ใช้ไม่ได้ เขาแม่งไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง!
   
        “ผมขอโทษครับพี่” เขาไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีอะไรเลยนอกจากคำขอโทษ ราเมศลูบหน้าตัวเองแล้วก็เอ่ยว่า “ตั้งสติหน่อย กลับไปทำงานได้แล้ว แล้วอย่าให้พลาดอีกล่ะ”
   
        “ครับ”
   
       ปานตะวันตอบรับสั้นๆ โดยไม่มองหน้าคนรักก่อนจะกลับไปทำงานของตนอีกครั้ง วันนี้เขาบรรลุเลยว่าคำว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดมันเป็นยังไง
   
       เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ
   
       ช่วงบ่ายโมงถึงบ่ายสามก็ยังมีลูกค้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้แน่นร้านเท่าช่วงกลางวันแล้วปานตะวันจึงสามารถตั้งสติกับงานได้มากขึ้นเพราะไม่ได้ถูกเรียกไปทางนั้นทีทางโน้นที พอบ่ายสามครึ่งร้านก็โล่ง พนักงานเสิร์ฟและพ่อครัวถึงได้มีเวลาพัก
   
       ปานตะวันนั่งหมดแรงอยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์ยาว ชายหนุ่มฟุบตัวลง นึกอยากจะหลับไปเดี๋ยวนั้นแต่ก็ทำไม่ได้
   
      เขานั่งนิ่งๆ อยู่สักพักจนกระทั่งได้ยินเสียงราเมศดังขึ้นเหนือศีรษะ “ตะวันไปรับหลานกับพี่ไหม”
   
      “สามโมงครึ่งแล้วเหรอ”
   
       ปานตะวันผงกหัวขึ้นมามองนาฬิกาแล้วก็ถอนหายใจ ชายหนุ่มขยับตัวจะถอดผ้ากันเปื้อนแต่แล้วก็นึกได้ว่าเมื่อเช้าตนกับเจียหลินเพิ่งทะเลาะกันมา
   
       บางทีหนูเจียไม่เห็นหน้าเขาอาจจะดีกว่าก็ได้
   
       “ไม่ล่ะครับ พี่เมศไปเถอะ”
   
       “หืม?” ราเมศขมวดคิ้วมองคนที่ส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้าของปานตะวันดูเศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้ “เป็นอะไรหรือเปล่าตะวัน”
   
        “เปล่า...ครับ ไม่ได้เป็นอะไร”
   
       “สีหน้านายดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”
   
       “เปล่าครับ” ปานตะวันตัดบท “พี่เมศรีบไปรับหลานเถอะ เดี๋ยวหนูเจียจะรอนะครับ”
   
       “แต่...”
   
       “ตะวันสบายดี พี่ไปเถอะ แล้วเจอกันครับ”
   
       ราเมศอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ ชายหนุ่มลูบศีรษะปานตะวันสองสามทีก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไป
   
       คล้อยหลังราเมศปานตะวันก็ทิ้งตัวลงฟุบต่อด้วยสีหน้าซังกะตาย วันนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มแย้มหรือเสวนากับใครเลยปลีกตัวมานั่งคนเดียว พี่ๆ ที่ร้านก็ดูออกเลยปล่อยให้เขาอยู่เงียบๆ
   
       แบบนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียล่ะนะ...ข้อดีคือเขาได้พักแบบสงบสมใจ ส่วนข้อเสียคือสมองเขาว่างพอจะดึงเอาเรื่องแย่ๆ มาคิดให้ว้าวุ่นใจเล่น
   
       อย่างตอนนี้ปานตะวันก็กำลังคิดถึงเรื่องที่เขากับหนูเจียทะเลาะกันอยู่
   
       ชายหนุ่มคิดว่านั่นเป็นความผิดของเขา...ซึ่งมันก็เป็นความผิดของเขาจริงๆ นั่นแหละ
   
       เมื่อเช้าเขาหงุดหงิดมากจนขึ้นเสียงใส่หนูเจียไป คำพูดจาตักเตือนกันดีๆ ก็มีแต่ปานตะวันก็ยังเผลอหลุดถ้อยคำแรงๆ สำหรับเด็กห้าขวบไปจนได้
   
       ‘น้าตะวันขึ้นเสียงใส่เจียทำไม แม่จันทร์ยังไม่เคยทำแบบนี้เลย น้าตะวันใจร้ายที่สุด!’
   
        หนูเจียจะรู้ไหมหนอว่าประโยคนั้นมันทำร้ายใจเขาไม่ต่างกัน
   
        ปานตะวันไม่ได้อยากดุ ไม่ได้อยากว่าหลานเลย แต่ถ้าเขาไม่เตือนหนูเจียแล้วใครจะเตือน เขาไม่อยากให้หลานโตไปเป็นเด็กเอาแต่ใจที่พอไม่ได้ตามต้องการก็ร้องไห้อาละวาดฟาดแขนฟาดขา ปานตะวันคิดว่าเขาไม่ผิดที่ ‘เตือน’ หลาน สิ่งเดียวที่เขาทำผิดไปคือการใช้คำพูด สีหน้า และน้ำเสียง
   
       ให้ตาย ยิ่งคิดก็ยิ่งแย่ ภาพใบหน้าตอนร้องไห้และคำตัดพ้อของเจียหลินวนเวียนในหัวเขาทั้งวันจนตั้งสมาธิทำงานไม่ได้ทำให้โดยพี่เมศเรียกไปด่าอีก
   
       คราวนี้รู้สึกผิดคูณสองเลย
   
       ปานตะวันถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า
   
       บางที...ถ้าเป็นพี่จันทร์ล่ะก็...เรื่องทั้งหมดอาจไม่แย่แบบนี้ พี่จันทร์คงหาคำพูดดีๆ มาตะล่อมหนูเจียให้ไปโรงเรียนได้และก็คงจะแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้..ไม่ใช่ทำทุกสิ่งพลาดไปหมดแบบเขา
   
        บางทีถ้าพี่จันทร์ยังอยู่...อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้
   
       “เฮ้อ”
   
        “อายุขัยมึงสั้นลงไปสิบปีแล้วนะ”
   
        “เฮ้ย เชี่ย อะไรวะ!?”
   
        เสียงทุ้มลึกลับที่จู่ๆ ก็มากระซิบอยู่ข้างหูทำให้ปานตะวันสะดุ้งโหยง รีบผงะหนีจนเก้าอี้เกือบล้มยังดีที่ยึดขอบเคาน์เตอร์ไว้ทัน ชายหนุ่มผมน้ำตาลที่ใจยังเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ราวกับรัวกลองรีบตวัดสายตามองต้นเรื่องทันที แต่แล้วนัยน์ตาสีนิลก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นระคนยินดีเมื่อเห็นว่าใครมายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า
   
        “ไอ้กันต์!” ปานตะวันเรียกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ ชนกันต์ที่เห็นดังนั้นก็หัวเราะร่วนพลางยกมือขึ้นตบๆ หัวเพื่อนซี้ไปสองสามที
   
        “ไงครับเพื่อนรัก คิดถึงกูไหม?”
   
         ปานตะวันโคตรอยากจะตะโกนตอบออกมาว่า...เออ คิดถึงมึงโคตรๆ เลยว่ะ!
   
         โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าอื่นนอกจากกันต์ ปานตะวันถึงสามารถมานั่งคุยเจ๊าะแจ๊ะกับเพื่อนซี้ได้
   
        “มึงมาได้ไง” ปานตะวันเป็นฝ่านเปิดฉากถามแต่ดูแล้วคำถามของเขาคงจะไม่ถูกหูคนฟังเท่าไหร่เพราะชนกันต์ถอนหายใจออกมาแล้วก็พูดว่า “กูบินมามั้ง ก็ต้องขับรถมาสิไอ้ฟาย”
   
        ปานตะวันรู้สึกได้ว่าเส้นประสาทที่คิ้วกับที่เท้าของมันเกิด ‘กระตุก’ ขึ้นมาพร้อมกัน ชายหนุ่มแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย “กูรู้แล้วว่าขับรถมา กูหมายถึงมึงว่างเหรอถึงได้มา มีธุระอะไร มาทำไมที่นี่”
   
       “ก็ถามให้มันเคลียร์ๆ ตั้งแต่แรกสิ”
   
       “เออๆ กูผิดเอง”
   
        ชนกันต์มองเพื่อนที่ทำปากคว่ำอย่างอารมณ์ดี “ไม่งอนน่า กูคิดถึงเลยมาหา ซื้อขนมมาฝากมึง แฟนมึง กับหลานมึงด้วย” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่ถุงข้างตัว ปานตะวันหยิบมาดูก็พบช็อกโกแลต ขนมปัง นม น้ำผลไม้และอีกสารพัดของกิน

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
       “นี่กะขุนให้พวกกูอ้วนกันทั้งครอบครัวหรือไง” เขาว่าขำๆ ชนกันต์ยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ “เออ โดยเฉพาะมึง รู้ตัวหรือเปล่าว่ามึงผอมลงมากอ่ะ”
   
        ชายหนุ่มใช้หลอดคนน้ำแข็งในแก้วพลาสติกจนมันส่งเสียงกระทบกันกรุ๊กกริ๊กในระหว่างที่ลอบสำรวจปานตะวันไปด้วย
   
        ไม่เจอกันแค่เดี๋ยวเดียวแต่ชนกันต์ผู้คลุกคลีกับปานตะวันมานานสามารถบอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนไป
   
        ปานตะวันตรงหน้าเขาไม่ใช่วัยรุ่นอารมณ์ร้อนเอาแต่ใจและไม่แคร์ใครอีกแล้ว อีกฝ่ายดูนิ่งขึ้น มีแววของความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น รวมถึง...
   
         “มึงดูเหนื่อยๆ นะ”    
 
         ไม่ใช่แค่ด้านอารมณ์และจิตใจที่เปลี่ยนไปแต่ด้านร่างกายก็ด้วย สำหรับชนกันต์การเปลี่ยนแปลงทางความคิดของปานตะวันเปลี่ยนไปในทางบวก แต่ทางร่างกายถือว่าเปลี่ยนไปในทางลบ เพราะปานตะวันผอมลง สีหน้าอ่อนล้าและใต้ตาคล้ำเหมือนคนอดนอน
   
        “หืม? กูเหรอ”
   
       “ใช่ ใต้ตางี้ดำปี๋เชียว นอนดึกเหรอมึง”
   
        ปานตะวันเท้าคางพลางเอามือแตะรอยคล้ำใต้ตาตัวเอง “ก็นิดหน่อย อาทิตย์นี้แม่งหนัก ต้องอ่านหนังสือด้วยภาษาแม่งยากกว่าที่กูคิด ไหนจะต้องเลี้ยงหลานแล้วก็ทำงานพิเศษอีก”
   
         “หนักเกินไปหรือเปล่าวะ”
   
        “กูก็ไม่รู้ แต่กูจะต้องทำให้ได้ กูเลือกแล้วกันต์ นี่คือผลจากการที่กูเลือกจะอยู่กับหนูเจีย กูต้องยอมรับแล้วผ่านไปให้ได้”
   
        ชนกันต์ถอนหายใจ มีแค่เรื่องความยึดมั่นจนเรียกได้ว่าดื้อดึงนี่แหละนะที่ไม่เปลี่ยนไปเลย อะไรที่ไอ้ตะวันคิดว่าถูก...เจ้าตัวก็จะทำไปให้ถึงที่สุดไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม
   
        “ถึงงั้นก็เหอะ สีหน้ามึงดูไม่ดีเลยอ่ะ พักบ้างนะ หรือถ้ามีอะไรอยากให้กูช่วยหรือรับฟังก็บอกได้”
   
       “ขอบใจนะเว้ย”
   
       ชนกันต์มองเพื่อนสนิทที่ส่งยิ้มมาให้แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นลังเล ปานตะวันอ้าปากแล้วก็หุบปาก ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ชนกันต์เองก็ไม่ได้เร่งรัด เขารอให้ปานตะวันเป็นฝ่ายพูดมันออกมาด้วยตัวเอง
   
       “มึง”
   
       “ว่าไง”
   
       ถ้าอีกฝ่ายวางใจเขามากพอจนยอมเล่า...เขาก็จะรับฟัง
   
       เหมือนที่ทำมาตลอด
   
       “วันนี้แม่งหนักมากเลย” ปานตะวันเกริ่น เจ้าตัวเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ สีหน้าและแววตาเหมือนคนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก “กูทะเลาะกับหนูเจียเมื่อเช้า พอทะเลาะกับหลานก็รู้สึกผิดจนรวบรวมสมาธิทำงานไม่ได้ พี่เมศเลยเรียกเข้าไปว่า แล้วไหนจะเรื่องเรียนอีก กูพยายามแล้วนะแต่แม่ง...ยาก หรือกูจะตัดสินใจผิดวะมึง”
   
       พอได้พูดกับคนคุ้นเคยปานตะวันก็เผลอระบายความในใจออกมาจนหมด ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
   
       “กูจะทำยังไงดี”
   
       “ปัญหาชีวิตมึงเยอะ จะเอาปัญหาไหนก่อนล่ะ”
   
        ไม่ได้ล้อเล่นนะแต่เท่าที่ฟังมา ปัญหามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่พอมาสุมรวมกันมากๆ แล้วก็มีพลังพอจะเปลี่ยนเพื่อนเขาให้ใกล้เคียงกับซอมบี้ได้แบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ พอเห็นสีหน้าสับสนลังเลของเพื่อนชนกันต์ก็พูดต่อว่า “เรื่องไหนใหญ่สุดในใจมึงตอนนี้ล่ะตะวัน เอาเรื่องนั้นก่อน”
   
        เรื่องใหญ่สุดในใจเขาตอนนี้?
   
        ก็เห็นจะมีอยู่เรื่องเดียว
   
        “เรื่อที่กูกับเจียหลินทะเลาะกัน คือเมื่อเช้าหนูเจียงอแงไม่ยอมไปโรงเรียนแล้วมันก็สายมากแล้วกูก็เลยดุหลานไป หนูเจียก็ร้องไห้ บอกว่ากูใจร้าย”
   
        “อ่าหะ”
   
        “กูกลัวหลานเกลียดกู”
   
        พอได้ฟังแบบนั้นแล้วกันต์ก็ยิ่งอยากจะหัวเราะ ไอ้เพื่อนตัวแสบที่เคยออกปากว่าเกลียดเด็กเล็กๆ มาวันนี้กลับแพ้ราบคาบให้หลานชายตัวเอง แถมดูเหมือนจะทั้งรักทั้งหวงมากเสียด้วย เห็นแล้วก็ไม่รู้จะขำหรือสงสารมันดีที่สัญชาตญาณความเป็นพ่อคนของมันรุนแรงไปหน่อยจนคิดมากกับทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจียหลิน
   
        “หนูเจียไม่เกลียดมึงหรอกเชื่อกู”
   
        “แต่เขาพูดออกมาเลยนะว่าแม่จันทร์ยังไม่เคยขึ้นเสียงกับเขาเลย กูเลยอดคิดไม่ได้ว่าบางทีกูคงไม่เหมาะกับการเลี้ยงเด็ก ถ้าพี่จันทร์ยังอยู่คงดีกว่านี้”
   
       “เพ้อเจ้อไปไกลละมึง คือตอนพูดหลานมึงก็คงไม่ได้คิดอะไรหรอก อารมณ์มันพาไปทั้งคู่ถูกป่ะ ตอนเย็นพอหลานกลับมาก็ไปคุยกันให้เรียบร้อย พูดกับเขาดีๆ อย่าตะคอก อย่าใช้ถ้อยคำโหดร้าย ค่อยๆ ปรับความเข้าใจ แล้วก็อีกอย่างนะมึงควรทำใจไว้ว่าเรื่องเด็กงอแงไม่อยากไปโรงเรียนอ่ะเรื่องธรรมดา มันก็ต้องเคยกันทุกคน ทำความเข้าใจตรงนี้ให้ได้แล้วมึงจะเก็บอารมณ์โมโหได้ดีขึ้นเวลาหลานมึงงอแง”
   
        “กูรู้ว่าเด็กทุกคนต้องเคยงอแงไม่อยากไปโรงเรียน แต่กับหนูเจียมันไม่ปกติ” ปานตะวันกัดริมฝีปาก “ปกติเวลาหนูเจียงอแงไม่อยากไปโรงเรียน อย่างมากเขาก็แค่ไม่ยอมลุกจากเตียง บ่นง่วงแล้วก็ทำหน้างอบ้าง แต่วันนี้มันไม่ใช่อ่ะมึง เขายืนยันหนักแน่นมากว่าไม่อยากไป พอกูดุก็ขึ้นเสียงใส่บ้าง ร้องไห้ ฟาดแขนฟาดขาลงกับเตียง”
   
       “นั่นก็เรื่องปกติของเด็ก”
   
       “แต่หลานกูไม่เคยทำแบบนั้น ถึงเขาจะงอแงยังไงก็ไม่เคยทำตัวแบบนั้นใส่กูมาก่อน”
   
       หนูเจียไม่ใช่เด็กขยันกระตือรือร้นอยากไปโรงเรียนทุกวันก็จริงแต่ก็ไม่ใช่เด็กจอมเอาแต่ใจเหมือนกัน ปานตะวันไม่เคยเห็นหนูเจียแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมาเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรก
   
       ชนกันต์รินโค้กเติมใส่แก้วแล้วพูดต่อว่า “ถ้ามึงว่ามันไม่ปกติสำหรับหนูเจีย แล้วมึงรู้หรือเปล่าว่าทำไมเขาไม่อยากไปโรงเรียน เคยคุยกับหลานไหม”
   
       พอเพื่อนพูดถึงตรงนี้ปานตะวันก็ชะงัก จะว่าไปเมื่อเช้าเขาก็ไม่ได้ถามถึงสาเหตุที่ทำให้หนูเจียไม่อยากไปโรงเรียนเลยนี่นา
   
        “ถ้าให้กูเดาน่าจะเป็นเพราะเพื่อนสนิทหนูเจียย้ายไปแล้ว สองวันแรกหลานกูซึมไปเลย” ว่าแล้วชายหนุ่มก็เราเรื่องของเกล้าไปกันต์ฟัง พอฟังจบอีกฝ่ายก็พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับเอามือลูบคาง
   
        “ถึงจะซึมแต่ก็ยังไปโรงเรียนถูกป่ะ มีวันนี้ที่เขาดื้อกับมึงมาก แปลว่าน้องต้องไม่ไหวแล้วจริงๆ กูว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่าเรื่องเกล้า”
   
        ปานตะวันฟังแล้วก็ได้แต่นิ่ง สารภาพตามตรงเลยว่าเขาคิดไม่ถึงแล้วอาทิตย์นี้ปานตะวันก็มัวแต่ยุ่งกับงาน อ่านแต่หนังสือ ไม่ได้สังเกตอารมณ์ความรู้สึกและท่าทางที่แปลกไปของหนูเจียเท่าที่ควร
   
        ชายหนุ่มพยายามนึกย้อนไป ว่าหลานชายพยายามส่ง ‘สัญญาณ’ หรือ ‘ข้อความ’ มาให้เขาบ้างหรือเปล่า พอกันต์พูดสะกิดปานตะวันถึงคิดได้ว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่โรงเรียนแน่ๆ
   
        “กูทำไม่ดีกับหลานไปซะแล้วว่ะมึง”
   
        “อย่าคิดมาก คนเรามันพลาดกันได้ นี่ก็ไม่ใช่ความผิดมึงหรอก มึงเหนื่อยแค่ไหนทำไมกูจะดูไม่ออก” ฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะพร้อมกับลูบอย่างแผ่วเบา “พอคิดได้แล้วมึงก็แค่ไปปรับความเข้าใจกับหลานแล้วก็หาสาเหตุที่เขาไม่อยากไปเรียนดีกว่า เอาเวลามาทำตรงนี้ดีกว่ามานั่งเสียใจในสิ่งที่กลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว”
   
        “อืม ขอบคุณนะ”
   
       “แล้วมีอะไรอีกไหม หรือแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว”
   
        ปานตะวันส่ายหน้า “มีอีก...เมื่อกลางวันกูโดนพี่เมศเรียกไปดุ เขาดูเหนื่อยมากมึง กูเลยยิ่งรู้สึกแย่ มันเหมือนเขาเหนื่อยกับงานแล้วยังต้องมาเหนื่อยกับกูอีก”
   
       “เป็นธรรมดา คนเหนื่อยมากๆ อารมณ์มันหงุดหงิดง่าย มึงทำพลาดเขาเรียกไปเตือนก็ถูกแล้ว คราวหลังก็ตั้งสมาธิกับงานดีๆ” ชนกันต์พูดราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องง่าย ปานตะวันถึงได้วางใจเล่าทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง เพื่อนเขามองว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้เสมอ
   
       “ส่วนเรื่องเรียนถ้ามึงไม่เข้าใจตรงไหน...กูมีคนรู้จักอยู่สองสามคนที่น่าจะช่วยได้ ไว้จะลองไปถามดู ถ้าเขาสะดวกกูจะเอาไลน์เขามาให้มึง”
   
       “แต็งกิ้วนะมึง ไม่ได้มึงกูคงไม่รู้จะทำยังไง”
   
        “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” ชนกันต์หัวเราะ เขาหยิกแก้มสองข้างของปานตะวันจนยืด พยายามทำให้มันอารมณ์ดีแล้วก็หัวเราะออกมาบ้าง
   
        “กูเชื่อว่ามึงในตอนนี้จะหาทางแก้ไขปัญหาได้ กูแค่มาช่วยให้มึงเจอมันเร็วขึ้นเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่กูให้ได้ก็คือคำแนะนำนอกนั้นก็ขึ้นอยู่กับมึงแล้วว่าจะเคลียร์ปัญหาได้ไหม สู้ๆ นะเว้ย กูรู้ว่ามึงทำได้ มึงตอนนี้โตขึ้นมากแล้วนะปานตะวัน พยายามได้ดีมาก”
   
        พยายามได้ดีมาก
   
        ใครจะไปเชื่อว่าแค่คำชมเล็กๆ แต่ก็ทำให้คนฟังมีความสุขได้มากขนาดนี้
   
         “โอ๊ะ ยิ้มแล้วๆ ดี มึงยิ้มแล้วหล่อ ยิ้มเยอะๆ อายุจะได้ยืนนะไอ้น้อง”
   
        “ใครน้องมึง”
   
        “แน่ะ ไม่ทันไรขู่กูอีกละ มานี่เลย มาให้กูทำโทษซะดีๆ”
   
        กันต์ว่าพลางเอานิ้วจิ้มตามคอปานตะวัน คนโดนแกล้งก็หัวเราะไปเอนตัวหลบไป ร่างขาวๆ ที่มัวแต่สนุกจนไม่ทันระวังว่าตัวเองเอนหนีมาด้านหลังเยอะเกินไป เก้าอี้ที่ปานตะวันนั่งอยู่จึงทำท่าเหมือนจะล้ม
   
        “เฮ้ย!” คนผมน้ำตาลอุทานเมื่อตัวเองหงายวืดไปด้านหลัง แต่แทนที่จะล้มกระแทกพื้นร่างของเขากลับถูกใครบางคนจับไว้ได้ทันพอดี
   
        “ระวังหน่อยสิ” น้ำเสียงทุ้มติดจะดุเล็กน้อยดังขึ้น ปานตะวันรู้ทันทีว่าใครเป็นคนมาช่วยเขาไว้
   
        “พี่เมศ”
   
        ราเมศขมวดคิ้วเล็กน้อย มองปานตะวันกับชนกันต์ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ยุ่งอยู่สินะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็หันไปพูดกับเจียหลินที่ยืนแอบอยู่ไม่ไกล “หนูเจีย มาอยู่กับน้าเมศก่อนดีกว่าครับ น้าตะวันคงติดธุระ...อีกนาน” พอพูดจบก็เดินหายไปอีกทางโดยมีหนูเจียวิ่งดุกๆ ตามไป ทิ้งให้ปานตะวันนั่งเอ๋ออยู่ที่โต๊ะ
   
       โกรธอะไรเขาอีกล่ะ?
   
        “แฟนมึงนี่...ขี้หึงดีนะ”
   
        “หา!?”
   
        ชนกันต์ถอนหายใจใส่เพื่อนที่นั่งทำหน้าเอ๋อแบบโง่ๆ อยู่ก่อนขยายความ “พี่เมศแฟนมึงน่ะเขาหึงมึง” ปานตะวันงงหนักกว่าเดิม
   
        “หึงออะไรวะ กูก็นั่งอยู่ของกูเฉยๆ” หึงคนนั่งเฉยๆ ก็ได้ด้วยเหรอ
   
        ชนกันต์ยักไหล่ “สงสัยมาเห็นตอนกูแกล้งมึงพอดี”
   
         คราวนี้ปานตะวันถึงบางอ้อเลยทีเดียว กันต์กับเขาค่อนข้างสนิทกันมากพอสมควรเวลาแกล้งกันก็มักจะ...ถึงเนื้อถึงตัวกันอยู่ไม่น้อยทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเขากับมันเป็นแฟนกัน แต่ปานตะวันกล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าไอ้กันต์ไม่คิดอะไรกับเขาเกินเพื่อนแน่นอน
   
         “ทำครอบครัวกูร้าวฉานอีกนะมึง” ปานตะวันหยิบน้ำแข็งที่เหลือในแก้วมาปาใส่อีกฝ่าย เขาจิ๊ปากเมื่อไอ้เพื่อนซี้มันเสือกหลบได้แถมหันมายิ้มกวนบาทาให้อีก
   
         “งั้นก็รีบไปง้อไป  เดี๋ยวกูจะกลับแล้วเหมือนกัน” ปานตะวันรับเงินค่าน้ำกับค่าอาหารจากอีกฝ่ายมาก่อนจะเดินไปส่งเพื่อนที่รถ ไอ้กันต์หันมาโบกมือให้เขา “บายนะมึง”
   
         “บ๊ายบาย วันนี้ขอบใจนะเว้ย”
   
         “ไม่เป็นไร มีอะไรก็ไลน์มาได้ตลอดนะ”
   
         พอรถสีดำของกันต์หายไปจากคลองสายตาปานตะวันก็กลับมาที่โต๊ะเพื่อเก็บจานและแก้วของเพื่อนให้เรียบร้อยพร้อมกับเช็ดโต๊ะจนสะอาด พอกันต์ไปแล้วก็ไม่มีลูกค้าคนอื่นอีก ชายหนุ่มรวบเอาถุงของฝากจากเพื่อนมาถือแล้วเดินตรงไปที่หลังร้านซึ่งมีที่สำหรับนั่งพักอยู่ เขาจำได้ว่าราเมศกับเจียหลินเดินมาทางนี้
   
       ปานตะวันเห็นคนรักกับหลานนั่งอยู่ด้วยกันที่ม้านั่งยาวเขาจึงเดินตรงเข้าไปหาด้วยใจสั่นๆ
   
       เอาตรงๆ ตอนนี้ไม่รู้จะง้อใครก่อนดีในเมื่อทั้งคู่พร้อมใจกันงอนเขา
   
       พอเห็นปานตะวันเดินเข้าไปสองน้าหลานที่นั่งเล่นหัวเราะคิกคักก็หยุดชะงักแล้วพร้อมใจกันเงยหน้ามอง ปานตะวันงับริมฝีปากแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “พี่เมศ” เขาตัดสินใจเรียกคนรักก่อน
   
        “ว่าไง”
   
        “คือ...กันต์ฝากของมา เป็นขนมน่ะ”
   
        “อ้อ ฝากขอบคุณเพื่อนนายด้วยนะ”
   
        ยังอีก ยังจะทำหน้านิ่งอีก
   
         “แล้ว...แล้วจะให้เก็บไว้ที่ไหน”
   
        “ในห้องเก็บของพนักงานก็ได้ เลิกงานค่อยไปเอา”
   
         ว่าแล้วก็ทำท่าจะหันไปเล่นกับหลานต่อ ปานตะวันพ่นลมหายใจออกมา โอเค กับหลานน่ะเขาผิด แต่กับพี่เมศนี่เขาไม่น่าใช่คนผิดนะ แต่ก็เอาเถอะ ถ้ามันจะทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดนี่คลายลง เขาจะยอมถอยให้ก่อนก็ได้
   
        “พี่เมศมาช่วยตะวันถือหน่อยได้ไหม หนัก”
   
        ราเมศเลื่อนสายตามามองถุงพลาสติกใบใหญ่ในมือปานตะวันแล้วก็เลิกคิ้ว ทำสีหน้าประมาณว่าแค่นี้ก็หนักเหรอ แต่ปานตะวันก็หาได้สนใจไม่ ชายหนุ่มพยักหน้าแบบเอาจริงเอาจัง ส่งสายตาขอความช่วยเหลือขั้นสุด ราเมศเลยถอนหายใจออกมาแล้วก็ดึงเอาถุงใบนั้นมาถือเองพร้อมกับเดินนำไปที่ห้องเก็บของ
   
          เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในห้องปานตะวันก็จัดการปิดประตูแล้วเอนตัวพิงมันเอาไว้ เขาจะไม่ให้พี่เมศออกไปจากที่นี่เด็ดขาดจนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง
   
           “อะไร” ราเมศถามเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของปานตะวัน
   
           คนอายุน้อยกว่ากอดอก เอนตัวพิงประตูพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่เมศ...เรามาคุยกันตรงๆ เถอะ พี่โกรธอะไรผม”
   
          ปานตะวันเลี่ยงคำว่า ‘หึง’ ไปก่อน ไม่ใช่อะไร ถ้าเขามั่นหน้าพูดไปว่าพี่เมศหึงแล้วไม่ใช่ก็หน้าแตกยับสิ
   
         “ไม่ได้โกรธสักหน่อย”
   
        “ไม่ได้โกรธที่ไหนหน้าบึ้งอยู่เนี่ย”
   
        “นายต่างหากที่หน้าบึ้ง”
   
        “พี่เมศ” ปานตะวันถอนหายใจออกมา “ผมเดาไม่ออกหรอกนะว่าพี่โกรธเรื่องอะไร อาจจะเป็นเพราะตะวันทำงานไม่ได้เรื่องช่วงกลางวันแล้วพี่ยังโกรธค้างอยู่...ใช่ไหม”
   
        แวบหนึ่งที่ปานตะวันเห็นแววสำนึกผิดบนใบหน้าของราเมศ “ไม่ใช่”
   
        “งั้นอะไร”
   
        “ก็เปล่า ไม่มีอะไร”
   
        ผู้ร้ายปากแข็ง! เห็นอยู่ชัดๆ ว่ามีอะไรแล้วยังจะทำมาพูดว่าไม่มีอีก เมื่อหลอกล่อดีๆ แล้วไม่ยอมพูดปานตะวันเลยตัดสินใจใช้ไม้ตาย
   
        ชายหนุ่มลูบหน้า แสร้งทำสีหน้าเหนื่อยอ่อนซึ่งก็ไม่ได้ยากเลยเพราะวันนี้เขารู้สึกเหนื่อยจริงๆ
   
        “งั้นก็ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าไม่ว่าพี่จะโกรธเรื่องอะไรตะวันก็ขอโทษ ตะวันรับผิด โอเคไหมครับ ดีกันเถอะ ตะวันเหนื่อยจะทะเลาะแล้ว”
   
        พูดจบเขาก็หมุนตัวแตะมือลงบนลูกบิด ยังไม่ทันได้หมุนคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็รวบตัวเขาเข้าไปกอดแน่น
   
        ปานตะวันยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะเก็บรอยยิ้มไปแล้วปั้นหน้าเหนื่อยล้าต่อ
   
        “มีอะไรหรือครับพี่เมศ”
   
        “ขอโทษ” ราเมศกอดร่างผอมๆ ของปานตะวันเอาไว้แน่น ซบหน้าผากลงกับลาดไหล่ของอีกฝ่าย “พี่งี่เง่าเอง พี่ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะให้รู้สึกอย่างนั้น”
   
       “พี่ไม่ได้งี่เง่าหรอก ตะวันผิดเองที่—“

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
        “พี่ไม่ได้โกรธนายเพราะเรื่องเมื่อตอนกลางวัน” ราเมศขัด ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเล เขาอึกอักอยู่สองสามนาทีก่อนจะยอมสารภาพออกมา “พี่แค่...หึง”
   
        โฮ่...ไอ้กันต์เดาถูกด้วยแฮะ
   
       ปานตะวันแสร้งเลิกคิ้ว “หึงตะวัน? กับใครครับ” พูดๆ ไปแล้วก็ชักสนุกเมื่อเห็นคนที่ปกติเอาแต่ทำหน้าขรึมติดจะดุมีสีหน้าขัดเขินแกมลำบากใจ
   
       ปานตะวันลอบยิ้มในใจ ขอเค้นผู้ต้องหาให้สารภาพอีกนิดก็แล้วกัน
   
       “หึงตะวัน...กับเพื่อน”
   
       “ไอ้กันต์?”
   
       “อืม”
   
       ปานตะวันถอนหายใจออกมา เขาขยับตัวเข้าไปจนชิดร่างสูงใหญ่ของราเมศแล้วก็กอดหมับเข้าที่เอวอีกฝ่าย ซุกหน้าลงกับแผงอกกว้าง พูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้
   
       “ตะวันก็นึกว่าเรื่องอะไร ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ กันต์กับตะวันไม่มีอะไรเกินคำว่าเพื่อนแน่นอน พี่ไม่จำเป็นต้องหึงเลยสักนิด”
   
       “พี่รู้...ก็ไม่ชอบตัวเองเหมือนกันที่เผลอทำให้ตะวันไม่สบายใจ แต่ว่า...” ราเมศขมวดคิ้ว นึกถึงตอนที่เดินเข้ามาแล้วเห็นปานตะวันหัวเราะร่วนขณะที่เพื่อนสนิทแกล้งดึงแก้ม ยีผม แล้วก็เอานิ้วจั๊กจี้ตรงคอ เขาพบว่าตัวเองหงุดหงิดจนอยากจะเดินไปดึงคนทั้งคู่ออกห่างกันเดี๋ยวนั้น
   
       ชายหนุ่มค้นพบเดี๋ยวนั้นเองว่าเขาขี้หึงกว่าที่ตัวเองคิด
   
       “แค่เห็นคนอื่นแตะตัวนาย...แบบนั้น พี่ก็ไม่ชอบใจแล้ว”
   
        ราเมศกอดร่างตรงหน้าเอาไว้พร้อมกับฝังจมูกลงที่แก้มละเรื่อยไปจนถึงลำคอของปานตะวัน ริมฝีปากสัมผัสลงไปทั่วราวกับจะลบรอยของคนอื่นออก
   
        “ฮื้อ พี่เมศ...ตะวันจั๊กจี้นะ”
   
        “อยู่นิ่งๆ”
   
        ปานตะวันดื้นขลุกขลักแต่เรี่ยวแรงของเหลือน้อยลงทุกที จนในที่สุดก็ต้องยอมยืนนิ่งๆ ให้อีกฝ่ายทำตามใจและเมื่อราเมศพอใจเขาก็ปล่อยลูกแมวตรงหน้าให้เป็นอิสระ
   
        สองแก้มของปานตะวันแดงก่ำ ชายหนุ่มขึงตามองคนรักที่กลับมาอารมณ์ดีอีกครั้ง ราเมศหอมแก้มเด็กน้อยของเขาอีกฟอดใหญ่เป็นการเอาใจ
   
        “แล้วเรื่องเมื่อกลางวันพี่ขอโทษนะที่อาจจะดุนายแรงไป”
   
       “ไม่เป็นไรหรอก ตะวันไม่ติดใจเรื่องนั้น ตะวันทำผิด โดนดุก็ถูกแล้ว ตะวันซะอีกที่ต้องขอโทษพี่ที่ทำให้เหนื่อยขึ้นกว่าเดิม”
   
       “ไม่เป็นไร...เท่านี้เราก็หายกันแล้วนะ”
   
        ปานตะวันพยักหน้า โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ทีนี้ก็เหลือหนูเจีย
   
        “ว่าแต่เมื่อเช้านายทะเลาะอะไรกับหลานหรือเปล่า” ราเมศถามขึ้นขณะที่คนโดนถามสะดุ้งเฮือก “ตอนไปรับหนูเจีย หลานมองหานายพอรู้ว่านายไม่มาก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้แล้วก็พูดว่าน้าตะวันเกลียดหนูเจียแล้ว”
   
        ปานตะวันใจกระตุก “หนูเจียพูดแบบนั้นเหรอพี่”
   
        “ใช่ หลานดูกังวลมากนะ ทะเลาะอะไรกันก็รีบไปปรับความเข้าใจกันรู้ไหม”
   
        “ครับ”
   
        แต่จนแล้วจนรอดปานตะวันก็ยังไม่ได้คุยกับหนูเจียเพราะตอนนั้นดันมีลูกค้ากลุ่มใหญ่เข้ามาในร้าน พวกเขาเลยต้องอยู่ดูแลจนถึงเวลาครัวปิด
   
        ตลอดทางกลับบ้านปานตะวันลอบสังเกตหนูเจียก็เห็นว่าเด็กน้อยดูซึมลงไปมาก ท่าทางไม่ร่าเริงเหมือนกลับไปตอนแรกๆ ที่เพิ่งพบกัน
   
       ค่ำนั้นหลังอาบน้ำเรียบร้อยปานตะวันก็ส่งหนูเจียเข้านอนเหมือนเช่นทุกวัน แต่วันนี้ชายหนุ่มไม่ได้อ่านนิทานหากแต่พาหนูเจียมานอนคุยกัน
   
       “หนูเจีย เรื่องเมื่อเช้า...น้าตะวันขอโทษนะครับ” แค่เขาเริ่มพูด หนูน้อยก็น้ำตาร่วงผล็อยๆ แล้ว ปานตะวันตกใจมากชายหนุ่มรีบร้อนใช้ผ้าห่มเช็ดน้ำตาให้หลานอย่างเบามือ หนูเจียจับมือของเขาเอาไว้พร้อมกับพูดว่า
   
       “หนูเจีย...ก็...ก็ขอโทษน้าตะวันเหมือนกัน หนูเจียไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้น หนูเจียผิดไปแล้ว จะไม่ดื้อแล้วคับ น้าตะวันอย่าเกลียดหนูเจียเลยนะ”
   
       “ใครจะไปเกลียดหนูเจียได้ลงล่ะครับ แต่คราวหลังหนูเจียต้องไม่ดื้อแบบนั้นแล้วนะครับ ถ้ามีอะไรไม่ชอบใจก็คุยกันดีๆ น้าตะวันก็จะไม่ขึ้นเสียงใส่หนูเจียแล้วเหมือนกัน”
   
       เจียหลินพยักหน้า เด็กชายโถมตัวมากอดน้าตะวันของตัวเองแน่นแล้วก็ร้องไห้โฮ วันนี้ตอนเย็นที่ไม่เห็นน้าตะวันมารับเขารู้สึกแย่มากจริงๆ
   
       เจียหลินกลัวไปสารพัด กลัวว่าน้าตะวันจะเกลียดเพราะเขาทำตัวไม่น่ารัก
   
       กลัวว่าน้าตะวันจะทิ้งเพราะเขาพูดว่าแม่จันทร์ดีกว่า
   
       เจียหลินรักแม่จันทร์ก็จริง...แต่เขาก็รักน้าตะวันมากเหมือนกัน เด็กชายไม่อยากถูกเกลียด เขาอยากให้น้าตะวันรักเขามากๆ
   
       “หนูเจียขอโทษ หนูเจียรักน้าตะวันนะคับ””
   
       “น้าตะวันก็รักหนูเจียนะ”
   
       ปานตะวันกดจูบลงบนแก้มหยุ่นของหลานชาย หนูเจียวาดแขนโอบรอบคอปานตะวัน เบียดแก้มตัวเองเข้ากับแก้มของเขาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า
   
       “น้าตะวันต้องมารับหนูเจียทุกวันด้วยนะคับ หนูเจียอยากกลับบ้านกับน้าตะวัน”
   
        ปานตะวันหลุดหัวเราะ “ได้สิ น้าตะวันสัญญาเลย”
   
        หลังจากปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยเจียหลินและปานตะวันก็นอนคุยกันต่อ คราวนี้ปานตะวันลองเลียบเคียงถามถึงสาเหตุที่เด็กชายไม่อยากไปโรงเรียนดู
   
       “หนูเจีย พักนี้ที่โรงเรียนโอเคไหมครับ”
   
       “ก็โอเคคับ”
   
       หนูเจียหลุบตา ท่าทางมีพิรุธ ปานตะวันจึงไม่เชื่อคำพูดของหลานเลยแม้แต่น้อย
   
        “ถ้าโอเคแล้วทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนล่ะครับ”
   
        หนูเจียอึกอัก เด็กน้อยหันมากอดแขนปานตะวันเอาไว้แน่น ชายหนุ่มยกมือลูบศีรษะหนูเจียเบาๆ “เพราะเกล้าไม่อยู่เหรอครับ”
   
        ปานตะวันสันนิษฐานว่าที่เจียหลินไม่อยากไปโรงเรียนเป็นเพราะเกล้าไม่อยู่แล้ว เด็กน้อยที่ติดเพื่อนมากอาจจะรู้สึกว่าขาดกำลังใจในการไปเรียน รู้สึกไม่สนุก ถ้าเป็นแบบนั้นหนูเจียอาจต้องใช้เวลาในการปรับตัวสักหนึ่งถึงสองอาทิตย์
   
       “ใช่คับ” เจ้าเด็กแก้มกลมรับคำ “เกล้าไม่อยู่แล้วหนูเจียเหงามากเลยน้าตะวัน”
   
       ปานตะวันอุ้มเจียหลินมานั่งตัก เอาคางเกยศีรษะทุยของหลานชายไว้แล้วพูดว่า “ตอนนี้หนูเจียอาจจะยังเหงาอยู่แต่พอเวลาผ่านไปหนูเจียก็จะชินเองครับ เดี๋ยวหนูเจียก็จะมีเพื่อนใหม่ๆ มาเล่นด้วย จะไม่เหงาอีก”
   
      “แต่ตอนนี้หนูเจียไม่มีเพื่อนเลย” เจียหลินเงยหน้ามองตะวัน ดวงตากลมใสแจ๋ววูบไหวและแฝงด้วยความเศร้า “ไม่มีใครยอมเล่นกับหนูเจียเลยคับ”
   
      ปานตะวันขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ”
   
       “เพราะน็อตไปบอกคนอื่นไม่ให้ยุ่งกับหนูเจีย น็อตบอกว่าคุณแม่เขาบอกไม่ให้ยุ่งกับเจียกับเกล้าเพราะเราเป็นเด็กไม่ดี เป็นเด็กเกเรแล้วก็จะทำร้ายคนอื่น”
   
       พอฟังถึงตรงนี้ปานตะวันถึงกับฉุนขาด  “แล้วน็อตพูดอะไรอีกหรือเปล่าครับ” ชายหนุ่มพยายามข่มอารมณ์เอาไว้แม้ว่าตอนนี้จะอยากอาละวาดมากแค่ไหนก็ตาม
   
      หนูเจียพยักหน้า ขอบตาเด็กชายแดงเรื่อขึ้นมาอีกแล้ว “น็อตกับเพื่อน...บอกว่าหนูเจียไม่มีแม่...แล้วก็ล้อว่าน้าเมศกับน้าตะวันเป็นเกย์”
   
        “น็อตรู้เหรอครับว่าคำว่าเกย์แปลว่าอะไร” หนูเจียพยักหน้า ตอบออกมาเสียงเบา “น็อตบอกว่าคำว่าเกย์คือไม่ปกติ”
   
         พอฟังถึงตรงนี้ปานตะวันก็ใจหายวูบก่อนที่ความว่างเปล่าในสมองจะถูกแทนที่ด้วยความโกรธ เขารู้ว่าเด็กพวกนั้นไปเรียนรู้คำศัพท์มาด้วยตัวเองไม่ได้หรอก ยิ่งไอ้ความหมายผิดๆ นั่นยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ที่เด็กจะรู้เอง ต้องมีผู้ใหญ่สักคนพูดให้เขาฟังซึ่งตัวการก็ไม่ใช่ใครหรอกนอกจากผู้หญิงคนนั้น...แม่ของน็อต!
   
        “ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย...” ปานตะวันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ นัยน์ตาวาววับอย่างเอาเรื่อง
   
        เด็กก็เหมือนผ้าขาว...ที่ผู้ใหญ่บางคนชอบเอาสีไปย้อมให้มันเปรอะเปื้อน!
   
        “น็อตบอกว่า...หนูเจียคบกับเพื่อนเกเร หนูเจียเป็นเด็กไม่ดีแล้วก็ล้อหนูเจียว่ามีผู้ปกครองเป็นเกย์...หนูเจียก็พยายามเถียงว่าน้าเมศกับน้าตะวันปกตินะ แถมเก่งมากด้วยแต่ทุกคนก็ไม่เชื่อ ไม่มีใครพูดกับหนูเจียเลย...น้าตะวัน หนูเจียไม่อยากไปโรงเรียน”
   
       ปานตะวันขบกรามจนขึ้นสันนูน ปกติเวลาอยู่โรงเรียนเกล้าจะเป็นคนดูแลหนูเจียตลอดแต่ตอนนี้คนคอยปกป้องไม่อยู่แล้ว หนูเจียเลยกลายเป็นเป้าหมายการถูกรังแก แต่จะไปโทษน็อตก็ไม่ได้เพราะถ้าผู้ใหญ่ไม่สอนเรื่องผิดๆ ให้แล้วเด็กจะไปรู้ได้ยังไง
   
       ชายหนุ่มกอดหนูเจียของเขาเอาไว้แน่น นึกโกรธตัวเองที่ปล่อยให้หลานชายคนเดียวต้องเจอเรื่องบ้าบอนี่มาตลอดหนึ่งอาทิตย์โดยที่เขาและพี่เมศไม่รู้เรื่องอะไรเลย
   
      “ไม่ต้องร้องนะครับเด็กดี น้าตะวันจะพูดอะไรให้ฟังนะครับ น็อตบอกหนูเจียว่าเกย์คือคนผิดปกติใช่ไหม แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอกนะ พวกเขาก็คือคนธรรมดานี่แหละครับ เป็นคนสองคนที่รักกัน เหมือนเวลาคุณพ่อรักคุณแม่แบบนี้ไงครับ”
   
       ปานตะวันอธิบาย เขาไม่แน่ใจว่าเจียหลินจะเข้าใจไหมแต่ก็ยังสอนต่อไป “พวกเขาเป็นคนเหมือนเราทุกอย่าง ไม่มีใครผิดปกติเลยครับ หนูเจียจำไว้นะ ถ้าโตขึ้นหนูเจียจะต้องให้เกียรติทุกคนอย่างเท่าเทียม อย่าเหยียดคนอื่น ทุกคนมีคุณค่าเหมือนๆ กัน เราเป็นคนเหมือนกัน”
   
       เจียหลินกะพริบตาปริบพลางพยักหน้า “จำคำน้าตะวันไว้นะครับหนูเจีย เราจะไม่แตกต่างถ้าเราไม่แบ่งแยก ตอนนี้หนูอาจจะยังไม่เข้าใจแต่พอโตขึ้นหนูเจียจะเข้าใจเอง แค่จำคำน้าไว้ก็พอ ตกลงนะครับ”
   
        “คับ”
   
        “แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารังแกอีกแล้วน้าตะวันกับน้าเมศจะจัดการเรื่องนี้เอง”
   
        “จริงเหรอคับ”
   
        “จริงสิ น้าตะวันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”
   
         แววตาของหนูเจียวาววับด้วยหยาดน้ำตาแต่กระนั้นก็ยังเปล่งประกายอย่างมีความสุข เด็กชายเชื่อคำพูดของปานตะวันทุกอย่าง สำหรับเจียหลินแล้วน้าตะวันกับน้าเมศคือฮีโร่ของเขา แค่อยู่ในอ้อมกอดของคนทั้งคู่เด็กชายก็จะรู้สึกปลอดภัย รู้สึกว่าไม่มีอะไรทำร้ายตัวเองได้อีก ดังนั้นเจียหลินจึงเชื่อหมดหัวใจว่าน้าตะวันจะแก้ปัญหานี้ได้
   
       น้าตะวันปกป้องเขาได้เสมอ
   
       เด็กชายแก้มแดงเรื่อส่งยิ้มหวานให้ปานตะวันพร้อมกับกอดแน่น “หนูเจียรักน้าตะวันที่สุดในโลกเลย!”
   
        ปานตะวันฟัดแก้มหลานเป็นการให้รางวัล ใจชื้นที่เด็กน้อยร่าเริงขึ้นได้แล้ว นั่นก็เป็นเรื่องดีเดี๋ยวพอหนูเจียหลับเขาจะส่งข้อความไปหาราเมศเสียหน่อย ปรึกษาว่าจะทำยังไงดีกับเรื่องนี้ สำหรับใครหลายคนมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กแต่ปานตะวันคิดว่าหากเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ทุกคนก็จะจำสิ่งที่น็อตพูดและหนูเจียก็จะถูกใส่ร้าย ถูกแบนจากเพื่อนทั้งห้อง เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว กลายเป็นเด็กมีปมในใจ แล้วไหนจะไอ้ความเข้าใจผิดเรื่องเกย์ที่น็อตเอามาพูดอีก
   
        ปานตะวันรู้ดีว่าทุกวันนี้คนบางส่วนในสังคมก็ยังไม่ได้ยอมรับแต่เขาไม่ชอบใจวิธีการสอนลูกของแม่น็อตที่พูดว่าคนรักเพศเดียวกันเป็นพวกผิดปกติ และยิ่งไม่ชอบใจที่เด็กนั่นจำคำนั้นแล้วเอามาล้อเลียนหลานของเขา มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิด
   
       “สงสัยเราคงต้องเจอกันสักตั้ง”
   
        ปานตะวันพึมพำพลางมองหนูเจียที่นอนคว่ำอ่านนิทานอยู่บนเตียง เด็กชายหันมามองแล้วก็ยิ้มอวดฟันกระต่ายให้ หลังปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยลูกแมวน้อยของปานตะวันและราเมศก็เข้ามาเบียดมาออเซาะอย่างน่ารัก เป็นการอ้อนขอคืนดี
   
         “อ๊ะ จริงสิน้าตะวัน หนูเจียลืมเอาอันนี้ให้เลย” จู่ๆ เด็กน้อยที่นอนกลิ้งอยู่ก็ผุดลุกขึ้น หนูเจียวิ่งไปที่กระเป๋าเป้แล้วก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาส่งให้ปานตะวัน ชายหนุ่มรับมาอ่านดูก็พบว่าเป็นเอกสารแจ้งเรื่องกิจกรรมวันแม่และกิจกรรมประชุมผู้ปกครองที่จัดขึ้นในวันเดียวกัน ครึ่งเช้าจะเป็นงานวันแม่ส่วนครึ่งบ่ายจะเป็นการประชุมผู้ปกครอง
   
       “คุณครูบอกว่าให้พาคุณแม่ไป...” หนูเจียพูดได้เท่านี้แล้วก็หยุดแต่ปานตะวันเข้าใจสิ่งที่หลานอยากจะสื่อเขาจึงวางมือลงบนศีรษะทุยของเด็กน้อยแล้วพูดว่า “เดี๋ยวน้าตะวันจะไปให้เองครับ ไม่ต้องเป็นห่วง”
   
       “เย้”
   
        ปานตะวันยิ้ม วางกระดาษแผ่นนั้นไว้ที่โต๊ะข้างเตียงก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วดึงหนูเจียลงมานอนด้วย
   
        นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองไปที่กระดาษแผ่นนั้นอีกครั้ง แผนการบางอย่างผุดขึ้นในหัว เป็นเรื่องที่ออกจะบ้าบิ่นและต้องอาศัยความกล้าอยู่สักหน่อย แต่ถ้าแลกกับการที่จะไม่มีใครมารังแกหลานของเขาปานตะวันก็คิดว่ามันคุ้ม...
   
       ปานตะวันยกยิ้ม...ให้กับแผนการที่วางไว้ในใจ

***************************************************

แตกออกเป็นสามรีพลายเพราะตัวอักษรเกิน(อีกแล้ว) :hao5:
ช่วงนี้มันก็จะมีความขยันหน่อยๆ นะคะ 555555 ต้องรีบเขียนตอนมีไฟนี่แหละค่ะ
ตอนนี้เห็นปานตะวันกับหนูเจียทะเลาะกันจริงจังเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้นะคะ หนูเจียปกติเป็นเด็กเรียบร้อย
พอเขียนโหมดดื้อก็รู้สึกว่าอืมมม สมเป็นเด็กน้อยจริงๆ อะไรทำนองนี้ 555555
อีกอย่างที่ชอบคือได้เขียนถึงชนกันต์ด้วยย เป็นตัวประกอบบทน้อยที่มักจะโผล่มาได้ถูกเวลาจริงๆ ค่ะ
ปานตะวันไว้ใจกันต์มาก กันต์เองก็พร้อมรับฟังเสมอ แต่สองคนนี้ไม่มีอะไรในกอไผ่แน่นอนค่ะ เป็นเพื่อนซี้ปึ้กกันเฉยๆ
พี่เมศคิดเองเออเอง 555555 แต่เอาจริงๆ ปานตะวันก็แอบดีใจที่พี่เมศหึงนะคะ นานๆ ทีฮีจะทำอะไรแบบนี้สักที
ปานตะวันสนุกคนเขียนก็สนุกค่ะ ฮาาาา
ส่วนปานตะวันจะจัดการยังไงกับปัญหานี้ก็ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน พบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บ

ปล. ติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ทางเพจ AzureDream นะคะ
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-06-2017 20:40:39 โดย snowrabbit »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
รุมเร้าจริงเลยค่ะ

หนูเจีย เด็กน้อย ทนมาได้ไงตั้งหลายวัน ไม่ปริปากบอกเลย น่าสงสาร
ตะวันก็งานเข้าจนไม่ทันมองหลาน แถมทะเลาะกันอีก แต่ก็ดีที่ทะเลาะเรื่องไม่ใหญ่มาก
จะได้แก้ไขกันทัน แล้วจะได้ช่วยหนูเจียทัน

ราเมศขี้หึงไปอีกก กับกันต์ก็รู้จักไหม 55555

ตะวันจะทำไรน้า อยากรู้แล้วค่ะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ก็อย่างนี้แหละ มันต้องปรับเข้าหากันไปเรื่อย ๆ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
รอ ฉะ กับป้ามหาภัยนางนี้ หึหึ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เอาแล้วซิ ชักอยากเห็นแล้วซิว่าตะวันจะแก้ปัญหายังไงกันน้าาาาา

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสารหนูเจียเลย

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
สนุกมากครับ เหตุเกิดเพราะมนุษย์ป้าคนเดียวแท้ๆ
สอนแต่อะไรในเชิงลบให้ลูกตัวเอง เฮ้อ
รอตะวันไปวันประชุมผู้ปกครอง คงสนุกล่ะ

ปล. แอบชอบเกล้า น้องเจียอ่ะ คงอีกนานเนอะ
อาจจะโตในวัยมหาลัยแล้วกลับมาพบกันอาจจะบังเอิญหรือไม่บังเอิญก็ได้ อยากอ่านจริงๆ 555+ แต่เอาเรื่องนี้ให้จบก่อนเนอะ

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
แม่น็อต ต้องโดนตบ!! 555 เดี๋ยวนี้ประเทศไทยมีคนแบบนี้เยอะ จำพวกชอบเอาความคิดตัวเองไปตัดสินคนอื่น ทำร้ายคนอื่น เพียงเพื่อ เค้าแตกต่างกว่าตน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด