ปานตะวัน
บทที่ ๑๖
เรื่องที่ทำได้
ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วนับตั้งแต่คุณแม่ของเกล้ามารับเด็กชายไปอยู่ด้วยกัน ปานตะวันกับแม่น้องเกล้าติดต่อกันผ่านทางไลน์เป็นระยะ หญิงสาวมักจะถ่ายรูปน้องเกล้าส่งมาให้พร้อมกับบอกว่าน้องเกล้าเป็นยังไงและมีความสุขดีแค่ไหน ดูเหมือนว่าทางคุณตาคุณยายจะเห่อหลานไม่น้อย เด็กชายที่เคยอยู่แบบอดมื้อกินมื้อและต้องอดทนกับการถูกทุบตีตอนนี้กลายเป็นเด็กที่ได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากคนรอบข้าง คุณแม่น้องเกล้าเองเมื่อได้ลูกชายกลับมาอยู่ด้วยก็มีแรงใจที่จะเข้ารับการรักษาเพื่อให้ตัวเองหายจากโรคซึมเศร้ามากขึ้น
สำหรับน้องเกล้าทุกสิ่งที่ผ่านมาคงเป็นเหมือนฝันร้าย ตอนนี้เด็กชายได้พบกับฝันดีของตัวเองแล้วและปานตะวันก็ยินดีจากใจพร้อมกับหวังว่าเด็กชายจะมีความสุขแบบนี้ตลอดไป
ถ้านี่เป็นหนังสักเรื่องตอนของน้องเกล้าคงขึ้นว่า Happy Ending
แต่ทางเขานี่สิ...ยังไม่แฮปปี้เสียทีเดียว
“หนูเจีย ตื่นได้แล้วครับ หกโมงครึ่งแล้วนะ” ปานตะวันที่คาดผ้ากันเปื้อนลายแมวสีฟ้าเดินเข้ามาในห้องนอนเพื่อปลุกหลานชายที่ยังขดตัวอยู่ใต้ผ้านวม วันนี้ราเมศต้องเข้าไปเตรียมร้านแต่เช้าเพราะลูกน้องคนที่รับหน้าที่เตรียมร้านวันนี้เกิดท้องเสียจนต้องลางาน ชายหนุ่มผมดำถึงได้รีบรุดออกไปแล้วฝากให้ปานตะวันพาหลานชายไปส่ง
ปานตะวันเองก็รับปากอย่างดี แต่ดูเหมือนการไปส่งหนูเจียวันนี้จะไม่ง่ายเสียแล้ว ชายหนุ่มเพิ่งทำอาหารเช้าเสร็จเมื่อกี้นี้เอง ตอนแรกเขาคิดว่าหนูเจียคงจะเดินเข้าไปหาในครัวเหมือนทุกวันแต่ปรากฏว่ารออยู่นานหลานชายก็ไม่มาสักทีจึงเดินมาตาม
ถึงได้รู้นี่แหละว่าหนูเจียยังไม่ยอมลุกจากเตียงเลย
“หนูเจีย ลุกได้แล้วครับ” ปานตะวันดึงผ้าห่มออก เจียหลินก็ไม่ยอมแพ้ เด็กชายพลิกตัวนอนคว่ำแล้วซุกหน้าลงกับหมอน แสดงอาการต่อต้านเต็มที่ทำเอาคนเป็นน้าชายถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน
“หนูเจีย” ปานตะวันเน้นเสียง “อย่างอแงครับ วันนี้หนูเจียต้องไปโรงเรียนนะ”
“ไม่เอา” เด็กน้อยที่ซุกหน้ากับหมอนตอบเสียงอู้อี้ “หนูเจียไม่อยากไปโรงเรียนเลยคับน้าตะวัน วันนี้ขอหนูเจียไปที่ร้านกับน้าตะวันได้ไหมคับ”
“ไม่ได้ครับ การไปโรงเรียนเป็นหน้าที่นะ หนูเจียยังเป็นเด็ก ต้องเรียนหนังสือ”
“แต่...แต่หนูเจียไม่อยากไปนี่นา!”
คราวนี้เจ้าตัวเล็กหันหน้ากลับมา เบะปากแล้วก็พูดเสียงดัง น้ำตารื้นขึ้นมาในหน่วยตาทั้งสองข้าง ปานตะวันถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นหลานชายดื้อด้านพูดจาไม่ฟังแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน
“เจียไม่อยากไป!” คราวนี้กำปั้นน้อยๆ ทุบลงบนเตียงเป็นของแถม เจียหลินหน้าบึ้งส่วนปานตะวันก็ชักมีน้ำโห จากที่คิดว่าจะพูดจาตะล่อมดีๆ ก็เป็นอันต้องเปลี่ยนแผน
ไม้นวมไม่ได้ผลก็คงต้องใช้ไม้แข็ง
“เจียหลิน” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา เขาไม่ได้ตะคอกแต่ใช้น้ำเสียงและท่าทางกดดันแทน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพร้อมกับนัยน์ตาสีนิลที่แปรเปลี่ยนเป็นแววตาเข้มงวด “อย่าขึ้นเสียงใส่น้าแบบนี้นะ”
“ก็หนูเจียไม่อยากไปโรงเรียนนี่นา!”
“ทำไมถึงไม่อยากไปโรงเรียนล่ะ”
“ก็...ก็เพราะว่า...”
เด็กชายอึกอัก นัยน์ตากลมโตเบนหลบไปจ้องผ้านวม มือเล็กๆ กำชายเสื้อตัวเองแน่น ปานตะวันเห็นดังนั้นก้ถอนหายใจออกมา
“ไม่มีเหตุผลใช่ไหม ถ้าไม่มีเหตุผลเหมาะๆ ยังไงหนูเจียก็ต้องไปเรียนหนังสือ ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว”
“ไม่เอา”
“หนูเจียอย่าดื้อ นี่สายมากแล้วนะ น้าตะวันต้องไปทำงาน”
“ให้หนูเจียไปกับน้าตะวันนะคับ นะๆๆ”
“ไม่ได้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงของปานตะวันดังขึ้นโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มเหลือบตามองนาฬิกาแล้วก็พบว่าตัวเองกำลังจะไปส่งหลานชายสายและกำลังจะไปทำงานสายด้วย
หนูเจียที่โดนดุด้วยน้ำเสียงห้วนเองก็ตกใจ เด็กชายเริ่มสะอื้น ริมฝีปากสีสดเบะออกก่อนที่น้ำตาจะกลิ้งตัวลงมาตามผิวแก้ม
“ฮึก...แงงง แง้”
ถ้าเป็นวันปกติปานตะวันคงใจอ่อนกับเสียงร้องของหลานชายแต่ไม่ใช่วันนี้ ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงร้องไห้ ปานตะวันตรงไปรวบตัวหนูเจียขึ้นมาแล้วเดินตึงตังไปเข้าห้องน้ำ ชายหนุ่มบีบยาสีฟันใส่แปรงแล้วยัดใส่มือเล็กๆ ของหลานชาย
“แปรงฟัน” เขาสั่งสั้นๆ แล้วก็เดินออกไปเตรียมเสื้อผ้า เมื่อกลับมาปานตะวันก็ยืนหน้าตาถมึงทึงคุมหนูเจียแปรงฟันก่อนจะอาบน้ำแต่งตัวให้อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มหยิบกล่องพลาสติกสำหรับใส่ข้าวออกมาแล้วตักใส่กรอก แฮม แซนวิชที่เตรียมไว้ให้หลานลงไปสำหรับเอาไปกินที่โรงเรียนเพราะวันนี้กินข้าวที่บ้านคงไม่ทัน ปานตะวันหยิบนมกล่องเล็กใส่กระเป๋าไปให้เด็กน้อยด้วย
“มาเร็วเจียหลิน อย่าดื้อ” หนูเจียก้มหน้านิ่ง รับรู้พายุอารมณ์โกรธของน้าชายได้เป็นอย่างดี เด็กชายยอมเดินตามไปขึ้นรถ ตลอดทางปานตะวันไม่คลายอารมณ์โกรธลงเลยเมื่อพบว่ารถติดยาวเหยียดนรกแตก
“ดูซิ ออกจากบ้านสายรถเลยติดยาวแบบนี้เลยเห็นไหม” ชายหนุ่มบ่นก่อนจะเหลือบตามองเจียหลิน เด็กชายเม้มปาก ขมวดคิ้ว ท่าทางดื้อดึงไม่ยอมอ่อนลง
“แล้วก็คราวหลังอย่าขึ้นเสียงใส่น้าแบบนั้นอีก เข้าใจไหม อะไรไม่ได้ดังใจก็เบะปากร้องไห้ทุบที่นอนแบบนั้นไม่น่ารักเลยนะเจียหลิน น้าตะวันไม่เคยสอนให้ก้าวร้าวแบบนั้น”
เด็กชายก้มหน้านิ่ง ไม่หือไม่อือ ปานตะวันขมวดคิ้ว
“ตกลงรู้ตัวไหมว่าทำผิด”
“...”
“เจียหลิน” “รู้....คับ”
“รู้ว่าอะไร”
“เจียทำผิด ดื้อ ไม่ยอมไปโรงเรียน”
“แล้วยังไงต่อ?”
เด็กชายก้มหน้าจนคางชิดอก นั่งนิ่งเป็นหิน คราวนี้ไม่ว่าปานตะวันจะถามอะไรอีกก็ไม่ตอบ ไม่พูด ทำเหมือนกับไม่ได้ยินจนคนเป็นผู้ปกครองอารมณ์โมโหพุ่งทะลุปรอท
“จะไม่ขอโทษใช่ไหม? ได้ ถ้าจะไม่พูดก็ไม่พูดให้มันตลอดนะเจียหลิน!” เอี๊ยด
ปานตะวันเหยียบเบรกอย่างแรงตอนที่ถึงหน้าประตูโรงเรียน ปกติเขาจะเดินไปส่งหลานถึงห้องแต่วันนี้บรรยากาศมึนตึงระหว่างกันทำให้เขาตัดสินใจส่งอีกฝ่ายลงที่หน้าประตูรั้วแล้วให้เดินเข้าไปเอง
“น้าตะวันตามใจเจียมากไปใช่ไหมถึงได้ทำกันแบบนี้”
เขาพูด...น้ำเสียงยังเย็นชา ปานตะวันหันไปมองเจียหลินที่สะพายกระเป๋าแล้วเปิดประตูลงจากรถ ตอนที่หลานหันมาเพื่อปิดประตู นาทีนั้นปานตะวันถึงได้เห็นน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเด็กชาย
“น้าตะวัน...ขึ้นเสียงใส่เจียทำไม...แม่จันทร์ยังไม่เคยทำแบบนั้นเลย” เจียหลินสะอื้น ริมฝีปากสั่นระริก “น้าตะวันใจร้ายที่สุด!”
ปัง
สิ้นคำเจียหลินก็กระแทกประตูปิดแล้ววิ่งเข้าไปในโรงเรียน ส่วนปานตะวันชะงักค้าง รู้สึกเหมือนหัวใจหล่นหายไปใบหน้าชาแถมหัวสมองยังว่างเปล่าไปหมด
เขาคงไม่ได้สติถ้ารถคันหลังไม่บีบแตรไล่ขึ้นมาก่อน ร่างสูงโปร่งสะดุ้งก่อนจะขับรถออกจากหน้าประตูรั้วแล้วตรงกลับบ้าน
ขากลับรถก็ยังติดอยู่เหมือนเดิมแต่ปานตะวันไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไรอีกแล้ว มันเหมือนความโกรธในใจถูกปล่อยออกไป
เหลือเพียงความรู้สึกผิดและความเศร้าเข้ามาแทนที่
เมื่อมาถึงบ้านชายหนุ่มก็ไม่ยอมลงจากรถ เขานั่งนิ่งเหม่อมองออกไปแบบไร้จุดหมาย ในหัวมีแต่เสียงของเจียหลินที่ตะโกนว่าเขาเป็นคนใจร้ายรวมถึงใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กชาย
ยิ่งมานึกถึงสิ่งที่เขาพูดรวมถึงท่าทางที่แสดงออกกับหลานก็ยิ่งรู้สึกผิด
ปานตะวันเคยไม่ชอบใจการถูกดุด้วยคำพูดแรงๆ หรือการตะคอก ไม่ชอบถูกขมวดคิ้วใส่หรือมองด้วยสายตาผิดหวัง แต่เขาก็เพิ่งทำทั้งหมดนั่นลงไป...กับหนูเจียของเขา
ชายหนุ่มซบศีรษะลงกับพวงมาลัยแล้วพึมพำออกมาเบาๆ
“ไอ้ตะวัน...มึงทำอะไรลงไปเนี่ย”
วันนี้คงไม่ใช่วันของปานตะวันจริงๆ ตอนเช้าทะเลาะกับหลานชาย ตอนทำงานเขาก็ทำพลาดหลายอย่าง ทั้งจดออเดอร์ผิด ลืมรายการอาหารลูกค้าทำให้อีกฝ่ายได้อาหารช้า แถมช่วงเที่ยงถึงบ่ายโมงยังหัวหมุนไปหมดเพราะลูกค้าแน่นร้านสุดๆ ปานตะวันสมาธิหลุดบ่อยจนราเมศต้องเรียกไปดุที่หลังร้าน ความรู้สึกที่แย่มาจากเมื่อเช้าอยู่แล้วก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก โดยเฉพาะตอนเห็นสีหน้าอ่อนล้าของราเมศปานตะวันก็ยิ่งโทษตัวเอง
เป็นน้าที่ใช้ไม่ได้ เป็นแฟนที่ใช้ไม่ได้ เป็นพนักงานที่ใช้ไม่ได้ เขาแม่งไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง!
“ผมขอโทษครับพี่” เขาไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีอะไรเลยนอกจากคำขอโทษ ราเมศลูบหน้าตัวเองแล้วก็เอ่ยว่า “ตั้งสติหน่อย กลับไปทำงานได้แล้ว แล้วอย่าให้พลาดอีกล่ะ”
“ครับ”
ปานตะวันตอบรับสั้นๆ โดยไม่มองหน้าคนรักก่อนจะกลับไปทำงานของตนอีกครั้ง วันนี้เขาบรรลุเลยว่าคำว่าเหนื่อยสายตัวแทบขาดมันเป็นยังไง
เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจ
ช่วงบ่ายโมงถึงบ่ายสามก็ยังมีลูกค้ามาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้แน่นร้านเท่าช่วงกลางวันแล้วปานตะวันจึงสามารถตั้งสติกับงานได้มากขึ้นเพราะไม่ได้ถูกเรียกไปทางนั้นทีทางโน้นที พอบ่ายสามครึ่งร้านก็โล่ง พนักงานเสิร์ฟและพ่อครัวถึงได้มีเวลาพัก
ปานตะวันนั่งหมดแรงอยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์ยาว ชายหนุ่มฟุบตัวลง นึกอยากจะหลับไปเดี๋ยวนั้นแต่ก็ทำไม่ได้
เขานั่งนิ่งๆ อยู่สักพักจนกระทั่งได้ยินเสียงราเมศดังขึ้นเหนือศีรษะ “ตะวันไปรับหลานกับพี่ไหม”
“สามโมงครึ่งแล้วเหรอ”
ปานตะวันผงกหัวขึ้นมามองนาฬิกาแล้วก็ถอนหายใจ ชายหนุ่มขยับตัวจะถอดผ้ากันเปื้อนแต่แล้วก็นึกได้ว่าเมื่อเช้าตนกับเจียหลินเพิ่งทะเลาะกันมา
บางทีหนูเจียไม่เห็นหน้าเขาอาจจะดีกว่าก็ได้
“ไม่ล่ะครับ พี่เมศไปเถอะ”
“หืม?” ราเมศขมวดคิ้วมองคนที่ส่ายหน้าปฏิเสธ สีหน้าของปานตะวันดูเศร้าๆ ยังไงก็ไม่รู้ “เป็นอะไรหรือเปล่าตะวัน”
“เปล่า...ครับ ไม่ได้เป็นอะไร”
“สีหน้านายดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ”
“เปล่าครับ” ปานตะวันตัดบท “พี่เมศรีบไปรับหลานเถอะ เดี๋ยวหนูเจียจะรอนะครับ”
“แต่...”
“ตะวันสบายดี พี่ไปเถอะ แล้วเจอกันครับ”
ราเมศอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ ชายหนุ่มลูบศีรษะปานตะวันสองสามทีก่อนจะหยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไป
คล้อยหลังราเมศปานตะวันก็ทิ้งตัวลงฟุบต่อด้วยสีหน้าซังกะตาย วันนี้เขาเหนื่อยเกินกว่าจะปั้นหน้ายิ้มแย้มหรือเสวนากับใครเลยปลีกตัวมานั่งคนเดียว พี่ๆ ที่ร้านก็ดูออกเลยปล่อยให้เขาอยู่เงียบๆ
แบบนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียล่ะนะ...ข้อดีคือเขาได้พักแบบสงบสมใจ ส่วนข้อเสียคือสมองเขาว่างพอจะดึงเอาเรื่องแย่ๆ มาคิดให้ว้าวุ่นใจเล่น
อย่างตอนนี้ปานตะวันก็กำลังคิดถึงเรื่องที่เขากับหนูเจียทะเลาะกันอยู่
ชายหนุ่มคิดว่านั่นเป็นความผิดของเขา...ซึ่งมันก็เป็นความผิดของเขาจริงๆ นั่นแหละ
เมื่อเช้าเขาหงุดหงิดมากจนขึ้นเสียงใส่หนูเจียไป คำพูดจาตักเตือนกันดีๆ ก็มีแต่ปานตะวันก็ยังเผลอหลุดถ้อยคำแรงๆ สำหรับเด็กห้าขวบไปจนได้
‘น้าตะวันขึ้นเสียงใส่เจียทำไม แม่จันทร์ยังไม่เคยทำแบบนี้เลย น้าตะวันใจร้ายที่สุด!’
หนูเจียจะรู้ไหมหนอว่าประโยคนั้นมันทำร้ายใจเขาไม่ต่างกัน
ปานตะวันไม่ได้อยากดุ ไม่ได้อยากว่าหลานเลย แต่ถ้าเขาไม่เตือนหนูเจียแล้วใครจะเตือน เขาไม่อยากให้หลานโตไปเป็นเด็กเอาแต่ใจที่พอไม่ได้ตามต้องการก็ร้องไห้อาละวาดฟาดแขนฟาดขา ปานตะวันคิดว่าเขาไม่ผิดที่ ‘เตือน’ หลาน สิ่งเดียวที่เขาทำผิดไปคือการใช้คำพูด สีหน้า และน้ำเสียง
ให้ตาย ยิ่งคิดก็ยิ่งแย่ ภาพใบหน้าตอนร้องไห้และคำตัดพ้อของเจียหลินวนเวียนในหัวเขาทั้งวันจนตั้งสมาธิทำงานไม่ได้ทำให้โดยพี่เมศเรียกไปด่าอีก
คราวนี้รู้สึกผิดคูณสองเลย
ปานตะวันถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนล้า
บางที...ถ้าเป็นพี่จันทร์ล่ะก็...เรื่องทั้งหมดอาจไม่แย่แบบนี้ พี่จันทร์คงหาคำพูดดีๆ มาตะล่อมหนูเจียให้ไปโรงเรียนได้และก็คงจะแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันได้..ไม่ใช่ทำทุกสิ่งพลาดไปหมดแบบเขา
บางทีถ้าพี่จันทร์ยังอยู่...อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ก็ได้
“เฮ้อ”
“อายุขัยมึงสั้นลงไปสิบปีแล้วนะ”
“เฮ้ย เชี่ย อะไรวะ!?”
เสียงทุ้มลึกลับที่จู่ๆ ก็มากระซิบอยู่ข้างหูทำให้ปานตะวันสะดุ้งโหยง รีบผงะหนีจนเก้าอี้เกือบล้มยังดีที่ยึดขอบเคาน์เตอร์ไว้ทัน ชายหนุ่มผมน้ำตาลที่ใจยังเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ราวกับรัวกลองรีบตวัดสายตามองต้นเรื่องทันที แต่แล้วนัยน์ตาสีนิลก็ต้องเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้นระคนยินดีเมื่อเห็นว่าใครมายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า
“ไอ้กันต์!” ปานตะวันเรียกเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงดีอกดีใจ ชนกันต์ที่เห็นดังนั้นก็หัวเราะร่วนพลางยกมือขึ้นตบๆ หัวเพื่อนซี้ไปสองสามที
“ไงครับเพื่อนรัก คิดถึงกูไหม?”
ปานตะวันโคตรอยากจะตะโกนตอบออกมาว่า...เออ คิดถึงมึงโคตรๆ เลยว่ะ!
โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีลูกค้าอื่นนอกจากกันต์ ปานตะวันถึงสามารถมานั่งคุยเจ๊าะแจ๊ะกับเพื่อนซี้ได้
“มึงมาได้ไง” ปานตะวันเป็นฝ่านเปิดฉากถามแต่ดูแล้วคำถามของเขาคงจะไม่ถูกหูคนฟังเท่าไหร่เพราะชนกันต์ถอนหายใจออกมาแล้วก็พูดว่า “กูบินมามั้ง ก็ต้องขับรถมาสิไอ้ฟาย”
ปานตะวันรู้สึกได้ว่าเส้นประสาทที่คิ้วกับที่เท้าของมันเกิด ‘กระตุก’ ขึ้นมาพร้อมกัน ชายหนุ่มแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย “กูรู้แล้วว่าขับรถมา กูหมายถึงมึงว่างเหรอถึงได้มา มีธุระอะไร มาทำไมที่นี่”
“ก็ถามให้มันเคลียร์ๆ ตั้งแต่แรกสิ”
“เออๆ กูผิดเอง”
ชนกันต์มองเพื่อนที่ทำปากคว่ำอย่างอารมณ์ดี “ไม่งอนน่า กูคิดถึงเลยมาหา ซื้อขนมมาฝากมึง แฟนมึง กับหลานมึงด้วย” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่ถุงข้างตัว ปานตะวันหยิบมาดูก็พบช็อกโกแลต ขนมปัง นม น้ำผลไม้และอีกสารพัดของกิน
(มีต่อค่ะ)