ปานตะวัน
บทที่ ๒๑
Midnight
สองวันสุดท้ายก่อนสิ้นปี ครอบครัวของปานตะวันหมดเวลาไปกับการท่องเที่ยวแบบเต็มสูบ ดูเหมือนราเมศจะไม่ได้ล้อเล่นเรื่องที่ว่าจะพาเที่ยวจนหมดแรงกันไปข้างหนึ่งเพราะหลังจากวันแรกที่มาถึงรีสอร์ตปานตะวันกับหนูเจียก็ไม่มีโอกาสได้นอนเล่นอยู่ที่บ้านอีกเลย
ราเมศรับหน้าที่เป็นทั้งสารถี ไกด์นำเที่ยว ตากล้อง คนถือของ คนอุ้มหลานและสารพัดอย่างแล้วแต่ปานตะวันจะไหว้วานแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้บ่น กลับกันเขาดูมีความสุขดีเสียด้วยซ้ำกับการได้ตามใจทั้งหลานและคนรัก
ปานตะวันแม้ตอนแรกจะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่สองวันมานี้พี่เมศอารมณ์ดีถึงดีมาก ไม่ดุ ไม่บ่น ขออะไร อยากกินอะไรก็ให้ทุกอย่าง...ดีจนรู้สึกตงิดๆ
แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบใจหรอกนะ เขาดีใจมากด้วยซ้ำที่มีคนมาให้อ้อนแบบนี้
บางทีเขาอาจจะคิดมากไปก็ได้
พอคิดได้แบบนี้ปานตะวันก็เลิกติดใจสงสัยพฤติกรรมของราเมศไปทันที
เช้าวันที่สามสิบราเมศพาเขากับหลานชายไปเที่ยวตามสถานที่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ จุดหมายแรกคือขึ้นดอยสุเทพไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ คนเยอะอย่างที่คิดไว้จนราเมศต้องอุ้มหนูเจียขึ้นมาแล้วก็จูงมือปานตะวันเดินเพื่อกันไม่ให้คลาดกัน หลังไหว้พระธาตุดอยสุเทพเสร็จชายหนุ่มก็พาทั้งคู่ไปแวะกินข้าวซอยก่อนไปต่อที่ “ขุนช่างเคี่ยน” ซึ่งเป็นแหล่งชมดอกพญาเสือโคร่งที่มีชื่อเสียง
ดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่งละลานตาเป็นทิวแถว สีชมพูสดสวยดูราวกับดอกซากุระของญี่ปุ่นไม่มีผิด มิน่าใครๆ ถึงเรียกมันว่าซากุระเมืองไทย ตอนที่สายลมเย็นพัดผ่านช่อดอกไม้ก็พลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่นแลดูสวยงาม พวกเขาสามคนถ่ายรูปกันที่นี่ไปหลายสิบรูปเลยทีเดียว
ถ่ายรูปเสร็จก็ราเมศก็พาเขาไปหากาแฟทาน ร้านกาแฟหลายร้านที่ผ่านตาล้วนน่าเข้าไปนั่งทั้งนั้น พี่เมศดูจะรู้จักแต่ละร้านดี แถมยังบอกอีกว่าร้านที่เจ้าตัวพาปานตะวันมาคือรสชาติกาแฟและขนมถูกปากที่สุดแล้ว พอลองชิมปานตะวันก็ต้องยอมรับว่าอร่อยสมคำโฆษณา
เติมพลังกันแล้วราเมศก็พาปานตะวันกับหนูเจียไปที่ดอยปุยและพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
ปานตะวันจำได้รางๆ ว่าตอนที่พ่อยังอยู่พวกเขาเคยมาเที่ยวเชียงใหม่กันครั้งหนึ่ง น่าจะขึ้นมาที่นี่ด้วย เสียดายที่ตอนนั้นปานตะวันยังเด็กมากทำให้ความทรงจำเรื่องนี้เลือนรางอยู่ในม่านหมอกของอดีต
พอตกกลางคืนราเมศก็ขี่มอเตอร์ไซต์พาปานตะวันไปถนนคนเดิน พวกเขาให้หลานอยู่กับแม่ราตรีที่บ้านเพราะพอดึกแล้วเดี๋ยวหนูเจียจะงอแง
“คนเยอะชะมัด” ปานตะวันถอดหมวกกันน็อกออกพลางพูด ตอนนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่นักท่องเที่ยวทั้งไทยทั้งต่างชาติ “คนเยอะทุกที่เลย”
“ก็มันช่วงสิ้นปีนี่นา”
ราเมศคว้ามือคนรักไปจับไว้ซึ่งปานตะวันก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ชินแล้วล่ะ วันนี้พี่เมศจับมือเขาเกือบทั้งวันเลยนี่นา
“แต่แบบนี้เหมือนมาเดตกันเลยนะ” ราเมศพูดลอยๆ พอปานตะวันหันไปมองก็พบว่าอีกฝ่ายหันหน้าหนีไปทางอื่นแล้ว มุมปากของคนเด็กกว่ายกขึ้น
“เราก็มาเดตกันจริงๆ ไม่ใช่เหรอครับ ไม่งั้นตะวันคงเอาหลานมาด้วยแล้ว”
“นายนี่มัน...”
ราเมศกลั้นยิ้ม ท่าทางซุกซนบวกกับการอมยิ้มจนแก้มป่องแบบนั้นทำให้เขาอยากจับเด็กแสบตรงหน้ามางับแก้มเสียเหลือเกิน
“อะไรกัน ไม่อยากมาเที่ยวกันสองต่อสองก็ไม่บอก”
“ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“คิดในใจใช่ไหมล่ะ ใช่ซี้ ไอ้ดอกทิวลิปกับคำพูดหวานๆ เมื่อวานสงสัยตะวันจะฝันไป”
แน่ะ มีการลอยหน้าลอยตาพูดด้วยท่าทางกวนประสาทอีกนะ ราเมศกลอกตา ดีดเหม่งแมวแสบไปหนึ่งทีทำให้อีกฝ่ายหันกลับมาส่งค้อนให้วงเบ้อเริ่ม
“เจ็บ!”
“ไม่เจ็บหรอก กะโหลกนายหนาจะตาย”
“ไอ้พี่เมศ!”
“ฮ่าๆ ล้อเล่นหรอก ไหนมาให้พี่ดูซิ”
ราเมศดึงปานตะวันที่แยกเขี้ยวขู่ฟ่อหลบเข้าข้างทาง อาศัยแสงไฟจากร้านค้าที่เรียงรายอยู่สอดส่องหารอยแดงบนหน้าผากคนตัวเล็ก
อืม มีด้วยแฮะ ตอนแรกเขาว่าตัวเองกะแรงดีแล้วนะ
“ขอโทษนะ”
“แรงเท่าช้าง ดีดมาได้ กะโหลกยุบหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“นี่ก็เว่อร์ไป”
คำพูดคำจานี่น่าเอาปากตบปากจริงๆ
ชายหนุ่มผมดำเห็นคนรักยกมือลูบหน้าผากป้อยๆ คิ้วยังขมวดแถมหน้าก็บึ้งก็แอบใจแกว่ง หรือเขาแกล้งแรงไปนะ ง้อสักหน่อยก็แล้วกัน
“ตะวัน ขอโทษนะครับ”
เงียบ ไม่ตอบ
“มานี่มา โอ๋นะ โอมจงหายเจ็บ เพี้ยง”
จบคำว่าเพี้ยงแทนที่จะเป่าลมลงมาคนตัวโตกลับแนบริมฝีปากลงที่รอยแดงบนหน้าผากมนของปานตะวัน
จุ๊บ
“หายเจ็บแล้วนะ”
ปานตะวันมองรอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้าของราเมศด้วยสีหน้าว่างเปล่า สมองเหมือนถูกแช่แข็งไปเรียบร้อยแล้ว โดนแช่ไปตอนที่อีกฝ่ายโน้มตัวลงมา “จุ๊บ” ให้หายเจ็บนั่นแหละ
ไอ้บ้า ไอ้พี่เมศบ้า! มาทำอะไรโจ่งแจ้งในที่สาธารณะแบบนี้เนี่ย!
“โว้ย ไอ้พี่บ้านี่!”
“ไม่ชอบหรือไง ปกติเห็นชอบให้จูบเหม่ง”
“ก็แล้วนี่มันบนถนนคนเดินไหมล่ะ” ปานตะวันถลึงตาใส่อีกฝ่าย ไม่รู้เมื่อกี้มีคนแอบถ่ายคลิปหรือรูปไปหรือเปล่า เกิดเป็นข่าวดังในโลกโซเชียลขึ้นมาจะทำยังไง
“แล้วไหนบอกเจ็บ” ราเมศย้อนหน้าตายแต่แววตากลับแฝงความขบขันไว้เต็มเปี่ยม มองปราดเดียวก็รู้ว่าจงใจแกล้งตีมึน
“ตอนหนูเจียหกล้มหน้าผากปูดพี่ก็ทำให้แบบนี้แหละ ไม่เห็นต่างกันเลย”
ต่างสิโว้ย!
เพราะนั่นเป็นหนูเจีย หนูน้อยอายุห้าขวบที่ทำอะไรก็น่ารักน่าชังตามประสาเด็ก การที่ราเมศจูบเหม่งหนูเจียน่ะไม่แปลกหรอก แต่พวกเขาที่เป็นผู้ใหญ่แล้วแถมยังเป็นผู้ชายทั้งคู่มาทำแบบนี้เนี่ยมัน...
น่าเขินไปหน่อยไหม
ปานตะวันเอาแขนเสื้อถูแก้มของตัวเองแรงๆ ประหนึ่งจะทำให้สีแดงที่แตะแก้มสองแก้มอยู่เลือนหายไป แต่นอกจากจะไม่หายแล้วหน้าของชายหนุ่มยังแดงกว่าเดิมเมื่อจู่ๆ ก็มีคนกระแอมขึ้นจากด้านหลังก่อนจะเอ่ยว่า
“คือว่า ขอโทษนะครับ พวกคุณยืนบังร้านผม”
“อ้าว ขอโทษนะครับ”
ปานตะวันกับราเมศสะดุ้ง พวกเขาพบว่าตนเองยืนบังอยู่หน้าร้านขายเสื้อจริงๆ ด้วย ปานตะวันส่งยิ้มเจื่อนให้หนุ่มคนขายที่ไว้ผมยาวเหมือนนักร้องวงร็อก
ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วก็ได้ยินที่คุยกันไปหมดแล้วหรอกนะ
“ไม่เป็นไรครับ” ยังดีที่คนขายไม่ทักอะไรขึ้นมาให้ปานตะวันอายเล่น ลูกแมวตัวเล็กขอโทษอีกครั้งในขณะที่มือก็รีบกระตุกมือราเมศยิกๆ เป็นทำนองให้รีบออกจากร้านนี้
แค่นี้ก็อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแล้วให้ตายเหอะ ฮือ
“เอ้อ ว่าแต่พวกพี่ๆ สนใจเสื้อยืดไหมครับ ร้านผมเป็นร้านขายเสื้อคู่ ตัวการ์ตูนผมออกแบบเองหมดเลย”
แน่นอนว่าไอ้หนุ่มนักขายก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดมือ เขารีบโฆษณาสินค้าตัวเองอย่างเต็มที่ พระเจ้าอุตส่าห์ประทานลูกค้ามาให้ถึงหน้าร้านแล้ว แถมยังเป็นคู่รักด้วย ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องขายเสื้อคู่ให้สองคนนี้ให้ได้!
“เสื้อคู่เหรอ น่าสนใจดีนะ” พ่อค้าตาเป็นประกายเมื่อคุณลูกค้าตัวสูงใหญ่ผิวแทนเปรยขึ้นอย่างสนอกสนใจ “แต่ในร้านมีแต่เสื้อคู่ชายหญิงนี่?”
“แบบไม่ใช่การ์ตูนชายหญิงก็มีครับ”
เขารีบเดินไปหยิบเสื้อแขนยาวมีฮู้ดออกมาสองตัว ตัวหนึ่งเป็นสีดำมีแถบสีขาวพิมพ์ตัวอักษรดำไว้ตรงกลาง ส่วนอีกตัวเป็นสีเทา มีแถบขาวพิมพ์ตัวอักษรดำด้วยข้อความเหมือนตัวแรก
“เท่ออกนะครับพี่ ไม่สนเหรอ”
ปานตะวันกำลังจะส่ายหน้าแต่ราเมศดันถามออกไปแล้วว่า “เท่าไหร่”
พอคนขายบอกราคาชายหนุ่มตัวโตก็จ่ายเงินให้อย่างรวดเร็ว พ่อค้าหน้าตาชื่นบานรีบพับเสื้อใส่ถุงให้อย่างเรียบร้อย ตอนที่พวกเขาเดินออกจากร้านยังมีการเอ่ยไล่หลังมาว่า “ขอบคุณนะคร้าบ ขอให้มีความสุข รักกันไปนานๆ เลยนะครับ!”
“พี่เมศ ซื้อมาแล้วจะใส่เหรอ” ปานตะวันมองดูเสื้อแขนยาวในถุง เอาตรงๆ คือเขานึกภาพตัวเองกับราเมศใส่เสื้อคู่ มีโมเม้นท์คู่รักใสๆ ไม่ออกเลย
“เอาน่า อุดหนุนเขาหน่อย ถือซะว่าเป็นค่าที่เราไปยืนจูบหน้าผากกันหน้าร้านเขาแล้วกัน”
ปานตะวันพ่นลมหายใจออกมา ตอนแรกก็อยากจะบ่นนะที่ราเมศทำแบบนั้นแต่พอนึกๆ แล้วความตลกกับความเขินมันมีมากกว่าความไม่ชอบนี่สิ
พวกเขาสองคนเดินเล่นไปเรื่อยๆ ซื้อของกินมาเดินกินไปพลางๆ ปานตะวันเจอร้านขายโคมไฟอยู่ร้านหนึ่ง เขาถูกใจโคมไฟตั้งโต๊ะที่ทำเป็นรูปนกตัวเล็กๆ มากแต่ราเมศบอกว่าไม่ต้องซื้อเพราะที่บ้านเขาก็มี ถ้าอยากได้เดี๋ยวจะขอคุณราตรีกลับไปให้ สรุปแล้วนอกจากเสื้อคู่และของกินพวกเขาก็ไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มอีก
“พี่เมศ ตะวันเมื่อยขาแล้วอ่ะ” ในที่สุดปานตะวันก็โอดครวญออกมา ทันทีที่เจอม้านั่งสำหรับนั่งพักชายหนุ่มก็ปรี่เข้าไปจับจองทันที สองมือบีบนวดต้นขาตัวเองไล่อาการเมื่อยขบ
“วันนี้เดินทั้งวัน ขาจะหลุดแล้ว”
“งั้นกลับเลยไหม”
“เอาสิครับ”
ทริปเดตง่ายๆ ของพวกเขาก็จบลงด้วยประการฉะนี้
ตอนที่กลับมาถึงบ้านราเมศก็เจอโพสอิทสีเหลืองแปะอยู่หน้าประตูห้องนอน มีลายมือมารดาเขียนเอาไว้ว่าขอตัวหนูเจียไปนอนด้วย
ปานตะวันชะโงกหน้ามาอ่านแล้วก็พยักหน้ารับรู้ เจ้าตัวเล็กเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำ คงเพลียมากจริงๆ พอหัวถึงหมอนก็ซุกหน้าเตรียมหลับแล้ว
“ตะวัน นอนดีๆ” ราเมศถอนหายใจพลางดึงเสื้อยืดย้วยๆ ที่เปิดร่นไปเกือบถึงหน้าอกลงมาปิดพุงขาวๆ ให้อีกฝ่าย ปานตะวันครางงึมงำไม่ได้ศัพท์ สองมือควานปัดป่ายราวกับจะหาอะไรบางอย่างจนกระทั่งมาแตะโดนแขนเขา
พอจับตัวเขาได้ลูกแมวก็เบียดซุกเข้ามาคล้ายจะหาไออุ่น แก้มขาวแนบอยู่กับต้นแขน ท่าทางการหลับดูผ่อนคลาย
แต่ปานตะวันจะรู้ไหมนะว่าตอนที่ตัวเองหลับสบาย เขาสงบใจไม่ได้เลย
ให้ตาย
ยิ่งมองเห็นผิวเนื้อเนียนที่เคยแกล้งขบจูบหยอกเอินจนขึ้นรอยแดงแล้วก็ยิ่งสงบใจไม่ได้
“โธ่เว้ย” ราเมศสบถเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวนอนบนเตียง ดึงแขนออกจากการเกาะกุมแล้วนอนหันหลังให้ปานตะวัน หลับตานับหนึ่งไปจนถึงร้อยเพื่อสงบจิตสงบใจ
เช้าวันต่อมาปานตะวันตื่นมาด้วยอาการสดชื่นแจ่มใสแต่ราเมศนี่สิทำหน้าบูดเหมือนคนนอนไม่พอ
“พี่เมศเมื่อคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอนหรือไง ทำไมใต้ตาคล้ำงี้” มิ้นต์ทักขึ้นบนโต๊ะอาหารเช้า ราเมศที่กำลังยกกาแฟขึ้นจิบจึงยักไหล่ก่อนตอบ
“พอดีฝันร้าย”
“หือ ฝันว่าอะไรเหรอ”
“ฝันว่าโดนผีอำ ปรากฏว่าพอตื่นมากลายเป็นคนข้างๆ เอาขามาพาดอกตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้”
คนข้างๆ ที่ว่าถึงกับสะดุ้ง รีบเงยหน้ามองเลิกลั่ก “เฮ้ยพี่ ตะวันดิ้นขนาดนั้นเลยเหรอ” คนโดนกระทำไม่ตอบคำแต่เสไปคุยกับหลานชายแทน
“แล้วเมื่อคืนหนูเจียหลับสบายไหมครับ”
หนูน้อยที่กำลังแทะขอบขนมปังอยู่เงยหน้าตอบด้วยดวงตากลมแป๋ว “สบายคับ!” เมื่อคืนคุณย่าราตรีอ่านนิทานให้ฟังเยอะแยะแถมยังเปิดเพลงกล่อมนอนด้วย หนูเจียตัวน้อยเลยหลับอุตุฝันดีจนถึงเช้า “แต่หนูเจียอยากนอนกับน้าตะวันแล้วก็น้าเมศมากกว่า”
“จะว่าไปพูดถึงคืนนี้ที่รีสอร์ตจัดงานเลี้ยงด้วยสินะครับ” ราเมศหันไปถามผู้เป็นพ่อ คุณศิลปินพยักหน้า งานเลี้ยงปีใหม่ทางรีสอร์ตจัดให้แขกที่มาพักทุกปี แต่ไม่ได้บังคับว่าทุกคนต้องเข้าร่วม “แกจะไปหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่ล่ะครับ คิดว่าคงอยู่ที่บ้านมากกว่า”
“ตามใจ”
“พ่อไปเหรอ”
“ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน” คนเป็นพ่อว่าจบแล้วก็หันไปให้ความสนใจกับไอแพดตรงหน้าต่อ
“แล้ววันนี้เมศจะพาน้องตะวันกับหลานไปไหนหรือเปล่าลูก” คุณราตรีเอ่ยถาม ราเมศเหลือบมองปานตะวันแล้วก็ส่ายหน้า “วันนี้ตะวันเขาอยากนอนเล่นอยู่ที่นี่น่ะครับ”
“ก็ดี ข้างนอกคนเยอะจะตายไป มีโอกาสค่อยมาเที่ยวใหม่ก็ได้”
“นั่นสิครับ” ปานตะวันรับคำคุณพ่อพี่เมศ เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากทุกคนรอบโต๊ะ
หลังมื้อเช้าผ่านไปปานตะวันก็ช่วยคุณราตรี พี่มิ้นต์และพี่เมศทำความสะอาดบ้านรวมถึงตกแต่งบ้านสำหรับงานเลี้ยงปีใหม่ในครอบครัวคืนนี้ พอเสร็จงานทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่น คุณพ่อกับคุณแม่นั่งอยู่บนโซฟายาวโดยมีหนูเจียนอนหนุนตักอยู่ พี่มิ้นต์ยึดโซฟาเดี่ยว ส่วนราเมศกับปานตะวันนั่งอยู่ที่พื้นด้านล่างโดยมีเบาะนิ่มๆ ปูรองไว้พร้อมหมอนอิงอีกสามสี่ใบ
ตอนนี้โทรทัศน์ช่องที่พวกเขาดูอยู่มีโปรแกรมหนังยาวต่อเนื่องไปถึงตอนเย็น แต่ละเรื่องที่ฉายก็น่ารักสดใสเข้ากับเทศกาล
อากาศที่เย็นลงเล็กน้อยทำให้ปานตะวันขยับเบียดราเมศด้วยความเคยชินทั้งที่สองตายังจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้า แต่แล้วจู่ๆ เขาพลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาสะกิดโดนแก้ม เมื่อละสายตามามองก็พบว่าเป็นนิ้วของราเมศนั้นเอง
คนรักของเขาพาดแขนข้างหนึ่งไว้กับเบาะโซฟา ท่าทางเหมือนโอบไหล่ปานตะวันกลายๆ เมื่อเห็นว่าเขารู้สึกตัวแล้วก็หันมายิ้มให้พร้อมกับเลื่อนมือมาที่ศีรษะเขา ลูบไล้เกี่ยวพันเส้นผมสีน้ำตาลเล่น ปานตะวันเลยเอนหัวพิงบ่าอีกฝ่ายเสียเลย
ราเมศจูบลงบนเส้นผมนุ่มของคนรักเบาๆ ตอนนั้นเองที่ปานตะวันอ้าปากหาว
“ง่วงเหรอ” เสียงทุ้มกระซิบถามเบาๆ ปานตะวันพยักหน้าหงึก “อากาศมันเย็น น่านอนดี”
“งั้นก็หลับไปสิ พี่ก็ชักง่วงแล้วเหมือนกัน”
“เมื่อคืนนอนไม่หลับนี่นะ ขอโทษนะครับที่ดิ้นแรงขนาดนั้น” ปานตะวันตอบเสียงอ่อยแม้จะแปลกใจอยู่บ้างเพราะเขาไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าตัวเองเป็นคนนอนดิ้น
“ไม่เป็นไร ว่าแต่นอนตักไหม”
“เดี๋ยวพี่ก็เมื่อย นอนแบบนี้ดีกว่า” ว่าแล้วปานตะวันก็ไถลตัวลงนอนราบกับเบาะ ซุกหน้าลงกับหมอนเตรียมหลับ ราเมศเงยหน้าขึ้นมองสมาชิกที่เหลือก็พบว่าสลบไสลกันไปถ้วนหน้าเขาจึงเอนตัวนอนลงบ้าง ชายหนุ่มพลิกตัวตะแคงข้าง ใช้แขนข้างหนึ่งเท้าศีรษะส่วนมืออีกข้างก็ลูบผมปานตะวันเล่น เจ้าเหมียวครางในลำคออย่างพึงพอใจ
“พี่เมศก็นอนด้วยสิ”
“อืม”
แสงแดดอุ่นส่องลอดช่องว่างของใบไม้ทะลุผ่านเข้ามาในห้องนั่งเล่น ก่อเกิดลวดลายสวยงามบนพื้น ราเมศหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางขยับไปนอนชิดร่างเล็กข้างกายแล้วหลับไปท่ามกลางช่วงเวลาอันสงบสุข
ตอนสี่โมงเย็นแสงแดดข้างนอกก็เริ่มอ่อนแรงลงแล้ว ท้องฟ้าเริ่มถูกเจือด้วยสีชมพูละสีส้ม ปานตะวันลืมตาตื่นขึ้นมาบนเบาะหน้าทีวีเช่นเดิมแต่เพิ่มเติมคือมีผ้านวมหนานุ่มคลุมตัวเขาไว้ พอเหลียวมองไปรอบๆ ก็พบคุณพ่อ หนูเจีย และพี่มิ้นต์ที่ยังหลับอยู่ ส่วนพี่เมศกับคุณแม่หายไปไหนก็ไม่รู้
ชายหนุ่มโซเซลุกไปเข้าห้องน้ำ เพราะนอนนานเกินไปทำให้รู้สึกมึนหัว ตอนที่ออกมาจมูกพลันได้กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้ง ปานตะวันทำจมูกฟุดฟิดตามไปจนถึงในครัวแล้วก็พบคนที่ตามหายืนอยู่ข้างมารดาคอยช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง
ที่กรุงเทพฯครัวจะเป็นอาณาเขตของพี่เมศ แต่ดูเหมือนว่าที่นี่คุณพ่อครัวใหญ่จะลดสถานะลงเหลือแค่ลูกมือสินะ
“ทำอะไรกันอยู่ครับ กลิ่นหอมเชียว” ปานตะวันชะโงกหน้าเข้าไปในครัว เขาเห็นซุปน่องไก่เดือดปุดอยู่ในหม้อ ปลาหมึกชุบแป้งทอดของโปรดหนูเจียวางอยู่ข้างๆ จานใส่ทอดมันกุ้ง นอกจากนี้ปานตะวันยังเห็นจานไข่ม้วนและจานหมูผัดขิงอีกด้วย
คุณราตรีกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของหวานที่ดูแล้วคงเป็นขนมเค้ก ส่วนราเมศก็กำลังสาละวนอยู่กับการทอดเฟรนช์ฟราย ข้างๆ เขามีจานใส่น่องไก่ทอดและไส้กรอกทอดอยู่ด้วย
“มีอะไรให้ตะวันช่วยไหมครับ”
“ช่วยรอกินเฉยๆ” ราเมศพูดหน้าตายปานตะวันเลยส่งค้อนวงเบ้อเริ่มให้ ส่วนคุณราตรีก็เอ่ยว่า “เมศอย่าแกล้งน้อง ไม่เป็นไรหรอกค่ะตะวัน เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ” ประโยคหลังเธอหันมาพูดกับปานตะวัน ลูกชายคนใหม่เลยเข้าไปคลอเคลียเอาใจทันที
คุณราตรีหัวเราะกับท่าทางช่างประจบของชายหนุ่ม ท่าทางมีความสุขจนลูกชายแท้ๆ อดแซวไม่ได้ว่า
“คุณแม่ได้ลูกรักคนใหม่แล้วใช่ไหมครับ”
“แน่นอนค่ะ ตะวันไม่ต้องกลัวนะลูก ถ้าพี่เขาทำอะไรเรามาบอกแม่ แม่จัดการให้”
“พี่เมศแกล้งผมตลอดเวลาเลยครับ”
ในเมื่อมีแบ็กอัพแข็งแกร่งแล้วเราก็ต้องรีบโกยผลประโยชน์ ปานตะวันฟ้องคุณราตรีจนหมดเปลือก บางเรื่องมีแอบใส่สีตีไข่เพิ่มเล็กน้อย ส่วนคนตกเป็นจำเลยก็ทำตาดุใส่แล้วใส่อีกแต่ปานตะวันก็ยังคงเดินหน้าฟ้องมารดาของเขาต่อไป ราเมศที่ทำอะไรไม่ได้ก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันได้แต่นึกคาดโทษอีกฝ่ายในใจ
อย่าคิดว่ามีแม่พี่สนับสนุนแล้วจะรอดไปได้นะตะวัน!
ราเมศขยับปากเป็นคำว่า ‘คืนนี้นายตายแน่’
ส่วนปานตะวันก็เลิกคิ้วสูง แลบลิ้นกลับมาให้ ‘จ้างให้ก็ไม่กลัว’
หึ...จ้างให้ก็ไม่กลัวงั้นเหรอ ได้ เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน
มื้อเย็นของบ้านเสร็จตอนสองทุ่ม บนโต๊ะอาหารเรียงรายด้วยของคาวของหวานสารพัดจนปานตะวันนึกสงสัยว่าสมาชิกหกคนรอบโต๊ะจะช่วยกันกินจนมันหมดได้หรือเปล่า ระหว่างทานอาหารคุณราตรีก็เดินพลิ้วกายไปเปิดเพลงเบาๆ คลอเพื่อช่วยเสริมบรรยากาศ
“หนูเจีย กินนี่สิครับ ปลาหมึกชุบแป้งทอดที่หนูชอบไง” ปานตะวันตักกับข้าวให้หลาน เจ้าตัวเล็กใครตักอะไรให้ก็กินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย หนูเจียนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างราเมศกับปานตะวันซึ่งสลับกันตักอาหารและเช็ดปากให้หลาน ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทุกคนจึงกลายเป็นภาพคล้ายครอบครัวพ่อแม่ลูกไม่มีผิด
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารผ่อนคลายและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ปานตะวันไม่ได้นั่งกินข้าวกับครอบครัว ลึกๆ ในใจเขาอดรู้สึกอิจฉาราเมศไม่ได้ที่เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์พร้อมขนาดนี้ แต่ความอิจฉาก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อทุกคนหันมายิ้มให้และพูดคุยกับเขาด้วยท่าทางเป็นกันเอง ยอมรับเขาและหลานชายให้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้
ปานตะวันตระหนักได้ตอนนั้นว่าทุกคนบนโต๊ะอาหารนี้...นับเขาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกครอบครัวไปแล้ว
(มีต่อค่ะ)