ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 150477 ครั้ง)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #270 เมื่อ01-07-2017 20:56:45 »

       “แบบนั้นก็ได้...แต่...ไม่รู้สิ ไม่ท้าทายมั้ง” สีหน้าของปานตะวันคงดูงงมากจริงๆ ราเมศถึงได้ขยายความเพิ่มเติม “จริงอยู่ที่ว่าถ้ากลับมาทำงานเป็นพ่อครัวให้รีสอร์ตพี่ก็ไม่ต้องลำบากอะไร แต่มันไม่ท้าทายเท่าไหร่เลย เหมือนมีคนปูทางไว้ให้แล้ว พี่เลยไปฝึกงานตามโรงแรมแล้วก็ร้านอาหารอื่นๆ ก่อนจะมาเปิดกิจการเป็นของตัวเอง”
   
        “ชอบอะไรที่มันยากๆ ว่างั้น”
   
        “อืม อย่างน้อยก็อยากทำให้พ่อกับแม่เห็นว่าลูกชายคนโตของพวกเขายืนด้วยลำแข้งตัวเองได้”
   
       ปานตะวันเหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนรัก นิสัยของราเมศที่เขารู้จักอย่างหนึ่งคือรักความสมบูรณ์แบบและความท้าทาย การเปิดร้านอาหารด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองคงเป็นการพิสูจน์ให้พ่อกับแม่ของเขาเห็นว่าตัวเขาเองก็เริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ได้เหมือนกันไม่ใช่ต้องเดินตามอนาคตที่พ่อแม่ปูทางไว้ให้เพียงอย่างเดียว
   
        การได้เจอกับลูกค้ามากหน้าหลายตา การได้รับคำวิจารณ์ใหม่ๆ ทำให้ราเมศสนุก ตื่นเต้น และพัฒนาฝีมือตัวเองมากขึ้นแล้วก็มากขึ้นในทุกๆ วัน
   
      “พี่เมศทำได้นะแล้วก็ทำได้ดีด้วย” ปานตะวันยิ้มให้คนรัก “พ่อกับแม่ต้องภูมิใจในตัวพี่มากๆ แน่”
   
       เหมือนที่ตะวันภูมิใจที่มีคนรักแบบพี่
   
       เมื่อเข้ามาถึงในบ้านน้าเจิดก็ยกกระเป๋าสัมภาระหายขึ้นบันไดไป
   
       ภายในบ้านดูโปร่งสบายกว่าที่คิด พื้นปูด้วยไม้ปาร์เก้ ผนังเป็นสีครีม เฟอร์นิเจอร์เน้นโทนสีน้ำตาลดูอบอุ่น การตกแต่งภายในบ้านให้บรรยากาศบ่งบอกว่าเจ้าของมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว ปานตะวันเห็นรูปวาดมากมายบนผนัง ทั้งแบบดินสอ สีน้ำ และภาพถ่าย อีกทั้งรูปปั้นๆ แปลกๆ หลายชิ้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ริมผนัง
   
       “ภาพวาดกับงานปั้นพวกนั้นฝีมือแม่พี่”
   
        “สุดยอดเลย”
   
        ปานตะวันตาโตอ้าปากค้าง ระหว่างที่เขาชื่นชมกับงานศิลป์ภายในบ้านอยู่นั้นเองน้าเจิดก็ลงบันไดมาพร้อมกับรายงานว่า
   
        “ตอนนี้ทั้งคุณศิลปินแล้วก็คุณราตรีออกไปข้างนอกยังไม่กลับครับ”
   
        “งั้นเหรอ แล้วมิ้นต์ล่ะครับน้าเจิด”
   
        “คุณมิ้นต์อยู่ที่รีสอร์ตครับ ถ้ายังไงให้ผมไปบอกเธอไหมครับว่าคุณเมศมาถึงแล้ว”
   
        “ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวกลับถึงบ้านก็รู้เอง ถ้าเจิดไปพักเถอะครับ ขอบคุณมากสำหรับวันนี้”
   
         ปานตะวันส่งยิ้มพลางยกมือไหว้ขอบคุณน้าเจิดด้วย ชายวัยห้าสิบจึงโบกมือลาก่อนหายไปทำภารกิจอย่างอื่นต่อ
   
        “ตะวัน มานี่สิ พี่จะพาเดินดูรอบบ้าน”
   
         ราเมศจูงมือปานตะวันข้างนึงเจียหลินข้างนึงเดินเข้าห้องนู้นออกห้องนี้ จนกระทั่งมาถึงชั้นสอง ชายหนุ่มก็หยุดอยู่หน้าประตูไม้สีเข้มบานหนึ่ง
   
        “นี่ห้องนอนพี่เอง” ราเมศแนะนำแล้วจึงผลักประตูเข้าไป    
   
        ห้องของราเมศใหญ่...ใหญ่กว่าห้องที่บ้านที่กรุงเทพฯแน่ๆ ล่ะ ผนังห้องเป็นสีน้ำตาลถูกประดับด้วยรูปภาพเช่นเดียวกับที่ชั้นล่าง บนพื้นปูด้วยพรมสีอ่อนนุ่มนิ่ม ภายในถูกแบ่งเป็นสองโซนคือฝั่งที่เป็นเตียงนอน ซึ่งมีเตียงขนาดคิงไซส์หนึ่งหลังและตู้เสื้อผ้า ปานตะวันมองเห็นกระเป๋าเดินทางของพวกตนถูกวางรวมกันไว้ข้างเตียง กับฝั่งที่ไว้สำหรับดูโทรทัศน์ ทำงาน และนั่งพักผ่อน ทั้งสองฝั่งถูกกั้นด้วยชั้นหนังสือ ผ้าม่านสีฟ้าของมุมพักผ่อนถูกรูดเปิดไว้เผยให้เห็นประตูกระจกซึ่งนำไปสู่ระเบียงและทิวทัศน์ของขุนเขาอันสวยงาม
   
        “ชอบไหม”
   
        ปานตะวันพยักหน้ารัวเร็ว “ชอบครับ ที่นี่สวยมาก”
   
        “ดีแล้ว ถ้าชอบจะพามาบ่อยๆ”
   
        เมื่อได้ยินประโยคนี้คนตัวเล็กก็เผยสีหน้าหนักใจออกมา คนรักของเขาดูเชื่อมั่นเหลือเกินว่าครอบครัวของตนจะยอมรับเขาได้ในขณะที่ปานตะวันยิ่งเวลาผ่านความมั่นใจยิ่งลดน้อยลงทุกที
   
       “อย่ากังวลไปเลย” ราเมศลูบศรีษะทุยเบาๆ นัยน์ตาอ่อนโยนทำให้ปานตะวันหายใจคล่องขึ้น “แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอ”
   
       “ตะวันจะพยายามนะ”
   
       “นายทำได้อยู่แล้ว”
   
       ปานตะวันพยักหน้ารับแม้ใจจะยังกังวลอยู่ ราเมศเห็นดังนั้นเลยบอกให้เขาไปอาบน้ำอาบท่าสงบใจก่อนส่วนตัวเองก็นั่งรื้อของออกจากกระเป๋ารอไปพลางๆ ปานตะวันใช้เวลาอาบน้ำพลางสงบใจอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง เมื่อออกมาก็พบว่าคนรักจัดข้าวของจนเสร็จแล้วและเจ้าตัวกับหลานชายก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
   
       “มันมีห้องน้ำด้านนอกอีกห้องหนึ่ง” ราเมศอธิบายเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของปานตะวัน ชายหนุ่มผิวแทนในชุดเสื้อยืดคอกลมสีขาวและกางเกงผ้าฝ้ายขายาวสีดำตบฟูกตรงหน้าตัวเองเป็นเชิงเรียกให้ปานตะวันมานั่งซึ่งชายหนุ่มก็เดินไปหาอย่างว่าง่าย
   
       “เช็ดผมให้แห้งด้วยสิเดี๋ยวไม่สบาย” ว่าพลางลุกไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กออกมาเช็ดผมให้ปานตะวัน ราเมศใช้ผ้าซับหยดน้ำออกให้อย่างแผ่วเบา ทุกวันนี้เหมือนเขามีเด็กตัวเล็กให้เลี้ยงอยู่สองคนยังไงก็ไม่รู้ แต่ก็นั่นแหละ ใช่ว่าเขาจะไม่ชอบใจเสียเมื่อไหร่
   
       “หอม” เช็ดผมเสร็จคนตัวโตก็โยนผ้าไปไว้ข้างๆ แล้วกอดรั้งปานตะวันให้เขามาชิด จมูกโด่งซุกซนวนเวียนอยู่แถวซอกคอและผิวแก้ม ปากไวมือไวจนปานตะวันต้องหยิกแขนปราม
   
       “หลานอยู่”
   
      “น่า หนูเจียไม่เห็นหรอก”
   
       ตอนนี้หลานชายตัวเล็กนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ สองตาจ้องเป๋งไปที่การ์ตูนซุปเปอร์ฮีโร่เรื่องโปรดทำให้ไม่มีเวลามาสนใจคุณน้าสองคนบนเตียงเลยสักนิด
   
        “ยังไงก็ไม่ได้”
   
        ห้ามไปก็ไร้ประโยชน์เพราะนอกจากราเมศจะไม่ฟังแล้วเจ้าตัวยังทำท่าจะแกล้งแรงขึ้นด้วย โชคดีที่ฟ้าเห็นใจปานตะวันอยู่บ้างเพราะชายหนุ่มได้ยินเสียงเปิดปิดประตูและเสียงพูดคุยดังมาจากชั้นล่าง
   
       “เมศ อยู่หรือเปล่าลูก” เสียงคุณแม่ของพี่เมศเปรียบเหมือนเสียงระฆังช่วยชีวิตของปานตะวันเลยก็ว่าได้ ชายหนุ่มผมน้ำตาลสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของราเมศแล้วเผ่นไปอยู่อีกมุมห้อง สองมือรีบจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย ตอนนี้ปานตะวันทั้งตกใจและเขินอายไปพร้อมกัน
   
        “เมศ” เสียงเรียกชื่อพี่เมศดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องนอนที่เปิดออกทำให้ปานตะวันนึกขอบคุณสวรรค์ที่เขาออกห่างจากเตียงนอนได้ทัน
   
        ไม่อยากจะนึกเลยว่าถ้าเกิดคุณแม่ของพี่เมศเปิดประตูมาเจอลูกชายตัวเองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับผู้ชายอีกคนอยู่จะเกิดอะไรขึ้น
   
        “อ้าว เธอ” หญิงวัยสี่สิบปลายๆ ในชุดกระโปรงสีครีมมองปานตะวันอย่างแปลกใจ เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดปานตะวันจึงรีบแนะนำตัวเองทันที
   
       “สวัสดีครับ ผมชื่อปานตะวัน”
   
       เขาเห็นแววรู้จักวาบขึ้นมาในดวงตาของคุณแม่พี่เมศ อีกฝ่ายกวาดสายตามองเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะคลี่ยิ้มให้ “สวัสดีนะคะน้องตะวัน แม่ชื่อราตรีนะลูก ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
   
       คุณราตรีพูดเสียงหวาน เธอก้าวเข้ามาใกล้จนปานตะวันได้กลิ่นหอม...คล้ายกลิ่นดอกไม้กรุ่นกำจาย เส้นผมสีดำของคุณราตรียาวเหยียดตรงถึงบั้นเอว นัยน์ตาสีดำเช่นเดียวกับสีผมเป็นประกายสุกใสและโอบอ้อมอารี ผิวของเธอขาวจัดและดูนุ่มเนียนเช่นเดียวกับใบหน้าที่แลดูอ่อนกว่าวัย
   
        สวยแบบนุ่มนวล เป็นคำจำกัดความที่ปานตะวันให้คุณราตรีได้
   
       ต่างกับแม่ของเขาที่ความมั่นใจในตัวเองสูง กระฉับกระเฉงและว่องไว บรรยากาศรอบตัวคุณราตรีดูผ่อนคลายน่าเข้าหามากกว่า
   
       “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”
   
       รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้ ปานตะวันรู้สึกดีที่อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้ทำท่ารังเกียจเขาแม้จะรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใครก็ตาม
   
       “คุณแม่” ทันใดนั้นเองพี่เมศก็โผล่มา รอยยิ้มของหญิงผมดำจึงแย้มกว้างขึ้นไปอีก คุณราตรีตรงเข้าไปกอดลูกชายทันที
   
       “เมศ เป็นยังไงบ้างลูก สบายดีหรือเปล่า ไม่เจอหน้ากันตั้งนานแม่กับพ่อคิดถึงจะแย่แล้ว”
   
        “เมศสบายดีครับ” พี่เมศตอนแทนตัวเองด้วยชื่อดูน่ารักจนปานตะวันหลุดยิ้มออกมา ชายหนุ่มตัวโตคล้ายกับจะย้อนวัยไปเป็นเด็กชายตัวน้อยผู้ชอบออดอ้อนมารดาไม่มีผิด “คิดถึงแม่กับพ่อเหมือนกัน”
   
       ราเมศหอมแก้มซ้ายแก้มขวาคุณราตรีฟอดใหญ่ จากนั้นชายหนุ่มก็ถอยออกมายืนข้างปานตะวัน
   
       “แม่ครับ คนนี้ไงปานตะวัน แฟนเมศ”
   
       ปานตะวันใจกระตุก ราเมศคิดจะเปิดตัวกันก็เปิดตัวอย่างนี้เลยเหรอ ไม่ถามเขาหน่อยหรือไงว่าเตรียมใจพร้อมหรือยังน่ะ!
   
        “แหม ทักทายกันแล้วล่ะจ้ะ เป็นเด็กที่หน้าตาน่ารักดีนะ” คุณราตรียกมือทาบแก้มของปานตะวัน “ยินดีต้อนรับนะคะน้องตะวัน”
   
        “ข...ขอบคุณมากครับ”
   
        ปานตะวันพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นแต่ก็ล้มเหลว คนตรงหน้าเขาก็ดูจะรับรู้ได้เพราะอีกฝ่ายหัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ทำตัวตามสบายนะ จริงสิ แล้วเจียหลินอยู่ไหนเหรอคะ แม่อยากเห็นหลานจังเลย”
   
        “หนูเจียเหรอ อยู่นี่ไงครับ”
   
        ราเมศขยับตัวเล็กน้อยทำให้ราตรีเห็นเด็กน้อยแก้มยุ้ยตาโตที่หลบอยู่หลังลูกชายได้ ราตรีย่อตัวลงตรงหน้าหนูน้อย เจ้าตัวเงยหน้ามองน้าเมศทีน้าตะวันทีจากนั้นก็หันมายกมือไหว้เธอแล้วก็หลบวูบไปอยู่หลังลูกชายของเธอตามเดิม
   
        คงไม่ชินกับคนแปลกหน้าสินะ
   
        “เจียหลินใช่ไหมคะ ตายแล้ว น่ารักน่าหยิกจริงๆ เลย มานี่สิคะหนูน้อย มาหาคุณย่าราตรีเร็ว” พูดเองก็หัวเราะคิกเอง ราตรียื่นมือไปตรงหน้าเจียหลิน รออยู่ครู่ใหญ่กว่าเด็กน้อยจะยอมเดินต้วมเตี้ยมออกมาหาเธอ หญิงวัยกลางคนอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาแนบอก ความรู้สึกเอ็นดูล้นปรี่
   
        “น่ารักจริงๆ เลย ไหนเรียกคุณย่าสิคะ”
   
        หนูเจียกะพริบตาปริบๆ สองครั้ง เด็กชายเอียงคอเล็กน้อยแล้วก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงใสๆ ว่า “คุณย่า”
   
         “น่ารักกก”
   
         ราตรีเบียดแก้มตัวเองเข้ากับแก้มหนูน้อยทันที เธอไม่ได้เล่นกับเด็กน่ารักๆ แบบนี้มานานแล้ว ยอมรับล่ะว่าตั้งแต่ลูกชายลูกสาวโตแล้วก็ออกไปมีชีวิตของตัวเองเธอก็เหงามาก อยากมีเด็กเล็กๆ มาอ้อน มาวิ่งเล่น ให้กอด ให้หอมเหมือนวันเก่าๆ
   
          บางครั้งก็อดจินตนาการถึงหลานตัวน้อยๆ ของตนไม่ได้ น่าเสียดายที่ทั้งเมศและมิ้นต์ยังไม่มีใครแต่งงานเลยสักคน รักษาความโสดประหนึ่งรักษาทองคำราคาหลายล้านทั้งที่อายุอานามก็สมควรจะแต่งงานมีลูกได้แล้ว
   
         “น่ารักจริงๆ เลยหลานย่า”
   
         ดังนั้นเมื่อเห็นเจียหลินราตรีจึงดีใจและถูกชะตากับเด็กคนนี้ไม่น้อย หลานตัวเล็กๆ แบบนี้แหละที่เธอใฝ่ฝัน!
   
        “คุณแม่ครับ อย่ารัดหลานแน่นเกินไปสิครับ หนูเจียหายใจไม่ออกแล้ว”
   
        ราเมศรีบปรามผู้เป็นแม่ก่อนที่เธอจะรัดหลานชายเขาจนขาดอากาศตาย คุณแม่ของเขาเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อีกฝ่ายรักเด็กมาก เห็นเจ้าหนูตัวเล็กๆ เป็นไม่ได้ต้องตรงไปหยอกล้อ เขารู้ว่าแม่อยากให้มิ้นต์กับเขารีบๆ แต่งงานเพื่อจะมีหลานไว้อุ้มเล่น ราเมศที่ยังไม่พร้อมก็บ่ายเบี่ยงมาตลอดหลายปีจนมาวันนี้เขากลับมาบ้านเกิดพร้อมหลานชายวัยกำลังน่ารักอีกหนึ่งคน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแม่จะเห่อหนูเจียแค่ไหน
   
        “อ๊ะ ขอโทษนะคะลูก พอดีตื่นเต้นเกินไปหน่อย” ราตรีลุกขึ้นยืนโดยที่หนูเจียยังอยู่ในอ้อมแขนเธอ เด็กน้อยเองก็รู้ได้ว่าผู้หญิงที่มีกลิ่นหอมคนนี้ไม่อันตราย หนูเจียจึงไม่งอแงแต่ซบแก้มนิ่มๆ ลงที่บ่าราตรีแทน
   
       “หนูเจียหิวไหมคะ หิวไหมเอ่ยเด็กดี” หนูเจียพยักหน้าหงึก “หิวคับ”
   
        ได้ยินดังนั้นราตรีจึงพูดว่า “งั้นแม่พาหนูเจียลงไปหาอะไรกินก่อนนะลูก เมศพาน้องตะวันตามไปที่หลังแล้วกันนะคะ แต่อย่าช้านะ คุณพ่อรออยู่ข้างล่างแน่ะ” ว่าจบคุณแม่คนสวยก็เคลื่อนที่จากไปด้วยท่วงท่าเหมือนเต้นระบำ ท่าทางอารมณ์ดีมากถึงมากที่สุด
   
         ลับตาผู้เป็นมารดาราเมศถึงค่อยหันกลับมามองปานตะวัน
   
        “ตกใจไหม” เขาเขี่ยแก้มคนรักที่ดูจะยังอึ้งอยู่
   
        “ก็...นิดหน่อยครับ” อันที่จริงคือช็อกมากต่างหาก “คุณแม่พี่สวยมากเลยนะครับ” แถมยังสุภาพมากด้วย ลงท้ายด้วยคะขาเกือบทุกประโยคเลย
   
       “ใจดีมากด้วยนะ”
   
        “นั่นสินะครับ คุณแม่ดูไม่ตกใจเลยที่เห็นผม”
   
        “ท่านคงเตรียมใจมาบ้างแล้วล่ะ อย่าห่วงไปเลย ท่านชอบนายนะ”
   
        ปานตะวันมีสีหน้าลังเล ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจอะไรทั้งนั้น แม้คุณราตรีจะไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธแต่การเจอกันสั้นๆ แค่สิบห้านาทีก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเธอชอบเขาหรือไม่
   
         แล้วไหนจะพ่อกับน้องสาวของพี่เมศอีก
   
        “พี่เมศ พ่อพี่ดุไหม”
   
        “เดี๋ยวนายก็จะได้รู้เอง”
   
         ว่าพลางจูงมือปานตะวันลงไปชั้นล่าง คนเดินตามได้แต่ทำตาพองใส่เพราะคำตอบที่ให้มันไม่ช่วยไขข้อข้องใจอะไรเลยน่ะสิ!
   
        ราเมศพาปานตะวันไปที่ห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มพบคุณราตรีกำลังป้อนผลไม้ให้หนูเจียอยู่ หลานชายเขาก็ช่างเข้ากับคนง่ายเหลือเกิน เจอของกินมาล่อหน่อยก็สนิทกับเขาไปหมด แต่ในห้องไม่ได้มีแต่คุณราตรีกับเจียหลินเท่านั้น บนโซฟาสีม่วงเข้มปานตะวันยังเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กับหญิงสาวผมดำที่เขาจำได้ว่าเป็นน้องสาวของราเมศนั่งอยู่ด้วย
   
       เมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปในห้องทั้งคู่ก็หันขวับมาจ้องเขาทันที
   
        ปานตะวันตัวแข็งทื่อกับสายตาคมดุของคุณพ่อพี่เมศที่จ้องตรงมาที่เขา
   
        เหมือน...เหมือนมาก...รู้เลยว่าพี่เมศได้โครงหน้า แววตา และสีผิวมาจากใคร
   
        สำเนาถูกต้องชัดๆ
   
        คุณศิลปินเป็นชายร่างสูงใหญ่ที่มีโครงหน้าคมเข้มหล่อเหลา มองแวบเดียวก็รู้ว่าราเมศถอดแบบมาจากใครแต่ว่าผู้เป็นบิดานั้นดูขรึมและดุกว่า ปานตะวันคิดว่าถ้าพี่เมศของเขาอายุมากขึ้นหน้าตาก็คงจะเหมือนคุณศิลปินตอนนี้นี่แหละ
   
        “สวัสดีครับ” ปานตะวันยกมือไหว้อีกฝ่ายซึ่งรับไหว้ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
   
        “สวัสดี”
   
        ขนาดเสียงยังดุเหมือนกันเลย!
   
         “พ่อ มิ้นต์ นี่แฟนผมปานตะวัน ตะวันนั่นพ่อพี่ ส่วนนั่นมิ้นต์น้องสาว”
   
        “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
   
       “เช่นกัน”
   
        คุณศิลปินตอบเรียบๆ ขณะที่มิ้นต์โบกไม้โบกมือให้ปานตะวัน “ฉันเป็นน้องพี่เมศก็จริงแต่น่าจะอายุมากกว่าเธอนะ เรียกฉันว่าพี่มิ้นต์ก็ได้”
   
        “ครับพี่มิ้นต์”
   
       “ว่าง่ายน่ารักดี ไม่เห็นเหมือนที่พี่เมศบอกเลยนี่นา”
   
        ก็คันปากอยากหันไปถามอยู่นะว่าเอาเขาไปเผาอะไรบ้างแต่ตอนนี้ปานตะวันคิดว่าการอยู่นิ่งๆ คงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
   
        ราเมศเลิกคิ้ว โยกหัวปานตะวันเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “ตอนนี้ยังไม่คุ้นที่เลยยังนิ่งอยู่ ลองสนิทสิจะได้รู้ว่าแสบใช่เล่น”
   
        ไม่จริงสักหน่อย พี่เมศใส่ร้าย!

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #271 เมื่อ01-07-2017 21:14:03 »

        ปานตะวันฟาดฟันอีกฝ่ายผ่านสายตาแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อคุณศิลปินเอ่ยขึ้นว่า “แล้วสองคนนั้นจะยืนอยู่อีกนานไหม มานั่งสิ”
   
        ชายหนุ่มเงยหน้ามองราเมศเป็นเชิงขอกำลังใจ คนรักพยักหน้าให้พลางแตะหลังเขาเป็นเชิงว่าให้เดินไป
   
       ปานตะวันเดินแบบประหม่าไปที่โซฟา ตอนแรกเขาเลือกนั่งที่โซฟาเดี่ยวตัวเล็กแต่คุณพ่อพี่เมศกลับขัดว่า “ยัยมิ้นต์สลับที่กับตะวันสิ เธอน่ะ มานั่งข้างฉันนี่”
   
       ตาย...ตายแน่ๆ ไอ้ตะวันขอแกล้งตายก่อนเลยได้ไหม
   
        ปานตะวันอยากจะร้องไห้ซะจริงๆ ชายหนุ่มนั่งหมิ่นๆ ลงที่โซฟา พยายามรักษาระยะห่างระหว่างประมุกของบ้านไว้แต่อีกฝ่ายกับดุเสียงเข้ม “เข้ามาใกล้ๆ ฉันไม่กัดหรอกน่า”
   
        “ข...ขอโทษครับ”
   
        “หึ”
   
        ปานตะวันก้มหน้างุด รู้สึกกดดันจนมือไม้สั่น
   
         “ลองดื่มนี่สิ น้ำส้มคั้นสดๆ เธอจะได้สดชื่นขึ้น”
   
        “ขอบคุณครับ”
   
        ปานตะวันก้มหน้าก้มตาตอบ เขาหยิบแก้วใส่น้ำส้มตรงหน้าขึ้นมาแต่อนิจจาด้วยความประหม่าทำให้มือไม้พลันอ่อนแรงและเงอะงะ แทนที่จะหยิบแก้วกลายเป็นปัดแก้วจนล้มกลิ้งแทน น้ำส้มในแก้วจึงหกเลอะโต๊ะกระจกใสไปหมด
   
        “ขอโทษครับ ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ”
   
        ปานตะวันลนลาน แถวนั้นไม่มีผ้าเช็ดโต๊ะหรือทิชชู่เลย ตอนนั้นเองที่คุณศิลปินลุกไปหยิบผ้ามาเช็ดโต๊ะให้ พอเช็ดเสร็จก็เดินเอาไปเก็บให้อีกต่างหาก
   
        “ผม...” ปานตะวันกัดริมฝีปาก เสียกำลังใจไปมากกว่าครึ่ง ทันใดนั้นคุณศิลปินก็วางมือลงที่ศีรษะเขาแล้วขยี้ผมปานตะวันเบาๆ
   
        “ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นก็ได้ ฉันขอโทษนะที่ทำให้เธอตกใจ ปกติหน้ากับเสียงฉันก็ดุแบบนี้แหละแต่ฉันไม่ได้มีเจตนาอะไรนะ ใจเย็นๆ ก่อน”
   
        ปานตะวันเงยหน้าขึ้นทันเห็นรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นมาพอดี
   
        “เมศ มิ้นต์ ไปเอาน้ำส้มแก้วใหม่มาให้ตะวันทีสิ”
   
         ประโยคนั้นเป็นการบอกใบ้กลายๆ ว่าให้ทั้งคู่ปลีกตัวออกไปจากวงสนทนา ปานตะวันแอบส่ายหน้าพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้ราเมศแต่คนของเขากลับเดินล้วงกระเป๋าออกจากห้องไปอย่างสบายอกสบายใจ แถมพาหนูเจียไปด้วยอีก มันน่านัก!
   
        “รอหน่อยนะ ฉันอยากให้เธอลองชิมน้ำส้มคั้นสูตรของบ้านเรา อร่อยมากเลยล่ะฉันรับรอง” หนุ่มใหญ่พูดพลางกดรีโมตเปลี่ยนช่องทีวีไปด้วย
   
        ตอนแรกปานตะวันนึกว่าเขาจะเจอการสอบสวนที่ทำให้หายใจไม่ออกแต่คุณศิลปินและคุณราตรีกลับไม่พูดอะไรนอกจากนั่งดูหนังด้วยกันแล้วก็ชวนคุยเรื่องเนื้อหาในหนังทำให้ปานตะวันที่เกร็งจนนั่งแทบไม่ติดผ่อนคลายลงช้าๆ
   
        “พระเอกนี่มันโง่จริงๆ ไปปฏิเสธคนร้ายหัวชนฝาแบบนั้นเป็นในชีวิตจริงนะมันฆ่าทิ้งไปแล้ว แล้วนั่น ไอ้หมอนั่นมันจะขี้พล่ามไปถึงไหน แบบนี้ไงพวกพระเอกมันถึงมาช่วยทัน”
   
        “นั่นสินะครับ! โอ๊ย อะไรเนี่ย ถูกลูกไม้ตื้นๆ แบบนั้นหลอกได้ไง พระเอกแท้ๆ นะ”
   
        ไม่รู้เมื่อไหร่ที่คุณพ่อพี่เมศกับเขาเริ่มพูดจาถูกคอกัน เข้าขากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยส่วนคุณราตรีก็นั่งมองยิ้มๆ โดยไม่พูดอะไร
   
         พอหนังตัดเข้าโฆษณาคุณศิลปินก็หันมาหาตะวันแล้วพูดว่า “อืม แบบนี้ค่อยเหมือนปานตะวันที่เจ้าเมศมันเล่าให้ฟังหน่อย”
   
        “งั้นเหรอครับ” สรุปแล้วไอ้พี่เมศไปเล่าว่าเขาเป็นคนยังไงกันล่ะเนี่ย
   
       “ใช่ มันเล่าว่าเธอพูดเก่ง เถียงเก่ง ดื้อ ซน น่ารัก อะไรไม่รู้อีกสารพัดของมัน” พอได้ฟังจากปากคนอื่นแบบนี้แก้มของปานตะวันก็ร้อนขึ้นมาดื้อๆ เรียกสายตาเอ็นดูแกมขบขันจากผู้ใหญ่ทั้งสองได้เป็นอย่างดี
   
        “อ้อ มันเล่าว่าขี้เขินด้วย” คุณศิลปินยิ้มมุมปาก “ก็จริงของมันแฮะ”
   
        “แหะๆ”
   
        “แล้วเป็นไงบ้างล่ะ อยู่กรุงเทพฯเมศเป็นยังไงบ้าง ร้านอาหารมันไปได้ดีใช่ไหม”
   
        “ไปได้ดีมากเลยครับ พี่เมศทำอาหารอร่อยมากลูกค้าประจำก็เยอะมากด้วย แต่ละวันคนแน่นร้านสุดๆ”
   
        “เมศเล่าว่าเธอไปเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านมัน เจอกันตอนทำงานหรือ?”
   
        “เปล่าครับ เราเจอกันก่อนหน้านั้น” แล้วปานตะวันก็เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่เจอราเมศครั้งแรก เรื่องราวเกี่ยวกับเขา หนูเจียไปจนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่พบเจอร่วมกันมา
   
        พอเล่าจบคุณศิลปินและคุณราตรีก็สบตากันแวบหนึ่ง ผู้ใหญ่ทั้งคู่มีสีหน้าครุ่นคิดจนกระทั่งคุณราตรีพูดว่า
   
        “ตะวันอย่าโกรธนะคะลูกถ้าแม่อยากพูดว่าจริงๆ แล้วแม่กับพ่อเห็นด้วยกับคำพูดและวิธีการของแม่ตะวัน”
   
       “ผมไม่โกรธหรอกครับ” ปานตะวันคลี่ยิ้มจางๆ “นั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุด” แต่มันไม่ใช่ทางที่เขาจะเลือกเท่านั้นเอง
   
        “แล้วทำไมเธอถึงไม่เลือกทางออกที่ดีที่สุดล่ะ” คราวนี้พ่อพี่เมศถามขึ้นบ้าง นัยน์ตาคมกริบของอีกฝ่ายดูคล้ายราเมศตอนกำลังสอบสวนความผิดเขาเอามากๆ
   
        “เพราะถ้าเลือกทางนั้นผมจะไม่ได้อยู่กับหนูเจียและพี่เมศ”
   
        “เธอก็เลยเลือกทางที่ลำบากเพียงเพื่อจะได้อยู่กับสองคนนั้น?”
   
        “ครับ”
   
        “เธอจะทำสำเร็จใช่ไหม ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องหลาน จะช่วยแบ่งเบาภาระให้เมศได้ใช่ไหม ไม่ใช่ไปเพิ่มความลำบากในชีวิตให้กับลูกชายฉันใช่หรือเปล่า”
   
        คำถามนั้นตรงไปตรงมาและแทงลงกลางใจปานตะวันอย่างจัง แต่ชายหนุ่มก็ยังคงไม่หวั่นไหว เขาสบตาผู้ใหญ่ทั้งสองท่านด้วยสีหน้าจริงจัง
   
       “ผมจะพิสูจน์ให้เห็นครับ ผมจะทำ และต้องสำเร็จแน่นอน”
   
       พ่อของพี่เมศมองปานตะวันราวกับจะประเมินอยู่ครู่ใหญ่ซึ่งปานตะวันก็ไม่ได้หลบสายตา พวกเขาจ้องตาวัดใจกันจนกระทั่งคนอาวุโสกว่ายิ้มออกมา
   
       “ดี ฉันชอบเด็กแบบเธอนี่ล่ะ พูดแล้วก็ทำให้ได้ล่ะ ฉันจะรอดู”
   
       “ขอบคุณมากๆ ครับ”
   
        ชายวัยกลางคนทิ้งตัวลงพิงพนักโซฟา สองตาจับจ้องที่หนังในโทรทัศน์แต่ปานตะวันรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่
   
        “เธอรู้ไหม” จู่ๆ คุณศิลปินก็ทำลายความเงียบขึ้นมา ปานตะวันที่เหม่อลอยอยู่ถึงกับสะดุ้ง
   
        “ใจจริงฉันก็อยากให้ราเมศแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ ไม่ต้องร่ำรวยก็ได้แต่ต้องเป็นคนดี ขยัน อดทนและฉลาด ฉันอยากให้ลูกชายมีคู่ชีวิตที่ดี มีลูกตัวเล็กๆ ที่น่ารัก” ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจออกมา “แต่ในเมื่อเขาเลือกเธอและเธอเป็นความสุขของเขาฉันก็จะไม่คัดค้าน แต่ใช่ว่าฉันจะยอมรับเธอร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ เธอต้องพิสูจน์ให้ฉันเห็นก่อนว่าเธอจะเป็นคนดี ขยัน อดทน ฉลาดและสามารถจับมือลูกชายฉันก้าวผ่านอุปสรรคหลายๆ อย่างได้ พิสูจน์ให้ฉันเห็นนะปานตะวันว่าเมศเลือกคนไม่ผิด”
   
        ปานตะวันรู้สึกเหมือนมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ในลำคอ เขาพยักหน้า “ผมสัญญาครับ ผมจะทำให้พวกคุณเห็นให้ได้”
   
        ฝ่ามืออบอุ่นวางลงบนหัวเขา ลูบเบาๆ สองสามทีพร้อมกับที่เสียงทุ้มกล่าวขึ้นว่า
   
        “ดีมาก”
   
       หลังจากนั้นบทสนทนาก็เปลี่ยนไป บรรยากาศดูผ่อนคลายกว่าที่เคย ราเมศกับมิ้นต์และหนูเจียกลับมาหลังจากนั้นไม่นาน ชายหนุ่มผมดำสังเกตว่าพ่อกับแม่ของเขาดูเป็นกันเองกับปานตะวันมากขึ้น แฟนเขาเองก็ไม่ได้เกร็งเหมือนตอนแรกอีกแล้ว ระยะห่างลดน้อยลงจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
   
       เมื่อถึงช่วงมื้อค่ำคุณราตรีก็ขอเข้าครัวเพื่อแสดงฝีมือทำอาหารต้อนรับเด็กๆ ปานตะวันถูกดึงไปเป็นลูกมือส่วนราเมศก็ถูกทิ้งให้นั่งเชียร์แบดมินตันเป็นเพื่อนคุณศิลปินที่ห้องนั่งเล่น   
   
       “ตะวันคะ ดูนี่นะลูก เดี๋ยวแม่จะให้ดูอะไร” คุณราตรีหยิบสมุดสีชมพูเล่มบางออกมา ภายในคือเมนูอาหารและวิธีทำซึ่งเขียนด้วยมีเป็นระเบียบเรียบร้อย
   
       “เมนูโปรดของเมศกับมิ้นต์ค่ะ วันนี้แม่จะทำกับข้าวที่ทั้งสองคนนั้นชอบทั้งหมดเลย เลยอยากให้ตะวันมาดูไว้ จะได้เอากลับไปทำให้เมศกิน”
   
       “เอ๊ะ เอ่อ ได้ครับคุณราตรี”
   
       “เรียกแม่เถอะจ้ะถ้าตะวันไม่ลำบากใจ”
   
       ชายหนุ่มผมน้ำตาลมองคุณราตรีด้วยแววตาแปลกใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่นสุดท้ายปานตะวันก็หลุดปากถามออกไป
   
       “คุณราตรียอมรับผมแล้วเหรอครับ”
   
        มือที่กำลังหั่นมะเขือเทศอยู่พลันชะงักก่อนที่ร่างบอบบางข้างกายจะผลิรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้ “แล้วมีเหตุผลอะไรให้ไม่ยอมรับล่ะคะ”
   
      “ก็คุณศิลปินบอกว่า...”
   
       “คุณพ่อก็ส่วนคุณพ่อสิ แม่ชอบตะวันเพราะตะวันทำให้เมศมีความสุข สำหรับแม่แล้วจะเป็นใครก็ได้ ขอแค่เป็นคนดีและรักเมศก็พอ”
   
       “คุณราตรี...ไม่คิดว่าผมไม่เอาไหนเหรอครับ เรียนก็ไม่จบ ไหนจะต้องเลี้ยงหลาน ทำงานไปด้วยอีก มีแต่เป็ฯภาระ”
   
       “แต่ตะวันก็พยายามอยู่ไม่ใช่เหรอคะลูก ตะวันกำลังเรียนให้จบ กำลังทำงานเพื่ออนาคตของหลาน เมศเล่าให้แม่ฟังเรื่องที่มีคนมาว่าเรากับหลานแล้วนะ ตะวันแก้ปัญหาได้ดีเลยนะคะ การไม่นิ่งเฉยของตะวันแสดงให้เห็นว่าตะวันพร้อมจะดูแลหนูเจียเสมอ ทัศนคติของตะวันแสดงให้เห็นว่าตะวันกำลังเติบโต เรียนรู้และพัฒนา นั่นคือสิ่งที่ดีมากนะ แม่คิดว่าทุกคนทำผิดพลาดกันได้ ทุกคนมีโอกาสอยู่ในมือเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มันอย่างไร และตอนนี้ตะวันก็กำลังใช้โอกาสที่สองในมืออย่างคุ้มค่ามากที่สุด”
   
        ปลายนิ้วเรียวเช็ดน้ำตาที่ร่วงหล่นโดยไม่รู้ตัวของปานตะวันให้อย่างนุ่มนวล
   
        “พยายามมากขนาดนี้ เก่งมากเลยนะคะ”
   
         เก่งมาก...อย่างนั้นเหรอ
   
         ดีใจจังที่มีคนเอ่ยปากชมแบบนี้ แม้เป็นคำชมเล็กๆ น้อยๆ แต่เขาก็...มีความสุข...มากเลย
   
         “ฮึก...ขอบคุณ...มากๆ นะครับ”
   
         ปานตะวันพยายามกลั้นสะอื้นแต่ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งไหล
   
         ขอบคุณที่ยอมรับเขา ขอบคุณที่ให้โอกาส ขอบคุณ...ที่มองเห็นว่าเขาพยายามมากขนาดไหน
   
         มือบางวางทาบลงบนหลังมือของปานตะวัน “แม่ก็ต้องขอบคุณตะวันที่อยู่ข้างๆ เมศนะคะ แล้วก็ต่อจากนี้ฝากดูแลพี่เขาด้วยนะลูก”
   
         ปานตะวันเช็ดน้ำตาออกแล้วก้มลงกอดร่างแบบบางของคุณราตรีเอาไว้ซึ่งเธอก็กางแขนกอดเขาตอบ อ้อมกอดนั้นอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
   
        “ได้ครับ ตะวันจะไม่ทำให้คุณแม่ผิดหวัง ตะวันสัญญา”
   
        มื้อค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างราบรื่นและมีความสุข หนูเจียกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของทุกคนและเด็กน้อยเองก็ดูเปรมปรีมากที่มีคนคอยตักอาหารและขนมให้ตลอด แต่กระนั้นเมื่อตะวันบอกให้พอหนูเจียก็พอ ไม่มีงอแงอิดออดแต่ประการใด
   
        และตอนที่ท่านข้าวนั้นเองราเมศถึงได้รู้ว่าปานตะวันน่ะประจบคนแก่เก่งขนาดไหน คอยชวนคุย ตักนู่นตักนี่ให้ ไม่นานคุณแม่ของเขาก็ยกอีกฝ่ายขึ้นแท่นลูกรักไปเรียบร้อยส่วนคุณพ่อแม้จะไม่พูดอะไรมากแต่แววตาก็แสดงออกถึงความพออกพอใจ อ๊ะ แต่เขาไม่ได้อิจฉาอะไรหนอกนะ ราเมศออกจะดีใจมากด้วยซ้ำที่ปานตะวันเข้ากับครอบครัวเขาได้ดีขนาดนี้
   
        ทานอาหารเสร็จตะวันก็อาสาทำหน้าที่ล้างจาน ตอนที่เขายกชามไปวางลงในอ่างพี่มิ้นต์ก็ตามเข้ามาช่วย ปานตะวันรู้ได้ทันทีว่าเธอมีเรื่องจะพูดกับเขา แล้วก็จริงตามที่คิด
   
        “พี่เมศน่ะดุใช่ไหมล่ะ เข้มงวดสุดๆ ไปเลยสินะ”
   
        “ก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ” ปานตะวันส่งชามให้หญิงสาวรับไปเช็ดให้แห้งก่อนเก็บลงตะกร้า มิ้นต์กลอกตาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องตอบเอาใจหรอก ฉันรู้จักพี่ชายฉันดี ดุขนาดไหนฉันก็โดนมาหมดแล้ว”
   
        “เอ่อ...นั่นสินะครับ”
   
        “ดังนั้นช่วยอดทนกับเขาหน่อยนะ” หญิงสาววางชามลงในที่เก็บชามแล้วจึงหันมาจ้องปานตะวันด้วยสีหน้าจริงจัง อย่างนี้เองสินะ เธอไม่ได้มาพูดคุยธรรมดา...แต่มาขอร้อง
   
        “ถึงเขาจะดุ จะเข้มงวดแต่เป็นเพราะเขาหวังดีแล้วก็รักเธอนะ ดังนั้นได้โปรดอดทนกับเขาให้มาก อย่าทิ้งพี่ชายฉันไปกลางคันเลยนะ ฉันรู้ได้ว่าเขารักเธอมากจริงๆ”
   
       “ทำไมถึงรู้ล่ะครับ”
   
        “เพราะฉันไม่เคยเห็นเขามองใครด้วยสายตาแบบนี้มานานแล้ว สายตาแบบ...ทั้งหวง ทั้งห่วง ทั้งอ่อนโยนแบบนี้น่ะ เธอเป็นคนที่ใช่สำหรับเขาจริงๆ นะ”
   
        “ง...งั้นเหรอครับ”
   
         ปานตะวันกลั้นยิ้มแต่มันก็ห้ามยากเหลือเกิน พี่มิ้นต์เองก็รู้ทันเธอจึงส่งยิ้มซุกซนมาให้ ปานตะวันค้นพบว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย เธอใจดี เข้าหาง่ายแล้วก็เป็นกันเองมากๆ
   
        “จริงสิพี่มิ้นต์ ตะวันสงสัยจังว่าทำไมทุกคนถึงได้ดูยอมรับที่พี่เมศชอบผู้ชายได้ง่ายจัง” ปานตะวันถามสิ่งที่ตัวเองติดใจสงสัยอยู่ออกไปในที่สุด มิ้นต์เอียงคอเล็กน้อยแล้วก็ตอบว่า
   
        “ความชอบของพี่เมศน่ะ เราทั้งหมดรู้มาตั้งแต่สมัยม.ต้นแล้ว เขามีคนคุยทั้งหญิงทั้งชายนั่นแหละแต่ว่าถ้าคบเป็นแฟนจะมีแค่กับผู้หญิง ผู้ชายคุยกันได้แป็บเดียวก็หาย นานสุดก็สักสองสามเดือน แต่ก็แค่คนคุย พี่เมศคงกลัวที่บ้านไม่ยอมรับด้วยแหละ แฟนที่พามาเปิดตัวที่บ้านเลยมีแต่ผู้หญิง นี่มีตะวันเป็นผู้ชายคนแรกเลยนะ ดีใจล่ะสิ แน่ะ ยิ้มกว้างใหญ่เลยหนูน้อย”
   
         “บ้า ใครยิ้มอะไรกัน พี่มิ้นต์อย่าจิ้มแก้มผมสิ”
   
         “ฮ่าๆ”
   
         ปานตะวันหลบมิ้นต์ไปล้างจานไปจนเสร็จแต่เพราะโดนแกล้งเลยกินเวลานานโข พอกลับมาที่ห้องนั่งเล่นก็เจอแค่คุณศิลปิน คุณราตรีและหนูเจียที่หลับซบคาตักคุณราตรีไปแล้ว ส่วนพี่เมศหายไปไหนก็รู้
   
      “เมศขึ้นห้องไปแล้ว เธอก็ตามไปสิ ส่วนหลานเดี๋ยวอุ้มไปส่งให้” คุณพ่อพูดขึ้น ปานตะวันจึงรับคำแล้วเดินขึ้นไปที่ห้องนอน
   
        “พี่เมศ”
   
       ชายหนุ่มเรียกหาคนรัก นึกแปลกใจที่ห้องไฟเปิดอยู่แต่ไร้เงาเจ้าของห้อง ปานตะวันยืนงงอยู่จนกระทั่งรู้สึกได้ว่ามีใครบางคนมาสะกิดจากด้านหลัง ทันทีที่หันกลับไปสิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือสีสันอันหลากหลายของทิวลิปช่อโตในมือคนรัก
   
        “นี่มันอะไรครับเนี่ย” ปานตะวันรับดอกไม้ที่ถูกห่อในกระดาษสีชมพูแล้วผูกริบบิ้นอย่างดีมาไว้ในอ้อมกอด “เนื่องในโอกาสอะไรครับ”
   
         “ต้อนรับลูกชายคนใหม่ของบ้าน”
   
        ราเมศพูดขำๆ สืบเท้ามาจนชิดร่างเล็กที่กำลังมองดอกไม้ในมือด้วยดวงตาเป็นประกาย เขาเขี่ยแก้มเจ้าตัวเล็กเบาๆ
   
        “รู้ความหมายของมันไหม”
   
        “ทิวลิปเหรอครับ ไม่รู้นะ ตะวันไม่เคยอ่านพวกภาษาดอกไม้อะไรแบบนี้หรอก”
   
         “งั้นเดี๋ยวพี่บอกให้” ราเมศแตะปลายนิ้วลงที่กลีบบอบบางของดอกไม้ขณะที่จ้องปานตะวันด้วยแววตาลึกซึ้งเปี่ยมความหมาย
   
        “ทิวลิปแดง หมายถึง มั่นคงในความรัก จริงจัง ซื่อสัตย์และรักหมดหัวใจ”
   
         “ทิวลิปสีชมพู หมายถึง ความรักที่ลึกซึ้ง ความสุขสมหวัง”
   
          “ทิวลิปสีขาว หมายถึง เสียสละทุกอย่างได้เพื่อคุณ เป็นรักที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน”
   
          “ทิวลิปสีม่วง หมายถึง ความซื่อสัตย์”

   
         “ดอกไม้พวกนี้แทนความรู้สึกของพี่ แทนสิ่งที่พี่อยากจะบอกกับตะวันมาตลอด ยกให้นะ ยกให้ทั้งหมดเลย ดูแลมันดีๆ ได้ไหมครับ เหมือนที่ตะวันทำมาตลอด...จากนี้และตลอดไป”
   
         ปานตะวันกระชับดอกไม้ในอ้อมกอดแน่น ใบหน้าเห่อแดงไปหมด สิ่งที่ราเมศพูดออกมาทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนรถไฟเหาะตีลังกา อีกฝ่ายจับเขาเหวี่ยง...หลุดออกไปนอกโลก ไปอยู่ในวงโคจรที่ไม่รู้จัก ความรู้สึกเหมือนกำลังล่องลอยในฝัน
   
         “ปานตะวัน” ราเมศชอบเรียกชื่อของคนรัก ปานตะวัน ดุจดวงอาทิตย์ อบอุ่น สดใส ตะวันที่ฉายแสงให้เขาแต่เพียงผู้เดียว ราเมศแนบแก้มลงกับแก้มของตะวันซึ่งเด็กน้อยของเขาก็ยินยอม
   
        “ชอบจังเวลาพี่ทำแบบนี้” ปานตะวันกระซิบ ชอบเวลาราเมศเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ชอบจูบหวานเหมือนหยาดน้ำผึ้งแบบนี้ ชอบตอนถูกกอดอยู่ในอ้อมอกกว้างที่ทำให้รู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง
   
        “ตะวันจะดูแลให้อย่างดีเลย ทั้งดอกไม้ ทั้งความรู้สึกของพี่”
   
        เขากางแขนกอดตอบราเมศ ซุกจมูกลงกับไหล่กว้าง อิงแอบอยู่กับสถานที่พักพิงที่อบอุ่นและสงบสุขที่สุดในโลก ดื่มด่ำกับช่วงเวลาต้องมนต์ในคืนจันทร์ฉายนี้
   
       “ตะวันก็รักคุณเหมือนกันนะ”
   
       “ปานตะวัน”
   
       “ครับ”
   
       “ยินดีต้อนรับสู่ครอบครัว”

*************************************************************

จบไปแล้วอีกหนึ่งตอนนนน ในที่สุดปานตะวันก็ได้มาพบครอบครัวพี่เมศแล้วค่า
คุณพ่อ คุณแม่และพี่มิ้นต์เข้าใจพี่เมศค่ะ ค่อนข้างหัวสมัยใหม่ด้วย ลูกชายรักใครก็รักด้วยประมาณนี้
แต่ว่าทุกคนก็ยังรอให้ปานตะวันพิสูจน์ตัวเองอยู่นะคะ ยอมรับแต่ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ทำนองนี้ค่ะ
โดยส่วนตัวแล้วเราชอบคุณราตรีมากเลยค่ะ นอกจากคนในครอบครัวแล้วก็มีแต่คุณราตรีนี่แหละที่บอกว่าปานตะวันเก่งมาก
ปานตะวันที่พยายามแทบตายเพื่อเติบโต ปานตะวันที่พยายามเรียนให้จบ ทำงานเก็บเงินไว้ให้หลาน
สำหรับคนภายนอกอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันเป็นก้าวใหญ่สำหรับปานตะวันมากเลยค่ะ
เด็กดีก็ต้องได้รับคำชมให้ก้าวต่อไปได้เนอะ!

ตอนนี้พี่เมศก็ยังหวานเหมือนเดิม เราชอบคำว่ายินดีต้อนรับสู่ครอบครัวของพี่เมศมากกกก  :man1:
หวานขึ้นเรื่อยๆ ทุกตอน แล้วตอนหน้าจะหวานขนาดไหนน้าาาาา
มาติดตามกันนะคะ  :mew1: ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ

ปล. ติดตามข่าวสารและเม้าท์มอยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1937
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #272 เมื่อ01-07-2017 21:26:57 »

ขอบคุณค่ะ  ครอบครัวพี่เมศอบอุ่นมากกกก

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #273 เมื่อ01-07-2017 21:42:14 »

 :L2: :pig4: :L1:

ออฟไลน์ Ouizzz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 640
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #274 เมื่อ01-07-2017 22:09:11 »

ครอบครัวราเมศกับหนูเจียคือความสุขขอวตะวัน  :mew1:

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #275 เมื่อ01-07-2017 22:22:56 »

 :กอด1: :pig4:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #276 เมื่อ01-07-2017 22:40:25 »

 :o8: :-[ :o8:

ออฟไลน์ darling

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1741
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-7
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #277 เมื่อ01-07-2017 22:57:58 »

้สู้ต่อไปหนูตะวัน  :กอด1:

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4982
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #278 เมื่อ02-07-2017 01:36:40 »

 :L2: :L2: :L2: :L2:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #279 เมื่อ02-07-2017 01:45:03 »

 :man1:

 :3123: :pig4: :3123:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
« ตอบ #279 เมื่อ: 02-07-2017 01:45:03 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #280 เมื่อ02-07-2017 10:20:41 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #281 เมื่อ02-07-2017 11:04:43 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #282 เมื่อ02-07-2017 11:28:40 »

ต่อไปนี้ก็คงมีแต่ความสุขแล้วสินะ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #283 เมื่อ02-07-2017 15:27:09 »

ผ่านไปอีกหนึ่งด่าน
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #284 เมื่อ02-07-2017 15:51:41 »

แฮบปี้ ๆๆๆๆ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #285 เมื่อ02-07-2017 19:37:22 »

น่ารักมาเลยค่ะ หวานมาก แหววมาก ฟินดีดดิ้น กรีดร้อง

ปานตะวันน่ารัก น้องรู้จักรอ ใจเย็นขึ้น โตขึ้น พยายาม และเข้าใจคนอื่น ดูแลดี คือดีค่ะ

ราเมศรู้ตัวนะว่า น้องเคือง เลยต้องรีบมา ก็ยังดีค่ะ ต้องรีบคุยเนาะ ก่อนจะคิดมากไปกว่านี้
แถมยังพาไปเปิดตัวกับที่บ้านอีก ตะวันได้ใจไปเยอะแล้วนะ พยายามต่อไปนะคะ
มาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพี่แล้วนะคะ

หนูเจียน่าฟัดจริง มีความสงสัยน้าตะวัน แต่ก็ยังเด็กน้อยอะเนาะ มีความเขินอาย ฉลาด แถมไม่งอแงมาก เด็กดี

ออฟไลน์ ShadeoftheMoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #286 เมื่อ02-07-2017 22:40:31 »

ปานตะวันค่อยๆ เติบโตทีละน้อย รูู้สึกภูมิใจในความพยายามของตะวันจริงๆ

ออฟไลน์ stickyyrice

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1509
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-5
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #287 เมื่อ02-07-2017 23:12:01 »

มดไต่ไอแพด หวานเกิ๊นนนน

ออฟไลน์ Piima

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 660
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #288 เมื่อ02-07-2017 23:48:59 »

อบอุ่นจัง

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3731
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #289 เมื่อ03-07-2017 10:36:28 »

 :mew1: :mew1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
« ตอบ #289 เมื่อ: 03-07-2017 10:36:28 »





ออฟไลน์ nottto

  • MaxNuzz
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #290 เมื่อ03-07-2017 12:23:33 »

นั้ลล้ากก รอนะครับ

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #291 เมื่อ03-07-2017 14:22:08 »

ดูอบอุ่นมากๆ ต่อจากนี้หวังว่าไม่มีเรื่องไรแล้วนะ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #292 เมื่อ03-07-2017 18:31:37 »

คงไม่มีดราม่าอะไรเนอะ  :hao4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8891
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80
Re: ปานตะวัน ▪☀▫ บทที่๒๐ Tulips (๑/๗/๖๐)
«ตอบ #293 เมื่อ03-07-2017 22:09:04 »

 :pig4:

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๒๑
Midnight


         สองวันสุดท้ายก่อนสิ้นปี ครอบครัวของปานตะวันหมดเวลาไปกับการท่องเที่ยวแบบเต็มสูบ ดูเหมือนราเมศจะไม่ได้ล้อเล่นเรื่องที่ว่าจะพาเที่ยวจนหมดแรงกันไปข้างหนึ่งเพราะหลังจากวันแรกที่มาถึงรีสอร์ตปานตะวันกับหนูเจียก็ไม่มีโอกาสได้นอนเล่นอยู่ที่บ้านอีกเลย
   
         ราเมศรับหน้าที่เป็นทั้งสารถี ไกด์นำเที่ยว ตากล้อง คนถือของ คนอุ้มหลานและสารพัดอย่างแล้วแต่ปานตะวันจะไหว้วานแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้บ่น กลับกันเขาดูมีความสุขดีเสียด้วยซ้ำกับการได้ตามใจทั้งหลานและคนรัก
   
        ปานตะวันแม้ตอนแรกจะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่สองวันมานี้พี่เมศอารมณ์ดีถึงดีมาก ไม่ดุ ไม่บ่น ขออะไร อยากกินอะไรก็ให้ทุกอย่าง...ดีจนรู้สึกตงิดๆ
   
        แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบใจหรอกนะ เขาดีใจมากด้วยซ้ำที่มีคนมาให้อ้อนแบบนี้
   
        บางทีเขาอาจจะคิดมากไปก็ได้
   
        พอคิดได้แบบนี้ปานตะวันก็เลิกติดใจสงสัยพฤติกรรมของราเมศไปทันที
   
        เช้าวันที่สามสิบราเมศพาเขากับหลานชายไปเที่ยวตามสถานที่ใกล้ตัวเมืองเชียงใหม่ จุดหมายแรกคือขึ้นดอยสุเทพไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ คนเยอะอย่างที่คิดไว้จนราเมศต้องอุ้มหนูเจียขึ้นมาแล้วก็จูงมือปานตะวันเดินเพื่อกันไม่ให้คลาดกัน หลังไหว้พระธาตุดอยสุเทพเสร็จชายหนุ่มก็พาทั้งคู่ไปแวะกินข้าวซอยก่อนไปต่อที่ “ขุนช่างเคี่ยน” ซึ่งเป็นแหล่งชมดอกพญาเสือโคร่งที่มีชื่อเสียง
   
       ดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่งละลานตาเป็นทิวแถว สีชมพูสดสวยดูราวกับดอกซากุระของญี่ปุ่นไม่มีผิด มิน่าใครๆ ถึงเรียกมันว่าซากุระเมืองไทย  ตอนที่สายลมเย็นพัดผ่านช่อดอกไม้ก็พลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่นแลดูสวยงาม พวกเขาสามคนถ่ายรูปกันที่นี่ไปหลายสิบรูปเลยทีเดียว
   
       ถ่ายรูปเสร็จก็ราเมศก็พาเขาไปหากาแฟทาน ร้านกาแฟหลายร้านที่ผ่านตาล้วนน่าเข้าไปนั่งทั้งนั้น พี่เมศดูจะรู้จักแต่ละร้านดี แถมยังบอกอีกว่าร้านที่เจ้าตัวพาปานตะวันมาคือรสชาติกาแฟและขนมถูกปากที่สุดแล้ว พอลองชิมปานตะวันก็ต้องยอมรับว่าอร่อยสมคำโฆษณา
   
       เติมพลังกันแล้วราเมศก็พาปานตะวันกับหนูเจียไปที่ดอยปุยและพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์
   
        ปานตะวันจำได้รางๆ ว่าตอนที่พ่อยังอยู่พวกเขาเคยมาเที่ยวเชียงใหม่กันครั้งหนึ่ง น่าจะขึ้นมาที่นี่ด้วย เสียดายที่ตอนนั้นปานตะวันยังเด็กมากทำให้ความทรงจำเรื่องนี้เลือนรางอยู่ในม่านหมอกของอดีต
   
         พอตกกลางคืนราเมศก็ขี่มอเตอร์ไซต์พาปานตะวันไปถนนคนเดิน พวกเขาให้หลานอยู่กับแม่ราตรีที่บ้านเพราะพอดึกแล้วเดี๋ยวหนูเจียจะงอแง
   
        “คนเยอะชะมัด” ปานตะวันถอดหมวกกันน็อกออกพลางพูด ตอนนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่นักท่องเที่ยวทั้งไทยทั้งต่างชาติ “คนเยอะทุกที่เลย”
   
        “ก็มันช่วงสิ้นปีนี่นา”
   
         ราเมศคว้ามือคนรักไปจับไว้ซึ่งปานตะวันก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร ชินแล้วล่ะ วันนี้พี่เมศจับมือเขาเกือบทั้งวันเลยนี่นา
   
         “แต่แบบนี้เหมือนมาเดตกันเลยนะ” ราเมศพูดลอยๆ พอปานตะวันหันไปมองก็พบว่าอีกฝ่ายหันหน้าหนีไปทางอื่นแล้ว มุมปากของคนเด็กกว่ายกขึ้น
   
        “เราก็มาเดตกันจริงๆ ไม่ใช่เหรอครับ ไม่งั้นตะวันคงเอาหลานมาด้วยแล้ว”
   
        “นายนี่มัน...”
   
        ราเมศกลั้นยิ้ม ท่าทางซุกซนบวกกับการอมยิ้มจนแก้มป่องแบบนั้นทำให้เขาอยากจับเด็กแสบตรงหน้ามางับแก้มเสียเหลือเกิน
   
        “อะไรกัน ไม่อยากมาเที่ยวกันสองต่อสองก็ไม่บอก”
   
        “ยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
   
        “คิดในใจใช่ไหมล่ะ ใช่ซี้ ไอ้ดอกทิวลิปกับคำพูดหวานๆ เมื่อวานสงสัยตะวันจะฝันไป”
   
        แน่ะ มีการลอยหน้าลอยตาพูดด้วยท่าทางกวนประสาทอีกนะ ราเมศกลอกตา ดีดเหม่งแมวแสบไปหนึ่งทีทำให้อีกฝ่ายหันกลับมาส่งค้อนให้วงเบ้อเริ่ม
   
        “เจ็บ!”
   
        “ไม่เจ็บหรอก กะโหลกนายหนาจะตาย”
   
       “ไอ้พี่เมศ!”
   
       “ฮ่าๆ ล้อเล่นหรอก ไหนมาให้พี่ดูซิ”
   
      ราเมศดึงปานตะวันที่แยกเขี้ยวขู่ฟ่อหลบเข้าข้างทาง อาศัยแสงไฟจากร้านค้าที่เรียงรายอยู่สอดส่องหารอยแดงบนหน้าผากคนตัวเล็ก
   
       อืม มีด้วยแฮะ ตอนแรกเขาว่าตัวเองกะแรงดีแล้วนะ
   
       “ขอโทษนะ”
   
        “แรงเท่าช้าง ดีดมาได้ กะโหลกยุบหรือเปล่าก็ไม่รู้”
   
        “นี่ก็เว่อร์ไป”
   
        คำพูดคำจานี่น่าเอาปากตบปากจริงๆ
   
        ชายหนุ่มผมดำเห็นคนรักยกมือลูบหน้าผากป้อยๆ คิ้วยังขมวดแถมหน้าก็บึ้งก็แอบใจแกว่ง หรือเขาแกล้งแรงไปนะ ง้อสักหน่อยก็แล้วกัน
   
        “ตะวัน ขอโทษนะครับ”
   
        เงียบ ไม่ตอบ
   
        “มานี่มา โอ๋นะ โอมจงหายเจ็บ เพี้ยง”
   
        จบคำว่าเพี้ยงแทนที่จะเป่าลมลงมาคนตัวโตกลับแนบริมฝีปากลงที่รอยแดงบนหน้าผากมนของปานตะวัน
   
        จุ๊บ
   
        “หายเจ็บแล้วนะ”
   
         ปานตะวันมองรอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้าของราเมศด้วยสีหน้าว่างเปล่า สมองเหมือนถูกแช่แข็งไปเรียบร้อยแล้ว  โดนแช่ไปตอนที่อีกฝ่ายโน้มตัวลงมา “จุ๊บ” ให้หายเจ็บนั่นแหละ
   
        ไอ้บ้า ไอ้พี่เมศบ้า! มาทำอะไรโจ่งแจ้งในที่สาธารณะแบบนี้เนี่ย!
   
        “โว้ย ไอ้พี่บ้านี่!”
   
        “ไม่ชอบหรือไง ปกติเห็นชอบให้จูบเหม่ง”
   
        “ก็แล้วนี่มันบนถนนคนเดินไหมล่ะ” ปานตะวันถลึงตาใส่อีกฝ่าย ไม่รู้เมื่อกี้มีคนแอบถ่ายคลิปหรือรูปไปหรือเปล่า เกิดเป็นข่าวดังในโลกโซเชียลขึ้นมาจะทำยังไง
   
        “แล้วไหนบอกเจ็บ” ราเมศย้อนหน้าตายแต่แววตากลับแฝงความขบขันไว้เต็มเปี่ยม มองปราดเดียวก็รู้ว่าจงใจแกล้งตีมึน
   
        “ตอนหนูเจียหกล้มหน้าผากปูดพี่ก็ทำให้แบบนี้แหละ ไม่เห็นต่างกันเลย”
   
        ต่างสิโว้ย!
   
        เพราะนั่นเป็นหนูเจีย หนูน้อยอายุห้าขวบที่ทำอะไรก็น่ารักน่าชังตามประสาเด็ก การที่ราเมศจูบเหม่งหนูเจียน่ะไม่แปลกหรอก แต่พวกเขาที่เป็นผู้ใหญ่แล้วแถมยังเป็นผู้ชายทั้งคู่มาทำแบบนี้เนี่ยมัน...
   
        น่าเขินไปหน่อยไหม
   
        ปานตะวันเอาแขนเสื้อถูแก้มของตัวเองแรงๆ ประหนึ่งจะทำให้สีแดงที่แตะแก้มสองแก้มอยู่เลือนหายไป แต่นอกจากจะไม่หายแล้วหน้าของชายหนุ่มยังแดงกว่าเดิมเมื่อจู่ๆ ก็มีคนกระแอมขึ้นจากด้านหลังก่อนจะเอ่ยว่า
   
        “คือว่า ขอโทษนะครับ พวกคุณยืนบังร้านผม”
   
        “อ้าว ขอโทษนะครับ”
   
         ปานตะวันกับราเมศสะดุ้ง พวกเขาพบว่าตนเองยืนบังอยู่หน้าร้านขายเสื้อจริงๆ ด้วย ปานตะวันส่งยิ้มเจื่อนให้หนุ่มคนขายที่ไว้ผมยาวเหมือนนักร้องวงร็อก
   
         ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วก็ได้ยินที่คุยกันไปหมดแล้วหรอกนะ
   
         “ไม่เป็นไรครับ” ยังดีที่คนขายไม่ทักอะไรขึ้นมาให้ปานตะวันอายเล่น ลูกแมวตัวเล็กขอโทษอีกครั้งในขณะที่มือก็รีบกระตุกมือราเมศยิกๆ เป็นทำนองให้รีบออกจากร้านนี้
   
        แค่นี้ก็อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแล้วให้ตายเหอะ ฮือ
   
        “เอ้อ ว่าแต่พวกพี่ๆ สนใจเสื้อยืดไหมครับ ร้านผมเป็นร้านขายเสื้อคู่ ตัวการ์ตูนผมออกแบบเองหมดเลย”
   
        แน่นอนว่าไอ้หนุ่มนักขายก็ไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดมือ เขารีบโฆษณาสินค้าตัวเองอย่างเต็มที่ พระเจ้าอุตส่าห์ประทานลูกค้ามาให้ถึงหน้าร้านแล้ว แถมยังเป็นคู่รักด้วย ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องขายเสื้อคู่ให้สองคนนี้ให้ได้!
   
        “เสื้อคู่เหรอ น่าสนใจดีนะ” พ่อค้าตาเป็นประกายเมื่อคุณลูกค้าตัวสูงใหญ่ผิวแทนเปรยขึ้นอย่างสนอกสนใจ “แต่ในร้านมีแต่เสื้อคู่ชายหญิงนี่?”
   
        “แบบไม่ใช่การ์ตูนชายหญิงก็มีครับ”
   
       เขารีบเดินไปหยิบเสื้อแขนยาวมีฮู้ดออกมาสองตัว ตัวหนึ่งเป็นสีดำมีแถบสีขาวพิมพ์ตัวอักษรดำไว้ตรงกลาง ส่วนอีกตัวเป็นสีเทา มีแถบขาวพิมพ์ตัวอักษรดำด้วยข้อความเหมือนตัวแรก
   
       “เท่ออกนะครับพี่ ไม่สนเหรอ”
   
        ปานตะวันกำลังจะส่ายหน้าแต่ราเมศดันถามออกไปแล้วว่า “เท่าไหร่”
   
        พอคนขายบอกราคาชายหนุ่มตัวโตก็จ่ายเงินให้อย่างรวดเร็ว พ่อค้าหน้าตาชื่นบานรีบพับเสื้อใส่ถุงให้อย่างเรียบร้อย ตอนที่พวกเขาเดินออกจากร้านยังมีการเอ่ยไล่หลังมาว่า “ขอบคุณนะคร้าบ ขอให้มีความสุข รักกันไปนานๆ เลยนะครับ!”
   
        “พี่เมศ ซื้อมาแล้วจะใส่เหรอ” ปานตะวันมองดูเสื้อแขนยาวในถุง เอาตรงๆ คือเขานึกภาพตัวเองกับราเมศใส่เสื้อคู่ มีโมเม้นท์คู่รักใสๆ ไม่ออกเลย
   
        “เอาน่า อุดหนุนเขาหน่อย ถือซะว่าเป็นค่าที่เราไปยืนจูบหน้าผากกันหน้าร้านเขาแล้วกัน”
   
        ปานตะวันพ่นลมหายใจออกมา ตอนแรกก็อยากจะบ่นนะที่ราเมศทำแบบนั้นแต่พอนึกๆ แล้วความตลกกับความเขินมันมีมากกว่าความไม่ชอบนี่สิ
   
        พวกเขาสองคนเดินเล่นไปเรื่อยๆ ซื้อของกินมาเดินกินไปพลางๆ ปานตะวันเจอร้านขายโคมไฟอยู่ร้านหนึ่ง เขาถูกใจโคมไฟตั้งโต๊ะที่ทำเป็นรูปนกตัวเล็กๆ มากแต่ราเมศบอกว่าไม่ต้องซื้อเพราะที่บ้านเขาก็มี ถ้าอยากได้เดี๋ยวจะขอคุณราตรีกลับไปให้ สรุปแล้วนอกจากเสื้อคู่และของกินพวกเขาก็ไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่มอีก
   
        “พี่เมศ ตะวันเมื่อยขาแล้วอ่ะ” ในที่สุดปานตะวันก็โอดครวญออกมา ทันทีที่เจอม้านั่งสำหรับนั่งพักชายหนุ่มก็ปรี่เข้าไปจับจองทันที สองมือบีบนวดต้นขาตัวเองไล่อาการเมื่อยขบ
   
        “วันนี้เดินทั้งวัน ขาจะหลุดแล้ว”
   
        “งั้นกลับเลยไหม”
   
        “เอาสิครับ”
   
        ทริปเดตง่ายๆ ของพวกเขาก็จบลงด้วยประการฉะนี้
   
        ตอนที่กลับมาถึงบ้านราเมศก็เจอโพสอิทสีเหลืองแปะอยู่หน้าประตูห้องนอน มีลายมือมารดาเขียนเอาไว้ว่าขอตัวหนูเจียไปนอนด้วย
   
        ปานตะวันชะโงกหน้ามาอ่านแล้วก็พยักหน้ารับรู้ เจ้าตัวเล็กเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องน้ำ คงเพลียมากจริงๆ พอหัวถึงหมอนก็ซุกหน้าเตรียมหลับแล้ว
   
        “ตะวัน นอนดีๆ” ราเมศถอนหายใจพลางดึงเสื้อยืดย้วยๆ ที่เปิดร่นไปเกือบถึงหน้าอกลงมาปิดพุงขาวๆ ให้อีกฝ่าย ปานตะวันครางงึมงำไม่ได้ศัพท์ สองมือควานปัดป่ายราวกับจะหาอะไรบางอย่างจนกระทั่งมาแตะโดนแขนเขา
   
       พอจับตัวเขาได้ลูกแมวก็เบียดซุกเข้ามาคล้ายจะหาไออุ่น แก้มขาวแนบอยู่กับต้นแขน ท่าทางการหลับดูผ่อนคลาย
   
        แต่ปานตะวันจะรู้ไหมนะว่าตอนที่ตัวเองหลับสบาย เขาสงบใจไม่ได้เลย
   
        ให้ตาย
   
        ยิ่งมองเห็นผิวเนื้อเนียนที่เคยแกล้งขบจูบหยอกเอินจนขึ้นรอยแดงแล้วก็ยิ่งสงบใจไม่ได้
   
        “โธ่เว้ย” ราเมศสบถเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวนอนบนเตียง ดึงแขนออกจากการเกาะกุมแล้วนอนหันหลังให้ปานตะวัน หลับตานับหนึ่งไปจนถึงร้อยเพื่อสงบจิตสงบใจ
   
        เช้าวันต่อมาปานตะวันตื่นมาด้วยอาการสดชื่นแจ่มใสแต่ราเมศนี่สิทำหน้าบูดเหมือนคนนอนไม่พอ
   
        “พี่เมศเมื่อคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอนหรือไง ทำไมใต้ตาคล้ำงี้” มิ้นต์ทักขึ้นบนโต๊ะอาหารเช้า ราเมศที่กำลังยกกาแฟขึ้นจิบจึงยักไหล่ก่อนตอบ
   
         “พอดีฝันร้าย”
   
         “หือ ฝันว่าอะไรเหรอ”
   
        “ฝันว่าโดนผีอำ ปรากฏว่าพอตื่นมากลายเป็นคนข้างๆ เอาขามาพาดอกตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้”
   
        คนข้างๆ ที่ว่าถึงกับสะดุ้ง รีบเงยหน้ามองเลิกลั่ก “เฮ้ยพี่ ตะวันดิ้นขนาดนั้นเลยเหรอ” คนโดนกระทำไม่ตอบคำแต่เสไปคุยกับหลานชายแทน
   
        “แล้วเมื่อคืนหนูเจียหลับสบายไหมครับ”
   
         หนูน้อยที่กำลังแทะขอบขนมปังอยู่เงยหน้าตอบด้วยดวงตากลมแป๋ว “สบายคับ!” เมื่อคืนคุณย่าราตรีอ่านนิทานให้ฟังเยอะแยะแถมยังเปิดเพลงกล่อมนอนด้วย หนูเจียตัวน้อยเลยหลับอุตุฝันดีจนถึงเช้า “แต่หนูเจียอยากนอนกับน้าตะวันแล้วก็น้าเมศมากกว่า”
   
        “จะว่าไปพูดถึงคืนนี้ที่รีสอร์ตจัดงานเลี้ยงด้วยสินะครับ” ราเมศหันไปถามผู้เป็นพ่อ คุณศิลปินพยักหน้า งานเลี้ยงปีใหม่ทางรีสอร์ตจัดให้แขกที่มาพักทุกปี แต่ไม่ได้บังคับว่าทุกคนต้องเข้าร่วม “แกจะไปหรือเปล่าล่ะ”
   
        “ไม่ล่ะครับ คิดว่าคงอยู่ที่บ้านมากกว่า”
   
       “ตามใจ”
   
       “พ่อไปเหรอ”
   
       “ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน” คนเป็นพ่อว่าจบแล้วก็หันไปให้ความสนใจกับไอแพดตรงหน้าต่อ
   
       “แล้ววันนี้เมศจะพาน้องตะวันกับหลานไปไหนหรือเปล่าลูก” คุณราตรีเอ่ยถาม ราเมศเหลือบมองปานตะวันแล้วก็ส่ายหน้า “วันนี้ตะวันเขาอยากนอนเล่นอยู่ที่นี่น่ะครับ”
   
        “ก็ดี ข้างนอกคนเยอะจะตายไป มีโอกาสค่อยมาเที่ยวใหม่ก็ได้”
   
        “นั่นสิครับ” ปานตะวันรับคำคุณพ่อพี่เมศ เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากทุกคนรอบโต๊ะ
   
         หลังมื้อเช้าผ่านไปปานตะวันก็ช่วยคุณราตรี พี่มิ้นต์และพี่เมศทำความสะอาดบ้านรวมถึงตกแต่งบ้านสำหรับงานเลี้ยงปีใหม่ในครอบครัวคืนนี้ พอเสร็จงานทุกคนก็มารวมตัวกันที่ห้องนั่งเล่น คุณพ่อกับคุณแม่นั่งอยู่บนโซฟายาวโดยมีหนูเจียนอนหนุนตักอยู่ พี่มิ้นต์ยึดโซฟาเดี่ยว ส่วนราเมศกับปานตะวันนั่งอยู่ที่พื้นด้านล่างโดยมีเบาะนิ่มๆ ปูรองไว้พร้อมหมอนอิงอีกสามสี่ใบ
   
        ตอนนี้โทรทัศน์ช่องที่พวกเขาดูอยู่มีโปรแกรมหนังยาวต่อเนื่องไปถึงตอนเย็น แต่ละเรื่องที่ฉายก็น่ารักสดใสเข้ากับเทศกาล
   
        อากาศที่เย็นลงเล็กน้อยทำให้ปานตะวันขยับเบียดราเมศด้วยความเคยชินทั้งที่สองตายังจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ตรงหน้า แต่แล้วจู่ๆ เขาพลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาสะกิดโดนแก้ม เมื่อละสายตามามองก็พบว่าเป็นนิ้วของราเมศนั้นเอง
   
        คนรักของเขาพาดแขนข้างหนึ่งไว้กับเบาะโซฟา ท่าทางเหมือนโอบไหล่ปานตะวันกลายๆ เมื่อเห็นว่าเขารู้สึกตัวแล้วก็หันมายิ้มให้พร้อมกับเลื่อนมือมาที่ศีรษะเขา ลูบไล้เกี่ยวพันเส้นผมสีน้ำตาลเล่น ปานตะวันเลยเอนหัวพิงบ่าอีกฝ่ายเสียเลย
   
       ราเมศจูบลงบนเส้นผมนุ่มของคนรักเบาๆ ตอนนั้นเองที่ปานตะวันอ้าปากหาว
   
       “ง่วงเหรอ” เสียงทุ้มกระซิบถามเบาๆ ปานตะวันพยักหน้าหงึก “อากาศมันเย็น น่านอนดี”
   
       “งั้นก็หลับไปสิ พี่ก็ชักง่วงแล้วเหมือนกัน”
   
       “เมื่อคืนนอนไม่หลับนี่นะ ขอโทษนะครับที่ดิ้นแรงขนาดนั้น” ปานตะวันตอบเสียงอ่อยแม้จะแปลกใจอยู่บ้างเพราะเขาไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าตัวเองเป็นคนนอนดิ้น
   
        “ไม่เป็นไร ว่าแต่นอนตักไหม”
   
       “เดี๋ยวพี่ก็เมื่อย นอนแบบนี้ดีกว่า” ว่าแล้วปานตะวันก็ไถลตัวลงนอนราบกับเบาะ ซุกหน้าลงกับหมอนเตรียมหลับ ราเมศเงยหน้าขึ้นมองสมาชิกที่เหลือก็พบว่าสลบไสลกันไปถ้วนหน้าเขาจึงเอนตัวนอนลงบ้าง ชายหนุ่มพลิกตัวตะแคงข้าง ใช้แขนข้างหนึ่งเท้าศีรษะส่วนมืออีกข้างก็ลูบผมปานตะวันเล่น เจ้าเหมียวครางในลำคออย่างพึงพอใจ
   
       “พี่เมศก็นอนด้วยสิ”
   
       “อืม”
   
        แสงแดดอุ่นส่องลอดช่องว่างของใบไม้ทะลุผ่านเข้ามาในห้องนั่งเล่น ก่อเกิดลวดลายสวยงามบนพื้น ราเมศหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางขยับไปนอนชิดร่างเล็กข้างกายแล้วหลับไปท่ามกลางช่วงเวลาอันสงบสุข
   
        ตอนสี่โมงเย็นแสงแดดข้างนอกก็เริ่มอ่อนแรงลงแล้ว ท้องฟ้าเริ่มถูกเจือด้วยสีชมพูละสีส้ม ปานตะวันลืมตาตื่นขึ้นมาบนเบาะหน้าทีวีเช่นเดิมแต่เพิ่มเติมคือมีผ้านวมหนานุ่มคลุมตัวเขาไว้ พอเหลียวมองไปรอบๆ ก็พบคุณพ่อ หนูเจีย และพี่มิ้นต์ที่ยังหลับอยู่ ส่วนพี่เมศกับคุณแม่หายไปไหนก็ไม่รู้
   
       ชายหนุ่มโซเซลุกไปเข้าห้องน้ำ เพราะนอนนานเกินไปทำให้รู้สึกมึนหัว ตอนที่ออกมาจมูกพลันได้กลิ่นหอมของอาหารลอยฟุ้ง ปานตะวันทำจมูกฟุดฟิดตามไปจนถึงในครัวแล้วก็พบคนที่ตามหายืนอยู่ข้างมารดาคอยช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง
   
        ที่กรุงเทพฯครัวจะเป็นอาณาเขตของพี่เมศ แต่ดูเหมือนว่าที่นี่คุณพ่อครัวใหญ่จะลดสถานะลงเหลือแค่ลูกมือสินะ
   
        “ทำอะไรกันอยู่ครับ กลิ่นหอมเชียว” ปานตะวันชะโงกหน้าเข้าไปในครัว เขาเห็นซุปน่องไก่เดือดปุดอยู่ในหม้อ ปลาหมึกชุบแป้งทอดของโปรดหนูเจียวางอยู่ข้างๆ จานใส่ทอดมันกุ้ง นอกจากนี้ปานตะวันยังเห็นจานไข่ม้วนและจานหมูผัดขิงอีกด้วย
   
        คุณราตรีกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมของหวานที่ดูแล้วคงเป็นขนมเค้ก ส่วนราเมศก็กำลังสาละวนอยู่กับการทอดเฟรนช์ฟราย ข้างๆ เขามีจานใส่น่องไก่ทอดและไส้กรอกทอดอยู่ด้วย
   
       “มีอะไรให้ตะวันช่วยไหมครับ”
   
       “ช่วยรอกินเฉยๆ” ราเมศพูดหน้าตายปานตะวันเลยส่งค้อนวงเบ้อเริ่มให้ ส่วนคุณราตรีก็เอ่ยว่า “เมศอย่าแกล้งน้อง ไม่เป็นไรหรอกค่ะตะวัน เดี๋ยวก็เสร็จแล้วล่ะ” ประโยคหลังเธอหันมาพูดกับปานตะวัน ลูกชายคนใหม่เลยเข้าไปคลอเคลียเอาใจทันที
   
       คุณราตรีหัวเราะกับท่าทางช่างประจบของชายหนุ่ม ท่าทางมีความสุขจนลูกชายแท้ๆ อดแซวไม่ได้ว่า
   
       “คุณแม่ได้ลูกรักคนใหม่แล้วใช่ไหมครับ”
   
       “แน่นอนค่ะ ตะวันไม่ต้องกลัวนะลูก ถ้าพี่เขาทำอะไรเรามาบอกแม่ แม่จัดการให้”
   
       “พี่เมศแกล้งผมตลอดเวลาเลยครับ”
   
       ในเมื่อมีแบ็กอัพแข็งแกร่งแล้วเราก็ต้องรีบโกยผลประโยชน์ ปานตะวันฟ้องคุณราตรีจนหมดเปลือก บางเรื่องมีแอบใส่สีตีไข่เพิ่มเล็กน้อย ส่วนคนตกเป็นจำเลยก็ทำตาดุใส่แล้วใส่อีกแต่ปานตะวันก็ยังคงเดินหน้าฟ้องมารดาของเขาต่อไป ราเมศที่ทำอะไรไม่ได้ก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันได้แต่นึกคาดโทษอีกฝ่ายในใจ
   
       อย่าคิดว่ามีแม่พี่สนับสนุนแล้วจะรอดไปได้นะตะวัน!
   
       ราเมศขยับปากเป็นคำว่า ‘คืนนี้นายตายแน่’
   
         ส่วนปานตะวันก็เลิกคิ้วสูง แลบลิ้นกลับมาให้ ‘จ้างให้ก็ไม่กลัว’
   
        หึ...จ้างให้ก็ไม่กลัวงั้นเหรอ ได้ เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน
   
        มื้อเย็นของบ้านเสร็จตอนสองทุ่ม บนโต๊ะอาหารเรียงรายด้วยของคาวของหวานสารพัดจนปานตะวันนึกสงสัยว่าสมาชิกหกคนรอบโต๊ะจะช่วยกันกินจนมันหมดได้หรือเปล่า ระหว่างทานอาหารคุณราตรีก็เดินพลิ้วกายไปเปิดเพลงเบาๆ คลอเพื่อช่วยเสริมบรรยากาศ
   
        “หนูเจีย กินนี่สิครับ ปลาหมึกชุบแป้งทอดที่หนูชอบไง” ปานตะวันตักกับข้าวให้หลาน เจ้าตัวเล็กใครตักอะไรให้ก็กินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย หนูเจียนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างราเมศกับปานตะวันซึ่งสลับกันตักอาหารและเช็ดปากให้หลาน ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทุกคนจึงกลายเป็นภาพคล้ายครอบครัวพ่อแม่ลูกไม่มีผิด
   
        บรรยากาศบนโต๊ะอาหารผ่อนคลายและเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ปานตะวันไม่ได้นั่งกินข้าวกับครอบครัว ลึกๆ ในใจเขาอดรู้สึกอิจฉาราเมศไม่ได้ที่เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นและสมบูรณ์พร้อมขนาดนี้ แต่ความอิจฉาก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อทุกคนหันมายิ้มให้และพูดคุยกับเขาด้วยท่าทางเป็นกันเอง ยอมรับเขาและหลานชายให้เป็นส่วนหนึ่งของบ้านหลังนี้

        ปานตะวันตระหนักได้ตอนนั้นว่าทุกคนบนโต๊ะอาหารนี้...นับเขาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกครอบครัวไปแล้ว

(มีต่อค่ะ)

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
        “ฮ้า อิ่มแปล้เลย” พี่มิ้นต์ร้องขึ้นหลังจัดการขนมเค้กชิ้นสุดท้ายหมด หญิงสาวเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางหมดแรง “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามิ้นต์จะกินเยอะขนาดนั้น”
   
        “อืม พี่ก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน”
   
        “มิ้นต์เป็นเด็กวัยกำลังโตนี่ ต้องการพลังงานเยอะๆ”
   
        “ครับๆ”
   
        ปานตะวันหัวเราะ ขนาดเขาไม่ได้กินอะไรเยอะแยะแต่แค่มองมิ้นต์กินก็รู้สึกอิ่มแล้ว แถวกับข้าวที่เต็มโต๊ะในตอนแรกกินไปกินมาก็หมดเกลี้ยง
   
        ปานตะวันอาสาล้างจานเช่นเคยแต่หนนี้มีราเมศมาช่วยด้วยจึงเสร็จไว ส่วนหนูเจียตัวน้อยคืนนี้ก็ถูกคุณย่าหลอกล่อไปนอนกอดที่ห้องด้วยของเล่นอีกแล้ว  ในห้องนอนของพี่เมศเลยเหลือกันแค่สองคนเช่นเดิม
   
        “ตะวันทำอะไร” ราเมศเลิกคิ้วเมื่อออกจากห้องน้ำแล้วพบคนรักเอาหมอนกับผ้าห่มผืนเล็กไปวางที่โซฟาตัวยาว
   
        “คืนนี้ตะวันจะย้ายมานอนนี่”
   
        “ทำไม” ราเมศขมวดคิ้ว ชายหนุ่มตรงไปหยิบหมอนกับผ้าห่มไปเก็บคืนที่อย่างรวดเร็ว เรื่องอะไรเขาจะปล่อยให้ปานตะวันมานอนโซฟากัน
   
        “ก็พี่เมศบอกว่าตะวันนอนดิ้น ขืนนอนด้วยกันตะวันอาจจะเอาขาพาดหน้าพี่อีกก็ได้”
   
       “ก็พาดมา ไม่ถือ”
   
       “ตลก” คนผิวแทนยักไหล่ ชายหนุ่มรุนหลังคนรักกลับไปที่เตียง “นอนด้วยกันนี่แหละ บนโซฟาสบายซะที่ไหน”
   
       “แต่...”
   
       “ไม่มีแต่” ราเมศลากปานตะวันเข้ามาในอ้อมกอดจนได้ เขาเอนตัวนอนหงายลงทั้งแบบนั้น “ตะวันไปนอนโซฟาแล้วพี่จะกอดใคร”
   
       “หมอนข้างไง”
   
       “แฟนก็อยู่แต่ให้กอดหมอนข้างเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว”
   
       เจ้าของดวงหน้าคมคายย่นคิ้ว ปานตะวันเห็นดังนั้นเลยยื่นมือออกไปช่วยนวดตรงหัวคิ้วให้คลายออกจากกัน “อย่าทำหน้ายุ่งสิครับ รู้แล้ว นอนเตียงก็ได้ โอเคหรือยังครับ”
   
       “อืม”
   
       ราเมศหอมคนรัก แปลกดี สบู่ก็ยี่ห้อเดียวกันแต่ทำไมผิวของปานตะวันถึงได้มีกลิ่นหอมที่ต่างออกไปนะ เป็นกลิ่นหอมสะอาดที่ทำให้รู้สึกสงบแล้วก็ผ่อนคลาย
   
       กลิ่นเหมือน...อืม...จะว่ายังไงดี กลิ่นไอแดด? น่าจะประมาณนี้ล่ะมั้ง
   
      เป็นกลิ่นที่ทำให้นึกถึงวันที่ท้องฟ้าสดใส
   
        “คืนนี้อยู่เคาต์ดาวน์กัน”
   
        “ได้สิครับ” ยังไงก็นอนตุนมาจากตอนกลางวันแล้วตอนนี้ก็เลยยังไม่ง่วง ให้ถ่างตารอข้ามปีด้วยกันก็ไหวอยู่
   
        นาฬิกาดิจิตอลที่หัวเตียงบอกเวลาห้าทุ่มห้าสิบห้า อีกแค่ห้านาทีก็จะล่วงสู่ปีใหม่ ราเมศกับปานตะวันย้ายออกมานั่งรับลมหนาวที่ระเบียง ทั้งคู่มีผ้านวมผืนใหญ่คลุมรอบกาย ปานตะวันไม่หนาวมากนักเพราะนอกจากผ้านวมแล้วเขายังมีอ้อมแขนอุ่นๆ ของราเมศอยู่ด้วย
   
        “ตะวัน”
   
         5
   
        “ครับ”
   
        4   
   
         ราเมศเกยคางลงบนศีรษะทุย นึกดีใจที่ตอนนี้มีคนตัวเล็กคนนี้อยู่ในอ้อมแขน เขาได้ยินเสียงเพลงแว่วมาจากด้านที่เป็นรีสอร์ต
   
       “ปีหน้าก็มาฉลองด้วยกันอีกนะ”
   
       3
   
       “ได้สิครับ”
   
       2
   
       “ปีหน้าแล้วก็ปีต่อๆ ไปด้วยนะ”
   
       1
   
        “แน่นอนอยู่แล้ว”
   
        ปัง ปัง ปัง
   
        ตอนที่ตัวเลขดิจิตอลสีแดงเปลี่ยนเป็นเลขศูนย์ท้องฟ้ายามค่ำคืนก็พลันสว่างไสวด้วยดอกไม้ไฟหลากสี พลุจำนวนมากถูกยิงขึ้นฟ้า ฉาบความมืดมิดด้วยสีสันพร่างพราย
   
       “สุขสันต์วันปีใหม่นะปานตะวัน”
   
       “สุขสันต์วันเกิดครับพี่เมศ”

   
        คนน่ารักยิ้มจนตาหยี “ดีใจแฮะ ตะวันเป็นคนแรกที่แฮปปี้เบิร์ดเดย์พี่นะเนี่ย”
   
        ราเมศหัวเราะ แสงจากดอกไม้ไฟทำให้ดวงหน้าอ่อนเยาว์สว่างไสว ราเมศรั้งอีกฝ่ายเข้ามาชิดและเป็นปานตะวันที่โน้มลำคอเขาลงมาจูบ
   
        ชายหนุ่มตวัดอุ้มลูกแมวขึ้นมา ก้าวยาวๆ ไปที่เตียงแล้วก็วางอีกฝ่ายลงบนฟูกนิ่ม
   
        “ขอของขวัญวันเกิดได้ไหม” ชายหนุ่มกระซิบ ริมฝีปากยังคลอเคลียกันอยู่ไม่ห่าง ปานตะวันหรี่ตาลงด้วยท่าทางเหมือนแมวเจ้าเล่ห์
   
       “ให้ไปแล้วนี่ครับ ไหนบอกว่าขอของขวัญวันเกิดเป็นให้มาที่นี่ด้วยกันไง”
   
       “งั้นเปลี่ยนใหม่ เป็นของขวัญปีใหม่แล้วกัน”
   
       คนรักของเขาทำเสียงหึขึ้นจมูก “เจ้าเล่ห์จริงๆ”
   
       “ไม่ได้เหรอ”
   
       ปลายนิ้วเรียวของตะวันแตะไล้ไปตามสันกรามเขาจนมาหยุดที่ริมฝีปาก ตอนนี้พวกเขาห่างกันเพียงแค่ลมหายใจและหนึ่งปลายนิ้ว
   
       ราเมศจูบลงบนนิ้วชี้ของอีกฝ่ายขณะที่มือเลื่อนเข้าไปอยู่ตรงเอวของคนรัก
   
       ดวงตาของปานตะวันพราวระยับเป็นประกายซุกซน
   
       “แล้วใครบอกว่าไม่ได้?”
   
       คำพูดนั้นเหมือนเป็นสัญญาณการเริ่มต้น ปลายนิ้วที่แตะอยู่ที่ริมฝีปากราเมศถูกดึงกลับไปและพวกเขาก็เริ่มต้นจูบกันอีกครั้ง จูบร้อนแรงราวกับจะไม่มีใครยอมใคร
   
      ราเมศค้นพบว่าคนรักของเขาสามารถจูบไปด้วยปลดกระดุมชุดนอนหลุดไปทั้งแผงได้ในเวลาเดียวกัน แถมยังทำได้ไวเสียด้วย มือก็เบาจนไม่รู้สึกตัว
   
      “ร้ายนักนะ”
   
       “ว่าแต่คนอื่น”
   
       ปานตะวันสวนกลับเมื่อพบว่าตอนนี้กระดุมชุดนอนของตัวเองก็หลุดไปหมดเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ราเมศโยนเสื้อนอนของตัวเองลงไปกองที่พื้น เผยร่างกายท่อนบนที่ตึงแน่นเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อสมส่วน
   
       ปานตะวันผิวปากหวือ
   
       หุ่นดีเป็นบ้า!
   
       ตัวเขาเองก็ใช่จะผอมแห้งเป็นไม้เสียบลูกชิ้นหรอกนะ กล้ามเนื้อก็พอมีแต่ไม่ได้มากเท่าคนตรงหน้า
   
       “มานี่” ราเมศดึงคนผมน้ำตาลขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก ปานตะวันไม่ยอมถอดเสื้อออก หัวไหล่มนและแผ่นอกขาวเนียนเลยปรากฏวับแวมยั่วยวนสายตาให้คนมองรู้สึกถึงเลือดลมร้อนฉีดพล่านไปทั่วร่าง
   
       ร้ายกาจจริงๆ
   
       เจ้าลูกแมวขี้ยั่วของเขา
   
       คนตัวโตประทับริมฝีปากลงที่แก้มขาวไล่ไปจนถึงซอกคอ เขาขบจูบจนผิวขาวถูกประดับด้วยรอยสีแดงอันแสดงถึงความเป็นเจ้าของ
   
       “จั๊กจี้” ปานตะวันย่นคอหนีแต่ราเมศไม่ยอม ฟันคมขบกัดลงที่ลาดไหล่จนขึ้นรอย ปานตะวันสะดุ้งเฮือก ปลายเท้าจิกลงกับผ้าปูที่นอนทันที
   
       เจ็บ...แต่มันก็กระตุ้นสัญชาตญาณดิบในร่างได้เป็นอย่างดี
   
       ปลายลิ้นอุ่นลากไล้วนรอบรอยฟันราวกับจะปลอบประโลม
   
       “เจ็บนะครับ”
   
       “ขอโทษ เห็นแล้วมันอดไม่ได้น่ะ หมั่นเขี้ยว”
   
       ราเมศขยี้ผมคนรักด้วยความเอ็นดู ครั้งต่อไปเขาเลยจูบเด็กน้อยตรงหน้าด้วยความอ่อนโยนมากขึ้น สัมผัสแผ่วเบาราวขนนกที่วนเวียนตรงยอดอกทำให้ปานตะวันหายใจถี่รัว ริมฝีปากอุ่นและปลายลิ้นปลุกปั่นให้สติของเขาหลุดลอยไปเรื่อยๆ อารมณ์ความรู้สึกก่อตัวขึ้นมาทีละน้อยจนเริ่มอึดอัด
   
      “ฮื้อ อืม พี่เมศ ไม่เอา”
   
      ริมฝีปากร้อนลากผ่านผิวเนื้อไปจนถึงสะดือ ต่ำลงไป...
   
      “ไม่...ไม่เอา”
   
      แต่คำว่าไม่เอาในเวลาแบบนี้ก็เท่ากับดีมากนั่นแหละ
   
      ปานตะวันกำผ้าห่มจนยับยู่ยี่ น้ำตาซึมเมื่อความรู้สึกมากมายปั่นป่วนอยู่ในร่าง เสียงครางหลุดรอดออกมาแม้จะพยายามกลั้นไว้แค่ไหน
   
        “ให้ตาย รู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่”
   
       สีหน้าแดงก่ำและดวงตาฉ่ำปรอยหวานเชื่อมแบบนี้ ริมฝีปากสีสดที่ร้องเรียกชื่อเขาสลับกับครวญแผ่ว
   
       ปานตะวันในสภาพนี้ จะไม่มีใครได้เห็นนอกจากเขา
   
       เขา...แค่คนเดียว
   
       “พี่เมศ อื้อ!” เด็กน้อยของราเมศสะบัดหน้า พยายามกระถดตัวหนีเมื่อปลายนิ้วชุ่มด้วยสารหล่อลื่นแทรกเร้นเข้าไปในร่าง ราเมศจูบปาก จูบแก้มปลอบประโลม
   
       “ใจเย็นๆ ผ่อนคลายตะวัน เด็กดี” คำว่าใจเย็นนั้นเป็นการเตือนตัวเองไปในตัว ตอนนี้ความต้องการของเขาขึงเครียดแต่ราเมศก็ต้องอดทน ไม่อย่างนั้นเด็กน้อยของเขาจะเจ็บมากทีเดียว
   
       ช่องทางคับแคบฝืดเคือง ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าคนใต้ร่างจะปรับตัวได้
   
        “ไหวไหม ถ้าไม่ไหวพี่หยุดให้ได้นะ”
   
       “ตะวันไหว”
   
       “แน่ใจนะ หลังจากนี้พี่หยุดไม่ได้แล้วนะครับ”
   
       “อื้อ” คนตัวเล็กพยักหน้าด้วยท่าทางเขินอาย แต่พอเห็นราเมศยังมีสีหน้าลังเลปานตะวันก็ตัดสินใจพลิกขึ้นคร่อมอีกฝ่ายทันที
   
       “บอกว่าไหวก็ไหวสิครับ อึก”
   
       ความร้อนผ่าวที่แทรกซึมเข้ามาในร่างทำให้เขาเจ็บจนน้ำตาซึม ปานตะวันกอดราเมศเอาไว้แน่น ปลายเล็บจิกลากเป็นทางที่แผ่นหลังเพื่อระบายความเจ็บระคนเสียวซ่าน
   
       “ตะวัน” เสียงทุ้มคำรามในลำคอเมื่อคนรักหยัดกายขึ้นแล้วก็ทิ้งตัวลงมาเป็นจังหวะเนิบช้า ความคับแคบบีบรัดแน่น ปานตะวันรวบจับข้อมือเขาไว้ เอียงหน้าส่งยิ้มให้อย่างน่ารัก ยังคงขยับตัวเนิบช้าทั้งที่รู้ว่าเขาแทบไม่ไหวแล้ว!
   
      เด็กนี่จงใจจะยั่วใช่ไหม!
   
       สายตาของปานตะวันที่มองตรงมาเปลี่ยนไป มันแทนที่ด้วยความร้อนแรง หลงใหล รักใคร่ ลูกแมวช่างยั่วเลียริมฝีปากเขาเบาๆ
   
       “ถ้าพี่เมศไม่ไหวก็นั่งเฉยๆ เดี๋ยวตะวันจัดการเอง”
   
       โดนดูถูกขนาดนี้ถามว่าราเมศจะยอมไหม?
   
       แน่นอนว่าไม่
   
       ปานตะวันควรจะได้รู้ว่าอย่าได้บังอาจมาท้าทายเขา โดยเฉพาะกับเรื่องแบบนี้
   
       “อึก!” ปานตะวันร้องออกมาเมื่อเขาจับเอวอีกฝ่ายไว้แล้วก็เหวี่ยงลงกับเตียง พลิกกายกับมาขึ้นคร่อมเพื่อเป็นฝ่ายคุมเกม นัยน์ตาของราเมศวาววับราวเสือร้ายเตรียมตะครุบเหยื่อ
   
      แต่เหยื่อตัวน้อยตอนนี้ไม่ใช่ลูกแมวเหมือนปกติแต่กลับกลายเป็นจิ้งจอกตัวร้ายที่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ
   
       “นายยั่วพี่เองนะ”
   
      เรียวขายาวของปานตะวันเกี่ยวกระหวัดเข้ากับเอวสอบอย่างรู้งาน เจ้าตัวดึงราเมศให้ก้มมาใกล้ๆ แล้วจูบลงเบาๆ ที่ใบหูของคนรักก่อนกระซิบเสียงหวาน
   
       “นิดหน่อยเองครับ”
   
       “ไอ้แมวแสบเอ๊ย!”
   
       พวกเขาหยุดบทสนทนาไว้เท่านั้น สมาธิทั้งหมดถูกทุ่มให้กับสัมผัสทางกาย อุณหภูมิภายในห้องไต่สูงตามบทรักร้อนแรง ผิวเนื้อเสียดสีกันและกัน กลิ่นอายหอมหวานจากกายคนรักเจือในอณูอากาศ ล่อหลอกในมัวเมาในรสชาติความรักมากขึ้น
   
       ชื่อที่ถูกกระซิบเรียกด้วยน้ำเสียงยั่วยวนแหบพร่า ปลายเล็บที่จิกลงที่แผ่นหลัง ผ้าปูที่นอนยับย่นไปตามการขยับไหวของร่างกายที่สอดประสานเป็นหนึ่งเดียว
   
        จวบจนกระทั่งบทรักดำเนินถึงปลายทาง ริมฝีปากพวกเขาจึงวนมาพบกันอีกครั้ง ถ่ายทอดความรู้สึกรักใคร่ที่เอ่อล้นให้กันและกัน
   
        “พี่เมศ...อึก...รักนะ รักมากๆ เลย”
   
        น้ำเสียงหวานที่พร่ำบอกรักอยู่ข้างหูทำให้ร่างเมศออกแรงรั้งคนตรงหน้าให้เขามาแนบกายชิดกว่าเดิม ชายหนุ่มหอบหายใจ ทิ้งตัวลงทาบทับคนรักก่อนจะหอมขมับชื้นเหงื่อแผ่วเบา
   
        “ครับ รักเหมือนกัน”
   
       นัยน์ตาสองคู่สบกัน ความอ่อนหวาน อ่อนโยน ห่วงใย รัก ความรู้สึกนับร้อยพันถูกส่งผ่านทางสายตา แม้ไม่มีคำพูดแต่ก็รับรู้ได้ ความรู้สึกปรารถนาการถูกเติมเต็มเกิดขึ้นอีกครั้ง อยากกอด อยากถูกกอด อยากรัก อยากได้รับความรัก ต้องการอยู่ในอ้อมแขนของคนตรงหน้าและต้องการจะโอบคนที่รักเอาไว้ อยากให้ร่างกายและหัวใจเป็นหนึ่งเดียวกันราวกับว่าเสพติดการสัมผัสกันและกันไปเสียแล้ว
   
       ความรู้สึกนั้นรุนแรงมากพอจะดึงให้คนทั้งคู่เคลื่อนกายเข้าหากันอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง
   
        ไปตลอดค่ำคืนอันยาวนาน
   
        เช้าวันต่อมาปานตะวันลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงเพียงลำพัง ภายในห้องค่อนข้างมืดเนื่องจากผ้าม่านถูกรูดปิดไว้ เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเหลือบมองพื้นที่ข้างกายที่บัดนี้ว่างเปล่า เตียงฝั่งนั้นเย็นชืด ราเมศคงลุกไปนานแล้ว
   
         ชายหนุ่มคว้านาฬิกามาดูก็พบว่าเป็นเวลาเที่ยงตรง นี่เขานอนนานขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย
   
        “โอ๊ย”
   
        ร่างบนเตียงหลุดเสียงร้องเมื่อความเจ็บแล่นปราดไปทั้งช่วงล่าง ให้ตาย ร่างกายเขาเมื่อยขบไปหมด ขยับทีก็เจ็บจนน้ำตาเล็ด แถมเสียงยังแหบอีก ถ้ารู้ว่าตื่นมาแล้วจะเป็นแบบนี้เขาพอตั้งแต่รอบแรกดีกว่า
   
        จะว่าไปเมื่อคืนเผลอหลับไปตอนไหนนะ จำไม่ได้เลย
   
        ชายหนุ่มฝืนประคองตัวเองลงจากเตียงจนได้ ปานตะวันก้าวช้าๆ ไปที่ห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ตอนที่กำลังล้างหน้าภาพสะท้อนจากกระจกเงาบานใหญ่ทำให้เขาถึงกับชะงัก
   
        ผิวเนื้อตั้งแต่ช่วงลำคอลงไปจนถึงบริเวณสะดือปรากฏรอยจูบแล้วก็รอยฟันเต็มไปหมด!
   
        “บ้าเอ๊ย” ปานตะวันหน้าร้อนจนแทบไหม้ เมื่อคืนมันก็ความผิดเขาด้วยกึ่งหนึ่งที่ห้ามอีกคนไม่ให้ทำรอยที่คอไม่ทัน บนลำตัวก็พอจะใส่เสื้อปิดได้อยู่ แต่ที่คอเนี่ยจะทำยังไง! ให้ใส่ผ้าพันคอเดินในบ้านหรือไง แล้วรอยนี่อีก ทำอะไรเยอะแยะ ขนาดนี้แล้วจับเขากินไปทั้งตัวเลยไหม!
   
        ปานตะวันอาบน้ำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเตรียมตัวไปคิดบัญชีกับราเมศ แต่พอออกจากห้องน้ำเขาก็เจอคนที่บ่นอยู่ในใจนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาในห้อง
   
       “ตะวัน ลุกไหวด้วยเหรอ”
   
        คนตัวโตผุดลุกมาประคองเขาไว้ทันที ปานตะวันที่พันผ้าขนหนูผืนเดียวเดินออกมาแยกเขี้ยวขู่แล้วก็ชี้นิ้วไปตามจ้ำแดงบนลำคอและแผ่นอก “พี่เมศ ดู! ทำอะไรลงไปเนี่ย”
   
       ยิ่งมายืนกลางแสงไฟแบบนี้รอยจูบก็ยิ่งเด่นชัด
   
       ราเมศหัวเราะเจื่อนๆ พลางเขี่ยปลายจมูกตัวเองไปด้วย เขาเบือนหน้าไปอีกทางขณะตอบแต่ก็ซ่อนใบหูแดงจัดเพราะความเขินอายไว้ไม่พ้น
   
       “ก็เมื่อคืนนายน่ารักมากนี่นา”
   
       “ขี้โกงนี่ ผมมีรอยเต็มตัวแต่พี่ไม่มีรอยอะไรเลย” ไม่พูดเปล่าแต่ยังตรงไปเลิกเสื้ออีกฝ่ายขึ้นอีกต่างหาก แผ่นอกและหน้าท้องตึงแน่นสีน้ำผึ้งยังคงเรียบเนียนไร้ร่องรอย
   
        “นายแน่ใจ?”
   
       “ก็เห็นอยู่เนี่ย”
   
        “แล้วอยากทำรอยไหมล่ะ เดี๋ยวให้กัดก็ได้นะ”
   
        สายตากรุ้มกริ่มทำให้ปานตะวันรีบก้าวถอยหลังด้วยแววตาแตกตื่น “บ้า ไม่เอาแล้ว ตะวันเจ็บนะ”
   
        “ก็เห็นบ่นอยากทำรอย”
   
        “ไม่ใช่ตอนนี้โว้ย”
   
        “บอกว่าอย่าขึ้นวะขึ้นโว้ยกับพี่ไงปานตะวัน” คนตัวโตขมวดคิ้วดุ ก้าวไม่กี่ก้าวก็เข้าประชิดตัวร่างเล็กได้ สีหน้าแตกตื่นกึ่งอยากร้องไห้ของปานตะวันน่ารักมาก
   
       น่ารักจนอยากจะรังแกให้ร้องไห้เลย...แบบเมื่อคืน
   
       “พี่เมศ ตะวันขอโทษ ฮื้อ แตะตรงไหนเนี่ย— อืม”
   
      เสียงพูดขาดหายเมื่อราเมศจูบหนักๆ ลงที่ริมฝีปาก ปลายลิ้นช่ำชองทำให้คนที่ต่อต้านอยู่ผ่อนคลายได้ไม่ยาก ฝ่ามืออุ่นของเขาคงร้อนจัดเมื่ออยู่บนผิวกายเย็นเฉียบเพราะเพิ่งผ่านการอาบน้ำมาของปานตะวัน เจ้าตัวเล็กสั่นสะท้านแล้วก็เข่าอ่อน เหลวเป็นขี้ผึ้งลนไฟอยู่ตรงหน้า
   
      “จริงๆ นายก็ทำรอยไว้เยอะอยู่นะ” ปานตะวันที่ถูกอุ้มกลับมาที่เตียงมองคนรักด้วยแววตาไม่เข้าใจ ราเมศจึงหันหลังให้ เผยให้เห็นรอยเล็บจิก รอยข่วนแดงเป็นทางยาว แถมยังมีรอยฟันอยู่ต่ำลงไปจากช่วงไหล่เล็กน้อยด้วย
   
      “งั้น...ตะวันก็...ก็ไม่อยากทำแล้ว”
   
       “นี่มันรอยด้านหลังไง เดี๋ยวให้ทำด้านหน้าด้วย”
   
        โว้ย ใครก็ได้ช่วยปิดสวิตช์ 18+ ของพี่เมศที ไอ้คนนิ่งขรึมคนเดิมหายไปไหนแล้วหมาป่าที่จ้องจะจับเขากินตลอดเวลานี่เป็นใคร
   
       ปานตะวันนึกอยากร้องไห้ขึ้นมาครามครัน
   
       “ขอเสียงเซ็กซี่แบบเมื่อคืนนะตะวัน เสียงหลังจากที่นาย ‘ท้าทาย’ พี่น่ะ”
   
       ไอ้คนนิสัยไม่ดี ไอ้คนเจ้าคิดเจ้าแค้นไม่ปล่อยวาง!
   
       ตอนที่ราเมศพูดประโยคนั้นพร้อมก้มลงจูบทำรอยที่ซอกขาด้านใน ปานตะวันก็สาบานกับตัวเองไว้ว่าเขาจะไม่แกล้งราเมศอีกแล้ว
   
       ไม่คุ้มเลยให้ตาย ฮือ

***************************************************

กรี๊ดดดดด นี่เป็นครั้งแรกที่รอมาเนิ่นนาน เอ๊ย ไม่ช่ายยย 55555555
พี่เมศตอนนี้โคตรของความหลอกกินเด็ก พี่เมศมันร้ายยยย ทาสแมวนิ่งๆ คูลๆ อะไรกัน ภาพลวงตาค่ะ!
ปานตะวันที่ปากไวชอบไปท้าเขาก็คงได้รู้ฤทธิ์พี่เมศแล้วในที่สุด ฮาาาาา
เอาจริงๆ ตอนนี้เขียนเสร็จนานแล้วค่ะ แต่ว่าดูฤกษ์อยู่ รอเอาลงวันนี้ ศุกร์หรรษาาา วันทานาบาตะ (>w<)
ขอให้มีความสุขกับการเติมน้ำตาลให้ชีวิตกระชุ่มกระชวยนะคะ  :really2: กักตุนกันไว้เยอะๆ
(ยิ้มหวาน) แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บๆ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรสามารถโปรยปรายความรักและความคิดเห็นของท่านไว้ได้เลย!
แชร์ความคิดเห็นได้เต็มที่เลยนะคะ  :-[

ปล. ทุกคนสามารถเม้าท์มอย หวีดร้อง และคุยกับเรา(ได้ทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์)
รวมถึงส่งแฟนอาร์ต (ถ้ามีใครใจดีวาดให้ ;w;) ให้เราได้ที่เพจ >>AzureDream<< นะคะ

ออฟไลน์ tensita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ยังอ่านไม่จบหรอกแต่จะเม้นก่อน เฟิร์สคอมเมนต์ :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ tensita

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
จบแล้ววหมาวถึงจบตอนนะ :mew3: น่ารักดี เหมือนเรื่องนี้นายเอกจะแสบ ร้ายใช่เล่นเลยนะ

55555//ไปอ่านตอนแรกแย้วว :katai5:

พระเอกก็อืมม พระเอกไหม เด่วมาเม้นอีกที :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
 :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
 :pighaun: :pighaun:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด