“คงไม่มาหรอกครับ” ปานตะวันคงไม่รู้ตัวว่าตัวเองเผลอทำจมูกย่นแถมริมฝีปากบางยังคว่ำเป็นสระอิอีก “แก้งส้มใส่กุ้งมันจะไปอร่อยสู้กุ้งเผาได้ยังไง”
เจียหลินงับช้อนค้างไว้แน่นอนว่าไม่เข้าใจที่น้าตะวันพูด สำหรับหนูเจียอะไรก็อร่อยไม่เท่าไข่เจียวหมูสับหรอก
“หนูเจียหิวแล้วใช่ไหมครับ อ่ะ กินเยอะๆ เลยนะเด็กน้อยของน้า” ปานตะวันรีบเปลี่ยนเรื่อง เกรงว่าถ้ายังยืดหัวข้อเดิมต่อไปเขาจะของขึ้นเสียก่อน ชายหนุ่มตักไข่เจียวใส่จานหนูเจียกับจานข้าวของตัวเอง แต่ตอนที่เหลือบมองที่นั่งว่างเปล่าข้างกายและข้าวผัดที่ทำสุดฝีมือซึ่งกลายเป็นหมันไปแล้วอารมณ์น้อยใจก็พุ่งขึ้นมาอีกรอบ
ปานตะวันดังจานข้าวของราเมศเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็จ้วงกินทันที
ไอ้พี่เมศไม่มา กินคนเดียวก็ได้วะ! ไม่เห็นจะเดือดร้อนเลย!
สุดท้ายด้วยอารมณ์โมโหปานตะวันก็ซัดข้าวผัดสองจานจนเรียบ ผลคือหลังลากสังขารตัวเองไปล้างจานจนเสร็จก็มานั่งจุกท้องอยู่บนโซฟา มีหนูเจียนั่งดูรายการประกวดร้องเพลงอยู่ใกล้ๆ
ตอนนี้สองทุ่มครึ่ง ราเมศก็ยังไม่ส่งข้อความมา
ปานตะวันกัดริมฝีปาก ลังเลว่าจะเป็นฝ่ายโทรไปหาก่อนหรือรอคนรักโทรกลับมาดี
แล้วการที่นั่งรออยู่แบบนี้มันดีแน่ๆ แล้วเหรอ? รออยู่กับความไม่สบายใจ ความสงสัยแล้วก็การคิดไปเอง ถ้าเป็นแบบนั้นสู้โทรไปหาเลยก็จบ
ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอ...ก่อนจะวางลงที่เดิม
รออีกนิดก็ได้...เผื่อพี่เมศจะโทรมา
โทรมาอธิบายว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครแล้วทำไมถึงไปกินข้าวกันโดยไม่บอก
แต่จนกระทั่งเข็มสั้นชี้เลขเก้าและเข็มยาวชี้เลขสิบสองโทรศัพท์ของปานตะวันก็ยังนอนสงบนิ่งอยู่บนโต๊ะ ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อความหรือสัญญาณการโทรเข้า
หนูเจียหลับปุ๋ยไปบนตักปานตะวันที่เห็นว่าดึกมากแล้วจึงอุ้มหนูน้อยเข้าไปนอนในห้อง ชายหนุ่มเดินกลับมาปิดโทรทัศน์ ปิดม่าน ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย
เขาแอบแง้มดูบ้านฝั่งตรงข้ามด้วยแต่บ้านก็ยังมืดสนิทบ่งบอกว่าเจ้าของยังไม่กลับมา
ปานตะวันเม้มริมฝีปากแล้วก็เดินไปอาบน้ำเตรียมเข้านอน พยายามสงบจิตสงบใจอยู่ในห้องน้ำแต่ก็ทำไม่ได้ ในหัวมีประโยคหนึ่งวนไปวนมา
ไอ้พี่เมศนะไอ้พี่เมศ...ขอให้กุ้งจุกอกตายไปเลย ฮึ่ย!
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์ดังเบาๆ ท่ามกลางความเงียบ ภายในห้องนอนใหญ่ของบ้านตอนนี้เปิดเพียงโคมไฟตั้งโต๊ะเพื่อให้เหลือเพียงแสงสีส้มนวลตาสำหรับอ่านหนังสือ ปานตะวันที่ก้มหน้าก้มตาคัดคำศัพท์และอ่านหนังสืออยู่เงยหน้าขึ้นก่อนจะควานมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ตัวเองวางไว้ไม่ไกลขึ้นมา
คนที่กล้าโทรมากวนปานตะวันดึกดื่นขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ไอ้กันต์ก็เป็นแม่...หรือไม่ก็ราเมศ
ขอให้เป็นสองคนแรกเถอะ กับคนหลังนี่เขายังไม่พร้อมจะคุยด้วยเท่าไหร่เลย
ชายหนุ่มผมน้ำตาลหลับตา ทำใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหงายหน้าจอขึ้นดู
‘ราเมศ’
ชื่อที่ปรากฏทำเอาเขาอยากจะกดตัดสายทิ้งเดี๋ยวนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำ ปานตะวันเกลียดตัวเองที่ใจอ่อนยอมรับสายเหลือเกิน
“พี่รู้ไหมว่านี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
น้ำเสียงที่ใช้ไม่ได้ห้วนแต่ก็ไม่ได้รื่นหูนัก คิดๆ แล้วก็ตลกดี คนเราในหนึ่งวันเปลี่ยนอารมณ์ได้หลากหลายชะมัด เมื่อเช้าเขากับราเมศยังยิ้มแย้มคุยกันหวานชื่นดีพอตกเย็นมาทำท่าจะเถียงกันอีกแล้ว
[ตะวัน] เสียงของราเมศฟังดูอ่อนกว่าที่เคย [ลงมาเปิดประตูให้หน่อย]
“อยู่ไหนครับ หน้าบ้านเหรอ?” ปานตะวันขมวดคิ้ว เดินถือโทรศัพท์ออกไปด้านนอกเพื่อแง้มผ้าม่านดู ใช่จริงๆ ด้วย ราเมศซึ่งยังอยู่ในชุดเดิมกับตอนที่ออกไปข้างนอกยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านเขา ท่าทางกระวนกระวาย
[อื้ม ลงมาหน่อย รออยู่]
“กุญแจก็มีทำไมไม่ไขเข้ามาล่ะครับ” ทำหายหรือยังไง
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ปานตะวันแว่วเสียงคนรักถอนหายใจจึงแง้มผ้าม่านออกดูอีกครั้ง ราเมศยืนอยู่ใกล้เสาไฟริมถนนก็จริงแต่ปานตะวันก็ยังไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของชายหนุ่มได้
[ก็ตะวันโกรธอยู่...ใช่ไหมล่ะ]
ทันใดนั้นราเมศที่ยืนนิ่งอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมา มองตรงมาราวกับจะรู้ว่าปานตะวันแอบอยู่หลังผ้าม่าน
พวกเขาสบตากันผ่านความมืด...แม้มองไม่เห็นหน้าแต่มั่นใจได้ว่าคนของตนรับรู้ความรู้สึกที่ส่งผ่านไปให้ได้
[พี่จะรอตรงนี้...ถ้าอยากคุยกันให้ลงมาเปิดประตู แต่ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้อง]
“พี่กลับเข้าบ้านไปเถอะครับ อยู่ตรงนั้นยุงจะกัดเปล่าๆ ส่งไลน์มาหรือไม่ก็อธิบายทางโทรศัพท์แบบนี้ก็ได้”
[ไม่เอา]
ปานตะวันขมวดคิ้วเพราะทันทีที่เขาพูดจบประโยคราเมศก็ปฏิเสธขึ้นมาทันทีแบบที่เรียกว่าแทบจะไม่ต้องเสียเวลาคิด
[พี่อยากอธิบายต่อหน้ามากกว่า นะครับตะวัน ลงมาเปิดประตูให้พี่นะ]
ปานตะวันยืนนิ่งอยู่นาน ราเมศเองก็อดทนรออย่างใจเย็น สุดท้ายชายหนุ่มผิวแทนก็ได้ยินเสียงถอนหายใจดังลอดมาตามสายก่อนที่ลูกแมวของเขาจะกดตัดสายไป
ราเมศยืนตัวชา หัวใจคล้ายจะร่วงตกไปอยู่ปลายเท้าเมื่อเงาของปานตะวันหลังผ้าม่านหายไป
แบบนี้แปลว่าอะไร...แปลว่าไม่พร้อมฟังแล้วก็ยังไม่พร้อมจะยกโทษให้กันใช่ไหม
“ตะวัน...ปานตะวัน”
ชายหนุ่มร่างสูงเรียกชื่อคนรักแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยินเพราะเสียงของเขามันไม่ได้ดังไปกว่าเสียงกระซิบสักเท่าไหร่
ราเมศวางมือลงบนประตูรั้วเย็นเฉียบ จริงอยู่ที่ว่าเขามีกุญแจ ไขเปิดเข้าไปได้เองทุกเมื่อแต่ราเมศไม่อยากทำอย่างนั้น เขาบอกปานตะวันไปแล้วว่าอยากให้อีกฝ่ายลงมาเปิดให้ด้วยตัวเอง ประตูรั้วบานนี้ก็เหมือนหัวใจของปานตะวันที่กำลังโกรธเขาและไม่อยากรับฟังอะไร ราเมศอยากให้ปานตะวันเปิดใจแล้วก็ยกโทษให้เขาด้วยตัวเอง ให้ปานตะวันเลือกว่าเขาจะได้เข้าไปอธิบายทุกสิ่งให้เจ้าตัวฟังหรือไม่ เขาอยากให้ปานตะวันเป็นคนตัดสินใจว่าจะยกโทษให้หรือเปล่าไม่ใช่ตัวเขาดึงดันจะเข้าไป
ถ้าตะวันยังไม่พร้อมพรุ่งนี้เขาจะมาใหม่ จะง้อไปเรื่อยๆ จนกว่าเด็กคนนั้นจะเปิดใจให้กันอีกหน
มือใหญ่ขยี้เส้นผมสีดำจนยุ่งเหยิง ราเมศหมุนตัวกลับเตรียมจะเดินกลับไปบ้านตัวเองแต่แล้วเสียงก็อกแก็กเหมือนมีใครขยับกุญแจก็ดังมาจากอีกฝั่งของบานประตู ชายหนุ่มหมุนตัวกลับไปเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูรั้วถูกเลื่อนเปิดออกพอเป็นช่องให้เดินเข้าไปได้
ราเมศรีบเดินเข้าไปด้านในทันที ปานตะวันพอเปิดประตูให้เขาเสร็จก็หมุนตัวเดินกลับขึ้นเรือนไปทิ้งให้คนรักเป็นฝ่ายคล้องกุญแจกลับเข้าที่แล้วก็วิ่งตามขึ้นเรือนไทย
ปานตะวันสาวเท้าเร็วๆ จะตรงดิ่งกลับห้องนอนแต่โชคร้ายที่ขาเขามันยาวไม่เท่าราเมศที่เดินเร็วหน่อยก็คว้าตัวเขาไว้ได้แล้ว
ราเมศจับลูกแมวน้อยของเขาได้ที่ห้องนั่งเล่น ชายหนุ่มรวบกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นจนแผ่นหลังของปานตะวันแนบชิดกับอกของเขา
“ตะวัน” เสียงทุ้มกระซิบอยู่ข้างหูเรียกสติปานตะวันที่ยืนตัวแข็งอยู่ให้กลับเข้าร่าง เจ้าของชื่อดิ้นขลุกขลักแต่ยิ่งดิ้นอ้อมแขนของราเมศก็ยิ่งรัดแน่นขึ้น เขาจะไม่ให้ปานตะวันหลุดไปได้จนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง
“ปล่อยก่อน หายใจไม่ออก”
ได้ยินดังนั้นคนตัวโตจึงคลายอ้อมกอดให้....แต่ก็แค่นิดเดียว
“พี่เมศ” ปานตะวันเสียงเข้มขึ้น “ตะวันหมายถึงให้ปล่อยมือ”
“ไม่ จนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง”
คนตัวเล็กกว่าถอนหายใจ ปลายนิ้วเรียวเกาจมูกตัวเองอย่างคนที่ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตรงหน้าดี สุดท้ายปานตะวันก็พยักหน้า
“โอเคครับ เราจะคุยกันแต่ขอให้ผมเดินไปเปิดไฟ เปิดพัดลมแล้วก็นั่งคุยกันที่โซฟาดีไหม ยืนแบบนี้มันเมื่อยแถมยุงกัดอีก”
หลังจากพูดจบปานตะวันก็ปลดแขนราเมศออกจากเอวของตนได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มทำตามที่พูดก่อนจะกลับมาหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟานุ่มๆ ข้างกายคนผิวแทน
“แล้วมีอะไรจะพูดเหรอครับ”
“เรื่องวันนี้ที่ไม่ได้มากินข้าวเย็นด้วย”
ปานตะวันเลิกคิ้วเป็นเชิงให้อีกฝ่ายพูดต่อ ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักโซฟา กอดอก หรี่ดวงตาลงเล็กน้อยขณะรอคอย ไม่รู้ทำไมแต่ท่าทางนั้นทำให้ราเมศรู้สึกว่าปานตะวันดูเหมือนแมวจอมหยิ่งมากขึ้นไปอีก
“พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้มา ขอโทษที่ไม่ได้ส่งข้อความหรือโทรมาหาด้วยเพราะโทรศัพท์แบตหมด ชาร์จทิ้งไว้ในบ้าน”
ปานตะวันลอบกลอกตา ใจจริงก็อยากจะโกรธนานกว่านี้แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาสำนึกผิดแบบที่เห็นไม่บ่อยนักจากราเมศแล้วเขาก็ใจอ่อน
อันที่จริงมันก็แค่เรื่องเล็กน้อย โกรธนิดงอนหน่อยพอเป็นพิธี ฟังเหตุผล ขอโทษกันแล้วก็คืนดีให้มันจบไปจะดีกว่ามานั่งยืดเยื้อให้เหนื่อยใจเล่น ปานตะวันเป็นพวกโกรธง่ายหายเร็ว เรื่องวันนี้เขายอมรับว่าหงุดหงิดและน้อยใจแต่เมื่อเห็นราเมศยอมลงให้เขาขนาดนี้ ยอมขอโทษแล้วก็อธิบายความโกรธในใจมันก็ปลิวหายไปหมด
“แต่ก่อนออกไปเดินมาบอกสักนิดก็ได้นี่ครับ”
“ขอโทษจริงๆ ตอนนั้นมิ้นต์เร่งพี่ไม่หยุดมันก็เลย...ไม่ทันคิด”
ปานตะวันพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ราเมศรีบจับมืออีกฝ่ายไว้แน่น “ขอโทษ” เขาพูดย้ำ เผยความจริงใจออกทางสีหน้าและแววตา
ราเมศไม่ชอบการทะเลาะกับปานตะวัน จริงอยู่ที่เมื่อก่อนพวกเขาเถียงกันบ่อยครั้งแต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว ชายหนุ่มพบว่าเขาแคร์ความรู้สึกปานตะวันมากกว่าที่ตัวเองคิด
ไม่ชอบเห็นคนรักหงุดหงิด ไม่ชอบเห็นคนรักไม่สบายใจแล้วก็ยิ่งไม่ชอบตอนที่เถียงกันแรงๆ จนปานตะวันน้ำตาคลอ
สิ่งที่เขาชอบและอยากเห็นที่สุดคือรอยยิ้มของเด็กคนนี้ต่างหาก
และแน่นอนว่าครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายผิด ราเมศยอมรับอย่างไม่เกี่ยงงอน อะไรที่เขาทำผิดเขาก็ยอมรับเช่นเดียวกับเวลาที่ปานตะวันทำผิด นี่เป็นข้อตกลงระหว่างเราทั้งคู่
ถ้าใครคนใดคนหนึ่งทำผิดให้อีกคนใจเย็นๆ จากนั้นก็หันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกันดีๆ
จะต้องไม่มีการตวาด ตะคอก ใช้ถ้อยคำหยาบคาบหรือการใช้กำลัง
ถ้าเรื่องไหนโกรธนานก็ให้หลบหน้าไปก่อนแต่ห้ามหนีหายไปนอนข้างนอกโดยไม่บอกกล่าว พวกเขาต้องจำไว้ว่าคนที่ตัวเองทะเลาะอยู่ด้วยไม่ใช่แค่แฟนหรือคนรักแต่เป็นคนในครอบครัว
“ขอโทษ”
กับคนอื่นคำว่าขอโทษบางครั้งก็เป็นคำที่เอ่ยออกมายากที่สุดเพราะใจไม่ยอมรับผิด แต่สำหรับคนสำคัญแล้ว ทิฐิหรือความดื้อดึงต่างๆ ล้วนถูกวางกองไว้แทบเท้า
คำขอโทษจะถูกกลั่นจากหัวใจก่อนเปล่งออกมาเป็นคำพูดได้อย่างง่ายดาย
นัยน์ตาสองคู่สบกันนิ่งแล้วรอยยิ้มน้อยๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปากได้รูปของปานตะวัน
“ครับ ยกโทษให้”
“เฮ้อ”
ราเมศพรูลมหายใจออกมา ความรู้สึกหนักอึ้งในอกหายวับไปทันที ชายหนุ่มโถมตัวกอดคนรักเอาไว้ พิงศีรษะเข้ากับอกปานตะวันส่วนแมวเหมียวที่กลับมาอารมณ์ดีก็ยินยอมให้เขาคลอเคลีย มือของปานตะวันสอดเข้าไปเกี่ยวพันเส้นผมของเขาเล่นแล้วก็เปลี่ยนเป็นลูบเบาๆ
“ตะวัน”
“หืม”
“หิว”
มือที่ลูบผมอยู่เลื่อนมาที่ไหล่เพื่อดันเขาออก ปานตะวันทำปากยื่น “หิวอะไร กินกุ้งเผามาไม่พอหรือไง”
“รู้ได้ยังไงว่าจะไปกินกุ้งเผา” คราวนี้ราเมศเป็นฝ่ายแปลกใจบ้าง ปานตะวันยกมือนวดที่หัวคิ้วพลางตอบ “ได้ยินที่คุยกันพอดี ตอนนั้นตะวันยืนอยู่ตรงประตูรั้วกำลังจะมาตามพี่ไปกินข้าว” คนตัวเล็กเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะเหน็บกลับมาอีกประโยค “แล้วเป็นไง กุ้งอร่อยไหมล่ะ”
“ไม่อร่อย กับข้าวฝีมือนายอร่อยกว่า”
“เว่อร์”
ปานตะวันผลักราเมศออกแล้วก็ลุกเดินไปทางครัว ตอนนี้ดึกมากแล้วชายหนุ่มจึงไม่ได้ทำอะไรนอกจากต้มมาม่า ปานตะวันหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หมูและไข่ออกมาจากตู้เย็น
“เอากุ้งไหมพี่เมศ”
“ไม่ล่ะ ไม่เอากุ้งแล้ว”
ปานตะวันหัวเราะกับสีหน้าเหมือนคนอยากตายของราเมศ ระหว่างที่เขายืนอยู่หน้าเตาเพื่อรอน้ำเดือดคนผิวแทนก็ตรงเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง ราเมศเกยคางลงบนศีรษะทุย พวกเขายืนอยู่ด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันแต่อ่อนโยน
“แล้วพี่จะไม่บอกผมเหรอว่าผู้หญิงที่ชื่อมิ้นต์เป็นใคร”
“รอนายถามอยู่”
“บ้าบอ!”
ปานตะวันแยกเขี้ยว ถองศอกใส่คนด้านหลังไปทีนึงเบาะๆ พอได้แก้แค้นแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มสะใจ
“แล้วจะบอกได้หรือยัง”
ราเมศหยิกแก้มคนรักอย่างหมั่นเขี้ยว เขาโน้มตัวลงหมายจะแอบจูบริมฝีปากช่างซักนั้นแต่คนตัวเล็กดันรู้ทันเลยเบือนหน้าหนี ปานตะวันตะปบมือปิดริมฝีปากเขาไว้ ขมวดคิ้วฉับพลางจ้องเขม็งด้วยสายตาคาดคั้น
“อย่าบ่ายเบี่ยง ตอบมาเลยนะว่าใคร”
ราเมศจูบลงที่กลางฝ่ามือของคนรักเป็นเชิงเอาใจก่อนตอบ “น้องสาวครับ”
“เชื่อตาย” ปานตะวันกลอกตาพลางตอกไข่ใส่ลงในหม้อ ตอนนี้อะไรอยู่ใกล้มือเขาก็โยนมันลงหม้อต้มหมดนั่นแหละเดี๋ยวก็สุกเอง
“จริงๆ น้องสาวแท้ๆ คลานตามกันมาเลย ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวให้ดูหลักฐาน”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ผละไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาเปิดเข้าแชทกลุ่ม ‘ครอบครัวน่ารัก’ ซึ่งประกอบไปด้วยไลน์ของพ่อ แม่ และ ‘MINT the Beautiful Girl’
“อ่านนี่นะ”
ราเมศเลื่อนไปจนถึงข้อความหนึ่งแล้วส่งให้ปานตะวันรับไปอ่าน
พ่อ : เมศ วันเกิดปีนี้จะขึ้นมาไหม 17:15
แม่ : นั่นสิ มานะลูก แม่กับพ่ออยากเจอ 17:17
Rames : เมศยังไม่แน่ใจนะครับ ไหนจะร้านอีก ทิ้งไปนานๆ ไม่ได้ด้วย 17:17 Read
พ่อ : วันเกิดแกมันช่วงปีใหม่ ใจคอจะไม่ปิดร้านให้พนักงานกลับบ้านเลยหรือไง มาเถอะน่า พวกฉันคิดถึง พาหนูเจียของแกมาด้วยก็ได้ 17:30
Rames : งั้นผมคงต้องถามน้าชายของเขาก่อน ไม่รู้เขาจะสะดวกไหม ถ้าเป็นไปได้ก็อยากพามาให้ได้ทั้งคู่ 17:31 Read
พ่อ : ทำไม? 17:33
พ่อ : *ส่งสติ๊กเกอร์หมีงง* 17:33
Rames : เพราะเขาเป็นแฟนผม 17:40 Read “พ...พี่เมศ...นี่มัน”
“มีอีกนะ”
ราเมศเลื่อนข้อความให้ปานตะวันอ่านต่อ คราวนี้เป็นผู้หญิงที่ชื่อมิ้นต์ส่งรูปถ่ายอาหารและรูปตอนตัวเองนั่งกินข้าวกับราเมศเข้าไปในไลน์กลุ่มตามด้วยข้อความยาวเหยียดใจความว่า
MINT the Beautiful Girl : แม่ พ่อ อาหารอร่อยมาก มื้อนี้พี่เมศเลี้ยง มิ้นต์จะถล่มให้เต็มที่เลย 55555 แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ของฝากส่งถึงมือพี่เมศเรียบร้อย 19:23
แม่ : แล้วคืนนี้มิ้นต์จะนอนที่ไหนลูก 19:23
MINT the Beautiful Girl : บ้านพี่เมศแหละ 20:11
MINT the Beautiful Girl : เอ้อ พ่อ แม่ มิ้นต์เห็นคนที่ชื่อตะวันแล้วนะ ที่เป็นแฟนพี่เมศ หน้าตาดีอยู่นะแต่ไม่รู้นิสัยเป็นไง สงสัยต้องให้พี่พาไปแนะนำตัวกับพ่อแม่เอง อิ___อิ 20:12
พ่อ : จะมาเมื่อไหร่ก็มา เดี๋ยวจองตั๋วเครื่องบินให้ โอเคนะ 20:30
พ่อ : พาแฟนแกมาด้วยนะไอ้เมศ ฉันอยากเจอหน้า 20:30 ข้อความสิ้นสุดลงตรงที่พี่เมศกดส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับไป ปานตะวันอ้าปากค้าง สติบินออกจากร่างเรียบร้อยแล้ว
“พี่เมศ...นี่มัน...นี่มันอะไรกัน”
“ก็อย่างที่เห็น” ราเมศตอบด้วยท่าทางสบายๆ มื้อดึกของเขาสุกแล้ว ชายหนุ่มเดินเอื่อยๆ ไปยกหม้อลงจากเตาก่อนจะเดินไปหยิบชามกับช้อนมาวางลงบนโต๊ะ เตรียมกินอาหาร
“ก็อย่างที่เห็นเรอะ ทำไมยังทำใจเย็นอยู่ได้เนี่ย นี่มันเข้าขั้นหายนะแล้วนะ!” มือของปานตะวันสั่นระริก เขาแทบจะหมดแรงยืน ท่าทางแบบนั้นทำให้คนตัวสูงอดขำไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พ่อกับแม่พี่ใจดี ไม่ดุหรอกอีกอย่างพวกท่านค่อนข้างเปิดกว้าง ไม่ต้องกังวล เขาแค่อยากรู้จักตะวันแค่นั้นเอง”
“แล้ว...แล้วถ้าพ่อแม่พี่ไม่ชอบตะวันล่ะ”
“พวกเขาจะชอบ”
“มั่นใจอะไรขนาดนั้น”
“มั่นใจสิ...เพราะพี่ชอบตะวันไง”
ลูกแมวน้อยของเขาแก้มแดงแจ๋ รีบสไลด์โทรศัพท์คืน ราเมศรับไว้ทันก่อนที่มันจะหล่นจากโต๊ะ ชายหนุ่มวางมือถือไว้ไกลๆ จะหว่างที่คีบเส้นมาม่าจากหม้อมาใส่ถ้วย นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองปานตะวันที่นั่งหันหน้าไปทางอื่น พยายามซ่อนผิวแก้มแดงๆ เอาไว้จากสายตาเขา
แก้มขาวๆ แต้มสีแดงระเรื่อ...น่างับชะมัด...น่ารักจนอยากหยอกให้เขินมากกว่าเดิม
“ตะวัน กินด้วยกันไหม” ราเมศเท้าคาง เอ่ยชวนด้วยใบหน้ายิ้มๆ
“ไม่เอา ผมอิ่มแล้ว”
“พี่ก็อิ่มแล้ว น่านะ ช่วยกันหน่อย”
“แล้วให้ต้มทำไมตั้งสองซอง”
“ก็ต้มเผื่อนายจะกินด้วย” ราเมศลุกไปหยิบชามกับช้อนมาวางตรงหน้าปานตะวัน เด็กน้อยของเขาทำท่าฮึดฮัดชายหนุ่มจึงจูบเบาๆ ลงที่แก้มนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย
“เราต้องกินข้าวเย็นด้วยกันไม่ใช่เหรอ”
เสียงทุ้มนุ่มเจือแววออดอ้อนดังชิดริมหู ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดผิวเนื้อทำให้ปานตะวันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะละลายไหลไปกองกับพื้น
“ร...รู้แล้วครับ พอแล้ว ถอยออกไปก่อน!”
ปานตะวันหยิบตะเกียบขึ้นมาแต่มือไม้เขามันดันอ่อนแรงจนตะเกียบร่วง ชายหนุ่มผมน้ำตาลแทบอยากมุดโต๊ะหนี สาบานได้ว่าเขาได้ยินพี่เมศหลุดขำด้วย ให้ตายเถอะ!
แมวจอมแสบที่พ่ายแพ้ทาสแมวราบคาบยอมนั่งกินมื้อดึกเป็นเพื่อนอีกฝ่าย ระหว่างนั้นปานตะวันก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ในแชทไลน์ที่ราเมศให้อ่านดูเหมือนจะพูดถึงวันเกิดพี่เมศด้วยสินะ...จะว่าไปเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าราเมศเกิดวันไหน ถ้าจำไม่ผิดปานตะวันก็ไม่เคยบอกวันเกิดตัวเองให้อีกฝ่ายทราบเหมือนกัน
“ว่าแต่พี่เมศเกิดช่วงปีใหม่เหรอ”
“ใช่ เกิดตอนเที่ยงคืนของวันที่ 1 มกราคม พอดี”
“โห จะว่าไปตะวันก็เกิดช่วงปีใหม่นะ สิบสามเมษา ปีใหม่ไทย”
“แล้วทำไมไม่ชื่อสงกรานต์”
“ทีแม่พี่ยังไม่ตั้งชื่อพี่ว่าปีใหม่เลย”
พวกเขายิ้มให้กัน ต่อบทสนทนาไร้สาระบนโต๊ะอาหารให้ยืดยาวออกไปอีก รู้ตัวอีกมาม่าสองห่อในหม้อก็ถูกกวาดเรียบไม่เหลือแม้แต่น้ำ ปานตะวันเป็นคนเก็บล้างจานชามส่วนราเมศก็ยืนกอดเอวเขาอยู่ ปลายจมูกกับริมฝีปากคลอเคลียอยู่ที่ลาดไหล่
“นี่ตะวัน ขอของขวัญวันเกิดได้ไหม”
“ยังไม่ทันจะถึงเลย ขอล่วงหน้าแล้วเหรอ”
“ใช่ ให้ได้ไหมล่ะ”
“อยากได้อะไรล่ะครับ อย่าแพงมากนะ กระผมเงินเดือนน้อย”
เสียงทุ้มหัวเราะแผ่วๆ ในลำคอ ราเมศเกยคางลงกับบ่าคนรักจมูกสูดกลิ่นสบู่เจือจางบนผิวเนื้อ
“ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากให้ตะวันไปเจอครอบครัวพี่ด้วยกัน” มือขาวที่กำลังคว่ำชามลงในตะกร้าชะงัก ปานตะวันเบี่ยงหน้ากลับไปมองคนพูด “พี่เอาจริงใช่ไหม”
“จริงสิ กับเรื่องของเราพี่จริงจังเสมอนั่นล่ะ”
“ปากหวาน น่ากลัวมดจะขึ้น”
“ปกติก็พูดแบบนี้”
“ไม่ใช่ซักหน่อย ปกติเอาแต่ทำหน้าเครียดแล้วก็ดุตะวัน”
ประโยคล้อเลียนนั่นก็ไม่ได้เกินจริงสักเท่าไหร่ ราเมศต่อหน้าคนอื่นน่ะยักษ์วัดแจ้งชัดๆ แต่พออยู่กันสองคนจากเสือก็กลายเป็นทาสแมวอย่างที่เห็น
“แล้วจะไปไหมครับ”
เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเช็ดมือกับผ้าผืนเล็กแล้วพลิกกายกลับมาเผชิญหน้ากับคนรัก แผ่นหลังของปานตะวันติดกับเคาน์เตอร์ครัวส่วนสองแขนของราเมศก็เท้าคร่อมเอาไว้ กักร่างเล็กๆ ของแมวแสบไว้ในอ้อมแขน
ปานตะวันมองสบนัยน์ตาสีนิลติดดุที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็เปิดเผยจริงใจกับเขาอย่างรักใคร่ ชายหนุ่มเขย่งเท้าขึ้นแตะจูบลงบนริมฝีปากราเมศเบาๆ
“ถ้าพี่เมศจริงจังผมก็จริงจัง ตกลงครับ เราจะไปพบครอบครัวของพี่ด้วยกัน”
********************************************************
ช่วงนี้แบบว่ามันก็จะขยันๆ หน่อยค่ะ 55555555
เขียนตอนนี้แล้วรู้สึกฮีลลิ่งมากกกกกก พี่เมศขา พี่จะแพ้ทางปานตะวันอะไรขนาดนั้นคะ ฮ่าๆ
เขียนไปก็รู้สึกว่าพี่เมศตอนง้อแมวตัวเองคือน่ารัก ดีงาม สมฉายาทาสแมวไปอีก
ตอนนี้โปรยปรายความหวานไว้คะ จะให้เขาหยอดกันจนกว่าน้ำตาลจะขึ้น (โดนดีดออกนอกโลก)
ไม่ใช่แล้ว ฮ่าๆ เอาเป็นว่าตอนนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการอ่านนะคะ ขอให้ความหวานและความรักขึ้นตา
อ่านแล้วคิดเห็นยังไงสามารถบอกเราได้นะคะ รักคนอ่านทุกคน พบกันใหม่ตอนหน้าค่ะ จุ๊บ
ปล. สามารถติดตามข่าวสารนิยายได้ที่หน้าเพจ AzureDream นะคะ