ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ปานตะวัน ▪☀▫ บทพิเศษที่ ๔ Christmas Gifts (๒๕/๑๒/๖๐) [จบ]  (อ่าน 134033 ครั้ง)

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
หวานจนบิด สองคู่ชูชื่น
55+

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๙
ทาสแมว


         พักนี้ปานตะวันเหม่อลอยบ่อยๆ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงหยุดอาการแบบนี้ไม่ได้ แต่พอว่างทีไรในหัวของเขาก็จะวกกลับไปถึงเรื่องในคืนนั้น คืนที่เขากับราเมศจูบกันอยู่ในรถ ผ่านมาเกือบอาทิตย์แล้วก็จริง แถมนอกจากครั้งนั้นราเมศก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะแตะเนื้อต้องตัวเขาอีกแต่ปานตะวันก็หยุดคิดไม่ได้จริงๆ
   
         นี่ไม่ใช่จูบแรกของเขาหรอก  ปานตะวันเคยจูบมาแล้วหลายครั้ง แต่...ไม่รู้สิ เหมือนกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาจำสัมผัสนั้นได้ขึ้นใจ จำได้แม้กระทั่วจังหวะหัวใจที่เต้นถี่เร็วและอาการร้อนวูบไปใบหน้าเมื่อเลือดฉีดขึ้นพวงแก้มขาวจนมันแดงระเรื่อ
   
        ไม่ใช่จูบแรกแท้ๆ แต่กลับคิดถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมหน้าคนต้นเรื่องมันยังวนเวียนอยู่ในหัว สลัดเท่าไหร่ก็ไม่หลุดจนเขาจะเป็นบ้าแล้วเนี่ย!
   
        “ตะวัน!” เสียงเรียกของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งดังขึ้นใกล้ๆ “เหม่ออะไรของนายหา เวลาแบบนี้แท้ๆ” ปานตะวันสะดุ้งเฮือก หันไปมองรอบๆ แล้วก็นึกได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในเวลาทำงาน แล้วก็เป็นช่วงที่ลูกค้าแน่นร้านมากที่สุดด้วย ปานตะวันรีบก้มหัวขอโทษขอโพยเพื่อนที่มองมาอย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็รีบไปเก็บจานจากโต๊ะที่ทานเสร็จแล้ว เช็ดโต๊ะให้ลูกค้า แล้วก็เสิร์ฟอาหารต่ออย่างขยันขันแข็ง
   
         แต่ถึงตัวจะยุ่งแค่ไหน พยายามดึงสติให้โฟกัสกับงานยังไงแต่ใบหน้าของราเมศกับจูบหวานๆ เมื่อหลายวันก่อนก็โผล่เข้ามาในหัวอีกครั้งและอีกครั้ง ทำใจให้สงบไม่ได้เลยจริงๆ
   
        “ปานตะวัน นายเสิร์ฟอาหารผิดโต๊ะแล้ว นั่นของโต๊ะสาม!”
   
        “ขอโทษครับ!!”
   
        ให้ตาย...ถ้าทำพลาดบ่อยๆจน โดนไล่ออกนะ จะไปรีดเงินไอ้พี่เมศมาให้หมดเลย แต่ไอ้พี่เมศมันก็เจ้าของร้านนี่หว่า แปลว่าคนไล่เขาออกก็คือพี่เมศ...ฮือ ปานตะวันอยากตาย
   
       ทำงานไปร้องโวยในใจไปจนลูกค้าเริ่มซา พอช่วงบ่ายสองปานตะวันเลยได้มีเวลาพักหายใจ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกๆ ยกแขนเสื้อขึ้นซับเหงื่อ เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่นั่งโต๊ะตรงข้ามหยิบเอาแก้วใส่น้ำมาให้
   
       “เอ้า กินซะ”
   
      “ขอบใจ”
   
       “ช่วงนี้เป็นอะไร ไม่สบายเหรอ ดูเหม่อบ่อย หน้าก็เดี๋ยวซีดเดี๋ยวแดงอย่างกับคนป่วย”
   
       “เปล่า...แค่...เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ โทษทีนะ”
   
       คนผมน้ำตาลก้มหน้าก้มดูดน้ำเข้าไปจนแก้มป่อง วันนี้อากาศร้อน ลูกค้าก็เยอะ ปานตะวันหัวหมุนอยู่เกือบค่อนวัน
   
       “พักบ้างน่ะเว้ย ไม่ใช่ทำงานอยู่แล้วล้มตึงไป มันจะแย่เอา”
   
       “ขอบใจ”
   
       ชายหนุ่มกับเพื่อนร่วมงานนั่งคุยกันอยู่พักหนึ่งจนอีกฝ่ายขอตัวไปห้องน้ำ พอเพื่อนลุกไปปานตะวันก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยความอ่อนเพลีย พักนี้เขานอนดึกเกือบทุกคืน ไม่รู้ทำไมแต่พอจะหลับตาใบหน้าของราเมศก็แวบเข้ามาในหัวพร้อมเรื่องต่างๆ นาๆ พยายามข่มตาหลับก็ทำไม่ได้ สุดท้ายก็ได้แต่ลากสังขารเบลอๆ มึนๆ มาทำงาน
   
       ครืด
   
       เสียงลากเก้าอี้ดังจากฝั่งตรงข้าม ปานตะวันก็คิดไปว่าเพื่อนกลับมาแล้วจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นจนกระทั่งฝ่ามือใหญ่วางลงบนศีรษะพร้อมเสียงทุ้มที่ดังขึ้น
   
       “เป็นอะไรไป เหนื่อยเหรอ”
   
        เท่านั้นเองร่างเล็กที่ฟุบอยู่ก็กระเด้งตัวลุกขึ้นประหนึ่งมีคนเอาเข็มมาทิ่ม ราเมศมองใบหน้าน่ารักที่แฝงแววแตกตื่นอย่างนึกสนุก ดูสิ ทำหน้าอย่างกับเห็นผี
   
        “พี่เมศ” ปานตะวันพูดเบาๆ “ม..มาทำอะไรตรงนี้ครับ”
   
        “มานั่งพักเหนื่อยไง ทำไม ร้านนี้มีกฎเหรอว่าเจ้านายนั่งพักไม่ได้” พูดพลางเท้าคางมองยิ้มๆ แล้วก็ได้รับสายตาวาววับเอาเรื่องกลับมา
   
        “เปล่าซะหน่อยครับ แค่แปลกใจว่าพี่มานั่งตรงนี้ทำไมต่างหาก” ตรงที่เขานั่งอยู่เนี่ย
   
        “ทำไม ไม่อยากเห็นหน้าพี่เหรอ”
   
        “ไม่อยากหรอก” ริมฝีปากเล็กๆ เชิดขึ้นทันที ใครจะไปอยาก แค่เห็นหน้าอยู่ในหัวทั้งวันทั้งคืนก็แย่แล้ว ราเมศที่ได้ยินดังนั้นก็หลุดยิ้มขำ เอื้อมมือไปบีบปากเป็ดนั่นอย่างหมั่นเขี้ยว “ทำไม ไม่ชอบพี่เหรอ”
   
        “ไม่ชอบ”
   
        “อ้าว ไหนตอนไปทะเลยังบอกหวั่นไหวอยู่เลย”
   
        “ไอ้พี่เมศ มาพูดอะไรที่นี่เนี่ย”
   
        ดวงตาโตกวาดมองไปรอบๆ กลัวว่าเพื่อนร่วมงานจะมาได้ยิน คนที่นี่ยังไม่รู้ว่าเขากับราเมศมีความสัมพันธ์กันแบบไหน แต่ปานตะวันก็ไม่อยากให้รู้หรอก เขาไม่อยากโดนนินทาและไม่อยากให้ใครมาว่าพี่เมศเสียๆ หายๆ ด้วย
   
         “ไม่มีใครได้ยินหรอกน่า แล้วก็อย่าเปลี่ยนเรื่อง ไหนตอนไปทะเลบอกหวั่นไหว ไม่ชอบพี่แล้วเหรอ แต่คืนนั้นในรถเรายังจูบกันอยู่เลยนะ”
   
        ประโยคสุดท้ายร่างสูงยื่นใบหน้ามากระซิบเสียงแผ่วที่ข้างหู แถมจมูกโด่งๆ นั่นก็แกล้งเฉียดเข้าใกล้แก้มของเขาอีก ปานตะวันถลึงตาใส่ราเมศ ทำท่าเหมือนอยากจะลุกไปฆาตกรรมคนช่างฉวยโอกาสนักหนา
   
        “หน้าโบกด้วยคอนกรีตหรือไงหา พูดออกมาได้”
   
        “ไม่ชอบเหรอ”
   
        “เออ ก็พี่นิสัยแบบนี้ไง ไม่ชอบแล้ว”
   
        “เปล่า” ราเมศเอ่ยเรียบๆ แต่ดวงตามีประกายเจ้าเล่ห์อยู่ทำเอาปานตะวันร้อนๆ หนาวๆ
   
        “พี่หมายถึงนายไม่ชอบ ‘จูบ’ ของเราเหรอ”
   
        โครม!
   
       “เฮ้ย ตะวันเป็นอะไรหรือเปล่า”
   
        ราเมศผุดลุกขึ้น รีบร้อนไปดูปานตะวันที่นั่งเบลออยู่กับพื้น พอถูกจู่โจมด้วยประโยคแสนร้ายกาจนั่นแล้วปานตะวันก็หน้าแดงแจ๋ หงายหลังตึงลงไปเลย พนักงานคนอื่นที่ได้ยินเสียงโครมครามก็รีบโผล่หน้าออกมาดู พอเห็นปานตะวันนั่งกองกับพื้นก็พากันตกใจ
   
       “เฮ้ยตะวันเป็นไรเปล่า”
   
       “ว้าย น้องตะวัน ไม่สบายหรือเปล่าคะ”
   
       “บอกแล้วว่าให้พักบ้าง”
   
        ใครต่อใครช่วยฉุดปานตะวันขึ้นจากพื้นในขณะที่เจ้าตัวยังดูงงไม่หาย “เป็นอะไรหรือเปล่า” ราเมศซ่อนรอยยิ้ม มองสำรวจร่างเล็กๆ เพื่อดูว่าไม่มีรอยช้ำตรงไหน
   
       “ม..ไม่เป็นไรครับ พอดีตะวันนั่งโยกเก้าอี้แล้วมันหงายหลัง ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ” เจ้าตัวแสบหันไปขอโทษขอโพยทุกคน ซึ่งพอได้ฟังเหตุผล(ที่กุขึ้น)ทุกคนก็ดูโล่งอก ประกอบกับมีลูกค้ากลุ่มหนึ่งเข้ามาที่ร้าน พนักงานและเจ้าของร้านจึงกลับเข้าประจำที่
   
        แต่ตอนที่ราเมศกำลังจะหมุนตัวกลับไปที่ครัวนั่นเอง ข้อมือของเขาก็ถูกรั้งเอาไว้ พอหันไปมองก็พบปานตะวันยืนหน้าแดงอยู่ ชายหนุ่มร่างเล็กกระตุกข้อมือเขาเบาๆ เป็นเชิงให้เขยิบไปใกล้ ปานตะวันยื่นหน้ามากระซิบเสียงเบาด้วยประโยคที่เอาราเมศใจเต้นจนสติแทบไม่อยู่กับตัว
   
        “ผมก็...ไม่ได้ไม่ชอบนะ ‘จูบ’ น่ะ”
   
         หลังเลิกงานวันนั้นปานตะวันกับหนูเจียยืนรอราเมศอยู่ หลังจากเก็บครัวและจัดการปิดไฟและปิดส่วนอื่นๆ ของร้านเรียบร้อย ราเมศก็พาหนูเจียกับปานตะวันกลับบ้าน ตลอดทางมีเสียงพูดเจื้อยแจ้วของหลานชายเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียน ปานตะวันฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง หัวเราะบ้าง
   
         พักหลังหนูเจียดูมีความสุขมากขึ้น ไม่งอแง ไม่เอาแต่เก็บตัวเงียบ เริ่มกลับไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้เหมือนเดิมแล้ว นั่นก็ทำให้ปานตะวันกับราเมศหายห่วง เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่พี่จันทร์เสียใหม่ๆ คุณครูประจำชั้นหนูเจียเล่าว่าเจียหลินเอาแต่ซึมเศร้า ไม่เล่นกับเพื่อนหรือใครเลย บางทีก็ร้องไห้หาแม่
   
        “โชคดีที่หนูเจียมีคุณ ไม่งั้นน้องอาจแย่กว่านี้ค่ะ” คุณครูน้ำมนต์ยิ้มให้ปานตะวันหลังเล่าเรื่องราวทั้งหมด และนั่นก็ทำให้ปานตะวันรู้สึกดีที่ไม่ทิ้งเจียหลินไป
   
       “อ๊ะ น้าตะวันดูสิ มีม้าหมุนด้วย” เสียงตื่นเต้นของหนูเจียทำให้ปานตะวันหลุดออกจากภวังค์ พอมองออกไปนอกหน้าต่างรถก็พบว่าพวกเขาขับผ่านบริเวณวัดที่วันนี้กำลังมีงาน ภายในลานมีทั้งร้านขายของกิน ร้านปาลูกโป่ง ร้านระบายสีปูนปลาสเตอร์ ม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์ บ้านลม และอื่นๆ อีกมากมาย
   
        “น้าเมศ น้าตะวันนน” พอได้ยินเสียงออดอ้อน ราเมศกับปานตะวันก็หันมามองหน้ากันอย่างรู้ทันหลานชายตัวน้อย ทำเสียงแบบนี้...อยากไปเที่ยวชัวร์
   
        “อยากไปเที่ยวเหรอครับ”
   
        “อื้อ หนูเจียอยากเล่นบ้านลม”
   
        ปานตะวันหันไปมองราเมศเป็นเชิงถาม ชายหนุ่มตัวโตก็ให้คำตอบด้วยการเปิดไฟเลี้ยวแล้วเลี้ยวเข้าไปในลานที่มีรถจอดอยู่ โชคดีที่บริเวณหน้าวัดรถติด พวกเขาเลยมีเวลาตัดสินใจและเลี้ยวรถเข้าไปยังบริเวณที่มีงานทันเวลา
   
        “วันนี้กินข้าวนอกบ้านแล้วกัน” ราเมศพูดกับปานตะวัน ซึ่งเขาก็เห็นด้วย “ดี ตะวันขี้เกียจล้างจาน”
   
       “หึๆ”
   
        คนตัวโตยีผมเขาอย่างเอ็นดูก่อนจะอุ้มเจียหลินขึ้นมาเพราะในงานคนเยอะ ถ้าจับมือก็กลัวจะหลงกัน เจียหลินกอดคอราเมศแล้วก็พูดว่า “น้าเมศ ขี่คอๆ”
   
        “หืม แต่หนูเจียตัวหนัก น้าเมศเมื่อยนะครับ”
   
        “ไม่น้า หนูเจียไม่หนัก ขี่คอนะครับ น้า”
   
        เจอตาแป๋วๆ แก้มป่องๆ รอยยิ้มอ้อนๆ เข้าไปใครจะอดใจไหว ราเมศยอมให้หนูเจียขี่คอ เจ้าตัวเล็กที่ได้อยู่สูงๆ ก็หัวเราะคิกคัก ชี้ร้านนู้นร้านนี้อย่างมีความสุข
   
       “ตะวันหิวหรือยัง” ปานตะวันที่กำลังสอดส่ายสายตาหาร้านอาหารเป็นอันดับแรกพยักหน้า ราเมศเองก็ช่วยมองหาด้วย “แล้วอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม”
   
       “ตะวันอยากกินขนมจีน”
   
       ในไม่ช้าพวกเขาก็เจอร้านขายขนมจีนร้านใหญ่เปิดอยู่ไม่ไกล นอกจากขายขนมจีนแล้วร้านนี้ยังขายข้าวขาหมูด้วย ปานตะวันเลยสั่งขนมจีนสองกับข้าวขาหมูอีกหนึ่ง อาหารอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว พอมาเสิร์ฟปานตะวันก็กินอย่างรวดเร็วแล้วก็สั่งจานที่สองต่อ ทำงานมาทั้งวัน หิวจนจะเป็นลม
   
       “กินช้าๆ ก็ได้ เดี๋ยวติดคอ” ราเมศเตือน หยิบเอาทิชชู่มาเช็ดมุมปากปานตะวันให้ กินเลอะเป็นเด็กๆไปได้นะเจ้าแมวแสบ “กินเลอะเทอะ ดูหลานสิ ข้าวยังไม่หกเลย”
   
       หนูเจียที่ถูกชมก็ยิ้มแก้มป่อง ยืดอกอย่างภูมิใจ ปานตะวันหัวเราะ ลูบหัวหลานอย่างเอ็นดูแล้วก็หันไปยักคิ้วกวนประสาทราเมศ
   
       “ก็มันอร่อยนี่นา ผมหิวด้วย”
   
       “กินช้าๆ เดี๋ยวมันติดคอ”
   
       “คร้าบ”
   
        เมื่อเติมท้องกันจนอิ่มพวกเขาก็เดินย่อยอาหารกันอีกพักหนึ่ง จากนั้นปานตะวันก็พาหลานไปต่อคิวเล่นม้าหมุน  ตอนแรกหนูเจียดูกลัวเพราะมันหมุนเร็ว แต่สักพักก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างมีความสุข จากนั้นก็ไปต่อแถวเล่นบ้านลม กระโดดกระเด้งไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ปานตะวันที่นั่งรออยู่ด้านนอกก็อดยิ้มกับท่าทางมีความสุขของหลานไม่ได้
   
        “เป็นเด็กนี่ดีจังนะ ดูมีความสุขกับอะไรได้ง่ายๆ ชีวิตไม่ซับซ้อนดี”
   
        “เป็นผู้ใหญ่ก็สนุกได้ แค่อย่าทำให้ชีวิตมันซับซ้อนมากนัก”
   
        “เรื่องอะไรก็ดูยากไปหมดล่ะครับ” ชายหนุ่มผมน้ำตาลตอบกลับ คิดถึงเรื่องของครอบครัวตัวเองที่ยุ่งยากซับซ้อน แล้วก็ถอนหายใจ “ขนาดเรื่องระหว่างเรายังยุ่งยากเลย”
   
         “ยุ่งยากตรงไหน” ราเมศสวนกลับมา “ก็จีบกันอยู่ไม่ใช่หรือไง ไม่เห็นจะยุ่งเลย”
   
        ปานตะวันคำรามในลำคอเบาๆ “ผมอยากรู้จริงๆว่าหน้าพี่โบกปูนกี่ชั้น” ทำไมมันช่างพูดอะไรไม่ดูสถานการณ์รอบตัวบ้างเลย “แล้วอีกอย่างนะ เราไม่ได้จีบกันอยู่”
   
       “นั่นสินะ เราข้ามขั้นไปจูบกันแล้วนี่”
   
        “โว้ย ผมอยากต่อยปากพี่จริงๆ”
   
         ราเมศหัวเราะเมื่อลูกแมวของเขาหันมาแยกเขี้ยวขู่ พอจะลูบหัวปลอบอีกฝ่ายก็ถอยหนี ปานตะวันทำหน้ามุ่ย พึมพำเสียงเบา “เราชอบกันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้”
   
        “นายไม่ชอบพี่เหรอ” ราเมศเลิกคิ้ว ขยับเข้าไปชิดร่างเล็กข้างตัว “ไม่ชอบที่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ”
   
        แสงไฟจากหลอดนีออนส่องกระทบใบหน้าน่ารัก ทำให้ราเมศเห็นว่าแก้มขาวของปานตะวันเปลี่ยนเป็นสีแดง ชายหนุ่มก็ยิ่งได้ใจ
   
        “ไม่ชอบจริงๆ เหรอ ปานตะวัน”
   
         คนตัวเล็กเบือนหน้าหนี ใบหูก็เปลี่ยนเป็นสีจัดเพราะความเขินอาย แต่หลังจากนั้นไม่นานราเมศก็ยิ้มออก “ก็ไม่ได้ไม่ชอบ” เสียงกระซิบเบาๆ ข้างตัวดังขึ้นแบบนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างแบบที่น้อยครั้งจะเห็นจากราเมศได้เป็นอย่างดี
   
        “แล้วพี่เมศล่ะ ชอบไหม”
   
         ท่ามกลางความมืด ท่ามกลางความร้อนอบอ้าว ท่ามกลางผู้คนขวักไขว่ ฝ่ามืออบอุ่นของราเมศค่อยๆ เอื้อมไปกุมมือปานตะวันเอาไว้ช้าๆ เด็กข้างตัวเขานิ่งไปพักหนึ่ง ท่าทางตกใจ จากนั้นก็พลิกมือกลับมาจับมือกับเขา สอดประสานปลายนิ้วเข้าด้วยกัน  ราเมศยิ้ม พักนี้เขารู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อย ตั้งแต่มีปานตะวันเข้ามาในชีวิต
   
        “พี่ก็ไม่ได้ไม่ชอบเหมือนกัน”
   
        ประโยคฟังดูไม่ชัดเจน แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นจริงจังและจริงใจราวกับจะบอกว่า
   
        ใช่...พี่ก็ชอบนายเหมือนกัน
   
         หนูเจียกระโดดและลื่นไถลอยู่บนบ้านลมประมาณยี่สิบนาทีก็หมดแรง แต่ก็ยังร้องจะเที่ยวต่อ คราวนี้ปานตะวันเปลี่ยนเป็นคนอุ้มหลานบ้าง พวกเขาเจอร้านระบายสีเสื้อยืดอยู่แถวนั้น เลยเลือกไซส์สำหรับเด็กมาให้หนูเจียระบาย แต่คนขายกลับเชียร์ให้ซื้อไประบายอีกสองตัว ลายเดียวกัน แต่เป็นไซส์ผู้ใหญ่
   
        “เสื้อครอบครัวไงครับพี่ เนี่ย เอาไปใส่ด้วยกันวันไปเที่ยว น่ารักมากเลยนะครับ”
   
       “เอ่อ ไม่ล่ะครับ คือ...”
   
       ยังไม่ทันที่ปานตะวันจะปฏิเสธได้จบประโยคหนูเจียที่ถือเสื้ออยู่ในมือก็เงยหน้าขึ้นถามตาใส “น้าจะวัน เสื้อครอบครัวคืออะไรครับ”
   
        ปานตะวันเหงื่อตก กำลังจะอ้าปากตอบคำถามหลานแต่ก็ไม่ทันคนขายเสื้อที่รีบย่อตัวลง ยิ้มหวานให้เจียหลินแล้วพูดว่า “เสื้อครอบครัวก็คือเสื้อที่ให้คนในครอบครัวใส่เหมือนกันไงครับคนเก่ง แบบเดียวกัน สีเหมือนกัน ลายเหมือนกัน ใส่แล้วไปเที่ยวด้วยกันน่ารักมากๆ เลยนะ”
   
        หนูเจียกะพริบตาปริบๆ พยายามทำความเข้าใจ “แปลว่า...ถ้าใส่เสื้อครอบครัวก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันเหรอครับ สีเหมือนกัน ลายเหมือนกัน”
   
       “ใช่แล้วครับผม”
   
       ปานตะวันคิ้วกระตุก รู้สึกว่าไอ้คนขายเสื้อมันมีหัวการค้า ยิ่งพอเห็นหนูเจียเขย่าขากางเกงเขาแล้วพูดว่า “น้าตะวัน หนูเจียอยากมีเสื้อครอบครัว น้าตะวันใส่เหมือนกันหน่อยน้า”
   
        “แต่ว่า...”
   
        “น้าเมศด้วย น้า ใส่เสื้อครอบครัวไปเที่ยวกันนะครับ”
   
        “ผมว่าพี่ผู้ชายตัวเล็กนี่ใส่ M ก็น่าจะพอนะ ไม่ต้องห่วงฮะ มันเป็น M ไซส์ผู้ชาย ลายนี้...โอ้ เหลือตัวสุดท้ายพอดี ส่วนพี่ตัวโตนี่เลยครับ สำหรับพี่เลย ทั้งหมดสามตัวสามร้อยสี่สิบครับ”
   
        คือ...ฟังเขาอธิบายหน่อยก็ได้นะ ฟังปานตะวันพูดบ้างเถอะ ใครก็ได้!
   
       “นี่ครับ” ราเมศจ่ายเงินค่าเสื้อให้กับเจ้าของร้าน จากนั้นก็จูงมือเจียหลินไปที่โต๊ะว่าง บนโต๊ะมีกล่องใส่สีสำหรับระบายเสื้ออยู่ด้วย  หนูเจียยิ้มแป้น เริ่มลงมือระบายสีเสื้ออย่างสนุกสนาน
   
       “พี่เมศ!” ปานตะวันฮึดฮัด หยิบเงินค่าเสื้อตัวเองกับค่าเสื้อเจียหลินออกมาส่งให้ แต่ราเมศกลับจุ๊ปาก ดันมือปานตะวันกลับไปที่เดิม จากนั้นก็บุ้ยใบ้ให้ดูเจียหลินที่สนุกสนานกับการระบายสี ส่งสายตาประมาณว่า นายทำลายความสุขหลานได้จริงๆ เหรอ พอเห็นรอยยิ้มกับดวงตาเป็นประกายปานตะวันก็ยอมแพ้
   
        “ยังไม่คืนตอนนี้ก็ได้” แต่เขาจะคืนให้ทีหลัง ปานตะวันไม่ยอมให้ราเมศมาออกเงินให้ไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้หรอก ชายหนุ่มนั่งลงแล้วก็เริ่มระบายสีบ้าง จากนั้นเขาก็หลุดเข้าโลกส่วนตัวไปเลย ตั้งหน้าตั้งตาระบายโดยไม่รู้ว่าราเมศกำลังนั่งเท้าคางมองพวกเขาสองน้าหลานด้วยสายตามีความสุขมากขนาดไหน
   
        หลังระบายสีเสื้อเสร็จพวกเขาก็เดินหาขนมกินเล่นกัน ปานตะวันเจอร้านขนมเบื้องร้านหนึ่งที่ครีมไม่หนาจนดูเลี่ยน ชายหนุ่มซื้อมากล่องหนึ่ง ป้อนตัวเองบ้าง ป้อนเจียหลินบ้าง แล้วก็ป้อนราเมศบ้าง สลับกันไปจนหมดกล่อง
   
        “หนูเจียอยากกลับบ้านหรือยังครับ” ปานตะวันเอ่ยถาม นาฬิกาข้อมือเขาบอกเวลาสามทุ่มครึ่งซึ่งมันก็เริ่มดึกแล้ว เจียหลินพยักหน้า เด็กชายคงเริ่มง่วงแล้วเพราซบหน้าลงกับบ่ากว้างของราเมศ ดวงตากลมๆ เริ่มหรี่ปรือ
   
        “งั้นกลับบ้านกัน”
   
        “อื้ม”
   
        พวกเขาเดินออกจากบริเวณงาน ลัดไปข้างตึกเก่าๆ เพื่อเข้าสู่ลานจอดรถ บริเวณตึกเก่าๆ นั้นเงียบสนิท เสียงเพลงและเสียงผู้คนฟังดูห่างไกล ตอนนั้นเองที่พวกเขาสามคนได้ยินเสียงแปลกๆ
   
        “เมี้ยว”
   
        เสียงร้องแหลมเล็กดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ  หนูเจียที่ตาปรืออยู่ก็พลันตาสว่าง ผงกหัวขึ้นมา “น้าตะวัน...แมว”
   
        “อื้อ น้าก็ว่างั้น เสียงมาจากแถวๆนี้”
   
        เมี้ยว
   
       “นั่นไง หนูเจียได้ยินอีกแล้ว”
   
       “สงสัยมีแม่แมวมาคลอดลูกแถวนี้มั้ง”
   
       “หนูเจียอยากเห็นแมวครับ”
   
        ปานตะวันหยิบโทรศัพท์มาเปิดไฟฉาย ส่องไปส่องมารอบบริเวณเพื่อหาต้นเสียง พักหนึ่งราเมศก็ชี้ไปที่มุมหนึ่งข้างตึก เป็นบริเวณที่ไม่มีแสงไฟส่องถึง “นั่นไง”
   
        ทั้งสามเดินเข้าไปใกล้ แสงไฟจากโทรศัพท์ของปานตะวันส่องกระทบลังกระดาษเก่าๆ หนึ่งใบ เสียงร้องเหมียวแสนเศร้าดังมาจากข้างใน
   
       “น้าตะวัน ลูกแมวนี่นา” หนูเจียกระซิบ ราเมศปล่อยให้หนูเจียลงยืนเองที่พื้นพร้อมกำชับว่า “ดูได้แต่ห้ามจับแมวนะครับหนูเจีย”
   
        ลูกแมวในกล่องมีสองตัว ตัวหนึ่งเป็นแมวสีดำ แต่บริเวณเท้าของมันกลับเป็นสีขาว อีกตัวเป็นสีส้มอิฐ ดวงตากลมแป๋วกระทบแสงไฟเมื่อพวกมันเงยหน้ามองอย่างอ่อนล้า รูปร่างของมันทั้งคู่ผอมโกรก ตัวก็เล็กกระจิ๋วเดียว เหมือนไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน
   
        “แม่มันไปไหนล่ะเนี่ย” ปานตะวันพึมพำ แต่สภาพแบบนี้แปลได้ว่าแม่มันอาจตายแล้วหรือไม่มันก็ถูกคนเอามาปล่อยแล้วไม่มีใครให้อาหารมันเลย
   
       “มีตัวนึงใส่ถุงเท้าด้วยแฮะ” ราเมศพูดอย่างสนใจพลางย่อตัวลงพิจารณาเจ้าเหมียวทั้งคู่ นอกจากผอมแล้วตัวสีส้มยังมีบาดแผลตามตัวด้วย
   
       “น้าเมศครับ พวกมันผอมมากเลย”
   
       “ครับ มันคงโดนคนเอามาปล่อยไว้น่ะ”
   
       ราเมศไม่ได้บอกหลานว่าขืนเป็นแบบนี้ไปอีกสองสามวันลูกแมวพวกนี้ได้อดตายแน่ แต่หนูเจียก็เหมือนจะรู้เพราะเด็กชายมองแมวด้วยสายตาสงสาร
   
       “มันจะตายไหมครับ”
   
       “น้าเมศก็ไม่รู้ ถ้ามีคนมาให้อาหารแล้วพามันไปหาหมอมันก็คงไม่ตาย”
   
       แต่ก็ดูเป็นไปได้ยากล่ะนะ
   
       “เราเหมือนเป็นพวกเดียวที่เจอมันเลยนะ” ปานตะวันย่อตัวลงมาบ้าง จ้องมองแมวทั้งคู่ด้วยสายตาสงสารเช่นเดียวกัน
   
        ตอนเด็กๆ เขาเคยอยากเลี้ยงแมวหรือไม่ก็หมามาก แต่พี่จันทร์ดันแพ้ขนของพวกหมาเขาก็เลยมีแค่ปลาทองตาโตหนึ่งตัว ปานตะวันชอบมันมากแต่ปลาทองตายง่าย เลี้ยงได้ไม่นานมันก็ตาย จากนั้นเขาก็ไม่ยอมเลี้ยงสัตว์อีกเลย บางครั้งปานตะวันจะแอบไปเล่นกับแมวหรือหมาของพวกเพื่อนๆ บ้าง แล้วก็ได้แต่อิจฉา  อยากมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองบ้าง พอหันไปมองหนูเจียก็รู้เลยว่าหลานอยากพาพวกมันกลับบ้าน
   
        ปานตะวันก็อยากนะ แต่...ไม่รู้สิ...เลี้ยงสัตว์ต้องมีเวลาให้มัน ปานตะวันไม่แน่ใจว่าเขาจะเลี้ยงพวกมันได้ในตอนนี้
   
        “หนูเจียอยากพาพวกมันกลับบ้านใช่ไหม” ราเมศเอ่ยขึ้น หนูเจียก้มหน้างุดแต่ก็พยักหน้าแทนคำตอบ หลานคงไม่กล้าขอ ราเมศหันมาสบตาปานตะวันอยู่ครู่หนึ่ง มองอยู่นานเหมือนกับจะพิจารณาอะไร จากนั้นก็หันไปมองแมวสองตัวในกล่อง
   
        “ได้ งั้นเราพามันกลับบ้านกัน”
   
        “เอ๋!?”
   
        “ได้เหรอครับ”
   
        หนูเจียกับปานตะวันพูดขึ้นพร้อมกัน คนหนึ่งท่าทางตกใจ อีกคนพูดด้วยสีหน้าดีใจสุดขีด ราเมศพยักหน้า บอกให้หนูเจียเป็นคนถือกล่องใส่แมวไป “ระวังอย่าให้มันกัดหรือข่วนนะหนูเจีย อย่าเพิ่งจับด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะพามันไปหาหมอ”
   
       “ครับผม”
   
        เจียหลินอุ้มลังกระดาษขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วเดินนำไปจนถึงรถของราเมศ ก่อนจะขึ้นรถปานตะวันรั้งแขนราเมศไว้ด้วยสีหน้าร้อนรน “พี่เมศตะวันไม่มีเวลาดูแลพวกมันมากเท่าไหร่หรอกนะ เงินจะไปหาหมอก็...”
   
       “ตะวันก็อยากพามันกลับไปเลี้ยงใช่ไหมล่ะ เจ้าสองตัวนั่นน่ะ” ปานตะวันขมวดคิ้ว ราเมศเลยขยายความต่อ “พี่มองเราก็รู้แล้วว่าอยากได้”
   
        ไอ้อยากได้น่ะมันก็ใช่ แต่... “ตะวันเลี้ยงมันไม่ได้หรอกตอนนี้”
   
        “เขาบอกเลี้ยงสัตว์ดีกับเด็กนะ มีเพื่อนเล่น ฝึกความรับผิดชอบ ทำให้อ่อนโยนขึ้น ดีออก”
   
        “พี่ตามใจพวกผมมากไปแล้ว” ปานตะวันบ่นอุบ อยากได้อะไรก็ซื้อให้ ช่วยเลี้ยงหลาน ช่วยออกค่านู่นค่านี่ “ผมไม่ได้มาเกาะพี่กินนะ”
   
        “รู้ นายก็คืนเงินพี่ตลอด แถมยังทำงานหนักกว่าคนอื่นด้วยไม่ใช่เหรอ บางเรื่องพี่ก็แค่อยากทำให้ อยากตามใจ...ก็เรา...จีบๆ กันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
   
       “จะทำคะแนนหรือไง พอไม่จีบ หมดโปร ก็ไม่ตามใจแล้วงั้นสิ”
   
      ปานตะวันหันมาแยกเขี้ยวใส่ ราเมศหัวเราะ ดึงแก้มเจ้าแมวแสบตรงหน้าจนยืดนิดๆ จากนั้นก็ยื่นหน้าไปกระซิบข้างหู
   
       “นายรู้ไหมปานตะวัน...พี่เป็นพวกทาสแมวน่ะ แมวของพี่ พี่ก็อยากตามใจมันเยอะๆ ตามใจมันไปตลอด เข้าใจพี่หน่อยนะ” ท้ายเสียงแฝงแววออดอ้อนเล็กๆ เอาไว้ด้วย ปานตะวันยกมือกุมอก ครางในใจ
   
       พระเจ้า..ไม่รู้เลยว่าคนนิ่งเงียบแบบราเมศ พอได้อ้อนแล้วมันจะมีอานุภาพทำลายสติได้มากขนาดนี้
   
        พอเห็นปานตะวันนิ่งไป ราเมศก็ยิ้ม จูงมือคนตัวเล็กไปที่รถซึ่งหลานชายยืนรออยู่ พอพวกเขาเดินมาก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มตาแป๋วให้ แล้วก็ถามว่าจะตั้งชื่อแมวในกล่องว่าอะไรดี ปานตะวันที่ตอนแรกยังเขินราเมศอยู่แต่พอถูกแมวดึงความสนใจไปก็เข้าไปช่วยหนูเจียคิดชื่ออย่างสนุกสนาน
   
       ราเมศขับรถไปพลางเหลือบมองคนข้างตัวกับหลานชายด้านหลังแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาเหมือนครอบครัวเดียวกันไม่มีผิดเลย...
   
       เฮ้อ ก็พวกลูกแมวของเขาน่ารักขนาดนี้...จะไม่ให้หลวมตัวไปเป็นทาสแมวได้ยังไงกันล่ะ...เนอะ

****************************************************

สวัสดีค่าาา หายหน้าไปนานพอควร ไม่โกรธกันน้า เรากลับมาแล้วค่า กลับมาพร้อมกับความน่ารักของสองน้าหลาน
และพี่เมศทาสแมว ตอนนี้ก็ยังดูเรื่อยๆ มาเรียงๆ เป็นความสัมพันธ์ที่ก้าวไปทีละนิด ทีละนิด ได้เขียนอะไรแบบนี้แล้วสบายใจ
มากเลยค่ะ รู้สึกฮีลตัวเองมาก ฮาาาา หวังว่าทุกคนจะชอบและมีความสุขกับการอ่านนะคะ  :L2:
อ่านแล้วสามารถคอมเม้นท์ติชมได้เลยนะคะ รักคนอ่านทุกคน พบกันใหม่ตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เป็นทาสเเมวเต็มตัวละพี่เมศ อิอิ

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
น่ารักด

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
พี่เมศทาสแมวววววววว (โงหัวไม่ขึ้นแน่นอน)
รุกจนปานตะวันไปไม่เปนเลยนะพี่ 555555

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
สมกับชื่อตอนเลยค่ะ พี่เมศทาสแมวโดยแท้

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
พี่เมศผู้เป็นทาสแม่โดยแท้ ฮาาาาา

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑๐
อุบัติเหตุ


        ในที่สุดลูกแมวทั้งสองที่เก็บมาก็มีชื่อจนได้ โดยตัวสีส้มปานตะวันเป็นคนตั้งชื่อให้ว่าถุงทองส่วนตัวสีดำหนูเจียตั้งชื่อให้ว่าขาว
   
        หลังรับสมาชิกใหม่มาอยู่ที่บ้าน ราเมศก็อาสาพาเจ้าเหมียวทั้งสองไปหาสัตวแพทย์เพื่อทำแผล ตรวจร่างกายและฉีดวัคซีนให้เรียบร้อย ชายหนุ่มเลือกคลินิกใกล้บ้านที่เขารู้จักกับคุณหมอเป็นสถานที่พาเจ้าเหมียวไปรักษา แต่นอกจากจะมีแมวเหมียวสองตัวในตะกร้าแล้ว ราเมศยังต้องกระเตงแมวเล็กและแมวใหญ่ของเขาไปที่คลินิกด้วยเนื่องจากทั้งคู่ไม่ยอมอยู่บ้าน ปานตะวันยืนกรานจะมาหารค่ารักษากับเขา ส่วนหนูเจียขอตามมาดูถุงทองกับเจ้าขาว ช่วงนี้หลานชายเขาเห่อแมวทั้งสองตัวเอามากๆ
   
          “ถึงแล้ว ที่นี่ล่ะ” ราเมศพูดเมื่อพวกรถยนต์จอดอยู่หน้าอาคารสามชั้นที่ทาสีเหลืองอ่อนๆ ขึ้นป้ายขนาดใหญ่สะดุดตาไว้ว่าคลินิกรักษาสัตว์ บริเวณนั้นมีรถจอดอยู่ไม่กี่คันและรองเท้าที่วางบนชั้นหน้าร้านก็ไม่เยอะมาก วันนี้พวกเขาคงไม่ต้องรอนาน
   
         “หนูเจีย ส่งตะกร้าถุงทองกับขาวมาครับ เดี๋ยวน้าเมศถือให้”
   
         เจียหลินส่งตะกร้าพลาสติกสีฟ้าใบใหญ่ที่มีผ้าปูสำหรับแมวทั้งสองให้ราเมศแต่โดยดี เห็นดังนั้นปานตะวันจึงเดินไปจูงมือหลานเอาไว้ เดินตามกันเข้าไปด้านใน
   
        เสียงกระดิ่งดังขึ้นทันทีที่ผลักประตูเข้าไป หญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ประจำเคาน์เตอร์อยู่เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มหวานให้ “สวัสดีค่ะ”
   
        “สวัสดีครับ คือว่าเราพาเจ้าเหมียวสองตัวนี้มาทำแผลแล้วก็ตรวจสุขภาพน่ะครับ”
   
        ราเมศเปิดตะกร้า หญิงสาวคนนั้นยกผ้าปิดจมูกขึ้นมาสวมพร้อมกับใส่ถุงมือ เธอตรวจเช็คเจ้าลูกแมวคร่าวๆ แล้วก็ถามว่า “คุณพอทราบไหมคะว่าทำไมมันบาดเจ็บ แล้วเจ้าสองตัวนี้อายุเท่าไหร่แล้วคะ เคยพามันมารักษาที่นี่ไหมคะ”
   
        “ไม่ทราบครับ คือเราไปเจอมันถูกทิ้งในกล่อง แม่มันก็ไม่อยู่ ท่าทางผอมเหมือนไม่ได้กินอาหารมาหลายวันแล้ว เราเลยพามันกลับมาด้วยน่ะครับ”
   
        “เข้าใจแล้วค่ะ พวกคุณเคยพามันมาที่นี่ไหมคะ”
   
        “ไม่ครับ นี่ครั้งแรก”
   
        “เข้าใจแล้วค่ะ กรุณารอสักครู่นะคะ”
   
        หญิงสาวกลับไปที่เคาน์เตอร์อีกครั้ง หนูเจียที่มีสีหน้าเป็นห่วงก็ชะโงกหน้าดูเจ้าแมวทั้งสองที่ขดตัวเข้าหากัน ท่าทางจะหนาว เมื่อคืนหลังเก็บพวกมันกลับมาปานตะวันกับราเมศก็แวะซื้ออาหารแมวแบบเปียกให้ทั้งสองตัวกินไปก่อน พวกเขาทั้งคู่ไม่เคยเลี้ยงสัตว์ ดังนั้นวันนี้จึงมาเพื่อขอคำแนะนำจากสัตวแพทย์ด้วย
   
        “น้าตะวัน น้าเมศ พวกมันจะตายไหมครับ” ดวงตากลมโตของหนูเจียฉายชัดถึงความเป็นห่วง เด็กชายแก้มป่องอยากช้อนตัวลูกแมวมาอุ้มแต่ติดที่น้าตะวันห้ามไว้
   
        “ไม่ตายหรอกครับ เราพามันมาหาหมอแล้วนี่ไง พอถึงมือคุณหมอก็หายห่วงแล้ว” ราเมศตอบหลานชายยิ้มๆ หลังจากนั้นหญิงสาวที่เคาน์เตอร์ก็กลับมาพร้อมกับยื่นเอกสารให้เขากรอก จากนั้นชายหนุ่มก็กลับมานั่งรอคิวอยู่ที่เก้าอี้พลาสติกเหมือนเดิม ตอนนั้นเองที่ราเมศสังเกตว่าปานตะวันเอาแต่มองซ้ายมองขวาเกือบตลอดเวลา
   
        “เป็นอะไรตะวัน ปวดท้องเหรอ”
   
        “เปล่าสักหน่อย” ชายหนุ่มร่างเล็กสวนกลับ จากนั้นก็หันกลับมาสบตาเขาด้วยสีหน้าราวกับกำลังขัดเขิน “ตะวันแค่...เพิ่งมาที่แบบนี้ครั้งแรกน่ะ” ก็เลยเห็นอะไรๆ น่าสนใจไปหมด โดยเฉพาะพวกลูกหมาขนฟูในกรงที่ตั้งอยู่อีกห้องหนึ่ง ห้องนั้นอยู่สุดทางเดิน และเปิดประตูค้างเอาไว้ตลอดเวลาทำให้คนที่เข้ามาเห็นสุนัขหลากหลายพันธุ์ที่นอนบ้าง นั่งมองตาแป๋วตอบกลับมาบ้างได้ชัด
   
       “อ๋อ ตื่นเต้นสินะเด็กน้อย” คนตัวโตอมยิ้ม ยกมือลูบเส้นผมสีน้ำตาลของปานตะวันเป็นเชิงเย้าแหย่ และสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คืออาการแยกเขี้ยวขู่ฟ่อของชายหนุ่ม
   
       “นี่ตะวันไม่ใช่เด็กนะ!”
   
        “เหรอ แต่นายทำท่าทางเหมือนหนูเจียเปี๊ยบเลย ดูหลานสิ หันไปหันมาไม่หยุดเลย”
   
        “พูดมากจริง ให้หมาห้องนู้นกัดซะดีไหม”
   
        “น่ากลัวจัง” ราเมศหัวเราะ ชายหนุ่มโยกหัวปานตะวันไปมาอย่างเอ็นดู “อืม...มาที่นี่นอกจากเอาแมวเหมียวสองตัวนี้มาตรวจสุขภาพพี่ว่าให้คุณหมอฉีดยานายไปด้วยเลยดีกว่า จะได้ไม่กลายเป็นบ้า”
   
        “ไอ้พี่เมศ!”
   
         ปานตะวันนึกอยากกระโดดถีบราเมศรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน แต่เพราะอีกฝ่ายใจดียอมพาเขากับหลานชายมาที่นี่หรอกนะ วันนี้จะยอมให้ก็แล้วกัน
   
        นั่งเถียงนั่งคุยกันไปสักพักคุณผู้ช่วยก็เดินมาบอกให้ราเมศพาแมวเข้าไปในห้องสำหรับตรวจ ปานตะวันให้หนูเจียรออยู่ด้านนอกส่วนตัวเองก็ตามเข้าไปด้วย คุณหมอที่รออยู่ข้างในเป็นหญิงสาวผมสั้น รูปร่างสูงโปร่ง ท่าทางทะมัดทะแมง พอเธอเห็นราเมศดวงตากลมโตคู่นั้นก็ฉายประกายดีใจอย่างไม่ปิดบัง
   
         “เฮ้ยเมศ! มาได้ไงเนี่ย”
   
         “ไงปิ่น วันนี้มีลูกแมวสองตัวมาให้เธอช่วยดูล่ะ”
   
         ปานตะวันที่เดินตามเข้ามากะพริบตาปริบมองคุณหมอคนสวยเดินมาตบหลังตบไหล่ราเมศ ทักทายกันสนิทสนม จะว่าไปอีกฝ่ายก็บอกแล้วนี่นะว่ารู้จักกับคุณหมอเจ้าของคลินิกแต่ไม่คิดว่าจะเป็นผู้หญิงสวยขนาดนี้
   
         ชายหนุ่มผมน้ำตาลพินิจพิจารณาหญิงสาวตรงหน้าแล้วก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายสวยมากจริงๆ ถ้าเขาไม่ได้ชอบผู้ชายมาตั้งแต่แรกเขาก็คงจะตามจีบคนแบบนี้แหละ
   
        “เออ ปิ่น มีคนจะแนะนำให้รู้จัก นี่ตะวัน เป็นน้องชายบ้านตรงข้าม”
   
         น้องชายบ้านตรงข้าม...
   
         ปานตะวันมุ่นคิ้วเล็กน้อย ในอกรู้สึกเจ็บแปล็บขึ้นมาทันใด ทั้งที่รู้ว่าการที่ราเมศแนะนำเขาไปแบบนั้นก็ถูกต้องแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกในอกเขามันถึงได้หน่วงขึ้นมาก็ไม่รู้
   
        “สวัสดีค่ะ ชื่อปิ่นนะคะ เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของเมศค่ะ”
   
        “สวัสดีครับ ผมปานตะวันครับ เป็นเพื่อนบ้านพี่เมศ”
   
         นี่ไง พูดไปแล้วก็รู้สึกแย่เองอีกต่างหาก ปานตะวันยิ้มให้คุณหมอปิ่น ไม่ได้หันไปมองว่าราเมศทำสีหน้ายังไงด้วยซ้ำ แต่ถึงไม่ต้องมองก็รู้ คนคนนั้นก็คงมีสีหน้าเฉยๆ เป็นปกตินั่นแหละ
   
         “ปานตะวันเหรอ ชื่อน่ารักจังเลยนะ แต่เมศบอกว่าเป็นน้องแบบนี้แปลว่าอายุน้อยกว่าสินะ งั้นเรียกพี่ว่าพี่ปิ่นก็ได้นะจ๊ะ”
   
        “ครับ พี่ปิ่น”
   
        หญิงสาวผมสั้นยิ้มจนตาหยีให้ปานตะวัน เธอดูเป็นคนมีบุคลิกร่าเริงน่าคบหา รอยยิ้มของเธอสดใสมากเสียจนปานตะวันที่ยังรู้สึกหน่วงๆ ในอกยังอดยิ้มตอบไม่ได้
   
        “เอ้าๆ มัวแต่ยิ้มให้กันอยู่นั่นแหละ จะได้ตรวจไหมลูกแมวเราเนี่ย” ราเมศกระแอม ปิ่นที่รู้ตัวว่าถูกพาดพิงเลยเลิกคิ้วขึ้น หญิงสาวกับผู้ช่วยช้อนลูกแมวมาวางบนเตียง จัดการตรวจร่างกายของมันไปพลางคุยไปพลาง
   
        “ทำไม หึงเราเหรอเมศ”
   
        “โอ๊ย คุณนายปิ่น ทำไมเราจะต้องหึงเธอด้วย ที่แทรกเนี่ยคือกระผมห่วงแมวครับ  เธอมัวแต่พูดมัวแต่ยิ้ม ชาติหน้าก็ไม่ได้ตรวจหรอกมั้ง”
   
        “นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นแฟนเก่าและเพื่อนเก่าเราเอากระบะทรายใส่อึแมวเขวี้ยงหัวนายไปแล้ว”
   
         ประโยคสุดท้ายนั่นเองที่ทำให้ปานตะวันหูผึ่ง ชายหนุ่มที่กำลังมองคุณหมอพลิกซ้ายพลิกขวาลูกแมวอยู่เลยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติที่สุด
   
        “พี่ปิ่นกับพี่เมศเคยเป็นแฟนกันเหรอครับ”
   
        “เรื่องเก่าสมัยไหนก็ไม่รู้ นายไม่ต้องรู้หรอก” ราเมศรีบแทรกแต่ก็ถูกปานตะวันหันมาทำหน้าสงสัยใส่ “ทำไมต้องไม่อยากให้รู้ด้วยอ่ะ ก็ผมสงสัยเลยถามนี่ไง”
   
        “แล้วทำไมต้องอยากรู้”
   
        “ก็...ก็” ปานตะวันอึกอัก ดวงตาคมสีนิลที่แฝงแวววิบวับคู่นั้นจ้องมาเหมือนอยากจะเค้นให้เขาคายความในใจออกมา จะบอกไปได้ยังไงเล่าว่าพอได้ยินว่าทั้งคู่เคยเป็นแฟนเก่ากันแล้ว...แล้วมันก็เกิดอาการอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมเลิกกัน พี่เมศบอกชอบแบบไหน ตอนเป็นแฟนกันทำอะไรกันบ้าง รู้นะว่าถ้ารู้ก็จะเจ็บ แต่ก็ยังอยากให้เล่า ไม่รู้เป็นบ้าอะไนเหมือนกัน
   
        “ว่าไงตะวัน ทำไมต้องอยากรู้” พอถูกเค้นหนักๆ เข้าปานตะวันก็เสหลบตาไปทางอื่น ในหัวคิดหาทางรอดมาร้อยแปด จนกระทั่งความคิดหนึ่งวาบเข้ามา คนปากไวเลยพลั้งปากไปไวเท่าใจคิด
   
        “ก็พี่ปิ่นสวย” ปานตะวันโพล่งออกมา เขาเห็นรามศชะงักไปนิดหนึ่ง “ตะวันเลยอยากรู้ว่าคนสวยๆ เก่งๆ แบบพี่ปิ่นทำไมมาตกลงปลงใจกับพี่เมศได้ ไม่เห็นเข้ากันเลย”
   
        “โอ๊ย น้องตะวันคะ ชมขนาดนี้พี่เขินนะเนี่ย” คุณหมอปิ่นคนสวยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ส่วนมาตกลงปลงใจกับเมศได้ยังไงพี่ก็ไม่รู้ ช่วงนั้นคงหน้ามืดน่ะ”
   
        “นี่ หยุดเลยนะทั้งคู่!”
   
        ปิ่นอยากจะหัวเราะออกมาให้ลั่นห้องตรวจแต่มันคงไม่เหมาะ หญิงสาวจึงกระแอมแล้วก้มหน้าก้มตาตรวจลูกแมวต่อไป ปล่อยให้ชายหนุ่มอีกสองคนในห้องฟาดฟันกันผ่านสายตา สักพักเธอก็ยืดตัวขึ้นพร้อมกับพูดว่า “เอาล่ะ ฉันทำแผลให้ลูกแมวพวกนี้เสร็จแล้ว ที่อยากจะบอกคือพวกมันอ่อนแอมาก  ฉันคงต้องนัดพวกนายให้พาแมวมาอีกเพื่อมาทำแผลให้ใหม่แล้วก็คุยกันเรื่องวัคซีน”
   
        “ตกลง”
   
        “วัคซีนหลักๆ ที่ต้องฉีดก็มีป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า โรคไข้หัด โรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้น โรคช่องปากและลิ้นอักเสบ ส่วนวัคซีนทางเลือกก็เช่นวัคซีนป้องกันโรคลิวคีเมียพวกนี้ อ้อ หมอแนะนำให้ทำหมันแมวด้วยนะป้องกันปัญหาระยะยาว”
   
        “แล้วตอนนี้เจ้าสองตัวนี้มันอายุเท่าไหร่เหรอครับ” ปานตะวันถามขึ้นบ้าง คุณหมอปิ่นก็ตอบกลับมาว่า “หมอดูแล้วเจ้าสองตัวนี้น่าจะอายุประมาณหนึ่งเดือนได้นะคะ อ้อ ต้องถ่ายพยาธิให้มันด้วยล่ะนะ”
   
       ผู้ช่วยจับลูกแมวทั้งสองใส่ตะกร้าตามเดิม ปานตะวันประคองตะกร้าตามคุณหมอออกไป ระหว่างนั้นคุณหมอปิ่นก็พูดเรื่องการดูแลแมวไปด้วย
   
       “เรื่องอาหารไม่ควรเอานมวัวให้แมวกินนะคะ ถ้าจะให้นมก็ควรเป็นนมแพะค่ะ เด็กๆ อายุหนึ่งเดือนแล้วทานเริ่มอาหารเปียกได้แล้ว ที่นี่มีอาหารสำหรับแมวเด็กขายด้วยยังไงจะลองซื้อไปก่อนสักถุงสองถุงก็ได้นะ” จากนั้นคุณหมอก็แนะนำอุปกรณ์อื่นๆ และยี่ห้ออาหารเพิ่มอีกนิดหน่อย จากนั้นคุณผู้ช่วยที่เคาน์เตอร์ก็ยื่นสมุดบันทึกการตรวจสุขภาพสำหรับเจ้าสองตัวนี้มาให้ ที่หน้าปกมีชื่อเจ้าของซึ่งก็คือชื่อราเมศและชื่อของลูกแมวเขียนเอาไว้ด้วย
   
        “วันนัดครั้งต่อไปถ้าเป็นตามนี้คุณสะดวกไหมคะ”
   
        “สะดวกครับ”
   
        “งั้นก็ตามนี้เลยค่ะ” หญิงสาวแนะนำเรื่องการทำดูแลลูกแมวตัวที่เจ็บเพิ่มเติม เมื่อเสร็จกระบวนการราเมศก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาเพื่อจ่ายค่ารักษา ตอนนั้นเองที่มือขาวๆ ของปานตะวันยื่นเงินตัดหน้าเขาไป หญิงสาวรับเงินไปจากนั้นก็โค้งให้ เป็นอันเสร็จการพาเจ้าแมวเหมียวมาหาหมอ
   
        “ตะวัน” ราเมศพูดเสียงดุแต่คนถูกเรียกชื่อกลับทำหูทวนลม หนำซ้ำยังหันไปโบกมือลาคุณหมอปิ่นพร้อมรอยยิ้มหวานๆ ทำเป็นไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะโดนดุในนาทีใดนาทีหนึ่งข้างหน้านี้
   
        “ไหนบอกว่าหารกัน” ราเมศเปิดฉากทันทีที่พวกเขาขึ้นมานั่งบนรถ ปานตะวันก็หันมามอง เลิกคิ้ว “ก็จ่ายเต็มไปก่อนไง ค่อยคืนอีกครึ่งทีหลัง ไปยืนนับเงินตรงนั้นคุณหมอเขารอนานนะ”
   
        “คืนก็รับด้วยล่ะ อย่าได้บังอาจบ่ายเบี่ยงไม่เอาเงิน”
   
        “รู้น่า ดุจริง” ปานตะวันแยกเขี้ยว “ทำไม หึงหรือไงที่ผมไปยิ้มให้แฟนเก่าพี่”
   
         ราเมศเงียบไป ไม่ตอบ ปานตะวันก็เบือนหน้าหนีออกไปมองที่นอกหน้าต่างรถ ไม่เข้าใจว่าตัวเองจะ ‘รวน’ ขึ้นมาทำไม ตอนที่กำลังจะอ้าปากขอโทษคนที่นั่งเงียบมาตลอดก็ตอบกลับมา
   
        “อืม หึง”
   
        “หึง...ใคร”
   
         ดวงตาติดดุปรายมามองแล้วก็หันไปมองถนนต่อ ถามเสียงนิ่ง “คิดว่าหึงใครล่ะ”
   
         “หึงพี่ปิ่นมั้ง”
   
         “ผิด ตอบใหม่”
   
         “หึงหนูเจีย”
   
         “หนูเจียอยู่นอกห้อง จะให้หึงอะไร”
   
          “หึงแมว”
   
         “ที่ตอบนี่ได้คิดไหม”
   
         “ดุทำไมเล่า!”
   
         ราเมศถอนหายใจเมื่อเจ้าแมวของเขาเอาแต่บ่ายเบี่ยงไปมา รู้แหละว่าเจ้าตัวรู้คำตอบ แต่ก็ไม่ยอมพูดออกมาสักที เอาแต่เบี่ยงไปเบี่ยงมาอยู่นั่น สุดท้ายคนที่ต้องพูดออกไปก็เป็นเขา
   
         “พี่หึงนาย ไม่ชอบให้ยิ้มแบบนั้นให้คนอื่น อีกอย่างนายก็ชมปิ่นว่าสวยด้วย หงุดหงิดมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
   
         “ไม่ยิ้มให้ใครเลยตะวันก็กลายเป็นคนอัธยาศัยไม่ดีอ่ะดิ”
   
         “ยิ้มให้พี่แค่คนเดียวไม่ได้หรือไง”
   
         ภายในรถเหลือแต่ความเงียบ ปานตะวันยกมือกุมอก หัวใจเต้นรัว ราเมศเหลือบมองแล้วก็ยกยิ้มมุมปาก เพราะแบบนี้ไงถึงได้หวง ไอ้ท่าทางเขินอายจนผิวแก้มใสเปลี่ยนเป็นสีเข้มกับรอยยิ้มกว้างแบบนี้มันน่ารักจนไม่อยากให้ใครเห็นเลยนอกจากเขา
   
        วันต่อๆ มาปานตะวันกับราเมศก็เจียดเงินจำนวนหนึ่งมาซื้ออาหารแมว กระบะทราย และเก็บไว้เป็นค่าวัคซีนสำหรับถุงทองและขาว เจ้าลูกเหมียวสองตัวกลายเป็นเพื่อนเล่นของหนูเจียอย่างสมบูรณ์ และด้วยการดูแลอย่างดีของปานตะวันกับราเมศทั้งสองเหมียวก็หายวันหายคืน สองสามสัปดาห์ต่อมาก็แข็งแรงจนวิ่งได้ปร๋อ
   
        ปรากฏว่าปานตะวันกลับปวดหัวมากกว่าเดิมและเหนื่อยมากขึ้นเมื่อเจ้าลูกแมวพวกนั้นพากันข่วนโซฟา ข่วนผ้าม่าน และวิ่งชนนั่นชนนี่จนหล่นเป็นประจำ นอกจากนี้ทั้งสองตัวกับหนูเจียยังชอบหายลงไปวิ่งเล่นในสวนเป็นประจำ พอกลับขึ้นบ้านมาทั้งคนทั้งแมวก็สกปรกมอมแมมกันไปหมด
   
        “บ้าเอ๊ย นี่แมวหรือลิงวะเนี่ย ซนอะไรขนาดนี้” ปานตะวันบ่นเป็นรอบที่ล้านระหว่างที่ตามเก็บเศษนุ่นจากตุ๊กตาบนพื้น หนูเจียของเขาใจดีสละตุ๊กตาหนึ่งตัวให้เพื่อนสี่ขาเอาไปเล่น เด็กน้อยชอบใจนักเวลาวิ่งๆ แล้วโยนตุ๊กตาลงบนพื้นให้แมวทั้งสองกระโดดไปรุมฟัด ส่วนตุ๊กตาที่น่าสงสารก็ถูกข่วนถูกฟัดจนพุงขาดนุ่นทะลักกันเลยทีเดียว
   
        “แม่งหนังสยองขวัญชัดๆ” ชายหนุ่มครางเมื่อเห็นสภาพตุ๊กตาบนพื้น ได้แต่ยืนสงบนิ่งส่งให้วิญญาณตุ๊กตาที่น่าสงสารไปสู่สุขคติ
   
        “เหมียว”
   
       เสียงครางเล็กๆ ดังขึ้น พอก้มมองก็เห็นลูกแมวสีส้มที่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนังแล้วกำลังเอาตัวถูไถข้อเท้าเขาอย่างออดอ้อน ขนที่เคยแห้งกรังและร่วงเป็นกระจุกบัดนี้พองฟูและขึ้นจนเต็มตัว ประกอบกับนิสัยที่ขี้อ้อนมากกว่าแมวอีกตัวทำให้เจ้าถุงทองกลายเป็นแมวตัวโปรดของปานตะวันไปโดยปริยาย
   
        “มาอ้อนเอาอะไรหือ หรือว่าจะมาสารภาพผิดที่ฟัดตุ๊กตาซะเละแบบนี้ รู้ไหมคนกวาดมันเหนื่อยนะ” ปานตะวันบ่นอุบแต่ก็ยินยอมนั่งลงแล้วเกาคอเกาหูให้แมวน้อยตามที่มันต้องการ เจ้าเหมียวที่พอมีคนปรนนิบัติก็หรี่ตา ล้มตัวนอนกลิ้งเกลือกอย่างสบายใจ
   
        “แล้วนี่หนูเจียกับเจ้าขาวไปไหน ทำไมไม่อยู่ด้วยกัน” ปกติหลานชายเขากับแมวอีกสองตัวตัวติดกันประหนึ่งแฝดสาม น่าแปลกที่วันนี้เหลือเจ้าถุงทองมาอ้อนเขาเพียงตัวเดียว
   
        หรือว่าจะลงไปซนกันที่สวนอีกแล้วนะ
   
        ชายหนุ่มผมน้ำตาลเดินลงจากเรือนไทยลงไปที่สวน พลันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากแถวประตูรั้วเขาจึงรีบเดินไปที่นั่น ทันใดนั้นเขาก็เห็นหลานชายกับเจ้าขาวกำลังปล้ำจับกันอยู่บนพื้น หนูเจียหัวเราะร่าแม้ว่าจะมีดินเปื้อนตามเสื้อแล้วก็ตัวก็ตาม ดูท่าว่าพอเล่นเสร็จต้องจับอาบน้ำอีกรอบ
   
       “หนูเจีย ทำอะไรอยู่ครับ” ปานตะวันเดินเข้าไปใกล้ เด็กน้อยของเขาก็เงยหน้ายิ้มแฉ่งอวดฟันกระต่ายให้ หนูเจียตอบเสียงใสว่า
       
       “หนูเจียกำลังจะจับขาวสวมมงกุฎครับ” ว่าแล้วก็ชูดอกเข็มสีแดงที่เอามาร้อยต่อกันขึ้นมาอวดน้าตะวันเสียเลย
   
       “แต่ขาวไม่ยอมอยู่นิ่งๆ เลย”
   
        แหงสิ เจ้าแมวดำแต่ชื่อขาวตัวนี้มันขี้รำคาญจะตาย เป็นแมวรักสงบและรักสันโดษผิดกับถุงทองที่ขี้อ้อน มันไม่ยอมให้หลานเขาจับแต่งตัวหรอก
   
        “ขาวไม่ชอบมั้งครับหนูเจีย ปล่อยมันเถอะ อย่าไปบังคับเลย เดี๋ยวมันจะหงุดหงิดจนหันมางับเราเอา นี่ไม่ได้โดนมันข่วนหรือกัดใช่ไหมครับ”
   
        “ไม่โดนครับผม”
   
        ปานตะวันเตือนหลานเสมอเรื่องการเล่นกับแมว เขาพาหนูเจียไปฉีดวัคซีนมาเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกหลานร้องไห้ลั่นโรงพยาบาลเพราะกลัวเข็ม ปานตะวันก็ทั้งขู่ทั้งปลอบว่าถ้าไม่ฉีดจะอดเล่นกับแมวอีกหนูเจียจึงยอมอยู่นิ่งๆ ให้คุณหมอเอาเข็มจิ้ม
   
        “ถ้าโดนต้องรีบไปล้างแล้วก็ฟอกสบู่ แล้วก็ต้องรีบบอกน้าตะวันนะครับ”
   
        “ครับผม”
   
        หนูเจียยิ้มแฉ่งให้คนเป็นน้าแล้วก็หันไปเล่นกับแมวต่อ แต่หนนี้ขาวคงรำคาญมันจึงร้องแง้วออกมา บิดตัวออกจากอุ้งมือหนูเจียแล้วก็วิ่งหนีไปทางประตูรั้ว ช่องระหว่างประตูรั้วกับพื้นก็กว้างพอให้ขาวลอดออกไปได้ หนูเจียกับปานตะวันที่เห็นขาววิ่งหนีก็หันมองหน้ากันด้วยความตกใจ แต่คนที่ตระหนกมากกว่าคงเป็นหนูเจีย เด็กน้อยรีบทิ้งสร้อยมงกุฎดอกเข็มในมือแล้วก็ออกวิ่งตามขาวไปทันที
   
       “ขาว ไปไหน เดี๋ยวก่อน!”
   
       “เฮ้ยหนูเจีย อย่าออกไปนะ มันอันตราย หนูเจีย!”
   
        ด้วยอารามตกใจปานตะวันจึงรีบวิ่งตามหนูเจียไปทันที ใจเขาเต้นแรงประหนึ่งจะกระดอนออกจากอก ซอยบ้านเขามันแคบแล้วก็ไม่ค่อยมีรถใหญ่ผ่านเข้ามาก็จริงแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย นอกจากรถใหญ่แล้วยังมีมอเตอร์ไซค์อีก ถ้าหนูเจียถูกเฉี่ยวหรือถูกชนขึ้นมาล่ะ คิดถึงตรงนี้ปานตะวันก็แทบจะร้องไห้
   
         ชายหนุ่มวิ่งเต็มฝีเท้าตามหลังหลานชายไป สักพักหนูเจียก็หยุดวิ่งปานตะวันที่เห็นว่าอีกไม่เท่าไหร่ก็ถึงตัวหนูเจียแล้วจึงผ่อนฝีเท้าลงกลายเป็นเดินเร็วๆ แทน เขามองเด็กชายตรงไปอุ้มเจ้าขาวที่หนีไปนั่งเลียขนตัวเองอยู่ตรงซอกเสาไฟฟ้า แต่พอขาวเห็นหนูเจียมันก็เผ่นแผล็วหนีไปที่อีกฝั่งของถนน หนูเจียก็รีบวิ่งตามไปเพื่อจะอุ้มมันกลับมา
   
        จังหวะนั้นเองที่มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งโผล่ออกมาจากหัวมุมถนน ตรงไปที่ร่างเล็กๆ นั้นด้วยความเร็ว
   
        ไม่มีความคิดใดๆ กลั่นกรองผ่านสมองทั้งนั้น ร่างกายของปานตะวันขยับไปโดยอัตโนมัติ
   
        สิ่งที่เขารู้เพียงอย่างเดียวคือคนที่เจ็บต้องไม่ใช่หนูเจีย...ต้องไม่ใช่หลานชายของเขา
   
        โครม!
   
        “น้าตะวัน!!”


**********************************************************

สวัสดีค่า เรากลับมาแล้วหลังหายหน้าไปนาน กอดดดดด
ตอนนี้สั้นมากเลยค่ะ สั้นกว่าทุกตอนที่เคยเขียนเลย รู้สึกผิดมาก เราอยากเขียนให้ได้ยาวๆเหมือนที่ผ่านมานะคะ
แต่ไม่รู้ทำไมแรงใจมันไม่ให้เลย เขียนแล้วลบ เขียนแล้วลบหลายรอบมาก
เราต้องขอโทษคนอ่านด้วยจริงๆนะคะ แต่เราจะไม่ทิ้งหนูเจียไว้กลางทางแน่ๆ ค่ะ
เราจะรีบเขียนตอนใหม่และพยายามพัฒนาการเขียนของตัวเองให้มากกว่านี้ ขอโทษคนอ่านด้วยนะคะที่หายไปนาน
แล้วก็เราจะพยายามให้มากกว่าเดิมค่ะ ไฟท์ติ้ง

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ลำพังเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงหนูเจีย ทำงาน แล้วก็เรียน ก็ลำบากมากแล้ว นี่ยังจะมีแมวเด็กแสนซนและเกเรมาอยู่ด้วยอีก
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อ๊ายยย ตะวัน...
เป็นอะไรไม๊
โถ่ เจ็บหนักไม๊นั่น

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ตะวันจะเป็นอะไรมากไหม

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
ตะวันนนนนน จะเป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย เดี๋ยวพี่เมศก็หัวใจวายกันพอดีถ้ารู้ข่าวว่าตะวันเจ็บ

ออฟไลน์ poppycake

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2670
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-4
โถ่ว เจ้าขาวทำไมสร้างเรื่องอย่างนี้
ตะวันจะเปนอะไรมากไหมเนี่ย ><

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ minenat

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-3
ขาวสร้างเรื่องง

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
โอ๊ยยยยย จะเป็นอะไรมากไหมมมมมมมม :katai1: :katai1: :katai1: :katai1:


 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ้ยยย ทำไมต้องมาเจอเรื่องด้วย กำลังใช้ชีวิตปกติสุขกันหวานแหววแท้ๆ
แต่คงไม่เกิดอะไรกับตะวันใช่ไหมคะ

เด็กน้อยต้องห่างจากความคุ้นเคย แม่ก็เหมือนทิ้ง เลยเคว้งคว้าง พาลไปหมด
แต่ดีแล้วที่มีกันต์ ไม่งั้นตะวันจะเป็นยังไง อาจไม่ได้เจอเจียหลินก็ได้

ตอนแรกคิดว่าราเมศเป็นพ่อนะ แต่อีกใจก็ไม่คิดว่าใช่ คิดว่าแอบรัก แต่เป็นไงล่ะเจอตะวันไป ถึงกับหลงเลยค่ะ
ราเมศดีมากจริงๆ เป็นคนอื่นแท้ๆ แต่ดีขนาดนี้ ยิ่งกว่าคนในอีก

หนูเจียน่ารักมากก น่าฟัด ช่างอ้อน แต่ดีที่ไม่ดื้อ ซนพอดี
ความน่ารัก ช่างพูด ช่วยให้น้าตะวันอยากพยายามนะลูก หนูต้องเอาใจช่วยน้านะคะ

แม่แอบโหด ห่วงแต่ไม่ดูแล

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
อบอุ่นพอประมาณเพราะยังไม่เป็นครอบครัวเดียวกัน รักนะตัวละคร ชัดเจนทุกบทบาท

ออฟไลน์ Ginny Jinny

  • ความเป็นจริงมันวุ่นวาย ก็ขอให้ใจมันสบายๆในความฝัน
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2099
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-4

ออฟไลน์ FaiiFay_Elle

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
โอ้ยยยย ใจคอไม่ดีเลย  :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ padthaiyen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2
 น้าตะวันจะเป็นอะไรมากไหม

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ตะวันไม่เป็นไรหรอกกนะะ

ออฟไลน์ snowrabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +219/-6
ปานตะวัน
บทที่ ๑๑
ระหว่างเรา


        สิ่งแรกที่เห็นหลังลืมตาตื่นขึ้นมาคือฝ้าเพดานสีขาว ภายในห้องเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ ปานตะวันกะพริบตาพลางสงสัยว่าที่นี่ที่ไหน...ไม่ใช่บ้านเขาแน่ๆ ล่ะ

   สิ่งต่อมาที่รู้สึกคือความเจ็บปวดที่แล่นริ้วมาตามแขนและลำตัว เด็กหนุ่มครางออกมาเบาๆ พลางยกมือกุมศีรษะ ตอนนั้นเองที่ปลายนิ้วสัมผัสเข้ากับผ้าพันแผลสีขาวที่พันอยู่รอบ รวมทั้งผ้าปิดแผลขนาดใหญ่ที่แปะอยู่ตรงหน้าผาก

   “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ปานตะวันพึมพำกับตัวเองแล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นว่าขาซ้ายของตัวถูกหุ้มเฝือกเอาไว้ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบห้องแล้วก็รู้ในที่สุดว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล

   โรงพยาบาล...จริงสิ ก่อนหน้านี้มันเป็นเพราะเจ้าขาววิ่งแจ้นออกไปนอกรั้ว หลานชายเขาที่ตกใจก็รีบไล่ตามไป เขาเลยออกวิ่งไปด้วย หนูเจียไปกำลังจะข้ามไปจับเจ้าขาวที่เผ่นไปอีกฝั่งของถนนแล้วตอนนั้นเองที่มีรถมอเตอร์ไซค์โผล่ออกมา

   แล้วหนูเจียล่ะ!

   ปานตะวันผุดลุกแต่ความเจ็บเสียดตามร่างกายทำให้ต้องล้มตัวลงนอนต่อ เขาอยู่ในห้องผู้ป่วยนี้คนเดียว หนูเจียไม่อยู่ ราเมศไม่อยู่ หลานเขาล่ะ หลังจากเขาโดนชนแล้วหลานเขาเป็นยังไงบ้าง

   ชายหนุ่มพยายามมองหาโทรศัพท์แต่ก็ไม่พบ ความตื่นตกใจเกาะกุมหัวใจเต็มที่ แล้ววินาทีที่เขาใกล้จะสติแตกนั้นเองประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของราเมศที่หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาก็จูงหนูเจียเข้ามา วินาทีที่เห็นหลานปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนความรู้สึกหนักในอกก็มลายหายไปทันที

   “น้าตะวัน!” หนูเจียที่เห็นเขาตื่นแล้วร้องออกมา เด็กน้อยวิ่งจี๋มาเกาะของเตียง ปลายจมูกเล็กและดวงตากลมของหนูน้อยแดงระเรื่อ “น้าตะวัน ฮือ น้าตะวันตื่นแล้ว”

   “ครับ น้าตะวันตื่นแล้ว” ปานตะวันลูบผม ลูบแก้มหลานชาย หนูเจียที่น้ำตาร่วงเผาะๆ เอียงแก้มซุกเข้าหามือของเขาอย่างออดอ้อน

   “หนูเจียเจ็บตรงไหนหรือเปล่า ไม่เป็นไรใช่ไหม”

   “ไม่เป็นไร..ฮึก...หนูเจียไม่เป็นไร แต่น้าตะวันเจ็บ หนูเจียขอโทษนะ หนูเจียจะไม่วิ่งออกไปที่ถนนแบบนั้นแล้ว หนูเจียขอโทษนะครับ”

   ยิ่งพูดน้ำตาเม็ดโตก็ยิ่งไหล ร่างเล็กของหนูน้อยวัยสี่ขวบสั่นสะท้านและแล้วหนูเจียก็ร้องไห้โฮออกมา ปานตะวันจะลุกไปกอดปลอบหลานก็ทำไม่ได้ ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่ราเมศ ชายหนุ่มร่างใหญ่จึงรามือจากการหยิบของออกจากกระเป๋าแล้วตรงไปอุ้มหลานชายตัวเล็กขึ้นมาทันที

   “โอ๋ๆ หนูเจีย ไม่ร้องนะครับ ไม่ร้องนะ” ปานตะวันเอ่ยปลอบไปด้วย เขาอยากเป็นคนเช็ดน้ำตาให้หลานจะแย่ แต่ติดที่ตัวเองนอนเดี้ยงอยู่แบบนี้เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากส่งเสียงปลอบ หนูเจียสะอื้นฮัก ซุกหน้าลงกับบ่าราเมศที่ลูบหลังให้อยู่

   “หนูเจียกลัว...มีเลือดเต็มไปหมดเลย หนูเจียขอโทษ ฮึก...ขอโทษ...หนูเจียจะไม่ดื้อแล้ว”

   “ครับ น้าตะวันรู้ว่าหนูเจียของน้าเป็นเด็กดี ไม่ร้องนะ โอ๋ๆ นะครับ มามะ มาให้น้าหอมหน่อย เด็กดีของน้าตะวัน”

   ราเมศย่อตัวลงให้เจียหลินยื่นหน้าไปหาปานตะวันได้ แต่แทนที่คนเป็นน้าจะจุ๊บปลอบใจหลานกลับเป็นหลานที่ไล่จุ๊บไปตามแก้ม หน้าผาก ปลายจมูกของน้าชายแทน จากนั้นเสียงเล็กที่สั่นพร่าก็พูดว่า

   “ขอ...ขอให้น้าตะวันไม่เจ็บ...เพี้ยงๆๆ”

   ท่าทางน่ารักนั้นทำให้ปานตะวันอยากจะจับหนูเจียมาฟัดให้หายอยาก เจ้าตัวเล็กคลี่ยิ้มออกมาได้นิดหน่อยแล้วหลังจากปี่แตกมานาน เห็นดังนั้นสองหนุ่มในห้องจึงวางใจ ราเมศปล่อยให้หลานชายลงยืนแล้วกระซิบว่าให้ไปรื้อของออกจากกระเป๋าเสื้อผ้ามาเรียงให้เรียบร้อย เจียหลินจึงผละออกไป

   หลานไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงตาราเมศบ้าง

   คนนี้สิน่ากลัวของจริง

   ชายหนุ่มผมน้ำตาลลอบกลืนน้ำลายตอนที่ราเมศลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงแล้วก็จ้องเขาด้วยสายตาดุๆ ตอนแรกปานตะวันก็
ฝืนสบตาด้วยอยู่หรอกแต่สุดท้ายก็สู้ไม่ไหว จำต้องเสหลบตาไปก่อน ตอนนั้นแหละที่คนหน้าดุเอ่ยคำพูดออกมาด้วยเสียงอ่อนระโหย

   “นายรู้ไหมว่าพี่ตกใจขนาดไหนตอนโรงพยาบาลโทรมาบอกว่านายโดนรถมอเตอร์ไซค์ชน นายหมดสติไปเลยนะ ดีที่คนขี่มอเตอร์ไซค์ไม่หนีไปไหนแต่พามาส่งโรงพยาบาล ตอนพี่มาถึงหนูเจียร้องไห้ไม่หยุดเลย หลานบอกเห็นน้าตะวันมีเลือดออกเยอะแยะ เรียกก็ไม่ตื่น หลานกลัวมาก...พี่ก็กลัวมากเลยรู้หรือเปล่า”

   ตอนนั้นราเมศกำลังทำงานอยู่ที่ร้าน คนไม่เยอะเท่าไหร่เขาเลยกำลังคิดว่าจะผละไปดูสองน้าหลานที่อยู่บ้านสักเดี๋ยว แต่ทันใดนั้นเองพนักงานคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหา ในมือมีโทรศัพท์ของราเมศอยู่ด้วย ฝ่ายนั้นละล่ำละลักว่าคนจากโรงพยาบาลโทรเข้ามา แจ้งว่าปานตะวันโดนรถชน

   วินาทีนั้นเหมือนกับโลกเอียงไปวูบหนึ่ง

   พอตั้งสติได้ราเมศก็ทิ้งทุกอย่างในมือแล้วตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลทันที ภาพแรกที่เห็นคือหลานชายยืนอยู่ข้างนางพยาบาลกำลังร้องไห้จ้า พอเห็นเขาหนูเจียก็วิ่งมาหาทันที

   เด็กน้อยสะอึกสะอื้นพูดว่าน้าตะวันเจ็บ มีเลือดท่วมเต็มไปหมด

   ได้ยินแบบนั้นแล้วหัวใจเขาแทบหยุดเต้น

   ราเมศกอดหนูเจียแน่น...จนกระทั่งหมอเดินออกมาแล้วบอกกับเขาว่าปานตะวันปลอดภัยดี สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือน อวัยวะภายในไม่เสียหาย มีแค่ขาหัก หัวแตก และรอยขีดข่วนฟกช้ำตามตัวเท่านั้น

   “พี่กลัวแค่ไหน...นายนึกไม่ออกหรอก”

   กลัวว่าจะเสียเด็กตรงหน้าไป...กลัวว่าจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มของปานตะวันอีก

   กลัว...แล้วก็ตั้งใจว่าถ้าปานตะวันลืมตาตื่นเมื่อไหร่เขาจะไม่ให้เด็กคนนี้คลาดสายตาไปทำอะไรตามใจตัวแบบนี้อีกแล้ว

   น้ำเสียงห้าวทุ้มสั่นพร่าจนปานตะวันรู้สึกผิดแม้มันจะไม่ใช่ความผิดเขาก็เถอะ

   “ตะวันขอโทษนะ”

   “ไม่ต้องขอโทษ มันไม่ใช่ความผิดนาย มันเป็นอุบัติเหตุ”

   “ไม่ใช่...ตะวันขอโทษ...ที่ทำให้เป็นห่วง”

   ราเมศถอนใจ สิ่งที่เขาไม่ได้บอกปานตะวันก็คือ ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลเขารู้สึกเหมือนภาพในอดีตวนกลับมาซ้อนทับ...เหตุการณ์ตอนจันทร์จ้าวเสียก็คล้ายๆ แบบนี้

   โรงพยาบาลโทรมา เขาไปที่นั่นพร้อมกับหลานชาย จากนั้นก็กอดปลอบเด็กน้อยที่ร้องไห้ไม่หยุดแล้วก็เรียกชื่อมารดาผู้จากไปอย่างไม่มีวันกลัวเอาไว้แน่น

   โชคดีเหลือเกินที่ปานตะวันไม่เป็นอะไร

   เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ราเมศก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนรับความเจ็บปวดได้อีกแค่ไหน

   “อย่าทำให้เป็นห่วงอีกก็พอ”

   ถึงปากจะดุแต่ฝ่ามือใหญ่ก็เลื่อนมากอบกุมมือของปานตะวันไว้อย่างแผ่วเบา ปลายนิ้วไล้ไปตามรอยฟกช้ำตามตัว

   “เจ็บมากไหม” คราวนี้เสียงอ่อนลงกว่าเดิมสิบระดับ

   คนป่วยที่เห็นว่ารอดพ้นการโดนด่าแล้วเลยรีบตีหน้าเศร้าทันที

   “เจ็บดิพี่ เนี่ย ช้ำไปทั้งตัว”

   ราเมศมองคนทำตาใสอย่างหมั่นไส้ อยากเคาะเหม่งมันสักทีแต่ติดที่ช้ำไปทั้งตัวแล้ว จะไปซ้ำก็สงสาร เลยได้ถอนหายใจ

   “คราวหลังก็ทะเล่อทะล่าวิ่งออกไปกลางถนนสิ”

   “ไม่วิ่งไปรถก็ชนหลานผมดิ แล้วนี่ไอ้ตัวต้นเรื่องอยู่ไหน”

   “พานายมาส่งโรงพยาบาลแล้วก็ไปโรงพักแล้ว พี่เคลียร์เรื่องให้เรียบร้อย”

   ราเมศพูดถึงคนขี่มอเตอร์ไซค์ ที่รู้ทั้งรู้ว่าซอยนั้นมันแคบและมีคนอยู่แต่ก็ยังขี่เร็วกว่าที่ควรทำให้เกิดอุบัติเหตุแบบนี้

   “เปล่า ผมหมายถึงไอ้ขาวน่ะ มันอยู่ไหนแล้ว” ต้นเหตุของเรื่องนี้เพราะไอ้แมวนั่นแท้ๆ เลย ราเมศหรี่ตามองคนเจ็บแล้วถามหยั่งเชิงว่า

   “ทำไม จะให้พี่เอาไปปล่อยเหรอ”

   “ได้ที่ไหนเล่า! มันยังเล็กนะ เดี๋ยวก็อดตายหรอก ที่ถามเพราะกลัวมันเจ็บหรือหายไปไหนต่างหาก”

   “อ้อ อย่างนี้นี่เอง งั้นก็สบายใจได้ พี่ให้มันอยู่กับถุงทองที่บ้านนั่นแหละ เดี๋ยวเย็นๆ แวะไปให้อาหาร”

   “เป็นห่วงชะมัด”

   “เอาตัวเองให้รอดเถอะไอ้เด็กแสบ”

   ปานตะวันย่นจมูกใส่อีกฝ่าย ก่อนจะซักถามต่อว่า “แล้วโทรศัพท์ผมล่ะ”

   “พี่เก็บมาให้แล้ว อ้อ พี่โทรไปรายงานแม่กับเพื่อนนายเรียบร้อยแล้ว แม่เธอบ่นหูชาเลย ส่วนกันต์จะมาเยี่ยมวันหลัง งานทำขนมกับหลงพี่ก็ลาให้เรียบร้อยแล้วเหมือนกัน”

   “ขอโทษนะพี่ที่ทำให้ลำบาก”

   ราเมศยิ้มพลางเหลือบตาไปมองหลานชายที่ถูกของเล่นในกระเป๋าดึงความสนใจไปแล้วก็โน้มตัวไปฉกจูบลงข้างแก้มคนเจ็บเบาๆ ก่อนจะกระซิบว่า

   “ไม่ลำบากหรอก เต็มใจทำให้”

   เท่านั้นแหละ ดวงตากลมโตก็วาววับขึ้น แก้มขาวขึ้นสีแดงก่ำเหมือนมะเขือเทศสุกจนคนอายุมากกว่าอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ อยากจะแกล้งให้มากกว่านี้แต่ติดที่คุณหมอกับพยาบาลเข้ามาตรวจอาการปานตะวันทันที สรุปแล้วคุณหมออยากให้นอนอยู่โรง
พยาบาลเพื่อดูอาการอีกคืน ถ้าเห็นว่าปลอดภัยแล้วก็จะให้กลับบ้านได้

   ราเมศอาสาเป็นคนเฝ้าปานตะวันเอง ชายหนุ่มจัดการช่วยพยาบาลเช็ดตัวให้คนป่วย พาเข้าห้องน้ำ ดูแลดีจนคนตัวเล็กชักเขินอายปนเกรงใจนิดๆ

   “นี่ ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้ง” ชายหนุ่มผมน้ำตาลโวยออกมาเมื่ออาหารเย็นถูกยกมาให้แล้วราเมศหยิบช้อนเตรียมจะป้อนข้าวเขา

   เขาขาเจ็บนะไม่ได้เป็นง่อยสักหน่อย!

   “ก็เห็นเจ็บอยู่ กลัวกินไม่สะดวก”

   “ผมกินได้ เอาช้อนมาเลย”

   ทำท่าจะเอื้อมมือไปคว้าแต่คนตัวโตกลับยกช้อนหนี ดวงตาคมสีนิลพราวระยับก่อนจะยื่นช้อนมาจ่อที่ปากเขาแล้วพูดเสียงนุ่มว่า “ปานตะวัน อ้าปาก”

   คนถูกเรียกชื่อถลึงตาใส่ ปานตะวันเม้มริมฝีปาก สะบัดหน้าหนีเป็นการประท้วง เอาสิ ไม่ให้กินเองงั้นเขาก็ไม่กิน!

   ราเมศมองลูกแมวป่วยที่เริ่มแผลงฤทธิ์อย่างอ่อน ชายหนุ่มวางช้อนลงแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือ คนตัวโตหันไปหาหลานชายที่นั่งอ่านหนังสือนิทานบนโซฟาแล้วก็พูดว่า

   “หนูเจียครับ มานี่หน่อยเร็ว”

   หนูเจียตัวน้อยเงยหน้ามองคนเรียก ยอมวางหนังสือแล้วเดินมาหาอย่างว่าง่าย หนูเจียปีนขึ้นไปนั่งตักราเมศแล้วก็เงยหน้า
มองอย่าสงสัยว่าเรียกเขามาทำไม

   “น้าตะวันไม่ยอมกินข้าวที่น้าเมศป้อน ถ้าไม่กินน้าตะวันจะไม่หาย หนูเจียบอกน้าตะวันทีครับว่าให้ทานข้าว”

   คราวนี้ปานตะวันหันขวับมาทันที

   ไอ้พี่เมศมันร้าย! ตัวเองสู้ไม่ได้ก็เอาหลานเข้าสู้แทน รู้สินะว่าเขาน่ะแพ้ทางลูกอ้อนเจียหลิน!

   “น้าตะวันครับบบ” นั่นไง มาแล้วไง เสียงใสๆ อ้อนๆ แบบนี้ ปานตะวันก้มลงมองหลานชายแล้วก็อยากจะยกมือกุมอกกับดวงตากลมแป๋วและยิ้มกว้างอวดฟันกระต่ายของเด็กน้อย

   น่ารักเหลือเกิน ฮือ อยากได้กล้องมาถ่ายรูปไว้

   “น้าตะวันต้องกินข้าวน้า หนูเจียอยากให้น้าตะวันแข็งแรง ไม่กินจะไม่หายเอานะครับ” เด็กน้อยยกสองมือประกบแก้มแล้วก็อ้าปากกว้างพร้อมพูดว่า “อ้ามมม”

   “ว่าไงปานตะวัน อ้ามไหม” ราเมศตักข้าวขึ้นมาเป่าให้หายร้อนแล้วก็จ่อปากคนเจ็บที่นั่งแก้มแดงอยู่บนเตียง

   “น้าตะวัน อ้ามมม” มีหน่วยสนับสนุนเป็นหลานชายสุดน่ารัก

   แล้ว...แล้วจะให้เขาทนต่อไปได้ยังไง!

   ยอมก็ได้วะ

   “อ่ะ รู้แล้วๆ ทั้งคู่นั้นแหละ เอ้า อ้ามก็อ้าม”

   ปานตะวันยอมอ้าปากรับข้าวเข้าไป พอเขากลืนคำแรกหนูเจียก็ปรบมือแล้วก็ชมว่า “น้าตะวันเก่งมาก” มีการยกนิ้วโป้งให้ด้วย ปานตะวันกับราเมศถึงกับอมยิ้มเพราะรู้ดีว่าท่าทางแบบนั้นเจ้าตัวเลียนแบบมาจากพวกเขานี่แหละ ก็เวลาหนูเจียงอแงไม่กิน
ผักแล้วปานตะวันหลอกล่อให้กินได้สำเร็จจะต้องตบท้ายด้วยประโยคว่า ‘หนูเจียเก่งมาก’ ตลอดเลยนี่นา

   “เอ้า อีกคำเร็ว ตะวันอ้าม”

   “น้าตะวันเก่งมากกก”

   อีกคำ อีกคำ แล้วก็อีกคำ

   รู้ตัวอีกทีปานตะวันก็ยอมให้ราเมศป้อนข้าวจนหมด

   หลังทานข้าว ทานยา และจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ปานตะวันก็นั่งเอนหลังอยู่บนเตียงโดยพื้นที่และโต๊ะเล็กข้างเตียงที่ใช้วางถาดอาหารถูกจับจองโดยราเมศกับหนูเจีย เด็กน้อยกำลังนั่งวาดรูประบายสีอยู่ ปานตะวันมองภาพที่หลานชายตั้งใจวาดแล้วก็ยิ้ม

   “หนูเจียวาดอะไรครับ”

   “วาดรูปครอบครัวส่งคุณครูครับ”

   “หืม ไหนให้น้าตะวันดูหน่อย”

   หนูเจียยิ้มกว้างจนตาหยี ส่งกระดาษมาให้แล้วก็อธิบายว่า “นี่คือน้าเมศ น้าตะวัน ส่วนนี่หนูเจีย ข้างหลังเป็นบ้าน เป็นส่วน มีถุงทองกับขาวด้วย” นิ้วป้อมๆ ชี้ไปตามรูปโย้เย้ในกระดาษที่บางรูปดูแทบไม่ออก ปานตะวันเป็นผู้ชายคอยาวสองคนในภาพ คงเป็นเขากับราเมศ ส่วนเด็กคอยาวตรงกลางที่ผมตั้งๆ เป็นหนูเจีย ทุกคนมียิ้มกว้างประดับใบหน้า ด้านหลังพวกเขามีบ้านหลังคาแหลมๆ แล้วก็มีปล่องไฟ...ทำไมรูปบ้านเด็กเกือบทุกคนต้องมีปล่องไฟด้วยนะ ข้างๆ บ้านมีพุ่มไม้ ดอกไม้หลายสี แล้วก็แมวหน้าตาประหลาดสองตัว

   ที่บนฟ้ามีก้อนเมฆ ดวงอาทิตย์ กับลายเส้นยึกยือที่ยังวาดไม่เสร็จ

   “แล้วนี่ล่ะครับ หนูเจียจะวาดอะไร”

   “ตรงนี้เป็นแม่จันทร์ หนูเจียจะวาดแม่จันทร์มีปีก เป็นนางฟ้า”

   เด็กน้อยตอบกลางรับกระดาษกลับไป ปานตะวันหันไปสบตากับราเมศแวบหนึ่งแล้วก็ได้รอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมามากโข

   “อื้ม แม่จันทร์ต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ แล้วก็มองดูพวกเราอยู่”

   ปานตะวันลูบหัวหลานชาย เด็กน้อยนิ่งไปจากนั้นก็วางดินสอสีลงแล้วดึงมือปานตะวันมาจับเล่น พลางถามว่า “น้าตะวัน แม่จันทร์จะโกรธหนูเจียไหมครับ”

   “แล้วแม่จันทร์จะโกรธหนูเจียทำไมล่ะครับ หืม”

   “ก็...ก็หนูเจียทำให้น้าตะวันเจ็บ แม่จันทร์ต้องโกรธแน่เลย”

   ความเอ็นดูพุ่งเข้าจับใจทันที ปานตะวันลูบผมหลานชายเบาๆ “แม่จันทร์ไม่โกรธหรอกครับ แม่จันทร์จะดีใจมากกว่าที่หนูเจียไม่เจ็บ แต่แม่จันทร์ก้ไม่อยากให้หนูเจียวิ่งออกไปนอกบ้านแบบนั้นอีก มันอันตราย สัญญาสิครับว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว”

   นิ้วก้อยของปานตะวันยื่นไปตรงหน้าหนูเจีย เด็กน้อยมองเขาสลับกับนิ้วก้อยแล้วก็พยักหน้า เกี่ยวนิ้วเล็กๆ เข้ากับนิ้วปานตะวัน

   “หนูเจียสัญญา”

   “คนเก่งของน้า”

   บรรยากาศอบอุ่นระหว่างสองน้าหลานต้องหยุดลงเมื่อราเมศบอกว่าดึกแล้วหนูเจียต้องอาบน้ำนอนได้แล้ว เด็กน้อยจึงยอมวางสีในมือลงแล้วเข้าห้องน้ำไปพร้อมน้าเมศ ปานตะวันได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของหนูเจียลอดออกมาสักพักสองน้าหลานก็ออกมาด้วยสภาพตัวหอมฟุ้งกันทั้งคู่

   ชายหนุ่มผิวขาวมองราเมศพาหนูเจียไปนอนที่โซฟา ตอนแรกปานตะวันตั้งใจจะให้ราเมศพาหลานกลับไปนอนบ้านแต่หนูเจียไม่ยอม ยังไงก็จะนอนกับน้าตะวัน สุดท้ายเลยต้องค้างที่โรงพยาบาลกันหมดทั้งสามคน

   มือใหญ่ห่มผ้าให้เด็กน้อย เหน็บเก็บชายให้เรียบร้อย จากนั้นราเมศก็รับหน้าที่อ่านหนังสือนิทานให้หนูเจียฟัง จนกระทั่งดวงตากลมค่อยๆ ปรือลงแล้วก็ปิดสนิทไป เมื่อเห็นหลานหลับสนิทราเมศก็ลุกไปปิดไฟ ตอนนี้ภายในห้องเหลือเพียงแสงจากภายนอกที่ส่องลอดรอยแยกของผ้าม่านมาเท่านั้น

   “พี่เมศ มานี่หน่อย”

   ราเมศค่อยๆ เดินไปหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงตามเสียงกระซิบ แสงสลัวรางในห้องทำให้เขาเห็นหน้าปานตะวันได้บ้างแม้จะไม่ชัดเจน

   ชายหนุ่มรับรู้ถึงฝ่ามือบางค่อยๆ ไล้ตามผิวแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา

   “แป้งติดหน้าพี่แน่ะ”

   “ขอบใจ”

   “ไม่เป็นไรครับ”

   พวกเขาเงียบกันไป ภายในห้องเหลือเพียงเสียงลมหายใจแผ่วเบาและเสียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้น จนกระทั่งปานตะวันทำลายความเงียบขึ้นมา

   “พี่...ขอบคุณนะสำหรับทุกอย่างเลย ไม่ได้พี่ผมคงแย่แน่ๆ แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ลำบาก”

   “ไม่ได้ลำบาก บอกแล้วว่าเต็มใจ”

   “พี่ไม่ได้ลำบากแต่ก็ทำเพื่อพี่จันทร์ ผม แล้วก็หลานมามาก”

   ทั้งคอยดูแล คอยช่วยเหลือในด้านต่างๆ จนบางครั้งเขายังอดเกรงใจไม่ได้

   “พี่ดูแลพวกเราดีมาก...จนผมอดรู้สึกไม่ได้ว่านี่มาเกาะพี่กินหรือเปล่านะ” ปานตะวันพูดเสียงเรียบเรื่อยแต่ราเมศจับความ
หวั่นไหวในใจอีกฝ่ายได้

   “พี่รู้ไหมว่าผมอยากเรียนให้จบ อยากมีงานดีๆ ทำ อยากเป็นที่พึ่งให้หลานได้ อยากช่วยพี่ได้บ้าง...ไม่ใช่ให้พี่ช่วยอยู่แค่ฝ่ายเดียว”

   ฝ่ามือใหญ่ของราเมศถูกยกขึ้นมาแนบแก้ม ปานตะวันยิ้มให้กับความอบอุ่นสัมผัสเขาอยู่

   “พี่กับหลานทำให้ตะวันอยากเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ตะวันจะไม่สัญญานะ แต่หลังจากนี้ตะวันจะทำให้พี่เห็นให้ได้ พี่เมศ ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่ผ่านมาแล้วก็ต่อจากนี้ด้วยนะ”

   ภายในห้อง นอกจากเสียงลมหายใจแล้ว ราเมศคิดว่ามันคงมีเสียงหัวใจเขาด้วยอีกอย่างหนึ่งที่ดังจนคนตรงหน้าได้ยิน ชายหนุ่มอยากจะรวบตัวปานตะวันมากอดเสียจริงๆ แต่ติดที่เจ้าตัวเจ็บอยู่ เขาจึงได้แตะจูบลงที่หลังมืออีกฝ่าย

   “พี่บอกไปแล้วว่าเต็มใจทำให้ แล้วก็นะ...พี่ไม่ได้ทำแบบไม่หวังผลด้วย”

   “แล้วพี่เมศอยากได้อะไร”

   เขาน่ะหรือ...เขาอยากได้...

   “ถ้าพี่พูดไปแล้วนายให้พี่ได้ไหม”

   “ก็ถ้าตะวันให้ได้ตะวันก็จะให้”

   ราเมศสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อันที่จริงเขาคิดว่ามาตั้งแต่ตอนเกิดอุบัติเหตุแล้ว ว่าชีวิตมันไม่แน่นอน ไม่เคยมีอะไรแน่นอน

   ถ้าหากว่าวันนี้ปานตะวันไม่ได้ตื่นขึ้นมาล่ะ

   ถ้าหากว่าวันนี้เด็กคนนั้นหลับไปตลอดกาล...เขาจะเสียใจขนาดไหนที่ไม่ทำอะไรให้มันชัดเจนและถูกต้อง

   ไม่ได้พูดคำนั้นออกไปตอนที่ยังบอกได้

   ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไรราเมศก็จะบอกความรู้สึกของตัวเองออกไปให้ได้

   “ถ้าพี่บอกว่าพี่อยากได้หัวใจของนาย นายจะให้พี่ไหม”

   ...จบประโยคนั้น ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง...

   ราเมศรู้ดี ว่าที่ผ่านมาระหว่างเขากับปานตะวันมีความรู้สึกที่ตรงกัน  ความรู้สึกผูกพันที่เพิ่มให้กันทีละเล็กทีละน้อย แต่พวกเขาก็ยังรีรอที่จะบอก รีรอที่จะขยับความสัมพันธ์แม้จะ ’รัก’ กัน

   ปานตะวันกลัวว่าเขาจะคิดไปเอง เพราะในหัวใจของเขาเคยมีจันทร์จ้าวอยู่ เด็กคนนั้นกลัวว่าเขาจะยึดเอาตัวเองเป็นตัวแทนพี่สาวแล้วก็เข้าใจไปว่าสิ่งนั้นคือความรักที่มีให้ ถึงได้ยืดเวลาบอกรักกันมาจนถึงตอนนี้ แต่ราเมศคิดดีแล้ว เขาทบทวนตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขารักใคร ปานตะวันหรือจันทร์จ้าว และคำตอบก็ออกมาชัดเจนทุกครั้งว่าเป็นปานตะวัน

   เด็กคนนั้นยึดครองพื้นที่ในหัวใจของเขาได้สำเร็จ และราเมศจะไม่ปล่อยให้ตะวันดวงนี้หลุดมือไป

   “พี่ไม่คิดว่ามันเร็วไปเหรอ พี่แน่ใจตัวเองแล้วจริงๆ เหรอ”

   พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่เท่าไหร่เอง แค่เดือนหนึ่งเกือบๆ สองเดือน มันนานพอที่จะทำให้ใครคนหนึ่งลืมคนที่เคยรักสุดหัวใจได้หรือ

   หนึ่งเดือน...จะทำให้รักกันได้จริงๆ น่ะเหรอ

   ปานตะวันไม่ใช่ไม่อยากเชื่อ แต่เขากลัวที่จะเชื่อ

   เขาไม่อยากเจ็บปวดกับความรักอีกแล้ว

   “ตะวันว่าพี่เมศลองกลับไปคิดดู- -”

   “ไม่!”

   เสียงทุ้มดังจนปานตะวันสะดุ้ง ชายหนุ่มรีบยกนิ้วชี้ทาบริมฝีปาก เหลือบตาไปมองหลานชายที่หลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา กลัวเด็กน้อยจะตื่นมาร้องไห้

   “ชู่ว์ เบาๆ สิพี่ เดี๋ยวหนูเจียก็ตื่น”

   “โทษที”

   คราวนี้ราเมศลดเสียงลงเป็นกระซิบ หากแต่คำตอบยังคงเป็นการปฏิเสธ

   “พี่ไม่อยากกลับไปทบทวนแล้ว พี่คิดดีแล้วจริงๆ”

   “พี่ลืมพี่จันทร์ได้แล้วเหรอ”

   “ไม่ได้ลืมจันทร์...แต่แค่ไม่ได้รักอีกแล้ว แน่ล่ะว่าถ้าเป็นแบบเพื่อนก็ยังรักอยู่ แต่รักแบบที่อยากอยู่ด้วยกัน อยากครอบ
ครอง ก็ไม่แล้ว”

   นัยน์ตาสองคู่สบกันผ่านความมืด ปานตะวันมองเห็นแววจริงใจในดวงตาของราเมศได้ชัดเจน

   “พี่รักนาย ปานตะวัน”

   คำพูดแค่ประโยคเดียวของราเมศ ทลายกำแพงและความกลัวที่ปานตะวันสร้างไว้ไปจนหมด อีกฝ่ายขยับเข้ามาใกล้ใน
ขณะที่เอ่ยต่อว่า

   “พี่ยินดีช่วยเหลือนาย อยากให้นายพึ่งพาพี่ อยากดูแล อยากแบ่งปันทุกอย่างด้วยกัน พี่อยากให้ระหว่างเรามันก้าวหน้าไปมากกว่านี้ อยากเป็นคนแรกที่นายนึกถึง อยากเป็นคนที่ได้ดูแลหนูเจียไปพร้อมกับนาย”

   “อยากให้เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”

   ปานตะวันนิ่งเงียบหากแต่หัวใจของเขากลับเต้นรัวในอกกับคำสารภาพจากผู้ชายหน้าดุคนนี้ แน่นอนว่าทุกอย่างที่ราเมศพูดออกมาก็คือสิ่งที่อยู่ในใจเขาเช่นกัน

   อยากให้เป็นครอบครัวเดียวกัน

   “แล้วนายล่ะ อยากให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนายไหม”

   กระบอกตาแสบร้อน กว่าที่จะรู้ตัวหยดน้ำตาก็ร่วงลงมาแล้ว ปานตะวันเม้มริมฝีปาก ไม่อยากหลุดเสียงสะอื้นออกไป แต่ราเมศกลับห้ามไม่ให้เขาทำแบบนั้นด้วยการกดริมฝีปากลงมา

   ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตกใจ แต่เมื่อริมฝีปากได้รูปขยับไล้ไปมาแผ่วเบาราวผีเสื้อขยับปีก ปานตะวันก็รู้สึกเหมือนสติกำลังจะหายไป น้ำตาหยุดไหลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าเขาไว้ ทาบทับริมฝีปากให้แนบสนิท

   ปานตะวันเผยอริมฝีปากให้อีกฝ่ายรุกล้ำเข้าไปได้ ลมหายใจเริ่มถี่กระชั้นทีละนิด รู้ตัวอีกทีจูบของพวกเขาก็เริ่มทวีความรุ่มร้อนขึ้น

   มือเล็กยกขึ้นสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีดำของราเมศ ชายหนุ่มเท้าแขนคร่อมตัวปานตะวันไว้ งับริมฝีปากล่างเจ้าเด็กน้อยเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อจากนั้นก็ป้อนจูบหวานให้อีกครั้งทำเอาคนอ่อนกว่าถึงกับหัวหมุน

   ปานตะวันไม่ได้ไม่ประสากับการจูบ แต่พอเป็นจูบที่ทำกับ ‘คนที่ชอบ’ เขาก็ประหม่าจนเหมือนกลับไปเป็นเด็กน้อยเพิ่งมีจูบแรกอีกครั้ง

   “ว่าไง ตกลงไหม”

   คนตัวโตผละออกไปแล้วแต่ก็ไม่ได้ไปไหนไกล อีกฝ่ายกระซิบทีริมฝีปากพวกเขาก็เฉียดโดนกันทีพาให้ใจสั่น

   “ต...ตกลง...ตกลงอะไร”

   “อย่ามาทำเบลอ เพิ่งสารภาพรักไปหยกๆ แต่เอาจริงๆ จูบตอบขนาดนี้ก็ไม่ต้องรอคำตอบแล้วก็ได้มั้ง”

   “ตลก!”

   พอเขาว่าเข้าให้อีกฝ่ายก็เลยจับจูบอีกรอบจนคนฤทธิ์มากอ่อนระทวยในอ้อมแขน ราเมศยิ้มขำ ไล้นิ้วไปตามริมฝีปากแดงช้ำเบาๆ

   “ว่าไง ตกลงไหม”

   “พี่เมศขี้โกง”

   จุ๊บ

   “ฉวยโอกาส”

   จุ๊บ

   “พอเลย ปากผมช้ำหมดแล้ว”

   “ก็ตกลงก่อนสิ”

   “นี่มันมัดมือชกแล้วนะ!”

   ราเมศหัวเราะแผ่วๆ จูบลงที่หว่างคิ้วคนทำหน้ายุ่งเบาๆ “ว่าไงตะวัน นายจะยอมให้พี่เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวได้ไหม”

   พี่เมศไม่ได้ถามว่าเป็นแฟนกันได้ไหม...แต่ถามว่าปานตะวันจะยอมรับอีกฝ่ายเป็นครอบครัวเดียวกันไหม

   ความหมายที่ราเมศแฝงมากับประโยคนั้นลึกซึ้ง...เช่นเดียวกับน้ำหนักความสัมพันธ์ที่อีกฝ่ายต้องการ

   ไม่ใช่แฟนแต่เป็นครอบครัว

   เป็นครอบครัวที่จะแบ่งปันทุกข์และสุขร่วมกัน

   “เป็นครอบครัวเดียวกับตะวันน่ะเหนื่อยนะ หลานก็ต้องส่ง ตะวันก็ต้องเรียน งานก็ต้องทำ”

   “เพราะรู้ว่าเหนื่อยถึงได้อยากอยู่ข้างๆ ไง”

   เล่นพูดมาแบบนี้แล้ว...เขาจะทำอะไรได้ล่ะ ปานตะวันขยับตัวซุกเข้าหาอ้อมกอดของคนตรงหน้า ร่างกายสูงใหญ่แข็งแรงให้ความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น

   พี่เมศเป็นคนดุแต่ดุเพราะอยากให้ได้ดี เป็นคนปากแข็งแต่ใจอ่อน เป็นคนเข้าอกเข้าใจคนอื่น แม้จะไม่ค่อยพูดแต่ก็สัมผัสได้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นห่วงเป็นใยตัวเองและหนูเจียอยู่ตลอดเวลา

   ปานตะวันแพ้ราเมศ...แพ้ความดีของเขาคนนี้แบบหมดหัวใจ

   “เอ้า ยอมก็ได้”

   คนตัวเล็กอุบอิบแต่ราเมศได้ยินชัดเจน และแน่นอนว่าปานตะวันก็ได้ยินเสียงหัวใจของเขาเช่นกัน เพราะภายในห้องมันมืด
ทำให้เห็นไม่ค่อยชัดแต่ราเมศแน่ใจว่าปานตะวันต้องหน้าแดงอยู่แน่ๆ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้นหากแต่โน้มตัวลงไปสัมผัสริมฝีปากของคนตัวเล็กด้วยความอ่อนโยนราวกับจะแทนความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นอยู่ในใจ

   ทั้งความรู้สึกรัก เป็นห่วง ขอโทษ และขอบคุณ

   ส่งผ่านไปให้ได้รับรู้

   “ขอบคุณที่ยอมให้รักกัน”

   “ฮื่อ ตะวันต่างหากต้องขอบคุณพี่ ขอบคุณจริงๆที่รักกัน”

   ขอบคุณที่ยอมให้ระหว่างเรากลายเป็น ‘ครอบครัว’ ขอบคุณ...จากหัวใจ

*******************************************************

เรื่องยังไม่จบนะคะ 555555 แม้เขียนตอนนี้แล้วจะรู้สึกว่าอารมณ์ให้ขึ้นคำว่า แฮปปี้เอนดิ้งซะเหลือเกิน
ในที่สุดดดด เขาก็ได้เป็นครอบครัวเดียวกันนน ฮาาา พี่เมศก้ยังคงเลี้ยงแมวสี่ตัวต่อไป...เป็นผู้ชายที่ทุ่มเทจริงๆค่ะ!
พอหมอสงกรานต์แล้วก็ได้กลับมานั่งอืดเขียนนิยาย ฮาาา การเขียนเรื่องที่มีเด็กคืออะไรที่ฮีลตัวเองสุดๆ
หลายครั้งที่รู้สึกว่าหนูเจียกำลังแย่งซีนพี่เมศ ;w; แต่เรารักเด็กค่ะ เราจะปล่อยผ่าน  :katai5:

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ คิดเห็นยังไงติชมได้เต็มที่เลย ใครอยากสกรีมในทวิตติดแท็ก #พี่เมศทาสแมว ได้นะคะ
เราจะตามไปส่องด้วย ฮาาา ส่วนใครอยากมาเม้าท์มอยกันหลังไมค์ก็ติดตามได้ที่เพจ AzureDream เลยค่ะ
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะคะ จุ๊บบ  :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด