พวกเขาเงียบกันไปอีกครั้งก่อนที่เสียงเล็กๆ จะค่อยๆ กระซิบขึ้น
“นี่...ผมขอโทษนะ” ราเมศขมวดคิ้ว หันไปมองเด็กข้างตัวอย่างงุนงงแล้วก็พบว่าปานตะวันกำลังจ้องผ้าห่มอย่างเอาเป็นเอาตาย มือเล็กๆ คู่นั้นทั้งบีบทั้งขยี้ผ้าห่มเล่นเหมือนคนทำตัวไม่ถูก และถ้าเขาไม่ได้ตาฝาด ใบหูเล็กๆ ของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยเช่นกัน
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“ที่ก่อนหน้านี้ผมทำตัวไม่ดี”
ริมฝีปากได้รูปยกยิ้ม รู้สึกสนุกที่เห็นคนเคยปากเก่งกำลังอุบอิบขอโทษเขาอยู่ พอเป็นแบบนี้แล้วชักอยากแกล้งขึ้นมานิดหน่อย
“นายพูดอะไรนะฉันไม่ได้ยิน”
เท่านั้นแหละเด็กแสบก็เงยหน้าขึ้น ถลึงตากลมๆ ใส่เขาแล้วตวัดเสียง “บอกว่าขอโทษที่ผมทำตัวไม่ดี ที่พูดจาไม่สุภาพ ทำตัวก้าวร้าว พอใจหรือยังครับ!” พูดจบก็ทำปากคว่ำฟึดฟัดใส่ ราเมศต้องกลั้นขำจนปวดแก้ม เขาแสร้งตีหน้าดุ ก่อนพูดว่า “อย่าเสียงดัง หนูเจียหลับอยู่”
ปานตะวันสะดุ้ง เหลือบไปมองเด็กน้อยอย่างหวาดๆ ว่าเจ้าตัวจะตื่นมาอีกหน ชายหนุ่มผิวแทนยิ้มขำ “แล้วก็ได้ยินแล้วล่ะว่าสำนึกผิด เด็กดีๆ”
“แกล้งผมเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย ฉันก็ต้องขอโทษเหมือนกัน”
พอได้ยินแบบนั้นเด็กแสบก็เลิกอาละวาด ปานตะวันเอนตัวพิงผนังห้องอีกรอบก่อนจะอ้าปากหาว ราเมศจึงไล่อีกฝ่ายไปนอนแต่เด็กดื้อกลับส่ายหน้า
“ไม่อยากนอนตอนนี้หรอกครับ”
“แต่นายง่วงแล้ว”
“ไม่อยากหลับนี่นา”
“ทำไมล่ะ”
ปานตะวันนิ่งไปครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไร ราเมศเองก็ไม่อยากนอน อันที่จริงแล้วเขายังไม่ได้หลับเลยต่างหาก สมองของเขาวุ่นวายเกินกว่าจะข่มตานอน
ดวงตาคมเหลือบมองเจียหลินที่หลับสนิทอยู่พลันความรู้สึกหนักอึ้งก็เข้าเกาะกุมหัวใจอีกครั้ง
ปานตะวันถามเขาว่าทำไมถึงได้โอ๋เจียหลินนัก หลานตัวเองก็ไม่ใช่ ราเมศรู้ตัวดีว่าเขาก้าวข้ามเส้นของคำว่าเพื่อนบ้านมามากแล้ว เขาเข้ามายุ่งวุ่นวายจนปานตะวันสงสัย แต่เขาปล่อยเจียหลินไปไม่ได้จริงๆ ราเมศรู้อยู่เต็มอกว่าเจียหลินเป็นความรับผิดชอบของเขา ยังไงก็ทิ้งไปไม่ได้
บางทีถ้าจันทร์ยังอยู่เธออาจจะไม่ให้เขาเข้าใกล้เจียหลินขนาดนี้ก็ได้ ก็นะ...เขาทำกับเธอไว้ตั้งขนาดนั้น แต่ตอนนี้จันทร์จ้าวไม่อยู่แล้ว ราเมศไม่สามารถทำเมินเฉยกับเลือดเนื้อเพียงหนึ่งเดียวของหญิงสาวได้ เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาต้องรับผิดชอบเด็กคนนี้
แม้ว่าจันทร์จ้าวจะไม่ต้องการก็ตาม
ราเมศไม่คิดว่าปานตะวันจะดูแลเจียหลินได้ดี อีกฝ่ายไม่เคยเตรียมพร้อมสำหรับการดูแลเด็กมาก่อนและดูเหลาะแหละเหมือนทำอะไรไม่เป็นเลย เขาไม่ไว้ใจให้หนูเจียอยู่ในความดูแลของปานตะวันแน่ๆ เพราะอย่างนั้นราเมศจะขออยู่ดูแลเจียหลินด้วย นี่คือสิ่งเดียวที่เขาพอจะทำได้เพื่อจันทร์จ้าว เพื่อเจียหลินและเพื่อตัวเอง
“นี่ คุณว่าผมจะดูแลเด็กได้ดีไหมนะ” น้ำเสียงสั่นไหวดึงเขาออกจากภวังค์ ชายหนุ่มเหลือบมองคนข้างกาย ตอบสั้นๆ “นั่นก็ขึ้นอยู่กับนาย”
“คุณรู้ไหมว่าวันนี้มันหนักมากเลยสำหรับผม ต้องมาบ้านที่ไม่ได้กลับมานานเพื่อมาไหว้กระดูกของพี่ มาเจอเด็กที่เป็นลูกแถมยังต้องกลายมาเป็นผู้ปกครองของเด็กอีก ทั้งๆ ที่ไม่เคยเตรียมตัวกับอะไรแบบนี้มาก่อนเลยแท้ๆ” ปานตะวันถอนหายใจเบาๆ “ผมกลัวมากๆ เลยล่ะ”
ราเมศไม่ได้ตอบอะไร เขานั่งเงียบ คนข้างตัวเองก็เงียบไป เนิ่นนานทีเดียว ในที่สุดเขาก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นบริเวณไหล่ซ้าย ปานตะวันเผลอหลับไปจนได้ เด็กน้อยนั่นเอนศีรษะมาซบเขา ใบหน้ายามหลับของชายหนุ่มตัวเล็กดูสงบนิ่งไร้พิษสง เปลี่ยนจากเด็กแสบตัวร้ายกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆ หนึ่งตัว
ชายหนุ่มลูบผมของปานตะวันเบาๆ เส้นผมของอีกฝ่ายนุ่มลื่นกว่าที่คิดไว้ เด็กน้อยครางเบาๆ ในลำคอก่อนเบียดซุกเข้ามา
ราเมศถอนหายใจ มองปานตะวันก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองเจียหลิน ดวงตาสีนิลฉายแววเศร้าสร้อยลึกล้ำ
อะไรที่เป็นความลับก็ควรเป็นความลับต่อไปใช่ไหม ความจริงบางเรื่องไม่รู้เสียยังดีกว่า...ใช่ไหมจันทร์จ้าว
เช้าวันต่อมาปานตะวันตื่นสาย คนตัวเล็กยันตัวลุกขึ้น ใช้มือขยี้ผมสีน้ำตาลที่ยุ่งเหยิงของตนก่อนจะหันมองรอบตัวแล้วก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง คิ้วเรียวขมวดฉับก่อนจะค่อยๆ ไล่เรียงเหตุการณ์ในหัว เมื่อคืนเขาได้ยินเสียงเจียหลินร้องเลยเดินมาดู แล้วก็อยู่คุยกับราเมศต่อ จากนั้น...คงจะเผลอหลับไปสินะ
คนตัวเล็กยกมือปิดหน้า รู้สึกได้ว่าสองแก้มร้อนผ่าว เมื่อวานเขาคงทำตัวอ่อนแอน่าสมเพชออกไปสินะ น่าอายชะมัด
ว่าแต่ราเมศไม่อยู่ หายไปไหนกันนะ
ปานตะวันมองไปข้างกายก็พบว่าข้างตัวเหลือเพียงเจียหลินที่หลับสนิทอยู่ แต่ราเมศนั้นหายไปแล้ว ช่างเถอะอาจจะกลับบ้านไปแล้วก็ได้
เขายักไหล่ก่อนจะขยับตัวลงจากเตียง การเคลื่อนไหวนั้นเองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงปรือตาขึ้นช้าๆ เจียหลินยันตัวลุกขึ้น มองไปรอบๆ อย่างมึนงงพลางใช้กำปั้นน้อยๆ ของตัวเองขยี้ตา
ปานตะวันคลี่ยิ้มก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าเจียหลิน ลูบผมนุ่มๆ ของอีกฝ่าย
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
แม้ว่าจะพยายามฉีกยิ้มเอาใจเด็กยังไงแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคืออาการนิ่ง เงียบ ใบหน้าน่ารักนั้นไม่แสดงสีหน้าอะไร เจียหลินหลบตา พยักหน้าหงึกหนึ่งที
ปานตะวันกะพริบตาปริบ ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไรต่อไป จริงสิ...ตื่นมาแล้วก็ต้องอาบน้ำสินะ เจียหลินอาบน้ำเองได้หรือยังเนี่ย
“เอ่อ...งั้นไปอาบน้ำกันก่อนดีกว่าเนอะ”
หงึก
พยักหน้ากลับมาอีกหนึ่งที
“เอ่อ ผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้าของเจียหลินอยู่ที่ไหนเอ่ย”
สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ปานตะวันลองถามอีกสองสามรอบเจียหลินก็ยังคงเงียบ สิ่งที่ตอบสนองกลับมาคือการส่ายหน้ากับพยักหน้าเท่านั้น ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังนั่งคุยอยู่กับตุ๊กตาหัวสั่น
สุดท้ายแล้วปานตะวันก็ต้องออกเดินไปไล่เปิดห้องต่างๆ ในบ้านเพื่อตาหาเสื้อผ้าของหลานชาย จนมาถึงห้องใหญ่สุดในบ้าน ห้องนั่งถูกใส่กุญแจไว้ ชายหนุ่มจึงเดินกลับไปหยิบกุญแจมาไข เมื่อเปิดออกก็พบว่าห้องนั้นคือห้องของจันทร์จ้าวนั่นเอง
ร่างเล็กหยุดนิ่งอยู่ที่กรอบประตู เหม่อมองข้าวของที่ยังวางอยู่เหมือนเดิม ห้อนี้มีกลิ่นอายของจันทร์จ้าวอยู่เต็มเปี่ยม ผ้าม่านลายลูกไม้สีส้มอ่อนแบบที่พี่สาวเขาชอบ เครื่องสำอาง เสื้อผ้าพับเป็นระเบียบ ตุ๊กตาสองสามตัวที่น่าจะเป็นของหลานชายวางอยู่บนเตียง กรอบรูปมากมายตั้งอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง ปานตะวันเดินเข้าไปใกล้ พินิจดูรูปเหล่านั้นด้วยดวงตาหลากหลาย
รูปของพวกเขาตอนยังเด็ก รูปของพ่อ รูปของเจียหลินตอนแรกเกิด
ชายหนุ่มถอนหายใจ ตอนนั้นเองที่เขาสังเกตว่าไม่มีรูปของพี่เขยตัวเองเลยสักรูปเดียว แม้จะสงสัยแต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะไม่ใส่ใจ เขาหันหลังให้รูปเหล่านั้นก่อนจะเร่งมือหยิบเสื้อผ้าของเจียหลินกับผ้าเช็ดตัวลายการ์ตูนออกมา ชายหนุ่มรีบร้อนออกจากห้องนั้นเพราะหากอยู่นานกว่านั้นเขาจะต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ
เมื่อกลับมาที่ห้องเดิมปานตะวันก็พบว่าเจียหลินนั่งอยู่ที่เดิม ก้มหน้าไม่พูดจาจนเขาชักสงสัยว่าเด็กคนนี้ปกติเป็นแบบนี้ตลอดหรือเป็นเฉพาะกับเขา แต่ตอนคุยกับราเมศก็ดูปกติดี
บางทีเด็กอาจจะยังไม่คุ้นกับเขา
พอคิดได้แบบนี้ปานตะวันจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปหาหลานชายของตน “น้าตะวันเอาเสื้อผ้ามาแล้ว ไปอาบน้ำกันเถอะครับ”
ปานตะวันอุ้มเจียหลินออกจากห้อง ตรงไปที่ห้องน้ำ ชายหนุ่มบีบยาสีฟันให้เจียหลิน เด็กน้อยก็ก้มหน้าก้มตาแปรงฟัน สีหน้ายังคงนิ่งเรียบและไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้ามาคุยกับเขาแต่อย่างใด
หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จปานตะวันก็จับเจียหลินอาบน้ำและสระผม เด็กน้อยนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาให้เขาทำตามใจ จนชายหนุ่มคลายใจว่าการเลี้ยงเจียหลินคงไม่ยากอย่างที่คิด
จนกระทั่งมาถึงตอนใส่เสื้อน่ะนะ
เสื้อที่ปานตะวันหยิบมาให้เจียหลินใส่เป็นเสื้อยืดสีเหลืองอ่อนลายลูกเจี๊ยบกับกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน ตอนหยิบมาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักจนกระทั่งเจียหลินจับเสื้อที่ตัวเองใส่อยู่ด้วยสีหน้าแปลกๆ
“เป็นอะไรไปครับ” ปานตะวันถามอย่างสงสัย เจียหลินกำชายเสื้อแน่นก่อนจะพูดออกมาเบาๆ “อยากใส่พี่หมี” ปานตะวันกระพริบตาปริบ พี่หมีคืออะไร อะไรคือพี่หมี...
“เอ่อ น้าตะวันไม่เห็นเสื้อพี่หมีนะครับ น้องเจียใส่ตัวนี้ไปก่อนได้ไหม”
“อยากใส่เสื้อพี่หมี” คิ้วเล็กๆ เริ่มขมวดหากัน “วันนี้วันเสาร์ ต้องใส่เสื้อพี่หมี”
เอ้า มีใส่เสื้อตามวันด้วย ไอ้ตะวันอยากสะบัดตีนก่ายหน้าผาก แต่พอเห็นหลานตัวน้อยเม้มปาก ทำท่าจะร้องไห้ได้แต่ยอม “โอเคๆ พี่หมีก็พี่หมี แล้วเสื้อพี่หมีเป็นยังไง บอกน้าตะวันได้ไหมครับ”
สุดท้ายปานตะวันก็ต้องยอมเดินกลับไปคุ้ยหาเสื้อพี่หมีอะไรนั่นอีกครั้ง แต่สุดท้ายหลังจากรื้อเสื้อเด็กออกมาจนหมดลิ้นชักก็หาไม่เจอ ชายหนุ่มจึงเดินไปที่ห้องซักเสื้อผ้าที่ตั้งเครื่องซักผ้าเอาไว้ ในนั้นมีตะกร้าใส่ผ้ารอซักอยู่ตะกร้าหนึ่ง พอคุ้ยๆ ดูก็พบเสื้อแขนสั้นสีขาวแบบมีฮู้ดคลุมผมเป็นรูปหน้าหมีอยู่ตัวหนึ่ง
แต่ถึงจะหาเจอก็เอาไปใส่ไม่ได้เพราะยังไม่ได้ซัก ทำยังไงล่ะทีนี้
ปานตะวันถอนหายใจก่อนเดินย้อนกลับไปหาเจียหลิน
“ขอโทษด้วยนะน้องเจีย เสื้อพี่หมียังไม่ได้ซักเลย วันนี้น้องเจียใส่พี่ลูกเจี๊ยบไปก่อนแล้วกันเนอะ เอาไว้วันนี้น้าตะวันจะซักพี่หมีให้แล้วค่อยใส่พรุ่งนี้เนอะ ดีไหมครับ”
เจียหลินเม้มริมฝีปาก คิ้วเล็กขมวดมุ่นก่อนจะพยักหน้ารับ พอเห็นแบบนั้นปานตะวันก็แอบถอนหายใจ ดีที่เจียหลินไม่งอแง
สองน้าหลานพากันเข้าไปในห้องครัว หลังจากก้มๆ เงยๆ ดูของสดในตู้อยู่พักหนึ่งปานตะวันก็ตัดสินใจหันมาหาเจียหลิน “น้องเจียอยากกินอะไรครับ” เจียหลินก้มหน้างุด ไม่ตอบ ปานตะวันจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “เจียอยากกินอะไรครับ บอกน้าตะวันเร็ว น้าตะวันจะได้ทำให้กิน”
สิ่งที่ได้รับกลับมาก็ยังคงเป็นความเงียบ ปานตะวันได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน สุดท้ายก็หยิบนมออกมากล่องหนึ่ง ค้นตู้กับข้าวไปมาก็เจอขนมปังแผ่น ดูแล้วยังไม่หมดอายุ ชายหนุ่มก็หยิบมาทาแยมที่ค้นเจอจากในตู้เย็น ทำเป็นแซนด์วิชง่ายๆ ก่อนวางใส่จานให้เด็กน้อย
“เอ้า ทานเร็วครับ”
เด็กน้อยแก้มป่องมีสีหน้าลังเลก่อนจะหยิบขนมปังขึ้นมากัด...จากนั้นก็เบะปากออกมา
แล้วก็เริ่มร้องไห้
ปานตะวันอ้าปากค้าง ยกมือกุมศีรษะแล้วกรีดร้องออกมา
กูทำอะไรผิดอีกเนี่ย! ถอนคำพูด ขอถอนคำพูดว่าเจียหลินเลี้ยงง่าย ไอ้ตะวันเชื่อแล้วว่าเด็กที่ไหนแม่งก็ไม่มีคำว่าเลี้ยงง่ายทั้งนั้น โว้ย อยากจะบ้า
“เจียเป็นอะไรครับ ไม่อร่อยเหรอ หรือแยมหมดอายุ” แต่ตะกี้ที่ดูทั้งแยมทั้งขนมปังก็ยังไม่หมดอายุนี่นา แล้วเด็กนี่เป็นอะไรอีกล่ะเนี่ย
“ไม่ชอบ...ฮึก...เจีย...ไม่ชอบสตรอเบอรี่”
เอ้าชิบหายละ แล้วก็ไม่พูดตั้งแต่แรก ไอ้เขาไม่รู้ก็ปาดแยมสตรอเบอรี่ไปเต็มที่เลยสิ
“งั้นก็ไม่ต้องกินแล้วครับ แล้วหนูเจียอยากกินอะไรครับ บอกน้าตะวันสิ” เจียหลินปาดน้ำตาออกพลางตอบ “อยากกินข้าวต้มหมูสับครับ”
แล้วถามว่าไอ้ตะวันทำเป็นไหม...คำตอบคือไม่
“กินไข่ดาวแทนได้ไหมครับ”
“น้องเจียอยากกินข้าวต้มหมูสับ”
ไม่ว่าเปล่าแต่เด็กน้อยยังช้อนตาขึ้นมอง แม้สีหน้าจะเรียบนิ่งแต่ดวงตากลมคู่นั้นก็เต็มไปด้วยแววออดอ้อนจนคนมองใจอ่อนเป็นรอบที่ล้าน สุดท้ายเจียหลินก็ต้องเดินไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองมาเปิดวิธีการต้มข้าวต้ม ก่อนจะเริ่มทำแบบช้าๆ แต่ด้วยความที่เขาทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากต้มมาม่า การทำข้าวต้มครั้งแรกให้ออกมากินได้คงเกินมือไปหน่อย หลังจากทำข้าวไหม้ติดก้นหม้อไปปานตะวันก็คิดว่าตนควรหยุดสร้างความหายนะให้ห้องครัวได้แล้ว
ชายหนุ่มหันหน้าไปหาเจียหลินที่ขยับจมูกฟุดฟิดเพราได้กลิ่นไหม้ก่อนจะยิ้มแหยๆ ออกมา
“น้าตะวันว่าวันนี้เราออกไปทานข้าวนอกบ้านกันดีกว่านะครับ” ให้เขาทำคงไม่ได้กินกันล่ะ “รอแป็ปนะ เดี๋ยวน้าตะวันอาบน้ำแต่งตัวก่อนแล้วเราไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน”
“เจียอยากกินข้าวต้ม...ข้าวต้มฝีมือแม่จันทร์”
ปานตะวันเม้มริมฝีปากก่อนจะพยายามยิ้มออกมา ลูบหัวเด็กน้อยไปหนึ่งที “เดี๋ยวน้าตะวันมานะครับ”
ชายหนุ่มเดินไปหยิบเสื้อผ้าก่อนจะหายเข้าห้องน้ำไป พรูลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ก่อนจะพลิกดูฝ่ามือที่แดงจากการถูกหม้อร้อนๆ เมื่อครู่ ชายหนุ่มยื่นมือไปรองใต้ก๊อกน้ำ ให้น้ำเย็นไหลผ่าน
การเลี้ยงเด็กไม่ง่ายเลยจริงๆ
หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จปานตะวันก็กลับมาในครัวอีกครั้งแต่แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อพบว่าเจียหลินไม่อยู่ในครัวแล้ว คนตัวเล็กรีบออกเดินตามหาตามห้องต่างๆ พลางตะโกนเรียกแต่ก็ไม่พบ ปานตะวันรีบวิ่งลงไปข้างล่าง ตามหาบริเวณสวนแต่ก็ไม่เจอ
เจียหลินหายไปไหน!
วินาทีนั้นความหวาดกลัวก็แล่นปราดไปทั่วร่าง บางทีเจียหลินอาจจะเดินออกจากบ้านไปไหนสักที่ แต่มันที่ไหนกันล่ะ แล้วทำไมถึงไม่บอกเขา จู่ๆ ออกไปเฉยๆ ได้ยังไง
ปานตะวันวิ่งพรวดออกจากบ้าน มองซ้ายมองขวาหาเงาของเจียหลิน แต่แล้วเขาก็ชะงัก เพ่งมองไปยังบ้านหลังตรงข้าม คนตัวเล็กเลิกคิ้วอย่างฉงนเมื่อเห็นราเมศยืนอยู่หลังประตูรั้วสีน้ำเงิน ชายหนุ่มผิวแทนขมวดคิ้วเหมือนจะดุ กวักมือเรียกเขาให้เข้าไปหา
“เจียหลินอยู่ในบ้าน” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ “วิ่งมาหาเมื่อกี้ ขอให้ทำข้าวต้มให้กิน ฉันเลยทำให้ ตอนนี้กำลังกินอยู่” อีกฝ่ายกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “แล้วทำไมถึงปล่อยให้เจียหิวขนาดนี้ สิบโมงกว่าแล้วนะ”
ปานตะวันเบนสายตาหลบ มือกำผ้าเช็ดผมผืนเล็กที่พาดคอไว้แน่น “ผมทำข้าวเช้าให้แล้วนะแต่เจียไม่กิน”
“ทำอะไรให้”
“แซนด์วิชกับนม แต่เจียไม่กินแยมสตอเบอรี่ เขาขอให้ผมทำข้าวต้มให้”
“แล้วไงต่อ”
“ผม...ทำไม่เป็น...ข้าวเลยไหม้ติดหม้อ...กินไม่ได้”
ยิ่งพูดยิ่งอาย ปานตะวันไม่เงยหน้ามองราเมศด้วยซ้ำคนผมน้ำตาลเอาแต่เพ่งพินิจรองเท้าตัวเองประหนึ่งจะหาลายแทง เงียบกันอยู่นานจนในที่สุดชายหนุ่มผิวแทนก็ถอนหายใจออกมา
“เข้าใจล่ะ”
เสียงเปิดประตูรั้วทำให้ปานตะวันเงยหน้าขึ้นมองอย่างฉงน จากนั้นก็ร้องโวยวายออกมาเมื่อถูกลากเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มตัวเล็กถูกดึงเข้าไปในครัวก่อนจะถูกจับให้นั่งลงตรงข้ามกับเจียหลินที่นั่งกินข้าวต้มตุ้ยๆ เด็กน้อยพอเห็นเขาก็เบิกตากว้างก่อนจะรีบก้มหน้าหลบตา ไม่พูดอะไร
ปานตะวันมองราเมศที่เดินตีหน้ายักษ์เข้ามาอย่างประหลาดใจปนหงุดหงิด ชายหนุ่มผิวแทนหันไปมองหลานชาย “หนูเจียอิ่มหรือยังครับ”
“อิ่มแล้วครับ”
เจียหลินพูดค่อยๆ ท่าทางเหมือนกลัวปานตะวันนักหนาทำเอาคนเป็นน้าแท้ๆ ต้องแค่นยิ้มออกมา ราเมศลูบหัวเด็กน้อยสองสามทีก่อนจะบอกเจียหลินเอาชามไปวางในอ่าง ล้างมือล้างปากให้เรียบร้อยแล้วก็หยิบนมมากินหนึ่งกล่องด้วย
หลังหลานชายออกไปจากครัวแล้วราเมศก็ทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเด็กแสบ กอดอกตีหน้าดุเหมือนกำลังสอบสวนผู้ร้าย
“เอาล่ะปานตะวัน ฉันถามจริงๆ นะ นอกจากต้มมาม่าแล้วนายทำอะไรเป็นบ้าง”
ปานตะวันเลิกคิ้วตอบออกไป “ไม่เป็นเลยสักอย่างเดียว” อายก็อายหรอกนะที่ทำกับข้าวไม่เป็น แต่แล้วยังไงล่ะ เพื่อนเขาอีกหลายคนก็ทำอาหารไม่เป็น เขาเป็นผู้ชายนะ นี่คือสิ่งที่ผู้ชายต้องรู้เหรอ!
“อย่ามองผมแบบนั้นนะ ทำไมอ่ะ เพื่อนผู้หญิงหลายคนที่ผมรู้จักก็ทำกับข้าวไม่ได้ ผมไม่ผิดสักหน่อย” ปานตะวันรีบพูดปกป้องตัวเองเมื่อราเมศมองเขาด้วยสายตาระอาใจ สายตาคู่นั้นเหมือนจะบอกว่าแค่ทำอาหารง่ายๆ ก็ทำไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ โตมาแบบไหนกัน
“นายต้องหัดทำ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ถ้าวันนี้ฉันไม่อยู่บ้านนายจะทำยังไง ทำอะไรก็ไม่เป็นนอกจากมาม่าแบบนี้ จะพากันอดตายทั้งน้าทั้งหลานหรือไง”
“แล้วข้าวกล่องอีซี่โกกับร้านอาหารมีไว้ทำไมล่ะครับ แหม่”
“แล้วใจคอนายจะพาหลานไปกินข้าวนอกบ้านกับให้กินอาหารแช่แช็งที่ไม่มีประโยชน์กับสุขภาพไปตลอดเลยหรือไง” คนตัวโตพูดเสียงเข้ม “รู้อะไรไหม กินข้าวที่ไหนก็ไม่ดีเท่ากินฝีมือของคนที่บ้านหรอก”
ปานตะวันเงียบไป ในใจก็เห็นด้วยกับคำพูดราเมศแม้จะไม่อยากยอมรับ
เมื่อก่อนตอนเขายังเป็นเด็ก ทุกวันจะได้กลับจากโรงเรียนมาทานข้าวเย็นที่บ้าน พ่อของเขาทำอาหารเป็น แน่ล่ะว่ามันไม่ได้อร่อยเลิศที่สุดแต่ปานตะวันก็ชอบกับข้าวของพ่อมากที่สุด แม้รสชาติจะไม่ธรรมดาแต่ปานตะวันคิดว่าอร่อยมากกว่าตามร้านอาหารทุกที่และเขาก็กินจนหมดทุกครั้ง
“ทำไม่เป็นก็ต้องหัด ไม่มีใครเก่งแต่เกิดหรอก”
“ผมไม่มีปัญญาไปเข้าคอร์สทำอาหารหรอกนะ”
ราเมศหรี่ตามองเขาก่อนจุดยิ้มมุมปาก ส่งให้ใบหน้าหล่อเหลานั่นดูดีขึ้นไปอีก เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะราวกับจะกลั่นแกล้ง “แล้วใครว่าฉันจะให้นายไปลงคอร์สทำอาหารกันล่ะ ฉันก็ทำอาหารได้ สอนให้นายทำเป็นคงไม่ได้ยากเกินความสามารถหรอก แต่นายต้องมาเรียนทำอาหารที่นี่ทุกวัน วันละอย่าง เข้าใจไหม”
“นี่คุณเป็นพวกคอมมิวนิสต์หรือไง บังคับอยู่ได้!”
“ก็นายมันดื้อ” ดื้อจนน่าตี “กับเด็กแบบนายต้องพูดแบบนี้แหละ”
“แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าคุณทำอร่อยจริง ไม่ใช่มาโม้ไปอย่างนั้น อ้อแล้วก็ผมไม่มีเงินจ่ายค่าเรียนหรอกนะ”
“ฉันไม่เก็บตังค์ ถือว่าทำเพื่อหลาน ส่วนที่ว่าฝีมือฉันอร่อยไม่อร่อย นายก็พิสูจน์ดูเองสิ”
ว่าตบก็เดินไปที่หน้าเตาซึ่งมีหม้ออยู่หม้อหนึ่ง ราเมศเปิดฝาหม้อ ควันสีขาวลอยขึ้นพร้อมกลิ่นหอมของข้าวต้มลอยอวลไปทั่ว ชายหนุ่มผิวแทนตักข้าวต้มใส่ถ้วยก่อนวางลงตรงหน้าไอ้เด็กดื้อ
“กินสิ”
“อะไร”
“ข้าวต้มฝีมือฉันเอง นายลองชิมสิ ยังไม่ได้ทานอะไรมาเหหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
ปานตะวันย่นจมูกใส่ก่อนจะหันไปมองคนที่แสร้งเลิกคิ้วด้วยท่าทางหงุดหงิด แต่กระนั้นก็ยอมตักข้าวต้มเข้าปากแต่โดยดี
อร่อย...อร่อยแฮะ ผิดจากที่คิดไว้เยอะเลย
ราเมศอมยิ้มด้วยท่าทางเหนือกว่า “อร่อยล่ะสิ”
“เปล่าสักหน่อย”
“หน้านายมันฟ้อง”
“ฮึ่ย!”
“อร่อยก็กินไปไม่ต้องวางฟอร์มหรอก มีอีกเยอะ ไม่พอเติมได้นะ” ราเมศวางขวดพริกไทยลงตรงหน้าคนผมน้ำตาล “เชื่อหรือยังล่ะว่าฉันมีฝีมือ ทีนี้นายก็ยอมมาเรียนทำอาหารกับเสียดีๆ”
คนอายุน้อยกว่าได้ฮึดฮัดในใจก่อนจะพยักหน้ากลับไป “รู้แล้วน่า ย้ำจัง”
ราเมศหัวเราะหึ เดินไปหยิบแก้วน้ำกับขวดน้ำมาวางไว้ไห้ จากนั้นก็เดินออกไปดูเจียหลิน เมื่อเห็นว่าหลานเปิดทีวีดูตาแป๋วก็กลับเข้ามาในครัวเพื่อจัดการคนเป็นน้าต่อ
ราเมศเดินไปยืนอยู่ด้านหลังปานตะวัน มือใหญ่ดึงผ้าขนหนูที่พาดคอคนตัวเล็กมาไว้ในมือก่อนจะเช็ดผมให้อีกฝ่าย
“เฮ้ ทำอะไรเนี่ย”
“กินไปเถอะน่า” เขาดุ “ปล่อยผมเปียกแบบนี้ไม่ดีนะ นายนั่งกินไป เดี๋ยวเช็ดผมให้”
เจ้าเด็กแสบบ้านตรงข้ามนิ่งไป ราเมศก้มมองก็เห็นใบหูเล็กๆ ของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกแล้ว เขาหัวเราะเสียงทุ้ม แกล้งโยกศีรษะอีกคนเบาๆ จากนั้นก็เช็ดผมให้ร่างเล็กต่อไปเรื่อยๆ
น้ำหนักพอดีที่กดลงมาบนศีรษะไม่ได้ทำให้เจ็บแต่อย่างใด ปานตะวันเม้มริมฝีปาก กินข้าวต้มไปก็นั่งบ่นผู้ชายใจร้ายด้านหลังไปด้วย
คนอะไรเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดุเดี๋ยวทำดี
ตามไม่ทันแล้ว
ปานตะวันถอนหายใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง การเลี้ยงเด็กว่ายากแล้วแต่การรับมือพี่เลี้ยงเด็กบ้านตรงข้ามก็ไม่ได้ง่ายไปกว่ากันเท่าไหร่เลยจริงๆ
************************************************************
สวัสดีค่าาาา กลับมาแล้วหลังจากหยุดปีใหม่ไปนาน ลงตอนใหม่รับปีใหม่ได้แล้วในที่สุด
พอเขียนตอนนี้ก็รู้สึกว่า...ทำไมมันเหมือนจะดราม่าตั้งแต่ต้นเรื่องเลยหว่า 55555
อีกอย่างที่ชอบคือปานตะวันค่ะ ถึงจะทำอะไรไม่เป็นแต่ก็กำลังพยายาม จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นเด็กไม่ดี
แต่เป็นเด็กปากไม่ตรงกับใจต่างหาก ต้องให้พี่เมศง้างปากบ่อยๆ
ตอนนี้ไม่รู้จะเหนื่อยใจแทนใคร แทนปานตะวันที่ต้องรับมือทั้งหลานทั้งเพื่อนบ้านหรือแทนพี่เมศที่ต้องรับมือเด็กดื้อ
55555555
ตอนต่อไปจะมาอาทิตย์หน้านะคะ ไม่แน่ใจว่าเสาร์หรืออาทิตย์ แงงง
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อยากบอกอะไร อยากติชมตรงไหนบอกได้เต็มที่เลยค่ะ
พบกันตอนต่อไปนะคะ จุ๊บ
ปล. สามารถติดตามข่าวสารและพูดคุยกับเราได้ที่เพจ AzureDream นะคะ