-8-
“มึงว่าเลิกเรียนจะไปไหนนะ”
“ไปดูถ่ายงานมหา’ลัย”
ผมตอบไอ้โนว์ตามความจริง หลังจากมันเซ้าซี้จะให้ไปคณะสัตวแพทย์เป็นเพื่อนมันตอนเย็นให้ได้ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากนอกจากจะไปหาแฟนแล้วไม่อยากเด่น อยู่คนเดียวทีไรต้องมีคนเข้ามาคุยเข้ามาหามันตลอด แถมส่วนใหญ่จะเป็นพวกชายรุกเสียด้วย ผมออกจะขำมากกว่าสงสารเพราะมันทำตัวใสๆน่ารักๆให้ชาวบ้านเขาคิดเอง ใครเขาจะไปรู้ว่ามันเป็นรุก
“ทำไมต้องไปวะ มันงานของพวกดาวเดือนปีหนึ่งกับพวกชมรมถ่ายภาพ…”ไอ้โนว์หยุดชะงักก่อนจะหรี่ตามองผมแบบล้อเลียน
“มองอะไร”
“อ๋ออออออ แบบนี้เอง”
ผมเลิกสนใจมันแล้วหันกลับไปตั้งใจฟังอาจารย์แทน ซึ่งไอ้โนว์มันก็เข้าใจว่าเวลาเรียนผมไม่ชอบคุย มันเลยยอมหันกลับไปแต่โดยดี แต่ถึงเวลาเลิกเรียนเมื่อไหร่…
ยาวแน่…
“ยังไงวะกับเดือนมหา’ลัย”
ทันทีที่อาจารย์ปล่อยเสียงจากไอ้เพื่อนตัวดีที่รอโอกาสมาตลอดก็ดังขึ้นแทบจะทันที รู้สึกดีที่วันนี้เบียร์กับไวน์มันไม่เข้าเรียน…ไม่งั้นผมคงโดนถามจนหัวปั่น
“ก็ไม่ยังไง”
“ไอ้กีล์…”ไอ้โนว์เปลี่ยนไปใช้น้ำเสียงจริงจัง จนผมต้องหยุดมือที่กำลังเก็บของแล้วหันมาตั้งใจคุยกับมัน “มึงก็รู้ใช่ปะว่าเรื่องกูกับซันกว่าจะเป็นแบบนี้ได้ มันผ่านอะไรมามากขนาดไหน”
“กูรู้”ผมจำได้ดีถึงตอนที่มันเสียใจเพราะไปทำร้ายความรู้สึกของซัน คนปากดีกลายเป็นหมาหงอยไปหลายอาทิตย์ แต่ตอนนั้นมันก็เลวเองจะไปโทษซันก็ไม่ได้อีก พวกผมเลยได้แต่อยู่ใกล้ๆ ช่วยเตือนสติมัน จนสุดท้ายมันก็ลงเอยกันด้วยดี
“กูไม่อยากให้ใครเสียใจ”
“ทำไมมึงถึงพูดขึ้นมา”
“มึงรู้ดีใช่ปะว่าโซโล่มันคิดอะไร”มันขมวดคิ้วน้อยๆ มาดเข้มๆที่นานๆจะได้เห็นสักทีทำให้ผมถอนหายใจออกมาเบาๆเมื่อรู้ว่ามันเป็นห่วงเรื่องอะไร
ผมเป็นคนไม่มีความลับ เรื่องของผมถ้าเพื่อนถามก็เล่าหมดไม่ปิดแม้แต่นิดเดียว แม้แต่ก่อนเข้าเรียนที่มันให้ผมเล่าเรื่องโซโล่ให้ฟัง ผมก็เล่าให้มันฟังทั้งหมดจนลากยาวมาถึงเรื่องที่จะไปหาเย็นนี้
“กูไม่ใช่คนเลว”ผมบอกสั้นๆและมั่นใจว่ามันเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร
“กูรู้…แต่มึงเป็นคนใจดีไอ้กีล์”
“โนว์มึงฟังกูนะ…”การที่ผมเล่าเรื่องโซโล่ให้มันฟังและย้ำนักย้ำหนาว่าเขาเป็นคนดีมากแค่ไหนคงทำให้มันกังวล “กูรู้ดีว่าที่เป็นอยู่คืออะไร และตามที่มึงว่า…กูอาจจะเป็นคนใจดี แต่กูไม่ได้ทำอะไรแบบนี้กับทุกคน”
“…”
“ที่กูยอมไปห้องโซเพราะเขาไว้ใจได้ ไม่เคยทำตัวไม่ดีใส่กูแม้แต่ครั้งเดียว…”
“…”
“ไม่ชอบพูด ชอบทำหน้านิ่งเหมือนเข้าถึงยาก แต่จริงๆเป็นคนเอื่อยเฉื่อยแถมซื่อบื้อ กูรู้ว่าเขาพยายามมากแค่ไหนกับการแสดงออกอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เข้ากับนิสัยตัวเองให้กูเห็น…”
“…”
“ขอบใจแทนโซที่มึงเป็นห่วง กลัวว่าความใจดีของกูจะไปทำร้ายคนที่เข้าหากู แต่กูถามหน่อยนะ คนเข้าหากูมาตั้งแต่ปีหนึ่ง มึงเคยเห็นกูใจดีกับใครจนทำให้เขาเสียใจปะวะ…”
“มึงไม่เคยใจดีขนาดนี้”
“ใช่..”ผมยิ้มให้มัน
“…”
“เพราะพิเศษกูถึงเป็นแบบนี้”
“เข้!”ไอ้โนว์ทำหน้าตกใจ มือกุมอกเหมือนเห็นผี “กูไม่คิดว่ามึงจะบอกตรงๆแบบนี้นะเนี่ย งั้นกูถามอีกอย่างดิ… ถ้าเป็นงี้แล้วทำไมไม่บอกมันไปเลยวะว่าชอบ”
“มึงคิดว่ากูรู้จักกับโซมานานแค่ไหนไอ้โนว์ ไม่ใช่รู้จักมาตั้งแต่เด็กแบบมึงกับซันนะ…ถึงกูจะไม่ได้คิดว่ามันต้องนานขนาดไหน แต่ที่เป็นอยู่มันก็ดีอยู่แล้ว ค่อยๆเห็นกันทีละด้าน ไม่ต้องพูดว่ารู้สึกอะไร แค่ทำอะไรแล้วคิดว่ามีความสุขก็พอ ที่เหลือเวลามันก็จัดการทุกอย่างเอง”
ผมรู้อยู่แล้วว่าโซโล่ทำทุกอย่างทำไมเพราะผมเองก็ไม่ต่างจากเขา มันยังไม่ใช่เพราะเขาต้องการคบกับผมหรือผมต้องการคบกับเขา แต่มันเป็นเพราะเรามีความสุขที่ได้อยู่ในจุดที่พิเศษกว่าคนอื่นและมากกว่าคนอื่น เขาทำหลายๆอย่างก็เพื่อให้ผมรับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ในขณะที่ผมเองก็ตอบกลับในสิ่งที่รู้สึก
เพราะงั้นมันไม่จำเป็นต้องรีบอะไร เวลาจะทำให้เราพัฒนาต่อไปเรื่อยๆเอง และถ้าเราไปได้ถึงเวลานั้น…ผมคิดว่าฐานของเรามันจะแข็งแกร่งจนไม่มีอะไรมาทำลายได้
“ถ้ามีคนมาถามแบบกูมึงจะตอบปะ”
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่กูต้องไม่ตอบ กูแค่ไม่เห็นเหตุผลที่กูต้องบอกต้องเล่าให้ใครฟังก่อนว่ากูคิดอะไร…”ผมลุกขึ้นสะพายกระเป๋าก่อนจะเดินไปที่ประตูห้อง
“คนจริงว่ะเพื่อนกู”ไอ้โนว์ตะโกนแล้วหัวเราะตามมาจนผมต้องหยุดเท้าแล้วหันไปยิ้มให้มัน ดีที่ไม่มีคนอยู่แล้วเลยไม่ต้องอายเท่าไหร่
“กูแค่ยอมรับความรู้สึกตัวเอง คิดก็บอกว่าคิด ไม่รู้จะลีลาแบบมึงเพื่ออะไร”หลังตะโกนกลับไปแล้วผมก็รีบออกมาจากห้องทันที แว่วเสียงมันด่าตามหลังมาเบาๆ
“เชี้ยกีล์!”
ผมยืนหลบมุมอยู่หน้าตึกนิเทศเพราะไม่อยากเด่นเหมือนคนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าตึก อาจจะเพราะตำแหน่งเดือนมหา’ลัยด้วยเลยทำให้โซโล่โดนจ้องจนแทบทะลุ ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
“นั่นโซโล่มาทำอะไรอะ”
เสียงแว่วๆไม่ใกล้ไม่ไกลทำให้ผมหูผึ่ง เห็นนักศึกษาหญิงสองคนยืนคุยกันอยู่ไม่ไกลนัก น่าจะเป็นคนในคณะ
“ไม่รู้อะ แต่เมื่อวานก็มานะ เห็นเดินไปกับพวกพี่แยม…นั่นไงๆ”
ผมเลิกคิ้วน้อยๆก่อนจะหันไปมองตามเสียงนั้น มีกลุ่มผู้หญิงสามสี่คนเดินเข้าไปหาโซโล่ มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาคนเดียวเป็นดาวนิเทศปีสี่ที่ชื่อแยม ผมจำได้เพราะเธอเคยเข้าหาตอนประกวดสมัยปีหนึ่ง
“เขาคบกันเหรอ”
“ไม่รู้อ่ะ แต่อย่าเลย…พี่แยมนิสัยเป็นไงก็รู้อยู่”
“นั่นสิ…ตอนนี้ต้องโซโล่กีล์เท่านั้นย่ะ”
ผมขำเบาๆให้กับประโยคสนทนานั้นก่อนจะหันไปมองทางกลุ่มแยม ตอนนี้พวกเธอกำลังเดินนำโซโล่ไปที่ไหนสักแห่งโดยมีแยมเดินคู่กับเขา แต่อยู่ๆโซโล่ก็ขมวดคิ้วแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด เอาเข้าจริงผมก็เดาได้ไม่ยากว่าเขาหยิบมันขึ้นมาทำไม ผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้รอ
ติ้ง
Solo Siwarokin : กีตาร์อยู่ไหน พวกรุ่นพี่จะพาผมไปที่ห้องชมรมถ่ายภาพ
Gui Jirayu : หันมาข้างหลังสิครับ
โซโล่หันมาตามที่ผมบอกแทบจะทันที ผมรีบยกมือแตะปากเป็นสัญญาณให้เขาเงียบแล้วยิ้มให้เหมือนเคย เขาเองก็ส่งยิ้มน้อยๆมาให้ก่อนจะหันกลับไปเดินต่อ
ชมรมถ่ายภาพค่อนข้างจะกว้างขวางเพราะมีงบเยอะ ถึงขนาดมีสตูดิโออยู่ด้านใน ผมเคยเข้าไปถ่ายมาก่อนเลยพอจะรู้ว่ามันมีหลายห้อง รอจนพวกเขาเข้าไปหมดผมก็เดินเปิดประตูตามเข้าไปเงียบๆ โซโล่คงจะอยู่ที่สตูแล้ว ผมไม่ได้ตามเข้าไปทันที แต่เลือกเดินไปที่ห้องประชุมแทน
ไม่ผิดคาดเท่าไหร่เพราะมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งกดคอมพิวเตอร์อยู่ในนั้น
“เต”ผมเรียกเบาๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการขัดจังหวะการทำงานของมันไม่น้อย เพราะตอนนี้เจ้าของชื่อมันกำลังเงยหน้ามองผมด้วยสายตาหงุดหงิด
“กีล์!มาไงวะ”มันเปลี่ยนสีหน้าเป็นประหลาดใจ ก่อนจะลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาทักทายผม
คนๆนี้คือเตโชประธานชมรมถ่ายภาพที่อยู่ปีสี่ และแน่นอนว่าเป็นเดือนนิเทศ เอาจริงๆเพื่อนผมนอกจากในคณะแล้ว พวกนอกคณะก็มีแต่พวกดาวเดือนที่เคยทำกิจกรรมร่วมกันแทบจะทั้งนั้น นอกจากเรย์แล้วเตโชก็เป็นอีกคนที่ผมค่อนข้างจะสนิทถึงขั้นพูดหยาบใส่กันได้
“กูพอรู้ละว่ามาทำไม”มันยิ้มล้อเลียนก่อนจะดึงผมให้นั่งลง
“กูมีเรื่องจะถามหน่อย เมื่อวานมึงอยู่ตอนถ่ายงานปะ”
“ไม่อยู่ว่ะ กูติดงานเลยให้พวกแยมจัดการ…”มันหยุดชะงักไปก่อนจะขมวดคิ้ว “ลืมไปเลยว่าแยมมันเป็นคนยังไง…เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ปะ”
ผมพยักหน้าแล้วเล่าเรื่องโซโล่ให้มันฟัง เตโชขมวดคิ้วตลอดเวลา และดูท่าทางเหมือนระเบิดพร้อมจะลงเต็มที่ พอผมเล่าจบมันก็ยกมือขึ้นนวดขมับเบาๆ ผ่านไปสักพักถึงเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ก่อนอื่นกูต้องขอโทษมึงด้วยนะกีล์…รวมถึงโซโล่ด้วย เดี๋ยวกูจะไปขอโทษมันเอง”เตโชหันไปรื้อลิ้นชักก่อนจะส่งเอกสารให้ผมอ่าน
“อันนี้คืองานที่กูได้มา ภาพนิ่งโปรโมทมหา’ลัยใช้ทั้งปี ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องถ่ายแบบเรียบร้อย แล้วก็งานวีดีโอส่วนแรกจะเป็นแนะนำมหา’ลัย อีกส่วนเป็นแนะนำตัวดาวเดือนให้เป็นที่รู้จักคล้ายๆตอนมึงทำ”
ผมพยักหน้าเข้าใจ ตอนที่ผมเคยถ่ายสมัยปีหนึ่งก็มีแบบนี้เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่งานรีบขนาดนี้ ออกจะมีเวลามากแล้วก็ถ่ายไม่ยากด้วย
“กูไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเร่งงานทำไมนัก น่าจะอยากรีบโปรโมทให้เป็นที่รู้จักกว้างๆหรืออยากรีบทำให้เสร็จมั้ง เพราะเดี๋ยวงานก็มีเข้ามาเรื่อยๆอีก แต่ที่แน่ๆ…กูไม่เคยสั่งให้เอาน้ำราดน้องแน่นอน”
“กูรู้ว่ามึงไม่ได้สั่งหรอก”ผมตบไหล่มันเบาๆระหว่างที่เราทั้งคู่เดินออกมาเพื่อไปยังสถานที่ที่โซโล่ถ่ายทำอยู่ เตโชมันเป็นคนจริงจัง เป็นเด็กนิเทศที่มีความสามารถและเป็นที่ยอมรับมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถ่ายภาพหรือการบริหารจัดการก็ตาม และที่งบชมรมเยอะขนาดนี้ก็เพราะมันขยันทำกิจกรรมยิ่งกว่าใคร
“มีอีกอย่างที่กูอยากให้มึงเข้าใจก่อนจะเข้าไปในนั้นนะกีล์…”เตโชพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมหยุดมือที่กำลังจะเปิดประตูแล้วหันไปมองมัน “พวกนั้นอาจจะมีส่วนผิดแต่ก็เป็นพวกมีฝีมือ กูรู้ว่ามึงเป็นคนยังไงก็เลยไม่ห่วง แต่อยากให้มึงเข้าใจการทำงานด้วย เพราะถ้าเด็กมันทำไม่ได้จริงๆเราก็จำเป็นต้องถ่ายใหม่”
“กูเข้าใจ”
เตโชมันต้องการบอกอะไรผมเข้าใจดี ถ้าผมจะพูดอะไรผมก็ว่าแต่ส่วนผิดอยู่แล้ว เรื่องงานผมไม่คิดเข้าไปยุ่งเกี่ยว ถ้าโซโล่ทำได้ไม่ดีเขาก็ต้องพยายามจนกว่าจะได้ และอีกอย่าง…
“เหตุผลหลักที่กูมาที่นี่ก็เพื่อช่วยให้งานมึงสำเร็จ”
ผมยืนพิงขอบประตูดูโซโล่ถ่ายทำอยู่กับเตโช ตอนนี้ด้านในกำลังเตรียมการถ่ายอยู่ ดูแล้วน่าจะเป็นภาพนิ่งก่อน เพราะโซโล่กำลังยืนอยู่หน้ากล้องด้วยใบหน้าเฉื่อยชา ด้านข้างกันมีแยมยืนยิ้มแย้มถือขวดน้ำเอาไว้ในมือ
“ขอโทษนะคะ”
ผมได้ยินเสียงนั้นชัดเจนเพราะมันไม่ใช่ห้องใหญ่นัก แยมกำลังเปิดฝาขวดน้ำ ทำท่าจะราดน้ำลงไปบนหัวคนที่ยืนนิ่ง ผมได้ยินเสียงกรีดร้องเบาๆจากพวกผู้หญิงมุมห้อง
“ผมก็เพิ่งรู้ว่าถ่ายภาพโปรโมทมหา’ลัยต้องให้นายแบบตัวเปียกด้วยนะครับเนี่ย”ผมยิ้มให้ทุกสายตาที่หันมามอง ก่อนจะก้มหัวนิดๆเพื่อทักทาย แล้วเดินเข้าไปด้านใน ต้องขอบคุณเตโชที่ให้ผมทำอะไรด้วยตัวเอง มันบอกว่าคนของผมก็เลยให้ผมจัดการเต็มที่
“กะ…กีล์”แยมดูจะตกใจไม่น้อย เธอถึงกับทำขวดน้ำที่เปิดฝาแล้วหล่นลงพื้น ลำบากคนอื่นต้องเข้ามาเก็บกวาด
“ครับแยม”
“เอ่อ…กีล์มาดูโซโล่เหรอคะ”ท่าทางลนลานของแยมทำให้ผมสงสัยอยู่หน่อยๆว่าทำไมต้องทำเหมือนกลัวความผิดขนาดนั้น
“ใช่ครับ…แล้วทำไมแยมต้องราดน้ำด้วยล่ะ ผมเห็นเมื่อวานก็เปียกไปทีแล้วนี่นา”
“คือ…คือว่า…”
“ก็มันเป็นงานปะพี่”เสียงแข็งๆที่ดังแทรกทำให้ผมต้องหันไปมองอย่างแปลกใจ ตรงนั้นมีผู้ชายไม่คุ้นหน้าที่น่าจะอยู่ปีสองหรือปีสามยืนทำหน้าตาไม่พอใจอยู่
“ก็รู้ครับว่างาน แล้วจำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ”
“จะทำยังไงก็เรื่องของพวกผมปะ พี่แยมไม่รู้เรื่องหรอก เป็นนายแบบก็ต้องทำตามที่ทีมงานสั่งดิ”
ผมส่ายหัวน้อยๆเมื่อหันไปเห็นโซโล่ขมวดคิ้วและทำท่าจะเดินเข้ามาหา ตอนนี้ผมอยากจัดการด้วยตัวเอง
“เอาจริงๆพี่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไรแยมหรือพวกน้องเลยนะครับ”ผมยิ้มตามมารยาท ก่อนจะหันไปสบตาคู่สนทนา “พี่แค่สงสัยว่าทำไมต้องเอาน้ำราดในเมื่อมันเป็นงานโปรโมทมหา’ลัยที่ต้องใช้ภาพลักษณ์นักศึกษา หรือที่ลนขนาดนี้เพราะทำอะไรผิด…”
“พี่!”
“แล้วอีกอย่างนายแบบไม่ใช่ทาสนะครับ หรือถ้าน้องอยากรู้ว่ามันเป็นยังไงทำไมไม่ลองไปโดนแบบนั้นบ้าง แค่มาทำงานให้แล้วไม่ได้ทานข้าวตั้งแต่เย็นจนมืดพี่ว่ามันก็ไม่โอเคแล้วนะ แถมยังให้เปียกน้ำนานขนาดนั้น ถ่ายซ้ำแล้วซ้ำอีกมันงานน้องพี่ก็พอเข้าใจว่าโซโล่อาจทำได้ไม่ดี แต่เปียกแล้วเปียกอีกนี่ไม่ดีมั้งครับ หรือน้องว่าดี?”
ผมยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจแต่อย่างใด ก็แค่พูดเหมือนปกติเท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าผู้ชายคนนั้นจะทำหน้าแบบไหน หรือใครจะซุบซิบอะไร
“ละ…แล้วพี่จะมาเสือกอะไรนักหนาวะ!”
“ว่าพี่มาเสือกงานน้อง?....”ผมหุบรอยยิ้มลงช้าๆ ก้าวเท้าเข้าไปหาจนหยุดอยู่ตรงหน้าเขา รู้สึกได้ว่าเสียงในห้องเงียบกริบจนได้ยินกระทั่งลมหายใจ แต่นั่นก็ดีเหมือนกัน…
“…”
“แล้วทำไมตอนทำเสือกไม่คิด”
ผมรู้ตั้งแต่เมื่อกลางดึกว่าโซโล่เริ่มป่วยแต่เขาไม่แสดงออก และนั่นมันทำให้ผมหงุดหงิดถึงขีดสุดจนต้องยั้งตัวเองไว้หลายที แน่นอนว่าเพราะผมห่วงเขา
“พี่ค่อนข้างจะเกลียดพวกที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิดพอสมควร…”ผมเหลือบตาไปมองแยมที่กำลังตัวสั่นเหมือนจะร้องไห้จนเพื่อนๆผู้หญิงของเธอต้องเข้ามาปลอบ “ในเมื่อต้นเรื่องเขายังไม่พูดอะไร น้องก็ไม่ควรจะเข้ามาปกป้องแบบไม่ดูทิศดูทางแบบนี้นะครับ”
“…”
“และถึงพี่จะไม่ได้มีปัญหากับการที่รุ่นน้องไม่เคารพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะอยู่เฉยๆให้รุ่นน้องปีนเกลียว…ขอเตือนด้วยความหวังดีอีกอย่าง…”
“…”
“อย่าปากดีครับ”
ผมเลิกสนใจผู้ชายตรงหน้าที่เงียบไป แล้วหันไปหาแยมกับเพื่อนๆของเธอแทน รอยยิ้มที่สร้างขึ้นมาใหม่ประดับอยู่บนใบหน้าแล้วเรียบร้อย
“แยมมีอะไรจะพูดกับผมไหม”
แยมยกมือปิดปากน้ำตาไหล ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“ขะ…ขอโทษนะ..แยม…”
“เราจะพูดแทนแยมเองกีล์”
ผมพยักหน้าให้เพื่อนของแยมด้วยความเข้าใจ ไม่ได้คิดเซ้าซี้อะไรให้แยมเป็นคนพูด เพราะดูพวกเธอจะรู้เรื่องกันหมด
“พวกเราชอบน้องโซโล่มาตั้งแต่แรกแล้ว…พอรู้ว่าน้องจะมาถ่ายงานนี้แล้วเตโชไม่อยู่ด้วย…ก็เลยให้แยมที่อยู่ชมรมนี้เสนอตัวแล้วพวกเราก็เข้ามาดู เราขอโทษนะ เรื่องข้าวพวกเราลืมจริงๆ ส่วนเรื่องที่เอาน้ำราดเป็นความผิดพวกเราเอง…”
“…”
“เรา…แค่รู้สึกว่าโซโล่ดูดีมากก็เลยอยากถ่ายภาพเก็บไว้ ตอนแรกเราให้ราดหัวเพราะมันดูเท่ดี ไปๆมาๆก็เลยเป็นแบบนั้น…พวกเราไม่ได้บอกคนอื่นว่างานเป็นแบบไหน และเพราะแยมเข้าไปฟังงานจากเตโชคนเดียว พวกผู้ชายก็เลยไม่รู้รายละเอียด แค่ถ่ายตามที่แยมสั่งเฉยๆ”
ผมถอนหายใจกับใบหน้ารู้สึกผิดของพวกเธอ รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับความเห็นแก่ตัวเหล่านั้น แต่จะให้มาต่อว่าพวกผู้หญิงมันก็เกินไปหน่อย
“ผมเข้าใจความชอบของพวกคุณ…แต่ทีหลังก็ดูความเหมาะสมหน่อยนะครับ เพราะมันไม่ใช่หลอกแค่โซคนเดียว แต่เป็นคนในชมรมอีกหลายคน ไม่สงสารโซที่ต้องไม่สบายเพราะพวกคุณเหรอครับ”
สุดท้ายเตโชก็เข้ามาไกล่เกลี่ยอีกทีแล้วพาพวกผู้หญิงกับผู้ชายที่พูดจาไม่ดีใส่ผมออกไป คนที่มาดูงานต่อจากนั้นคือรองหัวหน้าชมรมชื่อแมวที่ไม่มาเรียนเมื่อวานนี้ พวกเขาคุยกันว่าจะถ่ายภาพนิ่งกันก่อน ซึ่งดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี
ก่อนถ่ายผมเดินเข้าไปตบไหล่โซโล่เป็นเชิงให้กำลังใจแล้วมานั่งดูอยู่มุมห้อง เขาเองก็ส่งยิ้มกลับมาให้และหันมามองผมแทบทุกครั้งที่มีเวลาจนโดนพวกทีมงานแซวไม่หยุด
“เอาล่ะ ต่อไปเป็นปัญหาของน้องโซโล่สินะ เห็นเต้ที่อยู่ในกองตั้งแต่เมื่อวานบอกมา”
ปัญหาที่แมวพูดคงหมายถึงการถ่ายวีดีโอแนะนำตัว
มันเป็นการถ่ายโดยที่โซโล่จะต้องตอบคำถามจากเสียงถามของแมวซึ่งไม่ออกกล้อง ผมมองแล้วก็หลุดขำออกมาหลายที เพราะนอกจากเจ้าเด็กนี่จะตอบสั้นห้วนแล้วยังทำเสียงเหมือนหุ่นยนต์อีก ที่สำคัญเลยคือเขาไม่คิดจะปิดบังใบหน้าที่แสดงความเหนื่อยหน่ายเลยสักนิด
“แบบนี้คงได้ถ่ายทั้งคืน”แมวบ่น ใบหน้าดูเคร่งเครียดเหมือนไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี ส่วนคนที่ทำให้ชาวบ้านเขาเครียดก็ยกน้ำกินอย่างสบายใจอยู่ข้างๆผม
“ให้ผมช่วยไหม”ผมยิ้มนิดๆเมื่อเห็นสายตาแวววาวของแมวตอนที่ผมเสนอตัว ยังไงนี่ก็เป็นจุดประสงค์หลักที่ผมมาที่นี่อยู่แล้วนี่นะ
สุดท้ายผมก็มานั่งอยู่ข้างกล้อง ในมือคือคำถามที่ต้องถามเดือนมหา’ลัย
“ทำเหมือนคุยกับพี่นะครับ”ผมย้ำอีกครั้ง ซึ่งโซโล่ก็พยักหน้าแต่โดยดี
“3 2 1”
“แนะนำตัวหน่อยครับ”
“โซโล่ ศิวโลคินทร์ ปี1 ดุริยางคศิลป์เอกกีตาร์”
ผมถามคำถามไปเรื่อยๆโดยปรับเปลี่ยนประโยคนิดหน่อยให้เหมือนกำลังคุยกับเขาไม่ใช่การถามตามบท ถึงแม้โซโล่จะตอบสั้นไปหน่อยแต่ก็ดีกว่าเดิมมาก จนผมได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอกจากทีมงานด้านหลัง
“สุดท้ายนี้บอกอะไรกับคนที่ชมวีดีโออยู่หน่อยครับ”
“ขอบคุณครับ”
ผมมองเดือนมหา’ลัยแล้วยิ้มออกมา เมื่อสายตาตอนที่เขาพูดมันไม่ได้มองไปที่กล้อง…แต่มองมาที่ผม
-----------------------------------------