เมาครั้งที่ 16
'ขอบคุณที่เป็นเด็กดีของพี่'ไม่รู้ว่าตัวเองหลุดพูดประโยคชวนขนลุกแบบนั้นไปได้ยังไง อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของยาพาราเซตามอลที่โดนพี่ต้นบังคับให้กินอีกครั้งก็เป็นได้ แล้วอีกอย่างคือกลัวว่านั่นจะทำให้แฮงค์ได้ใจมากยิ่งขึ้น บางครั้งผมก็กลัวการเปลี่ยนแปลงสถานะระหว่างเราเหมือนกัน ไม่รู้ว่าถ้าเลื่อนขั้นแล้วเขาจะยังเป็นเด็กดีอยู่อีกหรือเปล่า ที่ต้องกลัวแบบนี้เพราะปราศจากความรักมานานหลายปีแล้ว
ผมนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงในเช้าวันอาทิตย์อย่างเบื่อหน่าย จะไปคลุกคลีกับบับเบิ้ลก็ไม่ได้เพราะตัวเองยังไม่หายป่วยดี โทรศัพท์มือถือก็นอนแน่นิ่งอยู่บนหัวเตียงเพราะแบตหมดและกำลังชาร์ตอยู่ เฮ้อ... ตอนอยู่คอนโดไม่เห็นจะเหี่ยวเฉาขนาดนี้เลยนี่หว่า
"เบื่ออะ เบื่อๆๆๆ"
ผมดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเตียงด้วยอาการเบื่อ ยิ่งป่วยยิ่งเหงาเพราะไม่มีคนอยู่ดูแล พี่ต้นออกไปเดทกับกันย์หน้าตาเฉยอีกด้วย หึ แบบนี้ล่ะคนกำลังมีความรักออร่าสีชมพูงี้ฟุ้งกระจาย เห็นแฟนสำคัญกว่าน้องตลอด! อย่าให้มีบ้างนะเว้ย พ่อจะติดแฟนเป็นตังเมเลยคอยดูเถอะ
"ฮึ่ย!"
หยุดดิ้นแล้วส่งเสียงฮึดฮัดก่อนจะเตะผ้าห่มให้กระเด็นตกเตียง ผมเด้งตัวขึ้นมานั่งขยี้หัวตัวเองไปมาจนยุ่งเหยิง กะว่าจะเดินไปเสียบปลั๊กทีวีเพื่อดูการ์ตูนสักหน่อย แต่เสียงเคาะประตูห้องกลับดังขึ้นแล้วตามมาด้วยใบหน้าของไอ้จุ้นที่โผล่เข้ามา ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นมันมายืนอยู่ตรงนี้ พี่ต้นโทรไปบอกแน่ๆ
"ฮัลโหลมายบอย ~"
ไอ้จุ้นทักทายด้วยเสียงสดใสพร้อมกับดันประตูให้เปิดออกกว้างๆ แล้วสอดตัวเข้ามาพร้อมถาดอาหาร กลิ่นหอมชวนให้น้ำย่อยเริ่มทำงาน หิว... แต่ยังไม่ได้แปรงฟันเลย ตอนนี้โคตรขี้เกียจเลยไง
"มายบอยพ่อง... มาได้ไง"
แอบด่าไปเล็กน้อยก่อนจะเบ้ปากใส่มันที่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่สะทกสะท้านจนน่าหมั่นไส้ แต่ก็ดีที่ไอ้จุ้นมาหากัน ไม่อย่างนั้นวันนี้ผมต้องเหงาตายแน่ๆ เพราะกว่าพี่ต้นจะมารับผมไปส่งที่คอนโดคงตกเย็นนู่นล่ะ ก็บอกแล้วไงว่าแฟนสำคัญกว่าน้อง!
"กูเป็นองครักษ์พิทักษ์มึงน้า ก็ต้องมาได้ดิ"
ไอ้จุ้นทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงแล้ววางถาดข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ควันหอมฉุยลงบนโต๊ะญี่ปุ่นที่มันอุตส่าห์เดินไปเอามาวางเพื่อสะดวกต่อการกินข้าวของผม บริการดียิ่งกว่าโรงพยาบาลเอกชนอีกมั้ง
"กวนตีน ขอความจริง"
ผมว่าด้วยน้ำเสียงดุๆ แล้วก้มหน้าสัมผัสไอร้อนของอาหาร รู้สึกอยากมุดหน้าลงในถ้วยจัง อุณหภูมิกำลังอุ่นสบายเลย
"พี่ต้นโทรหากูไง กูเลยถ่อสังขารมาอยู่เป็นเพื่อน"
มันตอบกลับก่อนจะแย่งถ้วยข้าวต้มกุ้งไปเป่าไล่ความร้อนให้กัน ผมมองภาพตรงหน้าแล้วหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย ดูๆ ไปไอ้จุ้นก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะ ดูแลเอาใจใส่กันขนาดนี้... แต่ถ้าถามว่าย้อนเวลากลับไปได้อยากจีบมันไหม ผมนี่ส่ายหน้าจนคอแทบหลุดเลยล่ะ ขนลุกซู่
"เออ ขอบใจ แล้วไอ้พีชไม่โวยวายเหรอ"
ผมถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วถ้าเป็นวันอาทิตย์แบบนี้ไอ้จุ้นจะโดนพีชกักตัวไว้ เพราะกว่าจะมีเวลาว่างตรงกันก็ยากเหลือเกิน เพื่อนสนิทหน้าตึงขึ้นมาทันทีก่อนจะหยุดชะงักการเป่าข้าวต้มลง มันค่อยๆ ช้อนตามองกันด้วยอารมณ์ที่เดาไม่ออก ไอ้ทีท่าแบบนี้เมียคงไปทำงานต่างจังหวัดอีกแน่ๆ
"อยู่โวยวายซะที่ไหน ไปคุมงานที่ชลบุรีแล้ว ไม่รู้ว่าบริษัทมันจะรับงานไกลเพื่ออะไรวะ เฮ้อ"
พูดจบก็ถอนหายใจออกมายาวๆ มีรักก็ต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา แต่มันก็ทำให้ชีวิตมีสีสันดี ผมเอื้อมมือไปแตะไหล่เพื่อนสนิทเป็นการปลอบใจ เห็นมันทำหน้าเป็นแมวหงอยแล้วคันตีนอยากเตะยังไงไม่รู้ ไม่เห็นจะน่าสงสารเหมือนใครบางคนเลย... แล้วจะไปคิดถึงเขาเพื่ออะไร เพิ่งห่างกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเอง
"เออน่า วิศวกรที่ดีต้องทำงานได้ทุกรูปแบบ แล้วนี่มึงเอาไอ้ดุ๊กดิ๊กไปทิ้งไว้ที่ไหนถึงออกมาหากูได้เนี่ย"
ผมถามหาเจ้าแมวเมนคูนตัวยักษ์ที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก ไอ้จุ้นเบ้ปากเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะญาติดีกับลูกรักของเมียสักที เห็นแล้วก็สงสารว่ะ
"เอาไปฝากที่ร้านอาบน้ำโกนขนละ"
"เดี๋ยวๆ เอาไอ้ดุ๊กดิ๊กไปโกนขนเลยเหรอ ไอ้พีชจะได้ตอนน้องชายมึงให้เป็ดกินน่ะสิ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะเพราะไอ้เพื่อนตัวดีมันพูดซะโอเวอร์ ขืนเอาไอ้ดุ๊กดิ๊กไปโกนขนจริงอาจจะโดนเมียเอาไม้หน้าสามฟาดแล้วกระทืบให้จมดินก็ได้ รักแมวมากกว่าผัวอีกมั้งรายนั้น
ไอ้จุ้นมองผมตาขวางก่อนจะใช้ฝ่ามือมาดันหัวกันซะอย่างนั้น แต่แทนที่ผมจะโกรธกลับยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีที่ได้แกล้งเพื่อน
"จริงๆ ก็หมั่นไส้ไอ้พีชอยู่นะที่อะไรๆ ก็ไอ้ดุ๊กดิ๊กสำคัญกว่ากูตลอด อยากรู้เหมือนกันถ้าแม่งโดนโกนขนกลายเป็นแมวสฟิงซ์มันจะยังรักอยู่ไหม"
ไอ้จุ้นทำหน้าเบื่อหน่ายแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความน้อยใจ ผมรู้ว่าเพื่อนไม่ทำอย่างนั้นจริงๆ หรอก เพราะไม่ว่าไอ้พีชรักหรือชอบอะไรมันก็ไม่เคยขัด แถมยังช่วยสนับสนุนอีกด้วย ถึงแม้จะแสดงออกตรงกันข้ามอยู่บ่อยๆ
เหี้ยเถอะ... แมวสฟิงซ์ยักษ์เนี่ยนะ สยองสุดๆ !
"จุ้น... กูเชื่อว่าพีชมันก็ยังรักของมันถึงแม้ว่าไอ้ดุ๊กดิ๊กจะเปลี่ยนไปมากขนาดไหน ก็เหมือนกับที่มันรักมึงนั่นล่ะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง มองเพื่อนสนิทด้วยแววตาลึกซึ้ง อยากให้มันคิดตามหลักความเป็นจริงให้มากที่สุด เพราะคนเราส่วนใหญ่นั้น ไม่ว่าอะไรที่เราปักใจรักไปแล้ว อยู่ๆ จะให้ตัดใจจากมันเพราะเหตุผลเพียงเล็กน้อยนั้นเป็นไปได้ยาก
"แล้วกูเปลี่ยนไปยังไงไม่ทราบครับคุณข้าว"
น้ำเสียงมันเครียดจนผมไม่กล้าทำเป็นจริงจังต่อเลยกลบเกลื่อนด้วยการหยอดมุกที่ไม่รู้ว่าคนฟังจะตลกไปด้วยกันได้หรือเปล่า
"เปลี่ยนจากคนดีกลายเป็นคนบ้าไง"
พูดด้วยสีหน้าใสซื่อจนไอ้จุ้นถึงกับถลึงตาใส่แล้วยกหมอนขึ้นฟาดที่หัวของผม ไอ้คนที่ไม่ทันตั้งตัวก็เซล้มลงนอนสิครับจะรออะไรล่ะ ก็เล่นไม่ออมแรงกันซะขนาดนั้น สมงสมองเบลอไปชั่วขณะเลยไง
"แม่ง อุตส่าห์ตั้งใจฟัง"
บ่นเสียงงุ้งงิ้งแต่ไม่วายนั่งคนข้าวต้มกุ้งเพื่อเป่าให้มันคลายร้อนต่อให้อีก ผมมองภาพนั้นแล้วเผลอหลุดยิ้มออกมา อยากจะคว้าโทรศัพท์มาถ่ายรูปมันเอาไว้แต่กลัวจะโดนกล่าวหาว่าเห่อความน่ารักของเพื่อน อยู่ๆ ก็คิดได้ว่าควรลุกไปจัดการตัวเองสักทีจะเลือกแค่แปรงฟันหรืออาบน้ำเลยก็ดี
"จุ้น... กูขอไปแปรงฟันก่อนนะ"
ผมว่าก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วก้าวขาลงจากเตียง มีสภาวะโงนเงนเล็กน้อยถึงปานกลาง ไอ้จุ้นเงยหน้าขึ้นมองและย่นจมูกใส่ ใช้มือข้างที่ว่างโบกไปมาตรงหน้าทำท่าว่าเหม็นปากกันซะเต็มประดา อยากถีบแม่งให้หงายหลังสักที
"มากไปๆ"
ผมชี้หน้าคาดโทษไอ้จุ้นก่อนจะพาตัวเองไปที่ห้องน้ำ กระจกบานใหญ่ฉายภาพผู้ชายผิวขาวคนหนึ่งที่บัดนี้หัวกระเซอะกระเซิง ดวงตาปรือช่ำน้ำเพราะยังไม่หายจากอาการป่วย สภาพตอนนี้ไม่เหลือเค้ารางอดีตเดือนคณะดิจิทัลอาร์ตเลยด้วยซ้ำ ตอนไม่สบายนี่มันแย่ไปหมดทุกอย่างจริงๆ
ผมลงมือล้างหน้าและแปรงฟันอยู่นานกว่าสิบนาทีจนไอ้จุ้นต้องเดินมาตาม ที่ช้านี่เพราะไม่ใช่อะไรหรอก เผลอหลับตอนนั่งชักโครกน่ะ...
"ข้าว... มึงควรไปหาหมอนะ ตัวร้อนอีกแล้ว"
จุ้นพูดขึ้นหลังจากที่มันใช้หลังมืออังกับหน้าผากของผม ช้อนข้าวต้มกุ้งในมือหยุดชะงักทันที ก่อนจะใช้สายตามองเพื่อนสนิทอย่างไม่เข้าใจเพราะในเมื่อยาก็กินนอนจนอืดทำไมไข้ยังไม่ลด... หรือต้องเปลี่ยนคนดูแล? หึ คิดอะไรฟุ้งซ่านอีกแล้ววะกู
"หึ ไม่เอาอะ ขี้เกียจไปโรงพยาบาล"
ผมตอบก่อนจะอ้าปากงับช้อนข้าวต้มต่อและไม่สนใจว่าไอ้จุ้นจะทำท่าทางยังไงใส่ เรื่องดื้อขอให้บอกเพราะไม่เป็นสองรองจากพี่ต้นสักเท่าไหร่
"งั้นกูโทรหาพี่พายนะ"
"หยุดๆ ไม่ต้อง กูกับพี่พายมีปัญหากันอยู่"
ผมรีบเบรกไอ้จุ้นทันทีที่ได้ยินว่ามันกำลังจะทำอะไร เพราะตั้งแต่วันนั้นที่ผมไปเยี่ยมพี่ตุลย์แล้วหลังจากนั้นมายังไม่ได้คุยกับพี่พายอีกเลย ไม่รู้ว่าจะโกรธกันหรือเปล่าที่ไม่สามารถทำตามคำร้องขอของเขาได้
"ปัญหาอะไรของมึงเนี่ย"
ไอ้จุ้นถามด้วยน้ำเสียงสงสัย ผมไม่ได้ตอบในทันทีเพราะกำลังติดลมกินข้าวอยู่ ไม่อยากให้มันขาดตอนเพราะถ้าเริ่มพูดเรื่องพี่ตุลย์อาจจะกินอะไรไม่ลงไปอีกนาน
"ห่านี่ ทำให้กูอยากรู้แล้วก็เงียบเฉย"
"รอแค่นี้ต้องด่าด้วยวะ"
ผมว่าก่อนจะหยิบยาแล้วส่งน้ำในแก้วเข้าปาก ความขมของพาราเซตามอลติดปลายลิ้นเล็กน้อยเพราะเมื่อครู่ไม่สามารถกลืนยาลงไปพร้อมน้ำได้ ไอ้จุ้นเบะปากใส่กันอีกครั้งแล้วยกโต๊ะญี่ปุ่นลงจากเตียงพร้อมถ้วยข้าวและทิ้งตัวลงนอนแทนที่
"นานทีปีหนจะได้ยินว่ามึงมีเรื่องกับพี่พาย ก็อยากรู้เป็นธรรมดา"
มันพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนจะหลับตาลง นึกหมั่นไส้อยู่เล็กน้อยตรงที่พี่ต้นส่งมันมาดูแลผมแต่กลับทิ้งตัวลงนอนสบายใจเฉิบเนี่ยนะ
"ก็... เรื่องพี่ตุลย์"
หลังจากนั้นผมก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้ไอ้จุ้นฟังจนหมดเปลือก ยกเว้นแค่เรื่องที่อุปโหลกว่าแฮงค์เป็นแฟนกันก็เท่านั้น ถ้าบอกไปมีหวังโดนล้อจนตายแน่ๆ มันถอนหายใจออกมาหลายรอบหลังจากที่ฟังจบ บ่นว่าพี่ตุลย์เหี้ยบ้างล่ะ สงสารพี่พายบ้างล่ะ ซึ่งผมก็เห็นด้วยเลยไม่ได้ขัดอะไรออกไป
วันจันทร์เริ่มต้นขึ้นอย่างเอื่อยเฉื่อยเพราะลืมไปว่าตัวเองไม่มีสอนแต่เด็กมีสอบมิดเทอมเลยได้แต่นั่งเบื่ออยู่ในห้องพักอาจารย์ ผมมีคุมสอบนักศึกษาช่วงบ่ายซึ่งเป็นคนละเซคกับแฮงค์... ไม่รู้เจ้าเด็กบ้านั่นอ่านหนังสือได้เต็มที่หรือเปล่านะ แอบห่วงอยู่นิดหน่อยเพราะแทบไม่ได้คุยกันเลยหลังจากที่ผมกลับบ้าน
"ข้าว"
เสียงเรียกชื่อนั้นทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตากลมกรอกมองไปรอบๆ ตัวก่อนจะเจอเข้ากับพี่ปันที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเพลียๆ เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานอย่างหมดแรง ดูเหมือนการคุมสอบจะหนักหนาเอาการมากกว่าที่คิด
"นี่พี่ไปสอบกับเด็กด้วยหรือเปล่าวะ ทำไมกลับมาสภาพแบบนี้"
ผมถามเสียงกลั้วหัวเราะเผื่อว่าอีกคนจะคลายความอ่อนล้าลงไปบ้าง แต่เปล่าเลย ใบหน้าคมๆ นั่นยังคงแสดงอาการเพลียอย่างเห็นได้ชัด มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่านะ
"ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะ กาหัวกระดาษเด็กไปสามสี่คน รู้สึกแย่ว่ะ"
พี่ปันพูดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ เข้าใจว่าทำไปตามหน้าที่ แต่นั่นคือความผิดของนักศึกษาที่พยายามทุจริตเอง พี่ปันไม่ต้องรู้สึกแย่เลยสักนิดเดียว แต่ก็อย่างว่า ใครเขาจะอยากประสงค์ร้ายกับลูกศิษย์ของตัวเองกันล่ะ
"ทำไปตามหน้าที่ไม่ใช่หรือไง หรือพี่จะปล่อยให้เด็กลอกข้อสอบกัน"
"เออๆ ตอนเที่ยงไปกินข้าวด้วยกันปะวะ"
"หึ มีนัดแล้ว"
ผมตอบเสียงเรียบทำเหมือนมันเป็นเรื่องปกติที่จะมีนัดกินข้าวตอนกลางวัน แต่พี่ปันกลับใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองมาและส่งยิ้มกรุ้มกริ่มให้ อย่าบอกนะว่าไปรู้อะไรมาอีก... หูตาอย่างกับสับปะรด
"แหม เดี๋ยวนี้มีนงมีนัด คนนี้ผ่านด่านพี่ต้นแล้วเหรอวะ"
ถามด้วยน้ำเสียงทะเล้นแถมยังเลื่อนเก้าอี้เข้ามาใกล้กันอีก ผมทำหน้าใสซื่อก่อนจะเบี่ยงประเด็นไม่ยอมตอบด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น เรื่องอะไรจะบอกให้โดนแซวล่ะวะ
"เอ้า ทำเงียบอีกคนเรา แบบนี้มีพิรุธว่ะเฮ้ย"
"พูดมากจังวะ เมียพี่ไม่เบื่อบ้างเหรอ"
ผมพูดก่อนจะเหล่สายตามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน พี่ปันทำหน้ายุ่งแล้วยกมือขึ้นผลักหัวด้วยความหมั่นไส้ ถึงจะโดนทำร้ายร่างกายแต่ก็ถือว่าคุ้มที่สามารถจิกกัดเขาได้
"ปากมึงนี่นะ... ร้ายกาจฉิบ"
"เขาเรียกเป็นคนพูดตรงเว้ย"
ผมรีบแก้ต่างให้ตัวเอง
"หมาล่ะสิไม่ว่า สงสารคนที่เข้ามาจีบแกจัง"
พี่ปันว่าด้วยน้ำเสียงกวนตีน มุมปากกระตุกยิ้มน่าหมั่นไส้ ผมได้แต่เถียงดังๆ อยู่ในใจว่าถึงจะหมาก็มีคนอยากได้ก็แล้วกัน! ไม่กล้าพูดออกไปหรอก กลัวแม่งเอาไปป่าวประกาศทั้งมหา'ลัย
"ปากตัวเองก็ใช่ย่อยเหอะพี่ปัน ผมไปกินข้าวดีกว่า บาย"
ผมบอกไปแบบนั้นก่อนจะลุกเดินออกมาจากห้องพักอาจารย์อย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับพี่ปันอีกแล้ว ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูแล้วพบว่าอีกยี่สิบนาทีกว่าเด็กบ้านั่นจะเลิก ขอไปแอบดูพฤติกรรมเวลาสอบหน่อยแล้วกัน
ผมเดินไปยังห้องที่แฮงค์ส่งข้อความมาบอกกันว่าจะเข้าสอบช่วงเช้า ขายาวหยุดชะงักหน้าบานประตูกระจกใสแล้วจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาที่จำได้ดี แฮงค์กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนข้อสอบด้วยความตั้งใจ ถัดออกไปไม่ไกลมากนักกันย์ก็กำลังเคร่งเครียด เห็นแบบนั้นก็ทำให้โล่งใจขึ้นมาว่าพวกเขาไม่ได้โดนกาหัวกระดาษแต่อย่างใด
จริงๆ แล้วเที่ยงนี้ผมมีนัดกินข้าวกับแฮงค์ก่อนที่จะต้องไปญี่ปุ่นกับพี่ต้น ก็ไม่รู้ว่าใจอ่อนไปยอมให้มันอ้อนสำเร็จได้ยังไงก็ไม่รู้ เขาเอาแต่พูดด้วยน้ำเสียงงุ้งงิ้งว่า 'พี่ข้าวไปญี่ปุ่นตั้งหลายวันผมต้องคิดถึงมากแน่ๆ' หรือ 'พี่ข้าวครับ ไม่อยากให้ไปเลย ผมต้องเหงามากแน่ๆ' ดูทำตัวเข้าสิ อ้อนอย่างกับลูกหมา นั่นล่ะคือสาเหตุที่ผมยอมตกลงรับนัดนั่น ส่วนแฟนของพี่ชายนี่... เป็นตัวแถมมาเฉยๆ
อาจารย์สาวในห้องคุมสอบหันมายิ้มหวานให้กัน ก็พอรู้ว่าเธอเล็งผมไว้ตั้งแต่วันแรกๆ ที่โผล่ไปคณะ ก็ไม่ใช่ว่ารูปร่างหน้าตาจะดูแย่อะไร แต่ติดที่นิสัยขี้วีนนั่นล่ะ ทำให้ผมมองข้ามเธอไปซะเฉยๆ ไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาสักเท่าไหร่เลยยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมฆ่าเวลา และไม่นานมากนักก็ได้ยินเสียงนักศึกษาทยอยออกมาจากห้องสอบ
"พี่ข้าว"
เสียงที่คุ้นเคยเรียกกันอยู่ตรงหน้า แต่ผมกำลังติดพันเล่นเกมอยู่เลยไม่ได้เงยขึ้นไปมอง ส่วนข้างๆ ตัวก็สัมผัสได้ว่ากันย์หย่อนตัวลงนั่งแล้วชะโงกเข้ามาดูหน้าจอโทรศัพท์อีกด้วย
"อือ... ขอเล่นเกมแป๊ป จะจบด่านแล้ว"
ผมตอบเสียงเบาเพราะกลัวนักศึกษาที่เดินผ่านไปผ่านมาจะได้ยินแล้วภาพพจน์อาจารย์สุดหล่อของคณะจะเสียหาย ก็เล่นติดเกมเหมือนเด็กไปซะอย่างนั้น
"พี่นี่เหมือนเด็กเลยว่ะ ยังติดเกมอยู่อีก"
เสียงกันย์ดังขึ้นข้างหูแต่ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะกำลังตีบอสในเกมอยู่ จะว่าไปคนที่ติดมากกว่าผมคือพี่ต้นต่างหากแต่เขาไม่ได้มานั่งเล่นให้แฟนเห็นก็เท่านั้นเอง
"พี่ต้นติดเกมงอมแงมมากกว่าพี่อีกเหอะ"
ผมพูดออกไปโดยไม่ได้ละความสนใจออกจากหน้าจอสี่เหลี่ยม การที่เป็นคนแยกประสาทสัมผัสได้ดีก็แจ่มดีนะ สามารถทำได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน
"จริงอะ ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องเลยวะ"
น้องถามด้วยเสียงเหลือเชื่อจนผมหลุดอมยิ้มน้อยๆ ก็แฟนกันย์น่ะ... เจ้าของบริษัทเกมนะเว้ย ที่มาทำธุรกิจนี่ก็เพราะความชอบส่วนตัวล้วนๆ ไม่ได้คำนึงถึงสายอาชีพที่ตัวเองเรียนมาเลยด้วยซ้ำ ก็คิดเอาเองแล้วกันว่าบ้าเกมขนาดไหน
"เป็นแฟนประสาอะไรของมึงไอ้กันย์ ว่าที่ผัวติดเกมงอมแงมยังไม่รู้อีก"
แฮงค์พูดขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วขยับตัวออกห่างจากเพื่อนสนิทเมื่อฝ่ามือของกันย์ง้างออกเพื่อจะฟาดคนปากเปราะ แต่ผมว่าไม่ผิดหรอกที่เขาพูดน่ะ ทั้งเรื่องไม่รู้ว่าพี่ต้นติดเกม และเรื่องที่พี่ต้นมีตำแหน่งผัว รายนั้นน่ะไม่ยอมให้ใครเสียบหรอก
"ไอ้แฮงค์! หยุดพูดเรื่องผัวๆ เลยนะ ยังไม่ได้ตกลงตำแหน่งกันเว้ย"
โมโหหรือเขินก็ไม่รู้ หน้าแดงหูแดงไปหมด แถมยังมีการพูดติดตลกอีกว่ายังไม่ได้ตกลงตำแหน่งกัน... คืออย่าเพิ่งไปถึงขั้นนั้นกันเลยน่า ต่างคนก็ไม่เคยคบผู้ชายมาก่อน ความสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไปน่าจะดีกว่า
"อ่าวเหรอ แต่พี่ว่าเมียแน่ๆ"
ผมแกล้งพูดขึ้นมาลอยๆ ทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าเล่นเกมอยู่อย่างนั้น แต่หางตากลับสอดส่องปฏิกิริยาของกันย์ไปด้วย น้องเม้มปากแน่นก่อนจะพูดออกมาเสียงอ้อมแอ้ม ท่าทางตอนนี้โคตรน่ารักเลยว่ะ ถ้าพี่ต้นเห็นคงลากไปฟัดแน่ๆ
"พี่ต้นเป็นเมียผมอะเหรอพี่ข้าว"
ถามออกมาด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับ ผมชักจะสงสารพี่ต้นแล้วสิ ก็ไอ้เด็กหน้าหวานตัวเล็กนี่คงหวังว่าตัวเองจะเป็นสามีที่ดีได้ในสักวันหนึ่งแน่ๆ แต่คิดว่ากันย์น่าจะรู้ตัวอยู่ก่อนแล้วว่าควรตำแหน่งไหน
"หึ เปล่า พี่หมายถึงกันย์อะเป็นเมียแน่ๆ"
ผมพูดเสียงกลั้วหัวเราะแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเสื้อก่อนจะหันไปยักคิ้วให้กับกันย์ที่นั่งอ้าปากพะงาบๆ เหมือนคนกำลังจมน้ำและพูดไม่ออก แฮงค์ถึงกับตบมือให้กับความคิดนี้ คงรู้สึกแบบเดียวกันสินะ
"คิดเหมือนผมเลยพี่ข้าว ไอ้กันย์เนี่ยจะไปเป็นผัวใครได้ ตัวเล็กกะทัดรัดขนาดนี้"
แฮงค์พูดยืนยันว่าเราทั้งคู่คิดเหมือนกัน ไอ้ตัวเล็กของพี่ต้นถึงกับทำหน้าบูดใส่แล้วโวยวายเสียงง้องแง้ง ยังไงๆ กันย์ก็ยังดูน่ารักมากกว่าไอ้จุ้นล่ะนะ รายนั้นงอแงแล้วน่าเตะ
"โอย เงียบไปทั้งคู่เลยนะเว้ย หิวข้าวแล้ว!! เร็วๆ เลยพี่ข้าว"
บอกให้เงียบแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะคว้าแขนผมให้ลุกขึ้นตามโดยไม่สนใจว่าจะมีใครมองการกระทำนี้หรือเปล่า แฮงค์หลุดหัวเราะออกมาตอนที่เดินขนาบมาด้านข้าง โดนสายตาดุๆ ของกันย์ส่งไปถึงเงียบปากลงได้ นึกว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นซะแล้ว เฮ้อ
หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อยผมตั้งใจว่าจะไปส่งเด็กทั้งสองเข้าสอบแต่ดันเป็นฝ่ายโดนส่งเข้าคุมสอบซะเอง เหตุผลง่ายๆ คือฝั่งนั้นมีสองคนเดินไปด้วยกันได้ แต่ผมไม่มีเพื่อน... พูดอย่างกับผ่านทางเปลี่ยว นี่มันมหา'ลัยนะเว้ย ผมไม่ไปฉุดกระชากใครไปปล้ำในดงกล้วยหรอกน่า
วันอังคารดำเนินมาถึงแล้ว ผมโดนพี่ต้นลากกลับบ้านตั้งแต่คุมสอบจบ รถของตัวเองที่ฝากซ่อมไว้ที่อู่แฮงค์ก็ยังไม่ได้ไปรับกลับเลย ไม่รู้เขาจะรีบอะไรนักหนา แต่ถ้าคิดในแง่ร้ายคือกำลังกีดกันผมกับน้องมันอยู่ ก็ไหนตอนแรกบอกเข้าใจและยอมดูพฤติกรรมไอ้เด็กนี่อยู่ห่างๆ ไง ทำยังไงพี่ชายถึงจะเลิกอาการหวงไม่เป็นเรื่องแบบนี้ได้สักทีวะ ยิ่งกว่าป๋ากับแม่อีกเนี่ย
"จัดของหรือยัง"
พี่ต้นโผล่หน้าเข้ามาโดยไม่เคาะประตูห้อง ผมกำลังนั่งเซ็งอยู่กับกองเสื้อผ้าที่รื้อออกมาจากตู้ ไม่รู้ว่าควรเอาอะไรไปบ้างเพราะใจไม่ได้อยากไปญี่ปุ่นเลยสักนิด ความขี้เกียจเดินทางมันมีมากกว่านี่นา ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นเลย จริงๆ นะ เชื่อผมสิ!
"กำลังจัด ต้องเอาเสื้อผ้าแบบไหนไปนะเดือนตุลาฯ"
ผมถามคนที่เดินมานั่งข้างๆ กัน มือก็ยังหยิบเสื้อตัวนั้นตัวนี้ขึ้นมาดู ไม่ใช่ว่าตื่นเต้นที่จะได้ไป แต่ไม่อยากจัดกระเป๋าด้วยซ้ำ
"เสื้อผ้าธรรมดาๆ นี่ล่ะ อากาศเดือนนี้ไม่ร้อนไม่หนาว กำลังสบายๆ"
พี่ต้นบอกกันด้วยน้ำเสียงสบายๆ เพราะเจ้าตัวไปญี่ปุ่นบ่อยมากจนจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองอยู่แล้วก็ว่าได้ ผมพยักหน้ารับก่อนจะจับเสื้อผ้าที่ใส่ประจำยัดใส่กระเป๋าลวกๆ โดยไม่ต้องคิด ขี้เกียจพับแค่ไหนถามใจดูเถอะ ยับยิ่งกว่าผ้าขี้ริ้วซะอีก
"หยุด ใครเขายัดเสื้อผ้าลงกระเป๋าโดยไม่พับหรือม้วนเอาแบบนี้ ไปถึงที่โน่นไม่มีพี่ส้มรีดให้นะ"
พี่ต้นว่าเสียงดุจนผมชะงักมือค้างไว้ ผลงานตรงหน้าใช้คำว่าจัดกระเป๋าแทบไม่ได้เลย ยิ่งกว่ากองเสื้อผ้าในตะกร้าที่รอซักซะอีก ผมอยากต่อรองว่าไม่ไปไม่ได้เหรอ พี่ต้นกลับมาเมื่อไหร่ค่อยฉลองวันเกิดย้อนหลังให้ แต่เพราะมันเป็นวันสำคัญของเขาเลยทำให้เก็บคำพูดไว้ทั้งหมด ไปก็ไปวะ ไม่อยากเรื่องมาก ขี้เกียจมีปัญหาจุกจิกกับพี่ชาย
"ก็ผมขี้เกียจจัดกระเป๋าอะ หิวข้าวแล้วด้วย"
ผมทำเสียงงอแงใส่พี่ต้นจนเขาถอนหายใจใส่แล้วผลักหัวกันเบาๆ ที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดใครหรอก ตื่นสายเอง ชักช้าเอง เครื่องจะออกคืนนี้แต่ยังไม่ได้จัดกระเป๋าอีก จะโทษใครได้ล่ะ
"ลงไปหาอะไรกินไป เดี๋ยวพี่จัดการเอง"
พี่ต้นพูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายแต่ก็ยอมเป็นธุระจัดการให้เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรเขาก็มักจะช่วยกันทั้งๆ ที่ปากบ่นจะเป็นจะตายนั่นล่ะ ก็นี่นายการินน้องรักของนายการันต์เชียวนะ แต่เสียอย่างเดียวตรงขี้หวงน้องนี่ล่ะ ความหวงแฟนนี่เป็นรองไปเลย คิดแล้วกลุ้มใจ...
ผมเดินลงมาจากชั้นบนแล้วเจอเข้ากับไอ้บับเบิ้ลที่นอนอยู่ตีนบันได มันเงยหน้าขึ้นมองกันเล็กน้อยก่อนจะเมินไป ท่าทางเหมือนจะโกรธเพราะผมไม่ได้คลุกคลีด้วยหลายวันเลย... ถามจริงเหอะว่าพี่ต้นเลี้ยงหมาหรือคนทำไมถึงได้ฉลาดขนาดนี้
ผมเดินมาจนถึงบันไดขั้นสุดท้ายแล้วนั่งยองๆ เพื่อลูบหัวเจ้าหมายักษ์ แต่มันดันรู้ทันเลยลุกสะบัดตูดกระโดดขึ้นไปนอนบนโซฟาแทน ความขี้งอนนี้ท่านได้จากที่ใดมาหรือบับเบิ้ล... มันน่าฟัดแล้วกัดให้จมเขี้ยวจริงๆ ให้ตายสิ
จากที่จะตามไปง้อเจ้ายักษ์แต่เสียงโครกครากในท้องกลับพาขายาวๆ สู่ห้องครัวแทน ในหม้อมีข้าวต้มกุ้ยและบนโต๊ะอาหารมีกับข้าวง่ายๆ อย่างไข่เจียวหมูสับ ผัดผักบุ้ง ยำไข่เค็มวางอยู่ ถึงบ้านมีอันจะกินแต่ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อไฮโซตลอดเวลาหรอก กินง่ายอยู่ง่ายแม่กับป๋าสอนมาแบบนี้แถมมันยังอร่อยมากอีกด้วย
ผมนั่งกินข้าวพร้อมกับสไลด์หน้าจอโทรศัพท์เพื่อดูโซเชี่ยลต่างๆ ไปด้วย ถ้าทำแบบนี้ต่อหน้าพี่ต้นมีหวังโดนด่าจนหูชาแน่ๆ เพราะเขาบอกว่าจะกินก็กินจะเล่นก็เล่นเลือกเอาสักอย่าง ผมนี่ยกให้เขาเป็นป๋าคนที่สองจริงๆ นะ ดุมากอะ แต่ก็ใจดีนั่นล่ะ
ช่วงบ่ายจนถึงช่วงเย็นผมเอาแต่นอนเก็บแรงเพราะต้องเดินทางไปญี่ปุ่นโดยการนั่งเครื่องบินราวๆ ห้าถึงหกชั่วโมง มันทรมานมาก... อย่างตอนที่ผมต้องบินกลับบ้านช่วงเรียนป.โทที่ต่างประเทศนั้นหนักหนาสาหัสจนแทบร้องไห้ เจทแลคไปเป็นวันๆ ก็มี ผมเลยกลายเป็นโรคเกลียดการเดินทางไกลไปโดยปริยาย
เท้าเหยียบพื้นดินประเทศญี่ปุ่นในช่วงเช้าของวันพุธ ป๋ากับแม่บ่นงุ้งงิ้งใส่พี่ต้นเป็นการใหญ่เพราะว่าพวกท่านจะเดินทางกลับไทยวันนี้อยู่แล้ว และนั่นทำให้ผมรู้ความจริงบางอย่างที่ว่า... เขาอยากให้อยู่ผมห่างจากไอ้เด็กนั่นบ้าง ดูสิว่ามันจะยังมั่นคงเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า ก็ยอมรับว่าทำแบบนี้มันสามารถพิสูจน์ใจคนได้เหมือนกัน แต่ว่านี่ลงทุนเกินไปปะวะ! ลากไปเชียงใหม่หรือภูเก็ตก็ได้มั้ง ไม่ใช่ว่าหาข้ออ้างดึงผมไปเที่ยว Universal Studio เป็นเพื่อนหรอกนะ โคตรเด็กน้อยอะ ติดแฮร์รี่พอตเตอร์งอมแงมมาก
"ข้าว"
พี่ต้นเรียกขณะที่ผมนั่งทำหน้าอึนอยู่บนเตียงคู่ในโรงแรม คิ้วเลิกขึ้นเป็นเชิงถามว่ามีอะไร เพราะตั้งแต่รู้ความจริงที่โดนลากข้ามน้ำข้ามทะเลมาที่นี่ผมยังไม่ปริปากพูดกับเขาสักคำ มันเป็นความรู้สึกที่เริ่มชินชากับอาการหวงน้องของเขา แต่ครั้งนี้มันฟังดูไร้เหตุผลไปสักหน่อย แม่กับป๋าก็ดุไปแล้วด้วยว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กที่กำลังจะโดนแย่งของรัก
"โกรธเหรอ"
เขาถามเสียงนิ่งแต่ดวงตาคมเต็มไปด้วยความกังวล ผมแทบไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำเพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กไม่รู้จักโตสักที ต้องมีพี่คอยเลือกคนที่จะเข้ามาให้แบบนี้
"เปล่า รู้สึกตัวไหมว่านับวันพี่จะไร้เหตุผลไปทุกที ไหนบอกว่าจะคอยดูพฤติกรรมแฮงค์อยู่ห่างๆ ไง แล้วทำไมถึงออกตัวขัดขวางแบบนี้ครับ"
ผมพูดทุกอย่างไปตามที่เขาเคยบอกเอาไว้ มันเป็นเวลาไม่นานเท่าไหร่ ไม่อาจลืมได้หรอกว่าตัวเองเคยพูดอะไรเอาไว้บ้าง แต่เหมือนพี่ต้นไม่ได้แคร์เรื่องนั้นสักเท่าไหร่เพราะเขาจ้องมองผมด้วยแววตาแข็งกร้าว มุมปากหยักยกขึ้นเพื่อยิ้มเยาะให้กับอะไรก็ช่างที่ขัดใจ
"หึ... ก็ข้าวเริ่มหวั่นไหวแล้วไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวก็เจ็บกลับมาอีก แรกๆ อะไรมันก็ดีไปหมดนั่นล่ะ"
เสียงพูดเย้ยหยั่นทำให้ผมต้องละสายตาจากฝ่ามือของตัวเองไปมองหน้าเข้าอย่างเอาเรื่อง ตอนแรกก็ว่าจะไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ด้วยความที่เขายึดติดความคิดของตัวเองเป็นใหญ่มันทำให้น่าอึดอัด
"ผมหวั่นไหว ไม่สิ ผมชอบแฮงค์ครับ รู้ว่าพี่ต้นหวังดี แต่ลองคิดถึงตอนตัวเองเลือกคุยเลือกจีบกันย์สิวะ ไม่มีใครเข้าไปขัดขวางพี่เลยนะเว้ย แล้วทำไมผมไม่มีสิทธิ์แบบนั้นบ้าง"
พูดออกไปด้วยความไม่เข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำให้กันมาตลอดนั้นถือว่ามีแต่เรื่องดีๆ การหวงน้องก็ดี แต่เคยบอกไปแล้วว่ามันมากไป แต่ผมโตเกินกว่าจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของพี่ชายแล้ว... เขาควรปล่อยผมให้รู้จักการเลือกคบคนและใช้ชีวิตของตัวเองได้สักที
"ก็เพราะข้าวยังเด็กเกินไป"
และสิ่งที่ผมคิดไว้ตลอดก็เป็นเรื่องจริง พี่ต้นเห็นผมเป็นเด็กตัวน้อยๆ ที่ยังไม่ประสีประสาเรื่องความรักและการใช้ชีวิต ผมก็เหมือนคนทั่วไปที่มีผิดหวังเรื่องความรักบ้างเป็นธรรมดา ไม่มีใครประสบความสำเร็จไปซะทุกครั้งหรอก ไม่อย่างนั้นเขาจะเลิกกับพี่เต้ยทำไมล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน หรือผมกลายเป็นคนไม่เอาไหนไปแล้วจริงๆ เขาถึงไม่ไว้ใจและเลี้ยงดูผมเหมือนไข่ในหินแบบนี้
"พี่ครับ ผมอายุยี่สิบห้าย่างยี่สิบหกแล้วนะ ยังโตไม่พอที่จะตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองอีกเหรอ ดูเป็นคนเหลาะแหละขนาดนั้นเลยสินะ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาจับจ้องคนเป็นพี่ชายอย่างต้องการคำตอบ ไม่ได้อยากหาเรื่องแต่ต้องการคำอธิบายในปัญหาพวกนี้ที่เกิดขึ้น เขาหลบสายตากันแล้วเม้มปากแน่นปล่อยให้ความเงียบคืบคลานเข้ามากั้นกลางระหว่างเราจนเสียงเคาะประตูดังขึ้นผมเลยลุกขึ้นไปเปิด
ต่อด้านล่างน้า