(ต่อ)
ลืมตามาอีกครั้ง... แดดร้อนๆ ก็ผ่อนแสงลงมากแล้ว
ทยากรไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาเท่าไหร่ นาฬิกาข้อมือที่สวมประจำ ชะตากรรมของมันก็เหมือนกับโทรศัพท์มือถือ นั่นคือถูกวางทิ้งไว้ที่บ้าน ดวงตาเรียวรีหรี่ลง ปรับสภาพสร้างความคุ้นเคยกับท้องฟ้า ชายหนุ่มเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ ลูกกลมๆ ดวงใหญ่ใกล้ตกกระทบผิวน้ำอยู่ทนโท่ ตอนนี้เองที่เพิ่งรู้ว่าตนเผลอหลับไป
หนุ่มเมืองกรุงขยับตัวอย่างเชื่องช้า มือขาวยันร่างขึ้นนั่ง
แผ่นหลังกว้าง ดูแข็งแรงราวกำแพงก่อสร้างตั้งตระหง่านอยู่ต่อหน้า แสงแดดสาดส่องบังเกิดเงาทอดลงมาเป็นกำบัง บังเอิญเหลือเกินที่เงานั้นครอบคลุมตัวเขาไว้ทั้งร่าง
เหมือนลูกนกถูกกางปีกป้องกันภัย
เจ้าของปีกนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน...
“นายช่าง” เขาเอื้อมมือไปแตะไหล่หนา
สัมผัสที่มืออุ่นวาบ ความร้อนจากผิวเนื้อส่งผ่านจนรู้สึกได้ ทยากรนึกรู้ทันทีว่าต้นเหตุมาจากอะไร... ไม่รู้ว่านายช่างนั่งหันหลังใส่แดดอย่างนี้มากี่ชั่วโมงแล้ว
จำได้ว่าหลังจากทำใจกับเครื่องยนต์ที่ซ่อมไม่ได้ เขากับเพื่อนร่วมชะตากรรมก็นั่งเงียบกันไป แต่ละคนจมอยู่ในภวังค์ความคิดของใครของมัน นานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ นั่งดูผืนน้ำกี่ชั่วโมงกี่นาทีก็จำไม่ได้ ความเบื่อหน่ายทำให้เขาหลับไป แถมคนข้างกายยังปล่อยให้หลับยาว
“ไม่ตื่นมันซะพรุ่งนี้เลยล่ะ” ประชดได้ประชดดี...
ก็เพราะปากร้ายแบบนี้ไงเล่า ถึงพูดกันดีๆ ไม่เคยได้...
คนตัวหนาราวกำแพงหันกลับมา ดวงตาดุคู่นั้นมองเขาอย่างตำหนิ ร่างกำยำเปลือยท่อนบนขยับตัวออกห่างเขา ไม่อยู่เป็นร่มเงาให้อีกต่อไป... ทยากรถอนใจ ไอ้ที่อุตส่าห์ซาบซึ้งไปเมื่อกี้ เป็นอันโมฆะ
“กี่โมงแล้ว” หนุ่มกรุงเทพฯ ถามเลี่ยง ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง
ขณะที่คนถูกถามเงยหน้ามองฟ้า เสียงดุเอ่ยตอบกลับมา “คงจะห้าโมง”
เลิกงานพอดี...
เลยเวลาข้าวกลางวันมานาน จนจะผ่านไปถึงมื้อเย็น มิน่าเล่าท้องไส้เขาถึงได้ปั่นป่วนนัก ว่าแล้ว...เสียงท้องร้องก็ประจานความคิดคนเป็นนายไม่ไว้หน้า มิหนำซ้ำเพื่อนร่วมชะตากรรมยังหูผี ได้ยินเข้าพอดิบพอดี เรียกริ้วแดงๆ พาดที่แก้มขาวอย่างละอาย
“มึงเป็นเด็กสามขวบหรือไง นอนตื่นแล้วก็หิว” คนพูดส่ายหน้า “ทนหน่อย... เดี๋ยวนายหัวรู้ว่ามึงหายไปคงมาตาม”
อีกฝ่ายมอบคำปลอบใจมาให้อย่างไม่น่าเชื่อ
ไอ้หนุ่มต่างถิ่นมองคนตัวใหญ่ขยับไปคุ้ยหาอะไรบางอย่าง จนกระทั่งขวดพลาสติกขนาดห้าร้อยซีซี ถูกโยนมาให้
“กินซะ” คนตัวโตใช้วิธีออกคำสั่ง เจตนาเอื้ออาทรเด่นชัด หากคนแสดงออกนุ่มนวลไม่เป็นก็ทำได้เท่านี้
ทยากรมองขวดน้ำในมือ ในนั้นมีของเหลวใสแค่หนึ่งในสี่ น้อยนิดเหลือเกินสำหรับผู้ชายสองคน มือขาวเปิดขวดช้าๆ แม้กระหายแทบตาย แต่ชายหนุ่มบังคับตัวเองให้จิบแก้กระหายเพียงอึกเดียว ที่เหลือส่งคืน ‘คนผีเข้า’
“ขอบคุณ” คนแก่กว่ามองมือที่ยืนขวดน้ำกลับมา คิ้วหนาขมวดมุ่นไม่ชอบใจ
“กินไปให้หมดนั่นแหละ”
“กินหมดแล้วนายช่างจะกินอะไร” ไอ้เด็กช่างเถียงยืนกราน ท้องมันหิวข้าว คอมันคงกระหายน้ำ แต่ก็ยังมีแก่ใจห่วงใยคนอื่น “ต่อชีวิตคนละอึกน่า...เดี๋ยวนายช่างขาดน้ำตายบนเรือนี่ ผมไม่อยากทำบาป”
ปากแบบนี้มันน่าตีน้อยเสียเมื่อไหร่... ฟังคำพูดมัน ไททั่นแห่งชาญทะเลก็คิ้วกระตุก หากรู้จักมักจี่ สนิทกันมากกว่านี้ เขาคงเดินไปตบกบาลมันสักที ข้อหาลามปามผู้ใหญ่ น้ำใสๆ กรอกลงคอหมดขวด ไม่มีอารมณ์เผื่อแผ่ใครอื่นอีก
ลูกน้ำเค็มเต็มอณูมองไอ้คนไม่เจียมตนแล้วสังเวชใจ คนกรุงเทพฯ อย่างมัน ตากแดดตากลม ตัวเปียกจนแห้งตามธรรมชาติ เท่านี้ก็เพลียจนเผลอหลับยาวนาน ท้องไส้ที่ไม่ได้รับอาหารก็ทำท่าจะประท้วง... แค่นี้ก็รู้แล้วว่าไม่เคยอดอยาก คนเคยสัมผัสการกินมื้ออดสองมื้อถอนหายใจ เกิดเป็นชาวเล ใครบ้างไม่เคยอด โดยเฉพาะยามออกทะเลไกลๆ แล้วเสบียงดันหมดกะทันหัน
ใครกันแน่ที่น่าจะตายก่อนกัน...
เป็นคำถามที่เด็กอนุบาลมันยังตอบกันได้
“ถ้าไม่มีคนออกมาเจอ เราจะทำยังไง” ไอ้คนถามนั่งกอดเข่า มองเขาเหมือนอยากได้คำตอบเต็มที่
“ว่ายน้ำกลับ”
“เอาจริง?” สีหน้าคนถามดูตื่นๆ ความอ่อนล้าในดวงตาบอกให้รู้ว่ามันคงใกล้ถึงจุดแบ็ตหมด “งั้นนายช่างว่ายไปคนเดียวแล้วกัน ค่อยกลับมารับผมทีหลัง”
พูดไป เสียงของเขาก็ค่อยเบาลงตามลำดับ หนุ่มเมืองกรุงรู้สังขารตัวเองดี ต่อให้ยังมีพลังงานเต็มเปี่ยม การว่ายเข้าฝั่งทั้งที่ออกมาไกลขนาดนี้ ความสำเร็จดูเลือนรางเต็มที่ นับประสาอะไรกับตอนนี้ที่เขาหมดแรงข้าวต้มเสียแล้ว
“ทำไมกูต้องมารับ”
เออ... นั่นสิ!
ทยากรย่นหัวคิ้ว สมองนึกตรึกตรอง สองตามองหน้าอีกฝ่ายราวกับจะหาความจริง คำพูดหยั่งเชิงของนายช่างชวนหวาดหวั่นไม่น้อย เห็นทักษะการว่ายน้ำของเขาแล้ว ชายหนุ่มมองเห็นความเป็นไปได้ที่เขาจะว่ายไปถึงฝั่งฝันอย่างปลอดภัย ปัญหาคือหลังจากนั้นเหตุการณ์จะเป็นอย่างไร
เขาเป็นญาติโกฝ่ายไหนของนายช่างหรือ...ก็ไม่ใช่
จะใช้คำว่าคนคุ้นเคยสนิทสนมกัน... อันนั้นก็ยิ่งห่างไกล... ไม่มีความจำเป็นใดที่ยักษ์ใจร้ายจะต้องหวนกลับมาระลึกถึงภาระตัวโตๆ อย่างเขา
“อ้าว! เฮ้ย ใครวะนั่น มาจอดเรือเท้งเต้งอะไรตรงนี้” เสียงตะโกนของใครบางคนยุติปัญหาทายใจชวนสับสน
เรือหาปลาลำน้อยเคลื่อนคล้อยเข้ามาใกล้ เสียงเครื่องยนต์เบาจนเสียงคลื่นกลบเสียมิด มิน่าเล่าคนติดกลางทะเลจึงไม่ทันได้มองเหนือมองใต้ สุดท้ายเมื่อได้เห็นหน้าเจ้าของเรือลำนั้น คนอยู่ในเรือมาทั้งวันก็แทบจุดประทัดฉลอง
“ลุงอิน!” หนุ่มเมืองกรุงดีใจสุดขีด ทยากรยิ้มกว้าง โบกมือเรียกลุงอินเอาเป็นเอาตาย
“อ้าว ไอ้หนุ่ม...ไอ้เม่นด้วยเหรอนี่” ชายชราทำหน้าพิศวง “พวกเอ็งมาทำอะไรกันวะ”
คนถูกถามทั้งสองมองหน้ากันเหมือนวัดใจ เมื่ออีกฝ่ายยังนิ่งเหมือนโบ้ยให้เขาเป็นคนตอบ ทยากรจึงไม่รอช้า
“เรือเสียครับลุง อยู่อย่างนี้มาหลายชั่วโมงแล้ว”
“เสียแล้วทำไมไม่ซ่อมล่ะวะ” คนมาใหม่ประหลาดใจล้นพ้น มีช่างอยู่ในเรือทั้งคน ดันนั่งลอยกลางทะเลกันเฉยๆ
“คันบังคับหัก...” เสียงเรียบติดจะหน่ายเอ่ยขึ้นเบาๆ คราวนี้ลุงอินเข้าใจในทันที
“ฉิบหาย อะไรจะซวยขนาดนี้” ชายชราส่ายหน้า “พังตรงไหนไม่พัง ดั๊นไปพังตรงนั้น เฮ้อ...เอ้าๆ ไอ้หนุ่ม เอ็งมารับโซ่ไปพ่วงเรือไว้ ลุงจะช่วยลากกลับ”
น้ำใจจากคนเพิ่งรู้จักกัน ทำเอาหนุ่มกรุงเทพฯ ปลาบปลื้ม ทยากรทำตามที่ผู้ใหญ่สั่ง ส่งต่อโซ่เส้นยาวให้นายช่างทำหน้าที่ผูกโยงต่อไป ลุงอินหันไปเร่งเครื่องเรือของตน ขณะที่คนตัวใหญ่ขยับไปประจำการอยู่ตอนท้าย คอยประคองเรือไว้ไม่ให้หลุดทิศทาง
คนว่างงานเพียงคนเดียวหันรีหันขวาง ในที่สุดก็ตัดสินใจข้ามไปนั่งเรือลุงอิน เพื่อไม่ให้เรือถูกลากมีน้ำหนักมากจนลากไม่ไหว ร่างสูงโปร่งหันกลับไปมองคนหน้าดุ หนวดเครารุงรัง เรือนผมยาวนั้นสะบัดตามแรงลม นายช่างยังคงไม่พูดไม่จากับใคร
สิ่งหนึ่งที่ทยากรยังสงสัย...
หากไม่มีเรือมารับ หากต้องว่ายน้ำกลับเข้าฝั่งจริงดังว่า
นายช่างใหญ่จะย้อนกลับมาช่วยเขาไหมหนอ... น่ากลัวคำตอบเสียเหลือเกิน!
“นี่ดีนะที่ลุงผ่านมาทางนี้ ไม่งั้นล่ะเอ็งเอ๊ย! คืนนี้เค้าว่าจะมีมรสุมเสียด้วย”
ชายชราหันหน้ามาเจรจากับคนอยู่ในเรือลำเดียวกัน ไอ้หนุ่มตัวขาวสวมเสื้อยาวหลวมโคร่งดูรุ่มร่าม ใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีแม้จะติดซีดเซียวด้วยเพลียแดด
“ขอบคุณลุงมากเลยครับ รอดตายเพราะลุงอินแท้ๆ” พูดไป มือทั้งสองก็พนมไหว้ตามนิสัยนอบน้อมกับผู้ใหญ่ คนมองจึงเอ็นดูมันมากขึ้น
“เรื่องแค่นี้ไม่ต้องเกรงใจหรอกไอ้หนุ่ม ถึงลุงไม่ผ่านมา ประเดี๋ยวก็ต้องมีคนอื่นผ่านอยู่ดี” ลุงอินส่ายหน้า ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต “เย็นๆ อย่างนี้เรือวิ่งกันให้วุ่นเชียวล่ะเอ็ง ใครๆ ก็อยากกลับบ้านไปกินข้าวกับลูกเมียพร้อมหน้าพร้อมตา”
คงเหมือนเวลาเลิกงานของคนทำงานออฟฟิศ... รถก็ติด คนก็มากมาย หกโมงเย็นในแต่ละวัน คล้ายเป็นการอพยพย้ายถิ่นของคนในกรุงเทพฯ ไม่ว่าที่ไหนก็ล้วนเคลื่อนไหวไปตามถนนได้ยากเย็นเหลือเกิน
“ชาวบ้านที่นี่มีเรือกันทุกบ้านเลยนะครับ”
“คนอยู่กับน้ำ ไม่มีเรือแล้วจะทำอะไรกินล่ะวะ” ชายชราหัวเราะ มือกร้านจับบังคับอย่างมั่นคง ความชำนาญไม่แพ้คนหนุ่มคนไหนเลย “เกิดมาก็เห็นพ่อแม่ ปูย่าตายายทำมาหากินกันอย่างนี้ จะให้เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นก็ไม่มีปัญญา เลยต้องออกทะเลหาปลาสืบทอดต่อๆ กันมา อาชีพตังเกมันจะได้ไม่สูญพันธุ์...”
คนเล่าถ่ายทอดเรื่องราวเหยียดยาวตามประสาคนแก่ เสียงพูดของแกเรียบๆ เรื่อยๆ คล้ายคุยกันเรื่องลมฟ้าอากาศ ทว่าในน้ำเสียงนั้นมีความภูมิใจในอาชีพของตนอยู่เต็มเปี่ยม
“แล้วออกทะเลกันเยอะอย่างนี้ ไม่แย่งปลากันแย่เหรอครับลุง”
“ไอ้หนุ่มเอ๊ย! คนบนเกาะนี้ไม่มีใครเขาแก่งแย่งแข่งขันกันหรอก อยู่กันด้วยน้ำใจแท้ๆ... วันไหนลุงได้ปลามากก็แบ่งๆ เพื่อนบ้าน แบ่งญาติๆ ไป วันไหนถ้าลุงหาไม่ได้ เขาก็มาแบ่งปันทดแทนกันบ้าง อีกอย่าง...มีเพื่อนออกเรือกันไปหลายๆ ลำสิดี มีอะไรฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือกัน อย่างวันนี้ถ้าลุงไม่ผ่านมา พวกเอ็งจะได้เข้าฝั่งกันเรอะ”
คราวนี้ไอ้หนุ่มต่างถิ่น ผู้ไม่เคยสัมผัสชีวิตที่อยู่กันด้วยน้ำใจ เห็นด้วยกับชายชราแทบทุกคำ
กรุงเทพฯ เป็นเมืองแข่งขัน... ในทุกวันคือการดิ้นรน ต่อสู้กับอะไรสักอย่างที่มองไม่เห็น บ้างก็สู้กับเวลาที่เดินเร็วจนหายใจแทบไม่ทัน บ้างก็ต้องแข่งขันกับหน้าที่การงาน เหนื่อยล้ากายใจแทบทุกวัน ไอ้เรื่องที่จะมีเพื่อนบ้านเอาปูเอาปลามาแบ่งปันกันนั้น ตั้งแต่เกิดมา ทยากรไม่เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนั้นมาก่อนเลย
ลูกผู้ดีเมืองกรุงนั่งฟังลุงอินอย่างตั้งใจ มีหลายครั้งที่สายตาเผลอมองเลยไปยังเรือลำหลัง เห็นนายช่างนั่งหน้าบูดเหมือนตูดลิงก็นึกขำ ร่างสูงใหญ่คอยประกบเครื่องยนต์ในเรือตามหน้าที่ พอสบตากันเข้า อีกฝ่ายก็เบือนหน้าหลบ ทำทีไม่สนใจ
น่าหมั่นไส้นักเชียว!
“ลุงอินเก่งนะครับ อายุเท่านี้แล้วยังออกมาหาปลาตั้งไกล สมัยหนุ่มๆ ต้องแข็งแรงมากแน่ๆ”
“แข็งแรงยังไงก็ไม่เท่าไอ้คนนั้นมันร้อก...” ไอ้ ‘คนนั้น’ ของลุงอินถูกลากมาเป็นหัวข้อสนทนา หนุ่มเมืองกรุงเหล่ตามองนายช่าง เห็นยังนั่งเก๊กเป็นรูปปั้นจึงปล่อยให้เขานั่งเหงาลำพังต่อไป “ไอ้เม่นมันแข็งแรง เรี่ยวแรงนี่อย่างกะวัวควาย สมัยตอนมันยังไม่แต่งเมีย มันเคยว่ายน้ำข้ามเกาะได้ด้วยซ้ำ... ไม่รู้มันเป็นคนหรือเป็นปลา ว่ายเข้าไปได้”
“งั้นที่ติดกลางทะเลนี่ นายช่างก็ว่ายกลับได้จริงๆ สิครับ”
“โอ๊ย! ไม่คณามือมันหรอก แค่นี้เทียบกับข้ามเกาะแล้วยังห่างกันไกล”
“แล้วมาทนนั่งรออยู่ทำไมเล่า” ...หนุ่มเมืองกรุงรำพันแผ่ว
เขาคิดว่าตัวเองพูดเบาแล้วเชียวนะ!
ต้องโทษที่เครื่องยนต์เรือของลุงอินเบายิ่งกว่า แกเลยได้ยินเข้าเต็มสองหู
“มันห่วงเอ็งล่ะมั้ง” คนสูงวัยหัวเราะกับหน้าตาไม่ค่อยเชื่อถือของไอ้หนุ่มต่างถิ่น “เกิดมันว่ายกลับไปคนเดียว ระหว่างนั้นมีคลื่นใหญ่ซัดมาทำเรือคว่ำ เอ็งก็กลับบ้านเก่า ไปเฝ้ายมบาลกันพอดี”
คนฟังพูดอะไรไม่ออก คำพูดของลุงอินเหมือนตอกลิ่มเข้ากลางใจ
ระหว่างที่เขาหลับ คนตัวใหญ่มีเวลาถมเถไปที่จะหนีเข้าฝั่ง แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง กลับพบว่านายช่างยังไม่ไปไหน...
ทยากรถอนใจ คนรู้ผิด รู้ชอบ รู้ชั่วดี...ต่อให้มีอคติมาขวางกั้น ไม่ชอบขี้หน้ากันขนาดไหน แต่การกระทำของอีกฝ่ายแสดงเจตนาเด่นชัด
“เห็นมันหน้ายังกะโจรแบบนั้น แต่ใจมันประเสริฐนักล่ะ... เรือเก่าๆ ของลุงที่เอ็งนั่งอยู่นี่ เห็นไหมว่าเสียงเครื่องมันเบาแถมยังวิ่งฉิวได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ฝีมือมันแล้วจะเป็นใคร เสียกี่รอบต่อกี่รอบมันก็คอยมาซ่อมให้ อะลงอะไหล่ก็หามาเองเสร็จสรรพ ไม่เคยคิดสตางก์เลยแม้แต่แดงเดียว”
ก็ดู... เป็นคนดีกว่าที่คิด
“ตราบใดที่เอ็งอยู่กับมัน เอ็งก็จะปลอดภัย นายหัวถึงได้ส่งเอ็งมาเป็นลูกน้องไอ้เม่นไงล่ะ”
คนอ่อนวัยกว่าปฏิเสธไม่ได้แล้วล่ะ...
เจอคำยืนยันเป็นจริงเป็นจังเสียขนาดนี้ ทยากรคงต้องจำไว้ให้ดี วันนี้เขาติดหนี้บุญคุณนายช่างใหญ่แห่งชาญทะเลอีกครั้งแล้ว
หนุ่มเมืองกรุงหันไปมองคนตกเป็นเป้านินทา ใบหน้ารกครึ้มหันหน้ามองรอบกายอย่างผิดวิสัย คนอ่อนวัยที่สุดมองตามท่าทางของนายช่างใหญ่ คิ้วดกดำขมวดมุ่นเหมือนมีบางอย่างให้ครุ่นคิด คนตัวโตเงยหน้ามองฟ้า จากนั้นจึงมองผืนน้ำ ดวงตาดุดันอยู่ในกิริยานั้นเสียนาน...
นาน...จนทยากรเผลอขมวดคิ้วตามเขาไป
“ลุงอิน เร่งเครื่องเร็วหน่อย” เสียงตะโกนดังมาจากเรือถูกลาก ลุงอินหันไปถามเจ้าของเสียง หน้าตางุนงง
“อะไรวะไอ้เม่น”
“เรือใหญ่กำลังเข้าฝั่ง”
แม้ไม่เห็นเรือสักลำ แต่คนมองแค่ผิวน้ำก็ดูจะเดาสถานการณ์ได้
“เวรล่ะ! เข้าเอาป่านนี้ เดี๋ยวก็ได้โกลาหลกันทั้งท่า”
ชายชราส่ายหัว ความที่เป็นคนเก่าคนแก่ อยู่กับชาญทะเลมานานพอกัน ลูกน้ำเค็มสองคนนั้นจึงมีดวงตาหนักใจโดยมิได้นัดหมาย หนุ่มกรุงเทพฯ มองลุงอินเร่งความเร็วเรือขึ้นเป็นสองเท่า ดวงตาของเขาเป็นประกายวาววับ คนไม่เคยเห็นภาพเรือขนปลาเต็มลำเข้าเทียบฝั่ง ยังนึกไม่ออกว่าทั้งลุงอินและนายช่างกังวลกันเรื่องอะไร
ผิดกับเขา นอกจากจะไม่รู้สึกอะไร ยังตื่นเต้นเสียยกใหญ่อีกต่างหาก
ทยากรอยากเห็นภาพ ‘เรือใหญ่’ ที่ว่านั่นจะแย่แล้ว
------
TBC
กำลังใจดี มีแรงอัพ 55555 ขอบคุณทุกคอมเม้นต์จ้า <3
