(ต่อ)
บริเวณที่คนตัวใหญ่เดินนำมาคือ ‘สุสานเรือเสีย’ ชาวบ้านบนเกาะเรียกกันติดปากอย่างนี้ เนื่องจากเป็นแหล่งรวมซากเรือปลดระวาง รวมถึงเรือที่เกิดอุบัติเหตุจนใช้การไม่ได้
ชาญทะเลมีเรือในครอบครองมากมาย แต่ละวันจึงมีเรือน้อยใหญ่ถูกลากมาไว้ที่นี่ จุดประสงค์ก็เพื่อรอการกู้ซาก บูรณะซ่อมแซมเสียใหม่ หน้าที่ทั้งหมดถูกวางเทินไว้บนบ่าของนายช่าง ยังไม่นับเรือของชาวบ้านที่นำมาจอดแช่ท่ารอชายหนุ่มปรับสภาพให้เช่นกัน
เป็นนายช่างที่งานล้นมือเสียเหลือเกิน
ไททั่นหน้าโหดเดินดุ่มๆ ผ่านเรือลำแล้วลำเล่า เขาลงไปยืนบนแพริมน้ำขนาดเล็กสร้างจากลำไม้ไผ่ มีไว้เพื่อสะดวกในการเดินหาเรือ ไม่ต้องเสียเวลาลุยน้ำให้เปียกปอน ทยากรเดินตามนายช่างมาห่างๆ มองทางซ้ายเห็น ‘ลูกรัก’ ของนายชาญหัวจอดแน่นิ่งเทียบฝั่ง ท้ายเรือยังพังเป็นรูโหว่น่าอนาถใจ หนุ่มเมืองกรุงเพิ่งนึกได้ ลำนี้เองที่ระเบิดตูมตามไปเมื่อวันก่อน
ตูม!
มัวแต่มองเรือไม่ได้มองคน...
รู้ตัวอีกทีหูก็ได้ยินเสียงน้ำแตกกระจาย ทยากรตกใจรีบสาวเท้าเข้าไปดู เขาพบเพียงเสื้อเปื่อยๆ ตัวใหญ่ถูกวางพาดไว้บนเรือสีฟ้า
“นายช่าง” หนุ่มกรุงเทพฯ ขมวดคิ้ว สอดส่ายสายตามองหา เห็นเงาหัวคนลางๆ ใต้น้ำใส ร่างสูงใหญ่ดำดิ่งลงลึก ขยับเขยื้อนเคลื่อนกายกวนตะกอนน้ำให้ขุ่นคลั่ก คนบนฝั่งไม่อาจเก็บรายละเอียดอื่นได้อีก
คนเป็นลูกน้องเขาไม่เข้าใจเลยสักนิด อยู่ๆ ก็โดดตูมลงไป ไม่พูดไม่จา ไม่มีที่มาที่ไปของการกระทำ ทยากรมืดแปดด้าน ตาเรียวใสจ้องเขม็งไปยังผืนน้ำ เฝ้ารอจนแล้วจนเล่า เขาก็ยังไม่โผล่ขึ้นมา...
หรือจะจมน้ำ!
นานเกินนาทีแล้ว ข้อสันนิษฐานในหัวเริ่มน่ากลัวมากขึ้นทุกขณะ คนตัวขาวกระสับกระส่าย หันซ้ายหันขวาไม่มีหมาที่ไหนโผล่มาสักคน จนในที่สุดก็ทนรอไม่ไหว หนุ่มกรุงเทพฯ กระโดดน้ำดังตูม ว่ายตามลงไป อารามร้อนใจ...เขาไม่เสียเวลาแม้แต่จะถอดเสื้อออกจากตัว
“นายช่าง!” ชายหนุ่มตะโกนหา “...อยู่ไหนวะ”
เมื่อไม่เจอจึงหงุดหงิดเต็มอัตรา สูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่แล้วดำน้ำลงไปอีกครั้ง
มือหยาบใหญ่ควานคว้าเข้าที่ต้นคอ มืออีกข้างตามมาดึงแขนทยากรไว้แน่นหนา เพราะอยู่ใต้น้ำ...มองเห็นเงาคนเลือนราง ต่างฝ่ายจึงต่างเข้าใจไปว่าคนมาด้วยกันกำลังจะจม
“ลงมาทำไม!” เสียงใหญ่ติดจะดุเอ่ยถาม
เมื่อหัวพ้นน้ำทั้งคู่ จึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไร...
คนกระโดดน้ำลงไปก่อนหันมองตาเขียว ร่างกายเปลือยท่อนบนโผล่พ้นเหนือน้ำ ความกำยำอวดโฉมเต็มตา กล้ามเนื้อหน้าอกจรดหน้าท้องเรียงตัวเป็นสัน แข็งแกร่งเหมือนนักรบโบราณในนิทานของชาวโรมัน
“นึกว่าจมน้ำตายไปแล้ว!” คนห่วงใยผิดเวลาหัวเสียนัก เขาทั้งกังวลหนัก ร้อนใจนึกว่าจะมีใครมาตายต่อหน้า ทว่าเหตุการณ์คล้ายเป็นการโอละพ่อล้อกันเล่น นายช่างเม่นไม่ได้จมน้ำ ยิ่งไม่ใกล้เคียงจะฆ่าตัวตาย เขาแค่หายใจในน้ำได้นานกว่าคนธรรมดา
ว่ายน้ำเก่งขนาดนี้ยังมีหน้าจะโดดทะเลตาย...
หนุ่มกรุงเทพฯ เข่นเขี้ยวในใจ
“กลัวกูตาย?”
“ก็เออน่ะสิ!” คนยังโมโหสะบัดเสียงใส่ “ขี้เกียจไปสถานีตำรวจ”
อยู่กับคนตายเป็นคนสุดท้าย ยังไงเสียก็ต้องถูกเชิญไปให้ปากคำ “ทีหลังอยากตายก็ไปตายที่อื่น ไม่ใช่ต่อหน้าผม”
ทยากรถีบตัวขึ้นฝั่ง ปีนขึ้นไปนั่งบนซากเรือลูกรักของพ่อ ไม่สนแล้วว่าอีกฝ่ายจะแช่น้ำให้ตัวเปื่อยต่อไปหรือจะไปตายที่ไหนก็ช่าง ข้าวเย็นวันนี้...ชายหนุ่มตั้งใจจะกินปลาให้เต็มกระเพาะ เผื่อเขาจะฉลาด มองเหตุการณ์ได้ขาดกว่านี้ อันที่จริง...เขาน่าจะเอะใจตั้งเห็นเสื้อเปื่อยๆ นั่นแล้ว
คนตั้งใจจะจมน้ำตายที่ไหนเขาถอดเสื้อไว้เป็นอนุสรณ์กันบ้าง
ดวงตาคมเหลือบมองใบหน้าบึ้งตึงบอกบุญไม่รับ ดวงหน้าขาวจัดตัดกับผมสีดำเปียกลู่แนบแก้ม ปลายจมูกรั้นแดงเรื่อ คะเนว่าเจ้าตัวคงสำลักน้ำ เสื้อตัวบางที่มันสวมใส่แนบไปกับร่าง เอวบาง หน้าท้องเรียบตึง กล้ามเนื้อหน้าอก...เห็นหมดทุกสัดส่วน
“กูแค่จะงมซากเครื่องเรือ” คนเผลอไผลอุทิศสายตามองในสิ่งไม่ถูกไม่ควรตอบสั้นๆ
นายช่างยังไม่ขึ้นจากน้ำ ตัวโตเหมือนยักษ์ปักหลั่นลอยตัวด้วยความเชี่ยวชาญ
อยู่ในน้ำ...พ่ายแพ้ให้แค่ปลา
เป็นลูกน้ำเค็มมาทั้งชีวิต ไม่มีเสียล่ะที่จะจมก้นทะเลกันง่ายๆ
“ซาก? อะไรนะ” หนุ่มเมืองกรุงย่นคิ้ว มองคนโตกว่าด้วยดวงตาไม่เข้าใจ
“ไอ้ที่ระเบิดเมื่อวันก่อน ชิ้นส่วนมันหาย คงกระเด็นลงน้ำ” นายช่างตอบคำถาม “เครื่องนอก...แพงชิบหาย เสียดาย...” ประโยคหลังคล้ายบ่นกับตัวเองเสียมากกว่า...
ว่าแล้วคนพูดก็ผลุบหายไปไวเหมือนภูตพราย
ทยากรมองเจ้าของร่างใหญ่ดำน้ำลงไปอีกครั้ง คนบนฝั่งทำตัวเป็นนาฬิกาจับเวลา แล้วก็พบว่าเขาอยู่ในน้ำได้นานเกือบสามนาที คนปกติต่อให้พยายามแค่ไหน กระบวนการทางร่างกายจะบังคับให้ทนไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่นี่นายช่างโผล่ขึ้นมาแล้วยังเดินหน้าดำน้ำลงไปอีก อาการเหน็ดเหนื่อยสักนิดก็ไม่มี
“รับ!” คนออกคำสั่งโยนอะไรบางอย่างขึ้นมาให้
หนุ่มกรุงเทพฯ ตกใจ สองมือลนลานรับวัตถุขนาดฝ่ามือ รูปร่างคล้ายท่อน้ำ ทยากรเดาว่ามันคงเป็นอะไหล่ในเครื่องยนต์ส่วนใดส่วนหนึ่ง
คนว่ายน้ำเก่งยังกับปลายกตัวขึ้นมาในเรืออีกลำ เรือนั้นลักษณะคล้ายกับเรือหางยาว อยู่ถัดออกไปจากลำที่ทยากรนั่งอยู่เพียงสามเมตร ใบหน้ารกครึ้มหันมามองของในมือเขา เพียงเท่านั้นคนเปียกโชกเป็นลูกหมาตกน้ำก็พอเดาได้ว่า นายช่างต้องการอะไร
ร่างเล็กกว่าลุกขึ้น ลำบากไม่น้อยกับการทรงตัวบนเรือโคลงไปเคลงมา สองขาค่อยๆ ปีนข้ามเรือที่ขวางหน้า จนกระทั่งโดดลงมาอยู่ในเรือลำเดียวกันได้
“อันนี้มันเป็นของลำนู้นไม่ใช่เหรอ” เขาถามขณะส่งของในมือให้นายช่าง บุ้ยหน้าไปทางลูกรักของนายหัวชาญ เรือสีฟ้าสภาพยับเยิน ดูไม่น่าซ่อมได้เสียด้วยซ้ำ
“ลองเครื่อง...” อธิบายทิ้งไว้สองคำ ปล่อยหน้าที่ให้เด็กหนุ่มครุ่นคิดต่อไป
ความหมายของการ ‘ลองเครื่อง’ นั้น คนเป็นนายช่างตั้งใจจะเช็คสภาพอะไหล่ที่งมมาว่าจะสามารถทำงานได้ดีดังเดิมหรือไม่ ของมันแช่อยู่ในน้ำเป็นวันๆ จะเสื่อมจะสลาย...เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ไอ้เด็กขี้สงสัยจะเข้าใจความนัยนั้นหรือเปล่า เขาไม่สนใจ
ถ้ามันฉลาดหน่อยก็โชคดีไป...
หากไม่เข้าใจ... ก็เรื่องของมึง...
ร่างสูงใหญ่ถืออะไหล่เดินมาที่หน้าเครื่องยนต์เรือ มือขวาคว้าประแจไขๆ งัดๆ ตามความชำนาญของคนเป็นช่าง ทยากรมองการกระทำคล่องแคล่วนั้นอย่างสนใจ บัณฑิตวิศวะฯ ชะโงกหน้าเข้าไปดูใกล้ๆ จนคนตั้งใจทำงานหันมามองอย่างรำคาญ เขาถึงย่นคอกลับ ขยับมายืนห่างอีกหน่อย
“นายช่างจะซ่อมเรือลูกรักของนายหัวเหรอ”
“เออ” เสียงตอบรับทั้งห้วนทั้งสั้น...
“นายหัวบอกให้ซ่อมเหรอ”
“เปล่า...”
“ซ่อมได้เหรอ พังขนาดนั้นแล้ว”
“ได้” ...ถามหนึ่งประโยคตอบมาหนึ่งคำอย่างแท้จริง
คนตัวขาวถอนหายใจเซ็งหนัก
ก็ชื่นชมอยู่หรอกที่ทุ่มเทให้กับงาน แต่ไอ้หน้าตาไม่น่าเข้าใกล้ แถมนิสัยยังไม่รับแขกอย่างนั้น ต่อให้เขามนุษย์สัมพันธ์ดีแค่ไหนก็ไร้ความหมาย ทยากรไม่รู้เลยว่านอกจากหมัดเดียวในครั้งแรกที่เจอกัน เขาเผลอทำอะไรให้นางช่างไม่พอใจ ทั้งที่พยายามผูกมิตรกับอีกฝ่ายด้วยเห็นว่า ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องผูกติดกันไปอย่างนี้อีกนาน ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเย็นชาเท่านั้น
คนอ่อนวัยกว่าทำหน้าจ๋อยสนิท ขยับตัวออกมานั่งรอห่างๆ ไม่อยากสร้างความรำคาญให้ใคร
คนเป็นผู้ใหญ่เหลือบมองไอ้เด็กช่างซัก ยอมรับว่ายัง ‘ไม่ชิน’ กับการมีมันมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เขาทำงานคนเดียวมาตลอด ไม่เคยมีใครมาเดินตามต้อยๆ เหมือนหมาตามเจ้าของอย่างนี้ สมาธิที่เคยมีให้กับงานเต็มเปี่ยม ถูกแบ่งออกไปสนใจมันเสียเกินครึ่ง
นายช่างใหญ่ประหลาดใจกับตัวเองไม่น้อย เมื่อสองมือคอยหยิบจับทำงานตามหน้าที่ แต่สองตาของเขานี่สิ...คอยสังเกตมันจนทันได้เห็นอาการ ‘ปากสั่น’ เพียงแค่นั้นก็ทำให้คนบ้างานยอมวางประแจลงได้
ลมทะเลโบกสะบัดรุนแรง แม้ตอนนี้จะมีแสงแดดส่องรำไร แต่ก็คงช่วยอะไรคนใส่เสื้อผ้าเปียกไม่ได้ เด็กกรุงเทพฯ กอดอกไว้ป้องภัยแรงลม กระโดดลงน้ำทั้งที่ไม่มีชุดเปลี่ยน เป็นการกระทำที่โง่สิ้นดี...ทยากรนึกประณามตัวเองอยู่ในใจ
ทันใดนั้น ‘เสื้อแห้ง’ ตัวหนึ่งก็ถูกโยนมาให้...
เสื้อตัวใหญ่ที่เขาแอบวิจารณ์ว่ามัน ‘เปื่อย’ หล่นปุลงมาพาดหัวเขาพอดิบพอดี ยังไม่ทันจะมีสติคิดอะไรทัน เสียงดุดันก็ร้องสั่ง “เปลี่ยนเสื้อซะ”
คนถูกสั่งงงหนัก หยิบเสื้อมาถือไว้ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมัน นายช่างยังสาละวนอยู่กับเครื่องยนต์ตรงหน้า จำได้ว่าคนตัวใหญ่ถอดเสื้อตัวนี้ทิ้งไว้ในเรืออีกลำ แล้วเดินไปเอามาตอนไหน
“ไม่เป็นไร เอาคืนไป” ทยากรปฏิเสธ เขาทำท่าจะโยนเสื้อกลับไป แต่พอนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรโยนของให้ผู้ใหญ่ จึงเดินเข้าไปส่งให้แทน
“บอกให้ใส่ก็ใส่ไป อย่าให้พูดซ้ำ”
“แล้วนายช่างจะใส่อะไร” หนุ่มเมืองกรุงทำหน้าเกรงใจ หากอีกฝ่ายมองมันเป็นความหัวรั้น
“กูไม่หนาว”
ก็คงจะหนาวเป็นอยู่หรอก ผิวหนังดูทนแดดทนลมซะขนาดนั้น...
“งั้นก็วางไว้ตรงนี้แล้วกัน” พูดจบคนอ่อนวัยกว่าก็วางเสื้อไว้ใกล้ตัวนายช่าง
ใบหน้าใต้หนวดเคราบึ้งตึง ไม่สบอารมณ์กับการไม่เจียมกะลาหัวของมัน เปียกทั้งตัว หนาวจนปากสั่น ยังมาทำหยิ่งปฏิเสธความหวังดี
“ทำไม! เสื้อกูมันเก่าไป ระคายผิวคนกรุงเทพฯ อย่างมึงหรือไงถึงใส่ไม่ได้”
...หากเปลี่ยนเป็นเสื้อนายหัวชาญ มันคงยิ้มหน้าบาน รีบรับไปสวมหัวแทบไม่ทัน
ทยากรมองคนอารมณ์ขึ้นง่าย ใจหนึ่งอยากจะ ‘ขึ้น’ ตามไปเหมือนกัน แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อกี้...ผู้ชายคนนี้เพิ่งช่วยเขาจากการโดนชกมาหมาดๆ หาเรื่องทะเลาะเอาตอนนี้ คงโดนข้อหาอกตัญญูแน่แท้
“ใส่ก็ได้...” คนพูดคว้าเสื้อไปจากมือนายช่าง “แค่นี้ก็ต้องหงุดหงิดด้วย”
หนุ่มเมืองกรุงบ่นอุบเพียงลำพัง ไม่ทันคิดว่าอยู่ใกล้กันแค่นี้ อีกฝ่ายต้องได้ยิน
เจ้าของเสื้อมองมันขยับตัวไปมุมหนึ่ง สองมือเริ่มดึงชายเสื้อที่ตัวเองใส่ เพราะเป็นผู้ชาย...การถอดเสื้อทำได้ง่าย ไม่กระดากใจมากมายแม้เป็นที่สาธารณะ ไอ้คนช่างเถียงดึงเสื้อเปียกออกทางศีรษะ ดูภายนอกก็คิดว่าตัวมันผุดผ่องกว่าคนแถวนี้มากแล้ว หากผิวเนื้อในร่มผ้ากระจ่างตายิ่งกว่านั้น...
ผิวพรรณคนกรุงเทพฯ ละเอียด เรียบเนียนไปทั้งร่าง อกเอวหน้าท้องไร้รอยตำหนิ ขาวหมดจดไปทุกส่วน นายช่างใหญ่ลอบมองความสมบูรณ์ของร่างกายนั้น คราวนี้ไม่มีแม้แต่เสื้อเปียกๆ ขวางกั้น... ยอดอกสีอ่อนชูชัน ชวนสัมผัสเสียเหลือเกิน...
เหี้-ย!
สายตาซอกซอนถูกถอนแทบไม่ทัน ร่างสูงใหญ่ตกใจกับความคิดตัวเองนัก เขาเบนหน้าหนีจาก ‘คน’ หันมาสนใจงานที่ทำ เครื่องยนต์สารพัดชนิดวางอยู่ตรงหน้า หากความน่ามองไม่ได้เสี้ยวของภาพที่สะท้อนในดวงตาเมื่อครู่นี้เลย
คนมีภาพติดตาสะบัดหน้า ขับไล่อารมณ์ชั่ววูบออกจากหัว เมื่อหันไปมองไอ้ตัวปัญหาอีกครั้ง เสื้อเขาก็ประดับอยู่บนร่างมันเรียบร้อยแล้ว
ครืน...
เสียงเครื่องยนต์เรือเริ่มทำงาน การลองเครื่องของนายช่างดูจะสำเร็จเสร็จสิ้นโดยง่าย มือใหญ่บังคับทิศทาง ไม่นานเรือก็เริ่มเคลื่อนที่ มุ่งหน้าสู่ทะเลกว้าง
“นายช่าง! ไปไหน” ทยากรหน้าตาตื่น เขารีบนั่งลงด้วยกลัวว่าจะหล่นน้ำเปียกรอบสอง
“ลองเครื่อง”
คำตอบมาแบบเดิม... ไม่ได้เสริมสร้างความเข้าใจให้คนถามเท่าไหร่เลย...
หนุ่มเมืองกรุงเงยหน้ามองรอบกาย ซ้ายก็น้ำ ขวาก็น้ำ มองไปทางไหนไม่เห็นฝั่งเลยสักทาง... คนไม่เคยออกทะเลมาก่อนในชีวิตตื่นเต้นถึงขีดสุด ก่อนหน้าจะมาทำงานท่าเรือ พ่อห้ามเขาออกทะเลมากับเรือโดยเด็ดขาด ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่วัน นายช่างก็พาแหกข้อห้ามของนายหัวชาญไปแล้ว
“เราจะไปไหน ไปไกลไหม” ชายหนุ่มตะโกนถาม เสียงเครื่องยนต์ดังลั่น เวลาพูดกันจึงจำเป็นต้องเพิ่มเสียง
คนถูกถามไม่ยอมตอบ ดวงตาดุดันจ้องมองสีหน้าเหมือนเด็กได้ไปสวนสนุกแล้วลอบยิ้ม เสียดายก็แต่รอยยิ้มบางถูกบดบังด้วยหนวดเครารุงรัง อีกฝ่ายจะมองเห็นมันก็หาไม่
“อย่าชะโงกลงไป” เขาอดไม่ได้ ต้องหลุดปากเอ็ดมัน “...เดี๋ยวมึงก็หัวทิ่มตกเรือตาย”
“ไม่ตกๆ”
ยังมีหน้าหันมายิ้มใส่เขาแล้วเถียง
คนบังคับเรือมองมันชะโงกหน้า เอามือแตะน้ำเล่น เริงร่าเสียยิ่งกว่าปลากระดี่ได้ลงน้ำ ลืมไปแล้วว่าเรือลำนี้เป็นเรือรอซ่อมจึงไม่มีหลังคา ทั้งคนพามาและลูกเรือต้องตากแดดกันเต็มที่ โชคดีที่เขาให้มันสวมเสื้อไว้ เสียดายผิวขาวๆ หากต้องโดดแดดเผาจนตัวเกรียม
พูดถึงผิวขาวๆ...
นายช่างใหญ่ปรับระดับเครื่องยนต์ให้ช้าลงเมื่อออกมาไกลพอสมควร สายตาของเขามองไอ้หนุ่มกรุงเทพฯ เสพสุขกับความงดงามของธรรมชาติ มันมัวแต่ชื่นชมกับน้ำใสๆ ไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อที่ใส่ไหล่หล่นลงมาถึงช่วงแขน
เสื้อเขาตัวใหญ่... ไม่พอดีกับร่างกายมันอย่างชัดเจน...
เจ้าของเสื้อมองคนเหมือนขโมยเสื้อพ่อมาใส่แล้วส่ายหัว ไม่รู้ว่ามันตัวเล็กเกินไป หรือเขามันตัวใหญ่เกินคนกันแน่ คนเป็นนายช่างลอบมองหัวไหล่ขาวๆ มีกล้ามเนื้อสมตัว ผิวเนื้อด้านในวับๆ แวมๆ ให้เห็นตามความซุกซนของเจ้าตัว มองรอยยิ้มและดวงตาแวววามสดใส เขานึกชอบใจรอยยิ้มของมันตอนนี้ เป็นยิ้มแบบเดียวกับที่มีให้พี่ชาญ...
ราวกับสวิตซ์ในหัวถูกตัดฉับ
เครื่องยนต์เรือดับวูบ...
คนกำลังเพลิดเพลินกับการเล่นน้ำหยุดชะงัก หันมามองหน้าคนพามาอย่างงุนงง สีหน้าของนายช่างกลับมาบึ้งตึงโดยไม่ทราบเหตุผล คนตัวขาวปรับอารมณ์ตามเขาไม่ทัน
“นายช่าง เรือดับเหรอ” ทยากรถาม เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่ยอมตอบจึงเรียกซ้ำ “นายช่าง...”
“เออ! มันเสีย!” พูดจบก็ลุกพรวดพราดอย่างไม่กลัวตกเรือ คนตัวใหญ่เดินผ่านเขาไปแล้วล้มตัวนอนลงอีกฟากของเรือ
“เสียแล้วไม่ซ่อมล่ะ แล้วเราจะกลับยังไง”
“อยากกลับมึงก็หาวิธีซ่อมเอาเอง” คนเอาแน่เอานอนไม่ได้ปิดเปลือกตา คล้ายส่งสัญญาณว่าไม่อยากเสวนากับใครอีก
ทยากรหน้าเสีย หนุ่มเมืองกรุงหันรีหันขวาง ลองเอื้อมมือไปเขย่าขาคนพามาอีกครั้ง
“นายช่าง...” กระนั้นความหวังของเขาก็ไม่บังเกิด
นายช่างใหญ่นอนกลางทะเลได้ไม่สะทกสะท้าน จะกลางหาดทรายหรือกลางทะเลล้วนเป็นเหมือนบ้าน คนเห็นน้ำกับฟ้าตั้งแต่ลืมตาดูโลกไม่เคยกลัวท้องทะเล หากคนโตมากับสังคมคนละอย่างไม่คิดแบบนั้น
ขวาก็น้ำ ซ้ายก็น้ำ...
ความตื่นเต้นระเหยไปกลายเป็นกังวล เมื่อครู่ทยากรรู้สึกสนุก เหตุเพราะคนพามาคือผู้ชายที่พึ่งพิงได้ในเวลาคับขัน แต่เวลานี้เขาดันตัดช่องน้อยแต่พอตน หาหนทางปลีกวิเวกไปเสียแล้ว คนใจเสียเงยหน้ามองฟ้า ภาวนาขออย่าให้มีพายุ เขาว่ายน้ำไม่เก่งเท่านายช่าง กลางทะเลอย่างนี้ไม่มีปัญญาว่ายไปถึงฝั่งได้แน่
“ซ่อมเองก็ได้วะ!” ให้มันรู้กันไปสิว่าจะยากสักแค่ไหน...
คนตัดสินใจเด็ดเดี่ยวก้าวเท้ากระย่องกระแย่งไปที่เครื่องยนต์ เรือโคลงเคลงตามแรงเดิน แค่นี้ก็หวิดหวิดจะตกเรืออยู่รอมร่อ
ไททั่นตัวใหญ่ที่แกล้งหลับลอบหรี่ตามองมัน ใคร่รู้เหมือนกันว่ามันจะทำอีท่าไหน ไอ้ตัวยุ่งยากหยิบประแจคู่ใจเขามาถือไว้ หน้าตาเอาจริงเอาจังกับสองมือที่ลูบๆ คลำๆ เครื่องเรือ...ไม่น่าเชื่อว่าภาพนั้นจะทำให้เขาสงบใจลงได้
เพียงอยู่กับมัน อารมณ์เขาเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงราวลูกตุ้มนาฬิกา...
ทั้งสงบ สดใส มีชีวิตชีวา แต่อีกประเดี๋ยวก็หงุดหงิดงุ่นง่าน ขวางหูขวางตา โดยเฉพาะยามที่ระลึกได้ว่านายหัวชาญเป็นอะไรกับมัน
“ติดสิ...” ไอ้เด็กโง่หาวิธีสตาร์ทเครื่องอยู่นาน กว่าจะเจอคันบังคับใช้เวลาไปหลายนาที มือขาวงัดแงะนู่นนี่ ท่าทางการใช้ประแจเหมือนจะดี ทว่ามันก็ยังไม่มีปัญญาทำให้เครื่องติดได้
เรือที่เขาซ่อมมากับมือน่ะหรือจะเสียกลางทาง...
ไอ้ที่ดับไปคงเพราะมือเกิดพลาดทำสายอะไรหลุดไปสักอย่าง นายช่างใหญ่สอดมือเข้าท้ายทอย หนุนมือแทนหมอน สองตาจับจ้องที่มัน
หน้าขาวแดงเรื่อ เหงื่อชื้นจากขมับจรดปลายคาง
โชคดีของมันแท้ๆ ที่เมื่อครู่เขาโผล่เข้าไปกลางสนามรบได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นใบหน้าชวนมองนั่นคงมีอันยับเยินก็คราวนี้
ที่ชาญทะเล หากไม่มีนายหัว ไม่มีใครจะช่วยมันได้...
ไอ้ดำถือเป็นคนงานสำคัญ มันเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคุมลูกน้องอีกทอด พรรคพวกมันจึงมีมากมาย ไปมีเรื่องกับหัวโจกอย่างนั้น มันไม่จบแค่ชกกันปากแตกแล้วลากกันไปโรงพัก ตำรวจโทรให้พ่อแม่มาเสียค่าปรับ แล้วเรื่องก็จบกันอย่างที่เด็กเมืองกรุงเคยชินมา
ชีวิตตังเกที่นี่ ถ้าตีกันมันเอาจนถึงตาย!
คนไม่เคยชอบยุ่งเรื่องของใครจึงเสนอหน้าเข้าไปช่วยมันไว้ ทั้งที่ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขาเลย
เคร้ง!
เสียงคันบังคับหักกระเด็น คนแกล้งนอนเป็นนอนตายลุกพรวดขึ้นทันที นายช่างใหญ่เบิกตากว้าง ร่างสูงรีบข้ามฝั่งมาหน้าเครื่องยนต์ ขณะที่ไอ้คนทำมองหน้าเขาอย่างตื่นตระหนก
มือหยาบพยายามสตาร์ทเรือสามสี่ครั้ง ผลปรากฏว่าทุกครั้ง เสียงที่ดังมาให้ได้ยินมีเพียงเสียงคลื่นเท่านั้น อนิจจา...เหตุการณ์ไม่น่าไว้ใจเสียแล้ว
นายช่างใหญ่หันมองคนก่อเรื่อง มันทำหน้าเจื่อน หันมายิ้มแหยๆ ให้เขาราวขออโหสิกรรม
คราวนี้ล่ะมึง... ได้เคว้งคว้างกลางทะเลของแท้...
...
เรือทำท่าจะ ‘เสีย’ จริงจังแน่แล้ว!
---------------------------
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์เลยค่า ชื่นใจ

ติดขัดหรือไม่ชอบใจตรงไหนบอกได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ
คนเขียนจะได้เอาไว้ปรับตอนหน้าๆ
