วันที่สองของการเป็นเด็กคัดปลา...ทยากรยังคงประดักประเดิดเหมือนวันแรกที่มาไม่มีผิด เขายืนคว้างอยู่กลางท่าเรือ มองดูผู้หญิงหลายคนเดินสวนทางไป พวกเธอสวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด ปกปิดผิวกายจากแสงแดดจ้า วันนี้ท้องฟ้าโปร่งใส ก้อนเมฆกระจายตัวกัน เปิดทางให้ดวงอาทิตย์แสดงอิทธิฤทธิ์ได้เต็มที่ นี่ขนาดแปดโมงกว่าๆ ยังไม่ทันเก้าโมงดี หนุ่มเมืองกรุงยังรู้สึกได้ว่ามันต้องร้อนมากกว่าเมื่อวาน
“ทะเลเอ๊ย! มานี่มา...มาอยู่ในที่ร่มๆ หน่อยพ่อคุณ ตากแดดตัวแดงหมดแล้ว”
‘น้าพิม’ ผู้หญิงวัยกลางคนกวักมือเรียกอยู่ไกลๆ เธอนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นเตยทะเล...ต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายริมชายหาด ทยากรเดินเข้าไปหา ชายหนุ่มนั่งลงตรงหน้าน้าพิมและกลุ่มเพื่อนของเธออีกสองสามคน เมื่อวานเขาก็ได้คนเหล่านี้ที่ช่วยชี้ช่วยสอนงาน หนุ่มกรุงเทพฯ จึงกล้าพูดกล้าคุยกับคนอื่นมากขึ้น
“วันนี้ไม่คัดปลากันเหรอครับน้า ท่าเรือดูเงียบๆ”
ตั้งแต่ออกจากบ้านพร้อมพ่อและถูกปล่อยเกาะอยู่ที่เก่า เขาก็ยังไม่ได้หยิบจับงานอะไรสักอย่าง ท่าเรือวันนี้มีคนงานบางตา ผิดกับเมื่อวานที่ตั้งวงแยกกุ้งคัดปลากันคึกคัก
“ไม่มีงานน่ะสิวะ” น้าพิมตอบ ในมือถือหมวกสานเก่าๆ โบกลมพัดตัวเองไปพลาง “เรือใหญ่ไม่เข้า ของสดก็ไม่มี พวกข้าก็เลยว่างแบบนี้ไง”
คำตอบที่ได้ทำเอาชายหนุ่มนิ่วหน้า
ว่างงานก็เท่ากับเงินในกระเป๋าว่างเปล่า...เหตุการณ์แบบนี้คงมีคนเดือดร้อนแน่
“เป็นแบบนี้บ่อยไหมครับ”
“ไม่หรอกไอ้หนุ่ม ร้อยวันพันปีจะมีแบบนี้ซะที เอ๊งนี่มันโชคดีนะ มาปุ๊บก็ได้อู้งานปั๊บ” น้าพิมหัวเราะ คนอื่นๆ จึงเป็นลูกคู่ส่งเสียงแซวเขาสนุกสนาน โชคดีที่แต่ละคนสูงวัย มีครอบครัวกันไปหมดแล้ว จึงไม่มีใครมาคอยขนาบข้าง ลูบไล้ลวนลามเหมือนอย่างที่เจอมาเมื่อวาน
“พวกเรามานั่งว่างๆ นายหัวจะไม่ว่าอะไรเหรอน้า” ทยากรชวนคุย สองตาสอดส่ายสังเกตๆไปรอบๆ เห็นคนงานกลุ่มอื่นก็นั่งรวมตัวเป็นกระจุกคุยกันเจี๊ยวจ๊าว
“จะไปว่าอะไร๊ นายหัวน่ะแกดีใจหาย ถึงไม่มีงานก็จ่ายเงินให้เต็มวัน ไม่เคยหักสักสตางก์แดงเดียว แกก็คงรู้นั่นแหละว่าพวกข้ามันหาเช้ากินค่ำ ลำพังค่าแรงเต็มวันก็จะไม่พอเลี้ยงลูกเลี้ยงผัวอยู่แล้ว ขืนถูกหักตังก์ไปอีก คราวนี้จะเอาอะไรกินเข้าไปล่ะวะ”
“...”
“เอ็งน่ะมาใหม่ อยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็รู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่ได้มาทำงานที่นี่... ไปเป็นลูกจ้างคนอื่นนะเอ็งเอ๊ย! โดนขูดรีดกันตาย ค่าแรงถูกยังขี้ หักแล้วหักอีกจนอยู่กันไม่ไหว ต้องหนีมาพึ่งบารมีนายหัวชาญกันทั้งนั้น”
พอพูดถึงนายหัว...หญิงวัยกลางคนก็แทบจะยกมือไหว้ ทยากรมองเห็นความศรัทธาในตัวนายจ้างเต็มเปี่ยมในดวงตาของน้าพิม
“นายหัวแกก็ใจดี ใครมาขอพึ่งพาอาศัยแกรับไว้หมด ไม่เคยไล่ไม่เคยปัด ค่าแรงวันละสามร้อยใครมันจะกล้าจ้าง ก็มีแต่ที่นี่ล่ะวะ...จ่ายสดกันทุกวัน ใครป่วยก็ให้ลาไปหามดหาหมอได้ ใครตายก็ให้เงินช่วยทำศพอีก พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย! นี่ถ้าข้าไม่มีลูกมีผัวเป็นตัวเป็นตนนะ...”
“จะทำไมวะพี่พิม จะไปเป็นเมียน้อยนายหัวเรอะ” ผู้หญิงอีกคนในวงนินทาหัวเราะคิกคัก เสียดายที่ทยากรจำไม่ได้ว่าเธอชื่ออะไร
“ได้ก็ดีน่ะสิวะนังแจ่ม...” คำเฉลยของข้อสงสัยตามมารวดเร็วทันใจ “มีบุญวาสนาขนาดนั้นกูไม่มาแยกปลาให้เหม็นคาวแล้ว นอนกินบ้านกินเมืองอยู่บ้านให้ผัวหาเลี้ยงสบายใจ”
“แหม พี่...พูดยังกะเค้าจะเอาพี่ทำเมีย”
“วะ! นังนี่...” น้าพิมเริ่มฉุน “ก็เพราะไม่เอาน่ะสิโว้ย กูเลยต้องมีผัวเป็นไอ้ตัวขี้เกียจอยู่นี่ไง เวรกรรมของกูแท้ๆ มีผัว...ผัวก็ไม่เอาอ่าว นี่ถ้ามันขยันได้เสี้ยวเดียวของนายหัว กูคงกราบตีนมันเช้าเย็น”
คนฟังเขาเถียงกันกลั้นยิ้มจนปวดแก้ม
หนุ่มเมืองกรุงรับเปิดรับทุกข้อมูลของพ่อเข้าไปในใจ ก่อนมาที่นี่...สิ่งที่ชายหนุ่มรู้เกี่ยวกับนายหัวชาญ มีเพียงรูปร่างหน้าตา รูปพรรณสัณฐานภายนอกเท่านั้น พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเขาไม่เคยรู้จักนิสัยของพ่อมาก่อน แต่เพียงสองวันที่อยู่ร่วมชายคา ทยากรซึมซับได้ถึงความยิ่งใหญ่ของผู้ชายคนนี้อย่างเต็มเปี่ยม
พ่อเป็นคนใจดี แม้บางทีจะดุ จะโหดไปบ้าง หากลูกจ้างทุกคนต่างรู้กันถ้วนหน้า...ยามใดเดือดร้อนมาพึ่งพาใครไม่ได้ นายหัวชาญจะเป็นเสมือนเรือใหญ่ คอยพยุงทุกคนเอาไว้ เป็นกำแพงป้องกันภัยไม่ให้ล้มหายตายไปจากพายุใหญ่ที่โถมกระหน่ำ
ความภูมิใจหลั่งไหลมาท่วมท้น ยิ่งคิดได้ว่าเลือดที่ไหลวนเวียนประกอบขึ้นมาเป็นตัวตนของเขา มันมาจากผู้ชายคนนี้ ทยากรยิ่งอยากยิ้มให้กว้าง หากยังมีเรื่องหนึ่งติดอยู่ในใจเขามาตั้งแต่ต้น
“พูดถึงเมีย...ผมเพิ่งมาอยู่ใหม่ ยังไม่เคยเห็นเมียนายหัวเลย”
อยากรู้...ก็ต้องหลอกถาม...
ใครเล่าจะเป็นกระจกสะท้อนความจริงได้ดีไปกว่า ‘เจ้าถิ่น’ ตัวจริง
“โอ๊ย! อย่าว่าแต่เอ็งเลยวะ อยู่มาจนหัวหงอกเป็นสองสี ข้าก็ยังไม่เคยเห็นเหมือนกัน”
“นายหัวไม่มีเมียเหรอครับน้า”
“ไม่รู้...” คำตอบมาหนักแน่นจริงจังจนคนถามหน้าเหวอ “เรื่องเมียนายหัวเนี่ย เอ็งเอ๊ย! ยังกะสิ่งลี้ลับ ไม่มีใครรู้หรอกวะว่าแกเคยตบเคยแต่งกะใครมาแล้วหรือยัง ไม่เหมือนไอ้เม่น...รายนั้นเค้ารู้แจ้งเห็นจริงกันทั้งเกาะ” ว่าแล้วคนพูดก็หันไปพยักหน้าขอแนวร่วมกับคนรอบข้าง
ตอนนี้เองที่วงล้อมเริ่มขยายใหญ่...
ว่ากันว่า...จำนวนคนร่วมสนทนาแปรผันตรงตามความน่าสนใจของสาระที่คุยกัน ชายหนุ่มมองซ้ายมองขวา เห็นหน้าตาของบรรดาสาวใหญ่ดูตั้งใจพูดเรื่องนี้กันเต็มที่ เขาจึงจำใจพับโครงการหลอกถามเรื่องพ่อเข้ากระเป๋าไว้ ทยากรกระพริบตาปริบๆ พินิจพิศวงอยู่ในใจ กำลังคุยกันเรื่องนายหัวชาญอยู่ดีๆ ประเด็นมันเปลี่ยนมาเป็นอีกคนได้อย่างไร
“อู๊ยยย สำคัญนักแหละคนนี้” แจ่มจันทร์ทนคันปากมานาน พอเปิดประเด็นนี้มา เจ้าหล่อนจึงขอไม่ทน กระโดดมาเป็นแกนนำขาเม้ากับเค้าบ้าง “พี่พิมจำตอนนั้นได้ไหม ก่อนที่พี่เม่นมันจะแต่งเมียเป็นตัวเป็นตน ตอนนั้นชื่อเสียงกระฉ่อนขนาดไหน”
“จำได้สิวะ ไอ้นี่น่ะตัวดี แต่ก่อนนะมึงเอ๊ย...ผู้หญิงทั้งเกาะนี่ตามติดมันยังกะอะไรดี ข้ามไปเกาะใหญ่นู้นก็ยังมีมาเกาะแกะ อย่างว่าแหละวะ...คนมันหน้าตาดี มีอีสาวน้อยสาวใหญ่ให้กินฟรีไม่เคยขาด”
“เสียดายจริงๆ นะพี่พิม พี่เม่นไม่น่าเล้ย...แต่ก่อนใครเห็นเป็นต้องเหลียวมอง คนอะไรสูงยาวเข่าดี ทั้งหน้าทั้งตางี้คมกริบ จมูกก็โด่งยังกะสันเขื่อน นี่ฉันยังจำพี่เม่นตอนนั้นได้แม่นอยู่เลย แล้วดูสารรูปตอนนี้...ดูได้เสียที่ไหน”
“โบราณเค้าถึงว่าไว้ไงล่ะ จะมีผัวมีเมียทั้งทีก็ต้องดูให้มันดีๆ มีเมียผิดคิดอ่านอะไรก็ไม่เจริญ ตัวอย่างมีให้เห็นเต็มสองตา”
ทยากรนั่งฟังพวกผู้หญิงเขานินทากันออกรส ไม่มีช่องว่างสักจังหวะให้เขาเปิดปากแทรกอะไรได้ คนตัวขาวยิ้มบางนึกถึงเงาะป่ายังไม่ถอดรูปแล้วนึกหมั่นไส้ ป่านนี้เจ้าตัวคงจามจน ‘จมูกโด่งเป็นสันเขื่อน’ ยุบไปสองเซนแล้ว
“แต่พูดก็พูดนะพี่พิม นังดาวเมียพี่เม่นเนี่ยมันก็สวยจริง สวยเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ ก็ไม่แปลกหรอกที่พี่เม่นมันจะรักของมันมากขนาดนั้น”
“หึ! หน้าสวยแต่สันดานไม่ดี” พิมจีบปากจีบคอวิจารณ์ “ยมบาลถึงได้เรียกตัวไปซะเร็วยังงี้น่ะสิ ก็ดีเหมือนกัน...ถือว่าพ้นเวรพ้นกรรมได้เร็วดี ขืนลากยาวกว่านี้ไม่รู้เขาจะงอกออกมาจากหัวไอ้เม่นเมื่อไหร่ ถือเป็นบุญของมัน”
“ไม่น่าเชื่อเลยเนอะพี่ เห็นนังดาวมันก็ดูรักผัวมันออกขนาดนั้น ก้อร่อก้อติกกันมาตั้งแต่เรียนยังไม่ทันจบมัธยม กวาดอีสาวคนอื่นกระเด็นไปหมด ได้พี่เม่นไปกกจนได้ เห็นเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้ ไม่นึกว่าจะกล้าสวมเขาให้ผัว แอบไปเอากะไอ้ชู้ทั้งที่ลูกเต้าก็โตจนวิ่งได้...”
คนฟังขมวดคิ้วทันที...ไอ้หนุ่มต่างถิ่นได้ยินเรื่องของนายช่างมาบ้าง เมื่อครั้งตามพ่อไปดูอาการคนเมาที่บ้านพักคนงาน เขารู้เพียงแค่ลูกเมียของผู้ชายคนนั้นเสียชีวิต หากไม่คิดว่าในความสูญเสียนั้น จะยังมีความบอบช้ำอื่นซุกซ่อนอยู่
“สงสารก็แต่ไอ้เดือนลูกชายมัน เด็กสามสี่ขวบกำลังน่ารักน่าชัง ตัวงี้ขาวจั๊วะ...ขาวพอๆ กะเอ็งเลยไอ้ทะเล” ทยากรชะงัก น้าพิมเอื้อมมือมาจับแขนเขา ดวงตาของคนสูงวัยกว่าพิจารณาตามเนื้อตัวไอ้หนุ่มหน้าใส อดคิดไม่ได้ว่าผิวพรรณราวผู้ดีตั้งแต่อ้อนแต่ออกอย่างนี้... ระวังตัวไม่ดี มีสิทธิ์ได้ผัวมากกว่าได้เมียกระมัง...
“น้องเดือน...ที่เสียไปแล้วใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มถาม พยายามดึงแขนตัวเองกลับอย่างสุภาพ อึดอัดอยู่ไม่น้อยเมื่อถูกจ้องระยะประชิด แถมน้าแกยังไม่คิดจะปล่อยมือง่ายๆ
“เออ! มันตายไปแล้ว ตายทั้งแม่ทั้งลูกนั่นแหละ” พิมถอนใจ พอได้พูดถึงเรื่องนี้ทีไร หล่อนอดโมโหไม่ได้ทุกครั้ง “สงสารเด็กมัน ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร วันที่มันตาย...นังแม่มันพาเก็บกระเป๋าลงเรือข้ามฟากเที่ยวสุดท้าย คงนัดแนะกับไอ้ชู้ว่าจะไปอยู่ด้วยกัน คิดจะพรากพ่อพรากลูกเค้าเสียได้ ไม่รู้ใจคอมันทำด้วยอะไร”
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยเตือนพี่เม่นไปทีแล้วนะพี่พิม ชาวบ้านคนอื่นเค้าก็เตือนแล้วเตือนอีกว่านังดาวน่ะมีชู้ คนเค้าเห็นกันทั่วตลาด แต่พี่เม่นแกฟังเสียที่ไหน”
“รักมากหลงมาก ไว้ใจเมียไปเสียหมด หูหนวกตาบอดก็ไม่สนใจ ตอนนี้มันถึงได้ทำตัวเป็นฤๅษีอย่างนี้ไง สงสัยจะเข็ดจนตาย ไม่ชายตาแลอีสาวหน้าไหนอีกเลย...”
ทยากรพูดอะไรไม่ออกกับสิ่งที่ได้รับรู้ เรื่องราวหดหู่สะเทือนใจ ต่อให้เป็นคนเข้มแข็งขนาดไหน การยืนหยัดให้ได้ทั้งที่มีบาดแผลฉกรรจ์คงทำได้ยากเหลือเกิน มิน่าเล่าแววตาคู่นั้นถึงได้ฉายแววเศร้านัก แม้กระทั่งตอนเมาหนัก ฤทธิ์เหล้าก็ยังไม่อาจลบล้างความเจ็บช้ำออกไปได้ ผู้ชายคนนั้นยังคงเจ็บสาหัส เป็นความเจ็บที่ไม่อาจหาใครมาช่วยเยียวยาได้สักคน
จากหมั่นไส้กลายเป็นความสงสาร...
คนสำคัญจากไปก็ช้ำใจเกินทนแล้ว เมื่อมารู้ทีหลังว่าการสูญเสียนั้นมีต้นเหตุจากการ ‘หักหลัง’ เป็นเขาจะทำยังไง หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอย่างนั้น ทยากรคิดไม่ออกเลยว่า ชีวิตนี้จะเงยหน้ามองหาแสงสว่างได้อีกครั้งด้วยวิธีไหน
ไม่รู้เลย...
--------
TBC
ชาวเล้า...อย่ารับน้องกับทะเลแบบนี้นะคะ สงสาร 55555+
ฝากเอ็นดูพี่เม่นกับนุ้งเลด้วยน้า