ตอนที่ 22 : จุดอ่อน
คืนนั้นผมนอนไม่หลับ
มองคีรีและราเชนทร์ที่ตะแคงข้างเข้าหา โอบกอดตัวผมอย่างใกล้ชิดแล้วยิ่งสับสน เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่หยุดเรวันต์ได้มีแต่การที่ผมชิงกลับไปหาพ่อแม่ สารภาพความจริงทุกอย่าง ทำลายจุดอ่อนไม่ให้เขามีข้อต่อรองใดๆ อีก
แต่โทษเถอะ! ผมหนีออกจากบ้านมาหลายปี ไม่เคยคิดจะกลับไปสักครั้งเพราะรู้แก่ใจว่ายังไงพ่อแม่ก็รับผมในตอนนี้ไม่ได้! ผมกำลังมีความสุขดีแล้ว ผมโตแล้ว ไม่อยากถูกจำกัดอิสระโดนควบคุมอีก หรือต่อให้กล้าเถียงกล้าแสดงออกมากขึ้น แค่นึกถึงสายตาดูถูกดูแคลนตอนพวกท่านรู้ว่าผมเป็นบาร์เทนเดอร์ ผมก็แทบทนไม่ไหว คนอย่างหรัญญ์ที่สามารถพูดออกมาได้อย่างเต็มปากกับใครต่อใคร แต่กลับไร้ความมั่นใจโดยสิ้นเชิงหากต้องอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ที่คอยกดข่มตลอดเวลา
ผมเหมือนอยู่ใต้เงาพวกท่านมาตลอด ไม่มีทางได้โงหัว ถึงได้เลือกที่จะหนีแทนการต่อต้าน
“เธอจะไปไหนน่ะ” คีรีถามเสียงงัวเงีย คงตื่นเพราะผมยกแขนเขาขึ้นและพยายามแทรกตัวลงจากเตียงด้วยท่าทางทุลักทุเล ส่วนคุณชายที่โดนผมเบียดชิดติดเตียงยังคงนอนกรนไม่รู้เรื่อง
“สูบบุหรี่น่ะครับ” ผมตอบเสียงเบา แอบตกใจที่ท่านประธานความรู้สึกไวกว่าที่คิด “ขอผมอยู่คนเดียวได้มั้ย”
คีรีมองผมด้วยสายตาที่บอกไม่ถูก แสงจากหน้าต่างค่อนข้างสลัวเลยเห็นสีหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดเจนนัก เห็นเขาเงียบผมเลยถือว่าเป็นคำตอบตกลง หยิบซองบุหรี่แล้วไปจุดสูบตรงระเบียง
ลมเย็นๆ ตอนกลางคืนทำให้หนาวสั่นได้เหมือนกัน แต่เพราะอยู่กลางเมืองเลยพอมีแสงสีให้เห็นอยู่รำไร ผมในสภาพสวมชุดนอนเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นยืนค้ำน้ำหนักกับราวกั้น มองเหม่อควันสีเทาที่ลอยขึ้นและจางหายในอากาศ
เรวันต์...เขาคงเป็นกรรมติดจรวดที่ผมทำกับพ่อแม่ไว้จริงๆ ละมั้ง
แต่ถ้าให้เลือกอีกครั้ง ผมก็ยังเลือกที่จะหนีอยู่ดี ตอนนั้นอารมณ์ของผมถึงจุดที่ใกล้ระเบิดเต็มทน หากไม่หนีออกมาต้องเป็นบ้าแน่ๆ
แล้วดูสภาพตอนนี้สิ อย่าว่าแค่เป็นบาร์เทนเดอร์ ทำงานกลางคืนในคลับผิดกฎหมายเลย ผมยังคบกับผู้ชายอีกสองคน! ตอนจับได้ว่าผมเป็นเกย์ พ่อกับแม่โมโหจัดถึงขนาดลงไม้ลงมือกับผมด้วยซ้ำ พวกท่านผิดหวังมาก พยายามให้ผมเปลี่ยน แม้ท่านจะบังคับให้ผมเลือกเรียนในสิ่งที่กำหนดไว้ได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรสนิยมทางเพศของผมได้หรอก
ผมแทบจะนึกภาพความวิบัติออกด้วยซ้ำ ไม่มีทาง! ยังไงก็ไม่มีทางกลับไปเด็ดขาด!!
แล้วผมยังมีตัวเลือกอะไรอีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งถึงทางตัน ผมขยี้หัวจนยุ่งเหยิงไปหมด ถอนหายใจเฮือกซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีแค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ไปไม่เป็นเลยจริงๆ
กับเพื่อนสนิทอย่างแมนผมยังไม่เคยเล่าให้ฟังมาก่อน เขาเป็นที่ปรึกษาที่ดีมาตลอด แต่กับคนรักครอบครัวอย่างนั้น ผมแทบจะรู้คำตอบเลยด้วยซ้ำว่าให้รีบๆ กลับบ้านไปซะ
ส่วนคีรีกับราเชนทร์...
“รัญ...”
ผมสะดุ้งเฮือก ไม่ทันรู้ตัวสักนิดว่าพื้นที่ตรงระเบียงถูกบุกรุกด้วยคนสองคน ดูจากราเชนทร์ที่อยู่ในสภาพตื่นไม่เต็มตาคงจะโดนคีรีปลุกมาหมาดๆ
ผมได้แต่เหลือบมองท่านประธานอย่างไม่พอใจ อุตส่าห์บอกว่าขออยู่คนเดียวแล้วแท้ๆ เชียว
“ปรึกษาพวกเราไม่ได้เลยเหรอ” คีรีรู้ถึงความขุ่นเคืองของผมเลยรีบเข้ามากุมมือและบีบเบาๆ รายนี้คงตั้งใจเข้ามาล้วงลึกอยู่แล้ว แต่กลัวจะโดนคาดโทษคนเดียวเลยหาเพื่อนร่วมชะตากรรมพ่วงมาด้วย
ผมดับบุหรี่ หมดอารมณ์พร่ำเพ้อเมื่อถูกรบกวนเวลาส่วนตัว ก่อนจะเงยหน้ามองฟ้า เฝ้าดูดวงดาวที่ไม่เคยจะตั้งใจนับชัดๆ สักครั้ง
แต่คราวนี้ผมกำลังไล่นับทีละดวงเพื่อสงบใจ
“ผม...”
พอหลุดออกไปก็เผลอกัดปาก รู้สึกขัดแย้งในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก มันมีทั้งความกังวลและความกลัว พ่วงความขี้ขลาดไม่กล้าตีแผ่อดีตของตัวเอง
แต่พวกเขาสองคนกลับนิ่งเงียบเกินคาด ยินดีเฝ้ารอจนกว่าผมจะพูดออกมาเอง
“สำหรับพวกคุณ ครอบครัวคืออะไรเหรอครับ” ผมเอ่ยทั้งที่ยังเงยหน้ามองฟ้า เลือกจะถามอ้อมๆ แทน
“คือสิ่งที่ฉันเอื้อมไม่ถึงละมั้ง” ราเชนทร์พูดออกมาก่อน น้ำเสียงนั้นฟังสลดหดหู่จนผมเผลอหันมองโดยไม่ได้ตั้งใจ และเจอกับรอยยิ้มของคุณชายแสนสำราญที่ตอนนี้ดูไร้ความมาดมั่นอย่างเคย
“ส่วนฉัน...ก็คงจะเป็นผู้ชี้นำ และคล้อยตามที่ดี” เทียบกันแล้ว คำตอบของคีรีอย่างกับหุ่นยนต์ยังไงยังงั้น แทบไม่มีความยินดียินร้าย แต่ก็ไม่ได้รังเกียจหรือรักใคร่เป็นพิเศษ ราวกับผูกพันด้วยผลประโยชน์มากกว่าความรักห่วงหา
ผมรู้สึกเหมือนมองคนสองคนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ไม่สิ...สามคน
“ไปนอนกันเถอะครับ”
ได้ยินคำตอบแล้วผมก็ตัดสินใจเก็บเงียบไว้ตามเดิม
ไม่มีทางที่คีรีและราเชนทร์จะเข้าใจความอัดอั้นในอกของผมแน่...สภาพแวดล้อมของพวกเรายามเติบโตมานั้นแตกต่างกันเกินไป!
คนหนึ่งที่สูญเสียจนได้รับความรักอย่างเปี่ยมล้น โลกหมุนรอบตัวเอง โดนเอาใจจนเคยชิน แล้วจะเข้าใจการถูกบังคับหรือ ส่วนอีกคนนั้นมีพร้อมทุกอย่าง มีอำนาจ มีสิทธิ์ขาด มีความเป็นผู้นำ และไม่เคยถูกกดข่มมาก่อน
ถ้าผมเล่าออกไป ทั้งคู่คงจะมองด้วยสายตาประหลาด ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงกลัวที่จะกลับบ้านขนาดนี้ ปัญหาที่แก้ได้ง่ายดายกับแค่การเผชิญหน้า ทำไมถึงได้เอาแต่ถอยหนีอยู่เรื่อย
ถ้ามันง่ายแค่ปากพูดก็ดีน่ะสิ
ผมจะทำตัวอวดดีกับใครก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่กับพ่อแม่!
แค่นึกถึงผมก็รู้สึกกลัวราวกับตัวเองเป็นเด็กตัวน้อยที่ถูกดุด่าทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่างคนนั้น พวกท่านเปรียบเสมือนกำแพงสูงสี่ด้านที่ตีกรอบให้ผมไม่มีทางสู้ นอกจากยอมฟังและทำตาม
...น่าขำชะมัดที่สุดท้ายกลับมีแต่เรวันต์ที่เข้าใจผมดีในเรื่องนี้
- ช่วยพี่ หรือจะให้พี่ติดต่อบอกพ่อแม่ว่านายอยู่ไหน –
แต่จะให้ผมช่วยแล้วปล่อยเขาหนีไปเฉยๆ ก็ไม่มีทางซะหรอก!
วันนั้นผมนอนกลิ้งไม่มีอารมณ์จะทำอะไรอยู่ที่ปริ้นส์รูมกับราเชนทร์ พอตกเย็นก็เข้าไปหาบอสกับควีนที่ออฟฟิศ บอกเรื่องที่ว่าจะเป็นคนช่วยค้ำประกันให้เรวันต์พร้อมเสนอให้ปรับแผนใหม่เป็นอีกแบบหนึ่ง
“คงไม่ใช่ว่าโดนหมอนั่นขู่มาหรอกนะ” ผมแอบสะอึกเมื่อควีนทักขึ้นมาอย่างทีเล่นทีจริง
“ไม่เชิงครับ” ผมหลบตา กลัวว่าควีนจะไม่พอใจ แต่ที่ไหนได้ เขาดันปรบมือเรียกสติผมพร้อมฉีกยิ้มให้กำลังใจ สีหน้าออกจะนึกสนุกซะด้วยซ้ำ
“นิลกาฬ อย่าเล่นซนมากนัก” ขนาดบอสยังเอ่ยปราม
“ไม่ต้องห่วงน่าคิง แค่ปรับแผนนิดหน่อยๆ เอง แบบนี้น่าลุ้นกว่าเดิมเป็นไหนๆ แถมยังจับได้คาหนังคาเขาด้วย อืม...งั้นมาลองแบบนี้กัน” ฟังควีนที่กระตือรือร้นปรับเปลี่ยนแผนใหม่ผมก็ได้แต่อึ้งทึ่งกับไหวพริบในการแก้ปัญหาของเขา วิธีช่างหลุดโลก...แต่ก็ดูง่ายดาย เล่นเอาไม่รู้ว่าเมื่อวานจะกลุ้มใจไปทำไมเลยทีเดียว
พวกเราตกลงกันเสร็จเรวันต์ก็มาถึงพอดี แฟนเก่าคนนี้เชื่อเต็มเปาว่าการที่ผมยอมช่วยนั้นเพราะข้อความข่มขู่ ทั้งที่จริงแล้วผมยอมทำตามเพราะมีข้อตกลงบางอย่างกับควีนอยู่ก่อนต่างหาก!
หลังลงนามในสัญญากู้ยืมแล้วเรวันต์ก็ได้รับเช็คจากบอสเพื่อไปขึ้นเงินในวันพรุ่งนี้ เขาหันมาขอบคุณผมยกใหญ่ทำราวกับว่าพวกเราเป็นผู้มีบุญคุณต่อกันอย่างลึกซึ้งเหนียวแน่น ช่างเล่นละครได้เก่งจริงๆ
แต่ยังสู้แม่ลูกสมใจกับสมจันทร์ไม่ได้หรอกผมคิดขณะฟังเรวันต์นั่งโม้เรื่องผับเปิดใหม่ที่เตรียมจะลงทุนทันทีเพื่อสร้างความไว้วางใจกับคลับมากขึ้น
“แล้วนี่คุณเรวันต์จะไปไหนต่อเหรอครับ” ควีนถามด้วยรอยยิ้มหวานหยดไร้พิษภัย คนนี้เองก็ตีหน้าซื่อได้เก่งยิ่งกว่า ทั้งที่เป็นตัวการคิดแผนตลบหลังแท้ๆ
“ผมจะรีบกลับไปพักผ่อนครับ พรุ่งนี้จะได้ไปธนาคารแต่เช้า”
“อ้อ คุณเรวันต์คงจะสนิทกับหรัญญ์มากเลยสินะ ไม่งั้นเขาคงไม่ยอมค้ำประกันให้คุณแน่ๆ”
“ใช่ครับ เขาเป็นคนรักเก่าผมน่ะ”
ผมคันไม้คันมืออย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินจากปากเรวันต์
“เราห่างกันไปนานพอตัว พอมาเจอกันอีกครั้งเลยยังเข้าหน้าไม่ติดบ้าง แต่พอคุยกันเขาก็เข้าใจและเสนอตัวช่วยผมเอง เมื่อก่อน...ผมช่วยเขาไว้เยอะน่ะครับ”
ผมพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ออกหมัดต่อยเข้าหน้าคนข้างๆ เพราะสิ่งที่เรวันต์พูดมาก็ใช่ว่าจะผิดซะทีเดียว ตอนเราหนีตามกันแรกๆ นั้นเขาช่วยเด็กอย่างผมที่ออกจะโลกแคบทำงานอะไรไม่เป็นไว้เยอะ แต่สุดท้ายคนที่ขวนขวายหางานทำ ลงทุนลงแรงพยายามโดยขอให้เขาเรียนมหาลัยให้จบก็คือตัวผมเอง
“ในสัญญากู้ยืมกว่าจะเริ่มคืนงวดแรกก็อีกนาน คุณคงยุ่งๆ เรื่องร้านไม่ได้เข้าคลับอีกพักใหญ่ ถ้ายังไงวันนี้ฉันให้หรัญญ์หยุดงานเป็นพิเศษแล้วไปส่งคุณที่บ้านแล้วกัน”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกครับ”
“แต่หรัญญ์เป็นคนบอกกับฉันเองว่ามีเรื่องอยากปรึกษาเรื่องการค้ำประกันครั้งนี้...จะคุยในคลับก็ไม่สะดวกใช่มั้ยล่ะ ถือว่าฉันช่วยเปิดทาง เผื่อจะกลับไปคบกันอีกครั้งไง” ควีนยิ้มอย่างมีน้ำใจ เล่นเอาเรวันต์พูดไม่ออกเพราะกลัวผมเปลี่ยนใจ แม้สัญญาจะลงนามไปแล้ว แต่ผมเป็นคนของคลับ เกิดเล่าเรื่องอะไรไม่ดีขึ้นมาวันนี้เขาคงออกไปไม่ได้ง่ายๆ แน่
“งั้นก็ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะครับ”
ผมเดินออกจากห้องพร้อมเรวันต์ ก่อนจะบอกให้เขารอครู่หนึ่งเพราะต้องเปลี่ยนชุดเครื่องแบบ ผมว่าเขาคงอยากแอบชิ่งหนีก่อนเหมือนกัน แต่ติดที่ควีนตามมาส่งถึงหน้าห้อง แล้วยังโบกมือเรียกอัศวินชั้นสองให้ช่วยส่งแขกนี่สิ
เขาไม่มีทางออกจากคลับโดยไม่มีผมไปด้วยได้หรอก
“รัญ อย่าบอกนะว่ามึงจะไปกับมันน่ะ”
พอกลับเข้าห้องพนักงานแมนที่เห็นสถานการณ์ผิดแปลกก็ตามเข้ามาเค้นคอทันควัน
“เป็นภารกิจจับหนูของควีนน่ กูไม่ได้ทำเพราะใจอ่อนหรอก” ผมพยายามบอกให้เขาหายห่วง
“ไม่อันตรายเหรอวะ” พอรู้ว่าเกี่ยวกับคลับ แมนเองก็ไม่กล้าถามรายละเอียดมากนัก เขาที่ทำงานมานานกว่าผมย่อมรู้ดีว่าบอสกับควีนนั้นเป็นจอมวางแผนขนาดไหน
“ไม่หรอก แต่กูเต็มใจทำนะ ถือว่าเอาคืนเรวันต์ด้วยไง” ผมตบไหล่แมน พอเดินออกมาก็เจอภาวินมองอย่างเป็นห่วง
“ระวังด้วยนะ”
เขาคงตัดสินใจได้แล้วว่าจะเป็นเพื่อนกับผม
“อืม” ผมตอบเขาก่อนจะเดินไปหาราเชนทร์กับคีรี ครับ วันนี้พวกเขาก็ยังมุ่งมั่นจะมาเฝ้า สงสัยยังกังวลเรื่องเมื่อคืนละมั้ง “พวกคุณจะรอตรงนี้หรือกลับไปก่อนก็ได้นะ ผมไปทำธุระให้คลับนิดหน่อย ถ้าไม่มีอะไรคนของคลับจะช่วยรับกลับมาที่นี่เอง”
“ฉันจะรอ”
พวกเขาตอบเกือบจะพร้อมกันเลยทีเดียว
ผมพยักหน้าอย่างวางใจเมื่อทุกอย่างไม่ยักเป็นปัญหาเท่าที่คิด เหลือแค่ต้องตามเรวันต์ไปที่...
“รัญ นายไม่มีอะไรจะบอกพวกเราจริงๆ เหรอ”
ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อราเชนทร์เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังเกินคาด เวลาไม่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาแล้วรู้สึกกดดันเหมือนถูกไล่ต้อนชอบกล
“ไม่มีหรอกครับ” ผมพยายามกลบเกลื่อน เข้าใจว่าทั้งคู่คงนึกห่วงเพราะเมื่อคืนผมทำตัวแปลกๆ ถ้าอย่างนั้นก็จับโยงเข้าด้วยกันเลยจะดีมั้ยนะ “ปกติผมไม่เคยต้องเอาตัวเสี่ยงกับคลับขนาดนี้เลยกังวลจนนอนไม่หลับ ส่วนที่ไม่ได้เล่าก็เพราะกลัวพวกคุณจะห้าม...”
“แล้วถ้าฉันห้าม เธอจะฟังมั้ย” มองท่านประธานที่ชี้ชัดตรงประเด็นแล้วผมก็รู้สึกคล้ายถูกมองออกว่ากำลังโกหก
“...ผมเป็นลูกน้องก็ต้องทำตามคำสั่งเจ้านาย”
“รัญ ที่นี่ไม่มีกฎบังคับกันสักหน่อย เธอเป็นแค่เบี้ย ไม่มีหน้าที่เอาตัวเองไปเสี่ยงอย่างพวกอัศวิน ทางคลับต้องถามความสมัครใจก่อนอยู่แล้ว”
...คิดหลอกลูกค้าวีไอพีของคลับนี่ยากจริงๆ แฮะ
“ผมเต็มใจเอง” ผมรีบตัดบท “ส่วนเหตุผลก็เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม ไม่ขอเล่าแล้วกัน ขอตัวนะครับ”
พูดจบผมก็เดินไปหาเรวันต์ที่ออกจะลุกลี้ลุกลนไม่น้อย พยายามไม่มองไปที่คีรีกับราเชนทร์อีก คราวนี้อัศวินชั้นสองช่วยตามมาส่งเราถึงหน้าประตูเลยทีเดียว
“รถของคุณล่ะครับ”
“เอาไปจำนำแล้ว”
ผมถึงกับนึกสมเพช คนที่เรียนจบมหาลัยดีกรีปริญญาโทสุดท้ายมาลงเอยติดการพนันไม่เป็นผู้เป็นคน เรียนสูงไปใช่ว่าอนาคตจะดีจริงๆ ถ้าทำตัวเอง
“งั้นเรียกแท็กซี่แล้วกัน บ้านคุณอยู่ไหน”
เรวันต์ไม่ตอบ
“คงไม่ให้ผมคุยกับคุณ ‘เรื่องนั้น’ หน้าคลับหรอกนะครับ”
“งั้นไปที่นี่แล้วกัน”
เรวันต์กับผมนั่งแท็กซี่ไปยังร้านอาหารขายเซ้งร้านหนึ่ง น่าจะเป็นทำเลที่เขาตั้งใจจะเปิดเป็นผับและทำเอกสารเกี่ยวกับสัญญาเช่าให้คิงส์คลับพิจารณา
“เข้ามาสิ” เรวันต์ถือลูกกุญแจไขเข้าไปง่ายๆ
“คุณคิดจะเปิดผับจริงๆ เหรอครับ” ผมนึกประหลาดใจ
“หึ ก็แค่เล่นละครน่า ถ้าเกิดคนของคลับมาถามเจ้าของที่จะได้บอกไงว่าฉันมาติดต่อขอดูสถานที่จริงๆ รายนั้นแทบจะเอาประเคนกุญแจให้ฉันด้วยซ้ำเพราะได้ราคาดีกว่าที่ตั้งไว้สองเท่า แต่ก็นะ...ใช่ว่าฉันจะให้จริงๆ นี่ แค่ปากเปล่าใครก็พูดได้ แต่งตัวดีๆ เอาใบปริญญาเอาแผนการตลาดทำเอกสารการเงินที่เคยได้จากที่เก่ามาดัดแปลงนิดหน่อยก็ไม่มีใครเชื่อว่าฉันโกงแล้ว”
“งั้นคุณจะนำเงินหกล้านไปไหน”
“หนีสิ”
ผิดจากที่คิดซะที่ไหน
“คุณมาบอกผมแบบนี้จะดีเหรอครับ”
“ยังไงเธอก็ทำอะไรไม่ได้” เรวันต์หันมายิ้มพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้ดูข้อความแสลงตา “มีแค่ฉันคนเดียวที่รู้วิธีบังคับเธอ”
เถียงไม่ออกจริงๆ
“ไม่เจอกันหลายปี นายดูดีขึ้นจริงๆ นะรัญ” จู่ๆ เรวันต์ก็หวนนึกถึงความหลังซะงั้น “ไว้ผมยาวแบบนี้แปลกตาไปหน่อยแต่เหมาะดี ถ้าพ่อแม่เธอมาเห็นคงอกแตกตาย”
“ตอนนั้นคุณทิ้งผมไปหาใครเหรอครับ” ผมเลี่ยงเรื่องครอบครัวแล้วถามในเรื่องค้างคาใจที่สุด
“อย่าไปพูดถึงเลย นายไม่รู้จักหรอก” เรวันต์บอกปัด
“งั้นเขาทิ้งคุณ หรือคุณทิ้งเขากันล่ะ”
ถ้าคิดว่าผมยังนึกพิศวาสน่ะขอทีเถอะ ผมเจ็บแล้วจำนะครับ ที่ถามเพราะอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วคนอย่างเขาสมหวังกับรักครั้งนั้นรึเปล่าต่างหาก ถ้าใช่แล้วทำไมถึงได้กลายสภาพเป็นคนติดหนี้หัวโตขนาดนี้
และดูเหมือนสิ่งที่ผมคิดไว้จะถูกต้อง เพราะเรวันต์นิ่งเงียบไม่ตอบคำ แถมยังเดินนำหน้าออกนอกร้านเหมือนจบธุระ
“พูดพอรึยัง ถ้าไม่มีอะไรคาใจแล้วก็แยกย้ายกันตรงนี้เถอะ”
ผมรีบเอื้อมไปจับมือก่อนที่ร่างนั้นจะหนีจากชีวิตผมอีกครั้ง เรวันต์กระตุกตัวอย่างตกใจ แม้จะพยายามสะบัดมือหนีแต่ก็ทำไม่ได้เมื่อหันมาเห็นผมเงยหน้าช้อนตามองในองศาที่พวกเราต่างคุ้นเคยในสมัยยังเด็ก
จนตอนนี้ก็จำได้ดีว่าเขาเคยบอกว่าผมยั่วเขาแบบไหน
แม้จะไม่รู้ว่ากับแค่การแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จะมีผลกระทบอะไรมากมาย แต่ก็ถือว่าทำแล้วไม่เสียหาย
“ถ้าคุณไม่มีใคร พวกเราไม่ลองรำลึกความหลังกันหน่อยเหรอครับ” ผมเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ ไล้ปลายนิ้วตามฝ่ามือของเขาเบาๆ คล้ายโหยหาความหลัง วูบหนึ่งเรวันต์เหมือนจะชอบ เพราะเขามองผมตาประกายวาว ดวงตาเดียวกับอาจารย์สอนพิเศษคนที่ยั้งใจไม่ไหวแล้วเผลอลวนลามผมก่อน
“ไม่ได้เกลียดฉันแล้วรึไง”
“ตอนนี้ผมไม่มีใคร...”
น่าเสียดายที่หรัญญ์ในสายตาอีกฝ่ายคงจะเป็นเด็กน้อยอ่อนต่อโลกที่พูดอะไรก็เชื่อฟังและเห็นเป็นผู้ช่วยให้รอดจนพยายามไขว่คว้ายึดกับตัวเองสุดชีวิต ยินดีจะร่วมหัวจมท้ายไปอย่างหน้ามืดตามัว
“งั้นไปม่านรูดใกล้ๆ แล้วกัน” เรวันต์ลูบแก้มผมช้าๆ
“แต่ผมอยากไปห้องคุณ”
“ที่นั่นมัน...ยุ่งยากไปหน่อย”
“คุณไม่อยากอยู่กับผมนานๆ เหรอครับ” ผมเอียงศีรษะน้อยๆ ขณะหลุบตาต่ำคล้ายชอบพอกับสัมผัสนั้น ก่อนจะลืมปรือตามองพร้อมคลี่ยิ้มบาง เส้นผมคลอเคลียใบหน้าระข้างแก้มและลำคอ “ระหว่างพวกเราไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอยู่แล้ว จุดอ่อนของผมมีคุณคนเดียวที่รู้ แล้วผมจะทรยศได้ยังไง พี่วัน...เราไม่เจอกันนานแล้วนะ ในเมื่อกลับมาเจอกันทั้งทีจะแยกกันไปเฉยๆ เหรอครับ ถ้ายังไง...นอนด้วยกันสักคืน พรุ่งนี้เช้าค่อยแยกย้ายก็ไม่สาย คุณจะเอาเช็คไปขึ้นเงิน จะหนีไปไหนก็ตามใจ ผมห้ามคุณไม่ได้อยู่แล้ว”
“แต่ถ้าฉันหนี คนที่ต้องใช้เงินแทนก็คือเธอ เงินหกล้านเชียวนะ”
“ช่วยไม่ได้นี่ครับ ในเมื่อต้องตกที่นั่งลำบากอยู่แล้วงั้นคุณก็ทำให้ผมพอใจจะได้ไม่ต้องเสียใจมากไปกว่านี้ได้มั้ยล่ะ” ผมยังคงช้อนตามองเขาเหมือนมองคนรักเก่าที่ยังนึกผูกพัน “ชดเชยให้ผมที่ต้องติดหนี้แทนคุณไง”
เรวันต์หัวเราะร่าอย่างชอบใจ เชื่อเต็มเปาว่าผมยังอาลัยอาวรณ์ ยังไงเขาก็ไม่มีอะไรเสียอยู่แล้ว หรัญญ์ในสายตาของเรวันต์ คงเป็นแฟนเก่าที่จะทิ้งขว้างทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
“งั้นไปกันเถอะ” เรวันต์โอบไหล่ผมแล้วเรียกแท็กซี่ด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า สงสัยจะห่างเหินเรื่องพวกนี้พอสมควรนับตั้งแต่ติดหนี้หัวโตถึงได้ตกหลุมเอาง่ายๆ
ระหว่างนั่งรถผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทำทีเป็นดูนาฬิกา แต่ความจริงแล้วกำลังเช็คว่าระบบติดตามของไอโฟนนั้นยังทำงานดี ต้องขอบคุณเทคโนโลยี Find My IPhone และไอเดียของควีนล่ะนะ!!
-----------------------------------
เรื่องราวเป็นอะไรมายังไง แผนการของนิลกาฬกับรัญคืออะไร ทำไมคิงส์คลับมาเอี่ยวด้วย ตอนหน้าโลดค่ะ!
ปล.จะมีคนในคลับโผล่ออกมามีบทด้วยอีกนิดนึง คนที่น้องนิลให้มารับรัญนั่นเเล แต่ใครจะเป็นคนมานั้น...ลองเดาดูค่ะ - -+! หุหุหุ
เพจนักเขียนที่ตอนนี้เปิดพรีออเดอร์หนังสือแล้วค่า
รายละเอียด Pre-order : Prince's Room รอบพรีได้ของแถมพิเศษเป็นแมกเน็ตเหมียวรัญด้วยนะคะ! #ฮาร์ดเซลล์