ตอนที่ 25 : เปิดใจ
คืนนั้นพวกเราตกลงกันไปนอนที่บ้านของราเชนทร์ เพราะเขามีหมอประจำตัว ถ้าผมไข้ขึ้นหรืออาการหนักตอนกลางดึกก็สามารถเรียกหาง่ายและมีของกินเหมาะสำหรับคนป่วย...เห็นพวกเขาห่วงขนาดนี้แล้วผมไม่อยากจะบอกเลยว่าตอนโดนจับพลิกซ้ายพลิกขวาเซ็กซ์ยันเช้ารอบนั้นยังหนักกว่าโดนยิงอีก!
ยังไงก็ตาม...ตอนนี้ผมไม่ค่อยกล้ามีปากเสียงเท่าไหร่เพราะเพิ่งสารภาพออกมาหมดเปลือกว่าหนีออกจากบ้านตอนอายุสิบแปด และที่ยอมไปช่วยจับเรวันต์ก็เพราะโดนขู่เรื่องนี้
“ง่ายจะตาย รัญกลับบ้านซะสิ แค่นี้ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะโดนขู่แล้ว”
นั่นไง ผิดจากที่คิดซะที่ไหน ราเชนทร์น่ะมองเรื่องยากเป็นเรื่องง่ายตามประสาคนไม่ค่อยคิดเยอะ
“ถ้ากลับง่ายขนาดนั้นผมคงไม่หนีมาเจ็ดปีหรอกครับ”
“ทำไม บ้านของรัญอยู่ไกลมากเลยเหรอ ฉันออกค่าเครื่องบินให้ได้นะ”
...อยากจะกุมขมับ
“ถ้าเธอไม่กล้ากลับไปคนเดียวก็พาพวกเราไปด้วยสิ”
คีรีเองก็เอากับเขาด้วย ผมอยากจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ ที่ไม่อยากกลับก็เพราะไม่กล้าสู้หน้า และสาเหตุหลักๆ ที่ไม่กล้าสู้หน้าก็เพราะว่าควงสามไง! ขืนพาพวกเขาไปด้วยมีหวังโดนไล่ตั้งแต่หน้าประตูพอดี!
“เธอคิดมากไปรึเปล่า” คีรีจับคางบังคับให้ผมเงยหน้าขึ้นสบตา ตอนนี้พวกเรานั่งกองกันบนเตียง ราเชนทร์ประกบขวา คีรีประกบซ้าย “ถ้าคิดอยู่แต่ว่ากลับไปแล้วจะโดนด่า กลับไปแล้วจะโดนบังคับ โดนมองอย่างดูถูกไม่ยอมเข้าใจ แล้วตัดสินว่าควรอยู่เฉยๆ ดีกว่า แบบนี้ก็ไม่ต่างกับการหนีเลยนะ”
ทำไมท่านประธานถึงได้ปากคอเราะร้ายขนาดนี้
“พ่อแม่ยังไงก็รักลูกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ” ราเชนทร์ถามงุนงง มองผมกับคีรีที่นั่งหน้าเคร่งอย่างไม่เข้าใจ “ก็ยอมให้ด่า ยอมให้ดุไปไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลย ถ้ารัญอยากร้องไห้ค่อยมาซบอกฉันก็ได้นี่”
...แล้วทำไมราเชนทร์ถึงได้ไม่คิดให้มันลึกซึ้งกว่านี้นะ
“ยังไงพวกคุณก็จะให้ผมกลับใช่มั้ยครับ”
“แล้วทำไมเธอถึงไม่กลับล่ะ มันมีประโยชน์ตรงไหนกับการคิดเองแล้วก็ตัดทิ้งดื้อๆ ทั้งที่ไม่เคยลอง ถ้ารู้อยู่กับอกก็เตรียมใจแล้วเผชิญหน้าไปเลยสิ”
ถ้าคีรีจะพูดได้พระเอกขนาดนี้ก็เอาตำแหน่งนำเรื่องไปจากผมก็ได้นะ ผมยอมยกให้เลย ท่านประธานช่างไม่กลัวอะไรเลยจริงๆ
“ใช่ มีพ่อแม่ให้กลับก็กลับๆ ไปเถอะรัญ ยอมโดนด่านิดเดียวเอง ไม่เห็นจะมีอะไรน่ากลัว” เอ่อ...ไอ้คนที่โดนเลี้ยงดูอย่างคุณชายยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเคยรู้จักการโดนกดดันจากครอบครัวบ้างมั้ยเถอะ!
ผมมองพวกเขาแล้วเบือนหน้าหนี
“พวกคุณไม่เข้าใจผม”
“เอาอีกแล้ว” ราเชนทร์นอนเลื้อยมาแปะบนตัก พร้อมเอาซุกหน้ากับเอวของผมเกาะหนึบไม่ปล่อย “เปิดใจให้กว้างๆ หน่อยสิจ๊ะที่รัก นายเพิ่งรับปากพวกเราเองนะ”
“ก็พวกคุณไม่เข้าใจผมจริงๆ นี่ ผมต้องอดทนแค่ไหนตอนเป็นเด็กพวกคุณไม่รู้หรอก”
ไม่เป็นไรบ้างล่ะ เรื่องเล็กน้อยบ้างล่ะ เผชิญหน้าบ้างล่ะ คิดว่าทุกอย่างมันง่ายอย่างปากพูดรึไง แค่นึกว่าจะไปเจอพ่อแม่ผมก็สั่นไปหมดแล้ว นกที่บินหนีออกมาแล้วรอบหนึ่งไม่ว่ายังไงก็ไม่อยากกลับไปกรงขังเดิมหรอก!
“เธอมักตัดสินใจทั้งที่ยังไม่ทันลองให้ถึงที่สุดสักครั้งเลยนะ”
คีรีโอบตัวผมให้พิงกับบ่าแข็งแกร่ง พร้อมกับลูบศีรษะเบาๆ น้ำเสียงเองก็อ่อนลงจนฟังคล้ายกับการกล่อมเกลาปลอบโยน
“ความจริงพวกเราไม่ควรจะกลับมาคบกันด้วยซ้ำ แต่เพราะเธอให้โอกาสถึงอยู่ด้วยกันได้ แม้จะทุลักทุเลจนเกือบจะล่มแต่ก็ยังประคองไหวไม่ใช่เหรอ พวกฉันเองก็ให้โอกาสเธอ ไม่งั้นวันนี้คงต่างแยกย้ายไปแล้ว”
“ใช่ๆ” ราเชนทร์ช่วยเสริม เปิดโอกาสให้คีรีเทศนาผมต่อ
“ถ้าเอาแต่คิดว่ายังไงก็ไม่ได้ผลแล้ววันไหนจะประสบความสำเร็จล่ะ ค่อยๆ คิดค่อยๆ ตัดสินใจสิ ใช่ว่าทุกอย่างจะเลวร้ายอย่างที่เธอคิดสักหน่อย” คีรีกล่าวพลางดันศีรษะผมออกเล็กน้อย ก่อนจะจับประคองใบหน้าให้หันมาสบตาพร้อมยิ้มบางอบอุ่นที่ชวนให้ในใจได้รับการเติมเต็ม “ลองให้โอกาสพ่อแม่ของเธอบ้างเถอะนะ”
เขาพูดมาถึงขนาดนี้ถ้าผมยังปฏิเสธอีกก็คงโดนด่าว่าโง่เง่าแล้ว
“ผมจะ...ลองคิดดูอีกครั้งแล้วกัน”
คีรีมอบจูบหวานเป็นรางวัล ส่วนราเชนทร์เองก็สบโอกาสจับผมแก้ผ้าทันที
“คนละครั้ง” ผมรีบพูดเมื่อโดนคุณชายดันตัวให้นอนลงแล้วขึ้นคร่อมด้วยสายตาหื่นกระหายเต็มที่
“รัญจ๋า...”
“ผมเจ็บตัวอยู่นะ แผลอาจจะอักเสบไข้ขึ้นด้วย พวกคุณจะฝืนร่างกายผมเหรอครับ”
“งั้นถ้าเกิดฉันเข้าไปในตัวเธอพร้อมราเชนทร์ จะนับเป็นคนละครั้งยังไง”
ผมมองคีรีหน้าเหวอ นานครั้งจะได้ยินเขาพูดเรื่องใต้สะดือด้วยสีหน้าจริงจังขนาดนี้
“อย่าแม้แต่จะคิดเลย พวกคุณจะให้ผมอักเสบที่ก้นแทนแขนหรือไง หยุดคิดอะไรแผลงๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ”
“รัญจ๋า...เรามองลองกันเถอะ คนละครั้ง ถ้าสองคนเข้าพร้อมกันก็สองครั้งไง...”
ผมชักกลัวจริงๆ แล้ว พวกเขาจะสามัคคีเกินไปหน่อยมั้ย!
พอเห็นสองหนุ่มเริ่มตั้งท่าย่องจะจับกินผมเลยรีบตะโกนสุดเสียง
“ถ้าไม่หยุดก็อดไปเลย!”
สรุปว่าคืนนั้นผมโดนราเชนทร์กับคีรีผลัดกันคนละครั้งครับ รอดตายอย่างหวุดหวิด เลยตื่นขึ้นมาส่งท่านประธานไปบริษัทไหว เห็นว่าธาราธารเลิกยุ่งถาวรนับจากการเจรจาครั้งที่สาม...ซึ่งผมก็คิดว่าสมควรอยู่หรอก คีรีน่ะเห็นนิ่งๆ แต่คำพูดหนักไม่แพ้หมัดเลย ธาราธารยันได้ถึงยกที่สามผมก็นับถือแล้ว
ราเชนทร์ยังนอนอืดอยู่บนห้อง ผมเลยถือโอกาสอยู่คนเดียวนั่งคิดทบทวนเรื่องครอบครัวอีกครั้งที่ห้องรับแขกพลางเปิดโทรทัศน์แก้เหงาไปด้วย
“รับข้าวเช้าเลยมั้ยจ๊ะ”
ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหัวหน้าแม่บ้านเข้ามาถาม ปกติแล้วเราแทบไม่คุยกันหรือเข้าใกล้กันขนาดนี้ เพราะราเชนทร์มักจะคอยกันท่าตลอด แถมในสายตาของพวกเธอน่าจะมองเห็นผมเป็นตัวปัญหามากกว่า แม้ว่าหลังพาคีรีเข้าบ้าน...และทำอะไรๆ กันจนไม่ต่างกับการป่าวประกาศว่าพวกเราคบกันอย่างราบรื่นจนเป็นภาระต่อร่างกายผมขนาดไหน ท่าทางของพวกเขาและเธอจะอ่อนลง เปลี่ยนมามองผมด้วยสายตาเห็นใจแทน
“เอ่อ...ยังดีกว่าครับ ผมจะรอให้ราเชนทร์ตื่นก่อน” ผมพูดตะกุกตะกัก นึกไม่ออกว่าทำไมจู่ๆ หัวหน้าแม่บ้านถึงเข้ามาคุยกับผม แล้วยังถามด้วยน้ำเสียงเอ็นดูคล้ายสนิทสนมกันอีกต่างหาก
“งั้นอยากทานอะไรเป็นพิเศษมั้ย เดี๋ยวป้าไปบอกพ่อครัวเตรียมไว้ให้”
เรียกตัวเองว่า ‘ป้า’ ซะด้วย!
“ไม่มีหรอกครับ ที่นี่อาหารอร่อยทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไรผมก็กินหมดเกลี้ยงทุกที...” ผมรีบตอบด้วยกลัวว่าจะเสียมารยาท แต่พูดไปก็รู้สึกเก้อเขินอย่างบอกไม่ถูก คันยุบยิบในใจยังไงไม่รู้เมื่อถูกมองด้วยสายตาเอ็นดูเหมือนมองลูกมองหลานคนหนึ่ง
“คือ...”
“จ๊ะ?”
“คุณไม่ได้เกลียดผมอยู่เหรอครับ”
ถามตรงไปมั้ยนะ แต่ผมเองก็ไม่ใช่คนทำอะไรอ้อมค้อมซะด้วยสิ หัวหน้าแม่บ้านเองก็ตะลึงไปเหมือนกัน แต่เพราะเห็นว่าผมทำหน้าอยากรู้จริงๆ ไม่ได้หาเรื่องเลยยอมตอบ
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่ชอบใจบ้าง ป้าไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายเรื่องความรักของคุณชาย แต่คบกันสามคนมันออกจะแปลกเกินรับไหวจริงๆ ถ้าทำให้หนูรู้สึกแย่ก็ขอโทษด้วยนะ”
เห็นคนอายุมากกว่าพูดโพล่งมาแบบนี้ผมก็รีบผงกหัวปลกๆ
“ผมก็ขอโทษด้วยครับ” ตอบออกไปทั้งที่ยังงงงวยไปไม่เป็น
“เฮ้อ เห็นพวกหนูกับคุณชายอยู่ด้วยกันได้ป้าก็ดีใจแล้วล่ะ ถึงจะแปลกแต่พอเห็นกับตาว่าเข้ากันได้พวกเราก็ไม่มีอะไรติดใจแล้ว อย่างที่คุณคีรีบอกนั่นแหละ คนนอกจะมาตัดสินใจแทนคนในได้ยังไง ถ้าคุณชายบอกว่าดี พวกเราก็ต้องเชื่อตามนั้นไม่ใช่คิดไปเอง บอกตามตรงเลยนะ พวกเราเองก็กังวลว่าคุณชายจะขึ้นคานเหมือนกัน” หัวหน้าแม่บ้านพูดยิ้มๆ “โดนตามใจแต่เด็ก แถมยังนิสัยเสียขนาดนั้น จะหาคนอยู่ด้วยก็ยากใช่มั้ย พวกเราตั้งใจจะดูแลคุณชายจนถึงที่สุดแทนคุณท่านกับคุณนายที่เสียไป แต่ก็คงอยู่กับคุณชายตลอดไม่ได้ พวกหนูช่วยดูแลก็ดีแล้ว”
“เอ่อ...” ผมพูดไม่ออกเมื่อหัวหน้าแม่บ้านเล่นด่าคุณชายของบ้านเต็มปากขนาดนี้
“ถึงรู้ว่าเลี้ยงดูผิดวิธี แต่พอเห็นคุณชายก็อดใจอ่อนไม่ได้ทุกครั้ง เฮ้อ...พวกเราแก่แล้วจริงๆ” หัวหน้าแม่บ้านรำพึงรำพัน ก่อนจะหันมามองผมยิ้มๆ อีกครั้ง “ก่อนหน้านี้คิดว่าจะต้องตั้งแง่กับหนูไปตลอดซะอีก แต่สุดท้ายมาลองคุยกันแบบนี้ก็ตลกดีเหมือนกันนะ เพราะพวกเราก็ไม่ได้โกรธเกลียดกันแต่แรกสักหน่อย”
พูดอีกก็ถูกอีก
“ผมขอโทษด้วยนะครับ ถ้าผมเข้าหาก่อนก็คงไม่เป็นแบบนี้ แถมสุดท้ายคุณป้ายังต้องเป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับผมอีก...”
“คุณชายเป็นคนบอกป้าน่ะ”
ว่าไงนะ! ผมไม่มีวันเชื่อเด็ดขาดว่าคนอย่างราเชนทร์จะคิดอะไรละเอียดอ่อนแบบนี้ได้! ไม่มีวัน! ไม่มีทางเลย!“ป้าเองก็ประหลาดใจเหมือนกัน ปกติคุณชายใส่ใจคนรอบข้างที่ไหน” หัวหน้าแม่บ้านพลางยกมือทาบแก้ม “ตอนแรกก็คิดว่าต่างคนต่างอยู่ไม่ก้าวก่ายกันก็ไม่เป็นไรหรอก แต่คุณชายมาพูดขนาดนี้ป้าเองก็ต้องทำตาม ย้ำคำชัดเจนมากว่าต้องรักและดูแลหนูรัญให้ดี แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเข้าใกล้เกินหนึ่งเมตรเหมือนเดิม”
เชนทร์นะเชนทร์...จะดีก็ดีไม่สุด ผมล่ะพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเลย“แต่ป้าดีใจนะที่ตัดสินใจเข้ามาหาหนู เมื่อก่อนนึกว่าเป็นคนไร้มารยาทซะอีก แต่พอได้คุยได้มองใกล้ๆ ก็เป็นเด็กน่ารักนี่นา”
ผมหลุบตาปกปิดความกระดากอาย ไม่เคยเจอผู้หญิงอายุมากกว่าพูดด้วยความเอ็นดูเหมือนแม่ทูนหัวขนาดนี้มาก่อนเลย ไปไม่เป็นจริงๆ ครับ
“โอ๊ะ ใกล้ได้เวลาคุณชายจะตื่นแล้ว รีบขึ้นไปเถอะ ถ้าไม่เห็นหนูเดี๋ยวก็โวยวายอีก”
ผมยิ้มเมื่อได้ยินหัวหน้าแม่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่น่ารัก มิน่าล่ะราเชนทร์ถึงได้ยิ้มแย้มอารมณ์ดีตลอดเวลา เป็นเพราะถูกเอาใจใส่อย่างนี้นี่เอง
“คุณชายถ้ามีแฟนก็จะติดมาก อย่าถือสาเลยนะ เพราะเสียพ่อแม่แต่เด็ก คงเป็นปมในใจว่าถ้าห่างสายตาไปจะไม่เจอกันอีกน่ะ”
“ผมเข้าใจครับ”
“ไปเถอะ ป้าเองก็จะไปทำงานแล้วเหมือนกัน”
“ขอบคุณครับ...ผมหมายถึง ขอบคุณมากจริงๆ ครับ” ผมเอ่ยพร้อมยกมือไหว้จากความรู้สึกจริงๆ การได้คุยกับเธอทำให้ผมเข้าใจหลายอย่าง ทั้งเรื่องของราเชนทร์ และเรื่องที่...ผมเองก็เคยคิดว่าชาตินี้คงไม่ได้ญาติดีกับพวกเธอ แต่ที่ไหนได้ พอมาลองคุยกันกลายเป็นผมคิดไปเองทั้งนั้น
ต่างคนต่างไม่กล้าเข้าหา เอาแต่ตั้งแง่ครุ่นคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตัดสินจากการกระทำโดยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคืออะไร จนกลายเป็นการสร้างกำแพงอคติขึ้นมา
กับพ่อแม่เองก็คงเหมือนกันใช่มั้ย
ผมขบปาก...หวนนึกถึงสมัยยังเด็กที่จมน้ำ ตอนนั้น...พ่อกับแม่ห่วงผมมาก นั่งเฝ้าไม่ห่าง เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพวกเขาแสดงความเป็นห่วงจริงๆ นอกจากดุด่า
แม้หลังจากนั้นจะยิ่งเข้มงวดก็เถอะ
แต่ว่านั่นหมายถึงพวกเขารักผมมากรึเปล่านะ
รัก ‘มาก’ เกินไปเหมือนกับที่ราเชนทร์เป็น จนกลายเป็นการแสดงออกที่ชวนให้อึดอัดใจจนทนไม่ไหว ถ้าอย่างนั้น ผมก็ควรจะ...พยายามทำความเข้าใจมากกว่าหลีกหนีหรือสลัดทิ้งเอาดื้อๆ ใช่มั้ย
‘ลองให้โอกาสพ่อแม่ของเธอบ้างเถอะนะ’
เลิกตัดสินผลลัพธ์เอาเอง
และให้โอกาสพวกท่านอีกสักครั้ง
หลังคีรีเลิกงาน ผมก็โทรให้เขาไปเจอกันที่หน้าหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง ในความทรงจำของผมที่นี่ค่อนข้างคึกคัก มีร้านรวงตั้งเต็มสองข้างทาง แต่พอมาอีกครั้งกลับดูโทรมกว่าที่คิด หน้าปากทางก็กลายเป็นเพิงร้าง พอถามยามก็รู้ว่าเป็นเพราะช่วงหลังมานี้มีน้ำท่วมทุกปี เลยมีคนย้ายออกไปเกือบครึ่ง กิจการค้าขายก็พลอยปิดไปด้วย
“เอ่อ...บ้าน xxx/xxx ที่ชื่อ xxx สกุล xxx ยังอยู่รึเปล่าครับ”
“อยู่ครับ”
ผมถอนหายใจ ถ้ามาแล้วเก้อนี่ผมคงไม่รู้จะติดต่อยังไงเลยเพราะผมจำเบอร์พ่อกับแม่ไม่ได้แล้ว ก็ตอนหนีผมไม่ได้เอาโทรศัพท์มาด้วยเพราะกลัวโดนตามนี่นา
“ผมเป็นลูกชายครับ” ผมยื่นบัตรประชาชนให้ยามเพื่อตรวจสอบนามสกุล แต่ถึงอย่างนั้นคีรีกับราเชนทร์ก็ต้องแลกบัตรเข้าไปเป็นการรักษาความปลอดภัย
ในที่สุดรถบีเอ็มสีขาวก็จอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง
ผมถอนหายใจเข้าออกหลายครั้ง ไม่กล้าเปิดประตูลงไปสักที
“ให้ฉันลงไปแนะนำตัวก่อนดีมั้ย”
“ไม่ต้องครับ พวกคุณรอก่อนนะ ผมขอเข้าไปก่อน” ผมรีบห้ามราเชนทร์ที่ออกจะกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษประหนึ่งมาฝากตัวเป็นเขยโดยไม่รู้กาลเทศะแล้วลงไปกดกริ่งหน้าบ้าน
ไม่นาน...ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินออกมา ดูจากชุดสุภาพกระโปรงสอบแล้วน่าจะยังทำอาชีพครูเหมือนเดิม และน่าจะเพิ่งเลิกงานแล้วกลับถึงบ้านเหมือนกัน
“ใครน่ะ” ผมใจหายวาบเมื่อได้ยินเสียงนั้นตะโกนถามข้ามรั้ว จะโทษแม่คงไม่ได้ในเมื่อผมยาวปรกบ่าขนาดนี้ ให้มองผ่านๆ คงจำไม่ได้หรอก
“ผม...”
“รัญ...รัญใช่มั้ยลูก คุณคะ! ลูกกลับมาแล้ว ลูกกลับมาหาเราแล้ว!” แม่รีบหันไปตะโกนบอกคนในบ้าน ก่อนจะรีบเปิดรั้วให้ผมเข้ามาทันที พอไม่มีอะไรขวางกั้นแม่ก็กอดผมทั้งตัว ไม่ยักมีคำด่าต่อว่าอย่างที่คิดสักนิดเดียว “แม่นึกว่ารัญจะโกรธจนไม่มาหากันซะแล้ว ดีจริงๆ ที่ยังตัดสินใจอยู่ที่นี่ รอลูกของแม่...”
ถึงตอนนี้ผมก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ กอดแม่ตอบพร้อมสะอื้นเบาๆ
“กลับมาแล้วเหรอไอ้ลูกทรพี!”
ก่อนอารมณ์ซึ้งจะปลิวหายเมื่อได้ยินเสียงตะโกนอย่างกับฟ้าผ่า พ่อของผม...ในชุดอยู่บ้านถือไม้เท้ายืนอยู่หน้าประตู
แค่ดูผมก็รู้ว่าพ่อทำงานในอาชีพที่พ่อรักและอยากให้ผมเป็นไม่ได้แล้ว เขาดูแก่กว่าวัยมาก แทบยังผอมโกรก หน้าตอบ ราวกับมีโรครุมเร้าจนต้องรักษาตัวกับบ้าน
“มานี่สิ!” แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็พูดจากระโชกโฮกฮากแกมออกคำสั่งเหมือนเดิม ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินเข้าไปใกล้กับพ่อ หากเป็นแต่ก่อนคงตัวสั่นเกรงจะโดนตี แต่พอมายืนเทียบแบบนี้แล้วเห็นว่าตัวเองสูงกว่าเกือบคืบ ก็อดนึกทบทวนไม่ได้ว่าพ่อของผมตัวเล็กขนาดนี้เลยเหรอ
ดูบอบบาง...ไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด
“ผมขอโทษครับ” พอเห็นคนที่หวาดกลัวมาตลอดชีวิตในสภาพนี้ ผมก็รู้สึกผิดเต็มอก แววตาของพ่อที่มองผม มีทั้งความโกรธ ความน้อยใจ และความปลงตกที่ไม่คิดบงการชีวิตผมแล้ว “ผมขอโทษครับ...”
พ่อไม่พูดอะไร เพียงตบบ่าผมหนักๆ เป็นการตอบรับ
“กินข้าวมารึยัง”
“ยังครับ”
“งั้นก็เข้าไปในบ้าน แม่แกกำลังเตรียมอาหารพอดี” น้ำเสียงยังติดจะดุเป็นเชิงบังคับเหมือนเดิม “ไม่ต้องปฏิเสธล่ะ ฉันรู้ว่าแกไม่อยากจะมาเหยียบบ้านนี้หรอก รีบๆ กินแล้วก็ไสหัวไป ไว้นึกได้เมื่อไหร่ค่อยมาให้เห็นหน้าว่าแกยังไม่ตายก็พอ”
“คุณนี่ก็...”
“พ่อครับ แม่ครับ” ผมเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง รู้สึกโล่งใจและดีใจที่ตัดสินใจถูก “ผมมีคนอยากแนะนำให้รู้จัก”
“ใคร ผัวแกเรอะ”
พ่อนะพ่อ“ครับ” ผมตอบชัดถ้อยชัดคำ เริ่มทำใจให้ชินกับการพูดจาเชิงสอดเสียดประชดประชันนั้น “คนรักของผมเอง”
“ผัวก็บอกผัว ดูตัวเองสิ ไว้ผมยาวอย่างกับผู้หญิง ดูไม่ได้เลยจริงๆ เอาเถอะ จะพาใครก็พามา ฉันบังคับแกไม่ได้แล้วนี่”
”ครับ” ผมหันไปส่งสัญญาณมือให้คนในรถเดินลงมา พ่อที่ทำทีเป็นเดินเข้าไปในบ้านก่อนแต่ไม่วายแอบชะเง้อหน้ามองถึงกับชะงัก
“คนไหนผัวแก”
“...ทั้งคู่นั่นแหละครับ”
“!!!”
---------------------------
คิดว่าอาจมีบางคนที่ประสบพบเจอแบบรัญ คือมีผู้ปกครองที่ปากไม่ตรงกับใจ พูดจาประชดประชันกดข่มลูกอยู่เสมอจนกลายเป็นคนไม่มีความมั่นใจไม่กล้าทำอะไร เพราะทำอะไรก็ผิด กับพ่อแม่เด็กจะสู้ไม่ขึ้นเลย แถมยังโดนบังคับว่าสิ่งที่พวกท่านเลือกถูกอีกแหน่ะ เราเองก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ (แต่ไม่หนักขนาดรัญนะ) ซึ่งพอมีเรื่องให้ต้องแยกออกมาบ้าง แล้วลองมองย้อนไปใหม่ตอนโต คิดว่าท่านซึนเดเระก็กลายเป็นทำใจได้ซะงั้นอ่ะ!
ตอนหน้าจะจบแล้วนะคะ ใจหายอีกแล้ว ไหนๆ เรื่องก็จะจบแล้ว และในเรื่องนี้คงไม่มีโอกาสได้กล่าวถึง แต่...คนที่นายแมลงวัน เอ๊ย เรวันต์ทิ้งไปหาตอนคบกับรัญ เราตั้งใจว่าเป็นธาราธารค่ะ อะแฮ่ม แม่นแล้ว ธาราธารก็เป็นเกย์ ก็เลยพยายามทำทุกวิธีทางไม่ให้คีรีคบกับรัญ เพราะรู้ว่าตัวเองยังไงก็ไม่มีทายาทค่ะ!! อันที่จริงความตั้งใจลึกๆ คือถ้าโอกาสหน้ายังมี แล้วแต่ง 3P ต่อ จะเป็นคู่(คี่)หัวหน้าแกงค์ที่จับเรวันต์ไปxเรวันต์xธาราธาร ค่ะ คือไม่รู้ว่าจะได้แต่งเมื่อไหร่ เฉลยเลยแล้วกัน! 55555 เพราะจบเรื่องนี้เราจะไปต่อตอนพิเศษคิงส์คลับที่แปะโป้งค้างไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ^ ^
เพจนักเขียนที่ไปปั้มหัวใจให้พ่อหนูรัญที่คงช็อกไปแล้ว