ตอนที่ 21 : บอสและควีน
สรุปแล้ววันนั้นพวกเราก็ค้างห้องคีรีอีกวัน คอนโดคีรีใกล้กับที่ทำงานเลยตื่นสายได้กว่าปกติ ผมยืนส่งคีรีแล้วกลับไปนอนต่อก่อนจะโดนราเชนทร์ลากไปที่บ้านเขา พวกเราเริ่มตกลงกันว่าควรจะมีเสื้อผ้าติดรถไว้เผื่อจะไปค้างบ้านคนโน้นคนนี้จะได้ไม่เป็นปัญหา
เห็นพวกเขาตอบตกลงง่ายๆ ผมก็วางใจ
ตอนเย็นผมมาทำงานที่คลับ ไม่รู้ว่าเพราะยังกังวลเรื่องแฟนเก่าคนแรกของผมรึเปล่า คีรีถึงได้ตามมาด้วย
เรวันต์ที่เห็นผมยืนคุยกับพวกเขาเลยไม่กล้าเข้ามาทัก อาจจะเห็นว่าติดพันลูกค้าอยู่ก็คงได้ ผมแอบโล่งใจเมื่อเห็นแฟนเก่าเดินเฉเข้าออฟฟิศ อย่างน้อยก็ไม่โดนมองอย่างจับผิด
“คนนั้นน่ะเหรอ” คีรีเปรยหลังพิจารณาเรวันต์แล้วค้นพบว่าตัวเองชนะขาดในด้านหน้าตา ท่านประธานเป็นคนหล่อขรึมเอาการ แต่เพราะสวมแว่นเลยดูอายุมากเกินจริงไปบ้าง พอบวกกับท่าทางเคร่งเครียดจริงจังเสมอเลยทำให้คนไม่ค่อยกล้าเข้าหาเท่าไหร่
“ครับ” ผมตอบ ก่อนจะหันไปเมื่อรู้สึกเหมือนโดนสะกิด สงสัยจะเป็นไอ้แมน...เหวอ พี่แว่น!
ผมพยายามข่มความตกใจเมื่อเห็นบิชอปเดินมาหาหลังเคาน์เตอร์พร้อมยื่นไอแพดที่พิมพ์ข้อความไว้อยู่แล้วส่งให้
- บอสเรียกให้ไปพบที่ห้อง -
ผมกลืนน้ำลาย เบี้ยกระจอกๆ อย่างผมบอกเลยว่าไม่เคยย่างก้าวเข้าห้องออฟฟิศของบอสสักครั้ง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดี เท่ากับว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดไปขัดหูขัดตาเจ้านาย
“ตอนนี้เลยเหรอครับ”
พี่แว่นพยักหน้า ผมเลยได้แต่จำใจเดินตามหลังบิชอปโดยมีสายตาของราเชนทร์และคีรีมองอย่างเป็นห่วง รวมทั้งแมนที่ดูจะกังวลเป็นพิเศษ ขนาดภาวินที่ช่วงหลังมานี้เริ่มหลบหน้าผม ยังอดเงยมองอย่างประหลาดใจไม่ได้
“ขออนุญาตนะครับ” ผมเคาะประตูด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ พี่แว่นเดินมาส่งผมเสร็จก็นั่งปักหลักอยู่ตรงโต๊ะหน้าออฟฟิศเหมือนเดิม ทิ้งให้ผมเปิดเข้าไปเองด้วยความหวาดหวั่น บอสของคิงส์คลับนั้นเป็นคนที่เก่งมากในหลายๆ ความหมาย โดยเฉพาะเรื่องความโฉดโหดนั้นไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่เจ๋งจริงจะคุมคนทั้งหมดอยู่ได้ยังไง
“อ้าว หรัญญ์ มานี่สิ” น้ำเสียงสดใสเริงร่าอย่างเป็นกันเองจาก ‘ควีน’ ทำให้ผมใจชื้นขึ้น เดินเข้าไปยืนหน้าโต๊ะทำงานของบอสข้างๆ กับเรวันต์ที่คล้ายรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
“หรัญญ์...”
ผมยืนตัวเกร็งเมื่อบอสเอ่ยทวนชื่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ใช่ หรัญญ์ บาร์เทนเดอร์ที่ชั้นสองไง” ควีนตอบรับทันควัน เขาจำชื่อคนในคลับได้ทั้งหมดและชวนคุยประหนึ่งสนิทสนมกันมานาน แมนเคยเล่าให้ผมฟังว่าเมื่อก่อนคิงส์คลับนั้นค่อนข้างเข้มงวดมาก ทุกคนแทบไม่กล้าคุยเล่น ยิ่งต่อหน้าบอสยิ่งกลัวหนัก แต่พอมีคนรักของบอสเข้ามารับตำแหน่งควีน ก็ช่วยจัดการดูแลให้บรรยากาศที่ขึงตึงนั้นผ่อนลงจนกลายเป็นความพอดี
ควีนหรือ ‘นิลกาฬ’ เองก็เคยเข้ามาชวนผมคุยตอนมาทำงานที่คลับใหม่ๆ อาจเพราะกลัวผมจะตกใจกับความวุ่นวายที่ชั้นสองเลยช่วยกันท่าให้ ผมเลยค่อนข้างซาบซึ้งใจและรู้สึกดีๆ กับเขามาก ใครเลยจะเชื่อว่าควีนคนนี้อายุน้อยกว่าผมอีก แต่เขากลับดูผ่านประสบการณ์มาโชกโชน และตัดสินใจได้ฉับไวสุดๆ
“ไม่ต้องเกร็ง คิงไม่ได้เรียกมาทำโทษหรอก” คนที่เรียกชื่อบอสห้วนๆ ได้โดยไม่โดนมองด้วยสายตาพิฆาตจ้องดุคงมีแต่ควีนเท่านั้น ครับ ชื่อของบอสคือ ‘คิง’ เพราะอย่างนี้ถึงได้ตั้งคิงส์คลับขึ้นมาไงล่ะ
บอสมีภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขาม ย้อมผมสีแดงเสยขึ้นเผยให้เห็นโครงหน้าหล่อเหลาแต่น่ากลัว ความโหดของเขาถึงกับได้ฉายาว่า ‘ราชาไร้พ่าย’ เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็สามารถรับมือได้อย่างเยือกเย็นและไร้จุดอ่อน
“คุณเรวันต์ คุณช่วยพูดข้อเสนออีกทีสิครับ” ควีนหันไปยิ้มหวานอย่างเปิดเผยกับคนข้างๆ ผมแทน
“ผมต้องการกู้เงินหกล้านเพื่อเปิดผับครับควีน ผมร่างเอกสารรายละเอียดรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านแล้ว”
“ครับ เรารับรู้และรับทราบตรงนี้แล้ว แต่...คุณมีแค่เอกสารกับปากเปล่ามันออกไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ คิงส์คลับของเราไม่ได้รับคนเข้ามาโดยไม่ได้ตรวจสอบ ทางเราเลยรู้ว่าคุณเรวันต์ติดหนี้พนันกับแก๊งน่ายุ่งยากรวมดอกเบี้ยจำนวนห้าล้าน...” ควีนพูดไปยิ้มไป ท่าทางทีเล่นทีจริงแต่กลับทำเอาเรวันต์ยืนเหงื่อตก “เอกสารของคุณละเอียดมาก ข้อมูลการเช่าที่และการคาดการณ์รายได้ก็เป็นไปอย่างราบรื่น ถ้าเป็นที่อื่นอาจะยอมให้กู้ไปแล้ว แต่ว่าพอฉันดูประวัติของคุณ...ดูเหมือนคุณจะฉลาดไม่เบานี่นา เรียนจบด้านบัญชีเชี่ยวชาญเรื่องคำนวณเป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานกับบริษัทหลักทรัพย์มาก่อน จะทำได้ขนาดนี้ก็ไม่แปลก”
“ควีนครับ ผมตั้งใจจะไปเปิดธุรกิจจริงๆ เงินที่ผมติดพนันนั้นผมตั้งใจจะใช้คืนวันหลัง และถ้าคุณสืบประวัติมาแล้วก็คงเห็นว่าผมถูกไล่ออกจากงานเก่า เลยต้องหาแหล่งรายได้ใหม่...”
“ถูกไล่ออกเพราะทุจริตนำเงินไปลงขันมากกว่าเดิม ท่าทางคุณจะเป็นพวกเสพติดการพนันนะครับคุณเรวันต์ แล้วทางคลับจะเชื่อคุณได้ยังไง เผลอๆ คุณจะไม่ได้เอาเงินไปทั้งเปิดร้านหรือใช้หนี้ด้วยซ้ำ แต่เอาไปเล่นเพิ่มจนหมดตัว ขนาดที่เก่าคุณยังไม่มีคืน แล้วทำไมทางคลับต้องยอมเสี่ยงด้วยล่ะ”
“ผมเลยให้เรียกตัวหรัญญ์มาไงครับ” เรวันต์ว่าพลางจับต้นแขนผมเหมือนสนิทสนม แต่ผมรีบสะบัดตัวหนี “รัญ...ช่วยยืนยันให้พี่หน่อยนะว่าพี่ไม่ใช่คนติดการพนัน พี่ไม่ใช่คนเหลวแหลกแบบนั้น รัญรู้จักพี่ดีไม่ใช่เหรอ”
ผมถึงกับหลุดยิ้มขื่น
ห้าปีที่ไม่ได้เจอกัน เขาย่ำแย่กว่าที่คิดไว้ซะอีก
ถึงขนาดจนทางตันมาขอความช่วยเหลือจากแฟนเก่าด้วยคำพูดแสลงใจที่ผมไม่มีวันคล้อยตามเด็ดขาด!
“ผมไม่รู้จักเรวันต์มากพอจะยืนยันหรือค้ำประกันได้หรอกครับควีน และผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนคนนี้เลย”
“รัญ!” เรวันต์กระชากแขนผมบังคับให้เข้าไปใกล้ ก่อนจะก้มกระซิบขอความเห็นใจ “ช่วยพี่หน่อยไม่ได้เหรอ เงินห้าล้านนี้พี่จะเอาไปเปิดธุรกิจจริงๆ ถ้าสำเร็จเมื่อไหร่จะแบ่งกำไรให้เธอเป็นการตอบแทนแน่นอน”
“คนที่หนีผมไปหาความสุขสบายโดยไม่บอกลามีค่าอะไรให้ผมเชื่อด้วยเหรอครับ ถ้าคุณคิดจะตั้งตัวอย่างสุจริตใจจริงๆ คงไม่ทิ้งผมไปหรอก” ผมกระซิบกลับ “ควีน...คิงส์คลับไม่ได้โง่ให้คุณเอาเงินไปละลายหรอกนะ”
“รัญ!”
“อ๊ะอ๊ะอ๊ะ อย่าคิดทำร้ายคนของคลับต่อหน้าฉันเชียว” ควีนร้องดักขึ้นมาด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่กลับให้อารมณ์ขู่ขวัญมากกว่า ส่วนบอสเหมือนจะเบื่อหน่ายเต็มทน สีหน้าเคร่งเครียดจ้องเขม็งเหมือนให้รีบจบเรื่องจบราวนั้นทำเอาเรวันต์ถึงกับหลบตาและปล่อยตัวผมโดยดี
“แล้วผมจะมาพบใหม่”
“ครั้งหน้าก็เตรียมหลักฐานอื่นที่ดูน่าเชื่อถือกว่าเอกสารที่ปลอมแปลงขึ้นเองพวกนี้ด้วยนะครับ โชคดี” ควีนโบกมือลาด้วยท่าทางมีมารยาทแต่ออกจะขับไล่ไสส่งซะมากกว่า พอทั้งห้องเหลือผมเป็นแขกอยู่คนเดียวก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมาเพราะควีนหันไปกระซิบกระซาบหัวเราะคิกคักกับบอสสองคนขณะเหลือบมองผมเป็นระยะ
ความจริงแล้วการกู้เงินนั้นไม่จำเป็นต้องเอาเอกสารมายืนยันอะไรมากมายหรอก เพราะทางคลับจะตรวจสอบประวัติผู้กู้เพื่อนำมาประเมินอีกที ป้องกันการหนีหนี้แล้วตามคืนไม่ได้
“เอ่อ...ผมขอตัวไปทำงานต่อนะครับ”
“เดี๋ยว”
บอสเอ่ยปากห้ามเองแบบนี้ ขนาดจะกะพริบตาผมยังไม่กล้าเลย
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอกหรัญญ์ เอ ฉันเรียกว่ารัญได้ใช่มั้ย” ควีนหันมาเท้าคางกับโต๊ะพลางส่งยิ้มพริ้มใจให้ผม แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างบอกไม่ถูก "รัญมาได้จังหวะพอดี ฉันกับคิงกำลังนึกรำคาญหมอนั่นเลยเชียว ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป แถมยังดั้นด้นจะเอาเงินให้ได้ วางท่าเป็นนักธุรกิจ ทั้งที่เป็นแค่ขอทานข้างถนนแท้ๆ”
อูย...เจ็บจี๊ด“ฉันมีเรื่องอยากให้ช่วยน่ะ”
“อะไรเหรอครับ” ต่อหน้าบอสกับควีน ผมจะไปปฏิเสธได้ยังไง
“คือว่า...”
“เป็นไงบ้างรัญ”
พอเดินออกจากห้องแมนก็รีบดึงตัวผมไปคุยทันที ขนาดภาวินยังตามมาฟังด้วย ตอนนี้เริ่มดึกลูกค้าเลยหันไปกินกันเอง บาร์เทนเดอร์อย่างพวกเราเลยพอได้พักบ้าง
“แล้วเขาล่ะ” ผมกวาดตามองหาเรวันต์
“กลับไปแล้ว ตอนเดินออกมาหน้าอย่างเสียเลย” แมนเหลือบมองภาวินนิดหน่อยแต่ก็ไม่ว่าอะไร “สรุปมีเรื่องอะไรวะ”
“ก็อย่างที่มึงคิดนั่นแหละ เขาอยากให้กูช่วยค้ำประกันให้ แต่กูไม่ยอม” ผมตอบ จะให้ลงรายละเอียดเจาะลึกตอนคุยกับควีนเห็นจะไม่เหมาะ
“แล้วไป” แมนโล่งอก ยอมผละจากตัวผมออกมาหน่อยเพราะโดนสองหนุ่มตรงหัวบาร์จ้องเขม็ง “มึงระวังตัวด้วยล่ะ มันตื๊อมาขนาดนี้คงไม่ถอยง่ายๆ หรอก”
ผมตบบ่าเพื่อนแปะๆ เป็นการตอบรับ แต่พอจะแยกย้ายยืนประจำที่ภาวินก็รั้งชายเสื้อไว้เบาๆ สีหน้าอึกอักเหมือนเริ่มต้นชวนคุยไม่ถูก
ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขาเป็นอะไร แต่ดูเหมือนนับจากที่รู้ว่าผมคบกับคีรีและราเชนทร์แบบสามคนเขาก็เข้าหน้าผมไม่ติดอีก
เหมือนมีอะไรในใจ
“รัญ...” ภาวินสบตาผมอย่างอัดอั้น เอ่ยถามน้ำเสียงแผ่วเบาคล้ายไร้ความมั่นใจโดยสิ้นเชิง “นายคบกับพวกเขาพร้อมกันได้ แต่ทำไมกับฉันถึงไม่ให้โอกาสเลยล่ะ”
ที่แท้ก็เรื่องนี้
“เพราะฉันไม่เคยใจเต้นกับนายเลย” ผมเอ่ยเสียงเรียบ รู้สึกถึงสายตาเจ็บปวดที่มองมาอย่างเศร้าเสียใจ ภาวินมักประชดประชันกลบเกลื่อนด้านอ่อนแอของตัวเอง จนทำให้ผมคิดว่าเขาไม่รู้สึกอะไร คงเพราะตอนนั้นผมยังไม่มีคนรักเป็นตัวเป็นตน เขายังมีความหวัง แต่ในตอนนี้ยิ่งกว่าหมดหวังซะอีก จนเขาอดที่จะตัดพ้อต่อว่าไม่ได้
“เราเป็นเพื่อนกันไม่ได้เหรอ”
ภาวินมองผมด้วยสายตาที่ยังมีความรู้สึกแฝงอยู่
“...ฉันจะพยายาม”
ออกจะโหดร้ายอยู่บ้าง เพราะผมกึ่งจะบีบบังคับภาวินกรายๆ เพื่อทำงานได้อย่างราบรื่นไม่ต้องมาคอยระแวดระวังกันเอง
คนไม่ใช่ยังไงก็ไม่ใช่
ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ ตอนผมอยู่กับแมนก็เป็นแบบนี้ ต่อให้ฝืนคบก็ไม่คืบหน้า มีแต่ถ่วงเวลาให้ยิ่งย่ำแย่มากกว่า สเปคผมคงจะเป็นผู้ชายอายุมากกว่า สามารถปลอบโยนพึ่งพาได้ล่ะมั้ง ก็ตอนเด็กๆ ผมแทบไม่เคยได้อ้อนพ่อแม่เลยนี่นา
ให้ตาย ช่วงนี้ชักจะคิดถึงบ้านบ่อยเกินไปแล้วผมสลัดความคิดก่อนจะเดินเข้าหาราเชนทร์และคีรี พวกเขาไม่ค่อยกล้าถามเพราะรู้ดีว่าคิงส์คลับนั้นมีกฎอย่างเข้มงวด แต่แค่เห็นท่าทางเป็นห่วงที่แสดงออกอย่างชัดเจนผมก็เชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปอย่างราบรื่น รับรู้ถึงการมีคนรักอยู่เคียงข้างด้วยความซาบซึ้งใจ
แต่ผมคงลืมไป...
ลืมว่าในบรรดาคนที่ผมคบด้วยทั้งหมดนั้น มีเพียงเรวันต์คนเดียวที่รู้ว่าผมคือใคร บ้านอยู่ที่ไหน พ่อแม่เป็นใคร และมีคดีติดตัวอะไร
หนีตามผู้ชายตอนอายุสิบแปด
จนตอนนี้อายุยี่สิบห้า สร้างชีวิตของตัวเอง มีคนรัก ก็ยังไม่คิดหวนกลับ
และเรวันต์เองก็คงนึกความจริงข้อนี้ได้ถึงเลือกเข้าหาผมแต่แรก
เขาส่งข้อความมาให้ตั้งแต่ตอนไหนผมเองก็ไม่รู้ตัว เพราะเวลาทำงานมักปิดเสียงโทรศัพท์เสมอ และวันนี้ก็เจอสารพัดเรื่องวิ่งเข้าใส่ ทั้งควีน ทั้งภาวิน แล้วยังต้องคอยดูแลราเชนทร์กับคีรีอีก จึงเพิ่งมาเปิดดูเอาตอนอยู่ในรถระหว่างกลับปริ้นส์รูม
ผมกำโทรศัพท์แน่นพูดอะไรไม่ออก พยายามทำตัวไร้พิรุธไม่ให้สองหนุ่มที่นั่งหน้าสังเกตเห็น
- ช่วยพี่ หรือจะให้พี่ติดต่อบอกพ่อแม่ว่านายอยู่ไหน –
...ผมโดนเล่นจุดอ่อนที่สุดแล้วไง!
----------------------------
สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ ตอนนี้คงเป็นตอนสุดท้ายของปีนี้แล้ว เจอกันปีหน้าฟ้าใหม่ 2017 นะคะทุกคน!
เพจนักเขียนที่เตรียมหนีเที่ยว