ใจยักษ์ 23
“อื้อออ...จุ๊บ!...” ทันทีที่ทศกัณฐ์พาเด็กขี้เมามาถึงห้องน้ำ เขาก็รีบตรงดิ่งไปยังเคาน์เตอร์ล้างหน้า จับเอวเด็กขึ้นนั่งข้างบนแล้วโน้มคออีกคนลงมาประกบจูบอย่างรวดเร็ว คนเมาที่ตอนแรกก็ขัดขืนเล็กน้อยด้วยความตกใจแต่ก็ต้องโอนอ่อนตามชั้นเชิงของอีกคนในเวลาไม่นาน ทศกัณฐ์ป้อนจูบที่ร้อนแรงและเต็มไปด้วยความต้องการให้แก่เด็กน้อย ความต้องกายกำลังร่ำร้องจะปลดปล่อย เขาจูบกับรันต์อยู่นาน ส่วนกลางลำตัวดุนดันเกงเกงนอนออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทศกัณฐ์ถอนริมฝีปากออกจากริมฝีปากอิ่มของอีกคนที่ตอนนี้บวมเจ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“น้องช่วยพี่ที” ทศกัณฐ์กระซิบชิดใบหูเด็กน้อย
“ช่วยอาราย เมื่อกี้มาดูดปากน้องทำไม” ดูเด็กใช้คำพูดสิ ทศกัณฐ์อุ้มเด็กมาวางกับพื้น กดไหล่คนตัวเล็กกว่าให้นั่งคุกเข่า ดึงกางเกงนอนตัวเองลงจนมังกรขนาดเขื่องดีดผึงออกมาชี้หน้าเด็กน้อย
“อมไอ้ติมให้พี่หน่อย” ทศกัณฐ์เอ่ยเสียงพร่า น้ำใสๆปริ่มอยู่ที่ส่วนหัวอยากปลดปล่อย
“น้องไม่ค่อยชอบไอติม”
“ลองดูก่อน เดี๋ยวก็ชอบเอง...ซี๊ด” ทศกัณฐ์พูดยังไม่ทันขาดคำเด็กน้อยก็ใช้สองมือคว้าหมับเข้าที่ทศกัณฐ์น้อยก่อนจะค่อยๆใช้ลิ้นแต่ที่ส่วนหัวเบาๆไปทีหนึ่งจนทศกัณฐ์ต้องสูดปากออกมา
“ฮื่อออ ไม่เห็นอร่อยเลยยยย” เด็กน้อยกำลังจะปล่อยมืออกแต่ทศกัณฐ์ก็จับมือเด็กประกบเข้าที่เดิมแล้วขยับมือรูดชักขึ้นลงเป็นจังหวะ ความอุ่นจากมือของรันต์ยิ่งทำให้ทศกัณฐ์เสียวมากขึ้นๆ แต่เหตุการณ์ที่ทศกัณฐ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เด็กน้อยก้มหน้าใช้ลิ้นเรียวๆขยับเลียไปที่ส่วนหัวบานของทศกัณฐ์น้อยในขณะที่มือเรียวก็ยังชักขึ้นชักลงตามจังหวะการนำพาของทศกัณฐ์ เพียงไม่กี่อึดใจทศกัณฐ์ก็กระตุกร่างจะปล่อย เขาใช้มือดันหน้ารันต์ออกให้พ้นรัศมี แต่ไม่ทันการณ์ น้ำสีขาวขุ่นขลั่กก็ถูกฉีดพ่นกระเด็นไปโดนใบหน้าใสอยู่หลายส่วน
เด็กน้อยขี้เมายังนิ่งกลายเป็นทศกัณฐ์เองที่เป็นฝ่ายตกใจ เขารีบพารันต์ไปล้างหน้า เช็ดทำความสะอาดแก่นกายและพื้นที่เปื้อนจนสะอาดเรียบร้อย อุ้มเด็กน้อยที่ตาปรือพร้อมจะหลับทุกเมื่อขึ้น ริมฝีปากหนาโน้มลงไปจูบหน้าผากมนแผ่วเบา เขารู้ว่าเขาแย่ที่เอาเปรียบคนเมาที่ไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็อดใจไม่ไหวขึ้นทุกวัน อยากทำมากกว่านี้ มากขึ้น มากขึ้นอีก
ทศกัณฐ์วางรันต์ที่หลับไปแล้วลงบนเตียงก่อนจะเอนกายลงตาม สอดแขนหนาให้อีกคนนอนหนุน ส่วนอีกแขนก็พาดก่ายเข้าที่เอวน้อง
“ไอ้สัส สบายตัวเลยสิมึง” สมิธแขวะทศกัณฐ์ทันทีที่ล้มตัวลงนอนลงข้างๆ เขาไม่ได้ยินเสียงหรอกว่าไอ้พวกนี้เข้าไปทำอะไรกัน แต่ชวนกันไปเข้าห้องน้ำเวลานี้ มันก็คงจะเดาได้ไม่ยากนักหรอก
“เสือก นอนไปเดี๋ยวมันก็ตื่นมาโวยวายอีก” ทศกัณฐ์ที่นอนกอดอีกคนตอบกลับสมิธเบาๆ เพราะกลัวไอ้เด็กขี้เมาจะตื่นขึ้นมาโวยวายจริงๆ
“ครับบบบ” สมิธขานรับเบาๆ ก่อนจะพยายามข่มตาหลับไปในที่สุด
+++++++++++++++++++++++
“Hi~~ อรุณสวัวดิ์ไอ้น้องรันต์ ปวดหัวไหมมึง” หืมมม เหมือนผมได้ยินเสียงและตัวพี่สมิธอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่นแฮะ นี่ผมยังไม่ตื่นอีกหรอ ผมเดินลงบันไดพร้อมขยี้ตาไปด้วย แต่พี่สมิธก็ยังอยู่แฮะ ผมว่าผมเดินกลับไปนอนต่อแล้วปลุกตัวเองให้ตื่นดีกว่า
“มึงจะไปไหนวะ มึงไม่ได้ตาฝาดเว้ย ไอ้เด็กเอ๋อ” พี่สมิธร้องเรียกอีกครั้ง ผมเลยลองหยิกตัวเองเบาๆก็รู้สึก แสดงว่าไม่ได้ฝันจริงๆด้วย
“พี่...มาตั้งแต่ตอนไหน...” พอพี่สมิธได้ยินผมถามเท่านั้นแหละ ไอ้รอยยิ้มชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าเขาทันที ผมว่าสถานการณ์ชักไม่ค่อยดีแฮะ
“ตั้งแต่เมื่อคืน” ผมหรี่ตามองพี่สมิธเล็กน้อย ก่อนสายตาจะเบนหาทศกัณฐ์ไปทั่วห้อง ผมตื่นมาก็ไม่เจอเขาแล้ว แต่ตอนนี้ชั้นล่างก็ดูจะไร้วี่แววของเขา ผมว่าผมคงมีเรื่องต้องคุยกับเขาสักหน่อย
“มึงไม่ต้องมองหามันหรอก มันออกไปวิ่งตั้งแต่หกโมงเช้านู่น แต่เดี๋ยวก็คงมาแล้วล่ะมั้ง” ตอนนี้เจ็ดโมงนิดๆแล้วครับ
“คือว่า...” ผมกำลังจะอ้าปากแก้ตัวกับพี่สมิธ แต่ก็โดนเขาพูดสวนขึ้นซะก่อน
“มึงไม่ต้องพูด เรื่องของพวกมึงสองคนกูรู้หมดแล้ว แล้วก็ไม่ต้องห่วงเห็นกูเป็นแบบนี้กูไม่ใช่พวกปากสว่าง” พี่สมิธพูดกอดอกเชิดหน้าเหมือนภูมิใจในตัวเองซะเต็มประดา
“รู้เรื่องพวกผม หมายความว่าไงครับ?” ผมขมวดคิ้วถามเขางงๆ
“ก็มึงกะไอ้ทศเป็นกิ๊กกันไม่ใช่หรอ กูเห็นหรอกเวลามึงมาที่นี่ก็มาแต่ชั้นสี่สิบ กูก็อยู่ที่นี่นะอย่าลืมดิ หรือจะเถียงกู?” ผมลืมไปซะสนิทเลยว่าพี่สมิธก็อยู่คอนโดฯนี้ เพียงแต่อยู่คนละชั้นเท่านั้นเอง
“มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิด ผมมีเหตุผลของผม เดี๋ยวผมก็จะไปจากที่นี่แล้ว” ก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงดีเหมือนกัน
“หรอ นั่นมันก็เป็นเรื่องของพวกมึง ไม่ต้องมาบอกกูหรอก ไอ้ทศก็ย้ำกูแล้วล่ะว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร” พี่สมิธพูดสบายๆแต่น้ำเสียงเขากลับเต็มไปด้วยความมั่นคง
เฮ้อ เอาเถอะผมคิดไว้แล้วล่ะว่าสักวันคงต้องมีใครรู้เรื่องนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ล่ะนะ
“พี่อยากคิดยังไงก็แล้วแต่พี่ แต่เรื่องนี้อย่าเอาไปบอกใครเลยนะครับ ถือว่าผมขอร้องก็ได้”
“เออ ไม่บอกใครหรอกน่า” ผมพยักหน้าวางใจแล้วลงไปนั่งลงโซฟาตัวยาวตัวเดียวกับที่เขานั่งอยู่ กดรีโมทไปช่องโปรดของตัวเอง
“ว่าแต่เมื่อคืนพี่มาทำอะไรที่นี่หรือครับ ห้องตัวเองก็มีไม่ใช่หรอ” ผมถามพี่สมิธขึ้น เห็นเขาสะดุ้งนิดนิดๆแล้วนิ่งไปนานจนผมนึกว่าเขาจะไม่ตอบผมแล้ว
“กูฝันร้ายน่ะ” พี่สมิธพูดเสียงแผ่ว ผมก็พยักหน้ารับไม่ได้เซ้าซี้อะไรเค้าอีก ดูจากท่าทางเขาก็คงไม่อยากจะพูดถึงมันสักเท่าไหร่ เราสองคนนั่งดูทีวีกันเงียบๆอยู่สักพัก อยู่ๆพี่สมิธก็พูดขึ้น
“รันต์ ถ้าสมมตินะสมมติว่ามึงโดนข่มขืน...มึงจะทำยังไงวะ”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะครับ ถ้าเป็นผู้หญิงผมก็อาจจะปล่อยเธอไปแต่คิดว่าคงเป็นไปได้ยากอยู่นะครับที่ผู้หญิงจะสามารถข่มขืนผู้ชายได้ ส่วนผู้ชายหรอครับ อืม...ผมอาจจะฆ่ามันก็ได้นะครับ” จริงๆแค่ความตายผมว่ามันยังไม่พอหรอก ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้มันเจ็บปวดกว่าผมเป็นร้อยเท่าพันเท่าเลย แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกไป
“แล้วถ้ามึงฆ่ามันไม่ได้ล่ะ แบบไม่มีทางเลือกจริงๆ จะทำยังไง”
“ผมเป็นคนมีทางเลือกให้ตัวเองเสมอ แต่สำหรับบางคนที่คิดหาทางออกให้ตัวเองไม่เจอก็คงต้องจมอยู่กับสิ่งเหล่านั้นไปตลอดชีวิต หรือไม่ก็จบทุกอย่าง...ด้วยความตาย ซึ่งวิธีสุดท้ายผมไม่ขอแนะนำ เพราะมันคือวิธีของคนขี้ขลาด” จริงๆผมก็เคยใช้วิธีนี้ไปแล้วกับทศกัณฐ์ แต่ก็แค่ขู่เขาเท่านั้นแหละ ใครเขาจะยอมเอาชีวิตไปแลกกับคนอย่างเขาจริงๆกัน
“หรอ แล้วถ้าตายไม่ได้แต่ต้องจมอยู่กับความทรงจำแย่ๆแบบนั้น มันมีทางไหมที่จะสามารถลืมมันได้”
“ขึ้นอยู่กับว่าโดนมาหนักแค่ไหนนะครับ บางคนอาจใช้เวลาเยียวยาแค่ปีสองปี บางคนอาจใช้เวลาเป็นสิบปี หรือบางคนอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิต”
“โดนเกือบทุกวัน...หลายปี” เสียงพี่สมิธดูแผ่วปนขมขื่นจนผมใจกระตุกแปลกๆ
“คนที่โดนขนาดนั้นยังมีชีวิตอยู่อีกหรอครับ ผมว่าไม่น่ามีคนที่ทนได้ขนาดนั้นนะครับ ถ้าเขายังอยู่แสดงว่าเขาต้องเป็นคนที่เข้มแข็งมากแน่ๆ” ผมพูดยิ้มๆกับพี่สมิธ
“ไม่หรอก...แต่มึงเคยบอกกูว่าเวลาจะช่วยเยียวยาทุกอย่าง”
“ครับ ถ้าทำให้ถูกวิธี เราจะค่อยๆดีขึ้นและอยู่ได้แม้จะไม่ได้มีความสุขก็ตาม แต่ก็อย่างที่บอกนะครับเวลาแค่ช่วยเยียวยาจิตใจและร่างกายให้ดีขึ้นไม่ได้ทำให้เราลืมใครคนนั้นที่ทำร้ายเราไว้หรอกนะครับ กับคนบางคนเวลาก็ไม่มีผลต่อความรู้สึกนะครับ ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยิ่งตอกย้ำตัวเอง ยิ่งรู้สึก...มากขึ้นเท่านั้น”
“อืม ก็คงจะจริงอย่างที่มึงว่า”
“พี่สมิธทำไมถึงถามเรื่องนี้หรอครับ?”
“ก็...” แกร็ก! เสียงเปิดประตูจากด้านนอกดังขึ้นพอดีกับที่พี่สมิธกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง เขาจึงปิดปากฉับลงพร้อมๆกับที่ทศกัณฐ์เดินเข้าห้องมา
“คุยอะไรกัน” ทศกัณฐ์เปิดปากถามเมื่อเดินเข้ามาใกล้พวกเรา
“ก็เรื่องทั่วๆไปน่ะ มึงกูหิวแล้วว่ะ”
“ก็ไปหาซื้ออะไรกินดิ” ทศกัณฐ์บอกปัดๆแล้วนั่งลงที่โซฟาระหว่างผมและพี่สมิธ ผมขยับตัวหนีนิดหน่อย ก็ตัวเขาเปื้อนเหงื่อนิครับ
“กูอยากกินน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋” พี่สมิธเริ่มงอแงแล้วครับ ทศกัณฐ์ส่ายหัวให้แล้วกดรีโมทเปลี่ยนทีวีไปอีกช่องหนึ่ง ผมหันไปมองหน้าเขานิดๆ นี่มันช่องโปรดผมเลยนะ ปกติเขาก็จะให้ผมดูตลอด บางครั้งก็มานั่งดูกับผมเงียบๆ ถ้าเขาอยากดูอะไรจริงๆก็จะขึ้นไปดูบนห้อง หรือว่าเขายังไม่หายโกรธผมตั้งแต่เมื่อคืนวะ ผู้ชายอะไรวะ ขี้น้อยใจเป็นบ้า สงสัยผมจะมองเขานานไปหน่อย ทศกัณฐ์จึงหันหน้ามาเลิกคิ้วมองผม ผมเลยเบ้ปากใส่เขาไปทีแล้วลุกขึ้น
“เดี๋ยวรันต์พาไปเองครับพี่สมิธ ขอไปเปลี่ยนชุดก่อน” ว่าจบผมก็เดินขึ้นชั้นสองทันที อยู่ๆก็หงุดหงิดขึ้นมาซะเฉยๆ คงเพราะโดนเขาแย่งทีวีหรอก ไม่ใช่เพราะเขาทำเหมือนเมินผมสักหน่อย
อ๊ะ! แรงกอดรัดที่เอวจากข้างหลังทำให้ผมหยุดชะงัก
“ปล่อย! ผมจะเปลี่ยนเสื้อ” ผมเปลี่ยนกางเกงแล้วครับ แต่ทศกัณณฐ์ก็ยังนิ่งแถมเบียดหน้าอกมาชิดแผ่นหลังผมอีก ความอุ่นจากร่างกายเขาจึงแผ่มายังตัวผม
“เป็นอะไร หืม” ไม่ต้องมาทำเสียงนุ่มเลย คิดว่าจะตบหัวแล้วลูบหลังผมได้หรอ
“เปล่าสักหน่อย คุณต่างหากที่ทำเป็นปั้นปึ่งใส่ผม”
“ตอนไหนวะ?ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยรันต์” ทศกัณฐ์พูดพร้อมกับหอมหัวผมไปด้วย ไม่ต้องมาทำเป็นเปลี่ยนเรื่องเลยโว้ย
“ก็คุณนั่นแหละ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ เมื่อกี้ก็มาเปลี่ยนช่องโปรดผม กับอีเรื่องแค่นั้นจะโกรธอะไรนักหนา”ผมว่าเสียงผมเหวี่ยงมาก ปกติผมไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครนะครับ เริ่มนิสัยไม่ดีขึ้นทุกวันแล้วสิ ทศกัณฐ์พลิกตัวผมให้หันไปเผชิญหน้ากับเขา
“เมื่อคืนไม่ได้โกรธแค่หงุดหงิดนิดหน่อย แต่รันต์ก็ทำให้พี่หายหงุดหงิดแล้วล่ะ” พูดพร้อมลูบผมเสยขึ้นหน้าผากให้ผม เออค่อยยังชั่วหน่อย ผมก็ลืมเปิดแอร์ ถึงว่าทำไมมันร้อน
“ทำอะไรอ่ะ?” ผมกัดปากนิดๆอย่างเคยชิน
“ไม่บอก…ฟอดดด” ผมถลึงสายตาใส่ทศกัณฐ์ ชอบมาลวนลามอยู่เรื่อย วันนี้ก็ดูทำตัวแปลกๆ
“ถอยออกไปเลยยยย” ผมใช้มือดันหน้าทศกัณฐ์ออกเมื่อเขาทำท่าจะหอมแก้มผมอีกข้าง
“หึๆ” เขาอมยิ้มด้วย ความรู้สึกประหม่าที่เกิดขึ้นกับตัวเองมันคืออะไรวะ
“ต่อไปนี้เรียกพี่ว่าพี่ทศนะ พี่ก็จะเรียกรันต์ว่าน้อง” เขาพูดไปด้วยมือก็เช็ดเหงื่อตามขมับให้ผมด้วย ผมนิ่งไปกับคำพูดเขา สมองกำลังคิดตาม ‘น้อง’อย่างนั้นหรอ
“เมื่อคืน...ผมได้ทำอะไรที่แปลกๆไปรึเปล่า?”
“ก็เปล่า”
“ผมเรียกคุณว่าพี่ได้ แทนตัวเองว่ารันต์ได้ แต่คำว่า ‘น้อง’ ผมไม่สามารถให้คุณเรียกไม่ได้” นอกจากคนในครอบครัว ผมอนุญาตแค่คนๆเดียวเท่านั้นที่สามารถเรียกผมว่าน้องได้ แต่ว่าเขาก็อาจจะลืมผมไปแล้วก็ได้
“ใครหรอ” ทศกัณฐ์ถามเสียงราบเรียบ ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรทั้งนั้น
“คนสำคัญ” ผมก้มหน้าบอกเสียงอ้อมแอ้ม
“อืม ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นพี่เรียกรันต์ว่ารันต์ ส่วนรันต์ก็เรียกพี่ว่า ‘พี่ทศ’ ตกลงไหม?” ผมเพียงพยักหน้าเบาๆ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ดีมากเด็กดี”เมื่อเห็นท่าทีโอนอ่อนของผมทศกัณฐ์จึงหอมไปตามขมับและแก้มไล้ลงมายังริมฝีปากและขบชิมด้วยความอ่อนหวาน ผมหลับตารับสัมผัสที่เขานำพา
ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร มันรู้สึกดีจนผม...ไม่อาจต้านทานได้ไหวอีกต่อไป
.
.
.
.
.
“ช้าสาสสส ตลาดกูวายแล้วมั้ง ปาท่องก๋งท่องโก๋คงไม่ได้แดกละ” พี่สมิธบ่นขึ้นทันทีที่เห็นผมเดินลงบันไดมา ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินเลยพี่สมิธไปใส่รองเท้าทันที ถ้าพี่จะโทษพี่ก็ไปโทษเพื่อนพี่เถอะ ผมกับพี่สมิธเดินออกจากลิฟท์จนมาถึงลานจอดรถ
“ไปคันนี้จริงอ่ะ” พี่สมิธถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ครับ ผมอยากลองขับดู”
.
.
.
.
.
.
“ไอ้รันนนนนนน ช้าๆๆๆหน่อยโว้ยยยย กูกลัว” เสียงพี่สมิธโหยหวนไปตลอดทาง แขนแกร่งรัดเอวผมแน่นจนหายใจแทบไม่ออก ผมว่าผมก็ไม่ได้ขับเร็วนะบิดไปแค่นิดเดียวเองพี่สมิธน่ะเว่อร์เกินไป แต่ผมเข้าใจความรู้สึกทศกัณฐ์แล้วล่ะว่าทำไมเขาชอบขับเร็ว ความรู้สึกเวลามีลมปะทะหน้ามันรู้สึกดีอย่างนี้นี่เอง นี่ถ้าได้ไปขับที่ถนนโล่งๆคงรู้สึกดีมากกว่านี้ไม่น้อย
ทุกคนคิดถูกครับ ผมเอาไอ้แดงลูกชายทศกัณฐ์ออกมา ซึ่งเจ้าของก็มองผมด้วยความระแวงนิดๆล่ะนะ
“พอเถอะครับ เดี๋ยวกินไม่หมดนะ” ผมปรามพี่สมิธ เมื่อเขาตรงปรี่ไปยังร้านหมูปิ้งทั้งๆที่ของกินก็เต็มมือเต็มปาก
“ไม่หมดก็แช่ตู้เย็นไว้ดิ กูอยากกินหมูปิ้ง ไม่ได้แดกนานละ” สุดท้ายผมก็ต้องปล่อยให้เขาไปซื้อตามระเบียบ
“เงินล่ะ” พี่สมิธแบมือมาตรงหน้า ผมจึงควักแบงค์ร้อยให้เขาหนึ่งใบ ไม่ต้องสงสัยหรอกครับไม่ใช่เงินผมหรอก ของเพื่อนพี่สมิธต่างหาก ก่อนออกมาเขาหยิบมาให้ผมห้าพัน ผมก็คิดว่าเว่อร์เกินไปรึเปล่ากับอีแค่มาซื้อกับข้าวที่ตลาด แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วล่ะครับ พี่สมิธเห็นอะไรน่ากินนี่ซื้อมาไม่ยั้ง ไม่ว่าจะกินหรือไม่กิน กูซื้อหมด-_-
“เฮ้ยๆ ร้านขนมเบื้องน่าแดกดีว่ะ สักชุดหน่อยดีกว่า...น่ารันต์ ร้านสุดท้ายละๆ” ประโยคสุดท้ายเสียงอ่อนลงทันทีเมื่อเจอสายตาพิฆาตจากผม
“ร้านสุดท้ายแล้วนะครับ เดี๋ยวเอากลับยาก” คิดดูสิครับขี่มอ’ไซต์มา แต่ของเยอะเหมือนเอารถสิบล้อมาขน มันใช่ที่ไหนล่ะ
“เอาไส้หวานกับไส้เค็มอย่างละชุดครับป้า” พี่สมิธสั่ง ด้านหน้ามีหญิงผมสีดอกเลาและเด็กสาววัยรุ่นยืนอยู่ก่อนหน้า
“ได้จ้า พ่อฝรั่งรูปหล่อ” ป้าคนขายนี่เสียงหวานเชียว
“กินให้หมดนะครับ” ผมบอกพี่สมิธเสียงเข้ม เสียดายของแย่ถ้ากินไม่หมด
“กูกินไม่หมดมึงก็ช่วยกูกินสิวะรันต์” ปัดความรับผิดชอบมาให้กูอีก
“ได้แล้วจ้าพ่อหนุ่ม” เสียงแม่ค้าเรียกบอกพี่สมิธ เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้หญิงสูงอายุและเด็กสาวหันมาพอดี ผมสบตากับผู้หญิงตรงหน้าด้วยความบังเอิญ ดวงตาที่มีฝ้าเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา
“คุณน้อง” น้ำเสียงสั่นเครือที่เอื้อนเอ่ยแทบทำให้ผมขาดใจลงตรงนั้น
“...คุณนม”
++++++++++++
เอาไปก่อนครึ่งหนึ่ง แวบมาได้นิดหน่อย ช่วงนี้เหนื่อยร่างพังมาก
พรุ่งนี้เจอกันต่ออีกครึ่ง จุ๊ฟฟฟฟฟ 