ใจยักษ์ 21 (ต่อ)
“คุณ...ไม่ได้ใส่ถุงยางงั้นหรอ” นานกว่าที่ผมจะเรียกสติและหาเสียงตัวเองเจอ ทศกัณฐ์ก็เหมือนจะอึ้งๆ ไปเหมือนกัน เขาก็คงลืมทั้งๆ ที่ไม่ควรจะลืมได้เลย ผมไม่น่าสะเพร่าเลยจริงๆ มิน่า มันถึงรู้สึกมากกว่าที่ผ่านๆ มา
“กูสะอาดพอ เรื่องโรคกูกล้ารับรองว่าไม่มี” ทศกัณฐ์เอ่ยเสียงเรียบ ชั่วแว่บนึงผมเห็นแววตาเขาวูบไหวแปลกไปจากเดิม แต่ตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจมาสนเรื่องนั้นหรอก
“ถ้าแค่เรื่องนั้นก็ดีน่ะสิ ออกไปจากตัวผมได้แล้ว” ทศกัณฐ์เงียบแต่ยังไม่ยอมถอนกายออกไป เราสองคนต่างก็รู้ดีว่าเรื่องที่ผมพูดหมายความว่าอะไร คู่ขาที่ไหนเขาทำสดกันหรอ ใครไม่ถือผมไม่รู้แต่เรื่องนี้ผมถือ ถ้าถึงขั้นนั้นมันก็เลยคำว่าคู่ขากันแล้ว ผมไม่ได้หมายถึงว่าผมเป็นสถานะนั้น แต่ว่าผมไม่อยากที่จะเฉียดกายหรือยื่นขาเข้าไปใกล้มันแม้แต่นิดเดียวต่างหาก ซึ่งทศกัณฐ์ก็น่าจะคิดแบบเดียวกับผม
“บอกให้เอาออกไปไง” ผมย้ำเสียงเข้มแกมหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าทศกัณฐ์ยังนิ่งอยู่ แต่ทศกัณฐ์กลับจับขาผมทั้งสองข้างของผมให้เหนี่ยวเอวสอบตัวเองไว้ แล้วโน้มตัวมาอุ้มผมขึ้น มือผมจึงต้องเหนี่ยวลำคอของอีกฝ่ายไว้กันตก
“ทำบ้าอะไรวะ” ผมหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมรู้ตัวว่ากำลังชักสีหน้าใส่เขา จากที่เหนื่อยๆ อยู่แล้วพอมีเรื่องนี้เข้ามาอีก ผมแทบจะเย็นไม่อยู่แล้ว
“จะพาไปห้องน้ำ ถ้าเอาออกตอนนี้ เดี๋ยว...ไหลออกมาเต็มพื้น” ทศกัณฐ์ยังพูดเสียงเรียบ รักษาสีหน้าสงบนิ่งของตัวเองได้เป็นอย่างดี
“ก็ช่างหัวมันดิ” ผมยังคงดื้อดึงแม้จะรู้ตัวดีว่าภายในเฉอะแฉะมากแค่ไหน ถ้าทศกัณฐ์ถอนกายออกจริงๆ ก็คงจะไหลเต็มพื้นอย่างที่เขาว่านั่นแหละ
“อยากให้เจฟกับสตีฟมาเห็นหรือไง” ทศกัณฐ์เอาจุดอ่อนผมขึ้นมาอ้าง ผมจำนนต่อเหตุผลจึงเงียบแทนคำตอบ ทศกัณฐ์จึงขยับเท้าก้าวเดินทั้งๆ ที่ร่างกายเรายังเชื่อมกันอยู่ ดีหน่อยที่ส่วนล่างของทศกัณฐ์ยังมีกางเกงยีนส์ติดอยู่ เพราะเขาเพียงแค่ปลดตะขอและรูดซิปลงเท่านั้น ทุกย่างก้าวของทศกัณฐ์เป็นไปอย่างเชื่องช้าขยับแรงมากไม่ได้ ผมเห็นเขาขบกรามเสียแน่น ตัวผมเองก็ทำอะไรไม่ได้ คงได้แค่ภาวนาให้ถึงห้องน้ำโดยเร็ว
ในที่สุดคำภาวนาผมก็เป็นผลทศกัณฐ์พาผมมาถึงห้องน้ำในห้องนอนเก่าผม วางผมลงในอ่างก่อนค่อยๆ ถอนกายออกช้าๆ ได้ยินเสียงบ๊วบ ตอนเขาถอนกายออกเต็มสองรูหู ผมหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างปั้นหน้าไม่ถูก ทศกัณฐ์กดเปิดระบบน้ำในอ่างให้ทำงาน น้ำอุ่นที่ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นทำให้ร่างกายผมกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง ได้ยินเสียงทศกัณฐ์เดินออกจากห้องน้ำไป ผมจึงไถลตัวตามความยาวของอ่าง แม้อ่างห้องนี้จะไม่ใหญ่และหรูหราเท่าของห้องน้ำในห้องนอนทศกัณฐ์ แต่ผมว่ามันก็ใช้ได้ดีเลยล่ะ ผมหลับตาพริ้มปลดปล่อยความเครียดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาจนกระทั่งหยุดอยู่เหนือหัวผม
“ครีมอาบน้ำอยู่นี่นะ ชุดอยู่บนเตียง อย่าแช่นานเดี๋ยวไม่สบาย” เสียงทศกัณฐ์ดังขึ้นใกล้ๆ ผมพยักหน้ารับทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ ผมได้ยินเสียงขยับตัวจึงเอ่ยสิ่งที่วนเวียนในหัวก่อนเขาจะเดินออกไป
“อย่าให้เกิดเรื่องแบบวันนี้ขึ้นอีก ให้มันพลาดแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว โอเคนะ” ผมเอ่ยบอกเขาด้วยโทนเสียงราบเรียบไม่ใส่อารมณ์ใดๆ หลังคิดทบทวนกับตัวเองสักพัก
“อืม” เสียงปิดประตูดังขึ้นเบาๆ เป็นแบบนี้ดีที่สุดแล้วระหว่างเรา…
.
.
.
.
.
.
“รันต์ตื่น...รันต์” เสียงปลุกพร้อมแรงที่เขย่าตัวทำให้ตื่นขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ หรี่ตาดูปรากฏว่าเป็นทศกัณฐ์นั่นเอง
“มีอะไรครับ” ผมค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น นี่มันห้องนอนทศกัณฐ์นี่นา มาอยู่นี่ได้ไงวะ จำได้ว่าก่อนจะหลับไปผมนอนอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น(ห้องนอนเล็กนอนไม่ได้ ฝุ่นเยอะ) ถึงว่าทำไมนอนสบายจัง
“โทรศัพท์เข้า” ทศกัณฐ์บอกพร้อมยื่นโทรศัพท์ของผมมาตรงหน้า ผมรับจากเขามาถืองงๆ สติยังไม่จูนเต็มที่
‘พี่เมฆเอง’
“อือ ว่าไง” กดรับสายพร้อมหาวไปด้วย ทศกัณฐ์เดินไปที่ห้องแต่งตัว
(พึ่งตื่นหรอ กูกำลังไปรับนะ) ชิบหาย! ผมลืมเรื่องเมฆไปเลย ความง่วงหายวับไปทันตา ผมเหลือบดูนาฬิกาตอนนี้หนึ่งทุ่มตรง ผมหลับไปตั้งแต่บ่ายสาม นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“เมฆ...คือมึงไม่ต้องมารับกูนะเว้ย เดี๋ยวกูไปเองได้”
(ทำไมอ่ะ ก็กูบอกแล้วไงว่าจะไปรับ มีอะไรรึเปล่าวะ...)
“กูอยากกินกระเพาะปลาน้ำแดงที่เยาวราชเมื่อตอนที่เราไปกินกันก่อนเปิดเทอมอ่ะ” กูขอโทษนะเว้ยเมฆ
(ตอนนี้เนี่ยนะ! ไกลแถมรถติดจะตายห่า ไปพรุ่งนี้ก็ได้มั้งเดี๋ยวกูพาไปกินไม่อั้น)
“กูอยากกินวันนี้ ตอนนี้” ผมยังคงดื้อดึงใส่เมฆ รู้ว่าทำแบบนี้โคตรแย่ แต่ก็ไม่มีทางเลือกจริงๆ
(ก็ได้...มึงไปรอที่ร้านเลยแล้วกัน ไปถูกใช่ไหม?)
“ไปถูกๆ ขอบคุณนะเมฆ ” แล้วน้องก็ขอโทษนะเมฆ แต่เรื่องนี้น้องให้เมฆรู้ไม่ได้จริงๆ
(กูรักมึงนะ) ที่มันพูดแบบนี้ แสดงว่ามันต้องการบอกผมว่ายังมีมันอยู่ข้างๆ เสมอ มีอะไรก็บอกมันได้ทุกเรื่อง
“รู้” แต่ผมก็เลือกที่จะเงียบต่อไป
(งั้นแค่นี้ก่อนนะ เดินทางดีๆ ล่ะ มีอะไรก็โทรหากู) แล้วเมฆก็วางสายไป ผมรู้ว่าเมฆไม่เชื่อหรอกว่าผมอยากกินกระเพาะปลาจริงๆ แต่ที่มันยอมและไม่คาดคั้นอะไรก็ทำเพื่อความสบายใจของผมเท่านั้นเอง
“ไปล้างหน้าล้างตาไป จะได้แต่งตัวแล้วออกไป” เสียงทศกัณฐ์ดังขึ้นขัดความคิด เขายืนพิงกรอบประตูกอดอกมองผมอยู่ ไม่รู้ว่าเข้ามาตั้งแต่ตอนไหน เสื้อเชิ้ตตามแฟชั่นสีขาวพอดีล็อคในด้วยกางเกงชิโน่สีกรมท่าพับเลยตาตุ่มขึ้นมาเล็กน้อยที่เอวก็สอดทับด้วยเข็มขัดHermes หัวสีทองโดดเด่น เครื่องประดับคือนาฬิกาสีเงินเรียบหรู ผมทรงคลาสสิกอันเดอร์คัตเสยไปข้างหลังเปิดหน้าหล่อๆ และนัยน์ตาสีเขียวหม่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทุกอย่างดูเข้ากันและลงตัวเมื่อมาอยู่บนร่างของผู้ชายคนนี้ ผมเบ้ปากนิดๆ ด้วยความหมั่นไส้ก่อนเดินผ่านหน้าเขาเข้าห้องน้ำไป ดีที่ตอนลงจากเตียงขาไม่ทรุดลงให้เสียหน้าเข้าไปอีก ไอ้ขานี่ก็สั่นไม่หยุดตั้งแต่เมื่อบ่ายละ ผมล่ะเซ็งจริงๆ
ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงที่หมาย ตอนแรกผมก็ให้ทศกัณฐ์จอดให้ก่อนถึงร้านนั่นแหละ แต่ไอ้ยักษ์บ้านี่ก็ยังเฉยทำหูทวนลม ผมเลยได้แต่ฮึดฮัดภายในใจอยู่คนเดียว
“ผมเข้าไปก่อนนะ อีกสิบนาทีคุณค่อยเข้าไป” ผมบอกพร้อมเปิดประตูรถ ส่องซ้ายขวาไม่เจอคนรู้จักก็เตรียมวิ่งออกไป
“รันต์อย่าวิ่ง!” ได้ยินเสียงทศกัณฐ์ตะโกนไล่หลังมา แต่ ณ จุดนี้ไม่สนอะไรแล้วครับ เจ็บเป็นเจ็บ ดีกว่ามีคนมาเห็นว่ามาด้วยกันล่ะนะ
ผมเบียดกายแทรกผู้คนเข้าไปข้างใน ที่ผ่านการ์ดเข้ามาได้ง่ายๆ เพราะพี่สมิธบอกว่าให้บอกเขาว่าเป็นน้องชายพี่ดี ตอนแรกผมก็งงว่าทำไมต้องบอกแบบนั้น มารู้ตอนหลังว่าพี่ดีเป็นเจ้าของร้านจากทศกัณฐ์น่ะครับ เก่งชะมัดที่ทำร้านระดับนี้ขึ้นมาได้ด้วยอายุแค่นี้ แม้จะมีพ่อแม่คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ก็เถอะ
ผมเดินขึ้นไปยังชั้นสองเห็นสมาชิกที่คุ้นหน้าคุ้นตากลุ่มใหญ่เด่นชัดมาก
“น้องรันต์ ทางนี้ๆ” เสียงพี่เซนท์กวักมือเรียกเสียงดังแข่งกับดนตรี ผมเดินตรงเข้าไปหาพวกเขา แม้ข้างหลังจะยังขัดๆ อยู่บ้างแต่ก็เดินได้ไม่แสดงอาการอะไร ผมยกมือไหว้พวกพี่ๆ ทุกคนแล้วหันไปยกมือทักทายเมฆและอ๋อง ภายในโต๊ะมีพี่ใจดี พี่เซนท์ พี่สมิธ เก่งและอ๋อง โต๊ะข้างๆ กันก็เป็นกลุ่มนักกีฬาคณะที่ผมก็คุ้นๆ หน้าบ้างแต่ไม่รู้จักเป็นพิเศษเลยปล่อยผ่านไป ผมทรุดนั่งโซฟาคู่ที่ยังไม่มีใครจับจอง เพราะพี่ดีนั่งคู่กับพี่เซนท์ เมฆกับอ๋อง พี่สมิธนั่งคนเดียว ซึ่งผมไม่อยากโดนกวนประสาท เลยเลือกที่จะนั่งตัวที่ว่างแทน พอเมฆมาก็จะให้มันนั่งกับผม เป็นอันจบ
ฟุ่บ! แรงยวบของโซฟาตัวเดียวกับผม ทำให้ผมหันไปมองอีกคนตาเขียวทันที ทศกัณฐ์ทรุดนั่งลงข้างๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ฮิ้วววว ก็ว่าอยู่ว่าทำไมไม่มานั่งข้างกู ที่แท้ก็รอไอ้ทศมานั่งด้วยนี่เอง” ไอ้พี่สมิธชงทันที กูว่าละว่าต้องไม่พลาดช็อตนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย พี่ชอบกวนประสาทผมเถอะ” ผมบอกหน้าบูดๆ
“หรอออออ” กวนติงชะมัดเลยไอ้พี่คนนี้
“แล้วไอ้เมฆทำอะไรอยู่ ยังไม่มาอีก” พี่ดีถามขึ้น
“ไปซื้อกระเพาะปลาให้ผมอยู่ครับ”
“มึงมาอยากกินกระเพาะปลาอะไรตอนนี้เนี่ย” พี่สมิธมองงงๆ
“เรื่องของผม” แลบลิ้นแถมให้ด้วย ไอ้พี่สมิธเลยทำท่าจะเข้ามาขย้ำคอซะให้ได้ถ้าไม่โดนพี่ดีมองดุๆ ซะก่อน
“น้องรันต์กินข้าวมารึยัง สั่งอะไรหน่อยไหม” พี่เซนท์ถามผม ร้านนี้มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ครับ
“ไม่ครับ ผมรอกินกระเพาะปลาน้ำแดงจากเมฆ” มันอุตส่าห์ถ่อไปซื้อให้ซะขนาดนั้น ถ้าไม่กินผมก็จะใจร้ายกับเมฆเกินไปแล้ว
“อ่อ แล้วมึงล่ะทศ จะสั่งอะไรเพิ่มป่ะ ถึงพวกกูจะสั่งไปเยอะแล้วก็เถอะ” พี่เซนท์หันไปถามทศกัณฐ์แทน เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนคำตอบของเขาจะทำให้ใจผมกระตุกไปวูบหนึ่ง
“แซนวิชสลัดทูน่าละกัน” ผมไม่กล้าหันไปมองทศกัณฐ์เลย ไม่รู้จะเผลอทำหน้าแบบไหนออกไป ได้แต่ยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มอย่างไม่รู้จะทำตัวยังไง
ระหว่างที่รออาหารภายในโต๊ะก็เต็มไปด้วยความครื้นเครงเพราะมี 3 ตัวชง ที่ค่อนข้างพูดเก่งรวมตัวกันอยู่ นั่นก็คือ พี่สมิธ พี่เซนท์ และอ๋อง นั่นเอง ระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยกันด้วยความสนุกสนาน ผมจึงได้โอกาสเปิดปากคุยกับทศกัณฐ์เบาๆ
“คุณ ถ้าเมฆมาเมื่อไหร่ คุณย้ายไปนั่งข้างพี่สมิธนะ” ทศกัณฐ์หันมามองหน้าผมตรงๆ แล้วส่ายหน้าให้แบบมึนๆ ผมเลยถลึงตาใส่ทันที “ทำไม?”
“จะให้ผู้ชายตัวโตๆ สองคนนั่งเบียดกันรึไง ตลกจะตายชัก” มันก็จริง พี่สมิธกับทศกัณฐ์นี่ตัวพอๆ กันเลย แต่ทศกัณฐ์น่าจะหนากว่าหน่อย แล้วโซฟามันก็ไม่ได้แคบขนาดนั้นหรอก นั่งเบียดหน่อยสามคนยังได้เลย
“ไม่รู้ล่ะ แต่ผมจะนั่งกับเมฆ คุณต้องย้าย” ผมยังยืนยันเสียงแข็ง มองสบตาเขาอย่างไม่ยอมแพ้
“พี่ๆ หวัดดีครับ...ไงพวกมึง” เสียงเมฆดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองในมือเมฆมีถุงกระเพาะปลาหลายถุงเชียว ไม่ได้ซื้อมาประชดกูใช่ไหมเนี่ย
“เออๆ ช้านะมึง มานั่งเร็วๆ จะได้แดกเหล้ากันซะที” อ้าวไอ้พี่สมิธ กูก็นึกว่าห่วงเพื่อนกู ผมใช้สายตาไล่ทศกัณฐ์ ร่างสูงทำท่าว่าจะขยับลุกแต่เมฆดันไปนั่งลงข้างพี่สมิธซะก่อน ทศกัณฐ์เลยนั่งลงแล้วยักใหล่ให้ผมอย่างช่วยไม่ได้ ผมแอบเบ้ปากให้เขานิดๆ ด้วยความหมั่นไส้
“อ่ะไอ้น้อง กระเพาะปลาน้ำแดง แดกให้หมดนะมึง” เมฆส่งกระเพาะปลามาให้จากฝั่งตรงข้าม พี่ดีจึงเรียกพนักงานให้เอาชามมาให้ ประจวบเหมาะกับอาหารที่กำลังทยอยเอามาเสิร์ฟพอดี เราจึงลงมือรับประทานด้วยความหิวโหย
หลังจากจัดการอาหารบนโต๊ะ และเคลียร์พื้นที่เรียบร้อย ก็เข้าสู่ช่วงที่ทุกคนรอคอย นั่นคือการดื่มเครื่องดื่มมึนเมานั่นเอง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าอร่อยตรงไหน
“เอาเหล้ากันหมดเลยใช่ไหม” พี่ดีหันมาถามสมาชิกทุกคนก่อนจะสั่งพนักงานให้จัดแก้วได้ถูก
“ผมดื่มเบียร์นะพี่ กินเหล้าแล้วเมาง่าย” เก่งเอ่ยปากบอก หรือว่าผมจะเอาแบบเก่งดี เพราะเหล้าผมเมาง่ายมาก
“ผมก็เอาเบียร์เหมือนกัน” ผมยกมือบ้าง ทุกคนพากันหันมามองด้วยความแปลกใจ
“ค็อกเทลก็พอมั้งมึงอ่ะ” เมฆขัดขึ้น
“ไม่เอา จะกินเบียร์” ความรู้สึกเหมือนจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกระดับ หึๆ
“เออๆ ตามใจมันเหอะ” พี่สมิธจึงตัดรำคาญในที่สุด
“กูเปิดโกลด์นะ” พี่เซนท์ว่า เห็นสายตาของไอ้อ๋องเป็นประกายเชียว
“เปิดบลูให้กูก่อน” ทศกัณฐ์ว่าเสียงเรียบ
“เฮ้ย! เอาจริงดิพี่” อ๋องพูดอึ้งๆ
“ฮ่าๆๆ มึงคิดว่ากำลังพูดอยู่กับใคร นี่ป๋าทศนะเว้ย” พี่สมิธพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“แต่มันไม่มีในโปรร้านนี่ครับ ก็เกิดมาผมยังไม่เคยดื่มเลยนี่พี่ บุญปากสุดก็โกลด์ที่ไอ้เมฆเลี้ยง” อ๋องบ่นอุบอิบ
“ไม่มีในโปร แต่สั่งเองได้ไง แดกๆ ไปเถอะมึงไม่ได้เป็นคนจ่ายหรอก” ไอ้เมฆว่า ผมก็พยักหน้าเห็นด้วย ก็ดี จะกินให้แม่งหมดตัวเลย
“เหลือลังเดียวนะ ของมาอีกทีอาทิตย์หน้า” พี่ดีหันมาพูดกับทศกัณฐ์
“เปิดแค่ขวด สองขวด พอหายเสี้ยนก็ได้” พี่เซนท์บอก ทศกัณฐ์ก็พยักหน้าตกลง รอไม่นานวิสกี้ราคาแพงก็ถูกนำมาเสิร์ฟแก่ทุกคนบนโต๊ะ พร้อมแก้วเบียร์ไซส์ใหญ่วางตรงหน้าผม มีกับแกล้มสองสามอย่างทยอยมาทีหลัง ผมยกเบียร์ขึ้นจิบ รสชาติเป็นขมฝาดๆ ลิ้นจนต้องเบ้หน้าเบาๆ หรือมันยังไม่ชินลิ้นวะ
“เป็นไง อร่อยไหม” ทศกัณฐ์ก้มลงมากระซิบถาม อยากจะพูดว่าอร่อยมากเพราะกลัวเสียหน้า แต่มันไม่อยากฝืนกินแล้วง่ะ ไม่อร่อยเลย ทศกัณฐ์เลิกคิ้วมองท่าทางผมก่อนจะหลุดยิ้มขำแล้วยกมือเรียกพนักงาน
“โรเซ่ แก้วเล็กที่หนึ่ง” พนักงานรับคำก่อนจะเดินไป
“อะไรเล่า ผมกินได้เหอะ” ไม่ยอมให้เขาดูถูกง่ายๆ แน่ บรรยากาศภายในโต๊ะเต็มไปด้วยความครื้นเครง พอเหล้าเข้าปากก็เหมือนจะคล่องกันหมด ไม่นานแก้วที่บรรจุน้ำสีเข้มกว่าเบียร์ที่ผมดื่มอยู่ก็วางลงตรงหน้าเป็นฟองๆ เหมือนกันเลยแฮะ
“ลองดื่มดู เป็นเบียร์เหมือนกันนั่นแหละ แต่มึงน่าจะชอบ” ทศกัณฐ์พยักหน้าไปทางแก้วเบียร์แก้วใหม่ตรงหน้าผมแล้วหันไปสนใจที่เพื่อนคุยกันไม่ได้มองผมอีก ตอนแรกก็ไม่อยากจะฟังเขาเท่าไหร่หรอก แต่ว่าลองสักหน่อยก็ได้วะ
หอมดีแฮะ...อืม กินง่ายกว่าเมื่อกี้เยอะเลย รสชาติเหมือนมีสตอรว์เบอร์รีผสมอยู่ด้วย
ผมดื่มอึกๆ เพลินไปหน่อยจนหมดแก้ว รู้สึกไม่เมาเหมือนเหล้าแฮะ(เดี๋ยวแกก็รู้//YINGPREM) ผมอยากดื่มอีกจึงตัดสินใจกระตุกเสื้อทศกัณฐ์ เขาหันมามองนิดๆ ว่ามีอะไร ผมยังเงียบ เขาเลยเหลือบมองไปแก้วที่ว่างเปล่า ก็ฉีกยิ้มมุมปากมาให้ผม เขาชักจะยิ้มบ่อยเกินไปแล้วนะวันนี้
“โรเซ่ ไซส์แอล...อย่าดื่มเยอะนักล่ะ เมาเหมือนกันนะ” ทศกัณฐ์หันไปบอกพนักงานก่อนจะวกกลับมาคุยกับผม ผมเลยยู่จมูกใส่เขานิดๆ อย่ามาสอนซะให้ยาก คราวนี้ผมไม่เมาแน่ๆ
++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมิธหันไปมองฝั่งตรงข้ามกับที่เขานั่งอยู่ ไอ้เด็กจอมกวนยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่ไปแก้วที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ตาก็เริ่มปรือแล้วด้วยสิ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงนัก เพราะไอ้น้องรันต์ไม่ว่าจะทำอะไรหรือขยับตัวไปไหนก็จะอยู่ในสายตาของเพื่อนเขาตลอด ตั้งแต่ที่เขาเป็นเพื่อนกับทศกัณฐ์มายังไม่เคยเห็นมันสนใจใครเท่านี้มาก่อน อย่าว่าแต่กับคนอื่นเลย ขนาดเพื่อนมันก็ยังมีกำแพงของมัน แต่พอเขาได้เห็นทศกัณฐ์เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเขาก็ดีใจมากแล้ว อยากให้เพื่อนได้มีความสุขเหมือนคนอื่นๆ เขาสักที
“ไปไหนอ่ะพี่” เมฆหันมาทักท้วงสมิธที่ลุกขึ้นยืน กำลังจะออกจากโต๊ะ
“ห้องน้ำ” สมิธหันมาตอบรุ่นน้อง ก่อนจะเดินแยกตัวออกมา ยิ่งดึกผู้คนในคลับยิ่งเยอะเบียดเสียด กว่าจะผ่านฝูงชนมาถึงห้องน้ำได้ก็เล่นเหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
วูบ! สมิธหันไปมองรอบๆ ตัวด้วยความสงสัย ความรู้สึกเหมือนกำลังโดนจ้องมองอยู่ตลอดเวลา มันทำให้กายเขาขนลุกซู่อยู่ตลอดเวลา เขาบีบมือตัวเองที่สั่นขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ปฏิกิริยาแบบนี้ของร่างกายไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก
ร่างสูงรีบเดินเข้าไปยังโถด้านในสุด จัดการรูดซิปแล้วควักน้องชายออกมาทำธุระให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เมื่อจัดการเสร็จก็ตรงดิ่งไปยังอ่างล้างมือ กวักน้ำใส่หน้าตนเองจนเริ่มสร่าง หรือว่าเขาจะเมาจนคิดไปเอง
“หึๆ” เสียงปริศนาดังขึ้น ร่างสูงที่พึ่งจะสร่างหมาดๆ รีบหันไปทางต้นเสียงที่หน้าทางเข้า เห็นเพียงเสี้ยวแว่บๆ เดินออกไป ใครมันกล้ามากวนประสาทเขากันถ้าจับได้แม่งจะกระทืบให้ คิดได้ดังนั้นสมิธก็รีบสาวเท้าตามไปติดๆ เขาเห็นแผ่นหลังที่คาดว่าจะเป็นของบุคคลปริศนา
“หยุดนะเว้ย!” สมิธตะโกนสั่งอีกคนให้หยุด แต่บุคคลคนนั้นก็ยังเดินต่อไปด้วยท่าทีสบายๆ โชคดีที่เสียงเพลงค่อนข้างดังเลยไม่มีใครหันมาสนใจเขามากนัก จนกระทั่งเขาตามมาจนทะลุหลังร้าน ร่างปริศนาจึงได้หยุดยืนอยู่นิ่งๆ ทำให้สมิธที่เดินตามมาพลอยหยุดตามไปด้วย แสงไฟจากลานจอดรถสาดส่องเข้ามา ทำให้เขาเห็นแผ่นหลังของบุคคลที่เขาเดินตามได้เต็มสองตา ผมยาวสลวยสีบลอนด์ทองถูกมัดขึ้นลวกๆ แต่กระนั้นก็ยังยาวมาถึงกลางแผ่นหลังกว้างที่คุ้นตา
“ตามกูทำไม มึงเป็นใครกันแน่!” ไม่รู้เพราะอะไรดลใจให้เขาถามออกไปแบบนั้น แม้ตอนนี้สัญชาตญาณเขากำลังร้องเตือนอย่างหนักว่าให้รีบถอยห่างจากคนๆ นี้
“จะให้หันไปจริงๆ น่ะหรอ” เสียงทุ้มแหบเอื้อนเอ่ยออกมาเพียงเท่านั้น ก็ทำให้อาหารที่สมิธเพิ่งกินไปแทบจะขย้อนออกมาให้ได้ ตัวเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงมองร่างตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาอยากหนีไปจากตรงนี้แต่ร่างกายเขาตอนนี้ราวกับมีโซ่จากทุกทิศทางมาตรึงไว้จนขยับไม่ได้ ระยะห่างราวสิบเมตรไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
ในตอนนั้นเองร่างสูงตรงหน้าสมิธกำลังจะขยับกาย ทำให้เขารีบร้องจนเสียงหลง
“อย่าแม้แต่จะหันมาเด็ดขาด” สมิธแทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง ในหูของเขามันอื้ออึงไปหมด แต่อย่างน้อยบุคคลตรงหน้าก็ไม่ได้ขยับหันมาอย่างที่คิด
“หึๆ ไม่คิดถึงกันเลยหรือไง” น้ำเสียงทุ้มแหบพร่าเอ่ยกับสมิธด้วยโทนเสียงสบายๆ เหมือนถามสารทุกข์สุขดิบ
“มึงฝันกลางวันอยู่รึไง!” สมิธกัดฟันตอบโต้อีกคนอย่างสุดจะทน เท้าของเขาก้าวถอยหลังเรื่อยๆ
“ก็คงจะฝันต่อไปอีกไม่นานหรอก” อีกคนตอบกลับออกมาปนหัวเราะเบาๆ ราวกับว่าจะมีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นอย่างนั้น
“อย่ามาผิดสัญญา มึงต้องไม่โผล่หน้ามาให้กูเห็นอีก” เขาท้วงติงถึงพันธะสัญญาในอดีต ความทรงจำอันเลวร้ายกำลังจะกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง
“พี่ไม่เคยผิดสัญญา แต่จะเป็นนายต่างหาก ที่จะเดินเข้ามาหาพี่เอง” จบประโยคนั้นสมิธตัดสินใจหันหลังออกวิ่งกลับเข้าไปในร้านทันที แต่เขาก็ยังไม่วายได้ยินเสียงของไอ้ปีศาจลอยเข้ามาในอากาศ
“มาหาพี่ได้ทุกเมื่อนะ มิตตี้” รอยยิ้มร้ายถูกจุดขึ้นบนใบหน้าคมสวยนิดๆ สมิธวิ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตาตรงดิ่งไปยังห้องน้ำข้างใน เมื่อปิดประตูยังไม่สนิทดี เขาก็ขย้อนสิ่งที่พึ่งกินไปออกมาอย่างกักเก็บไว้ไม่ไหว สมิธโก่งคออ้วกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่เหลืออะไรจะหลุดออกจากกระเพาะได้อีก
ร่างสูงทรุดตัวนั่งอยู่ข้างโถส้วมด้วยความอ่อนแรง
เขาจะทำยังไงดี...สัตว์นรกนั่นกำลังคืบคลานเข้าใกล้เขามากขึ้นทุกทีแล้ว!!!
+++++++++++++++++++++++
เฮลโลลลล เปรมคัมแบ็คคคคค อิอิ ตอนนี้ช่างยาวเหยียดเหลือเกิน ชดเชยที่ห่างหายไปนานให้เต็มอิ่มกันไปเล้ย ขอบคุณทุกๆ คนมากนะคะสำหรับกำลังใจ ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มโอเคเคขึ้นมากแล้ว แต่คงไม่ได้มาถี่มากเพราะเปรมก็ยังยุ่งๆ อยู่ อาจจะมาได้อาทิตย์ละประมาณ 2 ตอนนะคะ คิดถึงทุกคนเน้อ จุ๊ฟฟฟ

ป.ล.ถ้าไม่เป็นการรบกวนมากไปก็อยากให้ช่วยคอมเม้นแสดงความคิดเห็นให้หน่อยนะคะ จะได้เป็นแนวทางนำไปปรับปรุงงานเขียนต่อไป ชุ้บๆ

ป.ล.2 ถ้าเม้นเยอะๆ ตอนหน้าจะมาเร็วเป็นพิเศษ จุ๊ฟฟฟ(หลบรองเท้าแพรพ อิอิ)
