Chapter 10 : ไว้ใจที่ตรงหน้าประตูทางเข้ากำแพงปราสาท เลนและมารียืนรออยู่ที่นั่นด้วยกันกับทหารเฝ้าประตู หญิงวัยกลางคนถือดอกไม้หลากสีช่อใหญ่ที่เก็บมาจากในทุ่งไว้ในมือ สีหน้าของพวกเขาดูกังวลเล็กน้อย เพราะเกรงกลัวพวกทหารที่เดินผ่านไปมา หากรออยู่สักพักก็ได้ยินเสียงใสร้องเรียก
“เลน! มารี!” ลูคัสวิ่งเข้าไปสวมกอดทั้งสองคน
“ลูคัส เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าได้ยินว่าเจ้าบาดเจ็บ” มารีส่งดอกไม้ให้ หล่อนวางมือประกบแก้มนิ่มแล้วจูบบนหน้าผากของเด็กหนุ่มเบาๆ “เป็นห่วงเหลือเกิน”
“ไม่ต้องเป็นห่วงแล้วครับ แต่ผมก็เพิ่งจะลุกได้ วันนี้เลยเดินซะเยอะเลย”
“ข้ากับแม่มาหาเจ้าเมื่อสามวันก่อน แต่พวกทหารเขาว่าเจ้าบาดเจ็บมากและยังไม่ฟื้น พอตายายรู้ข่าวเข้าก็นอนไม่หลับเลย”
“ยังเจ็บอยู่ไหมลูคัส”
“ไม่เท่าไหร่แล้วล่ะครับ”
สองแม่ลูกถามไถ่ทุกข์สุขเด็กหนุ่มกันอยู่สักพักจึงสังเกตเห็นคอนราดยืนอยู่กับทหารที่ท่าทางจะมียศสูงอีกสองคน พวกเขาเดาเอาเองว่าน่าจะเป็นทหารองครักษ์ของเจ้าของปราสาทเช่นกัน มารีเดินเข้าไปหาแล้วค้อมศีรษะลงต่ำ “ขอบคุณเจ้าค่ะ ขอบคุณที่เมตตาลูคัส”
เลนลูบศีรษะเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน “เจ้าจะได้กลับบ้านเราแล้วใช่ไหมลูคัส ทุกคนคิดถึงเจ้าจะแย่”
“จริงหรือ ผมก็คิดถึงทุกคนนะ” ลูคัสยิ้มอย่างมีความสุข ดวงตาสีเข้มของเขาสดใสดูเป็นประกาย
“ที่ในเมืองกำลังจะมีงานเทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยวด้วยนะ ครั้งนี้แต่ละหมู่บ้านเตรียมอาหารไว้เพียบเลย เพราะจะฉลองให้ท่านลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์ด้วย”
“งานฉลองหรือ! ผมอยากกลับไป...”
“กลับไม่ได้! ข้าไม่อนุญาต!” ลอร์ดแห่งแบร์กไฮม์กล่าวเสียงขรึม น้ำเสียงของเขาส่งผลให้มารีสะดุ้งเฮือก หล่อนรีบก้มหน้าลง แล้วถอยหลังออกไปยืนอยู่กับลูกชายพร้อมกับยกมือขึ้นกุมอกด้วยความกลัว
คาร์ลรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางดีอกดีใจของลูคัสมาสักพักแล้ว... เขาให้เด็กหนุ่มพักอยู่ในห้องหับสุขสบายภายในปราสาท หากอีกฝ่ายก็เอาแต่พูดว่าจะกลับบ้าน แล้วนี่ยังคิดจะกลับไปอยู่ที่เดิมอีกหรือ อยู่ใกล้ๆ เขาซึ่งเป็นผู้ครองเมืองไม่ดีหรืออย่างไรกัน
ฝ่ายลูคัสเองก็ตกใจไม่แพ้กันกับมารี แต่พอมานึกอีกที ถึงตอนนี้ตัวเขาจะไม่ได้อยู่ในคุก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาถูกปล่อยให้เป็นอิสระนี่นะ
สีหน้าของเด็กหนุ่มสลดลง ที่ท่านลอร์ดบอกกับเขาว่าให้อยู่ต่อไปอีกสักพัก คืออยู่ในฐานะอะไร เขาพยายามแสดงความจริงใจออกไปหมดแล้ว อีกฝ่ายยังไม่ไว้ใจกันอีกหรือ
เลนบีบมือเรียวแน่นพลางกระซิบเสียงเบา “ข้าขอโทษ ลูคัส ข้าดีใจมากเกินไป”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมาช้าๆ ทว่าพูดไม่ออกเลย ในศีรษะอื้ออึงไปหมด “.....”
“เจ้าจะถูกลงโทษไหม”
“ไม่... ไม่รู้เหมือนกัน” ลูคัสเอ่ยเสียงเศร้า
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร ข้ากับแม่จะมาเยี่ยมเจ้าอีก” เด็กหนุ่มชาวบ้านพูดพลางสวมกอดอีกฝ่าย
ลอร์ดหนุ่มจ้องมองคนทั้งสองเขม็ง “ลูคัส กลับห้องของเจ้าไปได้แล้ว” เขาหันหลังกลับแล้วเดินนำออกไป “เออร์วิน!”
เจ้าของชื่อเรียกค้อมศีรษะรับ “ขอรับ”
“ผมต้องไปแล้วล่ะ” ลูคัสบอกกับสองแม่ลูกเสียงอ่อย
มารียืนนิ่ง น้ำตาไหลอาบแก้ม นึกสงสารเด็กหนุ่มจับใจ ทว่าก็ทำได้เพียงแค่ยืนส่งด้วยกันกับลูกชายเท่านั้น
ลูคัสเงยหน้าขึ้นสบสายตากับองครักษ์หนุ่ม อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรหากเดินนำออกไปช้าๆ เขาจึงก้าวตามไปพร้อมกับทหารที่เข้ามาประกบทางด้านหลังอีกสองนาย
...ตัวเขาไม่ต่างกับเป็นนักโทษเลยจริงๆ แม้แต่จะไปไหนมาไหนเพียงลำพังยังไม่ได้
เด็กหนุ่มเดินตามเออร์วินไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงห้องของตนที่ชั้นสองบนฝั่งขวาของปราสาท ที่หน้าห้องมีทหารเฝ้าประจำอยู่สองนาย องครักษ์หนุ่มเปิดประตูออกแล้วผายมือให้อีกฝ่ายเข้าไปด้านใน
เมื่อลูคัสเดินหน้าสลดเข้าไปในห้องแล้ว เออร์วินก็ดึงประตูปิด เขายืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องชั่วครู่ ก่อนจะเปิดเข้าไปอีกครั้ง “เจ้าหิวหรือยัง”
เด็กหนุ่มพยักหน้า “หิวครับ”
เออร์วินเบือนหน้าไปอีกทางแล้วถอนหายใจ เขาสั่งทหารให้ไปบอกกับสาวใช้ ก่อนจะก้าวเข้าไปภายในห้อง ตรงไปนั่งลงบนโซฟากับเด็กหนุ่ม
ลูคัสชำเลืองมองคนที่นั่งเป็นรูปปั้นหินอยู่ข้างกันอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป
สักพักสาวใช้ก็ยกสำรับอาหารมาจัดวางให้ วันนี้พวกหล่อนไม่ต้องป้อนอาหารให้เด็กหนุ่มแล้วจึงถอยไปยืนรออยู่ห่างๆ
“หิวก็กินสิ”
นัยน์ตาสีเข้มกวาดมองไปบนสำรับอาหาร มีซุปเนื้อสองชาม กับขนมปังในตะกร้าสองตะกร้า นี่เป็นอาหารสำหรับสองคนงั้นหรือ “คุณเออร์วินจะกินกับผมหรือ”
“ข้าก็หิวเหมือนกัน” องครักษ์หนุ่มตอบเสียงเรียบ ก่อนจะก้มลงรับประทานซุปเนื้อในชาม
เด็กหนุ่มพอยิ้มออกมาได้เล็กน้อย ที่จริงเออร์วินก็คงไม่ได้เกลียดขี้หน้าเขามากมายอะไรล่ะมั้ง อุตส่าห์ยอมอยู่เป็นเพื่อนรับประทานอาหารด้วยกันกับเขาด้วย
หลังจากจัดการกับมื้อเย็นเสร็จแล้ว ลูคัสยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแล้วถือคาไว้อยู่ในมือ เขาเหลือบมองคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างกันหลายครั้ง เมื่ออีกฝ่ายยังไม่พูดอะไรตัวเขาเองก็ไม่กล้า
ทว่าสักพักองครักษ์หนุ่มที่นั่งเงียบอยู่นานเริ่มต้นบทสนทนาขึ้น “เจ้านั่งพักสักครู่ เดี๋ยวพวกสาวใช้จะมาเช็ดตัวกับเปลี่ยนผ้าพันแผลให้” จากนั้นก็ลุกขึ้นจากโซฟา
“คุณเออร์วินจะไปแล้วหรือ”
“เออร์วิน”
“หือ?” เด็กหนุ่มทำหน้างง
“เจ้าควรเรียกชื่อของข้าเฉยๆ กับคอนราดก็เช่นกัน คุณอะไรนั่นเป็นภาษาบ้านเมืองเจ้า ข้าเข้าใจ แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดสุภาพกับข้าแบบนั้น”
ลูคัสกะพริบตาปริบๆ เออร์วินกำลังบอกเขาแบบอ้อมๆ อยู่ว่าจะยอมเป็นกับเพื่อนเขาให้หรือเปล่าเนี่ย เพราะถ้าเทียบยศถาบรรดาศักดิ์กันแล้ว เขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆ เท่านั้นเอง ตามปกติแล้วก็ไม่น่าจะเรียกชื่อเฉยๆ ได้
“เข้าใจหรือเปล่า”
“ครับ เออร์วิน”
องครักษ์หนุ่มยิ้มบาง ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
เมื่อบานประตูปิดลงสนิท ลูคัสก็ชำเลืองมองไปยังพวกสาวใช้ในห้อง พวกหล่อนดูจะเพ้อตามรอยยิ้มของเออร์วินกันเลยทีเดียว ทว่าสักพักก็นึกขึ้นได้ จึงรีบรุดไปยกถาดใส่ถ้วยยามาส่งให้เด็กหนุ่ม
“ท่านลูคัสรับยาก่อนนะเจ้าคะ”
ลูคัสหัวเราะเบาๆ “พวกคุณเป็นแฟนคลับเออร์วินกันหรือ เอ้อ ผมหมายถึงชอบเขาหรือ”
ใบหน้าของสาวใช้ที่ถูกถามเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ “แหม ท่านลูคัสล่ะก็... ก็ท่านเออร์วินเป็นเสือยิ้มยาก นานๆ จะได้เห็นรอยยิ้มสักทีน่ะเจ้าค่ะ ทุกทีทั้งดุทั้งเฉียบขาดไม่แพ้ท่านลอร์ดเลยล่ะเจ้าค่ะ”
ลูคัสรับถ้วยยามาจิบ เขาก็ไม่แปลกใจหรอกที่ท่านลอร์ดจะทั้งดุทั้งเฉียบขาด เพราะดูท่านก็น่าจะอายุไม่มากกว่าเขาสักเท่าไหร่ อาจจะเท่ากับไอแซ็ก แต่ต้องปกครองทหารกับเมืองใหญ่ที่มีคนเป็นพันๆ
หากก็มีบางครั้งที่เขาคิดว่าลอร์ดหนุ่มใจดี ทำให้หลงคิดว่าเขาเป็นคนพิเศษ
...เป็นคนพิเศษอย่างนั้นหรือ ทำไมคำนี้จึงทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ในอก
มือขาวลดถ้วยในมือลง “......”
อาจเป็นเพราะความจริงแล้ว เขาเป็นแค่นักโทษคนหนึ่งที่พอจะใช้ประโยชน์ได้บ้างเท่านั้นเอง
“ยาขมไปหรือเจ้าคะ”
“เปล่าหรอก... มันก็ขมล่ะ แต่ผมดื่มได้”
...อยากกลับบ้านเหลือเกิน
มือที่ถ้วยอยู่สั่นน้อยๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววเศร้าโศก “.....”
“ท่านลูคัสเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ สีหน้าดูไม่ดีเลย จะให้ข้าตามหมอไหม” เมื่อหล่อนเอ่ยขึ้น สาวใช้อีกคนก็เข้ามาสัมผัสใบหน้าของเด็กหนุ่ม “ตัวร้อนๆ นะเจ้าคะ เพราะเพิ่งหายไข้ท่านก็ออกไปตากลมแน่ๆ เดี๋ยวเช็ดตัวสักหน่อยดีกว่าเจ้าค่ะ” จากนั้นพวกหล่อนก็พากันเข้ามารุมล้อม
...
.....
...
เสียงเคาะประตูห้องหนังสือดังขึ้น
“ท่านคาร์ล ข้าเอง”
“เข้ามา”
ขณะที่เออร์วินก้าวเข้าไปภายในห้องก็ชำเลืองมองผู้เป็นนายซึ่งมีสีหน้าขรึมตามปกติ แล้วหันไปสบสายตากับคอนราด ก่อนจะเปรยเบาๆ “น่าสงสารนะขอรับ”
ลอร์ดหนุ่มนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ เขาวางปากกาขนนกในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้น “เจ้าพูดถึงใคร”
“จะมีใครอีกล่ะท่าน”
คอนราดเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นจึงหัวเราะเบาๆ “เจ้ากินยาผิดมาหรือเออร์วิน”
“ข้า...” เจ้าของชื่ออ้ำอึ้ง
ภายในห้องหนังสือเงียบกริบ องครักษ์ทั้งสองส่งสายตาหากัน ส่วนเจ้าของห้องนั้นนั่งนิ่ง แต่สักพักก็กระแทกปากกาขนนกในมือลงอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกเดินไปยังบานหน้าต่าง
เออร์วินพยักพเยิดหน้ากับเพื่อนองครักษ์ เป็นเชิงบอกให้ทำอะไรสักอย่าง
“ข้าได้ยินว่าในเมืองจะมีงานเทศกาลฉลองการเก็บเกี่ยว น่าสนใจดีนะขอรับ” คอนราดออกความเห็น “ให้ข้าหรือเออร์วินกับพวกทหารคอยตามประกบเขาไว้ก็ได้”
“ถ้าปล่อยให้เข้าไปในเมือง แล้วลูคัสจะไม่ยิ่งอยากกลับไปที่บ้านนั่นหรือ”
“โธ่ ท่านคาร์ล ลูคัสเป็นเด็กฉลาดขนาดนั้น ถ้าหากเขาจะกลับที่นั่นก็คงหนีไปได้ไม่ยาก สู้พาเขาไปเที่ยวเล่นให้อารมณ์ดีแล้วค่อยกล่อมให้กลับมาด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ กับเด็กน่ะ บางทีก็ต้องตามใจบ้างนะขอรับ”
คาร์ลพูดเสียงเข้ม “แต่ข้าไม่ชอบ...” หากไม่ทันจบประโยคเขาก็หยุดพูดไปเสียก่อน ลอร์ดหนุ่มเบือนหน้าไปทางบานหน้าต่าง
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน ข้ารู้ดีว่าท่านกังวลเรื่องอันใด... ความฉลาดของลูคัสเป็นประโยชน์กับเมืองของเรา แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากเขาตกไปอยู่ในมือของศัตรูก็จะกลายเป็นเด็กที่อันตรายมาก” เออร์วินพูดขึ้นบ้าง “แต่ท่านขอรับ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ห่างจากบ้านเมืองกับครอบครัวมาไกล...”
“ข้ารู้น่ะ” ลอร์ดหนุ่มพูดปัด ความรู้สึกคิดถึงบ้านของลูคัส เขารู้ดีกว่าใคร เพราะอย่างนั้นถึงได้เป็นกังวลอยู่แบบนี้ แล้วถ้าขืนปล่อยให้กลับเข้าหมู่บ้านไป เขาก็กังวลว่าเด็กหนุ่มจะติดครอบครัวชาวบ้านที่เคยอยู่อาศัยด้วยกันอีก “นี่พวกเจ้าไม่มีงานทำกันหรือ”
“งานของพวกข้าก็คอยรับใช้ท่านคาร์ลอย่างไรกันล่ะ”
ผู้เป็นนายพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ “ข้าจะตอบจดหมายของท่านพ่อให้เสร็จแล้วจะกลับห้อง พวกเจ้าจะไปไหนก็ไปเถอะ”
ความมืดมนอนธการคืบคลานเข้ามาปกคลุมท้องนภา จันทร์เสี้ยวลอยเด่นกลางฟ้า มีดวงดาวระยิบระยับมากมาย
คาร์ลนั่งเอนหลังพิงกับพนักโซฟาในห้องนอนของตน สายตาทอดมองออกไปไกล หากสักพักพอนึกย้อนไปถึงภาพของลูคัสกับเลนที่ข้างหน้ากำแพงปราสาทเมื่อตอนบ่ายแก่ๆ ก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว
ทว่าใบหน้าเศร้าสลดกับสายตาที่มองมายังตัวเขาเมื่อตอนนั้น...
ลอร์ดหนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ พลางถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าทำไมถึงได้นึกถึงแต่เด็กหนุ่มอยู่บ่อยๆ ทำไมอีกฝ่ายถึงมีอิทธิพลกับเขานัก ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ได้พบกันครั้งแรก จนถึงตอนนี้
เสียงฝีเท้าของพวกทหารดังแว่วมาจากทางด้านนอกห้อง คงกำลังเปลี่ยนเวรยามกัน
คาร์ลเม้มปากอย่างครุ่นคิด สักพักก็วางแก้วไวน์ในมือลง เขาลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมมาสวม จากนั้นจึงเดินออกจากห้องไป แล้วไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องนอนของเด็กหนุ่มในปราสาทฝั่งขวา
นายทหารที่เฝ้าหน้าประตูค้อมศีรษะลงต่ำ “ท่านลอร์ด”
“ลูคัสหลับไปหรือยัง”
“เงียบไปสักพักใหญ่แล้วขอรับ”
“งั้นหรือ” ลอร์ดหนุ่มลังเล หากก็ตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไป
ภายในห้องมีเพียงแสงสลัวจากตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะและจากเตาผิง ส่วนเด็กหนุ่มนอนหลับนิ่งอยู่บนเตียง
คาร์ลก้าวเข้าไปหยุดอยู่ที่ข้างเตียง ก่อนจะนั่งลงตรงที่ว่างแล้วเอื้อมมือไปวางประกบแก้มนิ่ม
นัยน์ตาสีเข้มลืมขึ้นช้าๆ “ท่านลอร์ด” ความสะลึมสะลือส่งผลให้เด็กหนุ่มคิดว่าตนเองอยู่ในความฝัน เขายิ้มอย่างน่ารัก “จะมานอนเป็นเพื่อนผมใช่มั้ย ดีจังเลย ผมกำลังเหงาพอดี” มือเรียวยกขึ้นเกาะกุมแขนแกร่ง จากนั้นจึงกระตุกให้อีกฝ่ายล้มตัวลงมานอนเคียงข้างกัน
“ลูคัส!” ลอร์ดหนุ่มเซไปตามแรงดึง เขาเกือบจะล้มทับอีกฝ่าย หากยังใช้มือยันผืนเตียงไว้ได้ทัน
“เอ๋” เด็กหนุ่มเบิกตาโพลง หายง่วงทันควัน
เดี๋ยวๆ นี่มันไม่ใช่ความฝันนี่!
“เหย! ท่านลอร์ดตัวจริง!” ลูคัสลุกขึ้นพรวด
“ข้ามีตัวจริงตัวปลอมด้วยหรือ”
“ปละ... เปล่าครับ” สองขาเรียวถีบผืนเตียงให้ตัวเขากระถดไปจนแผ่นหลังสัมผัสกับหัวเตียง เด็กหนุ่มเพ่งมองใบหน้าคมสันในแสงสลัวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพูดตะกุกตะกัก“ผมแค่... ตกใจนิดหน่อย เพราะไม่นึกว่าคุณจะมาหาผม”
“ทำไม ข้ามาหาเจ้านี่ แปลกมากรึ”
“ก็...” นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหลุบต่ำ “เมื่อตอนเย็นคุณดูเหมือนจะโกรธผม”
ลอร์ดหนุ่มถอนหายใจหนักๆ จากนั้นจึงเอนหลังพิงหัวเตียงเคียงข้างอีกฝ่าย “เรื่องงานฉลองในเมือง ถ้าเจ้าอยากไป...”
ลูคัสหันขวับ เขายิ้มกว้างจนดวงตากลมใสแจ๋วหรี่เล็ก “คุณจะพาผมไปหรือ! ดีจังเลยครับ!”
พอเห็นเด็กหนุ่มแสดงความดีใจออกมาขนาดนั้น คาร์ลก็ต้องชะงัก ในตอนแรกเขาคิดว่าจะปล่อยให้อีกฝ่ายไปด้วยกันกับเออร์วินหรือคอนราด แล้วอีกอย่าง... “ถ้าข้าไป งานจะสนุกหรือ”
“ทำไมถึงจะไม่สนุกล่ะครับ อะ! นี่ท่านลอร์ด ผมว่าคุณปลอมตัวไปร่วมในงานก็ดีนะ ไหนๆ ไปแล้วก็จะได้ไปดูวิถีชาวบ้านแล้วก็จะได้เห็นว่าพวกเขาพูดถึงคุณว่าอย่างไรยังไงล่ะครับ”
ลอร์ดหนุ่มย่นคิ้วเข้าหากัน จะว่าไปความคิดของลูคัสก็ไม่เลว ถ้าหากเขาแต่งตัวไปเต็มยศ ถึงอย่างไรก็คงไม่มีวันได้เห็นความเป็นอยู่ของชาวเมืองแล้วก็ได้รับฟังความคิดเห็นของทุกคนเป็นแน่ “ก็ดีเหมือนกัน”
“เย้! ดีจังเลย”
เป็นครั้งแรกที่คาร์ลได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ของเด็กหนุ่มที่มีให้แก่เขา ส่งผลให้ลอร์ดหนุ่มยิ้มตามไปด้วย “แต่ข้ามีข้อแม้ เจ้าจะต้องอยู่กับข้าตลอด เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ ผมสัญญาเลย” ลูคัสพยักหน้าหงึกหงัก เขารู้สถานะของตัวเองดี แต่ถึงอย่างนั้น... “ขอบคุณนะครับ คุณใจดีกับผมมาก ทั้งที่ผมเป็นแค่...”
“เป็นแค่?”
“เป็นแค่นักโทษคนหนึ่ง” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อย
“เจ้าไม่ได้เป็นนักโทษ”
คิ้วเรียวย่นเข้าหากัน “ไม่ได้เป็นหรือ แต่... ตอนที่มาที่นี่ผมต้องอยู่ในคุก แล้วผมก็ไปไหนมาไหนไม่ได้...”
“ในปราสาทฝั่งขวานี่ เจ้าจะไปที่ไหนก็ได้ จะออกไปในสวนก็ได้ แต่ต้องมีทหารติดตามอยู่ตลอด แล้วถ้าจะออกไปข้างนอกปราสาท เจ้าต้องได้รับอนุญาตจากข้าก่อน เข้าใจไหม”
มันก็ไม่ต่างจากนักโทษเท่าไหร่หรือเปล่าเนี่ย เด็กหนุ่มบ่นอยู่ในใจ “ผมเข้าใจ แต่ทำไมต้องมีทหารตามผมด้วยล่ะ คุณยังไม่ไว้ใจผมอีกหรือ”
“ข้าเองก็มีทหารติดตามอยู่ตลอด ก็ไม่แปลกไม่ใช่หรือ”
เดี๋ยวๆ กับท่านลอร์ดก็ไม่แปลกไหม แต่กับเขา...
“แล้วห้องหนังสือ...”
“ห้องหนังสืออยู่ในปราสาทฝั่งซ้าย เจ้าห้ามเข้าไปที่นั่นเด็ดขาด”
“แต่ที่นั่น...” ...เป็นที่เดียวที่เขาอาจจะใช้เป็นทางผ่านกลับบ้านได้
ลอร์ดหนุ่มยิ้มบาง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบศีรษะเล็ก “เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าอยากให้เจ้าใช้ความรู้ของเจ้าทำประโยชน์ให้กับชาวเมืองแบร์กไฮม์”
ลูคัสเบะปาก ไม่ต้องทำมาเป็นชมเขาหรอก นั่นไม่ใช่คำตอบที่อยากได้ยินสักหน่อย
คาร์ลหัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้าน่ารักแสนงอนนั่น เขาอยากจะบีบปากบีบจมูกอีกฝ่ายแรงๆ ให้หายมันเขี้ยว ดวงตาสีฟ้ามองเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน แล้วใช้ปลายนิ้วมือไล้พวงแก้มสีระเรื่อ “ข้าไว้ใจเจ้า ลูคัส เพราะอย่างนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าอยู่ที่นี่กับข้า ที่ให้ทหารติดตามเจ้าก็เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับเจ้าก็เท่านั้น”
พอได้ยินลอร์ดหนุ่มพูดเช่นนั้นลูคัสจึงค่อยยิ้มออกมาได้ หัวใจของเขาพองโตเต้นแรง ดีใจกว่าได้รับคำชมเสียอีก เด็กหนุ่มพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เอนศีรษะพิงไหล่กว้าง จากนั้นจึงยกมือขึ้นกุมมือกร้านที่สัมผัสอยู่บนแก้มตนแล้วดึงลงมาวางไว้ที่บนแผ่นอก
“คิดถึงบ้านอีกแล้วหรือ” คาร์ลก้มลงมองเด็กหนุ่มที่กำลังอ้อนเขาเหมือนเด็กๆ
“ก็นิดหน่อยครับ แต่เพราะมีคุณอยู่ด้วย...” ลูคัสหัวเราะเบาๆ “ผมว่านะ ไอแซ็กพี่ชายผมกับคุณน่าจะอายุใกล้ๆ กันเลย”
ลอร์ดหนุ่มผ่อนลมหายใจออกยาว เขาดึงมือที่เด็กหนุ่มกุมไว้ออก ขยับตัวนอนลงพร้อมกับวางศีรษะลงบนหมอน “นอนเถอะ”
“คุณจะนอนที่นี่กับผมหรือ”
“ไม่ได้รึ”
“อ๋า ได้สิครับ” ลูคัสเอนตัวลงนอนแล้ววางศีรษะลงบนหมอนเดียวกัน ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มน่ารักประดับอยู่ตลอดเวลา ก็เพราะรู้สึกดีที่ท่านลอร์ดยอมอยู่เป็นเพื่อน นอนบนหมอนใบเดียวกันโดยไม่รังเกียจเด็กจรจัดอย่างเขา และที่สำคัญ นี่ก็เป็นการพิสูจน์ความไว้ใจที่อีกฝ่ายมีให้เป็นอย่างดี “ขอบคุณนะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบาก่อนจะปิดตาลง
แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันดับไปแล้ว ถ่านในเตาผิงเป็นก้อนไฟสีแดงให้ความอบอุ่นไปทั่วทั้งห้อง ไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดจากทั้งสองคนอีก มีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ แว่วมาอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น
*~TBC~*ขอโทษที่พาท่านลอร์ดกับน้องลูคัสมาส่งช้านะคะ ฮัสกี้เปื่อยค่ะ ฮรือ... มึนไปหมดเหลย~
ตอนแรกเออร์วินแอบทำคะแนน แต่ช่วงหลังท่านลอร์ดควบม้าเร็วมาตีตื้นแล้วนะคะ
ท่านลอร์ดรู้วิธีเลี้ยงเด็กแล้วววว~ 5555555
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า อากาศเปลี่ยนรักษาสุขภาพกันด้วยน้า อย่าป่วยเหมือนฮัสกี้ค่ะ
จุ๊ฟฟฟฟฟ 